• เพลง "ปลงซะ" ของวงพลอย: จุดเริ่มต้นของติ๊ก ชิโร่ อัจฉริยะแห่งวงการเพลงไทยยุค 90

    ในยุคที่เพลงไทยกำลังเบ่งบานด้วยสไตล์ป็อปร็อกผสมผสานกลิ่นอายแดนซ์และคันทรี่ เพลง "ปลงซะ" จากอัลบั้มชุดแรกของวงพลอย ได้กลายเป็นหนึ่งในเพลงฮิตที่จุดประกายให้วงการเพลงไทยคึกคักขึ้นมาในช่วงปลายทศวรรษ 1980s และต้น 1990s เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นผลงานที่ทำให้วงพลอยเป็นที่รู้จัก แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในอาชีพนักร้องนำและมือกลองอย่างติ๊ก ชิโร่ (ชื่อจริง: มนัสวิน นันทเสน หรือชื่อเดิม ศิริศักดิ์ นันทเสน) ผู้ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งของวงการเพลงไทยในยุค 90 ด้วยพรสวรรค์ในการแต่งเพลง ร้อง และเล่นดนตรีที่หลากหลาย บทความนี้จะพาไปสำรวจรายละเอียดของวงพลอย ประวัติของติ๊ก ชิโร่ ความดังของเพลง "ปลงซะ" รวมถึงเส้นทางเดี่ยวที่ทำให้เขากลายเป็นศิลปินระดับตำนาน

    ประวัติและการก่อตั้งวงพลอย: จากวงแบ็คอัพสู่ตำนานป็อปร็อก
    วงพลอยเกิดขึ้นจากแนวคิดของ "แจ้" ดนุพล แก้วกาญจน์ อดีตสมาชิกวงแกรนด์เอ็กซ์ นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดังที่ต้องการมีวงดนตรีแบ็คอัพสำหรับอัลบั้มเดี่ยวของตนเองภายใต้สังกัดนิธิทัศน์ โปรโมชั่น การก่อตั้งวงเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2529 โดยเดิมใช้ชื่อ "แจ้และพลอย" สมาชิกหลักในช่วงแรกประกอบด้วยนักดนตรีมากพรสวรรค์ที่มาจากหลากหลายพื้นเพ วงพลอยมีแนวเพลงหลักเป็นป็อปร็อก ผสมผสานกับแดนซ์ คันทรี่ กอสเปล และบลูส์ ซึ่งทำให้เพลงของพวกเขามีเอกลักษณ์โดดเด่น ท่ามกลางกระแสเพลงไทยที่กำลังเปลี่ยนจากยุคดิสโก้สู่ร็อกยุคใหม่

    สมาชิกหลักของวงพลอยมีการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงกิจกรรม แต่บุคคลสำคัญที่ทำให้วงโด่งดัง ได้แก่:
    ติ๊ก ชิโร่ (ศิริศักดิ์ นันทเสน): นักร้องนำและมือกลอง เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2504 เข้าร่วมวงตั้งแต่ปี 2529 จนถึง 2533 ถือเป็นหัวใจหลักในการผลิตเพลงและการแสดงสด
    วสุ แสงสิงแก้ว: นักร้องนำ คีย์บอร์ด และกีตาร์ เกิดวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2510 เข้าร่วมตั้งแต่เริ่มต้นแต่ลาออกในปี 2531 เพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ
    อิศรพงศ์ ชุมสาย ณ อยุธยา: หัวหน้าวงและคีย์บอร์ด
    มืด ไข่มุก: เพอร์คัสชั่น กลองชุด และร้องนำ (เสียชีวิตเมื่อปี 2565)
    รักษ์ สวัสซิตัง: กีตาร์และร้องนำ
    อนุสาร คุณะดิลก: เบสและร้องนำ (เสียชีวิตปี 2557)
    ชาตรี คงสุวรรณ: กีตาร์และแซ็กโซโฟน (ช่วงแรก)
    สมาชิกอื่น ๆ เช่น ปิติ ปิติวงศ์ (คีย์บอร์ด), เดวิด เอง (กีตาร์) และวรดิษฐ์ เมืองทอง (ร้องนำแทนวสุในอัลบั้มสุดท้าย)

    วงพลอยออกอัลบั้มแรกในนาม "แจ้และพลอย" ชื่อ "ฝันสีทอง" ในเดือนกุมภาพันธ์และพฤษภาคม 2529 ตามด้วย "ของขวัญ" ในปลายปีเดียวกัน ปี 2530 เปลี่ยนชื่อเป็น "วงพลอย" อย่างเป็นทางการและออกอัลบั้มเต็มชุดแรก "สุภาพบุรุษนักฝัน" ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้วงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง อัลบั้มนี้ขายดีและมีเพลงฮิตหลายเพลง ตามด้วย "สมาคมคนเจ็บ ๆ" (2531) และ "พลอย 3" (2532) หลังจากนั้นวงประกาศยุบในปี 2533 เนื่องจากสมาชิกหลายคนแยกย้ายไปทำผลงานเดี่ยว แต่ยังมีอัลบั้มรวมฮิตออกตามมา เช่น "รวมฮิต พลอย" (2535) และ "BEST OF พลอย" (2544) รวมถึงคอนเสิร์ตใหญ่เช่น "โลกดนตรี พลอย" (2531-2533)

    วงพลอยถูกยกย่องว่าเป็น "สมาคมสุภาพบุรุษนักดนตรีแห่งทศวรรษ 1980s" ด้วยการผสมผสานดนตรีที่สนุกสนานและเนื้อเพลงที่เข้าถึงอารมณ์คนฟัง ทำให้พวกเขากลายเป็นขวัญใจวัยรุ่นในยุคนั้น

    ประวัติติ๊ก ชิโร่: จากเด็กโคราชสู่มือกลองและนักร้องอัจฉริยะ
    ติ๊ก ชิโร่ เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2504 ที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรของนายชวลิตและนางสุดใจ นันทเสน เขาเติบโตในครอบครัวธรรมดาแต่มีความหลงใหลในดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ติ๊กตั้งวงกับเพื่อนชื่อ "แฟมิลี่" และเล่นประจำที่เอส.พี.ไนท์คลับในโคราช ต่อมาเปลี่ยนชื่อวงเป็น "เดอะ ดิสค์" เล่นที่โรงแรมโฆษะ ขอนแก่น แล้วเป็น "ดิสโก้คิสส์" กลับมาโคราช ระหว่างเรียนที่วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน) เขาเล่นที่ซิลเวอร์สตาร์ ขอนแก่น จากนั้นย้ายไปพัทยา เปลี่ยนชื่อวงเป็น "ริทึ่มมิ๊กซ์" และ "เซเลเบรชั่น" ซึ่งออกอัลบั้มชุดเดียว "คนชุดขาว" ในปี 2527 โดยสมาชิกแต่งกายชุดขาวและสวมหน้ากาก

    ติ๊กเข้าร่วมวงพลอยในปี 2529 ในตำแหน่งมือกลองและนักร้องนำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแจ้งเกิดในวงการเพลงไทยอย่างเต็มตัว เขาไม่เพียงเล่นกลองและร้องนำ แต่ยังแต่งเพลงและเรียบเรียงดนตรีให้วงด้วย พรสวรรค์ของติ๊กในด้านนี้ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น "อัจฉริยะ" เพราะสามารถเล่นเครื่องดนตรีหลายชนิด เช่น กลอง เปียโน และกีตาร์ รวมถึงแต่งเพลงที่ผสมผสานแนวเพลงหลากหลาย ตั้งแต่ป็อป แดนซ์ ร็อก ไปจนถึงลูกทุ่งและคันทรี่
    ด้านชีวิตส่วนตัว ติ๊กสมรสกับพรรทิรา นันทเสน มีบุตรสาวสองคน ชื่อชาเม-ชามันดา และยาหยี-เลอทีญา เขาจบปริญญาตรีสาขารัฐประศาสนศาสตร์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ปริญญาโทจากธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี นอกจากดนตรี เขายังเป็นนักแสดง พิธีกร และผู้ก่อตั้งค่ายเพลง LOMABin Entertainment ในปี 2564

    ความดังของเพลง "ปลงซะ": เพลงฮิตที่จุดประกายวงพลอย
    เพลง "ปลงซะ" เป็นหนึ่งในเพลงเด่นจากอัลบั้ม "สุภาพบุรุษนักฝัน" (2530) ซึ่งเป็นอัลบั้มเต็มชุดแรกของวงพลอย เพลงนี้แต่งคำร้อง ทำนอง และเรียบเรียงโดยติ๊ก ชิโร่เอง ร้องนำโดยติ๊ก เนื้อเพลงพูดถึงการ "ปลงตก" กับความผิดหวังในชีวิตและความรัก ด้วยจังหวะสนุกสนานผสมร็อกและแดนซ์ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตอย่างรวดเร็ว คำว่า "ปลงซะ" กลายเป็นวลีฮิตที่คนรุ่นนั้นใช้พูดกันติดปาก

    อัลบั้มนี้มีเพลงดังอื่น ๆ เช่น "จดหมายลาครู" (ร้องโดยวสุ), "สูตรรักนักเรียน" (วสุ), และ "ไม่ได้เจตนา" (มืด) ซึ่งช่วยผลักดันให้อัลบั้มขายดีและทำให้วงพลอยได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงนั้น เพลง "ปลงซะ" ไม่เพียงทำให้ติ๊กเป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องนำ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแต่งเพลงที่เข้าถึงอารมณ์คนฟัง ทำให้เพลงนี้ถูกนำไปรวมในอัลบั้มฮิตหลายชุด เช่น "ดีที่สุดแห่งปี 2530" (2549) และ "เพลงฮิตเมื่อวันวาน" (2555) ความดังของเพลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติ๊กก้าวสู่การเป็นศิลปินเดี่ยวในเวลาต่อมา

    การแยกตัวและความดังส่วนตัวของติ๊ก ชิโร่: ยุคทองของศิลปินเดี่ยว
    หลังจากวงพลอยยุบในปี 2533 ติ๊ก ชิโร่ ตัดสินใจแยกตัวออกมาทำผลงานเดี่ยวภายใต้สังกัดนิธิทัศน์ โปรโมชั่น ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะทำให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในยุค 90 อัลบั้มเดี่ยวชุดแรก "โชะ ไชโย" (ธันวาคม 2533) ขายได้มากกว่าล้านตลับ ด้วยเพลงฮิตอย่าง "โชะ ไชโย" ที่ผสมผสานป็อปแดนซ์ร็อก ตามด้วย "เต็มเหนี่ยว" (2535) ซึ่งได้รับรางวัลโปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยมจากสีสันอวอร์ด และขายล้านตลับเช่นกัน

    ตลอดทศวรรษ 1990s ติ๊กออกอัลบั้มอีกหลายชุด เช่น "ยินดีต้อนรับ" (2536) ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลนักร้องชายยอดเยี่ยมสีสันอวอร์ด, "ซ.ต.พ. (Q.E.D.)" (2537), "ติ๊กเบอร์ 5 (มหาชน)" (2539), "ย้อนยุคใหม่" (2540), "ทำปุ๋ย" (2541) และ "โช๊ะ ลูกทุ่ง 1 2 3" (2541) เพลงดังส่วนตัวของเขา ได้แก่ "รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง", "มนุษย์ค้างคาว", "เต็มเหนี่ยว", "โชะ ไชโย" และเพลงรณรงค์อย่าง "แค่ขยับ" (2550) นอกจากนี้ เขายังแต่งเพลงให้ศิลปินอื่น เช่น "จูนหัวใจ" ให้กัญญาณี มุจจลินทร์กุล และ "ก็ดี" ให้ธงไชย แมคอินไตย์

    ความดังของติ๊กในยุค 90 มาจากการผสมผสานแนวเพลงที่หลากหลาย ทำให้เขาเป็นศิลปินที่เข้าถึงผู้ฟังทุกวัย เขาได้รับฉายา "โบราณแมน" จากอัลบั้มในปี 2548 และยังคงผลิตผลงานจนถึงปัจจุบัน รวมถึงอัลบั้มรวมเพลงอย่าง "25 ปี ติ๊ก ชิโร่" (2558) และ "The Legend Of ติ๊ก ชิโร่" (2560) การแยกตัวทำให้ติ๊กประสบความสำเร็จสูงสุด โดยขายอัลบั้มรวมหลายล้านชุดและมีคอนเสิร์ตใหญ่หลายครั้ง

    สรุป: มรดกของติ๊ก ชิโร่และวงพลอยในวงการเพลงไทย
    เพลง "ปลงซะ" ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ของจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติ๊ก ชิโร่ ก้าวจากมือกลองในวงพลอยสู่ศิลปินเดี่ยวระดับตำนาน วงพลอยเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ปูทางให้ดนตรีไทยในยุค 90 มีความหลากหลายมากขึ้น ติ๊กถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะเพราะความสามารถรอบด้าน ทั้งแต่ง ร้อง และผลิตเพลงที่ยังคงเป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้ แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยน แต่เพลงของเขาและวงพลอยยังคงถูกเปิดฟังและนำไปรีเมค สะท้อนถึงอิทธิพลที่ยั่งยืนในวงการเพลงไทย

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=Yg1kHho4J-o
    🎵 เพลง "ปลงซะ" ของวงพลอย: จุดเริ่มต้นของติ๊ก ชิโร่ อัจฉริยะแห่งวงการเพลงไทยยุค 90 🕺 🗺️ ในยุคที่เพลงไทยกำลังเบ่งบานด้วยสไตล์ป็อปร็อกผสมผสานกลิ่นอายแดนซ์และคันทรี่ เพลง "ปลงซะ" จากอัลบั้มชุดแรกของวงพลอย ได้กลายเป็นหนึ่งในเพลงฮิตที่จุดประกายให้วงการเพลงไทยคึกคักขึ้นมาในช่วงปลายทศวรรษ 1980s และต้น 1990s เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นผลงานที่ทำให้วงพลอยเป็นที่รู้จัก แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในอาชีพนักร้องนำและมือกลองอย่างติ๊ก ชิโร่ (ชื่อจริง: มนัสวิน นันทเสน หรือชื่อเดิม ศิริศักดิ์ นันทเสน) ผู้ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งของวงการเพลงไทยในยุค 90 ด้วยพรสวรรค์ในการแต่งเพลง ร้อง และเล่นดนตรีที่หลากหลาย บทความนี้จะพาไปสำรวจรายละเอียดของวงพลอย ประวัติของติ๊ก ชิโร่ ความดังของเพลง "ปลงซะ" รวมถึงเส้นทางเดี่ยวที่ทำให้เขากลายเป็นศิลปินระดับตำนาน 🌠 ✡️ ประวัติและการก่อตั้งวงพลอย: จากวงแบ็คอัพสู่ตำนานป็อปร็อก วงพลอยเกิดขึ้นจากแนวคิดของ "แจ้" ดนุพล แก้วกาญจน์ อดีตสมาชิกวงแกรนด์เอ็กซ์ นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดังที่ต้องการมีวงดนตรีแบ็คอัพสำหรับอัลบั้มเดี่ยวของตนเองภายใต้สังกัดนิธิทัศน์ โปรโมชั่น การก่อตั้งวงเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2529 โดยเดิมใช้ชื่อ "แจ้และพลอย" สมาชิกหลักในช่วงแรกประกอบด้วยนักดนตรีมากพรสวรรค์ที่มาจากหลากหลายพื้นเพ วงพลอยมีแนวเพลงหลักเป็นป็อปร็อก ผสมผสานกับแดนซ์ คันทรี่ กอสเปล และบลูส์ ซึ่งทำให้เพลงของพวกเขามีเอกลักษณ์โดดเด่น ท่ามกลางกระแสเพลงไทยที่กำลังเปลี่ยนจากยุคดิสโก้สู่ร็อกยุคใหม่ 💎 สมาชิกหลักของวงพลอยมีการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงกิจกรรม แต่บุคคลสำคัญที่ทำให้วงโด่งดัง ได้แก่: 🙎‍♂️ ติ๊ก ชิโร่ (ศิริศักดิ์ นันทเสน): นักร้องนำและมือกลอง เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2504 เข้าร่วมวงตั้งแต่ปี 2529 จนถึง 2533 ถือเป็นหัวใจหลักในการผลิตเพลงและการแสดงสด 🙎‍♂️ วสุ แสงสิงแก้ว: นักร้องนำ คีย์บอร์ด และกีตาร์ เกิดวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2510 เข้าร่วมตั้งแต่เริ่มต้นแต่ลาออกในปี 2531 เพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ 🙎‍♂️ อิศรพงศ์ ชุมสาย ณ อยุธยา: หัวหน้าวงและคีย์บอร์ด 🙎‍♂️ มืด ไข่มุก: เพอร์คัสชั่น กลองชุด และร้องนำ (เสียชีวิตเมื่อปี 2565) 🙎‍♂️ รักษ์ สวัสซิตัง: กีตาร์และร้องนำ 🙎‍♂️ อนุสาร คุณะดิลก: เบสและร้องนำ (เสียชีวิตปี 2557) 🙎‍♂️ ชาตรี คงสุวรรณ: กีตาร์และแซ็กโซโฟน (ช่วงแรก) 🙎‍♂️ สมาชิกอื่น ๆ เช่น ปิติ ปิติวงศ์ (คีย์บอร์ด), เดวิด เอง (กีตาร์) และวรดิษฐ์ เมืองทอง (ร้องนำแทนวสุในอัลบั้มสุดท้าย) 💿 วงพลอยออกอัลบั้มแรกในนาม "แจ้และพลอย" ชื่อ "ฝันสีทอง" ในเดือนกุมภาพันธ์และพฤษภาคม 2529 ตามด้วย "ของขวัญ" ในปลายปีเดียวกัน ปี 2530 เปลี่ยนชื่อเป็น "วงพลอย" อย่างเป็นทางการและออกอัลบั้มเต็มชุดแรก "สุภาพบุรุษนักฝัน" ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้วงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง อัลบั้มนี้ขายดีและมีเพลงฮิตหลายเพลง ตามด้วย "สมาคมคนเจ็บ ๆ" (2531) และ "พลอย 3" (2532) หลังจากนั้นวงประกาศยุบในปี 2533 เนื่องจากสมาชิกหลายคนแยกย้ายไปทำผลงานเดี่ยว แต่ยังมีอัลบั้มรวมฮิตออกตามมา เช่น "รวมฮิต พลอย" (2535) และ "BEST OF พลอย" (2544) รวมถึงคอนเสิร์ตใหญ่เช่น "โลกดนตรี พลอย" (2531-2533) 💎 วงพลอยถูกยกย่องว่าเป็น "สมาคมสุภาพบุรุษนักดนตรีแห่งทศวรรษ 1980s" ด้วยการผสมผสานดนตรีที่สนุกสนานและเนื้อเพลงที่เข้าถึงอารมณ์คนฟัง ทำให้พวกเขากลายเป็นขวัญใจวัยรุ่นในยุคนั้น 🕺 ประวัติติ๊ก ชิโร่: จากเด็กโคราชสู่มือกลองและนักร้องอัจฉริยะ ติ๊ก ชิโร่ เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2504 ที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรของนายชวลิตและนางสุดใจ นันทเสน เขาเติบโตในครอบครัวธรรมดาแต่มีความหลงใหลในดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ติ๊กตั้งวงกับเพื่อนชื่อ "แฟมิลี่" และเล่นประจำที่เอส.พี.ไนท์คลับในโคราช ต่อมาเปลี่ยนชื่อวงเป็น "เดอะ ดิสค์" เล่นที่โรงแรมโฆษะ ขอนแก่น แล้วเป็น "ดิสโก้คิสส์" กลับมาโคราช ระหว่างเรียนที่วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน) เขาเล่นที่ซิลเวอร์สตาร์ ขอนแก่น จากนั้นย้ายไปพัทยา เปลี่ยนชื่อวงเป็น "ริทึ่มมิ๊กซ์" และ "เซเลเบรชั่น" ซึ่งออกอัลบั้มชุดเดียว "คนชุดขาว" ในปี 2527 โดยสมาชิกแต่งกายชุดขาวและสวมหน้ากาก 🙎‍♂️ ติ๊กเข้าร่วมวงพลอยในปี 2529 ในตำแหน่งมือกลองและนักร้องนำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแจ้งเกิดในวงการเพลงไทยอย่างเต็มตัว เขาไม่เพียงเล่นกลองและร้องนำ แต่ยังแต่งเพลงและเรียบเรียงดนตรีให้วงด้วย พรสวรรค์ของติ๊กในด้านนี้ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น "อัจฉริยะ" เพราะสามารถเล่นเครื่องดนตรีหลายชนิด เช่น กลอง เปียโน และกีตาร์ รวมถึงแต่งเพลงที่ผสมผสานแนวเพลงหลากหลาย ตั้งแต่ป็อป แดนซ์ ร็อก ไปจนถึงลูกทุ่งและคันทรี่ ด้านชีวิตส่วนตัว ติ๊กสมรสกับพรรทิรา นันทเสน มีบุตรสาวสองคน ชื่อชาเม-ชามันดา และยาหยี-เลอทีญา เขาจบปริญญาตรีสาขารัฐประศาสนศาสตร์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ปริญญาโทจากธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี นอกจากดนตรี เขายังเป็นนักแสดง พิธีกร และผู้ก่อตั้งค่ายเพลง LOMABin Entertainment ในปี 2564 🎖️ ความดังของเพลง "ปลงซะ": เพลงฮิตที่จุดประกายวงพลอย เพลง "ปลงซะ" เป็นหนึ่งในเพลงเด่นจากอัลบั้ม "สุภาพบุรุษนักฝัน" (2530) ซึ่งเป็นอัลบั้มเต็มชุดแรกของวงพลอย เพลงนี้แต่งคำร้อง ทำนอง และเรียบเรียงโดยติ๊ก ชิโร่เอง ร้องนำโดยติ๊ก เนื้อเพลงพูดถึงการ "ปลงตก" กับความผิดหวังในชีวิตและความรัก ด้วยจังหวะสนุกสนานผสมร็อกและแดนซ์ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตอย่างรวดเร็ว คำว่า "ปลงซะ" กลายเป็นวลีฮิตที่คนรุ่นนั้นใช้พูดกันติดปาก 🏆 อัลบั้มนี้มีเพลงดังอื่น ๆ เช่น "จดหมายลาครู" (ร้องโดยวสุ), "สูตรรักนักเรียน" (วสุ), และ "ไม่ได้เจตนา" (มืด) ซึ่งช่วยผลักดันให้อัลบั้มขายดีและทำให้วงพลอยได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงนั้น เพลง "ปลงซะ" ไม่เพียงทำให้ติ๊กเป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องนำ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแต่งเพลงที่เข้าถึงอารมณ์คนฟัง ทำให้เพลงนี้ถูกนำไปรวมในอัลบั้มฮิตหลายชุด เช่น "ดีที่สุดแห่งปี 2530" (2549) และ "เพลงฮิตเมื่อวันวาน" (2555) ความดังของเพลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติ๊กก้าวสู่การเป็นศิลปินเดี่ยวในเวลาต่อมา ☢️ การแยกตัวและความดังส่วนตัวของติ๊ก ชิโร่: ยุคทองของศิลปินเดี่ยว หลังจากวงพลอยยุบในปี 2533 ติ๊ก ชิโร่ ตัดสินใจแยกตัวออกมาทำผลงานเดี่ยวภายใต้สังกัดนิธิทัศน์ โปรโมชั่น ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะทำให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในยุค 90 อัลบั้มเดี่ยวชุดแรก "โชะ ไชโย" (ธันวาคม 2533) ขายได้มากกว่าล้านตลับ ด้วยเพลงฮิตอย่าง "โชะ ไชโย" ที่ผสมผสานป็อปแดนซ์ร็อก ตามด้วย "เต็มเหนี่ยว" (2535) ซึ่งได้รับรางวัลโปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยมจากสีสันอวอร์ด และขายล้านตลับเช่นกัน ตลอดทศวรรษ 1990s ติ๊กออกอัลบั้มอีกหลายชุด เช่น "ยินดีต้อนรับ" (2536) ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลนักร้องชายยอดเยี่ยมสีสันอวอร์ด, "ซ.ต.พ. (Q.E.D.)" (2537), "ติ๊กเบอร์ 5 (มหาชน)" (2539), "ย้อนยุคใหม่" (2540), "ทำปุ๋ย" (2541) และ "โช๊ะ ลูกทุ่ง 1 2 3" (2541) เพลงดังส่วนตัวของเขา ได้แก่ "รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง", "มนุษย์ค้างคาว", "เต็มเหนี่ยว", "โชะ ไชโย" และเพลงรณรงค์อย่าง "แค่ขยับ" (2550) นอกจากนี้ เขายังแต่งเพลงให้ศิลปินอื่น เช่น "จูนหัวใจ" ให้กัญญาณี มุจจลินทร์กุล และ "ก็ดี" ให้ธงไชย แมคอินไตย์ 📝 🤍 ความดังของติ๊กในยุค 90 มาจากการผสมผสานแนวเพลงที่หลากหลาย ทำให้เขาเป็นศิลปินที่เข้าถึงผู้ฟังทุกวัย เขาได้รับฉายา "โบราณแมน" จากอัลบั้มในปี 2548 และยังคงผลิตผลงานจนถึงปัจจุบัน รวมถึงอัลบั้มรวมเพลงอย่าง "25 ปี ติ๊ก ชิโร่" (2558) และ "The Legend Of ติ๊ก ชิโร่" (2560) การแยกตัวทำให้ติ๊กประสบความสำเร็จสูงสุด โดยขายอัลบั้มรวมหลายล้านชุดและมีคอนเสิร์ตใหญ่หลายครั้ง ℹ️ℹ️ สรุป: มรดกของติ๊ก ชิโร่และวงพลอยในวงการเพลงไทย🏁 เพลง "ปลงซะ" ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ของจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติ๊ก ชิโร่ ก้าวจากมือกลองในวงพลอยสู่ศิลปินเดี่ยวระดับตำนาน วงพลอยเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ปูทางให้ดนตรีไทยในยุค 90 มีความหลากหลายมากขึ้น ติ๊กถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะเพราะความสามารถรอบด้าน ทั้งแต่ง ร้อง และผลิตเพลงที่ยังคงเป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้ แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยน แต่เพลงของเขาและวงพลอยยังคงถูกเปิดฟังและนำไปรีเมค สะท้อนถึงอิทธิพลที่ยั่งยืนในวงการเพลงไทย ✨💫 #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=Yg1kHho4J-o
    0 Comments 0 Shares 597 Views 0 Reviews
  • ย้อนวันวาน ที่MOU43ยังไม่เกิด!!! (7/11/68)
    .
    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #MOU43 #ชายแดนไทยกัมพูชา #ประวัติศาสตร์ชาติไทย #กัมพูชา #ข่าววันนี้ #ข่าวร้อน #newsupdate #ข่าวtiktok
    ย้อนวันวาน ที่MOU43ยังไม่เกิด!!! (7/11/68) . #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #MOU43 #ชายแดนไทยกัมพูชา #ประวัติศาสตร์ชาติไทย #กัมพูชา #ข่าววันนี้ #ข่าวร้อน #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 Comments 0 Shares 198 Views 0 0 Reviews
  • ไอคอน Windows 95 ยังซ่อนอยู่ใน Windows 11 – ย้อนวันวานผ่านไฟล์ลับ pifmgr.dll

    แม้ Windows 11 จะเป็นระบบปฏิบัติการที่ทันสมัยที่สุดของ Microsoft แต่ยังมี “ไอคอนยุคโบราณ” จาก Windows 95 ซ่อนอยู่ในระบบ! Raymond Chen วิศวกรของ Microsoft เผยว่าไฟล์ชื่อ pifmgr.dll ในโฟลเดอร์ System32 ยังเก็บไอคอนขนาด 32x32 พิกเซล สี 16 สีไว้เหมือนเดิมตั้งแต่ปี 1995

    ไฟล์นี้เคยใช้สำหรับจัดการ PIF (Program Information Files) ซึ่งเป็นไฟล์ที่ช่วยให้ Windows 95 รันโปรแกรม MS-DOS ได้อย่างเหมาะสม และเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกไอคอนเองได้เมื่อโปรแกรมไม่มีไอคอนเฉพาะ

    หากคุณอยากลองใช้ไอคอนเหล่านี้บน Windows 11 ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการเปลี่ยนไอคอนของ shortcut โดยระบุเส้นทางไปที่ %SystemRoot%\System32\pifmgr.dll ในหน้าต่าง “Change Icon”

    นอกจากนี้ยังมีไฟล์ DLL อื่น ๆ ที่เก็บไอคอนจากยุคต่าง ๆ เช่น imageres.dll และ moricons.dll ซึ่งสามารถใช้วิธีเดียวกันในการเข้าถึง

    ไอคอน Windows 95 ยังอยู่ใน Windows 11
    ซ่อนอยู่ในไฟล์ pifmgr.dll ในโฟลเดอร์ System32
    เป็นไอคอนขนาด 32x32 พิกเซล สี 16 สี
    เคยใช้กับโปรแกรม MS-DOS ที่ไม่มีไอคอนเฉพาะ

    วิธีเรียกดูและใช้งานไอคอนเก่า
    คลิกขวา shortcut → Properties → Shortcut tab
    กด “Change Icon” แล้วใส่ %SystemRoot%\System32\pifmgr.dll
    เลือกไอคอนที่ต้องการแล้วกด OK

    ไฟล์อื่นที่มีไอคอนเก่า
    imageres.dll – ไอคอนระบบทั่วไป
    moricons.dll – ไอคอนจากยุค Windows 3.x
    ใช้วิธีเดียวกันในการเข้าถึง

    https://www.techradar.com/computing/windows/windows-95-icons-still-exist-in-windows-11-today-as-dusty-old-relics-from-another-time-heres-where-to-find-them
    🖼️ ไอคอน Windows 95 ยังซ่อนอยู่ใน Windows 11 – ย้อนวันวานผ่านไฟล์ลับ pifmgr.dll แม้ Windows 11 จะเป็นระบบปฏิบัติการที่ทันสมัยที่สุดของ Microsoft แต่ยังมี “ไอคอนยุคโบราณ” จาก Windows 95 ซ่อนอยู่ในระบบ! Raymond Chen วิศวกรของ Microsoft เผยว่าไฟล์ชื่อ pifmgr.dll ในโฟลเดอร์ System32 ยังเก็บไอคอนขนาด 32x32 พิกเซล สี 16 สีไว้เหมือนเดิมตั้งแต่ปี 1995 ไฟล์นี้เคยใช้สำหรับจัดการ PIF (Program Information Files) ซึ่งเป็นไฟล์ที่ช่วยให้ Windows 95 รันโปรแกรม MS-DOS ได้อย่างเหมาะสม และเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกไอคอนเองได้เมื่อโปรแกรมไม่มีไอคอนเฉพาะ หากคุณอยากลองใช้ไอคอนเหล่านี้บน Windows 11 ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการเปลี่ยนไอคอนของ shortcut โดยระบุเส้นทางไปที่ %SystemRoot%\System32\pifmgr.dll ในหน้าต่าง “Change Icon” นอกจากนี้ยังมีไฟล์ DLL อื่น ๆ ที่เก็บไอคอนจากยุคต่าง ๆ เช่น imageres.dll และ moricons.dll ซึ่งสามารถใช้วิธีเดียวกันในการเข้าถึง ✅ ไอคอน Windows 95 ยังอยู่ใน Windows 11 ➡️ ซ่อนอยู่ในไฟล์ pifmgr.dll ในโฟลเดอร์ System32 ➡️ เป็นไอคอนขนาด 32x32 พิกเซล สี 16 สี ➡️ เคยใช้กับโปรแกรม MS-DOS ที่ไม่มีไอคอนเฉพาะ ✅ วิธีเรียกดูและใช้งานไอคอนเก่า ➡️ คลิกขวา shortcut → Properties → Shortcut tab ➡️ กด “Change Icon” แล้วใส่ %SystemRoot%\System32\pifmgr.dll ➡️ เลือกไอคอนที่ต้องการแล้วกด OK ✅ ไฟล์อื่นที่มีไอคอนเก่า ➡️ imageres.dll – ไอคอนระบบทั่วไป ➡️ moricons.dll – ไอคอนจากยุค Windows 3.x ➡️ ใช้วิธีเดียวกันในการเข้าถึง https://www.techradar.com/computing/windows/windows-95-icons-still-exist-in-windows-11-today-as-dusty-old-relics-from-another-time-heres-where-to-find-them
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
  • จากวัยเด็กถึงวันเกษียณ: การประกอบคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา

    วันวานในโลกของสายไฟและชิ้นส่วนเล็กๆ
    ในช่วงวัยรุ่นหรือวัยทำงานตอนต้น “การประกอบคอมพิวเตอร์เอง” เป็นทั้งงานอดิเรกและการผจญภัยทางเทคโนโลยี ใครที่เคยเดินหาซื้ออุปกรณ์ในย่านไอทีคงจำได้ดี ความรู้สึกตอนเลือกเมนบอร์ดที่ถูกใจหรือหาการ์ดจอที่กำลังมาแรงเหมือนการได้อาวุธชิ้นใหม่ การกลับมาบ้านพร้อมกล่องใหญ่ๆ แล้วนั่งแกะอุปกรณ์ทีละชิ้นคือความสุขที่บรรยายยาก

    เมื่อเริ่มต่อสาย วางชิ้นส่วนลงในเคส หรือขันน็อตตัวเล็กๆ หัวใจเต้นแรงไม่ต่างจากนักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลอง ทุกครั้งที่กดปุ่มเปิดเครื่องแล้วพัดลมหมุน แสงไฟติดขึ้น นั่นคือชัยชนะเล็กๆ ที่มาพร้อมกับเสียงเฮและรอยยิ้ม ความภูมิใจในผลงานที่ทำด้วยสองมือตัวเองทำให้ค่ำคืนนั้นสดใสเป็นพิเศษ

    ความเปลี่ยนแปลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น
    แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เครื่องสำเร็จรูปที่มีให้เลือกมากมายทำให้ไม่จำเป็นต้องมานั่งต่อเองอีกต่อไป ความท้าทายที่เคยมีจึงค่อยๆ จางลง บวกกับสังขารที่ไม่เหมือนเดิม มือที่เคยคล่องแคล่วกลับสั่นเล็กน้อยเมื่อต้องหยิบน็อตจิ๋ว สายตาที่เคยชัดเจนต้องพึ่งแว่นขยาย หรือบางครั้งต้องใช้โคมไฟช่วยส่องให้เห็นรายละเอียด

    แม้จะยังสนุกอยู่ แต่ความรู้สึกกลับต่างออกไป—จากที่เคย “ตื่นเต้น” กลายเป็น “ใจเย็น” มากขึ้น บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อยง่าย นั่งทำไม่นานก็เมื่อยหลัง ต้องพักบ่อยๆ เพื่อยืดเส้นยืดสาย สิ่งที่เปลี่ยนไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เป็นวิธีมองกิจกรรมนี้ในฐานะงานอดิเรกที่ผ่อนคลายและไม่เร่งรีบ

    คุณค่าใหม่ที่มากับวัย
    แม้ความสนุกอาจลดลง แต่สิ่งที่ได้รับกลับลึกซึ้งกว่าเดิม ทุกครั้งที่นั่งประกอบคอมพิวเตอร์ในวันนี้ มันไม่ใช่แค่การสร้างเครื่องทำงานใหม่ แต่เป็นการทบทวนตัวเองว่า “ยังทำได้” และเป็นการใช้สมองแก้ปัญหาทีละขั้นอย่างเป็นระบบ ซึ่งถือเป็นการออกกำลังสมองที่ดีไม่แพ้การเล่นเกมฝึกความจำ

    ที่สำคัญ การประกอบคอมฯ ยังเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ ลูกหลานหลายคนมักเข้ามาช่วย แนะนำวิธีใหม่ๆ หรือหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต แล้วลงมือทำไปพร้อมกัน บรรยากาศเช่นนี้สร้างทั้งเสียงหัวเราะ ความอบอุ่น และความทรงจำใหม่ๆ ที่จะเก็บไว้เล่าต่อในอนาคต

    บทเรียนจากสายไฟและน็อตตัวเล็กๆ
    การประกอบคอมพิวเตอร์ในวัยหนุ่มสาวคือ “ความท้าทายและการพิสูจน์ตัวเอง” แต่เมื่ออายุมากขึ้น มันกลายเป็น “การฝึกสมาธิและการสร้างความผูกพัน” สิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่เครื่องคอมพิวเตอร์ แต่คือความมั่นใจว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคต่อการเรียนรู้ และทุกครั้งที่ลงมือ เราได้ต่อ “ชิ้นส่วนของชีวิต” เข้าไว้ด้วยกัน

    วันนี้ความสนุกอาจไม่หวือหวาเหมือนวันเก่า แต่ความหมายกลับเติบโตขึ้นมากกว่าเดิม การได้เห็นเครื่องที่เราประกอบเองบูตขึ้นมา ยังคงเป็นสัญลักษณ์เล็กๆ ของชัยชนะ และเป็นเครื่องยืนยันว่าไม่ว่าเวลาเดินไปไกลแค่ไหน เราก็ยังมีไฟที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่เสมอ

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    จากวัยเด็กถึงวันเกษียณ: การประกอบคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา 🕒💻 🖥️ วันวานในโลกของสายไฟและชิ้นส่วนเล็กๆ ในช่วงวัยรุ่นหรือวัยทำงานตอนต้น “การประกอบคอมพิวเตอร์เอง” เป็นทั้งงานอดิเรกและการผจญภัยทางเทคโนโลยี ใครที่เคยเดินหาซื้ออุปกรณ์ในย่านไอทีคงจำได้ดี ความรู้สึกตอนเลือกเมนบอร์ดที่ถูกใจหรือหาการ์ดจอที่กำลังมาแรงเหมือนการได้อาวุธชิ้นใหม่ การกลับมาบ้านพร้อมกล่องใหญ่ๆ แล้วนั่งแกะอุปกรณ์ทีละชิ้นคือความสุขที่บรรยายยาก 🔧 เมื่อเริ่มต่อสาย วางชิ้นส่วนลงในเคส หรือขันน็อตตัวเล็กๆ หัวใจเต้นแรงไม่ต่างจากนักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลอง ทุกครั้งที่กดปุ่มเปิดเครื่องแล้วพัดลมหมุน แสงไฟติดขึ้น นั่นคือชัยชนะเล็กๆ ที่มาพร้อมกับเสียงเฮและรอยยิ้ม ความภูมิใจในผลงานที่ทำด้วยสองมือตัวเองทำให้ค่ำคืนนั้นสดใสเป็นพิเศษ 👓 ความเปลี่ยนแปลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เครื่องสำเร็จรูปที่มีให้เลือกมากมายทำให้ไม่จำเป็นต้องมานั่งต่อเองอีกต่อไป ความท้าทายที่เคยมีจึงค่อยๆ จางลง บวกกับสังขารที่ไม่เหมือนเดิม มือที่เคยคล่องแคล่วกลับสั่นเล็กน้อยเมื่อต้องหยิบน็อตจิ๋ว สายตาที่เคยชัดเจนต้องพึ่งแว่นขยาย หรือบางครั้งต้องใช้โคมไฟช่วยส่องให้เห็นรายละเอียด แม้จะยังสนุกอยู่ แต่ความรู้สึกกลับต่างออกไป—จากที่เคย “ตื่นเต้น” กลายเป็น “ใจเย็น” มากขึ้น บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อยง่าย นั่งทำไม่นานก็เมื่อยหลัง ต้องพักบ่อยๆ เพื่อยืดเส้นยืดสาย สิ่งที่เปลี่ยนไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เป็นวิธีมองกิจกรรมนี้ในฐานะงานอดิเรกที่ผ่อนคลายและไม่เร่งรีบ 🎉 คุณค่าใหม่ที่มากับวัย แม้ความสนุกอาจลดลง แต่สิ่งที่ได้รับกลับลึกซึ้งกว่าเดิม ทุกครั้งที่นั่งประกอบคอมพิวเตอร์ในวันนี้ มันไม่ใช่แค่การสร้างเครื่องทำงานใหม่ แต่เป็นการทบทวนตัวเองว่า “ยังทำได้” และเป็นการใช้สมองแก้ปัญหาทีละขั้นอย่างเป็นระบบ ซึ่งถือเป็นการออกกำลังสมองที่ดีไม่แพ้การเล่นเกมฝึกความจำ ที่สำคัญ การประกอบคอมฯ ยังเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ ลูกหลานหลายคนมักเข้ามาช่วย แนะนำวิธีใหม่ๆ หรือหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต แล้วลงมือทำไปพร้อมกัน บรรยากาศเช่นนี้สร้างทั้งเสียงหัวเราะ ความอบอุ่น และความทรงจำใหม่ๆ ที่จะเก็บไว้เล่าต่อในอนาคต 💡 บทเรียนจากสายไฟและน็อตตัวเล็กๆ การประกอบคอมพิวเตอร์ในวัยหนุ่มสาวคือ “ความท้าทายและการพิสูจน์ตัวเอง” แต่เมื่ออายุมากขึ้น มันกลายเป็น “การฝึกสมาธิและการสร้างความผูกพัน” สิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่เครื่องคอมพิวเตอร์ แต่คือความมั่นใจว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคต่อการเรียนรู้ และทุกครั้งที่ลงมือ เราได้ต่อ “ชิ้นส่วนของชีวิต” เข้าไว้ด้วยกัน 🖥️ วันนี้ความสนุกอาจไม่หวือหวาเหมือนวันเก่า แต่ความหมายกลับเติบโตขึ้นมากกว่าเดิม การได้เห็นเครื่องที่เราประกอบเองบูตขึ้นมา ยังคงเป็นสัญลักษณ์เล็กๆ ของชัยชนะ และเป็นเครื่องยืนยันว่าไม่ว่าเวลาเดินไปไกลแค่ไหน เราก็ยังมีไฟที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่เสมอ #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 520 Views 0 Reviews
  • "Another Day In Paradise": บทเพลงที่เปลี่ยนมุมมอง และการฝึกภาษาอังกฤษของผม

    ช่วงเวลาที่ผมได้เริ่มต้นฝึกฝนภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง ผมได้เดินทางไปยัง World Trade Center (ปัจจุบันคือ Central World) ในกรุงเทพมหานคร เพื่อตามหาเทปคาสเซ็ตของศิลปินที่ผมชื่นชอบในตอนนั้น นั่นคือ Elton John โดยผมมุ่งหวังที่จะนำเพลงของเขามาเป็นเครื่องมือในการฝึกฝนภาษาอังกฤษ แต่แล้วโชคชะตาก็พาให้ผมได้พบกับเทปของศิลปินคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย นั่นคือ Phil Collins และเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่เทปนั้นไม่ได้มีเพลงของ Elton John อยู่เลย แต่กลับเป็นบทเพลงที่ชื่อว่า "Another Day In Paradise"

    เพลงนี้ได้เปิดโลกทัศน์และมุมมองของผมไปอย่างสิ้นเชิง ผมได้ฟังเพลงนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและรู้สึกประทับใจกับเนื้อหาที่ลึกซึ้ง และท่วงทำนองที่เข้าถึงจิตใจ เนื้อเพลงพูดถึงการมองข้ามผู้คนที่ด้อยโอกาสและเป็นบทเพลงที่สะท้อนถึงปัญหาสังคมในยุค 80s และยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญจนถึงปัจจุบัน โดย Phil Collins ได้ถ่ายทอดเนื้อหาของเพลงนี้ออกมาได้อย่างทรงพลังและน่าประทับใจ จนทำให้ผมอยากที่จะทำความเข้าใจเนื้อหาของเพลงให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนภาษาอังกฤษของผมอย่างจริงจัง

    นอกจากเนื้อหาที่ลึกซึ้งแล้ว ความสำเร็จของ "Another Day In Paradise" ยังเป็นที่น่าจับตามอง เพลงนี้ได้รับการปล่อยออกมาในปี 1989 และกลายเป็นเพลงฮิตไปทั่วโลก ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงในหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ เพลงนี้ยังได้รับรางวัล Grammy Award ในสาขา "Record of the Year" ในปี 1991 ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความโดดเด่นและความสำเร็จของบทเพลงนี้ และเป็นที่มาของความประทับใจและแรงบันดาลใจในการฝึกภาษาอังกฤษของผม

    แม้ว่าในตอนแรก ผมจะตั้งใจไปหาเทปของ Elton John แต่การที่ผมได้พบกับเทปของ Phil Collins และได้ฟังเพลง "Another Day In Paradise" กลับเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้น เพราะไม่เพียงแต่ผมได้รู้จักเพลงที่ไพเราะและมีความหมายลึกซึ้ง แต่เพลงนี้ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผมฝึกฝนภาษาอังกฤษ และเปิดโลกทัศน์ในด้านดนตรีและวัฒนธรรมตะวันตกอีกด้วย

    ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยไปหลายปีแล้ว แต่บทเพลง "Another Day In Paradise" ก็ยังคงเป็นเพลงโปรดของผมตลอดกาล และทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ผมจะหวนนึกถึงวันวานที่ผมได้เดินเข้าไปในร้านเทปที่ World Trade Center และได้พบกับบทเพลงที่เปลี่ยนมุมมองและเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกภาษาอังกฤษของผมไปตลอดกาล

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/Qt2mbGP6vFI
    "Another Day In Paradise": บทเพลงที่เปลี่ยนมุมมอง 🎼 และการฝึกภาษาอังกฤษของผม 🗣️ ช่วงเวลาที่ผมได้เริ่มต้นฝึกฝนภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง ผมได้เดินทางไปยัง World Trade Center (ปัจจุบันคือ Central World) ในกรุงเทพมหานคร 🇹🇭 เพื่อตามหาเทปคาสเซ็ตของศิลปินที่ผมชื่นชอบในตอนนั้น นั่นคือ Elton John 🎶 โดยผมมุ่งหวังที่จะนำเพลงของเขามาเป็นเครื่องมือในการฝึกฝนภาษาอังกฤษ แต่แล้วโชคชะตาก็พาให้ผมได้พบกับเทปของศิลปินคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย นั่นคือ Phil Collins 🎤 และเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่เทปนั้นไม่ได้มีเพลงของ Elton John อยู่เลย แต่กลับเป็นบทเพลงที่ชื่อว่า "Another Day In Paradise" 🏝️ เพลงนี้ได้เปิดโลกทัศน์และมุมมองของผมไปอย่างสิ้นเชิง ผมได้ฟังเพลงนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและรู้สึกประทับใจกับเนื้อหาที่ลึกซึ้ง 💔 และท่วงทำนองที่เข้าถึงจิตใจ 🎵 เนื้อเพลงพูดถึงการมองข้ามผู้คนที่ด้อยโอกาสและเป็นบทเพลงที่สะท้อนถึงปัญหาสังคมในยุค 80s 🏘️ และยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญจนถึงปัจจุบัน โดย Phil Collins ได้ถ่ายทอดเนื้อหาของเพลงนี้ออกมาได้อย่างทรงพลังและน่าประทับใจ 💪 จนทำให้ผมอยากที่จะทำความเข้าใจเนื้อหาของเพลงให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนภาษาอังกฤษของผมอย่างจริงจัง 📚 นอกจากเนื้อหาที่ลึกซึ้งแล้ว ความสำเร็จของ "Another Day In Paradise" ยังเป็นที่น่าจับตามอง 🌟 เพลงนี้ได้รับการปล่อยออกมาในปี 1989 และกลายเป็นเพลงฮิตไปทั่วโลก 🌍 ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงในหลายประเทศ 🥇 รวมถึงสหรัฐอเมริกา 🇺🇸 และสหราชอาณาจักร 🇬🇧 นอกจากนี้ เพลงนี้ยังได้รับรางวัล Grammy Award 🏆 ในสาขา "Record of the Year" ในปี 1991 ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความโดดเด่นและความสำเร็จของบทเพลงนี้ และเป็นที่มาของความประทับใจและแรงบันดาลใจในการฝึกภาษาอังกฤษของผม ✨ แม้ว่าในตอนแรก ผมจะตั้งใจไปหาเทปของ Elton John 💿 แต่การที่ผมได้พบกับเทปของ Phil Collins และได้ฟังเพลง "Another Day In Paradise" กลับเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้น 🎉 เพราะไม่เพียงแต่ผมได้รู้จักเพลงที่ไพเราะและมีความหมายลึกซึ้ง 💖 แต่เพลงนี้ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผมฝึกฝนภาษาอังกฤษ 🗣️ และเปิดโลกทัศน์ในด้านดนตรีและวัฒนธรรมตะวันตกอีกด้วย 🎶 ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยไปหลายปีแล้ว ⏳ แต่บทเพลง "Another Day In Paradise" ก็ยังคงเป็นเพลงโปรดของผมตลอดกาล ❤️ และทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ผมจะหวนนึกถึงวันวานที่ผมได้เดินเข้าไปในร้านเทปที่ World Trade Center 🏢 และได้พบกับบทเพลงที่เปลี่ยนมุมมองและเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกภาษาอังกฤษของผมไปตลอดกาล 🚀 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/Qt2mbGP6vFI
    0 Comments 0 Shares 499 Views 0 Reviews
  • ในยุคที่ดนตรีป๊อปญี่ปุ่น เฟื่องฟูช่วงทศวรรษ 1980 ลุงก็เป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในเทคโนโลยีและดนตรีอย่างมาก วันหนึ่งในปี 1986 ขณะที่ลุงนั่งทำการบ้านตอนเย็นๆ พ่อของลุงได้เปิดวิทยุเพลง "ฮาร์ฟมูน เซเรเนด" (ハーフムーン・セレナーデ) ของนาโอโกะ คาวาอิ (河合奈保子) ให้ฟังเป็นครั้งแรก เสียงเปียโน ที่นุ่มนวลและทำนองที่ไพเราะทำให้ลุงหลงรักเพลงนี้ในทันที

    นาโอโกะ คาวาอิ เป็นไอดอลที่ได้รับความนิยมสูงสุดในยุคนั้น ด้วยภาพลักษณ์ที่สดใสและน้ำเสียงที่ไพเราะ เธอเดบิวต์ในปี 1979 และมีเพลงฮิตมากมาย เช่น "Tanpopo no Sora e" และ "Smile for Me" แต่เมื่อถึงกลางทศวรรษ 1980 เธอเริ่มรู้สึกถึงข้อจำกัดของการเป็นไอดอลที่ต้องยึดติดกับภาพลักษณ์ที่ถูกกำหนดไว้

    "ฮาร์ฟมูน เซเรเนด" เป็นซิงเกิลที่ 26 ของนาโอโกะ และเป็นผลงานที่เธอแต่งทำนองเองเป็นครั้งแรก เพลงนี้อยู่ในอัลบั้ม Scarlet ซึ่งนาโอโกะแต่งทำนองทุกเพลงด้วยตัวเอง แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่และความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองในฐานะศิลปินที่จริงจัง

    เนื้อเพลงของ "ฮาร์ฟมูน เซเรเนด" เขียนโดยยูมิ โยชิโมโตะ (吉元由美) นักแต่งเพลงชื่อดังที่ถ่ายทอดเรื่องราวของความรักและความปรารถนาผ่านภาพของพระจันทร์ครึ่งดวง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความไม่สมบูรณ์แต่ยังคงงดงามในตัวเอง เนื้อหาของเพลงพูดถึงการโหยหาความรักที่ไม่อาจเอื้อมถึง ผสมผสานกับความหวังและความเศร้าที่ละเมียดละไม

    ลุงจำได้ว่าลุงฟังเพลงนี้ครั้งแรกในห้องนั่งเล่นของบ้าน เสียงเปียโนที่เธอเล่นด้วยตัวเองทำให้ลุงรู้สึกถึงความลึกซึ้งและความจริงใจในเสียงเพลงนั้น การแสดงเพลงนี้ในงาน NHK Kohaku Uta Gassen ปี 1986 ซึ่งเป็นรายการดนตรีสุดยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น และเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอขึ้นเวทีนี้ ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของ "ฮาร์ฟมูน เซเรเนด" ในชีวิตการทำงานของเธอ

    ความงดงามของ "ฮาร์ฟมูน เซเรเนด" ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในญี่ปุ่นเท่านั้น เพลงนี้ยังได้รับความนิยมในระดับสากล โดยเฉพาะเมื่อแฮคเคน ลี (李克勤) นักร้องชื่อดังจากฮ่องกง นำเพลงนี้ไปคัฟเวอร์ในชื่อ "月半小夜曲" (Moon Half Serenade) ซึ่งกลายเป็นเพลงฮิตที่ครองชาร์ตในภูมิภาคที่พูดภาษาจีนอย่างยาวนาน

    ถึงแม้ว่านาโอโกะ คาวาอิ จะตัดสินใจวางมือจากวงการบันเทิงในปี 1997 เพื่อทุ่มเทให้กับครอบครัวหลังแต่งงาน "ฮาร์ฟมูน เซเรเนด" ยังคงเป็นผลงานที่ทิ้งรอยไว้ในวงการดนตรีอย่างลบเลือนไม่ได้ เพลงนี้ไม่เพียงเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถรอบด้านของเธอในฐานะนักร้อง นักแต่งเพลง และนักดนตรี แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านจากไอดอลสู่ศิลปินที่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง

    ลุงยังคงฟังเพลงนี้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพื่อรำลึกถึงวันวาน หรือการค้นพบครั้งแรกในยุคสมัยใหม่ "ฮาร์ฟมูน เซเรเนด" ยังคงส่องแสงดั่งพระจันทร์ครึ่งดวงที่ไม่เคยจางหายไปจากท้องฟ้าของวงการดนตรี

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/kuGxX6ycKQs
    ในยุคที่ดนตรีป๊อปญี่ปุ่น 🗾 เฟื่องฟูช่วงทศวรรษ 1980 ลุงก็เป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในเทคโนโลยีและดนตรีอย่างมาก วันหนึ่งในปี 1986 ขณะที่ลุงนั่งทำการบ้านตอนเย็นๆ พ่อของลุงได้เปิดวิทยุเพลง "ฮาร์ฟมูน เซเรเนด" (ハーフムーン・セレナーデ) ของนาโอโกะ คาวาอิ (河合奈保子) ให้ฟังเป็นครั้งแรก เสียงเปียโน 🎹 ที่นุ่มนวลและทำนองที่ไพเราะทำให้ลุงหลงรักเพลงนี้ในทันที นาโอโกะ คาวาอิ เป็นไอดอลที่ได้รับความนิยมสูงสุดในยุคนั้น ด้วยภาพลักษณ์ที่สดใสและน้ำเสียงที่ไพเราะ เธอเดบิวต์ในปี 1979 และมีเพลงฮิตมากมาย เช่น "Tanpopo no Sora e" และ "Smile for Me" แต่เมื่อถึงกลางทศวรรษ 1980 เธอเริ่มรู้สึกถึงข้อจำกัดของการเป็นไอดอลที่ต้องยึดติดกับภาพลักษณ์ที่ถูกกำหนดไว้ "ฮาร์ฟมูน เซเรเนด" 🌙 เป็นซิงเกิลที่ 26 ของนาโอโกะ และเป็นผลงานที่เธอแต่งทำนองเองเป็นครั้งแรก เพลงนี้อยู่ในอัลบั้ม Scarlet ซึ่งนาโอโกะแต่งทำนองทุกเพลงด้วยตัวเอง แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่และความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองในฐานะศิลปินที่จริงจัง เนื้อเพลงของ "ฮาร์ฟมูน เซเรเนด" เขียนโดยยูมิ โยชิโมโตะ (吉元由美) นักแต่งเพลงชื่อดังที่ถ่ายทอดเรื่องราวของความรักและความปรารถนาผ่านภาพของพระจันทร์ครึ่งดวง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความไม่สมบูรณ์แต่ยังคงงดงามในตัวเอง เนื้อหาของเพลงพูดถึงการโหยหาความรักที่ไม่อาจเอื้อมถึง ผสมผสานกับความหวังและความเศร้าที่ละเมียดละไม 💌 ลุงจำได้ว่าลุงฟังเพลงนี้ครั้งแรกในห้องนั่งเล่นของบ้าน เสียงเปียโนที่เธอเล่นด้วยตัวเองทำให้ลุงรู้สึกถึงความลึกซึ้งและความจริงใจในเสียงเพลงนั้น การแสดงเพลงนี้ในงาน NHK Kohaku Uta Gassen ปี 1986 ซึ่งเป็นรายการดนตรีสุดยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น และเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอขึ้นเวทีนี้ ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของ "ฮาร์ฟมูน เซเรเนด" ในชีวิตการทำงานของเธอ ความงดงามของ "ฮาร์ฟมูน เซเรเนด" ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในญี่ปุ่นเท่านั้น เพลงนี้ยังได้รับความนิยมในระดับสากล โดยเฉพาะเมื่อแฮคเคน ลี (李克勤) นักร้องชื่อดังจากฮ่องกง นำเพลงนี้ไปคัฟเวอร์ในชื่อ "月半小夜曲" (Moon Half Serenade) ซึ่งกลายเป็นเพลงฮิตที่ครองชาร์ตในภูมิภาคที่พูดภาษาจีนอย่างยาวนาน ถึงแม้ว่านาโอโกะ คาวาอิ จะตัดสินใจวางมือจากวงการบันเทิงในปี 1997 เพื่อทุ่มเทให้กับครอบครัวหลังแต่งงาน "ฮาร์ฟมูน เซเรเนด" ยังคงเป็นผลงานที่ทิ้งรอยไว้ในวงการดนตรีอย่างลบเลือนไม่ได้ เพลงนี้ไม่เพียงเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถรอบด้านของเธอในฐานะนักร้อง นักแต่งเพลง และนักดนตรี แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านจากไอดอลสู่ศิลปินที่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง ลุงยังคงฟังเพลงนี้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพื่อรำลึกถึงวันวาน หรือการค้นพบครั้งแรกในยุคสมัยใหม่ "ฮาร์ฟมูน เซเรเนด" ยังคงส่องแสงดั่งพระจันทร์ครึ่งดวงที่ไม่เคยจางหายไปจากท้องฟ้าของวงการดนตรี 📻🎷🎵 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/kuGxX6ycKQs
    0 Comments 0 Shares 760 Views 0 Reviews
  • เริ่มบันทึก 2 กรกฎาคม 2568
    หลังจากเห็นม้วนเทปเพลง ทั้งแบบเทปมีลิขสิทธิ์ และแบบเหมือนจะมีลิขสิทธิ์ ทุกม้วนที่เสียท่า ตกผ่านมาถึงมือผมด้วยการขอเงินพ่อแม่ไปซื้อทั้งแบบขอกันดื้อ ๆ และแบบหักจากค่าขนม ค่าใช้จ่ายรายเดือน รวม ๆ แล้วก็เอามาประกอบเป็นโลงให้ตัวเองนอนเล่น/นอนจริงได้แน่นอน

    มันชวนให้นึกไปถึงคนตัวเล็กที่แม้จะมีเรื่องอะไรให้บอกเล่า แต่กลับไม่มีพื้นที่ให้แสดงออกมา ม้วนเทปเพลงหลากแนว มันถูกบันทึกเสียงเอาไว้ในตัวตนเรียบร้อยแล้ว แต่หากความสะดวกสบาย/ความทันสมัย/ความล้าสมัย หรือจะความอะไรก็ตาม ทำให้มันไม่มีความเป็นแมสมีเดีย

    เครื่องเล่นเทปเองก็เอาตัวไม่รอดเหมือนกัน จากแมสโปรดักเมื่อวันวาน กลายเป็นแรโปรดักในวันนี้ เมื่อเทปไม่มีเครื่องเล่น มันก็ไม่เหลือทางแสดงสุนทรีย์แห่งเสียง แต่มันไม่สูญสิ้นสุนทรียภาพ สุนทรีย์แห่งอดีต พลังบวกเล็ก ๆ มักจะวูบขึ้นมา แทบจะทันทีที่ผมหยิบมันมาดู เปิดตลับ หยิบปกเทปมาสัมผัส พลิกดูสังขารที่ยังมีชีวิตของม้วนเทป จากชั้นไม้ ทีละม้วน ทีละม้วน และ...
    เริ่มบันทึก 2 กรกฎาคม 2568 หลังจากเห็นม้วนเทปเพลง ทั้งแบบเทปมีลิขสิทธิ์ และแบบเหมือนจะมีลิขสิทธิ์ ทุกม้วนที่เสียท่า ตกผ่านมาถึงมือผมด้วยการขอเงินพ่อแม่ไปซื้อทั้งแบบขอกันดื้อ ๆ และแบบหักจากค่าขนม ค่าใช้จ่ายรายเดือน รวม ๆ แล้วก็เอามาประกอบเป็นโลงให้ตัวเองนอนเล่น/นอนจริงได้แน่นอน มันชวนให้นึกไปถึงคนตัวเล็กที่แม้จะมีเรื่องอะไรให้บอกเล่า แต่กลับไม่มีพื้นที่ให้แสดงออกมา ม้วนเทปเพลงหลากแนว มันถูกบันทึกเสียงเอาไว้ในตัวตนเรียบร้อยแล้ว แต่หากความสะดวกสบาย/ความทันสมัย/ความล้าสมัย หรือจะความอะไรก็ตาม ทำให้มันไม่มีความเป็นแมสมีเดีย เครื่องเล่นเทปเองก็เอาตัวไม่รอดเหมือนกัน จากแมสโปรดักเมื่อวันวาน กลายเป็นแรโปรดักในวันนี้ เมื่อเทปไม่มีเครื่องเล่น มันก็ไม่เหลือทางแสดงสุนทรีย์แห่งเสียง แต่มันไม่สูญสิ้นสุนทรียภาพ สุนทรีย์แห่งอดีต พลังบวกเล็ก ๆ มักจะวูบขึ้นมา แทบจะทันทีที่ผมหยิบมันมาดู เปิดตลับ หยิบปกเทปมาสัมผัส พลิกดูสังขารที่ยังมีชีวิตของม้วนเทป จากชั้นไม้ ทีละม้วน ทีละม้วน และ...
    0 Comments 0 Shares 278 Views 0 Reviews
  • หากวันวาน...ไม่ใช่ผู้รู้
    Cr.Wiwan
    หากวันวาน...ไม่ใช่ผู้รู้ Cr.Wiwan
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • #ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ส่งคำเตือนไปยังรัฐบาลทั่วโลกวานนี้ (6 เม.ย.) ว่าพวกเขาจะต้อง “จ่ายเงินมหาศาล” หากต้องการให้สหรัฐฯ ยกเลิกกำแพงภาษี พร้อมเปรียบเทียบการรีดภาษีว่าเป็นเสมือน “ยา” ที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจอเมริกา ท่ามกลางความกังวลที่ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งแรงตั้งแต่เช้าวันนี้ (7 เม.ย.)

    ตลาดหุ้นเอเชียยังคงร่วงแรงต่อเนื่องระหว่างการซื้อขายเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ก็ดิ่งแรงในคืนวันอาทิตย์ (6) สืบเนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลว่ามาตรการรีดภาษีของ ทรัมป์ จะทำให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น อุปสงค์ลดลง บ่อนทำลายความเชื่อมั่น และนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) ทั่วโลก

    ระหว่างให้สัมภาษณ์นักข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันวานนี้ (6) ทรัมป์ ระบุว่าตน “ไม่กังวล” กับความผันผวนครั้งใหญ่ซึ่งส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกสูญเสียเม็ดเงินไปแล้วหลายล้านล้านดอลลาร์ รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ เองที่สูญเสียมูลค่าไปเกือบ 6 ล้านล้านดอลลาร์

    “ผมไม่ได้อยากให้อะไรมันลง แต่บางครั้งคุณก็ต้องยอมใช้ยาเพื่อแก้ไขบางสิ่งบางอย่าง” เขากล่าวระหว่างเดินทางกลับจากตีกอล์ฟที่รัฐฟลอริดาในช่วงสุดสัปดาห์

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/around/detail/9680000033046

    #MGROnline #โดนัลด์ทรัมป์
    #ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ส่งคำเตือนไปยังรัฐบาลทั่วโลกวานนี้ (6 เม.ย.) ว่าพวกเขาจะต้อง “จ่ายเงินมหาศาล” หากต้องการให้สหรัฐฯ ยกเลิกกำแพงภาษี พร้อมเปรียบเทียบการรีดภาษีว่าเป็นเสมือน “ยา” ที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจอเมริกา ท่ามกลางความกังวลที่ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งแรงตั้งแต่เช้าวันนี้ (7 เม.ย.) • ตลาดหุ้นเอเชียยังคงร่วงแรงต่อเนื่องระหว่างการซื้อขายเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ก็ดิ่งแรงในคืนวันอาทิตย์ (6) สืบเนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลว่ามาตรการรีดภาษีของ ทรัมป์ จะทำให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น อุปสงค์ลดลง บ่อนทำลายความเชื่อมั่น และนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) ทั่วโลก • ระหว่างให้สัมภาษณ์นักข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันวานนี้ (6) ทรัมป์ ระบุว่าตน “ไม่กังวล” กับความผันผวนครั้งใหญ่ซึ่งส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกสูญเสียเม็ดเงินไปแล้วหลายล้านล้านดอลลาร์ รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ เองที่สูญเสียมูลค่าไปเกือบ 6 ล้านล้านดอลลาร์ • “ผมไม่ได้อยากให้อะไรมันลง แต่บางครั้งคุณก็ต้องยอมใช้ยาเพื่อแก้ไขบางสิ่งบางอย่าง” เขากล่าวระหว่างเดินทางกลับจากตีกอล์ฟที่รัฐฟลอริดาในช่วงสุดสัปดาห์ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/around/detail/9680000033046 • #MGROnline #โดนัลด์ทรัมป์
    0 Comments 0 Shares 653 Views 0 Reviews
  • เคยบอกรักฉันทุกวัน
    จับมือกันแล้วสัญญา
    เธอบอกจะไม่มีวันลา
    แต่สุดท้ายก็มาเปลี่ยนไป
    หรือรักของฉันยังไม่พอ
    เธอจึงไม่รอใช่ไหม
    เธอจึงเลือกเดินจากไป
    ปล่อยทิ้งฉันไว้เพียงลำพัง
    เขาดีกว่าฉันตรงไหน
    จึงมาทำให้ฉันสิ้นหวัง
    เจ็บจนหัวใจเจียนจะพัง
    น้ำตารินหลั่งมิใช่เบา
    ภาพวันวานยังคงฝังใจ
    แต่วันนี้เธอเดินไปกับเขา
    ยิ้มของเธอที่เคยเป็นของเรา
    ตอนนี้ได้เขาไปครอง
    รักฉันมันไม่ดีพอ
    ไม่ได้ไปต่อนสุดเศร้าหมอง
    นับวันน้ำตาจะเนืองนอง
    ร่ำร้องเหมือนในนิยาย
    เขาดีกว่าฉันตรงไหน
    รักของฉันจึงไร้ความหมาย
    ทำเธอเปลี่ยนใจง่ายดาย
    ใจฉันสลายแล้วเธอ
    สุดท้ายฉันคงต้องยอมรับ
    โศกเศร้าอยู่กับความเซ่อ
    พ่ายรักให้เขากับเธอ
    ขออย่าได้เจอกันอีกเลย
    เคยบอกรักฉันทุกวัน จับมือกันแล้วสัญญา เธอบอกจะไม่มีวันลา แต่สุดท้ายก็มาเปลี่ยนไป หรือรักของฉันยังไม่พอ เธอจึงไม่รอใช่ไหม เธอจึงเลือกเดินจากไป ปล่อยทิ้งฉันไว้เพียงลำพัง เขาดีกว่าฉันตรงไหน จึงมาทำให้ฉันสิ้นหวัง เจ็บจนหัวใจเจียนจะพัง น้ำตารินหลั่งมิใช่เบา ภาพวันวานยังคงฝังใจ แต่วันนี้เธอเดินไปกับเขา ยิ้มของเธอที่เคยเป็นของเรา ตอนนี้ได้เขาไปครอง รักฉันมันไม่ดีพอ ไม่ได้ไปต่อนสุดเศร้าหมอง นับวันน้ำตาจะเนืองนอง ร่ำร้องเหมือนในนิยาย เขาดีกว่าฉันตรงไหน รักของฉันจึงไร้ความหมาย ทำเธอเปลี่ยนใจง่ายดาย ใจฉันสลายแล้วเธอ สุดท้ายฉันคงต้องยอมรับ โศกเศร้าอยู่กับความเซ่อ พ่ายรักให้เขากับเธอ ขออย่าได้เจอกันอีกเลย
    0 Comments 0 Shares 279 Views 0 Reviews
  • อดีตวิศวกร บ.อิตาเลียนไทยฯ เผยเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้างอาคาร สตง.ไม่เหมาะต่ออาคารสูงที่ต้องรับแรงสั่นสะเทือนหรือการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เกิดแผ่นดินไหว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของอาคารและผู้ใช้งานได้

    จากกรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบถึงประเทศไทยรู้สึกถึงความสั่นไหวในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ บนถนนกำแพงเพชร 2 ตรงข้ามศูนย์การค้าเจเจมอลล์ แขวงและเขตจตุจักร กรุงเทพฯ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “วันวาน ยังหวานอยู่“ อดีตวิศวกร บ.อิตาเลียนไทยฯ ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกใช้เหล็กในการสร้างตึก สตง. โดยทางผู้ก่อสร้างเลือกใช้เหล็ก DB.32 SD.50 ซึ่งเหล็กชนิดนี้มีปัญหาเรื่องค่า Yield ต่ำ แต่ค่า Strength ผ่านเกณฑ์และมีปัญหาเรื่องการดัดงอ (Bending) ทำให้เกิดการปริแตกและร้าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000030428

    #MGROnline #สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน #สตง. #bkkearthquake #BangkokEarthquake #ThailandEarthquake #แผ่นดินไหว
    อดีตวิศวกร บ.อิตาเลียนไทยฯ เผยเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้างอาคาร สตง.ไม่เหมาะต่ออาคารสูงที่ต้องรับแรงสั่นสะเทือนหรือการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เกิดแผ่นดินไหว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของอาคารและผู้ใช้งานได้ • จากกรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบถึงประเทศไทยรู้สึกถึงความสั่นไหวในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ บนถนนกำแพงเพชร 2 ตรงข้ามศูนย์การค้าเจเจมอลล์ แขวงและเขตจตุจักร กรุงเทพฯ • อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “วันวาน ยังหวานอยู่“ อดีตวิศวกร บ.อิตาเลียนไทยฯ ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกใช้เหล็กในการสร้างตึก สตง. โดยทางผู้ก่อสร้างเลือกใช้เหล็ก DB.32 SD.50 ซึ่งเหล็กชนิดนี้มีปัญหาเรื่องค่า Yield ต่ำ แต่ค่า Strength ผ่านเกณฑ์และมีปัญหาเรื่องการดัดงอ (Bending) ทำให้เกิดการปริแตกและร้าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000030428 • #MGROnline #สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน #สตง. #bkkearthquake #BangkokEarthquake #ThailandEarthquake #แผ่นดินไหว
    0 Comments 0 Shares 1058 Views 0 Reviews
  • ครั้งหนึ่งในสยาม" คือสารคดีเชิงประวัติศาสตร์ที่พาคุณย้อนเวลากลับไปสำรวจเหตุการณ์จริง คดีสะเทือนขวัญ และเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของสยาม ตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงช่วงเปลี่ยนผ่านของสังคมไทย

    ร่วมค้นพบเรื่องราวที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับสยามในวันวาน! ติดตาม "ครั้งหนึ่งในสยาม" ได้ที่ thaitimes
    ครั้งหนึ่งในสยาม" คือสารคดีเชิงประวัติศาสตร์ที่พาคุณย้อนเวลากลับไปสำรวจเหตุการณ์จริง คดีสะเทือนขวัญ และเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของสยาม ตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงช่วงเปลี่ยนผ่านของสังคมไทย ร่วมค้นพบเรื่องราวที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับสยามในวันวาน! ติดตาม "ครั้งหนึ่งในสยาม" ได้ที่ thaitimes
    0 Comments 0 Shares 644 Views 0 Reviews
  • [ แนะนำอัลบั้มวันวาน ]
    อัลบั้ม "กับฉัน With Me"
    อัลบั้มแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวของ มาลีวัลย์ เจมีน่า ในปี 2529 ภายใต้สังกัด Nite Spot Productions Ltd.

    โปรดิวเซอร์ : โอสถ ประยูรเวช (แฮงค์)
    เนื่อร้อง : ประสิทธิ์ ชำนาญไพร, โอสถ ประยูรเวช (แฮงค์), มนตรี ผลพันธิน
    ดนตรี : โอสถ ประยูรเวช (แฮงค์)
    บันทึกเสียง : ฟิดเลอร์ด รีคอร์ดดิ้งสตูดิโอ, ฮอลลีวู้ดแคลิฟอเนียร์

    รายชื่อเพลง

    หน้า A
    -เดียวดาย
    -เถิบมาซิ
    -หนึ่งใจฉัน
    -บทเรียน
    -เมิน

    หน้า B
    -ใจต่างใจ
    -รักแท้
    -ดอกไม้มายา
    -ครั้งหนึ่ง
    -ฉันมีเพลง

    รายชื่อเพลง เปลี่ยนปกเพิ่มเพลง

    หน้า A
    -เก็บหัวใจ
    -เพียงผ่านไป
    -เดียวดาย
    -หนึ่งใจฉัน
    -รักแท้
    -เมิน

    หน้า B
    -ใจต่างใจ
    -บทเรียน
    -เถิบมาซิ
    -ดอกไม้มายา
    -ครั้งหนึ่ง
    -ฉันมีเพลง

    วันวางจำหน่าย 9 มิถุนายน 2529

    #มาลีวัลย์เจมีน่า
    #NiteSpot
    #ฟังเพลงจับต้องได้
    #ชีวิตคือบทเพลง
    #แนะนำอัลบั้มวันวาน
    [ แนะนำอัลบั้มวันวาน ] อัลบั้ม "กับฉัน With Me" อัลบั้มแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวของ มาลีวัลย์ เจมีน่า ในปี 2529 ภายใต้สังกัด Nite Spot Productions Ltd. โปรดิวเซอร์ : โอสถ ประยูรเวช (แฮงค์) เนื่อร้อง : ประสิทธิ์ ชำนาญไพร, โอสถ ประยูรเวช (แฮงค์), มนตรี ผลพันธิน ดนตรี : โอสถ ประยูรเวช (แฮงค์) บันทึกเสียง : ฟิดเลอร์ด รีคอร์ดดิ้งสตูดิโอ, ฮอลลีวู้ดแคลิฟอเนียร์ รายชื่อเพลง หน้า A -เดียวดาย -เถิบมาซิ -หนึ่งใจฉัน -บทเรียน -เมิน หน้า B -ใจต่างใจ -รักแท้ -ดอกไม้มายา -ครั้งหนึ่ง -ฉันมีเพลง รายชื่อเพลง เปลี่ยนปกเพิ่มเพลง หน้า A -เก็บหัวใจ -เพียงผ่านไป -เดียวดาย -หนึ่งใจฉัน -รักแท้ -เมิน หน้า B -ใจต่างใจ -บทเรียน -เถิบมาซิ -ดอกไม้มายา -ครั้งหนึ่ง -ฉันมีเพลง วันวางจำหน่าย 9 มิถุนายน 2529 #มาลีวัลย์เจมีน่า #NiteSpot #ฟังเพลงจับต้องได้ #ชีวิตคือบทเพลง #แนะนำอัลบั้มวันวาน
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 862 Views 0 Reviews
  • สวัสดี สายใยไทย

    สองมือประนม ดุจดอกบัวบาน หัวใจผสาน ด้วยความจริงใจ คำทักจากใจ "สวัสดี" สายใยเชื่อมไมตรี ไทยงามยั่งยืน

    จากสุวรรณภูมิ สู่ทุกมุมแดน คำนี้สื่อแทน ความดีงามอยู่เสมอ สืบทอดจากวันวาน ผ่านกาลเวลา เสียงทักทายนี้ เป็นมงคลทุกครา

    * สวัสดี คือพรอันล้ำค่า ดั่งแสงแห่งศรัทธา ทอใจให้สุขสันต์ สวัสดี คือคำที่ร่วมฝัน คนไทยรักผูกพัน โลกนี้จงเจริญ

    อรุณสวัสดิ์ ยามเช้าสดใส ราตรีสวัสดิ์ ก่อนหลับฝันดี "สวัสดี" งดงามและเรียบง่าย สะท้อนหัวใจไทย ด้วยความงาม

    จากรากศัพท์เดิม สู่คำที่คุ้นเคย คำนี้เอื้อนเอ่ย ด้วยรอยยิ้มอันอ่อนหวาน ให้ความสงบสุข ผ่านใจคนไทย คำนี้จะยั่งยืน ไปตลอดกาล

    ซ้ำ *

    มือประนม เหนือหัวใจ ถ่ายทอดสายใย แห่งความปรารถนาดี ทั้งผู้ใหญ่ และผู้เยาว์ คำนี้คงค่า ตลอดนานเท่านาน

    สวัสดี คือคำที่งดงาม ขอความสุขความดี จงอยู่ทุกโมงยาม สวัสดี คือหัวใจของเรา ส่งให้กันและกัน ด้วยรักนิรันดร์

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221017 ม.ค. 2568
    สวัสดี สายใยไทย สองมือประนม ดุจดอกบัวบาน หัวใจผสาน ด้วยความจริงใจ คำทักจากใจ "สวัสดี" สายใยเชื่อมไมตรี ไทยงามยั่งยืน จากสุวรรณภูมิ สู่ทุกมุมแดน คำนี้สื่อแทน ความดีงามอยู่เสมอ สืบทอดจากวันวาน ผ่านกาลเวลา เสียงทักทายนี้ เป็นมงคลทุกครา * สวัสดี คือพรอันล้ำค่า ดั่งแสงแห่งศรัทธา ทอใจให้สุขสันต์ สวัสดี คือคำที่ร่วมฝัน คนไทยรักผูกพัน โลกนี้จงเจริญ อรุณสวัสดิ์ ยามเช้าสดใส ราตรีสวัสดิ์ ก่อนหลับฝันดี "สวัสดี" งดงามและเรียบง่าย สะท้อนหัวใจไทย ด้วยความงาม จากรากศัพท์เดิม สู่คำที่คุ้นเคย คำนี้เอื้อนเอ่ย ด้วยรอยยิ้มอันอ่อนหวาน ให้ความสงบสุข ผ่านใจคนไทย คำนี้จะยั่งยืน ไปตลอดกาล ซ้ำ * มือประนม เหนือหัวใจ ถ่ายทอดสายใย แห่งความปรารถนาดี ทั้งผู้ใหญ่ และผู้เยาว์ คำนี้คงค่า ตลอดนานเท่านาน สวัสดี คือคำที่งดงาม ขอความสุขความดี จงอยู่ทุกโมงยาม สวัสดี คือหัวใจของเรา ส่งให้กันและกัน ด้วยรักนิรันดร์ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221017 ม.ค. 2568
    0 Comments 0 Shares 574 Views 22 0 Reviews
  • ทำไมคุณถึงรักท่านพ่อ(ในหลวง)?
    ที่ผมตั้งกระทู้คำถามนี้ขึ้นมานั้น ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รักท่านพ่อ(ในหลวง)นะครับ เพียงแต่ผมอยากจะทราบถึงความเห็นของทุกๆ คนว่า คุณรู้สึก และคิดเห็นอย่างไรกับคำถามนี้เท่านั้น
    ผมอยากจะทราบถึงเหตุผลของทุกๆ คนด้วยความจริงใจ และจริงจัง จากใจทุกๆ คนจริงๆ ว่า
    เมื่อคุณนึกถึงท่านพ่อ คุณรู้สึกอย่างไร?
    และถ้าไม่มีท่านพ่อแล้ว ผลมันจะเป็นอย่างไร?
    และทำไมคนต่างประเทศเค้าถึงรักประเทศไทยกันนัก?
    ซึ่งบางทีอาจจะมีมากกว่าคนไทยบางคนเสียอีก ซึ่งพวกเค้าต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "ถ้าหากเลือกเกิดเป็นคนไทยได้ ก็จะขอเกิดเป็นคนไทย"
    ซึ่งผมต้องการที่จะสร้างจิตสำนึกในการเป็นคนไทย(ที่ดี,ที่แท้จริง) ในการเป็นลูกของพ่อหลวงของเรา ในการเป็นข้าราษฎร์บริภารของพระมหากษัตริย์ไทย ในการรักประเทศชาติบ้านเกิดเมืองนอนของตน ในการ้รักสมัครสมานสามัคคีกัน ให้กับคนบางคน ที่ไม่รู้ และไม่เห็นคุณค่านี้ เพื่อที่จะได้บอกกล่าวเล่าต่อถึงพวกเค้า และลูกหลานของเราในภายภาคหน้า ให้พวกเค้าได้เข้าใจ และมองเห็นถึงคุณค่านี้สืบต่อไป เพื่อที่จะทำให้ประเทศนี้ เมืองนี้ สังคมนี้ ได้กลายเป็นผืนแผ่นดินที่น่าอยู่ เป็นผืนแผ่นดินที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง

    สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณทุกคนที่กรุณาอ่านกระทู้นี้ และตอบคำถามอันคับข้องใจของผม ขอบคุณครับ

    ป.ล.กระทู้นี้ผมได้สร้างขึ้นเมื่อตอนที่ ในหลวงรัชกาลที่๙ ท่านยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครสนใจและใส่ใจกันเลย ขอโทษที่นำมาโพสต์ย้อนหลังเอาไว้รำลึกถึงความหลังในวันวานกันนะครับ
    ทำไมคุณถึงรักท่านพ่อ(ในหลวง)? ที่ผมตั้งกระทู้คำถามนี้ขึ้นมานั้น ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รักท่านพ่อ(ในหลวง)นะครับ เพียงแต่ผมอยากจะทราบถึงความเห็นของทุกๆ คนว่า คุณรู้สึก และคิดเห็นอย่างไรกับคำถามนี้เท่านั้น ผมอยากจะทราบถึงเหตุผลของทุกๆ คนด้วยความจริงใจ และจริงจัง จากใจทุกๆ คนจริงๆ ว่า เมื่อคุณนึกถึงท่านพ่อ คุณรู้สึกอย่างไร? และถ้าไม่มีท่านพ่อแล้ว ผลมันจะเป็นอย่างไร? และทำไมคนต่างประเทศเค้าถึงรักประเทศไทยกันนัก? ซึ่งบางทีอาจจะมีมากกว่าคนไทยบางคนเสียอีก ซึ่งพวกเค้าต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "ถ้าหากเลือกเกิดเป็นคนไทยได้ ก็จะขอเกิดเป็นคนไทย" ซึ่งผมต้องการที่จะสร้างจิตสำนึกในการเป็นคนไทย(ที่ดี,ที่แท้จริง) ในการเป็นลูกของพ่อหลวงของเรา ในการเป็นข้าราษฎร์บริภารของพระมหากษัตริย์ไทย ในการรักประเทศชาติบ้านเกิดเมืองนอนของตน ในการ้รักสมัครสมานสามัคคีกัน ให้กับคนบางคน ที่ไม่รู้ และไม่เห็นคุณค่านี้ เพื่อที่จะได้บอกกล่าวเล่าต่อถึงพวกเค้า และลูกหลานของเราในภายภาคหน้า ให้พวกเค้าได้เข้าใจ และมองเห็นถึงคุณค่านี้สืบต่อไป เพื่อที่จะทำให้ประเทศนี้ เมืองนี้ สังคมนี้ ได้กลายเป็นผืนแผ่นดินที่น่าอยู่ เป็นผืนแผ่นดินที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณทุกคนที่กรุณาอ่านกระทู้นี้ และตอบคำถามอันคับข้องใจของผม ขอบคุณครับ ป.ล.กระทู้นี้ผมได้สร้างขึ้นเมื่อตอนที่ ในหลวงรัชกาลที่๙ ท่านยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครสนใจและใส่ใจกันเลย ขอโทษที่นำมาโพสต์ย้อนหลังเอาไว้รำลึกถึงความหลังในวันวานกันนะครับ
    0 Comments 0 Shares 1049 Views 0 Reviews
  • เพราะตัวเราในวันนี้
    ได้เดินทางผ่านวัน เวลา
    เรียนรู้และเติบโต
    จากตัวเราในวันวาน
    และเป็นเรา
    ในแบบที่ดีขึ้นกว่าเดิม

    จากหนังสือ |แล้วเราจะเป็นตัวเองในแบบที่ดีขึ้น

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #แล้วเราจะเป็นตัวเองในแบบที่ดีขึ้น
    เพราะตัวเราในวันนี้ ได้เดินทางผ่านวัน เวลา เรียนรู้และเติบโต จากตัวเราในวันวาน และเป็นเรา ในแบบที่ดีขึ้นกว่าเดิม จากหนังสือ |แล้วเราจะเป็นตัวเองในแบบที่ดีขึ้น #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #แล้วเราจะเป็นตัวเองในแบบที่ดีขึ้น
    0 Comments 0 Shares 366 Views 0 Reviews
  • วันจันทร์ เป็นร้านที่ตกแต่งได้เก๋สุดๆ ไม่เหมือนใคร เพราะเจ้าของร้านมีแรงบันดาลใจมาจากความรักในแฟชั่นบวกกับความหลงใหลในอาหาร ตัวร้านอยู่ด้านในตึกเก่าสุดคลาสสิก มีบรรยากาศที่ย้อนยุคด้วยการตกแต่งแบบวินเทจ ช่างลงตัวไปหมดจริงๆ ค่ะ เพราะอาหารของที่นี่เป็นอาหารสูตรโบราณ ใครไปทานก็รู้สึกเหมือนได้ย้อนวันวานกลับไปช่วงภูเก็ต 80 ปีที่แล้ว จานเด็ดที่ห้ามพลาดก็คือ หมูฮ้อง และหมูคั่วเกลือ

    ที่อยู่ : 48/1 ถ.เทพกระษัตรี ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต
    เปิดบริการ : 10.00 - 22.00 น.
    #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    วันจันทร์ เป็นร้านที่ตกแต่งได้เก๋สุดๆ ไม่เหมือนใคร เพราะเจ้าของร้านมีแรงบันดาลใจมาจากความรักในแฟชั่นบวกกับความหลงใหลในอาหาร ตัวร้านอยู่ด้านในตึกเก่าสุดคลาสสิก มีบรรยากาศที่ย้อนยุคด้วยการตกแต่งแบบวินเทจ ช่างลงตัวไปหมดจริงๆ ค่ะ เพราะอาหารของที่นี่เป็นอาหารสูตรโบราณ ใครไปทานก็รู้สึกเหมือนได้ย้อนวันวานกลับไปช่วงภูเก็ต 80 ปีที่แล้ว จานเด็ดที่ห้ามพลาดก็คือ หมูฮ้อง และหมูคั่วเกลือ ที่อยู่ : 48/1 ถ.เทพกระษัตรี ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต เปิดบริการ : 10.00 - 22.00 น. #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 1007 Views 0 Reviews
  • #พุดน้ำบุษย์ นี้หอมนาน ของวันวานยังหอมกรุ่น ขาวเป็นครีมเหลืองละมุน น้อมนำบุญไหว้พรักัน 13/11/24 น้องแป๋ม yesterday today tomorrow
    #พุดน้ำบุษย์ นี้หอมนาน ของวันวานยังหอมกรุ่น ขาวเป็นครีมเหลืองละมุน น้อมนำบุญไหว้พรักัน 13/11/24 น้องแป๋ม yesterday today tomorrow
    0 Comments 0 Shares 390 Views 0 Reviews
  • #พุดน้ำบุษย์ นี้หอมนาน ของวันวานยังหอมกรุ่น ขาวเป็นครีมเหลืองละมุน น้อมนำบุญไหว้พรักัน 13/11/24 น้องแป๋ม yesterday today tomorrow
    #พุดน้ำบุษย์ นี้หอมนาน ของวันวานยังหอมกรุ่น ขาวเป็นครีมเหลืองละมุน น้อมนำบุญไหว้พรักัน 13/11/24 น้องแป๋ม yesterday today tomorrow
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 403 Views 0 Reviews
  • "..การณ์วันวาน ผ่านไป ไง_ก็ช่าง
    พอรุ่งสาง วันใหม่ ต้องไปต่อ
    ประสบการณ์ เรียนรู้ สู่ตนพอ
    อย่าย่อท้อ สู้ต่อไป ใจยังมี.."
    "..การณ์วันวาน ผ่านไป ไง_ก็ช่าง พอรุ่งสาง วันใหม่ ต้องไปต่อ ประสบการณ์ เรียนรู้ สู่ตนพอ อย่าย่อท้อ สู้ต่อไป ใจยังมี.."
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 Reviews
  • #บอสต๋อยกับควาามจบไม่จ๋วยในวัยบั้นปลาย
    ต๋อย ไตรภพ กับรายการทไวไลท์โชว์ในอดีต เป็นรายการเรทติ้งอันดับหนึ่งประจำสัปดาห์ ที่หลายๆคนเคยได้ยินรุ่นอาเจ็ก อากงเล่าให้ฟัง ย้อนวันวานในอดีต
    ..เอาจริงๆ ต๋อย ไตรภาพ ชีวิตก็พลิกผันไม่น้อย จากช่องสาม สู่ความทะเยอทะยาน ไปยิ่งใหญ่ในไอทีวี เมื่อเกือบจะ 20 ปีที่แล้ว แต่สุดท้า้ย ไอทีวีสถานีถูกยึด กลายเป็น ไทยพีบีเอสใน ปจบ.
    ..วันที่ต๋อย รู้ว่าคสช จะยึดสถานี ต๋อยนัดรวมตัวรายการต่างๆของไอทีวี เพื่อหวังให้รายการตนเองมีพลังที่จะต่อรองกับคสช วันที่นัดรวมตัวครั้งแรก ออกท่าขึงขัง ทำให้ผู้จัดต่างๆ มีความหวัง แต่รอบที่สอง เหมือนหนังคนละม้วน เพราะตัวเองหาทางออกได้ หรือไปได้ข้อตกลงอะไรที่ทำให้ฟิน กลับมาบอกกับมวลหมู่ผู้จัดว่า เค้าจะเอาไปเปิดสารคดี มีประโยชน์ พวกคุณจะไปห้ามเค้าทำไม "อ้าว ไอ่ฉัด"
    ..หลังจากนั้น ต๋อยก็ไปหากินกับรายการอาหาร ครัวคุณต๋อย ที่รังเดิม ทำมาหากินกับการจัดอีเว้นท์ บันเทิงไปตามระบบ
    ...และที่หลายๆคน ไม่ทราบคือ ก่อนที่ เสี่ยตา จะเอาบริษัทเวิร์คพ็อย เข้าตลาดหลักทรัพย์ มีนักข่าวเอาไมค์ไปจ่อถามว่า แล้วบริษัทของต๋อย ไตรภพ ไม่มีแผนจะเอาเข้าตลาดแบบเวิร์คพ็อยหรือ
    ต๋อย ออกแนวหล่ออีกแล้ววว "ผมยังไม่รู้ว่าผมจะเอาเงินของพี่น้องประชาชนไปทำอะไร" ประมาณแขวะเสี่ยตา ตามไสตล์ต๋อย
    และเวลาผ่านไป กับเวิร์คพ็อย ที่โตอย่างหยุดไม่อยู่ แม้จะผ่านมาหลายมรสุม แต่เวิร์คพ็อย กับเป็นทีวีที่มีเรตติ้งสูงแซงช่องหลักๆ
    ..แต่เมื่อตัดภาพมาที่ต๋อยไตรภพ ที่คล้ายกับแผ่นเสียงตกร่อง ของโบราณตกยุค ที่ยังคงฉายวนซ้ำแบบเดิมๆ กับรายการอวย วิธีการสื่อสาร เหมือนทไวไลท์โชว์ เมื่อยี่สิบสามสิบปีที่แล้ว
    ...จนต้องรับผลประโยชน์ ในการสร้างเครดิต ให้กับกลุ่มลูกโซ่เหล่านี้ อวยฉ่ำ อวยเชิด อวยเริศ ยิ่งตอกย้ำความเชื่อถือให้กับพี่น้องประชาชนไทย ในแบรนดิไอค่อน แม้กระทั่ง ให้นำรูปไปใช้ในการทักถึงผู้คน เพื่อชวนมาเข้าสู่วังวน จนเป็นปัญหามาถึงปัจจุบัน
    ได้ทราบมาว่า ตอนละ 6.5 แสน ทำดิล 10 ตอน ต๋อยคงฟินไม่น้อย กับช่วงบั้นปลาย
    ...วันนี้ ต๋อย หมดสภาพแล้ว วิธีการดำเนินรายการแบบที่ต๋อยเคยทำ มันไม่ตรงกับยุคกับสมัยแล้ว จีบปาก จีบคอ อวย นั่นมันเทรนเก่าสมัยอนาล็อค แล้วถ้าสิ่งที่ต๋อยทำ มันเข้าข่ายที่จะต้องโดนหางเลข อันนี้ก็ไม่มีใครช่วยต๋อยได้
    ต๋อยเลือกเอง คงเป็นกรรมของต๋อยที่ก่อไว้กับหลายๆคน ที่คงต้องรับผิดชอบกันไป
    จบแล้ว ต๋อย
    #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    #บอสต๋อยกับควาามจบไม่จ๋วยในวัยบั้นปลาย ต๋อย ไตรภพ กับรายการทไวไลท์โชว์ในอดีต เป็นรายการเรทติ้งอันดับหนึ่งประจำสัปดาห์ ที่หลายๆคนเคยได้ยินรุ่นอาเจ็ก อากงเล่าให้ฟัง ย้อนวันวานในอดีต ..เอาจริงๆ ต๋อย ไตรภาพ ชีวิตก็พลิกผันไม่น้อย จากช่องสาม สู่ความทะเยอทะยาน ไปยิ่งใหญ่ในไอทีวี เมื่อเกือบจะ 20 ปีที่แล้ว แต่สุดท้า้ย ไอทีวีสถานีถูกยึด กลายเป็น ไทยพีบีเอสใน ปจบ. ..วันที่ต๋อย รู้ว่าคสช จะยึดสถานี ต๋อยนัดรวมตัวรายการต่างๆของไอทีวี เพื่อหวังให้รายการตนเองมีพลังที่จะต่อรองกับคสช วันที่นัดรวมตัวครั้งแรก ออกท่าขึงขัง ทำให้ผู้จัดต่างๆ มีความหวัง แต่รอบที่สอง เหมือนหนังคนละม้วน เพราะตัวเองหาทางออกได้ หรือไปได้ข้อตกลงอะไรที่ทำให้ฟิน กลับมาบอกกับมวลหมู่ผู้จัดว่า เค้าจะเอาไปเปิดสารคดี มีประโยชน์ พวกคุณจะไปห้ามเค้าทำไม "อ้าว ไอ่ฉัด" ..หลังจากนั้น ต๋อยก็ไปหากินกับรายการอาหาร ครัวคุณต๋อย ที่รังเดิม ทำมาหากินกับการจัดอีเว้นท์ บันเทิงไปตามระบบ ...และที่หลายๆคน ไม่ทราบคือ ก่อนที่ เสี่ยตา จะเอาบริษัทเวิร์คพ็อย เข้าตลาดหลักทรัพย์ มีนักข่าวเอาไมค์ไปจ่อถามว่า แล้วบริษัทของต๋อย ไตรภพ ไม่มีแผนจะเอาเข้าตลาดแบบเวิร์คพ็อยหรือ ต๋อย ออกแนวหล่ออีกแล้ววว "ผมยังไม่รู้ว่าผมจะเอาเงินของพี่น้องประชาชนไปทำอะไร" ประมาณแขวะเสี่ยตา ตามไสตล์ต๋อย และเวลาผ่านไป กับเวิร์คพ็อย ที่โตอย่างหยุดไม่อยู่ แม้จะผ่านมาหลายมรสุม แต่เวิร์คพ็อย กับเป็นทีวีที่มีเรตติ้งสูงแซงช่องหลักๆ ..แต่เมื่อตัดภาพมาที่ต๋อยไตรภพ ที่คล้ายกับแผ่นเสียงตกร่อง ของโบราณตกยุค ที่ยังคงฉายวนซ้ำแบบเดิมๆ กับรายการอวย วิธีการสื่อสาร เหมือนทไวไลท์โชว์ เมื่อยี่สิบสามสิบปีที่แล้ว ...จนต้องรับผลประโยชน์ ในการสร้างเครดิต ให้กับกลุ่มลูกโซ่เหล่านี้ อวยฉ่ำ อวยเชิด อวยเริศ ยิ่งตอกย้ำความเชื่อถือให้กับพี่น้องประชาชนไทย ในแบรนดิไอค่อน แม้กระทั่ง ให้นำรูปไปใช้ในการทักถึงผู้คน เพื่อชวนมาเข้าสู่วังวน จนเป็นปัญหามาถึงปัจจุบัน ได้ทราบมาว่า ตอนละ 6.5 แสน ทำดิล 10 ตอน ต๋อยคงฟินไม่น้อย กับช่วงบั้นปลาย ...วันนี้ ต๋อย หมดสภาพแล้ว วิธีการดำเนินรายการแบบที่ต๋อยเคยทำ มันไม่ตรงกับยุคกับสมัยแล้ว จีบปาก จีบคอ อวย นั่นมันเทรนเก่าสมัยอนาล็อค แล้วถ้าสิ่งที่ต๋อยทำ มันเข้าข่ายที่จะต้องโดนหางเลข อันนี้ก็ไม่มีใครช่วยต๋อยได้ ต๋อยเลือกเอง คงเป็นกรรมของต๋อยที่ก่อไว้กับหลายๆคน ที่คงต้องรับผิดชอบกันไป จบแล้ว ต๋อย #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    Like
    Love
    Haha
    4
    0 Comments 0 Shares 1225 Views 0 Reviews
  • คิดถึงเมื่อวันวาน #เครื่องใช้ไฟฟ้า #ธานินทร์
    คิดถึงเมื่อวันวาน #เครื่องใช้ไฟฟ้า #ธานินทร์
    0 Comments 0 Shares 442 Views 147 0 Reviews
  • อนุรักษ์ภาพเก่า เพลงเก่าไทย/สากล # ย้อนอดีตวันวาน โฆษณาเก่าๆ ย้อนอดีตวันวาน
    อนุรักษ์ภาพเก่า เพลงเก่าไทย/สากล # ย้อนอดีตวันวาน โฆษณาเก่าๆ ย้อนอดีตวันวาน
    0 Comments 0 Shares 642 Views 120 0 Reviews
  • ก่อนหน้านี้หากมีใครถามให้ช่วยแนะนำหนังสือสักเล่มที่เป็นแนวจิตวิทยา หรือแนะนำเรื่องเกี่ยวกับการเสริมสร้างพลังใจ ให้มีไฟในการดำเนินชีวิตที่จะสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ หรือหนังสือที่เหมาะมากกับวัยต่อต้านที่กำลังไม่รู้จะเลือกเดินไปในเส้นทางชีวิตแบบใดให้กับตน ผมยังนึกไม่ออกว่าเล่มใดที่จะเหมาะมากที่สุด ทว่าเมื่อได้อ่านเล่มนี้จบลงแล้ว ก็เป็นที่แน่ชัดกับตนเองทันทีว่า ฉันพบเจอหนังสือที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมตรงตามโจทย์แล้วนั่นคือ

    #หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย

    สนพ.piccolo พิมพ์ปลายปี 2564
    เขียนโดย ยาสึชิ คิตากาวะ
    แปลโดย หนึ่งฤทัย ปราดเปรียว
    หนังสือเล่มไม่หนา ขนาดกำลังดีเบามือถือไปไหนง่าย หนาประมาณ 160 หน้า อ่านไม่กี่ชม.ก็จบ

    เรื่องย่อ

    ชายหนุ่มวัยกลางคนนามว่าโยสุเกะ กำลังมีผลงานภาพวาดจัดแสดงอยู่ในห้องแสดงภาพ หญิงสาวสูงวัยนางหนึ่งยืนชมภาพวาดรูปนั้นอยู่นานด้วยอารมณ์ความรู้สึกเปี่ยมล้น เด็กหญิงตัวน้อยวัย 5 ขวบซึ่งเป็นลูกสาวของโยสุเกะ ได้ทำหน้าที่แนะนำภาพวาดของพ่อและชวนเธอสนทนาอย่างน่ารัก จนทราบว่าเธอชื่อฟุจิโกะ เมื่อลูกสาวได้เล่าเรื่องนี้ให้คนเป็นพ่อฟัง เขาถึงกับงุนงงชั่วขณะ ด้วยไม่ได้ยินชื่อนี้มานาน 20 ปีแล้ว บัดดลภาพความทรงจำในอดีตสมัยที่เขายังอายุแค่ 17 ปี ก็หลั่งไหลเข้ามา นั่นคือบทนำก่อนเข้าเรื่องที่เป็นการเล่าย้อนของตัวละครเอกในเรื่องที่เล่าผ่านมุมมองบุคคลที่1

    โยสุเกะในวัย 17 ปีนั้น อยู่ในช่วงที่กำลังต้องตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ แต่เขากลับยังไม่รู้ว่าตัวเองควรเลือกเดินหน้าชีวิตต่อไปในเส้นทางไหน ผู้ใหญ่ชอบถามเด็ก ๆ ว่าโตขึ้นไปอยากเป็นอะไร ประกอบอาชีพอะไร เขารู้สึกลึกลงไปว่าต้องรีบตัดสินใจจริงละหรือ ทำไมจึงไม่สามารถอยู่ไปเรื่อย ๆ โดยถ้ายังไม่มีแรงบันดาลใจอะไรเกิดขึ้น เขาก็ไม่อยากเสียเวลาเปล่าไปกับการต้องเลือกเรียนที่ไหน เพื่อจะกลายไปเป็นอะไรที่ตนไม่แน่ใจว่าใช่สิ่งที่ชอบหรืออยากทำจริงหรือไม่

    จึงคล้ายกับเขาปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปอย่างหมดเปลืองเปล่าดาย ได้แต่นั่งเฝ้าร้านหนังสือเก่าของพ่อ ที่ตนเองก็ไม่มีนิสัยรักการอ่าน และไม่ค่อยแตะหนังสือมาแต่เล็ก

    แต่แล้ววันหนึ่งซึ่งปรากฏเด็กสาววัยเดียวกับโยสุเกะ ที่สวยเก๋ในความรู้สึกแรกพบสำหรับเขา ณ ร้านหนังสือของพ่อนั้น มันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาครั้งใหญ่ไปตลอดกาล เธอคนนั้นรู้จักและเรียกชื่อของโยสุเกะอย่างถูกต้อง โดยที่เขานึกไม่ออกว่าเคยพบเจอสาวสวยน่ารักคนนี้ที่ไหนมาก่อนหรือไม่

    เธอบอกกับเขาว่ามาหาซื้อหนังสือที่ไม่มีขายที่ร้านอื่น จนพบเจอเล่มที่ต้องการ และยังวานให้เขาช่วยหาหนังสือเล่มหนึ่ง อีกสัปดาห์จะมาใหม่แล้วก็จากไป โยสุเกะหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ทันได้ถามชื่อและเบอร์ติดต่อไว้ เขาเล่าให้พ่อฟัง เมื่อพ่อทราบชื่อหนังสือจึงพูดขึ้นว่า ไม่เป็นไรนี่เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง พ่อจะสั่งมาขายและเผื่อไว้สักหลายเล่ม

    ด้วยความที่โยสุเกะอยากจะคุยและทำคววามรู้จักกับเธอคนนั้น แต่เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ได้แค่คิดวุ่นวายภายในหัว แต่ตัวตนจริงนั้นไร้ซึ่งความกล้า สิ่งที่เขาคิดออกมีเพียงอย่างเดียวคือ ต้องอ่านหนังสือเล่มที่เธอถามหา เพื่ออยากเข้าใจว่าเธอเป็นคนเช่นไร

    นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวข้ามความไม่ชอบอ่านหนังสือมาได้ และน่าแปลกที่อ่านไปได้สักพัก เขากลับพบว่านี่เป็นหนังสือที่ดีจริง ๆ ต่อมาเขาสามารถอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวจนจบได้ ไม่ใช่แค่เกิดจากความรู้สึกแรก แต่เพราะเนื้อหาในนั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นแก่โยสุเกะอย่างไม่น่าเชื่อ

    เขารอวันที่จะได้พบเธอด้วยใจจดจ่อ เพื่อจะเล่าให้ทราบว่าเขาได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจบแล้ว จนเกือบหมดหวังว่าเธอจะกลับมา ในวันสุดท้ายก่อนสิ้นสัปดาห์ตามที่เธอเคยระบุ เด็กสาวก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในชุดผ้าสีขาวทั้งตัว เปล่งประกายจนโยสุเกะรับรู้ได้ เขาดีใจมาก จากที่ไม่กล้าจะเอ่ยปากก่อน สุดท้ายสามารถพูดกับเธอ หญิงสาวดีใจที่เขามีหนังสือที่ร้าน แต่เธอไม่ทันได้พกเงินมา จึงบอกวันหลังจะแวะมาใหม่ แต่มันช้าเกินไปสำหรับเขา โยสุเกะจึงเอ่ยปากให้เธอนำหนังสือกลับไปอ่านก่อน เพราะเขาอยากให้เธอได้อ่าน เขาจะออกให้เอง เธอยิ้มอย่างงดงามในน้ำใจของเขา ยินดีรับหนังสือไปแต่บอกว่าจะนำเงินมาคืนให้ภายหลัง จากนั้นก็ขบคิดด้วยความเอียงอายชั่วครู่ ก่อนจะให้ที่อยู่เบอร์โทรติดต่อไว้แล้วบอกว่าเราน่าจะนัดเจอกันอีก

    ความสดใสของวัยหนุ่มสาวจึงถึงคราวที่ได้โบยบินยังท้องฟ้ากว้าง ทั้งสองใช้เวลากว่าสองเกือบสามสัปดาห์ที่ออกมาพบเจอกันตามที่นัดพบต่าง ๆ เพื่อพูดคุยกันอย่างออกรสเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือ และเรื่องที่พ่อของเธอสอนไว้ ซึ่งโยสุเกะพบว่าเป็นคำสอนอันทรงคุณค่าและมีประโยชน์อย่างมากกับตัวเขา จนกระทั่งเกิดแรงบันดาลใจที่จะลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายในให้ต่างไปจากเดิม เหมือนเขาได้ค้นพบขุมทรัพย์มหาศาลที่ประเมินค่าไม่ได้

    ในแต่ละวันโยสุเกะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ตนไม่เคยคิดมาก่อน จากคำสอนของพ่อที่ถูกเล่าผ่านตัวเธอและมอบเครื่องบินพับจากกระดาษหลากสีให้ไว้กับโยสุเกะทุกครั้ง แต่เขาไม่เคยถามและไม่รู้จักชื่อของเธอเลย ดูเหมือนเด็กสาวมีบางอย่างที่ยังไม่สามารถเล่าให้เขาฟัง เขารู้เพียงอีกไม่นานเธออาจจะต้องไปอยู่กับพ่อ แม้ปัจจุบันเธออยู่กับแม่คนเดียวก็ตาม ความสัมพันธ์ของครอบครัวอันคลุมเครือที่เธอไม่ได้พูดถึง กลับปริศนาอีกหลายข้อที่ค้างคาใจเขาซึ่งยังไม่กล้าเอ่ยปากถาม ความจริงจะปรากฏในช่วงท้ายเล่ม ที่คงต้องให้เพื่อน ๆ ไปตามหาอ่านกันต่อ แม้นอยากเล่ามากเพียงใดต้องยั้งใจไว้ รอให้คนอ่านได้พบด้วยตัวเองไม่อย่างนั้นความแปลกใหม่และความสนุกสนานอาจลดลง

    ผมเคยอ่านโลกของโซฟีเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนแล้วชื่นชอบมาก แม้หนังสือจะหนากับเนื้อหาแนวสอนเชิงจิตวิทยา ที่มีความแปลกใหม่ในการใช้กลวิธีเล่าเรื่องที่น่าสนใจผ่านรูปแบบนิยายมาแล้ว สำหรับเล่มนี้ทำให้อดนึกถึงโลกของโซฟีไม่ได้ แม้นจะมีความคล้ายบางประการในการนำเสนอ แต่หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย ก็มีอัตลักษณ์ที่เป็นแบบฉบับเฉพาะตนที่น่าสนใจ กับความหนาเพียงไม่ถึง 200 หน้า ทำให้การอ่านจนจบไม่ใช่เรื่องลำบากจนเกินไปสำหรับคนที่อาจจะไม่ใช่สายรักการอ่านมาก่อน

    หนังสือเล่มนี้ดีงามอย่างละเมียดละไม ละมุนละม่อม อ่อนโยนงดงามตลอดเล่ม ไปเรื่อย ๆ ชวนติดตามไปกับการเอาใจช่วยในความสัมพันธ์ของตัวเอกทั้งสอง ว่าเขากับเธอจะมีบทสรุปอย่างไร

    ผู้เขียนมีความชาญฉลาดในการวางโครงเรื่อง และแก่นที่แน่นหนาน่าสนใจช่วนให้ใคร่ครวญอย่างพินิจพิเคราะห์ กับสิ่งที่ต้องพบเจอทุกผู้คนไม่ว่าชายหรือหญิง ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ในช่วงหัวเลี้ยวสำคัญอันคือทางเลือกที่ชีวิตสามารถหักเหไปได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความหมายในความฝันที่เขายังค้นไม่พบ กับการตัดสินใจทั้งจากตนเองและคนรอบข้างโดยเฉพาะคนที่มีความหมายมากในชีวิตของเขา

    หนังสือเล่มนี้เป็นได้ทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ แม้แต่เป็นเพื่อน หรือพี่ที่อบอุ่น ให้พลังใจไฟฝัน กับวันวานอันเยาว์วัย แม้นใครหลายคนอาจอยู่ในช่วงวัยที่ล่วงเลยจุดนั้นมานานแล้ว แต่ขอให้เชื่อเถิดครับว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่เพียงวัยรุ่นที่ควรได้อ่าน หากแต่สมควรอย่างยิ่งที่ผู้ที่กำลังจะมีลูก หรือมีแล้ว หรือแม้ยังไม่มีครอบครัวก็ไม่ควรพลาด เพราะนี่เปรียบได้กับคัมภีร์ชีวิต ที่บอกเล่าได้อย่างมีอรรถรสครบทั้งด้านให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน ทั้งยังมอบคุณค่าสาระอันชวนให้ได้ทบทวนถึงช่วงวันที่แล้วมาในอดีต และวันในปัจจุบัน รวมถึงวันในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

    บนความงดงามที่ร้อยเรียงด้วยภาษาเรียบง่าย คล้ายกับจะเป็นหนังสือฮาวทูแต่แปลงกายมาในรูปแบบของนิยายวัยใส แทรกสอนแนวคิดที่เป็นทั้งปรัชญา จิตวิทยา และหลักการทางธรรมะในศาสนาพุทธ ได้อย่างสอดประสานกลมกลืนกับเนื้อหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวละคร ที่มีปริศนาชวนให้กระหายใคร่รู้ โดยใช้ฉากและตัวละครน้อยมาก ความดีเด่นในด้านนี้เองที่ทำให้คนอ่านสามารถเข้าใจ เข้าถึง สิ่งที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และตรงไปตรงมาที่สุด อาจมีจุดจี๊ดในใจบ้างตอนช่วงท้ายของบทสรุป ขึ้นกับว่าผู้อ่านคนนั้นรับสารที่มีการเผยปริศนาของตัวละครไว้ในรายทางเป็นระยะได้มากน้อยแค่ไหน ในย่อหน้าสุดท้ายนี้ ใครที่ยังไม่ได้อ่านมาก่อนไม่จำเป็นต้องอ่านต่อก็ได้ เพราะอาจจะทำให้คุณคิดไปต่าง ๆ เกี่ยวกับตอนจบของเรื่อง อันจะทำให้สูญเสียความรู้สึกแรกที่พบ ณ ชั่วเวลานั้นไปอย่างน่าเสียดาย

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    เพราะถ้ามองเห็นเร็ว ก็พอจะคาดเดาทิศทางของบทบาทตัวละครหลักในตอนท้ายได้ว่าจะมีผลลัพธ์เช่นไร และจะไม่กระทบกระแทกกับอารมณ์ความรู้สึกมากนัก แต่ถ้าอ่านไป ๆ แต่ไม่ทันได้สังเกตคำใบ้ที่ถูกเปิดขึ้นทีละน้อย ก็อาจได้พบกับความรู้สึกที่สะกิดสะเกาให้หัวใจได้สะท้อนสะท้าน และอาจถึงขั้นสั่นสะเทือนอย่างที่อดตาแฉะไม่ได้

    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #จิตวิทยา
    #โตขึ้นจะเป็นอะไร
    #ร้านหนังสือ
    #รักการอ่าน
    #พรุ่งนี้ที่มาไม่ถึง
    #หนังสือดีที่ควรอ่าน
    #thaitimes
    #หนังสือน่าอ่าน
    #การพัฒนาตนเอง
    ก่อนหน้านี้หากมีใครถามให้ช่วยแนะนำหนังสือสักเล่มที่เป็นแนวจิตวิทยา หรือแนะนำเรื่องเกี่ยวกับการเสริมสร้างพลังใจ ให้มีไฟในการดำเนินชีวิตที่จะสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ หรือหนังสือที่เหมาะมากกับวัยต่อต้านที่กำลังไม่รู้จะเลือกเดินไปในเส้นทางชีวิตแบบใดให้กับตน ผมยังนึกไม่ออกว่าเล่มใดที่จะเหมาะมากที่สุด ทว่าเมื่อได้อ่านเล่มนี้จบลงแล้ว ก็เป็นที่แน่ชัดกับตนเองทันทีว่า ฉันพบเจอหนังสือที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมตรงตามโจทย์แล้วนั่นคือ #หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย สนพ.piccolo พิมพ์ปลายปี 2564 เขียนโดย ยาสึชิ คิตากาวะ แปลโดย หนึ่งฤทัย ปราดเปรียว หนังสือเล่มไม่หนา ขนาดกำลังดีเบามือถือไปไหนง่าย หนาประมาณ 160 หน้า อ่านไม่กี่ชม.ก็จบ เรื่องย่อ ชายหนุ่มวัยกลางคนนามว่าโยสุเกะ กำลังมีผลงานภาพวาดจัดแสดงอยู่ในห้องแสดงภาพ หญิงสาวสูงวัยนางหนึ่งยืนชมภาพวาดรูปนั้นอยู่นานด้วยอารมณ์ความรู้สึกเปี่ยมล้น เด็กหญิงตัวน้อยวัย 5 ขวบซึ่งเป็นลูกสาวของโยสุเกะ ได้ทำหน้าที่แนะนำภาพวาดของพ่อและชวนเธอสนทนาอย่างน่ารัก จนทราบว่าเธอชื่อฟุจิโกะ เมื่อลูกสาวได้เล่าเรื่องนี้ให้คนเป็นพ่อฟัง เขาถึงกับงุนงงชั่วขณะ ด้วยไม่ได้ยินชื่อนี้มานาน 20 ปีแล้ว บัดดลภาพความทรงจำในอดีตสมัยที่เขายังอายุแค่ 17 ปี ก็หลั่งไหลเข้ามา นั่นคือบทนำก่อนเข้าเรื่องที่เป็นการเล่าย้อนของตัวละครเอกในเรื่องที่เล่าผ่านมุมมองบุคคลที่1 โยสุเกะในวัย 17 ปีนั้น อยู่ในช่วงที่กำลังต้องตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ แต่เขากลับยังไม่รู้ว่าตัวเองควรเลือกเดินหน้าชีวิตต่อไปในเส้นทางไหน ผู้ใหญ่ชอบถามเด็ก ๆ ว่าโตขึ้นไปอยากเป็นอะไร ประกอบอาชีพอะไร เขารู้สึกลึกลงไปว่าต้องรีบตัดสินใจจริงละหรือ ทำไมจึงไม่สามารถอยู่ไปเรื่อย ๆ โดยถ้ายังไม่มีแรงบันดาลใจอะไรเกิดขึ้น เขาก็ไม่อยากเสียเวลาเปล่าไปกับการต้องเลือกเรียนที่ไหน เพื่อจะกลายไปเป็นอะไรที่ตนไม่แน่ใจว่าใช่สิ่งที่ชอบหรืออยากทำจริงหรือไม่ จึงคล้ายกับเขาปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปอย่างหมดเปลืองเปล่าดาย ได้แต่นั่งเฝ้าร้านหนังสือเก่าของพ่อ ที่ตนเองก็ไม่มีนิสัยรักการอ่าน และไม่ค่อยแตะหนังสือมาแต่เล็ก แต่แล้ววันหนึ่งซึ่งปรากฏเด็กสาววัยเดียวกับโยสุเกะ ที่สวยเก๋ในความรู้สึกแรกพบสำหรับเขา ณ ร้านหนังสือของพ่อนั้น มันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาครั้งใหญ่ไปตลอดกาล เธอคนนั้นรู้จักและเรียกชื่อของโยสุเกะอย่างถูกต้อง โดยที่เขานึกไม่ออกว่าเคยพบเจอสาวสวยน่ารักคนนี้ที่ไหนมาก่อนหรือไม่ เธอบอกกับเขาว่ามาหาซื้อหนังสือที่ไม่มีขายที่ร้านอื่น จนพบเจอเล่มที่ต้องการ และยังวานให้เขาช่วยหาหนังสือเล่มหนึ่ง อีกสัปดาห์จะมาใหม่แล้วก็จากไป โยสุเกะหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ทันได้ถามชื่อและเบอร์ติดต่อไว้ เขาเล่าให้พ่อฟัง เมื่อพ่อทราบชื่อหนังสือจึงพูดขึ้นว่า ไม่เป็นไรนี่เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง พ่อจะสั่งมาขายและเผื่อไว้สักหลายเล่ม ด้วยความที่โยสุเกะอยากจะคุยและทำคววามรู้จักกับเธอคนนั้น แต่เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ได้แค่คิดวุ่นวายภายในหัว แต่ตัวตนจริงนั้นไร้ซึ่งความกล้า สิ่งที่เขาคิดออกมีเพียงอย่างเดียวคือ ต้องอ่านหนังสือเล่มที่เธอถามหา เพื่ออยากเข้าใจว่าเธอเป็นคนเช่นไร นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวข้ามความไม่ชอบอ่านหนังสือมาได้ และน่าแปลกที่อ่านไปได้สักพัก เขากลับพบว่านี่เป็นหนังสือที่ดีจริง ๆ ต่อมาเขาสามารถอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวจนจบได้ ไม่ใช่แค่เกิดจากความรู้สึกแรก แต่เพราะเนื้อหาในนั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นแก่โยสุเกะอย่างไม่น่าเชื่อ เขารอวันที่จะได้พบเธอด้วยใจจดจ่อ เพื่อจะเล่าให้ทราบว่าเขาได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจบแล้ว จนเกือบหมดหวังว่าเธอจะกลับมา ในวันสุดท้ายก่อนสิ้นสัปดาห์ตามที่เธอเคยระบุ เด็กสาวก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในชุดผ้าสีขาวทั้งตัว เปล่งประกายจนโยสุเกะรับรู้ได้ เขาดีใจมาก จากที่ไม่กล้าจะเอ่ยปากก่อน สุดท้ายสามารถพูดกับเธอ หญิงสาวดีใจที่เขามีหนังสือที่ร้าน แต่เธอไม่ทันได้พกเงินมา จึงบอกวันหลังจะแวะมาใหม่ แต่มันช้าเกินไปสำหรับเขา โยสุเกะจึงเอ่ยปากให้เธอนำหนังสือกลับไปอ่านก่อน เพราะเขาอยากให้เธอได้อ่าน เขาจะออกให้เอง เธอยิ้มอย่างงดงามในน้ำใจของเขา ยินดีรับหนังสือไปแต่บอกว่าจะนำเงินมาคืนให้ภายหลัง จากนั้นก็ขบคิดด้วยความเอียงอายชั่วครู่ ก่อนจะให้ที่อยู่เบอร์โทรติดต่อไว้แล้วบอกว่าเราน่าจะนัดเจอกันอีก ความสดใสของวัยหนุ่มสาวจึงถึงคราวที่ได้โบยบินยังท้องฟ้ากว้าง ทั้งสองใช้เวลากว่าสองเกือบสามสัปดาห์ที่ออกมาพบเจอกันตามที่นัดพบต่าง ๆ เพื่อพูดคุยกันอย่างออกรสเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือ และเรื่องที่พ่อของเธอสอนไว้ ซึ่งโยสุเกะพบว่าเป็นคำสอนอันทรงคุณค่าและมีประโยชน์อย่างมากกับตัวเขา จนกระทั่งเกิดแรงบันดาลใจที่จะลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายในให้ต่างไปจากเดิม เหมือนเขาได้ค้นพบขุมทรัพย์มหาศาลที่ประเมินค่าไม่ได้ ในแต่ละวันโยสุเกะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ตนไม่เคยคิดมาก่อน จากคำสอนของพ่อที่ถูกเล่าผ่านตัวเธอและมอบเครื่องบินพับจากกระดาษหลากสีให้ไว้กับโยสุเกะทุกครั้ง แต่เขาไม่เคยถามและไม่รู้จักชื่อของเธอเลย ดูเหมือนเด็กสาวมีบางอย่างที่ยังไม่สามารถเล่าให้เขาฟัง เขารู้เพียงอีกไม่นานเธออาจจะต้องไปอยู่กับพ่อ แม้ปัจจุบันเธออยู่กับแม่คนเดียวก็ตาม ความสัมพันธ์ของครอบครัวอันคลุมเครือที่เธอไม่ได้พูดถึง กลับปริศนาอีกหลายข้อที่ค้างคาใจเขาซึ่งยังไม่กล้าเอ่ยปากถาม ความจริงจะปรากฏในช่วงท้ายเล่ม ที่คงต้องให้เพื่อน ๆ ไปตามหาอ่านกันต่อ แม้นอยากเล่ามากเพียงใดต้องยั้งใจไว้ รอให้คนอ่านได้พบด้วยตัวเองไม่อย่างนั้นความแปลกใหม่และความสนุกสนานอาจลดลง ผมเคยอ่านโลกของโซฟีเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนแล้วชื่นชอบมาก แม้หนังสือจะหนากับเนื้อหาแนวสอนเชิงจิตวิทยา ที่มีความแปลกใหม่ในการใช้กลวิธีเล่าเรื่องที่น่าสนใจผ่านรูปแบบนิยายมาแล้ว สำหรับเล่มนี้ทำให้อดนึกถึงโลกของโซฟีไม่ได้ แม้นจะมีความคล้ายบางประการในการนำเสนอ แต่หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย ก็มีอัตลักษณ์ที่เป็นแบบฉบับเฉพาะตนที่น่าสนใจ กับความหนาเพียงไม่ถึง 200 หน้า ทำให้การอ่านจนจบไม่ใช่เรื่องลำบากจนเกินไปสำหรับคนที่อาจจะไม่ใช่สายรักการอ่านมาก่อน หนังสือเล่มนี้ดีงามอย่างละเมียดละไม ละมุนละม่อม อ่อนโยนงดงามตลอดเล่ม ไปเรื่อย ๆ ชวนติดตามไปกับการเอาใจช่วยในความสัมพันธ์ของตัวเอกทั้งสอง ว่าเขากับเธอจะมีบทสรุปอย่างไร ผู้เขียนมีความชาญฉลาดในการวางโครงเรื่อง และแก่นที่แน่นหนาน่าสนใจช่วนให้ใคร่ครวญอย่างพินิจพิเคราะห์ กับสิ่งที่ต้องพบเจอทุกผู้คนไม่ว่าชายหรือหญิง ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ในช่วงหัวเลี้ยวสำคัญอันคือทางเลือกที่ชีวิตสามารถหักเหไปได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความหมายในความฝันที่เขายังค้นไม่พบ กับการตัดสินใจทั้งจากตนเองและคนรอบข้างโดยเฉพาะคนที่มีความหมายมากในชีวิตของเขา หนังสือเล่มนี้เป็นได้ทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ แม้แต่เป็นเพื่อน หรือพี่ที่อบอุ่น ให้พลังใจไฟฝัน กับวันวานอันเยาว์วัย แม้นใครหลายคนอาจอยู่ในช่วงวัยที่ล่วงเลยจุดนั้นมานานแล้ว แต่ขอให้เชื่อเถิดครับว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่เพียงวัยรุ่นที่ควรได้อ่าน หากแต่สมควรอย่างยิ่งที่ผู้ที่กำลังจะมีลูก หรือมีแล้ว หรือแม้ยังไม่มีครอบครัวก็ไม่ควรพลาด เพราะนี่เปรียบได้กับคัมภีร์ชีวิต ที่บอกเล่าได้อย่างมีอรรถรสครบทั้งด้านให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน ทั้งยังมอบคุณค่าสาระอันชวนให้ได้ทบทวนถึงช่วงวันที่แล้วมาในอดีต และวันในปัจจุบัน รวมถึงวันในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง บนความงดงามที่ร้อยเรียงด้วยภาษาเรียบง่าย คล้ายกับจะเป็นหนังสือฮาวทูแต่แปลงกายมาในรูปแบบของนิยายวัยใส แทรกสอนแนวคิดที่เป็นทั้งปรัชญา จิตวิทยา และหลักการทางธรรมะในศาสนาพุทธ ได้อย่างสอดประสานกลมกลืนกับเนื้อหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวละคร ที่มีปริศนาชวนให้กระหายใคร่รู้ โดยใช้ฉากและตัวละครน้อยมาก ความดีเด่นในด้านนี้เองที่ทำให้คนอ่านสามารถเข้าใจ เข้าถึง สิ่งที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และตรงไปตรงมาที่สุด อาจมีจุดจี๊ดในใจบ้างตอนช่วงท้ายของบทสรุป ขึ้นกับว่าผู้อ่านคนนั้นรับสารที่มีการเผยปริศนาของตัวละครไว้ในรายทางเป็นระยะได้มากน้อยแค่ไหน ในย่อหน้าสุดท้ายนี้ ใครที่ยังไม่ได้อ่านมาก่อนไม่จำเป็นต้องอ่านต่อก็ได้ เพราะอาจจะทำให้คุณคิดไปต่าง ๆ เกี่ยวกับตอนจบของเรื่อง อันจะทำให้สูญเสียความรู้สึกแรกที่พบ ณ ชั่วเวลานั้นไปอย่างน่าเสียดาย . . . . . . . . เพราะถ้ามองเห็นเร็ว ก็พอจะคาดเดาทิศทางของบทบาทตัวละครหลักในตอนท้ายได้ว่าจะมีผลลัพธ์เช่นไร และจะไม่กระทบกระแทกกับอารมณ์ความรู้สึกมากนัก แต่ถ้าอ่านไป ๆ แต่ไม่ทันได้สังเกตคำใบ้ที่ถูกเปิดขึ้นทีละน้อย ก็อาจได้พบกับความรู้สึกที่สะกิดสะเกาให้หัวใจได้สะท้อนสะท้าน และอาจถึงขั้นสั่นสะเทือนอย่างที่อดตาแฉะไม่ได้ #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #จิตวิทยา #โตขึ้นจะเป็นอะไร #ร้านหนังสือ #รักการอ่าน #พรุ่งนี้ที่มาไม่ถึง #หนังสือดีที่ควรอ่าน #thaitimes #หนังสือน่าอ่าน #การพัฒนาตนเอง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 2879 Views 0 Reviews
  • …ความทรงจำ.. สิ่งล้ำค่าจากประสบการณ์ชีวิต

    เหตุการณ์ต่างๆที่เราต้องพบเจอในแต่ละวัน
    ทั้งสิ่งที่ควบคุมได้ และสิ่งที่ควบคุมไม่ได้

    หลายเหตุการณ์ที่เราได้รับความรู้สึกดีๆจนต้องแอบอมยิ้มออกมาในทุกครั้งที่นึกถึง
    แต่ก็มีอีกหลายเหตุการณ์ที่เมื่อเรานึกขึ้นมาได้ กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องเสียน้ำตา

    ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชีวิตก็คือชีวิต วันนี้ก็คือวันนี้
    แอดมินอยากให้คุณผู้อ่านได้ใช้เวลา ณ ชั่วขณะปัจจุบันอย่างมีความหมาย

    เราไม่อาจย้อนวันวานกลับมาได้ และเราไม่อาจเร่งเวลาให้ไวขึ้นได้แม้เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง

    ดังนั้น “สิ่งที่เราควรโฟกัสที่สุดก็คือวันนี้”

    แล้วหากเราหันกลับไปมองอดีตบ้างเป็นครั้งคราว ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด
    ท่านก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น
    ความทรงจำต่างๆได้หล่อหลอมรวมให้กลายมาเป็นตัวเราในวันนี้

    และท่านจะได้รับบทเรียนอันล้ำค่ามากมาย หากนั่งพิจารณาถึงเหตุการณ์นั้นๆ
    ด้วยความใจเย็น มีสติ และเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นในตัวของท่านเอง

    ถอดบทเรียนจากหนังสือที่มีชื่อว่า : ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดาว
    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #เยียวยาความเศร้า #ความทรงจำในอดีต #บทความ
    …ความทรงจำ.. สิ่งล้ำค่าจากประสบการณ์ชีวิต เหตุการณ์ต่างๆที่เราต้องพบเจอในแต่ละวัน ทั้งสิ่งที่ควบคุมได้ และสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ หลายเหตุการณ์ที่เราได้รับความรู้สึกดีๆจนต้องแอบอมยิ้มออกมาในทุกครั้งที่นึกถึง แต่ก็มีอีกหลายเหตุการณ์ที่เมื่อเรานึกขึ้นมาได้ กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องเสียน้ำตา ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชีวิตก็คือชีวิต วันนี้ก็คือวันนี้ แอดมินอยากให้คุณผู้อ่านได้ใช้เวลา ณ ชั่วขณะปัจจุบันอย่างมีความหมาย เราไม่อาจย้อนวันวานกลับมาได้ และเราไม่อาจเร่งเวลาให้ไวขึ้นได้แม้เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง ดังนั้น “สิ่งที่เราควรโฟกัสที่สุดก็คือวันนี้” แล้วหากเราหันกลับไปมองอดีตบ้างเป็นครั้งคราว ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด ท่านก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น ความทรงจำต่างๆได้หล่อหลอมรวมให้กลายมาเป็นตัวเราในวันนี้ และท่านจะได้รับบทเรียนอันล้ำค่ามากมาย หากนั่งพิจารณาถึงเหตุการณ์นั้นๆ ด้วยความใจเย็น มีสติ และเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นในตัวของท่านเอง ถอดบทเรียนจากหนังสือที่มีชื่อว่า : ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดาว #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #เยียวยาความเศร้า #ความทรงจำในอดีต #บทความ
    0 Comments 0 Shares 766 Views 0 Reviews
More Results