• มุกเดิมฮุนเซน งัดคลิปแบล็คเมล์

    การปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชาครั้งใหม่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้กัมพูชาใช้วิธีตีสองหน้า ลอบโจมตีทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย แล้วอ้างต่อประชาคมโลกว่าไม่ได้ทำ ปฎิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงและปฎิญญาสันติภาพ แบบเดียวกับเวลาทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด PMN-2 สภาพใหม่เอี่ยม กัมพูชาก็อ้างว่าเป็นของเก่า งานนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย มีท่าทีแข็งกร้าว เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ก่อนมีมติปฏิบัติการทางทหารในทุกกรณี ตามเงื่อนไขของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และให้มีการปฏิบัติการทางทหารในเรื่องอื่นๆ ที่มีความจำเป็น

    นายอนุทินยืนยันว่าไม่เจรจากับกัมพูชาอีกแล้ว จากนี้ไปถ้ากัมพูชาจะหยุดสู้รบกันก็ต้องทำตามสิ่งที่ประเทศไทยกำหนด รวมถึงถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration) ระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งลงนามที่ประเทศมาเลเซียก็ไม่มีแล้ว ไม่คุย และไม่แจ้งนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หรือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพราะเป็นเรื่องของประเทศไทยและคู่กรณี และไม่กังวลว่าจะส่งผลต่อการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ แต่อีกด้านหนึ่ง นายอนุทินยังคงไม่ยกเลิก MOU43 และ MOU44 แต่อย่างใด ทั้งที่ผ่านมากัมพูชามองว่าเป็นเพียงแค่เศษกระดาษ และมีพฤติกรรมรุกล้ำดินแดนไทยอย่างต่อเนื่อง

    ที่น่าสนใจก็คือ มุกเดิมๆ ของนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และรักษาการประมุขแห่งรัฐ เอาคลิปที่นายอนุทินไปพบผู้ว่าราชการจังหวัดไพลิน ประเทศกัมพูชา โดยไม่ระบุวัน เวลา และสถานที่อย่างแน่ชัด โดยระบุข้อความว่า "ผมไม่คิดเลยว่านายกรัฐมนตรีอนุทินของไทย จะกล้าเอาชีวิตของทหารและประชาชนไปประกาศสงครามกับกัมพูชา เพื่อผลประโยชน์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เมื่อกองทัพกัมพูชาไม่ตอบโต้ ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านเป็นเพื่อน แต่เมื่อท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านกลับลืมมิตรภาพ ผมเข้าใจความรักชาติ แต่เราไม่ควรประกาศสงครามกับผู้ที่ไม่ตอบโต้"

    จุดอ่อนของนายฮุน เซน คือไม่ชอบให้ใครมาเหยียดหยาม เขาประสบความสำเร็จในการเผยแพร่คลิปเสียง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้า สนทนาทางโทรศัพท์ ด้วยวลีที่ว่า "แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นคนละพวกกับเรา" และ "อังเคิลอยากได้อะไรขอให้บอก เดี๋ยวจัดให้" ทำคนไทยทั้งประเทศโกรธและตราหน้าว่า "ขายชาติ" นำไปสู่การพ้นจากตำแหน่งตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับนายอนุทิน ขณะนี้ยังไม่พบว่าเคยมีผลประโยชน์อะไรกับกัมพูชา เมื่อเทียบกับตระกูลชินวัตร วิธีการแบล็คเมล์เดิมๆ ของนายฮุน เซน กลายเป็นที่เคลือบแคลงสงสัย และอาจทำให้มิตรประเทศต่างๆ ไม่น่าไว้วางใจยิ่งขึ้น

    #Newskit
    มุกเดิมฮุนเซน งัดคลิปแบล็คเมล์ การปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชาครั้งใหม่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้กัมพูชาใช้วิธีตีสองหน้า ลอบโจมตีทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย แล้วอ้างต่อประชาคมโลกว่าไม่ได้ทำ ปฎิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงและปฎิญญาสันติภาพ แบบเดียวกับเวลาทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด PMN-2 สภาพใหม่เอี่ยม กัมพูชาก็อ้างว่าเป็นของเก่า งานนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย มีท่าทีแข็งกร้าว เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ก่อนมีมติปฏิบัติการทางทหารในทุกกรณี ตามเงื่อนไขของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และให้มีการปฏิบัติการทางทหารในเรื่องอื่นๆ ที่มีความจำเป็น นายอนุทินยืนยันว่าไม่เจรจากับกัมพูชาอีกแล้ว จากนี้ไปถ้ากัมพูชาจะหยุดสู้รบกันก็ต้องทำตามสิ่งที่ประเทศไทยกำหนด รวมถึงถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration) ระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งลงนามที่ประเทศมาเลเซียก็ไม่มีแล้ว ไม่คุย และไม่แจ้งนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หรือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพราะเป็นเรื่องของประเทศไทยและคู่กรณี และไม่กังวลว่าจะส่งผลต่อการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ แต่อีกด้านหนึ่ง นายอนุทินยังคงไม่ยกเลิก MOU43 และ MOU44 แต่อย่างใด ทั้งที่ผ่านมากัมพูชามองว่าเป็นเพียงแค่เศษกระดาษ และมีพฤติกรรมรุกล้ำดินแดนไทยอย่างต่อเนื่อง ที่น่าสนใจก็คือ มุกเดิมๆ ของนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และรักษาการประมุขแห่งรัฐ เอาคลิปที่นายอนุทินไปพบผู้ว่าราชการจังหวัดไพลิน ประเทศกัมพูชา โดยไม่ระบุวัน เวลา และสถานที่อย่างแน่ชัด โดยระบุข้อความว่า "ผมไม่คิดเลยว่านายกรัฐมนตรีอนุทินของไทย จะกล้าเอาชีวิตของทหารและประชาชนไปประกาศสงครามกับกัมพูชา เพื่อผลประโยชน์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เมื่อกองทัพกัมพูชาไม่ตอบโต้ ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านเป็นเพื่อน แต่เมื่อท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านกลับลืมมิตรภาพ ผมเข้าใจความรักชาติ แต่เราไม่ควรประกาศสงครามกับผู้ที่ไม่ตอบโต้" จุดอ่อนของนายฮุน เซน คือไม่ชอบให้ใครมาเหยียดหยาม เขาประสบความสำเร็จในการเผยแพร่คลิปเสียง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้า สนทนาทางโทรศัพท์ ด้วยวลีที่ว่า "แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นคนละพวกกับเรา" และ "อังเคิลอยากได้อะไรขอให้บอก เดี๋ยวจัดให้" ทำคนไทยทั้งประเทศโกรธและตราหน้าว่า "ขายชาติ" นำไปสู่การพ้นจากตำแหน่งตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับนายอนุทิน ขณะนี้ยังไม่พบว่าเคยมีผลประโยชน์อะไรกับกัมพูชา เมื่อเทียบกับตระกูลชินวัตร วิธีการแบล็คเมล์เดิมๆ ของนายฮุน เซน กลายเป็นที่เคลือบแคลงสงสัย และอาจทำให้มิตรประเทศต่างๆ ไม่น่าไว้วางใจยิ่งขึ้น #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 292 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ” เผยแพร่รายงาน “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ ปี 2025” หรือ National Security Strategy (NSS) 2025 ซึ่งเป็นหนึ่งในเอกสารที่รัฐบาลของทรัมป์ใช้กำหนดทิศทางประเทศทั้งด้านทหาร เศรษฐกิจ การต่างประเทศ และเทคโนโลยี

    รายละเอียดบางส่วนของรายงานนี้ระบุถึง "ศัตรู" สำคัญ ที่เป็นมหาอำนาจและคู่แข่งขันของสหรัฐคือ:
    จีน ถูกจัดให้อยู่ในลำดับสูงสุด! ที่กำลังขยายอำนาจในแถบอินโดแปซิฟิกอย่างจริงจัง
    รัสเซีย อันดับรองลงมา ถูกสหรัฐมองว่าใช้ความได้เปรียบด้านอำนาจทางทหารและไซเบอร์เพื่อบ่อนทำลายเสถียรภาพยุโรป
    อิหร่าน + เกาหลีเหนือ เป็นภัยในด้านผู้เผยแพร่เทคโนโลยีนิวเคลียร์และขีปนาวุธ

    ทางด้านยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาคของโลก:
    สหรัฐให้ความสำคัญภูมิภาค "อินโดแปซิฟิก" มากที่สุด เพื่อคานอำนาจของ "จีน" ในแถบทะเลจีนใต้ ด้วยการสร้างพันธมิตร “แถบปะการัง” ล้อมจีน เช่น ญี่ปุ่น–เกาหลี–ฟิลิปปินส์–ออสเตรเลีย
    .
    ความเห็นจาก Lyle Morris นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงในเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะเรื่อง จีน

    ที่ผ่านมาตลอด 30 ปี สหรัฐวางนโยบายเกี่ยวกับจีนผิดพลาด โดยหวังว่าการเปิดตลาดให้จีนสู่โลกภายนอก และการอนุญาตให้ธุรกิจจากภายนอก เข้าไปลงทุนในจีน จะทำให้จีนมีค่านิยมเข้าหาระเบียบโลกใหม่แบบตะวันตกที่วางแผนไว้

    แต่ผลลัพธ์กลับตรงข้าม จีนอาศัยโอกาสนี้ สร้างตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นทั้งด้านเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมือง และใช้ความได้เปรียบเหล่านั้นเพื่อประโยชน์ของตนเอง ขณะเดียวกัน ทำให้ยากต่อการควบคุมในที่สุด

    จนถึงยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ที่เริ่มกลับทิศนโยบายด้วยการปรับเรื่องภาษีและการค้าใหม่ทั้งหมด เพื่อควบคุมการขยายอิทธิพลของจีน
    .
    https://www.whitehouse.gov/wp-content/uploads/2025/12/2025-National-Security-Strategy.pdf
    “สภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ” เผยแพร่รายงาน “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ ปี 2025” หรือ National Security Strategy (NSS) 2025 ซึ่งเป็นหนึ่งในเอกสารที่รัฐบาลของทรัมป์ใช้กำหนดทิศทางประเทศทั้งด้านทหาร เศรษฐกิจ การต่างประเทศ และเทคโนโลยี รายละเอียดบางส่วนของรายงานนี้ระบุถึง "ศัตรู" สำคัญ ที่เป็นมหาอำนาจและคู่แข่งขันของสหรัฐคือ: 👉จีน ถูกจัดให้อยู่ในลำดับสูงสุด! ที่กำลังขยายอำนาจในแถบอินโดแปซิฟิกอย่างจริงจัง 👉รัสเซีย อันดับรองลงมา ถูกสหรัฐมองว่าใช้ความได้เปรียบด้านอำนาจทางทหารและไซเบอร์เพื่อบ่อนทำลายเสถียรภาพยุโรป 👉อิหร่าน + เกาหลีเหนือ เป็นภัยในด้านผู้เผยแพร่เทคโนโลยีนิวเคลียร์และขีปนาวุธ ทางด้านยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาคของโลก: 👉สหรัฐให้ความสำคัญภูมิภาค "อินโดแปซิฟิก" มากที่สุด เพื่อคานอำนาจของ "จีน" ในแถบทะเลจีนใต้ ด้วยการสร้างพันธมิตร “แถบปะการัง” ล้อมจีน เช่น ญี่ปุ่น–เกาหลี–ฟิลิปปินส์–ออสเตรเลีย . ความเห็นจาก Lyle Morris นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงในเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะเรื่อง จีน ที่ผ่านมาตลอด 30 ปี สหรัฐวางนโยบายเกี่ยวกับจีนผิดพลาด โดยหวังว่าการเปิดตลาดให้จีนสู่โลกภายนอก และการอนุญาตให้ธุรกิจจากภายนอก เข้าไปลงทุนในจีน จะทำให้จีนมีค่านิยมเข้าหาระเบียบโลกใหม่แบบตะวันตกที่วางแผนไว้ แต่ผลลัพธ์กลับตรงข้าม จีนอาศัยโอกาสนี้ สร้างตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นทั้งด้านเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมือง และใช้ความได้เปรียบเหล่านั้นเพื่อประโยชน์ของตนเอง ขณะเดียวกัน ทำให้ยากต่อการควบคุมในที่สุด จนถึงยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ที่เริ่มกลับทิศนโยบายด้วยการปรับเรื่องภาษีและการค้าใหม่ทั้งหมด เพื่อควบคุมการขยายอิทธิพลของจีน . https://www.whitehouse.gov/wp-content/uploads/2025/12/2025-National-Security-Strategy.pdf
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 389 มุมมอง 0 รีวิว
  • การพบปะระหว่างทรัมป์และซีอีโอ Nvidia

    เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2025 มีรายงานว่า ทรัมป์ได้พบกับเจนเซน ฮวง ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อหารือเกี่ยวกับ ข้อจำกัดการส่งออกชิปประมวลผล AI ไปยังประเทศที่ถูกจัดว่าเป็น “countries of concern” การพบปะครั้งนี้สะท้อนถึงความสำคัญของ Nvidia ในฐานะบริษัทที่มีบทบาทนำในตลาด AI และชิปประสิทธิภาพสูง

    ความกังวลของ Nvidia
    ฮวงได้แสดงความกังวลว่า กฎหมายที่บังคับให้ขายชิปให้ลูกค้าในสหรัฐฯ ก่อนส่งออก อาจทำให้การแข่งขันระดับโลกชะลอตัว และลดความสามารถของสหรัฐฯ ในการรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI เขายังกล่าวในพอดแคสต์กับ Joe Rogan ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ตอบสนองต่อข้อกังวลของเขาเสมอ และย้ำว่าการแข่งขันด้าน AI จะไม่ใช่การ “ชนะทันที” แต่เป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

    มิติด้านความมั่นคงและการแข่งขันโลก
    การควบคุมการส่งออกชิปถูกมองว่าเป็น กลยุทธ์ด้านความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศคู่แข่งเข้าถึงเทคโนโลยีที่อาจใช้ในด้านการทหารหรือการพัฒนา AI ขั้นสูง อย่างไรก็ตาม Nvidia และผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่าการจำกัดมากเกินไปอาจทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความได้เปรียบเชิงพาณิชย์และนวัตกรรม

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    หากมาตรการควบคุมเข้มงวดเกินไป อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ สูญเสียตลาดต่างประเทศ และเปิดโอกาสให้คู่แข่งจากจีนหรือยุโรปเข้ามาแทนที่ ขณะเดียวกันก็อาจกระทบต่อการลงทุนและการพัฒนา AI ภายในประเทศเอง

    สรุปสาระสำคัญ
    การพบปะระหว่างทรัมป์และเจนเซน ฮวง
    หารือเรื่องมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI

    ความกังวลของ Nvidia
    กฎหมายบังคับขายในประเทศก่อนส่งออกอาจลดความสามารถในการแข่งขัน

    มิติด้านความมั่นคงแห่งชาติ
    สหรัฐฯ ต้องการป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง

    ความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรม AI
    อาจทำให้บริษัทสหรัฐฯ สูญเสียตลาดต่างประเทศและลดแรงจูงใจในการลงทุน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/trump-met-with-nvidia-ceo-jensen-huang-about-export-controls-cbs-news039-reporter-says
    🤝 การพบปะระหว่างทรัมป์และซีอีโอ Nvidia เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2025 มีรายงานว่า ทรัมป์ได้พบกับเจนเซน ฮวง ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อหารือเกี่ยวกับ ข้อจำกัดการส่งออกชิปประมวลผล AI ไปยังประเทศที่ถูกจัดว่าเป็น “countries of concern” การพบปะครั้งนี้สะท้อนถึงความสำคัญของ Nvidia ในฐานะบริษัทที่มีบทบาทนำในตลาด AI และชิปประสิทธิภาพสูง ⚙️ ความกังวลของ Nvidia ฮวงได้แสดงความกังวลว่า กฎหมายที่บังคับให้ขายชิปให้ลูกค้าในสหรัฐฯ ก่อนส่งออก อาจทำให้การแข่งขันระดับโลกชะลอตัว และลดความสามารถของสหรัฐฯ ในการรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI เขายังกล่าวในพอดแคสต์กับ Joe Rogan ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ตอบสนองต่อข้อกังวลของเขาเสมอ และย้ำว่าการแข่งขันด้าน AI จะไม่ใช่การ “ชนะทันที” แต่เป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 🔮 มิติด้านความมั่นคงและการแข่งขันโลก การควบคุมการส่งออกชิปถูกมองว่าเป็น กลยุทธ์ด้านความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศคู่แข่งเข้าถึงเทคโนโลยีที่อาจใช้ในด้านการทหารหรือการพัฒนา AI ขั้นสูง อย่างไรก็ตาม Nvidia และผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่าการจำกัดมากเกินไปอาจทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความได้เปรียบเชิงพาณิชย์และนวัตกรรม ⚠️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI หากมาตรการควบคุมเข้มงวดเกินไป อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ สูญเสียตลาดต่างประเทศ และเปิดโอกาสให้คู่แข่งจากจีนหรือยุโรปเข้ามาแทนที่ ขณะเดียวกันก็อาจกระทบต่อการลงทุนและการพัฒนา AI ภายในประเทศเอง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การพบปะระหว่างทรัมป์และเจนเซน ฮวง ➡️ หารือเรื่องมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ✅ ความกังวลของ Nvidia ➡️ กฎหมายบังคับขายในประเทศก่อนส่งออกอาจลดความสามารถในการแข่งขัน ✅ มิติด้านความมั่นคงแห่งชาติ ➡️ สหรัฐฯ ต้องการป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ‼️ ความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรม AI ⛔ อาจทำให้บริษัทสหรัฐฯ สูญเสียตลาดต่างประเทศและลดแรงจูงใจในการลงทุน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/trump-met-with-nvidia-ceo-jensen-huang-about-export-controls-cbs-news039-reporter-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump met with Nvidia CEO Jensen Huang on export controls, source says
    Dec 3 (Reuters) - U.S. President Donald Trump met with chip giant Nvidia's CEO Jensen Huang on Wednesday to discuss export controls, a source familiar with the matter told Reuters.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไต้หวันฟ้อง Tokyo Electron กรณีขโมยข้อมูล TSMC

    อัยการไต้หวันได้ตั้งข้อหาต่อบริษัท Tokyo Electron โดยกล่าวหาว่าบริษัทไม่สามารถป้องกันพนักงานของตนจากการพยายามขโมยข้อมูลลับทางการค้าและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตชิป 2nm ของ TSMC ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก

    รายละเอียดของคดี
    กลุ่มพนักงานทั้งอดีตและปัจจุบันของ Tokyo Electron ถูกกล่าวหาว่าพยายามนำข้อมูลไปใช้เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรแกะสลัก (etching machines) ของบริษัท เพื่อให้ได้สัญญามากขึ้นจาก TSMC แม้จะไม่มีหลักฐานว่าบริษัทใช้ข้อมูลที่ถูกขโมย แต่ทางการไต้หวันชี้ว่า Tokyo Electron ขาดมาตรการป้องกันที่เข้มงวดและควรรับผิดชอบในฐานะองค์กร

    ผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์
    คดีนี้สะท้อนถึงความสำคัญของ TSMC ในฐานะผู้ผลิตชิปขั้นสูงที่เป็นหัวใจของอุตสาหกรรมโลก ทั้ง Nvidia, AMD และ Apple ต่างพึ่งพาเทคโนโลยีของ TSMC การพยายามขโมยข้อมูลจึงถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติของไต้หวัน

    มุมมองในอนาคต
    Tokyo Electron ระบุว่ากำลังให้ความร่วมมือกับการสอบสวนและได้ไล่ออกพนักงานที่เกี่ยวข้องแล้ว อย่างไรก็ตาม คดีนี้อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างญี่ปุ่นและไต้หวัน รวมถึงการกำหนดมาตรการเข้มงวดขึ้นในการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    สรุปสาระสำคัญ
    อัยการไต้หวันตั้งข้อหา Tokyo Electron
    ล้มเหลวในการป้องกันพนักงานจากการขโมยข้อมูล TSMC

    ข้อมูลที่ถูกพยายามขโมยเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC
    ใช้เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรแกะสลักของบริษัท

    TSMC เป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมโลก
    มีลูกค้ารายใหญ่ เช่น Nvidia, AMD และ Apple

    การขโมยข้อมูลถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของไต้หวัน
    อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมือง

    Tokyo Electron อาจเผชิญบทลงโทษทางกฎหมายและชื่อเสียง
    ต้องเพิ่มมาตรการป้องกันข้อมูลภายในองค์กร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/taiwan-hits-japanese-firm-with-indictment-in-tsmc-data-theft-saga-tokyo-electron-charged-with-failing-to-prevent-its-staff-from-stealing-trade-secrets
    ⚖️ ไต้หวันฟ้อง Tokyo Electron กรณีขโมยข้อมูล TSMC อัยการไต้หวันได้ตั้งข้อหาต่อบริษัท Tokyo Electron โดยกล่าวหาว่าบริษัทไม่สามารถป้องกันพนักงานของตนจากการพยายามขโมยข้อมูลลับทางการค้าและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตชิป 2nm ของ TSMC ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก 🔧 รายละเอียดของคดี กลุ่มพนักงานทั้งอดีตและปัจจุบันของ Tokyo Electron ถูกกล่าวหาว่าพยายามนำข้อมูลไปใช้เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรแกะสลัก (etching machines) ของบริษัท เพื่อให้ได้สัญญามากขึ้นจาก TSMC แม้จะไม่มีหลักฐานว่าบริษัทใช้ข้อมูลที่ถูกขโมย แต่ทางการไต้หวันชี้ว่า Tokyo Electron ขาดมาตรการป้องกันที่เข้มงวดและควรรับผิดชอบในฐานะองค์กร 🌍 ผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ คดีนี้สะท้อนถึงความสำคัญของ TSMC ในฐานะผู้ผลิตชิปขั้นสูงที่เป็นหัวใจของอุตสาหกรรมโลก ทั้ง Nvidia, AMD และ Apple ต่างพึ่งพาเทคโนโลยีของ TSMC การพยายามขโมยข้อมูลจึงถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติของไต้หวัน 📊 มุมมองในอนาคต Tokyo Electron ระบุว่ากำลังให้ความร่วมมือกับการสอบสวนและได้ไล่ออกพนักงานที่เกี่ยวข้องแล้ว อย่างไรก็ตาม คดีนี้อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างญี่ปุ่นและไต้หวัน รวมถึงการกำหนดมาตรการเข้มงวดขึ้นในการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ อัยการไต้หวันตั้งข้อหา Tokyo Electron ➡️ ล้มเหลวในการป้องกันพนักงานจากการขโมยข้อมูล TSMC ✅ ข้อมูลที่ถูกพยายามขโมยเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC ➡️ ใช้เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรแกะสลักของบริษัท ✅ TSMC เป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมโลก ➡️ มีลูกค้ารายใหญ่ เช่น Nvidia, AMD และ Apple ‼️ การขโมยข้อมูลถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของไต้หวัน ⛔ อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมือง ‼️ Tokyo Electron อาจเผชิญบทลงโทษทางกฎหมายและชื่อเสียง ⛔ ต้องเพิ่มมาตรการป้องกันข้อมูลภายในองค์กร https://www.tomshardware.com/tech-industry/taiwan-hits-japanese-firm-with-indictment-in-tsmc-data-theft-saga-tokyo-electron-charged-with-failing-to-prevent-its-staff-from-stealing-trade-secrets
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไอซ์แลนด์ยกระดับเป็นภัยความมั่นคง กระแสน้ำวน AMOC: เส้นเลือดใหญ่ของภูมิอากาศโลกเริ่มล่มสลาย

    ไอซ์แลนด์ประกาศให้ความเสี่ยงการล่มสลายของกระแสน้ำวน AMOC เป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงระดับชาติ เพราะอาจส่งผลต่อภูมิอากาศ เศรษฐกิจ และความอยู่รอดของประเทศ พร้อมทั้งนักวิทยาศาสตร์เตือนว่าผลกระทบจะกระจายไปทั่วโลก

    กระแสน้ำวน Atlantic Meridional Overturning Circulation (AMOC) ทำหน้าที่เหมือนสายพานยักษ์ที่ลำเลียงน้ำอุ่นจากเขตร้อนขึ้นเหนือ และส่งน้ำเย็นกลับลงใต้ กระบวนการนี้ช่วยรักษาสมดุลภูมิอากาศ โดยเฉพาะยุโรปที่ได้อานิสงส์จากฤดูหนาวที่ไม่หนาวจัดเกินไป อย่างไรก็ตาม งานวิจัยล่าสุดชี้ว่าการละลายของน้ำแข็งกรีนแลนด์และอาร์กติกกำลังเติมน้ำจืดมหาศาลลงมหาสมุทร ทำให้สมดุลความเค็มและความหนาแน่นของน้ำเสียไป กระแส AMOC จึงอ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง

    ไอซ์แลนด์ยกระดับเป็นภัยความมั่นคง
    รัฐบาลไอซ์แลนด์ประกาศอย่างเป็นทางการว่าความเสี่ยงการล่มสลายของ AMOC เป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงแห่งชาติ นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศนี้จัดให้ปรากฏการณ์ภูมิอากาศเป็นภัยความมั่นคงโดยตรง เหตุผลคือหาก AMOC ล่มสลาย ไอซ์แลนด์อาจเผชิญฤดูหนาวที่หนาวจัดจนถูกล้อมด้วยน้ำแข็ง ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และอุตสาหกรรมประมงที่เป็นหัวใจเศรษฐกิจ

    ผลกระทบระดับโลก
    นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่แค่ยุโรป แต่จะกระจายไปทั่วโลก เช่น ระดับน้ำทะเลชายฝั่งตะวันออกสหรัฐฯ สูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยโลก ระบบมรสุมในเอเชียและแอฟริกาอาจถูกรบกวนจนเกิดภัยแล้ง ขณะที่ซีกโลกใต้เสี่ยงต่อการเร่งละลายของน้ำแข็งแอนตาร์กติก การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจทำให้หลายประเทศต้องเผชิญวิกฤตอาหารและการอพยพครั้งใหญ่

    วิทยาศาสตร์และสัญญาณเตือน
    แม้ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่า AMOC จะล่มสลายเมื่อใด แต่งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าความเสี่ยงอาจเกิดขึ้นภายในศตวรรษนี้ และบางการศึกษาคาดว่าอาจเร็วภายในไม่กี่ทศวรรษ การเฝ้าระวังสัญญาณ เช่น การเปลี่ยนแปลงความเค็มของน้ำในมหาสมุทร จึงเป็นสิ่งสำคัญ ขณะเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ย้ำว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคือวิธีเดียวที่จะชะลอความเสี่ยงนี้

    สรุปเป็นหัวข้อ
    บทบาทของ AMOC
    กระแสน้ำวนทำหน้าที่ลำเลียงน้ำอุ่นขึ้นเหนือและน้ำเย็นกลับใต้
    ช่วยรักษาสมดุลภูมิอากาศ โดยเฉพาะยุโรป

    การประกาศของไอซ์แลนด์
    ยกระดับความเสี่ยง AMOC เป็นภัยความมั่นคงแห่งชาติ
    ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมประมง

    ผลกระทบระดับโลก
    ระดับน้ำทะเลชายฝั่งตะวันออกสหรัฐฯ สูงขึ้น
    ระบบมรสุมในเอเชียและแอฟริกาอาจถูกรบกวน

    งานวิจัยและการเฝ้าระวัง
    นักวิทยาศาสตร์คาดว่า AMOC อาจล่มสลายภายในศตวรรษนี้
    การลดก๊าซเรือนกระจกคือวิธีชะลอความเสี่ยง

    คำเตือนจากนักวิทยาศาสตร์
    การล่มสลายของ AMOC อาจนำไปสู่ “ยุคน้ำแข็งสมัยใหม่” ในยุโรป
    เสี่ยงต่อภัยแล้งและวิกฤตอาหารในหลายภูมิภาค

    ความไม่แน่นอนของวิทยาศาสตร์
    ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนเรื่องเวลา แต่สัญญาณอ่อนแรงปรากฏแล้ว
    การเพิกเฉยต่อความเสี่ยงอาจทำให้โลกไม่ทันรับมือ

    https://edition.cnn.com/2025/11/15/climate/iceland-warming-current-amoc-collapse-threat
    🌊 ไอซ์แลนด์ยกระดับเป็นภัยความมั่นคง กระแสน้ำวน AMOC: เส้นเลือดใหญ่ของภูมิอากาศโลกเริ่มล่มสลาย ไอซ์แลนด์ประกาศให้ความเสี่ยงการล่มสลายของกระแสน้ำวน AMOC เป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงระดับชาติ เพราะอาจส่งผลต่อภูมิอากาศ เศรษฐกิจ และความอยู่รอดของประเทศ พร้อมทั้งนักวิทยาศาสตร์เตือนว่าผลกระทบจะกระจายไปทั่วโลก กระแสน้ำวน Atlantic Meridional Overturning Circulation (AMOC) ทำหน้าที่เหมือนสายพานยักษ์ที่ลำเลียงน้ำอุ่นจากเขตร้อนขึ้นเหนือ และส่งน้ำเย็นกลับลงใต้ กระบวนการนี้ช่วยรักษาสมดุลภูมิอากาศ โดยเฉพาะยุโรปที่ได้อานิสงส์จากฤดูหนาวที่ไม่หนาวจัดเกินไป อย่างไรก็ตาม งานวิจัยล่าสุดชี้ว่าการละลายของน้ำแข็งกรีนแลนด์และอาร์กติกกำลังเติมน้ำจืดมหาศาลลงมหาสมุทร ทำให้สมดุลความเค็มและความหนาแน่นของน้ำเสียไป กระแส AMOC จึงอ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง 🇮🇸 ไอซ์แลนด์ยกระดับเป็นภัยความมั่นคง รัฐบาลไอซ์แลนด์ประกาศอย่างเป็นทางการว่าความเสี่ยงการล่มสลายของ AMOC เป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงแห่งชาติ นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศนี้จัดให้ปรากฏการณ์ภูมิอากาศเป็นภัยความมั่นคงโดยตรง เหตุผลคือหาก AMOC ล่มสลาย ไอซ์แลนด์อาจเผชิญฤดูหนาวที่หนาวจัดจนถูกล้อมด้วยน้ำแข็ง ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และอุตสาหกรรมประมงที่เป็นหัวใจเศรษฐกิจ 🌍 ผลกระทบระดับโลก นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่แค่ยุโรป แต่จะกระจายไปทั่วโลก เช่น ระดับน้ำทะเลชายฝั่งตะวันออกสหรัฐฯ สูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยโลก ระบบมรสุมในเอเชียและแอฟริกาอาจถูกรบกวนจนเกิดภัยแล้ง ขณะที่ซีกโลกใต้เสี่ยงต่อการเร่งละลายของน้ำแข็งแอนตาร์กติก การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจทำให้หลายประเทศต้องเผชิญวิกฤตอาหารและการอพยพครั้งใหญ่ 🔬 วิทยาศาสตร์และสัญญาณเตือน แม้ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่า AMOC จะล่มสลายเมื่อใด แต่งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าความเสี่ยงอาจเกิดขึ้นภายในศตวรรษนี้ และบางการศึกษาคาดว่าอาจเร็วภายในไม่กี่ทศวรรษ การเฝ้าระวังสัญญาณ เช่น การเปลี่ยนแปลงความเค็มของน้ำในมหาสมุทร จึงเป็นสิ่งสำคัญ ขณะเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ย้ำว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคือวิธีเดียวที่จะชะลอความเสี่ยงนี้ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ บทบาทของ AMOC ➡️ กระแสน้ำวนทำหน้าที่ลำเลียงน้ำอุ่นขึ้นเหนือและน้ำเย็นกลับใต้ ➡️ ช่วยรักษาสมดุลภูมิอากาศ โดยเฉพาะยุโรป ✅ การประกาศของไอซ์แลนด์ ➡️ ยกระดับความเสี่ยง AMOC เป็นภัยความมั่นคงแห่งชาติ ➡️ ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมประมง ✅ ผลกระทบระดับโลก ➡️ ระดับน้ำทะเลชายฝั่งตะวันออกสหรัฐฯ สูงขึ้น ➡️ ระบบมรสุมในเอเชียและแอฟริกาอาจถูกรบกวน ✅ งานวิจัยและการเฝ้าระวัง ➡️ นักวิทยาศาสตร์คาดว่า AMOC อาจล่มสลายภายในศตวรรษนี้ ➡️ การลดก๊าซเรือนกระจกคือวิธีชะลอความเสี่ยง ‼️ คำเตือนจากนักวิทยาศาสตร์ ⛔ การล่มสลายของ AMOC อาจนำไปสู่ “ยุคน้ำแข็งสมัยใหม่” ในยุโรป ⛔ เสี่ยงต่อภัยแล้งและวิกฤตอาหารในหลายภูมิภาค ‼️ ความไม่แน่นอนของวิทยาศาสตร์ ⛔ ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนเรื่องเวลา แต่สัญญาณอ่อนแรงปรากฏแล้ว ⛔ การเพิกเฉยต่อความเสี่ยงอาจทำให้โลกไม่ทันรับมือ https://edition.cnn.com/2025/11/15/climate/iceland-warming-current-amoc-collapse-threat
    EDITION.CNN.COM
    A crucial system of ocean currents may be on course to collapse. This country just declared it a national security threat | CNN
    Without warm currents from the South Atlantic, Iceland would be much icier and stormier. Now, those currents are at risk of collapse and the country is preparing for this “existential threat.”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ปฏิเสธการได้ข้อมูลลับจาก TSMC

    Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่ว่า Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหารระดับสูงของ TSMC ได้นำข้อมูลเชิงลึกด้านเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงมาให้ Intel หลังจากเข้ารับตำแหน่งใหม่ โดย Tan ย้ำว่า “นี่เป็นเพียงข่าวลือและการคาดเดา เราเคารพทรัพย์สินทางปัญญา”

    การสอบสวนของไต้หวัน
    อัยการไต้หวันได้เริ่มการสอบสวนในระดับความมั่นคงแห่งชาติ โดยตรวจสอบว่า Lo อาจนำข้อมูลกระบวนการผลิตขั้นสูง เช่น N2, A16 และ A14 ไปเผยแพร่ให้กับ Intel หรือไม่ รายงานบางฉบับระบุว่า Lo เคยขอเอกสารภายในก่อนลาออกจาก TSMC ซึ่งสร้างความกังวลว่าข้อมูลอาจถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ความแตกต่างด้านเทคโนโลยี
    แม้จะมีข้อสงสัย แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เทคโนโลยีของ Intel (18A และ 14A) แตกต่างจากของ TSMC อย่างมาก ทำให้ข้อมูลที่ Lo อาจนำออกไปไม่สามารถนำมาใช้โดยตรงกับกระบวนการผลิตของ Intel ได้ อย่างมากก็อาจใช้เพื่อการวิเคราะห์เชิงแข่งขันเท่านั้น

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    กรณีนี้สะท้อนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่าง Intel และ TSMC ในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูง การสอบสวนยังคงดำเนินต่อไป และอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตรในอุตสาหกรรม หากพบว่ามีการละเมิดจริง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Intel ปฏิเสธข่าวลือเรื่องการได้ข้อมูลลับจาก TSMC
    ซีอีโอ Lip-Bu Tan ยืนยันว่า “เคารพทรัพย์สินทางปัญญา”

    อัยการไต้หวันสอบสวน Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC
    ตรวจสอบการขอเอกสารภายในเกี่ยวกับเทคโนโลยี N2, A16, A14

    เทคโนโลยี Intel (18A, 14A) แตกต่างจาก TSMC
    ทำให้ข้อมูลที่อาจถูกนำออกมาไม่สามารถใช้ได้โดยตรง

    กรณีนี้สะท้อนการแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตร

    ความเสี่ยงด้านความมั่นคงและทรัพย์สินทางปัญญา
    หากพบการละเมิดจริง อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการลงทุน

    ความไม่แน่นอนต่ออนาคตของ Intel และ TSMC
    การสอบสวนที่ยืดเยื้ออาจสร้างแรงกดดันต่อทั้งสองบริษัท

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-ceo-rejects-reports-the-company-is-obtaining-tsmc-secrets-from-former-executive-taiwans-investigation-into-intels-controversial-recent-hire-continues
    🏭 Intel ปฏิเสธการได้ข้อมูลลับจาก TSMC Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่ว่า Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหารระดับสูงของ TSMC ได้นำข้อมูลเชิงลึกด้านเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงมาให้ Intel หลังจากเข้ารับตำแหน่งใหม่ โดย Tan ย้ำว่า “นี่เป็นเพียงข่าวลือและการคาดเดา เราเคารพทรัพย์สินทางปัญญา” 🔎 การสอบสวนของไต้หวัน อัยการไต้หวันได้เริ่มการสอบสวนในระดับความมั่นคงแห่งชาติ โดยตรวจสอบว่า Lo อาจนำข้อมูลกระบวนการผลิตขั้นสูง เช่น N2, A16 และ A14 ไปเผยแพร่ให้กับ Intel หรือไม่ รายงานบางฉบับระบุว่า Lo เคยขอเอกสารภายในก่อนลาออกจาก TSMC ซึ่งสร้างความกังวลว่าข้อมูลอาจถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ⚙️ ความแตกต่างด้านเทคโนโลยี แม้จะมีข้อสงสัย แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เทคโนโลยีของ Intel (18A และ 14A) แตกต่างจากของ TSMC อย่างมาก ทำให้ข้อมูลที่ Lo อาจนำออกไปไม่สามารถนำมาใช้โดยตรงกับกระบวนการผลิตของ Intel ได้ อย่างมากก็อาจใช้เพื่อการวิเคราะห์เชิงแข่งขันเท่านั้น 🌐 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ กรณีนี้สะท้อนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่าง Intel และ TSMC ในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูง การสอบสวนยังคงดำเนินต่อไป และอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตรในอุตสาหกรรม หากพบว่ามีการละเมิดจริง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Intel ปฏิเสธข่าวลือเรื่องการได้ข้อมูลลับจาก TSMC ➡️ ซีอีโอ Lip-Bu Tan ยืนยันว่า “เคารพทรัพย์สินทางปัญญา” ✅ อัยการไต้หวันสอบสวน Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC ➡️ ตรวจสอบการขอเอกสารภายในเกี่ยวกับเทคโนโลยี N2, A16, A14 ✅ เทคโนโลยี Intel (18A, 14A) แตกต่างจาก TSMC ➡️ ทำให้ข้อมูลที่อาจถูกนำออกมาไม่สามารถใช้ได้โดยตรง ✅ กรณีนี้สะท้อนการแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตร ‼️ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงและทรัพย์สินทางปัญญา ⛔ หากพบการละเมิดจริง อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการลงทุน ‼️ ความไม่แน่นอนต่ออนาคตของ Intel และ TSMC ⛔ การสอบสวนที่ยืดเยื้ออาจสร้างแรงกดดันต่อทั้งสองบริษัท https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-ceo-rejects-reports-the-company-is-obtaining-tsmc-secrets-from-former-executive-taiwans-investigation-into-intels-controversial-recent-hire-continues
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 366 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Taiwan เปิดการสอบสวนกรณี Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC กลับเข้าร่วม Intel”

    ทางการไต้หวันได้เปิดการสอบสวนด้านความมั่นคงแห่งชาติ กรณี Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหารฝ่าย R&D ของ TSMC ที่เพิ่งเกษียณหลังทำงานกว่า 21 ปี แต่กลับไปปรากฏตัวที่ Intel ในตำแหน่งรองประธานฝ่าย R&D เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รายงานจากสื่อท้องถิ่นระบุว่า Lo อาจนำเอกสารทางเทคนิคที่เป็นความลับของ TSMC ไปด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง เช่น N2, A16, A14 และ post-A14 nodes

    ก่อนออกจาก TSMC Lo เคยมีอำนาจสั่งให้ทีมงานส่งมอบเอกสารภายในที่มีข้อจำกัดด้านการเข้าถึง โดยไม่มีการตั้งข้อสงสัยในตอนนั้น เนื่องจากตำแหน่งของเขาสูงมาก ทำให้คำสั่งดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาปรากฏตัวที่ Intel พร้อมรับผิดชอบด้านการพัฒนาอุปกรณ์และโมดูลใหม่ ๆ จึงเกิดข้อกังวลว่าเอกสารเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์เชิงแข่งขัน

    แม้จะมีข้อกล่าวหา แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ข้อมูลของ TSMC อาจไม่สามารถนำไปใช้ตรง ๆ กับ Intel ได้ เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตของทั้งสองบริษัทมีความแตกต่างกัน เช่น Intel ใช้ PowerVia และ High-NA EUV ในบางกระบวนการ ขณะที่ TSMC ใช้ Super Power Rail และ Low-NA EUV multipatterning อย่างไรก็ตาม เอกสารเหล่านี้ยังคงมีค่าในเชิงการวิเคราะห์คู่แข่งและกลยุทธ์ทางธุรกิจ

    กรณีนี้สะท้อนถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่การเคลื่อนไหวของผู้บริหารระดับสูงอาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก รัฐบาลไต้หวันกำลังตรวจสอบว่า Lo ละเมิดกฎหมายการถ่ายโอนความลับทางการค้าไปยังต่างประเทศหรือไม่

    สรุปสาระสำคัญ
    Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC
    กลับไปทำงานที่ Intel ในตำแหน่ง VP of R&D

    ข้อกล่าวหานำเอกสารลับติดตัวไป
    ครอบคลุมเทคโนโลยี N2, A16, A14 และ post-A14

    ความแตกต่างด้านเทคโนโลยีระหว่าง Intel และ TSMC
    Intel ใช้ PowerVia และ High-NA EUV, TSMC ใช้ Super Power Rail และ Low-NA EUV

    รัฐบาลไต้หวันเปิดการสอบสวนด้านความมั่นคง
    ตรวจสอบการละเมิดกฎหมายการถ่ายโอนความลับทางการค้า

    ความเสี่ยงต่อการแข่งขันระดับโลก
    เอกสารลับอาจถูกใช้เพื่อวิเคราะห์คู่แข่งและกลยุทธ์ธุรกิจ

    การขาดมาตรการป้องกันภายในองค์กร
    TSMC ไม่ได้บังคับใช้ข้อตกลง non-compete กับ Lo ก่อนออกจากบริษัท

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/high-ranking-tsmc-executive-faces-taiwan-legal-investigation-over-murky-return-to-intel-report-alleges-employee-took-technical-documents-with-him
    📰 “Taiwan เปิดการสอบสวนกรณี Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC กลับเข้าร่วม Intel” ทางการไต้หวันได้เปิดการสอบสวนด้านความมั่นคงแห่งชาติ กรณี Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหารฝ่าย R&D ของ TSMC ที่เพิ่งเกษียณหลังทำงานกว่า 21 ปี แต่กลับไปปรากฏตัวที่ Intel ในตำแหน่งรองประธานฝ่าย R&D เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รายงานจากสื่อท้องถิ่นระบุว่า Lo อาจนำเอกสารทางเทคนิคที่เป็นความลับของ TSMC ไปด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง เช่น N2, A16, A14 และ post-A14 nodes ก่อนออกจาก TSMC Lo เคยมีอำนาจสั่งให้ทีมงานส่งมอบเอกสารภายในที่มีข้อจำกัดด้านการเข้าถึง โดยไม่มีการตั้งข้อสงสัยในตอนนั้น เนื่องจากตำแหน่งของเขาสูงมาก ทำให้คำสั่งดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาปรากฏตัวที่ Intel พร้อมรับผิดชอบด้านการพัฒนาอุปกรณ์และโมดูลใหม่ ๆ จึงเกิดข้อกังวลว่าเอกสารเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์เชิงแข่งขัน แม้จะมีข้อกล่าวหา แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ข้อมูลของ TSMC อาจไม่สามารถนำไปใช้ตรง ๆ กับ Intel ได้ เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตของทั้งสองบริษัทมีความแตกต่างกัน เช่น Intel ใช้ PowerVia และ High-NA EUV ในบางกระบวนการ ขณะที่ TSMC ใช้ Super Power Rail และ Low-NA EUV multipatterning อย่างไรก็ตาม เอกสารเหล่านี้ยังคงมีค่าในเชิงการวิเคราะห์คู่แข่งและกลยุทธ์ทางธุรกิจ กรณีนี้สะท้อนถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่การเคลื่อนไหวของผู้บริหารระดับสูงอาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก รัฐบาลไต้หวันกำลังตรวจสอบว่า Lo ละเมิดกฎหมายการถ่ายโอนความลับทางการค้าไปยังต่างประเทศหรือไม่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC ➡️ กลับไปทำงานที่ Intel ในตำแหน่ง VP of R&D ✅ ข้อกล่าวหานำเอกสารลับติดตัวไป ➡️ ครอบคลุมเทคโนโลยี N2, A16, A14 และ post-A14 ✅ ความแตกต่างด้านเทคโนโลยีระหว่าง Intel และ TSMC ➡️ Intel ใช้ PowerVia และ High-NA EUV, TSMC ใช้ Super Power Rail และ Low-NA EUV ✅ รัฐบาลไต้หวันเปิดการสอบสวนด้านความมั่นคง ➡️ ตรวจสอบการละเมิดกฎหมายการถ่ายโอนความลับทางการค้า ‼️ ความเสี่ยงต่อการแข่งขันระดับโลก ⛔ เอกสารลับอาจถูกใช้เพื่อวิเคราะห์คู่แข่งและกลยุทธ์ธุรกิจ ‼️ การขาดมาตรการป้องกันภายในองค์กร ⛔ TSMC ไม่ได้บังคับใช้ข้อตกลง non-compete กับ Lo ก่อนออกจากบริษัท https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/high-ranking-tsmc-executive-faces-taiwan-legal-investigation-over-murky-return-to-intel-report-alleges-employee-took-technical-documents-with-him
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 363 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 3
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 3

    น่าสนใจว่า เมื่อนายอาเบะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี รอบ 2 ในปี ค.ศ.2012 นั้น เหมือนกับเขามากับภาระกิจพิเศษ รู้งานล่วงหน้าว่า จะต้องทำอะไรบ้าง และทำอะไรก่อนหลัง

    จากประเทศที่ประกาศตัวว่ารักสงบ และไม่ฝักฝ่ายการทำสงคราม เมื่อรับตำแหน่งใหม่ๆ นายอาเบะ ฉลองเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยการตั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ National Security Council (NSC) ขึ้น เป็นครั้งแรกของญี่ปุ่น (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ญี่ปุ่นใช้ สภาความมั่นคงของอเมริกา เป็นแม่แบบ และวัตถุประสงค์หลัก ของการจัดตั้ง NSC ตอนนึง ระบุว่า หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุด ที่กระทบความมั่นคงของญี่ปุ่นคือ การเจริญเติบโตของจีน ญี่ปุ่นจะต้องมีนโยบายที่แก้ไขเรื่องนี้ อย่างครอบคลุมทุกด้าน ไม่ใช่แต่ทางวิธีการทูตเท่านั้น แต่จะต้องรวมนโยบายด้านการป้องกัน และการใช้นโยบายการค้า การเงิน และอื่นๆด้วย …สงสัยไอ้สุดกร่าง ช่วยร่างให้ เขียนแบบกร่างๆอย่างนี้….

    หลังจากนั้น เขาเสนอกฏหมายเกี่ยวกับการรักษาความลับของชาติเข้าสภา ต่อมาก็จัดร่างยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติและ พยายามที่จะให้มีการตีความรัฐธรรมนูญ ขยายขอบเขตนิยาม การปกป้องตนเอง ของประเทศให้กว้างขวางขึ้น …นี่เดินตามพิมพ์เขียว ของใครนะ

    นอกจากนั้น นายอาเบะยังเดินสาย แวะไปจับเข่าถึง 49 เข่า 49 ประเทศ แน่นอน ยกเว้นไม่ไปแดนมังกร กับไม่ไปเยี่ยมน้องคิมของผมที่เกาหลีเหนือ ดูเหมือนนายอาเบะนี่ แกจะชอบเข่าฝรั่งมากกว่าเข่าเอเซียด้วยกัน ข่าวว่า แกไปทำข้อตกลงความร่วมมือด้านความ มั่นคง กับออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และนาโต้ เรียบร้อยหมดแล้ว นับว่า สุดกร่าง CFR เป็นพี่เลี้ยง ที่ชำนาญการเลี้ยงเด็กสร้างจริงๆ

    การขยับดาบซามูไรของนายอาเบะในช่วงนั้น ทำให้สื่อคอการเมืองหันขวับ พาดหัวข่าวตัวโตว่า “Japan is back” ญี่ปุ่นกลับมาแล้ว กลับมาทำอะไร ตอนนั้นยังไม่มีใครตายาว มองเห็นว่า ญี่ปุ่น หรือนายอาเบะ มีแผนการอะไรกันแน่
    ระหว่างนั้น นายอาเบะ ก็ขยับงบประมาณด้านความมั่นคง ของประเทศ เขยิบขึ้นไปทุกปี และงบประมาณในปี 2015 สูงลิ่วไปถึง 4.98 ล้านล้านเย็น หรือ 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ เพื่อเตรียมจ่ายค่า เครื่องบินรบ เรือรบ ฯลฯ ที่พวกนายหน้าค้าอาวุธ (ต้ม) เตรียมไว้ให้

    งบประมาณสูงลิ่วนี้ มิได้ลอยมาง่ายๆ นายอาเบะ ต้องออกแรง ให้มีการตีความรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน

    นาย James R. Holmes ศาสตราจารย์ด้านการวางยุทธศาสตร์ของ Naval War College เขียนถึง ภารกิจแบกถาดของนายอาเบะไว้อย่างน่าคิด เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2015 หัวเรื่อง” This Brave New U.S – Japan Alliance”

    ” …นาย ชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เดินทางมาวอชิงตันสัปดาห์นี้ .. เป้าหมายหนึ่งคือ เพื่อมายกเครื่อง แนวทางความมั่นคงระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น ซึ่งมีผลเกี่ยวกับการเมือง และการทหาร ของทั้ง 2 ประเทศ … ทั้ง 2 ฝ่ายสัญญากันว่า จะรักษาสันติภาพและความมั่นคงของญี่ปุนในทุกขั้นตอน รวมทั้งในสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นไม่ได้ถูกโจมตีทางอาวุธ... ทั้งสองฝ่าย ตกลงว่า ต่างมีสิทธิที่จะตอบโต้ ผู้ที่ใช้อาวุธโจมตีอเมริกา หรือโจมตีประเทศอื่น ที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่น และแม้ญี่ปุ่นเองจะไม่ได้ถูกโจมตีอย่างรุนแรง..”

    ท่านศาสตราจารย์มีความเห็นว่า ข้อตกลงแบบนี้ออกจะจืดชืด...ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น อย่างที่ตีปิ๊บกัน

    ท่าน ศจ ว่า การเป็นพันธมิตร มีหลายแบบ แบบเท่าเทียมกัน หรือแบบ who has the gold makes the rule ใครมีทองก็นับเป็นพี่ ซึ่งในความคิดของ ท่าน ศจ ว่า สัมพันธ์ วอชิงตัน-โตเกียวตั้งแต่ ค.ศ.1951 มาแล้ว เป็นแบบหลัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แม้อเมริกาจะเอาอดีตศัตรูมาเป็นพันธมิตร มันก็แค่เป็นการเอามาอยู่ใกล้ตัว เพื่อให้แน่ใจว่า นักฆ่าจะไม่ฟื้นคืนชีพมากกว่า อเมริกาทำอย่างนั้น กับทั้งญี่ปุ่น และเยอรมัน … คุณป้าเข็มขัดเหล็กรับทราบด้วยนะครับ ว่าท่าน ศจ เขามองคุณป้าอย่างไร…

    ….ความคิดแบบนี้ ยังมีอยู่ตลอด ผู้คนยังจำได้เสมอ ถึงคำพูดอันโด่งดังของ Lord Ismay เลขาธิการนาโต้คนแรก ที่บอกว่า ..กลุ่มพันธมิตรแอตแลนติก Atlantic Alliance ยังมีอยู่ก็เพื่อ ให้อเมริกาคงอยู่ รัสเซียไป และเยอรมันล่ม the Americans in, the Russians out and the Germans down… เช่นเดียวกับ พันธมิตรของอเมริกา-ญี่ปุ่น ก็มีไว้ เพื่อให้อเมริกาคงอยู่ คอมมิวนิสต์ เช่นรัสเซีย จีน ไป และญี่ปุ่นล่ม…
    …อเมริกา ต้องการคุมญี่ปุ่น ไม่ให้เอาเงินไปสร้างกองทัพใหญ่โต ขณะเดียวกับรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา ดันไปเดินประโคมข่าวในญี่ปุ่นว่า การปรับแนวทางด้านความมั่นคงใหม่ของญี่ปุ่นนี่ เยี่ยมยอด…. มันคงเยี่ยมจริง เพราะวอชิงตันยังไม่ต้องควักกระเป็าสักเหรียญเดียว แต่ญี่ปุ่นต้องแก้กฏหมายเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณด้านความมั่นคง ซึ่งกำหนดเพดานไว้ว่า ต้องไม่เกินกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี …. นี่แปลว่า อเมริกาเปลี่ยนใจเลิกคุมเข้มนักฆ่าแล้วหรือ เปล่าหรอก ท่าน ศจ บอกว่า อเมริกายังคุมญี่ปุ่นเข้มเหมือนเดิม ถึงจะสนับสนุนให้ญี่ปุ่นขยายกองกำลังอย่างไร สุดท้าย อเมริกาก็จะเป็นผู้ออกคำสั่งกับกองทัพญี่ปุ่นเอง … และไม่ว่า ต่อไปข้างหน้า ญี่ปุ่นจะมีเศรษฐกิจโตขี้นในเอเซียขนาดไหน เชื่อเถอะว่า วอชิงตัน ก็ยังมีวิธีคุมญี่ปุ่นได้อยู่ดี..

    … ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นความกล้าของทั้ง 2 ฝ่าย ที่เล่มเกมนี้กัน ก็หวังว่า ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะเล่นเกมนี้...ท่าน ศจ สรุป

    ท่าน ศจ นี่ เขียนได้กวนใจจริงๆ ชวนให้คิดว่า อเมริกาก็รู้ดีอยู่ว่า ญี่ปุ่นเองก็อาจคิดแหกคอก ถือโอกาสจากการที่อเมริกายกขึ้นเป็นหัวหมู่ สร้างกองกำลังของตัวเองขึ้นมาใหม่ เพื่อกลับมา เป็นญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่ เหมือนสมัยสงครามโลก แต่ อเมริกาก็สนับสนุนให้ญี่ปุ่นทำ แสดงว่าอเมริกาน่าจะมีแผนสกัดสับคอ รออยู่ หรือหลอกให้ญี่ปุ่นลงเหวลึกไปเลย ญี่ปุ่นเอง ก็น่าจะรู้ว่าอเมริกาคิดกับตนเองอย่างไร รู้แล้วยังคิดแหกคอกไหม ถ้าคิดจะแหกคอก มันก็ต้องเล่นกันตอนนี้แหละ เนียนไปกับบทแบกถาด ถึงเวลาก็ค่อยโยนถาดทิ้ง

    แต่ไม่ว่าญี่ปุ่นจะคิดเล่นบทแบกถาด บริการอเมริกาต่อไป หรือคิดแหกคอก กลับมาสวมวิญญาณนักรบ หรือนักฆ่า เหมือนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นก่อศัตรูคู่แค้นอย่าง จีน และเกาหลี ชนิดยากจะให้อภัยกัน ญี่ปุ่นก็ไม่เคยเป็นแบบอย่างของ การเป็นเพื่อนแท้กับใคร
    ปลาดิบ ทำจากปลาปักเป้า เขาว่าน่ากิน อร่อยหนักหนา มองไม่มีพิษ ไม่มีภัย แต่ถ้าเอาพิษปลาปักเป้าออกไม่เป็น คนกินก็ถูกนำส่งวัดมาหลายรายแล้ว

    สัมพันธ์ญี่ปุ่นอเมริกาน่าศึกษา และน่าจับตา ไม่ใช่เป็นเรื่องเข้าใจ และวางใจได้ง่ายๆ

    แต่ญี่ปุ่นคงต้องมีคุณสมบัติบางอย่าง ซึ่งเป็นที่น่าต้องการ ของผู้ที่มุ่งหมายจะให้การปฏิบัติภาระกิจสำเร็จลุล่วงอย่างไม่มีโอกาสพลาด เมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำจนถึงที่สุด แม้ที่สุด จะหมายถึงจบชีวิต หรือความหายนะ มันคงเป็นนิสัยซามูไร ที่รับใช้ “นาย” จนถึงที่สุด หรืออย่างไร

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 3 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 3 น่าสนใจว่า เมื่อนายอาเบะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี รอบ 2 ในปี ค.ศ.2012 นั้น เหมือนกับเขามากับภาระกิจพิเศษ รู้งานล่วงหน้าว่า จะต้องทำอะไรบ้าง และทำอะไรก่อนหลัง จากประเทศที่ประกาศตัวว่ารักสงบ และไม่ฝักฝ่ายการทำสงคราม เมื่อรับตำแหน่งใหม่ๆ นายอาเบะ ฉลองเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยการตั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ National Security Council (NSC) ขึ้น เป็นครั้งแรกของญี่ปุ่น (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ญี่ปุ่นใช้ สภาความมั่นคงของอเมริกา เป็นแม่แบบ และวัตถุประสงค์หลัก ของการจัดตั้ง NSC ตอนนึง ระบุว่า หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุด ที่กระทบความมั่นคงของญี่ปุ่นคือ การเจริญเติบโตของจีน ญี่ปุ่นจะต้องมีนโยบายที่แก้ไขเรื่องนี้ อย่างครอบคลุมทุกด้าน ไม่ใช่แต่ทางวิธีการทูตเท่านั้น แต่จะต้องรวมนโยบายด้านการป้องกัน และการใช้นโยบายการค้า การเงิน และอื่นๆด้วย …สงสัยไอ้สุดกร่าง ช่วยร่างให้ เขียนแบบกร่างๆอย่างนี้…. หลังจากนั้น เขาเสนอกฏหมายเกี่ยวกับการรักษาความลับของชาติเข้าสภา ต่อมาก็จัดร่างยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติและ พยายามที่จะให้มีการตีความรัฐธรรมนูญ ขยายขอบเขตนิยาม การปกป้องตนเอง ของประเทศให้กว้างขวางขึ้น …นี่เดินตามพิมพ์เขียว ของใครนะ นอกจากนั้น นายอาเบะยังเดินสาย แวะไปจับเข่าถึง 49 เข่า 49 ประเทศ แน่นอน ยกเว้นไม่ไปแดนมังกร กับไม่ไปเยี่ยมน้องคิมของผมที่เกาหลีเหนือ ดูเหมือนนายอาเบะนี่ แกจะชอบเข่าฝรั่งมากกว่าเข่าเอเซียด้วยกัน ข่าวว่า แกไปทำข้อตกลงความร่วมมือด้านความ มั่นคง กับออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และนาโต้ เรียบร้อยหมดแล้ว นับว่า สุดกร่าง CFR เป็นพี่เลี้ยง ที่ชำนาญการเลี้ยงเด็กสร้างจริงๆ การขยับดาบซามูไรของนายอาเบะในช่วงนั้น ทำให้สื่อคอการเมืองหันขวับ พาดหัวข่าวตัวโตว่า “Japan is back” ญี่ปุ่นกลับมาแล้ว กลับมาทำอะไร ตอนนั้นยังไม่มีใครตายาว มองเห็นว่า ญี่ปุ่น หรือนายอาเบะ มีแผนการอะไรกันแน่ ระหว่างนั้น นายอาเบะ ก็ขยับงบประมาณด้านความมั่นคง ของประเทศ เขยิบขึ้นไปทุกปี และงบประมาณในปี 2015 สูงลิ่วไปถึง 4.98 ล้านล้านเย็น หรือ 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ เพื่อเตรียมจ่ายค่า เครื่องบินรบ เรือรบ ฯลฯ ที่พวกนายหน้าค้าอาวุธ (ต้ม) เตรียมไว้ให้ งบประมาณสูงลิ่วนี้ มิได้ลอยมาง่ายๆ นายอาเบะ ต้องออกแรง ให้มีการตีความรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน นาย James R. Holmes ศาสตราจารย์ด้านการวางยุทธศาสตร์ของ Naval War College เขียนถึง ภารกิจแบกถาดของนายอาเบะไว้อย่างน่าคิด เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2015 หัวเรื่อง” This Brave New U.S – Japan Alliance” ” …นาย ชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เดินทางมาวอชิงตันสัปดาห์นี้ .. เป้าหมายหนึ่งคือ เพื่อมายกเครื่อง แนวทางความมั่นคงระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น ซึ่งมีผลเกี่ยวกับการเมือง และการทหาร ของทั้ง 2 ประเทศ … ทั้ง 2 ฝ่ายสัญญากันว่า จะรักษาสันติภาพและความมั่นคงของญี่ปุนในทุกขั้นตอน รวมทั้งในสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นไม่ได้ถูกโจมตีทางอาวุธ... ทั้งสองฝ่าย ตกลงว่า ต่างมีสิทธิที่จะตอบโต้ ผู้ที่ใช้อาวุธโจมตีอเมริกา หรือโจมตีประเทศอื่น ที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่น และแม้ญี่ปุ่นเองจะไม่ได้ถูกโจมตีอย่างรุนแรง..” ท่านศาสตราจารย์มีความเห็นว่า ข้อตกลงแบบนี้ออกจะจืดชืด...ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น อย่างที่ตีปิ๊บกัน ท่าน ศจ ว่า การเป็นพันธมิตร มีหลายแบบ แบบเท่าเทียมกัน หรือแบบ who has the gold makes the rule ใครมีทองก็นับเป็นพี่ ซึ่งในความคิดของ ท่าน ศจ ว่า สัมพันธ์ วอชิงตัน-โตเกียวตั้งแต่ ค.ศ.1951 มาแล้ว เป็นแบบหลัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แม้อเมริกาจะเอาอดีตศัตรูมาเป็นพันธมิตร มันก็แค่เป็นการเอามาอยู่ใกล้ตัว เพื่อให้แน่ใจว่า นักฆ่าจะไม่ฟื้นคืนชีพมากกว่า อเมริกาทำอย่างนั้น กับทั้งญี่ปุ่น และเยอรมัน … คุณป้าเข็มขัดเหล็กรับทราบด้วยนะครับ ว่าท่าน ศจ เขามองคุณป้าอย่างไร… ….ความคิดแบบนี้ ยังมีอยู่ตลอด ผู้คนยังจำได้เสมอ ถึงคำพูดอันโด่งดังของ Lord Ismay เลขาธิการนาโต้คนแรก ที่บอกว่า ..กลุ่มพันธมิตรแอตแลนติก Atlantic Alliance ยังมีอยู่ก็เพื่อ ให้อเมริกาคงอยู่ รัสเซียไป และเยอรมันล่ม the Americans in, the Russians out and the Germans down… เช่นเดียวกับ พันธมิตรของอเมริกา-ญี่ปุ่น ก็มีไว้ เพื่อให้อเมริกาคงอยู่ คอมมิวนิสต์ เช่นรัสเซีย จีน ไป และญี่ปุ่นล่ม… …อเมริกา ต้องการคุมญี่ปุ่น ไม่ให้เอาเงินไปสร้างกองทัพใหญ่โต ขณะเดียวกับรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา ดันไปเดินประโคมข่าวในญี่ปุ่นว่า การปรับแนวทางด้านความมั่นคงใหม่ของญี่ปุ่นนี่ เยี่ยมยอด…. มันคงเยี่ยมจริง เพราะวอชิงตันยังไม่ต้องควักกระเป็าสักเหรียญเดียว แต่ญี่ปุ่นต้องแก้กฏหมายเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณด้านความมั่นคง ซึ่งกำหนดเพดานไว้ว่า ต้องไม่เกินกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี …. นี่แปลว่า อเมริกาเปลี่ยนใจเลิกคุมเข้มนักฆ่าแล้วหรือ เปล่าหรอก ท่าน ศจ บอกว่า อเมริกายังคุมญี่ปุ่นเข้มเหมือนเดิม ถึงจะสนับสนุนให้ญี่ปุ่นขยายกองกำลังอย่างไร สุดท้าย อเมริกาก็จะเป็นผู้ออกคำสั่งกับกองทัพญี่ปุ่นเอง … และไม่ว่า ต่อไปข้างหน้า ญี่ปุ่นจะมีเศรษฐกิจโตขี้นในเอเซียขนาดไหน เชื่อเถอะว่า วอชิงตัน ก็ยังมีวิธีคุมญี่ปุ่นได้อยู่ดี.. … ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นความกล้าของทั้ง 2 ฝ่าย ที่เล่มเกมนี้กัน ก็หวังว่า ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะเล่นเกมนี้...ท่าน ศจ สรุป ท่าน ศจ นี่ เขียนได้กวนใจจริงๆ ชวนให้คิดว่า อเมริกาก็รู้ดีอยู่ว่า ญี่ปุ่นเองก็อาจคิดแหกคอก ถือโอกาสจากการที่อเมริกายกขึ้นเป็นหัวหมู่ สร้างกองกำลังของตัวเองขึ้นมาใหม่ เพื่อกลับมา เป็นญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่ เหมือนสมัยสงครามโลก แต่ อเมริกาก็สนับสนุนให้ญี่ปุ่นทำ แสดงว่าอเมริกาน่าจะมีแผนสกัดสับคอ รออยู่ หรือหลอกให้ญี่ปุ่นลงเหวลึกไปเลย ญี่ปุ่นเอง ก็น่าจะรู้ว่าอเมริกาคิดกับตนเองอย่างไร รู้แล้วยังคิดแหกคอกไหม ถ้าคิดจะแหกคอก มันก็ต้องเล่นกันตอนนี้แหละ เนียนไปกับบทแบกถาด ถึงเวลาก็ค่อยโยนถาดทิ้ง แต่ไม่ว่าญี่ปุ่นจะคิดเล่นบทแบกถาด บริการอเมริกาต่อไป หรือคิดแหกคอก กลับมาสวมวิญญาณนักรบ หรือนักฆ่า เหมือนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นก่อศัตรูคู่แค้นอย่าง จีน และเกาหลี ชนิดยากจะให้อภัยกัน ญี่ปุ่นก็ไม่เคยเป็นแบบอย่างของ การเป็นเพื่อนแท้กับใคร ปลาดิบ ทำจากปลาปักเป้า เขาว่าน่ากิน อร่อยหนักหนา มองไม่มีพิษ ไม่มีภัย แต่ถ้าเอาพิษปลาปักเป้าออกไม่เป็น คนกินก็ถูกนำส่งวัดมาหลายรายแล้ว สัมพันธ์ญี่ปุ่นอเมริกาน่าศึกษา และน่าจับตา ไม่ใช่เป็นเรื่องเข้าใจ และวางใจได้ง่ายๆ แต่ญี่ปุ่นคงต้องมีคุณสมบัติบางอย่าง ซึ่งเป็นที่น่าต้องการ ของผู้ที่มุ่งหมายจะให้การปฏิบัติภาระกิจสำเร็จลุล่วงอย่างไม่มีโอกาสพลาด เมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำจนถึงที่สุด แม้ที่สุด จะหมายถึงจบชีวิต หรือความหายนะ มันคงเป็นนิสัยซามูไร ที่รับใช้ “นาย” จนถึงที่สุด หรืออย่างไร สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 863 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แฮกเกอร์บุกพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ – รหัสผ่านคือชื่อสถานที่! ระบบยังใช้ Windows 2000”

    เรื่องเล่าจากปารีสที่ฟังแล้วต้องอึ้ง! พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ศิลปะที่สำคัญที่สุดของโลก ถูกโจรกรรมเครื่องประดับมูลค่ากว่า 101 ล้านดอลลาร์กลางวันแสก ๆ เหตุการณ์นี้เปิดโปงช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่น่าตกใจอย่างยิ่ง

    ย้อนกลับไปในปี 2014 หน่วยงานด้านความมั่นคงไซเบอร์ของฝรั่งเศส (ANSSI) ได้ทำการตรวจสอบระบบของลูฟวร์ พบว่ารหัสผ่านของระบบกล้องวงจรปิดคือ “LOUVRE” และระบบอื่นที่พัฒนาโดยบริษัท Thales ก็ใช้รหัสว่า “THALES” เช่นกัน! นอกจากนี้ยังพบว่าคอมพิวเตอร์ในระบบอัตโนมัติของพิพิธภัณฑ์ยังคงใช้ Windows 2000 ซึ่ง Microsoft ยุติการสนับสนุนไปตั้งแต่ปี 2010 แล้ว

    แม้จะมีการตรวจสอบซ้ำในปี 2017 และอีกครั้งในปี 2021 แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง จนกระทั่งเกิดเหตุโจรกรรมครั้งใหญ่ในปีนี้ ซึ่งทำให้ผู้บริหารต้องออกมายอมรับว่า “ระบบต้องได้รับการปรับปรุงอย่างแท้จริง”

    น่าสนใจคือ ในโลกไซเบอร์ปัจจุบัน การใช้รหัสผ่านง่าย ๆ เช่นชื่อสถานที่หรือองค์กรนั้นถือว่าเป็นความผิดพลาดร้ายแรง เพราะสามารถถูกเดาได้ง่ายโดยแฮกเกอร์ และการใช้ระบบปฏิบัติการที่ล้าสมัยก็เปิดช่องให้มัลแวร์หรือการเจาะระบบได้ง่ายขึ้น

    ระบบความปลอดภัยของลูฟวร์มีช่องโหว่ร้ายแรง
    ใช้รหัสผ่าน “LOUVRE” สำหรับระบบกล้องวงจรปิด
    ระบบของบริษัท Thales ใช้รหัส “THALES”
    คอมพิวเตอร์ในระบบยังใช้ Windows 2000 ซึ่งหมดการสนับสนุนแล้ว

    มีการตรวจสอบระบบหลายครั้ง
    ปี 2014 โดย ANSSI
    ปี 2017 โดยสถาบันความมั่นคงแห่งชาติ
    ปี 2021 ยังพบว่าใช้ระบบเก่าอยู่
    ปี 2025 มีการตรวจสอบใหม่ แต่ยังไม่เปิดเผยผล

    ผู้บริหารยอมรับว่าระบบต้องปรับปรุง
    กล่าวต่อวุฒิสภาฝรั่งเศสว่า “ต้องปรับปรุงอย่างแท้จริง”
    ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ยืนยันว่ารับรู้ถึงปัญหา

    ความเสี่ยงจากการใช้รหัสผ่านง่าย
    แฮกเกอร์สามารถเดาได้ง่ายจากชื่อสถานที่หรือองค์กร
    ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยสากล

    การใช้ระบบปฏิบัติการที่ล้าสมัย
    Windows 2000 ไม่มีการอัปเดตด้านความปลอดภัย
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากมัลแวร์หรือการเจาะระบบ

    การละเลยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    รายงานตรวจสอบถูกตีตรา “ลับ” และไม่ได้รับการดำเนินการ
    ปัญหาถูกปล่อยทิ้งไว้นานนับสิบปี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/louvre-heist-reveals-glaring-security-weaknesses-previous-reports-say-museum-used-louvre-as-password-for-its-video-surveillance-still-has-workstations-with-windows-2000
    🕵️‍♂️ “แฮกเกอร์บุกพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ – รหัสผ่านคือชื่อสถานที่! ระบบยังใช้ Windows 2000” เรื่องเล่าจากปารีสที่ฟังแล้วต้องอึ้ง! พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ศิลปะที่สำคัญที่สุดของโลก ถูกโจรกรรมเครื่องประดับมูลค่ากว่า 101 ล้านดอลลาร์กลางวันแสก ๆ เหตุการณ์นี้เปิดโปงช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่น่าตกใจอย่างยิ่ง ย้อนกลับไปในปี 2014 หน่วยงานด้านความมั่นคงไซเบอร์ของฝรั่งเศส (ANSSI) ได้ทำการตรวจสอบระบบของลูฟวร์ พบว่ารหัสผ่านของระบบกล้องวงจรปิดคือ “LOUVRE” และระบบอื่นที่พัฒนาโดยบริษัท Thales ก็ใช้รหัสว่า “THALES” เช่นกัน! นอกจากนี้ยังพบว่าคอมพิวเตอร์ในระบบอัตโนมัติของพิพิธภัณฑ์ยังคงใช้ Windows 2000 ซึ่ง Microsoft ยุติการสนับสนุนไปตั้งแต่ปี 2010 แล้ว แม้จะมีการตรวจสอบซ้ำในปี 2017 และอีกครั้งในปี 2021 แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง จนกระทั่งเกิดเหตุโจรกรรมครั้งใหญ่ในปีนี้ ซึ่งทำให้ผู้บริหารต้องออกมายอมรับว่า “ระบบต้องได้รับการปรับปรุงอย่างแท้จริง” น่าสนใจคือ ในโลกไซเบอร์ปัจจุบัน การใช้รหัสผ่านง่าย ๆ เช่นชื่อสถานที่หรือองค์กรนั้นถือว่าเป็นความผิดพลาดร้ายแรง เพราะสามารถถูกเดาได้ง่ายโดยแฮกเกอร์ และการใช้ระบบปฏิบัติการที่ล้าสมัยก็เปิดช่องให้มัลแวร์หรือการเจาะระบบได้ง่ายขึ้น ✅ ระบบความปลอดภัยของลูฟวร์มีช่องโหว่ร้ายแรง ➡️ ใช้รหัสผ่าน “LOUVRE” สำหรับระบบกล้องวงจรปิด ➡️ ระบบของบริษัท Thales ใช้รหัส “THALES” ➡️ คอมพิวเตอร์ในระบบยังใช้ Windows 2000 ซึ่งหมดการสนับสนุนแล้ว ✅ มีการตรวจสอบระบบหลายครั้ง ➡️ ปี 2014 โดย ANSSI ➡️ ปี 2017 โดยสถาบันความมั่นคงแห่งชาติ ➡️ ปี 2021 ยังพบว่าใช้ระบบเก่าอยู่ ➡️ ปี 2025 มีการตรวจสอบใหม่ แต่ยังไม่เปิดเผยผล ✅ ผู้บริหารยอมรับว่าระบบต้องปรับปรุง ➡️ กล่าวต่อวุฒิสภาฝรั่งเศสว่า “ต้องปรับปรุงอย่างแท้จริง” ➡️ ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ยืนยันว่ารับรู้ถึงปัญหา ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้รหัสผ่านง่าย ⛔ แฮกเกอร์สามารถเดาได้ง่ายจากชื่อสถานที่หรือองค์กร ⛔ ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยสากล ‼️ การใช้ระบบปฏิบัติการที่ล้าสมัย ⛔ Windows 2000 ไม่มีการอัปเดตด้านความปลอดภัย ⛔ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากมัลแวร์หรือการเจาะระบบ ‼️ การละเลยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ⛔ รายงานตรวจสอบถูกตีตรา “ลับ” และไม่ได้รับการดำเนินการ ⛔ ปัญหาถูกปล่อยทิ้งไว้นานนับสิบปี https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/louvre-heist-reveals-glaring-security-weaknesses-previous-reports-say-museum-used-louvre-as-password-for-its-video-surveillance-still-has-workstations-with-windows-2000
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ และ AMD ร่วมลงทุน $1 พันล้าน สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI สองเครื่อง — หนึ่งในนั้นคือเครื่องที่เร็วที่สุดในโลก

    บทความจาก Tom’s Hardware รายงานว่า กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ (DOE) และ AMD ได้จับมือกันในโครงการมูลค่า $1 พันล้าน เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์สองเครื่องที่ Oak Ridge National Laboratory (ORNL) โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการวิจัยด้านฟิวชันพลังงาน การรักษามะเร็ง และความมั่นคงแห่งชาติ

    ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เครื่องแรกชื่อว่า “Lux” จะเริ่มใช้งานภายใน 6 เดือน โดยใช้ AMD Instinct MI355X accelerators ที่มีพลังงานบอร์ดสูงถึง 1400 วัตต์ต่อชิ้น Lux จะมีประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ปัจจุบันถึง 3 เท่า และถือเป็นการติดตั้งระบบขนาดใหญ่ที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา

    เครื่องที่สองชื่อว่า “Discovery” จะเริ่มใช้งานในปี 2029 โดยใช้ชิป MI430X-HPC ซึ่งออกแบบให้รองรับการประมวลผลแบบ FP32 และ FP64 สำหรับงานวิจัยที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น ฟิสิกส์และการแพทย์

    โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง DOE, ORNL, AMD, HPE และ Oracle โดยภาครัฐจะจัดหาสถานที่และพลังงาน ส่วนบริษัทเอกชนจะรับผิดชอบด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

    รัฐมนตรีพลังงาน Chris Wright ระบุว่า ระบบนี้จะ “เร่งการวิจัยด้านฟิวชันพลังงานและการรักษามะเร็ง” โดยหวังว่าจะสามารถใช้ฟิวชันพลังงานได้จริงภายใน 2–3 ปี และทำให้มะเร็งกลายเป็นโรคที่ควบคุมได้ภายใน 5–8 ปี

    โครงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์มูลค่า $1 พันล้าน
    ร่วมมือระหว่าง DOE, ORNL, AMD, HPE และ Oracle
    ภาครัฐจัดหาสถานที่และพลังงาน เอกชนจัดหาเทคโนโลยี

    ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ “Lux”
    ใช้ AMD Instinct MI355X accelerators
    เริ่มใช้งานภายใน 6 เดือน
    เร็วกว่าเครื่องปัจจุบันถึง 3 เท่าในด้าน AI

    ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ “Discovery”
    ใช้ MI430X-HPC พร้อม Epyc CPU
    เริ่มใช้งานปี 2029
    เน้นงานวิจัยที่ต้องการความแม่นยำสูง

    เป้าหมายของโครงการ
    วิจัยฟิวชันพลังงานและการรักษามะเร็ง
    เสริมความมั่นคงแห่งชาติ
    ใช้ร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน

    คำเตือนสำหรับการลงทุนด้าน AI compute
    การใช้พลังงานสูงอาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากไม่มีการจัดการที่ดี
    การพึ่งพาบริษัทเอกชนมากเกินไปอาจกระทบต่อความโปร่งใสของงานวิจัย
    ต้องมีการควบคุมการใช้งานเพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/u-s-department-of-energy-and-amd-cut-a-usd1-billion-deal-for-two-ai-supercomputers-pairing-has-already-birthed-the-two-fastest-machines-on-the-planet
    🚀 กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ และ AMD ร่วมลงทุน $1 พันล้าน สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI สองเครื่อง — หนึ่งในนั้นคือเครื่องที่เร็วที่สุดในโลก บทความจาก Tom’s Hardware รายงานว่า กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ (DOE) และ AMD ได้จับมือกันในโครงการมูลค่า $1 พันล้าน เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์สองเครื่องที่ Oak Ridge National Laboratory (ORNL) โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการวิจัยด้านฟิวชันพลังงาน การรักษามะเร็ง และความมั่นคงแห่งชาติ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เครื่องแรกชื่อว่า “Lux” จะเริ่มใช้งานภายใน 6 เดือน โดยใช้ AMD Instinct MI355X accelerators ที่มีพลังงานบอร์ดสูงถึง 1400 วัตต์ต่อชิ้น Lux จะมีประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ปัจจุบันถึง 3 เท่า และถือเป็นการติดตั้งระบบขนาดใหญ่ที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา เครื่องที่สองชื่อว่า “Discovery” จะเริ่มใช้งานในปี 2029 โดยใช้ชิป MI430X-HPC ซึ่งออกแบบให้รองรับการประมวลผลแบบ FP32 และ FP64 สำหรับงานวิจัยที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น ฟิสิกส์และการแพทย์ โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง DOE, ORNL, AMD, HPE และ Oracle โดยภาครัฐจะจัดหาสถานที่และพลังงาน ส่วนบริษัทเอกชนจะรับผิดชอบด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ รัฐมนตรีพลังงาน Chris Wright ระบุว่า ระบบนี้จะ “เร่งการวิจัยด้านฟิวชันพลังงานและการรักษามะเร็ง” โดยหวังว่าจะสามารถใช้ฟิวชันพลังงานได้จริงภายใน 2–3 ปี และทำให้มะเร็งกลายเป็นโรคที่ควบคุมได้ภายใน 5–8 ปี ✅ โครงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์มูลค่า $1 พันล้าน ➡️ ร่วมมือระหว่าง DOE, ORNL, AMD, HPE และ Oracle ➡️ ภาครัฐจัดหาสถานที่และพลังงาน เอกชนจัดหาเทคโนโลยี ✅ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ “Lux” ➡️ ใช้ AMD Instinct MI355X accelerators ➡️ เริ่มใช้งานภายใน 6 เดือน ➡️ เร็วกว่าเครื่องปัจจุบันถึง 3 เท่าในด้าน AI ✅ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ “Discovery” ➡️ ใช้ MI430X-HPC พร้อม Epyc CPU ➡️ เริ่มใช้งานปี 2029 ➡️ เน้นงานวิจัยที่ต้องการความแม่นยำสูง ✅ เป้าหมายของโครงการ ➡️ วิจัยฟิวชันพลังงานและการรักษามะเร็ง ➡️ เสริมความมั่นคงแห่งชาติ ➡️ ใช้ร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ‼️ คำเตือนสำหรับการลงทุนด้าน AI compute ⛔ การใช้พลังงานสูงอาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากไม่มีการจัดการที่ดี ⛔ การพึ่งพาบริษัทเอกชนมากเกินไปอาจกระทบต่อความโปร่งใสของงานวิจัย ⛔ ต้องมีการควบคุมการใช้งานเพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/u-s-department-of-energy-and-amd-cut-a-usd1-billion-deal-for-two-ai-supercomputers-pairing-has-already-birthed-the-two-fastest-machines-on-the-planet
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 385 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนอ้างสหรัฐฯ พยายามโจมตีศูนย์เวลาของประเทศ — ใช้ 42 อาวุธไซเบอร์เพื่อสร้าง ‘ความโกลาหลด้านเวลา’”

    กระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐของจีน (MSS) ออกแถลงการณ์ผ่าน WeChat ระบุว่าได้ขัดขวางการโจมตีไซเบอร์จากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ (NSA) ที่พุ่งเป้าไปยังศูนย์บริการเวลามาตรฐานแห่งชาติ (NTSC) ของจีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมเวลามาตรฐานของกรุงปักกิ่งและระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องใช้เวลาแม่นยำ เช่น การสื่อสาร, การเงิน, พลังงาน, การขนส่ง และการป้องกันประเทศ

    MSS อ้างว่าการโจมตีเริ่มตั้งแต่ปี 2022 และใช้ “อาวุธไซเบอร์” ถึง 42 รายการ รวมถึง:

    การใช้ช่องโหว่ SMS เพื่อควบคุมสมาร์ตโฟนของเจ้าหน้าที่ NTSC
    การขโมยข้อมูลล็อกอินเพื่อเข้าถึงระบบภายใน
    การติดตั้งแพลตฟอร์มสงครามไซเบอร์ใหม่ในเครื่องของ NTSC
    การโจมตีเครือข่ายและระบบเวลาความแม่นยำสูง

    นอกจากนี้ MSS ยังกล่าวว่า NSA ใช้ VPN และประเทศพันธมิตร เช่น ฟิลิปปินส์, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน และบางประเทศในยุโรป เป็น “ฐานส่งต่อการโจมตี” โดยเลือกช่วงเวลากลางคืนถึงเช้ามืดตามเวลาปักกิ่งในการดำเนินการ

    แม้ MSS จะระบุว่ามี “หลักฐานที่หักล้างไม่ได้” แต่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเชิงเทคนิคหรือหลักฐานต่อสาธารณะ ณ เวลานี้

    MSS ของจีนกล่าวว่า NSA พยายามโจมตีศูนย์เวลามาตรฐานของจีน (NTSC)
    เพื่อสร้างความโกลาหลในระบบที่ใช้เวลาความแม่นยำสูง

    การโจมตีเริ่มตั้งแต่ปี 2022 และใช้เครื่องมือไซเบอร์ 42 รายการ
    รวมถึงการแฮกมือถือ, ขโมยล็อกอิน, ติดตั้งแพลตฟอร์มใหม่

    MSS อ้างว่า NSA ใช้ VPN และประเทศพันธมิตรเป็นฐานโจมตี
    เช่น ฟิลิปปินส์, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, และบางประเทศในยุโรป

    การโจมตีเกิดขึ้นช่วงกลางคืนถึงเช้ามืดตามเวลาปักกิ่ง
    เพื่อลดโอกาสถูกตรวจจับ

    MSS ระบุว่าการโจมตีอาจทำให้เกิดผลกระทบรุนแรง เช่น
    การขนส่งหยุดชะงัก, การยิงจรวดล้มเหลว, ความเสียหายทางเศรษฐกิจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/china-says-it-has-foiled-a-series-u-s-cyberattacks-on-its-critical-infrastructure-ministry-of-state-security-says-it-has-irrefutable-evidence-nsa-tried-to-cause-international-time-chaos
    🕒 “จีนอ้างสหรัฐฯ พยายามโจมตีศูนย์เวลาของประเทศ — ใช้ 42 อาวุธไซเบอร์เพื่อสร้าง ‘ความโกลาหลด้านเวลา’” กระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐของจีน (MSS) ออกแถลงการณ์ผ่าน WeChat ระบุว่าได้ขัดขวางการโจมตีไซเบอร์จากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ (NSA) ที่พุ่งเป้าไปยังศูนย์บริการเวลามาตรฐานแห่งชาติ (NTSC) ของจีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมเวลามาตรฐานของกรุงปักกิ่งและระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องใช้เวลาแม่นยำ เช่น การสื่อสาร, การเงิน, พลังงาน, การขนส่ง และการป้องกันประเทศ MSS อ้างว่าการโจมตีเริ่มตั้งแต่ปี 2022 และใช้ “อาวุธไซเบอร์” ถึง 42 รายการ รวมถึง: 🪲 การใช้ช่องโหว่ SMS เพื่อควบคุมสมาร์ตโฟนของเจ้าหน้าที่ NTSC 🪲 การขโมยข้อมูลล็อกอินเพื่อเข้าถึงระบบภายใน 🪲 การติดตั้งแพลตฟอร์มสงครามไซเบอร์ใหม่ในเครื่องของ NTSC 🪲 การโจมตีเครือข่ายและระบบเวลาความแม่นยำสูง นอกจากนี้ MSS ยังกล่าวว่า NSA ใช้ VPN และประเทศพันธมิตร เช่น ฟิลิปปินส์, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน และบางประเทศในยุโรป เป็น “ฐานส่งต่อการโจมตี” โดยเลือกช่วงเวลากลางคืนถึงเช้ามืดตามเวลาปักกิ่งในการดำเนินการ แม้ MSS จะระบุว่ามี “หลักฐานที่หักล้างไม่ได้” แต่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเชิงเทคนิคหรือหลักฐานต่อสาธารณะ ณ เวลานี้ ✅ MSS ของจีนกล่าวว่า NSA พยายามโจมตีศูนย์เวลามาตรฐานของจีน (NTSC) ➡️ เพื่อสร้างความโกลาหลในระบบที่ใช้เวลาความแม่นยำสูง ✅ การโจมตีเริ่มตั้งแต่ปี 2022 และใช้เครื่องมือไซเบอร์ 42 รายการ ➡️ รวมถึงการแฮกมือถือ, ขโมยล็อกอิน, ติดตั้งแพลตฟอร์มใหม่ ✅ MSS อ้างว่า NSA ใช้ VPN และประเทศพันธมิตรเป็นฐานโจมตี ➡️ เช่น ฟิลิปปินส์, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, และบางประเทศในยุโรป ✅ การโจมตีเกิดขึ้นช่วงกลางคืนถึงเช้ามืดตามเวลาปักกิ่ง ➡️ เพื่อลดโอกาสถูกตรวจจับ ✅ MSS ระบุว่าการโจมตีอาจทำให้เกิดผลกระทบรุนแรง เช่น ➡️ การขนส่งหยุดชะงัก, การยิงจรวดล้มเหลว, ความเสียหายทางเศรษฐกิจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/china-says-it-has-foiled-a-series-u-s-cyberattacks-on-its-critical-infrastructure-ministry-of-state-security-says-it-has-irrefutable-evidence-nsa-tried-to-cause-international-time-chaos
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China says it has foiled a series U.S. cyberattacks on its critical infrastructure — Ministry of State Security says it has 'irrefutable evidence' NSA tried to cause 'international time chaos'
    The accusation comes after the US NSA was reportedly caught infiltrating the organization that runs high-precision timing services in Beijing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 442 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ไต้หวันเตือนภัยไซเบอร์จากจีนทวีความรุนแรง” — เมื่อการแฮกและข่าวปลอมกลายเป็นอาวุธก่อนเลือกตั้งปี 2026

    สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของไต้หวัน (NSB) รายงานต่อรัฐสภาว่า ประเทศกำลังเผชิญกับการโจมตีทางไซเบอร์จากจีนอย่างหนัก โดยเฉลี่ยแล้วมีการพยายามเจาะระบบถึง 2.8 ล้านครั้งต่อวัน เพิ่มขึ้น 17% จากปีที่ผ่านมา

    นอกจากการแฮกข้อมูลแล้ว จีนยังดำเนินการรณรงค์ข่าวปลอมผ่าน “กองทัพโทรลออนไลน์” ที่ใช้บัญชีโซเชียลมีเดียกว่า 10,000 บัญชีในการเผยแพร่โพสต์ปลอมมากกว่า 1.5 ล้านรายการ โดยเนื้อหาส่วนใหญ่สนับสนุนจีนและบิดเบือนนโยบายภายในของไต้หวัน รวมถึงการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ

    กลุ่มแฮกเกอร์ที่เกี่ยวข้อง เช่น APT41, Volt Typhoon และ Salt Typhoon มุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น การป้องกันประเทศ โทรคมนาคม พลังงาน และสาธารณสุข โดยใช้มัลแวร์และช่องทางใน dark web เพื่อขโมยข้อมูลและเผยแพร่เนื้อหาบิดเบือน

    จีนปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และกลับกล่าวหาสหรัฐฯ ว่าเป็น “นักเลงไซเบอร์ตัวจริงของโลก” โดยอ้างว่า NSA เคยโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของจีนหลายครั้ง

    ข้อมูลในข่าว
    ไต้หวันเผชิญการโจมตีไซเบอร์จากจีนเฉลี่ย 2.8 ล้านครั้งต่อวัน
    เพิ่มขึ้น 17% จากปีที่ผ่านมา
    จีนใช้บัญชีโทรลกว่า 10,000 บัญชีเผยแพร่โพสต์ปลอมกว่า 1.5 ล้านรายการ
    เนื้อหาส่วนใหญ่สนับสนุนจีนและบิดเบือนนโยบายของไต้หวัน
    กลุ่มแฮกเกอร์ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ APT41, Volt Typhoon, Salt Typhoon
    เป้าหมายคือโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น กลาโหม โทรคมนาคม พลังงาน และสาธารณสุข
    ใช้มัลแวร์และช่องทาง dark web ในการเผยแพร่ข้อมูล
    จีนปฏิเสธข้อกล่าวหาและกล่าวหาสหรัฐฯ ว่าเป็นผู้โจมตีไซเบอร์ตัวจริง

    https://www.techradar.com/pro/security/taiwan-warns-chinese-cyberattacks-are-intensifying
    🛡️ “ไต้หวันเตือนภัยไซเบอร์จากจีนทวีความรุนแรง” — เมื่อการแฮกและข่าวปลอมกลายเป็นอาวุธก่อนเลือกตั้งปี 2026 สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของไต้หวัน (NSB) รายงานต่อรัฐสภาว่า ประเทศกำลังเผชิญกับการโจมตีทางไซเบอร์จากจีนอย่างหนัก โดยเฉลี่ยแล้วมีการพยายามเจาะระบบถึง 2.8 ล้านครั้งต่อวัน เพิ่มขึ้น 17% จากปีที่ผ่านมา นอกจากการแฮกข้อมูลแล้ว จีนยังดำเนินการรณรงค์ข่าวปลอมผ่าน “กองทัพโทรลออนไลน์” ที่ใช้บัญชีโซเชียลมีเดียกว่า 10,000 บัญชีในการเผยแพร่โพสต์ปลอมมากกว่า 1.5 ล้านรายการ โดยเนื้อหาส่วนใหญ่สนับสนุนจีนและบิดเบือนนโยบายภายในของไต้หวัน รวมถึงการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ กลุ่มแฮกเกอร์ที่เกี่ยวข้อง เช่น APT41, Volt Typhoon และ Salt Typhoon มุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น การป้องกันประเทศ โทรคมนาคม พลังงาน และสาธารณสุข โดยใช้มัลแวร์และช่องทางใน dark web เพื่อขโมยข้อมูลและเผยแพร่เนื้อหาบิดเบือน จีนปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และกลับกล่าวหาสหรัฐฯ ว่าเป็น “นักเลงไซเบอร์ตัวจริงของโลก” โดยอ้างว่า NSA เคยโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของจีนหลายครั้ง ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ ไต้หวันเผชิญการโจมตีไซเบอร์จากจีนเฉลี่ย 2.8 ล้านครั้งต่อวัน ➡️ เพิ่มขึ้น 17% จากปีที่ผ่านมา ➡️ จีนใช้บัญชีโทรลกว่า 10,000 บัญชีเผยแพร่โพสต์ปลอมกว่า 1.5 ล้านรายการ ➡️ เนื้อหาส่วนใหญ่สนับสนุนจีนและบิดเบือนนโยบายของไต้หวัน ➡️ กลุ่มแฮกเกอร์ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ APT41, Volt Typhoon, Salt Typhoon ➡️ เป้าหมายคือโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น กลาโหม โทรคมนาคม พลังงาน และสาธารณสุข ➡️ ใช้มัลแวร์และช่องทาง dark web ในการเผยแพร่ข้อมูล ➡️ จีนปฏิเสธข้อกล่าวหาและกล่าวหาสหรัฐฯ ว่าเป็นผู้โจมตีไซเบอร์ตัวจริง https://www.techradar.com/pro/security/taiwan-warns-chinese-cyberattacks-are-intensifying
    WWW.TECHRADAR.COM
    Taiwan warns Chinese cyberattacks are intensifying
    Breaches and misinformation campaigns are rampant
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 475 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เผยผลการประชุม สมช. ได้ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยย้ำจุดยืนเดิม 4 ข้อที่นายกฯ แถลงไว้ คือ กัมพูชาต้องถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ ต้องเก็บกู้กับระเบิด ต้องร่วมมือปราบปรามอาชญากรรม และความร่วมมือบริหารชายแดนที่มีปัญหา วันนี้เป็นการติดตามสถานการณ์ในภาพรวม ส่วนการขอคืนพื้นที่ทหารดำเนินอยู่ตามขั้นตอนที่วางไว้ ยังไม่มีการคุยถึงข้อเสนอของประธานาธิบดีสหรัฐ เตรียมตั้งผู้แทนพิเศษ เชื่อมการทำงานระหว่างฝ่ายนโยบายกับฝ่ายปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อแก้ปัญหา
    สถานการณ์ชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้แต่งตั้งหัวหน้าพูดคุยสันติสุขแล้ว จะเริ่มดำเนินการตามขั้นตอนเนื่องจากรัฐบาลมีเวลา 4 เดือน ต้องการให้กลไกนี้เป็นจุดเชื่อมสำคัญและกำหนดเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจน

    -ทหารรุกปรับปรุงพื้นที่
    -ตายโหงตายอหิวา ก็ไม่ออก
    -การเมืองพรรคใหญ่แข่งดูด
    -พร้อมผ่อนคลายอุ้มเศรษฐกิจ
    นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เผยผลการประชุม สมช. ได้ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยย้ำจุดยืนเดิม 4 ข้อที่นายกฯ แถลงไว้ คือ กัมพูชาต้องถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ ต้องเก็บกู้กับระเบิด ต้องร่วมมือปราบปรามอาชญากรรม และความร่วมมือบริหารชายแดนที่มีปัญหา วันนี้เป็นการติดตามสถานการณ์ในภาพรวม ส่วนการขอคืนพื้นที่ทหารดำเนินอยู่ตามขั้นตอนที่วางไว้ ยังไม่มีการคุยถึงข้อเสนอของประธานาธิบดีสหรัฐ เตรียมตั้งผู้แทนพิเศษ เชื่อมการทำงานระหว่างฝ่ายนโยบายกับฝ่ายปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อแก้ปัญหา สถานการณ์ชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้แต่งตั้งหัวหน้าพูดคุยสันติสุขแล้ว จะเริ่มดำเนินการตามขั้นตอนเนื่องจากรัฐบาลมีเวลา 4 เดือน ต้องการให้กลไกนี้เป็นจุดเชื่อมสำคัญและกำหนดเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจน -ทหารรุกปรับปรุงพื้นที่ -ตายโหงตายอหิวา ก็ไม่ออก -การเมืองพรรคใหญ่แข่งดูด -พร้อมผ่อนคลายอุ้มเศรษฐกิจ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 632 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เผยผลการประชุม สมช. ได้ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยย้ำจุดยืนเดิม 4 ข้อที่นายกฯ แถลงไว้ คือ กัมพูชาต้องถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ ต้องเก็บกู้กับระเบิด ต้องร่วมมือปราบปรามอาชญากรรม และความร่วมมือบริหารชายแดนที่มีปัญหา วันนี้เป็นการติดตามสถานการณ์ในภาพรวม ส่วนการขอคืนพื้นที่ทหารดำเนินอยู่ตามขั้นตอนที่วางไว้ ยังไม่มีการคุยถึงข้อเสนอของประธานาธิบดีสหรัฐ เตรียมตั้งผู้แทนพิเศษ เชื่อมการทำงานระหว่างฝ่ายนโยบายกับฝ่ายปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อแก้ปัญหา
    สถานการณ์ชายแดนภาคใต้ เนื่องจากรัฐบาลมีเวลา 4 เดือน ต้องการให้กลไกนี้เป็นจุดเชื่อมสำคัญกำหนดเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจน ซึ่งปัจจุบันได้แต่งตั้งหัวหน้าพูดคุยสันติสุขแล้ว และจะเริ่มดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
    นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เผยผลการประชุม สมช. ได้ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยย้ำจุดยืนเดิม 4 ข้อที่นายกฯ แถลงไว้ คือ กัมพูชาต้องถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ ต้องเก็บกู้กับระเบิด ต้องร่วมมือปราบปรามอาชญากรรม และความร่วมมือบริหารชายแดนที่มีปัญหา วันนี้เป็นการติดตามสถานการณ์ในภาพรวม ส่วนการขอคืนพื้นที่ทหารดำเนินอยู่ตามขั้นตอนที่วางไว้ ยังไม่มีการคุยถึงข้อเสนอของประธานาธิบดีสหรัฐ เตรียมตั้งผู้แทนพิเศษ เชื่อมการทำงานระหว่างฝ่ายนโยบายกับฝ่ายปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อแก้ปัญหา สถานการณ์ชายแดนภาคใต้ เนื่องจากรัฐบาลมีเวลา 4 เดือน ต้องการให้กลไกนี้เป็นจุดเชื่อมสำคัญกำหนดเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจน ซึ่งปัจจุบันได้แต่งตั้งหัวหน้าพูดคุยสันติสุขแล้ว และจะเริ่มดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 565 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “จีนขยายการควบคุมแร่หายาก — พีซี ฮาร์ดดิสก์ และจอภาพทั่วโลกอาจสะดุดจากนโยบายใหม่”

    จีนประกาศขยายการควบคุมการส่งออกแร่หายาก (rare-earth elements) โดยเพิ่มรายการแร่และเทคโนโลยีการแปรรูปเข้าไปในข้อจำกัดใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนธันวาคม 2025 โดยอ้างเหตุผลด้าน “ความมั่นคงแห่งชาติ” และจะไม่อนุญาตให้ส่งออกไปยังการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกลาโหมหรือเซมิคอนดักเตอร์

    แร่ที่ถูกควบคุมเพิ่มเติม ได้แก่ holmium, thulium, erbium, ytterbium รวมถึงความรู้ทางเทคนิคในการผลิตแม่เหล็กจากแร่เหล่านี้ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของฮาร์ดแวร์หลายประเภท เช่น HDD, พัดลมระบายความร้อน, และจอภาพ LED/LCD ที่ใช้สารเรืองแสงจาก europium, terbium และ yttrium

    ภายใต้กฎใหม่ บริษัทต่างชาติจะต้องขออนุญาตจากรัฐบาลจีน หากแม่เหล็กที่ผลิตมีส่วนประกอบของแร่หายากจากจีน หรือใช้กระบวนการสกัดของจีน แม้จะเป็นเพียงปริมาณเล็กน้อยก็ตาม

    ผลกระทบที่ชัดเจนคือ HDD ความจุสูงที่ใช้แม่เหล็ก NdFeB (neodymium-iron-boron) ซึ่งต้องผสมกับ dysprosium หรือ praseodymium เพื่อให้ทนความร้อนได้ดี หากการส่งออกถูกจำกัด อาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและการส่งมอบล่าช้า

    จอภาพก็ไม่รอด เพราะ LED และ LCD ใช้สารเรืองแสงที่ต้องอาศัย europium และ terbium ซึ่งอยู่ในรายการควบคุมใหม่เช่นกัน ส่วนกระบวนการขัดผิวเวเฟอร์ซิลิคอนที่ใช้ cerium oxide slurry ก็อาจได้รับผลกระทบหากจีนขยายข้อจำกัดไปถึงอุปกรณ์รีไซเคิลและแปรรูป

    Western Digital เริ่มโครงการรีไซเคิลแร่หายากจาก HDD ที่เลิกใช้งาน เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้โดยตรง ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมพีซีและฮาร์ดแวร์ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    จีนขยายข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก โดยมีผลในเดือนธันวาคม 20252
    แร่ที่ถูกควบคุมเพิ่ม ได้แก่ holmium, thulium, erbium, ytterbium และเทคโนโลยีการผลิตแม่เหล็ก
    บริษัทต่างชาติต้องขออนุญาตหากใช้แร่จากจีนหรือกระบวนการสกัดของจีน
    HDD ใช้แม่เหล็ก NdFeB ที่ต้องผสม dysprosium หรือ praseodymium เพื่อทนความร้อน
    LED และ LCD ใช้สารเรืองแสงจาก europium, terbium และ yttrium ซึ่งถูกควบคุม
    Cerium oxide slurry ที่ใช้ขัดเวเฟอร์ซิลิคอนอาจถูกกระทบหากข้อจำกัดขยาย
    Western Digital เริ่มโครงการรีไซเคิลแร่หายากจาก HDD ที่เลิกใช้งาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    จีนครองสัดส่วนการผลิตแร่หายากกว่า 70% และการแปรรูปกว่า 90% ของโลก
    แม่เหล็ก NdFeB เป็นหัวใจของมอเตอร์ใน HDD, พัดลม, และอุปกรณ์อุตสาหกรรม
    สารเรืองแสงจากแร่หายากใช้ในจอภาพเพื่อให้สีสดและความสว่างสูง
    การขัดเวเฟอร์ซิลิคอนเป็นขั้นตอนสำคัญในการผลิตชิปและแผงวงจร
    การควบคุมแร่หายากเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการทูตของจีน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-expands-rare-earth-export-controls
    🧲 “จีนขยายการควบคุมแร่หายาก — พีซี ฮาร์ดดิสก์ และจอภาพทั่วโลกอาจสะดุดจากนโยบายใหม่” จีนประกาศขยายการควบคุมการส่งออกแร่หายาก (rare-earth elements) โดยเพิ่มรายการแร่และเทคโนโลยีการแปรรูปเข้าไปในข้อจำกัดใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนธันวาคม 2025 โดยอ้างเหตุผลด้าน “ความมั่นคงแห่งชาติ” และจะไม่อนุญาตให้ส่งออกไปยังการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกลาโหมหรือเซมิคอนดักเตอร์ แร่ที่ถูกควบคุมเพิ่มเติม ได้แก่ holmium, thulium, erbium, ytterbium รวมถึงความรู้ทางเทคนิคในการผลิตแม่เหล็กจากแร่เหล่านี้ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของฮาร์ดแวร์หลายประเภท เช่น HDD, พัดลมระบายความร้อน, และจอภาพ LED/LCD ที่ใช้สารเรืองแสงจาก europium, terbium และ yttrium ภายใต้กฎใหม่ บริษัทต่างชาติจะต้องขออนุญาตจากรัฐบาลจีน หากแม่เหล็กที่ผลิตมีส่วนประกอบของแร่หายากจากจีน หรือใช้กระบวนการสกัดของจีน แม้จะเป็นเพียงปริมาณเล็กน้อยก็ตาม ผลกระทบที่ชัดเจนคือ HDD ความจุสูงที่ใช้แม่เหล็ก NdFeB (neodymium-iron-boron) ซึ่งต้องผสมกับ dysprosium หรือ praseodymium เพื่อให้ทนความร้อนได้ดี หากการส่งออกถูกจำกัด อาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและการส่งมอบล่าช้า จอภาพก็ไม่รอด เพราะ LED และ LCD ใช้สารเรืองแสงที่ต้องอาศัย europium และ terbium ซึ่งอยู่ในรายการควบคุมใหม่เช่นกัน ส่วนกระบวนการขัดผิวเวเฟอร์ซิลิคอนที่ใช้ cerium oxide slurry ก็อาจได้รับผลกระทบหากจีนขยายข้อจำกัดไปถึงอุปกรณ์รีไซเคิลและแปรรูป Western Digital เริ่มโครงการรีไซเคิลแร่หายากจาก HDD ที่เลิกใช้งาน เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้โดยตรง ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมพีซีและฮาร์ดแวร์ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ จีนขยายข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก โดยมีผลในเดือนธันวาคม 20252 ➡️ แร่ที่ถูกควบคุมเพิ่ม ได้แก่ holmium, thulium, erbium, ytterbium และเทคโนโลยีการผลิตแม่เหล็ก ➡️ บริษัทต่างชาติต้องขออนุญาตหากใช้แร่จากจีนหรือกระบวนการสกัดของจีน ➡️ HDD ใช้แม่เหล็ก NdFeB ที่ต้องผสม dysprosium หรือ praseodymium เพื่อทนความร้อน ➡️ LED และ LCD ใช้สารเรืองแสงจาก europium, terbium และ yttrium ซึ่งถูกควบคุม ➡️ Cerium oxide slurry ที่ใช้ขัดเวเฟอร์ซิลิคอนอาจถูกกระทบหากข้อจำกัดขยาย ➡️ Western Digital เริ่มโครงการรีไซเคิลแร่หายากจาก HDD ที่เลิกใช้งาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ จีนครองสัดส่วนการผลิตแร่หายากกว่า 70% และการแปรรูปกว่า 90% ของโลก ➡️ แม่เหล็ก NdFeB เป็นหัวใจของมอเตอร์ใน HDD, พัดลม, และอุปกรณ์อุตสาหกรรม ➡️ สารเรืองแสงจากแร่หายากใช้ในจอภาพเพื่อให้สีสดและความสว่างสูง ➡️ การขัดเวเฟอร์ซิลิคอนเป็นขั้นตอนสำคัญในการผลิตชิปและแผงวงจร ➡️ การควบคุมแร่หายากเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการทูตของจีน https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-expands-rare-earth-export-controls
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 434 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สวีเดนเตรียมเปิดใช้ระบบจ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์ภายในปี 2026 — รับมือวิกฤตดิจิทัลด้วยความพร้อมระดับชาติ”

    ในประเทศที่แทบจะไร้เงินสดอย่างสวีเดน การพึ่งพาระบบดิจิทัลในการชำระเงินกลายเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น ระบบอินเทอร์เน็ตล่มหรือการโจมตีไซเบอร์ ความสามารถในการจ่ายเงินอาจกลายเป็นปัญหาระดับชาติ ล่าสุดธนาคารกลางสวีเดน (Riksbank) ได้ประกาศความร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดการชำระเงิน เพื่อผลักดันให้ระบบ “จ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์” ใช้งานได้จริงภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2026

    ระบบนี้จะช่วยให้ประชาชนสามารถใช้บัตรเดบิตหรือเครดิตในการซื้อสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร ยา และน้ำมัน แม้ในกรณีที่ระบบสื่อสารข้อมูลล่ม โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความมั่นคงของระบบการเงินและความพร้อมรับมือภัยพิบัติ

    การดำเนินงานนี้ครอบคลุมทั้งผู้ออกบัตร, เครือข่ายบัตร, ผู้รับชำระเงิน, ผู้ค้าปลีก และ Riksbank โดยจะมีการปรับปรุงกฎระเบียบและนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ เช่น การตั้งค่าข้อมูลล่วงหน้าในบัตร, การใช้ PIN แบบออฟไลน์ และการตรวจสอบยอดเงินแบบ local cache

    ผู้ว่าการธนาคารกลาง Erik Thedéen กล่าวว่าการที่หลายฝ่ายร่วมมือกันแม้ไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับโดยตรง ถือเป็นสัญญาณบวกของความรับผิดชอบร่วมกันเพื่อความมั่นคงของประเทศ และหลังจากวันที่ 1 กรกฎาคม 2026 Riksbank จะขยายการรองรับไปยังช่องทางการชำระเงินอื่น ๆ เช่น e-wallet และ mobile payments

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Riksbank ประกาศให้ระบบจ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์ใช้งานได้ภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2026
    ระบบนี้ช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อสินค้าจำเป็นแม้ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    ครอบคลุมสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร ยา และน้ำมัน
    ผู้มีส่วนร่วม ได้แก่ ผู้ออกบัตร, เครือข่ายบัตร, ผู้รับชำระเงิน, ผู้ค้าปลีก และ Riksbank
    มีการปรับปรุงกฎระเบียบและนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ เช่น PIN ออฟไลน์ และ local cache
    Riksbank จะขยายการรองรับไปยังช่องทางอื่นหลังปี 2026 เช่น e-wallet และ mobile payments
    ผู้ว่าการธนาคารกลางชื่นชมความร่วมมือของภาคเอกชนแม้ไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบออฟไลน์สามารถใช้เทคโนโลยี EMV ที่ตั้งค่าข้อมูลล่วงหน้าในบัตร
    บัตรบางประเภทสามารถเก็บยอดเงินล่วงหน้าเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน
    ประเทศอื่น เช่น เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์ กำลังทดลองระบบจ่ายเงินออฟไลน์ในระดับเมือง
    การจ่ายเงินแบบออฟไลน์ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีไซเบอร์หรือการล่มของระบบคลาวด์
    การเตรียมความพร้อมด้านการเงินถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติในยุโรป

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ระบบออฟไลน์อาจมีข้อจำกัดด้านจำนวนธุรกรรมต่อวันหรือยอดเงินสูงสุด
    หากไม่มีการอัปเดตข้อมูลบัตรอย่างสม่ำเสมอ อาจเกิดปัญหาในการตรวจสอบยอดเงิน
    การใช้ระบบออฟไลน์ต้องมีการฝึกอบรมพนักงานร้านค้าและการปรับระบบ POS
    ความปลอดภัยของข้อมูลในระบบออฟไลน์อาจต่ำกว่าระบบออนไลน์ หากไม่มีการเข้ารหัสที่ดี
    การพึ่งพาบัตรมากเกินไปอาจทำให้กลุ่มที่ไม่มีบัตรหรือไม่ใช้ดิจิทัลถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

    https://www.riksbank.se/en-gb/press-and-published/notices-and-press-releases/press-releases/2025/offline-card-payments-should-be-possible-no-later-than-1-july-2026/
    💳 “สวีเดนเตรียมเปิดใช้ระบบจ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์ภายในปี 2026 — รับมือวิกฤตดิจิทัลด้วยความพร้อมระดับชาติ” ในประเทศที่แทบจะไร้เงินสดอย่างสวีเดน การพึ่งพาระบบดิจิทัลในการชำระเงินกลายเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น ระบบอินเทอร์เน็ตล่มหรือการโจมตีไซเบอร์ ความสามารถในการจ่ายเงินอาจกลายเป็นปัญหาระดับชาติ ล่าสุดธนาคารกลางสวีเดน (Riksbank) ได้ประกาศความร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดการชำระเงิน เพื่อผลักดันให้ระบบ “จ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์” ใช้งานได้จริงภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2026 ระบบนี้จะช่วยให้ประชาชนสามารถใช้บัตรเดบิตหรือเครดิตในการซื้อสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร ยา และน้ำมัน แม้ในกรณีที่ระบบสื่อสารข้อมูลล่ม โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความมั่นคงของระบบการเงินและความพร้อมรับมือภัยพิบัติ การดำเนินงานนี้ครอบคลุมทั้งผู้ออกบัตร, เครือข่ายบัตร, ผู้รับชำระเงิน, ผู้ค้าปลีก และ Riksbank โดยจะมีการปรับปรุงกฎระเบียบและนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ เช่น การตั้งค่าข้อมูลล่วงหน้าในบัตร, การใช้ PIN แบบออฟไลน์ และการตรวจสอบยอดเงินแบบ local cache ผู้ว่าการธนาคารกลาง Erik Thedéen กล่าวว่าการที่หลายฝ่ายร่วมมือกันแม้ไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับโดยตรง ถือเป็นสัญญาณบวกของความรับผิดชอบร่วมกันเพื่อความมั่นคงของประเทศ และหลังจากวันที่ 1 กรกฎาคม 2026 Riksbank จะขยายการรองรับไปยังช่องทางการชำระเงินอื่น ๆ เช่น e-wallet และ mobile payments ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Riksbank ประกาศให้ระบบจ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์ใช้งานได้ภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2026 ➡️ ระบบนี้ช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อสินค้าจำเป็นแม้ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ➡️ ครอบคลุมสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร ยา และน้ำมัน ➡️ ผู้มีส่วนร่วม ได้แก่ ผู้ออกบัตร, เครือข่ายบัตร, ผู้รับชำระเงิน, ผู้ค้าปลีก และ Riksbank ➡️ มีการปรับปรุงกฎระเบียบและนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ เช่น PIN ออฟไลน์ และ local cache ➡️ Riksbank จะขยายการรองรับไปยังช่องทางอื่นหลังปี 2026 เช่น e-wallet และ mobile payments ➡️ ผู้ว่าการธนาคารกลางชื่นชมความร่วมมือของภาคเอกชนแม้ไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบออฟไลน์สามารถใช้เทคโนโลยี EMV ที่ตั้งค่าข้อมูลล่วงหน้าในบัตร ➡️ บัตรบางประเภทสามารถเก็บยอดเงินล่วงหน้าเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน ➡️ ประเทศอื่น เช่น เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์ กำลังทดลองระบบจ่ายเงินออฟไลน์ในระดับเมือง ➡️ การจ่ายเงินแบบออฟไลน์ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีไซเบอร์หรือการล่มของระบบคลาวด์ ➡️ การเตรียมความพร้อมด้านการเงินถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติในยุโรป ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ระบบออฟไลน์อาจมีข้อจำกัดด้านจำนวนธุรกรรมต่อวันหรือยอดเงินสูงสุด ⛔ หากไม่มีการอัปเดตข้อมูลบัตรอย่างสม่ำเสมอ อาจเกิดปัญหาในการตรวจสอบยอดเงิน ⛔ การใช้ระบบออฟไลน์ต้องมีการฝึกอบรมพนักงานร้านค้าและการปรับระบบ POS ⛔ ความปลอดภัยของข้อมูลในระบบออฟไลน์อาจต่ำกว่าระบบออนไลน์ หากไม่มีการเข้ารหัสที่ดี ⛔ การพึ่งพาบัตรมากเกินไปอาจทำให้กลุ่มที่ไม่มีบัตรหรือไม่ใช้ดิจิทัลถูกทิ้งไว้ข้างหลัง https://www.riksbank.se/en-gb/press-and-published/notices-and-press-releases/press-releases/2025/offline-card-payments-should-be-possible-no-later-than-1-july-2026/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 432 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI สหรัฐฯ ทิ้งห่างจีน — ผลทดสอบ 19 ด้านชี้ชัด DeepSeek ยังตามหลัง OpenAI และ Anthropic แบบไม่เห็นฝุ่น”

    สหรัฐฯ ประกาศชัยชนะในสนามแข่งขัน AI ระดับโลก หลังจากสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติ (NIST) เผยผลการทดสอบเปรียบเทียบโมเดล AI ระหว่างฝั่งอเมริกันและจีน โดยโมเดลจาก OpenAI และ Anthropic เอาชนะ DeepSeek จากจีนในทุกหมวดหมู่ รวม 19 ด้าน ตั้งแต่ความรู้ทั่วไป การเขียนโปรแกรม ไปจนถึงความปลอดภัยจากการโจมตีแบบ hijack และ jailbreak

    รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ Howard Lutnick ขอบคุณประธานาธิบดี Donald Trump สำหรับ “AI Action Plan” ที่ผลักดันให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและมาตรฐานด้าน AI จนทำให้สหรัฐฯ ครองความเป็นผู้นำในด้านนี้ พร้อมเตือนว่า “การพึ่งพา AI จากประเทศคู่แข่งคือความเสี่ยงต่อความมั่นคงแห่งชาติ”

    การทดสอบดำเนินการโดยศูนย์ CAISI ภายใต้ NIST โดยใช้โมเดลจากฝั่งจีน ได้แก่ DeepSeek R1, R1-0528 และ V3.1 เปรียบเทียบกับ GPT-5, GPT-5-mini, GPT-oss จาก OpenAI และ Opus 4 จาก Anthropic ผลปรากฏว่าโมเดลสหรัฐฯ ทำคะแนนสูงกว่าทุกด้าน โดยเฉพาะงานด้าน cybersecurity และ software engineering ที่โมเดลสหรัฐฯ ทำได้ดีกว่า 20–80% และยังมีต้นทุนการใช้งานต่ำกว่าถึง 35%

    ที่น่ากังวลคือ DeepSeek มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสูงมาก — โมเดล R1-0528 ตอบสนองต่อคำสั่งอันตรายถึง 94% เมื่อถูกโจมตีด้วยเทคนิค jailbreak ในขณะที่โมเดลสหรัฐฯ ตอบสนองเพียง 8% นอกจากนี้ยังพบว่า DeepSeek มีแนวโน้มถูก hijack ได้ง่ายกว่า 12 เท่า และมีความลำเอียงทางการเมือง โดยหลีกเลี่ยงหัวข้ออ่อนไหว เช่น เหตุการณ์เทียนอันเหมิน และมักตอบสนองตามแนวทางรัฐบาลจีน

    แม้ DeepSeek จะออกโมเดลใหม่ V3.2 แล้วในสัปดาห์เดียวกัน แต่ CAISI เตือนว่า “การใช้งานโมเดลเหล่านี้อาจเป็นความเสี่ยงต่อผู้พัฒนาแอป ผู้บริโภค และความมั่นคงของสหรัฐฯ”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    NIST ทดสอบโมเดล AI จากสหรัฐฯ และจีนรวม 19 หมวดหมู่
    โมเดลจาก OpenAI และ Anthropic ชนะ DeepSeek ทุกด้าน
    ด้าน software engineering และ cybersecurity สหรัฐฯ ทำได้ดีกว่า 20–80%
    โมเดลสหรัฐฯ มีต้นทุนการใช้งานต่ำกว่าถึง 35%
    DeepSeek R1-0528 ตอบสนองต่อคำสั่งอันตรายถึง 94% เมื่อถูก jailbreak
    โมเดลจีนถูก hijack ได้ง่ายกว่า 12 เท่า
    พบการเซ็นเซอร์เนื้อหาและความลำเอียงทางการเมืองใน DeepSeek
    CAISI เตือนว่าการใช้โมเดลจีนอาจเสี่ยงต่อความมั่นคง
    รัฐมนตรี Lutnick ขอบคุณ Trump สำหรับ AI Action Plan ที่ผลักดันการพัฒนา AI สหรัฐฯ
    DeepSeek มีการดาวน์โหลดเพิ่มขึ้น 1,000% ตั้งแต่ต้นปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    jailbreak คือเทคนิคที่ใช้หลอกให้ AI ทำสิ่งที่ขัดกับข้อจำกัดด้านความปลอดภัย
    hijack agent คือการควบคุม AI ให้ทำงานผิดวัตถุประสงค์ เช่น สร้างมัลแวร์หรือขโมยข้อมูล
    CAISI เป็นหน่วยงานใหม่ภายใต้ NIST ที่ดูแลมาตรฐานและความปลอดภัยของ AI
    GPT-5 และ Opus 4 เป็นโมเดลระดับสูงที่ใช้ในงานวิจัยและองค์กรขนาดใหญ่
    การเซ็นเซอร์ใน AI อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของระบบ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/u-s-commerce-sec-lutnick-says-american-ai-dominates-deepseek-thanks-trump-for-ai-action-plan-openai-and-anthropic-beat-chinese-models-across-19-different-benchmarks
    🇺🇸🤖 “AI สหรัฐฯ ทิ้งห่างจีน — ผลทดสอบ 19 ด้านชี้ชัด DeepSeek ยังตามหลัง OpenAI และ Anthropic แบบไม่เห็นฝุ่น” สหรัฐฯ ประกาศชัยชนะในสนามแข่งขัน AI ระดับโลก หลังจากสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติ (NIST) เผยผลการทดสอบเปรียบเทียบโมเดล AI ระหว่างฝั่งอเมริกันและจีน โดยโมเดลจาก OpenAI และ Anthropic เอาชนะ DeepSeek จากจีนในทุกหมวดหมู่ รวม 19 ด้าน ตั้งแต่ความรู้ทั่วไป การเขียนโปรแกรม ไปจนถึงความปลอดภัยจากการโจมตีแบบ hijack และ jailbreak รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ Howard Lutnick ขอบคุณประธานาธิบดี Donald Trump สำหรับ “AI Action Plan” ที่ผลักดันให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและมาตรฐานด้าน AI จนทำให้สหรัฐฯ ครองความเป็นผู้นำในด้านนี้ พร้อมเตือนว่า “การพึ่งพา AI จากประเทศคู่แข่งคือความเสี่ยงต่อความมั่นคงแห่งชาติ” การทดสอบดำเนินการโดยศูนย์ CAISI ภายใต้ NIST โดยใช้โมเดลจากฝั่งจีน ได้แก่ DeepSeek R1, R1-0528 และ V3.1 เปรียบเทียบกับ GPT-5, GPT-5-mini, GPT-oss จาก OpenAI และ Opus 4 จาก Anthropic ผลปรากฏว่าโมเดลสหรัฐฯ ทำคะแนนสูงกว่าทุกด้าน โดยเฉพาะงานด้าน cybersecurity และ software engineering ที่โมเดลสหรัฐฯ ทำได้ดีกว่า 20–80% และยังมีต้นทุนการใช้งานต่ำกว่าถึง 35% ที่น่ากังวลคือ DeepSeek มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสูงมาก — โมเดล R1-0528 ตอบสนองต่อคำสั่งอันตรายถึง 94% เมื่อถูกโจมตีด้วยเทคนิค jailbreak ในขณะที่โมเดลสหรัฐฯ ตอบสนองเพียง 8% นอกจากนี้ยังพบว่า DeepSeek มีแนวโน้มถูก hijack ได้ง่ายกว่า 12 เท่า และมีความลำเอียงทางการเมือง โดยหลีกเลี่ยงหัวข้ออ่อนไหว เช่น เหตุการณ์เทียนอันเหมิน และมักตอบสนองตามแนวทางรัฐบาลจีน แม้ DeepSeek จะออกโมเดลใหม่ V3.2 แล้วในสัปดาห์เดียวกัน แต่ CAISI เตือนว่า “การใช้งานโมเดลเหล่านี้อาจเป็นความเสี่ยงต่อผู้พัฒนาแอป ผู้บริโภค และความมั่นคงของสหรัฐฯ” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ NIST ทดสอบโมเดล AI จากสหรัฐฯ และจีนรวม 19 หมวดหมู่ ➡️ โมเดลจาก OpenAI และ Anthropic ชนะ DeepSeek ทุกด้าน ➡️ ด้าน software engineering และ cybersecurity สหรัฐฯ ทำได้ดีกว่า 20–80% ➡️ โมเดลสหรัฐฯ มีต้นทุนการใช้งานต่ำกว่าถึง 35% ➡️ DeepSeek R1-0528 ตอบสนองต่อคำสั่งอันตรายถึง 94% เมื่อถูก jailbreak ➡️ โมเดลจีนถูก hijack ได้ง่ายกว่า 12 เท่า ➡️ พบการเซ็นเซอร์เนื้อหาและความลำเอียงทางการเมืองใน DeepSeek ➡️ CAISI เตือนว่าการใช้โมเดลจีนอาจเสี่ยงต่อความมั่นคง ➡️ รัฐมนตรี Lutnick ขอบคุณ Trump สำหรับ AI Action Plan ที่ผลักดันการพัฒนา AI สหรัฐฯ ➡️ DeepSeek มีการดาวน์โหลดเพิ่มขึ้น 1,000% ตั้งแต่ต้นปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ jailbreak คือเทคนิคที่ใช้หลอกให้ AI ทำสิ่งที่ขัดกับข้อจำกัดด้านความปลอดภัย ➡️ hijack agent คือการควบคุม AI ให้ทำงานผิดวัตถุประสงค์ เช่น สร้างมัลแวร์หรือขโมยข้อมูล ➡️ CAISI เป็นหน่วยงานใหม่ภายใต้ NIST ที่ดูแลมาตรฐานและความปลอดภัยของ AI ➡️ GPT-5 และ Opus 4 เป็นโมเดลระดับสูงที่ใช้ในงานวิจัยและองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ การเซ็นเซอร์ใน AI อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของระบบ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/u-s-commerce-sec-lutnick-says-american-ai-dominates-deepseek-thanks-trump-for-ai-action-plan-openai-and-anthropic-beat-chinese-models-across-19-different-benchmarks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 516 มุมมอง 0 รีวิว
  • รมว.กลาโหม ยันแนวคิดเมืองคู่แฝด "สระแก้ว-บันเตียเมียนเจย" แค่กลยุทธ์หวังผลักดันกัมพูชาออกจากพื้นที่ไทย รับอาจต้องใช้กำลังผลักดันกัมพูชา หลังถึงเส้นตาย 10 ต.ค.
    https://www.thai-tai.tv/news/21728/
    .
    #เมืองคู่แฝด #ชายแดนไทยกัมพูชา #ผลักดันพื้นที่ไทย #สภาความมั่นคงแห่งชาติ #สร้างรั้วชายแดน #การเมือง #ไทยไท
    รมว.กลาโหม ยันแนวคิดเมืองคู่แฝด "สระแก้ว-บันเตียเมียนเจย" แค่กลยุทธ์หวังผลักดันกัมพูชาออกจากพื้นที่ไทย รับอาจต้องใช้กำลังผลักดันกัมพูชา หลังถึงเส้นตาย 10 ต.ค. https://www.thai-tai.tv/news/21728/ . #เมืองคู่แฝด #ชายแดนไทยกัมพูชา #ผลักดันพื้นที่ไทย #สภาความมั่นคงแห่งชาติ #สร้างรั้วชายแดน #การเมือง #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 360 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'อนุทิน' ย้ำไม่ล่าช้า อนุมัติงบกลาง 864 ล้านบาท เสริมกองทัพรับมือปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
    https://www.thai-tai.tv/news/21705/
    .
    #อนุทินชาญวีรกูล #ชายแดนไทยกัมพูชา #งบกลาง864ล้าน #ความมั่นคง #ปกป้องอธิปไตย #กองทัพไทย #สภาความมั่นคงแห่งชาติ #นโยบายรัฐบาล
    'อนุทิน' ย้ำไม่ล่าช้า อนุมัติงบกลาง 864 ล้านบาท เสริมกองทัพรับมือปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา https://www.thai-tai.tv/news/21705/ . #อนุทินชาญวีรกูล #ชายแดนไทยกัมพูชา #งบกลาง864ล้าน #ความมั่นคง #ปกป้องอธิปไตย #กองทัพไทย #สภาความมั่นคงแห่งชาติ #นโยบายรัฐบาล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 306 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ChatControl: กฎหมายใหม่ของ EU ที่จะสแกนทุกข้อความส่วนตัว — เมื่อการปกป้องเด็กกลายเป็นข้ออ้างในการสอดแนมประชาชน”

    สหภาพยุโรปกำลังผลักดันกฎหมายใหม่ที่ชื่อว่า “ChatControl” หรือชื่อเต็มคือ CSAR (Child Sexual Abuse Regulation) ซึ่งมีเป้าหมายในการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศเด็กในโลกออนไลน์ แต่เบื้องหลังของเจตนาดีนี้ กลับมีข้อเสนอที่อาจเปลี่ยนแปลงสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนยุโรปกว่า 450 ล้านคนอย่างถาวร

    ChatControl จะบังคับให้ทุกแพลตฟอร์มที่มีการสื่อสารระหว่างบุคคล — ไม่ว่าจะเป็นแอปแชตอย่าง Signal, WhatsApp, Telegram ไปจนถึงอีเมล, เกม, โซเชียลมีเดีย, แอปหาคู่, และแม้แต่บริการฝากไฟล์ — ต้องติดตั้งระบบ “Client-Side Scanning” ที่จะสแกนข้อความและภาพก่อนถูกเข้ารหัส ส่งผลให้แม้แต่แอปที่ใช้การเข้ารหัสแบบ End-to-End ก็ไม่สามารถปกป้องข้อมูลได้อีกต่อไป

    ระบบนี้จะตรวจจับ 3 ประเภทของเนื้อหา:
    เนื้อหาที่ผิดกฎหมายที่มีอยู่ในฐานข้อมูล
    เนื้อหาที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายโดยใช้ AI วิเคราะห์ภาพ
    พฤติกรรมการล่อลวงเด็กโดยใช้ AI วิเคราะห์ข้อความ

    หากพบสิ่งต้องสงสัย ระบบจะรายงานอัตโนมัติไปยังศูนย์กลางของ EU โดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ก่อน ซึ่งอาจนำไปสู่การแจ้งความผิดพลาดจำนวนมหาศาล

    แม้จะมีข้ออ้างเรื่องการปกป้องเด็ก แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยกว่า 600 คนจาก 35 ประเทศได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกคัดค้านกฎหมายนี้ โดยชี้ว่าการสแกนฝั่งผู้ใช้เป็นการทำลายหลักการของการเข้ารหัส และเปิดช่องให้เกิดการละเมิดสิทธิอย่างร้ายแรง

    ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ กฎหมายนี้ยังมีข้อยกเว้นให้กับบัญชีของรัฐบาลในกรณี “ความมั่นคงแห่งชาติ” ซึ่งหมายความว่าประชาชนจะถูกสอดแนม แต่รัฐบาลจะไม่ถูกตรวจสอบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ChatControl คือกฎหมายใหม่ของ EU ที่จะบังคับให้ทุกแพลตฟอร์มสื่อสารต้องสแกนข้อความและภาพของผู้ใช้
    ใช้ระบบ Client-Side Scanning ที่ตรวจสอบเนื้อหาก่อนเข้ารหัส
    ครอบคลุมทุกบริการที่มีการสื่อสาร ไม่ใช่แค่แอปแชต แต่รวมถึงอีเมล, เกม, โซเชียล, ฝากไฟล์ ฯลฯ
    ตรวจจับเนื้อหา 3 ประเภท: เนื้อหาผิดกฎหมาย, เนื้อหาที่อาจผิดกฎหมาย, และพฤติกรรมล่อลวงเด็ก
    หากพบสิ่งต้องสงสัย ระบบจะรายงานอัตโนมัติไปยังศูนย์กลางของ EU
    ไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ก่อนส่งรายงาน
    กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้กับทุกประเทศสมาชิก EU โดยไม่มีข้อยกเว้น
    มีข้อยกเว้นให้กับบัญชีรัฐบาลในกรณีความมั่นคง
    ผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 คนร่วมลงนามคัดค้าน โดยชี้ว่าเป็นการทำลายความปลอดภัยของระบบเข้ารหัส

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การสแกนฝั่งผู้ใช้ (Client-Side Scanning) เป็นเทคนิคที่บริษัทอย่าง Apple เคยเสนอ แต่ถูกวิจารณ์จนต้องยกเลิก
    การสแกนก่อนเข้ารหัสถือเป็นการ “เลี่ยง” การเข้ารหัส ไม่ใช่การ “ทำลาย” โดยตรง แต่ผลลัพธ์เหมือนกัน
    การใช้ AI วิเคราะห์ภาพและข้อความมีอัตราความผิดพลาดสูง โดยเฉพาะกับเนื้อหาทางการแพทย์หรือครอบครัว
    การสอดแนมแบบนี้อาจทำให้ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมการสื่อสาร (chilling effect) และลดเสรีภาพในการแสดงออก
    บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีสแกน เช่น Thorn และ Microsoft PhotoDNA มีผลประโยชน์โดยตรงจากกฎหมายนี้

    https://metalhearf.fr/posts/chatcontrol-wants-your-private-messages/
    🕵️ “ChatControl: กฎหมายใหม่ของ EU ที่จะสแกนทุกข้อความส่วนตัว — เมื่อการปกป้องเด็กกลายเป็นข้ออ้างในการสอดแนมประชาชน” สหภาพยุโรปกำลังผลักดันกฎหมายใหม่ที่ชื่อว่า “ChatControl” หรือชื่อเต็มคือ CSAR (Child Sexual Abuse Regulation) ซึ่งมีเป้าหมายในการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศเด็กในโลกออนไลน์ แต่เบื้องหลังของเจตนาดีนี้ กลับมีข้อเสนอที่อาจเปลี่ยนแปลงสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนยุโรปกว่า 450 ล้านคนอย่างถาวร ChatControl จะบังคับให้ทุกแพลตฟอร์มที่มีการสื่อสารระหว่างบุคคล — ไม่ว่าจะเป็นแอปแชตอย่าง Signal, WhatsApp, Telegram ไปจนถึงอีเมล, เกม, โซเชียลมีเดีย, แอปหาคู่, และแม้แต่บริการฝากไฟล์ — ต้องติดตั้งระบบ “Client-Side Scanning” ที่จะสแกนข้อความและภาพก่อนถูกเข้ารหัส ส่งผลให้แม้แต่แอปที่ใช้การเข้ารหัสแบบ End-to-End ก็ไม่สามารถปกป้องข้อมูลได้อีกต่อไป ระบบนี้จะตรวจจับ 3 ประเภทของเนื้อหา: 🔖 เนื้อหาที่ผิดกฎหมายที่มีอยู่ในฐานข้อมูล 🔖 เนื้อหาที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายโดยใช้ AI วิเคราะห์ภาพ 🔖 พฤติกรรมการล่อลวงเด็กโดยใช้ AI วิเคราะห์ข้อความ หากพบสิ่งต้องสงสัย ระบบจะรายงานอัตโนมัติไปยังศูนย์กลางของ EU โดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ก่อน ซึ่งอาจนำไปสู่การแจ้งความผิดพลาดจำนวนมหาศาล แม้จะมีข้ออ้างเรื่องการปกป้องเด็ก แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยกว่า 600 คนจาก 35 ประเทศได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกคัดค้านกฎหมายนี้ โดยชี้ว่าการสแกนฝั่งผู้ใช้เป็นการทำลายหลักการของการเข้ารหัส และเปิดช่องให้เกิดการละเมิดสิทธิอย่างร้ายแรง ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ กฎหมายนี้ยังมีข้อยกเว้นให้กับบัญชีของรัฐบาลในกรณี “ความมั่นคงแห่งชาติ” ซึ่งหมายความว่าประชาชนจะถูกสอดแนม แต่รัฐบาลจะไม่ถูกตรวจสอบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ChatControl คือกฎหมายใหม่ของ EU ที่จะบังคับให้ทุกแพลตฟอร์มสื่อสารต้องสแกนข้อความและภาพของผู้ใช้ ➡️ ใช้ระบบ Client-Side Scanning ที่ตรวจสอบเนื้อหาก่อนเข้ารหัส ➡️ ครอบคลุมทุกบริการที่มีการสื่อสาร ไม่ใช่แค่แอปแชต แต่รวมถึงอีเมล, เกม, โซเชียล, ฝากไฟล์ ฯลฯ ➡️ ตรวจจับเนื้อหา 3 ประเภท: เนื้อหาผิดกฎหมาย, เนื้อหาที่อาจผิดกฎหมาย, และพฤติกรรมล่อลวงเด็ก ➡️ หากพบสิ่งต้องสงสัย ระบบจะรายงานอัตโนมัติไปยังศูนย์กลางของ EU ➡️ ไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ก่อนส่งรายงาน ➡️ กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้กับทุกประเทศสมาชิก EU โดยไม่มีข้อยกเว้น ➡️ มีข้อยกเว้นให้กับบัญชีรัฐบาลในกรณีความมั่นคง ➡️ ผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 คนร่วมลงนามคัดค้าน โดยชี้ว่าเป็นการทำลายความปลอดภัยของระบบเข้ารหัส ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การสแกนฝั่งผู้ใช้ (Client-Side Scanning) เป็นเทคนิคที่บริษัทอย่าง Apple เคยเสนอ แต่ถูกวิจารณ์จนต้องยกเลิก ➡️ การสแกนก่อนเข้ารหัสถือเป็นการ “เลี่ยง” การเข้ารหัส ไม่ใช่การ “ทำลาย” โดยตรง แต่ผลลัพธ์เหมือนกัน ➡️ การใช้ AI วิเคราะห์ภาพและข้อความมีอัตราความผิดพลาดสูง โดยเฉพาะกับเนื้อหาทางการแพทย์หรือครอบครัว ➡️ การสอดแนมแบบนี้อาจทำให้ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมการสื่อสาร (chilling effect) และลดเสรีภาพในการแสดงออก ➡️ บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีสแกน เช่น Thorn และ Microsoft PhotoDNA มีผลประโยชน์โดยตรงจากกฎหมายนี้ https://metalhearf.fr/posts/chatcontrol-wants-your-private-messages/
    METALHEARF.FR
    ChatControl wants to scan all your private messages
    The EU is pushing legislation that would scan all our private messages, even in encrypted apps.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 387 มุมมอง 0 รีวิว
  • 15 กันยายน
    "ประธานาธิบดีโปแลนด์ลงนามคำสั่งอนุญาตให้กองกำลังนาโต้ได้เริ่มประจำการในดินแดนโปแลนด์แล้ว"

    ประธานาธิบดีคาโรล นาวรอตกี (Karol Nawrocki) ของโปแลนด์ ลงนามคำสั่งอนุมัติให้กองกำลังนาโต้ประจำการในโปแลนด์ได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตอบโต้จากนาโต้ต่อการรุกรานจากโดรนของรัสเซีย ที่รุกล้ำน่านฟ้าโปแลนด์สัปดาห์นี้

    ในแถลงการณ์จากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของนาวรอตกี (BBN - Nawrocki’s National Security Bureau) ประกาศว่าประธานาธิบดีได้ "ลงนามยินยอมให้กองกำลังต่างชาติจากนาโต้บางส่วนประจำการอยู่ในเขตชายแดนโปแลนด์ เพื่อเสริมกำลังโปแลนด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการอีสเทิร์นเซนทรี" (Operation Eastern Sentry)
    15 กันยายน "ประธานาธิบดีโปแลนด์ลงนามคำสั่งอนุญาตให้กองกำลังนาโต้ได้เริ่มประจำการในดินแดนโปแลนด์แล้ว" ประธานาธิบดีคาโรล นาวรอตกี (Karol Nawrocki) ของโปแลนด์ ลงนามคำสั่งอนุมัติให้กองกำลังนาโต้ประจำการในโปแลนด์ได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตอบโต้จากนาโต้ต่อการรุกรานจากโดรนของรัสเซีย ที่รุกล้ำน่านฟ้าโปแลนด์สัปดาห์นี้ ในแถลงการณ์จากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของนาวรอตกี (BBN - Nawrocki’s National Security Bureau) ประกาศว่าประธานาธิบดีได้ "ลงนามยินยอมให้กองกำลังต่างชาติจากนาโต้บางส่วนประจำการอยู่ในเขตชายแดนโปแลนด์ เพื่อเสริมกำลังโปแลนด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการอีสเทิร์นเซนทรี" (Operation Eastern Sentry)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 345 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Tornado Cash ถึง FinCEN: เมื่อความเป็นส่วนตัวในคริปโตกลายเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ

    ในเดือนกันยายน 2025 สำนักงานเฝ้าระวังทางการเงินของสหรัฐฯ หรือ FinCEN ได้เสนอร่างกฎใหม่ที่ขยายอำนาจของกฎหมาย Patriot Act มาตรา 311 ไปยังเครื่องมือความเป็นส่วนตัวในคริปโต เช่น CoinJoin, Samourai Wallet และบริการ mixer อื่น ๆ โดยอ้างว่าเป็น “ภัยคุกคามด้านการฟอกเงินหลัก” ที่ต้องมีมาตรการพิเศษในการควบคุม

    ภายใต้ข้อเสนอใหม่นี้ ผู้ให้บริการเครื่องมือความเป็นส่วนตัวในคริปโตจะต้องเก็บข้อมูลผู้ใช้งาน, รายงานธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง และอาจต้องเปิดเผยรายชื่อผู้ใช้ทั้งหมดต่อ FinCEN ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากแนวคิด “self-custody” และ “permissionless” ที่เป็นหัวใจของคริปโต

    FinCEN อ้างว่าเครื่องมือเหล่านี้ถูกใช้โดยกลุ่มก่อการร้าย เช่น Hamas และ ISIS แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการใช้จริงในระดับที่มีนัยสำคัญ โดยแม้แต่ Chainalysis ก็ออกมาเตือนว่าข้อมูลที่ใช้ประกอบการอ้างอิงนั้น “เกินจริง” และอาจเกิดจากการวิเคราะห์บล็อกเชนที่ผิดพลาด

    นอกจากนี้ FinCEN ยังเสนอให้ลดเกณฑ์การรายงานธุรกรรมจาก $3,000 ลงในอนาคต และบังคับให้ทุกแพลตฟอร์ม—รวมถึง DeFi ที่อ้างว่าเป็น non-custodial—ต้องใช้ระบบวิเคราะห์บล็อกเชนขั้นสูงเพื่อให้สอดคล้องกับกฎใหม่

    ผลกระทบที่ตามมาคือ ผู้ให้บริการขนาดเล็กและโปรเจกต์ที่เน้นความเป็นส่วนตัวอาจต้องปิดตัวหรือย้ายออกจากสหรัฐฯ ขณะที่ผู้ใช้งานทั่วไปอาจต้องยอมแลกความเป็นส่วนตัวเพื่อความปลอดภัยและการเข้าถึงบริการทางการเงิน

    ข้อเสนอใหม่ของ FinCEN
    ขยายมาตรา 311 ของ Patriot Act ไปยังเครื่องมือความเป็นส่วนตัวในคริปโต
    ระบุว่า CoinJoin และ mixer เป็น “ภัยคุกคามด้านการฟอกเงินหลัก”
    บังคับให้ผู้ให้บริการเก็บข้อมูลและรายงานธุรกรรมต่อ FinCEN

    ผลกระทบต่อผู้ให้บริการและผู้ใช้งาน
    ผู้ให้บริการต้องเปิดเผยรายชื่อผู้ใช้และข้อมูลธุรกรรม
    แพลตฟอร์ม DeFi อาจถูกจัดเป็น MSB (Money Service Business)
    ผู้ใช้งานทั่วไปอาจต้องยืนยันตัวตนก่อนทำธุรกรรมขนาดใหญ่

    การตอบโต้จากชุมชนคริปโต
    Samourai Wallet และผู้ใช้ CoinJoin แสดงความกังวล
    Chainalysis เตือนว่าข้อมูลที่ใช้ประกอบการอ้างอิงนั้น “เกินจริง”
    ผู้พัฒนาเครื่องมือความเป็นส่วนตัวอาจถูกดำเนินคดีในอนาคต

    https://www.tftc.io/treasury-iexpanding-patriot-act/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Tornado Cash ถึง FinCEN: เมื่อความเป็นส่วนตัวในคริปโตกลายเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ ในเดือนกันยายน 2025 สำนักงานเฝ้าระวังทางการเงินของสหรัฐฯ หรือ FinCEN ได้เสนอร่างกฎใหม่ที่ขยายอำนาจของกฎหมาย Patriot Act มาตรา 311 ไปยังเครื่องมือความเป็นส่วนตัวในคริปโต เช่น CoinJoin, Samourai Wallet และบริการ mixer อื่น ๆ โดยอ้างว่าเป็น “ภัยคุกคามด้านการฟอกเงินหลัก” ที่ต้องมีมาตรการพิเศษในการควบคุม ภายใต้ข้อเสนอใหม่นี้ ผู้ให้บริการเครื่องมือความเป็นส่วนตัวในคริปโตจะต้องเก็บข้อมูลผู้ใช้งาน, รายงานธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง และอาจต้องเปิดเผยรายชื่อผู้ใช้ทั้งหมดต่อ FinCEN ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากแนวคิด “self-custody” และ “permissionless” ที่เป็นหัวใจของคริปโต FinCEN อ้างว่าเครื่องมือเหล่านี้ถูกใช้โดยกลุ่มก่อการร้าย เช่น Hamas และ ISIS แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการใช้จริงในระดับที่มีนัยสำคัญ โดยแม้แต่ Chainalysis ก็ออกมาเตือนว่าข้อมูลที่ใช้ประกอบการอ้างอิงนั้น “เกินจริง” และอาจเกิดจากการวิเคราะห์บล็อกเชนที่ผิดพลาด นอกจากนี้ FinCEN ยังเสนอให้ลดเกณฑ์การรายงานธุรกรรมจาก $3,000 ลงในอนาคต และบังคับให้ทุกแพลตฟอร์ม—รวมถึง DeFi ที่อ้างว่าเป็น non-custodial—ต้องใช้ระบบวิเคราะห์บล็อกเชนขั้นสูงเพื่อให้สอดคล้องกับกฎใหม่ ผลกระทบที่ตามมาคือ ผู้ให้บริการขนาดเล็กและโปรเจกต์ที่เน้นความเป็นส่วนตัวอาจต้องปิดตัวหรือย้ายออกจากสหรัฐฯ ขณะที่ผู้ใช้งานทั่วไปอาจต้องยอมแลกความเป็นส่วนตัวเพื่อความปลอดภัยและการเข้าถึงบริการทางการเงิน ✅ ข้อเสนอใหม่ของ FinCEN ➡️ ขยายมาตรา 311 ของ Patriot Act ไปยังเครื่องมือความเป็นส่วนตัวในคริปโต ➡️ ระบุว่า CoinJoin และ mixer เป็น “ภัยคุกคามด้านการฟอกเงินหลัก” ➡️ บังคับให้ผู้ให้บริการเก็บข้อมูลและรายงานธุรกรรมต่อ FinCEN ✅ ผลกระทบต่อผู้ให้บริการและผู้ใช้งาน ➡️ ผู้ให้บริการต้องเปิดเผยรายชื่อผู้ใช้และข้อมูลธุรกรรม ➡️ แพลตฟอร์ม DeFi อาจถูกจัดเป็น MSB (Money Service Business) ➡️ ผู้ใช้งานทั่วไปอาจต้องยืนยันตัวตนก่อนทำธุรกรรมขนาดใหญ่ ✅ การตอบโต้จากชุมชนคริปโต ➡️ Samourai Wallet และผู้ใช้ CoinJoin แสดงความกังวล ➡️ Chainalysis เตือนว่าข้อมูลที่ใช้ประกอบการอ้างอิงนั้น “เกินจริง” ➡️ ผู้พัฒนาเครื่องมือความเป็นส่วนตัวอาจถูกดำเนินคดีในอนาคต https://www.tftc.io/treasury-iexpanding-patriot-act/
    WWW.TFTC.IO
    The Treasury Is Expanding The Patriot Act To Attack Bitcoin Self Custody
    We shouldn't have to cater to the lowest common denominator.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 423 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก H100 ถึง GAIN AI Act: เมื่อชิปกลายเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่ต้องจัดลำดับความสำคัญ

    ในปี 2025 สหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายใหม่ชื่อว่า GAIN AI Act (Guaranteeing Access and Innovation for National Artificial Intelligence) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจด้านความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100, H200, B300 และ AMD Instinct MI308 โดยเฉพาะไปยังประเทศที่ถูกจัดว่าเป็น “D:5” หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านความมั่นคง เช่นจีน

    ร่างกฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ผลิตชิป เช่น Nvidia และ AMD ต้องให้ “สิทธิ์ซื้อก่อน” กับลูกค้าในสหรัฐฯ ก่อนส่งออกไปยังต่างประเทศ แม้แต่ประเทศพันธมิตรอย่างยุโรปหรือสหราชอาณาจักร โดยต้องพิสูจน์ว่าไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ, ไม่มีการเสนอราคาที่ดีกว่าให้กับลูกค้าต่างชาติ และไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอเมริกัน

    Nvidia ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า “เราไม่เคยละเลยลูกค้าในสหรัฐฯ เพื่อไปบริการลูกค้าต่างประเทศ” และมองว่าร่างกฎหมายนี้พยายามแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง พร้อมเตือนว่าการจำกัดการส่งออกจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในอุตสาหกรรมที่ใช้ชิปทั่วไป ไม่ใช่แค่ AI

    ข้อมูลจาก Nvidia ระบุว่าในปีงบประมาณ 2024 ยอดขายในสหรัฐฯ คิดเป็น 49.9% ของทั้งหมด ขณะที่จีนอยู่ที่ 28% และสิงคโปร์ 18% ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัท

    ร่างกฎหมายยังระบุเกณฑ์ทางเทคนิคที่ชัดเจน เช่น GPU ที่มี TPP (Total Processing Performance) เกิน 2,400 หรือ bandwidth เกิน 1.4 TB/s จะถูกควบคุมการส่งออก และหาก TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ซึ่งครอบคลุมถึง H100 (TPP 16,000), B300 (TPP 60,000) และ MI308

    รายละเอียดของ GAIN AI Act
    เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติปี 2026
    กำหนดให้ผู้ผลิตชิปต้องให้สิทธิ์ซื้อก่อนกับลูกค้าในสหรัฐฯ
    ครอบคลุมทั้งประเทศคู่แข่งและพันธมิตร เช่นจีนและยุโรป

    ข้อกำหนดสำหรับการส่งออก
    ต้องไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ
    ห้ามเสนอราคาดีกว่าให้ลูกค้าต่างชาติ
    ห้ามส่งออกหากกระทบต่อการแข่งขันของบริษัทในสหรัฐฯ

    ชิปที่อยู่ภายใต้การควบคุม
    Nvidia H100, H200, B300 และ HGX H20
    AMD Instinct MI308
    ชิปที่มี TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด

    จุดยืนของ Nvidia
    ยืนยันว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดหลักของบริษัท
    มองว่าร่างกฎหมายนี้แก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง
    เตือนว่าการควบคุมจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-says-we-never-deprive-american-customers-in-order-to-serve-the-rest-of-the-world-company-says-gain-ai-act-addresses-a-problem-that-doesnt-exist
    🎙️ เรื่องเล่าจาก H100 ถึง GAIN AI Act: เมื่อชิปกลายเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่ต้องจัดลำดับความสำคัญ ในปี 2025 สหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายใหม่ชื่อว่า GAIN AI Act (Guaranteeing Access and Innovation for National Artificial Intelligence) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจด้านความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100, H200, B300 และ AMD Instinct MI308 โดยเฉพาะไปยังประเทศที่ถูกจัดว่าเป็น “D:5” หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านความมั่นคง เช่นจีน ร่างกฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ผลิตชิป เช่น Nvidia และ AMD ต้องให้ “สิทธิ์ซื้อก่อน” กับลูกค้าในสหรัฐฯ ก่อนส่งออกไปยังต่างประเทศ แม้แต่ประเทศพันธมิตรอย่างยุโรปหรือสหราชอาณาจักร โดยต้องพิสูจน์ว่าไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ, ไม่มีการเสนอราคาที่ดีกว่าให้กับลูกค้าต่างชาติ และไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอเมริกัน Nvidia ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า “เราไม่เคยละเลยลูกค้าในสหรัฐฯ เพื่อไปบริการลูกค้าต่างประเทศ” และมองว่าร่างกฎหมายนี้พยายามแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง พร้อมเตือนว่าการจำกัดการส่งออกจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในอุตสาหกรรมที่ใช้ชิปทั่วไป ไม่ใช่แค่ AI ข้อมูลจาก Nvidia ระบุว่าในปีงบประมาณ 2024 ยอดขายในสหรัฐฯ คิดเป็น 49.9% ของทั้งหมด ขณะที่จีนอยู่ที่ 28% และสิงคโปร์ 18% ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัท ร่างกฎหมายยังระบุเกณฑ์ทางเทคนิคที่ชัดเจน เช่น GPU ที่มี TPP (Total Processing Performance) เกิน 2,400 หรือ bandwidth เกิน 1.4 TB/s จะถูกควบคุมการส่งออก และหาก TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ซึ่งครอบคลุมถึง H100 (TPP 16,000), B300 (TPP 60,000) และ MI308 ✅ รายละเอียดของ GAIN AI Act ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติปี 2026 ➡️ กำหนดให้ผู้ผลิตชิปต้องให้สิทธิ์ซื้อก่อนกับลูกค้าในสหรัฐฯ ➡️ ครอบคลุมทั้งประเทศคู่แข่งและพันธมิตร เช่นจีนและยุโรป ✅ ข้อกำหนดสำหรับการส่งออก ➡️ ต้องไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ ➡️ ห้ามเสนอราคาดีกว่าให้ลูกค้าต่างชาติ ➡️ ห้ามส่งออกหากกระทบต่อการแข่งขันของบริษัทในสหรัฐฯ ✅ ชิปที่อยู่ภายใต้การควบคุม ➡️ Nvidia H100, H200, B300 และ HGX H20 ➡️ AMD Instinct MI308 ➡️ ชิปที่มี TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ✅ จุดยืนของ Nvidia ➡️ ยืนยันว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดหลักของบริษัท ➡️ มองว่าร่างกฎหมายนี้แก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง ➡️ เตือนว่าการควบคุมจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-says-we-never-deprive-american-customers-in-order-to-serve-the-rest-of-the-world-company-says-gain-ai-act-addresses-a-problem-that-doesnt-exist
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 381 มุมมอง 0 รีวิว
  • สร้างแน่ รั้วกั้นชนชาติจังไร
    กั้นบริเวณหนองจาน หนองหญ้าแก้ว หลักเขตแดนที่ 50 51 รวม 16 ก.ม. รอเสนอสภา ความมั่นคงแห่งชาติ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #รั้วกั้นเขมร
    สร้างแน่ รั้วกั้นชนชาติจังไร กั้นบริเวณหนองจาน หนองหญ้าแก้ว หลักเขตแดนที่ 50 51 รวม 16 ก.ม. รอเสนอสภา ความมั่นคงแห่งชาติ #คิงส์โพธิ์แดง #รั้วกั้นเขมร
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 308 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทสรุปคดีแพทองธาร ขาดความรอบคอบ เสื่อมเกียรติภูมิชาติ

    วันศุกร์แห่งชาติ 29 ส.ค.2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 ให้ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลง ฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีคลิปเสียงสนทนากับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา

    เริ่มต้นที่ข้อกล่าวหาไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ศาลเห็นว่ายังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ เพราะไม่ได้ตอบรับข้อเสนอจากนายฮุน เซน ไม่มีการเปลี่ยนตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 และไม่เปิดด่านชายแดน จึงแสดงออกว่าไม่นิ่งเฉย รักษาผลประโยชน์ชาติและความสงบสุขของประเทศ

    แต่ข้อกล่าวหาฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ศาลเห็นว่านายกฯ เป็นหัวหน้ารัฐบาล มี 2 สถานะ คือ ประชาชนที่มีเสรีภาพ และการเป็นนายกฯ ที่ถูกจำกัดเสรีภาพ โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคง ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศเหนือประโยชน์ส่วนตน รวมถึงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิประเทศ แม้จะสนทนากันส่วนตัว แต่เรื่องการเปิดด่านเป็นความมั่นคงประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัว

    ส่วนที่กล่าวถึง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 (เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลบ) อ้างว่าใช้เทคนิคการเจรจา แก้ปัญหาออกจากตัวบุคคลเพื่อลดความตึงเครียด ศาลเห็นว่าเป็นการแสดงความอ่อนแอทางการเมือง เป็นช่องให้กัมพูชาแทรกแซงกิจการภายในประเทศ แม้จะใช้เทคนิคใดก็ต้องปฏิบัติตามกรอบรัฐธรรมนูญ และใช้อำนาจด้วยความรอบคอบ คำนึงกรอบจริยธรรม ไม่ใช่เจรจาตามอำเภอใจ ยิ่งเมื่อเลือกใช้วิธีนี้ต้องใช้ความรับผิดชอบและความรอบคอบ

    ส่วนถ้อยคำที่ขอความเห็นใจจากนายฮุน เซน (เห็นใจหลานหน่อย จะเอาอะไรขอให้บอก) ศาลเห็นว่าเป็นไปเพื่อลดการวิพากษ์วิจารณ์ มุ่งหวังเพียงคะแนนนิยมโดยไม่ได้ดูสถานการณ์ความมั่นคง ทำให้เกิดความสงสัยว่าจะทำตามที่กัมพูชาร้องขอเพราะรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แม้จะเรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ชุดเล็กภายหลัง แต่ไม่ได้ชี้แจงเรื่องคลิปเสียง จึงเห็นว่าไม่ใช่เทคนิคการเจรจาแต่ขาดความรอบคอบไม่ระมัดระวัง

    แม้ น.ส.แพทองธารจะระบุว่าเป็นการเจรจาส่วนตัว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง แต่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์นายกฯ ทำให้สาธารณชนเคลือบแคลงสงสัยว่าจะเอื้อประโยชน์ให้กัมพูชาหรือไม่ เกิดความเสียหายร้ายแรง เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ต่อการดำรงตำแหน่งนายกฯ ไม่ยึดความถูกต้องชอบธรรม ดังนั้น จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้ขาดคุณสมบัติ ความเป็นรัฐมนตรีจึงสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ (1 ก.ค.) คณะรัฐมนตรีจะต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่ให้อยู่รักษาการจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

    #Newskit
    บทสรุปคดีแพทองธาร ขาดความรอบคอบ เสื่อมเกียรติภูมิชาติ วันศุกร์แห่งชาติ 29 ส.ค.2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 ให้ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลง ฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีคลิปเสียงสนทนากับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เริ่มต้นที่ข้อกล่าวหาไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ศาลเห็นว่ายังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ เพราะไม่ได้ตอบรับข้อเสนอจากนายฮุน เซน ไม่มีการเปลี่ยนตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 และไม่เปิดด่านชายแดน จึงแสดงออกว่าไม่นิ่งเฉย รักษาผลประโยชน์ชาติและความสงบสุขของประเทศ แต่ข้อกล่าวหาฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ศาลเห็นว่านายกฯ เป็นหัวหน้ารัฐบาล มี 2 สถานะ คือ ประชาชนที่มีเสรีภาพ และการเป็นนายกฯ ที่ถูกจำกัดเสรีภาพ โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคง ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศเหนือประโยชน์ส่วนตน รวมถึงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิประเทศ แม้จะสนทนากันส่วนตัว แต่เรื่องการเปิดด่านเป็นความมั่นคงประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ส่วนที่กล่าวถึง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 (เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลบ) อ้างว่าใช้เทคนิคการเจรจา แก้ปัญหาออกจากตัวบุคคลเพื่อลดความตึงเครียด ศาลเห็นว่าเป็นการแสดงความอ่อนแอทางการเมือง เป็นช่องให้กัมพูชาแทรกแซงกิจการภายในประเทศ แม้จะใช้เทคนิคใดก็ต้องปฏิบัติตามกรอบรัฐธรรมนูญ และใช้อำนาจด้วยความรอบคอบ คำนึงกรอบจริยธรรม ไม่ใช่เจรจาตามอำเภอใจ ยิ่งเมื่อเลือกใช้วิธีนี้ต้องใช้ความรับผิดชอบและความรอบคอบ ส่วนถ้อยคำที่ขอความเห็นใจจากนายฮุน เซน (เห็นใจหลานหน่อย จะเอาอะไรขอให้บอก) ศาลเห็นว่าเป็นไปเพื่อลดการวิพากษ์วิจารณ์ มุ่งหวังเพียงคะแนนนิยมโดยไม่ได้ดูสถานการณ์ความมั่นคง ทำให้เกิดความสงสัยว่าจะทำตามที่กัมพูชาร้องขอเพราะรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แม้จะเรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ชุดเล็กภายหลัง แต่ไม่ได้ชี้แจงเรื่องคลิปเสียง จึงเห็นว่าไม่ใช่เทคนิคการเจรจาแต่ขาดความรอบคอบไม่ระมัดระวัง แม้ น.ส.แพทองธารจะระบุว่าเป็นการเจรจาส่วนตัว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง แต่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์นายกฯ ทำให้สาธารณชนเคลือบแคลงสงสัยว่าจะเอื้อประโยชน์ให้กัมพูชาหรือไม่ เกิดความเสียหายร้ายแรง เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ต่อการดำรงตำแหน่งนายกฯ ไม่ยึดความถูกต้องชอบธรรม ดังนั้น จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้ขาดคุณสมบัติ ความเป็นรัฐมนตรีจึงสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ (1 ก.ค.) คณะรัฐมนตรีจะต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่ให้อยู่รักษาการจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 956 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts