• รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 1
    “รุกฆาต หรือ รุกคืบ”
    ตอนที่ 1

    เพิ่งเขียนเรื่อง สงครามชิงโลกส่งกลิ่นฉุนโชยเสร็จไปไม่กี่วัน ยังกับอเมริกาเอาดาวเทียมมาแอบส่องอ่านตอนลุงนิทานกำลังนั่งเขียน สงสัยจะไปจี้ถูกจุด ถูกนินทาว่ากำลังออกอ่าว ตีกรรเชียงว่อนไปวนมา นักล่าใบตองแห้งเลยต้องรีบจัดการแสดง เล่นบทตีกลองส่งสัญญานโชว์แก่ประชาคมโลกบ้าง หลังจากเป็นฝ่ายรับสัญญาน จากฝ่ายรัสเซียและพวกมาหลายรอบ เล่นเอา สื่อใหญ่ สื่อน้อย ต่างโหมประโคมข่าววิเคราะห์กันไปในท้วงทำนองเดียวกัน ว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 กำลังเริ่มบรรเลงแล้ว America is on a “Hot War Footing” , “World War III: US House Passes Resolution 758 Against Russia” แผนทำสงครามโลกที่ Pentagon วาดไว้บนกระดานมากว่า 10 ปี กำลังมาถึงบทปฏิบัติการทางทหารกับรัสเซียแล้ว มีไฟมาลนเพิ่ม โลกเริ่มร้อนขึ้นแล้ว แหม ลุงนิทาน ไม่ตกเทรนด์ แถมนำเล็กๆ ฮา

    สภาล่างของอเมริกา มีมติเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2014 ด้วยคะแนนเสียง 411 เสียง ต่อ 10 เสียง ให้ทำการประณามอย่างรุนแรง ต่อการกระทำของรัสเซีย ภายใต้การกุมบังเหียนของพณฯท่านคุณพี่ปูติน ว่าเป็นการดำเนินนโยบาย ที่แสดงความก้าวร้าวต่อประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหวังผลที่จะมีอำนาจในการควบคุมทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยบรรยายการกระทำของรัสเซีย ยาวประมาณ 36 ย่อหน้า เป็นการเขียนด่าประณามรัสเซียที่ยอดเยี่ยมมาก เหมือนอมริกากำลังส่องกระจกมองตัวเอง แล้วก็ด่าไป แค่เปลี่ยนชื่อคนในกระจก จากนายโอบามาเป็นคุณพี่ปูตินเท่านั้นเอง !

    สำหรับมติ ในส่วนที่สภาล่างให้ดำเนินการ มีประมาณ 22 หัวข้อ ซึ่งสรุปคร่าวๆ ว่า ให้รัสเซียถอนการผนวกแหลม Crimea ที่ไม่ถูกกฏหมายเสียเป็นการด่วน และจงถอยทัพออกไปจากอาณาเขตของ Ukraine, Georgia และ Maldova พร้อมทั้งหยุดให้การสนับสนุน ด้านการเมือง การทหาร และ เศรษฐกิจ แก่กองกำลังแบ่งแยกดินแดน ฯลฯ ซึ่งผมชอบมากทุกข้อเลย ถือเป็นการลงมติระดับเซียนสร้างเรื่องทีเดียว

    ลองดูตัวอย่าง ที่น่าประทับใจหน่อยนะครับ

    หัวข้อที่ 1 มติให้อเมริกา ให้การสนับสนุน ประธานาธิบดี และชาว Ukraine ในการสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในประเทศของตน…….. ซึ่งรวมถึงการมีนโยบายที่จะลดความสามารถของรัสเซีย ที่จะใช้การส่งออก และการค้าพลังงาน เป็นอาวุธเพื่อกดดันเศรษฐกิจและการเมือง และยุติการก้าวก่ายของรัสเซียในกิจการภายในของ Ukraine

    มติแบบนี้ ผมเป็นคุณพี่ปูติน ก็ได้แต่พูด ให้เกียรติเราเกินไปแล้ว เรามิบังอาจกล่าวอ้างเช่นนั้น ฮ่า ฮ่า
    หัวข้อที่ 10 มติเรียกร้องประธานาธิบดี จัดหาอาวุธ การบริการ รวมทั้งการฝึกอบรมที่จำเป็นแก่ Ukraine ในการปกป้องอาณาเขต และอธิปไตยของตนเอง

    แบบนี้ อเมริกาทำได้นะครับ อยากจะอุ้มชูใคร ให้อาวุธใคร หรือกระทืบใคร ทำได้ทั้งนั้นครับ ก็ยอมเขาเองนี่ครับ

    หัวข้อที่ 11 มติเรียกร้องให้อเมริกา จัดหาข่าวกรอง และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ให้ Ukraine เพื่อใช้ในการป้องกันอาณาเขตและอธิปไตยของประเทศตน

    แบบนี้ อเมริกาก็ไม่ผิดนะครับ เสือกกันได้ ทำแบบนี้มาเกือบทั้งโลกแล้ว แถม Ukraine ไปอีกประเทศ เป็นไรไป ไม่ทำให้เลวไปกว่าเดิมเท่าไหร่หรอกน่า

    หัวข้อที่ 13 มติยืนยันคำมั่นของอเมริกาต่อพันธะภายใต้กฏบัตร North Atlantic Treaty โดยเฉเพาะข้อ 5 รวมทั้งเรียกร้องถึงสมาชิกทั้งปวงด้วย เพื่อให้ความร่วมมือกันในการจัดส่งกองกำลังของตนเพื่อรักษาความมั่นคงเมื่อ มีจำเป็น

    มตินี้แปลว่า ลูกพี่อยากรบเมื่อไหร่ ส่งสัญญานไป ลูกหาบต้องมาครบ เข้าใจไหม

    หัวข้อที่ 17 มติให้ Ukraine, EU และประเทศในยุโรป สนับสนุนการ ริเริ่มใช้พลังงานหลากหลาย เพื่อลดความสามารถของรัสเซีย ที่จะนำการส่งพลังงานของตนมาเป็นเครื่องมือกดดันทางการเมืองและเศรษฐกืจต่อ ประเทศอื่นๆ…

    อีกละ มติแบบนี้ คุณพี่ปูตินก็ได้แต่อมยิ้ม ทำหน้าหล่อไปเท่านั้น ขอโทษไม่ตั้งใจเลย มันหล่อเอง ฮา

    ส่วน หัวข้อที่ 21 มติเรียกร้องให้รัสเซีย แสวงหาหนทาง สร้างสัมพันธ์กับอเมริกา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย บนพื้นฐานของการเคารพในอิสรภาพ และอธิปไตยของประเทศอื่น สิทธืในการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของประเทศเหล่านั้น รวมทั้งการมีสัมพันธไมตรีกับประเทศอื่น

    ข้อนี้ผมหมดปัญญา ไม่รู้จะสรรเสริญอย่างไร ให้สมกับการแสดงความใหญ่ล้นโลกของเจ้าของมติ

    แต่ยังไงก็สู้หัวข้อที่ 22 ไม่ได้ น่ารัก น่าชัง เหมือนโฆษณาของบริษัทจัดคู่นัด ที่ระบุให้มีการร่วมมือกันระหว่างชาวอเมริกาและชาวรัสเซีย เพื่อสร้างสัมพันธไมตรีที่ใกล้ชิด อืม อืย..เพื่อแสวงหา ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และสันติภาพระหว่างชาติด้วยกัน

    ยกตัวอย่างแค่นี้น่าจะพอ ขอโทษเถอะนะ ผมอ่านแล้ว ดูไม่สมราคารายการศึกท้าชิงแชมป์ เลย เหมือนจะหนักแน่น ก็แน่นจริงหรอก ตั้ง 36 ย่อหน้าการประณาม แน่นเต็มหน้ากระดาษ แต่ไม่หนักนะ แถมเบาจนลอยฟุ้ง จะขึ้นไปติดลมบนเอาด้วย ส่วนเรื่องความร้อนแรง ก็คงต้องโหมไฟกว่านี้อีกหลายท่อนฟืน

    เหมือน ฉากยังสร้างไม่เสร็จ สีที่ทาก็ยังไม่แห้ง แต่ไปรีบยกเอาเก้าอี้มาตั้งกลางโรง นั่งตีกลองโชว์ชาวบ้าน ตกลงอเมริกากำลังส่งสัญญาณอะไรกันแน่ !?

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    13 ธค. 2557
    รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 1 “รุกฆาต หรือ รุกคืบ” ตอนที่ 1 เพิ่งเขียนเรื่อง สงครามชิงโลกส่งกลิ่นฉุนโชยเสร็จไปไม่กี่วัน ยังกับอเมริกาเอาดาวเทียมมาแอบส่องอ่านตอนลุงนิทานกำลังนั่งเขียน สงสัยจะไปจี้ถูกจุด ถูกนินทาว่ากำลังออกอ่าว ตีกรรเชียงว่อนไปวนมา นักล่าใบตองแห้งเลยต้องรีบจัดการแสดง เล่นบทตีกลองส่งสัญญานโชว์แก่ประชาคมโลกบ้าง หลังจากเป็นฝ่ายรับสัญญาน จากฝ่ายรัสเซียและพวกมาหลายรอบ เล่นเอา สื่อใหญ่ สื่อน้อย ต่างโหมประโคมข่าววิเคราะห์กันไปในท้วงทำนองเดียวกัน ว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 กำลังเริ่มบรรเลงแล้ว America is on a “Hot War Footing” , “World War III: US House Passes Resolution 758 Against Russia” แผนทำสงครามโลกที่ Pentagon วาดไว้บนกระดานมากว่า 10 ปี กำลังมาถึงบทปฏิบัติการทางทหารกับรัสเซียแล้ว มีไฟมาลนเพิ่ม โลกเริ่มร้อนขึ้นแล้ว แหม ลุงนิทาน ไม่ตกเทรนด์ แถมนำเล็กๆ ฮา สภาล่างของอเมริกา มีมติเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2014 ด้วยคะแนนเสียง 411 เสียง ต่อ 10 เสียง ให้ทำการประณามอย่างรุนแรง ต่อการกระทำของรัสเซีย ภายใต้การกุมบังเหียนของพณฯท่านคุณพี่ปูติน ว่าเป็นการดำเนินนโยบาย ที่แสดงความก้าวร้าวต่อประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหวังผลที่จะมีอำนาจในการควบคุมทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยบรรยายการกระทำของรัสเซีย ยาวประมาณ 36 ย่อหน้า เป็นการเขียนด่าประณามรัสเซียที่ยอดเยี่ยมมาก เหมือนอมริกากำลังส่องกระจกมองตัวเอง แล้วก็ด่าไป แค่เปลี่ยนชื่อคนในกระจก จากนายโอบามาเป็นคุณพี่ปูตินเท่านั้นเอง ! สำหรับมติ ในส่วนที่สภาล่างให้ดำเนินการ มีประมาณ 22 หัวข้อ ซึ่งสรุปคร่าวๆ ว่า ให้รัสเซียถอนการผนวกแหลม Crimea ที่ไม่ถูกกฏหมายเสียเป็นการด่วน และจงถอยทัพออกไปจากอาณาเขตของ Ukraine, Georgia และ Maldova พร้อมทั้งหยุดให้การสนับสนุน ด้านการเมือง การทหาร และ เศรษฐกิจ แก่กองกำลังแบ่งแยกดินแดน ฯลฯ ซึ่งผมชอบมากทุกข้อเลย ถือเป็นการลงมติระดับเซียนสร้างเรื่องทีเดียว ลองดูตัวอย่าง ที่น่าประทับใจหน่อยนะครับ หัวข้อที่ 1 มติให้อเมริกา ให้การสนับสนุน ประธานาธิบดี และชาว Ukraine ในการสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในประเทศของตน…….. ซึ่งรวมถึงการมีนโยบายที่จะลดความสามารถของรัสเซีย ที่จะใช้การส่งออก และการค้าพลังงาน เป็นอาวุธเพื่อกดดันเศรษฐกิจและการเมือง และยุติการก้าวก่ายของรัสเซียในกิจการภายในของ Ukraine มติแบบนี้ ผมเป็นคุณพี่ปูติน ก็ได้แต่พูด ให้เกียรติเราเกินไปแล้ว เรามิบังอาจกล่าวอ้างเช่นนั้น ฮ่า ฮ่า หัวข้อที่ 10 มติเรียกร้องประธานาธิบดี จัดหาอาวุธ การบริการ รวมทั้งการฝึกอบรมที่จำเป็นแก่ Ukraine ในการปกป้องอาณาเขต และอธิปไตยของตนเอง แบบนี้ อเมริกาทำได้นะครับ อยากจะอุ้มชูใคร ให้อาวุธใคร หรือกระทืบใคร ทำได้ทั้งนั้นครับ ก็ยอมเขาเองนี่ครับ หัวข้อที่ 11 มติเรียกร้องให้อเมริกา จัดหาข่าวกรอง และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ให้ Ukraine เพื่อใช้ในการป้องกันอาณาเขตและอธิปไตยของประเทศตน แบบนี้ อเมริกาก็ไม่ผิดนะครับ เสือกกันได้ ทำแบบนี้มาเกือบทั้งโลกแล้ว แถม Ukraine ไปอีกประเทศ เป็นไรไป ไม่ทำให้เลวไปกว่าเดิมเท่าไหร่หรอกน่า หัวข้อที่ 13 มติยืนยันคำมั่นของอเมริกาต่อพันธะภายใต้กฏบัตร North Atlantic Treaty โดยเฉเพาะข้อ 5 รวมทั้งเรียกร้องถึงสมาชิกทั้งปวงด้วย เพื่อให้ความร่วมมือกันในการจัดส่งกองกำลังของตนเพื่อรักษาความมั่นคงเมื่อ มีจำเป็น มตินี้แปลว่า ลูกพี่อยากรบเมื่อไหร่ ส่งสัญญานไป ลูกหาบต้องมาครบ เข้าใจไหม หัวข้อที่ 17 มติให้ Ukraine, EU และประเทศในยุโรป สนับสนุนการ ริเริ่มใช้พลังงานหลากหลาย เพื่อลดความสามารถของรัสเซีย ที่จะนำการส่งพลังงานของตนมาเป็นเครื่องมือกดดันทางการเมืองและเศรษฐกืจต่อ ประเทศอื่นๆ… อีกละ มติแบบนี้ คุณพี่ปูตินก็ได้แต่อมยิ้ม ทำหน้าหล่อไปเท่านั้น ขอโทษไม่ตั้งใจเลย มันหล่อเอง ฮา ส่วน หัวข้อที่ 21 มติเรียกร้องให้รัสเซีย แสวงหาหนทาง สร้างสัมพันธ์กับอเมริกา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย บนพื้นฐานของการเคารพในอิสรภาพ และอธิปไตยของประเทศอื่น สิทธืในการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของประเทศเหล่านั้น รวมทั้งการมีสัมพันธไมตรีกับประเทศอื่น ข้อนี้ผมหมดปัญญา ไม่รู้จะสรรเสริญอย่างไร ให้สมกับการแสดงความใหญ่ล้นโลกของเจ้าของมติ แต่ยังไงก็สู้หัวข้อที่ 22 ไม่ได้ น่ารัก น่าชัง เหมือนโฆษณาของบริษัทจัดคู่นัด ที่ระบุให้มีการร่วมมือกันระหว่างชาวอเมริกาและชาวรัสเซีย เพื่อสร้างสัมพันธไมตรีที่ใกล้ชิด อืม อืย..เพื่อแสวงหา ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และสันติภาพระหว่างชาติด้วยกัน ยกตัวอย่างแค่นี้น่าจะพอ ขอโทษเถอะนะ ผมอ่านแล้ว ดูไม่สมราคารายการศึกท้าชิงแชมป์ เลย เหมือนจะหนักแน่น ก็แน่นจริงหรอก ตั้ง 36 ย่อหน้าการประณาม แน่นเต็มหน้ากระดาษ แต่ไม่หนักนะ แถมเบาจนลอยฟุ้ง จะขึ้นไปติดลมบนเอาด้วย ส่วนเรื่องความร้อนแรง ก็คงต้องโหมไฟกว่านี้อีกหลายท่อนฟืน เหมือน ฉากยังสร้างไม่เสร็จ สีที่ทาก็ยังไม่แห้ง แต่ไปรีบยกเอาเก้าอี้มาตั้งกลางโรง นั่งตีกลองโชว์ชาวบ้าน ตกลงอเมริกากำลังส่งสัญญาณอะไรกันแน่ !? สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 13 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Criminal IP เตรียมโชว์นวัตกรรม ASM และ CTI ที่ GovWare 2025 — ขยายพลัง AI ด้านความปลอดภัยสู่เวทีโลก”

    Criminal IP บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลกจากเกาหลีใต้ ประกาศเข้าร่วมงาน GovWare 2025 ซึ่งเป็นงานประชุมด้านไซเบอร์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย จัดขึ้นที่ Sands Expo ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 21–23 ตุลาคม 2025 โดยจะนำเสนอแพลตฟอร์มที่รวมเทคโนโลยี AI เข้ากับการจัดการพื้นผิวการโจมตี (ASM) และข่าวกรองภัยคุกคามไซเบอร์ (CTI)

    Criminal IP ใช้เทคโนโลยี AI ร่วมกับการเก็บข้อมูลแบบ OSINT (Open Source Intelligence) เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถตรวจจับทรัพย์สินภายนอกที่เปิดเผย และตอบสนองต่อภัยคุกคามที่เชื่อมโยงกับเวกเตอร์การโจมตีจริงได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีผู้ใช้งานในกว่า 150 ประเทศ และเป็นพันธมิตรกับบริษัทด้านความปลอดภัยกว่า 40 รายทั่วโลก เช่น Cisco, Tenable และ Snowflake

    ภายในงาน GovWare 2025 ทีมงานของ Criminal IP นำโดย CEO Byungtak Kang จะจัดเซสชันพิเศษและประชุมกับลูกค้าระดับนานาชาติ พร้อมกิจกรรมแจกของรางวัล รวมถึง “Passport Event” ที่จัดโดยผู้จัดงาน

    Criminal IP เข้าร่วม GovWare 2025 ที่สิงคโปร์
    จัดขึ้นวันที่ 21–23 ตุลาคม 2025 ที่ Sands Expo

    เตรียมโชว์แพลตฟอร์มด้าน ASM และ CTI ที่ใช้ AI และ OSINT
    ช่วยตรวจจับทรัพย์สินภายนอกและตอบสนองต่อภัยคุกคาม

    มีผู้ใช้งานในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก
    รวมถึงพันธมิตรด้านความปลอดภัยกว่า 40 ราย เช่น Cisco และ Tenable

    CEO Byungtak Kang จะเข้าร่วมงานพร้อมทีมธุรกิจระดับโลก
    จัดเซสชันพิเศษและประชุมกับลูกค้าระดับนานาชาติ

    มีบูธจัดแสดงที่ J30 พร้อมกิจกรรมแจกของรางวัล
    รวมถึง “Passport Event” ที่จัดโดยผู้จัดงาน

    Criminal IP เคยร่วมงาน RSAC, Infosecurity Europe และ Interop Tokyo
    สะท้อนการขยายตัวในตลาดต่างประเทศ เช่น ตะวันออกกลางและยุโรป

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การเปิดเผยทรัพย์สินภายนอกโดยไม่รู้ตัว
    อาจกลายเป็นช่องทางให้แฮ็กเกอร์โจมตีได้

    องค์กรที่ไม่มีระบบ ASM อาจไม่รู้ว่าตนเองมีจุดอ่อนภายนอก
    เช่น subdomain ที่ไม่ได้ใช้งานหรือ API ที่เปิดไว้

    การไม่ใช้ CTI ในการวิเคราะห์ภัยคุกคาม
    อาจทำให้ตอบสนองช้าและเกิดความเสียหายมากขึ้น

    การพึ่งพาเครื่องมือที่ไม่มีการอัปเดตข้อมูลแบบ real-time
    อาจทำให้ตรวจจับภัยคุกคามไม่ทันเวลา

    https://securityonline.info/criminal-ip-to-showcase-asm-and-cti-innovations-at-govware-2025-in-singapore/
    🌏 “Criminal IP เตรียมโชว์นวัตกรรม ASM และ CTI ที่ GovWare 2025 — ขยายพลัง AI ด้านความปลอดภัยสู่เวทีโลก” Criminal IP บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลกจากเกาหลีใต้ ประกาศเข้าร่วมงาน GovWare 2025 ซึ่งเป็นงานประชุมด้านไซเบอร์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย จัดขึ้นที่ Sands Expo ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 21–23 ตุลาคม 2025 โดยจะนำเสนอแพลตฟอร์มที่รวมเทคโนโลยี AI เข้ากับการจัดการพื้นผิวการโจมตี (ASM) และข่าวกรองภัยคุกคามไซเบอร์ (CTI) Criminal IP ใช้เทคโนโลยี AI ร่วมกับการเก็บข้อมูลแบบ OSINT (Open Source Intelligence) เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถตรวจจับทรัพย์สินภายนอกที่เปิดเผย และตอบสนองต่อภัยคุกคามที่เชื่อมโยงกับเวกเตอร์การโจมตีจริงได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีผู้ใช้งานในกว่า 150 ประเทศ และเป็นพันธมิตรกับบริษัทด้านความปลอดภัยกว่า 40 รายทั่วโลก เช่น Cisco, Tenable และ Snowflake ภายในงาน GovWare 2025 ทีมงานของ Criminal IP นำโดย CEO Byungtak Kang จะจัดเซสชันพิเศษและประชุมกับลูกค้าระดับนานาชาติ พร้อมกิจกรรมแจกของรางวัล รวมถึง “Passport Event” ที่จัดโดยผู้จัดงาน ✅ Criminal IP เข้าร่วม GovWare 2025 ที่สิงคโปร์ ➡️ จัดขึ้นวันที่ 21–23 ตุลาคม 2025 ที่ Sands Expo ✅ เตรียมโชว์แพลตฟอร์มด้าน ASM และ CTI ที่ใช้ AI และ OSINT ➡️ ช่วยตรวจจับทรัพย์สินภายนอกและตอบสนองต่อภัยคุกคาม ✅ มีผู้ใช้งานในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ➡️ รวมถึงพันธมิตรด้านความปลอดภัยกว่า 40 ราย เช่น Cisco และ Tenable ✅ CEO Byungtak Kang จะเข้าร่วมงานพร้อมทีมธุรกิจระดับโลก ➡️ จัดเซสชันพิเศษและประชุมกับลูกค้าระดับนานาชาติ ✅ มีบูธจัดแสดงที่ J30 พร้อมกิจกรรมแจกของรางวัล ➡️ รวมถึง “Passport Event” ที่จัดโดยผู้จัดงาน ✅ Criminal IP เคยร่วมงาน RSAC, Infosecurity Europe และ Interop Tokyo ➡️ สะท้อนการขยายตัวในตลาดต่างประเทศ เช่น ตะวันออกกลางและยุโรป ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ‼️ การเปิดเผยทรัพย์สินภายนอกโดยไม่รู้ตัว ⛔ อาจกลายเป็นช่องทางให้แฮ็กเกอร์โจมตีได้ ‼️ องค์กรที่ไม่มีระบบ ASM อาจไม่รู้ว่าตนเองมีจุดอ่อนภายนอก ⛔ เช่น subdomain ที่ไม่ได้ใช้งานหรือ API ที่เปิดไว้ ‼️ การไม่ใช้ CTI ในการวิเคราะห์ภัยคุกคาม ⛔ อาจทำให้ตอบสนองช้าและเกิดความเสียหายมากขึ้น ‼️ การพึ่งพาเครื่องมือที่ไม่มีการอัปเดตข้อมูลแบบ real-time ⛔ อาจทำให้ตรวจจับภัยคุกคามไม่ทันเวลา https://securityonline.info/criminal-ip-to-showcase-asm-and-cti-innovations-at-govware-2025-in-singapore/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 8
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 8

    ในการทำสงคราม สิ่งสำคัญที่จะตัดสินแพ้ชนะกันคือ ยุทธศาสตร์ของแต่ละฝ่าย ซึ่งเราคงไม่สามารถจะไปรู้ได้ แต่ในการวางยุทธศาสตร์ มันก็คล้ายกับการเขียนบทละครและกำกับการแสดง ซึ่งจะต้องคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ ยวข้อง เช่น ความสามารถของตัวละคร ฉากประกอบ งบประมาณ และองค์ประกอบอื่นๆ ที่จะเอามาใช้ในการแสดงว่า ปัจจัยที่มีอยู่เหมาะสมกับการวางยุทธศาสตร์นั้นๆแค่ไหน ยุทธศาสตร์จะดีเลิศอย่างไร แต่ถ้าปัจจัยมันไม่เอื้อ มันก็ไม่แน่ว่าจะชนะใส หรืออาจจะชนะ แต่แบบหืดขึ้นคอก็เป็นได้

    สำหรับคู่ชิงสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่เปิดหน้าเปิดตัวกันชัดเจนแล้วคือ อเมริกากับพวกฝ่ายหนึ่งและ รัสเซียกับพวก อีกฝ่ายหนึ่ง

    แม้เราจะไม่รู้ยุทธศาสตร์ หรือรู้ว่าบทละครชิงโลกของแต่ละฝ่าย ว่าจะเดินกันอย่างไร แต่มันก็พอมีหลายปัจจัยของแต่ละฝ่าย ที่เป็นส่วนสำคัญที่ฝ่ายวางยุทธศาสตร์เขาก็ต้องนำมาพิจารณา และเราก็น่าจะพอตามดูและประเมินได้ระดับหนึ่ง คือ

    – พันธมิตร
    – สภาพเศรษฐกิจ
    – กำลังอาวุธยุโธปกรณ์ ทั้งด้าน hardware และ software
    – กำลังพล ทั้งในระบบ และนอกระบบ

    สำหรับปัจจัยเกี่ยวกับพันธมิตร ตั้งแต่กลางปีเป็นต้นมา การแบ่งค่าย แบ่งข้าง โดยความสมัครใจ หรือโดยการหักแขนล๊อกคอก็ตาม ต่างทำกันอย่างชัดเจน แทบไม่เหลือให้เดามาก แต่ละฝายคงคาดการณ์รู้กันเองแล้วว่า เวลาออกโรงแสดงฉากใหญ่ น่าจะใกล้เข้ามาทุกที ถึงมีการแจกบทให้แสดงกันอย่างเปิดเผย

    ดูตัวอย่างเล็กๆน้อยๆจากการ ประชุม APEC เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2014 ที่แดนมังกร และการประชุม G20 ที่แดนจิงโจ้ ในกลางเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2014 นี่ก็แล้วกันเป็นการแสดงที่เห็นชัด ถึงการแบ่งพวกของ คู่ชิงศึกสงครามโลกชัดเจนดี
    ที่แดนมังกร ตัวละครเอก ผู้นำของแต่ละฝ่าย นายโอบามาและนายปูติน มีการเผชิญหน้ากันจังๆ แต่สื่อรายงานว่า นายโอบามา พยายามเลี่ยงนายปูตินอย่างเห็นชัด เลี่ยงทำไม ทำให้มองไม่เห็นความองอาจผ่าเผยของผู้นำฝ่ายอเมริกา แถมหน้าตาท่าทางของท่านผู้นำอเมริกา ก็เหมือนคนไปกินยาผิดมา ทั้งหมอง ทั้งหม่น ราศรีพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ไม่รู้หล่นไปไหนหมด

    ส่วนนายปูตินเดินอาดๆมาเข้าฉาก หลังจากแสดงบทสุภาพบุรุษคลุมไหล่คุณนายสีแล้ว ก็โดดมาเล่นบทตบไหล่ฝ่ายตรงข้าม เหมือนเป็นการทักทาย หรือท้าทาย ไม่แน่ใจ แต่นายโอบามาดันเอียงหลบ ยกแรกแสดงแบบนี้ นายปูตินก็น่าจะได้คะแนนนำ ส่วนนายโอบามา ถ้าพวกพันธมิตรลูกหาบ เห็นทั้ง โหงวเฮ้งและการแสดงเปิดตัวของลูกพี่แล้ว อาจเหนื่อยใจ แทน แทบไม่อยากไปเข้าฉากรบด้วย

    ส่วนมังกรเจ้าถิ่น ทำตัวเป็นเจ้าภาพที่ดูเหมือนกำลังดี แต่ตอนท้ายก็เปิดไต๋ แสดงตัวว่าเป็นคนรักเพื่อนแบบไม่กลัวถูกนินทา เวลาถ่ายรูปหมู่ จัดให้นายโอบามาไปยืนเสียไกลเกือบตกเฟรม ส่วนนายปูตินเอามายืนทำหน้าหล่ออยู่ติดกับเจ้าภาพ ให้มันรู้กันว่า คู่นี้เขารักจริง ไม่ทิ้งกันยามยาก

    ส่วนที่แดนจิงโจ้ ก็ตรงกันข้าม ทีใครทีมัน กลุ่มเจ้าภาพไม่เล่นบทลำเอียงเหมือนที่แดนมังกร มันไม่ถึงใจ แต่หยิบเอาบทผู้ดีรุมตีแขก (แถวบ้านผมเขาเรียกหมาหมู่ครับ) มา รับรองนายปูติน ไล่มาตั้งแต่เจ้าภาพ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย นายกรัฐมนตรีอังกฤษ แต่เยี่ยมสุดน่าจะได้รางวัลจากอเมริกา คือนายกรัฐมนตรีแคนาดาที่บอกว่า ผมคงต้องจับมือกับคุณกระมัง ปูติน แต่จะให้ดีรัสเซียควรจะออกไปจากไปUkraine ได้แล้ว กลุ่ม Anglo Saxon ช่วยกันแจกคำด่ารัสเซียเป็นของชำร่วย เป็นการต้อน มากกว่ารับนายปูติน

    ขนาดสื่อเรียกการประชุมนี้ว่า G20-1 เหมือนไม่เห็นหัวรัสเซียว่าเป็นสมาชิกด้วย

    นายปูตินก็ใช่เล่นที่ไหน ไม่ไปเข้าประชุมตัวเปล่า หอบเอาเรือรบบรรทุกอาวุธนิวเคลียร์ไปด้วย 4 ลำ อ้างว่า มีข่าวกรองมา ว่าจะมีการต้อนรับจัดเต็มแบบพิเศษจากใครก็ไม่รู้ จริงไม่จริงไม่รู้ แต่เรื่องแบบนี้ประมาทไม่ได้ เอาชื่อไปทิ้งแถวแดนจิงโจ้คงไม่เท่ห์นัก ยังไม่ได้เริ่มเล่นบทพระเอกในสงครามชิงโลกกันเลย

    แต่ดูๆไปแล้ว เหมือนนายปูตินตั้งใจยียวน ก๊วน อเมริกากับพวกมากกว่า นายปูตินน่าจะกำลังส่งสัญญาณว่า ไม่ใช่แค่พร้อมสู้กับการรุมกินโต๊ะของอเมริกาและพวกเท่านั้นนะ เข้าใจไหม…!? มันเป็นการยกระดับการส่งสัญญาณของรัสเซีย !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    3 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 8 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 8 ในการทำสงคราม สิ่งสำคัญที่จะตัดสินแพ้ชนะกันคือ ยุทธศาสตร์ของแต่ละฝ่าย ซึ่งเราคงไม่สามารถจะไปรู้ได้ แต่ในการวางยุทธศาสตร์ มันก็คล้ายกับการเขียนบทละครและกำกับการแสดง ซึ่งจะต้องคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ ยวข้อง เช่น ความสามารถของตัวละคร ฉากประกอบ งบประมาณ และองค์ประกอบอื่นๆ ที่จะเอามาใช้ในการแสดงว่า ปัจจัยที่มีอยู่เหมาะสมกับการวางยุทธศาสตร์นั้นๆแค่ไหน ยุทธศาสตร์จะดีเลิศอย่างไร แต่ถ้าปัจจัยมันไม่เอื้อ มันก็ไม่แน่ว่าจะชนะใส หรืออาจจะชนะ แต่แบบหืดขึ้นคอก็เป็นได้ สำหรับคู่ชิงสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่เปิดหน้าเปิดตัวกันชัดเจนแล้วคือ อเมริกากับพวกฝ่ายหนึ่งและ รัสเซียกับพวก อีกฝ่ายหนึ่ง แม้เราจะไม่รู้ยุทธศาสตร์ หรือรู้ว่าบทละครชิงโลกของแต่ละฝ่าย ว่าจะเดินกันอย่างไร แต่มันก็พอมีหลายปัจจัยของแต่ละฝ่าย ที่เป็นส่วนสำคัญที่ฝ่ายวางยุทธศาสตร์เขาก็ต้องนำมาพิจารณา และเราก็น่าจะพอตามดูและประเมินได้ระดับหนึ่ง คือ – พันธมิตร – สภาพเศรษฐกิจ – กำลังอาวุธยุโธปกรณ์ ทั้งด้าน hardware และ software – กำลังพล ทั้งในระบบ และนอกระบบ สำหรับปัจจัยเกี่ยวกับพันธมิตร ตั้งแต่กลางปีเป็นต้นมา การแบ่งค่าย แบ่งข้าง โดยความสมัครใจ หรือโดยการหักแขนล๊อกคอก็ตาม ต่างทำกันอย่างชัดเจน แทบไม่เหลือให้เดามาก แต่ละฝายคงคาดการณ์รู้กันเองแล้วว่า เวลาออกโรงแสดงฉากใหญ่ น่าจะใกล้เข้ามาทุกที ถึงมีการแจกบทให้แสดงกันอย่างเปิดเผย ดูตัวอย่างเล็กๆน้อยๆจากการ ประชุม APEC เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2014 ที่แดนมังกร และการประชุม G20 ที่แดนจิงโจ้ ในกลางเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2014 นี่ก็แล้วกันเป็นการแสดงที่เห็นชัด ถึงการแบ่งพวกของ คู่ชิงศึกสงครามโลกชัดเจนดี ที่แดนมังกร ตัวละครเอก ผู้นำของแต่ละฝ่าย นายโอบามาและนายปูติน มีการเผชิญหน้ากันจังๆ แต่สื่อรายงานว่า นายโอบามา พยายามเลี่ยงนายปูตินอย่างเห็นชัด เลี่ยงทำไม ทำให้มองไม่เห็นความองอาจผ่าเผยของผู้นำฝ่ายอเมริกา แถมหน้าตาท่าทางของท่านผู้นำอเมริกา ก็เหมือนคนไปกินยาผิดมา ทั้งหมอง ทั้งหม่น ราศรีพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ไม่รู้หล่นไปไหนหมด ส่วนนายปูตินเดินอาดๆมาเข้าฉาก หลังจากแสดงบทสุภาพบุรุษคลุมไหล่คุณนายสีแล้ว ก็โดดมาเล่นบทตบไหล่ฝ่ายตรงข้าม เหมือนเป็นการทักทาย หรือท้าทาย ไม่แน่ใจ แต่นายโอบามาดันเอียงหลบ ยกแรกแสดงแบบนี้ นายปูตินก็น่าจะได้คะแนนนำ ส่วนนายโอบามา ถ้าพวกพันธมิตรลูกหาบ เห็นทั้ง โหงวเฮ้งและการแสดงเปิดตัวของลูกพี่แล้ว อาจเหนื่อยใจ แทน แทบไม่อยากไปเข้าฉากรบด้วย ส่วนมังกรเจ้าถิ่น ทำตัวเป็นเจ้าภาพที่ดูเหมือนกำลังดี แต่ตอนท้ายก็เปิดไต๋ แสดงตัวว่าเป็นคนรักเพื่อนแบบไม่กลัวถูกนินทา เวลาถ่ายรูปหมู่ จัดให้นายโอบามาไปยืนเสียไกลเกือบตกเฟรม ส่วนนายปูตินเอามายืนทำหน้าหล่ออยู่ติดกับเจ้าภาพ ให้มันรู้กันว่า คู่นี้เขารักจริง ไม่ทิ้งกันยามยาก ส่วนที่แดนจิงโจ้ ก็ตรงกันข้าม ทีใครทีมัน กลุ่มเจ้าภาพไม่เล่นบทลำเอียงเหมือนที่แดนมังกร มันไม่ถึงใจ แต่หยิบเอาบทผู้ดีรุมตีแขก (แถวบ้านผมเขาเรียกหมาหมู่ครับ) มา รับรองนายปูติน ไล่มาตั้งแต่เจ้าภาพ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย นายกรัฐมนตรีอังกฤษ แต่เยี่ยมสุดน่าจะได้รางวัลจากอเมริกา คือนายกรัฐมนตรีแคนาดาที่บอกว่า ผมคงต้องจับมือกับคุณกระมัง ปูติน แต่จะให้ดีรัสเซียควรจะออกไปจากไปUkraine ได้แล้ว กลุ่ม Anglo Saxon ช่วยกันแจกคำด่ารัสเซียเป็นของชำร่วย เป็นการต้อน มากกว่ารับนายปูติน ขนาดสื่อเรียกการประชุมนี้ว่า G20-1 เหมือนไม่เห็นหัวรัสเซียว่าเป็นสมาชิกด้วย นายปูตินก็ใช่เล่นที่ไหน ไม่ไปเข้าประชุมตัวเปล่า หอบเอาเรือรบบรรทุกอาวุธนิวเคลียร์ไปด้วย 4 ลำ อ้างว่า มีข่าวกรองมา ว่าจะมีการต้อนรับจัดเต็มแบบพิเศษจากใครก็ไม่รู้ จริงไม่จริงไม่รู้ แต่เรื่องแบบนี้ประมาทไม่ได้ เอาชื่อไปทิ้งแถวแดนจิงโจ้คงไม่เท่ห์นัก ยังไม่ได้เริ่มเล่นบทพระเอกในสงครามชิงโลกกันเลย แต่ดูๆไปแล้ว เหมือนนายปูตินตั้งใจยียวน ก๊วน อเมริกากับพวกมากกว่า นายปูตินน่าจะกำลังส่งสัญญาณว่า ไม่ใช่แค่พร้อมสู้กับการรุมกินโต๊ะของอเมริกาและพวกเท่านั้นนะ เข้าใจไหม…!? มันเป็นการยกระดับการส่งสัญญาณของรัสเซีย ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 3 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
    ตอนที่ 2
ก่อน หน้าวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.2014 อเมริกาบอกยังไม่มียุทธศาสตร์ เกี่ยวกับตะวันออกกลางประกาศอ อกมาให้โลกรู้ แต่โลกก็รู้ว่า อเมริกากำลังอึดอัดเต็มแก่ บรรดาถังความคิด think tank ต่างๆ ออกมาบอกว่า ขณะนี้อเมริกาใช้นโยบาย “Right Sizing” ขนาดกำลังดี คือกระบวนท่าที่อเมริกาใช้เกี่ยวกับตะวันออกกลาง พูดแบบนี้ชาวบ้านที่ไม่ใช่ตาสีตาสาก็เดาออก ว่าอเมริกากำลังอาการหนัก กระเป๋าแห้ง และน่าจะยังรักษาแผล จากการไปถล่มอิรักและล้มละลายกลับมาไม่หายดี มันเป็นการล้มละลายทางสังคม ทางการเมือง ทางการเงิน และทางยุทธศาสตร์ ครบทุกประการ แผลนี้น่าจะใหญ่และลึก ถึงขนาดคุณโอบามา หน้าดำ โทรม ผมหงอกโผล่กระจายเต็มหัว หมดราศีคนเป็นประธานาธิบดีหมายเลขหนึ่งของโลก เมื่อถูกถามว่าเรื่องซีเรียจะเอายังไง 3 ปีมาแล้วยังตีกรรเชียงไม่เลิก เรื่องซีเรียยังจัดการไม่ได้ เรื่องอิรักรอบสองกำลังจะโผล่มา คุณโอบามาแทบจะอยากกลับไปนุ่งโสร่งนอนเล่นที่อินโดนีเซียเหมือนตอนเป็นรุ่น กะทง
    รัฐบาล โอบามาถอนทหารประมาณ 100,000 นาย ออกจากอิรัก ลดขนาดกองกำลังในอาฟกานิสถาน เป็นการใช้ยุทธศาสตร์ตรงกันข้ามกับคาวบอย Bush ทั้งๆที่รู้ว่าขณะนี้ มีเจ้าพ่อทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ อย่างคุณพี่ปูตินกับอาเฮียกระเป๋าหนัก กำลังยืนจ้องดูตาเขม็งอยู่ แม้จะยังไม่ขยับหมาก แต่อเมริกาอย่าได้เผลอเชียว
    การเดินหมาก ขี่ช้างจับตั้กกะแตนที่อิรัก ของสายเหยี่ยวคาวบอย Bush ทำให้อเมริกาต้องกลับมาใช้นโยบาย Right Sizing บวกกับนโยบาย ให้คนในบ้านเขาจัดการกันเอง ตามที่เรายุ แผน Arab Spring จึงเกิดขึ้น แต่ใช่ว่า คาวบอย Bush จะพลาดรายเดียว รัฐบาล Obama ก็พลาด เช่นเดียวกัน แม้คนละแบบ แต่ผลลัพธ์สาหัสไม่แพ้กัน Arab Spring ทำให้เกิดกลุ่มต่อต้านอเมริกา และตะวันตกมากขึ้น และ Arab Spring ทำให้เกิดผึ้งแตกรัง ที่อิยิปต์ และ ลิเบีย และที่กำลังตามมา คือ ซีเรีย และ อิรัก อาจกลายเป็นสนามฆ่าที่โหดน่ากลัว
    และถึงบัดนี้ แม้คนในบ้านอเมริกาจะออกมาส่งเสียงว่า เรื่องตะวันออกกลางให้คนตะวันออกกลางจัดการกันเอง แต่ดูเหมือนโอบามาจะน้ำท่วมปาก หรือเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อคนตะวันออกกลาง อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง เป็นค่ายที่สนับสนุนอเมริกา เรียกร้องให้อเมริกาจัดการ เรื่องซีเรียกับอิรักให้ “เรียบร้อย” เรียบร้อยแบบไหนล่ะ ก็แบบที่คาวบอย Bush เคยทำไงล่ะ ถล่มมันให้เหี้ยนเลย
    เสี่ย ใหญ่ซาอุดิ ยื่นรายการต่อว่า ยาวเป็นหางว่าว ตะแคงข้างส่งให้ลูกพี่ด้วยความขัดใจ เรื่องอะไรบ้าง ก็ทุกเรื่องที่เล่ามาข้างต้นนั่นแหละ เสี่ยใหญ่ไม่ถูกใจเลยสักเรื่อง อเมริกายังจะเดินหน้าใช้ Right Sizing ขนาดกำลังพอดีอยู่อีกหรือ อย่างนี้พวกเราก็ม่อยกระรอกแหลกเกลื่อนกันหมด
    อเมริกาคิดหนัก ไม่ใช่ห่วงเสี่ยใหญ่ซาอุดิกับพวกหรอก อเมริกาห่วงไอ้ที่อยู่ใต้ดินของพวกเสี่ยใหญ่ซาอุดิกับพวกต่างหาก เรื่องลามมาถึงตรงนี้ ไม่ยกทัพกรีฑาไปกวาดทะเลทรายอีกรอบ ก็คงมีหวังเสร็จกลุ่ม เสี่ยนิวเคลียร์กับพวก และเพื่อนตัวใหญ่ที่กอดอกดูอยู่เงียบๆ อีก 2 ราย คุณพี่ปูตินและอาเฮีย จะปล่อยให้โอกาสทอง ลอยผ่านหน้าไปเฉยๆอย่างงั้นหรือ แต่ถ้าจะรบ อเมริกาจะไปแบบ Right Sizing ก็นอนอยู่บ้าน กอดคุณนายมิเชล (ถ้าคุณนายแกยอมนะ) ดีกว่า เพราะมันสู้เขาไม่ได้แน่ ถ้าจะไป มันต้องให้ใหญ่โต อลังการ กระเทือนโลก สมฐานะ ของพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก แล้วจะไปเดี่ยวๆได้อย่างอย่างไร เรามันคนใหญ่คนโต จะไปไหนที่ยังต้องมีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง บางทีมากกว่าประชาชนที่ถูกเกณท์มาคอยรับซะอีก นี่จะยกทัพไปชิงแเดน อาจยาวไปถึงชิงโลก แบบนี้ต้องสั่งให้พรรคพวกและลูกกระเป๋ง ไม่ว่า หัวทอง หัวดำ หัวด่าง หัวล้าน ขานชื่อเอาไปให้ครบ เอ้อ เขียนแล้วเหนื่อยใจแทน
    แล้วก็เหมือนฉากหนัง Hollywood สร้าง ทยอยออกมาแสดงให้ดูกัน
    เมื่อ วันที่ 12 ,13 พฤษภาคม ค.ศ.2014 สถาบันข่าวกรองเกี่ยวกับความมั่นคงของแคนาดา Canadian Security Intelligence Service (CSIS) หน่วยงานของรัฐบาลแคนาดา จัดรายการสัมมนาใหญ่เกี่ยวกับตะวัน ออกกลาง โดยบอกว่า เป็นการจัดตามการกำกับของ Chatham House ถ้ายังจำกันได้ Chatham House เป็น think tank ที่มีอิทธิพลสูงสุดของอังกฤษ ที่เกิดคู่กับ Council for Foreign Relation (CFR) ของอเมริกา เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1919
    หลัง จากการสัมมนา CSIS แคนาดา เพิ่งออกรายงานเผยแพร่เมื่อกลางเดือนสิงหาคมนี้เอง กระดาษพิมพ์ยังร้อนอยู่เลย ยาวประมาณ 100 หน้า ส่วนที่วิเคราะห์อื่นๆ ส่วนใหญ่ เหมือนที่ค่ายต่างๆวิเคราะห์กัน ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ที่น่าสนใจคือ รายงานนี้ระบุว่า ขบวนการ Al-Qaeda ยังไม่ตาย นอกจากยังไม่ตายแล้ว ยังฟื้นคืนชีพอย่างน่าทึ่ง !! ว้าว มาแล้ว หนังตื่นเต้น
    ตลอดช่วงปี ค.ศ.2009-2012 อเมริกาบอกว่าใช้ drone ถล่มฐานที่มั่นของกลุ่ม Al-Qaeda จนทำให้ระดับหัวหน้าของขบวนการตายเกลื่อน รวมทั้งลูกน้องระดับสำคัญอีกก ว่า 200 นาย ทำให้ขบวนการแตกกระเจิง ที่ไหนได้ ถึงถูกตัดหัวทิ้ง แต่ตัวยังอยู่ พวกที่เหลือ ค่อยๆย้ายฐาน แอบไปซ่อนตัว กระจายอยู่บริเวณอาฟริกาเหนือ อาฟริกาตะวันตก Sinai และที่ Levant
    Levant คือส่วนที่ชาวคริสต์เคยอยู่ในออตโตมาน ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณที่ประกอบด้วย ไซปรัส อิสราเอล จอร์แดน เลบานอน ปาเลสไตน์ ซีเรีย และทางใต้ของตุรกี อืม! แดนเดือดเกือบทั้งนั้น
    ซีเรีย กำลังเป็นหัวหาดใหม่ของ Al-Qaeda เพื่อบุกกลับเข้าไปในตะวันออกกลาง ซีเรีย กลายเป็นแดนเดือดเหมือนที่อาฟกานิสถานเคยเป็นเมื่อ 30 ปีก่อน เป็นแม่เหล็กดึงดูด ให้พวกนักสู้หัวเห็ดกระหายเลือดทั้งหลาย หลั่งไหลเข้าไปจับจองพื้นที่ เพื่อสำแดงอิทธิฤทธิ์
    แม้จะมี ข่าวว่ากลุ่ม Al-Qaeda เอง ก็ไม่ได้ลงรอยกันนัก ระหว่างกลุ่มที่เป็นซีอ่ะห์กับสุนหนี่ แตกแยกเป็นกลุ่ม Jabhat al-Nusra และ Islamic State of Iraq and the Levant (ISIL) และกลุ่มเดิมคือพวกที่อยู่ในความดูแลของ Aymarn al-Zawahiri ซึ่งขึ้นมาเป็นหัวหน้าขบวนการแทนหลัง Bin Laden ถูกเก็บ แต่การแตกแยก กลับกลายเป็นการแข่งขัน สร้างความรุนแรงให้เพิ่มขึ้น
    นอกจากนี้ รายงานยังบอกว่า ขบวนการ Al-Qaeda ได้เริ่มมีการแตกหน่อรับสมาชิกเพิ่ม โดยเล็งไปที่กลุ่มชนชั้นกลางและ ชั้นสูงในปากีสถาน โดนเฉพาะพวกมีปริญญา วิศวฯ และวิทยาศาสตร์ Ahmad Faruq, Asim Lumar และ Abu Zar Assami ซึ่งเป็นชาวปากีสถาน ได้ก้าวขึ้นเป็นระดับหัวหน้าของขบวนการแล้ว พวกเขาคิดจะทำอะไรกันนะ
    รายงาน บอกว่าขณะนี้แม้ Al-Qaeda จะมีฐานใหม่ อยู่ที่ตะวันออกกลาง (Levant) และฐานที่เอเซียใต้ (South Asian) แต่เป้าหมายเดิม ที่จะทำลายล้างอเมริกาและตะวัน ตกไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ว่า การที่ Al-Qaeda สร้างฉากตื่นเต้นขึ้นที่ North Africa และ Levant เป็นการออกบัตรเชิญ พวกหนุ่มห้าวทั้งหลายให้มาร่วม รายการ ขณะนี้มีหนุ่มห้าวประมาณ 8,000 คน จากอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เยอรมัน และสวีเดน เข้ามาร่วมขบวนการด้วย และเป็นไปได้ว่าพวกหนุ่มห้าวนี้แหละ เมื่อกลับไปบ้าน ก็จะสร้างแผน เตรียมการในการก่อการร้ายในประเทศที่ตนเองพำนักอยู่ เพราะกลุ่มหนุ่มห้าว 8,000 คนนี้ สามารถเดินทางเข้าออกผ่านประเทศในสหภาพยุโรป และอเมริกาได้ อย่างยากต่อการตรวจสอบของฝ่ายความมั่นคง
    นี่! อย่างนี้ต้องปรบมือให้ ดังๆ ถือว่าเป็นการออกรายงาน ที่ใช้เรื่องและเวลาที่เหมาะสม แก่ยุทธศาสตร์ เพื่อการเปลี่ยนนโยบาย Right Sizing ยิ่งนัก แบบนี้ทั้งคนอเมริกา คนยุโรป ไม่แคล้วหน้าซีด หูตก หางจุก จมูกชื้น กันหมด ไม่มีทางเลือกอื่น จำเป็นต้องให้รัฐบาลโอบามา เดินหน้าถล่มซีเรียลูกเดียว แถมย้อนหลังมาแถมอิรัก และบวกอิหร่านรายสำคัญ หมากจริงด้วย ไม่งั้นอาจโดนขบวนการ Al-Qaeda ถล่มตึกอีกรอบ ถ้าเกิดจริง รอบนี้น่าเป็นห่วง กลัวหวยจะออกที่ทำเนียบขาว และรัฐสภาอังกฤษเหลือเกินครับ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ตอนที่ 2
ก่อน หน้าวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.2014 อเมริกาบอกยังไม่มียุทธศาสตร์ เกี่ยวกับตะวันออกกลางประกาศอ อกมาให้โลกรู้ แต่โลกก็รู้ว่า อเมริกากำลังอึดอัดเต็มแก่ บรรดาถังความคิด think tank ต่างๆ ออกมาบอกว่า ขณะนี้อเมริกาใช้นโยบาย “Right Sizing” ขนาดกำลังดี คือกระบวนท่าที่อเมริกาใช้เกี่ยวกับตะวันออกกลาง พูดแบบนี้ชาวบ้านที่ไม่ใช่ตาสีตาสาก็เดาออก ว่าอเมริกากำลังอาการหนัก กระเป๋าแห้ง และน่าจะยังรักษาแผล จากการไปถล่มอิรักและล้มละลายกลับมาไม่หายดี มันเป็นการล้มละลายทางสังคม ทางการเมือง ทางการเงิน และทางยุทธศาสตร์ ครบทุกประการ แผลนี้น่าจะใหญ่และลึก ถึงขนาดคุณโอบามา หน้าดำ โทรม ผมหงอกโผล่กระจายเต็มหัว หมดราศีคนเป็นประธานาธิบดีหมายเลขหนึ่งของโลก เมื่อถูกถามว่าเรื่องซีเรียจะเอายังไง 3 ปีมาแล้วยังตีกรรเชียงไม่เลิก เรื่องซีเรียยังจัดการไม่ได้ เรื่องอิรักรอบสองกำลังจะโผล่มา คุณโอบามาแทบจะอยากกลับไปนุ่งโสร่งนอนเล่นที่อินโดนีเซียเหมือนตอนเป็นรุ่น กะทง รัฐบาล โอบามาถอนทหารประมาณ 100,000 นาย ออกจากอิรัก ลดขนาดกองกำลังในอาฟกานิสถาน เป็นการใช้ยุทธศาสตร์ตรงกันข้ามกับคาวบอย Bush ทั้งๆที่รู้ว่าขณะนี้ มีเจ้าพ่อทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ อย่างคุณพี่ปูตินกับอาเฮียกระเป๋าหนัก กำลังยืนจ้องดูตาเขม็งอยู่ แม้จะยังไม่ขยับหมาก แต่อเมริกาอย่าได้เผลอเชียว การเดินหมาก ขี่ช้างจับตั้กกะแตนที่อิรัก ของสายเหยี่ยวคาวบอย Bush ทำให้อเมริกาต้องกลับมาใช้นโยบาย Right Sizing บวกกับนโยบาย ให้คนในบ้านเขาจัดการกันเอง ตามที่เรายุ แผน Arab Spring จึงเกิดขึ้น แต่ใช่ว่า คาวบอย Bush จะพลาดรายเดียว รัฐบาล Obama ก็พลาด เช่นเดียวกัน แม้คนละแบบ แต่ผลลัพธ์สาหัสไม่แพ้กัน Arab Spring ทำให้เกิดกลุ่มต่อต้านอเมริกา และตะวันตกมากขึ้น และ Arab Spring ทำให้เกิดผึ้งแตกรัง ที่อิยิปต์ และ ลิเบีย และที่กำลังตามมา คือ ซีเรีย และ อิรัก อาจกลายเป็นสนามฆ่าที่โหดน่ากลัว และถึงบัดนี้ แม้คนในบ้านอเมริกาจะออกมาส่งเสียงว่า เรื่องตะวันออกกลางให้คนตะวันออกกลางจัดการกันเอง แต่ดูเหมือนโอบามาจะน้ำท่วมปาก หรือเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อคนตะวันออกกลาง อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง เป็นค่ายที่สนับสนุนอเมริกา เรียกร้องให้อเมริกาจัดการ เรื่องซีเรียกับอิรักให้ “เรียบร้อย” เรียบร้อยแบบไหนล่ะ ก็แบบที่คาวบอย Bush เคยทำไงล่ะ ถล่มมันให้เหี้ยนเลย เสี่ย ใหญ่ซาอุดิ ยื่นรายการต่อว่า ยาวเป็นหางว่าว ตะแคงข้างส่งให้ลูกพี่ด้วยความขัดใจ เรื่องอะไรบ้าง ก็ทุกเรื่องที่เล่ามาข้างต้นนั่นแหละ เสี่ยใหญ่ไม่ถูกใจเลยสักเรื่อง อเมริกายังจะเดินหน้าใช้ Right Sizing ขนาดกำลังพอดีอยู่อีกหรือ อย่างนี้พวกเราก็ม่อยกระรอกแหลกเกลื่อนกันหมด อเมริกาคิดหนัก ไม่ใช่ห่วงเสี่ยใหญ่ซาอุดิกับพวกหรอก อเมริกาห่วงไอ้ที่อยู่ใต้ดินของพวกเสี่ยใหญ่ซาอุดิกับพวกต่างหาก เรื่องลามมาถึงตรงนี้ ไม่ยกทัพกรีฑาไปกวาดทะเลทรายอีกรอบ ก็คงมีหวังเสร็จกลุ่ม เสี่ยนิวเคลียร์กับพวก และเพื่อนตัวใหญ่ที่กอดอกดูอยู่เงียบๆ อีก 2 ราย คุณพี่ปูตินและอาเฮีย จะปล่อยให้โอกาสทอง ลอยผ่านหน้าไปเฉยๆอย่างงั้นหรือ แต่ถ้าจะรบ อเมริกาจะไปแบบ Right Sizing ก็นอนอยู่บ้าน กอดคุณนายมิเชล (ถ้าคุณนายแกยอมนะ) ดีกว่า เพราะมันสู้เขาไม่ได้แน่ ถ้าจะไป มันต้องให้ใหญ่โต อลังการ กระเทือนโลก สมฐานะ ของพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก แล้วจะไปเดี่ยวๆได้อย่างอย่างไร เรามันคนใหญ่คนโต จะไปไหนที่ยังต้องมีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง บางทีมากกว่าประชาชนที่ถูกเกณท์มาคอยรับซะอีก นี่จะยกทัพไปชิงแเดน อาจยาวไปถึงชิงโลก แบบนี้ต้องสั่งให้พรรคพวกและลูกกระเป๋ง ไม่ว่า หัวทอง หัวดำ หัวด่าง หัวล้าน ขานชื่อเอาไปให้ครบ เอ้อ เขียนแล้วเหนื่อยใจแทน แล้วก็เหมือนฉากหนัง Hollywood สร้าง ทยอยออกมาแสดงให้ดูกัน เมื่อ วันที่ 12 ,13 พฤษภาคม ค.ศ.2014 สถาบันข่าวกรองเกี่ยวกับความมั่นคงของแคนาดา Canadian Security Intelligence Service (CSIS) หน่วยงานของรัฐบาลแคนาดา จัดรายการสัมมนาใหญ่เกี่ยวกับตะวัน ออกกลาง โดยบอกว่า เป็นการจัดตามการกำกับของ Chatham House ถ้ายังจำกันได้ Chatham House เป็น think tank ที่มีอิทธิพลสูงสุดของอังกฤษ ที่เกิดคู่กับ Council for Foreign Relation (CFR) ของอเมริกา เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1919 หลัง จากการสัมมนา CSIS แคนาดา เพิ่งออกรายงานเผยแพร่เมื่อกลางเดือนสิงหาคมนี้เอง กระดาษพิมพ์ยังร้อนอยู่เลย ยาวประมาณ 100 หน้า ส่วนที่วิเคราะห์อื่นๆ ส่วนใหญ่ เหมือนที่ค่ายต่างๆวิเคราะห์กัน ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ที่น่าสนใจคือ รายงานนี้ระบุว่า ขบวนการ Al-Qaeda ยังไม่ตาย นอกจากยังไม่ตายแล้ว ยังฟื้นคืนชีพอย่างน่าทึ่ง !! ว้าว มาแล้ว หนังตื่นเต้น ตลอดช่วงปี ค.ศ.2009-2012 อเมริกาบอกว่าใช้ drone ถล่มฐานที่มั่นของกลุ่ม Al-Qaeda จนทำให้ระดับหัวหน้าของขบวนการตายเกลื่อน รวมทั้งลูกน้องระดับสำคัญอีกก ว่า 200 นาย ทำให้ขบวนการแตกกระเจิง ที่ไหนได้ ถึงถูกตัดหัวทิ้ง แต่ตัวยังอยู่ พวกที่เหลือ ค่อยๆย้ายฐาน แอบไปซ่อนตัว กระจายอยู่บริเวณอาฟริกาเหนือ อาฟริกาตะวันตก Sinai และที่ Levant Levant คือส่วนที่ชาวคริสต์เคยอยู่ในออตโตมาน ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณที่ประกอบด้วย ไซปรัส อิสราเอล จอร์แดน เลบานอน ปาเลสไตน์ ซีเรีย และทางใต้ของตุรกี อืม! แดนเดือดเกือบทั้งนั้น ซีเรีย กำลังเป็นหัวหาดใหม่ของ Al-Qaeda เพื่อบุกกลับเข้าไปในตะวันออกกลาง ซีเรีย กลายเป็นแดนเดือดเหมือนที่อาฟกานิสถานเคยเป็นเมื่อ 30 ปีก่อน เป็นแม่เหล็กดึงดูด ให้พวกนักสู้หัวเห็ดกระหายเลือดทั้งหลาย หลั่งไหลเข้าไปจับจองพื้นที่ เพื่อสำแดงอิทธิฤทธิ์ แม้จะมี ข่าวว่ากลุ่ม Al-Qaeda เอง ก็ไม่ได้ลงรอยกันนัก ระหว่างกลุ่มที่เป็นซีอ่ะห์กับสุนหนี่ แตกแยกเป็นกลุ่ม Jabhat al-Nusra และ Islamic State of Iraq and the Levant (ISIL) และกลุ่มเดิมคือพวกที่อยู่ในความดูแลของ Aymarn al-Zawahiri ซึ่งขึ้นมาเป็นหัวหน้าขบวนการแทนหลัง Bin Laden ถูกเก็บ แต่การแตกแยก กลับกลายเป็นการแข่งขัน สร้างความรุนแรงให้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ รายงานยังบอกว่า ขบวนการ Al-Qaeda ได้เริ่มมีการแตกหน่อรับสมาชิกเพิ่ม โดยเล็งไปที่กลุ่มชนชั้นกลางและ ชั้นสูงในปากีสถาน โดนเฉพาะพวกมีปริญญา วิศวฯ และวิทยาศาสตร์ Ahmad Faruq, Asim Lumar และ Abu Zar Assami ซึ่งเป็นชาวปากีสถาน ได้ก้าวขึ้นเป็นระดับหัวหน้าของขบวนการแล้ว พวกเขาคิดจะทำอะไรกันนะ รายงาน บอกว่าขณะนี้แม้ Al-Qaeda จะมีฐานใหม่ อยู่ที่ตะวันออกกลาง (Levant) และฐานที่เอเซียใต้ (South Asian) แต่เป้าหมายเดิม ที่จะทำลายล้างอเมริกาและตะวัน ตกไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ว่า การที่ Al-Qaeda สร้างฉากตื่นเต้นขึ้นที่ North Africa และ Levant เป็นการออกบัตรเชิญ พวกหนุ่มห้าวทั้งหลายให้มาร่วม รายการ ขณะนี้มีหนุ่มห้าวประมาณ 8,000 คน จากอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เยอรมัน และสวีเดน เข้ามาร่วมขบวนการด้วย และเป็นไปได้ว่าพวกหนุ่มห้าวนี้แหละ เมื่อกลับไปบ้าน ก็จะสร้างแผน เตรียมการในการก่อการร้ายในประเทศที่ตนเองพำนักอยู่ เพราะกลุ่มหนุ่มห้าว 8,000 คนนี้ สามารถเดินทางเข้าออกผ่านประเทศในสหภาพยุโรป และอเมริกาได้ อย่างยากต่อการตรวจสอบของฝ่ายความมั่นคง นี่! อย่างนี้ต้องปรบมือให้ ดังๆ ถือว่าเป็นการออกรายงาน ที่ใช้เรื่องและเวลาที่เหมาะสม แก่ยุทธศาสตร์ เพื่อการเปลี่ยนนโยบาย Right Sizing ยิ่งนัก แบบนี้ทั้งคนอเมริกา คนยุโรป ไม่แคล้วหน้าซีด หูตก หางจุก จมูกชื้น กันหมด ไม่มีทางเลือกอื่น จำเป็นต้องให้รัฐบาลโอบามา เดินหน้าถล่มซีเรียลูกเดียว แถมย้อนหลังมาแถมอิรัก และบวกอิหร่านรายสำคัญ หมากจริงด้วย ไม่งั้นอาจโดนขบวนการ Al-Qaeda ถล่มตึกอีกรอบ ถ้าเกิดจริง รอบนี้น่าเป็นห่วง กลัวหวยจะออกที่ทำเนียบขาว และรัฐสภาอังกฤษเหลือเกินครับ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
    ตอนที่ 1
ตะวัน ออกกลาง อยู่กลางแดด แต่เหมือนแดนสนธยา เรื่องราวของคนกลางแดดน่าพิศวง ชวนงง ไม่ง่ายสำหรับคนนอกแดดจะเข้าใจ โดยเฉพาะพวกฝรั่งตะวันตกที่เข้าไปยึดครองครอบงำ ถึงขนาดมีการพูดถึงชาวตะวันออกกลางว่า มิตรภาพของพวกเขามีไว้ให้เช่า (ชั่วคราว) แต่ไม่ได้มีไว้ขาย (ถาวร) แม้จะเป็นชาวทะเลทรายด้วยกัน แต่ความต่างเผ่า ต่างพันธุ์ ต่างนิกาย ต่างประเพณี ทำให้วิธีคิด วิธีดำเนินชีวิต และการเดินนโยบายประเทศของพวกเขา แตกต่างกันอย่างเหลือเชื่อ
    ความแตกต่างของชาวตะวันออกกลาง มีมานานแล้ว แต่ปัจจุบัน ความแตกต่างดูเหมือนจะกลายเป็นความแตกแยก แบ่งกันเห็นชัดเป็น 2 ค่าย ค่ายหนึ่งนิยมและนอนนิ่ง อยู่ในอุ้งมือของนักล่าฝรั่งตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา นักล่าใบตองแห้ง กับอังกฤษ นักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้ว ก้อยของเท้าซ้าย ค่ายนี้นำโดย ซาอุดิอารเบีย เสี่ยใหญ่แห่งทะเลทราย มีพรรคพวกในสังกัด เป็นเศรษฐีน้ำมัน ประเภทชอบพกกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ เป็นปึก คือ ยูไนเต็ดอาหรับเอมิเรต (UAE) คูเวต บาห์เรน โอมาน กาตาร์ และอิรัก บวกด้วย เศษของ เศรษฐีอีกหนึ่งราย คือ จอร์แดน ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่พวกบ้านติดอ่าวด้วยกัน แต่ก็เป็นประเภทนอนสบาย ไม่เดือดร้อนอยู่ในอุ้งมือนักล่าด้วยเช่นกัน
    ส่วน อีกค่ายหนึ่ง เข้าใจว่า ขณะนี้ไม่นิยมใช้ใบตองแห้ง และไม่ชอบอยู่เกาะ หลังจากเคยนิยมกันมาพักใหญ่ค่ายนี้นำโดยอิหร่าน ซึ่งกำลังถูกกล่าวหา (หรือกล่าวจริง) ว่ามีนิวเคลียร์พกติดกระเป๋ากางเกงไว้ตลอดเวลาอย่างน้อย 2 ลูก ส่วนพรรคพวกที่อิหร่านเพียรเกี้ยว และเกี่ยวมาเข้าค่ายเดียวกันมี ซีเรีย เลบานอน และกำลังล่อเอาอิรักออกมาจากค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ ลูกน้องตัวโปรดของนักล่าใบตองแห้งด้วย นอกจากนี้ ข่าวลือว่าตุรกี ซึ่งเคยเสพติดกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ก็กำลังลังเล อาจจะย้ายมาอยู่ค่ายนี้ด้วย แต่อย่างว่า นักไต่ลวดพันธ์ลูกครึ่งชอบเกมเสี่ยง คงยังไม่ตัดสินใจอะไรง่ายๆ ต้องรอให้เสียวจัดกว่านี้อีกสักหน่อย ค่อยแสดงฉากผาดโผน
    อะไรทำให้พวกอยู่กลางแดด แตกแยกกันถึงขนาดนี้ พวกเขาจะเล่าให้ฟังเป็นเรื่องๆ ในมุมของแต่ละค่าย ซึ่งแน่นอน คนละเรื่องเดียวกันเสมอ
    เรื่อง การบุกเข้าไปถล่มอิรัก ของอเมริกานักล่าใบตองแห้ง และเก็บซัดดัมใส่ห่อฝังลืม ตั้งแต่ ค.ศ.2003 ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ บอกเป็นของขวัญอันล้ำค่า ที่อเมริกาดันมอบให้อิหร่านโดยประมาท หรือประเมินผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ การทำให้อิรักแหลก ซัดดัมเละ เกิดช่องว่างในอิรัก ให้อิหร่านแทรกตัวเข้าไปได้อย่างไม่ยาก อิรักมีพวกซีอ่ะห์อยู่เกือบ 60% ของพลเมือง มีเพื่อนซีอ่ะห์อย่าง อิหร่านมาสนับสนุน ประโลมใจ ยามบ้านแตกสาแหรกหาย ย่อมดีกว่ามีพวกฝรั่งนักล่ามา ไล่ถล่มทิ้งระเบิดใส่ ไม่ต้องวิเคราะห์มาก เรื่องตรงไปตรงมา แน่นอน เสี่ยใหญ่ย่อมไม่พอใจ มันฉวยโอกาสฉกเด็กของเราไป จะพูด จะบ่น เรื่องอะไรกับลูกพี่ เสี่ยใหญ่เป็นต้องเอาเรื่องนี้ ขึ้นต้นเป็น แผ่นเสียงตกร่องก่อนเสมอ ทำให้ลูกพี่แสนจะเอือม เลิกพูดซ้ำซากได้มั้ยเสี่ย มันพลาดไปแล้ว อย่าย้ำหัวตะปูมาก นี่ถ้าไม่ติดพันกันเรื่องน้ำมัน ป่านนี้ตอกตะปูหัวให้แล้ว
    เรื่อง Arab Spring จากการรดน้ำใส่ปุ๋ย เอาต้นไม้ประชาธิปไตย ปลูกลงดินแดนทะเลทรายมาเป็นเวลาหลายปี ทั้งทางตรงและทางอ้อม ค.ศ.2011 ก็เริ่มเห็นผล ต้นไม้ประชาธิปไตยเริ่มทยอยกันงอกกลางทะเลทราย เริ่มตั้งแต่ตูนีเซีย เรื่องของเด็กขายผลไม้เผาตัวเอง เป็นตำนานที่โลกจะไม่มีวันลืม กัดดาฟี่เผด็จการตัวร้าย ถูกขยี้อยู่ในที่หลบภัยพร้อมกับ ลูกรัก โลกตบมือ ไชโย ดีใจ เผด็จการตัวร้ายไปอีกหนึ่ง ไม่นานหลังจากนั้น อียิปต์ก็ลุกฮือเอาอย่าง มูบารักกุมบังเหียนมากว่า 30 ปี ก็มีวันที่ลงจากม้าแทบไม่ทัน แถมยังต้องถูกนอนเปลห้ามไปขึ้นศาลข้อหาฆ่าประชาชน อนิจจา อนิจจัง
    ต้นไม้ ประชาธิปไตยงอกงาม Arab Spring งามจริงๆ พร้อมกับการอ้างว่า เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย แต่ประเทศล่มสลาย ประชาชนล้มตาย พิการเท่าไหร่ น้อยคนจะติดตาม เรื่องช่อง 3 จอดำคงมีคนติดตามมากกว่า สมันน้อย ก็คงตามดูข่าว อ้าปากหวอ สลับดูละครน้ำเน่าเหมือนเดิม
    ผู้ปกครอง ประเทศ ที่เป็นเผด็จการ ก็สมควรอยู่ที่จะต้องถูกกำจัด แต่มันคงไม่ง่ายเหมือนใจนึก หลังจากเด็ดหัวทิ้งแล้ว จะจัดการกับตัวอย่างไร ประเทศนะ ไม่ใช่ต้นกล้วย จะได้ฟันฉับแล้วจบ ถึงเป็นต้นกล้วยหน่อมันยังงอกเลย แล้วประเทศมันจะเปลี่ยน แบบฉากละครง่ายๆอย่างนั้นหรือ ใครที่คิดว่า จะเปลี่ยนอะไร แบบง่ายๆ ได้ง่ายๆ ก็คิดทบทวนให้มากๆหน่อยนะครับ
    หลัง Arab Spring ทำให้เกิดอาการผึ้งแตกรัง หัวหน้าไม่มี ฝูงผึ้งก็บินกระจัดกระจาย แต่มันไม่ใช่แค่ผึ้งรังเดียว มันทยอยกันแตกไม่รู้กี่รัง ไปทั่วทะเลทราย ไอ้คนที่ทำผึ้งแตกรัง ดันหดหัว หางตก กลับบ้าน เพราะยังตั้งตัวไม่ติด ถุด ! เก่งดีนัก !
    Arab Spring ทำให้ค่ายเสี่ยใหญ่ ซาอุดิ หงุดหงิด บอกมันเป็นการสร้างปัญหาให้กับพวกเรา แม้เราจะไม่เหมือน กัดดาฟี่ มูบารัก ซัดดัม เพราะคนพวกนี้กดขี่ประชาชนตนเอง แต่พวกเราคนรวย เราดูแลประชาชนของเราดี ไปดูตัวเลขที่ CIA แต่งให้ซิ รายได้ต่อหัวของพลเมืองเราอยู่อันดับไหน (หากันเอาเองนะครับ ผมขี้เกียจเข้าไปค้นตัวเลขปลอมๆของ CIA ) แต่นั่นล่ะนะ มันทำให้คนในบ้านเรา อดเกิดความคิดเฟื่องด้วยไม่ได้ ทำให้พวกเราต้องเพิ่มการดูแล และแลดูเขามากขึ้น มันเป็นการเพิ่มรายจ่ายให้กับเรานะ แล้วกัน เสี่ยใหญ่ เสียแรงเป็นลูกน้องระดับแถวหน้า ของเจ้าของผู้ผลิตสินค้ายี่ห้อประชาธิปไตย ยังไม่ชื่นชมนิยมยินดีเลย แบบนี้เจ้าของเขาจะไปหลอกขายสินค้าใครได้
    แต่ สำหรับอิหร่านเจ้าของนิวเคลียร์ 2 ลูก บอก Arab Spring ไม่มีปัญหาสำหรับบ้านเรา เพราะคนบ้านเราเขาดูออกว่าเป็นสินค้าปลอม เขาเคยใช้สินค้านี้มาหลายสิบปี รู้ฤทธิ์ของปลอม ว่ามันทำพิษพวกเขาขนาดไหน และดีเสียอีก มีคนขายของปลอมกันมากๆ เป็นโอกาสที่เราจะเอาสินค้าตราอื่นไปขายแข่งบ้าง และดูเหมือนการตลาด หรือสินค้าของอิหร่านจะเข้าตา ตอนนี้ลูกค้าเพิ่มทุกวัน
    เรื่อง ซีเรีย ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ มองเหตุการณ์ที่ซีเรีย เหมือนฝันร้าย เล่นเอาตอนนี้นอนตาโพลง กลัวว่าถ้าหลับตา จะต้องฝันร้ายเรื่องเดียวกับซีเรีย สนามรบซีเรีย มีนักรบเพิ่มขึ้นมากมาย หลายพวก หลายกลุ่ม ทั้งฝั่งรัฐบาลและฝั่งต่อต้านรัฐบาล ต่างฝ่ายใช้วิธีการตลาดผ่านหน้า social media เหมือนสร้างหนังสด เล่นเอาพวกที่ชมดูอยู่ทางบ้าน อดใจไม่ไหว สะพายเป้เข้าไปร่วมรายการด้วยมากมาย มีการประกาศรายชื่อกลุ่มเพิ่มเกือบทุกวัน จนตามไม่ทัน กลุ่มเสี่ยใหญ่นั่งไม่ติด แล้วอเมริกาจะทำอะไรบ้างไหม ทำไมอเมริกาไม่ยกทัพไปปราบ เหมือนตอนปราบซัดดัม เหมือนตอนปราบบินลาเดน เหมือนตอนปราบกัดดาฟี่ เหมือนตอนปราบมูบารัก กลุ่มเสี่ยใหญ่กลุ้มใจ จนกรดไหลย้อนบ้านหมุน นี่ถ้าพวกไปหนุนซีเรีย ไม่ว่าข้างไหน มันชนะ ความวุ่นวายมันจะต้องลามมาถึงบ้านอันใหญ่โต หรูหรา เย็นฉ่ำ ของเราแน่นอน เราจะนิ่งเฉยๆดู อเมริกาอยู่เฉยๆ อย่างนี้น่ะหรือ !? คงต้องคิดทำอะไรบ้างแล้ว
    แต่สำหรับ อิหร่าน ซึ่งสานสัมพันธ์กับ Assad ของซีเรียมานานแล้ว รวมทั้งเลบานอนและอิรัก คงไม่ถึงกับนอนไม่หลับฝันร้าย แต่ในเมื่อเขาว่า ในตะวันออกกลาง มิตรภาพมีไว้ให้เช่า (ชั่วคราว) ไม่มีไว้ให้ขาย(ถาวร) วันหนึ่งเพื่อนหายหน้าหมด แต่การคว่ำบาตรของฝ่ายนักล่าตะวันตก ยังคงมีค้างอยู่กลางแดด อิหร่านก็ต้องคิดหนัก จะเดินหน้าเต็มตัวหนุน Assad ก็ต้องแน่ใจ และใจแน่ แต่ดูเหมือนอิหร่านจะเลือกใช้ถนน One way ถอยลำบากเสียแล้วกระมัง
    เรื่อง ศักยภาพทางอาวุธ หน่วยข่าวกรองรับจ๊อบ กระซิบบอกค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิว่า อิหร่านมีจรวดพิสัยกลางแน่นอน ขนาดกำลังพอดีกับเป้าหมายแถวอ่าว และเชื่อว่าอาวุธของอิหร่าน มีอานุภาพขั้นทำลายได้รุนแรง จริงจัง ไม่ใช่แค่ลำลายตึกและประชาชนเท่านั้น ข่าวนี้ทำให้ค่ายเสี่ยใหญ่ ฮึดสู้ทุ่มทุนซื้ออาวุธจากลูกพี่เพิ่มขึ้นตลอดทุกปี เงินหนานี่ จะเอาอะไรล่ะ ลูกพี่มีให้ทั้งนั้น
    แต่ที่ สำคัญ ตราบใดที่ลูกพี่มหามิตร นักล่าใบตองแห้ง ยังเป็นมหามิตรยืนอยู่ข้างหลังค่ายเสี่ยใหญ่อยู่ตลอดกาล อิหร่านต่างหาก จะกลายเป็นใบตองแห้งเสียเอง ดังนั้นค่ายเสี่ยใหญ่จึงต้องทำทุกอย่าง ให้ลูกพี่ประกาศออกมาต่อหน้าโลก ไม่ใช่มาทำกระซิบกระซาบเบาๆ แบบเหนียมอาย ว่าลูกพี่พร้อมที่จะปกป้องค่ายเสี่ยใหญ่ มายืนติดอยู่ข้างหลังเหมือนเอากาวทาติดตัวไว้ตลอด ได้ยินไหมคร๊าบ ลูกพี่
    ส่วน ค่ายอิหร่าน เจ้าของนิวเคลียร์ 2 ลูก ตอบขรึมๆว่า ก็คอยดูไปก็แล้วกัน เรื่องอาวุธไม่จำเป็นต้องคุย ใครๆก็รู้ว่าเสือซุ่มน่ากลัวแค่ไหน ส่วนจะมีใครยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่ต้องใช้กาวทาติดไว้ ก็คอยดูไปอีกเช่นกัน แหม! ตอบแบบพระเอกเลยนะ
    เรื่อง อาวุธนิวเคลียร์ ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ คิดว่า เราก็เป็นเสี่ยใหญ่มีเงินหนา ทำไมเราจะซื้อหามามั่งไม่ได้ ข่าวเขาว่า ซาอุดิ กำลังปรับสมรรถนะเครื่องยิงจรวดวิถีไกล ที่ซื้อมาจากจีนอยู่อย่างเคร่งเครียด ข่าวนี้เขียนไปแล้วแต่หาเครื่องกรองไม่เจอ จึงไม่รับรองความแม่นยำนะครับ และมีข่าวว่า ปากีสถานก็อาจจะแบ่งขายอาวุธนิวเคลียร์ของตนให้เสี่ยซาอุดิด้วย เพราะเป็นมิตรรักร่วมใช้กระเป๋าของเสี่ยซาอุดิมานานแล้ว แค่นี้ทำไมจะปันแบ่งกันให้ไม่ได้ นี่พูดแบบหนังแขกเลยนะ ยังกะมันแบ่ง มันขายกันให้ง่ายๆงั้นแหละ เฮ้อ! พูดกับคนรวยนี่เหนื่อยนะ เอะอะก็เรามีเงิน เดี๋ยวซื้อนี่ ซื้อนั่น คำว่าสร้างน่ะรู้จักกันบ้างไหม นิวเคลียร์นะเขาสร้างกันนานแค่ไหน บารมี ก็เหมือนกัน ซื้อไม่ได้ นะครับ เขาต้องสร้างเอง สร้างนานด้วย ไอ้ที่ขึ้นมาเป็นใหญ่ปุ๊บปั๊บ ดังคับจอ บอกบารมีเต็มเปี่ยมน่ะ ถูกหลอกต้มทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวก็รู้สึก
    นอก เรื่องไปหน่อย กลับมาเรื่องเสี่ยซาอุดิ ซึ่งยังเชื่อว่า เรื่องอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน น่าจะยังอยู่ในขั้นพัฒนา ไม่ใช่อยู่ในขั้นใช้การได้จริงๆ และถ้าจะใช้จริง ของดีที่อิสราเอลมีอยู่ ก็น่าจะมีอานุภาพมากกว่าของอิหร่าน ในฐานะสังกัดลูกพี่เดียวกัน ใจคออิสราเอลจะทิ้งให้ซาอุดิลำบากหรือ แหม! เสี่ยใหญ่คิดแบบนี้ละซิ มันถึงจะเจ๊งเอาจนได้ เวลาจะใช้นิวเคลียร์ของเขาก็ดันนับญาติ เวลาหมั่นไส้ ก็หาว่ายิวฮุบแผ่นดินอาหรับแล้วก็ส่งลูกกระเป๋งไปโซ๊ย ลูกพี่ใบตองแห้งฝากเตือนมานะเสี่ย
    ส่วนค่ายอิหร่าน เสี่ยนิวเคลียร์ 2 ลูกอยู่ในกระเป๋ากางเกง เหมือนเดิม พูดเรื่องอาวุธทีไร ต้องทำหน้าขรึม บอกว่า เราจะมีถึงขั้นใช้การได้หรือไม่ อีกหน่อยก็คงรู้กัน พูดซะหล่อเลย
    แม้ ทั้ง 2 ค่ายกลางทะเลทราย จะมีมุมมองในเรื่องต่างๆ คนละทิศกัน แต่ทั้ง 2 ค่าย ต่างก็เป็นหมากในกระดานของเกมชิงโลก แม้สถานะของหมากจะต่างกัน แต่มันขึ้นกับลูกพี่ใหญ่คนเดินหมาก ที่มีเป้าชิงโลกใบนี้ ให้อยู่ในมือตนแต่ผู้เดียว จะเดินหมากต่อไปอย่างไร
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ตอนที่ 1
ตะวัน ออกกลาง อยู่กลางแดด แต่เหมือนแดนสนธยา เรื่องราวของคนกลางแดดน่าพิศวง ชวนงง ไม่ง่ายสำหรับคนนอกแดดจะเข้าใจ โดยเฉพาะพวกฝรั่งตะวันตกที่เข้าไปยึดครองครอบงำ ถึงขนาดมีการพูดถึงชาวตะวันออกกลางว่า มิตรภาพของพวกเขามีไว้ให้เช่า (ชั่วคราว) แต่ไม่ได้มีไว้ขาย (ถาวร) แม้จะเป็นชาวทะเลทรายด้วยกัน แต่ความต่างเผ่า ต่างพันธุ์ ต่างนิกาย ต่างประเพณี ทำให้วิธีคิด วิธีดำเนินชีวิต และการเดินนโยบายประเทศของพวกเขา แตกต่างกันอย่างเหลือเชื่อ ความแตกต่างของชาวตะวันออกกลาง มีมานานแล้ว แต่ปัจจุบัน ความแตกต่างดูเหมือนจะกลายเป็นความแตกแยก แบ่งกันเห็นชัดเป็น 2 ค่าย ค่ายหนึ่งนิยมและนอนนิ่ง อยู่ในอุ้งมือของนักล่าฝรั่งตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา นักล่าใบตองแห้ง กับอังกฤษ นักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้ว ก้อยของเท้าซ้าย ค่ายนี้นำโดย ซาอุดิอารเบีย เสี่ยใหญ่แห่งทะเลทราย มีพรรคพวกในสังกัด เป็นเศรษฐีน้ำมัน ประเภทชอบพกกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ เป็นปึก คือ ยูไนเต็ดอาหรับเอมิเรต (UAE) คูเวต บาห์เรน โอมาน กาตาร์ และอิรัก บวกด้วย เศษของ เศรษฐีอีกหนึ่งราย คือ จอร์แดน ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่พวกบ้านติดอ่าวด้วยกัน แต่ก็เป็นประเภทนอนสบาย ไม่เดือดร้อนอยู่ในอุ้งมือนักล่าด้วยเช่นกัน ส่วน อีกค่ายหนึ่ง เข้าใจว่า ขณะนี้ไม่นิยมใช้ใบตองแห้ง และไม่ชอบอยู่เกาะ หลังจากเคยนิยมกันมาพักใหญ่ค่ายนี้นำโดยอิหร่าน ซึ่งกำลังถูกกล่าวหา (หรือกล่าวจริง) ว่ามีนิวเคลียร์พกติดกระเป๋ากางเกงไว้ตลอดเวลาอย่างน้อย 2 ลูก ส่วนพรรคพวกที่อิหร่านเพียรเกี้ยว และเกี่ยวมาเข้าค่ายเดียวกันมี ซีเรีย เลบานอน และกำลังล่อเอาอิรักออกมาจากค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ ลูกน้องตัวโปรดของนักล่าใบตองแห้งด้วย นอกจากนี้ ข่าวลือว่าตุรกี ซึ่งเคยเสพติดกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ก็กำลังลังเล อาจจะย้ายมาอยู่ค่ายนี้ด้วย แต่อย่างว่า นักไต่ลวดพันธ์ลูกครึ่งชอบเกมเสี่ยง คงยังไม่ตัดสินใจอะไรง่ายๆ ต้องรอให้เสียวจัดกว่านี้อีกสักหน่อย ค่อยแสดงฉากผาดโผน อะไรทำให้พวกอยู่กลางแดด แตกแยกกันถึงขนาดนี้ พวกเขาจะเล่าให้ฟังเป็นเรื่องๆ ในมุมของแต่ละค่าย ซึ่งแน่นอน คนละเรื่องเดียวกันเสมอ เรื่อง การบุกเข้าไปถล่มอิรัก ของอเมริกานักล่าใบตองแห้ง และเก็บซัดดัมใส่ห่อฝังลืม ตั้งแต่ ค.ศ.2003 ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ บอกเป็นของขวัญอันล้ำค่า ที่อเมริกาดันมอบให้อิหร่านโดยประมาท หรือประเมินผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ การทำให้อิรักแหลก ซัดดัมเละ เกิดช่องว่างในอิรัก ให้อิหร่านแทรกตัวเข้าไปได้อย่างไม่ยาก อิรักมีพวกซีอ่ะห์อยู่เกือบ 60% ของพลเมือง มีเพื่อนซีอ่ะห์อย่าง อิหร่านมาสนับสนุน ประโลมใจ ยามบ้านแตกสาแหรกหาย ย่อมดีกว่ามีพวกฝรั่งนักล่ามา ไล่ถล่มทิ้งระเบิดใส่ ไม่ต้องวิเคราะห์มาก เรื่องตรงไปตรงมา แน่นอน เสี่ยใหญ่ย่อมไม่พอใจ มันฉวยโอกาสฉกเด็กของเราไป จะพูด จะบ่น เรื่องอะไรกับลูกพี่ เสี่ยใหญ่เป็นต้องเอาเรื่องนี้ ขึ้นต้นเป็น แผ่นเสียงตกร่องก่อนเสมอ ทำให้ลูกพี่แสนจะเอือม เลิกพูดซ้ำซากได้มั้ยเสี่ย มันพลาดไปแล้ว อย่าย้ำหัวตะปูมาก นี่ถ้าไม่ติดพันกันเรื่องน้ำมัน ป่านนี้ตอกตะปูหัวให้แล้ว เรื่อง Arab Spring จากการรดน้ำใส่ปุ๋ย เอาต้นไม้ประชาธิปไตย ปลูกลงดินแดนทะเลทรายมาเป็นเวลาหลายปี ทั้งทางตรงและทางอ้อม ค.ศ.2011 ก็เริ่มเห็นผล ต้นไม้ประชาธิปไตยเริ่มทยอยกันงอกกลางทะเลทราย เริ่มตั้งแต่ตูนีเซีย เรื่องของเด็กขายผลไม้เผาตัวเอง เป็นตำนานที่โลกจะไม่มีวันลืม กัดดาฟี่เผด็จการตัวร้าย ถูกขยี้อยู่ในที่หลบภัยพร้อมกับ ลูกรัก โลกตบมือ ไชโย ดีใจ เผด็จการตัวร้ายไปอีกหนึ่ง ไม่นานหลังจากนั้น อียิปต์ก็ลุกฮือเอาอย่าง มูบารักกุมบังเหียนมากว่า 30 ปี ก็มีวันที่ลงจากม้าแทบไม่ทัน แถมยังต้องถูกนอนเปลห้ามไปขึ้นศาลข้อหาฆ่าประชาชน อนิจจา อนิจจัง ต้นไม้ ประชาธิปไตยงอกงาม Arab Spring งามจริงๆ พร้อมกับการอ้างว่า เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย แต่ประเทศล่มสลาย ประชาชนล้มตาย พิการเท่าไหร่ น้อยคนจะติดตาม เรื่องช่อง 3 จอดำคงมีคนติดตามมากกว่า สมันน้อย ก็คงตามดูข่าว อ้าปากหวอ สลับดูละครน้ำเน่าเหมือนเดิม ผู้ปกครอง ประเทศ ที่เป็นเผด็จการ ก็สมควรอยู่ที่จะต้องถูกกำจัด แต่มันคงไม่ง่ายเหมือนใจนึก หลังจากเด็ดหัวทิ้งแล้ว จะจัดการกับตัวอย่างไร ประเทศนะ ไม่ใช่ต้นกล้วย จะได้ฟันฉับแล้วจบ ถึงเป็นต้นกล้วยหน่อมันยังงอกเลย แล้วประเทศมันจะเปลี่ยน แบบฉากละครง่ายๆอย่างนั้นหรือ ใครที่คิดว่า จะเปลี่ยนอะไร แบบง่ายๆ ได้ง่ายๆ ก็คิดทบทวนให้มากๆหน่อยนะครับ หลัง Arab Spring ทำให้เกิดอาการผึ้งแตกรัง หัวหน้าไม่มี ฝูงผึ้งก็บินกระจัดกระจาย แต่มันไม่ใช่แค่ผึ้งรังเดียว มันทยอยกันแตกไม่รู้กี่รัง ไปทั่วทะเลทราย ไอ้คนที่ทำผึ้งแตกรัง ดันหดหัว หางตก กลับบ้าน เพราะยังตั้งตัวไม่ติด ถุด ! เก่งดีนัก ! Arab Spring ทำให้ค่ายเสี่ยใหญ่ ซาอุดิ หงุดหงิด บอกมันเป็นการสร้างปัญหาให้กับพวกเรา แม้เราจะไม่เหมือน กัดดาฟี่ มูบารัก ซัดดัม เพราะคนพวกนี้กดขี่ประชาชนตนเอง แต่พวกเราคนรวย เราดูแลประชาชนของเราดี ไปดูตัวเลขที่ CIA แต่งให้ซิ รายได้ต่อหัวของพลเมืองเราอยู่อันดับไหน (หากันเอาเองนะครับ ผมขี้เกียจเข้าไปค้นตัวเลขปลอมๆของ CIA ) แต่นั่นล่ะนะ มันทำให้คนในบ้านเรา อดเกิดความคิดเฟื่องด้วยไม่ได้ ทำให้พวกเราต้องเพิ่มการดูแล และแลดูเขามากขึ้น มันเป็นการเพิ่มรายจ่ายให้กับเรานะ แล้วกัน เสี่ยใหญ่ เสียแรงเป็นลูกน้องระดับแถวหน้า ของเจ้าของผู้ผลิตสินค้ายี่ห้อประชาธิปไตย ยังไม่ชื่นชมนิยมยินดีเลย แบบนี้เจ้าของเขาจะไปหลอกขายสินค้าใครได้ แต่ สำหรับอิหร่านเจ้าของนิวเคลียร์ 2 ลูก บอก Arab Spring ไม่มีปัญหาสำหรับบ้านเรา เพราะคนบ้านเราเขาดูออกว่าเป็นสินค้าปลอม เขาเคยใช้สินค้านี้มาหลายสิบปี รู้ฤทธิ์ของปลอม ว่ามันทำพิษพวกเขาขนาดไหน และดีเสียอีก มีคนขายของปลอมกันมากๆ เป็นโอกาสที่เราจะเอาสินค้าตราอื่นไปขายแข่งบ้าง และดูเหมือนการตลาด หรือสินค้าของอิหร่านจะเข้าตา ตอนนี้ลูกค้าเพิ่มทุกวัน เรื่อง ซีเรีย ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ มองเหตุการณ์ที่ซีเรีย เหมือนฝันร้าย เล่นเอาตอนนี้นอนตาโพลง กลัวว่าถ้าหลับตา จะต้องฝันร้ายเรื่องเดียวกับซีเรีย สนามรบซีเรีย มีนักรบเพิ่มขึ้นมากมาย หลายพวก หลายกลุ่ม ทั้งฝั่งรัฐบาลและฝั่งต่อต้านรัฐบาล ต่างฝ่ายใช้วิธีการตลาดผ่านหน้า social media เหมือนสร้างหนังสด เล่นเอาพวกที่ชมดูอยู่ทางบ้าน อดใจไม่ไหว สะพายเป้เข้าไปร่วมรายการด้วยมากมาย มีการประกาศรายชื่อกลุ่มเพิ่มเกือบทุกวัน จนตามไม่ทัน กลุ่มเสี่ยใหญ่นั่งไม่ติด แล้วอเมริกาจะทำอะไรบ้างไหม ทำไมอเมริกาไม่ยกทัพไปปราบ เหมือนตอนปราบซัดดัม เหมือนตอนปราบบินลาเดน เหมือนตอนปราบกัดดาฟี่ เหมือนตอนปราบมูบารัก กลุ่มเสี่ยใหญ่กลุ้มใจ จนกรดไหลย้อนบ้านหมุน นี่ถ้าพวกไปหนุนซีเรีย ไม่ว่าข้างไหน มันชนะ ความวุ่นวายมันจะต้องลามมาถึงบ้านอันใหญ่โต หรูหรา เย็นฉ่ำ ของเราแน่นอน เราจะนิ่งเฉยๆดู อเมริกาอยู่เฉยๆ อย่างนี้น่ะหรือ !? คงต้องคิดทำอะไรบ้างแล้ว แต่สำหรับ อิหร่าน ซึ่งสานสัมพันธ์กับ Assad ของซีเรียมานานแล้ว รวมทั้งเลบานอนและอิรัก คงไม่ถึงกับนอนไม่หลับฝันร้าย แต่ในเมื่อเขาว่า ในตะวันออกกลาง มิตรภาพมีไว้ให้เช่า (ชั่วคราว) ไม่มีไว้ให้ขาย(ถาวร) วันหนึ่งเพื่อนหายหน้าหมด แต่การคว่ำบาตรของฝ่ายนักล่าตะวันตก ยังคงมีค้างอยู่กลางแดด อิหร่านก็ต้องคิดหนัก จะเดินหน้าเต็มตัวหนุน Assad ก็ต้องแน่ใจ และใจแน่ แต่ดูเหมือนอิหร่านจะเลือกใช้ถนน One way ถอยลำบากเสียแล้วกระมัง เรื่อง ศักยภาพทางอาวุธ หน่วยข่าวกรองรับจ๊อบ กระซิบบอกค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิว่า อิหร่านมีจรวดพิสัยกลางแน่นอน ขนาดกำลังพอดีกับเป้าหมายแถวอ่าว และเชื่อว่าอาวุธของอิหร่าน มีอานุภาพขั้นทำลายได้รุนแรง จริงจัง ไม่ใช่แค่ลำลายตึกและประชาชนเท่านั้น ข่าวนี้ทำให้ค่ายเสี่ยใหญ่ ฮึดสู้ทุ่มทุนซื้ออาวุธจากลูกพี่เพิ่มขึ้นตลอดทุกปี เงินหนานี่ จะเอาอะไรล่ะ ลูกพี่มีให้ทั้งนั้น แต่ที่ สำคัญ ตราบใดที่ลูกพี่มหามิตร นักล่าใบตองแห้ง ยังเป็นมหามิตรยืนอยู่ข้างหลังค่ายเสี่ยใหญ่อยู่ตลอดกาล อิหร่านต่างหาก จะกลายเป็นใบตองแห้งเสียเอง ดังนั้นค่ายเสี่ยใหญ่จึงต้องทำทุกอย่าง ให้ลูกพี่ประกาศออกมาต่อหน้าโลก ไม่ใช่มาทำกระซิบกระซาบเบาๆ แบบเหนียมอาย ว่าลูกพี่พร้อมที่จะปกป้องค่ายเสี่ยใหญ่ มายืนติดอยู่ข้างหลังเหมือนเอากาวทาติดตัวไว้ตลอด ได้ยินไหมคร๊าบ ลูกพี่ ส่วน ค่ายอิหร่าน เจ้าของนิวเคลียร์ 2 ลูก ตอบขรึมๆว่า ก็คอยดูไปก็แล้วกัน เรื่องอาวุธไม่จำเป็นต้องคุย ใครๆก็รู้ว่าเสือซุ่มน่ากลัวแค่ไหน ส่วนจะมีใครยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่ต้องใช้กาวทาติดไว้ ก็คอยดูไปอีกเช่นกัน แหม! ตอบแบบพระเอกเลยนะ เรื่อง อาวุธนิวเคลียร์ ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ คิดว่า เราก็เป็นเสี่ยใหญ่มีเงินหนา ทำไมเราจะซื้อหามามั่งไม่ได้ ข่าวเขาว่า ซาอุดิ กำลังปรับสมรรถนะเครื่องยิงจรวดวิถีไกล ที่ซื้อมาจากจีนอยู่อย่างเคร่งเครียด ข่าวนี้เขียนไปแล้วแต่หาเครื่องกรองไม่เจอ จึงไม่รับรองความแม่นยำนะครับ และมีข่าวว่า ปากีสถานก็อาจจะแบ่งขายอาวุธนิวเคลียร์ของตนให้เสี่ยซาอุดิด้วย เพราะเป็นมิตรรักร่วมใช้กระเป๋าของเสี่ยซาอุดิมานานแล้ว แค่นี้ทำไมจะปันแบ่งกันให้ไม่ได้ นี่พูดแบบหนังแขกเลยนะ ยังกะมันแบ่ง มันขายกันให้ง่ายๆงั้นแหละ เฮ้อ! พูดกับคนรวยนี่เหนื่อยนะ เอะอะก็เรามีเงิน เดี๋ยวซื้อนี่ ซื้อนั่น คำว่าสร้างน่ะรู้จักกันบ้างไหม นิวเคลียร์นะเขาสร้างกันนานแค่ไหน บารมี ก็เหมือนกัน ซื้อไม่ได้ นะครับ เขาต้องสร้างเอง สร้างนานด้วย ไอ้ที่ขึ้นมาเป็นใหญ่ปุ๊บปั๊บ ดังคับจอ บอกบารมีเต็มเปี่ยมน่ะ ถูกหลอกต้มทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวก็รู้สึก นอก เรื่องไปหน่อย กลับมาเรื่องเสี่ยซาอุดิ ซึ่งยังเชื่อว่า เรื่องอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน น่าจะยังอยู่ในขั้นพัฒนา ไม่ใช่อยู่ในขั้นใช้การได้จริงๆ และถ้าจะใช้จริง ของดีที่อิสราเอลมีอยู่ ก็น่าจะมีอานุภาพมากกว่าของอิหร่าน ในฐานะสังกัดลูกพี่เดียวกัน ใจคออิสราเอลจะทิ้งให้ซาอุดิลำบากหรือ แหม! เสี่ยใหญ่คิดแบบนี้ละซิ มันถึงจะเจ๊งเอาจนได้ เวลาจะใช้นิวเคลียร์ของเขาก็ดันนับญาติ เวลาหมั่นไส้ ก็หาว่ายิวฮุบแผ่นดินอาหรับแล้วก็ส่งลูกกระเป๋งไปโซ๊ย ลูกพี่ใบตองแห้งฝากเตือนมานะเสี่ย ส่วนค่ายอิหร่าน เสี่ยนิวเคลียร์ 2 ลูกอยู่ในกระเป๋ากางเกง เหมือนเดิม พูดเรื่องอาวุธทีไร ต้องทำหน้าขรึม บอกว่า เราจะมีถึงขั้นใช้การได้หรือไม่ อีกหน่อยก็คงรู้กัน พูดซะหล่อเลย แม้ ทั้ง 2 ค่ายกลางทะเลทราย จะมีมุมมองในเรื่องต่างๆ คนละทิศกัน แต่ทั้ง 2 ค่าย ต่างก็เป็นหมากในกระดานของเกมชิงโลก แม้สถานะของหมากจะต่างกัน แต่มันขึ้นกับลูกพี่ใหญ่คนเดินหมาก ที่มีเป้าชิงโลกใบนี้ ให้อยู่ในมือตนแต่ผู้เดียว จะเดินหมากต่อไปอย่างไร สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Athena1: ซีพียูสายพันธุ์ยุโรปเพื่อความมั่นคง — SiPearl เปิดตัวชิปสำหรับงานพลเรือนและกลาโหม พร้อมชนคู่แข่งโลกในปี 2027”

    SiPearl บริษัทออกแบบชิปจากฝรั่งเศสประกาศเปิดตัว “Athena1” ซีพียูรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน “dual-use” ทั้งพลเรือนและกลาโหม โดยเน้นความปลอดภัยระดับสูงสำหรับการใช้งานในภาครัฐ การสื่อสารลับ ระบบข่าวกรอง และอุตสาหกรรมอวกาศ

    Athena1 เป็นรุ่นปรับแต่งจาก Rhea1 ซึ่งเป็นชิปรุ่นแรกของบริษัท โดยใช้สถาปัตยกรรม Arm Neoverse V1 และมีให้เลือกตั้งแต่ 16 ถึง 80 คอร์ ขึ้นอยู่กับความต้องการด้านประสิทธิภาพและข้อจำกัดด้านความร้อนของแต่ละงาน

    แม้จะเป็นชิปที่ออกแบบในยุโรป แต่การผลิต die ยังต้องพึ่งพา TSMC จากไต้หวัน โดยการบรรจุ (packaging) จะเริ่มต้นในเอเชียก่อนจะย้ายกลับมาทำในยุโรป เพื่อสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมภายในภูมิภาค

    Athena1 มีกำหนดวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2027 โดยจะเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “อธิปไตยทางเทคโนโลยี” ของยุโรป ที่ต้องการลดการพึ่งพาชิปจากสหรัฐฯ และเอเชีย โดยเฉพาะในช่วงที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และภัยไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Athena1 เป็นซีพียูรุ่นใหม่จาก SiPearl สำหรับงานพลเรือนและกลาโหม
    ใช้สถาปัตยกรรม Arm Neoverse V1 มีให้เลือกตั้งแต่ 16 ถึง 80 คอร์
    รองรับงานด้านการสื่อสารลับ, ข่าวกรอง, อุตสาหกรรมอวกาศ และระบบตรวจจับ
    เป็นรุ่นปรับแต่งจาก Rhea1 ซึ่งเป็นชิปรุ่นแรกของบริษัท
    ผลิต die โดย TSMC และเริ่ม packaging ในไต้หวันก่อนย้ายกลับยุโรป
    วางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในครึ่งหลังของปี 2027
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อธิปไตยทางเทคโนโลยีของยุโรป
    ออกแบบมาให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น อุณหภูมิ, ความชื้น, รังสี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Rhea1 ถูกพัฒนาภายใต้โครงการ European Processor Initiative (EPI)
    Athena1 ไม่มี HBM2e บนตัวชิป ใช้ DDR5 แทนเพื่อลดต้นทุน
    การใช้ Arm Neoverse V1 ช่วยให้รองรับงาน HPC และ AI ได้ดี
    SiPearl ได้รับเงินลงทุน €130 ล้านจากรัฐฝรั่งเศสและกองทุนยุโรปในปี 2025
    การย้าย packaging กลับยุโรปช่วยสร้าง ecosystem อุตสาหกรรมภายในภูมิภาค

    https://www.techradar.com/pro/athena-1-is-probably-the-most-secure-cpu-ever-designed-but-i-dont-think-the-only-european-cpu-will-be-good-enough-to-challenge-rivals-when-it-launches-in-2027
    🛡️ “Athena1: ซีพียูสายพันธุ์ยุโรปเพื่อความมั่นคง — SiPearl เปิดตัวชิปสำหรับงานพลเรือนและกลาโหม พร้อมชนคู่แข่งโลกในปี 2027” SiPearl บริษัทออกแบบชิปจากฝรั่งเศสประกาศเปิดตัว “Athena1” ซีพียูรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน “dual-use” ทั้งพลเรือนและกลาโหม โดยเน้นความปลอดภัยระดับสูงสำหรับการใช้งานในภาครัฐ การสื่อสารลับ ระบบข่าวกรอง และอุตสาหกรรมอวกาศ Athena1 เป็นรุ่นปรับแต่งจาก Rhea1 ซึ่งเป็นชิปรุ่นแรกของบริษัท โดยใช้สถาปัตยกรรม Arm Neoverse V1 และมีให้เลือกตั้งแต่ 16 ถึง 80 คอร์ ขึ้นอยู่กับความต้องการด้านประสิทธิภาพและข้อจำกัดด้านความร้อนของแต่ละงาน แม้จะเป็นชิปที่ออกแบบในยุโรป แต่การผลิต die ยังต้องพึ่งพา TSMC จากไต้หวัน โดยการบรรจุ (packaging) จะเริ่มต้นในเอเชียก่อนจะย้ายกลับมาทำในยุโรป เพื่อสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมภายในภูมิภาค Athena1 มีกำหนดวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2027 โดยจะเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “อธิปไตยทางเทคโนโลยี” ของยุโรป ที่ต้องการลดการพึ่งพาชิปจากสหรัฐฯ และเอเชีย โดยเฉพาะในช่วงที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และภัยไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Athena1 เป็นซีพียูรุ่นใหม่จาก SiPearl สำหรับงานพลเรือนและกลาโหม ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Arm Neoverse V1 มีให้เลือกตั้งแต่ 16 ถึง 80 คอร์ ➡️ รองรับงานด้านการสื่อสารลับ, ข่าวกรอง, อุตสาหกรรมอวกาศ และระบบตรวจจับ ➡️ เป็นรุ่นปรับแต่งจาก Rhea1 ซึ่งเป็นชิปรุ่นแรกของบริษัท ➡️ ผลิต die โดย TSMC และเริ่ม packaging ในไต้หวันก่อนย้ายกลับยุโรป ➡️ วางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในครึ่งหลังของปี 2027 ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อธิปไตยทางเทคโนโลยีของยุโรป ➡️ ออกแบบมาให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น อุณหภูมิ, ความชื้น, รังสี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Rhea1 ถูกพัฒนาภายใต้โครงการ European Processor Initiative (EPI) ➡️ Athena1 ไม่มี HBM2e บนตัวชิป ใช้ DDR5 แทนเพื่อลดต้นทุน ➡️ การใช้ Arm Neoverse V1 ช่วยให้รองรับงาน HPC และ AI ได้ดี ➡️ SiPearl ได้รับเงินลงทุน €130 ล้านจากรัฐฝรั่งเศสและกองทุนยุโรปในปี 2025 ➡️ การย้าย packaging กลับยุโรปช่วยสร้าง ecosystem อุตสาหกรรมภายในภูมิภาค https://www.techradar.com/pro/athena-1-is-probably-the-most-secure-cpu-ever-designed-but-i-dont-think-the-only-european-cpu-will-be-good-enough-to-challenge-rivals-when-it-launches-in-2027
    WWW.TECHRADAR.COM
    SiPearl’s Athena1 promises dual-use security for European defense and aerospace
    SiPearl's chip is designed to serve both civil and defense purposes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อติดคอ ตอนที่ 7
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ”
    ตอนที่ 7

    เดือนมกราคม ค.ศ.2002 คาวบอย Bush กล่าวหาอิหร่านว่ากำลังคิดการใหญ่สะสมอาวุธนิวเคลียร์ เลื่อนอันดับอิหร่านไปอยู่อันดับเดียวกับเด็กแสบเกาหลีเหนือ ถือเป็นการยกย่องอย่างรวดเร็ว อเมริกาบอกมันเป็นภัยต่อความมั่นคงของโลกเชียวล่ะ

    กุมภาพันธ์ ค.ศ.2003 อิหร่านยอมรับว่ากำลังสร้างโรง งานพัฒนาแร่ยูเรเนียม 2 โรง แต่เมื่อ Atomic Energy Agency (IAEA) บอกให้หยุด อิหร่านก็หยุด แต่อเมริกาไม่หยุด กล่าวหาต่อไปว่า อิหร่านกำลังสร้างอาวุธนิวเคลียร์แน่นอน อเมริกาไม่ยอม มันต้องมีสิ อเมริกาว่ามีก็ต้องมี อเมริกาไม่สนใจหรอกอิหร่านมีนิวเคลียร์กี่ลูก แต่มันเสียหน้า เข้าใจไหม

    พฤษภาคม ค.ศ.2003 อิหร่านยอมอ่อนข้อ ขอเจรจากับอเมริกา ขอให้อเมริกาเลิกการคว่ำบาตร ปลดชื่ออิหร่านจากป้ายผู้ก่อการร้าย เราดีกันนะอย่าโกรธกันต่อไปเลย เราอิหร่านก็จะยอมตามใจอเมริกา ในตะวันออกกลาง เราไม่ขวาง ไม่ขัดคออีกแล้วล่ะ อิหร่านยอมแพ้กระทั่งหยุดเดินหน้าการสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ และให้อเมริกาตรวจสอบตามสบายว่าไม่มีนิวเคลียร์ซักลูกอยู่ในกระเป๋ากางเกง นอกจากนี้ก็จะไม่ยุ่ง ไม่ยุพวกฮามาสในอิสราเอลด้วย อะไรอีกล่ะ อ้อ เราจะเดินหน้าเป็นประชาธิปไตย เราจะให้ความร่วมมือ ฯลฯ สาระพัดอิหร่านจะยอม ข้ออ่อนจนยืนไม่ตรง คาวบอย Bush ไม่รับข้อเสนอ ปฏิเสธที่จะเจรจากับอิหร่าน นี่มันนึกว่ากำลังเล่นขี่วัวมาราธอนอยู่หรือไงนะ

    รัฐบาล Bush คิดว่าตัวเองกำลังถือไพ่เหนือมืออิหร่าน สายเหยี่ยวคิดว่าการสั่งสอนอิรัก จะทำให้อิหร่านดีฝ่อ อเมริกาคิดว่าการหนุนและชุบเลี้ยงพวกชีอ่ะในอิรัก (ซึ่งมีจำนวนถึง 60% ของชาวอิรัก) โดยเฉพาะพวกที่อยู่ที่ Najaf และ Karbala จะทำให้พวกชีอ่ะเหล่านี้ไม่เข้าพวกกับอิหร่าน เพราะติดใจอาหารที่อเมริกาใช้เลี้ยง

    อเมริการู้สึกจะประเมินผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ การบุกขยี้อิรัก ทำให้ชาวตะวันออกกลางยิ่งรังเกียจอเมริกา และเริ่มรวมตัวกันทั้งนิกายชีอ่ะและสุนหนี่ ทำให้กลุ่มอิสลามเคร่งครัดยิ่งเข้มแข็งขึ้นและใหญ่ขึ้น

    แม้อิหร่านจะไม่แสดงอาการท้าทายอเมริกาอย่างตรงๆ แต่อิหร่านมีนโยบายสนับสนุนทั้งอาวุธและทุนให้กับกลุ่มชีอ่ะในอิรัก รวมทั้งสนับสนุนรัฐบาลผสม Maliki ซึ่งเป็นตัวเลือกของอเมริกาในอิรัก ในปี ค.ศ.2005 มีการเลือกตั้งในอิรัก ซึ่งอำนวยการสร้างโดยอเมริกา CIA รายงานว่า อิหร่านส่งเงินสนับสนุนพวกชีอ่ะจำนวน 11 ล้านเหรียญต่อสัปดาห์ เพื่อสร้างฐานเสียงให้แก่ชีอ่ะ ซึ่งในที่สุดก็ได้คะแนนเสียงข้างมากในการเลือกตั้ง ถึงอิหร่านจะไม่ได้ประกาศท้าทายอเมริกาโดยตรง แต่ดูเหมือนการกระทำของอิหร่านจะชัดขึ้นเรื่อยๆ
    แต่เหตุการณ์ที่ทำให้ตำแหน่งการยืนของอิหร่าน หรืออาการเป็นเหยื่อของอิหร่าน เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน น่าสนใจในสายตาโลก และน่ากลุ้มใจในสายตาของอเมริกาอย่างยิ่งคือ เมื่อ Mahmoud Ahmadinejad ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของอิหร่าน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.2005

    หลังจากถูกกล่าวหาว่ามีนิวเคลียร์อยู่ในกระเป๋ากางเกงหลายลูก อิหร่านวิ่งพล่านพยายามหาเพื่อนช่วย อิหร่านขอให้อังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมัน ช่วยเจรจากับอเมริกาอยู่หลายปี แต่คำตอบคือความเงียบจากบรรดาผู้ที่คิดว่าเป็นเพื่อนหรือเคยเป็นเพื่อนของอิหร่าน

    Ahmadinejad มีความเห็นว่า เราจะวิ่งพล่านง้อชาวบ้านเขาตลอดเวลา คงไม่ไหว อิหร่านควรพึ่งตัวเอง ยืนบนขาตัวเองเสียที เลิกได้แล้วที่จะไปคอยของ้อ ขอเจรจา ความอยู่รอดของพวกเรา ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของเราเอง และคบเพื่อนให้ถูกคน สมันน้อยน่าจะได้ข้อคิดจากเหยื่อรายนี้บ้าง

    เดือนสิงหาคม ค.ศ.2005 หลังจากรับตำแหน่ง Ahmadinejad ก็ประกาศว่า เราจะเดินหน้าพัฒนาแร่ยูเรเนียมต่อไป และในเดือนมกราคม ค.ศ.2006 การค้นคว้าด้านนิวเคลียร์ที่ Nataz ของอิหร่านก็กลับมาเดินหน้าต่อ

    ในเดือนเมษายน อิหร่านประกาศว่า การพัฒนาแร่ยูเรเนียมของอิหร่านประสบผลสำเร็จอย่างดี IAEA รีบวิ่งไปรายงานสหประชาชาติ

    ภายใต้ Nuclear Non-Proliferation Treaty อิหร่านมีสิทธิจะเสริมสมรรถนะยูเรเนียม เพื่อเป็นพลังงานได้ แต่เทคนิคที่ใช้ในการพัฒนา ก็เป็นประเด็นว่าสามารถพัฒนาเป็นอาวุธนิวเคลียร์ได้หรือไม่

    อเมริกาเต้น พวกเรายอมไม่ได้ เอาเรื่องเข้าสหประชาชาติด่วน และทำการชักใยสหประชาชาติ ให้สั่งอิหร่านหยุดดำเนินการโครงการพัฒนานิวเคลียร์ พร้อมขู่จะใช้กำลัง และเพิ่มการคว่ำบาตรอีกหลายใบ ถ้าอิหร่านไม่เชื่อฟัง

    แต่แล้วก็มีพระเอกสองคนจูงมือกันมาขวางทาง มาแล้วคุณพี่ปูตินกับอาเฮียกระเป๋าใหญ่ ทั้งสองบอกว่า มติเช่นนี้ของสหประชาชาติ มันไม่ได้สร้างสันติหรอกนะ แต่มันเป็นข้ออ้างให้อเมริกาสร้างสงครามมากกว่า

    เดือนพฤษภาคม ค.ศ.2006 อเมริกาเปลี่ยนบท ยอมให้ตัดข้อความในมติของสหประชาชาติ ส่วนที่บอกว่าจะใช้กำลังกับอิหร่านออกไป และพร้อมที่จะเจรจากับอิหร่านเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี ถ้าอิหร่านรับรองว่าจะหยุดโครงการพัฒนาแร่ยูเรเนียม อะไรทำให้อเมริกาเปลี่ยนบทแบบหักมุม จนมุมหัก มันเป็นแผนต้มอิหร่านซ้ำซากหรืออะไรกันแน่
    วันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ.2006 คณะทำงานของกรรมธิการด้านข่าวกรอง ทำหนังสือแจ้งประธานกรรมาธิการ ด้านข่าวกรองประจำสหรัฐอเมริกา ยาวเกือบ 30 หน้า สรุปสั้นๆเอาแต่เนื้อไม่ติดมันว่า อิหร่านกำลังกระทำการ ที่เป็นการท้าทายความมั่นคงของอเมริกาอย่างสูง (ว๊าว ! ) ไม่ว่าจะเรื่องการซุ่มสร้างระเบิดนิวเคลียร์ การแอบทำอาวุธชีวภาพ การสร้างระบบป้องกัน และยิงจรวดวิถีไกล ซึ่งถ้านำระเบิดนิวเคลียร์มาใช้ร่วมกับระบบนี้ หลายบริเวณของโลกต้องร้อนระอุ นี่ยังไม่นับการส่งเสียเลี้ยงกลุ่มเด็กที่ชอบเล่นอาวุธ ที่อิหร่านเลี้ยงดูอยู่หลายกลุ่ม เพื่อเอาไว้แหย่รังแตนในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะแตนแถวอิสราเอล และการเข้าไปกระชับมิตร กอดคอกับกลุ่มเพื่อน สร้างแนวร่วมพระจันทร์เสี้ยว เช่น อิรัก ซีเรีย และเลบานอน พฤติกรรมเช่นนี้ อเมริกาบอกยังไม่รู้จะวางแผนรับมืออย่างไร (อ้าว ! ) เพราะอเมริกาขาดข้อมูล งานด้านข่าวกรองในอิหร่านทำงานไม่ได้ผล

    ที่สำคัญไม่สามารถแน่ใจได้ว่า อิหร่านมีนิวเคลียร์กี่ลูก และระยะยิงไกลขนาดไหน อเมริกาคาดว่า จากการตรวจสอบปริมาณแร่ยูเรเนียมและพลูโตเนียมที่ IAEA ค้นพบ (ยังไม่นับที่ฝังดินซ่อนไว้และยังไม่พบ !) น่าจะทำให้อิหร่านสร้างนิวเคลียร์ได้ไม่น้อยกว่า 12 ลูก (แหม! 2 ลูกก็เกินพอแล้ว) นอกจากนี้ Dr. A.Q. Khan มือพระกาฬในการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ของปากีสถาน สารภาพ (หลังจากถูกเค้นจนต้องคาย) ว่า เขาได้ขายสูตรพิเศษ ในการทำระเบิดนิวเคลียร์ไห้แก่อิหร่าน ลิเบีย และเกาหลีเหนือ ไปเรียบร้อยนานแล้ว

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 กันยายน 2557
    เหยื่อติดคอ ตอนที่ 7 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ” ตอนที่ 7 เดือนมกราคม ค.ศ.2002 คาวบอย Bush กล่าวหาอิหร่านว่ากำลังคิดการใหญ่สะสมอาวุธนิวเคลียร์ เลื่อนอันดับอิหร่านไปอยู่อันดับเดียวกับเด็กแสบเกาหลีเหนือ ถือเป็นการยกย่องอย่างรวดเร็ว อเมริกาบอกมันเป็นภัยต่อความมั่นคงของโลกเชียวล่ะ กุมภาพันธ์ ค.ศ.2003 อิหร่านยอมรับว่ากำลังสร้างโรง งานพัฒนาแร่ยูเรเนียม 2 โรง แต่เมื่อ Atomic Energy Agency (IAEA) บอกให้หยุด อิหร่านก็หยุด แต่อเมริกาไม่หยุด กล่าวหาต่อไปว่า อิหร่านกำลังสร้างอาวุธนิวเคลียร์แน่นอน อเมริกาไม่ยอม มันต้องมีสิ อเมริกาว่ามีก็ต้องมี อเมริกาไม่สนใจหรอกอิหร่านมีนิวเคลียร์กี่ลูก แต่มันเสียหน้า เข้าใจไหม พฤษภาคม ค.ศ.2003 อิหร่านยอมอ่อนข้อ ขอเจรจากับอเมริกา ขอให้อเมริกาเลิกการคว่ำบาตร ปลดชื่ออิหร่านจากป้ายผู้ก่อการร้าย เราดีกันนะอย่าโกรธกันต่อไปเลย เราอิหร่านก็จะยอมตามใจอเมริกา ในตะวันออกกลาง เราไม่ขวาง ไม่ขัดคออีกแล้วล่ะ อิหร่านยอมแพ้กระทั่งหยุดเดินหน้าการสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ และให้อเมริกาตรวจสอบตามสบายว่าไม่มีนิวเคลียร์ซักลูกอยู่ในกระเป๋ากางเกง นอกจากนี้ก็จะไม่ยุ่ง ไม่ยุพวกฮามาสในอิสราเอลด้วย อะไรอีกล่ะ อ้อ เราจะเดินหน้าเป็นประชาธิปไตย เราจะให้ความร่วมมือ ฯลฯ สาระพัดอิหร่านจะยอม ข้ออ่อนจนยืนไม่ตรง คาวบอย Bush ไม่รับข้อเสนอ ปฏิเสธที่จะเจรจากับอิหร่าน นี่มันนึกว่ากำลังเล่นขี่วัวมาราธอนอยู่หรือไงนะ รัฐบาล Bush คิดว่าตัวเองกำลังถือไพ่เหนือมืออิหร่าน สายเหยี่ยวคิดว่าการสั่งสอนอิรัก จะทำให้อิหร่านดีฝ่อ อเมริกาคิดว่าการหนุนและชุบเลี้ยงพวกชีอ่ะในอิรัก (ซึ่งมีจำนวนถึง 60% ของชาวอิรัก) โดยเฉพาะพวกที่อยู่ที่ Najaf และ Karbala จะทำให้พวกชีอ่ะเหล่านี้ไม่เข้าพวกกับอิหร่าน เพราะติดใจอาหารที่อเมริกาใช้เลี้ยง อเมริการู้สึกจะประเมินผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ การบุกขยี้อิรัก ทำให้ชาวตะวันออกกลางยิ่งรังเกียจอเมริกา และเริ่มรวมตัวกันทั้งนิกายชีอ่ะและสุนหนี่ ทำให้กลุ่มอิสลามเคร่งครัดยิ่งเข้มแข็งขึ้นและใหญ่ขึ้น แม้อิหร่านจะไม่แสดงอาการท้าทายอเมริกาอย่างตรงๆ แต่อิหร่านมีนโยบายสนับสนุนทั้งอาวุธและทุนให้กับกลุ่มชีอ่ะในอิรัก รวมทั้งสนับสนุนรัฐบาลผสม Maliki ซึ่งเป็นตัวเลือกของอเมริกาในอิรัก ในปี ค.ศ.2005 มีการเลือกตั้งในอิรัก ซึ่งอำนวยการสร้างโดยอเมริกา CIA รายงานว่า อิหร่านส่งเงินสนับสนุนพวกชีอ่ะจำนวน 11 ล้านเหรียญต่อสัปดาห์ เพื่อสร้างฐานเสียงให้แก่ชีอ่ะ ซึ่งในที่สุดก็ได้คะแนนเสียงข้างมากในการเลือกตั้ง ถึงอิหร่านจะไม่ได้ประกาศท้าทายอเมริกาโดยตรง แต่ดูเหมือนการกระทำของอิหร่านจะชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้ตำแหน่งการยืนของอิหร่าน หรืออาการเป็นเหยื่อของอิหร่าน เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน น่าสนใจในสายตาโลก และน่ากลุ้มใจในสายตาของอเมริกาอย่างยิ่งคือ เมื่อ Mahmoud Ahmadinejad ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของอิหร่าน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.2005 หลังจากถูกกล่าวหาว่ามีนิวเคลียร์อยู่ในกระเป๋ากางเกงหลายลูก อิหร่านวิ่งพล่านพยายามหาเพื่อนช่วย อิหร่านขอให้อังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมัน ช่วยเจรจากับอเมริกาอยู่หลายปี แต่คำตอบคือความเงียบจากบรรดาผู้ที่คิดว่าเป็นเพื่อนหรือเคยเป็นเพื่อนของอิหร่าน Ahmadinejad มีความเห็นว่า เราจะวิ่งพล่านง้อชาวบ้านเขาตลอดเวลา คงไม่ไหว อิหร่านควรพึ่งตัวเอง ยืนบนขาตัวเองเสียที เลิกได้แล้วที่จะไปคอยของ้อ ขอเจรจา ความอยู่รอดของพวกเรา ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของเราเอง และคบเพื่อนให้ถูกคน สมันน้อยน่าจะได้ข้อคิดจากเหยื่อรายนี้บ้าง เดือนสิงหาคม ค.ศ.2005 หลังจากรับตำแหน่ง Ahmadinejad ก็ประกาศว่า เราจะเดินหน้าพัฒนาแร่ยูเรเนียมต่อไป และในเดือนมกราคม ค.ศ.2006 การค้นคว้าด้านนิวเคลียร์ที่ Nataz ของอิหร่านก็กลับมาเดินหน้าต่อ ในเดือนเมษายน อิหร่านประกาศว่า การพัฒนาแร่ยูเรเนียมของอิหร่านประสบผลสำเร็จอย่างดี IAEA รีบวิ่งไปรายงานสหประชาชาติ ภายใต้ Nuclear Non-Proliferation Treaty อิหร่านมีสิทธิจะเสริมสมรรถนะยูเรเนียม เพื่อเป็นพลังงานได้ แต่เทคนิคที่ใช้ในการพัฒนา ก็เป็นประเด็นว่าสามารถพัฒนาเป็นอาวุธนิวเคลียร์ได้หรือไม่ อเมริกาเต้น พวกเรายอมไม่ได้ เอาเรื่องเข้าสหประชาชาติด่วน และทำการชักใยสหประชาชาติ ให้สั่งอิหร่านหยุดดำเนินการโครงการพัฒนานิวเคลียร์ พร้อมขู่จะใช้กำลัง และเพิ่มการคว่ำบาตรอีกหลายใบ ถ้าอิหร่านไม่เชื่อฟัง แต่แล้วก็มีพระเอกสองคนจูงมือกันมาขวางทาง มาแล้วคุณพี่ปูตินกับอาเฮียกระเป๋าใหญ่ ทั้งสองบอกว่า มติเช่นนี้ของสหประชาชาติ มันไม่ได้สร้างสันติหรอกนะ แต่มันเป็นข้ออ้างให้อเมริกาสร้างสงครามมากกว่า เดือนพฤษภาคม ค.ศ.2006 อเมริกาเปลี่ยนบท ยอมให้ตัดข้อความในมติของสหประชาชาติ ส่วนที่บอกว่าจะใช้กำลังกับอิหร่านออกไป และพร้อมที่จะเจรจากับอิหร่านเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี ถ้าอิหร่านรับรองว่าจะหยุดโครงการพัฒนาแร่ยูเรเนียม อะไรทำให้อเมริกาเปลี่ยนบทแบบหักมุม จนมุมหัก มันเป็นแผนต้มอิหร่านซ้ำซากหรืออะไรกันแน่ วันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ.2006 คณะทำงานของกรรมธิการด้านข่าวกรอง ทำหนังสือแจ้งประธานกรรมาธิการ ด้านข่าวกรองประจำสหรัฐอเมริกา ยาวเกือบ 30 หน้า สรุปสั้นๆเอาแต่เนื้อไม่ติดมันว่า อิหร่านกำลังกระทำการ ที่เป็นการท้าทายความมั่นคงของอเมริกาอย่างสูง (ว๊าว ! ) ไม่ว่าจะเรื่องการซุ่มสร้างระเบิดนิวเคลียร์ การแอบทำอาวุธชีวภาพ การสร้างระบบป้องกัน และยิงจรวดวิถีไกล ซึ่งถ้านำระเบิดนิวเคลียร์มาใช้ร่วมกับระบบนี้ หลายบริเวณของโลกต้องร้อนระอุ นี่ยังไม่นับการส่งเสียเลี้ยงกลุ่มเด็กที่ชอบเล่นอาวุธ ที่อิหร่านเลี้ยงดูอยู่หลายกลุ่ม เพื่อเอาไว้แหย่รังแตนในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะแตนแถวอิสราเอล และการเข้าไปกระชับมิตร กอดคอกับกลุ่มเพื่อน สร้างแนวร่วมพระจันทร์เสี้ยว เช่น อิรัก ซีเรีย และเลบานอน พฤติกรรมเช่นนี้ อเมริกาบอกยังไม่รู้จะวางแผนรับมืออย่างไร (อ้าว ! ) เพราะอเมริกาขาดข้อมูล งานด้านข่าวกรองในอิหร่านทำงานไม่ได้ผล ที่สำคัญไม่สามารถแน่ใจได้ว่า อิหร่านมีนิวเคลียร์กี่ลูก และระยะยิงไกลขนาดไหน อเมริกาคาดว่า จากการตรวจสอบปริมาณแร่ยูเรเนียมและพลูโตเนียมที่ IAEA ค้นพบ (ยังไม่นับที่ฝังดินซ่อนไว้และยังไม่พบ !) น่าจะทำให้อิหร่านสร้างนิวเคลียร์ได้ไม่น้อยกว่า 12 ลูก (แหม! 2 ลูกก็เกินพอแล้ว) นอกจากนี้ Dr. A.Q. Khan มือพระกาฬในการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ของปากีสถาน สารภาพ (หลังจากถูกเค้นจนต้องคาย) ว่า เขาได้ขายสูตรพิเศษ ในการทำระเบิดนิวเคลียร์ไห้แก่อิหร่าน ลิเบีย และเกาหลีเหนือ ไปเรียบร้อยนานแล้ว สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 กันยายน 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพล่าสุดหลังการโจมตีของรัสเซียของอาคารโรงงาน Sparrow ภายในศูนย์อุตสาหกรรมในภูมิภาคลวิฟ (Lviv) ทางตะวันตกของยูเครน เขตติดต่อกับโปแลนด์

    สถานที่แห่งนี้หน่วยข่าวกรองรัสเซียยืนยันว่าเป็นศูนย์กลางการขนส่งและโลจิสติกส์สำหรับอาวุธของนาโต้ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง
    ภาพล่าสุดหลังการโจมตีของรัสเซียของอาคารโรงงาน Sparrow ภายในศูนย์อุตสาหกรรมในภูมิภาคลวิฟ (Lviv) ทางตะวันตกของยูเครน เขตติดต่อกับโปแลนด์ สถานที่แห่งนี้หน่วยข่าวกรองรัสเซียยืนยันว่าเป็นศูนย์กลางการขนส่งและโลจิสติกส์สำหรับอาวุธของนาโต้ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 1”
    การแบ่งเค้กตะวันออกกลาง ระหว่างประเทศผู้ชนะสงคราม ดูเหมือนจะยังไม่ลงตัว เดือนเมษายน ค.ศ. 1920 รัฐมนตรีต่างประเทศที่ชนะสงคราม แอบจัดประชุมกันอีกที่ San Remo ประเทศอิตาลี โดยไม่มีผู้แทนของอเมริกาได้รับเชิญให้เข้าประชุมด้วย !

ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ หัวเรือใหญ่บอก อเมริกามาที่หลัง ไม่เกี่ยวกับเรื่องการแบ่งเค้กที่ได้มาจากการทะลายออตโตมานนี่นา เขามาเกี่ยวตรงไหน เราเป็นคนคิดริเริ่มนะ (เอะ ! พูดแบบนี้ เดี๋ยวสวยแน่ อเมริกาเพิ่งเขี้ยวงอกก็จริง แต่เป็นเขี้ยวเล็กและแหลมคม อย่าได้ประมาทเชียว) การประชุมที่ San Remo จึงเป็นการกำหนดและการกำกับ โดย นายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และประธานาธิบดีฝรั่งเศส Alexander Millerand ซึ่งไว้ใจกันเองมาก ถึงขนาดเดินประกบกันทุกฝีก้าว เข้าใจว่าใครไปเข้าห้องน้ำ อีกคนคงต้องตามไปด้วย
    เพื่อเป็นการปิดปากฝรั่งเศส อังกฤษตัดใจประกาศอย่างเป็นทางการ ต่อหน้าที่ประชุม เรา อังกฤษ ยินดียกหุ้นในบริษัทที่ได้สัมปทานน้ำมันในเมโสโปเตเมีย ให้แก่ฝรั่งเศส มิตรรักร่วมรบ เอาไปเลย 25% ของบริษัท เป็นของขวัญจากเรา แต่เมโสโปเตเมีย ต้องอยู่ในความดูแลของเราอังกฤษ ตกลงตามนี้นะ
    มันเป็นหุ้น 25% ของ Turkish Petroleum Gesellshaft ที่ Deutsche Bank ตั้งขึ้นภายหลังที่ออตโตมานให้ สิทธิ 20 กิโลเมตร 2 ข้างทางรถไฟ (Right of way) ของเส้นทาง Berlin Bagdad ส่วนอีก 75% แน่นอน ชาวเกาะบอก ต้องเป็นของเรา โดยมอบให้ Anglo Persian Oil ที่ไปหลอกต้มมาจาก นาย D’Arcy ผู้น่าสมเพชนั่นแหละ เป็นผู้รับโอนไป
    นี่มันทั้งขยี้เขา แล้วยังขโมยของในบ้านเขาต่ออีกด้วย สันดานแบบนี้ เป็นคนก็คบไม่ได้เลย
    San Remo Agreement เป็นฝีมือวางแผนของคน ที่ได้ชื่อต่อมาว่า เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ในสมัยนั้น เขาคือ Sir Henry Deterding
    นาย Deterding เป็นชาวดัชท์ เขาเป็นอีกคนหนึ่ง นอกเหนือจากกัปตัน Fisher ที่เห็นคุณค่า และอานุภาพของน้ำมัน ว่าจะเป็นทรัพยากรที่จะเป็นอาวุธสำคัญ ในการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ !
    นาย Deterding ทำงานให้รัฐบาลดัชท์ ในบริษัท Dutch East Indies ที่เกาะสุมาตรา ซึ่งเป็นอาณานิคมของดัชท์ขณะนั้น สุมาตราก็มีน้ำมันตะเกียง นาย Deterding จึงตั้งบริษัทผลิตน้ำมันตะเกียง จากน้ำมันอินโดนีเซีย ชื่อบริษัท Royal Dutch Oil Company
    เมื่อธุรกิจนำมันของเขาก้าวหน้า มากขึ้น ค.ศ. 1897 นาย Deterding ตัดสินใจควบบริษัท Royal Dutch Oil Company เข้ากับบริษัท Shell Transport & Trading Company ของนาย Marcus Samuel (ซึ่งต่อมาได้เป็น Lord Bearsted) ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการเรือขนส่งสินค้า และเป็นผู้ริเริ่มสร้างแท้งค์บรรจุน้ำมัน การควบรวมบริษัทนี้ ทำให้เกิดเป็นบริษัท Royal Dutch Shell Company ยักษ์ใหญ่ในวงการน้ำมันของอังกฤษ และทำให้อังกฤษผงาดขึ้นมาเป็นผู้ค้าน้ำมันระดับโลก และในที่สุด เป็นคู่แข่งแบบเผ็ดร้อนกับ Standard Oil Group ของตระกูล Rockefeller ในอเมริกา
    ความสำเร็จของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ในกิจการน้ำมัน มาจากการวางแผนและสนับสนุนเกินร้อยของรัฐบาลอังกฤษ ภายใต้แผนการใช้ตัวแทน ให้เข้าไปดำเนินการฝังตัวตามที่ต่าง ๆ เพื่อหาข่าวกรอง และปฎิบัติการลับไปเกือบทุกแห่งในโลก นาย Deterding เองนั้น ภายหลังก็มีข่าวหลุดมาว่า แท้จริงแล้ว เขาสังกัดอยู่ในหน่วยราชการลับของอังกฤษตั้งแต่ต้น ถูกส่งให้ไปทำงานตั้งแต่ที่เกาะสุมาตรา ไม่งั้นมันจะไปควบรวม บริษัทใหญ่อย่างนั้นได้ ง่าย ๆ อย่างไร
    ค.ศ. 1912 ก่อนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษมีส่วนแบ่งในตลาดน้ำมันโลก เพียง 12 % หลังสงครามโลก ภายหลังจากการล่าเหยื่อ หลอกเหยื่อ ขยี้เหยื่อ จนเหลือแต่ซากแล้ว ค.ศ. 1925 อังกฤษกลายเป็นขาใหญ่ในวงการน้ำมันโลก ที่กำลังจะมาแรง
    ปฎิบัติการ San Remo นาย Deterding ทำงานร่วมกับ Sir John Cadman ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาลอังกฤษ เข้าไปดูแล Anglo Persian Oil Company ทั้ง 2 คน เดินสายนอกรอบ ทั้งหว่าน ทั้งล้อมฝรั่งเศส ให้ฝรั่งเศสรับ 25% ของหุ้นใน Turkish Petroleum ไป แทนการเอาเมือง Mosul ฝรั่งเศส เหมือนเด็กได้อมยิ้มไป 1 กล่องในวันเดียว ดีใจเกือบตาย แทนที่จะได้ทั้งกล่องทุกวันไปตลอดชีวิต
    และด้วยอมยิ้ม 1 กล่อง ฝรั่งเศสใจป้ำ ตกลงว่าถ้าขุดน้ำมันเจอจริง และจะต้องวางท่อส่งน้ำมัน ผ่านมาทางซีเรีย ซึ่งฝรั่งเศสได้สิทธิปกครอง ฝรั่งเศสบอกเรายินดีนะ และภาษีอะไรที่ต้องมีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฝรั่งเศสยกเว้นให้หมด เป็นการตอบแทน เอ้อ ! เซ่อได้สมใจ เคี้ยวนุ่มอร่อยนาน
    อังกฤษมองไกล ต่อไปนี้ ตะวันออกกลาง เค้กทั้งก้อน ไม่ใช่แค่ชิ้นเดียว ต้องไม่พ้นมือเรา
    San Remo Agreement ยังใส่เงื่อนไขไว้ในสัญญาด้วยอีกว่า ต่างชาติอื่นนอกเหนือไปจากนี้ ไม่มีสิทธิมาขุดเจาะ เสาะหาน้ำมันในอาณาบริเวณเมโส โปเตเมีย เขียนแบบนี้ แปลว่า อเมริกาอย่ามาแหยม ! ไม่เชิญเขามาร่วมประชุม ก็หน้าด้านมากพอ แต่นี่ถึงขนาดตัดขาด จากการงานกินเค้ก ในอนาคตด้วยนี่ มันชักส่ออาการตระกรามมากไป
    นอกจากกันอเมริกาออกไปแล้ว San Remo Agreement ยังระบุด้วยว่า ในเรื่องน้ำมันที่โรมาเนีย และที่รัสเซีย ฝรั่งเศสจะต้องให้ความร่วมมือกับอังกฤษ ตามที่อังกฤษจูงอีกด้วย ข้อตกลงแบบนี้เหมือนการปฏิวัติเงียบ เกี่ยวกับน้ำมันในเมโสโปเตเมีย โดยชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ฯ เลยทีเดียว
    เมื่อกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา รู้เรื่องการวางไม้ขวางของอังกฤษ จึงทำหนังสือประท้วงการตัดสิทธิของ American Standard Oil ออกไปจากสัมปทานในเมโสโปเตเมีย รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ขณะนั้น Lord Curzon ทำหนังสือลงวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1921 แจ้งไปยังทูตอังกฤษที่ประจำอยู่ในวอชิตัน ให้ไปแจ้งต่ออเมริกาว่า อังกฤษเสียใจจริง ๆ ที่ไม่สามารถจะจัดการให้บริษัทน้ำมันอเมริกัน ได้รับสัมปทานในตะวันออกกลางได้
    เด็ดขาดจริงลูกพี่ ! เขียนได้เด็ด ! แต่จะขาดกันแค่ไหน เห็นจะต้องดูกันต่อไป นั่นมันเรื่อง 100 ปีมาแล้ว
    San Remo Agreement น่าจะเป็นหัวเชื้อ ในการทำสงครามชิงน้ำมัน ในตะวันออกกลางระหว่างอังกฤษกับอเมริกา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยเหยื่อที่เป็นเจ้าของน้ำมันตัวจริง ในตะวันออกกลางคงยังกำลังงง ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรกับพวกตน และดินแดนของพวกตน และไม่รู้ว่าบัดนี้ยังจะเข้าใจกันมากน้อยแค่ไหน ! ?
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
11 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 1” การแบ่งเค้กตะวันออกกลาง ระหว่างประเทศผู้ชนะสงคราม ดูเหมือนจะยังไม่ลงตัว เดือนเมษายน ค.ศ. 1920 รัฐมนตรีต่างประเทศที่ชนะสงคราม แอบจัดประชุมกันอีกที่ San Remo ประเทศอิตาลี โดยไม่มีผู้แทนของอเมริกาได้รับเชิญให้เข้าประชุมด้วย !

ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ หัวเรือใหญ่บอก อเมริกามาที่หลัง ไม่เกี่ยวกับเรื่องการแบ่งเค้กที่ได้มาจากการทะลายออตโตมานนี่นา เขามาเกี่ยวตรงไหน เราเป็นคนคิดริเริ่มนะ (เอะ ! พูดแบบนี้ เดี๋ยวสวยแน่ อเมริกาเพิ่งเขี้ยวงอกก็จริง แต่เป็นเขี้ยวเล็กและแหลมคม อย่าได้ประมาทเชียว) การประชุมที่ San Remo จึงเป็นการกำหนดและการกำกับ โดย นายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และประธานาธิบดีฝรั่งเศส Alexander Millerand ซึ่งไว้ใจกันเองมาก ถึงขนาดเดินประกบกันทุกฝีก้าว เข้าใจว่าใครไปเข้าห้องน้ำ อีกคนคงต้องตามไปด้วย เพื่อเป็นการปิดปากฝรั่งเศส อังกฤษตัดใจประกาศอย่างเป็นทางการ ต่อหน้าที่ประชุม เรา อังกฤษ ยินดียกหุ้นในบริษัทที่ได้สัมปทานน้ำมันในเมโสโปเตเมีย ให้แก่ฝรั่งเศส มิตรรักร่วมรบ เอาไปเลย 25% ของบริษัท เป็นของขวัญจากเรา แต่เมโสโปเตเมีย ต้องอยู่ในความดูแลของเราอังกฤษ ตกลงตามนี้นะ มันเป็นหุ้น 25% ของ Turkish Petroleum Gesellshaft ที่ Deutsche Bank ตั้งขึ้นภายหลังที่ออตโตมานให้ สิทธิ 20 กิโลเมตร 2 ข้างทางรถไฟ (Right of way) ของเส้นทาง Berlin Bagdad ส่วนอีก 75% แน่นอน ชาวเกาะบอก ต้องเป็นของเรา โดยมอบให้ Anglo Persian Oil ที่ไปหลอกต้มมาจาก นาย D’Arcy ผู้น่าสมเพชนั่นแหละ เป็นผู้รับโอนไป นี่มันทั้งขยี้เขา แล้วยังขโมยของในบ้านเขาต่ออีกด้วย สันดานแบบนี้ เป็นคนก็คบไม่ได้เลย San Remo Agreement เป็นฝีมือวางแผนของคน ที่ได้ชื่อต่อมาว่า เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ในสมัยนั้น เขาคือ Sir Henry Deterding นาย Deterding เป็นชาวดัชท์ เขาเป็นอีกคนหนึ่ง นอกเหนือจากกัปตัน Fisher ที่เห็นคุณค่า และอานุภาพของน้ำมัน ว่าจะเป็นทรัพยากรที่จะเป็นอาวุธสำคัญ ในการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ ! นาย Deterding ทำงานให้รัฐบาลดัชท์ ในบริษัท Dutch East Indies ที่เกาะสุมาตรา ซึ่งเป็นอาณานิคมของดัชท์ขณะนั้น สุมาตราก็มีน้ำมันตะเกียง นาย Deterding จึงตั้งบริษัทผลิตน้ำมันตะเกียง จากน้ำมันอินโดนีเซีย ชื่อบริษัท Royal Dutch Oil Company เมื่อธุรกิจนำมันของเขาก้าวหน้า มากขึ้น ค.ศ. 1897 นาย Deterding ตัดสินใจควบบริษัท Royal Dutch Oil Company เข้ากับบริษัท Shell Transport & Trading Company ของนาย Marcus Samuel (ซึ่งต่อมาได้เป็น Lord Bearsted) ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการเรือขนส่งสินค้า และเป็นผู้ริเริ่มสร้างแท้งค์บรรจุน้ำมัน การควบรวมบริษัทนี้ ทำให้เกิดเป็นบริษัท Royal Dutch Shell Company ยักษ์ใหญ่ในวงการน้ำมันของอังกฤษ และทำให้อังกฤษผงาดขึ้นมาเป็นผู้ค้าน้ำมันระดับโลก และในที่สุด เป็นคู่แข่งแบบเผ็ดร้อนกับ Standard Oil Group ของตระกูล Rockefeller ในอเมริกา ความสำเร็จของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ในกิจการน้ำมัน มาจากการวางแผนและสนับสนุนเกินร้อยของรัฐบาลอังกฤษ ภายใต้แผนการใช้ตัวแทน ให้เข้าไปดำเนินการฝังตัวตามที่ต่าง ๆ เพื่อหาข่าวกรอง และปฎิบัติการลับไปเกือบทุกแห่งในโลก นาย Deterding เองนั้น ภายหลังก็มีข่าวหลุดมาว่า แท้จริงแล้ว เขาสังกัดอยู่ในหน่วยราชการลับของอังกฤษตั้งแต่ต้น ถูกส่งให้ไปทำงานตั้งแต่ที่เกาะสุมาตรา ไม่งั้นมันจะไปควบรวม บริษัทใหญ่อย่างนั้นได้ ง่าย ๆ อย่างไร ค.ศ. 1912 ก่อนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษมีส่วนแบ่งในตลาดน้ำมันโลก เพียง 12 % หลังสงครามโลก ภายหลังจากการล่าเหยื่อ หลอกเหยื่อ ขยี้เหยื่อ จนเหลือแต่ซากแล้ว ค.ศ. 1925 อังกฤษกลายเป็นขาใหญ่ในวงการน้ำมันโลก ที่กำลังจะมาแรง ปฎิบัติการ San Remo นาย Deterding ทำงานร่วมกับ Sir John Cadman ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาลอังกฤษ เข้าไปดูแล Anglo Persian Oil Company ทั้ง 2 คน เดินสายนอกรอบ ทั้งหว่าน ทั้งล้อมฝรั่งเศส ให้ฝรั่งเศสรับ 25% ของหุ้นใน Turkish Petroleum ไป แทนการเอาเมือง Mosul ฝรั่งเศส เหมือนเด็กได้อมยิ้มไป 1 กล่องในวันเดียว ดีใจเกือบตาย แทนที่จะได้ทั้งกล่องทุกวันไปตลอดชีวิต และด้วยอมยิ้ม 1 กล่อง ฝรั่งเศสใจป้ำ ตกลงว่าถ้าขุดน้ำมันเจอจริง และจะต้องวางท่อส่งน้ำมัน ผ่านมาทางซีเรีย ซึ่งฝรั่งเศสได้สิทธิปกครอง ฝรั่งเศสบอกเรายินดีนะ และภาษีอะไรที่ต้องมีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฝรั่งเศสยกเว้นให้หมด เป็นการตอบแทน เอ้อ ! เซ่อได้สมใจ เคี้ยวนุ่มอร่อยนาน อังกฤษมองไกล ต่อไปนี้ ตะวันออกกลาง เค้กทั้งก้อน ไม่ใช่แค่ชิ้นเดียว ต้องไม่พ้นมือเรา San Remo Agreement ยังใส่เงื่อนไขไว้ในสัญญาด้วยอีกว่า ต่างชาติอื่นนอกเหนือไปจากนี้ ไม่มีสิทธิมาขุดเจาะ เสาะหาน้ำมันในอาณาบริเวณเมโส โปเตเมีย เขียนแบบนี้ แปลว่า อเมริกาอย่ามาแหยม ! ไม่เชิญเขามาร่วมประชุม ก็หน้าด้านมากพอ แต่นี่ถึงขนาดตัดขาด จากการงานกินเค้ก ในอนาคตด้วยนี่ มันชักส่ออาการตระกรามมากไป นอกจากกันอเมริกาออกไปแล้ว San Remo Agreement ยังระบุด้วยว่า ในเรื่องน้ำมันที่โรมาเนีย และที่รัสเซีย ฝรั่งเศสจะต้องให้ความร่วมมือกับอังกฤษ ตามที่อังกฤษจูงอีกด้วย ข้อตกลงแบบนี้เหมือนการปฏิวัติเงียบ เกี่ยวกับน้ำมันในเมโสโปเตเมีย โดยชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ฯ เลยทีเดียว เมื่อกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา รู้เรื่องการวางไม้ขวางของอังกฤษ จึงทำหนังสือประท้วงการตัดสิทธิของ American Standard Oil ออกไปจากสัมปทานในเมโสโปเตเมีย รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ขณะนั้น Lord Curzon ทำหนังสือลงวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1921 แจ้งไปยังทูตอังกฤษที่ประจำอยู่ในวอชิตัน ให้ไปแจ้งต่ออเมริกาว่า อังกฤษเสียใจจริง ๆ ที่ไม่สามารถจะจัดการให้บริษัทน้ำมันอเมริกัน ได้รับสัมปทานในตะวันออกกลางได้ เด็ดขาดจริงลูกพี่ ! เขียนได้เด็ด ! แต่จะขาดกันแค่ไหน เห็นจะต้องดูกันต่อไป นั่นมันเรื่อง 100 ปีมาแล้ว San Remo Agreement น่าจะเป็นหัวเชื้อ ในการทำสงครามชิงน้ำมัน ในตะวันออกกลางระหว่างอังกฤษกับอเมริกา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยเหยื่อที่เป็นเจ้าของน้ำมันตัวจริง ในตะวันออกกลางคงยังกำลังงง ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรกับพวกตน และดินแดนของพวกตน และไม่รู้ว่าบัดนี้ยังจะเข้าใจกันมากน้อยแค่ไหน ! ? สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
11 ก.ย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 342 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 7
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 7”
    สงครามโลกครั้งที่ 1 ในสายตาของผู้ดูละคร หรือแม้แต่ผู้ร่วมเล่นละครสงครามฉากนี้ด้วยกัน ก็อาจจะไม่รู้ว่า สงครามโลกนั้น มันเป็นฉากบังหน้าของการเข้าไปแย่งชิงน้ำมัน มันเป็นสงครามชิงน้ำมันครั้งแรก และแน่นอนไม่ใช่ครั้งสุดท้าย น้ำมันจึงกลายเป็นอาวุธสำคัญ ที่ตัดสินการแพ้ชนะของสงครามโลกครั้งนั้น และในสงครามโลกครั้งต่อๆไป อีกด้วยเช่นกัน

ในระหว่างที่ทำสงครามช่วง ค.ศ. 1914 ถึง 1918 กองทัพทั้ง 2 ฝ่าย ต่างวางแผนที่จะเข้าไปชิงน้ำมัน เพื่อเอามาใช้ในการต่อสู้ เยอรมันสั่งผนึกท่อส่งน้ำมันในพวกตัวเองผ่านรูมาเนีย และการรบที่ Dardanelles ก็เป็นสนามรบที่มุ่งหมายจะชิงน้ำมันกันทั้ง 2 ฝ่าย
    สำหรับด้านออตโตมานและเยอรมัน Dardanelles เป็นทางไปสู่รัสเซีย ที่มีน้ำมันอยู่ที่ Baku ปิดช่องทางนี้ อังกฤษก็ขึ้นไปเอาน้ำมันไม่ได้ รัสเซียก็เอาน้ำมันลงมาส่งพรรคพวกไม่ได้เช่นกัน
    เช่นเดียวกับอังกฤษ ก็หวังทะลวงผ่านช่องทางนี้ เพื่อไปเอาน้ำมันที่รัสเซีย และสกัดการควบคุมของออตโตมาน เยอรมัน ดังนั้นการสู้รบที่ Dardanelles จึงเข้มข้นสาหัส
    เมื่ออังกฤษผ่านด่าน Dardanelles ไม่ได้ เหยื่อที่ต้องรับกรรมไปเต็ม ๆ จึงเป็นพวกอาหรับของ Sharif of Hejaz ที่ถูกหลอกให้มาตายแทนพวกฝรั่ง ที่พวกเขานึกว่าจะมาช่วยปลดปล่อยพวกเขา จากการปกครองของพวกเตอร์ก ที่พวกเขาแสนจะระอา แต่มันคงเจ็บช้ำหนักหนาสาหัสกว่า ถ้าพวกอาหรับรู้ว่า พวกเขาถูกหลอกให้มารบแทน และตายแทน พวกนักล่าอาณานิคม ที่กำลังจะมาขโมยน้ำมัน ทรัพยากรอันมีค่าที่เลี้ยงชีวิตพวกเขาด้วยซ้ำ มันเป็นการหลอกลวง ที่ผลของมันทำลายยิ่งกว่าความฝัน แต่เป็นการทำลายให้หัวใจสลายไปด้วย
    นอกเหนือจากการทำลาย และการเฉือนอาณาจักรออตโตมาน แบ่งกันเองในระหว่างผู้ชนะแล้ว ในการแบ่งเค้กตะวันออกกลาง อังกฤษยังต้มคู่หู คู่กัด ที่หลอกมาให้ช่วยรบ คือ ฝรั่งเศส จนเปื่อยยุ่ยอีกด้วย
    ตามสัญญาสุดชั่ว Sykes-Picot ฝรั่งเศสจะต้องได้ Mosul แหล่งน้ำมันใหญ่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือไปด้วย ก็ Mosul ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ใน CNN ทุกวัน ๆ ละ 24 ชั่วโมงนั่นแหละ ซึ่งตอนนั้นได้มีการให้สัมปทานน้ำมันแก่ Turkish Petroleum ซึ่งถือหุ้นโดย Deutsche Bank ไปแล้ว มาบัดนี้เป็นที่ประจักษ์เกินชัด แล้วว่า Mosul นั้นอุดมน้ำมัน ขนาดไหน ตอนนี้ใครกำลังแย่งชิงกับใคร อย่างได้หลงประเด็นเกี่ยวกับ Mosul ที่ CNN กำลังย้อมสีข่าวเป็นอันขาดเชียว
อังกฤษกลับไปต่อรองกับฝรั่งเศสใหม่ใน ค.ศ. 1918 ขณะนั้นฝรั่งเศสกำลังโทรมจัดจากการรบ อังกฤษก็ใช่ว่าจะอยู่ในสภาพที่ ดีกว่า แต่เพื่อฉากสำคัญ ลงทุนรบมา 4 ปี เตรียมตัวล่วงหน้ามาหลายปี ก็เพื่อจะมาเอารางวัลใหญ่ ที่ชื่อ Mosul นี่แหละ จะให้หลุดมือได้อย่างไร
    อังกฤษใช้บทเดิมกับฝรั่งเศษ เรื่อง Mosul อังกฤษบอก ที่ฝรั่งเศส เลือก Mosul ไว้น่ะ มันเป็นถิ่นที่ยังไม่เจริญนะ ไม่เหมือนซีเรีย ถึงมีข่าวว่ามีน้ำมัน ก็แสนจะเลื่อนลอย เพื่อนกำลังผอมโซอย่างนี้ เอาอะไรที่มันแน่นอน จากเยอรมันไม่ดีกว่าหรือ ไม่ต้องลงแรงมาก เราจะช่วยสนับสนุน ถ้าฝรั่งเศสไม่เอา Mosul เราจะยอมลงแรงขุดหาน้ำมันให้เอง และถ้าโชคดีเจอ เราจะแบ่งรายได้ จากการขุดน้ำมันให้
    งานข่าวกรองของฝรั่งเศส คงจะทำงานสู้ของอังกฤษไม่ได้ ฝรั่งเศสเสียค่าโง่ตามเคย ยอมยก Mosul ให้อังกฤษ ถึง 100 ปีผ่านไป ฝรั่งเศสก็คงยังไม่หายกระอักโลหิต !
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 7 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 7” สงครามโลกครั้งที่ 1 ในสายตาของผู้ดูละคร หรือแม้แต่ผู้ร่วมเล่นละครสงครามฉากนี้ด้วยกัน ก็อาจจะไม่รู้ว่า สงครามโลกนั้น มันเป็นฉากบังหน้าของการเข้าไปแย่งชิงน้ำมัน มันเป็นสงครามชิงน้ำมันครั้งแรก และแน่นอนไม่ใช่ครั้งสุดท้าย น้ำมันจึงกลายเป็นอาวุธสำคัญ ที่ตัดสินการแพ้ชนะของสงครามโลกครั้งนั้น และในสงครามโลกครั้งต่อๆไป อีกด้วยเช่นกัน

ในระหว่างที่ทำสงครามช่วง ค.ศ. 1914 ถึง 1918 กองทัพทั้ง 2 ฝ่าย ต่างวางแผนที่จะเข้าไปชิงน้ำมัน เพื่อเอามาใช้ในการต่อสู้ เยอรมันสั่งผนึกท่อส่งน้ำมันในพวกตัวเองผ่านรูมาเนีย และการรบที่ Dardanelles ก็เป็นสนามรบที่มุ่งหมายจะชิงน้ำมันกันทั้ง 2 ฝ่าย สำหรับด้านออตโตมานและเยอรมัน Dardanelles เป็นทางไปสู่รัสเซีย ที่มีน้ำมันอยู่ที่ Baku ปิดช่องทางนี้ อังกฤษก็ขึ้นไปเอาน้ำมันไม่ได้ รัสเซียก็เอาน้ำมันลงมาส่งพรรคพวกไม่ได้เช่นกัน เช่นเดียวกับอังกฤษ ก็หวังทะลวงผ่านช่องทางนี้ เพื่อไปเอาน้ำมันที่รัสเซีย และสกัดการควบคุมของออตโตมาน เยอรมัน ดังนั้นการสู้รบที่ Dardanelles จึงเข้มข้นสาหัส เมื่ออังกฤษผ่านด่าน Dardanelles ไม่ได้ เหยื่อที่ต้องรับกรรมไปเต็ม ๆ จึงเป็นพวกอาหรับของ Sharif of Hejaz ที่ถูกหลอกให้มาตายแทนพวกฝรั่ง ที่พวกเขานึกว่าจะมาช่วยปลดปล่อยพวกเขา จากการปกครองของพวกเตอร์ก ที่พวกเขาแสนจะระอา แต่มันคงเจ็บช้ำหนักหนาสาหัสกว่า ถ้าพวกอาหรับรู้ว่า พวกเขาถูกหลอกให้มารบแทน และตายแทน พวกนักล่าอาณานิคม ที่กำลังจะมาขโมยน้ำมัน ทรัพยากรอันมีค่าที่เลี้ยงชีวิตพวกเขาด้วยซ้ำ มันเป็นการหลอกลวง ที่ผลของมันทำลายยิ่งกว่าความฝัน แต่เป็นการทำลายให้หัวใจสลายไปด้วย นอกเหนือจากการทำลาย และการเฉือนอาณาจักรออตโตมาน แบ่งกันเองในระหว่างผู้ชนะแล้ว ในการแบ่งเค้กตะวันออกกลาง อังกฤษยังต้มคู่หู คู่กัด ที่หลอกมาให้ช่วยรบ คือ ฝรั่งเศส จนเปื่อยยุ่ยอีกด้วย ตามสัญญาสุดชั่ว Sykes-Picot ฝรั่งเศสจะต้องได้ Mosul แหล่งน้ำมันใหญ่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือไปด้วย ก็ Mosul ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ใน CNN ทุกวัน ๆ ละ 24 ชั่วโมงนั่นแหละ ซึ่งตอนนั้นได้มีการให้สัมปทานน้ำมันแก่ Turkish Petroleum ซึ่งถือหุ้นโดย Deutsche Bank ไปแล้ว มาบัดนี้เป็นที่ประจักษ์เกินชัด แล้วว่า Mosul นั้นอุดมน้ำมัน ขนาดไหน ตอนนี้ใครกำลังแย่งชิงกับใคร อย่างได้หลงประเด็นเกี่ยวกับ Mosul ที่ CNN กำลังย้อมสีข่าวเป็นอันขาดเชียว
อังกฤษกลับไปต่อรองกับฝรั่งเศสใหม่ใน ค.ศ. 1918 ขณะนั้นฝรั่งเศสกำลังโทรมจัดจากการรบ อังกฤษก็ใช่ว่าจะอยู่ในสภาพที่ ดีกว่า แต่เพื่อฉากสำคัญ ลงทุนรบมา 4 ปี เตรียมตัวล่วงหน้ามาหลายปี ก็เพื่อจะมาเอารางวัลใหญ่ ที่ชื่อ Mosul นี่แหละ จะให้หลุดมือได้อย่างไร อังกฤษใช้บทเดิมกับฝรั่งเศษ เรื่อง Mosul อังกฤษบอก ที่ฝรั่งเศส เลือก Mosul ไว้น่ะ มันเป็นถิ่นที่ยังไม่เจริญนะ ไม่เหมือนซีเรีย ถึงมีข่าวว่ามีน้ำมัน ก็แสนจะเลื่อนลอย เพื่อนกำลังผอมโซอย่างนี้ เอาอะไรที่มันแน่นอน จากเยอรมันไม่ดีกว่าหรือ ไม่ต้องลงแรงมาก เราจะช่วยสนับสนุน ถ้าฝรั่งเศสไม่เอา Mosul เราจะยอมลงแรงขุดหาน้ำมันให้เอง และถ้าโชคดีเจอ เราจะแบ่งรายได้ จากการขุดน้ำมันให้ งานข่าวกรองของฝรั่งเศส คงจะทำงานสู้ของอังกฤษไม่ได้ ฝรั่งเศสเสียค่าโง่ตามเคย ยอมยก Mosul ให้อังกฤษ ถึง 100 ปีผ่านไป ฝรั่งเศสก็คงยังไม่หายกระอักโลหิต ! สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SiPearl เปิดตัว Athena1 — โปรเซสเซอร์อธิปไตยยุโรป 80 คอร์ สำหรับงานพลเรือนและกลาโหม พร้อมวางจำหน่ายปี 2027”

    ในยุคที่ความมั่นคงทางไซเบอร์และอธิปไตยด้านเทคโนโลยีกลายเป็นประเด็นระดับชาติ SiPearl บริษัทออกแบบโปรเซสเซอร์จากฝรั่งเศสที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรป ได้เปิดตัว Athena1 โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานทั้งพลเรือนและกลาโหม โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความเป็นอิสระด้านเทคโนโลยีของยุโรป

    Athena1 พัฒนาต่อยอดจาก Rhea1 ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์รุ่นแรกของบริษัทที่ใช้ในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับ exascale โดย Athena1 จะมีจำนวนคอร์ตั้งแต่ 16 ถึง 80 คอร์ บนสถาปัตยกรรม Arm Neoverse V1 และมาพร้อมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและการเข้ารหัสขั้นสูง รองรับงานที่ต้องการความมั่นคง เช่น การสื่อสารลับ, การวิเคราะห์ข่าวกรอง, การประมวลผลในยานพาหนะทางทหาร และเครือข่ายยุทธวิธี

    แม้จะไม่มีหน่วยความจำ HBM2E เหมือน Rhea1 เนื่องจาก Athena1 ไม่เน้นงาน AI หรือ HPC แต่ยังคงใช้เทคโนโลยี DDR5 และ PCIe 5.0 เพื่อรองรับแบนด์วิดธ์ที่สูงพอสำหรับงานด้านกลาโหมและการประมวลผลภาคสนาม โดยมีจำนวนทรานซิสเตอร์มากถึง 61 พันล้านตัว

    การผลิตชิปจะดำเนินโดย TSMC ในไต้หวัน และมีแผนย้ายขั้นตอนการบรรจุชิปกลับมายังยุโรปในอนาคต เพื่อสร้างระบบอุตสาหกรรมภายในภูมิภาคให้แข็งแรงยิ่งขึ้น โดย Athena1 มีกำหนดวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2027

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SiPearl เปิดตัว Athena1 โปรเซสเซอร์อธิปไตยยุโรปสำหรับงานพลเรือนและกลาโหม
    ใช้สถาปัตยกรรม Arm Neoverse V1 พร้อมตัวเลือกคอร์ตั้งแต่ 16 ถึง 80 คอร์
    พัฒนาต่อยอดจาก Rhea1 ที่ใช้ในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ JUPITER
    รองรับงานด้านความมั่นคง เช่น การเข้ารหัส, ข่าวกรอง, การประมวลผลในยานพาหนะ
    ไม่มี HBM2E แต่ใช้ DDR5 และ PCIe 5.0 เพื่อรองรับแบนด์วิดธ์สูง
    มีจำนวนทรานซิสเตอร์ 61 พันล้านตัว ผลิตโดย TSMC
    ขั้นตอนการบรรจุชิปจะย้ายกลับมาในยุโรปเพื่อเสริมอุตสาหกรรมภายใน
    วางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในครึ่งหลังของปี 2027
    เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุโรปในการสร้างอธิปไตยด้านเทคโนโลยี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Arm Neoverse V1 เปิดตัวในปี 2020 และใช้ในงานเซิร์ฟเวอร์และ edge computing
    Rhea1 ใช้ใน JUPITER ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ exascale แห่งแรกของยุโรป
    HBM2E เหมาะกับงาน HPC และ AI แต่ไม่จำเป็นสำหรับงานด้านกลาโหม
    การใช้ PCIe 5.0 ช่วยให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
    การผลิตโดย TSMC ช่วยให้มั่นใจในคุณภาพ แต่ยังต้องพึ่งพา supply chain ต่างประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/sipearl-unveils-europes-first-dual-use-sovereign-processor-with-80-cores-expected-in-2027-for-government-aerospace-and-defense-applications
    🛡️ “SiPearl เปิดตัว Athena1 — โปรเซสเซอร์อธิปไตยยุโรป 80 คอร์ สำหรับงานพลเรือนและกลาโหม พร้อมวางจำหน่ายปี 2027” ในยุคที่ความมั่นคงทางไซเบอร์และอธิปไตยด้านเทคโนโลยีกลายเป็นประเด็นระดับชาติ SiPearl บริษัทออกแบบโปรเซสเซอร์จากฝรั่งเศสที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรป ได้เปิดตัว Athena1 โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานทั้งพลเรือนและกลาโหม โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความเป็นอิสระด้านเทคโนโลยีของยุโรป Athena1 พัฒนาต่อยอดจาก Rhea1 ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์รุ่นแรกของบริษัทที่ใช้ในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับ exascale โดย Athena1 จะมีจำนวนคอร์ตั้งแต่ 16 ถึง 80 คอร์ บนสถาปัตยกรรม Arm Neoverse V1 และมาพร้อมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและการเข้ารหัสขั้นสูง รองรับงานที่ต้องการความมั่นคง เช่น การสื่อสารลับ, การวิเคราะห์ข่าวกรอง, การประมวลผลในยานพาหนะทางทหาร และเครือข่ายยุทธวิธี แม้จะไม่มีหน่วยความจำ HBM2E เหมือน Rhea1 เนื่องจาก Athena1 ไม่เน้นงาน AI หรือ HPC แต่ยังคงใช้เทคโนโลยี DDR5 และ PCIe 5.0 เพื่อรองรับแบนด์วิดธ์ที่สูงพอสำหรับงานด้านกลาโหมและการประมวลผลภาคสนาม โดยมีจำนวนทรานซิสเตอร์มากถึง 61 พันล้านตัว การผลิตชิปจะดำเนินโดย TSMC ในไต้หวัน และมีแผนย้ายขั้นตอนการบรรจุชิปกลับมายังยุโรปในอนาคต เพื่อสร้างระบบอุตสาหกรรมภายในภูมิภาคให้แข็งแรงยิ่งขึ้น โดย Athena1 มีกำหนดวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2027 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SiPearl เปิดตัว Athena1 โปรเซสเซอร์อธิปไตยยุโรปสำหรับงานพลเรือนและกลาโหม ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Arm Neoverse V1 พร้อมตัวเลือกคอร์ตั้งแต่ 16 ถึง 80 คอร์ ➡️ พัฒนาต่อยอดจาก Rhea1 ที่ใช้ในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ JUPITER ➡️ รองรับงานด้านความมั่นคง เช่น การเข้ารหัส, ข่าวกรอง, การประมวลผลในยานพาหนะ ➡️ ไม่มี HBM2E แต่ใช้ DDR5 และ PCIe 5.0 เพื่อรองรับแบนด์วิดธ์สูง ➡️ มีจำนวนทรานซิสเตอร์ 61 พันล้านตัว ผลิตโดย TSMC ➡️ ขั้นตอนการบรรจุชิปจะย้ายกลับมาในยุโรปเพื่อเสริมอุตสาหกรรมภายใน ➡️ วางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในครึ่งหลังของปี 2027 ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุโรปในการสร้างอธิปไตยด้านเทคโนโลยี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Arm Neoverse V1 เปิดตัวในปี 2020 และใช้ในงานเซิร์ฟเวอร์และ edge computing ➡️ Rhea1 ใช้ใน JUPITER ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ exascale แห่งแรกของยุโรป ➡️ HBM2E เหมาะกับงาน HPC และ AI แต่ไม่จำเป็นสำหรับงานด้านกลาโหม ➡️ การใช้ PCIe 5.0 ช่วยให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ➡️ การผลิตโดย TSMC ช่วยให้มั่นใจในคุณภาพ แต่ยังต้องพึ่งพา supply chain ต่างประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/sipearl-unveils-europes-first-dual-use-sovereign-processor-with-80-cores-expected-in-2027-for-government-aerospace-and-defense-applications
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิธีปลุกประชาชนตื่นรับรู้ กระตือรือร้นในการรับรู้ มันมีหลายวิธี คือยึดก่อนที่เป็นของไทย บนแผ่นดินไทยก็ส่วนหนึ่ง แบบยึดปราสาทนั้นล่ะ หรือ ทำลายทิ้งทันทีแบบบ่อนคาสิโนจึงค่อยรายงานทีหลัง,หรือแบบตาควายทำลายเลยเพราะดินแดนของเรา สร้างใหม่ได้ เขมรมาใช้ตาควายเป็นตัวประกันฝันสลายเลย,เพราะวัตถุธาตุเราสร้างใหม่ซ่อมแซมได้,การปล่อยศัตรูมิใช่วิสัยสนามรบ,
    ..กองทัพไทยเรา มีปัญหาภายในจริงๆ,ระหว่างกองทัพบูรพาพยัคฆ์ที่โหนเจ้ามานาน โหนชื่อว่าทหารพระราชินี ถือว่าเสียพระเกียรติมาก,สมควรยุบขบวนการชื่อนี้ทิ้งทันที มันสร้างวิถีแตกแยกในกองทัพไทยได้ ไม่เป็นปึกแผ่นใจเดียวกันเลย,แม่ทัพภาค2สู้เขมรเอาเป็นเอาตาย,หันมาดูแม่ทัพภาค1.เสือกนิ่งเฉยตลอดทั้งภาคตะวันออก สุดท้ายแต่ละเรื่องที่สื่อและกูรูแฉตัวตนออกมาของทั้งกองทัพภาค1ถือว่าเสมือนเป็นภัยความมั่นคงต่ออธิปไตยไทยชาติไทยตนเองทั้งสิ้น บ่อนคาสิโนเขมรในจังหวัดตราดคือรากเหง้าชัดเจน,ทหารดีๆภายในกองทัพภาค1ต้องเสื่อมเสียเกียรติไปด้วย,ศาลทหารไทยไม่ทำหน้าที่,มีการเมืองภายในศาลทหารชัดเจน เสื่อมเสียเกียรติภูมิมากของศาลทหาร ที่ไม่ยอมจัดการผู้บังคับบัญชาชั่วเลวในกองทัพตนเองเลย ปล่อยปละละเลยทั้งที่การข่าวตนมีโคตรๆมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว,เป็นสายให้ทหารตำรวจก็สายไปแต่เสือกปล่อยลักษณะสร้างบ่อนคาสิโน ถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปา เน็ต จนครบวงจร หน่วยข่าวกรองทหาร ศาลทหารเราละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กำจัดคนชั่วเลวในกองทัพตนเสียเอง.
    ..วงการทหารและกองทัพไทยตนกวาดล้างกำจัดทำความสะอาดภายในกองทัพตนอย่างใหญ่หลวงจริงๆ,ประชาชนแบบเราๆสนับสนุนทหารน้ำดีทำการกวาดล้างทหารชั่วนายพลชั่วอดีตผู้นำกองทัพชั่วทันทีทั้งหมด,ตลอดรมต.กลาโหมทุกๆคนในอดีตที่ผ่านมาด้วยที่สร้างหายนะใหญ่หลวงต่อพิบัติภัยอธิปไตยดินแดนไทยแผ่นดินไทยเรานี้,พวกนี้ต้องถือกำจัดและลงโทษทุกๆคน.

    https://youtube.com/shorts/WgCWNsy-rQM?si=hkAZzSlpCUeSZayb

    วิธีปลุกประชาชนตื่นรับรู้ กระตือรือร้นในการรับรู้ มันมีหลายวิธี คือยึดก่อนที่เป็นของไทย บนแผ่นดินไทยก็ส่วนหนึ่ง แบบยึดปราสาทนั้นล่ะ หรือ ทำลายทิ้งทันทีแบบบ่อนคาสิโนจึงค่อยรายงานทีหลัง,หรือแบบตาควายทำลายเลยเพราะดินแดนของเรา สร้างใหม่ได้ เขมรมาใช้ตาควายเป็นตัวประกันฝันสลายเลย,เพราะวัตถุธาตุเราสร้างใหม่ซ่อมแซมได้,การปล่อยศัตรูมิใช่วิสัยสนามรบ, ..กองทัพไทยเรา มีปัญหาภายในจริงๆ,ระหว่างกองทัพบูรพาพยัคฆ์ที่โหนเจ้ามานาน โหนชื่อว่าทหารพระราชินี ถือว่าเสียพระเกียรติมาก,สมควรยุบขบวนการชื่อนี้ทิ้งทันที มันสร้างวิถีแตกแยกในกองทัพไทยได้ ไม่เป็นปึกแผ่นใจเดียวกันเลย,แม่ทัพภาค2สู้เขมรเอาเป็นเอาตาย,หันมาดูแม่ทัพภาค1.เสือกนิ่งเฉยตลอดทั้งภาคตะวันออก สุดท้ายแต่ละเรื่องที่สื่อและกูรูแฉตัวตนออกมาของทั้งกองทัพภาค1ถือว่าเสมือนเป็นภัยความมั่นคงต่ออธิปไตยไทยชาติไทยตนเองทั้งสิ้น บ่อนคาสิโนเขมรในจังหวัดตราดคือรากเหง้าชัดเจน,ทหารดีๆภายในกองทัพภาค1ต้องเสื่อมเสียเกียรติไปด้วย,ศาลทหารไทยไม่ทำหน้าที่,มีการเมืองภายในศาลทหารชัดเจน เสื่อมเสียเกียรติภูมิมากของศาลทหาร ที่ไม่ยอมจัดการผู้บังคับบัญชาชั่วเลวในกองทัพตนเองเลย ปล่อยปละละเลยทั้งที่การข่าวตนมีโคตรๆมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว,เป็นสายให้ทหารตำรวจก็สายไปแต่เสือกปล่อยลักษณะสร้างบ่อนคาสิโน ถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปา เน็ต จนครบวงจร หน่วยข่าวกรองทหาร ศาลทหารเราละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กำจัดคนชั่วเลวในกองทัพตนเสียเอง. ..วงการทหารและกองทัพไทยตนกวาดล้างกำจัดทำความสะอาดภายในกองทัพตนอย่างใหญ่หลวงจริงๆ,ประชาชนแบบเราๆสนับสนุนทหารน้ำดีทำการกวาดล้างทหารชั่วนายพลชั่วอดีตผู้นำกองทัพชั่วทันทีทั้งหมด,ตลอดรมต.กลาโหมทุกๆคนในอดีตที่ผ่านมาด้วยที่สร้างหายนะใหญ่หลวงต่อพิบัติภัยอธิปไตยดินแดนไทยแผ่นดินไทยเรานี้,พวกนี้ต้องถือกำจัดและลงโทษทุกๆคน. https://youtube.com/shorts/WgCWNsy-rQM?si=hkAZzSlpCUeSZayb
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ดีลชิป AI ระหว่างสหรัฐฯ–UAE ติดเบรกนาน 5 เดือน — Nvidia หงุดหงิด, เจ้าหน้าที่วอชิงตันกังวลเรื่องความมั่นคง”

    ดีลมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่มีเป้าหมายส่งออกชิป AI ของ Nvidia ไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งเคยถูกประกาศอย่างยิ่งใหญ่โดยประธานาธิบดีทรัมป์ในเดือนพฤษภาคม 2025 กลับติดอยู่ในภาวะ “ชะงักงัน” มานานกว่า 5 เดือน สร้างความไม่พอใจให้กับ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia และเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลสหรัฐฯ

    เดิมที UAE ให้คำมั่นว่าจะลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการได้รับชิป AI จำนวนหลายแสนตัวต่อปี โดยเฉพาะรุ่น H100 และ H20 ที่ใช้ในการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการลงทุนใดเกิดขึ้น ทำให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ โดยรัฐมนตรี Howard Lutnick ยืนยันว่าจะไม่อนุมัติการส่งออกชิปจนกว่า UAE จะดำเนินการลงทุนตามที่ตกลงไว้

    ความล่าช้านี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลเรื่องความมั่นคงระดับชาติ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของ UAE กับจีน และการที่บริษัท G42 ซึ่งเป็นผู้รับชิปโดยตรง มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยข่าวกรองของรัฐและมีประวัติการลงทุนร่วมกับจีนในด้านเทคโนโลยี AI

    แม้จะมีแรงกดดันจาก Nvidia และผู้สนับสนุนดีลในทำเนียบขาว เช่น David Sacks ซึ่งมองว่าการชะลออาจเปิดช่องให้จีนเข้ามาแทนที่ แต่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงยังคงยืนกรานว่าต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนอนุมัติการส่งออก โดยเฉพาะการป้องกันไม่ให้เทคโนโลยี AI ถูกนำไปใช้ในทางที่อาจกระทบต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ดีลส่งออกชิป AI ของ Nvidia ไปยัง UAE ติดค้างนานกว่า 5 เดือนหลังเซ็นสัญญา
    Jensen Huang ซีอีโอ Nvidia แสดงความไม่พอใจต่อความล่าช้า
    UAE เคยให้คำมั่นว่าจะลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อแลกกับชิปหลายแสนตัวต่อปี
    กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังไม่อนุมัติการส่งออก เพราะ UAE ยังไม่ลงทุน
    รัฐมนตรี Howard Lutnick ยืนยันจะไม่ปล่อยชิปจนกว่าจะมีการลงทุนจริง
    บริษัท G42 ของ UAE เป็นผู้รับชิปโดยตรง และมีความเกี่ยวข้องกับหน่วยข่าวกรอง
    เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงกังวลเรื่องการรั่วไหลของเทคโนโลยีไปยังจีน
    David Sacks สนับสนุนดีล โดยมองว่าเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่ไม่ควรปล่อยให้จีนแย่ง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    G42 เป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในโครงการ AI ของรัฐ UAE และเคยร่วมมือกับจีนในด้าน cloud และ genomics
    ชิป H100 และ H20 ของ Nvidia เป็นหัวใจของการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ เช่น GPT และ LLaMA
    การส่งออกเทคโนโลยี AI ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดภายใต้กฎหมาย ITAR และ EAR ของสหรัฐฯ
    การลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐฯ ต้องผ่านการตรวจสอบจาก CFIUS เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคง
    จีนกำลังเร่งพัฒนา AI ด้วยชิปในประเทศ เช่น Ascend ของ Huawei และกำลังแย่งตลาดจาก Nvidia

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/03/delays-to-trump039s-uae-chips-deal-frustrate-nvidia039s-jensen-huang-officials-wsj-reports
    🇺🇸🤖 “ดีลชิป AI ระหว่างสหรัฐฯ–UAE ติดเบรกนาน 5 เดือน — Nvidia หงุดหงิด, เจ้าหน้าที่วอชิงตันกังวลเรื่องความมั่นคง” ดีลมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่มีเป้าหมายส่งออกชิป AI ของ Nvidia ไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งเคยถูกประกาศอย่างยิ่งใหญ่โดยประธานาธิบดีทรัมป์ในเดือนพฤษภาคม 2025 กลับติดอยู่ในภาวะ “ชะงักงัน” มานานกว่า 5 เดือน สร้างความไม่พอใจให้กับ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia และเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลสหรัฐฯ เดิมที UAE ให้คำมั่นว่าจะลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการได้รับชิป AI จำนวนหลายแสนตัวต่อปี โดยเฉพาะรุ่น H100 และ H20 ที่ใช้ในการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการลงทุนใดเกิดขึ้น ทำให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ โดยรัฐมนตรี Howard Lutnick ยืนยันว่าจะไม่อนุมัติการส่งออกชิปจนกว่า UAE จะดำเนินการลงทุนตามที่ตกลงไว้ ความล่าช้านี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลเรื่องความมั่นคงระดับชาติ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของ UAE กับจีน และการที่บริษัท G42 ซึ่งเป็นผู้รับชิปโดยตรง มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยข่าวกรองของรัฐและมีประวัติการลงทุนร่วมกับจีนในด้านเทคโนโลยี AI แม้จะมีแรงกดดันจาก Nvidia และผู้สนับสนุนดีลในทำเนียบขาว เช่น David Sacks ซึ่งมองว่าการชะลออาจเปิดช่องให้จีนเข้ามาแทนที่ แต่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงยังคงยืนกรานว่าต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนอนุมัติการส่งออก โดยเฉพาะการป้องกันไม่ให้เทคโนโลยี AI ถูกนำไปใช้ในทางที่อาจกระทบต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ดีลส่งออกชิป AI ของ Nvidia ไปยัง UAE ติดค้างนานกว่า 5 เดือนหลังเซ็นสัญญา ➡️ Jensen Huang ซีอีโอ Nvidia แสดงความไม่พอใจต่อความล่าช้า ➡️ UAE เคยให้คำมั่นว่าจะลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อแลกกับชิปหลายแสนตัวต่อปี ➡️ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังไม่อนุมัติการส่งออก เพราะ UAE ยังไม่ลงทุน ➡️ รัฐมนตรี Howard Lutnick ยืนยันจะไม่ปล่อยชิปจนกว่าจะมีการลงทุนจริง ➡️ บริษัท G42 ของ UAE เป็นผู้รับชิปโดยตรง และมีความเกี่ยวข้องกับหน่วยข่าวกรอง ➡️ เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงกังวลเรื่องการรั่วไหลของเทคโนโลยีไปยังจีน ➡️ David Sacks สนับสนุนดีล โดยมองว่าเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่ไม่ควรปล่อยให้จีนแย่ง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ G42 เป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในโครงการ AI ของรัฐ UAE และเคยร่วมมือกับจีนในด้าน cloud และ genomics ➡️ ชิป H100 และ H20 ของ Nvidia เป็นหัวใจของการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ เช่น GPT และ LLaMA ➡️ การส่งออกเทคโนโลยี AI ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดภายใต้กฎหมาย ITAR และ EAR ของสหรัฐฯ ➡️ การลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐฯ ต้องผ่านการตรวจสอบจาก CFIUS เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคง ➡️ จีนกำลังเร่งพัฒนา AI ด้วยชิปในประเทศ เช่น Ascend ของ Huawei และกำลังแย่งตลาดจาก Nvidia https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/03/delays-to-trump039s-uae-chips-deal-frustrate-nvidia039s-jensen-huang-officials-wsj-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Delays to Trump's UAE chips deal frustrate Nvidia's Jensen Huang, officials, WSJ reports
    (Reuters) -A multibillion-dollar deal to send Nvidia's artificial-intelligence chips to the United Arab Emirates is stuck in neutral nearly five months after it was signed, frustrating CEO Jensen Huang and some senior administration officials, the Wall Street Journal reported on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 2 : “ขวาง 3”

    ประมาณ ค.ศ. 1882 น้อยคนในโลกจะรู้จักว่า ไอ้ดำ ๆ เหนียว ๆ และที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า น้ำมันดิบน่ะ มันมีค่ามหาศาลขนาดไหน ถึงกับเรียกเป็นทองดำกันเลย สมัยนั้นรู้จักกันแต่น้ำมันเติมตะเกียง ซึ่งโรงงานของเยอรมันนั่นแหละ เป็นผู้ผลิตตะเกียง ชื่อ Stohwasser น้ำมันนี้ เรียกว่า “rock oil” เพราะมันไหลออกมาจากหิน ซึ่งมีอยู่มากในแถบ Titusville ของ รัฐPennsylvania และที่ Baku ของรัสเซีย หรือ Galicia ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์

    ค.ศ. 1870 นาย John D Rockefeller ตั้งบริษัท Standard Oil ขึ้นเพื่อหาน้ำมันมาเติมตะเกียง (ไม่ได้หรูหรา ตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลกัน อย่างที่คิดหรอกนะ ในสมัยนั้น) และเอามาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำยาในอเมริกา ตอนนั้นยังไม่มีใครคิด เอาน้ำมันมาใช้ในการอุตสาหกรรม ฝรั่งก็ไม่ได้ฉลาดล้ำไปทุกเรื่องหรอก

    แต่อย่างน้อยก็มีคนเข้าใจ และรู้จักคิด คือ กัปตัน Fisher ทหารเรืออังกฤษ ปี ค.ศ. 1882 กัปตันบอกว่า ถ้ากองทัพเรืออังกฤษเปลี่ยนจากใช้ถ่านหิน มาเป็นใช้น้ำมัน เรือรบอังกฤษจะวิ่งฉิวเลย เพราะไม่ต้องไปเปลืองน้ำหนักกับถ่านหิน ผลของการคิดก้าวไกล คุณกัปตันได้ก้อนอิฐเต็มหัว ใคร ๆ หาว่าเขาบ๊อง (เคยเขียนให้อ่านกันแล้วครับ ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) คุณกัปตันเจ็บใจ ซุ่มทำการบ้านอยู่หลายปี

    ขณะเดียวกัน ค.ศ. 1885 วิศวกรชาวเยอรมัน นาย Gottlieb Daimler ก็เป็นคนคิดเครื่องยนต์ให้รถวิ่งโดยใช้น้ำมัน แต่ขณะนั้นรถยนต์มันเป็นเครื่องวิ่งแทนเท้าของพวกเศรษฐีเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปคงยังต้องใช้เท้าส่วนตัววิ่งเองตามเดิม ไม่ได้มีโอกาสได้ชื่นชมผลงานอันแสนสุดยอดนี้ในตอนนั้น แต่ถึงอย่างไรข่าวนี้แน่นอน ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจให้แก่อังกฤษ

    ปี ค.ศ. 1905 อังกฤษเริ่ม “รู้สึก” ว่าน้ำมันนี่ น่าจะเป็นอาวุธสำคัญ แต่ทำอย่างไรล่ะ ทั้งเกาะใหญ่ของอังกฤษมีแต่น้ำมันตะเกียง ไม่มีแหล่งน้ำมันดิบของตัวเอง ใครรู้อายเขาตาย เป็นตั้งจักรภพอังกฤษ ใหญ่ซะไม่มีละ แต่ดันต้องพึงอเมริกา รัสเซีย หรือเม็กซิโก ให้ส่งน้ำมันให้ เป็นสิ่งที่อังกฤษรังเกียจ และเสียหน้าอันใหญ่โตมาก ตามประสาคนยะโส

    ย้อนไปในปี ค.ศ. 1904 คุณกัปตัน Fisher มีคนตาแหลมมองเห็นว่า ไอ้หมอนี่นอกจากไม่บ๊องแล้ว มันยังเป็นอัจฉริยะอีกด้วย (2 อย่างนี้เส้นตัดแบ่ง มันบางมากนะครับ) คุณกัปตันเลยได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการทหารเรือ เขารีบตั้งคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาว่า จะหาน้ำมันมาจากไหนและทำอย่างไร เพื่อเอามาให้กองทัพเรืออังกฤษใช้ คราวนี้เอาจริง !
    ขณะนั้นอังกฤษไปจับจองครองพื้นที่อยู่ที่เปอร์เซีย (Persia) และ Arabia Gulf ที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมานแล้ว เปอร์เซียเองไม่ได้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่อังกฤษมีวิธีไปตั้งสถานกงสุลอยู่ที่เมือง Bushier และ Bandar Abbas โดยการเอากองทัพเรือมาจอดขวางกลางอ่าว ก็เท่านั้นเองแหละ เป็นการขวางไม่ให้ใครใช้เส้นทางไปสู่อินเดีย อังกฤษทำแบบนี้มาทุกครั้งที่ต้องการข่มขู่เหยื่อ สมันน้อยก็โดนมาแล้ว ยังจำ ร.ศ. 112 ได้หรือเปล่า หรือต้องให้ลุงนิทานเล่า เกินไปนะ ประวัติศาสตร์สำคัญของบ้านเรานะ หาอ่านกันเองบ้าง

    ค.ศ. 1905 อังกฤษส่งสายลับมือหนึ่ง ชื่อ นาย Sidney Reilly (ซึ่งจริง ๆ เป็นชาวรัสเซีย ชื่อ Sigmund Georgjevich Rosenblum ชาวเมือง Odessa ในรัสเซีย) ให้เดินทางเข้าไปในเปอร์เซีย ภายใต้คำสั่งลับสุดยอดให้ไปควานหาตัวบุคคลลึกลับ ชื่อ นาย William Knox D’Arcy!

    ต้องยอมรับว่าการข่าวกรองและการจารกรรมของอังกฤษ นำหน้ามาตลอดเป็นหลายร้อยปี ปัจจุบันก็ยังอยู่แถวหน้า ตัวใหญ่ ๆ ของ CIA ของนักล่ารุ่นใหม่ ก็เรียนงานมาจากรุ่นเก่านี้ทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกและสงครามเย็น

    นาย D’Arcy เป็นวิศวกรชาวออสเตรเลีย ซึ่งสนใจและศึกษาประวัติศาสตร์เป็นงานอดิเรก อย่างเอาจริงและลึกซึ้ง ชนิดพูดกับก้อนหินรู้เรื่อง และเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด เขามีความเชื่อแบบฝันเฟื่องว่า เทพเจ้าแห่งไฟของเปอร์เซีย (Ormuzd) จุดน้ำมันตะเกียงถวายพระผู้เป็นเจ้าในสมัยโบราณตลอดเวลา แสดงว่าแถบนั้นน่าจะต้องมีน้ำมัน “rock oil” (พวกเฟื่อง พวกบ๊อง นี่ดูดี ๆ นะครับ บอกแล้วเส้นแบ่ง มันบางมาก !) เขาจึงไปเดินสำรวจแถวนั้นอยู่หลายรอบ และเมื่อเชื่อมากขึ้นว่า น่าจะมี “rock oil” เขาก็ไปติดต่อขอกู้เงินจากนายธนาคารของอังกฤษ เพื่อสนับสนุนความฝันเฟื่องของเขา (ข่าวมันน่าจะหลุดรอด ไปในช่วงนี่แหละ เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีความลับอย่าไปยุ่งกับนายธนาคารเชียว !)

    ประมาณช่วงปลาย ค.ศ. 1890 กว่า ๆ กษัตริย์ Reza Khan Pahlevi เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์เปอร์เซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิหร่าน ได้เรียก นาย D’Arcy เข้าไปคุย เพราะนาย D’Arcy เป็นวิศวกรฝรั่งที่เดินทางเข้าออกหาน้ำมันอยู่แถวนั้น จนเป็นที่รู้จักกันดี ท่าน Khan อยากสร้างทางรถไฟ และอยากทำอุตสาหกรรมในเปอร์เซีย เลยอาศัยนาย D’Arcy เป็นที่ปรึกษา ตอนนั้นคงมีฝรั่งให้คุยด้วยไม่มาก

    ค.ศ. 1901 บุญหล่นใส่นาย D’Arcy โครมใหญ่ ท่าน Khan ให้รางวัลเป็นสินน้ำใจที่นาย D’Arcy มาให้คำแนะนำ เป็นสัมปทานอายุ 60 ปี ที่อนุญาตให้นาย D’Arcy จะค้น จะขุด จะเจาะ อย่างไรก็ได้บนแผ่นดินของเปอร์เซีย และขุดได้อะไรมาก็ให้เป็นสมบัติของนาย D’Arcy โดยไม่มีใครจะมาขวางได้ !
    นาย D’Arcy จ่ายเงินไปประมาณเท่ากับ 2 หมื่นปอนด์ และตกลงจะแบ่งให้ ท่าน Khan 16% จากจำนวนรายได้ที่ได้จากขายน้ำมัน ถ้าขุดเจอจากแหล่งนี้ นาย D’Arcy ไม่รู้เลยว่า เขาได้เอกสารมีค่ามหาศาล มันรวมไปถึงให้เป็นสิทธิตกทอดถึงทายาทและผู้รับโอนด้วย แม่เจ้าโว้ย ! สิทธิในการจะขุดน้ำมันไปจนถึง ค.ศ. 1961 เชียวนะ

    นาย Reilly สมกับเป็นสายลับมือหนึ่ง เขาควานหาตัวนาย D’Arcy จนเจอ ในปี คศ 1905 ขณะที่นาย D’Arcy กำลังจะเซ็นสัญญา เลือกฝรั่งเศสมาเป็นหุ้นส่วน เป็นฝรั่งเศสที่ส่งมาโดยกลุ่มธนาคาร ของ Rothschild ในปารีส (แสดงว่า Rothschild มีการข่าวดี จำเรื่องปั่นหุ้น insider trading ครั้งแรกของโลกโดย Rothschild ฝ่ายอังกฤษได้ไหมครับ ก็มาจากการข่าวพิเศษของพวก Rothschild เล่าอยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) นาย D’Arcy กะว่าจะให้หุ้นส่วนฝรั่งเศสขุดต่อ และตัวเขาจะเดินทางกลับไปออสเตรเลีย แหม เดินกลางแดด หาน้ำมันอยู่นาน ไอ้ที่ยังไม่เพี้ยน ก็เพี้ยนจริงได้เหมือนกัน

    สายลับ Reilly ลงทุนปลอมตัวเป็นพระ ไปตีสนิทกับนาย D’Arcy นั่งกล่อมนาย D’Arcy ว่า ทั้งหมดนี่น่า คงเป็นรางวัลที่พระผู้เป็นเจ้า ประทานให้กับสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ คงไม่มีใครที่จะมีบุญขนาดนี้อีกแล้ว แต่จะได้บุญมากขึ้น ถ้าไม่เก็บไว้คนเดียว แต่ให้คนส่วนมากได้ประโยชน์ด้วย พระผู้เป็นเจ้าจะยิ่งดีใจ นาย Reilly คงกล่าวอย่างนั้น

    ในที่สุด นาย D’Arcy ก็ตกลงโอนสิทธิสัมปทานให้แก่บริษัท ที่มีชื่อว่า Anglo Persian Oil Company ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อ Lord Strathcona นักการเงินชาวสก๊อต ซึ่งรัฐบาลอังกฤษส่งมาให้เป็นนอ มินี (ตกลงนอมินีน้ำมัน รายที่ 1 เท่าที่เรารู้นี่ เริ่มโดยอังกฤษนะครับ สำหรับสมันน้อย ปตท. ใครเป็นนอมินี ให้ใครบ้าง โปรดช่วยกันสืบต่อ อาจจะย้อนกลับไปที่เดิม อย่าแปลกใจก็แล้วกัน) ส่วนสายลับ Reilly ก็คงเกษียณไปพร้อมด้วยเงินรางวัลก้อนโต หรือไม่ก็โดนเก็บลงหีบ ตามธรรมเนียมชะตาชีวิต ของคนที่เป็นสายลับที่รู้ความลับชนิดปิดลึก วงการนี้เขาโหดร้ายอย่างนี้แหละ !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 2 : “ขวาง 3” ประมาณ ค.ศ. 1882 น้อยคนในโลกจะรู้จักว่า ไอ้ดำ ๆ เหนียว ๆ และที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า น้ำมันดิบน่ะ มันมีค่ามหาศาลขนาดไหน ถึงกับเรียกเป็นทองดำกันเลย สมัยนั้นรู้จักกันแต่น้ำมันเติมตะเกียง ซึ่งโรงงานของเยอรมันนั่นแหละ เป็นผู้ผลิตตะเกียง ชื่อ Stohwasser น้ำมันนี้ เรียกว่า “rock oil” เพราะมันไหลออกมาจากหิน ซึ่งมีอยู่มากในแถบ Titusville ของ รัฐPennsylvania และที่ Baku ของรัสเซีย หรือ Galicia ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์ ค.ศ. 1870 นาย John D Rockefeller ตั้งบริษัท Standard Oil ขึ้นเพื่อหาน้ำมันมาเติมตะเกียง (ไม่ได้หรูหรา ตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลกัน อย่างที่คิดหรอกนะ ในสมัยนั้น) และเอามาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำยาในอเมริกา ตอนนั้นยังไม่มีใครคิด เอาน้ำมันมาใช้ในการอุตสาหกรรม ฝรั่งก็ไม่ได้ฉลาดล้ำไปทุกเรื่องหรอก แต่อย่างน้อยก็มีคนเข้าใจ และรู้จักคิด คือ กัปตัน Fisher ทหารเรืออังกฤษ ปี ค.ศ. 1882 กัปตันบอกว่า ถ้ากองทัพเรืออังกฤษเปลี่ยนจากใช้ถ่านหิน มาเป็นใช้น้ำมัน เรือรบอังกฤษจะวิ่งฉิวเลย เพราะไม่ต้องไปเปลืองน้ำหนักกับถ่านหิน ผลของการคิดก้าวไกล คุณกัปตันได้ก้อนอิฐเต็มหัว ใคร ๆ หาว่าเขาบ๊อง (เคยเขียนให้อ่านกันแล้วครับ ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) คุณกัปตันเจ็บใจ ซุ่มทำการบ้านอยู่หลายปี ขณะเดียวกัน ค.ศ. 1885 วิศวกรชาวเยอรมัน นาย Gottlieb Daimler ก็เป็นคนคิดเครื่องยนต์ให้รถวิ่งโดยใช้น้ำมัน แต่ขณะนั้นรถยนต์มันเป็นเครื่องวิ่งแทนเท้าของพวกเศรษฐีเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปคงยังต้องใช้เท้าส่วนตัววิ่งเองตามเดิม ไม่ได้มีโอกาสได้ชื่นชมผลงานอันแสนสุดยอดนี้ในตอนนั้น แต่ถึงอย่างไรข่าวนี้แน่นอน ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจให้แก่อังกฤษ ปี ค.ศ. 1905 อังกฤษเริ่ม “รู้สึก” ว่าน้ำมันนี่ น่าจะเป็นอาวุธสำคัญ แต่ทำอย่างไรล่ะ ทั้งเกาะใหญ่ของอังกฤษมีแต่น้ำมันตะเกียง ไม่มีแหล่งน้ำมันดิบของตัวเอง ใครรู้อายเขาตาย เป็นตั้งจักรภพอังกฤษ ใหญ่ซะไม่มีละ แต่ดันต้องพึงอเมริกา รัสเซีย หรือเม็กซิโก ให้ส่งน้ำมันให้ เป็นสิ่งที่อังกฤษรังเกียจ และเสียหน้าอันใหญ่โตมาก ตามประสาคนยะโส ย้อนไปในปี ค.ศ. 1904 คุณกัปตัน Fisher มีคนตาแหลมมองเห็นว่า ไอ้หมอนี่นอกจากไม่บ๊องแล้ว มันยังเป็นอัจฉริยะอีกด้วย (2 อย่างนี้เส้นตัดแบ่ง มันบางมากนะครับ) คุณกัปตันเลยได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการทหารเรือ เขารีบตั้งคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาว่า จะหาน้ำมันมาจากไหนและทำอย่างไร เพื่อเอามาให้กองทัพเรืออังกฤษใช้ คราวนี้เอาจริง ! ขณะนั้นอังกฤษไปจับจองครองพื้นที่อยู่ที่เปอร์เซีย (Persia) และ Arabia Gulf ที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมานแล้ว เปอร์เซียเองไม่ได้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่อังกฤษมีวิธีไปตั้งสถานกงสุลอยู่ที่เมือง Bushier และ Bandar Abbas โดยการเอากองทัพเรือมาจอดขวางกลางอ่าว ก็เท่านั้นเองแหละ เป็นการขวางไม่ให้ใครใช้เส้นทางไปสู่อินเดีย อังกฤษทำแบบนี้มาทุกครั้งที่ต้องการข่มขู่เหยื่อ สมันน้อยก็โดนมาแล้ว ยังจำ ร.ศ. 112 ได้หรือเปล่า หรือต้องให้ลุงนิทานเล่า เกินไปนะ ประวัติศาสตร์สำคัญของบ้านเรานะ หาอ่านกันเองบ้าง ค.ศ. 1905 อังกฤษส่งสายลับมือหนึ่ง ชื่อ นาย Sidney Reilly (ซึ่งจริง ๆ เป็นชาวรัสเซีย ชื่อ Sigmund Georgjevich Rosenblum ชาวเมือง Odessa ในรัสเซีย) ให้เดินทางเข้าไปในเปอร์เซีย ภายใต้คำสั่งลับสุดยอดให้ไปควานหาตัวบุคคลลึกลับ ชื่อ นาย William Knox D’Arcy! ต้องยอมรับว่าการข่าวกรองและการจารกรรมของอังกฤษ นำหน้ามาตลอดเป็นหลายร้อยปี ปัจจุบันก็ยังอยู่แถวหน้า ตัวใหญ่ ๆ ของ CIA ของนักล่ารุ่นใหม่ ก็เรียนงานมาจากรุ่นเก่านี้ทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกและสงครามเย็น นาย D’Arcy เป็นวิศวกรชาวออสเตรเลีย ซึ่งสนใจและศึกษาประวัติศาสตร์เป็นงานอดิเรก อย่างเอาจริงและลึกซึ้ง ชนิดพูดกับก้อนหินรู้เรื่อง และเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด เขามีความเชื่อแบบฝันเฟื่องว่า เทพเจ้าแห่งไฟของเปอร์เซีย (Ormuzd) จุดน้ำมันตะเกียงถวายพระผู้เป็นเจ้าในสมัยโบราณตลอดเวลา แสดงว่าแถบนั้นน่าจะต้องมีน้ำมัน “rock oil” (พวกเฟื่อง พวกบ๊อง นี่ดูดี ๆ นะครับ บอกแล้วเส้นแบ่ง มันบางมาก !) เขาจึงไปเดินสำรวจแถวนั้นอยู่หลายรอบ และเมื่อเชื่อมากขึ้นว่า น่าจะมี “rock oil” เขาก็ไปติดต่อขอกู้เงินจากนายธนาคารของอังกฤษ เพื่อสนับสนุนความฝันเฟื่องของเขา (ข่าวมันน่าจะหลุดรอด ไปในช่วงนี่แหละ เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีความลับอย่าไปยุ่งกับนายธนาคารเชียว !) ประมาณช่วงปลาย ค.ศ. 1890 กว่า ๆ กษัตริย์ Reza Khan Pahlevi เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์เปอร์เซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิหร่าน ได้เรียก นาย D’Arcy เข้าไปคุย เพราะนาย D’Arcy เป็นวิศวกรฝรั่งที่เดินทางเข้าออกหาน้ำมันอยู่แถวนั้น จนเป็นที่รู้จักกันดี ท่าน Khan อยากสร้างทางรถไฟ และอยากทำอุตสาหกรรมในเปอร์เซีย เลยอาศัยนาย D’Arcy เป็นที่ปรึกษา ตอนนั้นคงมีฝรั่งให้คุยด้วยไม่มาก ค.ศ. 1901 บุญหล่นใส่นาย D’Arcy โครมใหญ่ ท่าน Khan ให้รางวัลเป็นสินน้ำใจที่นาย D’Arcy มาให้คำแนะนำ เป็นสัมปทานอายุ 60 ปี ที่อนุญาตให้นาย D’Arcy จะค้น จะขุด จะเจาะ อย่างไรก็ได้บนแผ่นดินของเปอร์เซีย และขุดได้อะไรมาก็ให้เป็นสมบัติของนาย D’Arcy โดยไม่มีใครจะมาขวางได้ ! นาย D’Arcy จ่ายเงินไปประมาณเท่ากับ 2 หมื่นปอนด์ และตกลงจะแบ่งให้ ท่าน Khan 16% จากจำนวนรายได้ที่ได้จากขายน้ำมัน ถ้าขุดเจอจากแหล่งนี้ นาย D’Arcy ไม่รู้เลยว่า เขาได้เอกสารมีค่ามหาศาล มันรวมไปถึงให้เป็นสิทธิตกทอดถึงทายาทและผู้รับโอนด้วย แม่เจ้าโว้ย ! สิทธิในการจะขุดน้ำมันไปจนถึง ค.ศ. 1961 เชียวนะ นาย Reilly สมกับเป็นสายลับมือหนึ่ง เขาควานหาตัวนาย D’Arcy จนเจอ ในปี คศ 1905 ขณะที่นาย D’Arcy กำลังจะเซ็นสัญญา เลือกฝรั่งเศสมาเป็นหุ้นส่วน เป็นฝรั่งเศสที่ส่งมาโดยกลุ่มธนาคาร ของ Rothschild ในปารีส (แสดงว่า Rothschild มีการข่าวดี จำเรื่องปั่นหุ้น insider trading ครั้งแรกของโลกโดย Rothschild ฝ่ายอังกฤษได้ไหมครับ ก็มาจากการข่าวพิเศษของพวก Rothschild เล่าอยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) นาย D’Arcy กะว่าจะให้หุ้นส่วนฝรั่งเศสขุดต่อ และตัวเขาจะเดินทางกลับไปออสเตรเลีย แหม เดินกลางแดด หาน้ำมันอยู่นาน ไอ้ที่ยังไม่เพี้ยน ก็เพี้ยนจริงได้เหมือนกัน สายลับ Reilly ลงทุนปลอมตัวเป็นพระ ไปตีสนิทกับนาย D’Arcy นั่งกล่อมนาย D’Arcy ว่า ทั้งหมดนี่น่า คงเป็นรางวัลที่พระผู้เป็นเจ้า ประทานให้กับสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ คงไม่มีใครที่จะมีบุญขนาดนี้อีกแล้ว แต่จะได้บุญมากขึ้น ถ้าไม่เก็บไว้คนเดียว แต่ให้คนส่วนมากได้ประโยชน์ด้วย พระผู้เป็นเจ้าจะยิ่งดีใจ นาย Reilly คงกล่าวอย่างนั้น ในที่สุด นาย D’Arcy ก็ตกลงโอนสิทธิสัมปทานให้แก่บริษัท ที่มีชื่อว่า Anglo Persian Oil Company ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อ Lord Strathcona นักการเงินชาวสก๊อต ซึ่งรัฐบาลอังกฤษส่งมาให้เป็นนอ มินี (ตกลงนอมินีน้ำมัน รายที่ 1 เท่าที่เรารู้นี่ เริ่มโดยอังกฤษนะครับ สำหรับสมันน้อย ปตท. ใครเป็นนอมินี ให้ใครบ้าง โปรดช่วยกันสืบต่อ อาจจะย้อนกลับไปที่เดิม อย่าแปลกใจก็แล้วกัน) ส่วนสายลับ Reilly ก็คงเกษียณไปพร้อมด้วยเงินรางวัลก้อนโต หรือไม่ก็โดนเก็บลงหีบ ตามธรรมเนียมชะตาชีวิต ของคนที่เป็นสายลับที่รู้ความลับชนิดปิดลึก วงการนี้เขาโหดร้ายอย่างนี้แหละ ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 316 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 2 : “ขวาง 1”

    อิรักเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน นานแสนนานก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเริ่ม เรียกว่าเป็นมณฑลด่านนอก ซึ่งประกอบด้วย เมือง Basra, Bagdad และ Mosul อังกฤษนักล่าฯ จากเกาะใหญ่ฯ เรียกมณฑลนี่ว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) แม้จะเป็นด่านนอก แต่มีความสำคัญกับออตโตมาน เพราะฉะนั้นจึงมีความเชื่อมทางชะตากรรมและทิศทางของเมืองร่วมกัน

    แต่บางครั้งด้วยการคมนาคมที่ขลุกขลัก ทำให้หลายครั้ง อิรัก เหมือนถูกโดดเดี่ยว ไม่รู้ทิศทางเลี้ยวของนายเหนือ ปล่อยให้อิรักหลงทางและเป็นเหยื่อเผชิญศึกอยู่แต่ลำพัง

    อิรักเริ่มคบค้ากับนักล่าชาวเกาะใหญ่ฯ ผ่านการค้าของ English East India ซึ่งนักล่าเปิดสำนักหว่านไว้ทั่ว สำนักพวกนี้ มีหน้าที่เปิดเผยเป็นตัวแทนค้าขาย ให้กับรัฐบาลและพ่อค้าชาวอังกฤษ แต่หน้าที่หลักที่ปกปิดไว้ คือ สืบราชการลับ ครอบงำ กำกับดูแล ผู้ปกครองอาณาบริเวณที่ชาวเกาะไปตั้งสำนักอยู่ เรียกง่าย ๆ ว่า เป็นหน่วยงานช่างไม้ ทำหน้าที่เหลาไม้เสี้ยม ไม้ขัด ไม้ขวาง ไว้ตามบ้านเหยื่อต่าง ๆ

    สำหรับนักล่าชาวเกาะใหญ่ อิรักอยู่ในเส้นทางติดต่อระหว่างเกาะใหญ่ของนักล่ากับอินเดีย กล่องดวงใจของ นักล่า

    อิรักมีขนาดกำลังดี ทั้งในแง่พลเมืองและเศรษฐกิจ พอมีเรื่องให้ทำมาค้าขาย ไม่ให้หน่วยงานช่างไม้เหงา นักล่าจึงตั้งโรงงานขึ้นใน Basra ตั้งแต่ ค.ศ. 1763 ความสัมพันธ์ระหว่างนักล่ากับอิรัก จึงไม่ใช่แบบหลวม ๆ แม้โรงงานจะไม่ค่อยได้ผลมากนัก แต่นักล่าก็พอใจที่จะให้มีโรงงาน เพื่อคนของตัวจะได้นั่งเหลาไม้อยู่แถวนั้น เพราะนักล่าเกี่ยวเอาคูเวต (Kuwait) เมืองที่มีท่าเรือน้ำลึกอยู่แถวนั้นเอาไว้ด้วย ดังนั้นแถบนี้ จึงเหมือนเป็นเส้นทางที่นักล่าวางไว้ให้เป็นทางหนี หรือทางไล่ หากออตโตมานมีปัญหาอะไร รับมือไม่ไหวก็กระโดดก้าวผ่านอิรักไปคูเวต ลงเรือหนี หรือทำกลับกัน ย้อนกลับไปเอาไม้มาเพิ่ม เข้าทางคูเวตก็ได้เช่นเดียวกัน เป็นการวางจุดที่ทำให้นักล่าเคลื่อนไหวได้คล่องตัว
    พวก Mamluk เป็นผู้ได้รับอำนาจจากออตโตมานให้ปกครองอิรักในช่วงนั้น แต่ Mamluk เหม็นหน้าผู้ปกครองออตโตมานอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงพยายามผูกสัมพันธ์กับอังกฤษ สัมพันธ์ระหว่างอิรักกับอังกฤษ จึงสมประโยชน์กัน

    ค.ศ. 1798 Mamluk ยอมให้อังกฤษ มาร่วมนั่งพิจารณาคดี ในห้องพิจารณาคดีที่ Bagdad นับเป็นความคืบหน้าของอังกฤษไม่น้อย และในที่สุดอังกฤษก็ตั้งสถานกงสุลใน Bagdad เมื่อ ค.ศ. 1802 การค้าขายระหว่างอังกฤษและอิรักก็ก้าวหน้าขึ้นอีก โดยเฉพาะเรื่องการทอผ้า อังกฤษตั้งโรงงานทอผ้าในอิรัก และในที่สุด อังกฤษก็ชักจูงให้อิรักซื้อเรือกลไฟ และตั้งกิจการไปรษณีย์โทรเลข วางเสาไปทั่วเขตได้ โดยอังกฤษเป็นผู้ดำเนินการ
    สิ่งหนึ่งที่เหล่านักล่าอาณานิคมชอบขายให้แก่เหยื่อ คือ กิจการโทรเลข เพราะเป็นช่องทางที่ข้อมูลของเหยื่อจะหล่นมาถึงผู้ติดตั้ง ระบบและเสา เป็นของแถม หรือจริง ๆ เป็นของหลัก ที่มีค่ามากสำหรับนักล่า เป็นงานจารกรรมข่าวกรอง ที่เหยื่อไม่เคยรู้ตัว ไม่ต่างกับการติดตั้งโทรศัพท์ ในสมัยต่อมา และดาวเทียมในระยะเวลาไม่นานมานี้ พอนึกภาพออกกันไหมครับ ยิ่งตอนหลังนี้ มีโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไอ้ป๊อด อีแป้ด อากู อะไรพวกนี้ มันเป็นเครื่องมือการดูดข้อมูลของเหยื่อทั้งสิ้น ถ้านึกกันไม่ทัน ก็คิดว่าผมเล่าฝันให้ฟังก็แล้วกัน

    อาจจะเป็นเพราะมีระยะความชิดใกล้มากไป ระหว่างพวก Mamluk กับอังกฤษ ค.ศ. 1831 พวก Mamluks ก็ถูกออตโตมานปลดกลางอากาศ ออกจากการเป็นผู้ปกครองอิรัก และออตโตมานก็เริ่มคุมเข้มอิรักใหม่ แต่การค้าขายติดต่อกับอังกฤษก็ยังดำเนินต่อไปคล้ายเหมือนเดิม

    อิทธิพลของฝรั่งตะวันตก ฝังรากลึกอยู่ในอิรัก ฝรั่งแนะนำให้อิรักปฏิรูปบ้านเมืองในเรื่องที่ดิน ให้มีการซื้อขายได้ และมีเศรษฐกิจแบบเปิดกว้าง อิรักเชื่อฟัง เดินตามที่ฝรั่งจูง เพราะเชื่อว่าจะทำให้ตัวเจริญ และทันสมัยอย่างที่ฝรั่งกล่อม ในที่สุดชาวอิรัก ซึ่งเคยมีชื่อเสียงในการเป็นช่างฝีมือ โดยเฉพาะในการทอพรม แกะสลักไม้ ก็ค่อย ๆ เหลือน้อยลง กลายเป็นช่างฝีมือเปิดปิดเครื่องจักรโรงงานให้ฝรั่งตะวันตกแทน

    ตลอดศตวรรษที่ 19 อังกฤษพอใจกับการได้ประโยชน์ ในการตั้งโรงงานไม้เหลาอยู่ที่อิรักนี้ เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายมาก และได้ผลตามที่ต้องการ แต่เมื่อเริ่มศตวรรษที่ 20 ออตโตมานชักเบื่อที่จะต้องถูกฝรั่งชาติเดียวหลอก จึงพยายามคบค้ากับฝรั่งชาติอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะกับรัสเซียและเยอรมัน การแข่งขันมีมากขึ้น ไม้เสี้ยม ไม้ขัด ไม้ขวาง ทำท่าจะไม่พอใช้ ช่างไม้ชาวอังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น

    การมาถึงของเส้นทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ทำให้หัวคิ้วของนักล่า ขมวดผูกเป็นเงื่อนตาย นี่ยังไม่ต้องนึกถึงเรื่องที่แอบเก็บฝังลึกไว้ในหัวสมองของชาวเกาะใหญ่ กลางคืนแทบไม่กล้านอน กลัวหลับแล้วละเมอถึงความลับ ชาวบ้านจะรู้กันหมด ?

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 2 : “ขวาง 1” อิรักเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน นานแสนนานก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเริ่ม เรียกว่าเป็นมณฑลด่านนอก ซึ่งประกอบด้วย เมือง Basra, Bagdad และ Mosul อังกฤษนักล่าฯ จากเกาะใหญ่ฯ เรียกมณฑลนี่ว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) แม้จะเป็นด่านนอก แต่มีความสำคัญกับออตโตมาน เพราะฉะนั้นจึงมีความเชื่อมทางชะตากรรมและทิศทางของเมืองร่วมกัน แต่บางครั้งด้วยการคมนาคมที่ขลุกขลัก ทำให้หลายครั้ง อิรัก เหมือนถูกโดดเดี่ยว ไม่รู้ทิศทางเลี้ยวของนายเหนือ ปล่อยให้อิรักหลงทางและเป็นเหยื่อเผชิญศึกอยู่แต่ลำพัง อิรักเริ่มคบค้ากับนักล่าชาวเกาะใหญ่ฯ ผ่านการค้าของ English East India ซึ่งนักล่าเปิดสำนักหว่านไว้ทั่ว สำนักพวกนี้ มีหน้าที่เปิดเผยเป็นตัวแทนค้าขาย ให้กับรัฐบาลและพ่อค้าชาวอังกฤษ แต่หน้าที่หลักที่ปกปิดไว้ คือ สืบราชการลับ ครอบงำ กำกับดูแล ผู้ปกครองอาณาบริเวณที่ชาวเกาะไปตั้งสำนักอยู่ เรียกง่าย ๆ ว่า เป็นหน่วยงานช่างไม้ ทำหน้าที่เหลาไม้เสี้ยม ไม้ขัด ไม้ขวาง ไว้ตามบ้านเหยื่อต่าง ๆ สำหรับนักล่าชาวเกาะใหญ่ อิรักอยู่ในเส้นทางติดต่อระหว่างเกาะใหญ่ของนักล่ากับอินเดีย กล่องดวงใจของ นักล่า อิรักมีขนาดกำลังดี ทั้งในแง่พลเมืองและเศรษฐกิจ พอมีเรื่องให้ทำมาค้าขาย ไม่ให้หน่วยงานช่างไม้เหงา นักล่าจึงตั้งโรงงานขึ้นใน Basra ตั้งแต่ ค.ศ. 1763 ความสัมพันธ์ระหว่างนักล่ากับอิรัก จึงไม่ใช่แบบหลวม ๆ แม้โรงงานจะไม่ค่อยได้ผลมากนัก แต่นักล่าก็พอใจที่จะให้มีโรงงาน เพื่อคนของตัวจะได้นั่งเหลาไม้อยู่แถวนั้น เพราะนักล่าเกี่ยวเอาคูเวต (Kuwait) เมืองที่มีท่าเรือน้ำลึกอยู่แถวนั้นเอาไว้ด้วย ดังนั้นแถบนี้ จึงเหมือนเป็นเส้นทางที่นักล่าวางไว้ให้เป็นทางหนี หรือทางไล่ หากออตโตมานมีปัญหาอะไร รับมือไม่ไหวก็กระโดดก้าวผ่านอิรักไปคูเวต ลงเรือหนี หรือทำกลับกัน ย้อนกลับไปเอาไม้มาเพิ่ม เข้าทางคูเวตก็ได้เช่นเดียวกัน เป็นการวางจุดที่ทำให้นักล่าเคลื่อนไหวได้คล่องตัว พวก Mamluk เป็นผู้ได้รับอำนาจจากออตโตมานให้ปกครองอิรักในช่วงนั้น แต่ Mamluk เหม็นหน้าผู้ปกครองออตโตมานอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงพยายามผูกสัมพันธ์กับอังกฤษ สัมพันธ์ระหว่างอิรักกับอังกฤษ จึงสมประโยชน์กัน ค.ศ. 1798 Mamluk ยอมให้อังกฤษ มาร่วมนั่งพิจารณาคดี ในห้องพิจารณาคดีที่ Bagdad นับเป็นความคืบหน้าของอังกฤษไม่น้อย และในที่สุดอังกฤษก็ตั้งสถานกงสุลใน Bagdad เมื่อ ค.ศ. 1802 การค้าขายระหว่างอังกฤษและอิรักก็ก้าวหน้าขึ้นอีก โดยเฉพาะเรื่องการทอผ้า อังกฤษตั้งโรงงานทอผ้าในอิรัก และในที่สุด อังกฤษก็ชักจูงให้อิรักซื้อเรือกลไฟ และตั้งกิจการไปรษณีย์โทรเลข วางเสาไปทั่วเขตได้ โดยอังกฤษเป็นผู้ดำเนินการ สิ่งหนึ่งที่เหล่านักล่าอาณานิคมชอบขายให้แก่เหยื่อ คือ กิจการโทรเลข เพราะเป็นช่องทางที่ข้อมูลของเหยื่อจะหล่นมาถึงผู้ติดตั้ง ระบบและเสา เป็นของแถม หรือจริง ๆ เป็นของหลัก ที่มีค่ามากสำหรับนักล่า เป็นงานจารกรรมข่าวกรอง ที่เหยื่อไม่เคยรู้ตัว ไม่ต่างกับการติดตั้งโทรศัพท์ ในสมัยต่อมา และดาวเทียมในระยะเวลาไม่นานมานี้ พอนึกภาพออกกันไหมครับ ยิ่งตอนหลังนี้ มีโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไอ้ป๊อด อีแป้ด อากู อะไรพวกนี้ มันเป็นเครื่องมือการดูดข้อมูลของเหยื่อทั้งสิ้น ถ้านึกกันไม่ทัน ก็คิดว่าผมเล่าฝันให้ฟังก็แล้วกัน อาจจะเป็นเพราะมีระยะความชิดใกล้มากไป ระหว่างพวก Mamluk กับอังกฤษ ค.ศ. 1831 พวก Mamluks ก็ถูกออตโตมานปลดกลางอากาศ ออกจากการเป็นผู้ปกครองอิรัก และออตโตมานก็เริ่มคุมเข้มอิรักใหม่ แต่การค้าขายติดต่อกับอังกฤษก็ยังดำเนินต่อไปคล้ายเหมือนเดิม อิทธิพลของฝรั่งตะวันตก ฝังรากลึกอยู่ในอิรัก ฝรั่งแนะนำให้อิรักปฏิรูปบ้านเมืองในเรื่องที่ดิน ให้มีการซื้อขายได้ และมีเศรษฐกิจแบบเปิดกว้าง อิรักเชื่อฟัง เดินตามที่ฝรั่งจูง เพราะเชื่อว่าจะทำให้ตัวเจริญ และทันสมัยอย่างที่ฝรั่งกล่อม ในที่สุดชาวอิรัก ซึ่งเคยมีชื่อเสียงในการเป็นช่างฝีมือ โดยเฉพาะในการทอพรม แกะสลักไม้ ก็ค่อย ๆ เหลือน้อยลง กลายเป็นช่างฝีมือเปิดปิดเครื่องจักรโรงงานให้ฝรั่งตะวันตกแทน ตลอดศตวรรษที่ 19 อังกฤษพอใจกับการได้ประโยชน์ ในการตั้งโรงงานไม้เหลาอยู่ที่อิรักนี้ เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายมาก และได้ผลตามที่ต้องการ แต่เมื่อเริ่มศตวรรษที่ 20 ออตโตมานชักเบื่อที่จะต้องถูกฝรั่งชาติเดียวหลอก จึงพยายามคบค้ากับฝรั่งชาติอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะกับรัสเซียและเยอรมัน การแข่งขันมีมากขึ้น ไม้เสี้ยม ไม้ขัด ไม้ขวาง ทำท่าจะไม่พอใช้ ช่างไม้ชาวอังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น การมาถึงของเส้นทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ทำให้หัวคิ้วของนักล่า ขมวดผูกเป็นเงื่อนตาย นี่ยังไม่ต้องนึกถึงเรื่องที่แอบเก็บฝังลึกไว้ในหัวสมองของชาวเกาะใหญ่ กลางคืนแทบไม่กล้านอน กลัวหลับแล้วละเมอถึงความลับ ชาวบ้านจะรู้กันหมด ? สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Stark เปิดตัว Vanta Sea Drone — โดรนเรืออัจฉริยะเพื่อปกป้องสายเคเบิลใต้น้ำจากภัยคุกคามยุคใหม่”

    ในยุคที่ข้อมูลและพลังงานไหลผ่านสายเคเบิลใต้น้ำเป็นหลัก ความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้กลายเป็นเรื่องสำคัญระดับโลก ล่าสุดบริษัท Stark จากอังกฤษ-เยอรมนี ได้เปิดตัวเรือโดรนอัจฉริยะรุ่นใหม่ชื่อว่า Vanta-4 และ Vanta-6 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจลาดตระเวนและป้องกันภัยคุกคามต่อสายเคเบิลใต้น้ำโดยเฉพาะ

    เรือ Vanta ถูกทดสอบในภารกิจ NATO ชื่อ REPMUS/Dynamic Messenger 2025 ที่ประเทศโปรตุเกส โดยมีบทบาทในภารกิจหลากหลาย เช่น การคุ้มกันเป้าหมายสำคัญ, ควบคุมท่าเรือ, ตรวจสอบเป้าหมายที่อยู่ไกลเกินสายตา และลาดตระเวนกลางคืนเพื่อเก็บข้อมูลข่าวกรอง

    Vanta-4 มีความยาว 4 เมตร ส่วน Vanta-6 ยาว 6 เมตร ทั้งสองรุ่นสามารถวิ่งได้ไกลถึง 900 ไมล์ทะเล (ประมาณ 1,667 กม.) และติดตั้งเซนเซอร์ขั้นสูง เช่น กล้องอินฟราเรด, กล้องออปติค, เรดาร์ค้นหา และระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบปรับเปลี่ยนได้

    จุดเด่นของ Vanta คือการออกแบบให้ผลิตได้จำนวนมากในราคาประหยัด พร้อมระบบควบคุมอัจฉริยะชื่อ Minerva ที่สามารถสั่งการแบบฝูง (swarm) และทำงานร่วมกับโดรนทางอากาศ เช่น Virtus ซึ่งเป็นโดรน VTOL แบบโจมตีของ Stark

    Stark ยังได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่ เช่น Sequoia Capital, Thiel Capital และ NATO Innovation Fund โดยมีมูลค่าบริษัทล่าสุดอยู่ที่ 500 ล้านดอลลาร์ และระดมทุนไปแล้วกว่า 92 ล้านดอลลาร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Stark เปิดตัวเรือโดรน Vanta-4 และ Vanta-6 สำหรับภารกิจทางทะเล
    ทดสอบในภารกิจ NATO REPMUS/Dynamic Messenger 2025 ที่โปรตุเกส
    Vanta-4 ยาว 4 เมตร / Vanta-6 ยาว 6 เมตร / วิ่งได้ไกลถึง 900 ไมล์ทะเล
    ติดตั้งเซนเซอร์ขั้นสูง เช่น กล้องอินฟราเรด, เรดาร์, ระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบปรับเปลี่ยน
    ใช้ระบบควบคุม Minerva ที่รองรับการสั่งการแบบฝูงและทำงานร่วมกับโดรนอากาศ
    ภารกิจที่ทดสอบรวมถึงคุ้มกันเป้าหมาย, ควบคุมท่าเรือ, ตรวจสอบเป้าหมายไกลสายตา, ลาดตระเวนกลางคืน
    ออกแบบเพื่อผลิตจำนวนมากในราคาประหยัด
    Stark ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่ และมีมูลค่าบริษัท 500 ล้านดอลลาร์
    มีสำนักงานในอังกฤษ, มิวนิก และเคียฟ พร้อมโรงงานผลิตในสหราชอาณาจักร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    สายเคเบิลใต้น้ำส่งข้อมูลกว่า 95% ของโลก และเป็นเส้นทางหลักของการค้าทางทะเล
    การโจมตีสายเคเบิลใต้น้ำเคยเกิดขึ้นในทะเลบอลติกจาก “กองเรือเงา” ของรัสเซีย
    โดรนเรือแบบ USV (Unmanned Surface Vessel) กำลังเป็นเทคโนโลยีสำคัญในยุทธศาสตร์ทางทะเล
    ระบบควบคุมแบบ swarm ช่วยให้สามารถลาดตระเวนพื้นที่กว้างโดยใช้กำลังคนน้อย
    การใช้เซนเซอร์แบบ modular ช่วยให้ปรับภารกิจได้ตามสถานการณ์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/undersea-cable-attacks-drive-sea-drone-development-starks-vanta-unmanned-vessels-could-be-an-affordable-solution-to-protecting-vital-infrastructure
    🌊 “Stark เปิดตัว Vanta Sea Drone — โดรนเรืออัจฉริยะเพื่อปกป้องสายเคเบิลใต้น้ำจากภัยคุกคามยุคใหม่” ในยุคที่ข้อมูลและพลังงานไหลผ่านสายเคเบิลใต้น้ำเป็นหลัก ความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้กลายเป็นเรื่องสำคัญระดับโลก ล่าสุดบริษัท Stark จากอังกฤษ-เยอรมนี ได้เปิดตัวเรือโดรนอัจฉริยะรุ่นใหม่ชื่อว่า Vanta-4 และ Vanta-6 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจลาดตระเวนและป้องกันภัยคุกคามต่อสายเคเบิลใต้น้ำโดยเฉพาะ เรือ Vanta ถูกทดสอบในภารกิจ NATO ชื่อ REPMUS/Dynamic Messenger 2025 ที่ประเทศโปรตุเกส โดยมีบทบาทในภารกิจหลากหลาย เช่น การคุ้มกันเป้าหมายสำคัญ, ควบคุมท่าเรือ, ตรวจสอบเป้าหมายที่อยู่ไกลเกินสายตา และลาดตระเวนกลางคืนเพื่อเก็บข้อมูลข่าวกรอง Vanta-4 มีความยาว 4 เมตร ส่วน Vanta-6 ยาว 6 เมตร ทั้งสองรุ่นสามารถวิ่งได้ไกลถึง 900 ไมล์ทะเล (ประมาณ 1,667 กม.) และติดตั้งเซนเซอร์ขั้นสูง เช่น กล้องอินฟราเรด, กล้องออปติค, เรดาร์ค้นหา และระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบปรับเปลี่ยนได้ จุดเด่นของ Vanta คือการออกแบบให้ผลิตได้จำนวนมากในราคาประหยัด พร้อมระบบควบคุมอัจฉริยะชื่อ Minerva ที่สามารถสั่งการแบบฝูง (swarm) และทำงานร่วมกับโดรนทางอากาศ เช่น Virtus ซึ่งเป็นโดรน VTOL แบบโจมตีของ Stark Stark ยังได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่ เช่น Sequoia Capital, Thiel Capital และ NATO Innovation Fund โดยมีมูลค่าบริษัทล่าสุดอยู่ที่ 500 ล้านดอลลาร์ และระดมทุนไปแล้วกว่า 92 ล้านดอลลาร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Stark เปิดตัวเรือโดรน Vanta-4 และ Vanta-6 สำหรับภารกิจทางทะเล ➡️ ทดสอบในภารกิจ NATO REPMUS/Dynamic Messenger 2025 ที่โปรตุเกส ➡️ Vanta-4 ยาว 4 เมตร / Vanta-6 ยาว 6 เมตร / วิ่งได้ไกลถึง 900 ไมล์ทะเล ➡️ ติดตั้งเซนเซอร์ขั้นสูง เช่น กล้องอินฟราเรด, เรดาร์, ระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบปรับเปลี่ยน ➡️ ใช้ระบบควบคุม Minerva ที่รองรับการสั่งการแบบฝูงและทำงานร่วมกับโดรนอากาศ ➡️ ภารกิจที่ทดสอบรวมถึงคุ้มกันเป้าหมาย, ควบคุมท่าเรือ, ตรวจสอบเป้าหมายไกลสายตา, ลาดตระเวนกลางคืน ➡️ ออกแบบเพื่อผลิตจำนวนมากในราคาประหยัด ➡️ Stark ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่ และมีมูลค่าบริษัท 500 ล้านดอลลาร์ ➡️ มีสำนักงานในอังกฤษ, มิวนิก และเคียฟ พร้อมโรงงานผลิตในสหราชอาณาจักร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ สายเคเบิลใต้น้ำส่งข้อมูลกว่า 95% ของโลก และเป็นเส้นทางหลักของการค้าทางทะเล ➡️ การโจมตีสายเคเบิลใต้น้ำเคยเกิดขึ้นในทะเลบอลติกจาก “กองเรือเงา” ของรัสเซีย ➡️ โดรนเรือแบบ USV (Unmanned Surface Vessel) กำลังเป็นเทคโนโลยีสำคัญในยุทธศาสตร์ทางทะเล ➡️ ระบบควบคุมแบบ swarm ช่วยให้สามารถลาดตระเวนพื้นที่กว้างโดยใช้กำลังคนน้อย ➡️ การใช้เซนเซอร์แบบ modular ช่วยให้ปรับภารกิจได้ตามสถานการณ์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/undersea-cable-attacks-drive-sea-drone-development-starks-vanta-unmanned-vessels-could-be-an-affordable-solution-to-protecting-vital-infrastructure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดรน Geran ของรัสเซียเลิกเป็น "เด็กแว๊นซ์" แล้ว

    หน่วยข่าวกรองของยูเครนรายงานว่าโดรน “Geran-3” รุ่นใหม่ของรัสเซีย พัฒนาเครื่องยนต์ใหม่เป็นเครื่องยนต์มินิเจ็ต

    ที่บินได้เร็วถึง 230 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 370 กม./ชั่วโมง)
    และมีระยะบินไกลกว่า 620 ไมล์ (ประมาณ 997 กิโลเมตร)
    ซึ่งมาพร้อมระบบต่อต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ สามารถหลบเลี่ยงการดักจับและการรบกวนสัญญาณของยูเครนได้
    และบินได้นานถึง 6 ชั่วโมง
    ติดตั้งหัวรบระเบิดแรงสูงได้มากถึง 198 ปอนด์ (ประมาณ 90 กิโลกรัม)
    หัวรบที่ติดตั้งมีทั้งแบบคลัสเตอร์บอม์และหัวรบแบบเทอร์โมบาริก ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเป้าหมายที่มีการป้องกันแน่นหนา
    .
    ทางหน่วยข่าวกรองของยูเครนออกมาวิจารณ์ว่า ส่วนประกอบของโดรนรุ่นใหม่ ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพันธมิตรกับยูเครนทั้งสิ้น โดยที่ครึ่งหนึ่งมาจากผู้ผลิตในอเมริกา และ 8 ชิ้นมาจากจีน อีก 7 ชิ้นส่วนมาจากสวิตเซอร์แลนด์ และ 3 ชิ้นส่วนจากเยอรมนี อีก 2 ชิ้นจากอังกฤษ และ 1 ชิ้นจากผู้ผลิตในญี่ปุ่น
    .
    วิดีโอ 1 เสียงของเครื่องยนต์จากโดรน Geran-3 เปลี่ยนไป
    โดรน Geran ของรัสเซียเลิกเป็น "เด็กแว๊นซ์" แล้ว หน่วยข่าวกรองของยูเครนรายงานว่าโดรน “Geran-3” รุ่นใหม่ของรัสเซีย พัฒนาเครื่องยนต์ใหม่เป็นเครื่องยนต์มินิเจ็ต 👉ที่บินได้เร็วถึง 230 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 370 กม./ชั่วโมง) 👉และมีระยะบินไกลกว่า 620 ไมล์ (ประมาณ 997 กิโลเมตร) ซึ่งมาพร้อมระบบต่อต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ สามารถหลบเลี่ยงการดักจับและการรบกวนสัญญาณของยูเครนได้ 👉และบินได้นานถึง 6 ชั่วโมง 👉ติดตั้งหัวรบระเบิดแรงสูงได้มากถึง 198 ปอนด์ (ประมาณ 90 กิโลกรัม) 👉หัวรบที่ติดตั้งมีทั้งแบบคลัสเตอร์บอม์และหัวรบแบบเทอร์โมบาริก ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเป้าหมายที่มีการป้องกันแน่นหนา . ทางหน่วยข่าวกรองของยูเครนออกมาวิจารณ์ว่า ส่วนประกอบของโดรนรุ่นใหม่ ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพันธมิตรกับยูเครนทั้งสิ้น โดยที่ครึ่งหนึ่งมาจากผู้ผลิตในอเมริกา และ 8 ชิ้นมาจากจีน อีก 7 ชิ้นส่วนมาจากสวิตเซอร์แลนด์ และ 3 ชิ้นส่วนจากเยอรมนี อีก 2 ชิ้นจากอังกฤษ และ 1 ชิ้นจากผู้ผลิตในญี่ปุ่น . วิดีโอ 1 เสียงของเครื่องยนต์จากโดรน Geran-3 เปลี่ยนไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครื่องบินขนส่งทางทหารของจีนหลายลำ ได้ส่งมอบจรวด กระสุนปืนใหญ่และกระสุนปืนครกแก่กัมพูชา ไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ประเด็นพิพาทตามแนวชายแดนกับไทย จะปะทุลุกลามเข้าสู่สงครามเสียเลือดเสียเนื้อช่วงสั้นๆในเดือนกรฏาคม ตามรายงานของสำนักข่าวนิวยอร์กไทม์ส อ้างอิงการพบเห็นในเอกสารข่าวกรองของไทย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000093691

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    เครื่องบินขนส่งทางทหารของจีนหลายลำ ได้ส่งมอบจรวด กระสุนปืนใหญ่และกระสุนปืนครกแก่กัมพูชา ไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ประเด็นพิพาทตามแนวชายแดนกับไทย จะปะทุลุกลามเข้าสู่สงครามเสียเลือดเสียเนื้อช่วงสั้นๆในเดือนกรฏาคม ตามรายงานของสำนักข่าวนิวยอร์กไทม์ส อ้างอิงการพบเห็นในเอกสารข่าวกรองของไทย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000093691 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 349 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วัยรุ่นดัตช์ถูกจับฐานสอดแนมให้รัสเซีย — เมื่อ Telegram กลายเป็นช่องทางล่อลวง และ Wi-Fi sniffer กลายเป็นอาวุธเงียบ”

    ในเหตุการณ์ที่สร้างความตกตะลึงให้กับสังคมเนเธอร์แลนด์ ตำรวจได้จับกุมวัยรุ่นชายอายุ 17 ปีจำนวน 2 คน ฐานต้องสงสัยว่าถูกกลุ่มแฮกเกอร์ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลรัสเซียล่อลวงให้ทำภารกิจสอดแนม โดยหนึ่งในนั้นถูกพบขณะเดินผ่านสถานที่สำคัญในกรุงเฮก เช่น สำนักงาน Europol, Eurojust และสถานทูตแคนาดา พร้อมถืออุปกรณ์ที่เรียกว่า “Wi-Fi sniffer” ซึ่งสามารถดักจับข้อมูลจากเครือข่ายไร้สายใกล้เคียงได้

    การจับกุมเกิดขึ้นหลังจากหน่วยข่าวกรอง AIVD ของเนเธอร์แลนด์ได้รับเบาะแส และนำไปสู่การบุกค้นบ้านของหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ขณะเขากำลังทำการบ้านอยู่ โดยเจ้าหน้าที่สวมหน้ากากบุกเข้ามาพร้อมหมายค้น และยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายรายการ

    วัยรุ่นทั้งสองถูกกล่าวหาว่าได้รับการติดต่อผ่าน Telegram ซึ่งเป็นแอปที่นิยมในหมู่เยาวชน และมักถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์หรือหน่วยข่าวกรองต่างชาติในการล่อลวงเหยื่อผ่าน “งานง่าย ๆ” เช่น การเดินส่งพัสดุหรือถ่ายภาพสถานที่ราชการ โดยไม่รู้ว่าตนเองกำลังมีส่วนร่วมในภารกิจสอดแนมหรือแม้แต่การก่อวินาศกรรม

    หนึ่งในผู้ต้องสงสัยถูกควบคุมตัวไว้ ส่วนอีกคนถูกปล่อยตัวภายใต้การควบคุมที่บ้าน พร้อมติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ Europol ยืนยันว่าไม่มีระบบใดถูกเจาะ แต่ยอมรับว่ากำลังร่วมมือกับทางการเนเธอร์แลนด์ในการสอบสวนอย่างใกล้ชิด

    กรณีนี้สะท้อนแนวโน้มที่น่ากังวลในยุโรป ซึ่งเยาวชนและบุคคลเปราะบางถูกใช้เป็น “ตัวแทนที่ใช้แล้วทิ้ง” โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เช่นในเยอรมนีและอังกฤษ ที่เคยมีการล่อลวงวัยรุ่นให้ส่งพัสดุที่ภายในมีระเบิดแอบแฝง โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังกลายเป็นเครื่องมือของการก่อการร้าย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    วัยรุ่นชาย 2 คนอายุ 17 ปีถูกจับในเนเธอร์แลนด์ ฐานต้องสงสัยสอดแนมให้กลุ่มแฮกเกอร์รัสเซีย
    หนึ่งในนั้นถูกพบถือ Wi-Fi sniffer เดินผ่านสถานที่สำคัญในกรุงเฮก เช่น Europol และ Eurojust
    การจับกุมเกิดขึ้นหลังจาก AIVD ได้รับเบาะแส และนำไปสู่การบุกค้นบ้านพร้อมหมายค้น
    ผู้ต้องสงสัยถูกติดต่อผ่าน Telegram ซึ่งเป็นช่องทางที่นิยมในหมู่เยาวชน
    หนึ่งคนถูกควบคุมตัว อีกคนถูกปล่อยตัวภายใต้การควบคุมที่บ้าน พร้อมติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์
    Europol ยืนยันว่าไม่มีระบบถูกเจาะ และกำลังร่วมมือกับทางการเนเธอร์แลนด์ในการสอบสวน
    กรณีนี้ถือเป็นครั้งแรกในเนเธอร์แลนด์ที่เยาวชนถูกกล่าวหาว่าถูกล่อลวงโดยรัฐต่างชาติ
    ลักษณะการล่อลวงคล้ายกับกรณีในเยอรมนีและอังกฤษ ที่ใช้เยาวชนเป็น “ตัวแทนที่ใช้แล้วทิ้ง”

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wi-Fi sniffer เป็นอุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้ดักจับข้อมูลจากเครือข่ายไร้สาย
    Telegram ถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์และหน่วยข่าวกรองเพราะมีระบบเข้ารหัสและไม่เปิดเผยตัวตน
    กลุ่ม APT28 ของรัสเซียเคยใช้เทคนิค “nearest neighbor attack” ผ่านเครือข่าย Wi-Fi ใกล้เป้าหมาย
    Europol เคยนำทีมปราบกลุ่ม NoName057 (16) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 4,000 คนที่โจมตีระบบในยุโรป
    การล่อลวงผ่าน “งานง่าย ๆ” เช่น ส่งพัสดุหรือถ่ายภาพสถานที่ราชการ เป็นเทคนิคที่ใช้บ่อยในสงครามไซเบอร์

    https://hackread.com/dutch-teens-arrested-spying-pro-russian-hackers/
    🕵️‍♂️ “วัยรุ่นดัตช์ถูกจับฐานสอดแนมให้รัสเซีย — เมื่อ Telegram กลายเป็นช่องทางล่อลวง และ Wi-Fi sniffer กลายเป็นอาวุธเงียบ” ในเหตุการณ์ที่สร้างความตกตะลึงให้กับสังคมเนเธอร์แลนด์ ตำรวจได้จับกุมวัยรุ่นชายอายุ 17 ปีจำนวน 2 คน ฐานต้องสงสัยว่าถูกกลุ่มแฮกเกอร์ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลรัสเซียล่อลวงให้ทำภารกิจสอดแนม โดยหนึ่งในนั้นถูกพบขณะเดินผ่านสถานที่สำคัญในกรุงเฮก เช่น สำนักงาน Europol, Eurojust และสถานทูตแคนาดา พร้อมถืออุปกรณ์ที่เรียกว่า “Wi-Fi sniffer” ซึ่งสามารถดักจับข้อมูลจากเครือข่ายไร้สายใกล้เคียงได้ การจับกุมเกิดขึ้นหลังจากหน่วยข่าวกรอง AIVD ของเนเธอร์แลนด์ได้รับเบาะแส และนำไปสู่การบุกค้นบ้านของหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ขณะเขากำลังทำการบ้านอยู่ โดยเจ้าหน้าที่สวมหน้ากากบุกเข้ามาพร้อมหมายค้น และยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายรายการ วัยรุ่นทั้งสองถูกกล่าวหาว่าได้รับการติดต่อผ่าน Telegram ซึ่งเป็นแอปที่นิยมในหมู่เยาวชน และมักถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์หรือหน่วยข่าวกรองต่างชาติในการล่อลวงเหยื่อผ่าน “งานง่าย ๆ” เช่น การเดินส่งพัสดุหรือถ่ายภาพสถานที่ราชการ โดยไม่รู้ว่าตนเองกำลังมีส่วนร่วมในภารกิจสอดแนมหรือแม้แต่การก่อวินาศกรรม หนึ่งในผู้ต้องสงสัยถูกควบคุมตัวไว้ ส่วนอีกคนถูกปล่อยตัวภายใต้การควบคุมที่บ้าน พร้อมติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ Europol ยืนยันว่าไม่มีระบบใดถูกเจาะ แต่ยอมรับว่ากำลังร่วมมือกับทางการเนเธอร์แลนด์ในการสอบสวนอย่างใกล้ชิด กรณีนี้สะท้อนแนวโน้มที่น่ากังวลในยุโรป ซึ่งเยาวชนและบุคคลเปราะบางถูกใช้เป็น “ตัวแทนที่ใช้แล้วทิ้ง” โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เช่นในเยอรมนีและอังกฤษ ที่เคยมีการล่อลวงวัยรุ่นให้ส่งพัสดุที่ภายในมีระเบิดแอบแฝง โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังกลายเป็นเครื่องมือของการก่อการร้าย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ วัยรุ่นชาย 2 คนอายุ 17 ปีถูกจับในเนเธอร์แลนด์ ฐานต้องสงสัยสอดแนมให้กลุ่มแฮกเกอร์รัสเซีย ➡️ หนึ่งในนั้นถูกพบถือ Wi-Fi sniffer เดินผ่านสถานที่สำคัญในกรุงเฮก เช่น Europol และ Eurojust ➡️ การจับกุมเกิดขึ้นหลังจาก AIVD ได้รับเบาะแส และนำไปสู่การบุกค้นบ้านพร้อมหมายค้น ➡️ ผู้ต้องสงสัยถูกติดต่อผ่าน Telegram ซึ่งเป็นช่องทางที่นิยมในหมู่เยาวชน ➡️ หนึ่งคนถูกควบคุมตัว อีกคนถูกปล่อยตัวภายใต้การควบคุมที่บ้าน พร้อมติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ ➡️ Europol ยืนยันว่าไม่มีระบบถูกเจาะ และกำลังร่วมมือกับทางการเนเธอร์แลนด์ในการสอบสวน ➡️ กรณีนี้ถือเป็นครั้งแรกในเนเธอร์แลนด์ที่เยาวชนถูกกล่าวหาว่าถูกล่อลวงโดยรัฐต่างชาติ ➡️ ลักษณะการล่อลวงคล้ายกับกรณีในเยอรมนีและอังกฤษ ที่ใช้เยาวชนเป็น “ตัวแทนที่ใช้แล้วทิ้ง” ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wi-Fi sniffer เป็นอุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้ดักจับข้อมูลจากเครือข่ายไร้สาย ➡️ Telegram ถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์และหน่วยข่าวกรองเพราะมีระบบเข้ารหัสและไม่เปิดเผยตัวตน ➡️ กลุ่ม APT28 ของรัสเซียเคยใช้เทคนิค “nearest neighbor attack” ผ่านเครือข่าย Wi-Fi ใกล้เป้าหมาย ➡️ Europol เคยนำทีมปราบกลุ่ม NoName057 (16) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 4,000 คนที่โจมตีระบบในยุโรป ➡️ การล่อลวงผ่าน “งานง่าย ๆ” เช่น ส่งพัสดุหรือถ่ายภาพสถานที่ราชการ เป็นเทคนิคที่ใช้บ่อยในสงครามไซเบอร์ https://hackread.com/dutch-teens-arrested-spying-pro-russian-hackers/
    HACKREAD.COM
    Dutch Teens Arrested Over Alleged Spying for Pro-Russian Hackers
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Ghost Shark: เรือดำน้ำไร้คนขับแห่งอนาคตของออสเตรเลีย — เมื่อ AI ใต้น้ำกลายเป็นอาวุธยุทธศาสตร์ระดับชาติ”

    กองทัพเรือออสเตรเลียได้เปิดตัวโครงการ Ghost Shark อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการลงทุนครั้งใหญ่กว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV (Extra-Large Autonomous Undersea Vehicle) จากบริษัท Anduril Industries ซึ่งจะผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง

    Ghost Shark ถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ โดยมีความสามารถในการปฏิบัติการระยะไกลโดยไม่ต้องใช้ลูกเรือ และสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบได้โดยตรง ตัวเรือยังสามารถขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A Globemaster III ได้ในตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน ทำให้สามารถนำไปใช้งานได้ทั่วโลก

    แม้รายละเอียดทางเทคนิคจะยังถูกเก็บเป็นความลับ แต่มีการคาดการณ์ว่า Ghost Shark อาจสามารถติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 ซึ่งเป็นอาวุธหนักที่กองทัพเรือออสเตรเลียใช้อยู่ และอาจมีระบบ AI “Lattice” ที่ช่วยให้เรือสามารถควบคุมโดรนอื่น ๆ ได้เอง

    โครงการนี้เริ่มต้นจากการลงทุนพัฒนาเบื้องต้นราว 140 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย และใช้เวลาเพียง 3 ปีจากแนวคิดสู่การผลิตจริง โดยมีการส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมเข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบในปีหน้า

    Ghost Shark ไม่เพียงแต่จะเสริมกำลังเรือดำน้ำแบบมีลูกเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศที่เน้นการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก และอาจกลายเป็นสินค้าส่งออกด้านความมั่นคงในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รัฐบาลออสเตรเลียลงทุน 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในโครงการ Ghost Shark
    Ghost Shark เป็นเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV ที่พัฒนาโดย Anduril Industries
    ผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง
    เรือสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบ และขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A ได้
    มีความสามารถด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ
    อาจติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 และใช้ระบบ AI “Lattice”
    ส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026
    โครงการนี้สร้างงานใหม่กว่า 150 ตำแหน่ง และสนับสนุนงานเดิมอีก 120 ตำแหน่ง
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศตามแผน National Defence Strategy 2024

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    XL-AUV เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น
    ระบบ AI ใต้น้ำช่วยให้เรือสามารถตัดสินใจได้เองในภารกิจที่ซับซ้อน
    การใช้เรือไร้คนขับช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตทหารในภารกิจอันตราย
    Ghost Shark อาจกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเรือดำน้ำอัตโนมัติในอนาคต
    การขนส่งผ่าน C-17A ทำให้สามารถ deploy ได้รวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน

    https://www.slashgear.com/1975958/royal-australian-navy-ghost-shark-autonomous-submarine/
    🦈 “Ghost Shark: เรือดำน้ำไร้คนขับแห่งอนาคตของออสเตรเลีย — เมื่อ AI ใต้น้ำกลายเป็นอาวุธยุทธศาสตร์ระดับชาติ” กองทัพเรือออสเตรเลียได้เปิดตัวโครงการ Ghost Shark อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการลงทุนครั้งใหญ่กว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV (Extra-Large Autonomous Undersea Vehicle) จากบริษัท Anduril Industries ซึ่งจะผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง Ghost Shark ถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ โดยมีความสามารถในการปฏิบัติการระยะไกลโดยไม่ต้องใช้ลูกเรือ และสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบได้โดยตรง ตัวเรือยังสามารถขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A Globemaster III ได้ในตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน ทำให้สามารถนำไปใช้งานได้ทั่วโลก แม้รายละเอียดทางเทคนิคจะยังถูกเก็บเป็นความลับ แต่มีการคาดการณ์ว่า Ghost Shark อาจสามารถติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 ซึ่งเป็นอาวุธหนักที่กองทัพเรือออสเตรเลียใช้อยู่ และอาจมีระบบ AI “Lattice” ที่ช่วยให้เรือสามารถควบคุมโดรนอื่น ๆ ได้เอง โครงการนี้เริ่มต้นจากการลงทุนพัฒนาเบื้องต้นราว 140 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย และใช้เวลาเพียง 3 ปีจากแนวคิดสู่การผลิตจริง โดยมีการส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมเข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบในปีหน้า Ghost Shark ไม่เพียงแต่จะเสริมกำลังเรือดำน้ำแบบมีลูกเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศที่เน้นการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก และอาจกลายเป็นสินค้าส่งออกด้านความมั่นคงในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รัฐบาลออสเตรเลียลงทุน 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในโครงการ Ghost Shark ➡️ Ghost Shark เป็นเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV ที่พัฒนาโดย Anduril Industries ➡️ ผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง ➡️ เรือสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบ และขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A ได้ ➡️ มีความสามารถด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ ➡️ อาจติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 และใช้ระบบ AI “Lattice” ➡️ ส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026 ➡️ โครงการนี้สร้างงานใหม่กว่า 150 ตำแหน่ง และสนับสนุนงานเดิมอีก 120 ตำแหน่ง ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศตามแผน National Defence Strategy 2024 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ XL-AUV เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ➡️ ระบบ AI ใต้น้ำช่วยให้เรือสามารถตัดสินใจได้เองในภารกิจที่ซับซ้อน ➡️ การใช้เรือไร้คนขับช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตทหารในภารกิจอันตราย ➡️ Ghost Shark อาจกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเรือดำน้ำอัตโนมัติในอนาคต ➡️ การขนส่งผ่าน C-17A ทำให้สามารถ deploy ได้รวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน https://www.slashgear.com/1975958/royal-australian-navy-ghost-shark-autonomous-submarine/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Royal Australian Navy Has A Billion-Dollar Ghost Shark Submarine Fleet On The Way - SlashGear
    The Australian government has signed a five-year contract with Anduril Industries worth $1.12 billion to build an undisclosed number of Ghost Shark XL-AUVs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 8 – โรงเรียน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว”
    ตอนที่ 8 “โรงเรียน”
    จากบันทึกความทรงจำของ Osman Nuri Gunds อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง Turkish Intelligence Service (MIT) ของตุรกี สาขา Istanbul ระบุว่า นาย Gulen ตั้งโรงเรียนสอนภาษาอยู่หลายบริเวณของโลก เช่นที่ Central Asia ซึ่งทำหน้าที่เป็นฉากบังหน้า ให้แก่การปฏิบัติงานของ CIA ประมาณ 130 รายการ ที่ Uzbekistan และ Kyrgystan ครูสอนภาษาอังกฤษของโรงเรียนทำหน้าที่จารกรรมให้รัฐบาลอเมริกา ควบคู่ไปกับการสอนภาษา “Bridges of Freindship” เป็นชื่อรหัสของการปฎิบัติการเหล่านี้
    เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen นี้ ได้มีการเปิดเผยอีกมากมาย โดย Cibel Edmonds ซึ่งเขียนไว้ในบันทึกความทรงจำ ของเธอ ชื่อ Classified Woman : Sibel Edmonds Story (หมายเหตุ : ไปหามาอ่านกันนะครับ น่าสนใจมาก) Edmonds เป็นอดีต FBI ทำหน้าที่เป็นผู้ชำนาญด้านการแปล และต่อมาเป็นผู้ที่มีชื่อโด่งดังมาก รู้จักกันในนาม American Whistle blowers (อเมริกันผู้เป่านักหวีด) ในเรื่องความมั่นคงของประเทศ
    Edmond เล่าว่า กุญแจสำคัญที่โยง Gulen กับ CIA คือ นาย Graham Fuller CIA ตัวใหญ่เป้ง ตำแหน่งนักวิเคราะห์ ข่าวกรอง ประจำ Rand Corporation (หวังว่าท่านผู้อ่าน คงจะจำได้ ผมได้เล่าเรื่อง Rand Corporation นี่ไว้ในนิทานหลายเรื่อง ทบทวนสั้นๆว่า เป็นหน่วยงานของรัฐบาลอเมริกัน ที่มีหน้าที่ ดูแลด้านความมั่นคงของประเทศ ตั้งแต่ วิเคราะห์วางแผน ไปจนถึงปฏิบัติการ รวมทั้งเก็บกวาดในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากทำลาย หรือไปทำรกในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากให้บ้านนั้นเละครับ)
    นาย Fuller นั้น เป็นอดีตหัวหน้า CIA ในกรุง Kabul และเป็นรองประธานของ National Intelligence Council นี่มันเหยี่ยวตัวใหญ่เลยน่ะนี่ และไม่ใช่เหยี่ยวตัวใหญ่ธรรมดา แต่เป็นเหยี่ยวกรงเล็บติดจรวดพิฆาตด้วย
    นาย Fuller อยู่ฝ่ายปฎิบัติการนานกว่า 20 ปี ในตุรกี เลบาบอน ซาอุดิอารเบีย เยเมน อาฟกานิสถาน และฮ่องกง ในปี ค.ศ. 1982 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลด้านข่าวกรองของ CIA ในแถบ Near East และ South Asia และในปี ค.ศ. 1986 รัฐบาล Reagan ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นรองประธาน Nation Intelligence Council ซึ่งรับผิดชอบการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
    เมื่อปี ค.ศ. 2013 นี้เอง เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Boston Marathon bombs ในการวิ่งมาราธอนที่ Boston และมีการวางระเบิดที่เส้นชัย มีเด็กตาย 1 คน และคนเจ็บประมาณ 140 กว่าคน FBI จับตัวผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน ชื่อ Rushan Tsarnacv ซึ่งมีลุงช่างพูดออกมาให้ข่าวต่าง ๆ ว่าหลานฉันไม่เกี่ยว คงจะพอจำลุงช่างพูดนั้นกันได้ ลุงคนนั้นบังเอิญแต่งงานกับ Samantha ซึ่งเป็นลูกสาวของนาย Graham Fuller ครับ
    Edmonds ระบุไว้ในบทความของเธอว่า เมื่อนาย Gulen ยื่นคำขอเข้ามาอยู่ในอเมริกา ผู้ให้คำรับรอง นาย Gulen กับทางการอเมริกา คือ นาย Graham Fuller โดยนาย Fuller เขียนจดหมายไปถึง FBI และ US Dept of Homeland Security รับรองว่า Gulen ไม่มีการกระทำที่เป็นภัยต่ออเมริกา ด้วยคำรับรองนี้ Gulen จึงอยู่ในอเมริกาได้จนทุกวันนี้
    อีกคนหนึ่งที่ให้คำรับรอง นาย Gulen คือ นาย Morton Abramowitz จำชื่อนี้กันได้ไหมครับ เขาเป็นอดีต CIA ฝ่ายปฎิบัติการประจำตุรกีและต่อมาได้เป็นฑูตที่ตุรกี ช่วงปี ค.ศ.1989 – 1991 ก่อนหน้านั้น เคยเป็นฑูตประจำราชอาณาจักรไทย ช่วงปี ค.ศ. 1978 – 1981 ตำแหน่งหลังการเกษียณจากกระทรวงต่างประเทศอเมริกา คือ เป็นประธานของ Carnegie Endowment for International Peace (1991 – 1997)
    สถาบันนี้ทำอะไร เคยเล่าแล้ว เขียนซ้ำเดี๋ยวโดยท่านผู้อ่าน Inbox เข้ามาต่อว่าอีกว่า ทำไมเขียนซ้ำ ไม่ชอบอ่านซ้ำ แหม ! ก็อ่านข้ามไม่ได้หรือครับ คนที่เขาจำไม่ได้อยากอ่านซ้ำก็มีนะครับ อยากอ่านเรื่องความเลวของนาย Abramowitz ยาวกว่านี้ ช่วยกลับไปอ่านนิทาน สิงห์โตหอน นะครับ แถมให้ว่าเขาเป็นนัก lobblyist ตัวสำคัญ ให้ไอ้หมาในโจรร้าย ส่วนไอ้ Robert Amsterdam มันแค่ระดับกระจอก ไม่ใช่ตัวใหญ่ ตัวสำคัญอะไร เอาไว้ออกแขกล่อให้สื่อไทยกับคนไทยด่าเล่น ผิดเป้าเท่านั้นเอง โยงกันมาให้เห็นถึงขนาดนี้ หวังว่าคงมองเห็นความเลวร้ายของอเมริกา ไอ้หมาใน และความสัมพันธ์ ของพวกมัน
    เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen ยังไม่จบแค่นั้น ยังมีโรงเรียนของ Gulen ที่รัสเซีย Chechnya และแถบ Dagestam เพื่อเป็นฉากหน้าให้แก่กลุ่ม Jihadist ตั้งแต่ ค.ศ. 1991 ต่อมาถูกคุณพี่ปูตินกวาดล้างเรียบ ไล่กระเด็นออกไปหมด รัฐบาลรัสเซียสั่งปิดโรงเรียนของ Gulun และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในรัสเซีย แถมขับไล่ชาวตุรกีประมาณ 20 คน ที่เป็นสาวกของ Gulen ออกไปจากประเทศ ช่วงปี ค.ศ. 2002 – 2004 อีกด้วย
    ปี ค.ศ. 1999 Uzbekistan ปิดโรงเรียน Gulen ที่ Madreasas และจับสื่อ 8 คน ที่จบจากโรงเรียน Gulen ข้อหา จัดตั้งองค์การสอนศาสนาอย่างไม่ถูกต้อง และมีกิจกรรมส่อไปในทางสร้างความรุนแรง
    Edmaonds ได้เล่าถึงการปฎิบัติการของอเมริกาในเอเซียกลาง ว่ามันเริ่มมาหลายสิบปีแล้วอย่างผิดกฎหมาย เพื่อเข้าไปให้ถึงแหล่งน้ำมันและกองทัพในเอเซียกลาง โดยใช้ การปฎิบัติการของตุรกีร่วมมือกับพวกซาอุและปากีสถาน ใช้วัตถุประสงค์เรื่องศาสนาอิสลามบังหน้า และผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าของฉากและโรงแสดง ก็คือ โรงเรียนของ Gulen นั่นเอง ซึ่งขยายไปจากตุรกีเข้าไปในเอเซียกลาง จนถึงรัสเซียและจีนเรียบร้อยแล้ว
    เรื่องนาย Gulen/ Fuller/ Abramowitz นี้ จึงเป็นเรื่องที่นาย Erdogan คงจะมองผ่าน ๆ ไม่ได้ เขาน่าจะเจอของแข็งจริงจากอเมริกา !
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 กค. 2557
    ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 8 – โรงเรียน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว” ตอนที่ 8 “โรงเรียน” จากบันทึกความทรงจำของ Osman Nuri Gunds อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง Turkish Intelligence Service (MIT) ของตุรกี สาขา Istanbul ระบุว่า นาย Gulen ตั้งโรงเรียนสอนภาษาอยู่หลายบริเวณของโลก เช่นที่ Central Asia ซึ่งทำหน้าที่เป็นฉากบังหน้า ให้แก่การปฏิบัติงานของ CIA ประมาณ 130 รายการ ที่ Uzbekistan และ Kyrgystan ครูสอนภาษาอังกฤษของโรงเรียนทำหน้าที่จารกรรมให้รัฐบาลอเมริกา ควบคู่ไปกับการสอนภาษา “Bridges of Freindship” เป็นชื่อรหัสของการปฎิบัติการเหล่านี้ เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen นี้ ได้มีการเปิดเผยอีกมากมาย โดย Cibel Edmonds ซึ่งเขียนไว้ในบันทึกความทรงจำ ของเธอ ชื่อ Classified Woman : Sibel Edmonds Story (หมายเหตุ : ไปหามาอ่านกันนะครับ น่าสนใจมาก) Edmonds เป็นอดีต FBI ทำหน้าที่เป็นผู้ชำนาญด้านการแปล และต่อมาเป็นผู้ที่มีชื่อโด่งดังมาก รู้จักกันในนาม American Whistle blowers (อเมริกันผู้เป่านักหวีด) ในเรื่องความมั่นคงของประเทศ Edmond เล่าว่า กุญแจสำคัญที่โยง Gulen กับ CIA คือ นาย Graham Fuller CIA ตัวใหญ่เป้ง ตำแหน่งนักวิเคราะห์ ข่าวกรอง ประจำ Rand Corporation (หวังว่าท่านผู้อ่าน คงจะจำได้ ผมได้เล่าเรื่อง Rand Corporation นี่ไว้ในนิทานหลายเรื่อง ทบทวนสั้นๆว่า เป็นหน่วยงานของรัฐบาลอเมริกัน ที่มีหน้าที่ ดูแลด้านความมั่นคงของประเทศ ตั้งแต่ วิเคราะห์วางแผน ไปจนถึงปฏิบัติการ รวมทั้งเก็บกวาดในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากทำลาย หรือไปทำรกในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากให้บ้านนั้นเละครับ) นาย Fuller นั้น เป็นอดีตหัวหน้า CIA ในกรุง Kabul และเป็นรองประธานของ National Intelligence Council นี่มันเหยี่ยวตัวใหญ่เลยน่ะนี่ และไม่ใช่เหยี่ยวตัวใหญ่ธรรมดา แต่เป็นเหยี่ยวกรงเล็บติดจรวดพิฆาตด้วย นาย Fuller อยู่ฝ่ายปฎิบัติการนานกว่า 20 ปี ในตุรกี เลบาบอน ซาอุดิอารเบีย เยเมน อาฟกานิสถาน และฮ่องกง ในปี ค.ศ. 1982 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลด้านข่าวกรองของ CIA ในแถบ Near East และ South Asia และในปี ค.ศ. 1986 รัฐบาล Reagan ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นรองประธาน Nation Intelligence Council ซึ่งรับผิดชอบการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อปี ค.ศ. 2013 นี้เอง เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Boston Marathon bombs ในการวิ่งมาราธอนที่ Boston และมีการวางระเบิดที่เส้นชัย มีเด็กตาย 1 คน และคนเจ็บประมาณ 140 กว่าคน FBI จับตัวผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน ชื่อ Rushan Tsarnacv ซึ่งมีลุงช่างพูดออกมาให้ข่าวต่าง ๆ ว่าหลานฉันไม่เกี่ยว คงจะพอจำลุงช่างพูดนั้นกันได้ ลุงคนนั้นบังเอิญแต่งงานกับ Samantha ซึ่งเป็นลูกสาวของนาย Graham Fuller ครับ Edmonds ระบุไว้ในบทความของเธอว่า เมื่อนาย Gulen ยื่นคำขอเข้ามาอยู่ในอเมริกา ผู้ให้คำรับรอง นาย Gulen กับทางการอเมริกา คือ นาย Graham Fuller โดยนาย Fuller เขียนจดหมายไปถึง FBI และ US Dept of Homeland Security รับรองว่า Gulen ไม่มีการกระทำที่เป็นภัยต่ออเมริกา ด้วยคำรับรองนี้ Gulen จึงอยู่ในอเมริกาได้จนทุกวันนี้ อีกคนหนึ่งที่ให้คำรับรอง นาย Gulen คือ นาย Morton Abramowitz จำชื่อนี้กันได้ไหมครับ เขาเป็นอดีต CIA ฝ่ายปฎิบัติการประจำตุรกีและต่อมาได้เป็นฑูตที่ตุรกี ช่วงปี ค.ศ.1989 – 1991 ก่อนหน้านั้น เคยเป็นฑูตประจำราชอาณาจักรไทย ช่วงปี ค.ศ. 1978 – 1981 ตำแหน่งหลังการเกษียณจากกระทรวงต่างประเทศอเมริกา คือ เป็นประธานของ Carnegie Endowment for International Peace (1991 – 1997) สถาบันนี้ทำอะไร เคยเล่าแล้ว เขียนซ้ำเดี๋ยวโดยท่านผู้อ่าน Inbox เข้ามาต่อว่าอีกว่า ทำไมเขียนซ้ำ ไม่ชอบอ่านซ้ำ แหม ! ก็อ่านข้ามไม่ได้หรือครับ คนที่เขาจำไม่ได้อยากอ่านซ้ำก็มีนะครับ อยากอ่านเรื่องความเลวของนาย Abramowitz ยาวกว่านี้ ช่วยกลับไปอ่านนิทาน สิงห์โตหอน นะครับ แถมให้ว่าเขาเป็นนัก lobblyist ตัวสำคัญ ให้ไอ้หมาในโจรร้าย ส่วนไอ้ Robert Amsterdam มันแค่ระดับกระจอก ไม่ใช่ตัวใหญ่ ตัวสำคัญอะไร เอาไว้ออกแขกล่อให้สื่อไทยกับคนไทยด่าเล่น ผิดเป้าเท่านั้นเอง โยงกันมาให้เห็นถึงขนาดนี้ หวังว่าคงมองเห็นความเลวร้ายของอเมริกา ไอ้หมาใน และความสัมพันธ์ ของพวกมัน เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen ยังไม่จบแค่นั้น ยังมีโรงเรียนของ Gulen ที่รัสเซีย Chechnya และแถบ Dagestam เพื่อเป็นฉากหน้าให้แก่กลุ่ม Jihadist ตั้งแต่ ค.ศ. 1991 ต่อมาถูกคุณพี่ปูตินกวาดล้างเรียบ ไล่กระเด็นออกไปหมด รัฐบาลรัสเซียสั่งปิดโรงเรียนของ Gulun และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในรัสเซีย แถมขับไล่ชาวตุรกีประมาณ 20 คน ที่เป็นสาวกของ Gulen ออกไปจากประเทศ ช่วงปี ค.ศ. 2002 – 2004 อีกด้วย ปี ค.ศ. 1999 Uzbekistan ปิดโรงเรียน Gulen ที่ Madreasas และจับสื่อ 8 คน ที่จบจากโรงเรียน Gulen ข้อหา จัดตั้งองค์การสอนศาสนาอย่างไม่ถูกต้อง และมีกิจกรรมส่อไปในทางสร้างความรุนแรง Edmaonds ได้เล่าถึงการปฎิบัติการของอเมริกาในเอเซียกลาง ว่ามันเริ่มมาหลายสิบปีแล้วอย่างผิดกฎหมาย เพื่อเข้าไปให้ถึงแหล่งน้ำมันและกองทัพในเอเซียกลาง โดยใช้ การปฎิบัติการของตุรกีร่วมมือกับพวกซาอุและปากีสถาน ใช้วัตถุประสงค์เรื่องศาสนาอิสลามบังหน้า และผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าของฉากและโรงแสดง ก็คือ โรงเรียนของ Gulen นั่นเอง ซึ่งขยายไปจากตุรกีเข้าไปในเอเซียกลาง จนถึงรัสเซียและจีนเรียบร้อยแล้ว เรื่องนาย Gulen/ Fuller/ Abramowitz นี้ จึงเป็นเรื่องที่นาย Erdogan คงจะมองผ่าน ๆ ไม่ได้ เขาน่าจะเจอของแข็งจริงจากอเมริกา ! สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 กค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 339 มุมมอง 0 รีวิว
  • “USX-1 Defiant: เรือรบไร้คนขับลำแรกของสหรัฐฯ — จุดเปลี่ยนของสงครามทางทะเลในยุคอัตโนมัติ”

    DARPA ได้เปิดตัวเรือรบอัตโนมัติเต็มรูปแบบลำแรกของสหรัฐฯ ชื่อว่า “USX-1 Defiant” ซึ่งเป็นเรือผิวน้ำขนาด 180 ฟุต ที่ถูกออกแบบมาให้ “ไม่มีมนุษย์บนเรือเลย” ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NOMARS (No Manning Required Ship) ที่มุ่งสร้างเรือที่ไม่ต้องมีลูกเรือแม้แต่คนเดียว

    Defiant มีความสูง 42 ฟุต น้ำหนักเกือบ 265 ตัน และสามารถแล่นด้วยความเร็วสูงสุด 20 นอต ที่สำคัญคือสามารถปฏิบัติการในทะเลได้ต่อเนื่องนานถึง 1 ปีโดยไม่ต้องเทียบท่า และมีระบบเติมเชื้อเพลิงกลางทะเลที่ผ่านการทดสอบแล้ว เพื่อเพิ่มระยะปฏิบัติการให้ยาวนานขึ้น

    เรือลำนี้ถูกออกแบบให้มีโครงสร้างเรียบง่าย ทำให้สามารถผลิตและซ่อมบำรุงได้ในอู่เรือขนาดเล็กที่ปกติใช้กับเรือยอชต์หรือเรือลากจูง ซึ่งช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาในการสร้างเรือรบได้อย่างมหาศาล

    หลังจากผ่านการทดสอบระบบขั้นสุดท้าย Defiant จะเข้าสู่การทดลองในทะเลแบบยาวนาน ก่อนจะถูกส่งต่อให้กับสำนักงาน PMS 406 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ เพื่อใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาเรือรบอัตโนมัติรุ่นต่อไป

    เป้าหมายของกองทัพเรือคือการสร้าง “กองเรือแบบไฮบริด” ที่ผสมผสานระหว่างเรือที่มีลูกเรือและเรืออัตโนมัติ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรบ ลดความเสี่ยงต่อชีวิต และลดต้นทุนการสร้างเรือขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาหลายปี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    USX-1 Defiant เป็นเรือรบอัตโนมัติเต็มรูปแบบลำแรกของสหรัฐฯ
    พัฒนาโดย DARPA ภายใต้โครงการ NOMARS (No Manning Required Ship)
    ขนาด 180 ฟุต สูง 42 ฟุต น้ำหนัก 265 ตัน ความเร็วสูงสุด 20 นอต
    สามารถปฏิบัติการในทะเลได้ต่อเนื่องนานถึง 1 ปีโดยไม่ต้องเทียบท่า
    มีระบบเติมเชื้อเพลิงกลางทะเลที่ผ่านการทดสอบแล้ว
    โครงสร้างเรือเรียบง่าย ผลิตและซ่อมได้ในอู่เรือขนาดเล็ก
    จะถูกส่งต่อให้สำนักงาน PMS 406 ของกองทัพเรือหลังการทดลอง
    เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่กองเรือแบบไฮบริด
    ได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภาสหรัฐฯ ด้วยงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NOMARS เป็นโครงการที่มุ่งสร้างเรือที่ไม่ต้องมีลูกเรือเลย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดต้นทุน
    การไม่มีพื้นที่สำหรับมนุษย์ช่วยให้เรือมีขนาดเล็กลงและทนต่อสภาพทะเลได้ดีขึ้น
    Defiant สามารถทนคลื่นสูงถึง 30 ฟุต และกลับมาทำงานต่อได้หลังพายุ
    การใช้เรืออัตโนมัติช่วยกระจายกำลังรบ ลดการพึ่งพาเรือขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายง่าย
    เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ในภารกิจข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีในอนาคต

    https://www.slashgear.com/1971599/united-states-navy-first-autonomous-warship-what-to-know-military/
    ⚓ “USX-1 Defiant: เรือรบไร้คนขับลำแรกของสหรัฐฯ — จุดเปลี่ยนของสงครามทางทะเลในยุคอัตโนมัติ” DARPA ได้เปิดตัวเรือรบอัตโนมัติเต็มรูปแบบลำแรกของสหรัฐฯ ชื่อว่า “USX-1 Defiant” ซึ่งเป็นเรือผิวน้ำขนาด 180 ฟุต ที่ถูกออกแบบมาให้ “ไม่มีมนุษย์บนเรือเลย” ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NOMARS (No Manning Required Ship) ที่มุ่งสร้างเรือที่ไม่ต้องมีลูกเรือแม้แต่คนเดียว Defiant มีความสูง 42 ฟุต น้ำหนักเกือบ 265 ตัน และสามารถแล่นด้วยความเร็วสูงสุด 20 นอต ที่สำคัญคือสามารถปฏิบัติการในทะเลได้ต่อเนื่องนานถึง 1 ปีโดยไม่ต้องเทียบท่า และมีระบบเติมเชื้อเพลิงกลางทะเลที่ผ่านการทดสอบแล้ว เพื่อเพิ่มระยะปฏิบัติการให้ยาวนานขึ้น เรือลำนี้ถูกออกแบบให้มีโครงสร้างเรียบง่าย ทำให้สามารถผลิตและซ่อมบำรุงได้ในอู่เรือขนาดเล็กที่ปกติใช้กับเรือยอชต์หรือเรือลากจูง ซึ่งช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาในการสร้างเรือรบได้อย่างมหาศาล หลังจากผ่านการทดสอบระบบขั้นสุดท้าย Defiant จะเข้าสู่การทดลองในทะเลแบบยาวนาน ก่อนจะถูกส่งต่อให้กับสำนักงาน PMS 406 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ เพื่อใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาเรือรบอัตโนมัติรุ่นต่อไป เป้าหมายของกองทัพเรือคือการสร้าง “กองเรือแบบไฮบริด” ที่ผสมผสานระหว่างเรือที่มีลูกเรือและเรืออัตโนมัติ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรบ ลดความเสี่ยงต่อชีวิต และลดต้นทุนการสร้างเรือขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาหลายปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ USX-1 Defiant เป็นเรือรบอัตโนมัติเต็มรูปแบบลำแรกของสหรัฐฯ ➡️ พัฒนาโดย DARPA ภายใต้โครงการ NOMARS (No Manning Required Ship) ➡️ ขนาด 180 ฟุต สูง 42 ฟุต น้ำหนัก 265 ตัน ความเร็วสูงสุด 20 นอต ➡️ สามารถปฏิบัติการในทะเลได้ต่อเนื่องนานถึง 1 ปีโดยไม่ต้องเทียบท่า ➡️ มีระบบเติมเชื้อเพลิงกลางทะเลที่ผ่านการทดสอบแล้ว ➡️ โครงสร้างเรือเรียบง่าย ผลิตและซ่อมได้ในอู่เรือขนาดเล็ก ➡️ จะถูกส่งต่อให้สำนักงาน PMS 406 ของกองทัพเรือหลังการทดลอง ➡️ เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่กองเรือแบบไฮบริด ➡️ ได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภาสหรัฐฯ ด้วยงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NOMARS เป็นโครงการที่มุ่งสร้างเรือที่ไม่ต้องมีลูกเรือเลย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดต้นทุน ➡️ การไม่มีพื้นที่สำหรับมนุษย์ช่วยให้เรือมีขนาดเล็กลงและทนต่อสภาพทะเลได้ดีขึ้น ➡️ Defiant สามารถทนคลื่นสูงถึง 30 ฟุต และกลับมาทำงานต่อได้หลังพายุ ➡️ การใช้เรืออัตโนมัติช่วยกระจายกำลังรบ ลดการพึ่งพาเรือขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายง่าย ➡️ เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ในภารกิจข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีในอนาคต https://www.slashgear.com/1971599/united-states-navy-first-autonomous-warship-what-to-know-military/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What To Know About The Release Of The US' First Autonomous Warship - SlashGear
    This ship marks the U.S. Navy's transition toward a hybrid fleet of manned and unmanned vessels away.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI กู้คืนเงินหลวงอังกฤษ 480 ล้านปอนด์ — Fraud Risk Assessment Accelerator กลายเป็นอาวุธใหม่ปราบโกงระดับโลก”

    รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ชื่อว่า “Fraud Risk Assessment Accelerator” ซึ่งสามารถช่วยกู้คืนเงินที่สูญเสียจากการทุจริตได้มากถึง 480 ล้านปอนด์ภายในเวลาเพียง 12 เดือน (เมษายน 2024 – เมษายน 2025) ถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ

    ระบบนี้ถูกนำมาใช้เพื่อจัดการกับการโกงในโครงการ Bounce Back Loan ที่เกิดขึ้นช่วงโควิด ซึ่งมีการอนุมัติเงินกู้สูงสุดถึง 50,000 ปอนด์ต่อบริษัทโดยไม่มีการตรวจสอบที่เข้มงวด ทำให้เกิดการโกงอย่างแพร่หลาย เช่น การสร้างบริษัทปลอม หรือการขอเงินกู้หลายครั้งโดยไม่สิทธิ์

    AI ตัวนี้ไม่เพียงแต่ช่วยตรวจสอบย้อนหลัง แต่ยังสามารถวิเคราะห์นโยบายใหม่ล่วงหน้าเพื่อหาช่องโหว่ก่อนที่ผู้ไม่หวังดีจะใช้ประโยชน์ได้ ถือเป็นการ “fraud-proof” นโยบายตั้งแต่ขั้นตอนออกแบบ ซึ่งช่วยป้องกันการสูญเสียในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    หลังจากประสบความสำเร็จในอังกฤษ รัฐบาลเตรียมขยายการใช้งานไปยังประเทศพันธมิตร เช่น สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในงานประชุมต่อต้านการทุจริตระดับนานาชาติที่จัดร่วมกับกลุ่ม Five Eyes

    อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิทธิมนุษยชนได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้ AI ในการตรวจสอบสิทธิ์สวัสดิการ โดยระบุว่าอาจเกิดความลำเอียงและผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรม เช่น การเลือกปฏิบัติต่อผู้มีอายุ ความพิการ หรือเชื้อชาติ ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลต้องรับมืออย่างรอบคอบในการขยายระบบนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รัฐบาลอังกฤษใช้ AI Fraud Risk Assessment Accelerator กู้คืนเงินได้ 480 ล้านปอนด์ใน 12 เดือน
    186 ล้านปอนด์ในจำนวนนี้เกี่ยวข้องกับการโกงโครงการ Bounce Back Loan ช่วงโควิด
    ระบบสามารถวิเคราะห์นโยบายใหม่เพื่อหาช่องโหว่ก่อนถูกโกง
    ป้องกันบริษัทนับแสนที่พยายามยุบตัวเพื่อหลบเลี่ยงการคืนเงินกู้
    รัฐบาลเตรียมขยายการใช้งานไปยังสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
    เงินที่กู้คืนจะนำไปใช้ในบริการสาธารณะ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และตำรวจ
    มีการประกาศผลในงานประชุมต่อต้านการทุจริตร่วมกับกลุ่ม Five Eyes
    ระบบนี้พัฒนาโดยนักวิจัยของรัฐบาลอังกฤษเอง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Bounce Back Loan เป็นโครงการช่วยเหลือธุรกิจช่วงโควิดที่ถูกวิจารณ์เรื่องการตรวจสอบไม่เข้มงวด
    การใช้ AI ในการวิเคราะห์นโยบายล่วงหน้าเป็นแนวทางใหม่ที่หลายประเทศเริ่มนำมาใช้
    Five Eyes เป็นพันธมิตรข่าวกรองระหว่างอังกฤษ สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
    การใช้ AI ในภาครัฐเริ่มแพร่หลาย เช่น การตรวจสอบภาษี การจัดสรรสวัสดิการ และการวิเคราะห์ความเสี่ยง
    การกู้คืนเงินจากการโกงช่วยลดภาระงบประมาณและเพิ่มความเชื่อมั่นในระบบราชการ

    https://www.techradar.com/pro/security/uk-government-says-a-new-ai-tool-helped-it-recover-almost-gbp500-million-in-fraud-losses-and-now-its-going-global
    💰 “AI กู้คืนเงินหลวงอังกฤษ 480 ล้านปอนด์ — Fraud Risk Assessment Accelerator กลายเป็นอาวุธใหม่ปราบโกงระดับโลก” รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ชื่อว่า “Fraud Risk Assessment Accelerator” ซึ่งสามารถช่วยกู้คืนเงินที่สูญเสียจากการทุจริตได้มากถึง 480 ล้านปอนด์ภายในเวลาเพียง 12 เดือน (เมษายน 2024 – เมษายน 2025) ถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ระบบนี้ถูกนำมาใช้เพื่อจัดการกับการโกงในโครงการ Bounce Back Loan ที่เกิดขึ้นช่วงโควิด ซึ่งมีการอนุมัติเงินกู้สูงสุดถึง 50,000 ปอนด์ต่อบริษัทโดยไม่มีการตรวจสอบที่เข้มงวด ทำให้เกิดการโกงอย่างแพร่หลาย เช่น การสร้างบริษัทปลอม หรือการขอเงินกู้หลายครั้งโดยไม่สิทธิ์ AI ตัวนี้ไม่เพียงแต่ช่วยตรวจสอบย้อนหลัง แต่ยังสามารถวิเคราะห์นโยบายใหม่ล่วงหน้าเพื่อหาช่องโหว่ก่อนที่ผู้ไม่หวังดีจะใช้ประโยชน์ได้ ถือเป็นการ “fraud-proof” นโยบายตั้งแต่ขั้นตอนออกแบบ ซึ่งช่วยป้องกันการสูญเสียในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากประสบความสำเร็จในอังกฤษ รัฐบาลเตรียมขยายการใช้งานไปยังประเทศพันธมิตร เช่น สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในงานประชุมต่อต้านการทุจริตระดับนานาชาติที่จัดร่วมกับกลุ่ม Five Eyes อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิทธิมนุษยชนได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้ AI ในการตรวจสอบสิทธิ์สวัสดิการ โดยระบุว่าอาจเกิดความลำเอียงและผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรม เช่น การเลือกปฏิบัติต่อผู้มีอายุ ความพิการ หรือเชื้อชาติ ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลต้องรับมืออย่างรอบคอบในการขยายระบบนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รัฐบาลอังกฤษใช้ AI Fraud Risk Assessment Accelerator กู้คืนเงินได้ 480 ล้านปอนด์ใน 12 เดือน ➡️ 186 ล้านปอนด์ในจำนวนนี้เกี่ยวข้องกับการโกงโครงการ Bounce Back Loan ช่วงโควิด ➡️ ระบบสามารถวิเคราะห์นโยบายใหม่เพื่อหาช่องโหว่ก่อนถูกโกง ➡️ ป้องกันบริษัทนับแสนที่พยายามยุบตัวเพื่อหลบเลี่ยงการคืนเงินกู้ ➡️ รัฐบาลเตรียมขยายการใช้งานไปยังสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ➡️ เงินที่กู้คืนจะนำไปใช้ในบริการสาธารณะ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และตำรวจ ➡️ มีการประกาศผลในงานประชุมต่อต้านการทุจริตร่วมกับกลุ่ม Five Eyes ➡️ ระบบนี้พัฒนาโดยนักวิจัยของรัฐบาลอังกฤษเอง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Bounce Back Loan เป็นโครงการช่วยเหลือธุรกิจช่วงโควิดที่ถูกวิจารณ์เรื่องการตรวจสอบไม่เข้มงวด ➡️ การใช้ AI ในการวิเคราะห์นโยบายล่วงหน้าเป็นแนวทางใหม่ที่หลายประเทศเริ่มนำมาใช้ ➡️ Five Eyes เป็นพันธมิตรข่าวกรองระหว่างอังกฤษ สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ➡️ การใช้ AI ในภาครัฐเริ่มแพร่หลาย เช่น การตรวจสอบภาษี การจัดสรรสวัสดิการ และการวิเคราะห์ความเสี่ยง ➡️ การกู้คืนเงินจากการโกงช่วยลดภาระงบประมาณและเพิ่มความเชื่อมั่นในระบบราชการ https://www.techradar.com/pro/security/uk-government-says-a-new-ai-tool-helped-it-recover-almost-gbp500-million-in-fraud-losses-and-now-its-going-global
    WWW.TECHRADAR.COM
    UK’s fraud detection AI to be licensed abroad after recovering £480m in lost revenue
    The Fraud Risk Assessment Accelerator is now set to be licensed abroad
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft ตัดสัมพันธ์ Unit 8200 ของอิสราเอล หลังพบใช้ Azure สอดแนมประชาชนปาเลสไตน์ — จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของเทคโนโลยีในสงคราม”

    Microsoft ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญในเดือนกันยายน 2025 ด้วยการ “ปิดการเข้าถึง” เทคโนโลยีบางส่วนของตนจากหน่วยข่าวกรองทหารอิสราเอล Unit 8200 หลังจากการสืบสวนร่วมระหว่าง The Guardian, +972 Magazine และ Local Call เปิดเผยว่า หน่วยงานดังกล่าวใช้แพลตฟอร์ม Azure เพื่อเก็บข้อมูลการสื่อสารของประชาชนปาเลสไตน์จำนวนมหาศาล

    Unit 8200 ซึ่งมีบทบาทคล้ายกับ NSA ของสหรัฐฯ ได้สร้างระบบสอดแนมที่สามารถดักฟังและวิเคราะห์สายโทรศัพท์ของประชาชนในฉนวนกาซาและเวสต์แบงก์ โดยมีคำขวัญภายในว่า “ล้านสายต่อชั่วโมง” ข้อมูลที่เก็บไว้มีมากถึง 8,000 เทราไบต์ และถูกจัดเก็บในศูนย์ข้อมูลของ Microsoft ที่เนเธอร์แลนด์

    หลังจากรายงานถูกเผยแพร่ Microsoft ได้สั่งสอบสวนภายในทันที และพบว่า Unit 8200 ละเมิดข้อตกลงการใช้งาน โดยใช้ Azure เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI และเตรียมการโจมตีทางอากาศในกาซา ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 65,000 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน

    การตัดสินใจของ Microsoft เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากพนักงานและนักลงทุน รวมถึงกลุ่มเคลื่อนไหว “No Azure for Apartheid” ที่เรียกร้องให้บริษัทหยุดสนับสนุนการสอดแนมพลเรือน โดย Brad Smith รองประธานบริษัทได้ส่งอีเมลถึงพนักงานว่า “เราไม่ให้บริการเพื่อสนับสนุนการสอดแนมพลเรือน ไม่ว่าประเทศใดก็ตาม”

    แม้จะยุติการเข้าถึงบางบริการของ Unit 8200 แต่ Microsoft ยังคงมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับกองทัพอิสราเอลในด้านอื่น ๆ ซึ่งทำให้เกิดคำถามใหม่เกี่ยวกับบทบาทของบริษัทเทคโนโลยีในสงครามและการละเมิดสิทธิมนุษยชน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft ยุติการเข้าถึง Azure และบริการ AI ของ Unit 8200 หลังพบการละเมิดข้อตกลง
    Unit 8200 ใช้ Azure เก็บข้อมูลการสื่อสารของประชาชนปาเลสไตน์ในกาซาและเวสต์แบงก์
    ข้อมูลที่เก็บไว้มีมากถึง 8,000TB และถูกใช้วิเคราะห์เพื่อเตรียมการโจมตีทางอากาศ
    การสืบสวนเผยว่า Microsoft ไม่ทราบถึงการใช้งานจริงของ Unit 8200 จนกระทั่งมีการเปิดโปง
    การตัดสินใจเกิดจากแรงกดดันของพนักงานและกลุ่มเคลื่อนไหว No Azure for Apartheid
    Brad Smith ยืนยันว่า Microsoft ไม่สนับสนุนการสอดแนมพลเรือนในทุกประเทศ
    การสืบสวนภายในดำเนินการโดยบริษัทกฎหมาย Covington & Burling
    Unit 8200 ย้ายข้อมูลออกจากยุโรปไปยัง AWS หลังจากถูกตัดการเข้าถึง
    Microsoft ยังคงให้บริการอื่น ๆ แก่กองทัพอิสราเอล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Unit 8200 เป็นหน่วยข่าวกรองไซเบอร์ที่มีอิทธิพลสูงในอิสราเอล และมีบทบาทในสงครามข้อมูล
    Azure เป็นแพลตฟอร์มคลาวด์ที่มีความสามารถในการประมวลผล AI และจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่
    การใช้เทคโนโลยีคลาวด์ในสงครามเป็นแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
    การสอดแนมแบบ “client-side AI” สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมและเนื้อหาการสื่อสารได้แบบเรียลไทม์
    การตัดสินใจของ Microsoft ถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ถอนบริการจากกองทัพอิสราเอล

    https://www.theguardian.com/world/2025/sep/25/microsoft-blocks-israels-use-of-its-technology-in-mass-surveillance-of-palestinians
    🛑 “Microsoft ตัดสัมพันธ์ Unit 8200 ของอิสราเอล หลังพบใช้ Azure สอดแนมประชาชนปาเลสไตน์ — จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของเทคโนโลยีในสงคราม” Microsoft ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญในเดือนกันยายน 2025 ด้วยการ “ปิดการเข้าถึง” เทคโนโลยีบางส่วนของตนจากหน่วยข่าวกรองทหารอิสราเอล Unit 8200 หลังจากการสืบสวนร่วมระหว่าง The Guardian, +972 Magazine และ Local Call เปิดเผยว่า หน่วยงานดังกล่าวใช้แพลตฟอร์ม Azure เพื่อเก็บข้อมูลการสื่อสารของประชาชนปาเลสไตน์จำนวนมหาศาล Unit 8200 ซึ่งมีบทบาทคล้ายกับ NSA ของสหรัฐฯ ได้สร้างระบบสอดแนมที่สามารถดักฟังและวิเคราะห์สายโทรศัพท์ของประชาชนในฉนวนกาซาและเวสต์แบงก์ โดยมีคำขวัญภายในว่า “ล้านสายต่อชั่วโมง” ข้อมูลที่เก็บไว้มีมากถึง 8,000 เทราไบต์ และถูกจัดเก็บในศูนย์ข้อมูลของ Microsoft ที่เนเธอร์แลนด์ หลังจากรายงานถูกเผยแพร่ Microsoft ได้สั่งสอบสวนภายในทันที และพบว่า Unit 8200 ละเมิดข้อตกลงการใช้งาน โดยใช้ Azure เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI และเตรียมการโจมตีทางอากาศในกาซา ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 65,000 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน การตัดสินใจของ Microsoft เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากพนักงานและนักลงทุน รวมถึงกลุ่มเคลื่อนไหว “No Azure for Apartheid” ที่เรียกร้องให้บริษัทหยุดสนับสนุนการสอดแนมพลเรือน โดย Brad Smith รองประธานบริษัทได้ส่งอีเมลถึงพนักงานว่า “เราไม่ให้บริการเพื่อสนับสนุนการสอดแนมพลเรือน ไม่ว่าประเทศใดก็ตาม” แม้จะยุติการเข้าถึงบางบริการของ Unit 8200 แต่ Microsoft ยังคงมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับกองทัพอิสราเอลในด้านอื่น ๆ ซึ่งทำให้เกิดคำถามใหม่เกี่ยวกับบทบาทของบริษัทเทคโนโลยีในสงครามและการละเมิดสิทธิมนุษยชน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft ยุติการเข้าถึง Azure และบริการ AI ของ Unit 8200 หลังพบการละเมิดข้อตกลง ➡️ Unit 8200 ใช้ Azure เก็บข้อมูลการสื่อสารของประชาชนปาเลสไตน์ในกาซาและเวสต์แบงก์ ➡️ ข้อมูลที่เก็บไว้มีมากถึง 8,000TB และถูกใช้วิเคราะห์เพื่อเตรียมการโจมตีทางอากาศ ➡️ การสืบสวนเผยว่า Microsoft ไม่ทราบถึงการใช้งานจริงของ Unit 8200 จนกระทั่งมีการเปิดโปง ➡️ การตัดสินใจเกิดจากแรงกดดันของพนักงานและกลุ่มเคลื่อนไหว No Azure for Apartheid ➡️ Brad Smith ยืนยันว่า Microsoft ไม่สนับสนุนการสอดแนมพลเรือนในทุกประเทศ ➡️ การสืบสวนภายในดำเนินการโดยบริษัทกฎหมาย Covington & Burling ➡️ Unit 8200 ย้ายข้อมูลออกจากยุโรปไปยัง AWS หลังจากถูกตัดการเข้าถึง ➡️ Microsoft ยังคงให้บริการอื่น ๆ แก่กองทัพอิสราเอล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Unit 8200 เป็นหน่วยข่าวกรองไซเบอร์ที่มีอิทธิพลสูงในอิสราเอล และมีบทบาทในสงครามข้อมูล ➡️ Azure เป็นแพลตฟอร์มคลาวด์ที่มีความสามารถในการประมวลผล AI และจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ ➡️ การใช้เทคโนโลยีคลาวด์ในสงครามเป็นแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ➡️ การสอดแนมแบบ “client-side AI” สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมและเนื้อหาการสื่อสารได้แบบเรียลไทม์ ➡️ การตัดสินใจของ Microsoft ถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ถอนบริการจากกองทัพอิสราเอล https://www.theguardian.com/world/2025/sep/25/microsoft-blocks-israels-use-of-its-technology-in-mass-surveillance-of-palestinians
    WWW.THEGUARDIAN.COM
    Microsoft blocks Israel’s use of its technology in mass surveillance of Palestinians
    Exclusive: Tech firm ends military unit’s access to AI and data services after Guardian reveals secret spy project
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • ~เปิดลับ การบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัติร์ย์ ตั้งแต่ปี2550เป็นต้นมา
    ==================

    ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์
    อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
    =================================

    นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุด…เกิดขึ้นมากผิดปกติ …มีการเปิดเผย… ไม่เกรงกลัว…โดย กลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์…ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น

    …แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ …โดยเฉพาะในสหรัฐ

    ~ ด้วยการป้อนชุดข้อมูล…ที่ดูเหมือนจริง…แต่เป็นความเท็จ …ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้…จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียง…และบริษัทประชาสัมพันธ์ …ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 30.3 ล้านบาท)

    ~ เพื่อไปล็อบบี้…สมาชิกรัฐสภา…และรัฐบาลอเมริกัน…เพื่อผลทางการเมืองของตน… อย่างไรก็ดี …ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น… คือ เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้น…อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

    ~ ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐ…ทวีความเข้มแข็งมากขึ้น… มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย …เขียนบทความภาษาต่างๆ… ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน คนหนึ่ง…คือ

    - เจ.เค. แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความ…โจมตีสถาบันกษัตริย์ และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามสถาบันกษัตริย์ว่า เป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" สลับกันมาหลายปีแล้ว

    - อีกคนหนึ่ง คือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่า… ได้รับการว่าจ้าง…ให้มาทำงานด้านนี้ และ…เป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” มาเขียนโจมตี ม.112 …เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย ในรัชกาลที่ 9

    ~ในความเป็นจริง… คนพวกนี้…ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย… แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทย…สายสาธารณรัฐ…ที่คนไทยรู้จักดี

    ~ ในกลางปี 2556 …นักล็อบบี้พวกนี้…วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการ…ในที่ประชุมประจำปี…ของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies)… ซึ่งมีคนไทย…ที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์…มีอิทธิพลอยู่

    ~ การอภิปรายดังกล่าว…มีเป้าหมาย…มุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทย…ในรัชกาลที่ 9 เป็นการเฉพาะ …รวมทั้ง…มีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง…โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ……ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐาน…จากห้องสมุดมหาวิทยาลัย
    ……รัฐสภาของสหรัฐ ……ที่ดูเผินๆ แล้วน่าเชื่อถือ …หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน…… เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยในรัชกาลที่ 9

    ~ ก่อนหน้านี้…เมื่อปี 2554 …ในวาระครบ 7 รอบ 84 พรรษา…ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 …นักล็อบบี้อเมริกัน…ได้ส่งชุดข้อมูล…ที่ปั้นแต่งขึ้น…จนทำให้สมาชิกสภาสหรัฐหลงเชื่อ

    ~ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ…พยายามหลีกเลี่ยง…ไม่ส่งหนังสือถวายพระพร…ตามที่เคยปฏิบัติมา …จนสภาสูง…ต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน ……สะท้อนให้เห็นว่า…… นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกัน……ทำงานให้กับนายจ้างคนไทยที่ไม่ชอบสถาบันกษัตริย์อย่างได้ผล ……ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิด …และต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย… ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ 113 ในปัจจุบัน

    ~ ไม่เพียงแต่เท่านั้น …สถาบันบางแห่งของสหรัฐ …เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐ……คิดเป็นเงินไทยกว่า 1,500 ล้านบาท และ…อีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาท ……ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ …ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมา

    ~ โดยอ้างว่า…เพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิไตย แต่…กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะ เป็นสถาบันที่มีสิทธิเหนือประชาชน

    ~ นักล็อบบี้เหล่านี้…ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่ง…หรือหลายชุด ……และไปเคลื่อนไหวชักจูง… ชี้นำ… โน้มน้าว…ให้สมาชิกรัฐสภา และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทะกรรมที่ว่า

    ~ สถาบันสูงสุดของไทย หรือ สถาบันกษัตริย์นั้น…เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ……สถาบันกษัตริย์ไทย…ทำลายสิทธิมนุษยชน …อ้างว่า…ปัญหาของเมืองไทย……ไม่ใช่เรื่องการเมือง…… แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ ……ที่กษัตริย์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาน……เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น “ทางออก” ของชาติ (จากการเลือกตั้ง เพื่อเป็นประมุขของรัฐ หรือ เป็นประธานาธิบดี นั่นเอง)

    ~ พวกนี้…พยายามป้อนข้อมูล…ให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า “สถาบันไม่สู้แล้ว” เพราะ…ถ้าสถาบันไม่สู้ …สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่น…นอกจากจะยืนข้างฝ่ายประชาธิปไตย…ที่อยู่ตรงข้ามกับสถาบันกษัตริย์… และเป็นการส่งสัญญานไปยังประเทศ…ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน…ที่สนับสนุนสถาบันสูงสุด ตลอดมา …หากสหรัฐ…และประเทศเหล่านี้…สรุปว่า ฝ่ายสถาบันกษัตริย์แพ้แน่ …สหรัฐและประเทศเหล่านี้…ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญ…ก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ ที่ถือเป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย"

    ~ อย่างไรก็ดี …ฝ่ายสถาบันกษัตริย์…ส่งสัญญาน…มาหลายครั้งแล้วว่า “ยังสู้” และ “ไม่ยอมแพ้” โดยเฉพาะ…ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2555 ที่ประชาชนชาวไทย…ได้ไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ อย่างมืดฟ้ามัวดิน…เพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพร …สะท้อนให้เห็นว่า …ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แม้จะปรากฏ “แรงเฉื่อย” ในสถาบันทหาร และ รัฐบาลในยุคนั้นก็ตาม จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้น…ที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุดของประเทศ……ให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้

    ~ รัฐบาลชุดก่อน…เคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา …อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอห์น ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง “ศูนย์ไทยศึกษา” และ “เพื่อนประเทศไทย” เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่…ปรากฏว่า ……ศูนย์เหล่านี้……กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด ……และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น…… ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปอีกด้วย

    ~ ไทยถูกคุกคาม…ด้วยสงครามยุคใหม่ …ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) เช่น การก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 และ…สถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และ สงครามไซเบอร์ …สงครามทั้งสามนี้…มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ …แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก

    ~ ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภา…เป็น Global Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ในภูมิภาคนี้ …มีข่าวว่า สหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ …ที่เรียกว่า “แบล็ควอเตอร์” ประมาณ 5-6 ชุดมาประจำอยู่ในไทย …โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ …เบี้ยเลี้ยงต่างหาก …เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐ …ซึ่งอเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก …และประสบความสำเร็จในละตินอเมริกามาแล้ว

    ~ อันตรายที่เกิดขึ้น…ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยนั้น……เป็นเรื่องจริง…และหนักหนา ……ชาติและสถาบัน……กำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง ……สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศ…เป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่เหนือน้ำเพียง 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วนอยู่ใต้น้ำ

    ~ บทความนี้……ไม่ต้องการให้คนไทย…ไปต่อต้านสหรัฐ …เพียงแต่ขอให้เพื่อนคนไทย…อย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติ…และราชบัลลังก์เท่านั้น …ปัญหาของประเทศไทย…ต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก …เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้าย……ในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์ ……ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า ……สถาบันสูงสุดยังสู้ ……และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ
    ขอบคุณเจ้าของภาพบทความและคนโพสครับ

    ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์
    อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
    ~เปิดลับ การบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัติร์ย์ ตั้งแต่ปี2550เป็นต้นมา ================== ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ================================= นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุด…เกิดขึ้นมากผิดปกติ …มีการเปิดเผย… ไม่เกรงกลัว…โดย กลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์…ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น …แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ …โดยเฉพาะในสหรัฐ ~ ด้วยการป้อนชุดข้อมูล…ที่ดูเหมือนจริง…แต่เป็นความเท็จ …ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้…จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียง…และบริษัทประชาสัมพันธ์ …ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 30.3 ล้านบาท) ~ เพื่อไปล็อบบี้…สมาชิกรัฐสภา…และรัฐบาลอเมริกัน…เพื่อผลทางการเมืองของตน… อย่างไรก็ดี …ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น… คือ เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้น…อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ~ ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐ…ทวีความเข้มแข็งมากขึ้น… มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย …เขียนบทความภาษาต่างๆ… ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน คนหนึ่ง…คือ - เจ.เค. แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความ…โจมตีสถาบันกษัตริย์ และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามสถาบันกษัตริย์ว่า เป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" สลับกันมาหลายปีแล้ว - อีกคนหนึ่ง คือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่า… ได้รับการว่าจ้าง…ให้มาทำงานด้านนี้ และ…เป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” มาเขียนโจมตี ม.112 …เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย ในรัชกาลที่ 9 ~ในความเป็นจริง… คนพวกนี้…ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย… แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทย…สายสาธารณรัฐ…ที่คนไทยรู้จักดี ~ ในกลางปี 2556 …นักล็อบบี้พวกนี้…วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการ…ในที่ประชุมประจำปี…ของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies)… ซึ่งมีคนไทย…ที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์…มีอิทธิพลอยู่ ~ การอภิปรายดังกล่าว…มีเป้าหมาย…มุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทย…ในรัชกาลที่ 9 เป็นการเฉพาะ …รวมทั้ง…มีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง…โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ……ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐาน…จากห้องสมุดมหาวิทยาลัย ……รัฐสภาของสหรัฐ ……ที่ดูเผินๆ แล้วน่าเชื่อถือ …หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน…… เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยในรัชกาลที่ 9 ~ ก่อนหน้านี้…เมื่อปี 2554 …ในวาระครบ 7 รอบ 84 พรรษา…ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 …นักล็อบบี้อเมริกัน…ได้ส่งชุดข้อมูล…ที่ปั้นแต่งขึ้น…จนทำให้สมาชิกสภาสหรัฐหลงเชื่อ ~ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ…พยายามหลีกเลี่ยง…ไม่ส่งหนังสือถวายพระพร…ตามที่เคยปฏิบัติมา …จนสภาสูง…ต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน ……สะท้อนให้เห็นว่า…… นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกัน……ทำงานให้กับนายจ้างคนไทยที่ไม่ชอบสถาบันกษัตริย์อย่างได้ผล ……ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิด …และต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย… ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ 113 ในปัจจุบัน ~ ไม่เพียงแต่เท่านั้น …สถาบันบางแห่งของสหรัฐ …เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐ……คิดเป็นเงินไทยกว่า 1,500 ล้านบาท และ…อีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาท ……ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ …ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมา ~ โดยอ้างว่า…เพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิไตย แต่…กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะ เป็นสถาบันที่มีสิทธิเหนือประชาชน ~ นักล็อบบี้เหล่านี้…ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่ง…หรือหลายชุด ……และไปเคลื่อนไหวชักจูง… ชี้นำ… โน้มน้าว…ให้สมาชิกรัฐสภา และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทะกรรมที่ว่า ~ สถาบันสูงสุดของไทย หรือ สถาบันกษัตริย์นั้น…เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ……สถาบันกษัตริย์ไทย…ทำลายสิทธิมนุษยชน …อ้างว่า…ปัญหาของเมืองไทย……ไม่ใช่เรื่องการเมือง…… แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ ……ที่กษัตริย์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาน……เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น “ทางออก” ของชาติ (จากการเลือกตั้ง เพื่อเป็นประมุขของรัฐ หรือ เป็นประธานาธิบดี นั่นเอง) ~ พวกนี้…พยายามป้อนข้อมูล…ให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า “สถาบันไม่สู้แล้ว” เพราะ…ถ้าสถาบันไม่สู้ …สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่น…นอกจากจะยืนข้างฝ่ายประชาธิปไตย…ที่อยู่ตรงข้ามกับสถาบันกษัตริย์… และเป็นการส่งสัญญานไปยังประเทศ…ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน…ที่สนับสนุนสถาบันสูงสุด ตลอดมา …หากสหรัฐ…และประเทศเหล่านี้…สรุปว่า ฝ่ายสถาบันกษัตริย์แพ้แน่ …สหรัฐและประเทศเหล่านี้…ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญ…ก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ ที่ถือเป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" ~ อย่างไรก็ดี …ฝ่ายสถาบันกษัตริย์…ส่งสัญญาน…มาหลายครั้งแล้วว่า “ยังสู้” และ “ไม่ยอมแพ้” โดยเฉพาะ…ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2555 ที่ประชาชนชาวไทย…ได้ไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ อย่างมืดฟ้ามัวดิน…เพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพร …สะท้อนให้เห็นว่า …ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แม้จะปรากฏ “แรงเฉื่อย” ในสถาบันทหาร และ รัฐบาลในยุคนั้นก็ตาม จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้น…ที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุดของประเทศ……ให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้ ~ รัฐบาลชุดก่อน…เคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา …อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอห์น ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง “ศูนย์ไทยศึกษา” และ “เพื่อนประเทศไทย” เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่…ปรากฏว่า ……ศูนย์เหล่านี้……กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด ……และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น…… ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปอีกด้วย ~ ไทยถูกคุกคาม…ด้วยสงครามยุคใหม่ …ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) เช่น การก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 และ…สถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และ สงครามไซเบอร์ …สงครามทั้งสามนี้…มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ …แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก ~ ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภา…เป็น Global Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ในภูมิภาคนี้ …มีข่าวว่า สหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ …ที่เรียกว่า “แบล็ควอเตอร์” ประมาณ 5-6 ชุดมาประจำอยู่ในไทย …โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ …เบี้ยเลี้ยงต่างหาก …เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐ …ซึ่งอเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก …และประสบความสำเร็จในละตินอเมริกามาแล้ว ~ อันตรายที่เกิดขึ้น…ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยนั้น……เป็นเรื่องจริง…และหนักหนา ……ชาติและสถาบัน……กำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง ……สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศ…เป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่เหนือน้ำเพียง 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วนอยู่ใต้น้ำ ~ บทความนี้……ไม่ต้องการให้คนไทย…ไปต่อต้านสหรัฐ …เพียงแต่ขอให้เพื่อนคนไทย…อย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติ…และราชบัลลังก์เท่านั้น …ปัญหาของประเทศไทย…ต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก …เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้าย……ในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์ ……ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า ……สถาบันสูงสุดยังสู้ ……และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ ขอบคุณเจ้าของภาพบทความและคนโพสครับ ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 385 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts