• "ไทยก้าวใหม่" ลงพื้นที่ต้นน้ำน่าน ชี้ปัญหาตลิ่งพัง-น้ำท่วมซ้ำซาก ประกาศจุดยืนชัดเจน ขอโอกาสประชาชน แก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง-น้ำทะเลหนุน
    https://www.thai-tai.tv/news/21985/
    .
    #ไทยไท #สุชัชวีร์ #ต้นน้ำน่าน #ฝายแกนดินซีเมนต์ #ปัญหาน้ำท่วม #ไทยก้าวใหม่ #วิศวกรรมแก้ปัญหา

    "ไทยก้าวใหม่" ลงพื้นที่ต้นน้ำน่าน ชี้ปัญหาตลิ่งพัง-น้ำท่วมซ้ำซาก ประกาศจุดยืนชัดเจน ขอโอกาสประชาชน แก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง-น้ำทะเลหนุน https://www.thai-tai.tv/news/21985/ . #ไทยไท #สุชัชวีร์ #ต้นน้ำน่าน #ฝายแกนดินซีเมนต์ #ปัญหาน้ำท่วม #ไทยก้าวใหม่ #วิศวกรรมแก้ปัญหา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ไทยก้าวใหม่' ตั้งเป้าปราบโกง ใช้ AI สร้างราชการโปร่งใส ปลูกฝังค่านิยมซื่อสัตย์ตั้งแต่เด็ก มุ่งมั่นสร้างคุณภาพชีวิต แก้ปัญหาน้ำท่วม-แล้งอย่างยั่งยืน
    https://www.thai-tai.tv/news/21746/
    .
    #พรรคไทยก้าวใหม่ #ก้าวใหม่ให้ไทยสตรอง #ธนู4ดอก #การศึกษาคือทางรอด #เศรษฐกิจชาตินิยมใหม่ #AIปราบโกง #อาชีวะอินเตอร์ #ลดเหลื่อมล้ำ
    'ไทยก้าวใหม่' ตั้งเป้าปราบโกง ใช้ AI สร้างราชการโปร่งใส ปลูกฝังค่านิยมซื่อสัตย์ตั้งแต่เด็ก มุ่งมั่นสร้างคุณภาพชีวิต แก้ปัญหาน้ำท่วม-แล้งอย่างยั่งยืน https://www.thai-tai.tv/news/21746/ . #พรรคไทยก้าวใหม่ #ก้าวใหม่ให้ไทยสตรอง #ธนู4ดอก #การศึกษาคือทางรอด #เศรษฐกิจชาตินิยมใหม่ #AIปราบโกง #อาชีวะอินเตอร์ #ลดเหลื่อมล้ำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • รางรถไฟ ECRL มาเลเซีย กับรถไฟไทยไม่เท่ากัน

    ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย (Dewan Rakyat) เมื่อวันที่ 18 ส.ค. นายแอนโทนี โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย ตอบคำถามนายอะห์หมัด ฟาดลี ชะอารี สส.อำเภอปาเซร์มัส รัฐกลันตัน ที่ถามถึงความตั้งใจของรัฐบาลกลางมาเลเซียในการขยายเส้นทางโครงการทางรถไฟเชื่อมชายฝั่งตะวันออกมาเลเซีย (East Coast Rail Link) หรือ ECRL ไปยังเมืองรันเตาปันยัง (Rantau Panjang) พร้อมถามถึงการศึกษาทางเทคนิค และการประเมินความเสี่ยงต่อน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่ นายโลคกล่าวว่า ยังไม่ได้ดำเนินการ เนื่องจากต้องศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายเส้นทางไปยังเมืองรันเตาปันยังก่อน

    แม้โครงการ ECRL อยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่ข้อเสนอขยายเส้นทางจากสถานีโกตาบารู (Kota Bharu) ไปยังเมืองรันเตาปันยัง เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ซึ่งต้องเจรจาเพิ่มเติมกับจีน รวมทั้งผู้รับเหมาหลักอย่างบริษัท ไชน่า คอมมูนิเคชัน คอนสตรัคชัน หรือ CCCC ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี แต่รับไว้จะนำเสนอต่อไป อย่างไรก็ตาม โครงการนี้มีต้นทุนก่อสร้างที่สูง เนื่องจากแนวเส้นทางรถไฟส่วนใหญ่สร้างขึ้นบนโครงสร้างยกระดับ เพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาน้ำท่วมให้น้อยที่สุด แต่พื้นที่เมืองรันเตาปันยัง หากโครงการ ECRL จะเชื่อมต่อกับประเทศไทย กระทรวงคมนาคมมาเลเซียแจ้งว่า พบปัญหาทางเทคนิค

    เพราะรางรถไฟที่ใช้ในโครงการ ECRL (ขนาด 1.435 เมตร) ต่างจากการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท. (ขนาด 1 เมตร) จึงยังไม่เข้ากัน จำเป็นต้องมีพื้นที่ลานขนถ่ายสินค้า และเพื่อให้บูรณาการร่วมกัน รางรถไฟของ ร.ฟ.ท. ต้องติดกับรางรถไฟ ECRL เพื่อให้สามารถขนถ่ายสินค้าได้ ขณะนี้กำลังจัดทำบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) เกี่ยวกับการขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างมาเลเซียและไทยอย่างจริงจัง โดยข้อเสนอที่จะได้รับผลประโยชน์ระยะยาวที่ดีที่สุดแก่มาเลเซีย และกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดนนั้น โครงการ ECRL จะต้องเชื่อมโยงกับประเทศไทย แทนที่จะสิ้นสุดที่เมืองรันเตาปันจังเท่านั้น

    โครงการ ECRL เชื่อมระหว่างสถานีโกตาบารู รัฐกลันตัน ผ่านเมืองกวนตัน (Kuantan) รัฐปะหัง ซึ่งมีท่าเรือตั้งอยู่ กับท่าเรือแคลง (Port Klang) รัฐสลังงอร์ ระยะทาง 665 กิโลเมตร ประกอบด้วยทางยกระดับยาว 154 กิโลเมตร อุโมงค์ 41 แห่ง และทางข้ามสัตว์ป่า 28 แห่ง มีแผนเปิดให้บริการระยะที่ 1 ระหว่างสถานีโกตาบารู รัฐกลันตัน ถึงสถานีกอมบัค (Gombak) คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือน ธ.ค.2569 เริ่มให้บริการในเดือน ม.ค.2570 ส่วนระยะที่ 2 ไปยังท่าเรือแคลง คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือน ธ.ค.2570 และเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบในเดือน ม.ค.2571

    #Newskit
    รางรถไฟ ECRL มาเลเซีย กับรถไฟไทยไม่เท่ากัน ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย (Dewan Rakyat) เมื่อวันที่ 18 ส.ค. นายแอนโทนี โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย ตอบคำถามนายอะห์หมัด ฟาดลี ชะอารี สส.อำเภอปาเซร์มัส รัฐกลันตัน ที่ถามถึงความตั้งใจของรัฐบาลกลางมาเลเซียในการขยายเส้นทางโครงการทางรถไฟเชื่อมชายฝั่งตะวันออกมาเลเซีย (East Coast Rail Link) หรือ ECRL ไปยังเมืองรันเตาปันยัง (Rantau Panjang) พร้อมถามถึงการศึกษาทางเทคนิค และการประเมินความเสี่ยงต่อน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่ นายโลคกล่าวว่า ยังไม่ได้ดำเนินการ เนื่องจากต้องศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายเส้นทางไปยังเมืองรันเตาปันยังก่อน แม้โครงการ ECRL อยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่ข้อเสนอขยายเส้นทางจากสถานีโกตาบารู (Kota Bharu) ไปยังเมืองรันเตาปันยัง เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ซึ่งต้องเจรจาเพิ่มเติมกับจีน รวมทั้งผู้รับเหมาหลักอย่างบริษัท ไชน่า คอมมูนิเคชัน คอนสตรัคชัน หรือ CCCC ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี แต่รับไว้จะนำเสนอต่อไป อย่างไรก็ตาม โครงการนี้มีต้นทุนก่อสร้างที่สูง เนื่องจากแนวเส้นทางรถไฟส่วนใหญ่สร้างขึ้นบนโครงสร้างยกระดับ เพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาน้ำท่วมให้น้อยที่สุด แต่พื้นที่เมืองรันเตาปันยัง หากโครงการ ECRL จะเชื่อมต่อกับประเทศไทย กระทรวงคมนาคมมาเลเซียแจ้งว่า พบปัญหาทางเทคนิค เพราะรางรถไฟที่ใช้ในโครงการ ECRL (ขนาด 1.435 เมตร) ต่างจากการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท. (ขนาด 1 เมตร) จึงยังไม่เข้ากัน จำเป็นต้องมีพื้นที่ลานขนถ่ายสินค้า และเพื่อให้บูรณาการร่วมกัน รางรถไฟของ ร.ฟ.ท. ต้องติดกับรางรถไฟ ECRL เพื่อให้สามารถขนถ่ายสินค้าได้ ขณะนี้กำลังจัดทำบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) เกี่ยวกับการขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างมาเลเซียและไทยอย่างจริงจัง โดยข้อเสนอที่จะได้รับผลประโยชน์ระยะยาวที่ดีที่สุดแก่มาเลเซีย และกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดนนั้น โครงการ ECRL จะต้องเชื่อมโยงกับประเทศไทย แทนที่จะสิ้นสุดที่เมืองรันเตาปันจังเท่านั้น โครงการ ECRL เชื่อมระหว่างสถานีโกตาบารู รัฐกลันตัน ผ่านเมืองกวนตัน (Kuantan) รัฐปะหัง ซึ่งมีท่าเรือตั้งอยู่ กับท่าเรือแคลง (Port Klang) รัฐสลังงอร์ ระยะทาง 665 กิโลเมตร ประกอบด้วยทางยกระดับยาว 154 กิโลเมตร อุโมงค์ 41 แห่ง และทางข้ามสัตว์ป่า 28 แห่ง มีแผนเปิดให้บริการระยะที่ 1 ระหว่างสถานีโกตาบารู รัฐกลันตัน ถึงสถานีกอมบัค (Gombak) คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือน ธ.ค.2569 เริ่มให้บริการในเดือน ม.ค.2570 ส่วนระยะที่ 2 ไปยังท่าเรือแคลง คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือน ธ.ค.2570 และเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบในเดือน ม.ค.2571 #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 424 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอน 2

    จิ๊กโก๋ปากซอย สร้างวินมอ’ไซค์



    อเมริกาเป็นนักวางแผนตัวพ่อ อเมริกามีแผนสำหรับทุกประเทศเป้าหมาย ทุกขั้นตอน เขียนแผนอย่างละเอียด มีรายงานทุกเรื่องที่เห็นว่าสำคัญ ….เก็บเรื่องระบบทุนนิยมไว้ก่อน เด็กมันยังละอ่อนนัก เดี๋ยวมันตกใจ วิ่งหนีรอดตาข่าย จะกินอาหารอร่อยต้องใจเย็นๆ

    แผนหมายเลข 1 สำหรับการเคี้ยวไทยของอเมริกา ตาม Pax Americana เน้นเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคงนำหน้า ดังนั้น ต้องเปลี่ยนประเทศไทยจากที่เป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นประเทศอุตสาหกรรมให้ได้ก่อน เรื่องความมั่นคงอย่าเพิ่งถาม เดี๋ยวจะเห็นว่ามาอย่างไร

    อเมริกา เป็นนักวางแผนที่มีจิตวิทยาสูง คนเราน่ะนะ จะให้ทำอะไร มันต้องให้สบายกระเป๋าก่อน มีเงินแล้วมันถึงจะพูดกันรู้เรื่อง แหม! มันเดินตามกันเปี๊ยบเลย ใครนะ ที่ใช้เงินเข้าล่อ แบบคุณพ่ออเมริกา

    ปี พ.ศ.2501 อเมริกาจึงส่งผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก เป็นของขวัญให้รัฐบาลสฤษดิ์ มาเป็นทีมใหญ่ ไทยแลนด์ดีใจเหมือนได้แก้ว

    กลุ่มผู้เชี่ยวชาญขนกันมาทำการสำรวจประเทศไทยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ดูทั้งบนดินใต้ดินใต้น้ำในทะเล ทุกซอก ทุกหลุม ประมาณว่าแทบจะถลกผ้านุ่งคุณยายดูยังงั้นเชียว สำรวจอยู่ 1 ปีจึงเสร็จ เสร็จแล้วก็ทำรายงานสำรวจชุดใหญ่ ส่งให้คุณพ่ออเมริกา ชุดเล็กก็เสนอให้คุณป๋าผ้าขะม้าไทย

    (แสดงว่ามันดูกันละเอียดจริง ไม่เหมือนข้าราชการบ้านเราไปดูงานบ้านเขาเลยนะ ไป 15 วัน ช้อปปิ้งเสีย 10 วัน เข้าบ่อนอีก 5 วัน อ้าว แล้วดูงานตอนไหน ก็ตอนขึ้นเครื่องกลับ หลับฝันเอาไง บ้านเรามันถึงเจริญ)

    ผลสำรวจสรุปว่า เพื่อทดแทนการนำเข้า ที่ทำให้ไทยแลนด์ขาดดุลการค้า ฝรั่งบอกว่า ไทยควรเปลี่ยนจากประเทศกสิกรรม ทำการเกษตร มาเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทำการผลิตสินค้าส่งออก เขียนตามโผที่ล็อกไว้เลย กองสลากเรายังล็อกโผไม่ได้เท่านี้

    รายงานสำรวจดังกล่าว เป็นไปตามใบสั่งคุณพ่ออเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย (ตอนนั้นเราก็เป็นประเทศด้อยนะ ไม่ต้องค้อน ตอนนี้ก็ยังด้อยอยู่อีกหลายเรื่อง) เปิดทางให้ทุนอเมริกัน เข้าไปลงทุนผลิตสินค้าอุตสาหกรรม นอกจากอเมริกา จะได้ประโยชน์ในการขยายการลงทุนแล้ว อเมริกาจะได้ขายเครื่อง จักร และสารพัดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในขบวนการผลิต เช่น พลังงานไฟฟ้า น้ำมัน เขื่อน อุปกรณ์เทคนิค อุปกรณ์การขนส่ง ฯลฯ ให้ไทยอีกด้วย

    สิ่งที่ไทยได้ขายคือ วัตถุดิบบางอย่างที่มีในประเทศและแรงงาน แค่นั้นเอง ….อืมมม คุ้มแสนคุ้ม…

    คุณป๋าไทยเมื่อได้รับรายงานสำรวจฯ ก็เนื้อเต้นไปหมด เห็นโอกาสทองทำเงินอยู่ข้างหน้า… งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข …คุณป๋าไทยรีบออกคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติทันที ในปี พ.ศ.2504 และนั่นคือกำเนิดสภาพัฒน์ฯ ที่เรารู้จัก

    สภาพัฒน์ฯ ทำหน้าที่วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2504 ถึงปัจจุบัน ตามแนวทางที่ฝรั่ง (หลอก) ให้ไทยเดิน

    ควรรู้ด้วยว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ฉบับที่ 1 ใช้รายงานธนาคารโลก ฉบับใบสั่งทั้งฉบับนั่นแหละ แปลเป็นไทย ทำเป็นแผนแม่บท ง่ายดีจัง

    ไม่ต้องเสียเวลา ไทยมีส่วนร่วมเพียงในฐานะผู้รับบัญชา ขอรับกระผม

    นอกจากนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึง 6 เดินตามแนวทางรายงานธนาคารโลกทั้งสิ้น ปัจจุบันเป็นฉบับที่ 12 ซึ่งก็ไม่มีแนวทางพัฒนาประเทศ ที่ชัดเจนเหมาะสมกับสภาพ และสภาวะของประเทศ แถม เละเทะเหมือนกินจับฉ่าย

    ควรรู้อีกด้วยว่าในรายงานของธนาคารโลก ไม่เน้นถึงการพัฒนาการปลูกข้าว ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทย ตรงกันข้ามดันมีข้อเสนอให้เก็บพรีเมี่ยมข้าว!

    พอจะเห็นกันบ้างหรือยังว่า สิ่งที่เรียกว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯของขวัญจากคุณพ่ออเมริกา แท้จริงแล้ว เป็นบัวหิมะพันปีเพิ่มพลัง หรือ ยาละลายกระดูกสลายพลัง

    นักล่าอาณานิคมรุ่นใหม่นี่เยี่ยมจริงๆ

    หลังจากนั้น การพัฒนาประเทศไทยก็เดินตามแนวที่คุณพ่ออเมริกากำหนด หรือกำกับ ผ่านหน่วยงานธนาคารโลก (World Bank), IMF, IFC, ADB ฯลฯ ที่เราขยันกู้เขามาตลอด เริ่มเข้าใจหรือยังครับ ทำไมเขาถึงต้องตั้งธนาคารโลก, IMF ฯลฯ

    สัญญาเงินกู้ทุกฉบับของ World Bank, IMF , IFC จะมีข้อกำหนดบังคับผู้กู้ ตามที่คุณพ่ออเมริกาต้อง การ ให้โลกเดินไปในทิศทางที่คุณพ่อและพวกต้องการคือ ทุนนิยมเสรี นั่นเอง

    อเมริกาสามารถควบคุมธนาคารโลก, IMF, IFC ได้ในกำมือ เพราะอเมริกาจ่ายเงินสนับสนุนสูงที่สุดมากกว่าประเทศอื่นๆ

    พูดให้ชัดธนาคารโลก, IMF, IFC ก็เด็กในกระเป๋าอเมริกานั่นแหละ!

    แต่การพัฒนาประเทศ จะเดินตามใบสั่งของคุณพ่ออเมริกาไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าราชการที่จูงง่าย พร้อมเป็นขี้ข้า ไม่ว่าจะเป็นขี้ข้าฝรั่ง หรือนักการเมืองไทย เห็นๆ กันอยู่ตั้งกะสมัย 50 ปีก่อน จนถึงเดี๋ยวนี้ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง

    ข้าราชการที่มีความสามารถ แต่พร้อมที่จะถูกฝรั่งหลอกใช้ (เอ๊ะ หรือเต็มใจ!)ที่เรียกกันว่า technocrat (technocrat ต้นแบบก็อย่างนายเกษม จาติกวนิช นายอานันท์ ปันยารชุน นายอำนวย วีรวรรณ นั่นแหละ) ก็เป็นผู้รับแผนคุณพ่อฝรั่งมาดำเนินการ

    Technocrat เหล่านี้มาจากไหนล่ะ? อ้า! เดี๋ยวต้องหาที่มาแบบ CSI (Crime Scene Investigation สำหรับผู้ไม่ได้ดูหนัง ดูแต่ละคร ก็นึกถึงคุณหมอพรทิพย์หัวฟูคนเก่งของเราแล้วกัน ประเภทสืบจากศพอะไรทำนองนั้นแหละครับ)

    Technocrat เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากอังกฤษและอเมริกา มีความคุ้นเคยกับระบบการศึกษา ตำรับตำรา วิชาการ ความคิด ที่ฝรั่งแป๊ะติดใส่หัวเอาไว้ตั้งแต่สมัยไปเรียนหนังสือ ท่านเหล่านั้นก็มีวิชาความรู้เพิ่มพูน ฝรั่งสอนอะไรก็จด ฝรั่งพูดอะไรก็จำ ทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร (ฮา) กลับมาก็ฟิตเปรี๊ยะ เครื่องถ่ายอัดสำเนาไว้เต็ม

    คิดว่าบ้านเมืองเราจะเจริญได้ ต้องดูจากที่ฝรั่งเขาพัฒนาบ้านเมืองเขา ไม่เคยใช้สมองของตัวคิดบ้างว่า บ้านเขากับบ้านเราน่ะ มันต่างกันขนาดไหน

    ดูภูมิประเทศ อากาศ ทรัพยากร ความถนัด ประเพณี ฯลฯ โอ้ยสารพัด มันเหมือนกันตรงไหน ข้างหนึ่งหัวดำตัวเหลือง อีกข้างหนึ่งหัวทองตัวขาวเผือด ข้างหนึ่งหนาวหิมะตก ข้างหนึ่งเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตกน้ำท่วม ยังคิดก็อบปี้ตะบี้ตะบันท่าเดียว เพราะถูกทำให้เชื่อว่า ฝรั่งนั้นฉลาดกว่าเรา สิ่งที่เขาคิด ดีกว่าที่เราคิด มันฝังหัว ตั้งกะไปเรียน prep school หรือ public school กับฝรั่งมาแล้ว

    ดังนั้น เมื่อฝรั่งบอกเดินหน้าเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทุกท่านก็ลุย! เฮ้อ! เศร้าใจ

    การพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็ผิดไปเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ไข คนอะไรเดินใส่เสื้อติดกระดุมเขย่งมาเกือบ 60 ปี ยังไม่รู้ตัว

    นิคมอุตสาหกรรม จึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แล้วดอกเห็ดพวกนี้ไม่รู้เป็นอะไร ก็ชอบขึ้นอยู่ตามที่ลุ่ม ซึ่งเป็นทางเดินของน้ำ ดูนิคมบางชัน นิคมแถวอยุธยา บางปะอิน เป็นตัวอย่างแล้วกัน ยิ่งนานวันดอกเห็ดก็แผ่ขยายบานกินเมืองเข้าไปลึกขวางทางไหลหลากของน้ำ ซึ่งมาประจำปี

    ดังนั้น ปัญหาน้ำท่วมก็ยังจะมีอยู่ต่อไป ต้องใช้เรือดำน้ำกี่ลำ หญ้าแพรกเท่าไหร่ก็เอาไม่อยู่ ถ้ายังดันทุรังเดินใส่เสื้อกระดุมเขย่งกันอยู่อย่างนี้

    นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องท่าเรือแหลมฉบัง ผาแดง แทนทาลัม นิคมอุตสาหกรรมระยอง โรงไฟฟ้าบ้านกรูด การวางท่อแก๊ส ฯลฯ ที่ไม่เข้ากับสภาพภูมิประเทศ และความเป็นอยู่ของท้องถิ่นนะ แค่นี้ก็น่าจะพอเห็นภาพกันแล้ว

    แหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ทั้งหลาย สร้างรายได้ให้กับผู้ถือหุ้นอย่างมหาศาล คนท้องถิ่นได้แต่ค่าแรงวันละไม่กี่บาท แล้วใครเป็นผู้ถือหุ้น… ก็คนต่างชาติส่วนใหญ่ บวกกับคนไทยขายชาติที่ถือหุ้นแทนฝรั่งไง

    คนท้องถิ่นไม่เคยได้เป็นผู้ถือหุ้น!

    ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ทำกิน และที่สำคัญ สุขอนามัยของชาวบ้าน ไม่เคยเป็นปัจจัยที่ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุนต่างชาติ ให้ความสนใจหรือห่วงใย

    ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุน ให้ความสนใจแต่ ผลผลิต และผลกำไรของพวกเขาเท่านั้น

    ส่วนนักการเมืองไทย ก็นึกแต่ค่าหัวคิว ใต้โต๊ะ บนโต๊ะ ที่จะได้รับ รับแล้วเอาไปซุกไว้ที่ไหนดีหนอ หลังบ้าน ใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า หรือซุกไว้กับคนรถ คนใช้ ฯลฯ แล้วประเทศได้อะไร ประชาชนได้อะไร …เคยมีนักการเมืองหน้าไหนดูแลเราจริงๆ จังๆ บ้าง


    คนเล่านิทาน
    ตอน 2 จิ๊กโก๋ปากซอย สร้างวินมอ’ไซค์ อเมริกาเป็นนักวางแผนตัวพ่อ อเมริกามีแผนสำหรับทุกประเทศเป้าหมาย ทุกขั้นตอน เขียนแผนอย่างละเอียด มีรายงานทุกเรื่องที่เห็นว่าสำคัญ ….เก็บเรื่องระบบทุนนิยมไว้ก่อน เด็กมันยังละอ่อนนัก เดี๋ยวมันตกใจ วิ่งหนีรอดตาข่าย จะกินอาหารอร่อยต้องใจเย็นๆ แผนหมายเลข 1 สำหรับการเคี้ยวไทยของอเมริกา ตาม Pax Americana เน้นเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคงนำหน้า ดังนั้น ต้องเปลี่ยนประเทศไทยจากที่เป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นประเทศอุตสาหกรรมให้ได้ก่อน เรื่องความมั่นคงอย่าเพิ่งถาม เดี๋ยวจะเห็นว่ามาอย่างไร อเมริกา เป็นนักวางแผนที่มีจิตวิทยาสูง คนเราน่ะนะ จะให้ทำอะไร มันต้องให้สบายกระเป๋าก่อน มีเงินแล้วมันถึงจะพูดกันรู้เรื่อง แหม! มันเดินตามกันเปี๊ยบเลย ใครนะ ที่ใช้เงินเข้าล่อ แบบคุณพ่ออเมริกา ปี พ.ศ.2501 อเมริกาจึงส่งผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก เป็นของขวัญให้รัฐบาลสฤษดิ์ มาเป็นทีมใหญ่ ไทยแลนด์ดีใจเหมือนได้แก้ว กลุ่มผู้เชี่ยวชาญขนกันมาทำการสำรวจประเทศไทยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ดูทั้งบนดินใต้ดินใต้น้ำในทะเล ทุกซอก ทุกหลุม ประมาณว่าแทบจะถลกผ้านุ่งคุณยายดูยังงั้นเชียว สำรวจอยู่ 1 ปีจึงเสร็จ เสร็จแล้วก็ทำรายงานสำรวจชุดใหญ่ ส่งให้คุณพ่ออเมริกา ชุดเล็กก็เสนอให้คุณป๋าผ้าขะม้าไทย (แสดงว่ามันดูกันละเอียดจริง ไม่เหมือนข้าราชการบ้านเราไปดูงานบ้านเขาเลยนะ ไป 15 วัน ช้อปปิ้งเสีย 10 วัน เข้าบ่อนอีก 5 วัน อ้าว แล้วดูงานตอนไหน ก็ตอนขึ้นเครื่องกลับ หลับฝันเอาไง บ้านเรามันถึงเจริญ) ผลสำรวจสรุปว่า เพื่อทดแทนการนำเข้า ที่ทำให้ไทยแลนด์ขาดดุลการค้า ฝรั่งบอกว่า ไทยควรเปลี่ยนจากประเทศกสิกรรม ทำการเกษตร มาเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทำการผลิตสินค้าส่งออก เขียนตามโผที่ล็อกไว้เลย กองสลากเรายังล็อกโผไม่ได้เท่านี้ รายงานสำรวจดังกล่าว เป็นไปตามใบสั่งคุณพ่ออเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย (ตอนนั้นเราก็เป็นประเทศด้อยนะ ไม่ต้องค้อน ตอนนี้ก็ยังด้อยอยู่อีกหลายเรื่อง) เปิดทางให้ทุนอเมริกัน เข้าไปลงทุนผลิตสินค้าอุตสาหกรรม นอกจากอเมริกา จะได้ประโยชน์ในการขยายการลงทุนแล้ว อเมริกาจะได้ขายเครื่อง จักร และสารพัดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในขบวนการผลิต เช่น พลังงานไฟฟ้า น้ำมัน เขื่อน อุปกรณ์เทคนิค อุปกรณ์การขนส่ง ฯลฯ ให้ไทยอีกด้วย สิ่งที่ไทยได้ขายคือ วัตถุดิบบางอย่างที่มีในประเทศและแรงงาน แค่นั้นเอง ….อืมมม คุ้มแสนคุ้ม… คุณป๋าไทยเมื่อได้รับรายงานสำรวจฯ ก็เนื้อเต้นไปหมด เห็นโอกาสทองทำเงินอยู่ข้างหน้า… งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข …คุณป๋าไทยรีบออกคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติทันที ในปี พ.ศ.2504 และนั่นคือกำเนิดสภาพัฒน์ฯ ที่เรารู้จัก สภาพัฒน์ฯ ทำหน้าที่วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2504 ถึงปัจจุบัน ตามแนวทางที่ฝรั่ง (หลอก) ให้ไทยเดิน ควรรู้ด้วยว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ฉบับที่ 1 ใช้รายงานธนาคารโลก ฉบับใบสั่งทั้งฉบับนั่นแหละ แปลเป็นไทย ทำเป็นแผนแม่บท ง่ายดีจัง ไม่ต้องเสียเวลา ไทยมีส่วนร่วมเพียงในฐานะผู้รับบัญชา ขอรับกระผม นอกจากนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึง 6 เดินตามแนวทางรายงานธนาคารโลกทั้งสิ้น ปัจจุบันเป็นฉบับที่ 12 ซึ่งก็ไม่มีแนวทางพัฒนาประเทศ ที่ชัดเจนเหมาะสมกับสภาพ และสภาวะของประเทศ แถม เละเทะเหมือนกินจับฉ่าย ควรรู้อีกด้วยว่าในรายงานของธนาคารโลก ไม่เน้นถึงการพัฒนาการปลูกข้าว ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทย ตรงกันข้ามดันมีข้อเสนอให้เก็บพรีเมี่ยมข้าว! พอจะเห็นกันบ้างหรือยังว่า สิ่งที่เรียกว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯของขวัญจากคุณพ่ออเมริกา แท้จริงแล้ว เป็นบัวหิมะพันปีเพิ่มพลัง หรือ ยาละลายกระดูกสลายพลัง นักล่าอาณานิคมรุ่นใหม่นี่เยี่ยมจริงๆ หลังจากนั้น การพัฒนาประเทศไทยก็เดินตามแนวที่คุณพ่ออเมริกากำหนด หรือกำกับ ผ่านหน่วยงานธนาคารโลก (World Bank), IMF, IFC, ADB ฯลฯ ที่เราขยันกู้เขามาตลอด เริ่มเข้าใจหรือยังครับ ทำไมเขาถึงต้องตั้งธนาคารโลก, IMF ฯลฯ สัญญาเงินกู้ทุกฉบับของ World Bank, IMF , IFC จะมีข้อกำหนดบังคับผู้กู้ ตามที่คุณพ่ออเมริกาต้อง การ ให้โลกเดินไปในทิศทางที่คุณพ่อและพวกต้องการคือ ทุนนิยมเสรี นั่นเอง อเมริกาสามารถควบคุมธนาคารโลก, IMF, IFC ได้ในกำมือ เพราะอเมริกาจ่ายเงินสนับสนุนสูงที่สุดมากกว่าประเทศอื่นๆ พูดให้ชัดธนาคารโลก, IMF, IFC ก็เด็กในกระเป๋าอเมริกานั่นแหละ! แต่การพัฒนาประเทศ จะเดินตามใบสั่งของคุณพ่ออเมริกาไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าราชการที่จูงง่าย พร้อมเป็นขี้ข้า ไม่ว่าจะเป็นขี้ข้าฝรั่ง หรือนักการเมืองไทย เห็นๆ กันอยู่ตั้งกะสมัย 50 ปีก่อน จนถึงเดี๋ยวนี้ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ข้าราชการที่มีความสามารถ แต่พร้อมที่จะถูกฝรั่งหลอกใช้ (เอ๊ะ หรือเต็มใจ!)ที่เรียกกันว่า technocrat (technocrat ต้นแบบก็อย่างนายเกษม จาติกวนิช นายอานันท์ ปันยารชุน นายอำนวย วีรวรรณ นั่นแหละ) ก็เป็นผู้รับแผนคุณพ่อฝรั่งมาดำเนินการ Technocrat เหล่านี้มาจากไหนล่ะ? อ้า! เดี๋ยวต้องหาที่มาแบบ CSI (Crime Scene Investigation สำหรับผู้ไม่ได้ดูหนัง ดูแต่ละคร ก็นึกถึงคุณหมอพรทิพย์หัวฟูคนเก่งของเราแล้วกัน ประเภทสืบจากศพอะไรทำนองนั้นแหละครับ) Technocrat เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากอังกฤษและอเมริกา มีความคุ้นเคยกับระบบการศึกษา ตำรับตำรา วิชาการ ความคิด ที่ฝรั่งแป๊ะติดใส่หัวเอาไว้ตั้งแต่สมัยไปเรียนหนังสือ ท่านเหล่านั้นก็มีวิชาความรู้เพิ่มพูน ฝรั่งสอนอะไรก็จด ฝรั่งพูดอะไรก็จำ ทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร (ฮา) กลับมาก็ฟิตเปรี๊ยะ เครื่องถ่ายอัดสำเนาไว้เต็ม คิดว่าบ้านเมืองเราจะเจริญได้ ต้องดูจากที่ฝรั่งเขาพัฒนาบ้านเมืองเขา ไม่เคยใช้สมองของตัวคิดบ้างว่า บ้านเขากับบ้านเราน่ะ มันต่างกันขนาดไหน ดูภูมิประเทศ อากาศ ทรัพยากร ความถนัด ประเพณี ฯลฯ โอ้ยสารพัด มันเหมือนกันตรงไหน ข้างหนึ่งหัวดำตัวเหลือง อีกข้างหนึ่งหัวทองตัวขาวเผือด ข้างหนึ่งหนาวหิมะตก ข้างหนึ่งเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตกน้ำท่วม ยังคิดก็อบปี้ตะบี้ตะบันท่าเดียว เพราะถูกทำให้เชื่อว่า ฝรั่งนั้นฉลาดกว่าเรา สิ่งที่เขาคิด ดีกว่าที่เราคิด มันฝังหัว ตั้งกะไปเรียน prep school หรือ public school กับฝรั่งมาแล้ว ดังนั้น เมื่อฝรั่งบอกเดินหน้าเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทุกท่านก็ลุย! เฮ้อ! เศร้าใจ การพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็ผิดไปเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ไข คนอะไรเดินใส่เสื้อติดกระดุมเขย่งมาเกือบ 60 ปี ยังไม่รู้ตัว นิคมอุตสาหกรรม จึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แล้วดอกเห็ดพวกนี้ไม่รู้เป็นอะไร ก็ชอบขึ้นอยู่ตามที่ลุ่ม ซึ่งเป็นทางเดินของน้ำ ดูนิคมบางชัน นิคมแถวอยุธยา บางปะอิน เป็นตัวอย่างแล้วกัน ยิ่งนานวันดอกเห็ดก็แผ่ขยายบานกินเมืองเข้าไปลึกขวางทางไหลหลากของน้ำ ซึ่งมาประจำปี ดังนั้น ปัญหาน้ำท่วมก็ยังจะมีอยู่ต่อไป ต้องใช้เรือดำน้ำกี่ลำ หญ้าแพรกเท่าไหร่ก็เอาไม่อยู่ ถ้ายังดันทุรังเดินใส่เสื้อกระดุมเขย่งกันอยู่อย่างนี้ นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องท่าเรือแหลมฉบัง ผาแดง แทนทาลัม นิคมอุตสาหกรรมระยอง โรงไฟฟ้าบ้านกรูด การวางท่อแก๊ส ฯลฯ ที่ไม่เข้ากับสภาพภูมิประเทศ และความเป็นอยู่ของท้องถิ่นนะ แค่นี้ก็น่าจะพอเห็นภาพกันแล้ว แหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ทั้งหลาย สร้างรายได้ให้กับผู้ถือหุ้นอย่างมหาศาล คนท้องถิ่นได้แต่ค่าแรงวันละไม่กี่บาท แล้วใครเป็นผู้ถือหุ้น… ก็คนต่างชาติส่วนใหญ่ บวกกับคนไทยขายชาติที่ถือหุ้นแทนฝรั่งไง คนท้องถิ่นไม่เคยได้เป็นผู้ถือหุ้น! ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ทำกิน และที่สำคัญ สุขอนามัยของชาวบ้าน ไม่เคยเป็นปัจจัยที่ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุนต่างชาติ ให้ความสนใจหรือห่วงใย ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุน ให้ความสนใจแต่ ผลผลิต และผลกำไรของพวกเขาเท่านั้น ส่วนนักการเมืองไทย ก็นึกแต่ค่าหัวคิว ใต้โต๊ะ บนโต๊ะ ที่จะได้รับ รับแล้วเอาไปซุกไว้ที่ไหนดีหนอ หลังบ้าน ใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า หรือซุกไว้กับคนรถ คนใช้ ฯลฯ แล้วประเทศได้อะไร ประชาชนได้อะไร …เคยมีนักการเมืองหน้าไหนดูแลเราจริงๆ จังๆ บ้าง คนเล่านิทาน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 660 มุมมอง 0 รีวิว
  • พายุฝนกระหน่ำลพบุรี
    //////////////////

    พายุกระหน่ำลพบุรี ฝนตกลงมาหนักอย่างนานกว่า 1 ชั่วโมง

    เมื่อเวลา 16.00 นาฬิกา ในวันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม 2568
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
    แรกเกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของจังหวัดลพบุรี ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังรอการระบายหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี พี่มีฝนตกลงมาอย่างหนักนาน 1 ชั่วโมงทำให้ถนนหลายสายในเขตเทศบาลเกิดปัญหาน้ำท่วมขังเช่นในตลาดโต้รุ่ง ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี
    อย่างเช่นถนนบริเวณ
    ต.ทะเลชุบศร อ.เมือง จ.ลพบุรี ที่เกิดปัญหาน้ำท่วมขังอย่างหนัก ระดับน้ำสูงราว 20-30 ซม. เนื่องจากถนนบางจุดมีสภาพเป็นแอ่งกระทะ และมวลน้ำฝนที่ตกลงมาสะสมเป็นเวลานานไหลระบายลงท่อระบายน้ำไม่ทัน ส่วนถนนนารายณ์มหาราช ใน เขตเทศบาลเมืองลพบุรี
    ก็เกิดปัญหาน้ำท่วมขังเช่นกัน จนรถเล็กไม่สามารถสัญจรผ่านได้ ประมาณ 2 ชั่วโมงน้ำก็ลดลงตามปกติตามสภาพเดิม
    พายุฝนกระหน่ำลพบุรี ////////////////// พายุกระหน่ำลพบุรี ฝนตกลงมาหนักอย่างนานกว่า 1 ชั่วโมง เมื่อเวลา 16.00 นาฬิกา ในวันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แรกเกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของจังหวัดลพบุรี ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังรอการระบายหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี พี่มีฝนตกลงมาอย่างหนักนาน 1 ชั่วโมงทำให้ถนนหลายสายในเขตเทศบาลเกิดปัญหาน้ำท่วมขังเช่นในตลาดโต้รุ่ง ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี อย่างเช่นถนนบริเวณ ต.ทะเลชุบศร อ.เมือง จ.ลพบุรี ที่เกิดปัญหาน้ำท่วมขังอย่างหนัก ระดับน้ำสูงราว 20-30 ซม. เนื่องจากถนนบางจุดมีสภาพเป็นแอ่งกระทะ และมวลน้ำฝนที่ตกลงมาสะสมเป็นเวลานานไหลระบายลงท่อระบายน้ำไม่ทัน ส่วนถนนนารายณ์มหาราช ใน เขตเทศบาลเมืองลพบุรี ก็เกิดปัญหาน้ำท่วมขังเช่นกัน จนรถเล็กไม่สามารถสัญจรผ่านได้ ประมาณ 2 ชั่วโมงน้ำก็ลดลงตามปกติตามสภาพเดิม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 357 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • พายุฝนกระหน่ำลพบุรี
    //////////////////

    พายุกระหน่ำลพบุรี ฝนตกลงมาหนักอย่างนานกว่า 1 ชั่วโมง

    เมื่อเวลา 16.00 นาฬิกา ในวันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม 2568
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
    แรกเกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของจังหวัดลพบุรี ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังรอการระบายหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี พี่มีฝนตกลงมาอย่างหนักนาน 1 ชั่วโมงทำให้ถนนหลายสายในเขตเทศบาลเกิดปัญหาน้ำท่วมขังเช่นในตลาดโต้รุ่ง ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี
    อย่างเช่นถนนบริเวณ
    ต.ทะเลชุบศร อ.เมือง จ.ลพบุรี ที่เกิดปัญหาน้ำท่วมขังอย่างหนัก ระดับน้ำสูงราว 20-30 ซม. เนื่องจากถนนบางจุดมีสภาพเป็นแอ่งกระทะ และมวลน้ำฝนที่ตกลงมาสะสมเป็นเวลานานไหลระบายลงท่อระบายน้ำไม่ทัน ส่วนถนนนารายณ์มหาราช ใน เขตเทศบาลเมืองลพบุรี
    ก็เกิดปัญหาน้ำท่วมขังเช่นกัน จนรถเล็กไม่สามารถสัญจรผ่านได้ ประมาณ 2 ชั่วโมงน้ำก็ลดลงตามปกติตามสภาพเดิม
    พายุฝนกระหน่ำลพบุรี ////////////////// พายุกระหน่ำลพบุรี ฝนตกลงมาหนักอย่างนานกว่า 1 ชั่วโมง เมื่อเวลา 16.00 นาฬิกา ในวันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แรกเกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของจังหวัดลพบุรี ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังรอการระบายหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี พี่มีฝนตกลงมาอย่างหนักนาน 1 ชั่วโมงทำให้ถนนหลายสายในเขตเทศบาลเกิดปัญหาน้ำท่วมขังเช่นในตลาดโต้รุ่ง ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี อย่างเช่นถนนบริเวณ ต.ทะเลชุบศร อ.เมือง จ.ลพบุรี ที่เกิดปัญหาน้ำท่วมขังอย่างหนัก ระดับน้ำสูงราว 20-30 ซม. เนื่องจากถนนบางจุดมีสภาพเป็นแอ่งกระทะ และมวลน้ำฝนที่ตกลงมาสะสมเป็นเวลานานไหลระบายลงท่อระบายน้ำไม่ทัน ส่วนถนนนารายณ์มหาราช ใน เขตเทศบาลเมืองลพบุรี ก็เกิดปัญหาน้ำท่วมขังเช่นกัน จนรถเล็กไม่สามารถสัญจรผ่านได้ ประมาณ 2 ชั่วโมงน้ำก็ลดลงตามปกติตามสภาพเดิม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้องการให้รัฐบาลมีมาตรการการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง โดยการ”ต่อท่อน้ำทั่วถิ่นไทย” จะสามารถสร้างสรรค์ให้แผ่นดินนี้อุดมสมบูรณ์เป็นไปอย่างดียิ่งๆขึ้นไป...นะครับผม!
    ต้องการให้รัฐบาลมีมาตรการการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง โดยการ”ต่อท่อน้ำทั่วถิ่นไทย” จะสามารถสร้างสรรค์ให้แผ่นดินนี้อุดมสมบูรณ์เป็นไปอย่างดียิ่งๆขึ้นไป...นะครับผม!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • อบจ.โคราช แท็คทีม สส.เพื่อไทย “งัดแผน” ถกปัญหาเรื่องน้ำท่วม - น้ำแล้ง สร้างปรากฏการณ์เตรียม “Action Plan” ร่วมจังหวัด และ กรมชลฯ หนุนโปรเจ็คจัดการน้ำเชื่อมโยงโครงข่ายทั้งจังหวัดอย่างยั่งยืน

    วันนี้ (1 พฤษภาคม 2568) ที่ห้องประชุมท้าวสุรนารี ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา (อบจ.นครราชสีมา) พร้อมด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) นครราชสีมา เข้าหารือร่วมกับ นายสมเกียรติ วิริยะกุลนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และ นายสุคนธ์ เต็มยศยิ่ง ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง เรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาระยะยาว

    นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายก อบจ.นครราชสีมา กล่าวว่า "ปัญหาน้ำท่วม และ ปัญหาภัยแล้ง ถือเป็นปัญหาสำคัญที่พี่น้องประชาชนต้องเผชิญในทุก ๆ ปี ฉะนั้น อบจ. จึงพร้อมเป็นหน่วยงานหลักที่จะประสานพี่น้องท้องถิ่น ประสานจังหวัด และประสาน สส. จ.นครราชสีมา ไปยังรัฐบาล เพื่อร่วมกันหาแนวทางขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำ วันนี้ จังหวัดและท้องถิ่น เราจะเดินหน้าไปด้วยกัน อบจ. มีงบประมาณและพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อบูรณาการร่วมกันกับจังหวัดและกรมชลประทาน โดยมี สส. นำเสนอปัญหาเข้าสู่สภา ซึ่ง สส. แต่ละเขตพื้นที่ก็จะต้องกลับไปศึกษาข้อมูลของตนเอง จัดทำบัญชีน้ำ ว่าในแต่ละปี น้ำสำหรับการเกษตรใช้เท่าไร น้ำอุปโภค บริโภค ใช้เท่าไร และ ภาคอุตสาหกรรม ใช้น้ำเท่าไร จากนั้นนำข้อมูลที่ได้เข้าสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกัน สิ่งที่ตามมาคือ เกิดผลดีต่อพี่น้องประชาชน ที่จะพ้นจากปัญหาภัยแล้ง - น้ำท่วม อย่างเป็นรูปธรรม"

    "โดยเฉพาะโครงการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบน้ำทั้งจังหวัด จัดหาแห่งกักเก็บน้ำกระจายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ หากไม่สามารถสร้างอ่างเก็บน้ำใหม่ได้ เราก็เลือกวิธีพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำเดิมที่มีอยู่ ให้สามารถใช้การได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะปัจจุบัน แหล่งน้ำใหญ่ ๆ อย่าง เขื่อนลำตะคอง เหลือน้ำใช้ 16% , เขื่อนลำพระเพลิง 12% , เขื่อนลำมูลบน 3.7% และ เขื่อนลำแชะ 2.9 % ปีนี้อาจจะยังมีน้ำใช้ แต่ปีหน้าถ้าเราไม่ร่วมมือกันจัดการปัญหาอย่างถูกจุด ก็จะเกิดปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม อีกแน่นอน"

    นายก อบจ. กล่าวต่อไปอีกว่า "ในการประชุมครั้งนี้ ทำให้ทราบว่า กรมชลประทาน มีโครงการที่จะผันน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี มายัง เขื่อนลำตะคอง จ.นครราชสีมา ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมสำรวจ ออกแบบ ที่ต้องใช้ระยะเวลาร่วม 3 ปี หากโครงการนี้สำเร็จก็จะเป็นข่าวดีของพี่น้องชาวโคราชด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ต้องฝากเรื่องไปยัง สส.นครราชสีมา ผ่านไปยังสภาฯ ให้ช่วยกันผลักดันเรื่องงบประมาณ ลงมายัง จ.นครราชสีมา เพื่อให้ปัญหาได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด"

    “อบจ.นครราชสีมา พร้อมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานการบูรณาการกับทุกภาคส่วน เพื่อพัฒนาจังหวัดให้ก้าวไปข้างหน้าและเกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน สำหรับการประชุมหารือในครั้งนี้ เราได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการดำเนินการโครงการแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง - น้ำท่วม ว่า การแก้ไขปัญหาทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องหาทางออกร่วมกัน ฝากถึงจังหวัดผลักดันโครงการ “ดิน แลก น้ำ” ถ้าทำอย่างจริงจังจะเกิดผลที่ชัดเจน เพราะการบริหารจัดการน้ำเป็นเรื่องสำคัญ”

    #นายกหน่อย #อบจโคราช
    #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช
    #prkoratpao
    อบจ.โคราช แท็คทีม สส.เพื่อไทย “งัดแผน” ถกปัญหาเรื่องน้ำท่วม - น้ำแล้ง สร้างปรากฏการณ์เตรียม “Action Plan” ร่วมจังหวัด และ กรมชลฯ หนุนโปรเจ็คจัดการน้ำเชื่อมโยงโครงข่ายทั้งจังหวัดอย่างยั่งยืน วันนี้ (1 พฤษภาคม 2568) ที่ห้องประชุมท้าวสุรนารี ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา (อบจ.นครราชสีมา) พร้อมด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) นครราชสีมา เข้าหารือร่วมกับ นายสมเกียรติ วิริยะกุลนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และ นายสุคนธ์ เต็มยศยิ่ง ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง เรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาระยะยาว นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายก อบจ.นครราชสีมา กล่าวว่า "ปัญหาน้ำท่วม และ ปัญหาภัยแล้ง ถือเป็นปัญหาสำคัญที่พี่น้องประชาชนต้องเผชิญในทุก ๆ ปี ฉะนั้น อบจ. จึงพร้อมเป็นหน่วยงานหลักที่จะประสานพี่น้องท้องถิ่น ประสานจังหวัด และประสาน สส. จ.นครราชสีมา ไปยังรัฐบาล เพื่อร่วมกันหาแนวทางขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำ วันนี้ จังหวัดและท้องถิ่น เราจะเดินหน้าไปด้วยกัน อบจ. มีงบประมาณและพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อบูรณาการร่วมกันกับจังหวัดและกรมชลประทาน โดยมี สส. นำเสนอปัญหาเข้าสู่สภา ซึ่ง สส. แต่ละเขตพื้นที่ก็จะต้องกลับไปศึกษาข้อมูลของตนเอง จัดทำบัญชีน้ำ ว่าในแต่ละปี น้ำสำหรับการเกษตรใช้เท่าไร น้ำอุปโภค บริโภค ใช้เท่าไร และ ภาคอุตสาหกรรม ใช้น้ำเท่าไร จากนั้นนำข้อมูลที่ได้เข้าสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกัน สิ่งที่ตามมาคือ เกิดผลดีต่อพี่น้องประชาชน ที่จะพ้นจากปัญหาภัยแล้ง - น้ำท่วม อย่างเป็นรูปธรรม" "โดยเฉพาะโครงการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบน้ำทั้งจังหวัด จัดหาแห่งกักเก็บน้ำกระจายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ หากไม่สามารถสร้างอ่างเก็บน้ำใหม่ได้ เราก็เลือกวิธีพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำเดิมที่มีอยู่ ให้สามารถใช้การได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะปัจจุบัน แหล่งน้ำใหญ่ ๆ อย่าง เขื่อนลำตะคอง เหลือน้ำใช้ 16% , เขื่อนลำพระเพลิง 12% , เขื่อนลำมูลบน 3.7% และ เขื่อนลำแชะ 2.9 % ปีนี้อาจจะยังมีน้ำใช้ แต่ปีหน้าถ้าเราไม่ร่วมมือกันจัดการปัญหาอย่างถูกจุด ก็จะเกิดปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม อีกแน่นอน" นายก อบจ. กล่าวต่อไปอีกว่า "ในการประชุมครั้งนี้ ทำให้ทราบว่า กรมชลประทาน มีโครงการที่จะผันน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี มายัง เขื่อนลำตะคอง จ.นครราชสีมา ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมสำรวจ ออกแบบ ที่ต้องใช้ระยะเวลาร่วม 3 ปี หากโครงการนี้สำเร็จก็จะเป็นข่าวดีของพี่น้องชาวโคราชด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ต้องฝากเรื่องไปยัง สส.นครราชสีมา ผ่านไปยังสภาฯ ให้ช่วยกันผลักดันเรื่องงบประมาณ ลงมายัง จ.นครราชสีมา เพื่อให้ปัญหาได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด" “อบจ.นครราชสีมา พร้อมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานการบูรณาการกับทุกภาคส่วน เพื่อพัฒนาจังหวัดให้ก้าวไปข้างหน้าและเกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน สำหรับการประชุมหารือในครั้งนี้ เราได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการดำเนินการโครงการแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง - น้ำท่วม ว่า การแก้ไขปัญหาทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องหาทางออกร่วมกัน ฝากถึงจังหวัดผลักดันโครงการ “ดิน แลก น้ำ” ถ้าทำอย่างจริงจังจะเกิดผลที่ชัดเจน เพราะการบริหารจัดการน้ำเป็นเรื่องสำคัญ” #นายกหน่อย #อบจโคราช #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช #prkoratpao
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 732 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชี้เป้าเส้นทางเงิน รู้แน่ใครนอมินี-ฮั้ว : [NEWS UPDATE]

    นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เผยถึงการชี้แจงโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) แห่งใหม่ถล่ม ในฐานะอดีตผู้ว่า สตง. ปี 2557-2560 มีส่วนเลือกและกำหนดให้ใช้ที่ดินแปลงนี้ ตั้งใจหนีปัญหาน้ำท่วม การเดินทางไกลส่วนที่ปรากฏภาพถ่ายกับ นายบิงลิน วู และนายหลง เฉวียนวู นักธุรกิจชาวจีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างตึก เป็นขั้นตอนหลังมีผู้รับจ้างแล้ว ซึ่งผู้รับจ้างหลักคือ อิตาเลียนไทย ส่วนไชน่า เรลเวย์ เป็นผู้ร่วมค้า ดูไม่ออกเป็นใครมาในฐานะอะไร หรือสมอ้างมาถ่ายรูป ตนไม่ได้เกี่ยวข้อง หากไม่มีเหตุอันควรสงสัย อาจไม่เอะใจว่าคนพวกนี้มายืนข้างๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง มีประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ส่วนการตรวจสอบเรื่องนอมินี ขณะนั้นยังไม่มีระเบียบกำหนดว่าต้องตรวจสอบลึกถึงกิจการของนอมินี ซึ่งต้องพิสูจน์เส้นทางการเงิน เพราะตามระเบียบกำหนดว่า ผู้แข่งขันประมูลโครงการ มีการฮั้วงานในลักษณะสมยอม เอื้อกัน ถือหุ้นไขว้ไปมา เป็นบริษัทในเครือเดียวกันแล้วมาแข่ง ขณะที่เรื่องออกแบบยืนยันไม่เกี่ยวข้อง การออกแบบเกิดขึ้นปี 2561-2562 ทำสัญญาปี 2563-2564 ซึ่งพ้นจากตำแหน่ง 3-4 ปีแล้ว

    -ผู้ว่า สตง. ต้องพูดความจริง

    -วิศวกรทยอยให้ปากคำ

    -จ่ายเยียวยาไม่มีผลทางคดี

    -นัด"ทักษิณ"ไต่สวนติดคุกจริง?
    ชี้เป้าเส้นทางเงิน รู้แน่ใครนอมินี-ฮั้ว : [NEWS UPDATE] นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เผยถึงการชี้แจงโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) แห่งใหม่ถล่ม ในฐานะอดีตผู้ว่า สตง. ปี 2557-2560 มีส่วนเลือกและกำหนดให้ใช้ที่ดินแปลงนี้ ตั้งใจหนีปัญหาน้ำท่วม การเดินทางไกลส่วนที่ปรากฏภาพถ่ายกับ นายบิงลิน วู และนายหลง เฉวียนวู นักธุรกิจชาวจีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างตึก เป็นขั้นตอนหลังมีผู้รับจ้างแล้ว ซึ่งผู้รับจ้างหลักคือ อิตาเลียนไทย ส่วนไชน่า เรลเวย์ เป็นผู้ร่วมค้า ดูไม่ออกเป็นใครมาในฐานะอะไร หรือสมอ้างมาถ่ายรูป ตนไม่ได้เกี่ยวข้อง หากไม่มีเหตุอันควรสงสัย อาจไม่เอะใจว่าคนพวกนี้มายืนข้างๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง มีประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ส่วนการตรวจสอบเรื่องนอมินี ขณะนั้นยังไม่มีระเบียบกำหนดว่าต้องตรวจสอบลึกถึงกิจการของนอมินี ซึ่งต้องพิสูจน์เส้นทางการเงิน เพราะตามระเบียบกำหนดว่า ผู้แข่งขันประมูลโครงการ มีการฮั้วงานในลักษณะสมยอม เอื้อกัน ถือหุ้นไขว้ไปมา เป็นบริษัทในเครือเดียวกันแล้วมาแข่ง ขณะที่เรื่องออกแบบยืนยันไม่เกี่ยวข้อง การออกแบบเกิดขึ้นปี 2561-2562 ทำสัญญาปี 2563-2564 ซึ่งพ้นจากตำแหน่ง 3-4 ปีแล้ว -ผู้ว่า สตง. ต้องพูดความจริง -วิศวกรทยอยให้ปากคำ -จ่ายเยียวยาไม่มีผลทางคดี -นัด"ทักษิณ"ไต่สวนติดคุกจริง?
    Like
    Love
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1076 มุมมอง 18 0 รีวิว
  • ยอมรับหาที่ดินสร้างตึก สตง.ไม่เกี่ยวข้องการก่อสร้าง : [THE MESSAGE]

    นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เผยถึงการชี้แจงโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) แห่งใหม่ ถล่ม ในฐานะอดีตผู้ว่า สตง. ปี 2557-2560 มีส่วนเลือกและกำหนดให้ใช้ที่ดินแปลงนี้ ตั้งใจหนีปัญหาน้ำท่วม การเดินทางไกลส่วนที่ปรากฏภาพถ่ายร่วมกับ นายบิงลิน วู และนายหลง เฉวียนวู นักธุรกิจชาวจีนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างตึก เป็นขั้นตอนหลังจากมีผู้รับจ้างแล้ว ซึ่งผู้รับจ้างหลักคือ อิตาเลียนไทย ส่วนไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์เท็น เป็นผู้ร่วมค้า ดูไม่ออกเป็นใคร มาในฐานะอะไร หรือสมอ้างเข้ามาถ่ายรูป ตนไม่ได้เกี่ยวข้อง หากไม่มีเหตุอันควรสงสัย อาจไม่ได้เอะใจว่าคนพวกนี้จะมายืนข้างๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง มีประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ส่วนการตรวจสอบเรื่องนอมินี ขณะนั้นยังไม่มีระเบียบกำหนดว่าต้องตรวจสอบลึกถึงกิจการของนอมินี ซึ่งต้องพิสูจน์เส้นทางการเงิน เพราะตามระเบียบกำหนดว่า ผู้แข่งขันประมูลโครงการ มีการฮั้วงานในลักษณะสมยอม เอื้อกัน ถือหุ้นไขว้ไปมา เป็นบริษัทในเครือเดียวกันแล้วมาแข่ง ขณะที่เรื่องออกแบบยืนยันไม่เกี่ยวข้อง
    ยอมรับหาที่ดินสร้างตึก สตง.ไม่เกี่ยวข้องการก่อสร้าง : [THE MESSAGE] นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เผยถึงการชี้แจงโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) แห่งใหม่ ถล่ม ในฐานะอดีตผู้ว่า สตง. ปี 2557-2560 มีส่วนเลือกและกำหนดให้ใช้ที่ดินแปลงนี้ ตั้งใจหนีปัญหาน้ำท่วม การเดินทางไกลส่วนที่ปรากฏภาพถ่ายร่วมกับ นายบิงลิน วู และนายหลง เฉวียนวู นักธุรกิจชาวจีนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างตึก เป็นขั้นตอนหลังจากมีผู้รับจ้างแล้ว ซึ่งผู้รับจ้างหลักคือ อิตาเลียนไทย ส่วนไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์เท็น เป็นผู้ร่วมค้า ดูไม่ออกเป็นใคร มาในฐานะอะไร หรือสมอ้างเข้ามาถ่ายรูป ตนไม่ได้เกี่ยวข้อง หากไม่มีเหตุอันควรสงสัย อาจไม่ได้เอะใจว่าคนพวกนี้จะมายืนข้างๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง มีประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ส่วนการตรวจสอบเรื่องนอมินี ขณะนั้นยังไม่มีระเบียบกำหนดว่าต้องตรวจสอบลึกถึงกิจการของนอมินี ซึ่งต้องพิสูจน์เส้นทางการเงิน เพราะตามระเบียบกำหนดว่า ผู้แข่งขันประมูลโครงการ มีการฮั้วงานในลักษณะสมยอม เอื้อกัน ถือหุ้นไขว้ไปมา เป็นบริษัทในเครือเดียวกันแล้วมาแข่ง ขณะที่เรื่องออกแบบยืนยันไม่เกี่ยวข้อง
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1039 มุมมอง 24 0 รีวิว
  • 129 ปี สิ้น “เจ้าเหมพินธุไพจิตร” เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร ผู้ใฝ่ในเกษตรกรรม

    ย้อนไปเมื่อ 129 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 นับเป็นวันที่ราชวงศ์ทิพย์จักร ต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อ "เจ้าเหมพินธุไพจิตร" เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 ได้เสด็จถึงแก่พิราลัย ด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ รวมสิริชนมายุได้ 75 ปี แม้จะทรงครองนครลำพูนเพียง 2 ปี แต่พระราชกรณียกิจที่ทรงฝากไว้ ยังคงเป็นที่จดจำ โดยเฉพาะบทบาท ในการส่งเสริมการเกษตรกรรม และพัฒนานครลำพูน ให้เจริญรุ่งเรือง

    จาก "เจ้าน้อยคำหยาด" สู่ "เจ้าเหมพินธุไพจิตร"
    พระนามเดิมของ เจ้าเหมพินธุไพจิตร คือ "เจ้าน้อยคำหยาด" ประสูติในปี พ.ศ. 2364 ณ เมืองนครลำพูน พระองค์เป็นโอรสใน เจ้าไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ (เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 6) กับ แม่เจ้าคำจ๋าราชเทวี และเป็นพระนัดดาของ พระยาคำฟั่น (เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 1 และเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 3)

    🩷 ราชอนุชาและราชขนิษฐา ของพระองค์ ได้แก่
    เจ้าหญิงแสน ณ ลำพูน (ชายา "เจ้าหนานยศ ณ ลำพูน")
    เจ้าน้อยบุ ณ ลำพูน
    เจ้าน้อยหล้า ณ ลำพูน (พิราลัยแต่เยาว์วัย)

    🏛 เส้นทางสู่ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครลำพูน
    วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2405 ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง "เจ้าราชบุตร" เมืองนครลำพูน
    วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2418 ได้รับโปรดเกล้าฯ เลื่อนขึ้นเป็น "เจ้าอุปราช" เมืองนครลำพูน
    วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 ได้รับโปรดเกล้าฯ ขึ้นเป็น "เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8" ต่อจาก เจ้าดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ ผู้เป็นราชเชษฐา ต่างพระราชมารดา

    พระนามเต็มของพระองค์ เมื่อขึ้นครองนครลำพูน คือ
    "เจ้าเหมพินธุไพจิตร ศุภกิจเกียรติโศภน วิมลสัตยสวามิภักดิคุณ หริภุญไชยรัษฎารักษ ตทรรคเจดียบูชากร ราษฎรธุรธาดา เอกัจจโยนกาธิบดี"

    การเกษตรกรรม และระบบชลประทาน
    แม้จะครองนครลำพูนเพียง 2 ปี แต่เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงให้ความสำคัญ กับการพัฒนาเกษตรกรรม อย่างมาก พระองค์ทรงส่งเสริม ให้ราษฎรทำการเกษตร ในลักษณะที่มีการจัดการน้ำ อย่างเป็นระบบ เช่น
    สร้างเหมืองฝาย เพื่อทดน้ำเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก
    ขุดลอกเหมืองเก่า เพื่อให้น้ำไหลเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก ได้ดีขึ้น
    ปรับปรุงที่ดอน ให้สามารถใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกได้

    พระองค์มีพระราชดำริให้ราษฎร ปลูกข้าวเป็นพืชหลัก และเมื่อนาเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ก็ให้ปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น เช่น หอม กระเทียม และใบยา เพื่อเพิ่มรายได้

    บำรุงพระพุทธศาสนา และโครงสร้างพื้นฐาน
    ศาสนาและศิลปวัฒนธรรม
    เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด และส่งเสริมให้ราษฎร บำรุงพระพุทธศาสนา เช่น
    บูรณะวัดเก่าแก่ ให้มีสภาพมั่นคงแข็งแรง
    สร้างวิหาร กุฏิ และโบสถ์ ตามวัดสำคัญทั้งในเมือง และนอกเมืองลำพูน
    ชักชวนราษฎรปั้นอิฐ ก่อกำแพงวัด และขุดสระน้ำในวัด

    🛤 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
    พระองค์ยังทรงให้ความสำคัญ กับการพัฒนาเมืองลำพูน ให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น โดย
    สร้างสะพาน เพื่ออำนวยความสะดวก ในการเดินทาง
    ยกระดับถนนในหมู่บ้าน เพื่อให้ล้อเกวียนสัญจรได้สะดวก
    ขุดร่องระบายน้ำ เพื่อลดปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝน

    เสด็จสู่สวรรคาลัย และมรดกที่ฝากไว้
    วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 เจ้าเหมพินธุไพจิตรทรงประชวร ด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ และเสด็จสวรรคตด้วย สิริชนมายุ 75 ปี

    แม้รัชสมัยของพระองค์จะสั้นเพียง 2 ปี แต่พระราชกรณียกิจของพระองค์ ยังคงปรากฏ เป็นมรดกที่สำคัญ ของลำพูน ทั้งในด้านเกษตรกรรม การบำรุงพระพุทธศาสนา และการพัฒนาเมือง

    รดกของเจ้าเหมพินธุไพจิตร
    ส่งเสริมการเกษตร และระบบชลประทาน
    ฟื้นฟู และบูรณะพระพุทธศาสนา
    พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ของนครลำพูน
    เป็นต้นแบบของผู้นำ ที่ใส่ใจประชาชน

    เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นบุคคลสำคัญ ที่ส่งผลต่อเมืองลำพูน ทั้งในด้านการเกษตร เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม 🏞

    คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่เท่าไหร่?
    พระองค์เป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร

    พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์ คืออะไร?
    การส่งเสริมการเกษตร บูรณะพระพุทธศาสนา และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

    เหตุใดพระองค์จึงเสด็จสวรรคต?
    ทรงประชวรด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439

    พระองค์ครองนครลำพูนกี่ปี?
    ครองนครลำพูนเพียง 2 ปี (พ.ศ. 2437 - พ.ศ. 2439)

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 052147 ก.พ. 2568

    #เจ้าเหมพินธุไพจิตร #นครลำพูน #ประวัติศาสตร์ไทย #ราชวงศ์ทิพย์จักร #เกษตรกรรม #วัฒนธรรมล้านนา #ผู้ปกครองล้านนา #เมืองลำพูน #เล่าเรื่องเมืองลำพูน #ล้านนาประวัติศาสตร์
    129 ปี สิ้น “เจ้าเหมพินธุไพจิตร” เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร ผู้ใฝ่ในเกษตรกรรม 📅 ย้อนไปเมื่อ 129 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 นับเป็นวันที่ราชวงศ์ทิพย์จักร ต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อ "เจ้าเหมพินธุไพจิตร" เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 ได้เสด็จถึงแก่พิราลัย ด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ รวมสิริชนมายุได้ 75 ปี แม้จะทรงครองนครลำพูนเพียง 2 ปี แต่พระราชกรณียกิจที่ทรงฝากไว้ ยังคงเป็นที่จดจำ โดยเฉพาะบทบาท ในการส่งเสริมการเกษตรกรรม และพัฒนานครลำพูน ให้เจริญรุ่งเรือง ✨ 🛕 จาก "เจ้าน้อยคำหยาด" สู่ "เจ้าเหมพินธุไพจิตร" 👑 พระนามเดิมของ เจ้าเหมพินธุไพจิตร คือ "เจ้าน้อยคำหยาด" ประสูติในปี พ.ศ. 2364 ณ เมืองนครลำพูน พระองค์เป็นโอรสใน เจ้าไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ (เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 6) กับ แม่เจ้าคำจ๋าราชเทวี และเป็นพระนัดดาของ พระยาคำฟั่น (เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 1 และเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 3) 🩷 ราชอนุชาและราชขนิษฐา ของพระองค์ ได้แก่ เจ้าหญิงแสน ณ ลำพูน (ชายา "เจ้าหนานยศ ณ ลำพูน") เจ้าน้อยบุ ณ ลำพูน เจ้าน้อยหล้า ณ ลำพูน (พิราลัยแต่เยาว์วัย) 🏛 เส้นทางสู่ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครลำพูน 📜 🔹 วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2405 ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง "เจ้าราชบุตร" เมืองนครลำพูน 🔹 วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2418 ได้รับโปรดเกล้าฯ เลื่อนขึ้นเป็น "เจ้าอุปราช" เมืองนครลำพูน 🔹 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 ได้รับโปรดเกล้าฯ ขึ้นเป็น "เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8" ต่อจาก เจ้าดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ ผู้เป็นราชเชษฐา ต่างพระราชมารดา พระนามเต็มของพระองค์ เมื่อขึ้นครองนครลำพูน คือ 👉 "เจ้าเหมพินธุไพจิตร ศุภกิจเกียรติโศภน วิมลสัตยสวามิภักดิคุณ หริภุญไชยรัษฎารักษ ตทรรคเจดียบูชากร ราษฎรธุรธาดา เอกัจจโยนกาธิบดี" 🚜 การเกษตรกรรม และระบบชลประทาน 🌾 แม้จะครองนครลำพูนเพียง 2 ปี แต่เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงให้ความสำคัญ กับการพัฒนาเกษตรกรรม อย่างมาก พระองค์ทรงส่งเสริม ให้ราษฎรทำการเกษตร ในลักษณะที่มีการจัดการน้ำ อย่างเป็นระบบ เช่น ✅ สร้างเหมืองฝาย เพื่อทดน้ำเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก ✅ ขุดลอกเหมืองเก่า เพื่อให้น้ำไหลเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก ได้ดีขึ้น ✅ ปรับปรุงที่ดอน ให้สามารถใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกได้ 💡 พระองค์มีพระราชดำริให้ราษฎร ปลูกข้าวเป็นพืชหลัก และเมื่อนาเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ก็ให้ปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น เช่น หอม กระเทียม และใบยา เพื่อเพิ่มรายได้ 🛕 บำรุงพระพุทธศาสนา และโครงสร้างพื้นฐาน 🙏 ศาสนาและศิลปวัฒนธรรม เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด และส่งเสริมให้ราษฎร บำรุงพระพุทธศาสนา เช่น ✔️ บูรณะวัดเก่าแก่ ให้มีสภาพมั่นคงแข็งแรง ✔️ สร้างวิหาร กุฏิ และโบสถ์ ตามวัดสำคัญทั้งในเมือง และนอกเมืองลำพูน ✔️ ชักชวนราษฎรปั้นอิฐ ก่อกำแพงวัด และขุดสระน้ำในวัด 🛤 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พระองค์ยังทรงให้ความสำคัญ กับการพัฒนาเมืองลำพูน ให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น โดย 🚧 สร้างสะพาน เพื่ออำนวยความสะดวก ในการเดินทาง 🚧 ยกระดับถนนในหมู่บ้าน เพื่อให้ล้อเกวียนสัญจรได้สะดวก 🚧 ขุดร่องระบายน้ำ เพื่อลดปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝน ⚰️ เสด็จสู่สวรรคาลัย และมรดกที่ฝากไว้ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 เจ้าเหมพินธุไพจิตรทรงประชวร ด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ และเสด็จสวรรคตด้วย สิริชนมายุ 75 ปี แม้รัชสมัยของพระองค์จะสั้นเพียง 2 ปี แต่พระราชกรณียกิจของพระองค์ ยังคงปรากฏ เป็นมรดกที่สำคัญ ของลำพูน ทั้งในด้านเกษตรกรรม การบำรุงพระพุทธศาสนา และการพัฒนาเมือง 🌟 รดกของเจ้าเหมพินธุไพจิตร ✅ ส่งเสริมการเกษตร และระบบชลประทาน ✅ ฟื้นฟู และบูรณะพระพุทธศาสนา ✅ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ของนครลำพูน ✅ เป็นต้นแบบของผู้นำ ที่ใส่ใจประชาชน เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นบุคคลสำคัญ ที่ส่งผลต่อเมืองลำพูน ทั้งในด้านการเกษตร เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม 🏞 📌 คำถามที่พบบ่อย (FAQs) ❓ เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่เท่าไหร่? ✅ พระองค์เป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร ❓ พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์ คืออะไร? ✅ การส่งเสริมการเกษตร บูรณะพระพุทธศาสนา และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ❓ เหตุใดพระองค์จึงเสด็จสวรรคต? ✅ ทรงประชวรด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 ❓ พระองค์ครองนครลำพูนกี่ปี? ✅ ครองนครลำพูนเพียง 2 ปี (พ.ศ. 2437 - พ.ศ. 2439) ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 052147 ก.พ. 2568 🔖 #เจ้าเหมพินธุไพจิตร #นครลำพูน #ประวัติศาสตร์ไทย #ราชวงศ์ทิพย์จักร #เกษตรกรรม #วัฒนธรรมล้านนา #ผู้ปกครองล้านนา #เมืองลำพูน #เล่าเรื่องเมืองลำพูน #ล้านนาประวัติศาสตร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1546 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาคใต้น้ำท่วม นายกฯไปเหนือ ขอโปรดเข้าใจ
    .
    สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ในภาพรวมถือว่ายังคงน่าเป็นห่วงพอสมควร โดนายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความกดอากาศสูงกำลังปานกลางถึงค่อนข้างแรงระลอกใหม่จากประเทศจีน ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ ทําให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากระหว่างวันที่ 22 พ.ย. - 1 ธันวาคม 67 ปัจจุบันมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ 1. นครศรีธรรมราช 2.พัทลุง 3.สตูล 4.สงขลา 5.ปัตตานี 6.ยะลา 7.นราธิวาส รวม 78 อำเภอ 508 ตำบล 3,387 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 617,386 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 12 ราย
    .
    ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงเฉพาะประชาชนเท่านั้น เพราะแม้แต่ปศุสัตว์ที่ประชาชนเลี้ยงไว้เพื่อทำการเกษตรก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รายงานว่า มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย 9 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา สตูล และตรัง จำนวน 71 อำเภอ 425 ตำบล 2,235 หมู่บ้าน มีเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ 117,400 ราย สัตว์ในพื้นที่น้ำท่วม 5,753,340 ตัว แบ่งเป็น โค 215,925 ตัว กระบือ 8,453 ตัว สุกร 75,164 ตัว แพะ/แกะ 135,775 ตัว และสัตว์ปีก 5,318,023 ตัว
    .
    ขณะที่ อีกด้านมีเสียงวิจารณ์ต่อท่าทีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการเอาใจใส่ต่อการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ เนื่องจากระหว่างประชาชนทางตอนใต้ของประเทศกำลังรอคอยความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่ปรากฎว่านายกฯยังคงความสำคัญกับการตรวจราชการในพื้นที่ตอนเหนือของประเทศไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พรรคเพื่อไทยมีฐานเสียง
    .
    ในเรื่องนี้ นายกฯ ชี้แจงว่า ตั้งแต่เกิดเหตุได้ส่งรองนายกฯและรัฐมนตรี ลงพื้นที่ และจากการลงพื้นที่เชียงรายวันนี้ได้พูดคุยกับธนาคารต่างๆ ถึงมาตรการช่วยเหลือภายหลังอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และจะนำมาตรการดังกล่าวไปใช้ช่วยเหลือในพื้นที่จังหวัดภาคใต้
    .
    “โอ๊ย คำว่าละเลยภาคใต้ สามีเป็นคนใต้ ครอบครัวสามีเป็นคนใต้ ถ้าละเลยคนใต้ ไม่รักคนใต้ แต่งงานคนใต้ไม่ได้ และวันที่เกิดเรื่อง แจกจ่ายงานประสานทั้งหมด ตั้งแต่กลางคืนไลน์คุยกัน โทรคุยกัน ทำทุกอย่าง แต่การมาการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) เราวางแผนกันเป็นเดือน เพื่อมาฟื้นฟูพื้นที่ภาคเหนือ ให้รู้ว่าเราพร้อมกลับไปเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เป็นการฟื้นฟูพื้นที่ ซึ่งจำเป็นต้องมาเหมือนกัน" นายกฯ อธิบาย
    .............
    Sondhi X
    ภาคใต้น้ำท่วม นายกฯไปเหนือ ขอโปรดเข้าใจ . สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ในภาพรวมถือว่ายังคงน่าเป็นห่วงพอสมควร โดนายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความกดอากาศสูงกำลังปานกลางถึงค่อนข้างแรงระลอกใหม่จากประเทศจีน ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ ทําให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากระหว่างวันที่ 22 พ.ย. - 1 ธันวาคม 67 ปัจจุบันมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ 1. นครศรีธรรมราช 2.พัทลุง 3.สตูล 4.สงขลา 5.ปัตตานี 6.ยะลา 7.นราธิวาส รวม 78 อำเภอ 508 ตำบล 3,387 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 617,386 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 12 ราย . ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงเฉพาะประชาชนเท่านั้น เพราะแม้แต่ปศุสัตว์ที่ประชาชนเลี้ยงไว้เพื่อทำการเกษตรก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รายงานว่า มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย 9 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา สตูล และตรัง จำนวน 71 อำเภอ 425 ตำบล 2,235 หมู่บ้าน มีเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ 117,400 ราย สัตว์ในพื้นที่น้ำท่วม 5,753,340 ตัว แบ่งเป็น โค 215,925 ตัว กระบือ 8,453 ตัว สุกร 75,164 ตัว แพะ/แกะ 135,775 ตัว และสัตว์ปีก 5,318,023 ตัว . ขณะที่ อีกด้านมีเสียงวิจารณ์ต่อท่าทีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการเอาใจใส่ต่อการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ เนื่องจากระหว่างประชาชนทางตอนใต้ของประเทศกำลังรอคอยความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่ปรากฎว่านายกฯยังคงความสำคัญกับการตรวจราชการในพื้นที่ตอนเหนือของประเทศไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พรรคเพื่อไทยมีฐานเสียง . ในเรื่องนี้ นายกฯ ชี้แจงว่า ตั้งแต่เกิดเหตุได้ส่งรองนายกฯและรัฐมนตรี ลงพื้นที่ และจากการลงพื้นที่เชียงรายวันนี้ได้พูดคุยกับธนาคารต่างๆ ถึงมาตรการช่วยเหลือภายหลังอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และจะนำมาตรการดังกล่าวไปใช้ช่วยเหลือในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ . “โอ๊ย คำว่าละเลยภาคใต้ สามีเป็นคนใต้ ครอบครัวสามีเป็นคนใต้ ถ้าละเลยคนใต้ ไม่รักคนใต้ แต่งงานคนใต้ไม่ได้ และวันที่เกิดเรื่อง แจกจ่ายงานประสานทั้งหมด ตั้งแต่กลางคืนไลน์คุยกัน โทรคุยกัน ทำทุกอย่าง แต่การมาการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) เราวางแผนกันเป็นเดือน เพื่อมาฟื้นฟูพื้นที่ภาคเหนือ ให้รู้ว่าเราพร้อมกลับไปเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เป็นการฟื้นฟูพื้นที่ ซึ่งจำเป็นต้องมาเหมือนกัน" นายกฯ อธิบาย ............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Haha
    Angry
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2148 มุมมอง 0 รีวิว
  • สกัดกั้นอาชญากรรม สองสัญชาติไทย-มาเลย์ฯ

    การก่อเหตุอาชญากรรมในพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ทั้งทางการไทยจับกุม 6 ผู้ต้องหาชาวมาเลเซียพร้อมยาบ้า 6,000 เม็ด หรือทางการมาเลเซียจับกุมและสกัดกั้นน้ำตาลทราย 13,000 กิโลกรัม น้ำมันพืช 300 กล่อง ลักลอบขนไปยังประเทศไทย ทำให้ทางการไทยและมาเลเซียต่างหาทางป้องกันอาชญากรรมเหล่านี้

    เริ่มจากปัญหาการลักลอบข้ามแดนไทย-มาเลเซีย ผ่านแม่น้ำโกลก รัฐบาลท้องถิ่นรัฐกลันตันประกาศว่า จะเสนอรัฐบาลกลางมาเลเซีย ก่อสร้างกำแพงยาวประมาณ 100 กิโลเมตร เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีและปัญหาน้ำท่วม

    นายโมฮัมเหม็ด ฟาดซิล ฮัสซัน รองมุขมนตรีรัฐกลันตัน กล่าวว่า รัฐบาลท้องถิ่นจะให้ความร่วมมือรัฐบาลกลางหารือเรื่องนี้ เพราะพรมแดนระหว่างรัฐกลันตันกับไทยเป็นพรมแดนของประเทศ เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลกลาง การสร้างกำแพงนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาความปลอดภัยแล้ว ยังเป็นการพัฒนาเมืองชายแดน เช่น รันเตาปันจัง และเปงกาลันกุบอร์ด้วย

    ด้าน ตันศรี ราซารุดดิน บิน ฮุสเซน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย เรียกร้องให้ชาวมาเลเซียที่วางแผนเดินทางไปยังสุไหงโก-ลก ประเทศไทย ให้ใช้จุดเข้า-ออกที่ถูกกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงผลทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น แม้การที่ชาวมาเลเซียใช้เส้นทางที่ผิดกฎหมายเป็นเรื่องปกติ แต่เป็นการเปิดช่องให้เกิดการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีและการก่ออาชญากรรมข้ามแดน

    นอกจากนี้ ยังพบปัญหาที่ผู้ก่อเหตุอาชญากรรมข้ามพรมแดนไทย-มาเลเซียอาจมีบัตรประจำตัวประชาชน 2 ใบ ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนไทย กับบัตร MyKad ของมาเลเซีย หรือแม้กระทั่งการถือสองสัญชาติ เมื่อเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ไล่ล่า ผู้ต้องสงสัยมักจะหลบหนีไปยังมาเลเซียหรือไทย

    ทำให้นายไซฟุดดิน นาซูเตียน อิสมาอิล รมว.มหาดไทยมาเลเซีย กล่าวว่า ได้ขอรายชื่อจากทางการไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อตรวจสอบกับฐานข้อมูลกรมทะเบียนราษฎร์ (NRD) หลังจากตำรวจไทยระบุว่าอาชญากรข้ามแดนอาจมีบัตรประจำตัวประชาชนหรือการถือสองสัญชาติ ยืนยันว่ามาเลเซียไม่รับรองบุคคลที่มีสองสัญชาติ

    ที่ผ่านมามีคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-มาเลเซีย แลกเปลี่ยนข้อมูลบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุอาชญากรรม อำนวยความสะดวกแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ต้องสงสัยทั้งสองประเทศ และยังคงเปิดกว้างรับข้อมูล หากทางการไทยส่งรายชื่อมา จะตรวจสอบกับฐานข้อมูล NRD เพื่อยืนยันสถานะบุคคล

    นอกจากนี้ ในประเทศไทยได้แสดงใบหน้าบุคคลที่ต้องการตัวเพื่อให้ประชาชนแจ้งเบาะแสจับกุม ดังนั้นตำรวจมาเลเซียและไทยจึงให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการจัดการผู้ต้องสงสัยเป็นที่ต้องการตัวของทั้งสองประเทศ

    #Newskit
    สกัดกั้นอาชญากรรม สองสัญชาติไทย-มาเลย์ฯ การก่อเหตุอาชญากรรมในพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ทั้งทางการไทยจับกุม 6 ผู้ต้องหาชาวมาเลเซียพร้อมยาบ้า 6,000 เม็ด หรือทางการมาเลเซียจับกุมและสกัดกั้นน้ำตาลทราย 13,000 กิโลกรัม น้ำมันพืช 300 กล่อง ลักลอบขนไปยังประเทศไทย ทำให้ทางการไทยและมาเลเซียต่างหาทางป้องกันอาชญากรรมเหล่านี้ เริ่มจากปัญหาการลักลอบข้ามแดนไทย-มาเลเซีย ผ่านแม่น้ำโกลก รัฐบาลท้องถิ่นรัฐกลันตันประกาศว่า จะเสนอรัฐบาลกลางมาเลเซีย ก่อสร้างกำแพงยาวประมาณ 100 กิโลเมตร เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีและปัญหาน้ำท่วม นายโมฮัมเหม็ด ฟาดซิล ฮัสซัน รองมุขมนตรีรัฐกลันตัน กล่าวว่า รัฐบาลท้องถิ่นจะให้ความร่วมมือรัฐบาลกลางหารือเรื่องนี้ เพราะพรมแดนระหว่างรัฐกลันตันกับไทยเป็นพรมแดนของประเทศ เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลกลาง การสร้างกำแพงนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาความปลอดภัยแล้ว ยังเป็นการพัฒนาเมืองชายแดน เช่น รันเตาปันจัง และเปงกาลันกุบอร์ด้วย ด้าน ตันศรี ราซารุดดิน บิน ฮุสเซน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย เรียกร้องให้ชาวมาเลเซียที่วางแผนเดินทางไปยังสุไหงโก-ลก ประเทศไทย ให้ใช้จุดเข้า-ออกที่ถูกกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงผลทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น แม้การที่ชาวมาเลเซียใช้เส้นทางที่ผิดกฎหมายเป็นเรื่องปกติ แต่เป็นการเปิดช่องให้เกิดการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีและการก่ออาชญากรรมข้ามแดน นอกจากนี้ ยังพบปัญหาที่ผู้ก่อเหตุอาชญากรรมข้ามพรมแดนไทย-มาเลเซียอาจมีบัตรประจำตัวประชาชน 2 ใบ ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนไทย กับบัตร MyKad ของมาเลเซีย หรือแม้กระทั่งการถือสองสัญชาติ เมื่อเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ไล่ล่า ผู้ต้องสงสัยมักจะหลบหนีไปยังมาเลเซียหรือไทย ทำให้นายไซฟุดดิน นาซูเตียน อิสมาอิล รมว.มหาดไทยมาเลเซีย กล่าวว่า ได้ขอรายชื่อจากทางการไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อตรวจสอบกับฐานข้อมูลกรมทะเบียนราษฎร์ (NRD) หลังจากตำรวจไทยระบุว่าอาชญากรข้ามแดนอาจมีบัตรประจำตัวประชาชนหรือการถือสองสัญชาติ ยืนยันว่ามาเลเซียไม่รับรองบุคคลที่มีสองสัญชาติ ที่ผ่านมามีคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-มาเลเซีย แลกเปลี่ยนข้อมูลบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุอาชญากรรม อำนวยความสะดวกแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ต้องสงสัยทั้งสองประเทศ และยังคงเปิดกว้างรับข้อมูล หากทางการไทยส่งรายชื่อมา จะตรวจสอบกับฐานข้อมูล NRD เพื่อยืนยันสถานะบุคคล นอกจากนี้ ในประเทศไทยได้แสดงใบหน้าบุคคลที่ต้องการตัวเพื่อให้ประชาชนแจ้งเบาะแสจับกุม ดังนั้นตำรวจมาเลเซียและไทยจึงให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการจัดการผู้ต้องสงสัยเป็นที่ต้องการตัวของทั้งสองประเทศ #Newskit
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 914 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ปราโมทย์ ไม้กลัด' ดึงสติคนกทม.-ปริมณฑล ไม่ต้องกังวลปัญหาน้ำท่วม***
    "เดี๋ยวนี้ร่องมรสุมร่นลงไปสู่ภาคใต้ตอนบนแล้ว จึงแน่ใจว่า ภาคเหนือ ภาคกลาง น่าจะไม่มีน้ำจากฝนตกลงมาเพิ่มให้ต้องกังวลเหมือนแต่ก่อน..เราจึงหมดห่วงเรื่องน้ำจากฝนตกมากๆได้
    เรื่องน้ำทะเลหนุนสูง กทม. นนทบุรี ปทุมธานี นั้นบ้านเรือนด้านนอกคันป้องกันน้ำท่วม จะได้รับผลกระทบพอควรตอนน้ำทะเลหนุนสูงวันละไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง จากนั้นน้ำก็ไหลลงสู่อ่าวไทยตามปกติ
    ดังนั้น ปัจจัยเรื่องน้ำทะเลหนุนนี้ ชาว กทม.และปริมณฑลซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ริมตลิ่งย่อมมีประสบการณ์จัดการเรื่องนี้ได้แน่นอน
    ท้ายที่สุดนี้ หวังว่าข้อมูล และเรื่องราว ที่ผมนำเสนอทั้งหมด จะเป็นประโยชน์สร้างความตระหนักรู้กับเหตุการณ์ที่ผู้คนทั้งหลายให้ความสนใจและเกาะติดอยู่ ณ ช่วงเวลานี้...
    หวังอย่างยิ่งว่าทุกท่านคงจะคลายความวิตกกังวลได้ไม่มากก็น้อย"

    https://www.thaipost.net/x-cite-news/670576/
    'ปราโมทย์ ไม้กลัด' ดึงสติคนกทม.-ปริมณฑล ไม่ต้องกังวลปัญหาน้ำท่วม*** "เดี๋ยวนี้ร่องมรสุมร่นลงไปสู่ภาคใต้ตอนบนแล้ว จึงแน่ใจว่า ภาคเหนือ ภาคกลาง น่าจะไม่มีน้ำจากฝนตกลงมาเพิ่มให้ต้องกังวลเหมือนแต่ก่อน..เราจึงหมดห่วงเรื่องน้ำจากฝนตกมากๆได้ เรื่องน้ำทะเลหนุนสูง กทม. นนทบุรี ปทุมธานี นั้นบ้านเรือนด้านนอกคันป้องกันน้ำท่วม จะได้รับผลกระทบพอควรตอนน้ำทะเลหนุนสูงวันละไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง จากนั้นน้ำก็ไหลลงสู่อ่าวไทยตามปกติ ดังนั้น ปัจจัยเรื่องน้ำทะเลหนุนนี้ ชาว กทม.และปริมณฑลซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ริมตลิ่งย่อมมีประสบการณ์จัดการเรื่องนี้ได้แน่นอน ท้ายที่สุดนี้ หวังว่าข้อมูล และเรื่องราว ที่ผมนำเสนอทั้งหมด จะเป็นประโยชน์สร้างความตระหนักรู้กับเหตุการณ์ที่ผู้คนทั้งหลายให้ความสนใจและเกาะติดอยู่ ณ ช่วงเวลานี้... หวังอย่างยิ่งว่าทุกท่านคงจะคลายความวิตกกังวลได้ไม่มากก็น้อย" https://www.thaipost.net/x-cite-news/670576/
    WWW.THAIPOST.NET
    'ปราโมทย์ ไม้กลัด' ดึงสติคนกทม.-ปริมณฑล ไม่ต้องกังวลปัญหาน้ำท่วม
    อาจารย์ปราโมทย์ ไม้กลัด อดีตอธิบดีกรมชลประทาน และอดีตสมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยว่า ติดตามสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา มาตลอดจนถึงวันนี้ 8 ตุลาคม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ ปชป.พรรคแมลงสาบ ผู้ครองโลกมายาวนานกว่า 250 ล้านปี ยังไม่ทน ขอแก้ปัญหาน้ำท่วมระยะยาว
    #7ดอกจิก
    ♣ ปชป.พรรคแมลงสาบ ผู้ครองโลกมายาวนานกว่า 250 ล้านปี ยังไม่ทน ขอแก้ปัญหาน้ำท่วมระยะยาว #7ดอกจิก
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 547 มุมมอง 0 รีวิว
  • กรณีศึกษาโรงแรมแชงกรีล่าเชียงใหม่รอดวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ตลอด 17 ปีเพราะมีวิสัยทัศน์และสติปัญญา บริหารระบบจัดการระบายน้ำและติดตั้ง Flood Gate ป้องกันน้ำท่วมที่ภาครัฐต้องมาเรียนรู้นำไปใช้แก้วิกฤติให้ประชาชน

    ท่ามกลางวิกฤติน้ำท่วมหนักรอบร้อยปีของจังหวัดเชียงใหม่ ทีมวลน้ำปริมาณมหาศาลไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจ โดยที่สถานีP1 แก้วนวรัฐ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ มีระดับน้ำสูงสุดเป็นประวัติศาตร์วัดได้ที่ 5.30 เมตรเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2567 ที่ผ่านมานั้น แต่ปรากฏว่ามีโรงแรม 5 ดาว ชื่อว่า โรงแรมแชงกรีลา เชียงใหม่ ซึ่งตั้งอยู่บน ถ.ช้างคลาน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ กลับรอด ไม่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมแต่อย่างใด และเป็นพื้นที่แห้งเพียงหนึ่งเดียวบนถนนช้างคลานที่เต็มไปด้วยมวลน้ำระดับสูงเกือบ 1 เมตร

    ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด และประชาสัมพันธ์ โรงแรมแชงกรีลา เชียงใหม่ กล่าวยอมรับว่า ตั้งแต่ที่โรงแรมเปิดกิจการเมื่อปี 2550 ได้มีการวางระบบในการป้องกันน้ำท่วม เนื่องจากถนนช้างคลานเป็นพื้นที่ที่เคยประสบกับปัญหาน้ำท่วม โดยได้นำเอานวัตกรรมระบบป้องกันน้ำท่วม Flood Gate ซึ่งเป็นประตูกั้นน้ำที่ทำจากเหล็กพ่นกันสนิมอีพ็อกซี่ ส่วนตัวเสาเป็นอลูมิเนียม โดยมีการติดตั้งทั้งหมด 3 จุด ด้วยกันคือ
    จุดแรก คือบริเวณประตูด้านหน้าทางเข้าโรงแรม
    จุดที่ 2 ประตูทางลงบริเวณลานจอดรถ
    จุดที่ 3 บริเวณลานจอดรถชั้นล่าง

    พร้อมทั้งมีการวางระบบท่อน้ำโดยรอบโรงแรม เพื่อระบายน้ำที่เข้ามาให้ลงไปสู่บ่อเก็บน้ำของโรงแรม อีกทั้งยังมีเครื่องสูบน้ำ จำนวนสามเครื่องในการสูบน้ำออกจากบ่อเก็บน้ำ รวมถึงการใช้ประตูปิดเปิดน้ำเพื่อระบายน้ำออกจากโรงแรม ในขณะเดียวกันหากเกิดกรณีน้ำท่วม ประตูนี้จะถูกปิดเพื่อกันน้ำด้านนอกเข้าสู่บริเวณโรงแรม ทำให้ตลอดเวลากว่า 17 ปี โรงแรมไม่เคยประสบปัญหาน้ำท่วมแต่อย่างใด

    นอกจากนี้ ทางโรงแรมยังให้ความสำคัญในการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุในทุกสถานการณ์ เช่น น้ำท่วม, ไฟไหม้ และการประท้วง เป็นประจำทุก 1- 2 เดือน และมีทีมดูแลความปลอดภัยที่จะทำหน้าที่ในการประเมินสถานการณ์ อย่างเช่น กรณีที่เกิดอุทกภัย ทีมจะมีการประเมินสถานการณ์น้ำทุกชั่วโมง และเกาะติดการแจ้งเตือนจากภาครัฐอย่างใกล้ชิด ซึ่งข้อมูลต่างๆ จะมีการส่งในไลน์กลุ่มที่ตั้งขึ้นมา และพร้อมที่จะทำการติดตั้ง Flood Gate ได้ภายใน 1 ชั่วโมง 30 นาที ก่อนที่มวลน้ำจะทะลักเข้ามาในย่านถนนช้างคลาน

    "ตั้งแต่เปิดบริการ จังหวัดเชียงใหม่ประสบกับอุทกภัยเมื่อปี 2554, 2565, 2566 และ 2567 และน้ำทะลักเข้ามาในพื้นที่ถนนช้างคลาน แต่ไม่เคยเกิดเหตุน้ำท่วมเข้ามาในโรงแรมแต่อย่างใด และในระหว่างที่ภาพรวมของจังหวัดเชียงใหม่ประสบกับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมนั้น ธุรกิจของเรายังคงเปิดให้บริการตามปกติ จำนวน 277 ห้อง และลูกค้าก็ใช้บริการภายในโรงแรมกันตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นการว่ายน้ำ ใช้บริการสปา และรับประทานอาหาร ซึ่งลูกค้าที่มาใช้บริการเข้าพักต่างมีความพอใจในการบริหารจัดการการป้องกันน้ำท่วมของโรงแรม และต้องขอขอบคุณที่มีการชื่นชมการรับมือกับภัยพิบัติของโรงแรม ซึ่งก็พร้อมที่จะให้หน่วยงานที่สนใจเข้ามาศึกษาดูระบบของโรงแรมได้"

    ที่มา : ข่าวคมชัดลึก

    #Thaitimes
    กรณีศึกษาโรงแรมแชงกรีล่าเชียงใหม่รอดวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ตลอด 17 ปีเพราะมีวิสัยทัศน์และสติปัญญา บริหารระบบจัดการระบายน้ำและติดตั้ง Flood Gate ป้องกันน้ำท่วมที่ภาครัฐต้องมาเรียนรู้นำไปใช้แก้วิกฤติให้ประชาชน ท่ามกลางวิกฤติน้ำท่วมหนักรอบร้อยปีของจังหวัดเชียงใหม่ ทีมวลน้ำปริมาณมหาศาลไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจ โดยที่สถานีP1 แก้วนวรัฐ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ มีระดับน้ำสูงสุดเป็นประวัติศาตร์วัดได้ที่ 5.30 เมตรเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2567 ที่ผ่านมานั้น แต่ปรากฏว่ามีโรงแรม 5 ดาว ชื่อว่า โรงแรมแชงกรีลา เชียงใหม่ ซึ่งตั้งอยู่บน ถ.ช้างคลาน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ กลับรอด ไม่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมแต่อย่างใด และเป็นพื้นที่แห้งเพียงหนึ่งเดียวบนถนนช้างคลานที่เต็มไปด้วยมวลน้ำระดับสูงเกือบ 1 เมตร ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด และประชาสัมพันธ์ โรงแรมแชงกรีลา เชียงใหม่ กล่าวยอมรับว่า ตั้งแต่ที่โรงแรมเปิดกิจการเมื่อปี 2550 ได้มีการวางระบบในการป้องกันน้ำท่วม เนื่องจากถนนช้างคลานเป็นพื้นที่ที่เคยประสบกับปัญหาน้ำท่วม โดยได้นำเอานวัตกรรมระบบป้องกันน้ำท่วม Flood Gate ซึ่งเป็นประตูกั้นน้ำที่ทำจากเหล็กพ่นกันสนิมอีพ็อกซี่ ส่วนตัวเสาเป็นอลูมิเนียม โดยมีการติดตั้งทั้งหมด 3 จุด ด้วยกันคือ จุดแรก คือบริเวณประตูด้านหน้าทางเข้าโรงแรม จุดที่ 2 ประตูทางลงบริเวณลานจอดรถ จุดที่ 3 บริเวณลานจอดรถชั้นล่าง พร้อมทั้งมีการวางระบบท่อน้ำโดยรอบโรงแรม เพื่อระบายน้ำที่เข้ามาให้ลงไปสู่บ่อเก็บน้ำของโรงแรม อีกทั้งยังมีเครื่องสูบน้ำ จำนวนสามเครื่องในการสูบน้ำออกจากบ่อเก็บน้ำ รวมถึงการใช้ประตูปิดเปิดน้ำเพื่อระบายน้ำออกจากโรงแรม ในขณะเดียวกันหากเกิดกรณีน้ำท่วม ประตูนี้จะถูกปิดเพื่อกันน้ำด้านนอกเข้าสู่บริเวณโรงแรม ทำให้ตลอดเวลากว่า 17 ปี โรงแรมไม่เคยประสบปัญหาน้ำท่วมแต่อย่างใด นอกจากนี้ ทางโรงแรมยังให้ความสำคัญในการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุในทุกสถานการณ์ เช่น น้ำท่วม, ไฟไหม้ และการประท้วง เป็นประจำทุก 1- 2 เดือน และมีทีมดูแลความปลอดภัยที่จะทำหน้าที่ในการประเมินสถานการณ์ อย่างเช่น กรณีที่เกิดอุทกภัย ทีมจะมีการประเมินสถานการณ์น้ำทุกชั่วโมง และเกาะติดการแจ้งเตือนจากภาครัฐอย่างใกล้ชิด ซึ่งข้อมูลต่างๆ จะมีการส่งในไลน์กลุ่มที่ตั้งขึ้นมา และพร้อมที่จะทำการติดตั้ง Flood Gate ได้ภายใน 1 ชั่วโมง 30 นาที ก่อนที่มวลน้ำจะทะลักเข้ามาในย่านถนนช้างคลาน "ตั้งแต่เปิดบริการ จังหวัดเชียงใหม่ประสบกับอุทกภัยเมื่อปี 2554, 2565, 2566 และ 2567 และน้ำทะลักเข้ามาในพื้นที่ถนนช้างคลาน แต่ไม่เคยเกิดเหตุน้ำท่วมเข้ามาในโรงแรมแต่อย่างใด และในระหว่างที่ภาพรวมของจังหวัดเชียงใหม่ประสบกับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมนั้น ธุรกิจของเรายังคงเปิดให้บริการตามปกติ จำนวน 277 ห้อง และลูกค้าก็ใช้บริการภายในโรงแรมกันตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นการว่ายน้ำ ใช้บริการสปา และรับประทานอาหาร ซึ่งลูกค้าที่มาใช้บริการเข้าพักต่างมีความพอใจในการบริหารจัดการการป้องกันน้ำท่วมของโรงแรม และต้องขอขอบคุณที่มีการชื่นชมการรับมือกับภัยพิบัติของโรงแรม ซึ่งก็พร้อมที่จะให้หน่วยงานที่สนใจเข้ามาศึกษาดูระบบของโรงแรมได้" ที่มา : ข่าวคมชัดลึก #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 897 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกฯ เล็งถกครม.วางแผนแก้น้ำท่วมระยะยาว (07/10/67) #news1 #นายกอุ๊งอิ๊ง #แก้ปัญหาน้ำท่วม
    นายกฯ เล็งถกครม.วางแผนแก้น้ำท่วมระยะยาว (07/10/67) #news1 #นายกอุ๊งอิ๊ง #แก้ปัญหาน้ำท่วม
    Like
    Sad
    Angry
    Haha
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1697 มุมมอง 549 0 รีวิว
  • หกทักษะของสุภาพบุรุษ ตอน 2 ‘เยวี่ย’

    สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึง ‘จวินจื่อลิ่วอี้’ (君子六艺) หรือหกทักษะที่สุภาพบุรุษในตระกูลสูงศักดิ์พึงมี (หมายเหตุ อี้ แปลได้ว่าทักษะความสามารถ) ซึ่งในบันทึกพิธีการโจวหลี่ระบุไว้ว่าคือ 1. ห้าพิธีการ (หลี่/礼) 2. หกดนตรี (เยวี่ย/乐) 3. ห้าการยิงธนู (เซ่อ/射) 4. ห้าการขับขี่ (อวี้/御) 5. หกอักษร (ซู/书) และ 6. เก้าคำนวณ (ซู่/数)

    สัปดาห์ที่แล้วคุยกันเรื่องทักษะแรกคือห้าพิธีการ วันนี้คุยกันต่อถึงทักษะที่สองคือ ‘เยวี่ย’ เรียกรวมกว่าหกดนตรี ซึ่ง Storyฯ มั่นใจว่าเพื่อนเพจหลายคนคงเข้าใจผิดเหมือน Storyฯ ว่ามันหมายถึงการเล่นดนตรี และภาพที่ลอยมาในหัวคือคุณชายดีดพิณหรือเป่าขลุ่ย

    แต่จริงๆ แล้ว ‘เยวี่ย’ ในบริบทของหกทักษะของสุภาพบุรุษนี้หมายถึงการเต้นรำ

    ใช่ค่ะ สุภาพบุรุษโบราณต้องเรียนรู้ที่จะเต้นรำ แต่มันไม่ใช่การเต้นรำทั่วไป หากแต่หมายถึงการเต้นรำหมู่ของบุรุษประกอบการบวงสรวงหรืองานสำคัญ ซึ่งเราไม่ค่อยเห็นในซีรีส์

    ‘ลิ่วเยวี่ย’ หรือหกดนตรี คือคำเรียกย่อของระบำหกยุคสมัย ‘ลิ่วไต้เยวี่ยอู่’ (六代乐舞) ซึ่งมีมาแต่หกยุคสมัยจีนโบราณบรรพกาล ประกอบด้วย
    (1) ‘อวิ๋นเหมินต้าเจวี้ยน’ (云门大卷/ระบำประตูเมฆ) หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘อวิ๋นเหมิน’ เป็นการงานเฉลิมฉลองร่วมกับประชาชนในสมัยของจักรพรรดิเหลือง (หวงตี้ ประมาณสองพันหกร้อยปีก่อนคริสตกาล) เพื่อเป็นการแซ่ซ้องคุณงามความดีและความเรืองรองของรัชสมัย จากรูปวาดโบราณจะเห็นว่าเป็นการเล่นเครื่องดนตรีบางชนิดไปพร้อมกับเดินเต้นไปด้วย ระบำนี้ในยุคสมัยโจวถูกใช้เป็นระบำหลักในการบวงสรวงฟ้าและเทพยดา
    (2) ‘เสียนฉือ’ (咸池) หรือ ‘ต้าเสียน’ (大咸) เป็นระบำจากยุคสมัยจักรพรรดิเหยา (ประมาณสองพันสามร้อยปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งคำว่าเสียนฉือเป็นชื่อเรียกเดิมของทิศพยัคฆ์ขาวหรือทิศตะวันตก ระบำเสียนฉือจึงถูกนำมาใช้เป็นระบำสักการะดินและเทพเจ้าแห่งผืนดิน
    (3) ‘ต้าสาว’ (大韶) เป็นระบำจากยุคสมัยจักรพรรดิซุ่น (ประมาณสองพันสองร้อยปีก่อนคริสตกาล) เป็นระบำที่เชิดชูความงดงามของธรรมชาติรอบกาย ผสมผสานบทกลอน ดนตรี และระบำเข้าด้วยกัน กล่าวคือมีคนอ่านกลอนเป็นท่วงทำนอง มีเสียงเครื่องดนตรีนับสิบชนิดบรรเลงประกอบโดยเน้นเสียงขลุ่ยเซียวเป็นหลัก และมีคนสวมหน้ากากแสดงเป็นเหล่าปักษาและนกเฟิ่งหวงฟ้อนรำ ถูกใช้เป็นระบำบวงสรวงสี่ทิศ
    (4) ‘ต้าเซี่ย’ (大夏) เป็นระบำยุคสมัยราชวงศ์เซี่ย (ประมาณสองพันปีก่อนคริสตกาล) เป็นระบำที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์ต้าสู่แก้ไขปัญหาน้ำท่วม ถูกใช้เป็นระบำสักการะขุนเขาและสายน้ำ เป็นระบำโบราณเดียวที่ยังคงสืบทอดมาจวบจนปัจจุบันแม้ว่าจะผ่านการเปลี่ยนแปลงมาไม่น้อย(ดูรูปประกอบ)
    (5) ‘ต้าฮู่’ (大濩) เป็นระบำยุคสมัยราชวงศ์ซาง (ประมาณหนึ่งพันหกร้อยปีก่อนคริสตกาล) เพื่อเฉลิมฉลองการล้มราชวงศ์เซี่ยสำเร็จ ใช้เป็นระบำสักการะบรรพบุรุษ
    (6) ‘ต้าอู่’ (大武) เป็นระบำยุคสมัยราชวงศ์โจว เพื่อเฉลิมฉลองการล้มราชวงศ์ซางสำเร็จ ถูกใช้เป็นระบำสักการะบรรพบุรุษเช่นกัน

    ทั้งนี้ ระบำสี่แบบแรกเป็นแบบที่เรียกว่า ‘เหวิน’ (หรือบุ๋น) แต่ระบำสองแบบสุดท้ายเป็นแบบที่เรียกว่า ‘อู่’ (หรือบู๊) ซึ่งเป็นการแสดงออกแนวฮึกเหิม นักแสดงถือโล่และอาวุธเช่นขวาน (แต่ไม่ได้ถอดเสื้อเหมือนใน <กำเนิดเทพเจ้า 1 อาณาจักรแห่งพายุ> นะ) ทั้งหมดนี้มีการกำหนดจัดเรียงแถวอย่างชัดเจน รวมแปดแถว แต่ละแถวแปดคน รวมหกสิบสี่คน และในงานใหญ่อาจมีการจัดการรำหลายแบบพร้อมกันบนลานกว้าง

    นอกจากนี้ ในงานใหญ่ยังมีการรำเสริมโดยเหล่าราชนิกุลชาย โดยกำหนดเป็นการรำอีกหกรูปแบบเรียกเป็น ‘รำเล็ก’ เพราะเป็นการรำเดี่ยวหรือกลุ่มเล็ก แต่ Storyฯ ขอไม่ลงรายละเอียดในชนิดของระบำ ทั้งนี้ ราชนิกุลชายในยุคราชวงศ์โจวเมื่ออายุสิบสามปีก็จะเริ่มเรียน ‘รำเล็ก’ อายุสิบห้าเรียนรำอาวุธ และเมื่ออายุได้ยี่สิบก็เรียน ‘รำใหญ่’ สำหรับพิธีบวงสรวงซึ่งก็คือหกระบำที่กล่าวมาข้างต้นนั่นเอง และเมื่อสำเร็จการเรียนรู้ระบำต่างๆ เหล่านี้แล้วจึงเข้ารับราชการบรรจุเป็นขุนนางได้

    ทักษะด้านการรำนี้ ถูกใช้สอนในเรื่องของความพร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และช่วยปรับท่าทางการเดินเหินให้สง่าผึ่งผาย รวมถึงเรียนรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับงานสักการะต่างๆ แน่นอนว่าสุภาพบุรุษต้องเรียนรู้การเล่นดนตรี เพียงแต่มันได้ถูกระบุเป็นหกทักษะของสุภาพบุรุษเท่านั้นเอง

    สัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://app.xinhuanet.com/news/article.html?articleId=1e283da99d5077df8508b27c88bfaeae
    https://chinakongzi.org/zt/2021jikong/yange/202109/t20210922_521023.htm https://guoxue.ifeng.com/c/7qhsbaO24FU
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/六艺/238715
    https://m.jiemian.com/article/1154435.html
    https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_20109083
    https://h.bkzx.cn/knowledge/1733

    #กำเนิดเทพเจ้า #เฟิงเสิน #ทักษะสุภาพบุรุษจีน #ศิลปะสุภาพบุรุษจีน #คำสอนขงจื๊อ #จวินจื่อลิ่วอี้ #สาระจีน
    หกทักษะของสุภาพบุรุษ ตอน 2 ‘เยวี่ย’ สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึง ‘จวินจื่อลิ่วอี้’ (君子六艺) หรือหกทักษะที่สุภาพบุรุษในตระกูลสูงศักดิ์พึงมี (หมายเหตุ อี้ แปลได้ว่าทักษะความสามารถ) ซึ่งในบันทึกพิธีการโจวหลี่ระบุไว้ว่าคือ 1. ห้าพิธีการ (หลี่/礼) 2. หกดนตรี (เยวี่ย/乐) 3. ห้าการยิงธนู (เซ่อ/射) 4. ห้าการขับขี่ (อวี้/御) 5. หกอักษร (ซู/书) และ 6. เก้าคำนวณ (ซู่/数) สัปดาห์ที่แล้วคุยกันเรื่องทักษะแรกคือห้าพิธีการ วันนี้คุยกันต่อถึงทักษะที่สองคือ ‘เยวี่ย’ เรียกรวมกว่าหกดนตรี ซึ่ง Storyฯ มั่นใจว่าเพื่อนเพจหลายคนคงเข้าใจผิดเหมือน Storyฯ ว่ามันหมายถึงการเล่นดนตรี และภาพที่ลอยมาในหัวคือคุณชายดีดพิณหรือเป่าขลุ่ย แต่จริงๆ แล้ว ‘เยวี่ย’ ในบริบทของหกทักษะของสุภาพบุรุษนี้หมายถึงการเต้นรำ ใช่ค่ะ สุภาพบุรุษโบราณต้องเรียนรู้ที่จะเต้นรำ แต่มันไม่ใช่การเต้นรำทั่วไป หากแต่หมายถึงการเต้นรำหมู่ของบุรุษประกอบการบวงสรวงหรืองานสำคัญ ซึ่งเราไม่ค่อยเห็นในซีรีส์ ‘ลิ่วเยวี่ย’ หรือหกดนตรี คือคำเรียกย่อของระบำหกยุคสมัย ‘ลิ่วไต้เยวี่ยอู่’ (六代乐舞) ซึ่งมีมาแต่หกยุคสมัยจีนโบราณบรรพกาล ประกอบด้วย (1) ‘อวิ๋นเหมินต้าเจวี้ยน’ (云门大卷/ระบำประตูเมฆ) หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘อวิ๋นเหมิน’ เป็นการงานเฉลิมฉลองร่วมกับประชาชนในสมัยของจักรพรรดิเหลือง (หวงตี้ ประมาณสองพันหกร้อยปีก่อนคริสตกาล) เพื่อเป็นการแซ่ซ้องคุณงามความดีและความเรืองรองของรัชสมัย จากรูปวาดโบราณจะเห็นว่าเป็นการเล่นเครื่องดนตรีบางชนิดไปพร้อมกับเดินเต้นไปด้วย ระบำนี้ในยุคสมัยโจวถูกใช้เป็นระบำหลักในการบวงสรวงฟ้าและเทพยดา (2) ‘เสียนฉือ’ (咸池) หรือ ‘ต้าเสียน’ (大咸) เป็นระบำจากยุคสมัยจักรพรรดิเหยา (ประมาณสองพันสามร้อยปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งคำว่าเสียนฉือเป็นชื่อเรียกเดิมของทิศพยัคฆ์ขาวหรือทิศตะวันตก ระบำเสียนฉือจึงถูกนำมาใช้เป็นระบำสักการะดินและเทพเจ้าแห่งผืนดิน (3) ‘ต้าสาว’ (大韶) เป็นระบำจากยุคสมัยจักรพรรดิซุ่น (ประมาณสองพันสองร้อยปีก่อนคริสตกาล) เป็นระบำที่เชิดชูความงดงามของธรรมชาติรอบกาย ผสมผสานบทกลอน ดนตรี และระบำเข้าด้วยกัน กล่าวคือมีคนอ่านกลอนเป็นท่วงทำนอง มีเสียงเครื่องดนตรีนับสิบชนิดบรรเลงประกอบโดยเน้นเสียงขลุ่ยเซียวเป็นหลัก และมีคนสวมหน้ากากแสดงเป็นเหล่าปักษาและนกเฟิ่งหวงฟ้อนรำ ถูกใช้เป็นระบำบวงสรวงสี่ทิศ (4) ‘ต้าเซี่ย’ (大夏) เป็นระบำยุคสมัยราชวงศ์เซี่ย (ประมาณสองพันปีก่อนคริสตกาล) เป็นระบำที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์ต้าสู่แก้ไขปัญหาน้ำท่วม ถูกใช้เป็นระบำสักการะขุนเขาและสายน้ำ เป็นระบำโบราณเดียวที่ยังคงสืบทอดมาจวบจนปัจจุบันแม้ว่าจะผ่านการเปลี่ยนแปลงมาไม่น้อย(ดูรูปประกอบ) (5) ‘ต้าฮู่’ (大濩) เป็นระบำยุคสมัยราชวงศ์ซาง (ประมาณหนึ่งพันหกร้อยปีก่อนคริสตกาล) เพื่อเฉลิมฉลองการล้มราชวงศ์เซี่ยสำเร็จ ใช้เป็นระบำสักการะบรรพบุรุษ (6) ‘ต้าอู่’ (大武) เป็นระบำยุคสมัยราชวงศ์โจว เพื่อเฉลิมฉลองการล้มราชวงศ์ซางสำเร็จ ถูกใช้เป็นระบำสักการะบรรพบุรุษเช่นกัน ทั้งนี้ ระบำสี่แบบแรกเป็นแบบที่เรียกว่า ‘เหวิน’ (หรือบุ๋น) แต่ระบำสองแบบสุดท้ายเป็นแบบที่เรียกว่า ‘อู่’ (หรือบู๊) ซึ่งเป็นการแสดงออกแนวฮึกเหิม นักแสดงถือโล่และอาวุธเช่นขวาน (แต่ไม่ได้ถอดเสื้อเหมือนใน <กำเนิดเทพเจ้า 1 อาณาจักรแห่งพายุ> นะ) ทั้งหมดนี้มีการกำหนดจัดเรียงแถวอย่างชัดเจน รวมแปดแถว แต่ละแถวแปดคน รวมหกสิบสี่คน และในงานใหญ่อาจมีการจัดการรำหลายแบบพร้อมกันบนลานกว้าง นอกจากนี้ ในงานใหญ่ยังมีการรำเสริมโดยเหล่าราชนิกุลชาย โดยกำหนดเป็นการรำอีกหกรูปแบบเรียกเป็น ‘รำเล็ก’ เพราะเป็นการรำเดี่ยวหรือกลุ่มเล็ก แต่ Storyฯ ขอไม่ลงรายละเอียดในชนิดของระบำ ทั้งนี้ ราชนิกุลชายในยุคราชวงศ์โจวเมื่ออายุสิบสามปีก็จะเริ่มเรียน ‘รำเล็ก’ อายุสิบห้าเรียนรำอาวุธ และเมื่ออายุได้ยี่สิบก็เรียน ‘รำใหญ่’ สำหรับพิธีบวงสรวงซึ่งก็คือหกระบำที่กล่าวมาข้างต้นนั่นเอง และเมื่อสำเร็จการเรียนรู้ระบำต่างๆ เหล่านี้แล้วจึงเข้ารับราชการบรรจุเป็นขุนนางได้ ทักษะด้านการรำนี้ ถูกใช้สอนในเรื่องของความพร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และช่วยปรับท่าทางการเดินเหินให้สง่าผึ่งผาย รวมถึงเรียนรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับงานสักการะต่างๆ แน่นอนว่าสุภาพบุรุษต้องเรียนรู้การเล่นดนตรี เพียงแต่มันได้ถูกระบุเป็นหกทักษะของสุภาพบุรุษเท่านั้นเอง สัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://app.xinhuanet.com/news/article.html?articleId=1e283da99d5077df8508b27c88bfaeae https://chinakongzi.org/zt/2021jikong/yange/202109/t20210922_521023.htm https://guoxue.ifeng.com/c/7qhsbaO24FU Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/六艺/238715 https://m.jiemian.com/article/1154435.html https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_20109083 https://h.bkzx.cn/knowledge/1733 #กำเนิดเทพเจ้า #เฟิงเสิน #ทักษะสุภาพบุรุษจีน #ศิลปะสุภาพบุรุษจีน #คำสอนขงจื๊อ #จวินจื่อลิ่วอี้ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1543 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP.7 วิถีสุพรรณ สร้างสรรค์มั่งคง - สุขนิยาม สยามโสภา (สุพรรณบุรี)
    》》
    https://youtu.be/7ejG-2nRzmo?si=v2auD9FcYL_rSDdi
    《《
    ■ซึ่งเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศไทย บนฝั่งแม่น้ำท่าจีน
    》》มีพระพุทธรูปบนผนังหน้าผา ที่สูงใหญ่เป็นหนึ่ง ในที่สุดของโลก
    》》เป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ในวิถีของเกษตรกรชาวนา ที่จัดทำได้อย่างน่าสนใจ
    》》สนันสนุนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ภูมิปัญญาการเลี้ยงควายไทย
    》》ได้รับพระราชทานโครงการบรรเทาปัญหาน้ำท่วม พื้นที่การเกษตร
    》》และยังมีแหล่งเพาะปลูกแห้ว ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
    ■■■■■■■■■■■■
    #TV5HDONLINE#สยามโสภา#วิถีสุพรรณ#เมืองอู่ข้าวอู่น้ำของไทย#ศูนย์อนุรักษ์ควายไทย#เที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรี#thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    EP.7 วิถีสุพรรณ สร้างสรรค์มั่งคง - สุขนิยาม สยามโสภา (สุพรรณบุรี) 》》 https://youtu.be/7ejG-2nRzmo?si=v2auD9FcYL_rSDdi 《《 ■ซึ่งเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศไทย บนฝั่งแม่น้ำท่าจีน 》》มีพระพุทธรูปบนผนังหน้าผา ที่สูงใหญ่เป็นหนึ่ง ในที่สุดของโลก 》》เป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ในวิถีของเกษตรกรชาวนา ที่จัดทำได้อย่างน่าสนใจ 》》สนันสนุนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ภูมิปัญญาการเลี้ยงควายไทย 》》ได้รับพระราชทานโครงการบรรเทาปัญหาน้ำท่วม พื้นที่การเกษตร 》》และยังมีแหล่งเพาะปลูกแห้ว ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ■■■■■■■■■■■■ #TV5HDONLINE​ #สยามโสภา​ #วิถีสุพรรณ​ #เมืองอู่ข้าวอู่น้ำของไทย​ #ศูนย์อนุรักษ์ควายไทย​ #เที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรี​ #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    Like
    Love
    Wow
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2249 มุมมอง 0 รีวิว
  • เผยรายชื่อ 10 จว.ที่ได้รับงบในการบริหารจัดการน้ำมากที่สุด โดยอุบลฯ มาเป็นอันดับหนึ่ง พบ ปีงบประมาณ 2568 มีโครงการน้ำ 3 พันกว่าโครงการ รวมวงเงิน 1.1 แสนล้าน “หาญณรงค์ เยาวเลิศ” ชี้ โครงการใหญ่ ใช้งบสูง ไม่ได้แปลว่าจะแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งได้ แต่ขึ้นกับการบริหารจัดการ แนะ บริหารแบบองค์รวม ดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม ระบุ ต้องประกาศ “เส้นทางน้ำหลาก” ในผังเมือง ห้ามสร้างสิ่งปลูกสร้างทับเส้นทางน้ำ ต้องทำอุโมงค์ให้น้ำลอด
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000088129

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เผยรายชื่อ 10 จว.ที่ได้รับงบในการบริหารจัดการน้ำมากที่สุด โดยอุบลฯ มาเป็นอันดับหนึ่ง พบ ปีงบประมาณ 2568 มีโครงการน้ำ 3 พันกว่าโครงการ รวมวงเงิน 1.1 แสนล้าน “หาญณรงค์ เยาวเลิศ” ชี้ โครงการใหญ่ ใช้งบสูง ไม่ได้แปลว่าจะแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งได้ แต่ขึ้นกับการบริหารจัดการ แนะ บริหารแบบองค์รวม ดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม ระบุ ต้องประกาศ “เส้นทางน้ำหลาก” ในผังเมือง ห้ามสร้างสิ่งปลูกสร้างทับเส้นทางน้ำ ต้องทำอุโมงค์ให้น้ำลอด อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000088129 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Sad
    Love
    Wow
    Angry
    Haha
    Yay
    85
    1 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 7268 มุมมอง 1 รีวิว
  • เป็นรัฐบาลเป็นรองนายกฯ มา 9 ปี เป็นรมว.กลาโหมอีก 7 ปีกว่า ไม่เคยไปรับฟังปัญหาน้ำท่วม พอเป็นฝ่ายค้านไม่กี่วัน ขยันขันแข็งขึ้นมาทันที
    #7ดอกจิก
    ♣️ เป็นรัฐบาลเป็นรองนายกฯ มา 9 ปี เป็นรมว.กลาโหมอีก 7 ปีกว่า ไม่เคยไปรับฟังปัญหาน้ำท่วม พอเป็นฝ่ายค้านไม่กี่วัน ขยันขันแข็งขึ้นมาทันที #7ดอกจิก
    Haha
    Sad
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 477 มุมมอง 0 รีวิว
  • #นายกฯ​ มหาเศรษฐี​ ของประเทศ​ พออยู่พอกิน
    ปัญหาน้ำท่วมสร้างความเสียหาย​ ที่เห็นจากข่าว​ นายกฯ​ ของประเทศนั้น​ ก็คิดว่าที่ตัวเอง​ในฐานะขาเที่ยวต่างประเทศ​ เคยเห็นญี่ปุ่นหรือประเทศในยุโรป​ทุเลาปัญหา​ภัยพิบัติ​ทางน้ำอย่างไร​ นายกฯ​ ท่านนั้น​ ก็แวะพาบริวารไปดูงานเพื่อนำมาประยุกต์ใช้​ เชิญซินแสฮวงจุ้ย​ที่เก่งๆ​ มาเป็นทีม​ ดูทางลมทางน้ำร่วมกับ​(ผู้ว่าฯ, ​อบจ.,​ผู้บริหารเขต​เพราะไม่รู้ประเทศ​ ​พออยู่​พอกิน​ นั้นมีระบบแบบไหน)​ ว่าตรงไหนขวาง​ ตรงไหนต้องทำทางของน้ำไหลเอื่อย​ ตรงไหนไหลเร็วออกแม่น้ำหรือทะเล​ มีที่สูงเขตนั้นไหม​ ทำเป็นโรงยิม​ หรือขยายประสิทธิภาพ​โรงเรียน​ของรัฐ​ ให้สามารรองรับภัยพิบัติ​ มีอุโมงค์​ทางระบาย​น้ำ​คู่กับคลอง​ อุโมงค์​หลบระเบิดได้ระดับหนึ่ง

    แล้วก็จะได้รู้กันว่า ทั้งซินแสคู่กับคนพื้นที่​ และผู้บริหารพื้นที่​ แก้ปัญหาเป็นไหม
    นายกฯ​ มหาเศรษฐี​ ท่านก็เหมือนผู้จัดการ​ จ่ายค่าลงพื้นที่ซินแส​ กับอาหารเลี้ยงทีมงาน​ คือนำคนมารวมกันแก้ปัญหา​

    มีบ้านลอยน้ำได้เป็นต้นแบบ​ หากจำเป็นก็ให้กู้ไม่มีดอกเบี้ย​ เกิดการจ้างงานระดับพื้นที่ได้อีก พอได้แนวทาง​ นายกฯ​ก็มีคำสั่งอนุมัติ​อะไรที่ต้องทำเช่น​ บ่อเก็บน้ำ​ บึงของพื้นที่​ คันกั้นริมคลองหรือแม่น้ำที่ยกขึ้นลงเก็บได้​ มีทางน้ำ​ มีป้องลม​ อย่างไร

    เหล่านี้มีทั้งการจ้างงาน​ การผลิต​ และผลงานลดความเสียหายภัยพิบัติ​ จากประเทศ​ พออยู่​พอกิน​ มาเล่าให้อ่านกัน
    #นายกฯ​ มหาเศรษฐี​ ของประเทศ​ พออยู่พอกิน ปัญหาน้ำท่วมสร้างความเสียหาย​ ที่เห็นจากข่าว​ นายกฯ​ ของประเทศนั้น​ ก็คิดว่าที่ตัวเอง​ในฐานะขาเที่ยวต่างประเทศ​ เคยเห็นญี่ปุ่นหรือประเทศในยุโรป​ทุเลาปัญหา​ภัยพิบัติ​ทางน้ำอย่างไร​ นายกฯ​ ท่านนั้น​ ก็แวะพาบริวารไปดูงานเพื่อนำมาประยุกต์ใช้​ เชิญซินแสฮวงจุ้ย​ที่เก่งๆ​ มาเป็นทีม​ ดูทางลมทางน้ำร่วมกับ​(ผู้ว่าฯ, ​อบจ.,​ผู้บริหารเขต​เพราะไม่รู้ประเทศ​ ​พออยู่​พอกิน​ นั้นมีระบบแบบไหน)​ ว่าตรงไหนขวาง​ ตรงไหนต้องทำทางของน้ำไหลเอื่อย​ ตรงไหนไหลเร็วออกแม่น้ำหรือทะเล​ มีที่สูงเขตนั้นไหม​ ทำเป็นโรงยิม​ หรือขยายประสิทธิภาพ​โรงเรียน​ของรัฐ​ ให้สามารรองรับภัยพิบัติ​ มีอุโมงค์​ทางระบาย​น้ำ​คู่กับคลอง​ อุโมงค์​หลบระเบิดได้ระดับหนึ่ง แล้วก็จะได้รู้กันว่า ทั้งซินแสคู่กับคนพื้นที่​ และผู้บริหารพื้นที่​ แก้ปัญหาเป็นไหม นายกฯ​ มหาเศรษฐี​ ท่านก็เหมือนผู้จัดการ​ จ่ายค่าลงพื้นที่ซินแส​ กับอาหารเลี้ยงทีมงาน​ คือนำคนมารวมกันแก้ปัญหา​ มีบ้านลอยน้ำได้เป็นต้นแบบ​ หากจำเป็นก็ให้กู้ไม่มีดอกเบี้ย​ เกิดการจ้างงานระดับพื้นที่ได้อีก พอได้แนวทาง​ นายกฯ​ก็มีคำสั่งอนุมัติ​อะไรที่ต้องทำเช่น​ บ่อเก็บน้ำ​ บึงของพื้นที่​ คันกั้นริมคลองหรือแม่น้ำที่ยกขึ้นลงเก็บได้​ มีทางน้ำ​ มีป้องลม​ อย่างไร เหล่านี้มีทั้งการจ้างงาน​ การผลิต​ และผลงานลดความเสียหายภัยพิบัติ​ จากประเทศ​ พออยู่​พอกิน​ มาเล่าให้อ่านกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 646 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เรื่องนี้ขอคุยกันด้วยเหตุและผล
    ตอนนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องรู้คือ
    1. ดิจิตอลวอลเลท ติดขัดทางด้านเทคนิคของระบบเองที่ไม่สามารถใช้งานได้ตามที่วางแผนไว้
    2. วอลเลทจะถูกเปลี่ยนเป็นเงินสดผ่านบัตรคนจน
    3. ต้องแจกให้ทัน 30 กันยายนนี้เท่านั้น
    4. ถ้าไม่ทัน ต้องคืนเงินเข้าคลัง
    5. เงินที่ได้มาก้อนนี้ยังไม่จบ ต้องผูกพันงบปี 2568
    6. ปี 2568 ดูตัวเลข ณ ปัจจุบัน เฉพาะโครงการวอลเลทนี้ ยังขาดอีก 1.1 แสนล้านบาท
    7. ทางออก คือ กู้สถาบันการเงิน หรือ กู้ประชาชนผ่านพันธบัตรหรือสิ่งใกล้เคียง
    ในขณะที่วันนี้ สำหรับปี 67 งบก้อนที่มาจ่ายวอลเลทกับกลุ่มแรก ก็ผลัดผ่อนหนี้ที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานภาครัฐหลายก้อน
    ซึ่งปี 68 ไม่รวมยอดที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานของรัฐเอง บวกลบอย่างไรก็ขาดอีกเป็นแสนล้าน
    นอกจากนั้น โทนี่ยังมีโปรเจคใหม่ๆ ที่ต้องกู้ เช่น แก้ปัญหาน้ำท่วม อีกมากกว่า 9 ล้าน ล้าน การต้องการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นที่ประชาชนในพื้นที่ต่อต้านหนักหน่วง
    เรียนแฟนเพจแบบตรงไปตรงมา
    คนไทยต้องรับผิดชอบหนี้ที่จะเกิด และที่เกิดแล้ว เหมือนกู้โดยโทนี่
    แต่คนไทยคือคนค้ำประกัน เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
    ถ้าวอลเลท เบรคได้ เบรคก่อน ในเมื่อจ่ายเงินสดเงินมันไม่หมุนวนแบบพายุและผิดมาตรา9 เรื่องวินัยการคลัง แล้วเอางบนี้ซัพพอต สปสช. บัตรทองที่กำลังจะล่มสลาย รวมถึงหน่วยงานของรัฐอื่นๆที่กล้ำกลืน บริหารงานแบบขาดงบประมาณ ให้ทุกอย่างรันได้ตามที่ควรจะเป็น
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #เรื่องนี้ขอคุยกันด้วยเหตุและผล ตอนนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องรู้คือ 1. ดิจิตอลวอลเลท ติดขัดทางด้านเทคนิคของระบบเองที่ไม่สามารถใช้งานได้ตามที่วางแผนไว้ 2. วอลเลทจะถูกเปลี่ยนเป็นเงินสดผ่านบัตรคนจน 3. ต้องแจกให้ทัน 30 กันยายนนี้เท่านั้น 4. ถ้าไม่ทัน ต้องคืนเงินเข้าคลัง 5. เงินที่ได้มาก้อนนี้ยังไม่จบ ต้องผูกพันงบปี 2568 6. ปี 2568 ดูตัวเลข ณ ปัจจุบัน เฉพาะโครงการวอลเลทนี้ ยังขาดอีก 1.1 แสนล้านบาท 7. ทางออก คือ กู้สถาบันการเงิน หรือ กู้ประชาชนผ่านพันธบัตรหรือสิ่งใกล้เคียง ในขณะที่วันนี้ สำหรับปี 67 งบก้อนที่มาจ่ายวอลเลทกับกลุ่มแรก ก็ผลัดผ่อนหนี้ที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานภาครัฐหลายก้อน ซึ่งปี 68 ไม่รวมยอดที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานของรัฐเอง บวกลบอย่างไรก็ขาดอีกเป็นแสนล้าน นอกจากนั้น โทนี่ยังมีโปรเจคใหม่ๆ ที่ต้องกู้ เช่น แก้ปัญหาน้ำท่วม อีกมากกว่า 9 ล้าน ล้าน การต้องการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นที่ประชาชนในพื้นที่ต่อต้านหนักหน่วง เรียนแฟนเพจแบบตรงไปตรงมา คนไทยต้องรับผิดชอบหนี้ที่จะเกิด และที่เกิดแล้ว เหมือนกู้โดยโทนี่ แต่คนไทยคือคนค้ำประกัน เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ถ้าวอลเลท เบรคได้ เบรคก่อน ในเมื่อจ่ายเงินสดเงินมันไม่หมุนวนแบบพายุและผิดมาตรา9 เรื่องวินัยการคลัง แล้วเอางบนี้ซัพพอต สปสช. บัตรทองที่กำลังจะล่มสลาย รวมถึงหน่วยงานของรัฐอื่นๆที่กล้ำกลืน บริหารงานแบบขาดงบประมาณ ให้ทุกอย่างรันได้ตามที่ควรจะเป็น #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 879 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลุมยุบกัวลาลัมเปอร์ นักท่องเที่ยวอินเดียร่วง

    โศกนาฎกรรมที่สร้างความตกใจให้แก่ผู้พบเห็น เมื่อเกิดอุบัติเหตุหลุมยุบบริเวณถนนมัสยิดอินเดีย (Jalan Masjid India) เป็นเหตุทำให้นางวิชัยลักษณี (Vijayalakshmi) นักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียวัย 48 ปี ตกลงไปในหลุมดังกล่าว ซึ่งมีความลึกประมาณ 8 เมตร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 08.44 น. ตามเวลาบนกล้องวงจรปิด ของวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา

    ทีมปฎิบัติการค้นหาและกู้ภัย (SAR) เข้าค้นหานักท่องเที่ยวชาวอินเดีย โดยเปิดท่อระบายน้ำรอบพื้นที่รวม 6 แห่ง เข้าไปค้นหาครั้งละ 2-3 คน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที รวมทั้งโรงบำบัดน้ำเสียบริษัทอินดะห์ วอเตอร์ คอนซอร์เตียม (Indah Water Konsortium หรือ IWK) ย่านปันตาย ดาลัม ซึ่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องรับมือกับกระแสน้ำเชี่ยวในท่อระบายน้ำ และมีแก๊สที่อาจเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปกว่า 3 วัน กลับไม่พบเบาะแสใดๆ

    สำนักข่าวเบอร์นามา รายงานว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยืนยันว่าปฎิบัติการค้นหาและช่วยเหลือผู้สูญหายจะยังคงดำเนินต่อไป พร้อมแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ ศาลาว่าการกรุงกัวลาลัมเปอร์ (DKBL) ให้ไปพบกับครอบครัวของผู้สูญหายแล้ว

    ด้านนายฟาดิลลาห์ ยูซอฟ รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวถึงสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุว่า เกิดจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์และโครงสร้างของดิน โดยเมื่อชั้นหินปูนขัดขวางการไหลของน้ำใต้ดิน ส่งผลให้ดินไม่มั่นคงและเกิดหลุมยุบ บางครั้งไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าหลุมยุบจะเกิดขึ้นเมื่อใดและที่ใด

    เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีหินปูนและสภาพธรณีวิทยาเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ด้วยความรู้และเทคโนโลยีที่ถูกต้องจะทำให้เหตุการณ์เช่นนี้ลดน้อยลงและดำเนินมาตรการป้องกันเพื่อปกป้องชุมชนและบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้

    ขณะที่นายเจฟฟรีย์ เชียง ชุง ลุยน์ ประธานสถาบันวิศวกรแห่งมาเลเซีย (IEM) เรียกร้องให้มีการสืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างละเอียด เพราะจากการสังเกตผ่าน Google Maps พบว่าตำแหน่งหลุมยุบอยู่ห่างจากแม่น้ำแคลงประมาณ 24 เมตร และจากภาพที่สื่อมวลชนนำเสนอ พบว่าหลุมยุบอาจเกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน แม้ว่าจะยังไม่ระบุสาเหตุที่แน่ชัดก็ตาม

    จากรายงานหัวข้อ "Karstic Features of Kuala Lumpur Limestone" Choawalit Chotwattanaphong ที่กล่าวถึงลักษณะของหินปูนของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเขียนโดย นายตัน ไซมอน เสี่ยว เมง จากสถาบันวิศวกรแห่งมาเลเซีย ระบุว่า ชั้นหินปูนในกรุงกัวลาลัมเปอร์มีลักษณะไม่แน่นอน พบในบริเวณเหมืองแร่ดีบุก แต่หลังเหมืองปิดตัวลง พื้นที่เหมืองแร่ถูกปกคลุมไปด้วยเศษซากตั้งแต่โคลนถึงทราย

    โดยคาดว่าหินปูนมีความหนาประมาณ 1,850 เมตร ทับอยู่บนหินชนวนกราไฟต์ที่เรียกว่า ฮอร์ธอร์นเดน ชีสต์ (Hawthornden Schist) ส่วนบนสุดของลำดับชั้นคือชั้นหินเคนนี่ ฮิลล์ (Kenny Hill) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ รวมถึงพื้นที่ย่าน KLCC (Kuala Lumpur City Centre) และบูกิตบินตัง (Bukit Bintang)

    ในตอนหนึ่งของรายงานระบุว่า หินปูนเกิดจากกระบวนการละลายทางเคมี ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยาวนาน ประกอบด้วยหลุม แอ่งชัน และช่องทางสารละลาย ส่งผลให้ชั้นหินปูนมีรูปร่างไม่แน่นอน เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากในการก่อสร้างฐานราก ซึ่งการเกิดหลุมยุบมาจากการเคลื่อนตัวของชั้นหินปูน เนื่องจากการซึมของน้ำใต้ดิน ระดับน้ำใต้ดินที่ลดลง การรับน้ำหนักเพิ่ม การสั่นสะเทือน การเจาะรูหรือเสาเข็มบนช่องว่างของหินปูนโดยตรง ซึ่งหินปูนที่ปกคลุมด้วยดินบางจะเสี่ยงต่อการเกิดหลุมยุบมากกว่า

    อีกด้านหนึ่ง การก่อสร้างรถไฟใต้ดินสายสุไหงบูเลาะห์-กาจัง (Sungai Buloh-Kajang) [2] บางช่วงเป็นเส้นทางใต้ดิน ยาว 9.5 กิโลเมตร มี 7 สถานีใต้ดิน หนึ่งในนั้นคือสถานีตุน ราซัค เอ็กซ์เชนจ์ (TRX) ซึ่งมีความลึกเทียบเท่าตึก 13 ชั้น พบว่ามีหินปูนในชั้นหินปูนกัวลาลัมเปอร์ บริเวณอยู่ทางทิศตะวันออกของย่านบูกิตบินตังมีลักษณะไม่แน่นอน หากไม่ค้นพบก่อนอาจเกิดอันตราย

    จึงต้องพัฒนาเครื่องเจาะอุโมงค์ (TBM) แบบพิเศษที่เรียกว่า แวริเอเบิล เดนซิตี้ (Variable Density) ที่พัฒนาระหว่างบริษัทเฮอร์เร็นคเน็ช เอจี (Herrenknecht AG) ผู้ผลิตเครื่องเจาะอุโมงค์จากเยอรมนี และบริษัทร่วมทุน เอ็มเอ็มซี กามูดา (MMC Gamuda) สามารถปรับความหนาแน่นและความหนืดของสารละลายได้ ป้องกันไม่ให้ไหลเข้าไปในโพรงหรือรอยแยกไปสู่พื้นผิว

    เหตุการณ์หลุมยุบกะทันหันใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ครั้งนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการป้องกันภัยพิบัติ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเมืองใหญ่ชั้นนำของอาเซียน ที่มีประชากรกว่า 8.8 ล้านคน อุดมไปด้วยความเจริญทางเศรษฐกิจ อาคารสูง และโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้าที่เพียบพร้อม นอกจากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเมื่อฝนตกหนักมากกว่า 2 ชั่วโมงขึ้นไป

    ที่มา : Choawalit Chotwattanaphong https://nrmt.wordpress.com/wp-content/uploads/2011/04/kl-limestone-paper.pdf

    [2] https://thehub.mmc.com.my/2017Q3/page54.html

    #Newskit #KualaLumpur #JalanMasjidIndia
    หลุมยุบกัวลาลัมเปอร์ นักท่องเที่ยวอินเดียร่วง โศกนาฎกรรมที่สร้างความตกใจให้แก่ผู้พบเห็น เมื่อเกิดอุบัติเหตุหลุมยุบบริเวณถนนมัสยิดอินเดีย (Jalan Masjid India) เป็นเหตุทำให้นางวิชัยลักษณี (Vijayalakshmi) นักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียวัย 48 ปี ตกลงไปในหลุมดังกล่าว ซึ่งมีความลึกประมาณ 8 เมตร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 08.44 น. ตามเวลาบนกล้องวงจรปิด ของวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา ทีมปฎิบัติการค้นหาและกู้ภัย (SAR) เข้าค้นหานักท่องเที่ยวชาวอินเดีย โดยเปิดท่อระบายน้ำรอบพื้นที่รวม 6 แห่ง เข้าไปค้นหาครั้งละ 2-3 คน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที รวมทั้งโรงบำบัดน้ำเสียบริษัทอินดะห์ วอเตอร์ คอนซอร์เตียม (Indah Water Konsortium หรือ IWK) ย่านปันตาย ดาลัม ซึ่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องรับมือกับกระแสน้ำเชี่ยวในท่อระบายน้ำ และมีแก๊สที่อาจเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปกว่า 3 วัน กลับไม่พบเบาะแสใดๆ สำนักข่าวเบอร์นามา รายงานว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยืนยันว่าปฎิบัติการค้นหาและช่วยเหลือผู้สูญหายจะยังคงดำเนินต่อไป พร้อมแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ ศาลาว่าการกรุงกัวลาลัมเปอร์ (DKBL) ให้ไปพบกับครอบครัวของผู้สูญหายแล้ว ด้านนายฟาดิลลาห์ ยูซอฟ รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวถึงสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุว่า เกิดจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์และโครงสร้างของดิน โดยเมื่อชั้นหินปูนขัดขวางการไหลของน้ำใต้ดิน ส่งผลให้ดินไม่มั่นคงและเกิดหลุมยุบ บางครั้งไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าหลุมยุบจะเกิดขึ้นเมื่อใดและที่ใด เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีหินปูนและสภาพธรณีวิทยาเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ด้วยความรู้และเทคโนโลยีที่ถูกต้องจะทำให้เหตุการณ์เช่นนี้ลดน้อยลงและดำเนินมาตรการป้องกันเพื่อปกป้องชุมชนและบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ ขณะที่นายเจฟฟรีย์ เชียง ชุง ลุยน์ ประธานสถาบันวิศวกรแห่งมาเลเซีย (IEM) เรียกร้องให้มีการสืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างละเอียด เพราะจากการสังเกตผ่าน Google Maps พบว่าตำแหน่งหลุมยุบอยู่ห่างจากแม่น้ำแคลงประมาณ 24 เมตร และจากภาพที่สื่อมวลชนนำเสนอ พบว่าหลุมยุบอาจเกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน แม้ว่าจะยังไม่ระบุสาเหตุที่แน่ชัดก็ตาม จากรายงานหัวข้อ "Karstic Features of Kuala Lumpur Limestone" [1] ที่กล่าวถึงลักษณะของหินปูนของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเขียนโดย นายตัน ไซมอน เสี่ยว เมง จากสถาบันวิศวกรแห่งมาเลเซีย ระบุว่า ชั้นหินปูนในกรุงกัวลาลัมเปอร์มีลักษณะไม่แน่นอน พบในบริเวณเหมืองแร่ดีบุก แต่หลังเหมืองปิดตัวลง พื้นที่เหมืองแร่ถูกปกคลุมไปด้วยเศษซากตั้งแต่โคลนถึงทราย โดยคาดว่าหินปูนมีความหนาประมาณ 1,850 เมตร ทับอยู่บนหินชนวนกราไฟต์ที่เรียกว่า ฮอร์ธอร์นเดน ชีสต์ (Hawthornden Schist) ส่วนบนสุดของลำดับชั้นคือชั้นหินเคนนี่ ฮิลล์ (Kenny Hill) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ รวมถึงพื้นที่ย่าน KLCC (Kuala Lumpur City Centre) และบูกิตบินตัง (Bukit Bintang) ในตอนหนึ่งของรายงานระบุว่า หินปูนเกิดจากกระบวนการละลายทางเคมี ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยาวนาน ประกอบด้วยหลุม แอ่งชัน และช่องทางสารละลาย ส่งผลให้ชั้นหินปูนมีรูปร่างไม่แน่นอน เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากในการก่อสร้างฐานราก ซึ่งการเกิดหลุมยุบมาจากการเคลื่อนตัวของชั้นหินปูน เนื่องจากการซึมของน้ำใต้ดิน ระดับน้ำใต้ดินที่ลดลง การรับน้ำหนักเพิ่ม การสั่นสะเทือน การเจาะรูหรือเสาเข็มบนช่องว่างของหินปูนโดยตรง ซึ่งหินปูนที่ปกคลุมด้วยดินบางจะเสี่ยงต่อการเกิดหลุมยุบมากกว่า อีกด้านหนึ่ง การก่อสร้างรถไฟใต้ดินสายสุไหงบูเลาะห์-กาจัง (Sungai Buloh-Kajang) [2] บางช่วงเป็นเส้นทางใต้ดิน ยาว 9.5 กิโลเมตร มี 7 สถานีใต้ดิน หนึ่งในนั้นคือสถานีตุน ราซัค เอ็กซ์เชนจ์ (TRX) ซึ่งมีความลึกเทียบเท่าตึก 13 ชั้น พบว่ามีหินปูนในชั้นหินปูนกัวลาลัมเปอร์ บริเวณอยู่ทางทิศตะวันออกของย่านบูกิตบินตังมีลักษณะไม่แน่นอน หากไม่ค้นพบก่อนอาจเกิดอันตราย จึงต้องพัฒนาเครื่องเจาะอุโมงค์ (TBM) แบบพิเศษที่เรียกว่า แวริเอเบิล เดนซิตี้ (Variable Density) ที่พัฒนาระหว่างบริษัทเฮอร์เร็นคเน็ช เอจี (Herrenknecht AG) ผู้ผลิตเครื่องเจาะอุโมงค์จากเยอรมนี และบริษัทร่วมทุน เอ็มเอ็มซี กามูดา (MMC Gamuda) สามารถปรับความหนาแน่นและความหนืดของสารละลายได้ ป้องกันไม่ให้ไหลเข้าไปในโพรงหรือรอยแยกไปสู่พื้นผิว เหตุการณ์หลุมยุบกะทันหันใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ครั้งนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการป้องกันภัยพิบัติ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเมืองใหญ่ชั้นนำของอาเซียน ที่มีประชากรกว่า 8.8 ล้านคน อุดมไปด้วยความเจริญทางเศรษฐกิจ อาคารสูง และโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้าที่เพียบพร้อม นอกจากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเมื่อฝนตกหนักมากกว่า 2 ชั่วโมงขึ้นไป ที่มา : [1] https://nrmt.wordpress.com/wp-content/uploads/2011/04/kl-limestone-paper.pdf [2] https://thehub.mmc.com.my/2017Q3/page54.html #Newskit #KualaLumpur #JalanMasjidIndia
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1582 มุมมอง 0 รีวิว
  • พี่คิงส์โพธิ์แดงได้ข้อมูลที่ตกผลึกมานำเสนอ
    ว่าทำไมต้อง Call Out #saveป่าทับลาน
    ล่าสุด มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้เปิดเผย 6 ผลกระทบ หากมีการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน กว่า 265,000 ไร่ โดยระบุว่า
    1. หากใช้เส้นแนวเขตสำรวจอุทยานแห่งชาติทับลาน ปี 2543 ตามมติ ครม. เป็นแนวเขตทับลาน อช.ทับลาน จะเป็นการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติกว่า 164,960 ไร่ ผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ
    ...
    2. กระทบต่อรูปคดีที่กล่าวโทษดำเนินคดีไว้แล้วตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ 2504 และอยู่ระหว่างดำเนินการ เป็นนายทุน/ผู้ครอบครองรายใหม่ 470 ราย และเปลี่ยนแปลงพื้นที่ใช้ประโยชน์ 23 ราย เนื้อที่กว่า 11,083-3-20 ไร่
    ...
    3. เอื้อประโยชน์ต่อนายทุนให้มีการเข้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนมือเพื่อสร้างโรงแรม รีสอร์ท และบ้านพักตากอากาศเพิ่มมากขึ้น
    4. ลดคุณค่าความเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ: ผืนป่าแห่งนี้เป็นต้นน้ำลำธารที่ไหลหล่อเลี้ยงชุมชนโดยรอบ และเป็นพื้นที่ความหวังในการฟื้นฟูประชากรเสือโคร่ง
    ...
    5. เปิดโอกาสให้การใช้ประโยชน์ที่ดิน ขุด ถม อัด ตัดไม้ ทำลายสภาพพืชพรรณบริเวณนั้น ผิวดินขาดสิ่งปกคลุมในการรักษาความชุ่มชื้น และช่วยดูดซึมน้ำ จนส่งผลต่อการระบายน้ำตามธรรมชาติและอาจเกิดปัญหาน้ำท่วมอย่างฉับพลันในบริเวณพื้นที่ราบทางตอนล่างตอนช่วงฤดูฝน
    ...
    6. แหล่งที่อยู่อาศัย หากิน หรือเส้นทางอพยพเคลื่อนย้ายของสัตว์ป่า เนื่องจากกิจกรรมมนุษย์เข้าไปรบกวนสัตว์ป่าตามแนวเขตเกินความสามารถในการควบคุมในพื้นที่
    ลองตัดสินใจพิจารณาครับ
    ว่าเรา ควร Call Out หรือไม่
    #คิงส์โพธิ์แดง
    พี่คิงส์โพธิ์แดงได้ข้อมูลที่ตกผลึกมานำเสนอ ว่าทำไมต้อง Call Out #saveป่าทับลาน ล่าสุด มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้เปิดเผย 6 ผลกระทบ หากมีการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน กว่า 265,000 ไร่ โดยระบุว่า 1. หากใช้เส้นแนวเขตสำรวจอุทยานแห่งชาติทับลาน ปี 2543 ตามมติ ครม. เป็นแนวเขตทับลาน อช.ทับลาน จะเป็นการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติกว่า 164,960 ไร่ ผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ ... 2. กระทบต่อรูปคดีที่กล่าวโทษดำเนินคดีไว้แล้วตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ 2504 และอยู่ระหว่างดำเนินการ เป็นนายทุน/ผู้ครอบครองรายใหม่ 470 ราย และเปลี่ยนแปลงพื้นที่ใช้ประโยชน์ 23 ราย เนื้อที่กว่า 11,083-3-20 ไร่ ... 3. เอื้อประโยชน์ต่อนายทุนให้มีการเข้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนมือเพื่อสร้างโรงแรม รีสอร์ท และบ้านพักตากอากาศเพิ่มมากขึ้น 4. ลดคุณค่าความเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ: ผืนป่าแห่งนี้เป็นต้นน้ำลำธารที่ไหลหล่อเลี้ยงชุมชนโดยรอบ และเป็นพื้นที่ความหวังในการฟื้นฟูประชากรเสือโคร่ง ... 5. เปิดโอกาสให้การใช้ประโยชน์ที่ดิน ขุด ถม อัด ตัดไม้ ทำลายสภาพพืชพรรณบริเวณนั้น ผิวดินขาดสิ่งปกคลุมในการรักษาความชุ่มชื้น และช่วยดูดซึมน้ำ จนส่งผลต่อการระบายน้ำตามธรรมชาติและอาจเกิดปัญหาน้ำท่วมอย่างฉับพลันในบริเวณพื้นที่ราบทางตอนล่างตอนช่วงฤดูฝน ... 6. แหล่งที่อยู่อาศัย หากิน หรือเส้นทางอพยพเคลื่อนย้ายของสัตว์ป่า เนื่องจากกิจกรรมมนุษย์เข้าไปรบกวนสัตว์ป่าตามแนวเขตเกินความสามารถในการควบคุมในพื้นที่ ลองตัดสินใจพิจารณาครับ ว่าเรา ควร Call Out หรือไม่ #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 962 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts