• กรมการปกครองเคลียร์ชัด! ยัน "หลวงพ่ออลงกต" ไม่ได้มีเลขบัตรประชาชนซ้ำกับผู้เสียชีวิต ชี้ข้อมูลที่เผยแพร่ไม่เป็นความจริง
    https://www.thai-tai.tv/news/21095/
    .
    #กรมการปกครอง #หลวงพ่ออลงกต #ข่าวปลอม #ทะเบียนราษฎร #ข่าวประชาสัมพันธ์ #ไทยไท

    กรมการปกครองเคลียร์ชัด! ยัน "หลวงพ่ออลงกต" ไม่ได้มีเลขบัตรประชาชนซ้ำกับผู้เสียชีวิต ชี้ข้อมูลที่เผยแพร่ไม่เป็นความจริง https://www.thai-tai.tv/news/21095/ . #กรมการปกครอง #หลวงพ่ออลงกต #ข่าวปลอม #ทะเบียนราษฎร #ข่าวประชาสัมพันธ์ #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตามนี้!!

    ‘กรมการปกครอง’ โพสต์ชี้แจง กรณี ’เลขบัตรประจำตัวประชาชน‘ ของ ’หลวงพ่ออลงกต‘

    ตามที่ปรากฏข้อมูลจากสื่อมวลชนว่า “หลวงพ่ออลงกต มีเลขประจำตัวประชาชนตรงกับนายอลงกต พลมุข ซึ่งเป็นบุคคลที่เสียชีวิตแล้ว” นั้น

    สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้

    จากการตรวจสอบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรของกรมการปกครอง พบว่า

    พระราชวิสุทธิประชานาถ (อลงกต พูลมุข) หรือ หลวงพ่ออลงกต
    เลขประจำตัวประชาชน
    x-xxxx-xxx036-50-7
    (นามสกุล พูลมุข มีสระ อู)
    เกิดปี 2503

    นายอลงกต พลมุข (ผู้เสียชีวิตแล้ว)
    มีเลขประจำตัวประชาชน
    x-xxxx-xxx796-46-3
    (นามสกุล พลมุข ไม่มีสระ อู)
    เกิดปี 2505

    ทั้งนี้ รายการบุคคลทั้งสองมิใช่บุคคลคนเดียวกัน และเลขประจำตัวประชาชน ไม่ซ้ำกัน แต่อย่างใด

    ดังนั้น ข่าวที่เผยแพร่ว่าเลขบัตรประจำตัวประชาชนของหลวงพ่ออลงกตตรงกับบุคคลที่เสียชีวิต จึงไม่เป็นความจริง

    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ส่วนป้องกันและปราบปรามการทุจริตและบัตรประจำตัวประชาชน สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง 0 2791 7938
    ตามนี้!! ‘กรมการปกครอง’ โพสต์ชี้แจง กรณี ’เลขบัตรประจำตัวประชาชน‘ ของ ’หลวงพ่ออลงกต‘ ตามที่ปรากฏข้อมูลจากสื่อมวลชนว่า “หลวงพ่ออลงกต มีเลขประจำตัวประชาชนตรงกับนายอลงกต พลมุข ซึ่งเป็นบุคคลที่เสียชีวิตแล้ว” นั้น สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้ จากการตรวจสอบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรของกรมการปกครอง พบว่า พระราชวิสุทธิประชานาถ (อลงกต พูลมุข) หรือ หลวงพ่ออลงกต เลขประจำตัวประชาชน x-xxxx-xxx036-50-7 (นามสกุล พูลมุข มีสระ อู) เกิดปี 2503 นายอลงกต พลมุข (ผู้เสียชีวิตแล้ว) มีเลขประจำตัวประชาชน x-xxxx-xxx796-46-3 (นามสกุล พลมุข ไม่มีสระ อู) เกิดปี 2505 ทั้งนี้ รายการบุคคลทั้งสองมิใช่บุคคลคนเดียวกัน และเลขประจำตัวประชาชน ไม่ซ้ำกัน แต่อย่างใด ดังนั้น ข่าวที่เผยแพร่ว่าเลขบัตรประจำตัวประชาชนของหลวงพ่ออลงกตตรงกับบุคคลที่เสียชีวิต จึงไม่เป็นความจริง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ส่วนป้องกันและปราบปรามการทุจริตและบัตรประจำตัวประชาชน สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง 0 2791 7938
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..กฎหมายให้สัญชาติคนต่างชาติ เขียนออกมาหรือตีตราออกมาล้วนเป็นไปเพื่อไม่รักษาอธิปไตยความมั่นคงทางเผ่าพันธุ์คนไทยตนเองเลย,อย่างน้อยพื้นฐานคือต้องเกิดบนแผ่นดินไทยของคนต่างชาติที่มาคลอดลูกในไทยโดยบังเอิญมิใช่ตั้งใจมาเพื่ออยากได้สัญชาติไทยจะยุติสัญชาติเชื้อสายดั่งเดิมได้,ให้เลือกแค่1สัญชาติเท่านั้นคือไทยหรือตามพ่อตามแม่กรณีบังเอิญมาเกิดบนแผ่นดินไทย จะสามารถมีสิทธิเสรีให้โอกาสเลือก,ต่างจากตั้งใจมาคลอดลูกในไทยจะผลักดันกลับไปทันที,และต่างชาติที่มีอายุทารกในท้องเกิน6เดือนห้ามเข้าประเทศไทยทันทีจะตัดตอนได้,การถือ2สัญชาติคือกฎหมายอัปรีย์ทำลายความมั่นคงทางอธิปไตยไทยชัดเจนไร้ความมั่นใจจะมาสมัครสมานสามัคคีร่วมกันคนไทยสัญชาติไทยจริงพร้อมทรยศแผ่นดินไทยได้ทุกเมื่อและพร้อมกับไปรับไปเป็นสัญชาติเดิมที่ไม่ยกเลิกนั้น,นั้นคือมาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางวัตถุและทางมิดีในไทยได้อย่างราบรื่นแค่นััน,นักการเมืองมีสองสัญชาติยิ่งอันตรายแบบในอดีตจนสูงสุดเป็นถึงนายกฯประเทศไทย นัยยะการปฏิบัติยิ่งอันตรายสามารถทรยศเข้าด้วยกับศัตรูแล้วหนีภัยทางการเมืองไปประเทศสัญชาติที่2นั้นง่ายดายหลังจากทรยศหักหลังกับแผ่นดินอีกสัญชาติหนึ่ง,หรือเป็นไส้ศึกของข้าศึกศัตรูของบ้านของเมืองได้ง่ายจากการใช้สิทธิในการเข้าถึงใดๆเสมือนคนไทยสัญชาติไทยมีบัตรประชาชนชาวไทยจริง,
    ..กฎหมายสัญชาติต้องฉีกทิ้งทั้งหมด เขียนใหม่ว่า เป็นพ่อแม่คนไทย เกิดจากพ่อแม่คนไทยบนแผ่นดินไทยเท่านั้นคือตัวหลัก,ต่อจึงอนุโลมลูกเกิดบนแผ่นดินไทยแต่พ่อแม่ อาจเป็นคนต่างชาติได้เพื่อมนุษยธรรม เช่น พ่อเป็นไทย แม่เป็นคนต่างชาติที่ได้สัญชาติไทยแล้วที่1,ที่2อาจยังไม่ได้สัญชาติไทยกรณีรักกันจริง,และห้ามฝ่ายชายมีหญิงอื่นเด็ดขาด,ค้ำประกันฝ่ายหญิงต่างชาตินั้นๆมิให้ถูกหลอกลวง และแม่ต่างชาตินั้นสามารถมีสัญชาติไทยได้ทันทีและทิ้งสัญชาติเดิมตนทันทีเช่นกันแม้หย่าร้างก็ให้สิทธิเป็นสัญชาติไทยตลอดชีพ, หรือแม่เป็นคนไทยสัญชาติไทย สามีเป็นต่างชาติสามีต้องรักแม่คนเดียว,หากมีเมียคนใหม่ ความเป็นสัญชาติไทยจะสิ้นสุดทันทีป้องกันหญิงไทยถูกหลอกลวง,ไม่สามารถเป็นสัญชาติไทยตลอดชีพได้ ตัดสินใจแล้วมารักคนไทยหญิงไทยเราต้องปกป้องคนไทยด้วย,ที่เหลือจากเคสนี้มิอาจให้สัญชาติไทยได้อีกจะอยู่เป็น100ปีบนแผ่นดินไทยก็ให้ไม่ได้,ฝรั่งมาเดินเล่นๆออกๆเข้า5ปี15ปี20ปีอ้างแสวงหาประโยชน์มากมายบนแผ่นดินไทยอยากได้สัญชาติ มาอยู่ลักษณะนี้ใช้ไม่ได้ที่คนเขียนกฎหมายจะเขียนอัปรีย์ทรยศแบบนี้,นี้คือนัยยะให้สัญชาติง่ายดายนั้นล่ะ,เอาเงื่อนเวลาการอาศัยอยู่แดกในไทยมาอ้างแดกตลอดชีพทรยศเป็นไส้ศึกตลอดชีพก็ได้ พอจับถึงความผิดได้ก็แค่ย้ายคืนกลับไปเป็นอีกสัญชาติเดิมตนแต่ทิ้งความชิปหายบรรลัยไว้มากมายบนแผ่นดินไทย,เช่นสมมุติว่า เผาเลยพี่น้อง ผมจะรับผิดชอบเอง เกิดการเผาจริง บินหนีออกนอกประเทศเสีย สาระพัดไปมีสัญชาติอื่นทั่วโลกหลังจากทำความชิปหายบนแผ่นดินไทยหรือขุดเอาผลประโยชน์จากแผ่นดินไทยไปหมดแล้ว,ไร้รักแผ่นดินไทยห่าเหวอะไร ต่างจากคนไทยที่เกิดตายจริงบนแผ่นดินไทยตนนี้ที่พ่อแม่คือคนไทยสัญชาติไทยส่งต่อจริงจากรุ่นสู่รุ่น,และเรามิได้ป่าดงแบบในอดีต ไม่เจริญเหมือนในอดีตทะเบียนราษฎร์ก็ยังไม่จัดทำขึ้น,และตอนนี้สมบูรณ์แล้ว100%ที่ล่าสุดยุคสุดท้ายเก็บตกสำรวจคนภูคนดอยคนเขาครชายขอบตกสำรวจการเป็นคนไทยล่าสุด เรายื่นโอกาสสุดท้ายจบแล้วแก่การมีสัญชาติไทยกว่า400,000คนได้สัญชาติไทยใหม่ที่ตกสำรวจหรือลี้ภัยหนีเข้าไทยมานานก็ตาม เราประเทศไทยยื่นโอกาสการเป็นคนไทยแล้วครัังสุดท้าย,จึงกฎหมายสัญชาติไทยต้องเด็ดขาดจริงมิใช่เขียนเลอะเทอะแบบปัจจุบันและสมควรฉีกทิ้งด้วย,เขียนใหม่แบบที่ว่าชัดเจนแล้ว,จะให้โอกาสต่างชาติมามีสัญชาติไทยง่ายๆใช้ไม่ได้ มี2สัญชาติอีก บัดสบสมองหมาปัญญาควายคนเขียนตีตราออกมายกมือลงมติมากๆ,ฝันไปเลยว่าคนพวกนี้จะไม่ทรยศแผ่นดินไทยกูทำผิดบนแผ่นดินนี้ก็หนีไปแผ่นดินเดิมของกูมันว่าแบบนี้สบายมาก,จะสามัคคีฝันไปเลยเหมือนคนไทยสร้างสามัคคีมันง่ายต่างกันมากเพราะเราถอยไปไหนไม่ได้อีกแล้วนั้นเอง.บ้านใครใครก็รัก เสือกให้ใครที่ไหนไม่รู้มาร่วมมาแดกในบ้านของตนแล้วหนีกลับบ้านมันสบายๆเมื่อสร้างสาระพะดเหี้ยชิปหายในไทยก็ว่า.

    https://youtube.com/watch?v=k4nUGdpxedw&si=xltAkOsHxwqnszY4
    ..กฎหมายให้สัญชาติคนต่างชาติ เขียนออกมาหรือตีตราออกมาล้วนเป็นไปเพื่อไม่รักษาอธิปไตยความมั่นคงทางเผ่าพันธุ์คนไทยตนเองเลย,อย่างน้อยพื้นฐานคือต้องเกิดบนแผ่นดินไทยของคนต่างชาติที่มาคลอดลูกในไทยโดยบังเอิญมิใช่ตั้งใจมาเพื่ออยากได้สัญชาติไทยจะยุติสัญชาติเชื้อสายดั่งเดิมได้,ให้เลือกแค่1สัญชาติเท่านั้นคือไทยหรือตามพ่อตามแม่กรณีบังเอิญมาเกิดบนแผ่นดินไทย จะสามารถมีสิทธิเสรีให้โอกาสเลือก,ต่างจากตั้งใจมาคลอดลูกในไทยจะผลักดันกลับไปทันที,และต่างชาติที่มีอายุทารกในท้องเกิน6เดือนห้ามเข้าประเทศไทยทันทีจะตัดตอนได้,การถือ2สัญชาติคือกฎหมายอัปรีย์ทำลายความมั่นคงทางอธิปไตยไทยชัดเจนไร้ความมั่นใจจะมาสมัครสมานสามัคคีร่วมกันคนไทยสัญชาติไทยจริงพร้อมทรยศแผ่นดินไทยได้ทุกเมื่อและพร้อมกับไปรับไปเป็นสัญชาติเดิมที่ไม่ยกเลิกนั้น,นั้นคือมาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางวัตถุและทางมิดีในไทยได้อย่างราบรื่นแค่นััน,นักการเมืองมีสองสัญชาติยิ่งอันตรายแบบในอดีตจนสูงสุดเป็นถึงนายกฯประเทศไทย นัยยะการปฏิบัติยิ่งอันตรายสามารถทรยศเข้าด้วยกับศัตรูแล้วหนีภัยทางการเมืองไปประเทศสัญชาติที่2นั้นง่ายดายหลังจากทรยศหักหลังกับแผ่นดินอีกสัญชาติหนึ่ง,หรือเป็นไส้ศึกของข้าศึกศัตรูของบ้านของเมืองได้ง่ายจากการใช้สิทธิในการเข้าถึงใดๆเสมือนคนไทยสัญชาติไทยมีบัตรประชาชนชาวไทยจริง, ..กฎหมายสัญชาติต้องฉีกทิ้งทั้งหมด เขียนใหม่ว่า เป็นพ่อแม่คนไทย เกิดจากพ่อแม่คนไทยบนแผ่นดินไทยเท่านั้นคือตัวหลัก,ต่อจึงอนุโลมลูกเกิดบนแผ่นดินไทยแต่พ่อแม่ อาจเป็นคนต่างชาติได้เพื่อมนุษยธรรม เช่น พ่อเป็นไทย แม่เป็นคนต่างชาติที่ได้สัญชาติไทยแล้วที่1,ที่2อาจยังไม่ได้สัญชาติไทยกรณีรักกันจริง,และห้ามฝ่ายชายมีหญิงอื่นเด็ดขาด,ค้ำประกันฝ่ายหญิงต่างชาตินั้นๆมิให้ถูกหลอกลวง และแม่ต่างชาตินั้นสามารถมีสัญชาติไทยได้ทันทีและทิ้งสัญชาติเดิมตนทันทีเช่นกันแม้หย่าร้างก็ให้สิทธิเป็นสัญชาติไทยตลอดชีพ, หรือแม่เป็นคนไทยสัญชาติไทย สามีเป็นต่างชาติสามีต้องรักแม่คนเดียว,หากมีเมียคนใหม่ ความเป็นสัญชาติไทยจะสิ้นสุดทันทีป้องกันหญิงไทยถูกหลอกลวง,ไม่สามารถเป็นสัญชาติไทยตลอดชีพได้ ตัดสินใจแล้วมารักคนไทยหญิงไทยเราต้องปกป้องคนไทยด้วย,ที่เหลือจากเคสนี้มิอาจให้สัญชาติไทยได้อีกจะอยู่เป็น100ปีบนแผ่นดินไทยก็ให้ไม่ได้,ฝรั่งมาเดินเล่นๆออกๆเข้า5ปี15ปี20ปีอ้างแสวงหาประโยชน์มากมายบนแผ่นดินไทยอยากได้สัญชาติ มาอยู่ลักษณะนี้ใช้ไม่ได้ที่คนเขียนกฎหมายจะเขียนอัปรีย์ทรยศแบบนี้,นี้คือนัยยะให้สัญชาติง่ายดายนั้นล่ะ,เอาเงื่อนเวลาการอาศัยอยู่แดกในไทยมาอ้างแดกตลอดชีพทรยศเป็นไส้ศึกตลอดชีพก็ได้ พอจับถึงความผิดได้ก็แค่ย้ายคืนกลับไปเป็นอีกสัญชาติเดิมตนแต่ทิ้งความชิปหายบรรลัยไว้มากมายบนแผ่นดินไทย,เช่นสมมุติว่า เผาเลยพี่น้อง ผมจะรับผิดชอบเอง เกิดการเผาจริง บินหนีออกนอกประเทศเสีย สาระพัดไปมีสัญชาติอื่นทั่วโลกหลังจากทำความชิปหายบนแผ่นดินไทยหรือขุดเอาผลประโยชน์จากแผ่นดินไทยไปหมดแล้ว,ไร้รักแผ่นดินไทยห่าเหวอะไร ต่างจากคนไทยที่เกิดตายจริงบนแผ่นดินไทยตนนี้ที่พ่อแม่คือคนไทยสัญชาติไทยส่งต่อจริงจากรุ่นสู่รุ่น,และเรามิได้ป่าดงแบบในอดีต ไม่เจริญเหมือนในอดีตทะเบียนราษฎร์ก็ยังไม่จัดทำขึ้น,และตอนนี้สมบูรณ์แล้ว100%ที่ล่าสุดยุคสุดท้ายเก็บตกสำรวจคนภูคนดอยคนเขาครชายขอบตกสำรวจการเป็นคนไทยล่าสุด เรายื่นโอกาสสุดท้ายจบแล้วแก่การมีสัญชาติไทยกว่า400,000คนได้สัญชาติไทยใหม่ที่ตกสำรวจหรือลี้ภัยหนีเข้าไทยมานานก็ตาม เราประเทศไทยยื่นโอกาสการเป็นคนไทยแล้วครัังสุดท้าย,จึงกฎหมายสัญชาติไทยต้องเด็ดขาดจริงมิใช่เขียนเลอะเทอะแบบปัจจุบันและสมควรฉีกทิ้งด้วย,เขียนใหม่แบบที่ว่าชัดเจนแล้ว,จะให้โอกาสต่างชาติมามีสัญชาติไทยง่ายๆใช้ไม่ได้ มี2สัญชาติอีก บัดสบสมองหมาปัญญาควายคนเขียนตีตราออกมายกมือลงมติมากๆ,ฝันไปเลยว่าคนพวกนี้จะไม่ทรยศแผ่นดินไทยกูทำผิดบนแผ่นดินนี้ก็หนีไปแผ่นดินเดิมของกูมันว่าแบบนี้สบายมาก,จะสามัคคีฝันไปเลยเหมือนคนไทยสร้างสามัคคีมันง่ายต่างกันมากเพราะเราถอยไปไหนไม่ได้อีกแล้วนั้นเอง.บ้านใครใครก็รัก เสือกให้ใครที่ไหนไม่รู้มาร่วมมาแดกในบ้านของตนแล้วหนีกลับบ้านมันสบายๆเมื่อสร้างสาระพะดเหี้ยชิปหายในไทยก็ว่า. https://youtube.com/watch?v=k4nUGdpxedw&si=xltAkOsHxwqnszY4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 376 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..กฎหมายไทยเรามากมายเลอะเทอะจริงๆ,ดูกันจริงๆอีลิทdeep stateท่านลอร์ดมันต้องการปิดหูปิดตาปิดปากประชาชนแบบหน้ากากอนามัยยุคโควิดนั้นล่ะ สัญลักษณ์ทาสที่ต้องให้มันเป็นนายอย่างเดียวแค่นั้น,มโนเล่นๆส่วนตัวถ้าได้เป็นนายกฯจะฉีกทิ้งกฎหมายลักษณะนี้ทั้งหมด,ประชาชนคนไทยสามารถแสดงออกเสรี,จะประท้วงขับไล่ใครก็เชิญตามสบาย,คนผิดจริงจะอยู่ทนไม่ได้เอง,แต่ถ้าไม่จริงคนประท้วงเตรียมอักเสบได้เลยร่วมทั้งพวกอยู่เบื้องหลังทั้งหมดที่รังแกคนดีคนกระทำไม่ดีต่อคนชั่วนั้นๆ.แล้วแกล้งมาตีร่วนใส่ร้ายคนดี,ยกเลิกพรบ.จราจรที่กดขี่ปล้นตังประชาชนในลักษณะค่าปรับค่าธรรมเนียมต่างๆด้วย,พรบ.ชุมนุมทั้งหมดก็ด้วย,ยกเลิกหมด,เพราะอีลิทสร้างมาเพื่อบีบคอประชาชนผู้บริสุทธิ์ห้ามมาต่อต้านทุกๆกรณีนั่นเอง,แม้เปิดโอกาสให้แบบนี้ก็ผิดวิถีธรรมชาติการแสดงออกอย่างอิสระเสรีภาพของประชาชน,เพราะการประท้วงชุมนุน หากไม่เข้าตาจริงๆประชาชนเขาไม่รวมตัวกันขับไล่ชุมนุมอะไรหรอก,ยุคสมัยหน้าใครขึ้นเป็นนายกฯต้องล้างทิ้งกฎหมายมากมายที่อีลิทเขียนเพื่อสนองความต้องการมันด้วยเผาทิ้งทั้งหมด,ประชาชนต้องมาก่อน.
    ..การชุมนุมจะมีประสิทธิภาพคือแกนนำต้องแฉเต็มที่แบบในอดีตมิใช่พรบ.ชุมนุมกดประชาชนไว้แบบนี้ อนาคตจึงเผาทิ้งเลยกฎหมายแบบนี้,
    ..สรุปแกนนำปัจจุบันทั้งหมดสามารถชอบธรรมจากประชาชนแบบเราตั้งตนเองเป็นทีมงานพิเศษขึ้นเป็นคณะบริหารชาติแทนรัฐบาลปัจจุบันเลย,พักงานสถาบันภาคนักการเมืองทดบองวิจัยดูสัก5ปี1สมัยดูใครจะบริหารจัดการได้ยอดเยี่ยมกว่าระหว่างทีมมวลมหาประชาชนทางสายอำนาจตรงที่ยึดคืนจากสถาบันนักเลือกตั้งมา,เป็นประชาชนสนับสนุนทางตรงให้แกนนำในเวลานี้ตั้งตนเองขึ้นเป็นนายกฯเป็นทีมคณะพิเศษบริหารประเทศ,เพราะโคตรหลากหลายคณะประท้วงชุมนุมกันเลย จนเป็นสีเสื้อเพื่อชาติไทยเราแล้วในปัจจุบัน นี้คือการพึ่งพาตนเองของแทน ไม่พึ่งพานักการเมืองเป็นตัวแทนของประชาชนแล้ว,อนาคตเราตั้งสำนักงานชุมชนประจำหมู่บ้าน80,000หมู่บ้านชุมชนทั่วประเทศไทยเลย,ส่งกรณีทุกๆปัญหาที่ประชาชนเจอหน้างานจริงมาให้ทีมย่อยทีมหลักชาติแก้ไขปัญหาทางตรงได้เลย ระดับบนจะประสานงานแก้ไขให้ทันทีเช่นราคาปุ๋ยๆแพง,เสรีนำเข้าปุ๋ยโดยรัฐบาลภาคประชาชนเป็นเจ้างานเลย,ยึดบ่อน้ำมัน เอาปุ๋ย21-0-0แจกฟรีแก่ประชาชนชาวเกษตรกรและคนทั่วไปได้เลย,หรือในราคาถูกที่สุด กก.ละ1บาทก็ว่าไป.เป็นต้น,สำนักงานสาขาประจำหมู่บ้านคือยามของแผ่นดินภาคประชาชนเลยล่ะ,เขมรบุกพื้นที่ ชาวบ้านต่อสายประสานสำนักงานหมู่บ้าน,สำนักงานหมู่บ้านประสานตรงหน่วยงานที่เกี่ยงข้องทันทีและรายงานศูนย์ใหญ่ด้วยเรียลไทม์นี้ทันกาลทันเวลาเลย,อัดงบไปเท่าไร,ความมั่นคงจะระดับชาติทันที.
    ..คนกรุงฯคนกทม.คนติดพื้นที่และปริมลฑลไปกันและร่วมกันเยอะๆเลย ใครมีอะไรสะดวกประหยัดตามอัตภาพไปเลย,มีโรงทานของกินเครื่องดื่มอาหารเพิ่มพลังหนุนกันอีกยิ่งดี,น่าจะกว่า10ล้านคนได้แค่ประชากรที่ประเมินคราวๆนะตามทะเบียนราษฎร์,ไม่รวมแรงงานคนไทยเราจากทั่วไปเข้ากรุงฯและอยู่รอบๆปริมลฑลอีก,ไม่รวมผู้รักชาติท่านอื่นๆที่เดินทางเข้าร่วมเป็นคณะรถทัวร์รถบัสรถไฟเดินทางจากสาระทิศทั่วไทยไปร่วมกันเยอะๆที่สถานที่นักมัดนี้ จะเแ็นดวงตาปีศาจของเหี้ยอีลิทมารซาตานสร้างไว้ก็ตาม,ทำตามันแตกเลย,แดกพลังงานมากเกินจนตาปีศาจแตกก็ว่า,และจริงๆทหารพระราชาเราต้องยึดอำนาจแล้วมอบให้ภาคประชาชนแบบชุดคณะชุมนุมปัจจุบันนี้ร่วมกันบริหารประเทศเลย,โดยมีทหารเองก็ยืนอยร่วมเคียงข้างประชาชนในเวลาขณะเดียวกันนั้นไปด้วย,สมบูรณ์แบบกันเลย,เรียกคน จัดตั้งทัพรบทั้งทางเศรษฐกิจ ทางอื่นๆใดๆง่ายไปหมดเพราะเป็นภาวะอัยการศึกของประชาชนร่วมกับทหารยึดอำนาจนั้นเอง.,เรา..ประชาชนคนไทยคือตำนานและเจ้าแรกในโลกที่มีการกระทำการได้แบบนี้,ปฐมบทการก้าวสู่ยุคทองของคนไทยและประเทศไทยจริงก็ว่า,ทิ้งสถาบันการเมืองแบบเดิมๆเหี้ยๆฉิบหายอย่างเดียวเอาแต่ขายชาติคตโกงโกงกินบ้านโกงกินเมืองโกงกินประชาชนฝ่ายเดียวทิ้งพวกมันไว้ข้างหลังทั่งหมดและอยู่ประจำคุกgitmoสาขาประเทศไทยด้วยทุกๆตัว.


    https://youtu.be/yPDJCfFSJ90?si=7RkBsGM8xBCopjIj
    ..กฎหมายไทยเรามากมายเลอะเทอะจริงๆ,ดูกันจริงๆอีลิทdeep stateท่านลอร์ดมันต้องการปิดหูปิดตาปิดปากประชาชนแบบหน้ากากอนามัยยุคโควิดนั้นล่ะ สัญลักษณ์ทาสที่ต้องให้มันเป็นนายอย่างเดียวแค่นั้น,มโนเล่นๆส่วนตัวถ้าได้เป็นนายกฯจะฉีกทิ้งกฎหมายลักษณะนี้ทั้งหมด,ประชาชนคนไทยสามารถแสดงออกเสรี,จะประท้วงขับไล่ใครก็เชิญตามสบาย,คนผิดจริงจะอยู่ทนไม่ได้เอง,แต่ถ้าไม่จริงคนประท้วงเตรียมอักเสบได้เลยร่วมทั้งพวกอยู่เบื้องหลังทั้งหมดที่รังแกคนดีคนกระทำไม่ดีต่อคนชั่วนั้นๆ.แล้วแกล้งมาตีร่วนใส่ร้ายคนดี,ยกเลิกพรบ.จราจรที่กดขี่ปล้นตังประชาชนในลักษณะค่าปรับค่าธรรมเนียมต่างๆด้วย,พรบ.ชุมนุมทั้งหมดก็ด้วย,ยกเลิกหมด,เพราะอีลิทสร้างมาเพื่อบีบคอประชาชนผู้บริสุทธิ์ห้ามมาต่อต้านทุกๆกรณีนั่นเอง,แม้เปิดโอกาสให้แบบนี้ก็ผิดวิถีธรรมชาติการแสดงออกอย่างอิสระเสรีภาพของประชาชน,เพราะการประท้วงชุมนุน หากไม่เข้าตาจริงๆประชาชนเขาไม่รวมตัวกันขับไล่ชุมนุมอะไรหรอก,ยุคสมัยหน้าใครขึ้นเป็นนายกฯต้องล้างทิ้งกฎหมายมากมายที่อีลิทเขียนเพื่อสนองความต้องการมันด้วยเผาทิ้งทั้งหมด,ประชาชนต้องมาก่อน. ..การชุมนุมจะมีประสิทธิภาพคือแกนนำต้องแฉเต็มที่แบบในอดีตมิใช่พรบ.ชุมนุมกดประชาชนไว้แบบนี้ อนาคตจึงเผาทิ้งเลยกฎหมายแบบนี้, ..สรุปแกนนำปัจจุบันทั้งหมดสามารถชอบธรรมจากประชาชนแบบเราตั้งตนเองเป็นทีมงานพิเศษขึ้นเป็นคณะบริหารชาติแทนรัฐบาลปัจจุบันเลย,พักงานสถาบันภาคนักการเมืองทดบองวิจัยดูสัก5ปี1สมัยดูใครจะบริหารจัดการได้ยอดเยี่ยมกว่าระหว่างทีมมวลมหาประชาชนทางสายอำนาจตรงที่ยึดคืนจากสถาบันนักเลือกตั้งมา,เป็นประชาชนสนับสนุนทางตรงให้แกนนำในเวลานี้ตั้งตนเองขึ้นเป็นนายกฯเป็นทีมคณะพิเศษบริหารประเทศ,เพราะโคตรหลากหลายคณะประท้วงชุมนุมกันเลย จนเป็นสีเสื้อเพื่อชาติไทยเราแล้วในปัจจุบัน นี้คือการพึ่งพาตนเองของแทน ไม่พึ่งพานักการเมืองเป็นตัวแทนของประชาชนแล้ว,อนาคตเราตั้งสำนักงานชุมชนประจำหมู่บ้าน80,000หมู่บ้านชุมชนทั่วประเทศไทยเลย,ส่งกรณีทุกๆปัญหาที่ประชาชนเจอหน้างานจริงมาให้ทีมย่อยทีมหลักชาติแก้ไขปัญหาทางตรงได้เลย ระดับบนจะประสานงานแก้ไขให้ทันทีเช่นราคาปุ๋ยๆแพง,เสรีนำเข้าปุ๋ยโดยรัฐบาลภาคประชาชนเป็นเจ้างานเลย,ยึดบ่อน้ำมัน เอาปุ๋ย21-0-0แจกฟรีแก่ประชาชนชาวเกษตรกรและคนทั่วไปได้เลย,หรือในราคาถูกที่สุด กก.ละ1บาทก็ว่าไป.เป็นต้น,สำนักงานสาขาประจำหมู่บ้านคือยามของแผ่นดินภาคประชาชนเลยล่ะ,เขมรบุกพื้นที่ ชาวบ้านต่อสายประสานสำนักงานหมู่บ้าน,สำนักงานหมู่บ้านประสานตรงหน่วยงานที่เกี่ยงข้องทันทีและรายงานศูนย์ใหญ่ด้วยเรียลไทม์นี้ทันกาลทันเวลาเลย,อัดงบไปเท่าไร,ความมั่นคงจะระดับชาติทันที. ..คนกรุงฯคนกทม.คนติดพื้นที่และปริมลฑลไปกันและร่วมกันเยอะๆเลย ใครมีอะไรสะดวกประหยัดตามอัตภาพไปเลย,มีโรงทานของกินเครื่องดื่มอาหารเพิ่มพลังหนุนกันอีกยิ่งดี,น่าจะกว่า10ล้านคนได้แค่ประชากรที่ประเมินคราวๆนะตามทะเบียนราษฎร์,ไม่รวมแรงงานคนไทยเราจากทั่วไปเข้ากรุงฯและอยู่รอบๆปริมลฑลอีก,ไม่รวมผู้รักชาติท่านอื่นๆที่เดินทางเข้าร่วมเป็นคณะรถทัวร์รถบัสรถไฟเดินทางจากสาระทิศทั่วไทยไปร่วมกันเยอะๆที่สถานที่นักมัดนี้ จะเแ็นดวงตาปีศาจของเหี้ยอีลิทมารซาตานสร้างไว้ก็ตาม,ทำตามันแตกเลย,แดกพลังงานมากเกินจนตาปีศาจแตกก็ว่า,และจริงๆทหารพระราชาเราต้องยึดอำนาจแล้วมอบให้ภาคประชาชนแบบชุดคณะชุมนุมปัจจุบันนี้ร่วมกันบริหารประเทศเลย,โดยมีทหารเองก็ยืนอยร่วมเคียงข้างประชาชนในเวลาขณะเดียวกันนั้นไปด้วย,สมบูรณ์แบบกันเลย,เรียกคน จัดตั้งทัพรบทั้งทางเศรษฐกิจ ทางอื่นๆใดๆง่ายไปหมดเพราะเป็นภาวะอัยการศึกของประชาชนร่วมกับทหารยึดอำนาจนั้นเอง.,เรา..ประชาชนคนไทยคือตำนานและเจ้าแรกในโลกที่มีการกระทำการได้แบบนี้,ปฐมบทการก้าวสู่ยุคทองของคนไทยและประเทศไทยจริงก็ว่า,ทิ้งสถาบันการเมืองแบบเดิมๆเหี้ยๆฉิบหายอย่างเดียวเอาแต่ขายชาติคตโกงโกงกินบ้านโกงกินเมืองโกงกินประชาชนฝ่ายเดียวทิ้งพวกมันไว้ข้างหลังทั่งหมดและอยู่ประจำคุกgitmoสาขาประเทศไทยด้วยทุกๆตัว. https://youtu.be/yPDJCfFSJ90?si=7RkBsGM8xBCopjIj
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 551 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพื่อนเพจที่ได้อ่านนิยาย/ดูละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> คงจำได้ว่า เป็นเรื่องราวแนวสืบสวนที่พูดถึงการใช้ข้อมูลจากบันทึกและทะเบียนต่างๆ มาใช้ในการแกะรอยคนร้าย มีหลายประเด็นที่ทำให้ Storyฯ สงสัยเลยต้องไปหาข้อมูลมาเพิ่ม

