• อวสานหมอบุญ ฮีโร่ของคนไทย

    การออกหมายจับ นพ.บุญ วนาสิน อายุ 86 ปี ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี พร้อมด้วยนางจารุวรรณ วนาสิน อายุ 79 ปี ภรรยา และ น.ส.นลิน วนาสิน อายุ 51 ปี บุตรสาวในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ฟอกเงิน และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค 2534 หลังร่วมกับพวกรวม 9 คน หลอกลวงผู้เสียหายระดับนักธุรกิจชั้นนำระดับประเทศ และบุคลากรทางการแพทย์เข้าร่วมลงทุน แล้วไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ตกลงไว้ มีผู้เสียหาย 527 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 7,564 ล้านบาท

    นับเป็นการปิดฉากหน้ากากคนดี ฮีโร่ของคนไทย อัศวินม้าขาวที่นักการเมืองบางพรรค สื่อกระแสหลักบางค่าย และอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังในไทย ต่างยกย่องในฐานะที่ประกาศตนว่าจะจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ ชนิด mRNA ที่สังคมไทยส่วนหนึ่งถูกทำให้เชื่อว่าเป็นวัคซีนที่ดีที่สุด จำนวน 20 ล้านโดส และด้อยค่ารัฐบาลขณะนั้นที่กำลังจัดการปัญหาโควิด-19 แต่สุดท้ายนอกจากไม่มีการลงนามในสัญญานำเข้าวัคซีนตามที่กล่าวอ้าง การออกข่าวส่งผลต่อราคาหุ้น บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG)

    กระทั่งเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2565 สำนักงาน ก.ล.ต. ลงโทษทางแพ่ง นพ.บุญ ในอัตราสูงสุด คือ 2 ล้านบาท ชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด 2,348,834 บาท และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ หรือบริษัทหลักทรัพย์ 42 เดือน จึงได้ให้ภรรยาเป็นประธานกรรมการบริษัท

    แต่คณะกรรมการตรวจสอบภายในพบรายการธุรกรรมน่าสงสัย 3 รายการ 210 ล้านบาท ทำให้กลุ่มวนาสินยอมเปิดทางให้กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง แต่งตั้ง นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม โดยลดบทบาท นพ.ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ คนใกล้ชิด นพ.บุญ เป็นรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และประธานกลุ่มโรงพยาบาลในเครือที่ 1 ส่วน น.ส.นลิน เป็นประธานเจ้าหน้าที่ความยั่งยืน แต่นางจารุวรรณยังคงดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท

    สำหรับพฤติการณ์พบว่า นพ.บุญสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการออกสื่อ อ้างการลงทุนที่น่าสนใจ 5 โครงการ ให้ตัวแทน (โบรกเกอร์) บริษัทหลักทรัพย์ระดมเงินลงทุนให้ นพ.บุญ และครอบครัว รวมทั้ง นพ.บุญ ทำสัญญากู้ยืมเงินโดยให้ดอกเบี้ยและได้จ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยล่วงหน้า เซ็นสลักหลังนางจารุวรรณ และอดีตลูกสะใภ้ในเช็คทุกใบของ นพ.บุญ มอบให้แก่ผู้ให้กู้ ช่วงแรกให้ดอกเบี้ย ช่วงหลังไม่มีการจ่าย และเมื่อนำเช็คไปขึ้นเงินตามวันเวลาที่สั่งจ่าย ปรากฎว่าเช็คเด้ง

    นพ.บุญออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2567 เวลา 14.25 น. โดยสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิก เที่ยวบินที่ CX712 ไปยังฮ่องกง

    #Newskit
    อวสานหมอบุญ ฮีโร่ของคนไทย การออกหมายจับ นพ.บุญ วนาสิน อายุ 86 ปี ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี พร้อมด้วยนางจารุวรรณ วนาสิน อายุ 79 ปี ภรรยา และ น.ส.นลิน วนาสิน อายุ 51 ปี บุตรสาวในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ฟอกเงิน และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค 2534 หลังร่วมกับพวกรวม 9 คน หลอกลวงผู้เสียหายระดับนักธุรกิจชั้นนำระดับประเทศ และบุคลากรทางการแพทย์เข้าร่วมลงทุน แล้วไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ตกลงไว้ มีผู้เสียหาย 527 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 7,564 ล้านบาท นับเป็นการปิดฉากหน้ากากคนดี ฮีโร่ของคนไทย อัศวินม้าขาวที่นักการเมืองบางพรรค สื่อกระแสหลักบางค่าย และอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังในไทย ต่างยกย่องในฐานะที่ประกาศตนว่าจะจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ ชนิด mRNA ที่สังคมไทยส่วนหนึ่งถูกทำให้เชื่อว่าเป็นวัคซีนที่ดีที่สุด จำนวน 20 ล้านโดส และด้อยค่ารัฐบาลขณะนั้นที่กำลังจัดการปัญหาโควิด-19 แต่สุดท้ายนอกจากไม่มีการลงนามในสัญญานำเข้าวัคซีนตามที่กล่าวอ้าง การออกข่าวส่งผลต่อราคาหุ้น บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) กระทั่งเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2565 สำนักงาน ก.ล.ต. ลงโทษทางแพ่ง นพ.บุญ ในอัตราสูงสุด คือ 2 ล้านบาท ชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด 2,348,834 บาท และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ หรือบริษัทหลักทรัพย์ 42 เดือน จึงได้ให้ภรรยาเป็นประธานกรรมการบริษัท แต่คณะกรรมการตรวจสอบภายในพบรายการธุรกรรมน่าสงสัย 3 รายการ 210 ล้านบาท ทำให้กลุ่มวนาสินยอมเปิดทางให้กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง แต่งตั้ง นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม โดยลดบทบาท นพ.ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ คนใกล้ชิด นพ.บุญ เป็นรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และประธานกลุ่มโรงพยาบาลในเครือที่ 1 ส่วน น.ส.นลิน เป็นประธานเจ้าหน้าที่ความยั่งยืน แต่นางจารุวรรณยังคงดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท สำหรับพฤติการณ์พบว่า นพ.บุญสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการออกสื่อ อ้างการลงทุนที่น่าสนใจ 5 โครงการ ให้ตัวแทน (โบรกเกอร์) บริษัทหลักทรัพย์ระดมเงินลงทุนให้ นพ.บุญ และครอบครัว รวมทั้ง นพ.บุญ ทำสัญญากู้ยืมเงินโดยให้ดอกเบี้ยและได้จ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยล่วงหน้า เซ็นสลักหลังนางจารุวรรณ และอดีตลูกสะใภ้ในเช็คทุกใบของ นพ.บุญ มอบให้แก่ผู้ให้กู้ ช่วงแรกให้ดอกเบี้ย ช่วงหลังไม่มีการจ่าย และเมื่อนำเช็คไปขึ้นเงินตามวันเวลาที่สั่งจ่าย ปรากฎว่าเช็คเด้ง นพ.บุญออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2567 เวลา 14.25 น. โดยสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิก เที่ยวบินที่ CX712 ไปยังฮ่องกง #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขายตัวเราให้แกลูกค้าก่อนที่จะแสวงผลกำไรจากมัน...หลายธุรกิจขาดทุนก่อน หลายธุรกิจโปรโมชั่นเลยตั้งแต่เปิด ลองนึกภาพตามครับ facebook ใช้ฟรีกี่ปี...? youtube ใช้แบบไม่มีโฆษณาแฝงกี่ปี...? ย้อนไปสัก 13_14 ปีก่อน..ผมยังนึกเลย..ว่า ช่องทางรายได้มาจากไหน...และจะประคองธุรกิจไปนานแค่ไหน....นั่นคือ สิ่งที่คิดในตอนนี้น....แล้วคุณดูปัจจุบัน...ของ 2 สิ่งที่เขียน...กอบโกยแบบมหาศาล.....จนมาแชร์แบ่งปันให้คนสร้างรายได้ กับพวกเขาด้วยในโหมดมืออาชีพ...เอาสิ...แต่เขาไม่ให้คุณธรรมดา มันมีกลยุทธทางการตลาดที่ซ่อนอยู่ในนั้น ดูแล้ว...ย้อนนึกถึง otop ไทย..มั่นใจสูง ของข้าดี มีคุณภาพ ตั้งราคาเทียบเคียงของแบรนด์ที่อยู่ในตลาดก่อนแล้ว..ความคิดแรก..เป็นคุณจะเลือกอะไร?.คุณก็ต้องเลือกสิ่งที่คุณรู้จัก คุ้นเคย..ถูกต้องไหม...นอกจากมีแรงจูงใจอื่นๆ...sme ครับ สมัยก่อน ผมบรรยายเรื่องการตลาดมาหลายที่...แต่หยุดเป็น 10 ปี แล้ว..แต่ไม่ได้หยุดติดตาม..หรือหยุดเรียนรู้เลย...ยกตัวอย่าง สุกี้สารพัดทั้งหลาย..เกิดขึ้นจากอะไร โตจากอะไร บุฟเฟต์ 299 ...ใช่สิ่งใหม่ไหม .ไม่ใช่เลย...แค่กลยุทธ์ด้านราคา...แต่ได้ผล...แต่ส่วนมีความเห็นว่า ธุรกิจแนวบุฟเฟต์ ไม่ยั่งยืนนาน...อีกหน่อย ผู้บริโภคก็จะชินชา ...มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย Hotpot daidomon และพวกหมูกระทะอีกมากมาย...ที่ล้วนหายไป.. อีกเรื่อง คนจำนวนไม่น้อย ในการลงทุนอะไรสักอย่าง ต้นทุนคงที่เท่าไร ต้นทุนผันแปรที่ควรต้องเผื่อไว้เท่าไร จุดคุ้มทุนเป็นไงบ้าง กี่ปี่กี่เดือน เหมาะสมกับมูลค่าการลงทุนไหม เงินธุรกิจเงินส่วนตัวกระเป๋าเดียวไม่ได้ยังไม่รู้เลย บัญชีรับจ่ายได้ทำไหม? ..คือ เห็นแล้ว เสียดายแทน ไปกู้หนี้ยืมสินเขามาลงทุน สุดท้าย เอาไปละลายในน้ำ...
    ขายตัวเราให้แกลูกค้าก่อนที่จะแสวงผลกำไรจากมัน...หลายธุรกิจขาดทุนก่อน หลายธุรกิจโปรโมชั่นเลยตั้งแต่เปิด ลองนึกภาพตามครับ facebook ใช้ฟรีกี่ปี...? youtube ใช้แบบไม่มีโฆษณาแฝงกี่ปี...? ย้อนไปสัก 13_14 ปีก่อน..ผมยังนึกเลย..ว่า ช่องทางรายได้มาจากไหน...และจะประคองธุรกิจไปนานแค่ไหน....นั่นคือ สิ่งที่คิดในตอนนี้น....แล้วคุณดูปัจจุบัน...ของ 2 สิ่งที่เขียน...กอบโกยแบบมหาศาล.....จนมาแชร์แบ่งปันให้คนสร้างรายได้ กับพวกเขาด้วยในโหมดมืออาชีพ...เอาสิ...แต่เขาไม่ให้คุณธรรมดา มันมีกลยุทธทางการตลาดที่ซ่อนอยู่ในนั้น ดูแล้ว...ย้อนนึกถึง otop ไทย..มั่นใจสูง ของข้าดี มีคุณภาพ ตั้งราคาเทียบเคียงของแบรนด์ที่อยู่ในตลาดก่อนแล้ว..ความคิดแรก..เป็นคุณจะเลือกอะไร?.คุณก็ต้องเลือกสิ่งที่คุณรู้จัก คุ้นเคย..ถูกต้องไหม...นอกจากมีแรงจูงใจอื่นๆ...sme ครับ สมัยก่อน ผมบรรยายเรื่องการตลาดมาหลายที่...แต่หยุดเป็น 10 ปี แล้ว..แต่ไม่ได้หยุดติดตาม..หรือหยุดเรียนรู้เลย...ยกตัวอย่าง สุกี้สารพัดทั้งหลาย..เกิดขึ้นจากอะไร โตจากอะไร บุฟเฟต์ 299 ...ใช่สิ่งใหม่ไหม .ไม่ใช่เลย...แค่กลยุทธ์ด้านราคา...แต่ได้ผล...แต่ส่วนมีความเห็นว่า ธุรกิจแนวบุฟเฟต์ ไม่ยั่งยืนนาน...อีกหน่อย ผู้บริโภคก็จะชินชา ...มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย Hotpot daidomon และพวกหมูกระทะอีกมากมาย...ที่ล้วนหายไป.. อีกเรื่อง คนจำนวนไม่น้อย ในการลงทุนอะไรสักอย่าง ต้นทุนคงที่เท่าไร ต้นทุนผันแปรที่ควรต้องเผื่อไว้เท่าไร จุดคุ้มทุนเป็นไงบ้าง กี่ปี่กี่เดือน เหมาะสมกับมูลค่าการลงทุนไหม เงินธุรกิจเงินส่วนตัวกระเป๋าเดียวไม่ได้ยังไม่รู้เลย บัญชีรับจ่ายได้ทำไหม? ..คือ เห็นแล้ว เสียดายแทน ไปกู้หนี้ยืมสินเขามาลงทุน สุดท้าย เอาไปละลายในน้ำ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขายตัวเราให้แกลูกค้าก่อนที่จะแสวงผลกำไรจากมัน...หลายธุรกิจขาดทุนก่อน หลายธุรกิจโปรโมชั่นเลยตั้งแต่เปิด ลองนึกภาพตามครับ facebook ใช้ฟรีกี่ปี...? youtube ใช้แบบไม่มีโฆษณาแฝงกี่ปี...? ย้อนไปสัก 13_14 ปีก่อน..ผมยังนึกเลย..ว่า ช่องทางรายได้มาจากไหน...และจะประคองธุรกิจไปนานแค่ไหน....นั่นคือ สิ่งที่คิดในตอนนี้น....แล้วคุณดูปัจจุบัน...ของ 2 สิ่งที่เขียน...กอบโกยแบบมหาศาล.....จนมาแชร์แบ่งปันให้คนสร้างรายได้ กับพวกเขาด้วยในโหมดมืออาชีพ...เอาสิ...แต่เขาไม่ให้คุณธรรมดา มันมีกลยุทธทางการตลาดที่ซ่อนอยู่ในนั้น ดูแล้ว...ย้อนนึกถึง otop ไทย..มั่นใจสูง ของข้าดี มีคุณภาพ ตั้งราคาเทียบเคียงของแบรนด์ที่อยู่ในตลาดก่อนแล้ว..ความคิดแรก..เป็นคุณจะเลือกอะไร?.คุณก็ต้องเลือกสิ่งที่คุณรู้จัก คุ้นเคย..ถูกต้องไหม...นอกจากมีแรงจูงใจอื่นๆ...sme ครับ สมัยก่อน ผมบรรยายเรื่องการตลาดมาหลายที่...แต่หยุดเป็น 10 ปี แล้ว..แต่ไม่ได้หยุดติดตาม..หรือหยุดเรียนรู้เลย...ยกตัวอย่าง สุกี้สารพัดทั้งหลาย..เกิดขึ้นจากอะไร โตจากอะไร บุฟเฟต์ 299 ...ใช่สิ่งใหม่ไหม .ไม่ใช่เลย...แค่กลยุทธ์ด้านราคา...แต่ได้ผล...แต่ส่วนมีความเห็นว่า ธุรกิจแนวบุฟเฟต์ ไม่ยั่งยืนนาน...อีกหน่อย ผู้บริโภคก็จะชินชา ...มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย Hotpot daidomon และพวกหมูกระทะอีกมากมาย...ที่ล้วนหายไป.. อีกเรื่อง คนจำนวนไม่น้อย ในการลงทุนอะไรสักอย่าง ต้นทุนคงที่เท่าไร ต้นทุนผันแปรที่ควรต้องเผื่อไว้เท่าไร จุดคุ้มทุนเป็นไงบ้าง กี่ปี่กี่เดือน เหมาะสมกับมูลค่าการลงทุนไหม เงินธุรกิจเงินส่วนตัวกระเป๋าเดียวไม่ได้ยังไม่รู้เลย บัญชีรับจ่ายได้ทำไหม? ..คือ เห็นแล้ว เสียดายแทน ไปกู้หนี้ยืมสินเขามาลงทุน สุดท้าย เอาไปละลายในน้ำ...
    ขายตัวเราให้แกลูกค้าก่อนที่จะแสวงผลกำไรจากมัน...หลายธุรกิจขาดทุนก่อน หลายธุรกิจโปรโมชั่นเลยตั้งแต่เปิด ลองนึกภาพตามครับ facebook ใช้ฟรีกี่ปี...? youtube ใช้แบบไม่มีโฆษณาแฝงกี่ปี...? ย้อนไปสัก 13_14 ปีก่อน..ผมยังนึกเลย..ว่า ช่องทางรายได้มาจากไหน...และจะประคองธุรกิจไปนานแค่ไหน....นั่นคือ สิ่งที่คิดในตอนนี้น....แล้วคุณดูปัจจุบัน...ของ 2 สิ่งที่เขียน...กอบโกยแบบมหาศาล.....จนมาแชร์แบ่งปันให้คนสร้างรายได้ กับพวกเขาด้วยในโหมดมืออาชีพ...เอาสิ...แต่เขาไม่ให้คุณธรรมดา มันมีกลยุทธทางการตลาดที่ซ่อนอยู่ในนั้น ดูแล้ว...ย้อนนึกถึง otop ไทย..มั่นใจสูง ของข้าดี มีคุณภาพ ตั้งราคาเทียบเคียงของแบรนด์ที่อยู่ในตลาดก่อนแล้ว..ความคิดแรก..เป็นคุณจะเลือกอะไร?.คุณก็ต้องเลือกสิ่งที่คุณรู้จัก คุ้นเคย..ถูกต้องไหม...นอกจากมีแรงจูงใจอื่นๆ...sme ครับ สมัยก่อน ผมบรรยายเรื่องการตลาดมาหลายที่...แต่หยุดเป็น 10 ปี แล้ว..แต่ไม่ได้หยุดติดตาม..หรือหยุดเรียนรู้เลย...ยกตัวอย่าง สุกี้สารพัดทั้งหลาย..เกิดขึ้นจากอะไร โตจากอะไร บุฟเฟต์ 299 ...ใช่สิ่งใหม่ไหม .ไม่ใช่เลย...แค่กลยุทธ์ด้านราคา...แต่ได้ผล...แต่ส่วนมีความเห็นว่า ธุรกิจแนวบุฟเฟต์ ไม่ยั่งยืนนาน...อีกหน่อย ผู้บริโภคก็จะชินชา ...มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย Hotpot daidomon และพวกหมูกระทะอีกมากมาย...ที่ล้วนหายไป.. อีกเรื่อง คนจำนวนไม่น้อย ในการลงทุนอะไรสักอย่าง ต้นทุนคงที่เท่าไร ต้นทุนผันแปรที่ควรต้องเผื่อไว้เท่าไร จุดคุ้มทุนเป็นไงบ้าง กี่ปี่กี่เดือน เหมาะสมกับมูลค่าการลงทุนไหม เงินธุรกิจเงินส่วนตัวกระเป๋าเดียวไม่ได้ยังไม่รู้เลย บัญชีรับจ่ายได้ทำไหม? ..คือ เห็นแล้ว เสียดายแทน ไปกู้หนี้ยืมสินเขามาลงทุน สุดท้าย เอาไปละลายในน้ำ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • "จินตนาการ: ความจริงของเด็ก และบทเรียนของผู้ใหญ่"เมื่อเราย้อนคิดถึงวัยเด็ก เราทุกคนล้วนเคยใช้จินตนาการเป็นที่หลบภัยในวันที่ความจริงไม่เป็นดั่งใจ สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของเด็ก แต่ยังสะท้อนความจริงของมนุษย์ทุกช่วงวัย เมื่อเราปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้มา จินตนาการจะกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยปลอบประโลมใจ เป็นที่พักพิงชั่วคราว หรือในบางครั้งก็อาจยืดเยื้อจนกลายเป็นความจริงที่เราหลอกตัวเองว่า "เป็นไปได้"---จินตนาการในวัยเด็ก: ความรักที่ขาดหายในช่วงวัยเด็ก หากเด็กไม่ได้รับความรักหรือความสนใจเพียงพอจากพ่อแม่ พวกเขามักสร้าง "พ่อแม่ในจินตนาการ" ขึ้นมา พ่อแม่ที่ใจดี อบอุ่น รักใคร่ และพร้อมมอบทุกสิ่งให้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รักพ่อแม่ตัวจริง แต่เพราะพวกเขากำลังหาทางเติมเต็มความว่างเปล่าในใจจินตนาการเหล่านี้ช่วยเด็กจัดการกับความรู้สึกขาดหายแต่เมื่อเวลาผ่านไป จินตนาการที่ยืดเยื้ออาจทำให้พวกเขาปฏิเสธความจริง และเชื่อว่า "ไม่มีใครในโลกเข้าใจหรือรักพวกเขาจริงๆ"---จินตนาการในวัยผู้ใหญ่: ความฝันหรือการหลีกหนี?จินตนาการไม่ใช่เรื่องของเด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่เองก็ใช้มันเป็นเครื่องมือหลีกหนีความจริง เช่น การจินตนาการว่าร่ำรวย การได้ใช้ชีวิตในแบบที่ปรารถนา หรือแม้กระทั่งการคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่กว่าความจริงที่เป็นอยู่ความฝันและความหวังเป็นสิ่งดี หากใช้เพื่อสร้างแรงผลักดันแต่เมื่อจินตนาการกลายเป็น "หลุมหลบภัย" มันอาจหยุดยั้งเราไม่ให้เผชิญและแก้ไขปัญหาที่แท้จริง---บทเรียนสำหรับพ่อแม่: การสร้างจักรวาลเดียวกันกับลูกพ่อแม่ที่มัวแต่หมกมุ่นกับความต้องการของตนเอง หรืออ้างว่า "ทำเพื่ออนาคตของลูก" แต่กลับละเลยการใส่ใจในปัจจุบัน อาจกำลังสร้างกำแพงระหว่างตัวเองกับลูกการปล่อยให้ลูกต้องจมอยู่ในจินตนาการเพียงลำพัง อาจทำให้พวกเขาโตขึ้นมาโดยขาดความผูกพันกับความจริงในทางกลับกัน หากพ่อแม่สร้างจินตนาการร่วมกับลูก เช่น การอ่านนิทาน การพูดคุย และการเล่นร่วมกัน จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น---ความสำคัญของการรู้จักกันและกันการรู้จักลูกอย่างแท้จริงตั้งแต่พวกเขาเกิด คือการป้องกันปัญหาความสัมพันธ์ในอนาคตลูกที่ได้รับความสนใจและการยอมรับจากพ่อแม่จะรู้สึกว่า "พวกเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก"พ่อแม่ที่เข้าใจลูก จะมองเห็นความต้องการและปัญหาที่แท้จริงของลูก---ข้อคิดสำหรับพ่อแม่1. ใส่ใจในปัจจุบัน: อย่ามองข้ามความต้องการเล็กๆ น้อยๆ ของลูก เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน2. สร้างจินตนาการร่วมกัน: ใช้เวลาอ่านนิทานหรือพูดคุยกับลูก เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่า "พ่อแม่เข้าใจพวกเขา"3. อย่าปล่อยให้จินตนาการกลายเป็นหลุมหลบภัย: ช่วยให้ลูกเผชิญกับความจริงอย่างมั่นคง---"จินตนาการอาจเติมเต็มความว่างเปล่าในใจได้ชั่วคราว แต่ความรักและความเข้าใจจากพ่อแม่เท่านั้น ที่สามารถเติมเต็มชีวิตลูกได้อย่างแท้จริง"
    "จินตนาการ: ความจริงของเด็ก และบทเรียนของผู้ใหญ่"เมื่อเราย้อนคิดถึงวัยเด็ก เราทุกคนล้วนเคยใช้จินตนาการเป็นที่หลบภัยในวันที่ความจริงไม่เป็นดั่งใจ สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของเด็ก แต่ยังสะท้อนความจริงของมนุษย์ทุกช่วงวัย เมื่อเราปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้มา จินตนาการจะกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยปลอบประโลมใจ เป็นที่พักพิงชั่วคราว หรือในบางครั้งก็อาจยืดเยื้อจนกลายเป็นความจริงที่เราหลอกตัวเองว่า "เป็นไปได้"---จินตนาการในวัยเด็ก: ความรักที่ขาดหายในช่วงวัยเด็ก หากเด็กไม่ได้รับความรักหรือความสนใจเพียงพอจากพ่อแม่ พวกเขามักสร้าง "พ่อแม่ในจินตนาการ" ขึ้นมา พ่อแม่ที่ใจดี อบอุ่น รักใคร่ และพร้อมมอบทุกสิ่งให้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รักพ่อแม่ตัวจริง แต่เพราะพวกเขากำลังหาทางเติมเต็มความว่างเปล่าในใจจินตนาการเหล่านี้ช่วยเด็กจัดการกับความรู้สึกขาดหายแต่เมื่อเวลาผ่านไป จินตนาการที่ยืดเยื้ออาจทำให้พวกเขาปฏิเสธความจริง และเชื่อว่า "ไม่มีใครในโลกเข้าใจหรือรักพวกเขาจริงๆ"---จินตนาการในวัยผู้ใหญ่: ความฝันหรือการหลีกหนี?จินตนาการไม่ใช่เรื่องของเด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่เองก็ใช้มันเป็นเครื่องมือหลีกหนีความจริง เช่น การจินตนาการว่าร่ำรวย การได้ใช้ชีวิตในแบบที่ปรารถนา หรือแม้กระทั่งการคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่กว่าความจริงที่เป็นอยู่ความฝันและความหวังเป็นสิ่งดี หากใช้เพื่อสร้างแรงผลักดันแต่เมื่อจินตนาการกลายเป็น "หลุมหลบภัย" มันอาจหยุดยั้งเราไม่ให้เผชิญและแก้ไขปัญหาที่แท้จริง---บทเรียนสำหรับพ่อแม่: การสร้างจักรวาลเดียวกันกับลูกพ่อแม่ที่มัวแต่หมกมุ่นกับความต้องการของตนเอง หรืออ้างว่า "ทำเพื่ออนาคตของลูก" แต่กลับละเลยการใส่ใจในปัจจุบัน อาจกำลังสร้างกำแพงระหว่างตัวเองกับลูกการปล่อยให้ลูกต้องจมอยู่ในจินตนาการเพียงลำพัง อาจทำให้พวกเขาโตขึ้นมาโดยขาดความผูกพันกับความจริงในทางกลับกัน หากพ่อแม่สร้างจินตนาการร่วมกับลูก เช่น การอ่านนิทาน การพูดคุย และการเล่นร่วมกัน จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น---ความสำคัญของการรู้จักกันและกันการรู้จักลูกอย่างแท้จริงตั้งแต่พวกเขาเกิด คือการป้องกันปัญหาความสัมพันธ์ในอนาคตลูกที่ได้รับความสนใจและการยอมรับจากพ่อแม่จะรู้สึกว่า "พวกเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก"พ่อแม่ที่เข้าใจลูก จะมองเห็นความต้องการและปัญหาที่แท้จริงของลูก---ข้อคิดสำหรับพ่อแม่1. ใส่ใจในปัจจุบัน: อย่ามองข้ามความต้องการเล็กๆ น้อยๆ ของลูก เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน2. สร้างจินตนาการร่วมกัน: ใช้เวลาอ่านนิทานหรือพูดคุยกับลูก เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่า "พ่อแม่เข้าใจพวกเขา"3. อย่าปล่อยให้จินตนาการกลายเป็นหลุมหลบภัย: ช่วยให้ลูกเผชิญกับความจริงอย่างมั่นคง---"จินตนาการอาจเติมเต็มความว่างเปล่าในใจได้ชั่วคราว แต่ความรักและความเข้าใจจากพ่อแม่เท่านั้น ที่สามารถเติมเต็มชีวิตลูกได้อย่างแท้จริง"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปูตินลงนาม ประกาศหลักการใช้อาวุธนิวเคลียร์ฉบับแก้ไขปรับปรุงใหม่ ซึ่งขยายเงื่อนไขที่รัสเซียจะพิจารณาใช้อาวุธนิวเคลียร์ให้กว้างขวางกว่าเดิม โดยครอบคลุมกรณีแดนหมีขาวถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธซึ่งมีมหาอำนาจนิวเคลียร์ให้การสนับสนุนด้วย ถือว่าเป็นการตอบโต้โดยตรงต่อการที่อเมริกาอนุญาตเคียฟใช้ขีปนาวุธพิสัยทำการไกลๆ โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ขณะเดียวกัน เซเลนสกี้ประกาศในวันเดียวกัน ซึ่งเป็นวันครบรอบมอสโกเปิดฉากรุกรานครบ 1,000 วัน โวลั่นยูเครนจะไม่ยอมจำนน
    .
    ยูเครนเริ่มต้นวันอังคาร (19 ) วันครบรอบ 1,000 วันที่ถูกรัสเซียรุกรานด้วยข่าวการโจมตีของมอสโกในเมืองซูมี ทางตะวันออกของประเทศ เมื่อคืนวันจันทร์ (18 พ.ย.) ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 9 คน รวมถึงเด็ก
    .
    เคียฟระบุว่า ตลอดคืนวันจันทร์ รัสเซียได้ส่งโดรน 87 ลำโจมตีทั่วยูเครน แต่ถูกยิงตก 51 ลำ นอกจากนั้นในวันจันทร์รัสเซียยังยิงขีปนาวุธโจมตีโอเดสซา เมืองท่าสำคัญทางภาคใต้ของประเทศ ซึ่งได้รับการประกาศรับรองจากยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลก ทำให้มีผู้เสียชีวิต 10 คน และบาดเจ็บ 55 คน
    .
    ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ เผยแพร่ภาพเจ้าหน้าที่กู้ภัยนำร่างผู้เสียชีวิตออกจากซากอาคารที่พักอาศัยในเมืองซูมี ที่ถูกโจมตี และเรียกร้องพันธมิตรบีบให้เครมลินทำข้อตกลงสันติภาพ
    .
    กระทรวงการต่างประเทศยูเครนแถลงในทิศทางเดียวกันด้วยการเรียกร้องบรรดาพันธมิตรเร่งให้การสนับสนุนทางทหารเพื่อยุติสงครามนี้ลงไปอย่าง “ยั่งยืน” และย้ำว่า เคียฟจะไม่ยอมจำนนต่อผู้รุกราน แต่กองทัพรัสเซียต้องถูกลงโทษที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
    .
    ทว่า ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียงเครมลิน ประกาศกร้าวเหมือนกันว่า ปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียต่อเคียฟจะต้องดำเนินต่อไปจนเสร็จสมบูรณ์
    .
    ถ้อยแถลงนี้มีขึ้นขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ลงนามประกาศใช้กฤษฎีกาซึ่งเป็นการขยายขอบเขตเงื่อนไขที่มอสโกจะพิจารณาใช้อาวุธนิวเคลียร์ โดยนอกจากในกรณีถูกโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ตามที่กล่าวไว้ในหลักนิยมนิวเคลียร์ฉบับเดิมแล้ว ต่อจากนี้ไปรัสเซียจะสามารถใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้ด้วย ในกรณีถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธตามแบบแผน โดรน หรือเครื่องบินอื่นๆ ของประเทศที่ไม่ได้ครอบครองนิวเคลียร์แต่ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจนิวเคลียร์
    .
    นอกจากนั้นการรุกรานรัสเซียโดยประเทศที่เป็นสมาชิกแนวร่วมหรือกลุ่มพันธมิตรแห่งใดแห่งหนึ่ง จะถือว่า แนวร่วมหรือกลุ่มพันะมิตรแห่งนั้นมีส่วนร่วมในการรุกรานด้วย
    .
    เครมลินระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้มีความจำเป็นเพื่อทำให้หลักนิยมนิวเคลียร์ของรัสเซียสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
    .
    ความเคลื่อนไหวนี้ มอสโกมุ่งที่จะเตือนตะวันตกและยูเครนอย่างชัดเจน หลังจากมีรายงานว่าคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้อนุญาตให้เคียฟใช้ขีปนาวุธพิสัยทำการไกลๆ ที่อเมริกาจัดหาให้เข้าโจมตีเป้าหมายทางทหารภายในรัสเซีย
    .
    ขณะเดียวกัน เมื่อวันอังคาร โจเซฟ บอร์เรลล์ ประธานด้านนโยบายการต่างประเทศของสหภาพยุโรป ที่กำลังจะหมดวาระดำรงตำแหน่ง ได้ออกมาเรียกร้องให้ชาติสมาชิกอียูปรับแนวทางให้สอดคล้องกับวอชิงตันในการอนุญาตให้เคียฟใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลๆที่ยุโรปจัดส่งให้ ในการโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย
    .
    เปสคอฟวิจารณ์ว่า คณะบริหารของไบเดนที่กำลังจะหมดวาระต้องการยั่วยุให้ความขัดแย้งในยูเครนบานปลายขยายตัวออกไป และกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียยังออกแถลงการณ์ย้ำว่า การที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยทำการไกลๆ โจมตีดินแดนรัสเซีย จะถือว่าอเมริกาและรัฐบริวารเป็นปฏิปักษ์ต่อรัสเซีย
    .
    เกี่ยวกับสถานการณ์การสู้รบ มีรายงานว่ากองทหารยูเครนในทุกแนวรบขณะนี้อยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองที่ถูกโจมตีอย่างหนักอย่าง คูเปียนสก์ และโปครอฟสก์ ซึ่งต่างอยู่ในแคว้นโดเนตสก์ ทางภาคตะวันออกของยูเครนทั้งคู่ นอกจากนั้น กองกำลังยูเครนยังประสบความเพลี่ยงพล้ำในแคว้นคูร์สก์ของรัสเซีย ที่พวกเขายกำลังบุกเข้าไปเมื่อหลายเดือนก่อน โดยที่มีรายงานระบุด้วยว่า มอสโกกำลังระดมทหารราว 50,000 นายเพื่อขับไล่ทหารยูเครนออกจากแคว้นดังกล่าว
    .
    ในวันอังคาร ยูเครนกล่าวหากองกำลังรัสเซียใช้สารเคมีต้องห้าม และเรียกร้องพันธมิตรตอบสนองต่อรายงานขององค์การห้ามอาวุธเคมี (โอพีซีดับเบิลยู) ที่ระบุว่า พบแก๊สควบคุมจลาจลที่ถูกแบนในตัวอย่างดินบริเวณแนวรบในยูเครน
    .
    กระทรวงการต่างประเทศยูเครนแถลงว่า การที่รัสเซียใช้สารเคมีต้องห้ามในสนามรบตอกย้ำว่า รัสเซียเพิกเฉยต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000111416
    ..............
    Sondhi X
    ปูตินลงนาม ประกาศหลักการใช้อาวุธนิวเคลียร์ฉบับแก้ไขปรับปรุงใหม่ ซึ่งขยายเงื่อนไขที่รัสเซียจะพิจารณาใช้อาวุธนิวเคลียร์ให้กว้างขวางกว่าเดิม โดยครอบคลุมกรณีแดนหมีขาวถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธซึ่งมีมหาอำนาจนิวเคลียร์ให้การสนับสนุนด้วย ถือว่าเป็นการตอบโต้โดยตรงต่อการที่อเมริกาอนุญาตเคียฟใช้ขีปนาวุธพิสัยทำการไกลๆ โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ขณะเดียวกัน เซเลนสกี้ประกาศในวันเดียวกัน ซึ่งเป็นวันครบรอบมอสโกเปิดฉากรุกรานครบ 1,000 วัน โวลั่นยูเครนจะไม่ยอมจำนน . ยูเครนเริ่มต้นวันอังคาร (19 ) วันครบรอบ 1,000 วันที่ถูกรัสเซียรุกรานด้วยข่าวการโจมตีของมอสโกในเมืองซูมี ทางตะวันออกของประเทศ เมื่อคืนวันจันทร์ (18 พ.ย.) ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 9 คน รวมถึงเด็ก . เคียฟระบุว่า ตลอดคืนวันจันทร์ รัสเซียได้ส่งโดรน 87 ลำโจมตีทั่วยูเครน แต่ถูกยิงตก 51 ลำ นอกจากนั้นในวันจันทร์รัสเซียยังยิงขีปนาวุธโจมตีโอเดสซา เมืองท่าสำคัญทางภาคใต้ของประเทศ ซึ่งได้รับการประกาศรับรองจากยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลก ทำให้มีผู้เสียชีวิต 10 คน และบาดเจ็บ 55 คน . ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ เผยแพร่ภาพเจ้าหน้าที่กู้ภัยนำร่างผู้เสียชีวิตออกจากซากอาคารที่พักอาศัยในเมืองซูมี ที่ถูกโจมตี และเรียกร้องพันธมิตรบีบให้เครมลินทำข้อตกลงสันติภาพ . กระทรวงการต่างประเทศยูเครนแถลงในทิศทางเดียวกันด้วยการเรียกร้องบรรดาพันธมิตรเร่งให้การสนับสนุนทางทหารเพื่อยุติสงครามนี้ลงไปอย่าง “ยั่งยืน” และย้ำว่า เคียฟจะไม่ยอมจำนนต่อผู้รุกราน แต่กองทัพรัสเซียต้องถูกลงโทษที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ . ทว่า ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียงเครมลิน ประกาศกร้าวเหมือนกันว่า ปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียต่อเคียฟจะต้องดำเนินต่อไปจนเสร็จสมบูรณ์ . ถ้อยแถลงนี้มีขึ้นขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ลงนามประกาศใช้กฤษฎีกาซึ่งเป็นการขยายขอบเขตเงื่อนไขที่มอสโกจะพิจารณาใช้อาวุธนิวเคลียร์ โดยนอกจากในกรณีถูกโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ตามที่กล่าวไว้ในหลักนิยมนิวเคลียร์ฉบับเดิมแล้ว ต่อจากนี้ไปรัสเซียจะสามารถใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้ด้วย ในกรณีถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธตามแบบแผน โดรน หรือเครื่องบินอื่นๆ ของประเทศที่ไม่ได้ครอบครองนิวเคลียร์แต่ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจนิวเคลียร์ . นอกจากนั้นการรุกรานรัสเซียโดยประเทศที่เป็นสมาชิกแนวร่วมหรือกลุ่มพันธมิตรแห่งใดแห่งหนึ่ง จะถือว่า แนวร่วมหรือกลุ่มพันะมิตรแห่งนั้นมีส่วนร่วมในการรุกรานด้วย . เครมลินระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้มีความจำเป็นเพื่อทำให้หลักนิยมนิวเคลียร์ของรัสเซียสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน . ความเคลื่อนไหวนี้ มอสโกมุ่งที่จะเตือนตะวันตกและยูเครนอย่างชัดเจน หลังจากมีรายงานว่าคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้อนุญาตให้เคียฟใช้ขีปนาวุธพิสัยทำการไกลๆ ที่อเมริกาจัดหาให้เข้าโจมตีเป้าหมายทางทหารภายในรัสเซีย . ขณะเดียวกัน เมื่อวันอังคาร โจเซฟ บอร์เรลล์ ประธานด้านนโยบายการต่างประเทศของสหภาพยุโรป ที่กำลังจะหมดวาระดำรงตำแหน่ง ได้ออกมาเรียกร้องให้ชาติสมาชิกอียูปรับแนวทางให้สอดคล้องกับวอชิงตันในการอนุญาตให้เคียฟใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลๆที่ยุโรปจัดส่งให้ ในการโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย . เปสคอฟวิจารณ์ว่า คณะบริหารของไบเดนที่กำลังจะหมดวาระต้องการยั่วยุให้ความขัดแย้งในยูเครนบานปลายขยายตัวออกไป และกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียยังออกแถลงการณ์ย้ำว่า การที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยทำการไกลๆ โจมตีดินแดนรัสเซีย จะถือว่าอเมริกาและรัฐบริวารเป็นปฏิปักษ์ต่อรัสเซีย . เกี่ยวกับสถานการณ์การสู้รบ มีรายงานว่ากองทหารยูเครนในทุกแนวรบขณะนี้อยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองที่ถูกโจมตีอย่างหนักอย่าง คูเปียนสก์ และโปครอฟสก์ ซึ่งต่างอยู่ในแคว้นโดเนตสก์ ทางภาคตะวันออกของยูเครนทั้งคู่ นอกจากนั้น กองกำลังยูเครนยังประสบความเพลี่ยงพล้ำในแคว้นคูร์สก์ของรัสเซีย ที่พวกเขายกำลังบุกเข้าไปเมื่อหลายเดือนก่อน โดยที่มีรายงานระบุด้วยว่า มอสโกกำลังระดมทหารราว 50,000 นายเพื่อขับไล่ทหารยูเครนออกจากแคว้นดังกล่าว . ในวันอังคาร ยูเครนกล่าวหากองกำลังรัสเซียใช้สารเคมีต้องห้าม และเรียกร้องพันธมิตรตอบสนองต่อรายงานขององค์การห้ามอาวุธเคมี (โอพีซีดับเบิลยู) ที่ระบุว่า พบแก๊สควบคุมจลาจลที่ถูกแบนในตัวอย่างดินบริเวณแนวรบในยูเครน . กระทรวงการต่างประเทศยูเครนแถลงว่า การที่รัสเซียใช้สารเคมีต้องห้ามในสนามรบตอกย้ำว่า รัสเซียเพิกเฉยต่อกฎหมายระหว่างประเทศ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000111416 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 711 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งจีนและประธานาธิบดีดีนา โบลูอาร์เต ของเปรู ได้ร่วมพิธีเปิดท่าเรือขนาดใหญ่แห่งใหม่ที่นครชานไค (Chancay) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงลิมา ประเทศเปรู ท่าเรือนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน โดยมีการลงนามข้อตกลงการค้าในพิธีเปิดผ่านการเชื่อมโยงวิดีโอจากทำเนียบรัฐบาลเปรู
    .
    ประธานาธิบดีสี กล่าวในพิธีเปิดว่า "เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการพัฒนา ซึ่งเป็นการเปิดเส้นทางใหม่ระหว่างเอเชียและลาตินอเมริกา โดยผ่านการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญในระยะยาว"
    .
    โครงการท่าเรือชานไคซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2564 เป็นความร่วมมือระหว่างกลุ่มบริษัท COSCO ของจีนและบริษัท Volcan ของเปรู โดย COSCO ถือหุ้นในบริษัทที่บริหารท่าเรือประมาณ 60% การสร้างท่าเรือนี้จะช่วยเสริมความสามารถในการขนส่งสินค้าของเปรู โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเกษตร เช่น อะโวคาโดและบลูเบอร์รี ไปยังจีน ซึ่งการขนส่งจะใช้เวลาน้อยลงจากเดิม 35 วัน เหลือเพียง 23 วัน และคาดว่าจะสร้างรายได้ประจำปีถึง 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    .
    นอกจากนี้ ท่าเรือนี้ยังจะเป็นศูนย์กลางการขนส่งสำหรับประเทศในลาตินอเมริกา เช่น ชิลี เอกวาดอร์ โคลอมเบีย บราซิล และปารากวัย โดยคาดว่าจะมีการขนส่งสินค้าอื่น ๆ เช่น ถั่วเหลือง กาแฟ และแร่เหล็ก ซึ่งจะทำให้ท่าเรือชานไคกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่สำคัญในภูมิภาค
    .
    การเปิดท่าเรือชานไคได้รับการยกย่องว่าเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและประเทศในลาตินอเมริกา โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้เปรูกลายเป็น "คลังสินค้าของโลก" ตามที่ประธานาธิบดีโบลูอาร์เตกล่าว
    .
    แม้ว่าโครงการนี้จะได้รับการสนับสนุนจากจีนและเปรู แต่ทางการสหรัฐฯ ก็มีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของโครงการ โดยมีการเตือนว่าท่าเรือนี้อาจกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่จีนสามารถใช้ประโยชน์ในการเก็บข้อมูลหรือการเฝ้าระวัง เนื่องจากท่าเรือชานไคตั้งอยู่ในภูมิภาคที่สำคัญและใกล้กับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ
    .
    อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสหรัฐฯ ในภูมิภาคกล่าวว่า "ท่าเรือนี้จะทำให้จีนสามารถเข้าถึงทรัพยากรในภูมิภาคได้ง่ายขึ้น" ขณะที่บางฝ่ายมีความกังวลว่าอาจมีการใช้งานท่าเรือเพื่อการสอดแนมหรือการรักษาความปลอดภัยในอนาคต
    .
    อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า ความกังวลเกี่ยวกับท่าเรือที่สร้างโดยจีนในประเทศต่างๆ เช่น ศรีลังกาและกรีซ ไม่ได้กลายเป็นปัญหาจริงจัง และชี้ให้เห็นว่าการวิพากษ์วิจารณ์ของสหรัฐฯ อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดในการจัดการกับความกังวลเหล่านี้
    .
    ทางการเปรูได้ปฏิเสธข้อกังวลจากสหรัฐฯ โดยระบุว่า หากสหรัฐฯ มีความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของจีนในประเทศเปรู ควรเพิ่มการลงทุนในประเทศนี้เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000110712
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งจีนและประธานาธิบดีดีนา โบลูอาร์เต ของเปรู ได้ร่วมพิธีเปิดท่าเรือขนาดใหญ่แห่งใหม่ที่นครชานไค (Chancay) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงลิมา ประเทศเปรู ท่าเรือนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน โดยมีการลงนามข้อตกลงการค้าในพิธีเปิดผ่านการเชื่อมโยงวิดีโอจากทำเนียบรัฐบาลเปรู . ประธานาธิบดีสี กล่าวในพิธีเปิดว่า "เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการพัฒนา ซึ่งเป็นการเปิดเส้นทางใหม่ระหว่างเอเชียและลาตินอเมริกา โดยผ่านการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญในระยะยาว" . โครงการท่าเรือชานไคซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2564 เป็นความร่วมมือระหว่างกลุ่มบริษัท COSCO ของจีนและบริษัท Volcan ของเปรู โดย COSCO ถือหุ้นในบริษัทที่บริหารท่าเรือประมาณ 60% การสร้างท่าเรือนี้จะช่วยเสริมความสามารถในการขนส่งสินค้าของเปรู โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเกษตร เช่น อะโวคาโดและบลูเบอร์รี ไปยังจีน ซึ่งการขนส่งจะใช้เวลาน้อยลงจากเดิม 35 วัน เหลือเพียง 23 วัน และคาดว่าจะสร้างรายได้ประจำปีถึง 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ . นอกจากนี้ ท่าเรือนี้ยังจะเป็นศูนย์กลางการขนส่งสำหรับประเทศในลาตินอเมริกา เช่น ชิลี เอกวาดอร์ โคลอมเบีย บราซิล และปารากวัย โดยคาดว่าจะมีการขนส่งสินค้าอื่น ๆ เช่น ถั่วเหลือง กาแฟ และแร่เหล็ก ซึ่งจะทำให้ท่าเรือชานไคกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่สำคัญในภูมิภาค . การเปิดท่าเรือชานไคได้รับการยกย่องว่าเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและประเทศในลาตินอเมริกา โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้เปรูกลายเป็น "คลังสินค้าของโลก" ตามที่ประธานาธิบดีโบลูอาร์เตกล่าว . แม้ว่าโครงการนี้จะได้รับการสนับสนุนจากจีนและเปรู แต่ทางการสหรัฐฯ ก็มีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของโครงการ โดยมีการเตือนว่าท่าเรือนี้อาจกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่จีนสามารถใช้ประโยชน์ในการเก็บข้อมูลหรือการเฝ้าระวัง เนื่องจากท่าเรือชานไคตั้งอยู่ในภูมิภาคที่สำคัญและใกล้กับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ . อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสหรัฐฯ ในภูมิภาคกล่าวว่า "ท่าเรือนี้จะทำให้จีนสามารถเข้าถึงทรัพยากรในภูมิภาคได้ง่ายขึ้น" ขณะที่บางฝ่ายมีความกังวลว่าอาจมีการใช้งานท่าเรือเพื่อการสอดแนมหรือการรักษาความปลอดภัยในอนาคต . อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า ความกังวลเกี่ยวกับท่าเรือที่สร้างโดยจีนในประเทศต่างๆ เช่น ศรีลังกาและกรีซ ไม่ได้กลายเป็นปัญหาจริงจัง และชี้ให้เห็นว่าการวิพากษ์วิจารณ์ของสหรัฐฯ อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดในการจัดการกับความกังวลเหล่านี้ . ทางการเปรูได้ปฏิเสธข้อกังวลจากสหรัฐฯ โดยระบุว่า หากสหรัฐฯ มีความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของจีนในประเทศเปรู ควรเพิ่มการลงทุนในประเทศนี้เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000110712 .............. Sondhi X
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 708 มุมมอง 0 รีวิว
  • Between The Line สี จิ้นผิงถึงโดนัลด์ ทรัมป์.สารที่สี จิ้นผิง ส่งให้กับโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น มีความสำคัญอยู่ 4 ข้อความ ผมเชื่อว่าไม่ค่อยมีใครมานั่งวิเคราะห์เรื่องนี้ ผมน่าจะเป็นคนเดียวที่นั่งวิเคราะห์สารของสี จิ้นผิงที่มีนัยลึกซึ้งมาก และ สี จิ้นผิง พูดถึงสายสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ว่าควรมีลักษณะ 3 อย่าง เข้มแข็ง มีเสถียรภาพ และ ยั่งยืน นัยของคำพูดนี้คือการเตือนสตินายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ควรจะมีความสม่ำเสมอในนโยบาย ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานะอารมณ์ของผู้นำ พรรคการเมือง หรือกลุ่มผลประโยชน์ .สี จิ้นผิง กล่าวว่า ประวัติศาสตร์สอนว่าจีนและสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์จากความร่วมมือ และจะสูญเสียจากการเผชิญหน้า.ถ้าหากนายทรัมป์ ใช้นโยบาย 'Make America Great Again' คือทำให้อเมริกายิ่งใหญ่กลับมาเหมือนเดิม ด้วยการโดดเดี่ยวและทอดทิ้งชาติพันธมิตร ก็ยิ่งเปิดโอกาสให้จีนหาเพื่อนเพิ่มได้มากขึ้น และจีนก็จะเป็นผู้นำในด้านที่นายทรัมป์ ทอดทิ้ง เช่น พลังงานใหม่ เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือระดับพหุภาคี รวมทั้งการสร้างสันติภาพในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นในระดับอาเซียน ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา อาจจะรวมถึงยุโรป เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นด้วย เสียด้วยซ้ำ.ข้อสุดท้ายคือการเตรียมทางหนีทีไล่ แม้ว่าจีนคาดหวังจะเจรจานายโดนัลด์ ทรัมป์ แต่จีนก็ได้เตรียมทางหนีทีไล่ไว้เช่นกัน โดยเฉพาะมาตรการการขึ้นภาษี ถ้าสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าจากจีน ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าจีนจะทำอย่างไร ? ถ้าเป็นภาษาแถวบ้านผม วัยรุ่นสมัยนี้ ก็คือ แค่ยักไหล่แล้วก็เดินหน้าต่อ เพราะจีนเตรียมการย้ายการผลิตไปยังภูมิภาคอื่นไว้ล่วงหน้าแล้ว จีนไม่ได้แค่เตรียมจะทำ แต่ได้ทำแล้ว บริษัทต่างๆ ของประเทศจีนที่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรมานานกว่า 8 ปี ไม่มีใครล้มหายตายจาก แต่กลับมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อพึ่งพาตัวเองมากขึ้น จนวันหนึ่งสามารถตัดขาดการใช้เทคโนโลยีต่างชาติได้ เหมือนกับที่หัวเว่ยประกาศ.จะเห็นได้ชัดว่าช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุคนายทรัมป์สมัยแรก มาถึงนายโจ ไบเดน เมื่ออเมริกาจุดประเด็นเรื่องสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี จีนก็เริ่มสร้างตลาดอันใหม่เพื่อมุ่งไปยังตลาดกลุ่มประเทศโลกใต้ที่สามารถทดแทน ชดเชยรายได้จากการส่งออกไปอเมริกาเป็นจำนวนมหาศาล.สรุป ถึงแม้ว่าที่ผ่านๆ มา นายทรัมป์ จะแสดงท่าทีต่อต้านจีนอย่างมาก แต่ว่าเมื่อพูดถึงประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แล้ว นายทรัมป์ กลับมีความเคารพอยู่มาก เคยบอกว่า สี จิ้นผิง เป็นผู้นำที่ชาญฉลาด มีความสามารถในการปกครองประชาชน 1,400 ล้านคน .แต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็เพิ่งตระหนักว่า ในภาษาจีนยังมีภาษิตอีกสำนวนหนึ่ง ชื่อ เซี่ยนหลี่โฮ่วปิง มีความหมายว่า ใช้ความสุภาพก่อน หากไม่ได้ผลค่อยใช้ไม้แข็งหรือใช้กำลัง.นี่คือบทวิเคราะห์ของผม สนธิ ลิ้มทองกุล ถึงสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจ ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่กำลังจะดำเนินต่อไปในอนาคต
    Between The Line สี จิ้นผิงถึงโดนัลด์ ทรัมป์.สารที่สี จิ้นผิง ส่งให้กับโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น มีความสำคัญอยู่ 4 ข้อความ ผมเชื่อว่าไม่ค่อยมีใครมานั่งวิเคราะห์เรื่องนี้ ผมน่าจะเป็นคนเดียวที่นั่งวิเคราะห์สารของสี จิ้นผิงที่มีนัยลึกซึ้งมาก และ สี จิ้นผิง พูดถึงสายสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ว่าควรมีลักษณะ 3 อย่าง เข้มแข็ง มีเสถียรภาพ และ ยั่งยืน นัยของคำพูดนี้คือการเตือนสตินายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ควรจะมีความสม่ำเสมอในนโยบาย ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานะอารมณ์ของผู้นำ พรรคการเมือง หรือกลุ่มผลประโยชน์ .สี จิ้นผิง กล่าวว่า ประวัติศาสตร์สอนว่าจีนและสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์จากความร่วมมือ และจะสูญเสียจากการเผชิญหน้า.ถ้าหากนายทรัมป์ ใช้นโยบาย 'Make America Great Again' คือทำให้อเมริกายิ่งใหญ่กลับมาเหมือนเดิม ด้วยการโดดเดี่ยวและทอดทิ้งชาติพันธมิตร ก็ยิ่งเปิดโอกาสให้จีนหาเพื่อนเพิ่มได้มากขึ้น และจีนก็จะเป็นผู้นำในด้านที่นายทรัมป์ ทอดทิ้ง เช่น พลังงานใหม่ เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือระดับพหุภาคี รวมทั้งการสร้างสันติภาพในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นในระดับอาเซียน ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา อาจจะรวมถึงยุโรป เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นด้วย เสียด้วยซ้ำ.ข้อสุดท้ายคือการเตรียมทางหนีทีไล่ แม้ว่าจีนคาดหวังจะเจรจานายโดนัลด์ ทรัมป์ แต่จีนก็ได้เตรียมทางหนีทีไล่ไว้เช่นกัน โดยเฉพาะมาตรการการขึ้นภาษี ถ้าสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าจากจีน ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าจีนจะทำอย่างไร ? ถ้าเป็นภาษาแถวบ้านผม วัยรุ่นสมัยนี้ ก็คือ แค่ยักไหล่แล้วก็เดินหน้าต่อ เพราะจีนเตรียมการย้ายการผลิตไปยังภูมิภาคอื่นไว้ล่วงหน้าแล้ว จีนไม่ได้แค่เตรียมจะทำ แต่ได้ทำแล้ว บริษัทต่างๆ ของประเทศจีนที่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรมานานกว่า 8 ปี ไม่มีใครล้มหายตายจาก แต่กลับมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อพึ่งพาตัวเองมากขึ้น จนวันหนึ่งสามารถตัดขาดการใช้เทคโนโลยีต่างชาติได้ เหมือนกับที่หัวเว่ยประกาศ.จะเห็นได้ชัดว่าช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุคนายทรัมป์สมัยแรก มาถึงนายโจ ไบเดน เมื่ออเมริกาจุดประเด็นเรื่องสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี จีนก็เริ่มสร้างตลาดอันใหม่เพื่อมุ่งไปยังตลาดกลุ่มประเทศโลกใต้ที่สามารถทดแทน ชดเชยรายได้จากการส่งออกไปอเมริกาเป็นจำนวนมหาศาล.สรุป ถึงแม้ว่าที่ผ่านๆ มา นายทรัมป์ จะแสดงท่าทีต่อต้านจีนอย่างมาก แต่ว่าเมื่อพูดถึงประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แล้ว นายทรัมป์ กลับมีความเคารพอยู่มาก เคยบอกว่า สี จิ้นผิง เป็นผู้นำที่ชาญฉลาด มีความสามารถในการปกครองประชาชน 1,400 ล้านคน .แต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็เพิ่งตระหนักว่า ในภาษาจีนยังมีภาษิตอีกสำนวนหนึ่ง ชื่อ เซี่ยนหลี่โฮ่วปิง มีความหมายว่า ใช้ความสุภาพก่อน หากไม่ได้ผลค่อยใช้ไม้แข็งหรือใช้กำลัง.นี่คือบทวิเคราะห์ของผม สนธิ ลิ้มทองกุล ถึงสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจ ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่กำลังจะดำเนินต่อไปในอนาคต
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
  • ** #หน้าใส​ ไม่=​ #เซลล์ผิวหน้าแข็งแรง ! **

    ในบางครั้ง แม้ผิวของเราจะดูใส ดูสุขภาพดีเมื่อมอง จากภายนอก แต่ลึกๆแล้ว ผิวอาจกำลังเผชิญปัญหาความอ่อนแออยู่ก็เป็นได้ โดยที่เรามองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกต

    >>> นี่คือ​ 3 สัญญาณ​สำคัญ‼️ ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณ "อาจจะ" ไม่ได้แข็งแรง​ อย่างที่เห็น

    1. ผิว #ระคายเคืองง่าย และ #มีรอยแดง

    หากผิวของคุณมีแนวโน้มที่จะระคายเคืองง่าย เช่น รู้สึกแสบ คัน มีรอยแดง หรือแม้กระทั่งมีผดเล็กๆ ขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือสัมผัสกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผิวของคุณอาจจะอ่อนแอกว่าที่คิด อาการระคายเคืองง่ายนี้เกิดขึ้นจากการที่เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวไวต่อสิ่งเร้าจากภายนอก เช่น มลภาวะ ฝุ่น หรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (Purnamawati et al., 2017)

    2. ผิว #แห้ง หรือ #ขาดความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว

    อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวของคุณกำลังอ่อนแอ คือ การที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย แม้จะใช้ครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ หากผิวแห้งหรือขาดน้ำบ่อยๆ นั่นอาจแปลว่าผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ผิวสูญเสียไขมันตามธรรมชาติหรือโครงสร้างผิวไม่แข็งแรงพอ การที่ผิวแห้งกร้านง่ายทำให้เกิดริ้วรอยและผิวที่หมองคล้ำเร็วกว่าปกติ (Proksch et al., 2008).

    3. ผิว #ฟื้นตัวช้า หลัง #โดนแสงแดด หรือ #ทำความสะอาด

    ผิวที่อ่อนแอมักจะฟื้นตัวได้ช้าหลังจากเจอความรุนแรงจากภายนอก เช่น การโดนแสงแดดแรงๆ หรือการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก หากหลังจากออกแดดแล้วผิวมีรอยแดง นานกว่าปกติ หรือรู้สึกแห้งตึงหลังล้างหน้าโดยที่ผิวไม่คืนสภาพได้รวดเร็ว ผิวของคุณอาจกำลังส่งสัญญาณว่าต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และอาจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวอ่อนแอลงไปอีก (Krutmann et al., 2014).

    การดูแลผิวให้แข็งแรงจากภายในจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ผิวจะดูใสแต่ก็ไม่ควรละเลยสัญญาณเหล่านี้ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณอาจจะไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เห็น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ สารให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดหรือมลภาวะโดยตรง จะช่วยให้ผิวของคุณกลับมาแข็งแรง สดใส และสุขภาพดีอย่างแท้จริง

    -------

    ทำไม " #สารอาหารผิวในรูปแป้ง #COCON " จึงเหมาะสมต่อการ "ฟื้นฟูผิวอ่อนแอ" และ "ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ" ?

    COCON คือ #สารอาหารผิว ที่ประกอบด้วย โปรตีนจาก #PureCocoon 100% ไม่มีสารสังเคราะห์ ไม่มีสารคงตัวเจือปน ที่ผ่านกรรมวิธีเทคโนโลยีขั้นสูง จากแลปที่เชี่ยวชาญทางด้าน #TissueEngineering อันดับต้นๆของโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ทำให้โมเลกุลของสารอาหาร "เป็นทรงกลม" จึงไม่บาดเซลลผิว ในตอนทา และ สามารถซึมลงไปให้เซลล์ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอะไรตกค้าง ไม่ระคายเคืองเซลล์ผิวเลย จึงเป็นแบรนด์ที่ใช้ในวงการแพทย์ของญี่ปุ่น

    ซึ่ง มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและป้องกันผิว จากความอ่อนแอ ดังนี้

    1. ฟื้นฟูผิวอ่อนแอด้วยการซ่อมแซมเซลล์จากภายใน
    COCON เป็น สารอาหารผิวในรูปแป้งที่มี Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายได้ลึกถึงระดับ DNA ทำให้โครงสร้างผิวที่เคยถูกทำลายจากมลภาวะ แสงแดด หรือการใช้งานหนักกลับมาแข็งแรงขึ้น ผิวที่เคยอ่อนแอจึงสามารถฟื้นตัวและกลับมาดูสุขภาพดีได้อย่างเป็นธรรมชาติ

    2. ป้องกันการสูญเสียเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier)
    ด้วยคุณสมบัติของ Silk Protein ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ COCON ช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ฝุ่น มลภาวะ และสารเคมี ทำให้ผิวที่ยังแข็งแรงไม่ถูกทำลายง่าย และลดโอกาสที่ผิวจะกลายเป็นผิวอ่อนแอในอนาคต

    3. ป้องกันและลดการอักเสบขนาดเล็ก (Micro-Inflammation)
    การอักเสบขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ COCON มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับเซลล์ผิว และลดความเสี่ยงที่ผิวจะเกิดปัญหาระยะยาว เช่น การเสื่อมสภาพหรือการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

    4. เหมาะกับทุกสภาพผิว ปลอดภัย ไร้สารสังเคราะห์
    COCON เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารสังเคราะห์เจือปน จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การใช้สารอาหารผิวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผิวจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการระคายเคืองและส่งเสริมสุขภาพผิวในระยะยาว

    5. ช่วยรักษาสมดุลของผิวอย่างยั่งยืน
    การใช้ COCON อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผิวได้รับสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยรักษาความสมดุลของผิว ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวที่ดีอยู่แล้วคงความสุขภาพดีไว้ได้อย่างยาวนาน

    ไม่ว่าคุณจะมีผิวที่อ่อนแอหรือผิวที่ต้องการการป้องกันไม่ให้เสื่อมสภาพ COCON คือคำตอบที่ช่วยเติมเต็มความต้องการของผิวคุณ ด้วย Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ที่ผ่านกระบวนการเทคโนโลยีขั้นสูง ที่อ่อนโยนและทรงประสิทธิภาพในการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก

    -------

    **สำหรับผู้ที่ใช้ COCON อยู่แล้ว** หากคุณใช้ COCON แล้วพบว่ามีอาการผื่นแดงขึ้น นั่นแปลว่า เซลล์ผิวของคุณอ่อนแอจากเคมีในผลิตภัณฑ์อื่นที่คุณใช้ หรือ มลภาวะที่คุณต้องเผชิญในแต่ละวัน

    ดังนั้น แนะนำให้ลองใช้ COCON เฉพาะตอนกลางคืนเพียงอย่างเดียวก่อน เพื่อให้ผิวได้พักและฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีจากครีมหรือเครื่องสำอางตัวอื่นที่อาจปิดกั้นการทำงานของ COCON

    การใช้สารอาหารผิว COCON เพียงตัวเดียวก่อนนอน จะช่วยให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจทำลายเซลล์ผิวในระยะยาว เมื่อผิวกลับมาแข็งแรงแล้ว ค่อยเริ่มใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นในช่วงกลางวัน

    #TheSignature #BangkokCraftmanship #skincare #สกินแคร์ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    ** #หน้าใส​ ไม่=​ #เซลล์ผิวหน้าแข็งแรง ! ** ในบางครั้ง แม้ผิวของเราจะดูใส ดูสุขภาพดีเมื่อมอง จากภายนอก แต่ลึกๆแล้ว ผิวอาจกำลังเผชิญปัญหาความอ่อนแออยู่ก็เป็นได้ โดยที่เรามองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกต >>> นี่คือ​ 3 สัญญาณ​สำคัญ‼️ ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณ "อาจจะ" ไม่ได้แข็งแรง​ อย่างที่เห็น 1. ผิว #ระคายเคืองง่าย และ #มีรอยแดง หากผิวของคุณมีแนวโน้มที่จะระคายเคืองง่าย เช่น รู้สึกแสบ คัน มีรอยแดง หรือแม้กระทั่งมีผดเล็กๆ ขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือสัมผัสกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผิวของคุณอาจจะอ่อนแอกว่าที่คิด อาการระคายเคืองง่ายนี้เกิดขึ้นจากการที่เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวไวต่อสิ่งเร้าจากภายนอก เช่น มลภาวะ ฝุ่น หรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (Purnamawati et al., 2017) 2. ผิว #แห้ง หรือ #ขาดความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวของคุณกำลังอ่อนแอ คือ การที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย แม้จะใช้ครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ หากผิวแห้งหรือขาดน้ำบ่อยๆ นั่นอาจแปลว่าผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ผิวสูญเสียไขมันตามธรรมชาติหรือโครงสร้างผิวไม่แข็งแรงพอ การที่ผิวแห้งกร้านง่ายทำให้เกิดริ้วรอยและผิวที่หมองคล้ำเร็วกว่าปกติ (Proksch et al., 2008). 3. ผิว #ฟื้นตัวช้า หลัง #โดนแสงแดด หรือ #ทำความสะอาด ผิวที่อ่อนแอมักจะฟื้นตัวได้ช้าหลังจากเจอความรุนแรงจากภายนอก เช่น การโดนแสงแดดแรงๆ หรือการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก หากหลังจากออกแดดแล้วผิวมีรอยแดง นานกว่าปกติ หรือรู้สึกแห้งตึงหลังล้างหน้าโดยที่ผิวไม่คืนสภาพได้รวดเร็ว ผิวของคุณอาจกำลังส่งสัญญาณว่าต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และอาจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวอ่อนแอลงไปอีก (Krutmann et al., 2014). การดูแลผิวให้แข็งแรงจากภายในจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ผิวจะดูใสแต่ก็ไม่ควรละเลยสัญญาณเหล่านี้ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณอาจจะไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เห็น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ สารให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดหรือมลภาวะโดยตรง จะช่วยให้ผิวของคุณกลับมาแข็งแรง สดใส และสุขภาพดีอย่างแท้จริง ------- ทำไม " #สารอาหารผิวในรูปแป้ง #COCON " จึงเหมาะสมต่อการ "ฟื้นฟูผิวอ่อนแอ" และ "ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ" ? COCON คือ #สารอาหารผิว ที่ประกอบด้วย โปรตีนจาก #PureCocoon 100% ไม่มีสารสังเคราะห์ ไม่มีสารคงตัวเจือปน ที่ผ่านกรรมวิธีเทคโนโลยีขั้นสูง จากแลปที่เชี่ยวชาญทางด้าน #TissueEngineering อันดับต้นๆของโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ทำให้โมเลกุลของสารอาหาร "เป็นทรงกลม" จึงไม่บาดเซลลผิว ในตอนทา และ สามารถซึมลงไปให้เซลล์ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอะไรตกค้าง ไม่ระคายเคืองเซลล์ผิวเลย จึงเป็นแบรนด์ที่ใช้ในวงการแพทย์ของญี่ปุ่น ซึ่ง มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและป้องกันผิว จากความอ่อนแอ ดังนี้ 1. ฟื้นฟูผิวอ่อนแอด้วยการซ่อมแซมเซลล์จากภายใน COCON เป็น สารอาหารผิวในรูปแป้งที่มี Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายได้ลึกถึงระดับ DNA ทำให้โครงสร้างผิวที่เคยถูกทำลายจากมลภาวะ แสงแดด หรือการใช้งานหนักกลับมาแข็งแรงขึ้น ผิวที่เคยอ่อนแอจึงสามารถฟื้นตัวและกลับมาดูสุขภาพดีได้อย่างเป็นธรรมชาติ 2. ป้องกันการสูญเสียเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ด้วยคุณสมบัติของ Silk Protein ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ COCON ช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ฝุ่น มลภาวะ และสารเคมี ทำให้ผิวที่ยังแข็งแรงไม่ถูกทำลายง่าย และลดโอกาสที่ผิวจะกลายเป็นผิวอ่อนแอในอนาคต 3. ป้องกันและลดการอักเสบขนาดเล็ก (Micro-Inflammation) การอักเสบขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ COCON มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับเซลล์ผิว และลดความเสี่ยงที่ผิวจะเกิดปัญหาระยะยาว เช่น การเสื่อมสภาพหรือการเกิดริ้วรอยก่อนวัย 4. เหมาะกับทุกสภาพผิว ปลอดภัย ไร้สารสังเคราะห์ COCON เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารสังเคราะห์เจือปน จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การใช้สารอาหารผิวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผิวจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการระคายเคืองและส่งเสริมสุขภาพผิวในระยะยาว 5. ช่วยรักษาสมดุลของผิวอย่างยั่งยืน การใช้ COCON อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผิวได้รับสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยรักษาความสมดุลของผิว ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวที่ดีอยู่แล้วคงความสุขภาพดีไว้ได้อย่างยาวนาน ไม่ว่าคุณจะมีผิวที่อ่อนแอหรือผิวที่ต้องการการป้องกันไม่ให้เสื่อมสภาพ COCON คือคำตอบที่ช่วยเติมเต็มความต้องการของผิวคุณ ด้วย Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ที่ผ่านกระบวนการเทคโนโลยีขั้นสูง ที่อ่อนโยนและทรงประสิทธิภาพในการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก ------- **สำหรับผู้ที่ใช้ COCON อยู่แล้ว** หากคุณใช้ COCON แล้วพบว่ามีอาการผื่นแดงขึ้น นั่นแปลว่า เซลล์ผิวของคุณอ่อนแอจากเคมีในผลิตภัณฑ์อื่นที่คุณใช้ หรือ มลภาวะที่คุณต้องเผชิญในแต่ละวัน ดังนั้น แนะนำให้ลองใช้ COCON เฉพาะตอนกลางคืนเพียงอย่างเดียวก่อน เพื่อให้ผิวได้พักและฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีจากครีมหรือเครื่องสำอางตัวอื่นที่อาจปิดกั้นการทำงานของ COCON การใช้สารอาหารผิว COCON เพียงตัวเดียวก่อนนอน จะช่วยให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจทำลายเซลล์ผิวในระยะยาว เมื่อผิวกลับมาแข็งแรงแล้ว ค่อยเริ่มใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นในช่วงกลางวัน #TheSignature #BangkokCraftmanship #skincare #สกินแคร์ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 398 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อุตสาหกรรมที่ชี้เป็นชี้ตาย" หมายถึงกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจของประเทศหรือโลก และหากเกิดปัญหาในอุตสาหกรรมเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยปกติจะหมายถึงอุตสาหกรรมหลัก เช่น:1. อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ2. อุตสาหกรรมพลังงาน3. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ4. อุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร5. อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์6. อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์7. อุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์8. อุตสาหกรรมการก่อสร้าง9. อุตสาหกรรมโทรคมนาคม10. อุตสาหกรรมการธนาคารและการเงิน11. อุตสาหกรรมเหมืองแร่12. อุตสาหกรรมเหล็กและโลหะ13. อุตสาหกรรมปิโตรเคมี14. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร15. อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและอาวุธ16. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์17. อุตสาหกรรมการผลิตหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ18. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ19. อุตสาหกรรมแฟชั่นและสิ่งทอ20. อุตสาหกรรมบันเทิงและสื่อ21. อุตสาหกรรมการศึกษาและการฝึกอบรม22. อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน (พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานลม)23. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ24. อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์25. อุตสาหกรรมสื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์26. อุตสาหกรรมเกมและการพัฒนาแอปพลิเคชัน27. อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์พิเศษ28. อุตสาหกรรมการขนส่งสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานนี่คืออุตสาหกรรมเพิ่มเติมที่มีความสำคัญ:29. อุตสาหกรรมการรีไซเคิลและการจัดการของเสีย30. อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ31. อุตสาหกรรมการประมงและผลิตภัณฑ์จากทะเล32. อุตสาหกรรมการผลิตวัสดุก่อสร้าง33. อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์34. อุตสาหกรรมอุปกรณ์กีฬา35. อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว36. อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และการออกแบบตกแต่งภายใน37. อุตสาหกรรมการศึกษาออนไลน์และการเรียนรู้ดิจิทัล38. อุตสาหกรรมการค้าปลีก (ทั้งแบบดั้งเดิมและออนไลน์)39. อุตสาหกรรมการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ (เช่น ข้าวสาลี, ข้าวโพด, อ้อย)40. อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ41. อุตสาหกรรมการพัฒนาและขายซอฟต์แวร์42. อุตสาหกรรมดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง43. อุตสาหกรรมบริการด้านการเงิน (เช่น บริษัทประกันภัย)44. อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์45. อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการผลิตแบตเตอรี่46. อุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์47. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร (เช่น พืชดัดแปลงพันธุกรรม)48. อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ49. อุตสาหกรรมการพิมพ์สามมิติ (3D Printing)50. อุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที (Data Centers)51. อุตสาหกรรมการออกแบบสถาปัตยกรรมและการวางผังเมือง52. อุตสาหกรรมการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)53. อุตสาหกรรมการวิเคราะห์และวิจัยตลาด54. อุตสาหกรรมการทดสอบและควบคุมคุณภาพ55. อุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์56. อุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์57. อุตสาหกรรมการแพทย์ทางเลือกและการรักษาสุขภาพแบบองค์รวม58. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มการจัดการโครงข่ายพลังงาน (Smart Grid)59. อุตสาหกรรมการพัฒนาเทคโนโลยีรถไร้คนขับ60. อุตสาหกรรมโลจิสติกส์อัจฉริยะและห่วงโซ่อุปทาน61. อุตสาหกรรมการออกแบบและการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรูหรา62. อุตสาหกรรมการผลิตวัคซีนและยาชีววัตถุ63. อุตสาหกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนเทคโนโลยีสีเขียว64. อุตสาหกรรมระบบการเกษตรแบบยั่งยืนและเทคโนโลยีเกษตร (AgriTech)65. อุตสาหกรรมที่พักอาศัยและการบริการ (Hospitality)66. อุตสาหกรรมสถาบันทางการเงินระหว่างประเทศ67. อุตสาหกรรมการจัดการและบำบัดน้ำ
    "อุตสาหกรรมที่ชี้เป็นชี้ตาย" หมายถึงกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจของประเทศหรือโลก และหากเกิดปัญหาในอุตสาหกรรมเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยปกติจะหมายถึงอุตสาหกรรมหลัก เช่น:1. อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ2. อุตสาหกรรมพลังงาน3. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ4. อุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร5. อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์6. อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์7. อุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์8. อุตสาหกรรมการก่อสร้าง9. อุตสาหกรรมโทรคมนาคม10. อุตสาหกรรมการธนาคารและการเงิน11. อุตสาหกรรมเหมืองแร่12. อุตสาหกรรมเหล็กและโลหะ13. อุตสาหกรรมปิโตรเคมี14. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร15. อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและอาวุธ16. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์17. อุตสาหกรรมการผลิตหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ18. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ19. อุตสาหกรรมแฟชั่นและสิ่งทอ20. อุตสาหกรรมบันเทิงและสื่อ21. อุตสาหกรรมการศึกษาและการฝึกอบรม22. อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน (พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานลม)23. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ24. อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์25. อุตสาหกรรมสื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์26. อุตสาหกรรมเกมและการพัฒนาแอปพลิเคชัน27. อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์พิเศษ28. อุตสาหกรรมการขนส่งสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานนี่คืออุตสาหกรรมเพิ่มเติมที่มีความสำคัญ:29. อุตสาหกรรมการรีไซเคิลและการจัดการของเสีย30. อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ31. อุตสาหกรรมการประมงและผลิตภัณฑ์จากทะเล32. อุตสาหกรรมการผลิตวัสดุก่อสร้าง33. อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์34. อุตสาหกรรมอุปกรณ์กีฬา35. อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว36. อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และการออกแบบตกแต่งภายใน37. อุตสาหกรรมการศึกษาออนไลน์และการเรียนรู้ดิจิทัล38. อุตสาหกรรมการค้าปลีก (ทั้งแบบดั้งเดิมและออนไลน์)39. อุตสาหกรรมการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ (เช่น ข้าวสาลี, ข้าวโพด, อ้อย)40. อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ41. อุตสาหกรรมการพัฒนาและขายซอฟต์แวร์42. อุตสาหกรรมดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง43. อุตสาหกรรมบริการด้านการเงิน (เช่น บริษัทประกันภัย)44. อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์45. อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการผลิตแบตเตอรี่46. อุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์47. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร (เช่น พืชดัดแปลงพันธุกรรม)48. อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ49. อุตสาหกรรมการพิมพ์สามมิติ (3D Printing)50. อุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที (Data Centers)51. อุตสาหกรรมการออกแบบสถาปัตยกรรมและการวางผังเมือง52. อุตสาหกรรมการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)53. อุตสาหกรรมการวิเคราะห์และวิจัยตลาด54. อุตสาหกรรมการทดสอบและควบคุมคุณภาพ55. อุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์56. อุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์57. อุตสาหกรรมการแพทย์ทางเลือกและการรักษาสุขภาพแบบองค์รวม58. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มการจัดการโครงข่ายพลังงาน (Smart Grid)59. อุตสาหกรรมการพัฒนาเทคโนโลยีรถไร้คนขับ60. อุตสาหกรรมโลจิสติกส์อัจฉริยะและห่วงโซ่อุปทาน61. อุตสาหกรรมการออกแบบและการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรูหรา62. อุตสาหกรรมการผลิตวัคซีนและยาชีววัตถุ63. อุตสาหกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนเทคโนโลยีสีเขียว64. อุตสาหกรรมระบบการเกษตรแบบยั่งยืนและเทคโนโลยีเกษตร (AgriTech)65. อุตสาหกรรมที่พักอาศัยและการบริการ (Hospitality)66. อุตสาหกรรมสถาบันทางการเงินระหว่างประเทศ67. อุตสาหกรรมการจัดการและบำบัดน้ำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 399 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนท้อจิตใจเปรียบเสมือนพื้นที่แห้งแล้ง ไร้ความชุ่มชื่น และมองปัญหาใหญ่กว่าตัวเรา ทำให้เกิดความรู้สึกสิ้นหวัง เหมือนตกอยู่ใต้เงาอันหนักอึ้งของปัญหา การยอมแพ้จึงดูเหมือนทางเลือกที่ง่ายที่สุดตอนเกิดสติเมื่อจิตใจเริ่มตื่นตัว รู้ตัวถึงปัญหาและความรู้สึกที่เกิดขึ้น จิตจะเริ่มฟื้นฟูพลังบางส่วนขึ้นมา การตระหนักรู้นี้ทำให้รู้สึกว่าเราเริ่มทัดเทียมกับปัญหา มีความสามารถที่จะพิจารณาทางแก้ไขได้บ้างตอนมีสมาธิจิตใจจะเต็มไปด้วยความชุ่มชื่น มีพลังและความกระตือรือร้น เห็นปัญหาเป็นสิ่งที่สามารถเอาชนะได้ง่าย เหมือนนักกีฬาที่ฟิตพร้อมเต็มที่ในสนาม มองโลกในมุมบวก และเกิดมโนภาพที่ชัดเจนในการแก้ปัญหา---การจัดการเมื่อจิตใจท้อแท้1. อย่าฝืนแก้ปัญหาทันทีหากจิตใจยังแห้งแล้ง ห่อเหี่ยว การพยายามแก้ปัญหาทั้งที่ยังไม่มีพลัง จะยิ่งเพิ่มความเครียดและเหนื่อยล้า2. เติมพลังให้จิตใจหายใจลึกๆ เพื่อเรียกสติกลับมา รู้สึกถึงลมหายใจที่ยังดำเนินไป และร่างกายที่ยังพร้อมใช้งานหาเป้าหมายเล็กๆ ที่ทำได้ทันที เช่น จัดโต๊ะ หยิบปากกา หรือเริ่มเขียนรายการสิ่งที่ต้องทำ3. สร้างภาพความสำเร็จในใจนึกภาพว่า "จุดจบของปัญหา" คืออะไร และรู้สึกถึงความสำเร็จนั้นอย่างชัดเจน เพื่อกระตุ้นให้ใจเริ่มมุ่งเป้า4. ลงมือทำทีละนิดเริ่มจากก้าวเล็กๆ เช่น แบ่งงานออกเป็นส่วนๆ ทำส่วนเล็กให้สำเร็จในเวลาสั้นๆ ความสำเร็จเล็กๆ จะช่วยสร้างพลังใจในการขยับไปทำส่วนถัดไป---ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธานไม่ว่าจะเผชิญปัญหาใหญ่เพียงใด หากใจมุ่งมั่นและรู้วิธีฟื้นฟูพลัง จิตใจจะกลับมาแข็งแกร่ง พร้อมเดินหน้าต่อ ทุกครั้งที่ทำงานเล็กๆ สำเร็จ จิตจะเบิกบานและมั่นใจมากขึ้น เหมือนนักสมาธิที่เรียนรู้และสนุกกับการสร้างสมาธิใหม่ซ้ำๆ จนกลายเป็นแรงผลักดันที่ยั่งยืนในชีวิต!
    ตอนท้อจิตใจเปรียบเสมือนพื้นที่แห้งแล้ง ไร้ความชุ่มชื่น และมองปัญหาใหญ่กว่าตัวเรา ทำให้เกิดความรู้สึกสิ้นหวัง เหมือนตกอยู่ใต้เงาอันหนักอึ้งของปัญหา การยอมแพ้จึงดูเหมือนทางเลือกที่ง่ายที่สุดตอนเกิดสติเมื่อจิตใจเริ่มตื่นตัว รู้ตัวถึงปัญหาและความรู้สึกที่เกิดขึ้น จิตจะเริ่มฟื้นฟูพลังบางส่วนขึ้นมา การตระหนักรู้นี้ทำให้รู้สึกว่าเราเริ่มทัดเทียมกับปัญหา มีความสามารถที่จะพิจารณาทางแก้ไขได้บ้างตอนมีสมาธิจิตใจจะเต็มไปด้วยความชุ่มชื่น มีพลังและความกระตือรือร้น เห็นปัญหาเป็นสิ่งที่สามารถเอาชนะได้ง่าย เหมือนนักกีฬาที่ฟิตพร้อมเต็มที่ในสนาม มองโลกในมุมบวก และเกิดมโนภาพที่ชัดเจนในการแก้ปัญหา---การจัดการเมื่อจิตใจท้อแท้1. อย่าฝืนแก้ปัญหาทันทีหากจิตใจยังแห้งแล้ง ห่อเหี่ยว การพยายามแก้ปัญหาทั้งที่ยังไม่มีพลัง จะยิ่งเพิ่มความเครียดและเหนื่อยล้า2. เติมพลังให้จิตใจหายใจลึกๆ เพื่อเรียกสติกลับมา รู้สึกถึงลมหายใจที่ยังดำเนินไป และร่างกายที่ยังพร้อมใช้งานหาเป้าหมายเล็กๆ ที่ทำได้ทันที เช่น จัดโต๊ะ หยิบปากกา หรือเริ่มเขียนรายการสิ่งที่ต้องทำ3. สร้างภาพความสำเร็จในใจนึกภาพว่า "จุดจบของปัญหา" คืออะไร และรู้สึกถึงความสำเร็จนั้นอย่างชัดเจน เพื่อกระตุ้นให้ใจเริ่มมุ่งเป้า4. ลงมือทำทีละนิดเริ่มจากก้าวเล็กๆ เช่น แบ่งงานออกเป็นส่วนๆ ทำส่วนเล็กให้สำเร็จในเวลาสั้นๆ ความสำเร็จเล็กๆ จะช่วยสร้างพลังใจในการขยับไปทำส่วนถัดไป---ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธานไม่ว่าจะเผชิญปัญหาใหญ่เพียงใด หากใจมุ่งมั่นและรู้วิธีฟื้นฟูพลัง จิตใจจะกลับมาแข็งแกร่ง พร้อมเดินหน้าต่อ ทุกครั้งที่ทำงานเล็กๆ สำเร็จ จิตจะเบิกบานและมั่นใจมากขึ้น เหมือนนักสมาธิที่เรียนรู้และสนุกกับการสร้างสมาธิใหม่ซ้ำๆ จนกลายเป็นแรงผลักดันที่ยั่งยืนในชีวิต!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • ** #หน้าใส​ ไม่=​ #เซลล์ผิวหน้าแข็งแรง ! **

    ในบางครั้ง แม้ผิวของเราจะดูใส ดูสุขภาพดีเมื่อมอง จากภายนอก แต่ลึกๆแล้ว ผิวอาจกำลังเผชิญปัญหาความอ่อนแออยู่ก็เป็นได้ โดยที่เรามองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกต

    >>> นี่คือ​ 3 สัญญาณ​สำคัญ‼️ ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณ "อาจจะ" ไม่ได้แข็งแรง​ อย่างที่เห็น

    1. ผิว #ระคายเคืองง่าย และ #มีรอยแดง

    หากผิวของคุณมีแนวโน้มที่จะระคายเคืองง่าย เช่น รู้สึกแสบ คัน มีรอยแดง หรือแม้กระทั่งมีผดเล็กๆ ขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือสัมผัสกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผิวของคุณอาจจะอ่อนแอกว่าที่คิด อาการระคายเคืองง่ายนี้เกิดขึ้นจากการที่เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวไวต่อสิ่งเร้าจากภายนอก เช่น มลภาวะ ฝุ่น หรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (Purnamawati et al., 2017)

    2. ผิว #แห้ง หรือ #ขาดความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว

    อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวของคุณกำลังอ่อนแอ คือ การที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย แม้จะใช้ครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ หากผิวแห้งหรือขาดน้ำบ่อยๆ นั่นอาจแปลว่าผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ผิวสูญเสียไขมันตามธรรมชาติหรือโครงสร้างผิวไม่แข็งแรงพอ การที่ผิวแห้งกร้านง่ายทำให้เกิดริ้วรอยและผิวที่หมองคล้ำเร็วกว่าปกติ (Proksch et al., 2008).

    3. ผิว #ฟื้นตัวช้า หลัง #โดนแสงแดด หรือ #ทำความสะอาด

    ผิวที่อ่อนแอมักจะฟื้นตัวได้ช้าหลังจากเจอความรุนแรงจากภายนอก เช่น การโดนแสงแดดแรงๆ หรือการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก หากหลังจากออกแดดแล้วผิวมีรอยแดง นานกว่าปกติ หรือรู้สึกแห้งตึงหลังล้างหน้าโดยที่ผิวไม่คืนสภาพได้รวดเร็ว ผิวของคุณอาจกำลังส่งสัญญาณว่าต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และอาจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวอ่อนแอลงไปอีก (Krutmann et al., 2014).

    การดูแลผิวให้แข็งแรงจากภายในจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ผิวจะดูใสแต่ก็ไม่ควรละเลยสัญญาณเหล่านี้ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณอาจจะไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เห็น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ สารให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดหรือมลภาวะโดยตรง จะช่วยให้ผิวของคุณกลับมาแข็งแรง สดใส และสุขภาพดีอย่างแท้จริง

    -------

    ทำไม " #สารอาหารผิวในรูปแป้ง #COCON " จึงเหมาะสมต่อการ "ฟื้นฟูผิวอ่อนแอ" และ "ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ" ?

    COCON คือ #สารอาหารผิว ที่ประกอบด้วย โปรตีนจาก #PureCocoon 100% ไม่มีสารสังเคราะห์ ไม่มีสารคงตัวเจือปน ที่ผ่านกรรมวิธีเทคโนโลยีขั้นสูง จากแลปที่เชี่ยวชาญทางด้าน #TissueEngineering อันดับต้นๆของโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ทำให้โมเลกุลของสารอาหาร "เป็นทรงกลม" จึงไม่บาดเซลลผิว ในตอนทา และ สามารถซึมลงไปให้เซลล์ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอะไรตกค้าง ไม่ระคายเคืองเซลล์ผิวเลย จึงเป็นแบรนด์ที่ใช้ในวงการแพทย์ของญี่ปุ่น

    ซึ่ง มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและป้องกันผิว จากความอ่อนแอ ดังนี้

    1. ฟื้นฟูผิวอ่อนแอด้วยการซ่อมแซมเซลล์จากภายใน
    COCON เป็น สารอาหารผิวในรูปแป้งที่มี Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายได้ลึกถึงระดับ DNA ทำให้โครงสร้างผิวที่เคยถูกทำลายจากมลภาวะ แสงแดด หรือการใช้งานหนักกลับมาแข็งแรงขึ้น ผิวที่เคยอ่อนแอจึงสามารถฟื้นตัวและกลับมาดูสุขภาพดีได้อย่างเป็นธรรมชาติ

    2. ป้องกันการสูญเสียเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier)
    ด้วยคุณสมบัติของ Silk Protein ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ COCON ช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ฝุ่น มลภาวะ และสารเคมี ทำให้ผิวที่ยังแข็งแรงไม่ถูกทำลายง่าย และลดโอกาสที่ผิวจะกลายเป็นผิวอ่อนแอในอนาคต

    3. ป้องกันและลดการอักเสบขนาดเล็ก (Micro-Inflammation)
    การอักเสบขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ COCON มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับเซลล์ผิว และลดความเสี่ยงที่ผิวจะเกิดปัญหาระยะยาว เช่น การเสื่อมสภาพหรือการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

    4. เหมาะกับทุกสภาพผิว ปลอดภัย ไร้สารสังเคราะห์
    COCON เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารสังเคราะห์เจือปน จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การใช้สารอาหารผิวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผิวจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการระคายเคืองและส่งเสริมสุขภาพผิวในระยะยาว

    5. ช่วยรักษาสมดุลของผิวอย่างยั่งยืน
    การใช้ COCON อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผิวได้รับสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยรักษาความสมดุลของผิว ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวที่ดีอยู่แล้วคงความสุขภาพดีไว้ได้อย่างยาวนาน

    ไม่ว่าคุณจะมีผิวที่อ่อนแอหรือผิวที่ต้องการการป้องกันไม่ให้เสื่อมสภาพ COCON คือคำตอบที่ช่วยเติมเต็มความต้องการของผิวคุณ ด้วย Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ที่ผ่านกระบวนการเทคโนโลยีขั้นสูง ที่อ่อนโยนและทรงประสิทธิภาพในการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก

    -------

    **สำหรับผู้ที่ใช้ COCON อยู่แล้ว** หากคุณใช้ COCON แล้วพบว่ามีอาการผื่นแดงขึ้น นั่นแปลว่า เซลล์ผิวของคุณอ่อนแอจากเคมีในผลิตภัณฑ์อื่นที่คุณใช้ หรือ มลภาวะที่คุณต้องเผชิญในแต่ละวัน

    ดังนั้น แนะนำให้ลองใช้ COCON เฉพาะตอนกลางคืนเพียงอย่างเดียวก่อน เพื่อให้ผิวได้พักและฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีจากครีมหรือเครื่องสำอางตัวอื่นที่อาจปิดกั้นการทำงานของ COCON

    การใช้สารอาหารผิว COCON เพียงตัวเดียวก่อนนอน จะช่วยให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจทำลายเซลล์ผิวในระยะยาว เมื่อผิวกลับมาแข็งแรงแล้ว ค่อยเริ่มใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นในช่วงกลางวัน

