• เปิดเอกสาร JC 2544 และแชร์ไปให้มากๆขอขอบคุณท่านอาจารย์หม่อมหลวงวัลย์วิภา จรูญโรจน์ ที่ได้อนุญาตให้เผยแพร่เอกสารสำคัญ เป็นแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ลงนามโดย ทักษิณ ชินวัตร กับ ฮุนเซน วันที่ 18 มิถุนายน 2544 ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า JC2544 หรือ J44 โดยเฉพาะข้อ 13 และ ข้อ 14 ที่ได้มีการรับรอง MOU 2544 จึงทำให้สถานภาพของ MOU2544 กลายเป็นสนธิสัญญาที่ได้มอบอำนาจโดยรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และไม่ได้มีพระบรมราชโองการ จึงขอนำเสนอและช่วยกันเผยแพร่ในโอกาสนี้ เพื่อเพิกถอนทั้ง MOU2544 และ JC2544ด้วยความปรารถนาดีปานเทพ พัวพงษ์พันธ์คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต26 พฤศจิกายน 2567https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1102315007928865/?
    เปิดเอกสาร JC 2544 และแชร์ไปให้มากๆขอขอบคุณท่านอาจารย์หม่อมหลวงวัลย์วิภา จรูญโรจน์ ที่ได้อนุญาตให้เผยแพร่เอกสารสำคัญ เป็นแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ลงนามโดย ทักษิณ ชินวัตร กับ ฮุนเซน วันที่ 18 มิถุนายน 2544 ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า JC2544 หรือ J44 โดยเฉพาะข้อ 13 และ ข้อ 14 ที่ได้มีการรับรอง MOU 2544 จึงทำให้สถานภาพของ MOU2544 กลายเป็นสนธิสัญญาที่ได้มอบอำนาจโดยรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และไม่ได้มีพระบรมราชโองการ จึงขอนำเสนอและช่วยกันเผยแพร่ในโอกาสนี้ เพื่อเพิกถอนทั้ง MOU2544 และ JC2544ด้วยความปรารถนาดีปานเทพ พัวพงษ์พันธ์คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต26 พฤศจิกายน 2567https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1102315007928865/?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚢 ทัวร์ล่องเรือสำราญ Norwegian Spirit 15 วัน 14 คืน ⭐️⭐️⭐️⭐️

    ✈️ : NH-ออลนิปปอนแอร์เวย์
    🅿️ ช่วงวันหยุดสงกรานต์ 13 - 27 เม.ย. 68

    🏢 ห้องไม่มีหน้าต่าง ท่านละ 136,900.-
    🏢 ห้องมีระเบียง ท่านละ 185,800.-

    📍 เส้นทาง ญี่ปุ่น - เซ็นได - ฮาโกดาเตะ - ซัปโปโร โอะตะรุ - อากิตะ - คานาซะว่า - ปูซาน, เกาหลีใต้ - นากาซากิ - คาโกชิม่า - โตกุชิม่า - โตกุชิม่า - Mount Fuji shimizu - โยโกฮาม่า, ญี่ปุ่น

    📢 ระดับทัวร์ : ทัวร์คุณภาพระดับมาตรฐาน
    📢 รหัสทัวร์ : Z11788
    🏢 โรงแรม : 4 ดาว

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/ee5da4

    ดูทัวร์วันสงกรานต์ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/e1a231

    ดูเรือ Norwegian Cruise ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/396b84

    ดูทัวร์ล่องเรือสำราญทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/5e68af

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395

    #ทัวร์ล่องเรือสำราญ #ทัวร์วันสงกรานต์ #เรือNorwegianCruise #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    🚢 ทัวร์ล่องเรือสำราญ Norwegian Spirit 15 วัน 14 คืน ⭐️⭐️⭐️⭐️ ✈️ : NH-ออลนิปปอนแอร์เวย์ 🅿️ ช่วงวันหยุดสงกรานต์ 13 - 27 เม.ย. 68 🏢 ห้องไม่มีหน้าต่าง ท่านละ 136,900.- 🏢 ห้องมีระเบียง ท่านละ 185,800.- 📍 เส้นทาง ญี่ปุ่น - เซ็นได - ฮาโกดาเตะ - ซัปโปโร โอะตะรุ - อากิตะ - คานาซะว่า - ปูซาน, เกาหลีใต้ - นากาซากิ - คาโกชิม่า - โตกุชิม่า - โตกุชิม่า - Mount Fuji shimizu - โยโกฮาม่า, ญี่ปุ่น 📢 ระดับทัวร์ : ทัวร์คุณภาพระดับมาตรฐาน 📢 รหัสทัวร์ : Z11788 🏢 โรงแรม : 4 ดาว ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/ee5da4 ดูทัวร์วันสงกรานต์ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/e1a231 ดูเรือ Norwegian Cruise ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/396b84 ดูทัวร์ล่องเรือสำราญทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/5e68af LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์ล่องเรือสำราญ #ทัวร์วันสงกรานต์ #เรือNorwegianCruise #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปาเกียวเกียร์อาร์ เดชาเกียร์ดี เกาะคอตั้มเข้าซังเต
    หลังจากหลบหน้าไปหลายวัน ทนายปาเกียว ก็ร้องเพลงถอยดีกว่าไม่เอาดีกว่า ขอถอนตัวจากการเป็นทนายความแก้ต่างให้ทนายตั้มนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เพราะสุดจะรับไหว ต่อวิธีการสู้คดีแบบหัวชนฝา
    ทนายปาเกียวตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่า ทนายตั้มมีการปลอมแปลงเอกสารสัญญาที่เคยทําไว้กับพี่อ้อยจตุพร หวังใช้เป็นหมัดเด็ดในศาล ว่ากันว่าการใช้หลักฐานปลอมเป็นงานถนัดของใครบางคนจนถูกร้องเรียนมาแล้วหลายต่อหลายคดี ซึ่งทนายปาเกียว ไม่อยากโดนหางเลข เป็นทนายที่ต้องมาพลอยติดคุกตามจําเลยไปด้วย ยิ่งมีตัวอย่างให้ดูเป็นขวัญตาหมาดๆ คือ ทนายปากแดงที่ติดคุกในการว่าความให้ แอมไซยาไนด์ ยิ่งเหมือนรายการเชือดไก่ให้ลิงดูตอนนี้
    จึงเป็นนาทีทองแล้วของทนายเดชา ที่จะพิสูจน์ให้โลกรู้ว่า มีจุดยืนเป็นมิตรแท้ทนายโจรมาตั้งแต่เริ่ม โลกนี้ก็แทบจะเหลือในเดชาคนเดียวที่จะต้องรับเป็นทนายให้ตั้มเพื่อนรัก ต้องบอกว่าคดีใหญ่ระดับนี้เหมาะที่สุดแล้วกับทนายบิ๊กเนม จบเนติบัณฑิต พร่ําสอนกฎหมายให้ประชาชนผ่านจอทุกเช้าค่ํา
    แม้ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆจะเสียรังวัด จนโดนล้อไปทั้งประเทศ อีท่าไหนไม่ทราบ ดันไปแพ้คดีให้กับทนายไม่จบเน อย่าง ทนายนิด้าเจ็บนี้ยิ่งต้องแปรความอัปยศอดสู เป็นพลังให้โลกตะลึงว่าไม่ได้เก่งแต่ปาก แต่เก่งหน้าบัลลังก์ด้วยช่วยทนายแบรนด์เนมให้รอดทุกข์ให้ได้
    เมื่อได้เป็นทนายให้ทนายตั้มเต็มตัวคราวนี้ จะเรียกสื่อมาแถลงทางคดีอะไรก็เหมาะสมชอบธรรมไม่มีใครว่าได้อีกแล้วว่าหิวแสงไปเผือกในเรื่องที่ตัวเอง แต่คดีฉ้อโกงเป็นปกติธุระสะท้านเมืองขึ้นมา จะเห็นว่าผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์วิเคราะห์สอดคล้องกันว่าทนายตั้มรอดยากในทุกกระทงความผิด ทนายเกิดผลแก้วเกิดเพื่อนคนหนึ่งของทนายตั้มพูดชัดว่าเขาเชื่อหลักฐานของพี่อ้อยมากกว่า วิญญูชนย่อมรู้ว่าทนายตั้มฉ้อโกงทนายเกิดผลบอกว่า เพื่อนก็คือเพื่อน แต่เมื่อเห็นเพื่อนกระทําผิดก็กล้าวิจารณ์ซึ่งเป็นการนิยามความเป็นเพื่อนที่น่าชื่นชม ไม่ใช่แบบคนที่เล่นพวกจนหลงทาง
    ทนายรณรงค์แก้วเพชร เพื่อนอีกคนกล่าวว่ามองไม่เห็นทางเลยที่ทนายตั้มจะรอดได้ทนายอาคม คงสวัสดิ์ อดีตคนกันเอง ที่ให้ทนายตั้มยอมสารภาพเพื่อลดโทษจะดีต่อตัวเองและคนรอบข้างมากกว่า
    ทนายตั้มเสี่ยงติดคุกอีกคดีคือคดีทําลายพินัยกรรมของพี่อ้อยโดยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 บัญญัติว่าผู้ใดทําลายซ่อนเร้นพินัยกรรมให้เสียหายถือว่ามีความผิดโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปีเพราะฉะนั้นพี่อ้อยและทีมกฎหมายของนายสนธิลิ้มทองกุลคงจะดําเนินคดีทนายตั้มข้อหาทําลายพินัยกรรมอย่างแน่นอนเพราะโทษหนักเสียยิ่งกว่าคดีฉ้อโกงด้วยซ้ํา ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    ปาเกียวเกียร์อาร์ เดชาเกียร์ดี เกาะคอตั้มเข้าซังเต หลังจากหลบหน้าไปหลายวัน ทนายปาเกียว ก็ร้องเพลงถอยดีกว่าไม่เอาดีกว่า ขอถอนตัวจากการเป็นทนายความแก้ต่างให้ทนายตั้มนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เพราะสุดจะรับไหว ต่อวิธีการสู้คดีแบบหัวชนฝา ทนายปาเกียวตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่า ทนายตั้มมีการปลอมแปลงเอกสารสัญญาที่เคยทําไว้กับพี่อ้อยจตุพร หวังใช้เป็นหมัดเด็ดในศาล ว่ากันว่าการใช้หลักฐานปลอมเป็นงานถนัดของใครบางคนจนถูกร้องเรียนมาแล้วหลายต่อหลายคดี ซึ่งทนายปาเกียว ไม่อยากโดนหางเลข เป็นทนายที่ต้องมาพลอยติดคุกตามจําเลยไปด้วย ยิ่งมีตัวอย่างให้ดูเป็นขวัญตาหมาดๆ คือ ทนายปากแดงที่ติดคุกในการว่าความให้ แอมไซยาไนด์ ยิ่งเหมือนรายการเชือดไก่ให้ลิงดูตอนนี้ จึงเป็นนาทีทองแล้วของทนายเดชา ที่จะพิสูจน์ให้โลกรู้ว่า มีจุดยืนเป็นมิตรแท้ทนายโจรมาตั้งแต่เริ่ม โลกนี้ก็แทบจะเหลือในเดชาคนเดียวที่จะต้องรับเป็นทนายให้ตั้มเพื่อนรัก ต้องบอกว่าคดีใหญ่ระดับนี้เหมาะที่สุดแล้วกับทนายบิ๊กเนม จบเนติบัณฑิต พร่ําสอนกฎหมายให้ประชาชนผ่านจอทุกเช้าค่ํา แม้ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆจะเสียรังวัด จนโดนล้อไปทั้งประเทศ อีท่าไหนไม่ทราบ ดันไปแพ้คดีให้กับทนายไม่จบเน อย่าง ทนายนิด้าเจ็บนี้ยิ่งต้องแปรความอัปยศอดสู เป็นพลังให้โลกตะลึงว่าไม่ได้เก่งแต่ปาก แต่เก่งหน้าบัลลังก์ด้วยช่วยทนายแบรนด์เนมให้รอดทุกข์ให้ได้ เมื่อได้เป็นทนายให้ทนายตั้มเต็มตัวคราวนี้ จะเรียกสื่อมาแถลงทางคดีอะไรก็เหมาะสมชอบธรรมไม่มีใครว่าได้อีกแล้วว่าหิวแสงไปเผือกในเรื่องที่ตัวเอง แต่คดีฉ้อโกงเป็นปกติธุระสะท้านเมืองขึ้นมา จะเห็นว่าผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์วิเคราะห์สอดคล้องกันว่าทนายตั้มรอดยากในทุกกระทงความผิด ทนายเกิดผลแก้วเกิดเพื่อนคนหนึ่งของทนายตั้มพูดชัดว่าเขาเชื่อหลักฐานของพี่อ้อยมากกว่า วิญญูชนย่อมรู้ว่าทนายตั้มฉ้อโกงทนายเกิดผลบอกว่า เพื่อนก็คือเพื่อน แต่เมื่อเห็นเพื่อนกระทําผิดก็กล้าวิจารณ์ซึ่งเป็นการนิยามความเป็นเพื่อนที่น่าชื่นชม ไม่ใช่แบบคนที่เล่นพวกจนหลงทาง ทนายรณรงค์แก้วเพชร เพื่อนอีกคนกล่าวว่ามองไม่เห็นทางเลยที่ทนายตั้มจะรอดได้ทนายอาคม คงสวัสดิ์ อดีตคนกันเอง ที่ให้ทนายตั้มยอมสารภาพเพื่อลดโทษจะดีต่อตัวเองและคนรอบข้างมากกว่า ทนายตั้มเสี่ยงติดคุกอีกคดีคือคดีทําลายพินัยกรรมของพี่อ้อยโดยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 บัญญัติว่าผู้ใดทําลายซ่อนเร้นพินัยกรรมให้เสียหายถือว่ามีความผิดโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปีเพราะฉะนั้นพี่อ้อยและทีมกฎหมายของนายสนธิลิ้มทองกุลคงจะดําเนินคดีทนายตั้มข้อหาทําลายพินัยกรรมอย่างแน่นอนเพราะโทษหนักเสียยิ่งกว่าคดีฉ้อโกงด้วยซ้ํา ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำนานกระเพาะสุดอร่อยที่เปิดมายาวนานกว่า 80 ปี เริ่มต้นจากการหลอมหม้อกระเพาะปลาขายหาบเร่ไปทั่วย่านเยาวราช จนเดินทางมาเปิดร้านเป็นหลักแหล่งที่เสาชิงช้า โดยคิดค้นสูตรและปรุงอาหารเองกับมือ พิถีพิถันตั้งแต่การเลือดวัตถุดิบ อย่างการใช้เลือดเป็ด ทำให้มีความหนึบพอดี ไก่ที่นำมาใช้ก็เป็นส่วนเนื้อน่องสะโพกให้ความนุ่มลิ้น พระเอกหลักอย่างน้ำซุปที่กลมกล่อมก็ได้จากการเคี่ยวขาไก่กันตั้งแต่ตีสอง ใช้เวลาให้พองวดกันถึง 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว โดยกระเพาะปลาร้านนี้เริ่มต้นเพียงชามละ 50 บาทเท่านั้น

    พิกัด : https://goo.gl/maps/2k89QsKiCrP2uwQo9
    ที่อยู่ : 90 ถนนมหรรณพ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
    ร้านเปิดบริการ : 07.00-14.00 น.
    โทร : 08-8782-2495