    เรื่องที่จะเล่าวันนี้มีความ ‘เอ๊ะ’ ตรงไหน เรามาดูจากคำพูดข้างล่างจากในละครเรื่องนี้
    ... สวีปินกล่าว “จากบันทึกทะเบียนบ้านของคนผู้นี้ เขาย้ายมาฉางอันเมื่อปีที่ยี่สิบหกในรัชศกก่อน จดทะเบียนในนามหลงปอ ต่อมาย้ายบ้านหลายครา เมื่อปีที่แล้วย้ายเข้าหวยหย่วนฟาง ที่ดูน่าสงสัยคือ เมื่อปลายปีรัชศกเทียนเป่าปีที่สอง มีการจัดทำสมุดทะเบียนใหม่ กำหนดให้ใส่รายละเอียดใบหน้าให้ชัดเจน แต่ทะเบียนของหลงปอยังคงเป็นทะเบียนเก่าสมัยรัชศกก่อน ไม่เคยระบุรายละเอียดหน้าตา”...

    เพื่อนเพจสงสัยเหมือนกันไหมว่า ทะเบียนราษฎร์ในสมัยราชวงศ์ถัง (รัชศกเทียนเป่าคือช่วงปีค.ศ. 742-756) ถึงขนาดมีรายละเอียดใบหน้าชัดเจนเชียวหรือ?

    ไปค้นข้อมูลมาจึงพบว่า การนับจำนวนประชากรในจีนโบราณมีมาตั้งแต่กว่าสองพันปีก่อนคริสตกาล เดิมเป็นการจัดเก็บข้อมูลเพื่อไว้เพื่อช่วยเหลือคนในยามเกิดอุทกภัยน้ำท่วม ไม่ปรากฏข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นเพียงการนับจำนวนประชากรหรือมีการบันทึกรายละเอียดมากกว่านั้น แต่ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก (ปี 1045-771 ก่อนคริสตกาล) มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์ทุกสามปี รายละเอียดที่บันทึกไว้รวมถึงวันเกิด วันตาย เพศ และที่อยู่ของประชาชน

    ในสมัยฉิน มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์อย่างเข้มงวด นอกจากรายละเอียดข้างต้นยังมีการระบุเจ้าบ้าน ชื่อสามี-ภรรยา โดยวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อใช้ในการเก็บภาษีและเกณฑ์ทหาร

    ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 221) ประชาชนมีหน้าที่รายงานข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในครอบครัวทุกปี โดยข้อมูลจะถูกตรวจสอบโดยทางการท้องถิ่นอีกครั้งก่อนจะรวบรวมส่งทางการส่วนกลาง รายละเอียดที่บันทึกรวมถึงชื่อแซ่ อายุ ภูมิลำเนาเดิม สถานะสมรส รายละเอียดหน้าตา รายได้ และจำนวนพื้นที่ของที่ดินที่ถือครอง หากจะย้ายบ้าน ต้องทำการรายงานกับที่ว่าการท้องถิ่นก่อนจึงจะย้ายออกได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนพเนจร ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย (คือโดนฆ่าตายก็ไม่มีการสืบสวนเอาผิดคนฆ่า) ว่ากันว่าทะเบียนราษฏร์สมัยราชวงศ์ฮั่นนี้ละเอียดถูกต้องเชื่อถือได้มากกว่าครั้งใดที่จีนเคยทำมาในอดีต

    การจัดทำทะเบียนราษฎร์มีต่อมาเรื่อยๆ และมีการลงรายละเอียดมากขึ้นในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ซึ่งเรื่องราวของ <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> เกิดขึ้นในสมัยนี้) ในสมัยนั้น ทะเบียนราษฎร์คือการสรุปรวมข้อมูลของทะเบียนบ้านหรือที่เรียกว่า ‘โส่วสือ’ (手实) มีการจัดแยกหมวดหมู่ตามสถานะ กล่าวคือเป็นเจ้าบ้าน เป็นสมาชิกของตระกูล หรือเป็นผู้อยู่อาศัยในเรือนเช่นทาส บ่าว นักดนตรี ฯลฯ และมีการบันทึกรายละเอียดเพิ่มเติมของรูปพรรณสัณฐาน เช่นส่วนสูง สีผิว เป็นต้น โดยมีเพียงสมาชิกของตระกูลเท่านั้นที่จะมีสิทธิแยกออกมาจัดตั้งครัวเรือนใหม่ได้ (Storyฯ เพิ่งเข้าใจบริบทที่ว่าบางนิยายจีนโบราณกล่าวถึงการ ‘แยกบ้าน’ ของคนในตระกูลเดียวกันที่ฟังดูเป็นเรื่องราวใหญ่โต) สำหรับชาวไร่ชาวนา ข้อมูลจากโส่วสือยังถูกใช้ในการจัดสรรที่ดินทำกิน โดยอิงตามจำนวนสมาชิกในบ้าน

    ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิง มีการลงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกคืออาชีพของคนในบ้าน เช่น นายช่าง ทหาร หรือข้าราชการ ฯลฯ และมีรายละเอียดรายรับและสินทรัพย์ของแต่ละคนเพิ่มเติม เช่นจำนวนที่ดิน บ้าน ร้านค้า รถม้า เรือ ฯลฯ ทะเบียนราษฎร์นี้เรียกว่า ‘หวงเช่อ’ (黄册) แปลตรงตัวว่าสมุดเหลือง เพราะมักใช้ปกสีเหลือง (โนว์... ไม่ใช่สมุดโทรศัพท์ Yellow Pages จ้า) อีกทั้งการนำข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์มาใช้เพิ่มดีกรีความเข้มข้น ใครจะเดินทางต้องพกเอกสารใบอนุญาตที่มีข้อมูลประจำตัวและบ้าน (Storyฯ นึกถึงในละครที่จะผ่านประตูเมืองแต่ละครั้งต้องควักเอกสารออกมาฉบับหนึ่ง)

    Storyฯ รู้สึกทึ่งว่า แบบแผนการบริหารงานบ้านเมืองในโลกปัจจุบัน จริงๆ แล้วไม่ได้หนีจากของโบราณที่มีมาหลายพันปีแล้วเลย คนโบราณช่างคิดช่างทำ เก่งจริง เพื่อนๆ ว่าไหม?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://luvasianseries.blogspot.com/2020/10/longest-day-in-changan.html
    https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/113664748
    http://www.naradafoundation.org/content/6526
    https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html

    #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ประวัติศาสตร์จีน #ทะเบียนราษฎร์จีน #ราชวงศ์ถัง
    เพื่อนเพจที่ได้อ่านนิยาย/ดูละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> คงจำได้ว่า เป็นเรื่องราวแนวสืบสวนที่พูดถึงการใช้ข้อมูลจากบันทึกและทะเบียนต่างๆ มาใช้ในการแกะรอยคนร้าย มีหลายประเด็นที่ทำให้ Storyฯ สงสัยเลยต้องไปหาข้อมูลมาเพิ่ม เรื่องที่จะเล่าวันนี้มีความ ‘เอ๊ะ’ ตรงไหน เรามาดูจากคำพูดข้างล่างจากในละครเรื่องนี้ ... สวีปินกล่าว “จากบันทึกทะเบียนบ้านของคนผู้นี้ เขาย้ายมาฉางอันเมื่อปีที่ยี่สิบหกในรัชศกก่อน จดทะเบียนในนามหลงปอ ต่อมาย้ายบ้านหลายครา เมื่อปีที่แล้วย้ายเข้าหวยหย่วนฟาง ที่ดูน่าสงสัยคือ เมื่อปลายปีรัชศกเทียนเป่าปีที่สอง มีการจัดทำสมุดทะเบียนใหม่ กำหนดให้ใส่รายละเอียดใบหน้าให้ชัดเจน แต่ทะเบียนของหลงปอยังคงเป็นทะเบียนเก่าสมัยรัชศกก่อน ไม่เคยระบุรายละเอียดหน้าตา”... เพื่อนเพจสงสัยเหมือนกันไหมว่า ทะเบียนราษฎร์ในสมัยราชวงศ์ถัง (รัชศกเทียนเป่าคือช่วงปีค.ศ. 742-756) ถึงขนาดมีรายละเอียดใบหน้าชัดเจนเชียวหรือ? ไปค้นข้อมูลมาจึงพบว่า การนับจำนวนประชากรในจีนโบราณมีมาตั้งแต่กว่าสองพันปีก่อนคริสตกาล เดิมเป็นการจัดเก็บข้อมูลเพื่อไว้เพื่อช่วยเหลือคนในยามเกิดอุทกภัยน้ำท่วม ไม่ปรากฏข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นเพียงการนับจำนวนประชากรหรือมีการบันทึกรายละเอียดมากกว่านั้น แต่ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก (ปี 1045-771 ก่อนคริสตกาล) มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์ทุกสามปี รายละเอียดที่บันทึกไว้รวมถึงวันเกิด วันตาย เพศ และที่อยู่ของประชาชน ในสมัยฉิน มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์อย่างเข้มงวด นอกจากรายละเอียดข้างต้นยังมีการระบุเจ้าบ้าน ชื่อสามี-ภรรยา โดยวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อใช้ในการเก็บภาษีและเกณฑ์ทหาร ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 221) ประชาชนมีหน้าที่รายงานข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในครอบครัวทุกปี โดยข้อมูลจะถูกตรวจสอบโดยทางการท้องถิ่นอีกครั้งก่อนจะรวบรวมส่งทางการส่วนกลาง รายละเอียดที่บันทึกรวมถึงชื่อแซ่ อายุ ภูมิลำเนาเดิม สถานะสมรส รายละเอียดหน้าตา รายได้ และจำนวนพื้นที่ของที่ดินที่ถือครอง หากจะย้ายบ้าน ต้องทำการรายงานกับที่ว่าการท้องถิ่นก่อนจึงจะย้ายออกได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนพเนจร ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย (คือโดนฆ่าตายก็ไม่มีการสืบสวนเอาผิดคนฆ่า) ว่ากันว่าทะเบียนราษฏร์สมัยราชวงศ์ฮั่นนี้ละเอียดถูกต้องเชื่อถือได้มากกว่าครั้งใดที่จีนเคยทำมาในอดีต การจัดทำทะเบียนราษฎร์มีต่อมาเรื่อยๆ และมีการลงรายละเอียดมากขึ้นในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ซึ่งเรื่องราวของ <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> เกิดขึ้นในสมัยนี้) ในสมัยนั้น ทะเบียนราษฎร์คือการสรุปรวมข้อมูลของทะเบียนบ้านหรือที่เรียกว่า ‘โส่วสือ’ (手实) มีการจัดแยกหมวดหมู่ตามสถานะ กล่าวคือเป็นเจ้าบ้าน เป็นสมาชิกของตระกูล หรือเป็นผู้อยู่อาศัยในเรือนเช่นทาส บ่าว นักดนตรี ฯลฯ และมีการบันทึกรายละเอียดเพิ่มเติมของรูปพรรณสัณฐาน เช่นส่วนสูง สีผิว เป็นต้น โดยมีเพียงสมาชิกของตระกูลเท่านั้นที่จะมีสิทธิแยกออกมาจัดตั้งครัวเรือนใหม่ได้ (Storyฯ เพิ่งเข้าใจบริบทที่ว่าบางนิยายจีนโบราณกล่าวถึงการ ‘แยกบ้าน’ ของคนในตระกูลเดียวกันที่ฟังดูเป็นเรื่องราวใหญ่โต) สำหรับชาวไร่ชาวนา ข้อมูลจากโส่วสือยังถูกใช้ในการจัดสรรที่ดินทำกิน โดยอิงตามจำนวนสมาชิกในบ้าน ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิง มีการลงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกคืออาชีพของคนในบ้าน เช่น นายช่าง ทหาร หรือข้าราชการ ฯลฯ และมีรายละเอียดรายรับและสินทรัพย์ของแต่ละคนเพิ่มเติม เช่นจำนวนที่ดิน บ้าน ร้านค้า รถม้า เรือ ฯลฯ ทะเบียนราษฎร์นี้เรียกว่า ‘หวงเช่อ’ (黄册) แปลตรงตัวว่าสมุดเหลือง เพราะมักใช้ปกสีเหลือง (โนว์... ไม่ใช่สมุดโทรศัพท์ Yellow Pages จ้า) อีกทั้งการนำข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์มาใช้เพิ่มดีกรีความเข้มข้น ใครจะเดินทางต้องพกเอกสารใบอนุญาตที่มีข้อมูลประจำตัวและบ้าน (Storyฯ นึกถึงในละครที่จะผ่านประตูเมืองแต่ละครั้งต้องควักเอกสารออกมาฉบับหนึ่ง) Storyฯ รู้สึกทึ่งว่า แบบแผนการบริหารงานบ้านเมืองในโลกปัจจุบัน จริงๆ แล้วไม่ได้หนีจากของโบราณที่มีมาหลายพันปีแล้วเลย คนโบราณช่างคิดช่างทำ เก่งจริง เพื่อนๆ ว่าไหม? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://luvasianseries.blogspot.com/2020/10/longest-day-in-changan.html https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/113664748 http://www.naradafoundation.org/content/6526 https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ประวัติศาสตร์จีน #ทะเบียนราษฎร์จีน #ราชวงศ์ถัง
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 574 มุมมอง 0 รีวิว
  • **ดินแดนเนรเทศจีนโบราณ**

    สวัสดีค่ะ สองสัปดาห์ที่แล้วเราคุยเรื่องการไถ่โทษเนรเทศ วันนี้เลยมาคุยกันต่อเกี่ยวกับเกร็ดความรู้จากเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> ว่าด้วยดินแดนเนรเทศ

    จิ่วฉงจื่อฯ เป็นเรื่องราวในราชวงศ์สมมุติแต่เสื้อผ้าและสภาพสังคมอิงตามสมัยหมิง และในเรื่องนี้ บุรุษในครอบครัวสกุลเจี่ยงของติ้งกั๋วกงเจี่ยงเหมยซุน (ลุงของพระเอก) ถูกเนรเทศไปยังพื้นที่ที่มีชื่อว่า ‘เถียหลิ่งเว่ย’ ซึ่งเป็นหนึ่งในดินแดนเนรเทศยอดนิยมทางเหนือในสมัยนั้น

    แรกเริ่มเลยในสมัยบรรพกาล หากมีการเนรเทศจะนิยมส่งไปพื้นที่โยวโจว (แถบปักกิ่งปัจจุบัน) ต่อมามีการใช้พื้นที่อื่น ซึ่งโดยหลักการคือต้องเป็นพื้นที่ทุรกันดารและด้อยพัฒนา ไม่ว่าจะด้วยสภาพดินฟ้าอากาศหรือภูมิประเทศ ในสมัยฮั่นนิยมใช้พื้นที่แถบภูเขาทางตะวันตกในมณฑลเสฉวน เนื่องจากหนาวเย็น ไกลจากเส้นทางการค้าและการพัฒนาเศรษฐกิจ อีกทั้งภูมิประเทศเป็นเขาสูงทำให้ง่ายต่อการกักบริเวณนักโทษ ต่อมาเมื่อมีการขยายดินแดนและพัฒนาเศรษฐกิจลงใต้ ก็ยิ่งส่งนักโทษเนรเทศลงใต้ไปไกลยิ่งขึ้นโดยมีพื้นที่ยอดฮิตคือแถบหลิ่งหนานและไห่หนาน (กวางเจา กวางซี ฯลฯ) และไกลลงไปถึงเวียดนาม ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ห่างไกลความเจริญและมีพายุฝนและสภาพอากาศร้อนชื้น ง่ายต่อการล้มป่วย นับว่าทุรกันดารไม่แพ้กัน จวบจนยุคถังและซ่งก็ยังนิยมใช้พื้นที่ติดชายแดนทางตอนใต้นี้ (ดูรูปประกอบขวาบน)

    ส่วนพื้นที่ทางเหนือที่นิยมใช้เป็นดินแดนเนรเทศนั้น คือพื้นที่ทหารทางชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีอากาศหนาวมากและชีวิตความเป็นอยู่ลำเค็ญ อีกทั้งการเดินทางไปมาก็ยากลำบาก มักถูกเรียกรวมว่า ‘ขู่หานจือตี้’ (แปลตรงตัวว่าพื้นที่หนาวมากและยากลำบาก) (ดูรูปประกอบขวาล่าง) แต่การใช้พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นดินแดนเนรเทศไม่สามารถทำได้ทุกยุคสมัย เนื่องจากดินแดนดังกล่าวไม่ได้อยู่ภายใต้การครอบครองของอาณาจักรภาคกลางเสมอไป จวบจนสมัยหยวนเป็นต้นมาจึงกลายเป็นดินแดนเนรเทศที่นิยม โดยมีหลักการว่า คนจากพื้นที่ทางใต้จะถูกเนรเทศไปยังแดนเหนือ และคนจากพื้นที่ทางเหนือจะถูกเนรเทศลงใต้

    ในสมัยหมิง พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือยังคงเป็นดินแดนเนรเทศยอดนิยม โดยพื้นที่เถียหลิ่งเว่ยที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องจิ่วฉงจื่อฯ นี้เป็นที่นิยมในช่วงยุคกลางของสมัยหมิง ต่อมาในสมัยชิงจึงเปลี่ยนไปเป็นหนิงกู๋ถ่าและเฮยหลงเจียง

    นอกจากนี้ยังมีพื้นที่แถบตะวันตกเฉียงเหนือที่ไม่ได้มีลงไว้ในรูปประกอบ ซึ่งก็คือบริเวณซีอวี้หรือซินเกียงปัจจุบัน ซึ่งเป็นดินแดนเนรเทศในสมัยฮั่น แต่ต่อมาเนื่องจากการครอบครองพื้นที่ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย จึงไม่ได้มีการส่งนักโทษเนรเทศไปยังพื้นที่นี้อีกต่อไปจวบจนสมัยชิงจึงกลับมาเป็นดินแดนเนรเทศที่นิยมอีกครั้ง

    เพื่อนเพจอาจติดภาพลักษณ์จากในซีรีส์ว่านักโทษเนรเทศจะถูกตีตรวนและมีการกักบริเวณ ทั้งนี้ ในหลายกรณีนักโทษเนรเทศเหล่านี้จะถูกใช้เป็นแรงงานในค่ายทหารโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทัพทางชายแดน นักโทษจึงทำหน้าที่หลากหลาย เช่นเผาฟืนทำถ่าน ทำการเกษตร ฯลฯ เหมือนอย่างการถูกเนรเทศไปยังเถียหลิ่งเว่ยซึ่งเป็นพื้นที่ทหารอย่างในเรื่องจิ่วฉงจื่อฯ เป็นต้น

    แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่นักโทษเนรเทศทุกคนที่ต้องอยู่ภายในค่ายกักกัน การเนรเทศยังมีอีกวัตถุประสงค์หนึ่งคือเพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ ดังนั้น นักโทษอาจถูกลงทะเบียนเป็นทาสรับใช้ทำงานให้ผู้มีอันจะกินในพื้นที่นั้นๆ (ซึ่งก็อาจเป็นแรงงานหนักและถูกกักบริเวณโดยผู้เป็นนายได้) หรืออาจเพียงถูกปล่อยทิ้งให้ใช้ชีวิตในดินแดนเนรเทศตามบุญตามกรรม ซึ่งหากเป็นอย่างหลังก็คือต้องขึ้นทะเบียนราษฎร์ในพื้นที่นั้นๆ เดินทางออกนอกพื้นที่ไม่ได้ แต่สามารถทำมาหากินสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ในบางรัชสมัยยังอนุญาตให้สมาชิกครอบครัวฝ่ายหญิงเดินทางย้ายรกรากไปอยู่ร่วมกับสมาชิกครอบครัวฝ่ายชายได้ด้วย อย่าลืมว่านักโทษเนรเทศจำนวนมากเป็นนักโทษทางการเมืองเช่นอดีตขุนนางที่มีการศึกษา พวกเขาจึงมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ความรู้และวัฒนธรรมไปยังพื้นที่ทุรกันดารเหล่านี้

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g63130394/blossom-highlights/
    https://news.qq.com/rain/a/20250305A08SXM00
    https://news.qq.com/rain/a/20230809A078JQ00
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.xinghuozhiku.com/76834.html
    https://m.fx361.com/news/2018/0201/16397999.html
    http://www.fs7000.com/news/?12143.html
    https://news.qq.com/rain/a/20240427A081KW00
    https://www.163.com/dy/article/HDA24IDA0552XK8U.html

    #จิ่วฉงจื่อ #ดินแดนเนรเทศ #เถียหลิ่งเว่ย #โทษเนรเทศ #สาระจีน
    **ดินแดนเนรเทศจีนโบราณ** สวัสดีค่ะ สองสัปดาห์ที่แล้วเราคุยเรื่องการไถ่โทษเนรเทศ วันนี้เลยมาคุยกันต่อเกี่ยวกับเกร็ดความรู้จากเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> ว่าด้วยดินแดนเนรเทศ จิ่วฉงจื่อฯ เป็นเรื่องราวในราชวงศ์สมมุติแต่เสื้อผ้าและสภาพสังคมอิงตามสมัยหมิง และในเรื่องนี้ บุรุษในครอบครัวสกุลเจี่ยงของติ้งกั๋วกงเจี่ยงเหมยซุน (ลุงของพระเอก) ถูกเนรเทศไปยังพื้นที่ที่มีชื่อว่า ‘เถียหลิ่งเว่ย’ ซึ่งเป็นหนึ่งในดินแดนเนรเทศยอดนิยมทางเหนือในสมัยนั้น แรกเริ่มเลยในสมัยบรรพกาล หากมีการเนรเทศจะนิยมส่งไปพื้นที่โยวโจว (แถบปักกิ่งปัจจุบัน) ต่อมามีการใช้พื้นที่อื่น ซึ่งโดยหลักการคือต้องเป็นพื้นที่ทุรกันดารและด้อยพัฒนา ไม่ว่าจะด้วยสภาพดินฟ้าอากาศหรือภูมิประเทศ ในสมัยฮั่นนิยมใช้พื้นที่แถบภูเขาทางตะวันตกในมณฑลเสฉวน เนื่องจากหนาวเย็น ไกลจากเส้นทางการค้าและการพัฒนาเศรษฐกิจ อีกทั้งภูมิประเทศเป็นเขาสูงทำให้ง่ายต่อการกักบริเวณนักโทษ ต่อมาเมื่อมีการขยายดินแดนและพัฒนาเศรษฐกิจลงใต้ ก็ยิ่งส่งนักโทษเนรเทศลงใต้ไปไกลยิ่งขึ้นโดยมีพื้นที่ยอดฮิตคือแถบหลิ่งหนานและไห่หนาน (กวางเจา กวางซี ฯลฯ) และไกลลงไปถึงเวียดนาม ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ห่างไกลความเจริญและมีพายุฝนและสภาพอากาศร้อนชื้น ง่ายต่อการล้มป่วย นับว่าทุรกันดารไม่แพ้กัน จวบจนยุคถังและซ่งก็ยังนิยมใช้พื้นที่ติดชายแดนทางตอนใต้นี้ (ดูรูปประกอบขวาบน) ส่วนพื้นที่ทางเหนือที่นิยมใช้เป็นดินแดนเนรเทศนั้น คือพื้นที่ทหารทางชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีอากาศหนาวมากและชีวิตความเป็นอยู่ลำเค็ญ อีกทั้งการเดินทางไปมาก็ยากลำบาก มักถูกเรียกรวมว่า ‘ขู่หานจือตี้’ (แปลตรงตัวว่าพื้นที่หนาวมากและยากลำบาก) (ดูรูปประกอบขวาล่าง) แต่การใช้พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นดินแดนเนรเทศไม่สามารถทำได้ทุกยุคสมัย เนื่องจากดินแดนดังกล่าวไม่ได้อยู่ภายใต้การครอบครองของอาณาจักรภาคกลางเสมอไป จวบจนสมัยหยวนเป็นต้นมาจึงกลายเป็นดินแดนเนรเทศที่นิยม โดยมีหลักการว่า คนจากพื้นที่ทางใต้จะถูกเนรเทศไปยังแดนเหนือ และคนจากพื้นที่ทางเหนือจะถูกเนรเทศลงใต้ ในสมัยหมิง พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือยังคงเป็นดินแดนเนรเทศยอดนิยม โดยพื้นที่เถียหลิ่งเว่ยที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องจิ่วฉงจื่อฯ นี้เป็นที่นิยมในช่วงยุคกลางของสมัยหมิง ต่อมาในสมัยชิงจึงเปลี่ยนไปเป็นหนิงกู๋ถ่าและเฮยหลงเจียง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่แถบตะวันตกเฉียงเหนือที่ไม่ได้มีลงไว้ในรูปประกอบ ซึ่งก็คือบริเวณซีอวี้หรือซินเกียงปัจจุบัน ซึ่งเป็นดินแดนเนรเทศในสมัยฮั่น แต่ต่อมาเนื่องจากการครอบครองพื้นที่ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย จึงไม่ได้มีการส่งนักโทษเนรเทศไปยังพื้นที่นี้อีกต่อไปจวบจนสมัยชิงจึงกลับมาเป็นดินแดนเนรเทศที่นิยมอีกครั้ง เพื่อนเพจอาจติดภาพลักษณ์จากในซีรีส์ว่านักโทษเนรเทศจะถูกตีตรวนและมีการกักบริเวณ ทั้งนี้ ในหลายกรณีนักโทษเนรเทศเหล่านี้จะถูกใช้เป็นแรงงานในค่ายทหารโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทัพทางชายแดน นักโทษจึงทำหน้าที่หลากหลาย เช่นเผาฟืนทำถ่าน ทำการเกษตร ฯลฯ เหมือนอย่างการถูกเนรเทศไปยังเถียหลิ่งเว่ยซึ่งเป็นพื้นที่ทหารอย่างในเรื่องจิ่วฉงจื่อฯ เป็นต้น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่นักโทษเนรเทศทุกคนที่ต้องอยู่ภายในค่ายกักกัน การเนรเทศยังมีอีกวัตถุประสงค์หนึ่งคือเพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ ดังนั้น นักโทษอาจถูกลงทะเบียนเป็นทาสรับใช้ทำงานให้ผู้มีอันจะกินในพื้นที่นั้นๆ (ซึ่งก็อาจเป็นแรงงานหนักและถูกกักบริเวณโดยผู้เป็นนายได้) หรืออาจเพียงถูกปล่อยทิ้งให้ใช้ชีวิตในดินแดนเนรเทศตามบุญตามกรรม ซึ่งหากเป็นอย่างหลังก็คือต้องขึ้นทะเบียนราษฎร์ในพื้นที่นั้นๆ เดินทางออกนอกพื้นที่ไม่ได้ แต่สามารถทำมาหากินสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ในบางรัชสมัยยังอนุญาตให้สมาชิกครอบครัวฝ่ายหญิงเดินทางย้ายรกรากไปอยู่ร่วมกับสมาชิกครอบครัวฝ่ายชายได้ด้วย อย่าลืมว่านักโทษเนรเทศจำนวนมากเป็นนักโทษทางการเมืองเช่นอดีตขุนนางที่มีการศึกษา พวกเขาจึงมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ความรู้และวัฒนธรรมไปยังพื้นที่ทุรกันดารเหล่านี้ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g63130394/blossom-highlights/ https://news.qq.com/rain/a/20250305A08SXM00 https://news.qq.com/rain/a/20230809A078JQ00 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.xinghuozhiku.com/76834.html https://m.fx361.com/news/2018/0201/16397999.html http://www.fs7000.com/news/?12143.html https://news.qq.com/rain/a/20240427A081KW00 https://www.163.com/dy/article/HDA24IDA0552XK8U.html #จิ่วฉงจื่อ #ดินแดนเนรเทศ #เถียหลิ่งเว่ย #โทษเนรเทศ #สาระจีน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 760 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบช.ไซเบอร์ แถลงจับ “ปอนด์ โอริโอ้” โพสต์พฤติกรรมใช้ความรุนแรงกับเหยื่อ ยอมรับซื้อข้อมูลทะเบียนราษฎร์จากเด็กวัย 16 ปี จากการตรวจพบข้อมูลไม่ได้หลุดมาจากภาครัฐ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000010097

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ผบช.ไซเบอร์ แถลงจับ “ปอนด์ โอริโอ้” โพสต์พฤติกรรมใช้ความรุนแรงกับเหยื่อ ยอมรับซื้อข้อมูลทะเบียนราษฎร์จากเด็กวัย 16 ปี จากการตรวจพบข้อมูลไม่ได้หลุดมาจากภาครัฐ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000010097 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1049 มุมมอง 0 รีวิว
  • กงสุลใหญ่ชิคาโก ยืนยัน ชายอพยพที่ถูกจับในชิคาโก "ไม่ใช่คนไทย"

    นางฆฏนาวดี กัลยาณมิตร กงสุลใหญ่ ณ นครชิคาโก กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ได้สืบค้นในระบบทะเบียนราษฎร์ และไม่พบชื่อ จึงหมายความว่า นายเซดาไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทย แต่ตามข้อมูลที่เจ้าตัวสัมภาษณ์ว่าเกิดที่ไทย ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้เกิดในค่ายผู้ลี้ภัย และเดินทางมาสหรัฐฯ ตามแม่ที่เป็นพลเมืองอเมริกัน

    กงสุลใหญ่ นครชิคาโกกล่าวว่า นอกจากกรณีนี้ สถานกงสุล นครชิคาโกยังไม่ได้รับแจ้งเหตุคนไทยถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจับกุมแต่อย่างใด


    การออกมาชี้แจงของกงสุลใหญ่แห่งนาครชิคาโก เกิดขึ้นหลังจากที่ "ฟิล แม็กกรอว์" หรือ Dr.Phil พิธีกรรายการทอล์คโชว์ในสหรัฐ โพสต์วิดีโอใน X พร้อมข้อความระบุใต้คลิปอ้างว่า ผู้ถูกจับกุมชุดแรกในชิคาโก ซึ่งรวมถึงชายรายนี้กระทำผิดทางเพศ และเป็นผู้หลอกลวงเหยื่ออินเตอร์เน็ตจากประเทศไทย

    โดยที่ในคลิปดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่แซม เซดา ชายที่ระบุว่าตนเองเป็นคนที่เกิดในประเทศไทย กล่าวว่าตนไม่ได้มีสัญชาติอเมริกัน แต่มีแม่เป็นพลเมืองสหรัฐ

    เมื่อดร.ฟิล ถามชายคนนี้ว่าเคยถูกขับออกจากสหรัฐ หรือไม่ เขาเลี่ยงที่จะตอบคำถาม และขอคุยกับทนายทันที
    กงสุลใหญ่ชิคาโก ยืนยัน ชายอพยพที่ถูกจับในชิคาโก "ไม่ใช่คนไทย" นางฆฏนาวดี กัลยาณมิตร กงสุลใหญ่ ณ นครชิคาโก กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ได้สืบค้นในระบบทะเบียนราษฎร์ และไม่พบชื่อ จึงหมายความว่า นายเซดาไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทย แต่ตามข้อมูลที่เจ้าตัวสัมภาษณ์ว่าเกิดที่ไทย ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้เกิดในค่ายผู้ลี้ภัย และเดินทางมาสหรัฐฯ ตามแม่ที่เป็นพลเมืองอเมริกัน กงสุลใหญ่ นครชิคาโกกล่าวว่า นอกจากกรณีนี้ สถานกงสุล นครชิคาโกยังไม่ได้รับแจ้งเหตุคนไทยถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจับกุมแต่อย่างใด การออกมาชี้แจงของกงสุลใหญ่แห่งนาครชิคาโก เกิดขึ้นหลังจากที่ "ฟิล แม็กกรอว์" หรือ Dr.Phil พิธีกรรายการทอล์คโชว์ในสหรัฐ โพสต์วิดีโอใน X พร้อมข้อความระบุใต้คลิปอ้างว่า ผู้ถูกจับกุมชุดแรกในชิคาโก ซึ่งรวมถึงชายรายนี้กระทำผิดทางเพศ และเป็นผู้หลอกลวงเหยื่ออินเตอร์เน็ตจากประเทศไทย โดยที่ในคลิปดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่แซม เซดา ชายที่ระบุว่าตนเองเป็นคนที่เกิดในประเทศไทย กล่าวว่าตนไม่ได้มีสัญชาติอเมริกัน แต่มีแม่เป็นพลเมืองสหรัฐ เมื่อดร.ฟิล ถามชายคนนี้ว่าเคยถูกขับออกจากสหรัฐ หรือไม่ เขาเลี่ยงที่จะตอบคำถาม และขอคุยกับทนายทันที
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • รื้อฟื้น ตม.6 ออนไลน์ ต่างชาติเข้าไทยต้องกรอก

    ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2568 เป็นต้นไป ชาวต่างชาติทุกคนที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย จะต้องกรอกแบบฟอร์มที่เรียกว่า TM6 หรือ ตม.6 ผ่านช่องทางออนไลน์ก่อนเข้าประเทศไทย ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเตรียมประชาสัมพันธ์ขั้นตอนดังกล่าว หลังการขยายเวลายกเว้นการยื่นแบบ ตม. 6 ที่บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองเป็นการชั่วคราวทั้งด่านทางบกและทางน้ำ รวม 16 ด่าน จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เม.ย. 2568 ที่จะถึงนี้

    แบบฟอร์ม ตม.6 (TM6) คือแบบรายการของคนต่างด้าวซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและติดตามคนต่างด้าว และรักษาความมั่นคงของประเทศ ที่ผ่านมาคนไทยได้รับการยกเว้นไม่ต้องกรอกบัตรขาออกและบัตรขาเข้า มาตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2560 ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อแก้ปัญหาคอขวด ลดความล่าช้าในการเข้าออกเมือง เพราะข้อมูลคนไทยตรวจสอบได้จากทะเบียนราษฎรอยู่แล้ว

    กระทั่งกระทรวงมหาดไทยได้ยกเว้นการยื่นแบบ ตม.6 สำหรับชาวต่างชาติมาตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. 2565 โดยเริ่มจากทางอากาศก่อน ต่อมาวันที่ 1 พ.ย. 2566 ได้ยกเว้นที่ด่านพรมแดนสะเดา จ.สงขลา ซึ่งตรงกับช่วงฤดูการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย กระทั่งวันที่ 15 เม.ย. 2567 ขยายเพิ่มอีก 12 จุดทั้งทางบกและทางน้ำ เฉพาะที่เดินทางมากับเรือสำราญและกีฬา (เรือยอร์ช) และปัจจุบันขยายเวลาถึงวันที่ 30 เม.ย. 2568 ได้แก่ ด่านทางบก 8 ด่าน และด่านทางน้ำ 8 ด่าน

    น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ว่า แบบฟอร์ม ตม.6 ออนไลน์ จะช่วยติดตามนักท่องเที่ยวขณะอยู่ในประเทศไทย เพิ่มความมั่นใจต่อความปลอดภัย ซึ่งในวันที่ 31 ม.ค. จะประชุมร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สายการบิน โรงแรม และบริษัทนำเที่ยว เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมและช่วยประชาสัมพันธ์ขั้นตอนดังกล่าวให้ชาวต่างชาติทราบอีกด้วย

    อนึ่ง บางประเทศในภูมิภาคอาเซียน มีมาตรการให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่กรอกแบบฟอร์มขาเข้าดิจิทัลก่อนเข้าประเทศ เช่น SG Arrival Card (SGAC) ของสิงคโปร์, eTravel ของฟิลิปปินส์, E-Arrival Card ของบรูไน, Malaysia Digital Arrival Card (MDAC) ของมาเลเซีย และ Cambodia e-Arrival ของกัมพูชา (เฉพาะสนามบินพนมเปญและเสียมราฐ) ส่วนอินโดนีเซียกรอกแบบฟอร์มสำแดงต่อศุลกากร Indonesian Customs Declaration (e-CD) และใบอนุญาตสุขภาพ SATUSEHAT (SSHP) ขณะที่เวียดนาม ลาว และเมียนมา ยังคงใช้แบบฟอร์มบัตรขาเข้าเมืองกระดาษ

    #Newskit
    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    รื้อฟื้น ตม.6 ออนไลน์ ต่างชาติเข้าไทยต้องกรอก ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2568 เป็นต้นไป ชาวต่างชาติทุกคนที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย จะต้องกรอกแบบฟอร์มที่เรียกว่า TM6 หรือ ตม.6 ผ่านช่องทางออนไลน์ก่อนเข้าประเทศไทย ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเตรียมประชาสัมพันธ์ขั้นตอนดังกล่าว หลังการขยายเวลายกเว้นการยื่นแบบ ตม. 6 ที่บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองเป็นการชั่วคราวทั้งด่านทางบกและทางน้ำ รวม 16 ด่าน จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เม.ย. 2568 ที่จะถึงนี้ แบบฟอร์ม ตม.6 (TM6) คือแบบรายการของคนต่างด้าวซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและติดตามคนต่างด้าว และรักษาความมั่นคงของประเทศ ที่ผ่านมาคนไทยได้รับการยกเว้นไม่ต้องกรอกบัตรขาออกและบัตรขาเข้า มาตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2560 ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อแก้ปัญหาคอขวด ลดความล่าช้าในการเข้าออกเมือง เพราะข้อมูลคนไทยตรวจสอบได้จากทะเบียนราษฎรอยู่แล้ว กระทั่งกระทรวงมหาดไทยได้ยกเว้นการยื่นแบบ ตม.6 สำหรับชาวต่างชาติมาตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. 2565 โดยเริ่มจากทางอากาศก่อน ต่อมาวันที่ 1 พ.ย. 2566 ได้ยกเว้นที่ด่านพรมแดนสะเดา จ.สงขลา ซึ่งตรงกับช่วงฤดูการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย กระทั่งวันที่ 15 เม.ย. 2567 ขยายเพิ่มอีก 12 จุดทั้งทางบกและทางน้ำ เฉพาะที่เดินทางมากับเรือสำราญและกีฬา (เรือยอร์ช) และปัจจุบันขยายเวลาถึงวันที่ 30 เม.ย. 2568 ได้แก่ ด่านทางบก 8 ด่าน และด่านทางน้ำ 8 ด่าน น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ว่า แบบฟอร์ม ตม.6 ออนไลน์ จะช่วยติดตามนักท่องเที่ยวขณะอยู่ในประเทศไทย เพิ่มความมั่นใจต่อความปลอดภัย ซึ่งในวันที่ 31 ม.ค. จะประชุมร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สายการบิน โรงแรม และบริษัทนำเที่ยว เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมและช่วยประชาสัมพันธ์ขั้นตอนดังกล่าวให้ชาวต่างชาติทราบอีกด้วย อนึ่ง บางประเทศในภูมิภาคอาเซียน มีมาตรการให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่กรอกแบบฟอร์มขาเข้าดิจิทัลก่อนเข้าประเทศ เช่น SG Arrival Card (SGAC) ของสิงคโปร์, eTravel ของฟิลิปปินส์, E-Arrival Card ของบรูไน, Malaysia Digital Arrival Card (MDAC) ของมาเลเซีย และ Cambodia e-Arrival ของกัมพูชา (เฉพาะสนามบินพนมเปญและเสียมราฐ) ส่วนอินโดนีเซียกรอกแบบฟอร์มสำแดงต่อศุลกากร Indonesian Customs Declaration (e-CD) และใบอนุญาตสุขภาพ SATUSEHAT (SSHP) ขณะที่เวียดนาม ลาว และเมียนมา ยังคงใช้แบบฟอร์มบัตรขาเข้าเมืองกระดาษ #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1176 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนี่ว์ฮู่ ‘ครัวเรือนสตรี’

    สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ซ่อนรักชายาลับ> คงจำกันได้ว่าในช่วงตอนท้ายๆ ของเรื่อง นางเอกของเราแยกออกมาอยู่เอง Storyฯ ไม่แน่ใจว่าในซับไทยแปลว่าอย่างไรแต่ในภาษาจีนนางบอกว่าจะแยกออกมาตั้งครัวเรือนสตรีหรือที่เรียกว่า ‘หนี่ว์ฮู่’ (女户) ซึ่งคำว่า ‘หนี่ว์ฮู่’ เป็นศัพท์เฉพาะที่หมายถึงครัวเรือนที่จดทะเบียนให้สตรีเป็นเจ้าบ้าน วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กัน

    ความเป็นเจ้าบ้านในบริบทสังคมจีนโบราณนี้ เพื่อนเพจไม่สามารถใช้นิยามและบริบทของเราท่านชาวไทยสมัยนี้มาเปรียบเทียบ เพราะสำหรับเราในยุคไทยปัจจุบันคำว่า ‘เจ้าบ้าน’ ในทะเบียนบ้านไม่ได้หมายถึงผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในบ้านที่ดินหรือสินทรัพย์ในบ้าน แต่ในบริบทสังคมจีนโบราณนี้ ‘เจ้าบ้าน’ หรือ ‘ฮู่จู่’ (户主) เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในบ้านและสินทรัพย์กองกลางของครัวเรือนนั้นๆ ซึ่งคนจีนโบราณอาจอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่รวมหลายรุ่น (เช่นมีลูกชายหลายคน ทุกคนแต่งเมียเข้าบ้านมีลูกมีหลานอยู่รวมกัน) หรืออาจมีบางคนแยกบ้านออกไปตามความจำเป็นและค่านิยมของสังคมแต่ละยุคสมัย แต่ตราบใดที่อยู่ในบ้านในฐานะสมาชิกครอบครัวจะเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยและอาจมีเบี้ยเลี้ยงรายเดือน ไม่มีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ที่เป็นของครัวเรือนนั้น มีสินทรัพย์ส่วนตัวได้เฉพาะที่เก็บหอมรอมริบหรือได้รับกำนัลมาเป็นการส่วนตัว เพื่อนเพจเชื้อสายจีนที่คุ้นเคยกับระบบกงสีจะเข้าใจบริบทนี้ได้ง่าย

    ดังนั้น การเป็นเจ้าบ้านในสมัยจีนโบราณผูกรวมกับการมีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์กองกลางของครัวเรือนนั้น และหมายรวมถึงอำนาจการปกครองและการตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ ในบ้าน และหน้าที่ที่สำคัญมากก็คือการเสียภาษีให้รัฐ

    ในสมัยจีนโบราณนั้น โดยทั่วไป การเป็นเจ้าบ้านและการมีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ของครอบครัวนั้นสืบทอดทางสายโลหิตจากรุ่นสู่รุ่นและสืบทอดผ่านบุรุษ และในบริบทนี้สตรีขึ้นทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้ก็ต่อเมื่อครอบครัวนั้นๆ ไร้ซึ่งบุรุษสืบทอดหรือที่เรียกว่าสภาวะ ‘ฮู่เจวี๋ย’ (户绝/สิ้นครัวเรือน) นี่คือเหตุผลที่ Storyฯ บอกว่ามันเป็นศัพท์เฉพาะ

    ว่ากันว่า หนี่ว์ฮู่มีมาแต่สมัยฮั่นตอนต้นซึ่งเป็นช่วงหลังสงคราม ประชากรเพศชายเสียชีวิตมากมายในสงคราม จึงจำเป็นต้องให้สิทธิ์สตรีดูแลตนเองได้โดยการตั้งครัวเรือนของตนเพื่อจะได้บริหารสินทรัพย์และเสียภาษีได้ในกรณีที่ไม่เหลือทายาทบุรุษในครอบครัวแล้ว และในสมัยอื่นๆ ต่อมาก็มีหลักการเดียวกันที่ว่า สตรีเป็นเจ้าบ้านได้ในกรณีที่ไร้ทายาทบุรุษ แต่ความแตกต่างของแต่ละสมัยขึ้นอยู่กับคำนิยามของ ‘ทายาทบุรุษ’ ผู้สืบทอดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน (เช่น นับลูกหลานสายตรง หรือนับรวมพี่ชายน้องชายและลูกหลาน หรือนับรวมญาติสกุลเดียวกันที่ห่างออกไปอีก) ทำให้เกณฑ์ที่สตรีจะเข้าเงื่อนไขที่สามารถจดทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้มีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดตามไปด้วย ทั้งนี้ สตรีที่เป็นเจ้าบ้านได้นั้นหมายรวมถึงมารดาม่าย ภรรยาม่าย หรือลูกสาวที่ยังไม่ออกเรือน

    นับแต่สมัยถังมามีการกำหนดกฎหมายมากมายที่ระบุสิทธิของสตรีให้ชัดเจนขึ้น อย่างเช่นเรื่องสินเดิมเจ้าสาวและการหย่าร้างที่ Storyฯ เคยเขียนถึง และรวมถึงสิทธิในการสืบทอดมรดกอีกด้วย เป็นต้นว่าในสมัยถังและซ่ง หากไร้ทายาทบุรุษ ให้ขายสินทรัพย์ทั้งหมดรวมถึงบ่าวไพร่ในบ้าน นำเงินมาจัดงานศพแล้วหากมีเหลือจึงแบ่งกันระหว่างบุตรีที่ยังไม่ออกเรือน เมื่อได้ส่วนแบ่งมรดกของตนแล้ว สตรีนั้นๆ สามารถตั้งครัวเรือนใหม่โดยขึ้นทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้ หรือหากไม่มีบุตรีที่ยังไม่ออกเรือน บุตรีที่ออกเรือนไปแล้วมีสิทธิ์ในส่วนแบ่งมรดกแต่ในกรณีนี้นางอยู่กับครอบครัวสามีก็ไม่ตั้งครัวเรือนใหม่ ส่วนสตรีที่จัดตั้งหนี่ว์ฮู่ขึ้นแล้ว หากต่อมาแต่งงานโดยสามีแต่งเข้า (เรียกว่า จุ้ยซวี่) สตรีนั้นยังคงสิทธิ์เจ้าบ้านตามเดิม แต่หากแต่งออกไปอยู่บ้านสามีก็จะต้องยุบครัวเรือนนั้นทิ้งโดยสามารถนำทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนติดตัวไปด้วยได้ ทั้งนี้สิทธิเหล่านี้มีความแตกต่างในรายละเอียดตามยุคสมัย

    Storyฯ ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและไม่ได้ค้นคว้าลงลึกถึงสิทธิในการครอบครองและสืบทอดสินทรัพย์ของแต่ละยุคสมัยจีนโบราณเพราะมันซับซ้อนเกินความสามารถ ประเด็นหลักที่จะสื่อในวันนี้ก็คือ ในสมัยโบราณสตรีสามารถจัดตั้งครัวเรือนเป็นเจ้าบ้านได้ และสามารถสืบทอดมรดกได้ แต่... เฉพาะในกรณีที่ครอบครัวไร้ทายาทบุรุษ ซึ่งเกณฑ์นี้ขึ้นอยู่กับนิยามว่า ‘ทายาทบุรุษ’ ครอบคลุมญาติในวงแคบหรือวงกว้างเพียงใด

    อนึ่ง Storyฯ เคยเขียนถึงเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้อง เพื่อนเพจสามารถอ่านย้อนหลังเพื่อทบทวนความทรงจำ จะได้เข้าใจต่อเนื่องในบทความข้างต้นได้ค่ะ:
    - เกี่ยวกับทะเบียนราษฎร์ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02DGMdxYPJTbeiAS9n5zUXqo7Zfsn9WTLGbbHPCXcpBFChCxxHzWafnNr8wuNBJ63Tl
    - เกี่ยวกับสินเดิมเจ้าสาว https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/1127226122739012
    - เกี่ยวกับเจ้าบ่าวที่แต่งเข้าเรือนหรือ ‘จุ้ยซวี่’ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02nZxNBtk2h6V7W1wReZ5td8nc2Aaj85o2wkWmPSRtpnGP6dqQSGyCbKaXJPUjHzEal

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g61833754/are-you-the-one-8-highlights/
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://legalinfo.moj.gov.cn/pub/sfbzhfx/zhfxfzwh/fzwhfsgs/202107/t20210702_429806.html
    http://e.mzyfz.org.cn/paper/1957/paper_52459_10896.html
    https://www.chinacourt.org/article/detail/2023/05/id/7273412.shtml
    https://bjgy.bjcourt.gov.cn/article/detail/2020/11/id/5563896.shtml
    https://www.chinacourt.org/article/detail/2021/07/id/6125052.shtml
    https://baike.baidu.com/item/户绝

    #ซ่อนรักชายาลับ #หนี่ว์ฮู่ #ครัวเรือนสตรี #สิทธิการสืบทอดมรดกจีนโบราณ #เจ้าบ้านในสมัยจีนโบราณ #สาระจีน
    หนี่ว์ฮู่ ‘ครัวเรือนสตรี’ สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ซ่อนรักชายาลับ> คงจำกันได้ว่าในช่วงตอนท้ายๆ ของเรื่อง นางเอกของเราแยกออกมาอยู่เอง Storyฯ ไม่แน่ใจว่าในซับไทยแปลว่าอย่างไรแต่ในภาษาจีนนางบอกว่าจะแยกออกมาตั้งครัวเรือนสตรีหรือที่เรียกว่า ‘หนี่ว์ฮู่’ (女户) ซึ่งคำว่า ‘หนี่ว์ฮู่’ เป็นศัพท์เฉพาะที่หมายถึงครัวเรือนที่จดทะเบียนให้สตรีเป็นเจ้าบ้าน วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กัน ความเป็นเจ้าบ้านในบริบทสังคมจีนโบราณนี้ เพื่อนเพจไม่สามารถใช้นิยามและบริบทของเราท่านชาวไทยสมัยนี้มาเปรียบเทียบ เพราะสำหรับเราในยุคไทยปัจจุบันคำว่า ‘เจ้าบ้าน’ ในทะเบียนบ้านไม่ได้หมายถึงผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในบ้านที่ดินหรือสินทรัพย์ในบ้าน แต่ในบริบทสังคมจีนโบราณนี้ ‘เจ้าบ้าน’ หรือ ‘ฮู่จู่’ (户主) เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในบ้านและสินทรัพย์กองกลางของครัวเรือนนั้นๆ ซึ่งคนจีนโบราณอาจอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่รวมหลายรุ่น (เช่นมีลูกชายหลายคน ทุกคนแต่งเมียเข้าบ้านมีลูกมีหลานอยู่รวมกัน) หรืออาจมีบางคนแยกบ้านออกไปตามความจำเป็นและค่านิยมของสังคมแต่ละยุคสมัย แต่ตราบใดที่อยู่ในบ้านในฐานะสมาชิกครอบครัวจะเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยและอาจมีเบี้ยเลี้ยงรายเดือน ไม่มีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ที่เป็นของครัวเรือนนั้น มีสินทรัพย์ส่วนตัวได้เฉพาะที่เก็บหอมรอมริบหรือได้รับกำนัลมาเป็นการส่วนตัว เพื่อนเพจเชื้อสายจีนที่คุ้นเคยกับระบบกงสีจะเข้าใจบริบทนี้ได้ง่าย ดังนั้น การเป็นเจ้าบ้านในสมัยจีนโบราณผูกรวมกับการมีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์กองกลางของครัวเรือนนั้น และหมายรวมถึงอำนาจการปกครองและการตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ ในบ้าน และหน้าที่ที่สำคัญมากก็คือการเสียภาษีให้รัฐ ในสมัยจีนโบราณนั้น โดยทั่วไป การเป็นเจ้าบ้านและการมีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ของครอบครัวนั้นสืบทอดทางสายโลหิตจากรุ่นสู่รุ่นและสืบทอดผ่านบุรุษ และในบริบทนี้สตรีขึ้นทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้ก็ต่อเมื่อครอบครัวนั้นๆ ไร้ซึ่งบุรุษสืบทอดหรือที่เรียกว่าสภาวะ ‘ฮู่เจวี๋ย’ (户绝/สิ้นครัวเรือน) นี่คือเหตุผลที่ Storyฯ บอกว่ามันเป็นศัพท์เฉพาะ ว่ากันว่า หนี่ว์ฮู่มีมาแต่สมัยฮั่นตอนต้นซึ่งเป็นช่วงหลังสงคราม ประชากรเพศชายเสียชีวิตมากมายในสงคราม จึงจำเป็นต้องให้สิทธิ์สตรีดูแลตนเองได้โดยการตั้งครัวเรือนของตนเพื่อจะได้บริหารสินทรัพย์และเสียภาษีได้ในกรณีที่ไม่เหลือทายาทบุรุษในครอบครัวแล้ว และในสมัยอื่นๆ ต่อมาก็มีหลักการเดียวกันที่ว่า สตรีเป็นเจ้าบ้านได้ในกรณีที่ไร้ทายาทบุรุษ แต่ความแตกต่างของแต่ละสมัยขึ้นอยู่กับคำนิยามของ ‘ทายาทบุรุษ’ ผู้สืบทอดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน (เช่น นับลูกหลานสายตรง หรือนับรวมพี่ชายน้องชายและลูกหลาน หรือนับรวมญาติสกุลเดียวกันที่ห่างออกไปอีก) ทำให้เกณฑ์ที่สตรีจะเข้าเงื่อนไขที่สามารถจดทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้มีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดตามไปด้วย ทั้งนี้ สตรีที่เป็นเจ้าบ้านได้นั้นหมายรวมถึงมารดาม่าย ภรรยาม่าย หรือลูกสาวที่ยังไม่ออกเรือน นับแต่สมัยถังมามีการกำหนดกฎหมายมากมายที่ระบุสิทธิของสตรีให้ชัดเจนขึ้น อย่างเช่นเรื่องสินเดิมเจ้าสาวและการหย่าร้างที่ Storyฯ เคยเขียนถึง และรวมถึงสิทธิในการสืบทอดมรดกอีกด้วย เป็นต้นว่าในสมัยถังและซ่ง หากไร้ทายาทบุรุษ ให้ขายสินทรัพย์ทั้งหมดรวมถึงบ่าวไพร่ในบ้าน นำเงินมาจัดงานศพแล้วหากมีเหลือจึงแบ่งกันระหว่างบุตรีที่ยังไม่ออกเรือน เมื่อได้ส่วนแบ่งมรดกของตนแล้ว สตรีนั้นๆ สามารถตั้งครัวเรือนใหม่โดยขึ้นทะเบียนเป็นเจ้าบ้านได้ หรือหากไม่มีบุตรีที่ยังไม่ออกเรือน บุตรีที่ออกเรือนไปแล้วมีสิทธิ์ในส่วนแบ่งมรดกแต่ในกรณีนี้นางอยู่กับครอบครัวสามีก็ไม่ตั้งครัวเรือนใหม่ ส่วนสตรีที่จัดตั้งหนี่ว์ฮู่ขึ้นแล้ว หากต่อมาแต่งงานโดยสามีแต่งเข้า (เรียกว่า จุ้ยซวี่) สตรีนั้นยังคงสิทธิ์เจ้าบ้านตามเดิม แต่หากแต่งออกไปอยู่บ้านสามีก็จะต้องยุบครัวเรือนนั้นทิ้งโดยสามารถนำทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนติดตัวไปด้วยได้ ทั้งนี้สิทธิเหล่านี้มีความแตกต่างในรายละเอียดตามยุคสมัย Storyฯ ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและไม่ได้ค้นคว้าลงลึกถึงสิทธิในการครอบครองและสืบทอดสินทรัพย์ของแต่ละยุคสมัยจีนโบราณเพราะมันซับซ้อนเกินความสามารถ ประเด็นหลักที่จะสื่อในวันนี้ก็คือ ในสมัยโบราณสตรีสามารถจัดตั้งครัวเรือนเป็นเจ้าบ้านได้ และสามารถสืบทอดมรดกได้ แต่... เฉพาะในกรณีที่ครอบครัวไร้ทายาทบุรุษ ซึ่งเกณฑ์นี้ขึ้นอยู่กับนิยามว่า ‘ทายาทบุรุษ’ ครอบคลุมญาติในวงแคบหรือวงกว้างเพียงใด อนึ่ง Storyฯ เคยเขียนถึงเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้อง เพื่อนเพจสามารถอ่านย้อนหลังเพื่อทบทวนความทรงจำ จะได้เข้าใจต่อเนื่องในบทความข้างต้นได้ค่ะ: - เกี่ยวกับทะเบียนราษฎร์ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02DGMdxYPJTbeiAS9n5zUXqo7Zfsn9WTLGbbHPCXcpBFChCxxHzWafnNr8wuNBJ63Tl - เกี่ยวกับสินเดิมเจ้าสาว https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/1127226122739012 - เกี่ยวกับเจ้าบ่าวที่แต่งเข้าเรือนหรือ ‘จุ้ยซวี่’ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02nZxNBtk2h6V7W1wReZ5td8nc2Aaj85o2wkWmPSRtpnGP6dqQSGyCbKaXJPUjHzEal (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g61833754/are-you-the-one-8-highlights/ Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://legalinfo.moj.gov.cn/pub/sfbzhfx/zhfxfzwh/fzwhfsgs/202107/t20210702_429806.html http://e.mzyfz.org.cn/paper/1957/paper_52459_10896.html https://www.chinacourt.org/article/detail/2023/05/id/7273412.shtml https://bjgy.bjcourt.gov.cn/article/detail/2020/11/id/5563896.shtml https://www.chinacourt.org/article/detail/2021/07/id/6125052.shtml https://baike.baidu.com/item/户绝 #ซ่อนรักชายาลับ #หนี่ว์ฮู่ #ครัวเรือนสตรี #สิทธิการสืบทอดมรดกจีนโบราณ #เจ้าบ้านในสมัยจีนโบราณ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1272 มุมมอง 0 รีวิว
  • พญายมราช ก็ไม่ได้ใช้ไอแพด ใช้เน็ตใช้ข้อมูลจากทะเบียนราษฎรนะ ถึงเวลาก็ส่งเจ้าหน้าที่มารับเอา แค่ถามชื่อ นามสกุล ใช่ก็หิวมาส่งนรก
    พญายมราช ก็ไม่ได้ใช้ไอแพด ใช้เน็ตใช้ข้อมูลจากทะเบียนราษฎรนะ ถึงเวลาก็ส่งเจ้าหน้าที่มารับเอา แค่ถามชื่อ นามสกุล ใช่ก็หิวมาส่งนรก
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✴ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ผมเฝ้าติดตามการเสียชีวิตโดยรวมจากทุกสาเหตุของคนไทย โดยเข้าไปที่ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย หลังจากทบทวนข้อมูลย้อนหลังหลายปีที่ผ่านมา
    สิ่งที่ทำให้ผมข้องใจ และตั้งคำถามมาตลอดคือ เหตุใดคนไทยจึงเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่การระบาดของโควิดลดลง เพราะว่าถ้าเป็นการเสียชีวิตจากการระบาดของโควิด เมื่อการระบาดจบลงการเสียชีวิตย่อมต้องลดลงไปใกล้เคียงกับการเสียชีวิตก่อนการระบาด หรือถ้าจะโทษการปิดบ้านปิดเมืองว่าเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต
    เมื่อเปิดบ้านเปิดเมืองตามปกติ การเสียชีวิตก็ควรจะต้องลดลงมาใกล้เคียงกับก่อนปิดบ้านปิดเมือง แต่ตัวเลขสถิติที่เห็นไม่ได้เป็นเช่นนั้น
    🔸️ในปี 2562 (2019) ก่อนการระบาดของเชื้อโควิด (อย่าลืมว่าบ้านเราเริ่มระบาดปี 2563 หรือ ค.ศ. 2020) คนไทยเสียชีวิตโดยรวมทั้งปี 506,221 ราย ไม่มีเสียชีวิตจากโควิดเลย
    🔸️ในปี 2563 (2020) ปีเริ่มระบาด ปีที่ยังไม่มีวัคซีน คนไทยเสียชีวิตโดยรวม "ลดลง" เหลือ 501,438 ราย มีผู้เสียชีวิตจากโควิด 61 ราย
    🔸️ปี 2564 (2021) การระบาดรุนแรง เสียชีวิตจากโควิดรวม 21,637 ราย เป็นปีที่มีการเสียชีวิตจากโควิดมากที่สุด ปีนั้นคนไทยเสียชีวิตโดยรวม 563,650 ราย ปีนี้เป็นปีที่มีการเริ่มต้นฉีดวัคซีน โดยเริ่มจากวันที่ 28 กพ เริ่มฉีด ชิโนแวค และ แอสตร้าเซนเนก้า วันที่ 25 มิย เริ่มฉีดชิโนฟาร์ม วันที่ 30 กค เริ่มฉีดไฟเซอร์ และวันที่ 9 พย เริ่มฉีดโมเดอร์นา
    🔸️ปี 2565 (2022) ปีนั้น การระบาดเริ่มสงบลง เชื้อกลายพันธุ์ ลดความรุนแรง คนไทยเสียชีวิตจากโควิดลดลงเหลือ 11,073 ราย แต่คนไทยเสียชีวิตโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 595,965 ราย ทั้งที่การระบาดยุติ เปิดบ้านเปิดเมืองตามปกติ และที่สำคัญคนไทยฉีดวัคซีนไปมากมาย
    🔸️ปี 2566 (2023) ปีนี้การระบาดยุติ การเสียชีวิตจากโควิดทั้งปี เหลือ 852 ราย แต่การเสียชีวิตจากทุกสาเหตุรวมกันยังคงสูงถึง 565,992 ราย
    ปีล่าสุดที่พึ่งผ่านมา
    🔸️2567 (2024) โควิดเงียบสงบมาก ทั้งปีเสียชีวิตจากโควิดเพียง 220 ราย แต่การเสียชีวิตโดยรวมจากทุกสาเหตุ สูงถึง 571,646 ราย หรือสูงกว่าปี 2562 ก่อนการระบาดของโควิด 65,425 ราย มากกว่า การเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่เริ่มมีการระบาดรวมกันทั้งหมด

    Figure 1จำนวนผู้เสียชีวิตรวมทุกสาเหตุรายปีตั้งแต่ปี 2558 ถึง 2567

    คำถามคือ ทำไม คนไทยยังคงเสียชีวิตในอัตราที่สูงอยู่ทั้งที่การระบาดยุติลง และเป็นการเสียชีวิตในอัตราที่สูงต่อเนื่องกันสามปี ทั้งนี้มีอีกหลายประเทศทั่วโลกที่เผชิญปัญหาเดียวกัน ทั้งที่ประเทศเหล่านั้นไม่มีปัญหาฝุ่น pm 2.5 ไม่มีปัญหา คลื่นความร้อนเหมือนในไทย ปัจจัยเดียวที่พบร่วมกันคือ มีการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนโควิด เหมือนกัน และอัตราการเสียชีวิตที่ผิดปกติเพิ่มขึ้นหลังการระดมฉีดเหมือนกัน ที่น่าสนใจ คือ ประเทศเหล่านั้น รวมทั้งประเทศไทย ไม่สนใจที่จะสืบหาสาเหตุการเสียชีวิตที่ผิดปกติ ไม่มีการนำเสนอข่าวสำคัญนี้ในสื่อกระแสหลัก หรือว่า เรื่องการเสียชีวิตที่ผิดปกตินี้ เป็นอีกเรื่องที่ ขัดกับ narrative ขัดกับความต้องการของบริษัทยา ไม่ต่างจากการปิดบังเรื่องอื่นๆ ของโควิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ต้นกำเนิดของเชื้อโควิด จากห้องทดลอง เรื่องยาถูกดีปลอดภัยที่ใช้รักษาโควิดได้ เรื่องภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่ดีกว่า ภูมิคุ้มกันจากวัคซีน หรือเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนโควิด
    คำถาม คือ คนไทย หมอไทย จะรอดูคนใกล้ชิด ล้มตายก่อนวัยอันควร โดยไม่ทำอะไรกันเลยหรือ?ปัญหาใดๆ ก็ตาม ถ้ายอมรับและลงมือแก้ไข ย่อมมีทางแก้ปัญหาเสมอ แต่การวิ่งหนีปัญหา ไม่ยอมรับรังแต่จะทำให้ปัญหานั้นทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อรู้ตัว อาจจะสายไปแล้ว

    Figure 2 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่เริ่มการระบาด

    Figure 3 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565

    Figure 4 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566

    Figure 5 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567

    ไฟล์PDF
    https://drive.google.com/file/d/1mfgjiKEyCTfccFf_TcdVjDmS0jvJwzPa/view?usp=drivesdk

    https://www.facebook.com/share/p/15vyAPBgac/
    นิลฉงน นลเฉลย

    นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง
    อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    ✴ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ผมเฝ้าติดตามการเสียชีวิตโดยรวมจากทุกสาเหตุของคนไทย โดยเข้าไปที่ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย หลังจากทบทวนข้อมูลย้อนหลังหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่ทำให้ผมข้องใจ และตั้งคำถามมาตลอดคือ เหตุใดคนไทยจึงเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่การระบาดของโควิดลดลง เพราะว่าถ้าเป็นการเสียชีวิตจากการระบาดของโควิด เมื่อการระบาดจบลงการเสียชีวิตย่อมต้องลดลงไปใกล้เคียงกับการเสียชีวิตก่อนการระบาด หรือถ้าจะโทษการปิดบ้านปิดเมืองว่าเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต เมื่อเปิดบ้านเปิดเมืองตามปกติ การเสียชีวิตก็ควรจะต้องลดลงมาใกล้เคียงกับก่อนปิดบ้านปิดเมือง แต่ตัวเลขสถิติที่เห็นไม่ได้เป็นเช่นนั้น 🔸️ในปี 2562 (2019) ก่อนการระบาดของเชื้อโควิด (อย่าลืมว่าบ้านเราเริ่มระบาดปี 2563 หรือ ค.ศ. 2020) คนไทยเสียชีวิตโดยรวมทั้งปี 506,221 ราย ไม่มีเสียชีวิตจากโควิดเลย 🔸️ในปี 2563 (2020) ปีเริ่มระบาด ปีที่ยังไม่มีวัคซีน คนไทยเสียชีวิตโดยรวม "ลดลง" เหลือ 501,438 ราย มีผู้เสียชีวิตจากโควิด 61 ราย 🔸️ปี 2564 (2021) การระบาดรุนแรง เสียชีวิตจากโควิดรวม 21,637 ราย เป็นปีที่มีการเสียชีวิตจากโควิดมากที่สุด ปีนั้นคนไทยเสียชีวิตโดยรวม 563,650 ราย ปีนี้เป็นปีที่มีการเริ่มต้นฉีดวัคซีน โดยเริ่มจากวันที่ 28 กพ เริ่มฉีด ชิโนแวค และ แอสตร้าเซนเนก้า วันที่ 25 มิย เริ่มฉีดชิโนฟาร์ม วันที่ 30 กค เริ่มฉีดไฟเซอร์ และวันที่ 9 พย เริ่มฉีดโมเดอร์นา 🔸️ปี 2565 (2022) ปีนั้น การระบาดเริ่มสงบลง เชื้อกลายพันธุ์ ลดความรุนแรง คนไทยเสียชีวิตจากโควิดลดลงเหลือ 11,073 ราย แต่คนไทยเสียชีวิตโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 595,965 ราย ทั้งที่การระบาดยุติ เปิดบ้านเปิดเมืองตามปกติ และที่สำคัญคนไทยฉีดวัคซีนไปมากมาย 🔸️ปี 2566 (2023) ปีนี้การระบาดยุติ การเสียชีวิตจากโควิดทั้งปี เหลือ 852 ราย แต่การเสียชีวิตจากทุกสาเหตุรวมกันยังคงสูงถึง 565,992 ราย ปีล่าสุดที่พึ่งผ่านมา 🔸️2567 (2024) โควิดเงียบสงบมาก ทั้งปีเสียชีวิตจากโควิดเพียง 220 ราย แต่การเสียชีวิตโดยรวมจากทุกสาเหตุ สูงถึง 571,646 ราย หรือสูงกว่าปี 2562 ก่อนการระบาดของโควิด 65,425 ราย มากกว่า การเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่เริ่มมีการระบาดรวมกันทั้งหมด Figure 1จำนวนผู้เสียชีวิตรวมทุกสาเหตุรายปีตั้งแต่ปี 2558 ถึง 2567 ❓คำถามคือ ทำไม คนไทยยังคงเสียชีวิตในอัตราที่สูงอยู่ทั้งที่การระบาดยุติลง และเป็นการเสียชีวิตในอัตราที่สูงต่อเนื่องกันสามปี ทั้งนี้มีอีกหลายประเทศทั่วโลกที่เผชิญปัญหาเดียวกัน ทั้งที่ประเทศเหล่านั้นไม่มีปัญหาฝุ่น pm 2.5 ไม่มีปัญหา คลื่นความร้อนเหมือนในไทย ปัจจัยเดียวที่พบร่วมกันคือ มีการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนโควิด เหมือนกัน และอัตราการเสียชีวิตที่ผิดปกติเพิ่มขึ้นหลังการระดมฉีดเหมือนกัน ที่น่าสนใจ คือ ประเทศเหล่านั้น รวมทั้งประเทศไทย ไม่สนใจที่จะสืบหาสาเหตุการเสียชีวิตที่ผิดปกติ ไม่มีการนำเสนอข่าวสำคัญนี้ในสื่อกระแสหลัก หรือว่า เรื่องการเสียชีวิตที่ผิดปกตินี้ เป็นอีกเรื่องที่ ขัดกับ narrative ขัดกับความต้องการของบริษัทยา❗ ไม่ต่างจากการปิดบังเรื่องอื่นๆ ของโควิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ต้นกำเนิดของเชื้อโควิด จากห้องทดลอง เรื่องยาถูกดีปลอดภัยที่ใช้รักษาโควิดได้ เรื่องภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่ดีกว่า ภูมิคุ้มกันจากวัคซีน หรือเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนโควิด 😰คำถาม คือ คนไทย หมอไทย จะรอดูคนใกล้ชิด ล้มตายก่อนวัยอันควร โดยไม่ทำอะไรกันเลยหรือ?ปัญหาใดๆ ก็ตาม ถ้ายอมรับและลงมือแก้ไข ย่อมมีทางแก้ปัญหาเสมอ แต่การวิ่งหนีปัญหา ไม่ยอมรับรังแต่จะทำให้ปัญหานั้นทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อรู้ตัว อาจจะสายไปแล้ว Figure 2 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่เริ่มการระบาด Figure 3 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 Figure 4 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 Figure 5 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ไฟล์PDF https://drive.google.com/file/d/1mfgjiKEyCTfccFf_TcdVjDmS0jvJwzPa/view?usp=drivesdk https://www.facebook.com/share/p/15vyAPBgac/ นิลฉงน นลเฉลย นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 882 มุมมอง 0 รีวิว
  • อยู่ดีๆก็จะตุยขึ้นมา
    อ้างว่า ถึงจะมีม๋ายจับ ก็แค่KADEE เช็ค
    มีม๋ายจับก็ไปรายงานตัวแล้วประกัน
    มีแต่ทุยเท่านั้นที่เชื่อ เพราะความง่าว
    กระบวนการคือ
    มันถูกฟ๊องฉ้อโGง โดยเช๊คเด้ง 9 ใบ
    เป็นเช๊คที่จ่ายให้ไฟแน๊นซ์ ที่มันไปออกรถเบนลี
    ราคาสิบกว่าล้าน แล้วเอาไปจำนำทันที
    ได้มาล้านห้า แล้วไม่ผ่อน ไอ่คนรับจำนำก็อยู่แถววัดแขก
    เอารถไปซ่อนแอบ แต่ตามเจอป่าวไม่รู้ได้ยินว่าขับไปปล่อยเหนือ
    ปล่อยที่สองล้าน แต่น่าจะเกมส์
    ไฟแน๊นซ์ก็เลยฟ๊อง ไปรับปากศาล ตีเช็คให้ 9 ใบ
    แต่บิดอีกต่อเนื่อง คราวนี้ไม่รู้ทำไง san นัด
    คราวนี้ หนี๋เลย ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ KADEE เช๊คอย่างที่มันแถ
    แต่เป็นการหนี๋KADEEฉ้อโGง รีบบินไปเกาหลีด่วนมาก
    เพราะไม่มึจ่ายตามนัดแน่ๆ ตอนที่มันโดนฟ๊อง
    มันก็ประกันตัวเองออกมาสู้ แต่มันไม่ได้สู้ มันหนี๋
    SAN จึงถอนประกันตัว จึงมีม๋ายจับ
    แล้วที่มันต้มทุยว่า กลับไปยืนยันตัวแล้วก็ได้ประกัน
    อันนี้ไม่ใช่นะจ๊ะ มีประวัติหนี๋KADEE แล้ว
    ถ้ามาถึงโดนรวบ เข้าแดนหญิงทันที จนกว่าKADEE จะเสร็จสิ้น
    ส่วนที่อ้างว่า เอารูปอะไรมา ตั้งแต่กี่ปีไม่รู้
    คือ ภาพที่เจ้าหน้าที่ใช้ คือภาพจากทะเบียนราษฎร์
    มันจะเอาภาพปัจจุบันยังไง ก็ปัจจุบันเมิงหนี๋KADEE
    มันคือภาพในบัตร ปชช เมิงนั่นแหละ แค่ภาพมันตรงปก
    ดูที่เมิงไลฟ์นี่ ไม่ได้ต่างกันเลย จะเอาแค่หลักฐานว่าภาพไม่ใช่ปัจจุบัน แปลว่าม๋ายจับไม่จริง มีแต่ทุยเท่านั้นแหละที่เชื่อ
    ไอ่ฟาย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    อยู่ดีๆก็จะตุยขึ้นมา อ้างว่า ถึงจะมีม๋ายจับ ก็แค่KADEE เช็ค มีม๋ายจับก็ไปรายงานตัวแล้วประกัน มีแต่ทุยเท่านั้นที่เชื่อ เพราะความง่าว กระบวนการคือ มันถูกฟ๊องฉ้อโGง โดยเช๊คเด้ง 9 ใบ เป็นเช๊คที่จ่ายให้ไฟแน๊นซ์ ที่มันไปออกรถเบนลี ราคาสิบกว่าล้าน แล้วเอาไปจำนำทันที ได้มาล้านห้า แล้วไม่ผ่อน ไอ่คนรับจำนำก็อยู่แถววัดแขก เอารถไปซ่อนแอบ แต่ตามเจอป่าวไม่รู้ได้ยินว่าขับไปปล่อยเหนือ ปล่อยที่สองล้าน แต่น่าจะเกมส์ ไฟแน๊นซ์ก็เลยฟ๊อง ไปรับปากศาล ตีเช็คให้ 9 ใบ แต่บิดอีกต่อเนื่อง คราวนี้ไม่รู้ทำไง san นัด คราวนี้ หนี๋เลย ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ KADEE เช๊คอย่างที่มันแถ แต่เป็นการหนี๋KADEEฉ้อโGง รีบบินไปเกาหลีด่วนมาก เพราะไม่มึจ่ายตามนัดแน่ๆ ตอนที่มันโดนฟ๊อง มันก็ประกันตัวเองออกมาสู้ แต่มันไม่ได้สู้ มันหนี๋ SAN จึงถอนประกันตัว จึงมีม๋ายจับ แล้วที่มันต้มทุยว่า กลับไปยืนยันตัวแล้วก็ได้ประกัน อันนี้ไม่ใช่นะจ๊ะ มีประวัติหนี๋KADEE แล้ว ถ้ามาถึงโดนรวบ เข้าแดนหญิงทันที จนกว่าKADEE จะเสร็จสิ้น ส่วนที่อ้างว่า เอารูปอะไรมา ตั้งแต่กี่ปีไม่รู้ คือ ภาพที่เจ้าหน้าที่ใช้ คือภาพจากทะเบียนราษฎร์ มันจะเอาภาพปัจจุบันยังไง ก็ปัจจุบันเมิงหนี๋KADEE มันคือภาพในบัตร ปชช เมิงนั่นแหละ แค่ภาพมันตรงปก ดูที่เมิงไลฟ์นี่ ไม่ได้ต่างกันเลย จะเอาแค่หลักฐานว่าภาพไม่ใช่ปัจจุบัน แปลว่าม๋ายจับไม่จริง มีแต่ทุยเท่านั้นแหละที่เชื่อ ไอ่ฟาย #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 581 มุมมอง 0 รีวิว
  • โพสไม่ได้อำ นามสกุลแรกของตั้ม ไม่ใช่เบี้ยบังเกิด แต่คือ
    "เบี้ยวบังเกิด"เช็คทะเบียนราษฎร์ได้
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    โพสไม่ได้อำ นามสกุลแรกของตั้ม ไม่ใช่เบี้ยบังเกิด แต่คือ "เบี้ยวบังเกิด"เช็คทะเบียนราษฎร์ได้ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 370 มุมมอง 0 รีวิว
  • สกัดกั้นอาชญากรรม สองสัญชาติไทย-มาเลย์ฯ

    การก่อเหตุอาชญากรรมในพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ทั้งทางการไทยจับกุม 6 ผู้ต้องหาชาวมาเลเซียพร้อมยาบ้า 6,000 เม็ด หรือทางการมาเลเซียจับกุมและสกัดกั้นน้ำตาลทราย 13,000 กิโลกรัม น้ำมันพืช 300 กล่อง ลักลอบขนไปยังประเทศไทย ทำให้ทางการไทยและมาเลเซียต่างหาทางป้องกันอาชญากรรมเหล่านี้

    เริ่มจากปัญหาการลักลอบข้ามแดนไทย-มาเลเซีย ผ่านแม่น้ำโกลก รัฐบาลท้องถิ่นรัฐกลันตันประกาศว่า จะเสนอรัฐบาลกลางมาเลเซีย ก่อสร้างกำแพงยาวประมาณ 100 กิโลเมตร เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีและปัญหาน้ำท่วม

    นายโมฮัมเหม็ด ฟาดซิล ฮัสซัน รองมุขมนตรีรัฐกลันตัน กล่าวว่า รัฐบาลท้องถิ่นจะให้ความร่วมมือรัฐบาลกลางหารือเรื่องนี้ เพราะพรมแดนระหว่างรัฐกลันตันกับไทยเป็นพรมแดนของประเทศ เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลกลาง การสร้างกำแพงนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาความปลอดภัยแล้ว ยังเป็นการพัฒนาเมืองชายแดน เช่น รันเตาปันจัง และเปงกาลันกุบอร์ด้วย

    ด้าน ตันศรี ราซารุดดิน บิน ฮุสเซน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย เรียกร้องให้ชาวมาเลเซียที่วางแผนเดินทางไปยังสุไหงโก-ลก ประเทศไทย ให้ใช้จุดเข้า-ออกที่ถูกกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงผลทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น แม้การที่ชาวมาเลเซียใช้เส้นทางที่ผิดกฎหมายเป็นเรื่องปกติ แต่เป็นการเปิดช่องให้เกิดการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีและการก่ออาชญากรรมข้ามแดน

    นอกจากนี้ ยังพบปัญหาที่ผู้ก่อเหตุอาชญากรรมข้ามพรมแดนไทย-มาเลเซียอาจมีบัตรประจำตัวประชาชน 2 ใบ ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนไทย กับบัตร MyKad ของมาเลเซีย หรือแม้กระทั่งการถือสองสัญชาติ เมื่อเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ไล่ล่า ผู้ต้องสงสัยมักจะหลบหนีไปยังมาเลเซียหรือไทย

    ทำให้นายไซฟุดดิน นาซูเตียน อิสมาอิล รมว.มหาดไทยมาเลเซีย กล่าวว่า ได้ขอรายชื่อจากทางการไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อตรวจสอบกับฐานข้อมูลกรมทะเบียนราษฎร์ (NRD) หลังจากตำรวจไทยระบุว่าอาชญากรข้ามแดนอาจมีบัตรประจำตัวประชาชนหรือการถือสองสัญชาติ ยืนยันว่ามาเลเซียไม่รับรองบุคคลที่มีสองสัญชาติ

    ที่ผ่านมามีคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-มาเลเซีย แลกเปลี่ยนข้อมูลบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุอาชญากรรม อำนวยความสะดวกแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ต้องสงสัยทั้งสองประเทศ และยังคงเปิดกว้างรับข้อมูล หากทางการไทยส่งรายชื่อมา จะตรวจสอบกับฐานข้อมูล NRD เพื่อยืนยันสถานะบุคคล

    นอกจากนี้ ในประเทศไทยได้แสดงใบหน้าบุคคลที่ต้องการตัวเพื่อให้ประชาชนแจ้งเบาะแสจับกุม ดังนั้นตำรวจมาเลเซียและไทยจึงให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการจัดการผู้ต้องสงสัยเป็นที่ต้องการตัวของทั้งสองประเทศ

    #Newskit
    สกัดกั้นอาชญากรรม สองสัญชาติไทย-มาเลย์ฯ การก่อเหตุอาชญากรรมในพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ทั้งทางการไทยจับกุม 6 ผู้ต้องหาชาวมาเลเซียพร้อมยาบ้า 6,000 เม็ด หรือทางการมาเลเซียจับกุมและสกัดกั้นน้ำตาลทราย 13,000 กิโลกรัม น้ำมันพืช 300 กล่อง ลักลอบขนไปยังประเทศไทย ทำให้ทางการไทยและมาเลเซียต่างหาทางป้องกันอาชญากรรมเหล่านี้ เริ่มจากปัญหาการลักลอบข้ามแดนไทย-มาเลเซีย ผ่านแม่น้ำโกลก รัฐบาลท้องถิ่นรัฐกลันตันประกาศว่า จะเสนอรัฐบาลกลางมาเลเซีย ก่อสร้างกำแพงยาวประมาณ 100 กิโลเมตร เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีและปัญหาน้ำท่วม นายโมฮัมเหม็ด ฟาดซิล ฮัสซัน รองมุขมนตรีรัฐกลันตัน กล่าวว่า รัฐบาลท้องถิ่นจะให้ความร่วมมือรัฐบาลกลางหารือเรื่องนี้ เพราะพรมแดนระหว่างรัฐกลันตันกับไทยเป็นพรมแดนของประเทศ เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลกลาง การสร้างกำแพงนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาความปลอดภัยแล้ว ยังเป็นการพัฒนาเมืองชายแดน เช่น รันเตาปันจัง และเปงกาลันกุบอร์ด้วย ด้าน ตันศรี ราซารุดดิน บิน ฮุสเซน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย เรียกร้องให้ชาวมาเลเซียที่วางแผนเดินทางไปยังสุไหงโก-ลก ประเทศไทย ให้ใช้จุดเข้า-ออกที่ถูกกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงผลทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น แม้การที่ชาวมาเลเซียใช้เส้นทางที่ผิดกฎหมายเป็นเรื่องปกติ แต่เป็นการเปิดช่องให้เกิดการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีและการก่ออาชญากรรมข้ามแดน นอกจากนี้ ยังพบปัญหาที่ผู้ก่อเหตุอาชญากรรมข้ามพรมแดนไทย-มาเลเซียอาจมีบัตรประจำตัวประชาชน 2 ใบ ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนไทย กับบัตร MyKad ของมาเลเซีย หรือแม้กระทั่งการถือสองสัญชาติ เมื่อเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ไล่ล่า ผู้ต้องสงสัยมักจะหลบหนีไปยังมาเลเซียหรือไทย ทำให้นายไซฟุดดิน นาซูเตียน อิสมาอิล รมว.มหาดไทยมาเลเซีย กล่าวว่า ได้ขอรายชื่อจากทางการไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อตรวจสอบกับฐานข้อมูลกรมทะเบียนราษฎร์ (NRD) หลังจากตำรวจไทยระบุว่าอาชญากรข้ามแดนอาจมีบัตรประจำตัวประชาชนหรือการถือสองสัญชาติ ยืนยันว่ามาเลเซียไม่รับรองบุคคลที่มีสองสัญชาติ ที่ผ่านมามีคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-มาเลเซีย แลกเปลี่ยนข้อมูลบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุอาชญากรรม อำนวยความสะดวกแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ต้องสงสัยทั้งสองประเทศ และยังคงเปิดกว้างรับข้อมูล หากทางการไทยส่งรายชื่อมา จะตรวจสอบกับฐานข้อมูล NRD เพื่อยืนยันสถานะบุคคล นอกจากนี้ ในประเทศไทยได้แสดงใบหน้าบุคคลที่ต้องการตัวเพื่อให้ประชาชนแจ้งเบาะแสจับกุม ดังนั้นตำรวจมาเลเซียและไทยจึงให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการจัดการผู้ต้องสงสัยเป็นที่ต้องการตัวของทั้งสองประเทศ #Newskit
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 879 มุมมอง 0 รีวิว
  • พาสปอร์ตโฉมใหม่ ฉลอง 79 ปีอินโดนีเซีย

    ในการเฉลิมฉลองครบรอบ 79 ปี วันประกาศอิสรภาพของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2567 นอกจากจะมีความเปลี่ยนแปลงทั้งการย้ายเมืองหลวงจากกรุงจาการ์ตา ไปยังเมืองหลวงใหม่นูซันตารา (Nusantara) ทางฝั่งตะวันออกของเกาะบอร์เนียว และ ปราโบโว ซูเบียนโต กำลังจะจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจาก โจโก วิโดโด ในเดือนตุลาคมนี้

    หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ คือ การเปิดตัวหนังสือเดินทางธรรมดาโฉมใหม่ ของกรมตรวจคนเข้าเมืองอินโดนีเซีย เปลี่ยนแปลงรูปเล่มจากเดิมสีเขียวเทอร์ควอยซ์ (Turquoise green) และตราพญาครุฑปัญจศีลพร้อมข้อความสีเหลือง ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2557 มาเป็นสีแดงสด (Bright red) ตัดกับตราพญาครุฑปัญจศีลพร้อมข้อความสีขาวแทน

    สำหรับหนังสือเดินทางอินโดนีเซียโฉมใหม่ ประกอบด้วยหน้าปกที่ทนความร้อน มีความยืดหยุ่น ปกป้องชิปที่อยู่ในเล่มได้ หน้าไบโอดาตา (Biodata) ทำจากโพลีคาร์บอเนตเคลือบหลายชั้นเพื่อความทนทาน และมีการพิมพ์โดยใช้ทั้งหมึกที่มองเห็นได้และหมึกที่มองไม่เห็น เรืองแสงด้วยแสงอัลตราไวโอเลต และลวดลายผ้าดั้งเดิมตามแบบฉบับของแต่ละภูมิภาคในอินโดนีเซีย

    การออกแบบหนังสือเดินทางโฉมใหม่ครั้งนี้ เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ปลอดภัยต่อการถูกปลอมแปลงมากขึ้น และเสริมสร้างภาพลักษณ์ทางวัฒนธรรมและสถานะระหว่างประเทศของอินโดนีเซีย

    อย่างไรก็ตาม แม้หนังสือเดินทางธรรมดาโฉมใหม่ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 17 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป แต่จะให้บริการแก่ประชาชนในปีหน้า วันที่ 17 สิงหาคม 2568 เนื่องจากต้องเตรียมการหลายอย่าง รวมถึงขั้นตอนการพิมพ์ การออกเงื่อนไข การออกหนังสือเดินทาง และการตั้งค่าระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงยังคงออกหนังสือเดินทางรูปแบบเดิมให้หมดก่อน

    สำหรับหนังสือเดินทางอินโดนีเซียถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 65 ตามการจัดอันดับของ The Henley Passport Index 2024 Global Ranking สามารถเดินทางได้ 76 ประเทศหรือดินแดนโดยไม่ต้องใช้วีซ่า และเป็นอันดับที่ห้าในภูมิภาคอาเซียน รองจากประเทศสิงคโปร์อันดับที่ 1 มาเลเซียอันดับที่ 12 บรูไนอันดับที่ 19 และประเทศไทยอันดับที่ 60

    ที่ผ่านมาในภูมิภาคอาเซียนมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการให้บริการหนังสือเดินทาง หนึ่งในนั้นคือการขยายอายุหนังสือเดินทางจาก 5 ปี เป็น 10 ปี ซึ่งประเทศสิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างออกหนังสือเดินทางแบบ 10 ปีแล้ว เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาและอิตาลี ส่วนประเทศมาเลเซียกำลังอยู่ในระหว่างเตรียมการประกาศวันที่เริ่มใช้ในเร็วๆ นี้

    สำหรับประเทศไทย กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ กำลังเตรียมความพร้อมโครงการหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ระยะที่ 4 เพื่อรองรับหลังโครงการระยะที่ 3 เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2562 และจะสิ้นสุดสัญญา 7 ปี ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2569

    โดยกำลังพิจารณาเพิ่มคุณลักษณะที่มากกว่ามาตรฐาน ICAO เพื่อป้องกันการปลอมแปลง รวมทั้งการเชื่อมระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร การจัดทำหนังสือเดินทางดิจิทัล (Digital Travel Credentials หรือ DTCs) การเพิ่มคุณลักษณะความปลอดภัย โดยใช้รูปถ่ายสีแทนรูปขาวดำ และมีโฮโลแกรมภาพบุคคลเสมือนจริงเป็นภาพสีในหน้า Biodatabase เป็นต้น

    #Newskit #PassportIndonesia #pasporIndonesia
    พาสปอร์ตโฉมใหม่ ฉลอง 79 ปีอินโดนีเซีย ในการเฉลิมฉลองครบรอบ 79 ปี วันประกาศอิสรภาพของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2567 นอกจากจะมีความเปลี่ยนแปลงทั้งการย้ายเมืองหลวงจากกรุงจาการ์ตา ไปยังเมืองหลวงใหม่นูซันตารา (Nusantara) ทางฝั่งตะวันออกของเกาะบอร์เนียว และ ปราโบโว ซูเบียนโต กำลังจะจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจาก โจโก วิโดโด ในเดือนตุลาคมนี้ หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ คือ การเปิดตัวหนังสือเดินทางธรรมดาโฉมใหม่ ของกรมตรวจคนเข้าเมืองอินโดนีเซีย เปลี่ยนแปลงรูปเล่มจากเดิมสีเขียวเทอร์ควอยซ์ (Turquoise green) และตราพญาครุฑปัญจศีลพร้อมข้อความสีเหลือง ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2557 มาเป็นสีแดงสด (Bright red) ตัดกับตราพญาครุฑปัญจศีลพร้อมข้อความสีขาวแทน สำหรับหนังสือเดินทางอินโดนีเซียโฉมใหม่ ประกอบด้วยหน้าปกที่ทนความร้อน มีความยืดหยุ่น ปกป้องชิปที่อยู่ในเล่มได้ หน้าไบโอดาตา (Biodata) ทำจากโพลีคาร์บอเนตเคลือบหลายชั้นเพื่อความทนทาน และมีการพิมพ์โดยใช้ทั้งหมึกที่มองเห็นได้และหมึกที่มองไม่เห็น เรืองแสงด้วยแสงอัลตราไวโอเลต และลวดลายผ้าดั้งเดิมตามแบบฉบับของแต่ละภูมิภาคในอินโดนีเซีย การออกแบบหนังสือเดินทางโฉมใหม่ครั้งนี้ เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ปลอดภัยต่อการถูกปลอมแปลงมากขึ้น และเสริมสร้างภาพลักษณ์ทางวัฒนธรรมและสถานะระหว่างประเทศของอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม แม้หนังสือเดินทางธรรมดาโฉมใหม่ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 17 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป แต่จะให้บริการแก่ประชาชนในปีหน้า วันที่ 17 สิงหาคม 2568 เนื่องจากต้องเตรียมการหลายอย่าง รวมถึงขั้นตอนการพิมพ์ การออกเงื่อนไข การออกหนังสือเดินทาง และการตั้งค่าระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงยังคงออกหนังสือเดินทางรูปแบบเดิมให้หมดก่อน สำหรับหนังสือเดินทางอินโดนีเซียถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 65 ตามการจัดอันดับของ The Henley Passport Index 2024 Global Ranking สามารถเดินทางได้ 76 ประเทศหรือดินแดนโดยไม่ต้องใช้วีซ่า และเป็นอันดับที่ห้าในภูมิภาคอาเซียน รองจากประเทศสิงคโปร์อันดับที่ 1 มาเลเซียอันดับที่ 12 บรูไนอันดับที่ 19 และประเทศไทยอันดับที่ 60 ที่ผ่านมาในภูมิภาคอาเซียนมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการให้บริการหนังสือเดินทาง หนึ่งในนั้นคือการขยายอายุหนังสือเดินทางจาก 5 ปี เป็น 10 ปี ซึ่งประเทศสิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างออกหนังสือเดินทางแบบ 10 ปีแล้ว เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาและอิตาลี ส่วนประเทศมาเลเซียกำลังอยู่ในระหว่างเตรียมการประกาศวันที่เริ่มใช้ในเร็วๆ นี้ สำหรับประเทศไทย กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ กำลังเตรียมความพร้อมโครงการหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ระยะที่ 4 เพื่อรองรับหลังโครงการระยะที่ 3 เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2562 และจะสิ้นสุดสัญญา 7 ปี ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2569 โดยกำลังพิจารณาเพิ่มคุณลักษณะที่มากกว่ามาตรฐาน ICAO เพื่อป้องกันการปลอมแปลง รวมทั้งการเชื่อมระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร การจัดทำหนังสือเดินทางดิจิทัล (Digital Travel Credentials หรือ DTCs) การเพิ่มคุณลักษณะความปลอดภัย โดยใช้รูปถ่ายสีแทนรูปขาวดำ และมีโฮโลแกรมภาพบุคคลเสมือนจริงเป็นภาพสีในหน้า Biodatabase เป็นต้น #Newskit #PassportIndonesia #pasporIndonesia
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1541 มุมมอง 0 รีวิว