    #TheSignature #BangkokCraftmanship #skincare #สกินแคร์ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    ** #หน้าใส​ ไม่=​ #เซลล์ผิวหน้าแข็งแรง ! ** ในบางครั้ง แม้ผิวของเราจะดูใส ดูสุขภาพดีเมื่อมอง จากภายนอก แต่ลึกๆแล้ว ผิวอาจกำลังเผชิญปัญหาความอ่อนแออยู่ก็เป็นได้ โดยที่เรามองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกต >>> นี่คือ​ 3 สัญญาณ​สำคัญ‼️ ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณ "อาจจะ" ไม่ได้แข็งแรง​ อย่างที่เห็น 1. ผิว #ระคายเคืองง่าย และ #มีรอยแดง หากผิวของคุณมีแนวโน้มที่จะระคายเคืองง่าย เช่น รู้สึกแสบ คัน มีรอยแดง หรือแม้กระทั่งมีผดเล็กๆ ขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือสัมผัสกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผิวของคุณอาจจะอ่อนแอกว่าที่คิด อาการระคายเคืองง่ายนี้เกิดขึ้นจากการที่เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวไวต่อสิ่งเร้าจากภายนอก เช่น มลภาวะ ฝุ่น หรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (Purnamawati et al., 2017) 2. ผิว #แห้ง หรือ #ขาดความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวของคุณกำลังอ่อนแอ คือ การที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย แม้จะใช้ครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ หากผิวแห้งหรือขาดน้ำบ่อยๆ นั่นอาจแปลว่าผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ผิวสูญเสียไขมันตามธรรมชาติหรือโครงสร้างผิวไม่แข็งแรงพอ การที่ผิวแห้งกร้านง่ายทำให้เกิดริ้วรอยและผิวที่หมองคล้ำเร็วกว่าปกติ (Proksch et al., 2008). 3. ผิว #ฟื้นตัวช้า หลัง #โดนแสงแดด หรือ #ทำความสะอาด ผิวที่อ่อนแอมักจะฟื้นตัวได้ช้าหลังจากเจอความรุนแรงจากภายนอก เช่น การโดนแสงแดดแรงๆ หรือการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก หากหลังจากออกแดดแล้วผิวมีรอยแดง นานกว่าปกติ หรือรู้สึกแห้งตึงหลังล้างหน้าโดยที่ผิวไม่คืนสภาพได้รวดเร็ว ผิวของคุณอาจกำลังส่งสัญญาณว่าต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และอาจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวอ่อนแอลงไปอีก (Krutmann et al., 2014). การดูแลผิวให้แข็งแรงจากภายในจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ผิวจะดูใสแต่ก็ไม่ควรละเลยสัญญาณเหล่านี้ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณอาจจะไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เห็น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ สารให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดหรือมลภาวะโดยตรง จะช่วยให้ผิวของคุณกลับมาแข็งแรง สดใส และสุขภาพดีอย่างแท้จริง ------- ทำไม " #สารอาหารผิวในรูปแป้ง #COCON " จึงเหมาะสมต่อการ "ฟื้นฟูผิวอ่อนแอ" และ "ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ" ? COCON คือ #สารอาหารผิว ที่ประกอบด้วย โปรตีนจาก #PureCocoon 100% ไม่มีสารสังเคราะห์ ไม่มีสารคงตัวเจือปน ที่ผ่านกรรมวิธีเทคโนโลยีขั้นสูง จากแลปที่เชี่ยวชาญทางด้าน #TissueEngineering อันดับต้นๆของโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ทำให้โมเลกุลของสารอาหาร "เป็นทรงกลม" จึงไม่บาดเซลลผิว ในตอนทา และ สามารถซึมลงไปให้เซลล์ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอะไรตกค้าง ไม่ระคายเคืองเซลล์ผิวเลย จึงเป็นแบรนด์ที่ใช้ในวงการแพทย์ของญี่ปุ่น ซึ่ง มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและป้องกันผิว จากความอ่อนแอ ดังนี้ 1. ฟื้นฟูผิวอ่อนแอด้วยการซ่อมแซมเซลล์จากภายใน COCON เป็น สารอาหารผิวในรูปแป้งที่มี Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายได้ลึกถึงระดับ DNA ทำให้โครงสร้างผิวที่เคยถูกทำลายจากมลภาวะ แสงแดด หรือการใช้งานหนักกลับมาแข็งแรงขึ้น ผิวที่เคยอ่อนแอจึงสามารถฟื้นตัวและกลับมาดูสุขภาพดีได้อย่างเป็นธรรมชาติ 2. ป้องกันการสูญเสียเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ด้วยคุณสมบัติของ Silk Protein ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ COCON ช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ฝุ่น มลภาวะ และสารเคมี ทำให้ผิวที่ยังแข็งแรงไม่ถูกทำลายง่าย และลดโอกาสที่ผิวจะกลายเป็นผิวอ่อนแอในอนาคต 3. ป้องกันและลดการอักเสบขนาดเล็ก (Micro-Inflammation) การอักเสบขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ COCON มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับเซลล์ผิว และลดความเสี่ยงที่ผิวจะเกิดปัญหาระยะยาว เช่น การเสื่อมสภาพหรือการเกิดริ้วรอยก่อนวัย 4. เหมาะกับทุกสภาพผิว ปลอดภัย ไร้สารสังเคราะห์ COCON เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารสังเคราะห์เจือปน จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การใช้สารอาหารผิวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผิวจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการระคายเคืองและส่งเสริมสุขภาพผิวในระยะยาว 5. ช่วยรักษาสมดุลของผิวอย่างยั่งยืน การใช้ COCON อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผิวได้รับสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยรักษาความสมดุลของผิว ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวที่ดีอยู่แล้วคงความสุขภาพดีไว้ได้อย่างยาวนาน ไม่ว่าคุณจะมีผิวที่อ่อนแอหรือผิวที่ต้องการการป้องกันไม่ให้เสื่อมสภาพ COCON คือคำตอบที่ช่วยเติมเต็มความต้องการของผิวคุณ ด้วย Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ที่ผ่านกระบวนการเทคโนโลยีขั้นสูง ที่อ่อนโยนและทรงประสิทธิภาพในการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก ------- **สำหรับผู้ที่ใช้ COCON อยู่แล้ว** หากคุณใช้ COCON แล้วพบว่ามีอาการผื่นแดงขึ้น นั่นแปลว่า เซลล์ผิวของคุณอ่อนแอจากเคมีในผลิตภัณฑ์อื่นที่คุณใช้ หรือ มลภาวะที่คุณต้องเผชิญในแต่ละวัน ดังนั้น แนะนำให้ลองใช้ COCON เฉพาะตอนกลางคืนเพียงอย่างเดียวก่อน เพื่อให้ผิวได้พักและฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีจากครีมหรือเครื่องสำอางตัวอื่นที่อาจปิดกั้นการทำงานของ COCON การใช้สารอาหารผิว COCON เพียงตัวเดียวก่อนนอน จะช่วยให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจทำลายเซลล์ผิวในระยะยาว เมื่อผิวกลับมาแข็งแรงแล้ว ค่อยเริ่มใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นในช่วงกลางวัน #TheSignature #BangkokCraftmanship #skincare #สกินแคร์ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 642 มุมมอง 0 รีวิว
  • ☘️สูตรพอลลิตินสำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ ประกอบด้วยสารอาหารที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบย่อยอาหาร ลดการอักเสบ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย ดังนี้:1. วิทกราส (Wheatgrass)ช่วยล้างสารพิษในร่างกาย รวมถึงระบบน้ำเหลืองและทางเดินอาหารอุดมด้วยคลอโรฟิลล์ ช่วยลดการอักเสบ และส่งเสริมการฟื้นฟูเซลล์2. พอลลิทรักซ์ (Pollitrix)เป็นซินไบโอติกซ์ ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ส่งเสริมสุขภาพลำไส้และการดูดซึมสารอาหาร ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ3. พอลลิทอล (Pollitol)มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเสื่อมของเซลล์และบรรเทาอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารช่วยเพิ่มพลังงานและสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน4. พอลลิแคน (Pollikan)เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบในร่างกาย และช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งสนับสนุนการซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย5. พอลลิแทป (Pollitap)ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ฟื้นฟูเนื้อเยื่อและเซลล์ที่เสียหายจากการรักษาบำรุงระบบประสาทและช่วยเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย6. พอลเลนพลัส (Pollen Plus)สารสกัดจากเกสรดอกไม้ อุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง และเพิ่มพลังงานในชีวิตประจำวัน7. พอลลิเน๊กซ์ (Pollinex)ช่วยลดความเครียด เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยฟื้นฟูพลังงานในร่างกายส่งเสริมการทำงานของเซลล์และช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น☘️คุณประโยชน์สำคัญของสูตรนี้สำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้✅สนับสนุนการทำงานของระบบย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร✅ลดการอักเสบในลำไส้และระบบทางเดินอาหาร✅ฟื้นฟูเซลล์และเนื้อเยื่อที่เสียหาย✅เพิ่มพลังงานและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงสูตรนี้เหมาะสำหรับการดูแลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและฟื้นฟูสุขภาพอย่างยั่งยืน.ปรึกษา อ.ธนกร ศูนย์สร้างภูมิบำบัด☎️. 090-465-6360ดูข้อมูลเพิ่ม กดที่ลิงค์https://lin.ee/pBbSqSD#ทางเลือกการรักษามะเร็ง #รักษามะเร็งแบบธรรมชาติ #สารอาหารต้านมะเร็ง #บำรุงสุขภาพต้านมะเร็ง #สมุนไพรบำบัดมะเร็ง #โภชนาการเพื่อสุขภาพ #บำบัดด้วยอาหาร #สุขภาพและโภชนาการ #โภชนเภสัชศาสตร์ #พอลลิตินเพื่อสุขภาพ
    ☘️สูตรพอลลิตินสำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ ประกอบด้วยสารอาหารที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบย่อยอาหาร ลดการอักเสบ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย ดังนี้:1. วิทกราส (Wheatgrass)ช่วยล้างสารพิษในร่างกาย รวมถึงระบบน้ำเหลืองและทางเดินอาหารอุดมด้วยคลอโรฟิลล์ ช่วยลดการอักเสบ และส่งเสริมการฟื้นฟูเซลล์2. พอลลิทรักซ์ (Pollitrix)เป็นซินไบโอติกซ์ ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ส่งเสริมสุขภาพลำไส้และการดูดซึมสารอาหาร ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ3. พอลลิทอล (Pollitol)มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเสื่อมของเซลล์และบรรเทาอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารช่วยเพิ่มพลังงานและสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน4. พอลลิแคน (Pollikan)เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบในร่างกาย และช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งสนับสนุนการซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย5. พอลลิแทป (Pollitap)ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ฟื้นฟูเนื้อเยื่อและเซลล์ที่เสียหายจากการรักษาบำรุงระบบประสาทและช่วยเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย6. พอลเลนพลัส (Pollen Plus)สารสกัดจากเกสรดอกไม้ อุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง และเพิ่มพลังงานในชีวิตประจำวัน7. พอลลิเน๊กซ์ (Pollinex)ช่วยลดความเครียด เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยฟื้นฟูพลังงานในร่างกายส่งเสริมการทำงานของเซลล์และช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น☘️คุณประโยชน์สำคัญของสูตรนี้สำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้✅สนับสนุนการทำงานของระบบย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร✅ลดการอักเสบในลำไส้และระบบทางเดินอาหาร✅ฟื้นฟูเซลล์และเนื้อเยื่อที่เสียหาย✅เพิ่มพลังงานและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงสูตรนี้เหมาะสำหรับการดูแลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและฟื้นฟูสุขภาพอย่างยั่งยืน.ปรึกษา อ.ธนกร ศูนย์สร้างภูมิบำบัด☎️. 090-465-6360ดูข้อมูลเพิ่ม กดที่ลิงค์https://lin.ee/pBbSqSD#ทางเลือกการรักษามะเร็ง #รักษามะเร็งแบบธรรมชาติ #สารอาหารต้านมะเร็ง #บำรุงสุขภาพต้านมะเร็ง #สมุนไพรบำบัดมะเร็ง #โภชนาการเพื่อสุขภาพ #บำบัดด้วยอาหาร #สุขภาพและโภชนาการ #โภชนเภสัชศาสตร์ #พอลลิตินเพื่อสุขภาพ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 338 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทักษิณ-ธนาธร โต้เดือด อย่ารื้อโครงสร้าง ม.112 สวนกลับไม่เคยพูด-ตั้งแง่ร่วมรัฐบาล
    .
    ทักษิณให้สัมภาษณ์พาดพิงธนาธร เคยคุยเรื่องมาตรา 112 ว่าตัวเองก็โดน ขอให้ช่วยทำงานให้บ้านเมือง อย่าพยายามไปรื้อโครงสร้างให้มากเกินไป ด้านธนาธรโต้ไม่เคยคุยเรื่องนี้กับทักษิณ และไม่ใช่เงื่อนไขร่วมรัฐบาล ทักษิณก็รู้ดี เหน็บแทนที่จะร่วมแก้ปัญหา กลับเลือกเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา
    .
    วันนี้ (15 พ.ย.) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊ก ตอบโต้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พาดพิงเรื่องแก้ไขมาตรา 112 ว่า นายทักษิณรู้ดีที่สุด ว่าเหตุผลที่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยไม่ได้ร่วมรัฐบาลกัน ไม่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 สิ่งที่นายทักษิณกล่าว อาจทำให้คนทั่วเข้าใจไปได้ว่า ตนเคยคุยกับคุณทักษิณเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 หรือมีความคิดรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งในความเป็นจริงเราไม่ได้พูดคุยตกลงอะไรกันเรื่องนี้เลย การพูดคลุมเครือยังเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งต่อพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชน เพื่อพยายามสร้างความเข้าใจในหมู่ประชาชนว่าเหตุที่ดีลร่วมรัฐบาลล่ม เป็นเพราะพรรคก้าวไกลไม่ยอมลดราวาศอกเรื่อง 112
    .
    "มาตรา 112 ไม่ใช่เงื่อนไขการร่วมรัฐบาล ไม่ใช่ว่าพรรคก้าวไกลเสนอให้การแก้ไขมาตรา 112 เป็นเงื่อนไขในการร่วมรัฐบาล และเมื่อถูกทักท้วงจากพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นแล้วก็ไม่ยอมถอย มาตรา 112 ไม่เคยอยู่ในเงื่อนไขตั้งแต่แรกต่างหาก ไม่มีอยู่ในเอ็มโอยูร่วมรัฐบาลที่เซ็นร่วมกันและเป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะ คุณทักษิณรู้ดีที่สุด ไม่ใช่แกนนำพรรคก้าวไกลมุทะลุ ไม่มีวุฒิภาวะ แต่มีเหตุผลอื่นที่จะไม่ร่วมกัน แล้วใช้มาตรา 112 เป็นข้ออ้างต่างหาก ในทางกลับกัน คุณทักษิณเอง น่าจะเป็นคนที่เข้าใจปัญหาโครงสร้างดีที่สุด แทนที่จะร่วมแก้ปัญหา กลับเลือกเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา" นายธนาธร กล่าว
    .
    นายธนาธร กล่าวว่า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ไม่เคยโฆษณาหรือใช้เรื่องมาตรา 112 เป็นประเด็นหลักในการรณรงค์เพื่อคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง ซึ่งจะตอบหรือพูดเรื่องมาตรา 112 เมื่อถูกสื่อมวลชนหรือประชาชนถามเท่านั้น ตนทราบดีว่าการแก้ไขปัญหาโครงสร้างที่สั่งสมมาหลายสิบปีของประเทศไม่ใช่สิ่งที่ลัดขั้นตอนได้ แต่ต้องทำงานความคิดอย่างหนักและต่อเนื่อง เพื่อให้สังคมเห็นชอบร่วมกัน และแก้ปัญหาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตนเห็นว่าถ้าไม่แก้ปัญหาโครงสร้าง ก็ปะผุประเทศไทยกันต่อไป ประเทศจะเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน มีแต่การให้คนในสังคมมีวุฒิภาวะพอ กล้ายอมรับปัญหา เผชิญหน้า และค่อยๆ พูดคุยหาทางออกร่วมกัน
    .
    ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 14 พ.ย. นายทักษิณให้สัมภาษณ์ระหว่างช่วยหาเสียงตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ว่า คดีมาตรา 112 เป็นเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลให้สัตยาบันไว้ว่า จะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ จะไม่แตะเรื่อง 112 แต่จริงๆ แล้วปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย ตนก็เป็นเหยื่อรายหนึ่ง ในการบังคับใช้กฎหมาย มาตรา 112 คนที่รับคดีครั้งแรกบอกว่าเดี๋ยวจะหาว่าไม่จงรักภักดี ฟ้องไปก่อน ทั้งที่หลักฐานไม่มี คนที่สองไม่ฟ้องเดี๋ยวโดนอีก ก็ฟ้อง โดยที่ไม่ได้ดูความถูกต้องของพยานหลักฐาน จึงทำให้การจงรักภักดีและรักสถาบันฯ ไม่ถูกต้อง การจงรักภักดีที่ถูกต้อง คือการรักษากฎหมายที่เป็นธรรม เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข แต่ก็ไม่ง่ายในการแก้ซึ่งต้องใช้เวลา
    .
    ผู้สื่อข่าวถามว่า ในแต่ละเหตุการณ์มีบริบทเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ทั้งเหตุการณ์รัฐประหารปี 2549, 2557 จนถึงพรรคการเมืองโดนยุบเพราะมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 นายทักษิณ กล่าวว่า จริงๆ แล้วตนเคยคุยกับนายธนาธร ว่าตนก็โดน 3 พรรค ต้องไปอยู่ต่างประเทศ 17 ปี ดังนั้นขอให้ช่วยทำงานให้บ้านเมือง อย่าพยายามไปรื้อโครงสร้างให้มากเกินไป ถ้าแก้ปัญหาด้วยหลักการ และเอาบ้านเมืองให้อยู่ได้จะดีที่สุด อย่าไปคิดถึงสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่คนไทยเคารพนับถือ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของสถาบันฯ เราต้องจรรโลงอย่างเดียว ตนไม่ได้บอกว่านายธนาธรหรือพรรคก้าวไกลไม่จงรักภักดี แต่ต้องยึดหลักให้ถูกต้อง อย่าไปมุ่งหาเสียง บางทีจุดที่โฆษณามันอันตรายกว่าความตั้งใจที่จะทำ
    ..............
    Sondhi X
    ทักษิณ-ธนาธร โต้เดือด อย่ารื้อโครงสร้าง ม.112 สวนกลับไม่เคยพูด-ตั้งแง่ร่วมรัฐบาล . ทักษิณให้สัมภาษณ์พาดพิงธนาธร เคยคุยเรื่องมาตรา 112 ว่าตัวเองก็โดน ขอให้ช่วยทำงานให้บ้านเมือง อย่าพยายามไปรื้อโครงสร้างให้มากเกินไป ด้านธนาธรโต้ไม่เคยคุยเรื่องนี้กับทักษิณ และไม่ใช่เงื่อนไขร่วมรัฐบาล ทักษิณก็รู้ดี เหน็บแทนที่จะร่วมแก้ปัญหา กลับเลือกเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา . วันนี้ (15 พ.ย.) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊ก ตอบโต้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พาดพิงเรื่องแก้ไขมาตรา 112 ว่า นายทักษิณรู้ดีที่สุด ว่าเหตุผลที่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยไม่ได้ร่วมรัฐบาลกัน ไม่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 สิ่งที่นายทักษิณกล่าว อาจทำให้คนทั่วเข้าใจไปได้ว่า ตนเคยคุยกับคุณทักษิณเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 หรือมีความคิดรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งในความเป็นจริงเราไม่ได้พูดคุยตกลงอะไรกันเรื่องนี้เลย การพูดคลุมเครือยังเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งต่อพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชน เพื่อพยายามสร้างความเข้าใจในหมู่ประชาชนว่าเหตุที่ดีลร่วมรัฐบาลล่ม เป็นเพราะพรรคก้าวไกลไม่ยอมลดราวาศอกเรื่อง 112 . "มาตรา 112 ไม่ใช่เงื่อนไขการร่วมรัฐบาล ไม่ใช่ว่าพรรคก้าวไกลเสนอให้การแก้ไขมาตรา 112 เป็นเงื่อนไขในการร่วมรัฐบาล และเมื่อถูกทักท้วงจากพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นแล้วก็ไม่ยอมถอย มาตรา 112 ไม่เคยอยู่ในเงื่อนไขตั้งแต่แรกต่างหาก ไม่มีอยู่ในเอ็มโอยูร่วมรัฐบาลที่เซ็นร่วมกันและเป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะ คุณทักษิณรู้ดีที่สุด ไม่ใช่แกนนำพรรคก้าวไกลมุทะลุ ไม่มีวุฒิภาวะ แต่มีเหตุผลอื่นที่จะไม่ร่วมกัน แล้วใช้มาตรา 112 เป็นข้ออ้างต่างหาก ในทางกลับกัน คุณทักษิณเอง น่าจะเป็นคนที่เข้าใจปัญหาโครงสร้างดีที่สุด แทนที่จะร่วมแก้ปัญหา กลับเลือกเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา" นายธนาธร กล่าว . นายธนาธร กล่าวว่า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ไม่เคยโฆษณาหรือใช้เรื่องมาตรา 112 เป็นประเด็นหลักในการรณรงค์เพื่อคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง ซึ่งจะตอบหรือพูดเรื่องมาตรา 112 เมื่อถูกสื่อมวลชนหรือประชาชนถามเท่านั้น ตนทราบดีว่าการแก้ไขปัญหาโครงสร้างที่สั่งสมมาหลายสิบปีของประเทศไม่ใช่สิ่งที่ลัดขั้นตอนได้ แต่ต้องทำงานความคิดอย่างหนักและต่อเนื่อง เพื่อให้สังคมเห็นชอบร่วมกัน และแก้ปัญหาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตนเห็นว่าถ้าไม่แก้ปัญหาโครงสร้าง ก็ปะผุประเทศไทยกันต่อไป ประเทศจะเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน มีแต่การให้คนในสังคมมีวุฒิภาวะพอ กล้ายอมรับปัญหา เผชิญหน้า และค่อยๆ พูดคุยหาทางออกร่วมกัน . ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 14 พ.ย. นายทักษิณให้สัมภาษณ์ระหว่างช่วยหาเสียงตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ว่า คดีมาตรา 112 เป็นเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลให้สัตยาบันไว้ว่า จะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ จะไม่แตะเรื่อง 112 แต่จริงๆ แล้วปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย ตนก็เป็นเหยื่อรายหนึ่ง ในการบังคับใช้กฎหมาย มาตรา 112 คนที่รับคดีครั้งแรกบอกว่าเดี๋ยวจะหาว่าไม่จงรักภักดี ฟ้องไปก่อน ทั้งที่หลักฐานไม่มี คนที่สองไม่ฟ้องเดี๋ยวโดนอีก ก็ฟ้อง โดยที่ไม่ได้ดูความถูกต้องของพยานหลักฐาน จึงทำให้การจงรักภักดีและรักสถาบันฯ ไม่ถูกต้อง การจงรักภักดีที่ถูกต้อง คือการรักษากฎหมายที่เป็นธรรม เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข แต่ก็ไม่ง่ายในการแก้ซึ่งต้องใช้เวลา . ผู้สื่อข่าวถามว่า ในแต่ละเหตุการณ์มีบริบทเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ทั้งเหตุการณ์รัฐประหารปี 2549, 2557 จนถึงพรรคการเมืองโดนยุบเพราะมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 นายทักษิณ กล่าวว่า จริงๆ แล้วตนเคยคุยกับนายธนาธร ว่าตนก็โดน 3 พรรค ต้องไปอยู่ต่างประเทศ 17 ปี ดังนั้นขอให้ช่วยทำงานให้บ้านเมือง อย่าพยายามไปรื้อโครงสร้างให้มากเกินไป ถ้าแก้ปัญหาด้วยหลักการ และเอาบ้านเมืองให้อยู่ได้จะดีที่สุด อย่าไปคิดถึงสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่คนไทยเคารพนับถือ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของสถาบันฯ เราต้องจรรโลงอย่างเดียว ตนไม่ได้บอกว่านายธนาธรหรือพรรคก้าวไกลไม่จงรักภักดี แต่ต้องยึดหลักให้ถูกต้อง อย่าไปมุ่งหาเสียง บางทีจุดที่โฆษณามันอันตรายกว่าความตั้งใจที่จะทำ .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1018 มุมมอง 0 รีวิว
  • คอนเน็คชั่นยั่งยืน เริ่มที่ความสามารถ
    คอนเน็คชั่นยั่งยืน เริ่มที่ความสามารถ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 920 มุมมอง 16 1 รีวิว
  • ## นักเศรษฐศาสตร์ฮาร์วาร์ด เปิดเผยความลับที่น่าตกตะลึงเกี่ยวกับ ประเทศจีน ในปี 2025 ##
    ..
    ..
    1. เศรษฐกิจของจีนในอนาคต

    การเติบโตทางเศรษฐกิจ : จีนคาดว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี 2025 โดยมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในหลายภาคส่วน

    เทคโนโลยีและนวัตกรรม : การลงทุนในเทคโนโลยีและการพัฒนา AI จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ
    .
    2. บทบาทในเวทีโลก

    การขยายอิทธิพล : จีนกำลังขยายอิทธิพลทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมืองในเวทีโลก ผ่านการลงทุนและความร่วมมือระหว่างประเทศ

    ความท้าทายทางการทูต : การเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ และพันธมิตรจะยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง
    .
    3. ความท้าทายภายในประเทศ

    ความไม่เท่าเทียม : ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศยังคงเป็นปัญหาที่รัฐบาลจีนต้องจัดการ

    สิ่งแวดล้อม : ปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลพิษยังคงเป็นความท้าทายที่จีนต้องเร่งแก้ไข

    4. นโยบายและการปฏิรูป

    การปฏิรูปเศรษฐกิจ : จีนจะต้องมีการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาการเติบโตและความยั่งยืน

    นโยบายภายในประเทศ : รัฐบาลจีนต้องมีนโยบายที่ชัดเจนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศ
    .
    https://www.youtube.com/watch?v=9O6a62Qqzwg
    ## นักเศรษฐศาสตร์ฮาร์วาร์ด เปิดเผยความลับที่น่าตกตะลึงเกี่ยวกับ ประเทศจีน ในปี 2025 ## .. .. 1. เศรษฐกิจของจีนในอนาคต การเติบโตทางเศรษฐกิจ : จีนคาดว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี 2025 โดยมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในหลายภาคส่วน เทคโนโลยีและนวัตกรรม : การลงทุนในเทคโนโลยีและการพัฒนา AI จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ . 2. บทบาทในเวทีโลก การขยายอิทธิพล : จีนกำลังขยายอิทธิพลทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมืองในเวทีโลก ผ่านการลงทุนและความร่วมมือระหว่างประเทศ ความท้าทายทางการทูต : การเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ และพันธมิตรจะยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง . 3. ความท้าทายภายในประเทศ ความไม่เท่าเทียม : ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศยังคงเป็นปัญหาที่รัฐบาลจีนต้องจัดการ สิ่งแวดล้อม : ปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลพิษยังคงเป็นความท้าทายที่จีนต้องเร่งแก้ไข 4. นโยบายและการปฏิรูป การปฏิรูปเศรษฐกิจ : จีนจะต้องมีการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาการเติบโตและความยั่งยืน นโยบายภายในประเทศ : รัฐบาลจีนต้องมีนโยบายที่ชัดเจนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศ . https://www.youtube.com/watch?v=9O6a62Qqzwg
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำถามว่า "รักแท้หรือรักเทียม? " เป็นสิ่งที่หลายคนสงสัยและอยากหาคำตอบให้กับตนเอง ความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้สามารถสังเกตได้จากความยั่งยืนของความรู้สึก และจากวิธีที่เราปฏิบัติต่อกันในระยะยาวในความสัมพันธ์ที่มั่นคงและแท้จริง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นไม่เพียงแต่เป็นเพื่อนที่คุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่ใช่แค่ความพิศวาสที่ผ่านไปชั่วขณะ หรือความรู้สึกวูบๆ วาบๆ แต่เป็นความรู้สึกที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัว เป็นความสัมพันธ์ที่ยังคงอยู่แม้ในวันที่เราไม่ได้พบกันบ่อยหรือไม่มีเหตุปัจจัยภายนอกมารองรับ หากคนรักของเราสามารถเข้ากับครอบครัวได้อย่างเป็นธรรมชาติและทำให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว นั่นเป็นสัญญาณที่ดีว่าความสัมพันธ์นี้อาจเป็นรักแท้ รักแท้จึงไม่ใช่เพียงแค่ความพิเศษเฉพาะคนสองคน แต่คือการสร้างความอบอุ่นและผูกพันที่มั่นคง เหมือนที่เราอยากมาพึ่งพิงครอบครัวยามเหนื่อยล้าและอยากหาความสบายใจจากคนที่รักและเข้าใจเราอย่างแท้จริงท้ายที่สุด รักแท้ไม่ใช่สิ่งที่เราจะหามาด้วยความรู้สึกชั่ววูบ แต่เป็นสิ่งที่เราจะเห็นได้จากความเป็นคนในครอบครัว ที่มาจากความเข้าใจและถนอมน้ำใจกันแม้ในวันที่ทุกอย่างไม่ง่าย ความยั่งยืนของรักแท้คือการรู้จักสร้างและดูแลความสัมพันธ์ให้คงทนด้วยความจริงใจและการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
    คำถามว่า "รักแท้หรือรักเทียม? " เป็นสิ่งที่หลายคนสงสัยและอยากหาคำตอบให้กับตนเอง ความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้สามารถสังเกตได้จากความยั่งยืนของความรู้สึก และจากวิธีที่เราปฏิบัติต่อกันในระยะยาวในความสัมพันธ์ที่มั่นคงและแท้จริง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นไม่เพียงแต่เป็นเพื่อนที่คุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่ใช่แค่ความพิศวาสที่ผ่านไปชั่วขณะ หรือความรู้สึกวูบๆ วาบๆ แต่เป็นความรู้สึกที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัว เป็นความสัมพันธ์ที่ยังคงอยู่แม้ในวันที่เราไม่ได้พบกันบ่อยหรือไม่มีเหตุปัจจัยภายนอกมารองรับ หากคนรักของเราสามารถเข้ากับครอบครัวได้อย่างเป็นธรรมชาติและทำให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว นั่นเป็นสัญญาณที่ดีว่าความสัมพันธ์นี้อาจเป็นรักแท้ รักแท้จึงไม่ใช่เพียงแค่ความพิเศษเฉพาะคนสองคน แต่คือการสร้างความอบอุ่นและผูกพันที่มั่นคง เหมือนที่เราอยากมาพึ่งพิงครอบครัวยามเหนื่อยล้าและอยากหาความสบายใจจากคนที่รักและเข้าใจเราอย่างแท้จริงท้ายที่สุด รักแท้ไม่ใช่สิ่งที่เราจะหามาด้วยความรู้สึกชั่ววูบ แต่เป็นสิ่งที่เราจะเห็นได้จากความเป็นคนในครอบครัว ที่มาจากความเข้าใจและถนอมน้ำใจกันแม้ในวันที่ทุกอย่างไม่ง่าย ความยั่งยืนของรักแท้คือการรู้จักสร้างและดูแลความสัมพันธ์ให้คงทนด้วยความจริงใจและการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • #Himcoffee เมล็ดกาแฟไทยแท้ 100%
    ไม่ยัดใส้ ไม่มั่วแหล่ง ไม่ปนของนอก ผลผลิตของเกษตรกรไทย ในท้องถิ่นเมืองปาน จ.ลำปาง

    จำหน่ายเมล็ดกาแฟคั่วทุกชนิด ปลีก/ส่ง
    จำหน่ายสารกาแฟคุณภาพ ทุกชนิด
    รับผลิตงานสั่ง OEM ทุกชนิด

    ติดต่อสอบถาม
    Tel.088-443 5266
    Line@himcoffee

    ดูข้อมูลสินค้า ได้ทุกช่องทางออนไลน์

    #กินของไทยใช้ของดี #ไทยทำไทยใช้ไทยเจริญ #ไทยยั่งยืน

    #เมล็ดกาแฟ #กาแฟลำปาง #Himcoffeestory #specialtycoffee #singleorigin #ส่งออกกาแฟไทย #myroadmycoffee #โรงคั่วกาแฟลำปาง #กาแฟพิเศษไทย #Himcoffeefarmers #specialprocess #arabicathailand #กาแฟสด #ร้านกาแฟลำปาง #คาเฟ่ลำปาง #คั่วกลางเข้ม #สู้นม #ขายส่งเมล็ดกาแฟ

    ช่วยกันสนับสนุน #เกษตรกรไทย #ผลักดันสินค้าไทย #เศรษฐกิจไทย จะเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
    #Himcoffee เมล็ดกาแฟไทยแท้ 100% ไม่ยัดใส้ ไม่มั่วแหล่ง ไม่ปนของนอก ผลผลิตของเกษตรกรไทย ในท้องถิ่นเมืองปาน จ.ลำปาง จำหน่ายเมล็ดกาแฟคั่วทุกชนิด ปลีก/ส่ง จำหน่ายสารกาแฟคุณภาพ ทุกชนิด รับผลิตงานสั่ง OEM ทุกชนิด ติดต่อสอบถาม Tel.088-443 5266 Line@himcoffee ดูข้อมูลสินค้า ได้ทุกช่องทางออนไลน์ #กินของไทยใช้ของดี #ไทยทำไทยใช้ไทยเจริญ #ไทยยั่งยืน #เมล็ดกาแฟ #กาแฟลำปาง #Himcoffeestory #specialtycoffee #singleorigin #ส่งออกกาแฟไทย #myroadmycoffee #โรงคั่วกาแฟลำปาง #กาแฟพิเศษไทย #Himcoffeefarmers #specialprocess #arabicathailand #กาแฟสด #ร้านกาแฟลำปาง #คาเฟ่ลำปาง #คั่วกลางเข้ม #สู้นม #ขายส่งเมล็ดกาแฟ ช่วยกันสนับสนุน #เกษตรกรไทย #ผลักดันสินค้าไทย #เศรษฐกิจไทย จะเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 489 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชีวีอยู่ไม่ยั่งยืน
    ตื่นรู้กรรมดีขวนขวาย
    ยั่งยืนแน่นอนต้องตาย
    หมายเพียรรู้ตื่นด้วยธรรม

    บาปบุญคุณโทษนั้นมี
    ดีสติคิดพูดทำ
    ให้ทุกข์ดับหายโรคกรรม
    ทำดีศีลธรรมอาศัย

    เพียรระวังกรรมกายใจ
    กายป่วยให้รักษาได้
    ระวังอย่าได้ป่วยใจ
    ให้ธรรมกรรมดีครองไว้
    ชีวีอยู่ไม่ยั่งยืน ตื่นรู้กรรมดีขวนขวาย ยั่งยืนแน่นอนต้องตาย หมายเพียรรู้ตื่นด้วยธรรม บาปบุญคุณโทษนั้นมี ดีสติคิดพูดทำ ให้ทุกข์ดับหายโรคกรรม ทำดีศีลธรรมอาศัย เพียรระวังกรรมกายใจ กายป่วยให้รักษาได้ ระวังอย่าได้ป่วยใจ ให้ธรรมกรรมดีครองไว้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇨🇳🇺🇸 จีนกล่าวว่า ความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐฯเป็นผลประโยชน์สูงสุดของทั้งสองประเทศ

    “ประวัติศาสตร์บอกเราว่าทั้งสองประเทศจะได้ประโยชน์จากความร่วมมือและสูญเสียจากการเผชิญหน้า ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯที่มีเสถียรภาพ, แข็งแรง, และการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ”
    .
    🇨🇳🇺🇸 China says good relations with the United States are in the best interests of both countries.

    "History tells us that both countries stand to gain from cooperation and lose from confrontation. A China-U.S. relationship with stable, healthy and sustainable development serves the common interests of the two countries."
    .
    12:28 AM · Nov 11, 2024 · 110K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1855663937527685533
    🇨🇳🇺🇸 จีนกล่าวว่า ความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐฯเป็นผลประโยชน์สูงสุดของทั้งสองประเทศ “ประวัติศาสตร์บอกเราว่าทั้งสองประเทศจะได้ประโยชน์จากความร่วมมือและสูญเสียจากการเผชิญหน้า ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯที่มีเสถียรภาพ, แข็งแรง, และการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ” . 🇨🇳🇺🇸 China says good relations with the United States are in the best interests of both countries. "History tells us that both countries stand to gain from cooperation and lose from confrontation. A China-U.S. relationship with stable, healthy and sustainable development serves the common interests of the two countries." . 12:28 AM · Nov 11, 2024 · 110K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1855663937527685533
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • บ. ดังเจ้านึง...เจาะตลาดผูกขาดไม่เข้า..มีสัญญาผูกมัด ...จาก ตัวแทนจำหน่ายหลายเจ้า...ผู้เขียน เสนอแนะไป (ในโพสใน เฟส) หลายเดือนก่อนว่า ...สร้าง Supply chain ของตนเองขึ้นมาเลย..ทุกอำเภอ..เป็นลักษณะการร่วมลงทุน...สร้างแรงจูงใจ และเรื่อง การเครดิตสินค้า และงบลงทุนให้น่าสนใจ...จะสัดส่วนอะไรเท่าไร ก็ว่ากันไป...มี contact ผูกมัด..ชัดเจน..
    ......ทุ่มงบโปรโมท ณ. จุดขาย เข้าไปมากๆ กลยุทธด้านราคา
    ที่ให้แก่ ดีลเลอร์ แม้แต่ราคาขายปลีก ต้องถูกนำมาใช้ในช่วงเปิดตลาด..... (มันมีทฤษฎีทางการตลาดนึง...ที่ว่า ไม่ต้องการกำไร..จากการขายของชิ้นแรก..และอาจขาดทุนด้วยซ้ำ...สิ่งที่ต้องการคือ ให้คุณมาเป็นลูกค้าของเรา)
    ...และมัน "ยั่งยืน" กว่ากันมาก....มันไม่ใช่แค่ สินค้า บ. ที่เปิดตลาดใหม่ ...มันจะมี เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำดื่ม โซดา...และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องอย่างอื่นได้อีก.....ร้านสะดวกซื้อเจาะไม่เข้า ก็หันไป section อื่น...ไม่รู้ผู้บริหารเขาผ่านมาเห็น comment นั้นไหม?
    #ภาพประกอบไม่เกี่ยว#
    #เขียนเล่นเข่นเคย#
    บ. ดังเจ้านึง...เจาะตลาดผูกขาดไม่เข้า..มีสัญญาผูกมัด ...จาก ตัวแทนจำหน่ายหลายเจ้า...ผู้เขียน เสนอแนะไป (ในโพสใน เฟส) หลายเดือนก่อนว่า ...สร้าง Supply chain ของตนเองขึ้นมาเลย..ทุกอำเภอ..เป็นลักษณะการร่วมลงทุน...สร้างแรงจูงใจ และเรื่อง การเครดิตสินค้า และงบลงทุนให้น่าสนใจ...จะสัดส่วนอะไรเท่าไร ก็ว่ากันไป...มี contact ผูกมัด..ชัดเจน.. ......ทุ่มงบโปรโมท ณ. จุดขาย เข้าไปมากๆ กลยุทธด้านราคา ที่ให้แก่ ดีลเลอร์ แม้แต่ราคาขายปลีก ต้องถูกนำมาใช้ในช่วงเปิดตลาด..... (มันมีทฤษฎีทางการตลาดนึง...ที่ว่า ไม่ต้องการกำไร..จากการขายของชิ้นแรก..และอาจขาดทุนด้วยซ้ำ...สิ่งที่ต้องการคือ ให้คุณมาเป็นลูกค้าของเรา) ...และมัน "ยั่งยืน" กว่ากันมาก....มันไม่ใช่แค่ สินค้า บ. ที่เปิดตลาดใหม่ ...มันจะมี เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำดื่ม โซดา...และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องอย่างอื่นได้อีก.....ร้านสะดวกซื้อเจาะไม่เข้า ก็หันไป section อื่น...ไม่รู้ผู้บริหารเขาผ่านมาเห็น comment นั้นไหม? #ภาพประกอบไม่เกี่ยว# #เขียนเล่นเข่นเคย#
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌍 เชิญชวนทุกท่านร่วมสัมผัสงานปลูกป่าและขายคาร์บอนเครดิตสุดล้ำ ที่ **ไร่โอบฟ้าอิงภู ตำบลวังกะทะ**! 🌱 พบกับการนำเทคโนโลยี **RFID และ Web 3.0** มาใช้ในการติดตามและตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ มั่นใจได้ในกระบวนการปลูกป่าที่ยั่งยืน ✨

    ไม่เพียงช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างรายได้กับธุรกิจสีเขียวที่ตอบโจทย์ยุคใหม่ รับประสบการณ์การอนุรักษ์ที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับโลก 🌿0880597888

    📅 มาพบกันที่ไร่โอบฟ้าอิงภู แล้วร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้เลย!
    🌍 เชิญชวนทุกท่านร่วมสัมผัสงานปลูกป่าและขายคาร์บอนเครดิตสุดล้ำ ที่ **ไร่โอบฟ้าอิงภู ตำบลวังกะทะ**! 🌱 พบกับการนำเทคโนโลยี **RFID และ Web 3.0** มาใช้ในการติดตามและตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ มั่นใจได้ในกระบวนการปลูกป่าที่ยั่งยืน ✨ ไม่เพียงช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างรายได้กับธุรกิจสีเขียวที่ตอบโจทย์ยุคใหม่ รับประสบการณ์การอนุรักษ์ที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับโลก 🌿0880597888 📅 มาพบกันที่ไร่โอบฟ้าอิงภู แล้วร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้เลย!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • โฉมหน้าเจ้าตัวร้าย
    “กฤษฎีกากัมพูชา 1972”
    รุกล้ำอธิปไตยเกาะ/น่านน้ำไทย !
    ________
    .
    ใครที่บอกว่ากัมพูชาไม่เคย ”พูด“ อ้างกรรมสิทธิเหนือเกาะกูด และบรรดาคนไทยที่นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นคือพวกคลั่งชาติ ลองพิจารณาอ่านเรื่องนี้สักนิด…
    .
    กัมพูชาอาจจะไม่เคย ”พูด“ อย่างเป็นทางการในนามรัฐบาล ไม่ว่าในยุคไหนระบอบอะไร แต่กัมพูชาลงมือ “ทำ” เลยอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเมื่อ 52 ปีก่อนในช่วงสั้น ๆ ของรัฐบาลระบอบสาธารณรัฐ
    .
    และ “ผลแห่งการกระทำ” นั้นยังคงอยู่ !
    .
    “กฤษฎีกาที่ 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย ค.ศ. 1972”
    .
    วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1972
    .
    จอมพลลอนนอลลงนามในฐานะประธานาธิบดีสาธารณรัฐกัมพูชา หลังรัฐประหารโค่นล้มระบอบกษัตริย์ 2 ปี และก่อนพนมเปญแตกพ่ายแพ้ต่อคอมมิวนิสต์เขมรแดง 3 ปี
    .
    สารัตถะสำคัญอยู่ในมาตราแรก (Article Premier) ผมสรุปมาจากที่ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์เขียนไว้ในบทความของท่านเมื่อปี 2554 รวมทั้งการเสวนาที่สยามสมาคมในปีเดียวกันนั้น
    .
    วรรคแรกเป็นการอ้างฐานทางกฎหมาย
    .
    (1) อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีปลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958
    .
    (2) สนธิสัญญาสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 และ…
    .
    (3) บันทึกการปักปันเขตแดนสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1908 รวมทั้ง…
    .
    (4) แผนที่เดินเรือของฝรั่งเศส 1972 มาตราส่วน 1:1,096,000
    .
    กฤษฎีกา 1972 ระบุพิกัดของเขตไหล่ทวีปตามจุดอ้างอิงที่เกี่ยวกับ “เกาะกูด” รวมทั้ง “ทะเลอาณาเขต(ของไทย)“ โดยตรง
    .
    โดยในวรรคสอง (ย่อหน้าล่างสุดของกฤษฎีกาหน้าแรก) กล่าวว่าได้มีการปักปันเขตไหล่ทวีประหว่างไทยกับฝรั่งเศสแล้ว โดยทางทิศเหนือ ใช้เส้นตรงเชื่อมจุดชายแดนแผ่นดินที่จุด “A” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นที่ตั้งหลักเขตที่ 73) มายังจุดสูงสุดบนเกาะกูดที่เรียกว่าจุด “S” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการอ้างอิงจากหนังสือแนบท้ายสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ข้อ 1) และลากต่อออกทะเลไปยังกึ่งกลางอ่าวไทยที่เรียกว่าจุด “P”
    .
    โดยในตารางท้ายมาตราแรก (อยู่ตอนต้นของกฤษฎีกาหน้า 2) ได้กำหนดรายละเอียดของจุด “A“ และ “P” ไว้
    .
    จุด ”A” คือจุดใต้สุดของการแบ่งเขตแดนทางบกตามสนธิสัญญาค.ศ. 1907 ก็คือหลักเขตที่ 73 นั่นเอง
    .
    จุด “P” กึ่งกลางอ่าวไทยนั้น กฤษฎีการะบุว่าเป็นจุดมัธยะ (หรือกึ่งกลาง) ระหว่างไหล่ทวีปของกัมพูชากับไทย
    .
    มาตราแรกโดยเฉพาะวรรคสองนี่แหละ “เท็จ” โดยสิ้นเชิง
    .
    เพราะไม่เคยมีการปักปันเขตแดนทางทะเลระหว่างสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสกันมาก่อน โดยเฉพาะในช่วงค.ศ. 1907 หรือ 1908 ไม่เคยมีสนธิสัญญาเกี่ยวกับการนี้ ประวัติศาสตร์ฉบับไหนก็ไม่เคยระบุ กฎหมายระหว่างประเทศหรือกฎเกณฑ์เกี่ยวกับอาณาเขตทางทะเลที่นานาชาติยึดถือกันเมื่อ 127 ปีก่อนก็ต่างกับปัจจุบัน ยุคนั้นยังไม่มีสิ่งที่นานาชาติกำหนดอาณาเขตทางทะเลขึ้นมาให้รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเหนือแล้วเรียกว่า “ไหล่ทวีป” เสียด้วยซ้ำ ไม่มีเขตต่อเนื่อง ไม่มีเขตเศรษฐกิจจำเพาะ มีแค่ทะเลอาณาเขตระยะ 3 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง พ้นออกมาเป็นเขตทะเลหลวงที่เป็นเขตทะเลเสรีไม่มีประเทศใดมีสิทธิถือครองเป็นเจ้าของได้
    .
    แต่สมมติแม้จะยึดกฎเกณฑ์ในยุคสมัยค.ศ. 1907 หากจะปักปันเขตแดนทางทะเลกัน การขีดเส้นแนว “A-S-P” เป็นอาณาเขตทางทะเลของอินโดจีนฝรั่งเศสก็ไม่ถูกและไม่มีกฎเกณฑ์ใดรองรับอยู่ดี เพราะระยะทางจากชายฝั่งถึงเกาะกูดประมาณ 19 ไมล์ทะเล เกิน 3 ไมล์ทะเลตั้งเยอะ อินโดจีนฝรั่งเศสจะไปถือสิทธิครอบครองเขตทะเลหลวงได้อย่างไร
    .
    การจงใจระบุพิกัดเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาเมื่อค.ศ. 1972 เช่นนี้คือการกระทำที่ละเมิดอธิปไตยไทยเหนือเกาะกูด ทั้งตัวเกาะ และทะเลอาณาเขต
    .
    ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์ กล่าวไว้ในงานเขียนของท่านว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการแบ่งเขตไหล่ทวีปโดยเส้นผ่าเกาะกูดซึ่งเป็นดินแดนทางบก เพราะไหล่ทวีปหมายถึงพื้นดินใต้ทะเลและใต้พื้นดินใต้ทะเล
    .
    ดังนั้น โอกาสที่แนว “A-S-P” จะถูกต้องมีอยู่เงื่อนไขเดียวเท่านั้น…
    .
    คือตัวเกาะกูดต้องเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่ง !
    .
    ขอย้ำอีกครั้งว่า แนว “A-S-P” อันเป็นเส้นเขตไหล่ทวีปด้านเหนือของกัมพูชาตามกฤษฎีกา 1972 จะถูกต้องก็ต่อเมื่อตัวเกาะกูดเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่งเท่านั้น !!
    .
    แล้วประเทศไทยผู้ถูกรุกล้ำอธิปไตยจะ “ยอมรับ” ได้อย่างไร ?
    .
    แม้จะไม่ใช่การยอมรับใน “ความถูกต้อง” แค่ยอมรับ “การมีอยู่”, “การคงอยู่” เพื่อเป็นเพียง “กรอบ” ในการ “เจรจาเรื่องอื่น” ก็เถอะ !!
    .
    ตรงนี้จำเป็นต้องมีการพูดถึงแผนที่หรือแผนผัง 2 (+1) ฉบับที่นำมาลงเป็นภาพประกอบไว้
    .
    ฉบับที่ 1 คือแผนที่เดินเรือฝรั่งเศสที่ใช้แนบท้ายกฤษฎีกา 1972 ไม่ได้มีการเขียนลากเส้นบนแผนที่พาดผ่านตัวเกาะกูดโดยตรง หากแต่ลากเป็นเส้นตรงออกมาจากชายฝั่งทะเลจังหวัดตราดสุดเขตแดนทางบกของไทยกับกัมพูชามาหยุดที่ตัวเกาะกูดด้านทิศตะวันออก แล้วลากเส้นตรงใหม่จากตัวเกาะกูดด้านทิศตะวันตกตรงไปกลางอ่าวไทย แผนที่ทำนองนี้โดยทั่วไปเป็นแผนที่ใช้สำหรับกิจการในกองทัพเรือรวมถึงการเดินเรือไม่ใช่แผนที่แสดงเขตแดนใด ๆ ทั้งสิ้น เส้นตรงที่ลากผ่านเกาะกูดไปยังกลางอ่าวไทยในแผนที่นี้ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นเส้นอะไร แต่กระนั้นตรงชื่อเกาะกูด (Koh Kut) ก็ยังมีวงเล็บต่อท้ายว่า “(Siam)” อย่างที่พอเห็นได้ จึงแสดงให้เห็นว่าในปีค.ศ. 1907 จนกระทั่งถึงวันคืนเอกราชให้ 3 ประเทศอินโดจีน ฝรั่งเศสไม่ได้มีความพยายาม “เคลม” กรรมสิทธิ์เหนือเกาะกูดแต่ประการใด เพราะในสนธิสัญญา 1907 ข้อ 2 อันเป็นสัญญาหลัก ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่าเขายกให้เรา แลกกับ 3 มณฑลใหญ่ของกัมพูชาดังที่ทราบกันดี
    .
    ฉบับที่ 2 เป็นแผนที่ที่กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาจัดทำขึ้นแจกแก่ผู้สื่อข่าวเพื่อชี้แจงกฤษฎีกา 1972 ให้ชัดเจนขึ้น คราวนี้นอกจากตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อขับเน้นเฉพาะเส้นที่เสกสรรค์ปั้นแต่งว่าเป็นเขตไหล่ทวีปของตนแล้ว ยังเขียนเส้นพาดผ่านผ่ากลางแบ่งครึ่งเกาะกูดโดยตรง
    .
    แผนที่ฉบับหลังนี้เข้าใจว่าเมื่อกระทรวงการต่างประเทศไทยได้รับ ก็นำมาทำใหม่เพื่อประกอบการศึกษาภายใน มีภาษาไทยกำกับ ยังคงแสดงเส้นพาดผ่านผ่ากลางแบ่งครึ่งเกาะกูดโดยตรงตามเจตนาของต้นฉบับที่ฝ่ายกันพูชาจัดทำ
    .
    เช่นนี้แล้ว ใครที่ออกตัวรับรองว่ากัมพูชาไม่เคย “พูด” ไม่เคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดน่ะจะว่าอย่างไร ?
    .
    เพราะการที่กัมพูชาลงมือ “ทำ” โดยกฤษฎีกา 1972 ตามที่เล่ามานี้มันยิ่งกว่า “พูด” เสียอีก !
    .
    ไม่เคยได้ยินภาษิตที่ว่า “การกระทำดังกว่าคำพูด” หรือ ?!!
    .
    ณ ปีค.ศ. 1907 มีแต่การปักปันเขตแดนทางบกระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส
    .
    แต่แน่ละ มีการกล่าวถึงเกาะกูดไว้ในหนังสือติดท้ายสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ข้อ 1 จริง แต่ก็เพียงเพื่อใช้เป็นจุดเล็งไปยังจุดใดจุดหนึ่งบนแผ่นดินชายหาดที่จะกำหนดให้ป็นหลักเขตที่ 73 เพราะบนแผ่นดินชายหาดบริเวณนั้นไม่มีภูมิประเทศใดที่ยั่งยืนพอให้เป็นที่สังเกตได้
    .
    “เขตแดนในระหว่างกรุงสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศสนั้น ตั้งแต่ชายทะเลที่ตรงข้ามกับยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดเป็นหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวาน….“
    .
    แค่ข้อความที่ระบุว่า “ตั้งแต่ชายทะเล…” วิญญูชนย่อมเข้าใจได้ว่าหมายถึงแผ่นดิน-ไม่ใช่ทะเล แต่กัมพูชาในยุคจอมพลลอนนอลในปีค.ศ. 1972 ไปตีขลุมว่ามีการปักปันเขตแดนทางทะเลแล้วในอดีต แล้วก็ตีเส้นตามอำเภอใจ เพื่อตีกินพื้นที่ทรัพยากรในอ่าวไทย
    .
    โดยในอีกทางหนึ่งก็ไปหยิบเอา ”เส้นประ“ (- - - - - - -) ระหว่างเกาะกูดกับแผ่นดินชายหาดจังหวัดตราดในแผนที่ประกอบหนังสือติดท้ายสนธิสัญญาค.ศ. 1907 มาเป็นประเด็นอธิบายการแถระดับโลกของตัวเอง
    .
    หากดูภาพสุดท้ายจะพบมีเส้น ++++++ อันเป็นสัญลักษณ์สากลของเส้นแบ่งเขตแดน (boundary line) ตลอดแนวเขตแดนทางบกไทยกัมพูชา ขณะที่เส้นประ (dotted line) - - - - - - มีอยู่เพียงสั้น ๆ ระหว่างเกาะกูดกับแผ่นดินชายทะเลจังหวัดตราดเท่านั้น ซึ่งเมื่อดูในบริบทของสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 วิญญูชนก็ย่อมเข้าใจได้ไม่ยากอีกเช่นกันว่าเป็นการแสดงจุดเล็งไปยังแผ่นดินเพื่อหาจุดที่ตั้งหลักเขตที่ 73
    .
    การแถดังกล่าวกลายเป็นกรณีศึกษาทางวิชาการกันพอสมควรหลังปีค.ศ. 1972 และก็มีการยืนยันในข้อเท็จจริงแล้วอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากบุคคลระดับชนชั้นนำของกัมพูชาเอง
    .
    ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่ากฤษฎีกา 1972 ของกัมพูชานี้ยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน ในฐานะที่เป็นประกาศของประมุขแห่งรัฐ
    .
    การที่แผนผังแนบท้าย MOU 2544 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ คือเส้นแนว “A-S-P” กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านบนของกัมพูชาไม่ได้เขียนแบบลากพาดผ่าน หรือเขียนแบบหยุดเว้นตัวเกาะ แต่เขียนประชิดติดตัวเกาะเว้าเป็นรูปตัว ”U” ทางทิศใต้แล้วก็ตาม นั่นหาเป็นผลแปรเปลี่ยนใด ๆ ไม่ เพราะด้านหนึ่งตัวกฤษฎีกา 1972 ยังคงอยู่ อีกด้านหนึ่งแนวเส้น “A-S-P” ยังคงอยู่ การละเมิดอธิปไตยเหนือตัวเกาะกูดและทะเลอาณาเขตของไทยยังคงอยู่
    .
    มีหนำซ้ำเนื้อหาใน MOU 2544 ข้อ 5 ก็ระบุไว้ว่าการตกลงใด ๆ หากจะมีขึ้นไม่กระทบกระเทือนการอ้างสิทธิของแต่ละฝ่าย
    .
    พระอัจฉริยภาพและพระมหากรุณาธิคุณต่อคนไทยจังหวัดจันทบุรีและตราดในองค์พระปิยมหาราชเจ้าช่วงวิกฤตกับฝรั่งเศสระหว่าง ร.ศ. 112 - 125 ทำให้ประเทศไทย ณ วันนี้มีฝั่งทะเลตะวันออกด้านอ่าวไทยยาวเหยียดจนแทบจะโอบล้อมแหล่งทรัพยากรไว้ได้ทั้งหมด - คนไทยต้องรักษาไว้
    .
    ประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ของล้นเกล้าฯในหลวงรัชกาลที่ 9 สืบทอดพระราชปณิธานของสมเด็จพระอัยกา - คนไทยต้องรักษาไว้
    .
    .
    คำนูณ สิทธิสมาน
    4 พฤศจิกายน 2567

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/15CSsZXGkk/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    โฉมหน้าเจ้าตัวร้าย “กฤษฎีกากัมพูชา 1972” รุกล้ำอธิปไตยเกาะ/น่านน้ำไทย ! ________ . ใครที่บอกว่ากัมพูชาไม่เคย ”พูด“ อ้างกรรมสิทธิเหนือเกาะกูด และบรรดาคนไทยที่นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นคือพวกคลั่งชาติ ลองพิจารณาอ่านเรื่องนี้สักนิด… . กัมพูชาอาจจะไม่เคย ”พูด“ อย่างเป็นทางการในนามรัฐบาล ไม่ว่าในยุคไหนระบอบอะไร แต่กัมพูชาลงมือ “ทำ” เลยอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเมื่อ 52 ปีก่อนในช่วงสั้น ๆ ของรัฐบาลระบอบสาธารณรัฐ . และ “ผลแห่งการกระทำ” นั้นยังคงอยู่ ! . “กฤษฎีกาที่ 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย ค.ศ. 1972” . วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1972 . จอมพลลอนนอลลงนามในฐานะประธานาธิบดีสาธารณรัฐกัมพูชา หลังรัฐประหารโค่นล้มระบอบกษัตริย์ 2 ปี และก่อนพนมเปญแตกพ่ายแพ้ต่อคอมมิวนิสต์เขมรแดง 3 ปี . สารัตถะสำคัญอยู่ในมาตราแรก (Article Premier) ผมสรุปมาจากที่ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์เขียนไว้ในบทความของท่านเมื่อปี 2554 รวมทั้งการเสวนาที่สยามสมาคมในปีเดียวกันนั้น . วรรคแรกเป็นการอ้างฐานทางกฎหมาย . (1) อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีปลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 . (2) สนธิสัญญาสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 และ… . (3) บันทึกการปักปันเขตแดนสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1908 รวมทั้ง… . (4) แผนที่เดินเรือของฝรั่งเศส 1972 มาตราส่วน 1:1,096,000 . กฤษฎีกา 1972 ระบุพิกัดของเขตไหล่ทวีปตามจุดอ้างอิงที่เกี่ยวกับ “เกาะกูด” รวมทั้ง “ทะเลอาณาเขต(ของไทย)“ โดยตรง . โดยในวรรคสอง (ย่อหน้าล่างสุดของกฤษฎีกาหน้าแรก) กล่าวว่าได้มีการปักปันเขตไหล่ทวีประหว่างไทยกับฝรั่งเศสแล้ว โดยทางทิศเหนือ ใช้เส้นตรงเชื่อมจุดชายแดนแผ่นดินที่จุด “A” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นที่ตั้งหลักเขตที่ 73) มายังจุดสูงสุดบนเกาะกูดที่เรียกว่าจุด “S” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการอ้างอิงจากหนังสือแนบท้ายสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ข้อ 1) และลากต่อออกทะเลไปยังกึ่งกลางอ่าวไทยที่เรียกว่าจุด “P” . โดยในตารางท้ายมาตราแรก (อยู่ตอนต้นของกฤษฎีกาหน้า 2) ได้กำหนดรายละเอียดของจุด “A“ และ “P” ไว้ . จุด ”A” คือจุดใต้สุดของการแบ่งเขตแดนทางบกตามสนธิสัญญาค.ศ. 1907 ก็คือหลักเขตที่ 73 นั่นเอง . จุด “P” กึ่งกลางอ่าวไทยนั้น กฤษฎีการะบุว่าเป็นจุดมัธยะ (หรือกึ่งกลาง) ระหว่างไหล่ทวีปของกัมพูชากับไทย . มาตราแรกโดยเฉพาะวรรคสองนี่แหละ “เท็จ” โดยสิ้นเชิง . เพราะไม่เคยมีการปักปันเขตแดนทางทะเลระหว่างสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสกันมาก่อน โดยเฉพาะในช่วงค.ศ. 1907 หรือ 1908 ไม่เคยมีสนธิสัญญาเกี่ยวกับการนี้ ประวัติศาสตร์ฉบับไหนก็ไม่เคยระบุ กฎหมายระหว่างประเทศหรือกฎเกณฑ์เกี่ยวกับอาณาเขตทางทะเลที่นานาชาติยึดถือกันเมื่อ 127 ปีก่อนก็ต่างกับปัจจุบัน ยุคนั้นยังไม่มีสิ่งที่นานาชาติกำหนดอาณาเขตทางทะเลขึ้นมาให้รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเหนือแล้วเรียกว่า “ไหล่ทวีป” เสียด้วยซ้ำ ไม่มีเขตต่อเนื่อง ไม่มีเขตเศรษฐกิจจำเพาะ มีแค่ทะเลอาณาเขตระยะ 3 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง พ้นออกมาเป็นเขตทะเลหลวงที่เป็นเขตทะเลเสรีไม่มีประเทศใดมีสิทธิถือครองเป็นเจ้าของได้ . แต่สมมติแม้จะยึดกฎเกณฑ์ในยุคสมัยค.ศ. 1907 หากจะปักปันเขตแดนทางทะเลกัน การขีดเส้นแนว “A-S-P” เป็นอาณาเขตทางทะเลของอินโดจีนฝรั่งเศสก็ไม่ถูกและไม่มีกฎเกณฑ์ใดรองรับอยู่ดี เพราะระยะทางจากชายฝั่งถึงเกาะกูดประมาณ 19 ไมล์ทะเล เกิน 3 ไมล์ทะเลตั้งเยอะ อินโดจีนฝรั่งเศสจะไปถือสิทธิครอบครองเขตทะเลหลวงได้อย่างไร . การจงใจระบุพิกัดเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาเมื่อค.ศ. 1972 เช่นนี้คือการกระทำที่ละเมิดอธิปไตยไทยเหนือเกาะกูด ทั้งตัวเกาะ และทะเลอาณาเขต . ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์ กล่าวไว้ในงานเขียนของท่านว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการแบ่งเขตไหล่ทวีปโดยเส้นผ่าเกาะกูดซึ่งเป็นดินแดนทางบก เพราะไหล่ทวีปหมายถึงพื้นดินใต้ทะเลและใต้พื้นดินใต้ทะเล . ดังนั้น โอกาสที่แนว “A-S-P” จะถูกต้องมีอยู่เงื่อนไขเดียวเท่านั้น… . คือตัวเกาะกูดต้องเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่ง ! . ขอย้ำอีกครั้งว่า แนว “A-S-P” อันเป็นเส้นเขตไหล่ทวีปด้านเหนือของกัมพูชาตามกฤษฎีกา 1972 จะถูกต้องก็ต่อเมื่อตัวเกาะกูดเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่งเท่านั้น !! . แล้วประเทศไทยผู้ถูกรุกล้ำอธิปไตยจะ “ยอมรับ” ได้อย่างไร ? . แม้จะไม่ใช่การยอมรับใน “ความถูกต้อง” แค่ยอมรับ “การมีอยู่”, “การคงอยู่” เพื่อเป็นเพียง “กรอบ” ในการ “เจรจาเรื่องอื่น” ก็เถอะ !! . ตรงนี้จำเป็นต้องมีการพูดถึงแผนที่หรือแผนผัง 2 (+1) ฉบับที่นำมาลงเป็นภาพประกอบไว้ . ฉบับที่ 1 คือแผนที่เดินเรือฝรั่งเศสที่ใช้แนบท้ายกฤษฎีกา 1972 ไม่ได้มีการเขียนลากเส้นบนแผนที่พาดผ่านตัวเกาะกูดโดยตรง หากแต่ลากเป็นเส้นตรงออกมาจากชายฝั่งทะเลจังหวัดตราดสุดเขตแดนทางบกของไทยกับกัมพูชามาหยุดที่ตัวเกาะกูดด้านทิศตะวันออก แล้วลากเส้นตรงใหม่จากตัวเกาะกูดด้านทิศตะวันตกตรงไปกลางอ่าวไทย แผนที่ทำนองนี้โดยทั่วไปเป็นแผนที่ใช้สำหรับกิจการในกองทัพเรือรวมถึงการเดินเรือไม่ใช่แผนที่แสดงเขตแดนใด ๆ ทั้งสิ้น เส้นตรงที่ลากผ่านเกาะกูดไปยังกลางอ่าวไทยในแผนที่นี้ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นเส้นอะไร แต่กระนั้นตรงชื่อเกาะกูด (Koh Kut) ก็ยังมีวงเล็บต่อท้ายว่า “(Siam)” อย่างที่พอเห็นได้ จึงแสดงให้เห็นว่าในปีค.ศ. 1907 จนกระทั่งถึงวันคืนเอกราชให้ 3 ประเทศอินโดจีน ฝรั่งเศสไม่ได้มีความพยายาม “เคลม” กรรมสิทธิ์เหนือเกาะกูดแต่ประการใด เพราะในสนธิสัญญา 1907 ข้อ 2 อันเป็นสัญญาหลัก ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่าเขายกให้เรา แลกกับ 3 มณฑลใหญ่ของกัมพูชาดังที่ทราบกันดี . ฉบับที่ 2 เป็นแผนที่ที่กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาจัดทำขึ้นแจกแก่ผู้สื่อข่าวเพื่อชี้แจงกฤษฎีกา 1972 ให้ชัดเจนขึ้น คราวนี้นอกจากตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อขับเน้นเฉพาะเส้นที่เสกสรรค์ปั้นแต่งว่าเป็นเขตไหล่ทวีปของตนแล้ว ยังเขียนเส้นพาดผ่านผ่ากลางแบ่งครึ่งเกาะกูดโดยตรง . แผนที่ฉบับหลังนี้เข้าใจว่าเมื่อกระทรวงการต่างประเทศไทยได้รับ ก็นำมาทำใหม่เพื่อประกอบการศึกษาภายใน มีภาษาไทยกำกับ ยังคงแสดงเส้นพาดผ่านผ่ากลางแบ่งครึ่งเกาะกูดโดยตรงตามเจตนาของต้นฉบับที่ฝ่ายกันพูชาจัดทำ . เช่นนี้แล้ว ใครที่ออกตัวรับรองว่ากัมพูชาไม่เคย “พูด” ไม่เคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดน่ะจะว่าอย่างไร ? . เพราะการที่กัมพูชาลงมือ “ทำ” โดยกฤษฎีกา 1972 ตามที่เล่ามานี้มันยิ่งกว่า “พูด” เสียอีก ! . ไม่เคยได้ยินภาษิตที่ว่า “การกระทำดังกว่าคำพูด” หรือ ?!! . ณ ปีค.ศ. 1907 มีแต่การปักปันเขตแดนทางบกระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส . แต่แน่ละ มีการกล่าวถึงเกาะกูดไว้ในหนังสือติดท้ายสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ข้อ 1 จริง แต่ก็เพียงเพื่อใช้เป็นจุดเล็งไปยังจุดใดจุดหนึ่งบนแผ่นดินชายหาดที่จะกำหนดให้ป็นหลักเขตที่ 73 เพราะบนแผ่นดินชายหาดบริเวณนั้นไม่มีภูมิประเทศใดที่ยั่งยืนพอให้เป็นที่สังเกตได้ . “เขตแดนในระหว่างกรุงสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศสนั้น ตั้งแต่ชายทะเลที่ตรงข้ามกับยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดเป็นหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวาน….“ . แค่ข้อความที่ระบุว่า “ตั้งแต่ชายทะเล…” วิญญูชนย่อมเข้าใจได้ว่าหมายถึงแผ่นดิน-ไม่ใช่ทะเล แต่กัมพูชาในยุคจอมพลลอนนอลในปีค.ศ. 1972 ไปตีขลุมว่ามีการปักปันเขตแดนทางทะเลแล้วในอดีต แล้วก็ตีเส้นตามอำเภอใจ เพื่อตีกินพื้นที่ทรัพยากรในอ่าวไทย . โดยในอีกทางหนึ่งก็ไปหยิบเอา ”เส้นประ“ (- - - - - - -) ระหว่างเกาะกูดกับแผ่นดินชายหาดจังหวัดตราดในแผนที่ประกอบหนังสือติดท้ายสนธิสัญญาค.ศ. 1907 มาเป็นประเด็นอธิบายการแถระดับโลกของตัวเอง . หากดูภาพสุดท้ายจะพบมีเส้น ++++++ อันเป็นสัญลักษณ์สากลของเส้นแบ่งเขตแดน (boundary line) ตลอดแนวเขตแดนทางบกไทยกัมพูชา ขณะที่เส้นประ (dotted line) - - - - - - มีอยู่เพียงสั้น ๆ ระหว่างเกาะกูดกับแผ่นดินชายทะเลจังหวัดตราดเท่านั้น ซึ่งเมื่อดูในบริบทของสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 วิญญูชนก็ย่อมเข้าใจได้ไม่ยากอีกเช่นกันว่าเป็นการแสดงจุดเล็งไปยังแผ่นดินเพื่อหาจุดที่ตั้งหลักเขตที่ 73 . การแถดังกล่าวกลายเป็นกรณีศึกษาทางวิชาการกันพอสมควรหลังปีค.ศ. 1972 และก็มีการยืนยันในข้อเท็จจริงแล้วอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากบุคคลระดับชนชั้นนำของกัมพูชาเอง . ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่ากฤษฎีกา 1972 ของกัมพูชานี้ยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน ในฐานะที่เป็นประกาศของประมุขแห่งรัฐ . การที่แผนผังแนบท้าย MOU 2544 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ คือเส้นแนว “A-S-P” กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านบนของกัมพูชาไม่ได้เขียนแบบลากพาดผ่าน หรือเขียนแบบหยุดเว้นตัวเกาะ แต่เขียนประชิดติดตัวเกาะเว้าเป็นรูปตัว ”U” ทางทิศใต้แล้วก็ตาม นั่นหาเป็นผลแปรเปลี่ยนใด ๆ ไม่ เพราะด้านหนึ่งตัวกฤษฎีกา 1972 ยังคงอยู่ อีกด้านหนึ่งแนวเส้น “A-S-P” ยังคงอยู่ การละเมิดอธิปไตยเหนือตัวเกาะกูดและทะเลอาณาเขตของไทยยังคงอยู่ . มีหนำซ้ำเนื้อหาใน MOU 2544 ข้อ 5 ก็ระบุไว้ว่าการตกลงใด ๆ หากจะมีขึ้นไม่กระทบกระเทือนการอ้างสิทธิของแต่ละฝ่าย . พระอัจฉริยภาพและพระมหากรุณาธิคุณต่อคนไทยจังหวัดจันทบุรีและตราดในองค์พระปิยมหาราชเจ้าช่วงวิกฤตกับฝรั่งเศสระหว่าง ร.ศ. 112 - 125 ทำให้ประเทศไทย ณ วันนี้มีฝั่งทะเลตะวันออกด้านอ่าวไทยยาวเหยียดจนแทบจะโอบล้อมแหล่งทรัพยากรไว้ได้ทั้งหมด - คนไทยต้องรักษาไว้ . ประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ของล้นเกล้าฯในหลวงรัชกาลที่ 9 สืบทอดพระราชปณิธานของสมเด็จพระอัยกา - คนไทยต้องรักษาไว้ . . คำนูณ สิทธิสมาน 4 พฤศจิกายน 2567 ที่มา https://www.facebook.com/share/p/15CSsZXGkk/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1052 มุมมอง 0 รีวิว
  • ๙ พระราชกรณียกิจแก้ว ของสมเด็จพระพันปีหลวง
    ๑.ทรงฟื้นชีวิต "โขน" ศิลปะชั้นสูงของไทยให้คงอยู่

    -๑-
    ๐ ปวงข้าฯน้อมเกล้าอภิวาท
    กราบบาทพระราชชนนีพันปีหลวง
    พระผู้ทรงงดงามด้วยความปวง
    ดุจดั่ง ประทีปสรวงรัตนา

    ๐ อัญเชิญมงคลชัย ทั้งไตรจักร
    เป็นฉัตรแก้วอารักษ์ทุกทิศา
    ถ้วนอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ สักการ์
    เทินทิพย์บุษบา กราบบาทบวร

    ๐ ขอพระพลานามัยสมบูรณ์พูนสวัสดิ์
    ปานแก้วเก้าเนาวรัตน์ประภัสสร
    ขอพระทัยปรีดาสถาพร
    ยั่งยืนเช่นสิงขร-จักรวาล

    -๒-
    ๐ อันทวยทัพพิโลนโขนสยาม
    ได้ฟื้นความเป็นไทยอันไพศาล
    เป็นประจักษ์นัยนาวิชาชาญ
    ด้วยพระองค์ทรงบริบาล ชุบชีวา

    ๐ แลสรรพถนิม พิมพาภรณ์
    เปล่งประกายอรชรเบื้องภูษา
    สุดวิจิตรอัศจรรย์ พรรณนา
    ก็เคลื่อนพลมนตรามาประโคม

    ๐ กอปรด้วยถ้วนคีตาภาษาชาติ
    ได้ประกาศบทเพลงบรรเลงโหม
    เสนาะในอุระถึงโพยม
    รินบรรโลมพร้อมเพรียงอย่างเกรียงไกร

    ๐ วิจิตรศิลป์ถิ่นสยามงามสง่า
    ทุกชีวาโขนดำรงอสงไขย
    เพราะพระองค์ทรงงดงามน้ำพระทัย
    หยาดสร้างขวัญ-กำลังใจ ให้แผ่นดิน

    ๐ ทรงบํารุงปรุงปรับรับสมัย
    ให้โขนไทยเรืองฤทธิ์วิจิตรศิลป์
    ตระการตา ตรึงกมล ผู้ยลยิน
    ไม่รู้สิ้นเอกลักษณ์นัครา

    -๓-
    ๐ จึ่งทวยทัพ ราม-ลักษณ์ ยักษ์-ลิง
    สำนึกยิ่งพระการุณย์อุ่นเกศา
    เทิดทูนไว้เหนือกระหม่อมน้อมบูชา
    พระการุณย์ล้นฟ้าล้นธรณี

    ๐ ทุกโยธาคลาไคล ไกรกอง
    เปล่งเสียงซ้องบาทบงสุ์ผู้ทรงศรี
    ศิลป์สำแดงลํ้าค่าบรรดามี
    สมกับที่ทรงอุปถัมภ์-คํ้าชู

    ๐ ความสง่า-สามารถ ทุกยาตรย้าย
    กราบถวายพระเมตตาอันมาสู่
    ศิลปะ ศิลปิน มิสิ้นครู
    จะคงอยู่เป็นศักดิ์ลักษณา

    ๐ ด้วยพระทัยแห่งปราชญ์ สะอาดปลั่ง
    จึ่งฟื้นโขนโผนพลังทุกสังขาร์
    ได้อวยยศ ไร้ที่ ให้ตรีชา
    มรดกภูมิปัญญาฯ สถาวร

    ๐ ร้อยความรักสุดหัวใจไทยทุกดวง
    กราบบาทพระพันปีหลวง อดิศร
    พระผู้เป็นดุจภาสพรม-ปฐมพร
    เป็นทินกรพิโลน ส่องโขนไทย

    .........เพลงผ้า ปรพากย์
    ๙ พระราชกรณียกิจแก้ว ของสมเด็จพระพันปีหลวง ๑.ทรงฟื้นชีวิต "โขน" ศิลปะชั้นสูงของไทยให้คงอยู่ -๑- ๐ ปวงข้าฯน้อมเกล้าอภิวาท กราบบาทพระราชชนนีพันปีหลวง พระผู้ทรงงดงามด้วยความปวง ดุจดั่ง ประทีปสรวงรัตนา ๐ อัญเชิญมงคลชัย ทั้งไตรจักร เป็นฉัตรแก้วอารักษ์ทุกทิศา ถ้วนอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ สักการ์ เทินทิพย์บุษบา กราบบาทบวร ๐ ขอพระพลานามัยสมบูรณ์พูนสวัสดิ์ ปานแก้วเก้าเนาวรัตน์ประภัสสร ขอพระทัยปรีดาสถาพร ยั่งยืนเช่นสิงขร-จักรวาล -๒- ๐ อันทวยทัพพิโลนโขนสยาม ได้ฟื้นความเป็นไทยอันไพศาล เป็นประจักษ์นัยนาวิชาชาญ ด้วยพระองค์ทรงบริบาล ชุบชีวา ๐ แลสรรพถนิม พิมพาภรณ์ เปล่งประกายอรชรเบื้องภูษา สุดวิจิตรอัศจรรย์ พรรณนา ก็เคลื่อนพลมนตรามาประโคม ๐ กอปรด้วยถ้วนคีตาภาษาชาติ ได้ประกาศบทเพลงบรรเลงโหม เสนาะในอุระถึงโพยม รินบรรโลมพร้อมเพรียงอย่างเกรียงไกร ๐ วิจิตรศิลป์ถิ่นสยามงามสง่า ทุกชีวาโขนดำรงอสงไขย เพราะพระองค์ทรงงดงามน้ำพระทัย หยาดสร้างขวัญ-กำลังใจ ให้แผ่นดิน ๐ ทรงบํารุงปรุงปรับรับสมัย ให้โขนไทยเรืองฤทธิ์วิจิตรศิลป์ ตระการตา ตรึงกมล ผู้ยลยิน ไม่รู้สิ้นเอกลักษณ์นัครา -๓- ๐ จึ่งทวยทัพ ราม-ลักษณ์ ยักษ์-ลิง สำนึกยิ่งพระการุณย์อุ่นเกศา เทิดทูนไว้เหนือกระหม่อมน้อมบูชา พระการุณย์ล้นฟ้าล้นธรณี ๐ ทุกโยธาคลาไคล ไกรกอง เปล่งเสียงซ้องบาทบงสุ์ผู้ทรงศรี ศิลป์สำแดงลํ้าค่าบรรดามี สมกับที่ทรงอุปถัมภ์-คํ้าชู ๐ ความสง่า-สามารถ ทุกยาตรย้าย กราบถวายพระเมตตาอันมาสู่ ศิลปะ ศิลปิน มิสิ้นครู จะคงอยู่เป็นศักดิ์ลักษณา ๐ ด้วยพระทัยแห่งปราชญ์ สะอาดปลั่ง จึ่งฟื้นโขนโผนพลังทุกสังขาร์ ได้อวยยศ ไร้ที่ ให้ตรีชา มรดกภูมิปัญญาฯ สถาวร ๐ ร้อยความรักสุดหัวใจไทยทุกดวง กราบบาทพระพันปีหลวง อดิศร พระผู้เป็นดุจภาสพรม-ปฐมพร เป็นทินกรพิโลน ส่องโขนไทย .........เพลงผ้า ปรพากย์
    Love
    Like
    Yay
    37
    8 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 429 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่าได้เจ็บ แบบไม่ไว้หน้ากันเลยทีเดียว!

    สหภาพแรงงานการบินไทย ออกแถลงการณ์

    "การเมืองต้องหยุดทำลายสายการบินแห่งชาติ"

    บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ขาดสภาพคล่อง ขาดทุนอย่างหนักต่อเนื่องมานานกว่า 10 ปี จนต้องเข้าสู่การฟื้นฟูกิจการตามคำสั่งศาลล้มละลายกลาง การฟื้นฟูกิจการดำเนินไป ตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 จนถึงวันนี้รวม 4 ปี 5 เดือน ด้วยความร่วมมือร่วมใจ ความสามัคคีของผู้บริหารแผนและพนักงานทุกคนทุกระดับ อดทน มุ่งมั่น ฟันฝ้ากับปัญหาอุปสรรคนานาประการ สามารถพลิกฟื้นวิกฤตการขาดทุนกลับมามีกำไรได้ตามแผน

    สหภาพแรงงานการบินไทย ขอยืนยันว่า สาเหตุที่บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ขาดทุนนับแสนล้านบาท เกิดจากปัญหาการทุจริตคอรัปชัน เป็นองค์กรที่ไม่มีธรรมาภิบาล ไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ ซึ่งเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปนั้น เกิดขึ้นจาก "ตัวแทนฝ่ายรัฐบาล" ทั้งกระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังที่ถูกส่งเข้ามาเป็นคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ทั้งสิ้น เช่นการเปิดเส้นทางบินกรุงเทพ-นิวยอร์ก การจัดซื้อจัดหา เครื่องบิน A-340 จำนวน 10 ลำ แต่เมื่อใช้บินจริงแล้วไม่คุ้มค่า สร้างภาระการขาดทุนสะสมทุกเที่ยวบิน จนต้องปลคระวางเครื่องบิน A - 340 การแต่งตั้งโยกย้ายที่ต้องทำตามใบสั่งนักการเมืองผ่านบอร์ด สร้างความขัดแข็งแตกแยกภายใน การทุจริตการจัดซื้อ การกำหนดนโยบายที่ไม่เอื้อประโยชน์ให้การบินไทยแข่งขันได้อย่างเสรี

    การขาดทุนสะสมจากการแสวงหาผลประโยชน์ในรัฐวิสาหกิจผ่านตัวแทนรัฐบาลทำให้บริษัทการบินไทยและพนักงานต้องแบกภาระ "การขาดทุน" จนในที่สุดต้องเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการพ้นจากความเป็นรัฐวิสาหกิจ นำมาสู่การเลิกจ้างพนักงานจำนวนมากกว่าหมื่นคน สร้างความทุกข์ยากเดือดร้อนแสนสาหัสให้กับพนักงานและครอบครัว

    ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือชื่อเสียงเกียรติภูมิของสายการบินแห่งชาติ ที่คนไทยทุกคนได้ร่วมกันสร้าง สนับสนุนส่งเสริมด้วยความภูมิใจยาวนานกว่า 60 ปี ได้ถูกทำลายลงด้วยนโยบายของ "การเมืองทุจริต"

    นับจากปี พ.ศ 2563 ถึงวันนี้เป็นระยะเวลา 4 ปีกว่า ที่บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีผู้บริหารแผน 3 คน ร่วมกับพนักงานทุกระดับได้คำเนินงานตามแผนฟื้นฟื้นฟูกิจการทุกขั้นตอน จนสามารถรักษาการบินไทยไว้ได้และประกาศผลประกอบการมีกำไรเพิ่มขึ้นเป็นระยะๆ และจะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการในกลางปี 2568 ได้ โดยไม่ต้องมี "ภาครัฐ" เข้ามาช่วยเหลือ

    จากบทเรียนในอดีตที่ฝ้ายการเมืองคือปัญหาที่ทำให้การบินไทยเกือบล้มละลาย จึงเป็นเรื่องที่สหภาพแรงงานการบินไทยไม่อาจขอมรับได้ที่ฝ่ายการเมืองจะส่งผู้แทนจากกระทรวงคมนาคม 1 คน และจากกระทรวงการคลัง I คน เข้าเป็นผู้บริหารแผนเพิ่มขึ้นจากตัวแทนกระทรวงการคลังที่มีอยู่แล้ว 1 คนรวมเป็นตัวแทนจากภาครัฐ 3 คนจะทำให้ "ภาครัฐ"เป็นเสียงข้างมากที่มีอำนาจในการบริหารแผนฟื้นฟู สามารถปรับเปลี่ยนแผนงาน ปรับเปลี่ยนนโยบายที่ได้ดำเนินงานมาด้วยดีไม่มีปัญหาการทุจริต ตลอดระยะเวลา 4 ปีกว่า

    ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้พนักงานการบินไทยทุกคนต้องทำงทำงานหนักมากเพื่อให้การบินไทย เติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน เพื่อให้สายการบินแห่งชาติมีประสิทธิภาพ มีความสามารถในการแข่งขัน ให้คนไทยทุกคนได้ภูมิใจในสายการบินของคนไทย ที่ผู้ใช้บริการทั่วโลกเชื่อมั่นในการบริหารด้วยความซื่อสัตย์สุจริต

    สหภาพแรงงานการบินไทย "ขอคัดค้านการส่งผู้แทนภาครัฐ 2 คนจากกระทรวงคมนาคม และกระทรวงการคลัง เพิ่มเข้ามาเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ" ให้พนักงานบริษัทการบินไทย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจการบิน สะสมประสบการณ์มาขาวนานกว่า 60 ปี ได้ใช้ความรู้ ความสามารถโดยอิสระ ปราศจากการแทรกแซง แสวงหาผลประโยชน์จากฝ่ายการเมืองเช่นในอดีต

    หยุด!!! ทำลายสายการบินแห่งชาติ

    สหภาพแรงงานการบินไทย
    7 พฤศจิกายน 2567
    ด่าได้เจ็บ แบบไม่ไว้หน้ากันเลยทีเดียว! สหภาพแรงงานการบินไทย ออกแถลงการณ์ "การเมืองต้องหยุดทำลายสายการบินแห่งชาติ" บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ขาดสภาพคล่อง ขาดทุนอย่างหนักต่อเนื่องมานานกว่า 10 ปี จนต้องเข้าสู่การฟื้นฟูกิจการตามคำสั่งศาลล้มละลายกลาง การฟื้นฟูกิจการดำเนินไป ตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 จนถึงวันนี้รวม 4 ปี 5 เดือน ด้วยความร่วมมือร่วมใจ ความสามัคคีของผู้บริหารแผนและพนักงานทุกคนทุกระดับ อดทน มุ่งมั่น ฟันฝ้ากับปัญหาอุปสรรคนานาประการ สามารถพลิกฟื้นวิกฤตการขาดทุนกลับมามีกำไรได้ตามแผน สหภาพแรงงานการบินไทย ขอยืนยันว่า สาเหตุที่บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ขาดทุนนับแสนล้านบาท เกิดจากปัญหาการทุจริตคอรัปชัน เป็นองค์กรที่ไม่มีธรรมาภิบาล ไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ ซึ่งเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปนั้น เกิดขึ้นจาก "ตัวแทนฝ่ายรัฐบาล" ทั้งกระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังที่ถูกส่งเข้ามาเป็นคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ทั้งสิ้น เช่นการเปิดเส้นทางบินกรุงเทพ-นิวยอร์ก การจัดซื้อจัดหา เครื่องบิน A-340 จำนวน 10 ลำ แต่เมื่อใช้บินจริงแล้วไม่คุ้มค่า สร้างภาระการขาดทุนสะสมทุกเที่ยวบิน จนต้องปลคระวางเครื่องบิน A - 340 การแต่งตั้งโยกย้ายที่ต้องทำตามใบสั่งนักการเมืองผ่านบอร์ด สร้างความขัดแข็งแตกแยกภายใน การทุจริตการจัดซื้อ การกำหนดนโยบายที่ไม่เอื้อประโยชน์ให้การบินไทยแข่งขันได้อย่างเสรี การขาดทุนสะสมจากการแสวงหาผลประโยชน์ในรัฐวิสาหกิจผ่านตัวแทนรัฐบาลทำให้บริษัทการบินไทยและพนักงานต้องแบกภาระ "การขาดทุน" จนในที่สุดต้องเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการพ้นจากความเป็นรัฐวิสาหกิจ นำมาสู่การเลิกจ้างพนักงานจำนวนมากกว่าหมื่นคน สร้างความทุกข์ยากเดือดร้อนแสนสาหัสให้กับพนักงานและครอบครัว ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือชื่อเสียงเกียรติภูมิของสายการบินแห่งชาติ ที่คนไทยทุกคนได้ร่วมกันสร้าง สนับสนุนส่งเสริมด้วยความภูมิใจยาวนานกว่า 60 ปี ได้ถูกทำลายลงด้วยนโยบายของ "การเมืองทุจริต" นับจากปี พ.ศ 2563 ถึงวันนี้เป็นระยะเวลา 4 ปีกว่า ที่บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีผู้บริหารแผน 3 คน ร่วมกับพนักงานทุกระดับได้คำเนินงานตามแผนฟื้นฟื้นฟูกิจการทุกขั้นตอน จนสามารถรักษาการบินไทยไว้ได้และประกาศผลประกอบการมีกำไรเพิ่มขึ้นเป็นระยะๆ และจะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการในกลางปี 2568 ได้ โดยไม่ต้องมี "ภาครัฐ" เข้ามาช่วยเหลือ จากบทเรียนในอดีตที่ฝ้ายการเมืองคือปัญหาที่ทำให้การบินไทยเกือบล้มละลาย จึงเป็นเรื่องที่สหภาพแรงงานการบินไทยไม่อาจขอมรับได้ที่ฝ่ายการเมืองจะส่งผู้แทนจากกระทรวงคมนาคม 1 คน และจากกระทรวงการคลัง I คน เข้าเป็นผู้บริหารแผนเพิ่มขึ้นจากตัวแทนกระทรวงการคลังที่มีอยู่แล้ว 1 คนรวมเป็นตัวแทนจากภาครัฐ 3 คนจะทำให้ "ภาครัฐ"เป็นเสียงข้างมากที่มีอำนาจในการบริหารแผนฟื้นฟู สามารถปรับเปลี่ยนแผนงาน ปรับเปลี่ยนนโยบายที่ได้ดำเนินงานมาด้วยดีไม่มีปัญหาการทุจริต ตลอดระยะเวลา 4 ปีกว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้พนักงานการบินไทยทุกคนต้องทำงทำงานหนักมากเพื่อให้การบินไทย เติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน เพื่อให้สายการบินแห่งชาติมีประสิทธิภาพ มีความสามารถในการแข่งขัน ให้คนไทยทุกคนได้ภูมิใจในสายการบินของคนไทย ที่ผู้ใช้บริการทั่วโลกเชื่อมั่นในการบริหารด้วยความซื่อสัตย์สุจริต สหภาพแรงงานการบินไทย "ขอคัดค้านการส่งผู้แทนภาครัฐ 2 คนจากกระทรวงคมนาคม และกระทรวงการคลัง เพิ่มเข้ามาเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ" ให้พนักงานบริษัทการบินไทย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจการบิน สะสมประสบการณ์มาขาวนานกว่า 60 ปี ได้ใช้ความรู้ ความสามารถโดยอิสระ ปราศจากการแทรกแซง แสวงหาผลประโยชน์จากฝ่ายการเมืองเช่นในอดีต หยุด!!! ทำลายสายการบินแห่งชาติ สหภาพแรงงานการบินไทย 7 พฤศจิกายน 2567
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ทุกวันนี้วิธีการแบบเก่าๆที่เหมือนการนำน้ำเมาย้ายมาใส่ในขวดใหม่จริงๆ
    ก่อนอื่น ต้องเข้าใจนิยามของคำว่า เชิงหมาแก่ก่อน
    — อาการ 'ฟอร์มหมาแก่' อธิบายง่ายๆ ก็คือ คนที่ชอบแสดงออกให้เพื่อนรู้แบบหนึ่ง แต่จริงๆ ตั้งใจอีกอย่าง
    ยกตัวอย่างนักข่าว ที่ชื่อดนัย หรือที่พี่คิงส์มักเรียกแกว่า ดนูยหมาแก่ ไม่ได้แซะนะ แกเรียกตัวเองว่าหมาแก่จริงๆ สาเหตุก็เพราะแกมีวิธีการนำเสนอข่าวแบบนี้ ทำติดอ่างบ้าง พูดกำกวมบ้าง จนคนในวงการสื่อเรียกว่า ไอ่ดนัย ฟอร์มหมาแก่ เรื่องนี้นี่รู้กันเฉพาะสายสื่อสารมวลชนเลยนะ
    วีรกรรมของดนัย มีเยอะมากนะ แต่ที่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงจริงๆก็คือ เทพโจ๊กของกระผ๊ม ที่ดนัยใช้คำนี้เรียกแทนชื่อบิ๊กโจ๊ก หรือนายสุรเชษฐ์ หักพาล
    ที่เริ่มสตาร์ทด้วยการยกโจ๊กเข้ามาให้เป็นจุดสนใจของสังคม พร้อมเปิดแอร์ทาร์มให้สัมภาษณ์ จนกลายเป็นรายการพีอาร์ของโจ๊ก นอกจากนั้นประเด็นใดก็ตามที่อาจเป็นภาพลบให้โจ๊ก ดนัยจะให้โอกาสในการชี้แจง และใช้สไตล์การพูดแบบกำกวม หรือเบี่ยงเบนประเด็นให้สังคมเข้าใจไปในแบบที่โจ๊กต้องการ เช่น การที่โจ๊กถูกเปิดเผยเรื่องเงินดาร์ค และถูกตั้งกรรมการสอบ ดนัยได้สร้างวาทะกรรม ว่าเป็นเรื่องของตร.มีปัญหากัน ระหว่างรองผบตร.สองคน ในเวลานั้น ทั้งๆที่สิ่งที่โจ๊กถูกสอบล้วนมีหลักฐานและพยานที่ชัดเจน จนท้ายที่สุดกรรมได้ตามทันโจ๊ก และดนัยก็สละเรือในวันนี้ นี่คือตัวอย่างของนักข่าวที่อ้างตัวว่าเป็นกลาง แต่ใช้ฟอร์มหมาแก่ เพื่อซักฟอกผู้ว่าจ้าง ที่มีความชัดเจนเหมาะสมต่อการยกตัวอย่าง
    - ส่วนของทนายเดชา ที่พูดเสมอว่า ตนเองเป็นกลาง แต่ในหลายๆครั้ง ทนายเดชาแสดงตัวอยู่ข้างบุคคลที่เป็นคนที่สังคมไทย มองว่าซั่ว ตั้งแต่ครู่จุ๋ม กับการกระทำต่อน้องอนุบาล รวมถึงอีกหลายกรณี โดยทุกครั้งที่คนไทยแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วย เดชา ก็จะเย้ยหยันกลับมา ด้วยคำว่า จุ๊กกรู๊ และล่าสุด กับเรื่องของตั้ม ที่สื่อทุกช่องต่างออกมาเปิดเผยเรื่องราว รวมทั้งผสห. อย่างเจ๊อ้อย เรียกได้ว่า ทุกสื่อไปในทิศทางเดียวกัน แต่เดชา ที่บอกว่าตนเองนั้นเป็นกลาง และเป็นผู้ให้ความรู้ด้านกฏหมาย กลับให้ข้อมูลในเชิงการยืนยันของความบริสุทธิ์ของตั้ม จนโดนสื่อตำนานอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาปรามและท้าให้ดนคด. แต่เดชาก็อยู่เป็น ไลฟ์สดว่า จะทำทำไมไม่มีประโยชน์ และอธิบายเพิ่มว่า ทางสนธิ มีข้อมูลจาก ผสห. แต่ตน มีข้อมูลจากตั้ม มันคนละชุดข้อมูล
    - จากที่พี่คิงส์ฯฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ยอมรับว่า เดชา ควรแสดงตนในฐานะที่เป็นคนที่มีความรู้ด้านกฏหมาย ด้วยการปกป้องประชาชน ไม่ใช่ปกป้องคนซั่ว อายุก็เริ่มมากขึ้นแล้ว ร่องรอยแห่งความชราก็มาปรากฏเต็มใบหน้า อยากให้เดชามีภาพจำที่ดีสำหรับคนไทย เลิกเหอะ วิธีการมีแสง ด้วยการยืนขวางความถูกต้อง โดยไม่แยแสความรู้สึกของ ผสห เอาพรรคเอาพวก ไม่มีความยั่งยืน กับชื่อเสียงที่ได้มาจากวิธีการแบบนี้ เลิกใช้ "ฟอร์มหมาแก่" เสียที
    เชื่อพี่คิงส์ฯ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ทุกวันนี้วิธีการแบบเก่าๆที่เหมือนการนำน้ำเมาย้ายมาใส่ในขวดใหม่จริงๆ ก่อนอื่น ต้องเข้าใจนิยามของคำว่า เชิงหมาแก่ก่อน — อาการ 'ฟอร์มหมาแก่' อธิบายง่ายๆ ก็คือ คนที่ชอบแสดงออกให้เพื่อนรู้แบบหนึ่ง แต่จริงๆ ตั้งใจอีกอย่าง ยกตัวอย่างนักข่าว ที่ชื่อดนัย หรือที่พี่คิงส์มักเรียกแกว่า ดนูยหมาแก่ ไม่ได้แซะนะ แกเรียกตัวเองว่าหมาแก่จริงๆ สาเหตุก็เพราะแกมีวิธีการนำเสนอข่าวแบบนี้ ทำติดอ่างบ้าง พูดกำกวมบ้าง จนคนในวงการสื่อเรียกว่า ไอ่ดนัย ฟอร์มหมาแก่ เรื่องนี้นี่รู้กันเฉพาะสายสื่อสารมวลชนเลยนะ วีรกรรมของดนัย มีเยอะมากนะ แต่ที่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงจริงๆก็คือ เทพโจ๊กของกระผ๊ม ที่ดนัยใช้คำนี้เรียกแทนชื่อบิ๊กโจ๊ก หรือนายสุรเชษฐ์ หักพาล ที่เริ่มสตาร์ทด้วยการยกโจ๊กเข้ามาให้เป็นจุดสนใจของสังคม พร้อมเปิดแอร์ทาร์มให้สัมภาษณ์ จนกลายเป็นรายการพีอาร์ของโจ๊ก นอกจากนั้นประเด็นใดก็ตามที่อาจเป็นภาพลบให้โจ๊ก ดนัยจะให้โอกาสในการชี้แจง และใช้สไตล์การพูดแบบกำกวม หรือเบี่ยงเบนประเด็นให้สังคมเข้าใจไปในแบบที่โจ๊กต้องการ เช่น การที่โจ๊กถูกเปิดเผยเรื่องเงินดาร์ค และถูกตั้งกรรมการสอบ ดนัยได้สร้างวาทะกรรม ว่าเป็นเรื่องของตร.มีปัญหากัน ระหว่างรองผบตร.สองคน ในเวลานั้น ทั้งๆที่สิ่งที่โจ๊กถูกสอบล้วนมีหลักฐานและพยานที่ชัดเจน จนท้ายที่สุดกรรมได้ตามทันโจ๊ก และดนัยก็สละเรือในวันนี้ นี่คือตัวอย่างของนักข่าวที่อ้างตัวว่าเป็นกลาง แต่ใช้ฟอร์มหมาแก่ เพื่อซักฟอกผู้ว่าจ้าง ที่มีความชัดเจนเหมาะสมต่อการยกตัวอย่าง - ส่วนของทนายเดชา ที่พูดเสมอว่า ตนเองเป็นกลาง แต่ในหลายๆครั้ง ทนายเดชาแสดงตัวอยู่ข้างบุคคลที่เป็นคนที่สังคมไทย มองว่าซั่ว ตั้งแต่ครู่จุ๋ม กับการกระทำต่อน้องอนุบาล รวมถึงอีกหลายกรณี โดยทุกครั้งที่คนไทยแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วย เดชา ก็จะเย้ยหยันกลับมา ด้วยคำว่า จุ๊กกรู๊ และล่าสุด กับเรื่องของตั้ม ที่สื่อทุกช่องต่างออกมาเปิดเผยเรื่องราว รวมทั้งผสห. อย่างเจ๊อ้อย เรียกได้ว่า ทุกสื่อไปในทิศทางเดียวกัน แต่เดชา ที่บอกว่าตนเองนั้นเป็นกลาง และเป็นผู้ให้ความรู้ด้านกฏหมาย กลับให้ข้อมูลในเชิงการยืนยันของความบริสุทธิ์ของตั้ม จนโดนสื่อตำนานอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาปรามและท้าให้ดนคด. แต่เดชาก็อยู่เป็น ไลฟ์สดว่า จะทำทำไมไม่มีประโยชน์ และอธิบายเพิ่มว่า ทางสนธิ มีข้อมูลจาก ผสห. แต่ตน มีข้อมูลจากตั้ม มันคนละชุดข้อมูล - จากที่พี่คิงส์ฯฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ยอมรับว่า เดชา ควรแสดงตนในฐานะที่เป็นคนที่มีความรู้ด้านกฏหมาย ด้วยการปกป้องประชาชน ไม่ใช่ปกป้องคนซั่ว อายุก็เริ่มมากขึ้นแล้ว ร่องรอยแห่งความชราก็มาปรากฏเต็มใบหน้า อยากให้เดชามีภาพจำที่ดีสำหรับคนไทย เลิกเหอะ วิธีการมีแสง ด้วยการยืนขวางความถูกต้อง โดยไม่แยแสความรู้สึกของ ผสห เอาพรรคเอาพวก ไม่มีความยั่งยืน กับชื่อเสียงที่ได้มาจากวิธีการแบบนี้ เลิกใช้ "ฟอร์มหมาแก่" เสียที เชื่อพี่คิงส์ฯ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 827 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts