• 63 ปี "ครูรวม วงศ์พันธ์" จากลูกชาวนา สู่เป้าประหารชีวิต “คอมมิวนิสต์” คนแรกของไทย 🔥

    ย้อนไปสู่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ที่ยังคงสะเทือนใจคนรุ่นหลัง “ครูรวม วงศ์พันธ์” ครูผู้ใฝ่รู้ ผู้กลายเป็นนักโทษคอมมิวนิสต์คนแรกที่ถูกยิงเป้า ประหารชีวิตตามคำสั่งมาตรา 17 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

    🟦 จากลูกชาวนาแห่งสุพรรณบุรี สู่ผู้ต้องหาคดีคอมมิวนิสต์คนแรกของไทย ที่ถูกประหารชีวิต เรื่องราวสะท้อนยุคสมัย ที่อุดมการณ์นำมาสู่ชะตากรรม อันน่าเศร้า

    🔶 ช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย ในยุคสงครามเย็น มีบุคคลหนึ่งที่ชื่อ “รวม วงศ์พันธ์” ถูกจารึกไว้ว่าเป็น “ผู้กระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์” คนแรกที่ถูกประหารชีวิต ตามกฎหมายมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรปี พ.ศ. 2502 ✍️

    จะพาย้อนกลับไป 63 ปี ที่ผ่านมา เพื่อศึกษาทั้งชีวิตของครูรวม เบื้องหลังคำสั่งประหาร และบริบทของการเมืองไทยยุคนั้น 🕯️

    🟤 จากลูกชาวนา...สู่ครูใหญ่โรงเรียนจีน 👨‍🏫 “รวม วงศ์พันธ์” เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2465 ที่บ้านมะขามล้ม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรชายของนายอยู่ และนางไร มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน เติบโตในครอบครัวชาวนาธรรมดา แต่เต็มไปด้วยความใฝ่เรียน 📚

    เรียนหนังสือจากโรงเรียนวัดเล็กๆ ใกล้บ้าน ต่อมาได้เข้าเรียนโรงเรียนชื่อดังในกรุงเทพฯ อย่างสวนกุหลาบวิทยาลัย และพาณิชยการพระนคร ก่อนเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในยุคนั้น ถือเป็นแหล่งเพาะบ่มความคิดเสรี ของนักศึกษาไทย 🇹🇭

    ความรักในการเรียน รักในการสอน ครูรวมเริ่มต้นอาชีพครูในโรงเรียนจีน “กวงกงสวย” ก่อนก้าวขึ้นเป็นครูใหญ่ฝ่ายไทย เป็นที่เคารพรักของนักเรียน และครูร่วมงานจำนวนมาก นอกจากนี้ยังได้แต่งงานกับ "ครูประดิษฐ์ สุทธิจิตร์" คู่ชีวิตผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุข ในชีวิตอุดมการณ์ 💞

    🟥 สถานการณ์โลกกับภัยคอมมิวนิสต์ 🌍 ช่วงปี 2460–2500 โลกกำลังเผชิญกับ ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อรัสเซียกลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ จีนถูกยึดครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ นำโดย "เหมา เจ๋อตง" และในหลายประเทศอุดมการณ์นี้แผ่ขยายเข้าสู่ สังคมชนบทและแรงงาน 🛠️

    ความกลัวในสายตารัฐ ประเทศไทยในยุคนั้น อยู่ภายใต้ความตื่นกลัวต่อภัย “แดง” หรือภัยคอมมิวนิสต์จากต่างประเทศ รัฐบาลในหลายยุค รวมถึงยุคของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" จึงเลือกใช้มาตรการเด็ดขาด เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ⛔

    🟩 แม้รัฐจะมีกฎหมายควบคุมแนวคิดคอมมิวนิสต์ มาตั้งแต่ปี 2476 แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งการแพร่กระจายได้ โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นแรงงาน ชาวนา และครู ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าถึง ปัญหาความเหลื่อมล้ำโดยตรง 👩‍🌾

    ครูรวมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เชื่อ ในอุดมการณ์ความเท่าเทียม และใช้วิธีการพูดคุย แบ่งปันความรู้กับชาวบ้านในชนบท รวมถึงสร้าง “ไร่รวม” ที่กาญจนบุรี เพื่อเป็นโรงเรียนการเมืองอย่างลับๆ 🏕️

    🟦 การจับกุม คำพิพากษา และคำสั่งประหาร ⚖️ ในปี พ.ศ. 2505 รัฐบาลจับกุมครูรวม จากการสืบสวน และคำให้การของพยานร่วมกลุ่ม กล่าวหาว่า เป็นผู้นำเครือข่ายคอมมิวนิสต์ ลอบรับคำสั่งจากต่างชาติ และพยายามล้มล้างสถาบันชาติ

    จอมพลสฤษดิ์ใช้อำนาจตาม “มาตรา 17” สั่งให้ประหารชีวิตทันที โดยไม่ต้องขึ้นศาล ⛓️

    🕕 ค่ำวันอังคารที่ 24 เมษายน 2505 เวลา 18.00 น. ที่เรือนจำกลางบางขวาง ครูรวมถูกยิงเป้าจนเสียชีวิต นับเป็นครั้งแรก ที่มีการประหารผู้ต้องหาคอมมิวนิสต์ ในประวัติศาสตร์ไทย 🇹🇭⚰️

    🟨 วิเคราะห์คดีครูรวม ในบริบทสังคมไทย “ฮีโร่” หรือ “กบฏ”? กรณีของครูรวม สะท้อนถึงยุคสมัยที่ “ความเชื่อ” อาจถูกตีความว่าเป็น “ภัย” การกระทำของครูรวมในสายตารัฐ เป็นอันตรายต่อความมั่นคง แต่ในสายตาของชาวบ้าน และนักศึกษาในยุคต่อมา คือผู้จุดประกายความคิด เพื่อเสรีภาพ 🕊️

    🟪 มรดกแห่งความทรงจำ กว่า 33 ปีหลังการประหาร ศพของครูรวมเพิ่งถูกพบ ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม โดยไร้ป้ายบอกชื่อ เป็นอีกหนึ่งเครื่องหมายคำถาม ที่สะท้อนว่า... เรื่องราวนี้ อาจไม่ได้รับความยุติธรรมเท่าที่ควร ❗

    แม้จะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ชื่อของ “ครูรวม วงศ์พันธ์” ยังคงเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับคนรุ่นใหม่ ที่เชื่อในอุดมการณ์ เสรีภาพ และความเสมอภาค

    🧭 ครูรวมไม่ใช่แค่ครูธรรมดา แต่เป็นบุคคลหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตอย่างแน่วแน่ เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต

    ✊ แม้ถูกประหารในฐานะ “คอมมิวนิสต์” แต่ยังคงเป็น “ครูของประชาชน” ในความทรงจำของผู้คนมากมาย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241115 เม.ย. 2568

    🔖 #ครูรวมวงศ์พันธ์ #คอมมิวนิสต์ไทย #คดีประหารชีวิต #ประวัติศาสตร์การเมืองไทย #มาตรา17 #ยุคสงครามเย็น #การศึกษากับอุดมการณ์ #ครูไทยในอดีต #ประหารชีวิต #วีรบุรุษประชาชน
    63 ปี "ครูรวม วงศ์พันธ์" จากลูกชาวนา สู่เป้าประหารชีวิต “คอมมิวนิสต์” คนแรกของไทย 🔥 ย้อนไปสู่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ที่ยังคงสะเทือนใจคนรุ่นหลัง “ครูรวม วงศ์พันธ์” ครูผู้ใฝ่รู้ ผู้กลายเป็นนักโทษคอมมิวนิสต์คนแรกที่ถูกยิงเป้า ประหารชีวิตตามคำสั่งมาตรา 17 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ 🟦 จากลูกชาวนาแห่งสุพรรณบุรี สู่ผู้ต้องหาคดีคอมมิวนิสต์คนแรกของไทย ที่ถูกประหารชีวิต เรื่องราวสะท้อนยุคสมัย ที่อุดมการณ์นำมาสู่ชะตากรรม อันน่าเศร้า 🔶 ช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย ในยุคสงครามเย็น มีบุคคลหนึ่งที่ชื่อ “รวม วงศ์พันธ์” ถูกจารึกไว้ว่าเป็น “ผู้กระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์” คนแรกที่ถูกประหารชีวิต ตามกฎหมายมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรปี พ.ศ. 2502 ✍️ จะพาย้อนกลับไป 63 ปี ที่ผ่านมา เพื่อศึกษาทั้งชีวิตของครูรวม เบื้องหลังคำสั่งประหาร และบริบทของการเมืองไทยยุคนั้น 🕯️ 🟤 จากลูกชาวนา...สู่ครูใหญ่โรงเรียนจีน 👨‍🏫 “รวม วงศ์พันธ์” เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2465 ที่บ้านมะขามล้ม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรชายของนายอยู่ และนางไร มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน เติบโตในครอบครัวชาวนาธรรมดา แต่เต็มไปด้วยความใฝ่เรียน 📚 เรียนหนังสือจากโรงเรียนวัดเล็กๆ ใกล้บ้าน ต่อมาได้เข้าเรียนโรงเรียนชื่อดังในกรุงเทพฯ อย่างสวนกุหลาบวิทยาลัย และพาณิชยการพระนคร ก่อนเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในยุคนั้น ถือเป็นแหล่งเพาะบ่มความคิดเสรี ของนักศึกษาไทย 🇹🇭 ความรักในการเรียน รักในการสอน ครูรวมเริ่มต้นอาชีพครูในโรงเรียนจีน “กวงกงสวย” ก่อนก้าวขึ้นเป็นครูใหญ่ฝ่ายไทย เป็นที่เคารพรักของนักเรียน และครูร่วมงานจำนวนมาก นอกจากนี้ยังได้แต่งงานกับ "ครูประดิษฐ์ สุทธิจิตร์" คู่ชีวิตผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุข ในชีวิตอุดมการณ์ 💞 🟥 สถานการณ์โลกกับภัยคอมมิวนิสต์ 🌍 ช่วงปี 2460–2500 โลกกำลังเผชิญกับ ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อรัสเซียกลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ จีนถูกยึดครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ นำโดย "เหมา เจ๋อตง" และในหลายประเทศอุดมการณ์นี้แผ่ขยายเข้าสู่ สังคมชนบทและแรงงาน 🛠️ ความกลัวในสายตารัฐ ประเทศไทยในยุคนั้น อยู่ภายใต้ความตื่นกลัวต่อภัย “แดง” หรือภัยคอมมิวนิสต์จากต่างประเทศ รัฐบาลในหลายยุค รวมถึงยุคของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" จึงเลือกใช้มาตรการเด็ดขาด เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ⛔ 🟩 แม้รัฐจะมีกฎหมายควบคุมแนวคิดคอมมิวนิสต์ มาตั้งแต่ปี 2476 แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งการแพร่กระจายได้ โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นแรงงาน ชาวนา และครู ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าถึง ปัญหาความเหลื่อมล้ำโดยตรง 👩‍🌾 ครูรวมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เชื่อ ในอุดมการณ์ความเท่าเทียม และใช้วิธีการพูดคุย แบ่งปันความรู้กับชาวบ้านในชนบท รวมถึงสร้าง “ไร่รวม” ที่กาญจนบุรี เพื่อเป็นโรงเรียนการเมืองอย่างลับๆ 🏕️ 🟦 การจับกุม คำพิพากษา และคำสั่งประหาร ⚖️ ในปี พ.ศ. 2505 รัฐบาลจับกุมครูรวม จากการสืบสวน และคำให้การของพยานร่วมกลุ่ม กล่าวหาว่า เป็นผู้นำเครือข่ายคอมมิวนิสต์ ลอบรับคำสั่งจากต่างชาติ และพยายามล้มล้างสถาบันชาติ จอมพลสฤษดิ์ใช้อำนาจตาม “มาตรา 17” สั่งให้ประหารชีวิตทันที โดยไม่ต้องขึ้นศาล ⛓️ 🕕 ค่ำวันอังคารที่ 24 เมษายน 2505 เวลา 18.00 น. ที่เรือนจำกลางบางขวาง ครูรวมถูกยิงเป้าจนเสียชีวิต นับเป็นครั้งแรก ที่มีการประหารผู้ต้องหาคอมมิวนิสต์ ในประวัติศาสตร์ไทย 🇹🇭⚰️ 🟨 วิเคราะห์คดีครูรวม ในบริบทสังคมไทย “ฮีโร่” หรือ “กบฏ”? กรณีของครูรวม สะท้อนถึงยุคสมัยที่ “ความเชื่อ” อาจถูกตีความว่าเป็น “ภัย” การกระทำของครูรวมในสายตารัฐ เป็นอันตรายต่อความมั่นคง แต่ในสายตาของชาวบ้าน และนักศึกษาในยุคต่อมา คือผู้จุดประกายความคิด เพื่อเสรีภาพ 🕊️ 🟪 มรดกแห่งความทรงจำ กว่า 33 ปีหลังการประหาร ศพของครูรวมเพิ่งถูกพบ ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม โดยไร้ป้ายบอกชื่อ เป็นอีกหนึ่งเครื่องหมายคำถาม ที่สะท้อนว่า... เรื่องราวนี้ อาจไม่ได้รับความยุติธรรมเท่าที่ควร ❗ แม้จะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ชื่อของ “ครูรวม วงศ์พันธ์” ยังคงเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับคนรุ่นใหม่ ที่เชื่อในอุดมการณ์ เสรีภาพ และความเสมอภาค 🧭 ครูรวมไม่ใช่แค่ครูธรรมดา แต่เป็นบุคคลหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตอย่างแน่วแน่ เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต ✊ แม้ถูกประหารในฐานะ “คอมมิวนิสต์” แต่ยังคงเป็น “ครูของประชาชน” ในความทรงจำของผู้คนมากมาย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241115 เม.ย. 2568 🔖 #ครูรวมวงศ์พันธ์ #คอมมิวนิสต์ไทย #คดีประหารชีวิต #ประวัติศาสตร์การเมืองไทย #มาตรา17 #ยุคสงครามเย็น #การศึกษากับอุดมการณ์ #ครูไทยในอดีต #ประหารชีวิต #วีรบุรุษประชาชน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนใช้บริษัทหน้าม้าเพื่อแอบจ้างวิศวกรไต้หวันและดึงความรู้ด้านเซมิคอนดักเตอร์ไปใช้ รัฐบาลไต้หวันตรวจค้นบริษัท กว่า 34 แห่ง และสอบปากคำบุคคล 90 ราย โดยมองว่านี่เป็นภัยคุกคามต่ออุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ วิธีนี้ช่วยให้บริษัทจีนสามารถหลีกเลี่ยงมาตรการตรวจสอบและลักลอบขโมยเทคโนโลยีไปใช้อย่างลับ ๆ

    การปลอมแปลงตัวตนของบริษัทจีน
    - บางบริษัทจีน ปลอมตัวเป็นบริษัทไต้หวัน หรือแสดงตัวว่าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในต่างประเทศ เช่น Samoa และ Singapore เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการตรวจสอบ

    ตัวอย่างบริษัทที่เกี่ยวข้อง
    - Semiconductor Manufacturing International Corporation (SMIC) ซึ่งเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่รัฐจีนสนับสนุน ใช้ บริษัทลูกในไต้หวัน เพื่อสรรหาพนักงานอย่างลับ ๆ
    - Cloudnix บริษัทผลิตชิปเน็ตเวิร์คจากจีน แอบจ้างพนักงานจาก Intel และ Microsoft และจดทะเบียนเป็นบริษัทสิงคโปร์
    - Shenzhen Torey Microelectronics Technology ดำเนินกิจการอย่างลับ ๆ ในไต้หวันโดยไม่เปิดเผยตัวตน

    มุมมองของรัฐบาลไต้หวัน
    - ไต้หวันมองว่าการกระทำนี้เป็นภัยต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็น “เกราะป้องกันระดับชาติ” ที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ

    ความคล้ายคลึงกับสงครามเทคโนโลยีในอดีต
    - การดึงตัววิศวกรไต้หวันไปทำงานกับบริษัทจีนคล้ายกับยุคสงครามเย็นที่โซเวียตพยายามดึงตัวบุคลากรจากโครงการ Apollo ของสหรัฐฯ

    https://www.computerworld.com/article/3950892/chinese-firms-accused-of-poaching-taiwans-chip-engineers-using-bogus-front-companies.html
    จีนใช้บริษัทหน้าม้าเพื่อแอบจ้างวิศวกรไต้หวันและดึงความรู้ด้านเซมิคอนดักเตอร์ไปใช้ รัฐบาลไต้หวันตรวจค้นบริษัท กว่า 34 แห่ง และสอบปากคำบุคคล 90 ราย โดยมองว่านี่เป็นภัยคุกคามต่ออุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ วิธีนี้ช่วยให้บริษัทจีนสามารถหลีกเลี่ยงมาตรการตรวจสอบและลักลอบขโมยเทคโนโลยีไปใช้อย่างลับ ๆ การปลอมแปลงตัวตนของบริษัทจีน - บางบริษัทจีน ปลอมตัวเป็นบริษัทไต้หวัน หรือแสดงตัวว่าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในต่างประเทศ เช่น Samoa และ Singapore เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการตรวจสอบ ตัวอย่างบริษัทที่เกี่ยวข้อง - Semiconductor Manufacturing International Corporation (SMIC) ซึ่งเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่รัฐจีนสนับสนุน ใช้ บริษัทลูกในไต้หวัน เพื่อสรรหาพนักงานอย่างลับ ๆ - Cloudnix บริษัทผลิตชิปเน็ตเวิร์คจากจีน แอบจ้างพนักงานจาก Intel และ Microsoft และจดทะเบียนเป็นบริษัทสิงคโปร์ - Shenzhen Torey Microelectronics Technology ดำเนินกิจการอย่างลับ ๆ ในไต้หวันโดยไม่เปิดเผยตัวตน มุมมองของรัฐบาลไต้หวัน - ไต้หวันมองว่าการกระทำนี้เป็นภัยต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็น “เกราะป้องกันระดับชาติ” ที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ ความคล้ายคลึงกับสงครามเทคโนโลยีในอดีต - การดึงตัววิศวกรไต้หวันไปทำงานกับบริษัทจีนคล้ายกับยุคสงครามเย็นที่โซเวียตพยายามดึงตัวบุคลากรจากโครงการ Apollo ของสหรัฐฯ https://www.computerworld.com/article/3950892/chinese-firms-accused-of-poaching-taiwans-chip-engineers-using-bogus-front-companies.html
    WWW.COMPUTERWORLD.COM
    After fake employees, fake enterprises are next hiring threat to corporate data
    In Taiwan, investigators raided businesses they say acted as fronts for Chinese companies to hire away workers with key expertise and industry knowledge.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 369 มุมมอง 0 รีวิว
  • 35 ปี สัญญาณเริ่มล่มสลาย “สหภาพโซเวียต” เปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ จุดสิ้นสุดพรรคคอมมิวนิสต์

    📅 ย้อนไปเมื่อ 35 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2533 (1990) เป็นวันที่เปรียบเสมือน “ระฆังแห่งการเปลี่ยนแปลง” ของสหภาพโซเวียต (USSR) เมื่อคณะกรรมาธิการกลาง ของพรรคคอมมิวนิสต์ ประกาศยุติการผูกขาดอำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญ ที่นำไปสู่การล่มสลาย ของมหาอำนาจยุคสงครามเย็น ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี

    จากการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เพียงพรรคเดียว มายาวนานกว่า 70 ปี สหภาพโซเวียต ต้องเผชิญกับปัญหาภายใน อย่างหนักหน่วง ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ การเมืองที่เริ่มไร้เสถียรภาพ และขบวนการชาตินิยม ในสาธารณรัฐต่างๆ ที่ต้องการแยกตัวออก ในที่สุด ระบบที่เคยแข็งแกร่ง ก็ต้องถึงกาลอวสาน

    🔴 จากการปฏิวัติ สู่มหาอำนาจโลก ต้นกำเนิดของ USSR 📌
    สหภาพโซเวียต (Union of Soviet Socialist Republics: USSR) ถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 30 ธันวาคม 2465 หลังการปฏิวัติเดือนตุลาคม (1917) ที่พรรคบอลเชวิค ภายใต้การนำของ วลาดีมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin) โค่นล้มระบอบกษัตริย์ และรัฐบาลเฉพาะกาลของรัสเซีย

    USSR ประกอบด้วย 15 สาธารณรัฐย่อย ได้แก่ รัสเซีย ยูเครน เบลารุส เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย มอลโดวา จอร์เจีย อาร์มีเนีย อาเซอร์ไบจาน คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน คีร์กีซสถาน และทาจิกิสถาน

    👉 เมืองหลวงของสหภาพโซเวียตคือ มอสโก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม

    📌 สมัยแห่งอำนาจของสหภาพโซเวียต
    หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหภาพโซเวียตกลายเป็น หนึ่งในสองมหาอำนาจของโลก คู่กับสหรัฐอเมริกา นำไปสู่สงครามเย็น (Cold War) ที่กินเวลายาวนานกว่า 4 ทศวรรษ

    พรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการปกครอง ควบคุมทุกด้านของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในขณะเดียวกัน สหภาพโซเวียตมีบทบาทสำคัญ ในวงการอวกาศ เช่น ส่ง ยูริ กาการิน (Yuri Gagarin) เป็นมนุษย์คนแรก ที่ขึ้นสู่อวกาศในปี 2504

    🔥 สัญญาณแห่งการล่มสลาย ปัจจัยที่ทำให้ USSR พังทลาย
    แม้ว่าสหภาพโซเวียต จะดูแข็งแกร่งจากภายนอก แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยรอยร้าว ที่ค่อยๆ ก่อตัวจนถึงจุดแตกหัก

    📉 1. วิกฤตเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ที่ล้มเหลว
    เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียต เป็นระบบวางแผนจากส่วนกลาง (Centralized Economy) ซึ่งรัฐบาลควบคุมทุกอย่าง ตั้งแต่การผลิต ไปจนถึงการจัดสรรทรัพยากร แต่ระบบนี้ เริ่มประสบปัญหาหนักในช่วงปี 2523

    - ขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค ประชาชนต้องต่อแถวซื้อขนมปัง เป็นชั่วโมง
    - ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ ไม่มีแรงจูงใจให้แรงงานทำงานหนัก
    - ค่าใช้จ่ายทางทหารสูงลิ่ว ต้องใช้เงินจำนวนมาก ในการแข่งขันอาวุธกับสหรัฐฯ

    ⚔️ 2. สงครามอัฟกานิสถาน (1979-1989) บาดแผลที่ยากจะสมาน
    การส่งทหาร เข้าไปช่วยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ในอัฟกานิสถาน กลายเป็นสงครามเวียดนาม ของโซเวียต เนื่องจากถูกกองกำลังมูจาฮิดีน ต่อต้านอย่างหนัก สงครามนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้โซเวียต สูญเสียทหารจำนวนมาก แต่ยังทำลายขวัญกำลังใจ ของประชาชนอีกด้วย

    🌍 3. ขบวนการแยกตัว ของสาธารณรัฐต่างๆ
    หลายสาธารณรัฐภายใน USSR เริ่มมีความต้องการเป็นอิสระ เช่น
    - กลุ่มบอลติก (เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย) ประกาศเอกราชในปี 2533
    - ยูเครนและจอร์เจีย มีการเคลื่อนไหวเพื่อแยกตัว

    เมื่อรัฐบาลกลาง ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทำให้เกิดการล่มสลายในที่สุด

    🛑 4. การปฏิรูปของกอร์บาชอฟ กลัสนอสต์ & เปเรสตรอยคา
    เมื่อ มีฮาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) ขึ้นเป็นผู้นำในปี 2528 เขาพยายามปฏิรูปประเทศผ่านนโยบายสำคัญ 2 ข้อ

    - กลัสนอสต์ (Glasnost) การเปิดเผยข้อมูล และให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้น
    - เปเรสตรอยคา (Perestroika) การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แบบตลาดเสรี

    แม้ว่านโยบายเหล่านี้ มีเป้าหมายที่ดี แต่กลับทำให้ปัญหาภายในปะทุเร็วขึ้น ประชาชนเริ่มเรียกร้องเสรีภาพมากขึ้น และในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์ ก็สูญเสียการควบคุม

    💥 วันที่พรรคคอมมิวนิสต์สูญเสียอำนาจ จุดจบของ USSR
    📆 7 กุมภาพันธ์ 2533 (1990) คณะกรรมาธิการกลาง ของพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งสหภาพโซเวียตประกาศ ยกเลิกการผูกขาดอำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ

    📆 25 ธันวาคม 2534 (1991) กอร์บาชอฟลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี และ USSR ยุติการดำรงอยู่ โดยรัสเซียกลายเป็นรัฐเอกราช

    👉 บอริส เยลต์ซิน (Boris Yeltsin) กลายเป็นผู้นำคนใหม่ของรัสเซีย และอดีตสาธารณรัฐต่างๆ ก็แยกตัวเป็นเอกราช

    🎭 บทเรียนจากการล่มสลาย ของสหภาพโซเวียต
    - การรวมศูนย์อำนาจมากเกินไป อาจเป็นจุดอ่อน แทนที่จะเป็นจุดแข็ง
    - เศรษฐกิจที่ไร้ประสิทธิภาพ นำไปสู่ความไม่พอใจของประชาชน
    - การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดความไม่แน่นอน

    📢 35 ปี หลังจากวันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่ง USSR สูญเสียอำนาจ โลกยังคงเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ การล่มสลายของโซเวียต ไม่ใช่แค่เรื่องของอดีต แต่มันเป็นบทเรียนสำหรับทุกประเทศ ที่ต้องการคงไว้ซึ่งเสถียรภาพ และอำนาจ 📌

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 071329 ก.พ. 2568

    #สหภาพโซเวียต #USSR #โซเวียตล่มสลาย #สงครามเย็น #คอมมิวนิสต์ #Gorbachev #เยลต์ซิน #ColdWar
    35 ปี สัญญาณเริ่มล่มสลาย “สหภาพโซเวียต” เปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ จุดสิ้นสุดพรรคคอมมิวนิสต์ 📅 ย้อนไปเมื่อ 35 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2533 (1990) เป็นวันที่เปรียบเสมือน “ระฆังแห่งการเปลี่ยนแปลง” ของสหภาพโซเวียต (USSR) เมื่อคณะกรรมาธิการกลาง ของพรรคคอมมิวนิสต์ ประกาศยุติการผูกขาดอำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญ ที่นำไปสู่การล่มสลาย ของมหาอำนาจยุคสงครามเย็น ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี จากการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เพียงพรรคเดียว มายาวนานกว่า 70 ปี สหภาพโซเวียต ต้องเผชิญกับปัญหาภายใน อย่างหนักหน่วง ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ การเมืองที่เริ่มไร้เสถียรภาพ และขบวนการชาตินิยม ในสาธารณรัฐต่างๆ ที่ต้องการแยกตัวออก ในที่สุด ระบบที่เคยแข็งแกร่ง ก็ต้องถึงกาลอวสาน 🔴 จากการปฏิวัติ สู่มหาอำนาจโลก ต้นกำเนิดของ USSR 📌 สหภาพโซเวียต (Union of Soviet Socialist Republics: USSR) ถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 30 ธันวาคม 2465 หลังการปฏิวัติเดือนตุลาคม (1917) ที่พรรคบอลเชวิค ภายใต้การนำของ วลาดีมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin) โค่นล้มระบอบกษัตริย์ และรัฐบาลเฉพาะกาลของรัสเซีย USSR ประกอบด้วย 15 สาธารณรัฐย่อย ได้แก่ รัสเซีย ยูเครน เบลารุส เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย มอลโดวา จอร์เจีย อาร์มีเนีย อาเซอร์ไบจาน คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน คีร์กีซสถาน และทาจิกิสถาน 👉 เมืองหลวงของสหภาพโซเวียตคือ มอสโก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม 📌 สมัยแห่งอำนาจของสหภาพโซเวียต หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหภาพโซเวียตกลายเป็น หนึ่งในสองมหาอำนาจของโลก คู่กับสหรัฐอเมริกา นำไปสู่สงครามเย็น (Cold War) ที่กินเวลายาวนานกว่า 4 ทศวรรษ พรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการปกครอง ควบคุมทุกด้านของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในขณะเดียวกัน สหภาพโซเวียตมีบทบาทสำคัญ ในวงการอวกาศ เช่น ส่ง ยูริ กาการิน (Yuri Gagarin) เป็นมนุษย์คนแรก ที่ขึ้นสู่อวกาศในปี 2504 🔥 สัญญาณแห่งการล่มสลาย ปัจจัยที่ทำให้ USSR พังทลาย แม้ว่าสหภาพโซเวียต จะดูแข็งแกร่งจากภายนอก แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยรอยร้าว ที่ค่อยๆ ก่อตัวจนถึงจุดแตกหัก 📉 1. วิกฤตเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ที่ล้มเหลว เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียต เป็นระบบวางแผนจากส่วนกลาง (Centralized Economy) ซึ่งรัฐบาลควบคุมทุกอย่าง ตั้งแต่การผลิต ไปจนถึงการจัดสรรทรัพยากร แต่ระบบนี้ เริ่มประสบปัญหาหนักในช่วงปี 2523 - ขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค ประชาชนต้องต่อแถวซื้อขนมปัง เป็นชั่วโมง - ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ ไม่มีแรงจูงใจให้แรงงานทำงานหนัก - ค่าใช้จ่ายทางทหารสูงลิ่ว ต้องใช้เงินจำนวนมาก ในการแข่งขันอาวุธกับสหรัฐฯ ⚔️ 2. สงครามอัฟกานิสถาน (1979-1989) บาดแผลที่ยากจะสมาน การส่งทหาร เข้าไปช่วยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ในอัฟกานิสถาน กลายเป็นสงครามเวียดนาม ของโซเวียต เนื่องจากถูกกองกำลังมูจาฮิดีน ต่อต้านอย่างหนัก สงครามนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้โซเวียต สูญเสียทหารจำนวนมาก แต่ยังทำลายขวัญกำลังใจ ของประชาชนอีกด้วย 🌍 3. ขบวนการแยกตัว ของสาธารณรัฐต่างๆ หลายสาธารณรัฐภายใน USSR เริ่มมีความต้องการเป็นอิสระ เช่น - กลุ่มบอลติก (เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย) ประกาศเอกราชในปี 2533 - ยูเครนและจอร์เจีย มีการเคลื่อนไหวเพื่อแยกตัว เมื่อรัฐบาลกลาง ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทำให้เกิดการล่มสลายในที่สุด 🛑 4. การปฏิรูปของกอร์บาชอฟ กลัสนอสต์ & เปเรสตรอยคา เมื่อ มีฮาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) ขึ้นเป็นผู้นำในปี 2528 เขาพยายามปฏิรูปประเทศผ่านนโยบายสำคัญ 2 ข้อ - กลัสนอสต์ (Glasnost) การเปิดเผยข้อมูล และให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้น - เปเรสตรอยคา (Perestroika) การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แบบตลาดเสรี แม้ว่านโยบายเหล่านี้ มีเป้าหมายที่ดี แต่กลับทำให้ปัญหาภายในปะทุเร็วขึ้น ประชาชนเริ่มเรียกร้องเสรีภาพมากขึ้น และในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์ ก็สูญเสียการควบคุม 💥 วันที่พรรคคอมมิวนิสต์สูญเสียอำนาจ จุดจบของ USSR 📆 7 กุมภาพันธ์ 2533 (1990) คณะกรรมาธิการกลาง ของพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งสหภาพโซเวียตประกาศ ยกเลิกการผูกขาดอำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ 📆 25 ธันวาคม 2534 (1991) กอร์บาชอฟลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี และ USSR ยุติการดำรงอยู่ โดยรัสเซียกลายเป็นรัฐเอกราช 👉 บอริส เยลต์ซิน (Boris Yeltsin) กลายเป็นผู้นำคนใหม่ของรัสเซีย และอดีตสาธารณรัฐต่างๆ ก็แยกตัวเป็นเอกราช 🎭 บทเรียนจากการล่มสลาย ของสหภาพโซเวียต - การรวมศูนย์อำนาจมากเกินไป อาจเป็นจุดอ่อน แทนที่จะเป็นจุดแข็ง - เศรษฐกิจที่ไร้ประสิทธิภาพ นำไปสู่ความไม่พอใจของประชาชน - การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดความไม่แน่นอน 📢 35 ปี หลังจากวันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่ง USSR สูญเสียอำนาจ โลกยังคงเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ การล่มสลายของโซเวียต ไม่ใช่แค่เรื่องของอดีต แต่มันเป็นบทเรียนสำหรับทุกประเทศ ที่ต้องการคงไว้ซึ่งเสถียรภาพ และอำนาจ 📌 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 071329 ก.พ. 2568 #สหภาพโซเวียต #USSR #โซเวียตล่มสลาย #สงครามเย็น #คอมมิวนิสต์ #Gorbachev #เยลต์ซิน #ColdWar
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 888 มุมมอง 0 รีวิว
  • 52 ปี ข้อตกลงสันติภาพปารีส ปิดฉากสงครามเวียดนาม บทบาทของไทยในสงครามเย็น

    สงครามเวียดนาม เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุด ในศตวรรษที่ 20 ซึ่งไม่ได้เพียงแค่ แสดงถึงความขัดแย้ง ระหว่างสองขั้วอำนาจของโลก ในยุคสงครามเย็น แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่ส่งผลกระทบ ต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยโดยตรง การลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2516 นับเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามเวียดนาม ซึ่งกินระยะเวลายาวนานถึง 18 ปี 🌏

    จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง
    สงครามเวียดนาม เริ่มต้นจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ระหว่างระบอบคอมมิวนิสต์ และเสรีนิยม ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เวียดนามเหนือ ได้รับการสนับสนุนจาก สหภาพโซเวียต และจีน ในขณะที่เวียดนามใต้ มีสหรัฐอเมริกา เป็นพันธมิตรสำคัญ

    นโยบายของสหรัฐ สกัดกั้นคอมมิวนิสต์
    สหรัฐตัดสินใจ เข้ามามีบทบาทในเวียดนาม ตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2493 ด้วยเป้าหมายในการ "หยุดยั้งการขยายตัวของคอมมิวนิสต์" (Containment Policy) โดยมองว่า หากเวียดนามเหนือ ตกอยู่ใต้อิทธิพลคอมมิวนิสต์ ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็อาจถูกครอบงำด้วยเช่นกัน หรือที่เรียกว่า "ทฤษฎีโดมิโน"

    ประเทศไทย พันธมิตรสำคัญของสหรัฐ
    ในยุคสงครามเย็น ประเทศไทย ได้กลายเป็นพันธมิตรสำคัญ ของสหรัฐอเมริกา ในการต่อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ เนื่องจากไทย ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ใกล้กับเวียดนามและลาว

    รัฐบาลไทยในยุคนั้น โดยเฉพาะภายใต้การนำของ "จอมพลถนอม กิตติขจร" และ "จอมพลประภาส จารุเสถียร" ให้การสนับสนุนสหรัฐเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้ใช้ ฐานทัพในประเทศไทย หรือการส่งทหารไทยเข้าร่วมในสงคราม

    ฐานทัพในไทย ศูนย์กลางปฏิบัติการ
    สหรัฐได้ตั้งฐานทัพในประเทศไทยถึง 7 แห่ง ได้แก่
    - ดอนเมือง
    - นครราชสีมา
    - ตาคลี
    - อุบลราชธานี
    - อุดรธานี
    - นครพนม
    - อู่ตะเภา

    ฐานทัพเหล่านี้ เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ สำหรับการทิ้งระเบิด ในเวียดนามเหนือ และการดำเนินปฏิบัติการทางอากาศ โดยมีการประมาณว่า 80% ของการโจมตีทางอากาศของสหรัฐ ในเวียดนามเหนือ มาจากฐานทัพในประเทศไทย

    ข้อตกลงสันติภาพปารีส จุดสิ้นสุดของสงคราม
    ข้อตกลงสันติภาพปารีส ที่ลงนามในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2516 เป็นข้อตกลงสำคัญ ที่มีเป้าหมายเพื่อยุติสงคราม และฟื้นฟูสันติภาพในเวียดนาม ข้อตกลงนี้ลงนามระหว่าง

    - รัฐบาลสหรัฐ
    - รัฐบาลเวียดนามเหนือ
    - รัฐบาลเวียดนามใต้
    - รัฐบาลปฏิวัติเฉพาะกาล แห่งสาธารณรัฐเวียดนามใต้

    เนื้อหาสำคัญ ได้แก่
    - การยุติการแทรกแซงทางทหาร ของสหรัฐในเวียดนาม
    - การถอนทหารอเมริกันทั้งหมด ออกจากเวียดนาม
    - การแลกเปลี่ยนนักโทษสงคราม
    - การยอมรับสถานะของรัฐบาล เวียดนามเหนือและใต้

    ผลกระทบจากข้อตกลง
    การลงนามในข้อตกลงนี้ ส่งผลให้สหรัฐ ถอนกำลังออกจากเวียดนาม อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างเวียดนามเหนือและใต้ ยังคงดำเนินต่อไป และสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2518 เมื่อเวียดนามเหนือ เข้ายึดครองไซง่อน

    ผลกระทบนามต่อประเทศไทย
    1. ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และเศรษฐกิจ
    - ความช่วยเหลือจากสหรัฐ การสนับสนุนสหรัฐ ในสงครามเวียดนาม นำมาซึ่งการลงทุน ด้านโครงสร้างพื้นฐานในไทย เช่น ถนน สนามบิน และเทคโนโลยีทางการทหาร
    - ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การที่ไทยเป็นฐานทัพ นำไปสู่การเติบโตของธุรกิจในท้องถิ่น เช่น โรงแรม บาร์ และธุรกิจบริการ

    2. การสูญเสียเอกราช
    มีข้อถกเถียงว่า การที่ไทยอนุญาตให้สหรัฐ ใช้พื้นที่เป็นฐานทัพ และมีทหารจำนวนมาก ประจำอยู่ในประเทศ เป็นการละเมิด อธิปไตยของชาติ และทำให้เกิดความไม่พอใจ ในกลุ่มนักวิชาการ และนักศึกษา

    3. ผลกระทบทางสังคม
    การมีทหารอเมริกันในไทย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เช่น การนำวัฒนธรรมตะวันตก เข้ามาในสังคมไทย ซึ่งทั้งส่งผลดี และผลเสียในระยะยาว

    สงครามเวียดนาม และบทบาทของไทยในยุคนั้นเ ป็นตัวอย่างที่สำคัญ ของการดำเนินนโยบาย ในยุคสงครามเย็น แม้จะมีผลกระทบทางลบในด้านสังคม และการสูญเสียเอกราชบางส่วน แต่การสนับสนุนสหรัฐ ในสงครามเวียดนาม ก็ช่วยให้ไทยรอดพ้นจากการคุกคาม ของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค

    การลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส เป็นการเตือนให้เราตระหนัก ถึงความสำคัญของสันติภาพ และการเจรจา เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 270827 ม.ค. 2568

    #สงครามเวียดนาม #ข้อตกลงปารีส #การเมืองโลก #สงครามเย็น #บทบาทไทยในสงคราม #ประวัติศาสตร์เอเชีย #ฐานทัพสหรัฐในไทย #การเจรจาสันติภาพ #การเมืองระหว่างประเทศ #ประวัติศาสตร์สงคราม

    🎯
    52 ปี ข้อตกลงสันติภาพปารีส ปิดฉากสงครามเวียดนาม บทบาทของไทยในสงครามเย็น สงครามเวียดนาม เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุด ในศตวรรษที่ 20 ซึ่งไม่ได้เพียงแค่ แสดงถึงความขัดแย้ง ระหว่างสองขั้วอำนาจของโลก ในยุคสงครามเย็น แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่ส่งผลกระทบ ต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยโดยตรง การลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2516 นับเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามเวียดนาม ซึ่งกินระยะเวลายาวนานถึง 18 ปี 🌏 จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง สงครามเวียดนาม เริ่มต้นจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ระหว่างระบอบคอมมิวนิสต์ และเสรีนิยม ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เวียดนามเหนือ ได้รับการสนับสนุนจาก สหภาพโซเวียต และจีน ในขณะที่เวียดนามใต้ มีสหรัฐอเมริกา เป็นพันธมิตรสำคัญ นโยบายของสหรัฐ สกัดกั้นคอมมิวนิสต์ สหรัฐตัดสินใจ เข้ามามีบทบาทในเวียดนาม ตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2493 ด้วยเป้าหมายในการ "หยุดยั้งการขยายตัวของคอมมิวนิสต์" (Containment Policy) โดยมองว่า หากเวียดนามเหนือ ตกอยู่ใต้อิทธิพลคอมมิวนิสต์ ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็อาจถูกครอบงำด้วยเช่นกัน หรือที่เรียกว่า "ทฤษฎีโดมิโน" ประเทศไทย พันธมิตรสำคัญของสหรัฐ ในยุคสงครามเย็น ประเทศไทย ได้กลายเป็นพันธมิตรสำคัญ ของสหรัฐอเมริกา ในการต่อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ เนื่องจากไทย ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ใกล้กับเวียดนามและลาว รัฐบาลไทยในยุคนั้น โดยเฉพาะภายใต้การนำของ "จอมพลถนอม กิตติขจร" และ "จอมพลประภาส จารุเสถียร" ให้การสนับสนุนสหรัฐเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้ใช้ ฐานทัพในประเทศไทย หรือการส่งทหารไทยเข้าร่วมในสงคราม ฐานทัพในไทย ศูนย์กลางปฏิบัติการ สหรัฐได้ตั้งฐานทัพในประเทศไทยถึง 7 แห่ง ได้แก่ - ดอนเมือง - นครราชสีมา - ตาคลี - อุบลราชธานี - อุดรธานี - นครพนม - อู่ตะเภา ฐานทัพเหล่านี้ เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ สำหรับการทิ้งระเบิด ในเวียดนามเหนือ และการดำเนินปฏิบัติการทางอากาศ โดยมีการประมาณว่า 80% ของการโจมตีทางอากาศของสหรัฐ ในเวียดนามเหนือ มาจากฐานทัพในประเทศไทย ข้อตกลงสันติภาพปารีส จุดสิ้นสุดของสงคราม ข้อตกลงสันติภาพปารีส ที่ลงนามในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2516 เป็นข้อตกลงสำคัญ ที่มีเป้าหมายเพื่อยุติสงคราม และฟื้นฟูสันติภาพในเวียดนาม ข้อตกลงนี้ลงนามระหว่าง - รัฐบาลสหรัฐ - รัฐบาลเวียดนามเหนือ - รัฐบาลเวียดนามใต้ - รัฐบาลปฏิวัติเฉพาะกาล แห่งสาธารณรัฐเวียดนามใต้ เนื้อหาสำคัญ ได้แก่ - การยุติการแทรกแซงทางทหาร ของสหรัฐในเวียดนาม - การถอนทหารอเมริกันทั้งหมด ออกจากเวียดนาม - การแลกเปลี่ยนนักโทษสงคราม - การยอมรับสถานะของรัฐบาล เวียดนามเหนือและใต้ ผลกระทบจากข้อตกลง การลงนามในข้อตกลงนี้ ส่งผลให้สหรัฐ ถอนกำลังออกจากเวียดนาม อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างเวียดนามเหนือและใต้ ยังคงดำเนินต่อไป และสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2518 เมื่อเวียดนามเหนือ เข้ายึดครองไซง่อน ผลกระทบนามต่อประเทศไทย 1. ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และเศรษฐกิจ - ความช่วยเหลือจากสหรัฐ การสนับสนุนสหรัฐ ในสงครามเวียดนาม นำมาซึ่งการลงทุน ด้านโครงสร้างพื้นฐานในไทย เช่น ถนน สนามบิน และเทคโนโลยีทางการทหาร - ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การที่ไทยเป็นฐานทัพ นำไปสู่การเติบโตของธุรกิจในท้องถิ่น เช่น โรงแรม บาร์ และธุรกิจบริการ 2. การสูญเสียเอกราช มีข้อถกเถียงว่า การที่ไทยอนุญาตให้สหรัฐ ใช้พื้นที่เป็นฐานทัพ และมีทหารจำนวนมาก ประจำอยู่ในประเทศ เป็นการละเมิด อธิปไตยของชาติ และทำให้เกิดความไม่พอใจ ในกลุ่มนักวิชาการ และนักศึกษา 3. ผลกระทบทางสังคม การมีทหารอเมริกันในไทย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เช่น การนำวัฒนธรรมตะวันตก เข้ามาในสังคมไทย ซึ่งทั้งส่งผลดี และผลเสียในระยะยาว สงครามเวียดนาม และบทบาทของไทยในยุคนั้นเ ป็นตัวอย่างที่สำคัญ ของการดำเนินนโยบาย ในยุคสงครามเย็น แม้จะมีผลกระทบทางลบในด้านสังคม และการสูญเสียเอกราชบางส่วน แต่การสนับสนุนสหรัฐ ในสงครามเวียดนาม ก็ช่วยให้ไทยรอดพ้นจากการคุกคาม ของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค การลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส เป็นการเตือนให้เราตระหนัก ถึงความสำคัญของสันติภาพ และการเจรจา เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 270827 ม.ค. 2568 #สงครามเวียดนาม #ข้อตกลงปารีส #การเมืองโลก #สงครามเย็น #บทบาทไทยในสงคราม #ประวัติศาสตร์เอเชีย #ฐานทัพสหรัฐในไทย #การเจรจาสันติภาพ #การเมืองระหว่างประเทศ #ประวัติศาสตร์สงคราม 🎯
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1441 มุมมอง 0 รีวิว
  • " ที่มาของคำว่าทรัมป์บ้า!!!!! "

    Foreign Policy : ทรัมป์เคยพ่ายแพ้ต่ออิหร่านมาแล้ว
    กลยุทธ์ "ทฤษฎีคนบ้า" (Madman Theory) ของทรัมป์ในเวทีการเผชิญหน้ากับอิหร่าน กลับกลายเป็นหมากที่ไม่ได้ผล เพราะอิหร่านมองทะลุถึงเจตนาและวิธีการของทรัมป์อย่างชัดเจน
    นิตยสาร ฟอเรน โพลิซี (Foreign Policy) ซึ่งเป็นสื่อวิเคราะห์นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ตีพิมพ์บทความชิ้นสำคัญ โดยระบุว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า "ทฤษฎีคนบ้า" ในการสร้างภาพลักษณ์ตนเองให้ดูเป็นผู้นำที่คาดเดาไม่ได้และเต็มไปด้วยความอันตราย แต่คำถามสำคัญคือ วิธีการนี้สามารถบีบให้อิหร่านเปลี่ยนพฤติกรรมได้หรือไม่ หรือกลับทำให้ความขัดแย้งยิ่งรุนแรงขึ้น?
    ทรัมป์เป็นที่รู้จักจากแนวทางที่ผิดแผกไปจากผู้นำทั่วไปในด้านการทูต หนึ่งในกลยุทธ์ที่เขานำมาใช้อย่างต่อเนื่องคือ "ทฤษฎีคนบ้า" ซึ่งมีรากฐานมาจากยุคสงครามเย็นในสมัยริชาร์ด นิกสัน แนวคิดนี้เชื่อว่า ผู้นำสามารถบีบให้คู่ต่อสู้ยอมอ่อนข้อได้โดยการแสดงออกถึงความไม่แน่นอนและการข่มขู่ที่ดูรุนแรง แต่สำหรับเวทีการปะทะกับอิหร่าน คำถามคือ ทฤษฎีนี้ช่วยทรัมป์ได้จริงหรือไม่ หรือกลับเป็นชนวนที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งดิ่งลึกสู่ความรุนแรง?

    ทรัมป์และกลยุทธ์การเจรจาที่อิหร่านไม่สะทกสะท้าน
    โดนัลด์ ทรัมป์เคยพูดถึงแนวทางการเจรจาของเขาอย่างภาคภูมิใจ โดยในการสัมภาษณ์เมื่อปี 2018 เขากล่าวว่า "ผมเป็นนักเจรจาที่มักจะวางตัวเลือกที่หลากหลายไว้บนโต๊ะ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่อาจคาดเดาก้าวต่อไปของผมได้" หนึ่งในตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดของแนวทางนี้คือการข่มขู่ "ทำลายล้างอย่างสมบูรณ์" เกาหลีเหนือ ในสุนทรพจน์ที่สหประชาชาติ แต่เมื่อใช้วิธีเดียวกันนี้กับอิหร่าน ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่ทรัมป์หวังไว้

    นโยบาย “กดดันสูงสุด” และความล้มเหลวในการบีบอิหร่าน
    ในปี 2018 ทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) และเริ่มดำเนินนโยบาย "กดดันสูงสุด" (Maximum Pressure) ด้วยความหวังว่าอิหร่านจะยอมรับข้อตกลงใหม่ที่เข้มงวดกว่าเดิม จอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติในขณะนั้น เปิดเผยในหนังสือของเขาว่า ทรัมป์เชื่อมั่นว่า "อิหร่านจะไม่สามารถทนต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจได้ และในที่สุดจะกลับมาที่โต๊ะเจรจา"

    การตอบโต้ของอิหร่าน: ท้าทายทุกแรงกดดัน
    แต่ความเป็นจริงกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง อิหร่านไม่ได้เพียงแค่ปฏิเสธการเจรจา แต่ยังขยายโครงการนิวเคลียร์และเพิ่มปฏิบัติการของกลุ่มตัวแทนในภูมิภาคเพื่อแสดงถึงความไม่ยอมจำนน มูฮัมหมัด ญาวาด ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านในขณะนั้น กล่าวอย่างหนักแน่นว่า "ทรัมป์คิดว่าแรงกดดันจะทำให้เราอ่อนข้อ แต่ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าชาวอิหร่านยืนหยัดในหน้าความกดดันเสมอ" ความพยายามของทรัมป์ในการบีบอิหร่านด้วยนโยบายกดดันสูงสุดจึงกลายเป็นการเดินเกมที่ไม่ได้ผล อิหร่านตอบโต้ด้วยการยืนหยัดและแสดงศักยภาพของตนเองให้เห็นอย่างชัดเจนในเวทีระหว่างประเทศ

    ปมร้อน: การสังหารสุไลมานีและความล้มเหลวของ "ทฤษฎีคนบ้า"
    หนึ่งในการตัดสินใจที่สร้างความสั่นสะเทือนที่สุดของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คือการออกคำสั่งให้สังหาร นายพลกอเซ็ม สุไลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน ในเดือนมกราคม 2020 การโจมตีนี้เกิดขึ้นใกล้สนามบินกรุงแบกแดด และนำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน อิหร่านตอบโต้การสังหารสุไลมานีด้วยการยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพอเมริกันในอิรัก พร้อมประกาศว่าจะไม่ปฏิบัติตามข้อจำกัดที่ระบุไว้ในข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) อีกต่อไป
    เมื่อ "ทฤษฎีคนบ้า" ไม่ได้ผล
    โรซานา แมคมานัส ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนน์สเตต อธิบายว่า "ทฤษฎีคนบ้า" จะได้ผลก็ต่อเมื่อคู่ต่อสู้เชื่อว่าผู้นำมีความไม่แน่นอนจริงในบางเรื่อง แต่หากผู้นำนั้นดูไม่สมเหตุสมผลจนเกินไป ความเชื่อถือในคำขู่จะลดลง และกลยุทธ์จะล้มเหลว ในกรณีของทรัมป์ นักวิเคราะห์หลายคนเห็นว่า พฤติกรรมของเขาเริ่มคาดเดาได้มากเกินไป เช่น การตัดสินใจไม่ตอบโต้ทางทหารหลังจากอิหร่านยิงโดรนอเมริกันตกในเดือนมิถุนายน 2019 การกระทำดังกล่าวส่งสัญญาณชัดเจนว่า ทรัมป์ไม่ต้องการทำสงคราม การส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกันนี้ทำให้อิหร่านไม่ยอมรับคำขู่ของเขาอย่างจริงจัง นโยบาย "กดดันสูงสุด" ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งหวังให้อิหร่านอ่อนข้อและยอมทำตามข้อตกลงที่เข้มงวดกว่าเดิม กลับกลายเป็นหอกที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง อิหร่านไม่เพียงแต่ยืนหยัดต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจ แต่ยังใช้โอกาสนี้ขยายโครงการนิวเคลียร์และเสริมสร้างอิทธิพลในภูมิภาคให้แข็งแกร่งขึ้น
    เรซานา แมคมานัส นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนน์สเตต ออกโรงเตือนว่า "ผู้นำควรระวังไม่ให้ชื่อเสียงในความบ้าบิ่นกลายเป็นจุดอ่อนของตนเอง" เพราะเมื่อฝ่ายตรงข้ามเริ่มเข้าใจเกมและการกระทำที่ดูเหมือนเหนือความคาดหมาย กลยุทธ์ดังกล่าวอาจกลับกลายเป็นไร้ประสิทธิภาพ

    ดังนั้น หากทรัมป์ตัดสินใจหวนกลับมาใช้ "ทฤษฎีคนบ้า" อีกครั้ง สิ่งสำคัญที่เขาต้องพิจารณาคือคู่แข่ง โดยเฉพาะอิหร่าน ต่างคุ้นเคยกับเกมนี้ดีและพร้อมรับมือด้วยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดกว่าเดิม ทรัมป์ไม่สามารถพึ่งพาความคาดเดาไม่ได้แบบเดิมอีกต่อไป เพราะการเล่นเกมซ้ำที่ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจดี อาจกลายเป็นหายนะในทางการทูต

    (เรียบเรียงโดยสมาคมนักเรียนไทยในอีร่าน)
    " ที่มาของคำว่าทรัมป์บ้า!!!!! " Foreign Policy : ทรัมป์เคยพ่ายแพ้ต่ออิหร่านมาแล้ว กลยุทธ์ "ทฤษฎีคนบ้า" (Madman Theory) ของทรัมป์ในเวทีการเผชิญหน้ากับอิหร่าน กลับกลายเป็นหมากที่ไม่ได้ผล เพราะอิหร่านมองทะลุถึงเจตนาและวิธีการของทรัมป์อย่างชัดเจน นิตยสาร ฟอเรน โพลิซี (Foreign Policy) ซึ่งเป็นสื่อวิเคราะห์นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ตีพิมพ์บทความชิ้นสำคัญ โดยระบุว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า "ทฤษฎีคนบ้า" ในการสร้างภาพลักษณ์ตนเองให้ดูเป็นผู้นำที่คาดเดาไม่ได้และเต็มไปด้วยความอันตราย แต่คำถามสำคัญคือ วิธีการนี้สามารถบีบให้อิหร่านเปลี่ยนพฤติกรรมได้หรือไม่ หรือกลับทำให้ความขัดแย้งยิ่งรุนแรงขึ้น? ทรัมป์เป็นที่รู้จักจากแนวทางที่ผิดแผกไปจากผู้นำทั่วไปในด้านการทูต หนึ่งในกลยุทธ์ที่เขานำมาใช้อย่างต่อเนื่องคือ "ทฤษฎีคนบ้า" ซึ่งมีรากฐานมาจากยุคสงครามเย็นในสมัยริชาร์ด นิกสัน แนวคิดนี้เชื่อว่า ผู้นำสามารถบีบให้คู่ต่อสู้ยอมอ่อนข้อได้โดยการแสดงออกถึงความไม่แน่นอนและการข่มขู่ที่ดูรุนแรง แต่สำหรับเวทีการปะทะกับอิหร่าน คำถามคือ ทฤษฎีนี้ช่วยทรัมป์ได้จริงหรือไม่ หรือกลับเป็นชนวนที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งดิ่งลึกสู่ความรุนแรง? ทรัมป์และกลยุทธ์การเจรจาที่อิหร่านไม่สะทกสะท้าน โดนัลด์ ทรัมป์เคยพูดถึงแนวทางการเจรจาของเขาอย่างภาคภูมิใจ โดยในการสัมภาษณ์เมื่อปี 2018 เขากล่าวว่า "ผมเป็นนักเจรจาที่มักจะวางตัวเลือกที่หลากหลายไว้บนโต๊ะ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่อาจคาดเดาก้าวต่อไปของผมได้" หนึ่งในตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดของแนวทางนี้คือการข่มขู่ "ทำลายล้างอย่างสมบูรณ์" เกาหลีเหนือ ในสุนทรพจน์ที่สหประชาชาติ แต่เมื่อใช้วิธีเดียวกันนี้กับอิหร่าน ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่ทรัมป์หวังไว้ นโยบาย “กดดันสูงสุด” และความล้มเหลวในการบีบอิหร่าน ในปี 2018 ทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) และเริ่มดำเนินนโยบาย "กดดันสูงสุด" (Maximum Pressure) ด้วยความหวังว่าอิหร่านจะยอมรับข้อตกลงใหม่ที่เข้มงวดกว่าเดิม จอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติในขณะนั้น เปิดเผยในหนังสือของเขาว่า ทรัมป์เชื่อมั่นว่า "อิหร่านจะไม่สามารถทนต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจได้ และในที่สุดจะกลับมาที่โต๊ะเจรจา" การตอบโต้ของอิหร่าน: ท้าทายทุกแรงกดดัน แต่ความเป็นจริงกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง อิหร่านไม่ได้เพียงแค่ปฏิเสธการเจรจา แต่ยังขยายโครงการนิวเคลียร์และเพิ่มปฏิบัติการของกลุ่มตัวแทนในภูมิภาคเพื่อแสดงถึงความไม่ยอมจำนน มูฮัมหมัด ญาวาด ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านในขณะนั้น กล่าวอย่างหนักแน่นว่า "ทรัมป์คิดว่าแรงกดดันจะทำให้เราอ่อนข้อ แต่ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าชาวอิหร่านยืนหยัดในหน้าความกดดันเสมอ" ความพยายามของทรัมป์ในการบีบอิหร่านด้วยนโยบายกดดันสูงสุดจึงกลายเป็นการเดินเกมที่ไม่ได้ผล อิหร่านตอบโต้ด้วยการยืนหยัดและแสดงศักยภาพของตนเองให้เห็นอย่างชัดเจนในเวทีระหว่างประเทศ ปมร้อน: การสังหารสุไลมานีและความล้มเหลวของ "ทฤษฎีคนบ้า" หนึ่งในการตัดสินใจที่สร้างความสั่นสะเทือนที่สุดของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คือการออกคำสั่งให้สังหาร นายพลกอเซ็ม สุไลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน ในเดือนมกราคม 2020 การโจมตีนี้เกิดขึ้นใกล้สนามบินกรุงแบกแดด และนำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน อิหร่านตอบโต้การสังหารสุไลมานีด้วยการยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพอเมริกันในอิรัก พร้อมประกาศว่าจะไม่ปฏิบัติตามข้อจำกัดที่ระบุไว้ในข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) อีกต่อไป เมื่อ "ทฤษฎีคนบ้า" ไม่ได้ผล โรซานา แมคมานัส ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนน์สเตต อธิบายว่า "ทฤษฎีคนบ้า" จะได้ผลก็ต่อเมื่อคู่ต่อสู้เชื่อว่าผู้นำมีความไม่แน่นอนจริงในบางเรื่อง แต่หากผู้นำนั้นดูไม่สมเหตุสมผลจนเกินไป ความเชื่อถือในคำขู่จะลดลง และกลยุทธ์จะล้มเหลว ในกรณีของทรัมป์ นักวิเคราะห์หลายคนเห็นว่า พฤติกรรมของเขาเริ่มคาดเดาได้มากเกินไป เช่น การตัดสินใจไม่ตอบโต้ทางทหารหลังจากอิหร่านยิงโดรนอเมริกันตกในเดือนมิถุนายน 2019 การกระทำดังกล่าวส่งสัญญาณชัดเจนว่า ทรัมป์ไม่ต้องการทำสงคราม การส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกันนี้ทำให้อิหร่านไม่ยอมรับคำขู่ของเขาอย่างจริงจัง นโยบาย "กดดันสูงสุด" ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งหวังให้อิหร่านอ่อนข้อและยอมทำตามข้อตกลงที่เข้มงวดกว่าเดิม กลับกลายเป็นหอกที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง อิหร่านไม่เพียงแต่ยืนหยัดต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจ แต่ยังใช้โอกาสนี้ขยายโครงการนิวเคลียร์และเสริมสร้างอิทธิพลในภูมิภาคให้แข็งแกร่งขึ้น เรซานา แมคมานัส นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนน์สเตต ออกโรงเตือนว่า "ผู้นำควรระวังไม่ให้ชื่อเสียงในความบ้าบิ่นกลายเป็นจุดอ่อนของตนเอง" เพราะเมื่อฝ่ายตรงข้ามเริ่มเข้าใจเกมและการกระทำที่ดูเหมือนเหนือความคาดหมาย กลยุทธ์ดังกล่าวอาจกลับกลายเป็นไร้ประสิทธิภาพ ดังนั้น หากทรัมป์ตัดสินใจหวนกลับมาใช้ "ทฤษฎีคนบ้า" อีกครั้ง สิ่งสำคัญที่เขาต้องพิจารณาคือคู่แข่ง โดยเฉพาะอิหร่าน ต่างคุ้นเคยกับเกมนี้ดีและพร้อมรับมือด้วยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดกว่าเดิม ทรัมป์ไม่สามารถพึ่งพาความคาดเดาไม่ได้แบบเดิมอีกต่อไป เพราะการเล่นเกมซ้ำที่ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจดี อาจกลายเป็นหายนะในทางการทูต (เรียบเรียงโดยสมาคมนักเรียนไทยในอีร่าน)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 621 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องราวเขมรนั้นเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผมเสมอมาโดยเฉพาะในเรื่อง “ความกตัญญูกตเวทีอันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของมนุษยชาติ” (แต่จะไม่สามารถเปรียบเทียบกับการตอบแทนบุญคุณชาติบ้านเมือง บุพกษัตริย์และวีรชนของชาติซึ่งยิ่งใหญ่มหาศาลมากกว่ามากมายนัก)ไม่ต้องพูดถึงอดีตกาลโบราณ เอาแค่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ฝรั่งเศสให้เอกราชกัมพูชา ซึ่งมีไทยส่งเสริมสนับสนุนและเป็นชาติแรกๆ ที่รับรองกัมพูชาเป็นสมาชิก UNช่วงสงครามกลางเมืองกัมพูชา ๒๕๑๕ เป็นต้นไป “รัฐบาลไทยสนับสนุนรัฐบาลเจ้านโรดมสีหนุซึ่งวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในยุคสงครามเย็น”แต่ CIA เห็นว่าเจ้าสีหนุที่เป็นทั้งพระมหากษัตริย์ ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีและไว้ใจไม่ได้ จึงสนับสนุนนายพลลอนนนอลรัฐประหารล้มระบอบกษัตริย์ในกัมพูชาฝ่ายพรรคคคอมมิวนิสต์กัมพูชาเห็นความอ่อนแอของรัฐ จึงยึดประเทศเกิดสงครามกลางเมือง (นี่ คือจุดอ่อนของระบอบกษัตริย์ในกัมพูชาจึงง่ายกับการถูกรัฐประหารและล้มล้างระบอบการปกครอง)สงครามกลางเมืองขยายขอบเขตสร้างความเดือนร้อนต่อประชาชนอย่างมหาศาลและกลายเป็นผู้ลี้ภัยทะลักเข้าสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนนับหมิ่นๆ คนตลอดแนวชายแดนไทย/กัมพูชาโดยเฉพาะที่บริเวณเขาอีด่าง จังหวัดสระแก้วในปัจจุบัน (ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ เสด็จไปเยี่ยมผู้อพยพเขมรจนพระองค์ติดเชื้อโรคร้ายเกือบสิ้นพระชนม์ชีพในช่วงนั้นเลย) จิตอาสาแพทย์ไทยหลายสิบๆ คนเสียสละไปช่วยรักษาโรคให้ผู้อพยพเขมรจำนวนมากกองทัพไทยส่งหน่วยทหารไปวางแผนช่วยรัฐบาลนายพลลอนนอลรบกับคอมมิวนิสต์ โดยกองทัพอากาศส่งเครื่องบินไปโจมตีที่ตั้งเขมรแดงในเขตยึดครองเขมรแดงสนับสนุนนายพลลอนนอล (มีตำนานเล่าขานว่า มีนักบิน T-28 ทอ.ไทยถูกยิงตกที่บริเวณทะเลสาปเขมรแต่ก่อนตายถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมมากๆ) ขณะเดียวกันรัฐบาลลอนนอลฉวยโอกาสประกาศอ้างสิทธิ์เขตไหล่ทวีปทับทะเลอาณาเขตของไทย (ที่เป็นช่องทางให้สมเด็จฮุนเซนและลูกใช้อ้างเป็นพื้นที่ทับซ้อนและหวังนำสู่ศาลโลกเพื่อพลิกผันให้มีการตกลงแบ่งกันคนละครึ่งโดยมีคนไทยในระบอบทักษิณสมรู้ร่วมคิดนายพลลอนนอลคงไม่รู้คำว่า “กตัญญูกตเวทิตา” เป็นแน่แท้ (นายพลลอนนอลหนีไปสหรัฐฯ และเป็นโรคร้ายตายในสหรัฐฯ ไปแล้วและเรื่องที่ต้องเล่าแม้เป็นตำนานแต่ก็เป็นที่รู้กัน คือ เรื่องนี้เพราะ รร.นายร้อย West Piont นั้นไม่ใช่จะสมัครสอบเข้าเรียนได้เหมือนอย่างแหล่งอุดมศึกษาอื่นๆ ในสหรัฐฯ แต่มีเงื่อนไขทางกฎหมายสหรัฐฯ กำกับไว้สำหรับผู้ที่มีสิทธิ์อย่างชัดเจนคือ นายพล ฮุน มาเน็ต ที่เรียนจบจาก รร.นายร้อย West Point นั้นได้เข้าเรียนเพราะกองทัพบกไทย (โดยนายพลท่านหนึ่งสั่งการและอนุมัติให้กองทับบกดำเนินการเอาโคว้ต้าของนักเรียนนายร้อย จปร.ที่สามารถเข้าเรียนได้ตามสิทธิ์ในข้อตกลงระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพบกสหรัฐฯ ไปให้ ฮุน มาเน็ต บุตรชายสมเด็จฮุนเซนได้เข้าเรียนที่ West Point เป็นกรณีพิเศษเพื่อสัมพันธไมตรีระหว่างสมเด็จฮุนเซนกับนายพลท่านผู้นั้น)ผมไม่ได้ตำหนิ “นายพลคนใดคนหนึ่งในกองทัพบก” เพราะท่านก็ทำเพื่อสัมพันธไมตรีอันดีเพื่อชาติ (สัมพันธไมตรีนั้นเป็น “นามธรรม” มูลค่าวัดไม่ได้) แต่เรื่องที่ผมอยากพูด คือ คนเนรคุณไม่รู้จักบุญคุณคนไทยทั้งชาติ สำหรับนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเน็ต ไม่รู้บุญคุณนักเรียนนายร้อย จปร.ที่สละสิทธิ์ให้เขาไปเรียน :Vachara Riddhagni
    เรื่องราวเขมรนั้นเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผมเสมอมาโดยเฉพาะในเรื่อง “ความกตัญญูกตเวทีอันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของมนุษยชาติ” (แต่จะไม่สามารถเปรียบเทียบกับการตอบแทนบุญคุณชาติบ้านเมือง บุพกษัตริย์และวีรชนของชาติซึ่งยิ่งใหญ่มหาศาลมากกว่ามากมายนัก)ไม่ต้องพูดถึงอดีตกาลโบราณ เอาแค่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ฝรั่งเศสให้เอกราชกัมพูชา ซึ่งมีไทยส่งเสริมสนับสนุนและเป็นชาติแรกๆ ที่รับรองกัมพูชาเป็นสมาชิก UNช่วงสงครามกลางเมืองกัมพูชา ๒๕๑๕ เป็นต้นไป “รัฐบาลไทยสนับสนุนรัฐบาลเจ้านโรดมสีหนุซึ่งวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในยุคสงครามเย็น”แต่ CIA เห็นว่าเจ้าสีหนุที่เป็นทั้งพระมหากษัตริย์ ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีและไว้ใจไม่ได้ จึงสนับสนุนนายพลลอนนนอลรัฐประหารล้มระบอบกษัตริย์ในกัมพูชาฝ่ายพรรคคคอมมิวนิสต์กัมพูชาเห็นความอ่อนแอของรัฐ จึงยึดประเทศเกิดสงครามกลางเมือง (นี่ คือจุดอ่อนของระบอบกษัตริย์ในกัมพูชาจึงง่ายกับการถูกรัฐประหารและล้มล้างระบอบการปกครอง)สงครามกลางเมืองขยายขอบเขตสร้างความเดือนร้อนต่อประชาชนอย่างมหาศาลและกลายเป็นผู้ลี้ภัยทะลักเข้าสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนนับหมิ่นๆ คนตลอดแนวชายแดนไทย/กัมพูชาโดยเฉพาะที่บริเวณเขาอีด่าง จังหวัดสระแก้วในปัจจุบัน (ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ เสด็จไปเยี่ยมผู้อพยพเขมรจนพระองค์ติดเชื้อโรคร้ายเกือบสิ้นพระชนม์ชีพในช่วงนั้นเลย) จิตอาสาแพทย์ไทยหลายสิบๆ คนเสียสละไปช่วยรักษาโรคให้ผู้อพยพเขมรจำนวนมากกองทัพไทยส่งหน่วยทหารไปวางแผนช่วยรัฐบาลนายพลลอนนอลรบกับคอมมิวนิสต์ โดยกองทัพอากาศส่งเครื่องบินไปโจมตีที่ตั้งเขมรแดงในเขตยึดครองเขมรแดงสนับสนุนนายพลลอนนอล (มีตำนานเล่าขานว่า มีนักบิน T-28 ทอ.ไทยถูกยิงตกที่บริเวณทะเลสาปเขมรแต่ก่อนตายถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมมากๆ) ขณะเดียวกันรัฐบาลลอนนอลฉวยโอกาสประกาศอ้างสิทธิ์เขตไหล่ทวีปทับทะเลอาณาเขตของไทย (ที่เป็นช่องทางให้สมเด็จฮุนเซนและลูกใช้อ้างเป็นพื้นที่ทับซ้อนและหวังนำสู่ศาลโลกเพื่อพลิกผันให้มีการตกลงแบ่งกันคนละครึ่งโดยมีคนไทยในระบอบทักษิณสมรู้ร่วมคิดนายพลลอนนอลคงไม่รู้คำว่า “กตัญญูกตเวทิตา” เป็นแน่แท้ (นายพลลอนนอลหนีไปสหรัฐฯ และเป็นโรคร้ายตายในสหรัฐฯ ไปแล้วและเรื่องที่ต้องเล่าแม้เป็นตำนานแต่ก็เป็นที่รู้กัน คือ เรื่องนี้เพราะ รร.นายร้อย West Piont นั้นไม่ใช่จะสมัครสอบเข้าเรียนได้เหมือนอย่างแหล่งอุดมศึกษาอื่นๆ ในสหรัฐฯ แต่มีเงื่อนไขทางกฎหมายสหรัฐฯ กำกับไว้สำหรับผู้ที่มีสิทธิ์อย่างชัดเจนคือ นายพล ฮุน มาเน็ต ที่เรียนจบจาก รร.นายร้อย West Point นั้นได้เข้าเรียนเพราะกองทัพบกไทย (โดยนายพลท่านหนึ่งสั่งการและอนุมัติให้กองทับบกดำเนินการเอาโคว้ต้าของนักเรียนนายร้อย จปร.ที่สามารถเข้าเรียนได้ตามสิทธิ์ในข้อตกลงระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพบกสหรัฐฯ ไปให้ ฮุน มาเน็ต บุตรชายสมเด็จฮุนเซนได้เข้าเรียนที่ West Point เป็นกรณีพิเศษเพื่อสัมพันธไมตรีระหว่างสมเด็จฮุนเซนกับนายพลท่านผู้นั้น)ผมไม่ได้ตำหนิ “นายพลคนใดคนหนึ่งในกองทัพบก” เพราะท่านก็ทำเพื่อสัมพันธไมตรีอันดีเพื่อชาติ (สัมพันธไมตรีนั้นเป็น “นามธรรม” มูลค่าวัดไม่ได้) แต่เรื่องที่ผมอยากพูด คือ คนเนรคุณไม่รู้จักบุญคุณคนไทยทั้งชาติ สำหรับนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเน็ต ไม่รู้บุญคุณนักเรียนนายร้อย จปร.ที่สละสิทธิ์ให้เขาไปเรียน :Vachara Riddhagni
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1287 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี่คือเหตุผลที่ทำไมขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ORESHNIK ของรัสเซียจึงพร้อมสำหรับการผลิตจำนวนมาก

    การทดสอบการรบประจำการของระบบขีปนาวุธ Oreshnik ในวันพฤหัสบดีกับเป้าหมายทางทหารและอุตสาหกรรมของยูเครนในเมือง Dnepropetrovsk แสดงให้เห็นว่าระบบขีปนาวุธใหม่ของรัสเซียพร้อมสำหรับการนำไปปฏิบัติและการผลิตจำนวนมากแล้ว, และเหตุผลก็คืออาวุธขีปนาวุธของรัสเซียได้รับการออกแบบมาอย่างไรมาหลายทศวรรษ, Dmitry Kornev ผู้สังเกตการณ์ทางทหารที่มีประสบการณ์ของรัสเซียกล่าว

    ศักยภาพของกลุ่มอุตสาหกรรมการทหารของรัสเซียในการผลิตอาวุธแบบ Oreshnik นั้น "สูงกว่าของชาติตะวันตกอย่างเห็นได้ชัด," Kornev กล่าวกับ Sputnik, โดยชี้ไปที่ปรัชญาการออกแบบขีปนาวุธของรัสเซีย (และก่อนหน้านั้นก็คือสหภาพโซเวียต) ที่ย้อนกลับไปถึงการเผชิญหน้าในยุคสงครามเย็นระหว่าง RSD-10 Pioneer และ Pershing 2 โดยระบบของสหภาพโซเวียตได้รับการออกแบบมาเพื่อให้แน่ใจว่ามีการยับยั้งเชิงกลยุทธ์ในระดับทวีป, ซึ่งต่างจากเป้าหมายของสหรัฐฯ ในการโจมตีเป้าหมายของศัตรูให้เร็วที่สุดจากฐานที่มั่นในแนวหน้า

    💬“ระบบของเรามีศักยภาพในการโจมตีที่สูงกว่ามากในแง่ที่ว่ามันถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของเทคโนโลยีขีปนาวุธที่ถูกพิสูจน์แล้ว - ซึ่งมีแนวโน้มสูงสุดที่สถาบันวิศวกรรมความร้อนมอสโก, ซึ่งหมายความว่าการผลิตจำนวนมากและการใช้งานขีปนาวุธจำนวนมากอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งที่มั่นใจได้,” Kornev กล่าว

    💬“ในกรณีของตะวันตก, ระบบที่คล้ายคลึงกัน จะมีราคาค่อนข้างแพงในการสร้าง,” Kornev เน้นย้ำ

    ประธานาธิบดีปูตินยืนยันในการแถลงข่าวต่อเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมเมื่อวันศุกร์ว่า ได้ตัดสินใจแล้วเกี่ยวกับการผลิตจำนวนมากของ Oreshnik, และกองทัพได้รวบรวมคลังอาวุธขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่นี้ไว้, และ “จะดำเนินการทดสอบต่อไป, รวมถึงในสภาพการสู้รบ, ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และลักษณะของภัยคุกคามต่อความปลอดภัยที่รัสเซียเผชิญ”
    .
    HERE’S WHY RUSSIA’S ORESHNIK HYPERSONIC MISSILE IS READY FOR MASS PRODUCTION

    Thursday’s combat deployment testing of the Oreshnik missile system against a Ukrainian military-industrial target in Dnepropetrovsk speaks to the fact that the new Russian missile system is ready for deployment and mass production, and the reason comes down to the way Russia’s missile weaponry has been designed for many decades, says veteran Russian military observer Dmitry Kornev.

    The capabilities of Russia’s military-industrial complex when it comes to producing Oreshnik-style weaponry is “significantly higher than those of the West,” Kornev told Sputnik, pointing to the Russian (and before that Soviet) missile design philosophy going back to the Cold War-era standoff involving the RSD-10 Pioneer and the Pershing 2 – with the Soviet system designed to ensure strategic deterrence on the continental scale, vs. the US goal of delivering a strike against enemy targets as quickly as possible from a forward foothold.

    💬“Our system likely has a far greater strike potential in the sense that it was created on the basis of already proven ballistic missile technologies - most likely, at the Moscow Institute of Thermal Engineering, which means that mass production and rapid deployment of large quantities of the missiles is assured,” Kornev said.

    💬“In the case of the West, any similar system will be rather expensive to create,” Kornev emphasized.

    President Putin confirmed in a briefing with defense officials Friday that a decision on the Oreshnik’s mass production has been taken, and that the military has amassed a stockpile of the new ballistic hypersonic missiles, and “will continue these tests, including in combat conditions, depending on the situation and the nature of the security threats that are created for Russia.”
    .
    2:52 AM · Nov 23, 2024 · 2,723 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1860048762300682281
    นี่คือเหตุผลที่ทำไมขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ORESHNIK ของรัสเซียจึงพร้อมสำหรับการผลิตจำนวนมาก การทดสอบการรบประจำการของระบบขีปนาวุธ Oreshnik ในวันพฤหัสบดีกับเป้าหมายทางทหารและอุตสาหกรรมของยูเครนในเมือง Dnepropetrovsk แสดงให้เห็นว่าระบบขีปนาวุธใหม่ของรัสเซียพร้อมสำหรับการนำไปปฏิบัติและการผลิตจำนวนมากแล้ว, และเหตุผลก็คืออาวุธขีปนาวุธของรัสเซียได้รับการออกแบบมาอย่างไรมาหลายทศวรรษ, Dmitry Kornev ผู้สังเกตการณ์ทางทหารที่มีประสบการณ์ของรัสเซียกล่าว ศักยภาพของกลุ่มอุตสาหกรรมการทหารของรัสเซียในการผลิตอาวุธแบบ Oreshnik นั้น "สูงกว่าของชาติตะวันตกอย่างเห็นได้ชัด," Kornev กล่าวกับ Sputnik, โดยชี้ไปที่ปรัชญาการออกแบบขีปนาวุธของรัสเซีย (และก่อนหน้านั้นก็คือสหภาพโซเวียต) ที่ย้อนกลับไปถึงการเผชิญหน้าในยุคสงครามเย็นระหว่าง RSD-10 Pioneer และ Pershing 2 โดยระบบของสหภาพโซเวียตได้รับการออกแบบมาเพื่อให้แน่ใจว่ามีการยับยั้งเชิงกลยุทธ์ในระดับทวีป, ซึ่งต่างจากเป้าหมายของสหรัฐฯ ในการโจมตีเป้าหมายของศัตรูให้เร็วที่สุดจากฐานที่มั่นในแนวหน้า 💬“ระบบของเรามีศักยภาพในการโจมตีที่สูงกว่ามากในแง่ที่ว่ามันถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของเทคโนโลยีขีปนาวุธที่ถูกพิสูจน์แล้ว - ซึ่งมีแนวโน้มสูงสุดที่สถาบันวิศวกรรมความร้อนมอสโก, ซึ่งหมายความว่าการผลิตจำนวนมากและการใช้งานขีปนาวุธจำนวนมากอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งที่มั่นใจได้,” Kornev กล่าว 💬“ในกรณีของตะวันตก, ระบบที่คล้ายคลึงกัน จะมีราคาค่อนข้างแพงในการสร้าง,” Kornev เน้นย้ำ ประธานาธิบดีปูตินยืนยันในการแถลงข่าวต่อเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมเมื่อวันศุกร์ว่า ได้ตัดสินใจแล้วเกี่ยวกับการผลิตจำนวนมากของ Oreshnik, และกองทัพได้รวบรวมคลังอาวุธขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่นี้ไว้, และ “จะดำเนินการทดสอบต่อไป, รวมถึงในสภาพการสู้รบ, ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และลักษณะของภัยคุกคามต่อความปลอดภัยที่รัสเซียเผชิญ” . HERE’S WHY RUSSIA’S ORESHNIK HYPERSONIC MISSILE IS READY FOR MASS PRODUCTION Thursday’s combat deployment testing of the Oreshnik missile system against a Ukrainian military-industrial target in Dnepropetrovsk speaks to the fact that the new Russian missile system is ready for deployment and mass production, and the reason comes down to the way Russia’s missile weaponry has been designed for many decades, says veteran Russian military observer Dmitry Kornev. The capabilities of Russia’s military-industrial complex when it comes to producing Oreshnik-style weaponry is “significantly higher than those of the West,” Kornev told Sputnik, pointing to the Russian (and before that Soviet) missile design philosophy going back to the Cold War-era standoff involving the RSD-10 Pioneer and the Pershing 2 – with the Soviet system designed to ensure strategic deterrence on the continental scale, vs. the US goal of delivering a strike against enemy targets as quickly as possible from a forward foothold. 💬“Our system likely has a far greater strike potential in the sense that it was created on the basis of already proven ballistic missile technologies - most likely, at the Moscow Institute of Thermal Engineering, which means that mass production and rapid deployment of large quantities of the missiles is assured,” Kornev said. 💬“In the case of the West, any similar system will be rather expensive to create,” Kornev emphasized. President Putin confirmed in a briefing with defense officials Friday that a decision on the Oreshnik’s mass production has been taken, and that the military has amassed a stockpile of the new ballistic hypersonic missiles, and “will continue these tests, including in combat conditions, depending on the situation and the nature of the security threats that are created for Russia.” . 2:52 AM · Nov 23, 2024 · 2,723 Views https://x.com/SputnikInt/status/1860048762300682281
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 783 มุมมอง 0 รีวิว
  • อเมริกาหลังชนฝาปีหน้าปั่นสงครามนิวเคลียร์
    .
    ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยในชีวิตผม ตั้งแต่อยู่ในวงการข่าวมากว่าห้าสิบปี ที่ได้เห็นผู้อำนวยการข่าวกรองกลางสหรัฐฯ หรือ CIA ซึ่งปัจจุบันคือ นายวิลเลียม เบิร์นส และหัวหน้าข่าวกรองต่างประเทศ หรือ MI6 ของอังกฤษ คือ เซอร์ริชาร์ด มัวร์ ไปขึ้นเวทีพร้อมๆ กัน โดยคนที่สัมภาษณ์หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับทั้งสองคน คือ นาง Roula Khalaf บก.บริหารหญิงของ Financial Times ที่ยังมีนายทุนยิวที่มีอิทธิพลครอบงำใน City of London และ Wall Street เหล่านี้และนี่เองคำตอบส่วนหนึ่งว่าทำไม ผอ. ทั้ง CIA และ MI6 ถึงยอมมาขึ้นเวทีของ Financial Times พร้อมกันเป็นครั้งแรก
    .
    องค์กรสืบราชการลับ 2 องค์กรนี้คือตัวสำคัญที่ป่วนโลกทั้งโลกเลย ป่วนหมดทุกอย่างเพื่อหวังผลประโยชน์ในวาระซ่อนเร้น หรือวาระที่ตะวันตกมีอยู่กับโลกทั้งโลกให้เป็นไปตามที่ต้องการ องค์กร 2 องค์กรนี้ ลอบสังหาร ปลุกปั่นชาวบ้าน ยุยงให้มีความวุ่นวายขึ้นมา เพื่อพวกมันจะได้เข้ามาจับปลาตอนน้ำขุ่น
    .
    ท่านผู้ชมครับ ในบทบรรณาธิการ ทั้งวิลเลียม เบิร์นส และ ริชาร์ด มัวร์ เขียนเผยแพร่ร่วมกันในหนังสือพิมพ์ The Financial Times เมื่อวันเดียวกัน วันเสาร์ที่ 7 กันยายน ที่ผ่านมา ทั้งคู่พยายามปั่นกระแสว่าปัจจุบันกำลังเกิดภัยคุกคามโลกอย่างไม่เคยเห็น ตั้งแต่ยุคสงครามเย็น ขณะที่เครื่องบินล่องหน F-35 ก็ฝึกบินลงจอดบนถนนไฮเวย์ในฟินแลนด์ ที่มีพรมแดนติดกับรัสเซีย ส่วนเครื่องรบนาโตของเยอรมนี กำลังฝึกซ้อมขนระเบิดนิวเคลียร์อเมริกา B-61 ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
    .
    นิตยสาร NEWSWEEK รายงานเมื่อวันศุกร์ที่ 6 กันยายน ก่อนวันกล่าวสุนทรพจน์ (7 ก.ย.) ว่า กองทัพนาโตแถลงยืนยันว่า สหรัฐฯ ได้ส่งระเบิดนิวเคลียร์ B61 จำนวนหนึ่งมาประจำการในยุโรป อันเป็นส่วนหนึ่งของการขยายป้องปรามที่รู้จักกันในนาม "ร่มนิวเคลียร์" หรือ Nuclear Umbrella ทั้งนี้ เป็นที่คาดหมายว่าระเบิดนิวเคลียร์ B61 จะถูกประจำไว้ที่ฐานทัพ 6 แห่งในยุโรป รวมทั้งฐานทัพอากาศบูเชล ทางตะวันตกของเยอรมนี
    .
    ผมเป็นคนที่ติดตามสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ของโลกอย่างใกล้ชิดมาหลายสิบปี ช่วงหลังผมมีโอกาสคุยกับคุณทนง ขันทอง นักการทูต และผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศหลายคน จนตกผลึกว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เห็นได้ชัด สถานการณ์ที่ผู้อำนวยการข่าวกรอง MI6 และ CIA มาแถลงข่าวร่วมกัน เห็นได้ชัดว่าชาติตะวันตกและอเมริกาในยุโรปอยู่ในสถานการณ์หลังชนฝา มีความสั่นคลอนมาก จึงพยายามดิ้นรนรักษาความเป็นมหาอำนาจของโลกไว้อยู่ในการควบคุมของตัวเอง ก็คือว่า กูเคยคุมโลกอย่างไร กูไม่สนหรอก กูจะคุมโลกต่อไป ทุกคนต้องฟังกู นี่คือทัศนคติของโลกทางตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯอเมริกา
    .
    เป็นไปได้สูงมากว่าจุดแตกหักอาจจะเกิดขึ้นในปีหน้า คือ 2568 เพราะปีหน้าจากสถานการณ์ทั้งทางธุรกิจ เศรษฐกิจ การลงทุน การขาดดุลการค้า และงบประมาณหลายๆ อย่างของโลกตะวันตก น่าจะก้าวเข้าไปสู่ช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินแล้ว ทั้งนี้ การประชุมสุดยอดของกลุ่ม BRICS ครั้งที่ 16 ที่เมืองคาซาน ซึ่งมีนายวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย เป็นเจ้าภาพในเดือนตุลาคม 2567 ระหว่างวันที่ 22-24 ตุลาคม จะเป็นการส่งสัญญาณที่แรงมาก เพราะมีประเทศที่สนใจเข้าเป็นสมาชิก BRICS เต็มไปหมด รวมๆ แล้ว 50 ประเทศ
    .
    ด้วยเหตุนี้ อเมริกา อังกฤษ และชาติตะวันตกในยุโรปจึงจงใจจุดไฟสงครามเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ BRICS ได้แจ้งเกิด มิฉะนั้นแล้ว ศูนย์กลางการเจริญเติบโตของโลกจะย้ายที่มาที่ Global South หรือซีกโลกใต้ ที่ผมเอ่ยชื่อไปเมื่อกี้นี้อย่างแน่นอน
    .
    ด้วยเหตุนี้ผมจึงมองว่าตอนนี้ระหว่างโลกตะวันตกที่นำโดยอเมริกา กับประเทศในกลุ่ม BRICS ซึ่งนำโดยจีน รัสเซีย อินเดียบราซิลและแอฟริกาใต้ นับวันจะยิ่งแข็งแกร่งและขยายตัวใหญ่ขึ้นทุกที ประจวบกับการที่จีนเข้าไปสานสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ในทวีปแอฟริกาอย่างแน่นแฟ้น ด้วยเหตุนี้ ยิ่งนานวันทั้งสองฝ่ายยิ่งคุยกันไม่รู้เรื่อง
    .
    เพราะฉะนั้นแล้ว สงครามใหญ่อาจจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ผมก็เชื่อว่าเกิดขึ้นได้ยาก แต่มีโอกาสเกิดขึ้นแน่ และผมขอฟันธงไว้ล่วงหน้า ถ้าเกิดขึ้นจริง โลกตะวันตก อียู และอเมริกา จะแพ้ครับ นี่ผมทำนายไว้ล่วงหน้าเลยนะท่านผู้ชม จดเอาไว้ ผมทำนายวันนี้
    ที่มา : คุยทุกเรื่องกับสนธิ https://www.facebook.com/share/p/CrumLsJDbu5LEXj5/?mibextid=CTbP7E
    #Thaitimes
    อเมริกาหลังชนฝาปีหน้าปั่นสงครามนิวเคลียร์ . ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยในชีวิตผม ตั้งแต่อยู่ในวงการข่าวมากว่าห้าสิบปี ที่ได้เห็นผู้อำนวยการข่าวกรองกลางสหรัฐฯ หรือ CIA ซึ่งปัจจุบันคือ นายวิลเลียม เบิร์นส และหัวหน้าข่าวกรองต่างประเทศ หรือ MI6 ของอังกฤษ คือ เซอร์ริชาร์ด มัวร์ ไปขึ้นเวทีพร้อมๆ กัน โดยคนที่สัมภาษณ์หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับทั้งสองคน คือ นาง Roula Khalaf บก.บริหารหญิงของ Financial Times ที่ยังมีนายทุนยิวที่มีอิทธิพลครอบงำใน City of London และ Wall Street เหล่านี้และนี่เองคำตอบส่วนหนึ่งว่าทำไม ผอ. ทั้ง CIA และ MI6 ถึงยอมมาขึ้นเวทีของ Financial Times พร้อมกันเป็นครั้งแรก . องค์กรสืบราชการลับ 2 องค์กรนี้คือตัวสำคัญที่ป่วนโลกทั้งโลกเลย ป่วนหมดทุกอย่างเพื่อหวังผลประโยชน์ในวาระซ่อนเร้น หรือวาระที่ตะวันตกมีอยู่กับโลกทั้งโลกให้เป็นไปตามที่ต้องการ องค์กร 2 องค์กรนี้ ลอบสังหาร ปลุกปั่นชาวบ้าน ยุยงให้มีความวุ่นวายขึ้นมา เพื่อพวกมันจะได้เข้ามาจับปลาตอนน้ำขุ่น . ท่านผู้ชมครับ ในบทบรรณาธิการ ทั้งวิลเลียม เบิร์นส และ ริชาร์ด มัวร์ เขียนเผยแพร่ร่วมกันในหนังสือพิมพ์ The Financial Times เมื่อวันเดียวกัน วันเสาร์ที่ 7 กันยายน ที่ผ่านมา ทั้งคู่พยายามปั่นกระแสว่าปัจจุบันกำลังเกิดภัยคุกคามโลกอย่างไม่เคยเห็น ตั้งแต่ยุคสงครามเย็น ขณะที่เครื่องบินล่องหน F-35 ก็ฝึกบินลงจอดบนถนนไฮเวย์ในฟินแลนด์ ที่มีพรมแดนติดกับรัสเซีย ส่วนเครื่องรบนาโตของเยอรมนี กำลังฝึกซ้อมขนระเบิดนิวเคลียร์อเมริกา B-61 ในรัฐแคลิฟอร์เนีย . นิตยสาร NEWSWEEK รายงานเมื่อวันศุกร์ที่ 6 กันยายน ก่อนวันกล่าวสุนทรพจน์ (7 ก.ย.) ว่า กองทัพนาโตแถลงยืนยันว่า สหรัฐฯ ได้ส่งระเบิดนิวเคลียร์ B61 จำนวนหนึ่งมาประจำการในยุโรป อันเป็นส่วนหนึ่งของการขยายป้องปรามที่รู้จักกันในนาม "ร่มนิวเคลียร์" หรือ Nuclear Umbrella ทั้งนี้ เป็นที่คาดหมายว่าระเบิดนิวเคลียร์ B61 จะถูกประจำไว้ที่ฐานทัพ 6 แห่งในยุโรป รวมทั้งฐานทัพอากาศบูเชล ทางตะวันตกของเยอรมนี . ผมเป็นคนที่ติดตามสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ของโลกอย่างใกล้ชิดมาหลายสิบปี ช่วงหลังผมมีโอกาสคุยกับคุณทนง ขันทอง นักการทูต และผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศหลายคน จนตกผลึกว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เห็นได้ชัด สถานการณ์ที่ผู้อำนวยการข่าวกรอง MI6 และ CIA มาแถลงข่าวร่วมกัน เห็นได้ชัดว่าชาติตะวันตกและอเมริกาในยุโรปอยู่ในสถานการณ์หลังชนฝา มีความสั่นคลอนมาก จึงพยายามดิ้นรนรักษาความเป็นมหาอำนาจของโลกไว้อยู่ในการควบคุมของตัวเอง ก็คือว่า กูเคยคุมโลกอย่างไร กูไม่สนหรอก กูจะคุมโลกต่อไป ทุกคนต้องฟังกู นี่คือทัศนคติของโลกทางตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯอเมริกา . เป็นไปได้สูงมากว่าจุดแตกหักอาจจะเกิดขึ้นในปีหน้า คือ 2568 เพราะปีหน้าจากสถานการณ์ทั้งทางธุรกิจ เศรษฐกิจ การลงทุน การขาดดุลการค้า และงบประมาณหลายๆ อย่างของโลกตะวันตก น่าจะก้าวเข้าไปสู่ช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินแล้ว ทั้งนี้ การประชุมสุดยอดของกลุ่ม BRICS ครั้งที่ 16 ที่เมืองคาซาน ซึ่งมีนายวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย เป็นเจ้าภาพในเดือนตุลาคม 2567 ระหว่างวันที่ 22-24 ตุลาคม จะเป็นการส่งสัญญาณที่แรงมาก เพราะมีประเทศที่สนใจเข้าเป็นสมาชิก BRICS เต็มไปหมด รวมๆ แล้ว 50 ประเทศ . ด้วยเหตุนี้ อเมริกา อังกฤษ และชาติตะวันตกในยุโรปจึงจงใจจุดไฟสงครามเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ BRICS ได้แจ้งเกิด มิฉะนั้นแล้ว ศูนย์กลางการเจริญเติบโตของโลกจะย้ายที่มาที่ Global South หรือซีกโลกใต้ ที่ผมเอ่ยชื่อไปเมื่อกี้นี้อย่างแน่นอน . ด้วยเหตุนี้ผมจึงมองว่าตอนนี้ระหว่างโลกตะวันตกที่นำโดยอเมริกา กับประเทศในกลุ่ม BRICS ซึ่งนำโดยจีน รัสเซีย อินเดียบราซิลและแอฟริกาใต้ นับวันจะยิ่งแข็งแกร่งและขยายตัวใหญ่ขึ้นทุกที ประจวบกับการที่จีนเข้าไปสานสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ในทวีปแอฟริกาอย่างแน่นแฟ้น ด้วยเหตุนี้ ยิ่งนานวันทั้งสองฝ่ายยิ่งคุยกันไม่รู้เรื่อง . เพราะฉะนั้นแล้ว สงครามใหญ่อาจจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ผมก็เชื่อว่าเกิดขึ้นได้ยาก แต่มีโอกาสเกิดขึ้นแน่ และผมขอฟันธงไว้ล่วงหน้า ถ้าเกิดขึ้นจริง โลกตะวันตก อียู และอเมริกา จะแพ้ครับ นี่ผมทำนายไว้ล่วงหน้าเลยนะท่านผู้ชม จดเอาไว้ ผมทำนายวันนี้ ที่มา : คุยทุกเรื่องกับสนธิ https://www.facebook.com/share/p/CrumLsJDbu5LEXj5/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Love
    Yay
    Angry
    21
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 4167 มุมมอง 0 รีวิว