    #อาหารเช้ากรุงเทพฯ #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    ตำนานกระเพาะสุดอร่อยที่เปิดมายาวนานกว่า 80 ปี เริ่มต้นจากการหลอมหม้อกระเพาะปลาขายหาบเร่ไปทั่วย่านเยาวราช จนเดินทางมาเปิดร้านเป็นหลักแหล่งที่เสาชิงช้า โดยคิดค้นสูตรและปรุงอาหารเองกับมือ พิถีพิถันตั้งแต่การเลือดวัตถุดิบ อย่างการใช้เลือดเป็ด ทำให้มีความหนึบพอดี ไก่ที่นำมาใช้ก็เป็นส่วนเนื้อน่องสะโพกให้ความนุ่มลิ้น พระเอกหลักอย่างน้ำซุปที่กลมกล่อมก็ได้จากการเคี่ยวขาไก่กันตั้งแต่ตีสอง ใช้เวลาให้พองวดกันถึง 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว โดยกระเพาะปลาร้านนี้เริ่มต้นเพียงชามละ 50 บาทเท่านั้น พิกัด : https://goo.gl/maps/2k89QsKiCrP2uwQo9 ที่อยู่ : 90 ถนนมหรรณพ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ร้านเปิดบริการ : 07.00-14.00 น. โทร : 08-8782-2495 #อาหารเช้ากรุงเทพฯ #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำเตือน….สิ่งที่คนไทยไม่รู้จากบทสัมภาษณ์ของฮุน มาเนต ต่อทีท่าการเคลื่อนไหวในประเทศไทยและ MOU44 ซึ่งเขาไม่เคยยอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทยThe Phnom Penh Post (พนมเปญ โพส์ต) หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของทางการกัมพูชา ได้ออกข่าวบทสัมภาษณ์ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาและบุตรชายสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 บทสัมภาษณ์ทำให้เราเห็นว่า กัมพูชายังคงย้ำว่าปัญหาเกาะกูดยังไม่ได้ข้อยุติ ไทยอ้างสิทธิ์ของตนในอธิปไตยเหนือเกาะกูดแต่ฝ่ายเดียว นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นๆอีกที่คนไทยเราไม่เคยรับรู้จากกระทรวงการต่างประเทศของไทย แต่เป็นเรื่องน่าละอายใจที่ต้องไปรับรู้มาจากประเทศอื่น เช่น ข้ออ้างเรื่องเขตแดนทางบก ที่บรรลุข้อตกลงไปแล้ว 42 หลักเขต ระยะทาง 805 กิโลเมตร ยังคงเหลืออีก 31 หลักซึ่งยังตกลงกันไม่ได้ รัฐบาลไทยก็ไม่สนใจเกียรติศักดิ์ศรีของตนเอง วันๆเรามีนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญต่อครอบครัวตนเองมากกว่าประเทศไทย เป็นเรื่องน่าเศร้ามากครับคำสัมภาษณ์ของฮุน มาเนตมีดังนี้“นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้กล่าวถึงการตัดสินใจของรัฐบาลที่นิ่งเฉยต่อข้อพิพาทอธิปไตยเหนือเกาะกูด โดยอ้างถึงการเจรจาต่อรองเขตแดนทางทะเลกับ ประเทศไทยซึ่งยังไม่ได้ให้ข้อยุติ นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต กล่าวถึงการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะไม่พูดถึงข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยเหนือเกาะกูด โดยอ้างถึงการเจรจาเรื่องพรมแดนทางทะเลกับไทยที่ยังคงดำเนินอยู่แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ปัจจุบันทั้งสองประเทศอ้างสิทธิ์ในเกาะดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของตน คำอธิบายดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มฝ่ายค้านและประชาชนบางส่วนที่กล่าวหารัฐบาลว่าไม่ตอบสนองต่อคำกล่าวอ้างของไทยเกี่ยวกับเกาะดังกล่าว ฮุน มาเนต ชี้แจงว่าข้อกล่าวอ้างเหล่านี้มาจากพรรคฝ่ายค้านของไทย ไม่ใช่จากรัฐบาลในการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสำเร็จการศึกษาของนักศึกษมหาวิทยาลัยกรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน มาเนตเน้นย้ำว่าปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนต้องได้รับการจัดการด้วยความระมัดระวัง บางคนบอกว่ารัฐบาลเงียบราวกับ ‘ขโมยม้า’ ไม่ยอมเผชิญหน้ากับไทยเกี่ยวกับข้อเรียกร้องดังกล่าว พวกเขาตำหนิรัฐบาลของฉันว่าสูญเสียเกาะกูดและดินแดนทางทะเลของกัมพูชา พวกเขาบอกว่ารัฐบาลควรนำเรื่องนี้ไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และให้คำอธิบาย”“ทำไมรัฐบาลจึงนิ่งเฉย คำตอบอยู่ที่หลักการสองประการ คือ ความเป็นผู้ใหญ่ทางการเมืองและความรับผิดชอบต่อชาติ หลักการเหล่านี้เป็นแนวทางให้รัฐบาลนิ่งเฉย เพราะการพูดออกมาไม่ได้สะท้อนถึงความเป็นผู้ใหญ่” เขากล่าวมาเนต ได้ขยายความถึงแนวคิดเรื่องวุฒิภาวะทางการเมือง โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาอย่างเป็นทางการระหว่างสองประเทศเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน เขาย้ำว่าปัญหาที่ละเอียดอ่อนดังกล่าวควรได้รับการแก้ไขผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ผ่านโซเชียลมีเดียหรือสื่อมวลชนรัฐบาลไม่ได้พูดแบบที่นักวิเคราะห์พูดกัน” เขากล่าว “เมื่อเราพูด เรื่องนี้จะมีความสำคัญ เราควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของประเทศอื่นหรือไม่ พวกเขาปกป้องสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นของพวกเขา ฝ่ายหนึ่งอ้างว่าดินแดนของพวกเขาสูญหายไป อีกฝ่ายก็บอกว่าไม่เป็นเช่นนั้น ทำไมเราต้องจุดไฟเผาบ้านของเราโดยไม่จำเป็น การกระทำโดยหุนหันพลันแล่นอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น” เขากล่าวอธิบาย มาเนตเน้นย้ำว่ากัมพูชาและไทยได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการหารือเรื่องพรมแดนขึ้น 2 คณะ ได้แก่ คณะกรรมาธิการชายแดนร่วม (JBC) ซึ่งรับผิดชอบประเด็นพรมแดนทางบก และคณะกรรมการเทคนิคร่วม (JTC) ซึ่งเน้นที่เขตแดนทางทะเล“นี่เป็นกลไกอย่างเป็นทางการ รัฐบาลทำงานผ่านกลไกเหล่านี้ สิ่งที่พวกเขาพูด [ในประเทศไทย] เป็นเรื่องของพวกเขา หากมีข้อขัดแย้ง ควรมีการแก้ไขแบบพบหน้ากันเพื่อให้เป็นทางการ” เขากล่าวอธิบายมาเนตกล่าวว่าการเจรจาเรื่องพรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศจนถึงขณะนี้ได้ดำเนินการเฉพาะเรื่องพรมแดนทางบกเท่านั้น โดยได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับพรมแดนทางบกระยะทาง 805 กิโลเมตร ครอบคลุม 73 หลัก โดยมี 42 หลักที่สรุปผลแล้ว และอีก 31 หลักยังอยู่ระหว่างการพิจารณา“เราได้กำหนดขอบเขตที่ดินตามสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยามในปี 1907 ซึ่งครอบคลุมระยะทาง 805 กิโลเมตรและมีเครื่องหมายพรมแดน 73 หลัก การเจรจาใช้เวลา 18 ปีจึงจะสรุปเครื่องหมายได้ 42 หลัก แต่การทำงานยังคงดำเนินต่อไปจนถึงจุดที่วัดได้ละเอียดทุกมิลลิเมตร” เขากล่าวเมื่อพูดถึงเขตแดนทางทะเล มาเนตกล่าวว่า “เราเคยตกลงกันเรื่องเขตแดนทางทะเลหรือไม่? ไม่เลย การเจรจาเกิดขึ้นหลายครั้งโดยไม่มีข้อตกลง หากไม่มีข้อตกลง เราจะสูญเสียอะไรไป? ขอถามหน่อยเถอะ บางคนบอกว่ามันเป็นการทรยศหรือสูญเสียดินแดน แต่ถ้าไม่มีข้อตกลง เราจะฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้อย่างไร?”เขาได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของกัมพูชาผ่านกลไกสันติภาพที่ใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า สำนักเลขาธิการกิจการชายแดนมีความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับการเจรจาต่อเนื่องกับไทยในเรื่องชายแดนนอกจากนี้ มาเนต ยังกล่าวอีกว่า พื้นที่ทั้งหมดของประเทศอาจมีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการคือ 181,035 ตารางกิโลเมตรเขาอ้างถึงการวัด GPS เชิงทดลองที่ดำเนินการในปี 2012 ซึ่งแนะนำว่าการวัดดังกล่าวอาจขยายได้ถึง 181,436 ตารางกิโลเมตร“เศร้าครับ….. เทพมนตรี ลิมปพยอม26 พฤศจิกายน 2567
    คำเตือน….สิ่งที่คนไทยไม่รู้จากบทสัมภาษณ์ของฮุน มาเนต ต่อทีท่าการเคลื่อนไหวในประเทศไทยและ MOU44 ซึ่งเขาไม่เคยยอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทยThe Phnom Penh Post (พนมเปญ โพส์ต) หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของทางการกัมพูชา ได้ออกข่าวบทสัมภาษณ์ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาและบุตรชายสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 บทสัมภาษณ์ทำให้เราเห็นว่า กัมพูชายังคงย้ำว่าปัญหาเกาะกูดยังไม่ได้ข้อยุติ ไทยอ้างสิทธิ์ของตนในอธิปไตยเหนือเกาะกูดแต่ฝ่ายเดียว นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นๆอีกที่คนไทยเราไม่เคยรับรู้จากกระทรวงการต่างประเทศของไทย แต่เป็นเรื่องน่าละอายใจที่ต้องไปรับรู้มาจากประเทศอื่น เช่น ข้ออ้างเรื่องเขตแดนทางบก ที่บรรลุข้อตกลงไปแล้ว 42 หลักเขต ระยะทาง 805 กิโลเมตร ยังคงเหลืออีก 31 หลักซึ่งยังตกลงกันไม่ได้ รัฐบาลไทยก็ไม่สนใจเกียรติศักดิ์ศรีของตนเอง วันๆเรามีนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญต่อครอบครัวตนเองมากกว่าประเทศไทย เป็นเรื่องน่าเศร้ามากครับคำสัมภาษณ์ของฮุน มาเนตมีดังนี้“นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้กล่าวถึงการตัดสินใจของรัฐบาลที่นิ่งเฉยต่อข้อพิพาทอธิปไตยเหนือเกาะกูด โดยอ้างถึงการเจรจาต่อรองเขตแดนทางทะเลกับ ประเทศไทยซึ่งยังไม่ได้ให้ข้อยุติ นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต กล่าวถึงการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะไม่พูดถึงข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยเหนือเกาะกูด โดยอ้างถึงการเจรจาเรื่องพรมแดนทางทะเลกับไทยที่ยังคงดำเนินอยู่แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ปัจจุบันทั้งสองประเทศอ้างสิทธิ์ในเกาะดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของตน คำอธิบายดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มฝ่ายค้านและประชาชนบางส่วนที่กล่าวหารัฐบาลว่าไม่ตอบสนองต่อคำกล่าวอ้างของไทยเกี่ยวกับเกาะดังกล่าว ฮุน มาเนต ชี้แจงว่าข้อกล่าวอ้างเหล่านี้มาจากพรรคฝ่ายค้านของไทย ไม่ใช่จากรัฐบาลในการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสำเร็จการศึกษาของนักศึกษมหาวิทยาลัยกรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน มาเนตเน้นย้ำว่าปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนต้องได้รับการจัดการด้วยความระมัดระวัง บางคนบอกว่ารัฐบาลเงียบราวกับ ‘ขโมยม้า’ ไม่ยอมเผชิญหน้ากับไทยเกี่ยวกับข้อเรียกร้องดังกล่าว พวกเขาตำหนิรัฐบาลของฉันว่าสูญเสียเกาะกูดและดินแดนทางทะเลของกัมพูชา พวกเขาบอกว่ารัฐบาลควรนำเรื่องนี้ไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และให้คำอธิบาย”“ทำไมรัฐบาลจึงนิ่งเฉย คำตอบอยู่ที่หลักการสองประการ คือ ความเป็นผู้ใหญ่ทางการเมืองและความรับผิดชอบต่อชาติ หลักการเหล่านี้เป็นแนวทางให้รัฐบาลนิ่งเฉย เพราะการพูดออกมาไม่ได้สะท้อนถึงความเป็นผู้ใหญ่” เขากล่าวมาเนต ได้ขยายความถึงแนวคิดเรื่องวุฒิภาวะทางการเมือง โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาอย่างเป็นทางการระหว่างสองประเทศเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน เขาย้ำว่าปัญหาที่ละเอียดอ่อนดังกล่าวควรได้รับการแก้ไขผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ผ่านโซเชียลมีเดียหรือสื่อมวลชนรัฐบาลไม่ได้พูดแบบที่นักวิเคราะห์พูดกัน” เขากล่าว “เมื่อเราพูด เรื่องนี้จะมีความสำคัญ เราควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของประเทศอื่นหรือไม่ พวกเขาปกป้องสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นของพวกเขา ฝ่ายหนึ่งอ้างว่าดินแดนของพวกเขาสูญหายไป อีกฝ่ายก็บอกว่าไม่เป็นเช่นนั้น ทำไมเราต้องจุดไฟเผาบ้านของเราโดยไม่จำเป็น การกระทำโดยหุนหันพลันแล่นอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น” เขากล่าวอธิบาย มาเนตเน้นย้ำว่ากัมพูชาและไทยได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการหารือเรื่องพรมแดนขึ้น 2 คณะ ได้แก่ คณะกรรมาธิการชายแดนร่วม (JBC) ซึ่งรับผิดชอบประเด็นพรมแดนทางบก และคณะกรรมการเทคนิคร่วม (JTC) ซึ่งเน้นที่เขตแดนทางทะเล“นี่เป็นกลไกอย่างเป็นทางการ รัฐบาลทำงานผ่านกลไกเหล่านี้ สิ่งที่พวกเขาพูด [ในประเทศไทย] เป็นเรื่องของพวกเขา หากมีข้อขัดแย้ง ควรมีการแก้ไขแบบพบหน้ากันเพื่อให้เป็นทางการ” เขากล่าวอธิบายมาเนตกล่าวว่าการเจรจาเรื่องพรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศจนถึงขณะนี้ได้ดำเนินการเฉพาะเรื่องพรมแดนทางบกเท่านั้น โดยได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับพรมแดนทางบกระยะทาง 805 กิโลเมตร ครอบคลุม 73 หลัก โดยมี 42 หลักที่สรุปผลแล้ว และอีก 31 หลักยังอยู่ระหว่างการพิจารณา“เราได้กำหนดขอบเขตที่ดินตามสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยามในปี 1907 ซึ่งครอบคลุมระยะทาง 805 กิโลเมตรและมีเครื่องหมายพรมแดน 73 หลัก การเจรจาใช้เวลา 18 ปีจึงจะสรุปเครื่องหมายได้ 42 หลัก แต่การทำงานยังคงดำเนินต่อไปจนถึงจุดที่วัดได้ละเอียดทุกมิลลิเมตร” เขากล่าวเมื่อพูดถึงเขตแดนทางทะเล มาเนตกล่าวว่า “เราเคยตกลงกันเรื่องเขตแดนทางทะเลหรือไม่? ไม่เลย การเจรจาเกิดขึ้นหลายครั้งโดยไม่มีข้อตกลง หากไม่มีข้อตกลง เราจะสูญเสียอะไรไป? ขอถามหน่อยเถอะ บางคนบอกว่ามันเป็นการทรยศหรือสูญเสียดินแดน แต่ถ้าไม่มีข้อตกลง เราจะฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้อย่างไร?”เขาได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของกัมพูชาผ่านกลไกสันติภาพที่ใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า สำนักเลขาธิการกิจการชายแดนมีความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับการเจรจาต่อเนื่องกับไทยในเรื่องชายแดนนอกจากนี้ มาเนต ยังกล่าวอีกว่า พื้นที่ทั้งหมดของประเทศอาจมีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการคือ 181,035 ตารางกิโลเมตรเขาอ้างถึงการวัด GPS เชิงทดลองที่ดำเนินการในปี 2012 ซึ่งแนะนำว่าการวัดดังกล่าวอาจขยายได้ถึง 181,436 ตารางกิโลเมตร“เศร้าครับ….. เทพมนตรี ลิมปพยอม26 พฤศจิกายน 2567
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีแต่แม่เท่านั้นที่ไม่รู้ว่า ไอ่จ็อบแกล้งแม่ ลากแม่ร่วมฟ..อกเ.งิน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    มีแต่แม่เท่านั้นที่ไม่รู้ว่า ไอ่จ็อบแกล้งแม่ ลากแม่ร่วมฟ..อกเ.งิน #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • #สิระปูดลุงป้อมต่อสายหาคนช่วยสามารถ
    เมื่อวานนี้ พบคลิปในโซเชียล
    สิระ เจนจาคะ อดีตองครักษ์พิทักษ์ลุงป้อม
    ได้เปิดเผยว่า ขณะที่ตนเองนั่งรับประทานอาหาร
    กับผู้ใหญ่คนหนึ่ง ลุงป้อม โดยใช้ชื่อเรียกว่า คนบ้านป่า
    ติดต่อผู้ใหญ่คนดังกล่าว เพื่อขอให้หาทางช่วยสามารถ
    หลังโดนรวบเมื่อวานนี้ โดยผู้ดำเนินรายการสาวได้ถามว่า
    เพราะเหตุใด ที่ลุงบ้านป่า จึงต้องช่วยนายสามารถ
    นายสิระจึงชี้แจงว่า นายสามารถสร้างความบาดหมาง
    ให้กับคนในพรรค พลปชร หลายคน
    แต่ที่ลุงบ้านป่าต้องช่วย เพราะสามารถเคยลั่นวาจาไว้ว่า
    ถ้าตนโดน จะไม่ยอมพังคนเดียว จะพาลุงไปด้วย
    ซึ่งทางเพจคิงส์โพธิ์แดง ไม่สามารถยืนยันได้ว่า
    ข้อมูลดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่
    แต่เป็นการนำเสนอข้อมูลจากคำพูดของนายสิระ
    ที่ปรากฏในโซเชียลเท่านั้น
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    #สิระปูดลุงป้อมต่อสายหาคนช่วยสามารถ เมื่อวานนี้ พบคลิปในโซเชียล สิระ เจนจาคะ อดีตองครักษ์พิทักษ์ลุงป้อม ได้เปิดเผยว่า ขณะที่ตนเองนั่งรับประทานอาหาร กับผู้ใหญ่คนหนึ่ง ลุงป้อม โดยใช้ชื่อเรียกว่า คนบ้านป่า ติดต่อผู้ใหญ่คนดังกล่าว เพื่อขอให้หาทางช่วยสามารถ หลังโดนรวบเมื่อวานนี้ โดยผู้ดำเนินรายการสาวได้ถามว่า เพราะเหตุใด ที่ลุงบ้านป่า จึงต้องช่วยนายสามารถ นายสิระจึงชี้แจงว่า นายสามารถสร้างความบาดหมาง ให้กับคนในพรรค พลปชร หลายคน แต่ที่ลุงบ้านป่าต้องช่วย เพราะสามารถเคยลั่นวาจาไว้ว่า ถ้าตนโดน จะไม่ยอมพังคนเดียว จะพาลุงไปด้วย ซึ่งทางเพจคิงส์โพธิ์แดง ไม่สามารถยืนยันได้ว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ แต่เป็นการนำเสนอข้อมูลจากคำพูดของนายสิระ ที่ปรากฏในโซเชียลเท่านั้น #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    Haha
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดเอกสาร JC 2544
    ขอขอบคุณท่านอาจารย์หม่อมหลวงวัลย์วิภา จรูญโรจน์ ที่ได้อนุญาตให้เผยแพร่เอกสารสำคัญ เป็นแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ลงนามโดย ทักษิณ ชินวัตร กับ ฮุนเซน วันที่ 18 มิถุนายน 2544 ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า JC2544 หรือ J44 โดยเฉพาะข้อ 13 และ ข้อ 14 ที่ได้มีการรับรอง MOU 2544 จึงทำให้สถานภาพของ MOU2544 กลายเป็นสนธิสัญญาที่ได้มอบอำนาจโดยรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และไม่ได้มีพระบรมราชโองการ จึงขอนำเสนอและช่วยกันเผยแพร่ในโอกาสนี้ เพื่อเพิกถอนทั้ง MOU2544 และ JC2544
    ด้วยความปรารถนาดี
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    26 พฤศจิกายน 2567
    .
    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1102315007928865/?
    เปิดเอกสาร JC 2544 ขอขอบคุณท่านอาจารย์หม่อมหลวงวัลย์วิภา จรูญโรจน์ ที่ได้อนุญาตให้เผยแพร่เอกสารสำคัญ เป็นแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ลงนามโดย ทักษิณ ชินวัตร กับ ฮุนเซน วันที่ 18 มิถุนายน 2544 ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า JC2544 หรือ J44 โดยเฉพาะข้อ 13 และ ข้อ 14 ที่ได้มีการรับรอง MOU 2544 จึงทำให้สถานภาพของ MOU2544 กลายเป็นสนธิสัญญาที่ได้มอบอำนาจโดยรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และไม่ได้มีพระบรมราชโองการ จึงขอนำเสนอและช่วยกันเผยแพร่ในโอกาสนี้ เพื่อเพิกถอนทั้ง MOU2544 และ JC2544 ด้วยความปรารถนาดี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 26 พฤศจิกายน 2567 . https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1102315007928865/?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • คัปปาโดเกีย ดินแดนบอลลูน มรดกโลกแห่งตุรกี

    คัปปาโดเกีย (Cappadocia)
    ตั้งอยู่บนที่ราบสูงอนาโตเลีย ประเทศตุรกี

    สัมผัสดินแดนเทพนิยาย ท่ามกลางบอลลูนหลากสี
    ล่องลอยเหนือคัปปาโดเกีย ชมปล่องไฟ โบสถ์หิน บ้านถ้ำ

    📍 ขึ้นบอลลูนชมวิวทิวทัศน์อันงดงาม
    ของคัปปาโดเกียแบบ 360 องศา

    📍 ชมพระอาทิตย์ขึ้น สุดโรแมนติก

    📍 ราคา: เริ่มต้น 300 - 350 USD / ท่าน
    หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 7,000-9,000 บาท

    ฤดูกาลที่ดีที่สุดในการท่องเที่ยว

    🍃 ฤดูใบไม้ผลิ : เดือนเมษายน-พฤษภาคม
    🍂 ฤดูใบไม้ร่วง : เดือนตุลาคม - พฤศจิกายน
    ❄ ฤดูหนาว : เดือนธันวาคม - มีนาคม
    คัปปาโดเกีย ดินแดนบอลลูน มรดกโลกแห่งตุรกี คัปปาโดเกีย (Cappadocia) ตั้งอยู่บนที่ราบสูงอนาโตเลีย ประเทศตุรกี สัมผัสดินแดนเทพนิยาย ท่ามกลางบอลลูนหลากสี ล่องลอยเหนือคัปปาโดเกีย ชมปล่องไฟ โบสถ์หิน บ้านถ้ำ 📍 ขึ้นบอลลูนชมวิวทิวทัศน์อันงดงาม ของคัปปาโดเกียแบบ 360 องศา 📍 ชมพระอาทิตย์ขึ้น สุดโรแมนติก 📍 ราคา: เริ่มต้น 300 - 350 USD / ท่าน หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 7,000-9,000 บาท ฤดูกาลที่ดีที่สุดในการท่องเที่ยว 🍃 ฤดูใบไม้ผลิ : เดือนเมษายน-พฤษภาคม 🍂 ฤดูใบไม้ร่วง : เดือนตุลาคม - พฤศจิกายน ❄ ฤดูหนาว : เดือนธันวาคม - มีนาคม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 4 0 รีวิว
  • ร่างกายของคุณ เป็นที่อยู่ถาวร แห่งเดียวเท่านั้น ที่คุณจะอยู่อาศัย และ ร่างกายของคุณ คือ ทรัพย์สิน และ/หรือ หนี้สิน ซึ่งจะไม่มีใคร มาร่วมแชร์ได้เลย

    Who is your life partner ?
    คุณเคยตั้งคำถามกับตัวเองหรือไม่ ... ว่า ...
    ใครคือคู่ชีวิตของคุณ ?

    https://www.misc.today/2024/05/Who-is-your-life-partner.html
    ร่างกายของคุณ เป็นที่อยู่ถาวร แห่งเดียวเท่านั้น ที่คุณจะอยู่อาศัย และ ร่างกายของคุณ คือ ทรัพย์สิน และ/หรือ หนี้สิน ซึ่งจะไม่มีใคร มาร่วมแชร์ได้เลย Who is your life partner ? คุณเคยตั้งคำถามกับตัวเองหรือไม่ ... ว่า ... ใครคือคู่ชีวิตของคุณ ? https://www.misc.today/2024/05/Who-is-your-life-partner.html
    WWW.MISC.TODAY
    คู่ชีวิตของคุณ ที่แท้จริง ก็คือ ร่างกายของคุณ นั่นเอง ?!
    ร่างกายของคุณเป็นที่อยู่ถาวร แห่งเดียวเท่านั้นที่คุณจะอยู่อาศัย และร่างกายของคุณ คือ ทรัพย์สิน หนี้สิน ซึ่งจะไม่มีใคร มาร่วมแชร์ได้เลย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## สุขภาพ กับ ระเบียบโลกใหม่ The Great Reset ##
    ..
    ..
    โดยที่มนุษย์โลกจะไม่ได้ครอบครองอะไรเลย แต่ จะมีความสุข Own nothing and be happy.
    .
    ทุกประเทศ คนทั้งโลก ถือว่าเป็นสิ่งของ ที่ต้องทำตามคำสั่งทุกประการ
    .
    World Economic Forum (WEF) , Deep State , BlackRock , State Street , Vanguard ซึ่งก่อตั้งโดยกลุ่ม Elite อภิสิทธิ์ชน ผู้ดี มหาเศรษฐี และ มีเครือข่ายใน บริษัทยาวัคซีนยักใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็น Pfizer , Moderna , GSK , Sanofi และ อื่นๆ
    .
    และ ในการประชุมครั้งที่ 54 ที่ดาวอส โดยมีหนังสือของการประชุม ได้แจ้งรายชื่อของบริษัทที่เป็น "พาร์ทเนอร์" อย่างเป็นทางการ ของ World Economic Forum (WEF) ทั้งโลก (สามารถสืบค้นชื่อเหล่านี้ และ เป้าหมาย รายละเอียด ของ World Economic Forum (WEF) ได้ในหนังสือ) ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับยาเวชภัณฑ์เครื่องมือแพทย์เท่านั้น แต่ครอบคลุมความมั่นคงทางเศรษฐกิจสังคมและการศึกษา (รวมทั้งบริษัทค้าอาวุธสงครามด้วย)
    ...
    ...
    "ระเบียบโลกใหม่ The Great Reset" โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ในงาน "ความจริงมีหนึ่งเดียว ครั้งที่ 4"
    ## สุขภาพ กับ ระเบียบโลกใหม่ The Great Reset ## .. .. โดยที่มนุษย์โลกจะไม่ได้ครอบครองอะไรเลย แต่ จะมีความสุข Own nothing and be happy. . ทุกประเทศ คนทั้งโลก ถือว่าเป็นสิ่งของ ที่ต้องทำตามคำสั่งทุกประการ . World Economic Forum (WEF) , Deep State , BlackRock , State Street , Vanguard ซึ่งก่อตั้งโดยกลุ่ม Elite อภิสิทธิ์ชน ผู้ดี มหาเศรษฐี และ มีเครือข่ายใน บริษัทยาวัคซีนยักใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็น Pfizer , Moderna , GSK , Sanofi และ อื่นๆ . และ ในการประชุมครั้งที่ 54 ที่ดาวอส โดยมีหนังสือของการประชุม ได้แจ้งรายชื่อของบริษัทที่เป็น "พาร์ทเนอร์" อย่างเป็นทางการ ของ World Economic Forum (WEF) ทั้งโลก (สามารถสืบค้นชื่อเหล่านี้ และ เป้าหมาย รายละเอียด ของ World Economic Forum (WEF) ได้ในหนังสือ) ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับยาเวชภัณฑ์เครื่องมือแพทย์เท่านั้น แต่ครอบคลุมความมั่นคงทางเศรษฐกิจสังคมและการศึกษา (รวมทั้งบริษัทค้าอาวุธสงครามด้วย) ... ... "ระเบียบโลกใหม่ The Great Reset" โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ในงาน "ความจริงมีหนึ่งเดียว ครั้งที่ 4"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • #สิระปูดลุงป้อมต่อสายหาคนช่วยสามารถ
    เมื่อวานนี้ พบคลิปในโซเชียล
    สิระ เจนจาคะ อดีตองครักษ์พิทักษ์ลุงป้อม
    ได้เปิดเผยว่า ขณะที่ตนเองนั่งรับประทานอาหาร
    กับผู้ใหญ่คนหนึ่ง ลุงป้อม โดยใช้ชื่อเรียกว่า คนบ้านป่า
    ติดต่อผู้ใหญ่คนดังกล่าว เพื่อขอให้หาทางช่วยสามารถ
    หลังโดนรวบเมื่อวานนี้ โดยผู้ดำเนินรายการสาวได้ถามว่า
    เพราะเหตุใด ที่ลุงบ้านป่า จึงต้องช่วยนายสามารถ
    นายสิระจึงชี้แจงว่า นายสามารถสร้างความบาดหมาง
    ให้กับคนในพรรค พลปชร หลายคน
    แต่ที่ลุงบ้านป่าต้องช่วย เพราะสามารถเคยลั่นวาจาไว้ว่า
    ถ้าตนโดน จะไม่ยอมพังคนเดียว จะพาลุงไปด้วย
    ซึ่งทางเพจคิงส์โพธิ์แดง ไม่สามารถยืนยันได้ว่า
    ข้อมูลดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่
    แต่เป็นการนำเสนอข้อมูลจากคำพูดของนายสิระ
    ที่ปรากฏในโซเชียลเท่านั้น
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    #สิระปูดลุงป้อมต่อสายหาคนช่วยสามารถ เมื่อวานนี้ พบคลิปในโซเชียล สิระ เจนจาคะ อดีตองครักษ์พิทักษ์ลุงป้อม ได้เปิดเผยว่า ขณะที่ตนเองนั่งรับประทานอาหาร กับผู้ใหญ่คนหนึ่ง ลุงป้อม โดยใช้ชื่อเรียกว่า คนบ้านป่า ติดต่อผู้ใหญ่คนดังกล่าว เพื่อขอให้หาทางช่วยสามารถ หลังโดนรวบเมื่อวานนี้ โดยผู้ดำเนินรายการสาวได้ถามว่า เพราะเหตุใด ที่ลุงบ้านป่า จึงต้องช่วยนายสามารถ นายสิระจึงชี้แจงว่า นายสามารถสร้างความบาดหมาง ให้กับคนในพรรค พลปชร หลายคน แต่ที่ลุงบ้านป่าต้องช่วย เพราะสามารถเคยลั่นวาจาไว้ว่า ถ้าตนโดน จะไม่ยอมพังคนเดียว จะพาลุงไปด้วย ซึ่งทางเพจคิงส์โพธิ์แดง ไม่สามารถยืนยันได้ว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ แต่เป็นการนำเสนอข้อมูลจากคำพูดของนายสิระ ที่ปรากฏในโซเชียลเท่านั้น #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 9 0 รีวิว
  • ข่าวร้ายของผู้ใช้งานในองค์กร Microsoft ได้เปลี่ยนการตั้งค่าให้การเก็บข้อมูลจาก Word และ Excel เพื่อฝึก AI อัตโนมัติ Microsoft จะสามารถใช้เนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น เช่น บทความ นวนิยาย หรือผลงานอื่น ๆ เพื่อฝึก AI โดยไม่ได้รับความยินยอมอย่างชัดเจน โดยการปิดฟีเจอร์ "Optional Connected Experiences" บน Windows PC ต้องทำตามขั้นตอนดังนี้:
    1) เปิดโปรแกรม Word หรือ Excel
    2)ไปที่เมนู File
    3)เลือก Options
    4)คลิกที่ Trust Center
    5)เลือก Trust Center Settings
    6)คลิกที่ Privacy Options
    7)ไปที่ Privacy Settings
    8) ยกเลิกการเลือกกล่อง Optional Connected Experiences

    เฮ้อ... Microsoft จะโดน EU ฟ้องแน่นอน และผลคือต้องปิด Feature นี้เป็นค่าอัตโนมัติในภูมิภาคยุโรปเท่านั้น ฟันธง!!

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-word-and-excel-ai-data-scraping-slyly-switched-to-opt-in-by-default-the-opt-out-toggle-is-not-that-easy-to-find
    ข่าวร้ายของผู้ใช้งานในองค์กร Microsoft ได้เปลี่ยนการตั้งค่าให้การเก็บข้อมูลจาก Word และ Excel เพื่อฝึก AI อัตโนมัติ Microsoft จะสามารถใช้เนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น เช่น บทความ นวนิยาย หรือผลงานอื่น ๆ เพื่อฝึก AI โดยไม่ได้รับความยินยอมอย่างชัดเจน โดยการปิดฟีเจอร์ "Optional Connected Experiences" บน Windows PC ต้องทำตามขั้นตอนดังนี้: 1) เปิดโปรแกรม Word หรือ Excel 2)ไปที่เมนู File 3)เลือก Options 4)คลิกที่ Trust Center 5)เลือก Trust Center Settings 6)คลิกที่ Privacy Options 7)ไปที่ Privacy Settings 8) ยกเลิกการเลือกกล่อง Optional Connected Experiences เฮ้อ... Microsoft จะโดน EU ฟ้องแน่นอน และผลคือต้องปิด Feature นี้เป็นค่าอัตโนมัติในภูมิภาคยุโรปเท่านั้น ฟันธง!! https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-word-and-excel-ai-data-scraping-slyly-switched-to-opt-in-by-default-the-opt-out-toggle-is-not-that-easy-to-find
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • "การอภัย: กุญแจสู่การปลดปล่อยและการเติบโต"---คู่เวรและการผูกพันในจิตใจในชีวิตของเราบางครั้ง เราอาจพบกับคนที่ทำให้เราเจ็บปวดมากเสียจนรู้สึกว่าความสัมพันธ์นั้นเป็น "คู่เวร" ซึ่งเป็นคำที่ใช้สำหรับการผูกพันระหว่างบุคคลที่ก่อให้เกิดความทุกข์อย่างไม่หยุดยั้ง บ่อยครั้งเมื่อเราถูกทำร้ายหรือถูกเอารัดเอาเปรียบจากบุคคลเหล่านี้ เราอาจเกิดความคิดในใจว่า "ขออย่าได้เจอกันอีกเลย" ด้วยความรู้สึกเกลียดชังและความอยากหลีกหนีจากสถานการณ์นั้น แต่คำถามคือ หากเราไม่สามารถหาทางหลีกเลี่ยงบุคคลเหล่านั้นได้ เราจะทำอย่างไร?---กรรมและการสร้างเส้นทางใหม่การพบเจอกับคู่เวรในชีวิต ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากกรรมที่เราเคยทำในอดีต หากเราไม่เคยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเอง เราก็จะตกอยู่ในวงจรเดิม พบเจอแต่คนแบบเดิม และสถานการณ์ที่ทำให้เราทุกข์ซ้ำไปซ้ำมา แต่ถ้าหากเราเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง โดยการตั้งใจทำสิ่งดีและหลีกเลี่ยงการปฏิบัติในลักษณะที่เคยทำมา เราก็สามารถหลุดพ้นจากวงจรนี้และสร้างชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยความสงบและความสุขได้---การอภัย: ปลดปล่อยความเครียดจากจิตใจคำว่า "อภัยไม่ได้" เป็นคำที่เราใช้ยึดมั่นในใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว "การอภัย" เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ทุกเรื่องในชีวิต หากเราไม่ยึดติดกับความแค้นหรือความเกลียดชัง การปล่อยให้ตัวเองได้อภัยให้กับผู้อื่นจะช่วยปลดปล่อยใจจากพันธนาการที่ยึดมั่นมาเนิ่นนานหากเราเลิกสนใจในสิ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง หรือหยุดรับฟังคำพูดที่กระตุ้นให้เราเจ็บใจ จิตใจเราจะค่อยๆ กลับสู่สภาวะที่เป็นธรรมชาติ ความสงบและความสุขจะกลับมาสู่ชีวิตเราอีกครั้ง เหมือนกับที่จิตใจจะมุ่งไปสู่ความเจริญและความสว่างสูงสุด หากเราหยุดยึดติดกับความแค้นและเริ่มให้ความสำคัญกับการอภัย---การอภัยในชีวิตจริง: หลวงปู่ขาวตัวอย่างที่ชัดเจนจากประสบการณ์ของหลวงปู่ขาวที่เคยมีความคิดในการฆ่าคน แต่ท่านกลับพลิกเปลี่ยนชีวิตโดยการอภัยในขณะนั้น หลวงปู่ขาวตัดสินใจวางมีดและดาบ ท่านไม่ได้ปล่อยให้ความแค้นครอบงำใจจนทำให้ชีวิตตกต่ำ แต่กลับเลือกที่จะให้ความสงบและการอภัยเป็นทางเลือกของการเติบโตในชีวิตหากหลวงปู่ขาวเลือกที่จะไม่อภัยในขณะนั้น ท่านอาจต้องใช้ชีวิตในคุกและความทุกข์อย่างไม่สิ้นสุด แต่เพราะท่านเลือกที่จะอภัยและปล่อยวาง ความทุกข์จึงได้หมดสิ้นไป และท่านสามารถกลายเป็นพระอรหันต์ที่มีจิตใจเบิกบานและเป็นอิสระจากความทุกข์---บทสรุป: การอภัยเป็นพลังที่มีอำนาจการอภัยไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเลิกยึดติดกับความแค้นและความทุกข์ที่เกิดจากผู้อื่น แต่ยังเป็นวิธีที่ช่วยให้เราปลดปล่อยตนเองจากภาวะทางจิตใจที่จำกัด โดยการอภัย เราจะได้มอบโอกาสให้ตัวเองเติบโตและพบกับความสุขในชีวิต เมื่อเราหยุดคิดถึงสิ่งที่เคยทำให้เจ็บปวด แล้วหันมองไปข้างหน้าอย่างมีสติและความสงบ ความเจริญจะตามมาอย่างเป็นธรรมชาติ"การอภัย คือการปล่อยให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการของความทุกข์และได้เติบโตไปสู่ความสงบและความสุขที่แท้จริง"
    "การอภัย: กุญแจสู่การปลดปล่อยและการเติบโต"---คู่เวรและการผูกพันในจิตใจในชีวิตของเราบางครั้ง เราอาจพบกับคนที่ทำให้เราเจ็บปวดมากเสียจนรู้สึกว่าความสัมพันธ์นั้นเป็น "คู่เวร" ซึ่งเป็นคำที่ใช้สำหรับการผูกพันระหว่างบุคคลที่ก่อให้เกิดความทุกข์อย่างไม่หยุดยั้ง บ่อยครั้งเมื่อเราถูกทำร้ายหรือถูกเอารัดเอาเปรียบจากบุคคลเหล่านี้ เราอาจเกิดความคิดในใจว่า "ขออย่าได้เจอกันอีกเลย" ด้วยความรู้สึกเกลียดชังและความอยากหลีกหนีจากสถานการณ์นั้น แต่คำถามคือ หากเราไม่สามารถหาทางหลีกเลี่ยงบุคคลเหล่านั้นได้ เราจะทำอย่างไร?---กรรมและการสร้างเส้นทางใหม่การพบเจอกับคู่เวรในชีวิต ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากกรรมที่เราเคยทำในอดีต หากเราไม่เคยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเอง เราก็จะตกอยู่ในวงจรเดิม พบเจอแต่คนแบบเดิม และสถานการณ์ที่ทำให้เราทุกข์ซ้ำไปซ้ำมา แต่ถ้าหากเราเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง โดยการตั้งใจทำสิ่งดีและหลีกเลี่ยงการปฏิบัติในลักษณะที่เคยทำมา เราก็สามารถหลุดพ้นจากวงจรนี้และสร้างชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยความสงบและความสุขได้---การอภัย: ปลดปล่อยความเครียดจากจิตใจคำว่า "อภัยไม่ได้" เป็นคำที่เราใช้ยึดมั่นในใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว "การอภัย" เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ทุกเรื่องในชีวิต หากเราไม่ยึดติดกับความแค้นหรือความเกลียดชัง การปล่อยให้ตัวเองได้อภัยให้กับผู้อื่นจะช่วยปลดปล่อยใจจากพันธนาการที่ยึดมั่นมาเนิ่นนานหากเราเลิกสนใจในสิ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง หรือหยุดรับฟังคำพูดที่กระตุ้นให้เราเจ็บใจ จิตใจเราจะค่อยๆ กลับสู่สภาวะที่เป็นธรรมชาติ ความสงบและความสุขจะกลับมาสู่ชีวิตเราอีกครั้ง เหมือนกับที่จิตใจจะมุ่งไปสู่ความเจริญและความสว่างสูงสุด หากเราหยุดยึดติดกับความแค้นและเริ่มให้ความสำคัญกับการอภัย---การอภัยในชีวิตจริง: หลวงปู่ขาวตัวอย่างที่ชัดเจนจากประสบการณ์ของหลวงปู่ขาวที่เคยมีความคิดในการฆ่าคน แต่ท่านกลับพลิกเปลี่ยนชีวิตโดยการอภัยในขณะนั้น หลวงปู่ขาวตัดสินใจวางมีดและดาบ ท่านไม่ได้ปล่อยให้ความแค้นครอบงำใจจนทำให้ชีวิตตกต่ำ แต่กลับเลือกที่จะให้ความสงบและการอภัยเป็นทางเลือกของการเติบโตในชีวิตหากหลวงปู่ขาวเลือกที่จะไม่อภัยในขณะนั้น ท่านอาจต้องใช้ชีวิตในคุกและความทุกข์อย่างไม่สิ้นสุด แต่เพราะท่านเลือกที่จะอภัยและปล่อยวาง ความทุกข์จึงได้หมดสิ้นไป และท่านสามารถกลายเป็นพระอรหันต์ที่มีจิตใจเบิกบานและเป็นอิสระจากความทุกข์---บทสรุป: การอภัยเป็นพลังที่มีอำนาจการอภัยไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเลิกยึดติดกับความแค้นและความทุกข์ที่เกิดจากผู้อื่น แต่ยังเป็นวิธีที่ช่วยให้เราปลดปล่อยตนเองจากภาวะทางจิตใจที่จำกัด โดยการอภัย เราจะได้มอบโอกาสให้ตัวเองเติบโตและพบกับความสุขในชีวิต เมื่อเราหยุดคิดถึงสิ่งที่เคยทำให้เจ็บปวด แล้วหันมองไปข้างหน้าอย่างมีสติและความสงบ ความเจริญจะตามมาอย่างเป็นธรรมชาติ"การอภัย คือการปล่อยให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการของความทุกข์และได้เติบโตไปสู่ความสงบและความสุขที่แท้จริง"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลวงพ่อใหญ่ ชื่อเดิมของพระพุทธชินราชถ้าพูดถึงจังหวัดพิษณุโลกแน่นอนที่สุดเราจะนึกถึงพระพุทธชินราชพระเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองประดิษฐานอยู่ที่ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหารแต่เดิมมีชื่อว่าวัดใหญ่ ในอดีตชาวบ้านจึงเรียกพระพุทธชินราชว่า "หลวงพ่อใหญ่"พระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย อายุกว่า 663 ปี เป็นงานฝีมือช่างจากเมืองแห่งศรีสัชนาลัย และเมืองหริภุญชัย หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตักกว้าง 5 ศอก 1 คืบ 5 นิ้ว และสูง 7 ศอก สร้างขึ้นมาพร้อมๆการสร้างเมือง และสร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ใน พ.ศ. 1900 จากพระราชดำริของพระมหากษัตริย์ผู้ครองกรุงสุโขทัยในสมัยนั้นในอดีตพระพุทธชินราชไม่ได้ลงรักปิดทอง ในปี พ.ศ.2146 สมเด็จพระเอกาทศรถคราวเสด็จพระราชดำเนินมา นมัสการ พระพุทธชินราชจึงได้ และมีการปิดทองครั้งแรกบรรพบุรุษไทยได้สร้างศิลปะอันทรงคุณค่าสืบทอดยาวนานมาให้ลูกหลานได้กราบสักการะบูชา ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจของชาวไทย ที่ควรสืบทอดและอนุรักษ์ให้อยู่คู่ประเทศไทยตราบนานเท่านานช้างเรื่องเยอะ!#ช้างเรื่องเยอะ #ช้างชักภาพ #พระพุทธชินราช #พิษณุโลก #วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร #เที่ยวไทย #เทรนวันนี้
    หลวงพ่อใหญ่ ชื่อเดิมของพระพุทธชินราชถ้าพูดถึงจังหวัดพิษณุโลกแน่นอนที่สุดเราจะนึกถึงพระพุทธชินราชพระเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองประดิษฐานอยู่ที่ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหารแต่เดิมมีชื่อว่าวัดใหญ่ ในอดีตชาวบ้านจึงเรียกพระพุทธชินราชว่า "หลวงพ่อใหญ่"พระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย อายุกว่า 663 ปี เป็นงานฝีมือช่างจากเมืองแห่งศรีสัชนาลัย และเมืองหริภุญชัย หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตักกว้าง 5 ศอก 1 คืบ 5 นิ้ว และสูง 7 ศอก สร้างขึ้นมาพร้อมๆการสร้างเมือง และสร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ใน พ.ศ. 1900 จากพระราชดำริของพระมหากษัตริย์ผู้ครองกรุงสุโขทัยในสมัยนั้นในอดีตพระพุทธชินราชไม่ได้ลงรักปิดทอง ในปี พ.ศ.2146 สมเด็จพระเอกาทศรถคราวเสด็จพระราชดำเนินมา นมัสการ พระพุทธชินราชจึงได้ และมีการปิดทองครั้งแรกบรรพบุรุษไทยได้สร้างศิลปะอันทรงคุณค่าสืบทอดยาวนานมาให้ลูกหลานได้กราบสักการะบูชา ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจของชาวไทย ที่ควรสืบทอดและอนุรักษ์ให้อยู่คู่ประเทศไทยตราบนานเท่านานช้างเรื่องเยอะ!#ช้างเรื่องเยอะ #ช้างชักภาพ #พระพุทธชินราช #พิษณุโลก #วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร #เที่ยวไทย #เทรนวันนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • 25 พ.ย.2567 - นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง ปัญหา “ความเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง”ของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง มีเนื้อหาดังนี้

๑.ข้อเท็จจริง นายกิตติรัตน์ ถือได้ว่าเป็นมือไม้ทำงานทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยโดยแท้ พ้นจาก กลต.แล้ว ก็รับงานเป็นรัฐมนตรีทั้งคลังและพาณิชย์ ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แม้ช่วงพรรคเพื่อไทยต้องหยุดงานการเมืองสมัย คสช. นายกิตติรัตน์ก็ไปรับเป็นที่ปรึกษา ให้ นายกฯอบจ.เชียงใหม่ เมื่อเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาล นายกฯเศรษฐา ก็ตั้งให้เป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี และพ้นตำแหน่งตามนายกฯเศรษฐาไปในที่สุด๒. พรรคเพื่อไทยกับธนาคารกลาง แนวทางเศรษฐกิจ “ทักษิโณมิคส์” ของทักษิณเน้นการอัดฉีดเงินเข้าระบบมาโดยตลอด ทำให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดกับผู้บริหารธนาคารกลางเป็นระยะเรื่อยมา ทั้งนโยบายดอกเบี้ย และการจัดการเงินเฟ้อ จนมาถึงปัจจุบันที่เศรษฐกิจไทยพบปัญหาสภาพคล่องอย่างรุนแรงนี้ นโยบายแจกเงินดิจิตอลก็บานปลายเป็นปัญหาขัดแย้งระหว่างฐานคิดทางการเมือง กับฐานคิดในเรื่องความมั่นคงทางการเงินของชาติอย่างชัดเจนยิ่ง มีรัฐมนตรีของพรรคออกมาตำหนิติเตียนธนาคารกลางอย่างเปิดเผยกร้าวร้าวเป็นระยะ ดังตัวนายกิตติรัตน์เองก็เคยประกาศเมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีคลังว่า เฝ้าคิดจะปลดผู้ว่าธนาคารกลางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเลยทีเดียว๓. พฤติการณ์ “ยึดครองส่วนราชการ” ของ “ระบอบทักษิณ” ระบอบนี้ไม่เคยยอมรับและเคารพในอิสระของราชการประจำที่ต้องยึดมั่นในระเบียบแบบแผนและเหตุผลเป็นหลัก เหตุเพราะพรรคชินวัตรนี้เป็น “เผด็จการพรรคการเมืองนายทุน” มุ่งเอาเงินมาสร้างอำนาจและเอาอำนาจมาสร้างเงินตลอดเวลา ครองอำนาจเมื่อใดก็จะหาทางยึดครองส่วนราชการมาเป็นเบ๊ทุกครั้งไป ทั้งกระทรวงทบวงกรม รัฐวิสาหกิจ ธนาคารของรัฐ ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร จนปัจจุบันก็ได้สร้างคดีความให้เจ้าหน้าที่กับลูกมือของพรรคต้องโทษติดคุกมากมายหลายคน ซึ่งตัวทักษิณเอง ก็ได้ยอมรับความผิดนานาของตนในคำขอพระราชทานอภัยโทษมาแล้วเช่นกัน ด้วยพฤติการณ์ยึดครองอันเป็นนิสัยฝังลึกเช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้การส่งนายกิตติรัตน์ผ่านกระบวนการสรรหาจนสำเร็จ ผ่านเป็นรายชื่อเสนอต่อ ครม. เพื่อพิจารณาเห็นชอบให้เป็นประธานคณะกรรมการธนาคารกลางในครั้งนี้ ต้องถูกมองว่า เป็นก้าวแรกของการแทรกซึมเข้ายึดครองการบริหารโดยเด็ดขาดต่อไป ทั้งในการแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคาร และคณะกรรมการสำคัญสามคณะ ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ แล้วกลายเป็นเหตุให้เกิดกระแสคัดค้านต่อต้านขึ้นทั่วไป จนทุกวันนี้ในที่สุด๔. ความผิดพลาดในการแต่งตั้งนายกิตติรัตน์ เป็นประธานธนาคารกลาง ระยะห่างจากการเมืองของธนาคารกลางเป็นหลักการสากลที่ปฏิเสธไม่ได้ และกฎหมายธนาคารชาติก็พยายามวางหลักประกันไว้หลายมาตรการด้วยกัน โดยเฉพาะในการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญทุกตำแหน่งนั้น ก็กำหนดไว้ว่า จะต้องไม่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากเคยเป็น ก็ต้องพ้นตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่า ๑ ปี ซึ่งก็ทำให้กรณีของนายกิตติรัตน์ เกิดปัญหาเป็นข้อพิจารณาสองประการดังนี้๔.๑) ความขัดแย้งต่อกฎหมาย มีข้อพิจารณาว่า การที่นายกิตติรัตน์ พ้นตำแหน่ง “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ในสมัยนายกฯเศรษฐามาไม่ถึง ๑ ปี นั้น ตำแหน่งนี้เป็น “ตำแหน่งทางการเมือง”ที่ต้องห้ามตาม มาตรา ๑๘ ของ พรบ.ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือไม่ ต่อปัญหานี้มีแนววินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ ๔๘๑/๒๕๓๕ เคยวางไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วว่า คำนี้ครอบคลุมถึง “ผู้ช่วยรัฐมนตรี”ด้วย ทั้งๆที่ตำแหน่งนี้มิใช่ตำแหน่งตามกฎหมายฉบับใด สำหรับเหตุผลนั้นกฤษฎีกาก็อธิบายว่า เป็นคำที่กว้างกว่า “ข้าราชการการเมือง” หมายมุ่งให้ครอบคลุมบุคลากรทั้งหมดที่มีหน้าที่หรือมีส่วนร่วมในการอำนวยการปกครองประเทศ ดังนั้นหากยึดถือตามความหมายอย่างกว้างนี้ ตำแหน่ง “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ที่นายกฯใช้อำนาจตามกฎหมายแต่งตั้งขึ้น แล้วกำหนดให้ทุกส่วนราชการให้ความร่วมมือตามที่ท่านสั่งการนั้น จึงอยู่ในวิสัยที่จะตีความให้ถือเป็น “ตำแหน่งทางการเมือง”ได้ ซึ่งหาก ครม.นี้ ด่วนมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งและนำความขึ้นกราบบังคมทูลแล้ว กรณีก็อาจเป็นปัญหาโต้แย้งขึ้นมาได้ในภายหลัง หนทางที่รัดกุมที่สุดจึงควรที่จะมีมติให้นำปัญหานี้ปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อน เพื่อที่หากภายหลังมีผู้นำคดีขึ้นสู่ศาลปกครองแล้ว รัฐบาลก็จะมีความเห็นทางกฎหมายที่รัดกุมอธิบายได้เสมอ๔.๒) การใช้ดุลพินิจโดยผิดพลาด ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่นายกฯรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานั้น อาจเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีอิสระทางความคิดเคารพตนเอง หรืออาจเป็นเพียงมือไม้ที่คอยรับใช้คิดอ่านให้ตามที่พรรคการเมืองต้องการเท่านั้นก็ได้ ดังนั้นแม้กรรมการสรรหาจะเห็นว่าตำแหน่งนี้ไม่ใช่ “ตำแหน่งทางการเมือง”ก็ตาม กรรมการก็ยังจำเป็นต้องพิจารณาถึงระยะห่างจากพรรคการเมือง ของนายกิตติรัตน์อยู่ดี ซึ่งหากไม่ผ่านเกณฑ์ในข้อนี้แล้ว ก็ไม่ควรที่จะสนับสนุนเลยแม้แต่น้อยด้วยเหตุนี้หากคณะกรรมการสรรหาละทิ้งไม่พิจารณาประเด็นนี้ เพราะเห็นว่านายกิตติรัตน์ ผ่านด่านทางกฎหมายแล้ว ตนจะสรรหาอย่างไรก็ได้ไม่ต้องพิจารณาถึงคุณสมบัติความใกล้ชิดพรรคการเมืองอีกต่อไป จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ผิดพลาดยิ่ง และจำเป็นที่ ครม.พึงจะต้องเล็งเห็นถึงปัญหาความไม่เหมาะสมในข้อนี้ให้ถี่ถ้วนด้วยเช่นกัน
    25 พ.ย.2567 - นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง ปัญหา “ความเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง”ของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง มีเนื้อหาดังนี้

๑.ข้อเท็จจริง นายกิตติรัตน์ ถือได้ว่าเป็นมือไม้ทำงานทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยโดยแท้ พ้นจาก กลต.แล้ว ก็รับงานเป็นรัฐมนตรีทั้งคลังและพาณิชย์ ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แม้ช่วงพรรคเพื่อไทยต้องหยุดงานการเมืองสมัย คสช. นายกิตติรัตน์ก็ไปรับเป็นที่ปรึกษา ให้ นายกฯอบจ.เชียงใหม่ เมื่อเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาล นายกฯเศรษฐา ก็ตั้งให้เป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี และพ้นตำแหน่งตามนายกฯเศรษฐาไปในที่สุด๒. พรรคเพื่อไทยกับธนาคารกลาง แนวทางเศรษฐกิจ “ทักษิโณมิคส์” ของทักษิณเน้นการอัดฉีดเงินเข้าระบบมาโดยตลอด ทำให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดกับผู้บริหารธนาคารกลางเป็นระยะเรื่อยมา ทั้งนโยบายดอกเบี้ย และการจัดการเงินเฟ้อ จนมาถึงปัจจุบันที่เศรษฐกิจไทยพบปัญหาสภาพคล่องอย่างรุนแรงนี้ นโยบายแจกเงินดิจิตอลก็บานปลายเป็นปัญหาขัดแย้งระหว่างฐานคิดทางการเมือง กับฐานคิดในเรื่องความมั่นคงทางการเงินของชาติอย่างชัดเจนยิ่ง มีรัฐมนตรีของพรรคออกมาตำหนิติเตียนธนาคารกลางอย่างเปิดเผยกร้าวร้าวเป็นระยะ ดังตัวนายกิตติรัตน์เองก็เคยประกาศเมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีคลังว่า เฝ้าคิดจะปลดผู้ว่าธนาคารกลางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเลยทีเดียว๓. พฤติการณ์ “ยึดครองส่วนราชการ” ของ “ระบอบทักษิณ” ระบอบนี้ไม่เคยยอมรับและเคารพในอิสระของราชการประจำที่ต้องยึดมั่นในระเบียบแบบแผนและเหตุผลเป็นหลัก เหตุเพราะพรรคชินวัตรนี้เป็น “เผด็จการพรรคการเมืองนายทุน” มุ่งเอาเงินมาสร้างอำนาจและเอาอำนาจมาสร้างเงินตลอดเวลา ครองอำนาจเมื่อใดก็จะหาทางยึดครองส่วนราชการมาเป็นเบ๊ทุกครั้งไป ทั้งกระทรวงทบวงกรม รัฐวิสาหกิจ ธนาคารของรัฐ ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร จนปัจจุบันก็ได้สร้างคดีความให้เจ้าหน้าที่กับลูกมือของพรรคต้องโทษติดคุกมากมายหลายคน ซึ่งตัวทักษิณเอง ก็ได้ยอมรับความผิดนานาของตนในคำขอพระราชทานอภัยโทษมาแล้วเช่นกัน ด้วยพฤติการณ์ยึดครองอันเป็นนิสัยฝังลึกเช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้การส่งนายกิตติรัตน์ผ่านกระบวนการสรรหาจนสำเร็จ ผ่านเป็นรายชื่อเสนอต่อ ครม. เพื่อพิจารณาเห็นชอบให้เป็นประธานคณะกรรมการธนาคารกลางในครั้งนี้ ต้องถูกมองว่า เป็นก้าวแรกของการแทรกซึมเข้ายึดครองการบริหารโดยเด็ดขาดต่อไป ทั้งในการแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคาร และคณะกรรมการสำคัญสามคณะ ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ แล้วกลายเป็นเหตุให้เกิดกระแสคัดค้านต่อต้านขึ้นทั่วไป จนทุกวันนี้ในที่สุด๔. ความผิดพลาดในการแต่งตั้งนายกิตติรัตน์ เป็นประธานธนาคารกลาง ระยะห่างจากการเมืองของธนาคารกลางเป็นหลักการสากลที่ปฏิเสธไม่ได้ และกฎหมายธนาคารชาติก็พยายามวางหลักประกันไว้หลายมาตรการด้วยกัน โดยเฉพาะในการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญทุกตำแหน่งนั้น ก็กำหนดไว้ว่า จะต้องไม่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากเคยเป็น ก็ต้องพ้นตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่า ๑ ปี ซึ่งก็ทำให้กรณีของนายกิตติรัตน์ เกิดปัญหาเป็นข้อพิจารณาสองประการดังนี้๔.๑) ความขัดแย้งต่อกฎหมาย มีข้อพิจารณาว่า การที่นายกิตติรัตน์ พ้นตำแหน่ง “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ในสมัยนายกฯเศรษฐามาไม่ถึง ๑ ปี นั้น ตำแหน่งนี้เป็น “ตำแหน่งทางการเมือง”ที่ต้องห้ามตาม มาตรา ๑๘ ของ พรบ.ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือไม่ ต่อปัญหานี้มีแนววินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ ๔๘๑/๒๕๓๕ เคยวางไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วว่า คำนี้ครอบคลุมถึง “ผู้ช่วยรัฐมนตรี”ด้วย ทั้งๆที่ตำแหน่งนี้มิใช่ตำแหน่งตามกฎหมายฉบับใด สำหรับเหตุผลนั้นกฤษฎีกาก็อธิบายว่า เป็นคำที่กว้างกว่า “ข้าราชการการเมือง” หมายมุ่งให้ครอบคลุมบุคลากรทั้งหมดที่มีหน้าที่หรือมีส่วนร่วมในการอำนวยการปกครองประเทศ ดังนั้นหากยึดถือตามความหมายอย่างกว้างนี้ ตำแหน่ง “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ที่นายกฯใช้อำนาจตามกฎหมายแต่งตั้งขึ้น แล้วกำหนดให้ทุกส่วนราชการให้ความร่วมมือตามที่ท่านสั่งการนั้น จึงอยู่ในวิสัยที่จะตีความให้ถือเป็น “ตำแหน่งทางการเมือง”ได้ ซึ่งหาก ครม.นี้ ด่วนมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งและนำความขึ้นกราบบังคมทูลแล้ว กรณีก็อาจเป็นปัญหาโต้แย้งขึ้นมาได้ในภายหลัง หนทางที่รัดกุมที่สุดจึงควรที่จะมีมติให้นำปัญหานี้ปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อน เพื่อที่หากภายหลังมีผู้นำคดีขึ้นสู่ศาลปกครองแล้ว รัฐบาลก็จะมีความเห็นทางกฎหมายที่รัดกุมอธิบายได้เสมอ๔.๒) การใช้ดุลพินิจโดยผิดพลาด ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่นายกฯรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานั้น อาจเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีอิสระทางความคิดเคารพตนเอง หรืออาจเป็นเพียงมือไม้ที่คอยรับใช้คิดอ่านให้ตามที่พรรคการเมืองต้องการเท่านั้นก็ได้ ดังนั้นแม้กรรมการสรรหาจะเห็นว่าตำแหน่งนี้ไม่ใช่ “ตำแหน่งทางการเมือง”ก็ตาม กรรมการก็ยังจำเป็นต้องพิจารณาถึงระยะห่างจากพรรคการเมือง ของนายกิตติรัตน์อยู่ดี ซึ่งหากไม่ผ่านเกณฑ์ในข้อนี้แล้ว ก็ไม่ควรที่จะสนับสนุนเลยแม้แต่น้อยด้วยเหตุนี้หากคณะกรรมการสรรหาละทิ้งไม่พิจารณาประเด็นนี้ เพราะเห็นว่านายกิตติรัตน์ ผ่านด่านทางกฎหมายแล้ว ตนจะสรรหาอย่างไรก็ได้ไม่ต้องพิจารณาถึงคุณสมบัติความใกล้ชิดพรรคการเมืองอีกต่อไป จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ผิดพลาดยิ่ง และจำเป็นที่ ครม.พึงจะต้องเล็งเห็นถึงปัญหาความไม่เหมาะสมในข้อนี้ให้ถี่ถ้วนด้วยเช่นกัน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไมค์ วอลซ์ บุคคลซึ่งว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เลือกให้เป็นที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของเขา เผยยุทธศาสตร์ของคณะบริหารชุดที่กำลังจะเข้ามารับตำแหน่ง ในการจัดการกับการสู้รบขัดแย้งยูเครน ระบุทีมทรัมป์จะเริ่มต้นดำเนินการเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเจรจากัน ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับมอบงานในวันที่ 20 ม.ค.ปีหน้า
    .
    วอลซ์ ซึ่งปัจจุบันยังมีตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯจากรัฐฟลอริดา ให้สัมภาษณ์ โทรทัศน์ ฟ็อกซ์ นิวส์ เมื่อวันอาทิตย์ (24 พ.ย.) ว่า เรื่องที่มีลำดับความสำคัญสูงเรื่องหนึ่งคือการจัดให้มีการพูดจากันระหว่างรัสเซียกับยูเครน ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะนำทั้งสองฝ่ายเข้ามาร่วมกันเจรจาเพื่อทำข้อตกลงหยุดยิงหรือข้อตกลงสันติภาพ
    .
    “เราจำเป็นต้องหารือกันในเรื่องว่าใครจะเข้ามานั่งในโต๊ะเจรจานี้บ้าง มันจะเป็นการทำข้อตกลง (สันติภาพ) กัน หรือเป็นการตกลงหยุดยิงกัน จะใช้วิธีการยังไงในการทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าสู่โต๊ะเจรจา และจากนั้นก็คือขอบเขตของการทำความตกลงกันครั้งนี้” เขากล่าว
    .
    วอลซ์ยังย้ำถึงความสำคัญของการให้พวกพันธมิตรของอเมริกาในยุโรปเข้ามีส่วนในกระบวนการนี้ “พันธมิตรและหุ้นส่วนของเราทั้งหมดจำเป็นต้องมาแบกรับภารกิจนี้” เขาย้ำ และสำทับว่า การแก้ไขการสู้รบขัดแย้งครั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ
    .
    ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ย้ำให้สัญญาว่า จะทำให้การสู้รบขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนยุติลงโดยรวดเร็ว และแสดงความกังวลที่สถานการณ์ลุกลาม ทว่าไม่ได้ให้รายละเอียดแผนการที่เขาจะดำเนินการ
    .
    การแสดงความคิดเห็นของ วอลซ์ ครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่กำลังพุ่งสูงขึ้น หลังจากสหรัฐฯอนุมัติให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธยุทธวิธีพิสัยไกล อย่างระบบ อะแทคซิมส์ (ATACMS) โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนหมีขาว และมอสโกตอบโต้ด้วยการยิงระบบขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยปานกลางระบบใหม่ที่ใช้ชื่อว่า “โอเรซนิก” โจมตีใส่ยูเครนในสัปดาห์ที่แล้ว
    .
    วอลซ์ตั้งข้อสังเกตว่า การตัดสินใจเมื่อเร็วๆ นี้ของสหรัฐฯ ซึ่งกระทำโดยคณะบริหารประธานาธิบดีโจ ไบเดน นำไปสู่การสู้รบอย่างดุเดือดรุนแรงขึ้น พร้อมกับพูดถึง สถานการณ์แนวหน้ายูเครนเวลานี้ว่า พวกที่อยู่ที่นั่นเหมือนตกอยู่ใน “เครื่องบดเนื้ออย่างแท้จริง”
    .
    วอลซ์ เป็นนายทหารปฏิบัติการพิเศษหน่วย “กรีน แบเรต์” ของสหรัฐฯที่เกษียณจากกองทัพขณะมียศพันเอก ก่อนหันมาเล่นการเมือง และได้ชื่อว่ามีแนวทางต่างประเทศสายเหยี่ยว เขาแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์รัสเซียมาโดยตลอด ทว่าขณะเดียวกันก็คัดค้านการเพิ่มความช่วยเหลือให้ยูเครนเช่นเดียวกับทรัมป์
    .
    ว่าที่ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯผู้นี้ แสดงความมั่นใจว่า คณะบริหารของทรัมป์จะทำให้การสู้รบขัดแย้งในยูเครนยุติลงอย่างรวดเร็วและอย่างมีความรับผิดชอบ พร้อมกันนั้นก็สำทับว่า อเมริกาต้องฟื้นฟูยกระดับการป้องปรามและสันติภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้บานปลายขยายตัวในภายหลัง แทนที่จะเพียงแค่แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น
    .
    อย่างไรก็ดี ถึงแม้ทรัมป์แสดงความมุ่งมั่นที่จะยุติการสู้รบในยูเครน แต่ยังมีความเคลือบแคลงทั้งในอเมริกาและรัสเซีย ตัวอย่างเช่น วุฒิสมาชิกไมค์ ราวส์ สังกัดพรรครีพับลิกันจากรัฐเซาท์ดาโคตา ซึ่งออกมาตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะมีการเจรจาโดยตรงระหว่างมอสโกกับเคียฟ
    .
    ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ของยูเครน ก็คัดค้านตลอดมาต่อข้อเสนอให้ยูเครนยอมยกดินแดนให้รัสเซีย ถึงแม้เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว เขาได้ยอมรับกับฟ็อกซ์ นิวส์ว่า ยูเครนคงแพ้สงคราม ถ้าวอชิงตันยุติการสนับสนุน
    .
    นอกจากเรื่องยูเครนแล้ว วอลซ์ยังเปิดเผยในการพูดกับฟ็อกซ์ นิวส์คราวนี้ว่า เขาได้มีการหารือกับ เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของไบเดน และเตือนอริต่างชาติว่า อย่าคิดฉวยโอกาสระหว่างการถ่ายโอนอำนาจในสหรัฐฯ พร้อมย้ำว่า ทีมถ่ายโอนอำนาจของทรัมป์และของไบเดนขณะนี้มีการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด
    .
    วอลซ์ยังยกย่องความเข้มแข็งและความพยายามของอิสราเอลในการทำสงครามกับกลุ่มฮามาสที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในกาซาไปอย่างน้อยเกือบๆ 45,000 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และประกาศว่า ถึงเวลาแล้วที่จะร่างแผนการซึ่งไม่เพียงป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยวันที่ 7 ต.ค.ปีที่แล้วที่ฮามาสบุกเข้าไปโจมตีอิสราเอลและจุดชนวนสงครามในกาซา แต่ต้องนำเสถียรภาพมาสู่ตะวันออกกลางอย่างแท้จริง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000113496
    ..............
    Sondhi X
    ไมค์ วอลซ์ บุคคลซึ่งว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เลือกให้เป็นที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของเขา เผยยุทธศาสตร์ของคณะบริหารชุดที่กำลังจะเข้ามารับตำแหน่ง ในการจัดการกับการสู้รบขัดแย้งยูเครน ระบุทีมทรัมป์จะเริ่มต้นดำเนินการเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเจรจากัน ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับมอบงานในวันที่ 20 ม.ค.ปีหน้า . วอลซ์ ซึ่งปัจจุบันยังมีตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯจากรัฐฟลอริดา ให้สัมภาษณ์ โทรทัศน์ ฟ็อกซ์ นิวส์ เมื่อวันอาทิตย์ (24 พ.ย.) ว่า เรื่องที่มีลำดับความสำคัญสูงเรื่องหนึ่งคือการจัดให้มีการพูดจากันระหว่างรัสเซียกับยูเครน ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะนำทั้งสองฝ่ายเข้ามาร่วมกันเจรจาเพื่อทำข้อตกลงหยุดยิงหรือข้อตกลงสันติภาพ . “เราจำเป็นต้องหารือกันในเรื่องว่าใครจะเข้ามานั่งในโต๊ะเจรจานี้บ้าง มันจะเป็นการทำข้อตกลง (สันติภาพ) กัน หรือเป็นการตกลงหยุดยิงกัน จะใช้วิธีการยังไงในการทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าสู่โต๊ะเจรจา และจากนั้นก็คือขอบเขตของการทำความตกลงกันครั้งนี้” เขากล่าว . วอลซ์ยังย้ำถึงความสำคัญของการให้พวกพันธมิตรของอเมริกาในยุโรปเข้ามีส่วนในกระบวนการนี้ “พันธมิตรและหุ้นส่วนของเราทั้งหมดจำเป็นต้องมาแบกรับภารกิจนี้” เขาย้ำ และสำทับว่า การแก้ไขการสู้รบขัดแย้งครั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ . ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ย้ำให้สัญญาว่า จะทำให้การสู้รบขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนยุติลงโดยรวดเร็ว และแสดงความกังวลที่สถานการณ์ลุกลาม ทว่าไม่ได้ให้รายละเอียดแผนการที่เขาจะดำเนินการ . การแสดงความคิดเห็นของ วอลซ์ ครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่กำลังพุ่งสูงขึ้น หลังจากสหรัฐฯอนุมัติให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธยุทธวิธีพิสัยไกล อย่างระบบ อะแทคซิมส์ (ATACMS) โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนหมีขาว และมอสโกตอบโต้ด้วยการยิงระบบขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยปานกลางระบบใหม่ที่ใช้ชื่อว่า “โอเรซนิก” โจมตีใส่ยูเครนในสัปดาห์ที่แล้ว . วอลซ์ตั้งข้อสังเกตว่า การตัดสินใจเมื่อเร็วๆ นี้ของสหรัฐฯ ซึ่งกระทำโดยคณะบริหารประธานาธิบดีโจ ไบเดน นำไปสู่การสู้รบอย่างดุเดือดรุนแรงขึ้น พร้อมกับพูดถึง สถานการณ์แนวหน้ายูเครนเวลานี้ว่า พวกที่อยู่ที่นั่นเหมือนตกอยู่ใน “เครื่องบดเนื้ออย่างแท้จริง” . วอลซ์ เป็นนายทหารปฏิบัติการพิเศษหน่วย “กรีน แบเรต์” ของสหรัฐฯที่เกษียณจากกองทัพขณะมียศพันเอก ก่อนหันมาเล่นการเมือง และได้ชื่อว่ามีแนวทางต่างประเทศสายเหยี่ยว เขาแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์รัสเซียมาโดยตลอด ทว่าขณะเดียวกันก็คัดค้านการเพิ่มความช่วยเหลือให้ยูเครนเช่นเดียวกับทรัมป์ . ว่าที่ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯผู้นี้ แสดงความมั่นใจว่า คณะบริหารของทรัมป์จะทำให้การสู้รบขัดแย้งในยูเครนยุติลงอย่างรวดเร็วและอย่างมีความรับผิดชอบ พร้อมกันนั้นก็สำทับว่า อเมริกาต้องฟื้นฟูยกระดับการป้องปรามและสันติภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้บานปลายขยายตัวในภายหลัง แทนที่จะเพียงแค่แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น . อย่างไรก็ดี ถึงแม้ทรัมป์แสดงความมุ่งมั่นที่จะยุติการสู้รบในยูเครน แต่ยังมีความเคลือบแคลงทั้งในอเมริกาและรัสเซีย ตัวอย่างเช่น วุฒิสมาชิกไมค์ ราวส์ สังกัดพรรครีพับลิกันจากรัฐเซาท์ดาโคตา ซึ่งออกมาตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะมีการเจรจาโดยตรงระหว่างมอสโกกับเคียฟ . ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ของยูเครน ก็คัดค้านตลอดมาต่อข้อเสนอให้ยูเครนยอมยกดินแดนให้รัสเซีย ถึงแม้เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว เขาได้ยอมรับกับฟ็อกซ์ นิวส์ว่า ยูเครนคงแพ้สงคราม ถ้าวอชิงตันยุติการสนับสนุน . นอกจากเรื่องยูเครนแล้ว วอลซ์ยังเปิดเผยในการพูดกับฟ็อกซ์ นิวส์คราวนี้ว่า เขาได้มีการหารือกับ เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของไบเดน และเตือนอริต่างชาติว่า อย่าคิดฉวยโอกาสระหว่างการถ่ายโอนอำนาจในสหรัฐฯ พร้อมย้ำว่า ทีมถ่ายโอนอำนาจของทรัมป์และของไบเดนขณะนี้มีการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด . วอลซ์ยังยกย่องความเข้มแข็งและความพยายามของอิสราเอลในการทำสงครามกับกลุ่มฮามาสที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในกาซาไปอย่างน้อยเกือบๆ 45,000 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และประกาศว่า ถึงเวลาแล้วที่จะร่างแผนการซึ่งไม่เพียงป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยวันที่ 7 ต.ค.ปีที่แล้วที่ฮามาสบุกเข้าไปโจมตีอิสราเอลและจุดชนวนสงครามในกาซา แต่ต้องนำเสถียรภาพมาสู่ตะวันออกกลางอย่างแท้จริง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000113496 .............. Sondhi X
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดร.สุรเกียรติ์ยิ่งก่อข้อสงสัยรูป 1-2 มีเอกสารวิชาการเขียนโดย ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เกี่ยวกับ MOU44 เผยแพร่ในปี 2554 จุลสารความมั่นคงศึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ มีข้อมูลสำคัญที่ผมไม่รู้มาก่อนแต่ข้อมูลใหม่เหล่านี้ ยิ่งก่อข้อสงสัยในเจตนารมณ์ที่รัฐบาลของอดีตนายกฯทักษิณไปจัดทำ MOU44 🫡 ข้อสงสัยที่หนึ่ง กัมพูชาขีดเส้นเว้นเกาะกูดจริงหรือ?รูป 3-6 คือพระราชกฤษฎีกาของกัมพูชา ผมเข้าใจมาตลอดว่า กัมพูชาขีดเส้นพาดผ่านเกาะกูด แต่ในเอกสารหน้า 6-9 ดร.สุรเกียรติ์วิเคราะห์ว่ากัมพูชาขีดเส้นเว้นเกาะกูดแผนที่รูป 6 ขยายไปเป็นรูป 7 ท่านเขียนว่าเส้นของกัมพูชาลากจากจุด A บนชายฝั่งมาจนถึงชายฝั่งเกาะกูดด้านตะวันออก แล้วไปเริ่มเส้นต่อไปจากชายฝั่งเกาะกูดด้านตะวันตก ประกอบกับท่านเห็นว่า ในแผนที่มีการระบุชื่อเกาะกูดว่า Koh Kut (Siam) ซึ่งท่านอนุมาน'เป็นการบ่งบอกว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย' ท่านจึงตีความว่า "ดังนั้น กัมพูชาไม่เคยอ้างอธิปไตยเหนือเกาะกูด"🧐 ผมโต้แย้ง:- ในรูป 3 พระราชกฤษฎีกา กัมพูชาระบุตั้งใจลากเส้นโดยอ้างอิงสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส คศ 1907 เพราะต้องการใช้ประโยชน์จากในสนธิสัญญาฯ มีข้อความ "ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูด" ดังนั้น ถึงแม้ในรูป 7 ท่านตีความว่ากัมพูชาแสดงเจตนาไม่ต้องการให้เส้นผ่านเกาะกูด แต่อาจเป็นการตีความเข้าข้างตัวเอง🥶 ข้อสงสัย:- ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้แน่นอนว่า วันหน้ากัมพูชาจะไม่อ้างว่าไทยรับรู้ใน MOU44 แล้วว่า โดยสภาพความเป็นจริง เส้นนี้ย่อมมีเจตนาผ่านเกาะกูด เพราะ (ก) พระราชกฤษฎีกามีการอ้างอิงตำแหน่งแห่งหนที่ตั้งอยู่เฉพาะบนเกาะกูด และ(ข) ตรรกแห่งการตีเส้นเขตไหล่ทวีปที่ขาดแหว่งเป็นเส้นประ ไม่อยู่ในข้อใดในอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป มีแต่เส้นต่อเนื่องทั้งนั้น🫡 ข้อสงสัยที่สอง กัมพูชายอมรับว่าเกาะกูดเป็นอธิปไตยของไทยจริงหรือ?ในเอกสารหน้า 35-36 ท่านเขียนว่า "ถึงแม้ว่าบันทึกความเข้าใจนี้จะไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดของการเจรจามีผลผูกพันทั้งสองประเทศเกี่ยวกับเส้นเขตทางทะเล แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ถือเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการที่รัฐบาลกัมพูชาในปัจจุบันได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด" และ"ภายหลังจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจแล้วนั้น ฝ่ายไทยก็ได้มอบหมายให้ผู้เขียนพยายามที่จะเจรจาในระดับรัฐมตรีเพื่อไม่ไม่ให้เส้นเขตแดนล้อมรอบเกาะกูดถูกกำหนดเป็นรูปตัว "U" ซึ่งผู้เขียนจำได้ว่าเคยหารือกับนาย ซก อาน รัฐมนตรีอาวุโสของกัมพูชา (ตำแหน่งในขณะนั้น) ว่าเหตุใดเส้นเขตแดนจึงมีโค้งเป็นเบ้าขนมครก เหตุใดจึงไม่เป็นเส้นตรง ซึ่งหมายความว่าจากหลักเขตแดนที่ 73 นั้น เส้นเขตทางทะเลควรจะลากจากลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นเส้นตรง และต้องไม่ลากผ่านเกาะกูด มิใช่ลากเส้นมาถึงเกาะกูดแล้ว จึงเกิดส่วนเว้าหลบอ้อมเกาะกูดไป ซึ่งในแง่ของไทยแล้วการลากเส้นเขตแดนเป็นเส้นตรงโดยไม่ผ่านกึ่งกลางของเกาะกูดจะมีผลทำให้อธิปไตยของเกาะกูดมีความชัดเจนมากขึ้น และทำให้อาณาเขตรวมของพื้นที่ทับช้อนทางทะเลมีขนาดเล็กลง ดังรูป 10 (เป็นเส้นประที่ลูกศรขี้ซึ่งแสดงอยู่ในรูป 8 )ซึ่งในเรื่องนี้อยู่ในระหว่างการที่ฝ่ายกัมพูชาจะขอความเห็นชอบจากผู้นำสูงสุดของกัมพูชา แต่ผู้เขียนได้พ้นหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมทางเทคนิคไปเสียก่อน"🧐 ผมโต้แย้ง:- กัมพูชาไม่ได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่าประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด เพราะ(ก) ไม่มีข้อความเช่นนั้นแม้แต่คำเดียวปรากฏใน MOU44 กลับเป็นการตีความของท่านฝ่ายเดียว(ข) ถ้ากัมพูชายอมรับเช่นนั้นจริง เส้นจะต้องไม่เข้ามาใกล้เกาะกูด แต่จะต้องเอียงลงตะวันตกเฉียงใต้ ดังที่ท่านเองก็ยอมรับในบทความ🥶 ข้อสงสัย:- ในขณะที่ลงนามใน MOU44 ท่านทราบหรือไม่ว่า เส้นที่ถูกต้องคือไม่เข้ามาใกล้เกาะกูด? ถ้าทราบ ท่านไปลงนามทำไม?🫡 ข้อสงสัยที่สาม:- ฝ่ายไทยควรพอใจแผนผังแนบท้าย MOU44 จริงหรือ?ในเอกสารหน้า 35 ท่านเขียนว่า"ดังนั้น แผนผังแนบท้ายบันทึกความเข้าใจนี้จึงเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยพอใจเพราะแสดงถึงความคืบหน้าในการเจรจาจุดเริ่มต้นของการลงเส้นเขตทางทะเลจากหลักเขตแดนทางบกที่ตรงกับจุดยืนของไทย และเส้นที่ลากนั้นได้ยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูด และยังยอมรับอธิบไตยของไทยเหนือทะเลอาณาเขตรอบๆ"🧐 ผมโต้แย้ง:- ไม่มีเหตุผลใดที่ไทยควรจะพอใจกับการแสดงแผนที่ซึ่งเป็นแผนผังแนบท้าย MOU44 เพราะแสดงเส้นของสองประเทศที่ไม่เท่าเทียมกัน คือเส้นของไทยประกาศตามอนุสัญญาเจนีวา ในขณะที่เส้นของกัมพูชาไม่เป็นเช่นนั้น🫡 ข้อสงสัยที่สี่:- ท่านรู้ว่า MOU44 เป็นโมฆะตั้งแต่ต้น หรือไม่?ในเอกสารหน้า 36 ท่านเขียนว่า"(5) บันทึกความเข้าใจดังกล่าวได้ลงนามโดยผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศ จึงมีสถานะเป็นสนธิสัญญาตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969"🧐 ผมโต้แย้ง:- ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะท่านในฐานะผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลไทย ไปลงนามในสนธิสัญญา ..ทั้งที่มิได้มีการทูลเกล้าฯ และมีได้มีการนำเสนอรัฐสภาเสียก่อน เป็นการกระทำเกินอำนาจ ultra vires จึงไม่ผูกพันรัฐบาลไทย และทำให้ MOU44 เป็นโมฆะตั้งแต่ต้นผมเห็นว่าไม่มีเอกสารหลักฐานชิ้นไหน ที่มีความสำคัญเท่าชิ้นนี้อีกแล้ว🫡 ข้อสงสัยที่ห้า:- ทำไมท่านไม่แจ้งรัฐบาลว่ากัมพูชาตีความสนธิสัญญาฯ ผิด?ในเอกสารหน้า 11-12 ท่านวิเคราะห์ว่ากัมพูชาตีความสนธิสัญญาฯ เข้าข้างตัวเองว่าเป็นการแบ่งเขตทางทะเล แต่เจตนารมณ์เป็นเพียงเพื่อกำหนดเส้นแบ่งเขตทางบก ซึ่งตรงกับของผม 🧐 ผมโต้แย้ง:- ในเมื่อท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นของกัมพูชาไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ท่านควรจะแจ้งให้รัฐบาลของท่านนายกทักษิณทราบ และกต.น่าจะแจ้งให้รัฐบาลต่างๆ ทราบ 🫡 ข้อสงสัยที่หก:- ท่านรู้หรือไม่ว่าเส้นของกัมพูชาขัดกับอนุสัญญาไหล่ทวีป?ข้อ 6 ในอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ไม่ได้อนุญาตการลากเส้นที่อ้างอิงสิทธิทางประวัติศาสตร์ดังเช่นกรณีขอทะเลอาณาเขต แต่กัมพูชากลับไปอ้างอิงสนธิสัญญาฯ เป็นสิทธิทางประวัติศาสตร์ ทั้งที่ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ และขัดกับอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีปอย่างสิ้นเชิง🧐 ผมโต้แย้ง:- ในเมื่อท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาขัดกับอนุสัญญาไหล่ทวีป ทำไมท่านไม่โต้แย้งกัมพูชาเป็นลายลักษณ์อักษร?🫡 ข้อสงสัยที่เจ็ด:- ทำไมท่านไม่ดำเนินการตามขั้นตอนของพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย?ในเอกสารหน้า 36 ท่านเขียนว่า"ภายหลังจากที่ผู้เขียนได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ก็ได้รับทราบถึงผลการเจรจาร่วมกันในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2543 และได้มีความเห็นตรงกันว่าควรมีการเปิดการเจรจาอย่างเป็นทางการกับรัฐบาลกัมพูชาเนื่องจากเป็นประเทศเดียวที่ไทยยังไม่เคยเจรจาอย่างจริงจังเพื่อแสวงพาผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งๆ ที่ได้มีการเจรจากับรัฐบาลมาเลเซียและเวียดนามจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้น จึงได้มีการเริ่มเปิดการเจรจากับกัมพูชาเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาเขตพื้นที่ที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับช้อนกัน และการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย จนสามารถกำหนดแนวทางการเจรจาและการดำเนินการร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสของทั้งสองประเทศที่เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2544 และนำไปสู่การลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ"🧐 ผมโต้แย้ง:- ประชาชนมีข้อสงสัยดังนี้(ก) ในลำดับขั้นตอนการจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เริ่มต้นจากการเจรจาเส้นเขตแดนของทั้งสองประเทศให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จึงจะได้อาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมที่ยอมรับทั้งสองฝ่าย เป็นขั้นตอน ใช้ม้าลากรถแต่ลำดับขั้นตอนการจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-กัมพูชา เริ่มต้นจากการกำหนดอาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมขึ้นมาเอง เป็นการรีบร้อนลัดขั้นตอน ใช้รถลากม้า(ข) การเจรจากำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับมาเลเซีย ใช้เวลาหลายปี ท่านใช้เวลาเจรจากำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาเพียงสองสามเดือนส่อเจตนาชัดเจนว่าให้ความสำคัญลำดับหนึ่งแก่การแสวงหาประโยชน์ปิโตรเลียม จนมีความเสี่ยงเรื่องเขตแดนเกิดขึ้นการเร่งรีบเช่นนี้ ทำให้ประชาชนกังวลว่า มีวาระซ่อนเร้นแฝงอยู่ในการเจรจาหรือไม่🧐 ผมขอย้ำว่า เขียนบทความนี้ด้วยความเคารพ และหวังจะให้ประโยชน์แก่รัฐมนตรีพรรคร่วมอย่างเต็มที่เป็นสำคัญวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    ดร.สุรเกียรติ์ยิ่งก่อข้อสงสัยรูป 1-2 มีเอกสารวิชาการเขียนโดย ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เกี่ยวกับ MOU44 เผยแพร่ในปี 2554 จุลสารความมั่นคงศึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ มีข้อมูลสำคัญที่ผมไม่รู้มาก่อนแต่ข้อมูลใหม่เหล่านี้ ยิ่งก่อข้อสงสัยในเจตนารมณ์ที่รัฐบาลของอดีตนายกฯทักษิณไปจัดทำ MOU44 🫡 ข้อสงสัยที่หนึ่ง กัมพูชาขีดเส้นเว้นเกาะกูดจริงหรือ?รูป 3-6 คือพระราชกฤษฎีกาของกัมพูชา ผมเข้าใจมาตลอดว่า กัมพูชาขีดเส้นพาดผ่านเกาะกูด แต่ในเอกสารหน้า 6-9 ดร.สุรเกียรติ์วิเคราะห์ว่ากัมพูชาขีดเส้นเว้นเกาะกูดแผนที่รูป 6 ขยายไปเป็นรูป 7 ท่านเขียนว่าเส้นของกัมพูชาลากจากจุด A บนชายฝั่งมาจนถึงชายฝั่งเกาะกูดด้านตะวันออก แล้วไปเริ่มเส้นต่อไปจากชายฝั่งเกาะกูดด้านตะวันตก ประกอบกับท่านเห็นว่า ในแผนที่มีการระบุชื่อเกาะกูดว่า Koh Kut (Siam) ซึ่งท่านอนุมาน'เป็นการบ่งบอกว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย' ท่านจึงตีความว่า "ดังนั้น กัมพูชาไม่เคยอ้างอธิปไตยเหนือเกาะกูด"🧐 ผมโต้แย้ง:- ในรูป 3 พระราชกฤษฎีกา กัมพูชาระบุตั้งใจลากเส้นโดยอ้างอิงสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส คศ 1907 เพราะต้องการใช้ประโยชน์จากในสนธิสัญญาฯ มีข้อความ "ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูด" ดังนั้น ถึงแม้ในรูป 7 ท่านตีความว่ากัมพูชาแสดงเจตนาไม่ต้องการให้เส้นผ่านเกาะกูด แต่อาจเป็นการตีความเข้าข้างตัวเอง🥶 ข้อสงสัย:- ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้แน่นอนว่า วันหน้ากัมพูชาจะไม่อ้างว่าไทยรับรู้ใน MOU44 แล้วว่า โดยสภาพความเป็นจริง เส้นนี้ย่อมมีเจตนาผ่านเกาะกูด เพราะ (ก) พระราชกฤษฎีกามีการอ้างอิงตำแหน่งแห่งหนที่ตั้งอยู่เฉพาะบนเกาะกูด และ(ข) ตรรกแห่งการตีเส้นเขตไหล่ทวีปที่ขาดแหว่งเป็นเส้นประ ไม่อยู่ในข้อใดในอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป มีแต่เส้นต่อเนื่องทั้งนั้น🫡 ข้อสงสัยที่สอง กัมพูชายอมรับว่าเกาะกูดเป็นอธิปไตยของไทยจริงหรือ?ในเอกสารหน้า 35-36 ท่านเขียนว่า "ถึงแม้ว่าบันทึกความเข้าใจนี้จะไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดของการเจรจามีผลผูกพันทั้งสองประเทศเกี่ยวกับเส้นเขตทางทะเล แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ถือเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการที่รัฐบาลกัมพูชาในปัจจุบันได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด" และ"ภายหลังจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจแล้วนั้น ฝ่ายไทยก็ได้มอบหมายให้ผู้เขียนพยายามที่จะเจรจาในระดับรัฐมตรีเพื่อไม่ไม่ให้เส้นเขตแดนล้อมรอบเกาะกูดถูกกำหนดเป็นรูปตัว "U" ซึ่งผู้เขียนจำได้ว่าเคยหารือกับนาย ซก อาน รัฐมนตรีอาวุโสของกัมพูชา (ตำแหน่งในขณะนั้น) ว่าเหตุใดเส้นเขตแดนจึงมีโค้งเป็นเบ้าขนมครก เหตุใดจึงไม่เป็นเส้นตรง ซึ่งหมายความว่าจากหลักเขตแดนที่ 73 นั้น เส้นเขตทางทะเลควรจะลากจากลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นเส้นตรง และต้องไม่ลากผ่านเกาะกูด มิใช่ลากเส้นมาถึงเกาะกูดแล้ว จึงเกิดส่วนเว้าหลบอ้อมเกาะกูดไป ซึ่งในแง่ของไทยแล้วการลากเส้นเขตแดนเป็นเส้นตรงโดยไม่ผ่านกึ่งกลางของเกาะกูดจะมีผลทำให้อธิปไตยของเกาะกูดมีความชัดเจนมากขึ้น และทำให้อาณาเขตรวมของพื้นที่ทับช้อนทางทะเลมีขนาดเล็กลง ดังรูป 10 (เป็นเส้นประที่ลูกศรขี้ซึ่งแสดงอยู่ในรูป 8 )ซึ่งในเรื่องนี้อยู่ในระหว่างการที่ฝ่ายกัมพูชาจะขอความเห็นชอบจากผู้นำสูงสุดของกัมพูชา แต่ผู้เขียนได้พ้นหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมทางเทคนิคไปเสียก่อน"🧐 ผมโต้แย้ง:- กัมพูชาไม่ได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่าประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด เพราะ(ก) ไม่มีข้อความเช่นนั้นแม้แต่คำเดียวปรากฏใน MOU44 กลับเป็นการตีความของท่านฝ่ายเดียว(ข) ถ้ากัมพูชายอมรับเช่นนั้นจริง เส้นจะต้องไม่เข้ามาใกล้เกาะกูด แต่จะต้องเอียงลงตะวันตกเฉียงใต้ ดังที่ท่านเองก็ยอมรับในบทความ🥶 ข้อสงสัย:- ในขณะที่ลงนามใน MOU44 ท่านทราบหรือไม่ว่า เส้นที่ถูกต้องคือไม่เข้ามาใกล้เกาะกูด? ถ้าทราบ ท่านไปลงนามทำไม?🫡 ข้อสงสัยที่สาม:- ฝ่ายไทยควรพอใจแผนผังแนบท้าย MOU44 จริงหรือ?ในเอกสารหน้า 35 ท่านเขียนว่า"ดังนั้น แผนผังแนบท้ายบันทึกความเข้าใจนี้จึงเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยพอใจเพราะแสดงถึงความคืบหน้าในการเจรจาจุดเริ่มต้นของการลงเส้นเขตทางทะเลจากหลักเขตแดนทางบกที่ตรงกับจุดยืนของไทย และเส้นที่ลากนั้นได้ยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูด และยังยอมรับอธิบไตยของไทยเหนือทะเลอาณาเขตรอบๆ"🧐 ผมโต้แย้ง:- ไม่มีเหตุผลใดที่ไทยควรจะพอใจกับการแสดงแผนที่ซึ่งเป็นแผนผังแนบท้าย MOU44 เพราะแสดงเส้นของสองประเทศที่ไม่เท่าเทียมกัน คือเส้นของไทยประกาศตามอนุสัญญาเจนีวา ในขณะที่เส้นของกัมพูชาไม่เป็นเช่นนั้น🫡 ข้อสงสัยที่สี่:- ท่านรู้ว่า MOU44 เป็นโมฆะตั้งแต่ต้น หรือไม่?ในเอกสารหน้า 36 ท่านเขียนว่า"(5) บันทึกความเข้าใจดังกล่าวได้ลงนามโดยผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศ จึงมีสถานะเป็นสนธิสัญญาตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969"🧐 ผมโต้แย้ง:- ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะท่านในฐานะผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลไทย ไปลงนามในสนธิสัญญา ..ทั้งที่มิได้มีการทูลเกล้าฯ และมีได้มีการนำเสนอรัฐสภาเสียก่อน เป็นการกระทำเกินอำนาจ ultra vires จึงไม่ผูกพันรัฐบาลไทย และทำให้ MOU44 เป็นโมฆะตั้งแต่ต้นผมเห็นว่าไม่มีเอกสารหลักฐานชิ้นไหน ที่มีความสำคัญเท่าชิ้นนี้อีกแล้ว🫡 ข้อสงสัยที่ห้า:- ทำไมท่านไม่แจ้งรัฐบาลว่ากัมพูชาตีความสนธิสัญญาฯ ผิด?ในเอกสารหน้า 11-12 ท่านวิเคราะห์ว่ากัมพูชาตีความสนธิสัญญาฯ เข้าข้างตัวเองว่าเป็นการแบ่งเขตทางทะเล แต่เจตนารมณ์เป็นเพียงเพื่อกำหนดเส้นแบ่งเขตทางบก ซึ่งตรงกับของผม 🧐 ผมโต้แย้ง:- ในเมื่อท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นของกัมพูชาไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ท่านควรจะแจ้งให้รัฐบาลของท่านนายกทักษิณทราบ และกต.น่าจะแจ้งให้รัฐบาลต่างๆ ทราบ 🫡 ข้อสงสัยที่หก:- ท่านรู้หรือไม่ว่าเส้นของกัมพูชาขัดกับอนุสัญญาไหล่ทวีป?ข้อ 6 ในอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ไม่ได้อนุญาตการลากเส้นที่อ้างอิงสิทธิทางประวัติศาสตร์ดังเช่นกรณีขอทะเลอาณาเขต แต่กัมพูชากลับไปอ้างอิงสนธิสัญญาฯ เป็นสิทธิทางประวัติศาสตร์ ทั้งที่ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ และขัดกับอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีปอย่างสิ้นเชิง🧐 ผมโต้แย้ง:- ในเมื่อท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาขัดกับอนุสัญญาไหล่ทวีป ทำไมท่านไม่โต้แย้งกัมพูชาเป็นลายลักษณ์อักษร?🫡 ข้อสงสัยที่เจ็ด:- ทำไมท่านไม่ดำเนินการตามขั้นตอนของพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย?ในเอกสารหน้า 36 ท่านเขียนว่า"ภายหลังจากที่ผู้เขียนได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ก็ได้รับทราบถึงผลการเจรจาร่วมกันในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2543 และได้มีความเห็นตรงกันว่าควรมีการเปิดการเจรจาอย่างเป็นทางการกับรัฐบาลกัมพูชาเนื่องจากเป็นประเทศเดียวที่ไทยยังไม่เคยเจรจาอย่างจริงจังเพื่อแสวงพาผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งๆ ที่ได้มีการเจรจากับรัฐบาลมาเลเซียและเวียดนามจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้น จึงได้มีการเริ่มเปิดการเจรจากับกัมพูชาเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาเขตพื้นที่ที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับช้อนกัน และการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย จนสามารถกำหนดแนวทางการเจรจาและการดำเนินการร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสของทั้งสองประเทศที่เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2544 และนำไปสู่การลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ"🧐 ผมโต้แย้ง:- ประชาชนมีข้อสงสัยดังนี้(ก) ในลำดับขั้นตอนการจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เริ่มต้นจากการเจรจาเส้นเขตแดนของทั้งสองประเทศให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จึงจะได้อาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมที่ยอมรับทั้งสองฝ่าย เป็นขั้นตอน ใช้ม้าลากรถแต่ลำดับขั้นตอนการจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-กัมพูชา เริ่มต้นจากการกำหนดอาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมขึ้นมาเอง เป็นการรีบร้อนลัดขั้นตอน ใช้รถลากม้า(ข) การเจรจากำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับมาเลเซีย ใช้เวลาหลายปี ท่านใช้เวลาเจรจากำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาเพียงสองสามเดือนส่อเจตนาชัดเจนว่าให้ความสำคัญลำดับหนึ่งแก่การแสวงหาประโยชน์ปิโตรเลียม จนมีความเสี่ยงเรื่องเขตแดนเกิดขึ้นการเร่งรีบเช่นนี้ ทำให้ประชาชนกังวลว่า มีวาระซ่อนเร้นแฝงอยู่ในการเจรจาหรือไม่🧐 ผมขอย้ำว่า เขียนบทความนี้ด้วยความเคารพ และหวังจะให้ประโยชน์แก่รัฐมนตรีพรรคร่วมอย่างเต็มที่เป็นสำคัญวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนค้นพบแหล่งทองคำสำรองมูลค่า 600,000 ล้านหยวน (82,900 ล้านดอลลาร์) ในมณฑลหูหนาน ทางตอนกลาง สำนักข่าวซินหัวของรัฐรายงานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2567จีนเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยคิดเป็นประมาณ 10% ของผลผลิตทั่วโลกในปี 2566 ตามข้อมูลจากสภาทองคำโลกโดยมีการบริโภคทองคำ 741.732 เมตริกตันในช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้ ในขณะที่ผลผลิตอยู่ที่ 268.068 ตัน ซึ่งหมายความว่าต้องพึ่งพาการนำเข้าเพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศสถาบันธรณีวิทยาหูหนานค้นพบเส้นแร่ทองคำมากกว่า 40 เส้นที่ความลึกมากกว่า 2,000 เมตรในเขตผิงเจียง โดยพบแหล่งแร่ทองคำรวม 300.2 ตันในพื้นที่สำรวจหลัก และมีเกรดสูงสุดที่ 138 กรัมต่อเมตริกตัน ซินหัวกล่าวกลุ่มดังกล่าวคาดการณ์ว่ามีทองคำสำรองมากกว่า 1,000 ตันในระดับความลึกมากกว่า 3,000 เมตร ตามรายงานของซินหัวโดยทั่วไปสำรองทองคำหมายถึงส่วนหนึ่งของทรัพยากรที่สามารถสกัดได้ในทางเศรษฐกิจราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ เนื่องมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกที่เพิ่มมากขึ้นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำที่มีการซื้อขายมากที่สุดในตลาดซื้อขายล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 639.48 หยวนต่อกรัมเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ด้วยการค้นพบในมณฑลหูหนาน จีนตอกย้ำความเป็นผู้นำในภาคเหมืองแร่ทองคำ การลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ผสมผสานกับการสำรวจเชิงกลยุทธ์ในพื้นที่ใหม่ๆ ทำให้ประเทศอยู่ในแถวหน้าของการผลิตทั่วโลกแม้ว่าความท้าทายต่างๆ เช่น ต้นทุนที่สูงขึ้น และแรงกดดันด้านความยั่งยืนยังคงมีอยู่ แต่การเติบโตของอุตสาหกรรมทองคำของจีนบ่งชี้ว่าประเทศพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพแหล่งทองคำใหม่ที่ค้นพบในมณฑลหูหนานไม่เพียงแต่เป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับเศรษฐกิจจีนเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงบทบาทที่สำคัญของประเทศในการกำหนดอนาคตของตลาดทองคำทั่วโลก ผลกระทบของการค้นพบนี้อาจสะท้อนให้เห็นต่อไปอีกหลายปีข้างหน้า พลวัตทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรม
    จีนค้นพบแหล่งทองคำสำรองมูลค่า 600,000 ล้านหยวน (82,900 ล้านดอลลาร์) ในมณฑลหูหนาน ทางตอนกลาง สำนักข่าวซินหัวของรัฐรายงานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2567จีนเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยคิดเป็นประมาณ 10% ของผลผลิตทั่วโลกในปี 2566 ตามข้อมูลจากสภาทองคำโลกโดยมีการบริโภคทองคำ 741.732 เมตริกตันในช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้ ในขณะที่ผลผลิตอยู่ที่ 268.068 ตัน ซึ่งหมายความว่าต้องพึ่งพาการนำเข้าเพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศสถาบันธรณีวิทยาหูหนานค้นพบเส้นแร่ทองคำมากกว่า 40 เส้นที่ความลึกมากกว่า 2,000 เมตรในเขตผิงเจียง โดยพบแหล่งแร่ทองคำรวม 300.2 ตันในพื้นที่สำรวจหลัก และมีเกรดสูงสุดที่ 138 กรัมต่อเมตริกตัน ซินหัวกล่าวกลุ่มดังกล่าวคาดการณ์ว่ามีทองคำสำรองมากกว่า 1,000 ตันในระดับความลึกมากกว่า 3,000 เมตร ตามรายงานของซินหัวโดยทั่วไปสำรองทองคำหมายถึงส่วนหนึ่งของทรัพยากรที่สามารถสกัดได้ในทางเศรษฐกิจราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ เนื่องมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกที่เพิ่มมากขึ้นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำที่มีการซื้อขายมากที่สุดในตลาดซื้อขายล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 639.48 หยวนต่อกรัมเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ด้วยการค้นพบในมณฑลหูหนาน จีนตอกย้ำความเป็นผู้นำในภาคเหมืองแร่ทองคำ การลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ผสมผสานกับการสำรวจเชิงกลยุทธ์ในพื้นที่ใหม่ๆ ทำให้ประเทศอยู่ในแถวหน้าของการผลิตทั่วโลกแม้ว่าความท้าทายต่างๆ เช่น ต้นทุนที่สูงขึ้น และแรงกดดันด้านความยั่งยืนยังคงมีอยู่ แต่การเติบโตของอุตสาหกรรมทองคำของจีนบ่งชี้ว่าประเทศพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพแหล่งทองคำใหม่ที่ค้นพบในมณฑลหูหนานไม่เพียงแต่เป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับเศรษฐกิจจีนเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงบทบาทที่สำคัญของประเทศในการกำหนดอนาคตของตลาดทองคำทั่วโลก ผลกระทบของการค้นพบนี้อาจสะท้อนให้เห็นต่อไปอีกหลายปีข้างหน้า พลวัตทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความจริงมีหนึ่งเดียว ครั้งที่ 4 หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ได้ความรู้มากมาย จากวิทยากรทุกท่าน โดยเฉพาะ MOU 44 ที่อาจารย์ปานเทพ ทำการบ้านมาอย่างดี กับ 39 นาทีที่ทำให้เข้าใจภาพทั้งหมด #ความจริงมีหนึ่งเดียว
    ความจริงมีหนึ่งเดียว ครั้งที่ 4 หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ได้ความรู้มากมาย จากวิทยากรทุกท่าน โดยเฉพาะ MOU 44 ที่อาจารย์ปานเทพ ทำการบ้านมาอย่างดี กับ 39 นาทีที่ทำให้เข้าใจภาพทั้งหมด #ความจริงมีหนึ่งเดียว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • เลี่ยมจับขอบแบบนี้ เป็นงานฝีมือเก๊ยุคเก่า..ทั้งพระทั้งกรอบ .และเป็นวัสดุทองเหลือง...สมัยก่อน เจอแบบนี้มาก..เลยสอบถามช่างทองรุ่นเก่าเลย..ว่า งานแบบนี้มีไหม..ในยุคย้อนไปสัก 6-70 ปี...เขาบอกไม่มีหรอก...คนเอาทองมาเลี่ยมพระยังแทบไม่มีเลย...ถ้ามีก็เป็นงานแบบฝีมือขั้นครูไปเลย...มีความสวยงาม..ไม่ใช่ฝีมือหยาบๆ..แนวนี้..#ใข้วิจารณญาณท่านเองนะครับ ผมไม่เคยเห็น ถามช่างบอกว่าไม่มี...แต่มันอาจจะ มี ก็ได้....
    เลี่ยมจับขอบแบบนี้ เป็นงานฝีมือเก๊ยุคเก่า..ทั้งพระทั้งกรอบ .และเป็นวัสดุทองเหลือง...สมัยก่อน เจอแบบนี้มาก..เลยสอบถามช่างทองรุ่นเก่าเลย..ว่า งานแบบนี้มีไหม..ในยุคย้อนไปสัก 6-70 ปี...เขาบอกไม่มีหรอก...คนเอาทองมาเลี่ยมพระยังแทบไม่มีเลย...ถ้ามีก็เป็นงานแบบฝีมือขั้นครูไปเลย...มีความสวยงาม..ไม่ใช่ฝีมือหยาบๆ..แนวนี้..#ใข้วิจารณญาณท่านเองนะครับ ผมไม่เคยเห็น ถามช่างบอกว่าไม่มี...แต่มันอาจจะ มี ก็ได้....
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • เลี่ยมจับขอบแบบนี้ เป็นงานฝีมือเก๊ยุคเก่า..ทั้งพระทั้งกรอบ .และเป็นวัสดุทองเหลือง...สมัยก่อน เจอแบบนี้มาก..เลยสอบถามช่างทองรุ่นเก่าเลย..ว่า งานแบบนี้มีไหม..ในยุคย้อนไปสัก 6-70 ปี...เขาบอกไม่มีหรอก...คนเอาทองมาเลี่ยมพระยังแทบไม่มีเลย...ถ้ามีก็เป็นงานแบบฝีมือขั้นครูไปเลย...มีความสวยงาม..ไม่ใช่ฝีมือหยาบๆ..แนวนี้..#ใข้วิจารณญาณท่านเองนะครับ ผมไม่เคยเห็น ถามช่างบอกว่าไม่มี...แต่มันอาจจะ มี ก็ได้....
    เลี่ยมจับขอบแบบนี้ เป็นงานฝีมือเก๊ยุคเก่า..ทั้งพระทั้งกรอบ .และเป็นวัสดุทองเหลือง...สมัยก่อน เจอแบบนี้มาก..เลยสอบถามช่างทองรุ่นเก่าเลย..ว่า งานแบบนี้มีไหม..ในยุคย้อนไปสัก 6-70 ปี...เขาบอกไม่มีหรอก...คนเอาทองมาเลี่ยมพระยังแทบไม่มีเลย...ถ้ามีก็เป็นงานแบบฝีมือขั้นครูไปเลย...มีความสวยงาม..ไม่ใช่ฝีมือหยาบๆ..แนวนี้..#ใข้วิจารณญาณท่านเองนะครับ ผมไม่เคยเห็น ถามช่างบอกว่าไม่มี...แต่มันอาจจะ มี ก็ได้....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • เลี่ยมจับขอบแบบนี้ เป็นงานฝีมือเก๊ยุคเก่า..ทั้งพระทั้งกรอบ .และเป็นวัสดุทองเหลือง...สมัยก่อน เจอแบบนี้มาก..เลยสอบถามช่างทองรุ่นเก่าเลย..ว่า งานแบบนี้มีไหม..ในยุคย้อนไปสัก 6-70 ปี...เขาบอกไม่มีหรอก...คนเอาทองมาเลี่ยมพระยังแทบไม่มีเลย...ถ้ามีก็เป็นงานแบบฝีมือขั้นครูไปเลย...มีความสวยงาม..ไม่ใช่ฝีมือหยาบๆ..แนวนี้..#ใข้วิจารณญาณท่านเองนะครับ ผมไม่เคยเห็น ถามช่างบอกว่าไม่มี...แต่มันอาจจะ มี ก็ได้....
    เลี่ยมจับขอบแบบนี้ เป็นงานฝีมือเก๊ยุคเก่า..ทั้งพระทั้งกรอบ .และเป็นวัสดุทองเหลือง...สมัยก่อน เจอแบบนี้มาก..เลยสอบถามช่างทองรุ่นเก่าเลย..ว่า งานแบบนี้มีไหม..ในยุคย้อนไปสัก 6-70 ปี...เขาบอกไม่มีหรอก...คนเอาทองมาเลี่ยมพระยังแทบไม่มีเลย...ถ้ามีก็เป็นงานแบบฝีมือขั้นครูไปเลย...มีความสวยงาม..ไม่ใช่ฝีมือหยาบๆ..แนวนี้..#ใข้วิจารณญาณท่านเองนะครับ ผมไม่เคยเห็น ถามช่างบอกว่าไม่มี...แต่มันอาจจะ มี ก็ได้....
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส่วนตัวศึกษาฯประวัติศาสตร์ทั่วโลก...พบว่า มีประเทศเดียว ที่คงความเป็นชาติดังเดิมไว้ได้ ..มีบันทึก หลักฐานมากมาย...ซึ่งเรามาดูอารยธรรมร่วมยุคกัน เช่น กรีก โรมัน ไอยคุปต์ ล้วนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว...ส่วนตัว (คิดเอาเอง) ว่า ความเชื่อ บางสิ่ง หรืออาจหลายสิ่ง ของชนชาติจีน...น่าจะเป็นจริง...เพียงแต่ว่า เราไม่รู้ว่า...คือ สิ่งใดบ้าง..เท่านั้นเอง....ฉะนั้น ก็เอาตามท่านสะดวก และพอมีเหตุผลอันสมควรที่จะกระทำได้...ของแต่ละคนก็แล้วกัน..นอกเรื่องนิด ต้องยอมรับเลย ประโยคที่ว่า ใครบริหารก็เหมือนกัน กรูก็ทำงานแบบเดิม..ตลกสิ้นดี ลองดูผู้บริหารจีนสิ เปลี่ยนประเทศไปแค่ไหน..จากประเทศที่ประชากรยากจน ต้องหอบเสื่อผืนหมอนใบ ไปตายเอาดาบหน้า...กลายเป็นอย่างไรในปัจจุบัน....มาดูสิงค์โปร์ ..ลีกวนยู นำประเทศไปขนาดไหน...หรือ มาเล ยุค มหาเดย์ ก็พัฒนามามาก..ฉะนั้น คำกล่าวที่ว่า ใครบริหารก็เหมือนกัน...ส่วนตัว ไม่เชื่อ....เพียงแต่แค่ ยังรออยู่......
    ส่วนตัวศึกษาฯประวัติศาสตร์ทั่วโลก...พบว่า มีประเทศเดียว ที่คงความเป็นชาติดังเดิมไว้ได้ ..มีบันทึก หลักฐานมากมาย...ซึ่งเรามาดูอารยธรรมร่วมยุคกัน เช่น กรีก โรมัน ไอยคุปต์ ล้วนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว...ส่วนตัว (คิดเอาเอง) ว่า ความเชื่อ บางสิ่ง หรืออาจหลายสิ่ง ของชนชาติจีน...น่าจะเป็นจริง...เพียงแต่ว่า เราไม่รู้ว่า...คือ สิ่งใดบ้าง..เท่านั้นเอง....ฉะนั้น ก็เอาตามท่านสะดวก และพอมีเหตุผลอันสมควรที่จะกระทำได้...ของแต่ละคนก็แล้วกัน..นอกเรื่องนิด ต้องยอมรับเลย ประโยคที่ว่า ใครบริหารก็เหมือนกัน กรูก็ทำงานแบบเดิม..ตลกสิ้นดี ลองดูผู้บริหารจีนสิ เปลี่ยนประเทศไปแค่ไหน..จากประเทศที่ประชากรยากจน ต้องหอบเสื่อผืนหมอนใบ ไปตายเอาดาบหน้า...กลายเป็นอย่างไรในปัจจุบัน....มาดูสิงค์โปร์ ..ลีกวนยู นำประเทศไปขนาดไหน...หรือ มาเล ยุค มหาเดย์ ก็พัฒนามามาก..ฉะนั้น คำกล่าวที่ว่า ใครบริหารก็เหมือนกัน...ส่วนตัว ไม่เชื่อ....เพียงแต่แค่ ยังรออยู่......
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขบวนการ"ตั้ม นรกแตก"ปมสอดไส้พินัยกรรม.เมื่อวันจันทร์ที่18พ.ย.นี้ พี่อ้อยมาเพื่อมาขอบคุณพวกผม ทีมงาน สื่อในเครือ ก่อนจะเดินทางกลับต่างประเทศครั้งนี้ นอกจากนี้แล้ว พี่อ้อยฝากขอบคุณสื่อมวลชนทั้งหลายทุกคนที่เกาะติด ช่วยกันขุดค้นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงของทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ที่กระทำการฉ้อโกงพี่อ้อย จตุพร จนตำรวจตั้งข้อหาเป็นภาษาชาวบ้านว่า "ฉ้อโกงจนเป็นสันดาน" ถ้าภาษากฎหมายก็เรียกว่า "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ".ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ฉ้อโกง เป็นการเข้าสู่ พ.ร.บ.ฟอกเงิน จนในที่สุดตอนนี้ ทั้งตั้มและภรรยา ตลอดจนนายนุวัฒน์ และภรรยาที่ชื่อ "แซน" สารินี นุชนารถ ก็ถูกจำคุกไปเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ให้ประกัน เพราะคุณอ้อยตัดสินใจแจ้งความเรื่อง 39 ล้าน จากจุด 39 ล้าน โยงไปโยงมา โอ้โห ตัวละครเยอะมาก โยงไปจนถึงคุณดาว ซึ่งเป็นพี่สาวภรรยา โยงไปถึงนุวัฒน์ โยงไปถึงแซน นุชนารถ ไปหมดทุกคน และเกี่ยวข้องกับคนขับรถ แล้วก็จับเส้นทางการเงิน จนในที่สุดแล้ว พี่สาวของภรรยาษิทรา เบี้ยบังเกิด ยอมสารภาพ พาไปชี้ที่เกิดเหตุถุงที่ใส่เงินมา .ผมต้องขอชื่นชมและยกย่องเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตำรวจเขาใช้คนประมาณเท่าไร ? ร้อยกว่าคนที่ทำคดีนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว ตอนนี้แตกย่อยออกเป็น 4 คดีแล้ว จาก 71 ล้าน มูลค่าการฉ้อโกง 120 กว่าล้านบาท .มันก็เลยกลายเป็นเรื่องขบวนการที่เตรียมการฉ้อโกง มีคลิปที่พี่อ้อยพูดเองกับอาจารย์ปานเทพว่า ตั้มต้องการเป็นผู้จัดการมรดกพี่อ้อยในการเขียนพินัยกรรม พอได้เป็นเสร็จเรียบร้อย ก็พยายามชวนพี่อ้อยไปเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน ที่ๆ มันไกลปืนเที่ยง ที่อะไรก็ตามมันสามารถจะเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่มีใครคาดคิด ท่านผู้ชมใช้วิจารณญาณอนุมานดูว่า คนถ้ามันไม่ซื่อสัตย์อย่างนี้ ทำไมทะลึ่งอยากจะมาเป็นผู้จัดการมรดก แต่ว่าโชคดีที่มีการไหวตัวทัน.ด้วยเหตุนี้ ต้นปี 2567 พี่อ้อยเมื่อได้รับทราบไม่ชอบมาพากลทั้งหมด ที่ทนายตั้ม ษิทรา ดำเนินการ เขาก็เลยยกเลิกพินัยกรรมกรรมที่ทนายตั้ม บริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม ทุกฉบับ แล้วเขาก็ไปทำพินัยกรรมใหม่ฉบับที่ 3 ภาษากฎหมายเขาเรียกว่า พินัยกรรมทำเป็นเอกสารฝ่ายเมืองที่อำเภอ มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องรับรอง เพื่อไม่ให้พินัยกรรมฉบับเก่าไม่สามารถมีผลผูกพันได้อีกต่อไป.ท่านผู้ชมเห็นหรือเปล่า ความเจ้าเล่ห์แสนกลของคนที่เป็นทนายความ คุณสายหยุด คุณฟังให้มันดีๆนะ คุณเดชาฟังให้ดึๆนะ ปั่นเสร็จแล้วจงใจหลอกลวงลูกความที่ไม่ค่อยรู้เรื่องทางกฎหมาย ผมไม่รู้ว่าคุณสองคนเคยหลอกลวงใครหรือเปล่า แต่ผมเพียงแต่อยากจะเตือนให้คุณฟังให้ดีๆ เพราะว่าคุณยืนข้างษิทรา เบี้ยบังเกิด.บทสรุปของเรื่องนี้ก็คือว่า ระหว่างทนายตั้มที่ทำความเลวให้กับคุณอ้อย กับนักการเมืองที่ทำความชั่วให้กับแผ่นดินไทย ฮุบพื้นที่ดินของแผ่นดินไทยเป็นของตัวเองนั้น เปรียบเทียบกันแล้ว ใครเลวกว่าใคร
    ขบวนการ"ตั้ม นรกแตก"ปมสอดไส้พินัยกรรม.เมื่อวันจันทร์ที่18พ.ย.นี้ พี่อ้อยมาเพื่อมาขอบคุณพวกผม ทีมงาน สื่อในเครือ ก่อนจะเดินทางกลับต่างประเทศครั้งนี้ นอกจากนี้แล้ว พี่อ้อยฝากขอบคุณสื่อมวลชนทั้งหลายทุกคนที่เกาะติด ช่วยกันขุดค้นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงของทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ที่กระทำการฉ้อโกงพี่อ้อย จตุพร จนตำรวจตั้งข้อหาเป็นภาษาชาวบ้านว่า "ฉ้อโกงจนเป็นสันดาน" ถ้าภาษากฎหมายก็เรียกว่า "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ".ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ฉ้อโกง เป็นการเข้าสู่ พ.ร.บ.ฟอกเงิน จนในที่สุดตอนนี้ ทั้งตั้มและภรรยา ตลอดจนนายนุวัฒน์ และภรรยาที่ชื่อ "แซน" สารินี นุชนารถ ก็ถูกจำคุกไปเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ให้ประกัน เพราะคุณอ้อยตัดสินใจแจ้งความเรื่อง 39 ล้าน จากจุด 39 ล้าน โยงไปโยงมา โอ้โห ตัวละครเยอะมาก โยงไปจนถึงคุณดาว ซึ่งเป็นพี่สาวภรรยา โยงไปถึงนุวัฒน์ โยงไปถึงแซน นุชนารถ ไปหมดทุกคน และเกี่ยวข้องกับคนขับรถ แล้วก็จับเส้นทางการเงิน จนในที่สุดแล้ว พี่สาวของภรรยาษิทรา เบี้ยบังเกิด ยอมสารภาพ พาไปชี้ที่เกิดเหตุถุงที่ใส่เงินมา .ผมต้องขอชื่นชมและยกย่องเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตำรวจเขาใช้คนประมาณเท่าไร ? ร้อยกว่าคนที่ทำคดีนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว ตอนนี้แตกย่อยออกเป็น 4 คดีแล้ว จาก 71 ล้าน มูลค่าการฉ้อโกง 120 กว่าล้านบาท .มันก็เลยกลายเป็นเรื่องขบวนการที่เตรียมการฉ้อโกง มีคลิปที่พี่อ้อยพูดเองกับอาจารย์ปานเทพว่า ตั้มต้องการเป็นผู้จัดการมรดกพี่อ้อยในการเขียนพินัยกรรม พอได้เป็นเสร็จเรียบร้อย ก็พยายามชวนพี่อ้อยไปเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน ที่ๆ มันไกลปืนเที่ยง ที่อะไรก็ตามมันสามารถจะเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่มีใครคาดคิด ท่านผู้ชมใช้วิจารณญาณอนุมานดูว่า คนถ้ามันไม่ซื่อสัตย์อย่างนี้ ทำไมทะลึ่งอยากจะมาเป็นผู้จัดการมรดก แต่ว่าโชคดีที่มีการไหวตัวทัน.ด้วยเหตุนี้ ต้นปี 2567 พี่อ้อยเมื่อได้รับทราบไม่ชอบมาพากลทั้งหมด ที่ทนายตั้ม ษิทรา ดำเนินการ เขาก็เลยยกเลิกพินัยกรรมกรรมที่ทนายตั้ม บริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม ทุกฉบับ แล้วเขาก็ไปทำพินัยกรรมใหม่ฉบับที่ 3 ภาษากฎหมายเขาเรียกว่า พินัยกรรมทำเป็นเอกสารฝ่ายเมืองที่อำเภอ มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องรับรอง เพื่อไม่ให้พินัยกรรมฉบับเก่าไม่สามารถมีผลผูกพันได้อีกต่อไป.ท่านผู้ชมเห็นหรือเปล่า ความเจ้าเล่ห์แสนกลของคนที่เป็นทนายความ คุณสายหยุด คุณฟังให้มันดีๆนะ คุณเดชาฟังให้ดึๆนะ ปั่นเสร็จแล้วจงใจหลอกลวงลูกความที่ไม่ค่อยรู้เรื่องทางกฎหมาย ผมไม่รู้ว่าคุณสองคนเคยหลอกลวงใครหรือเปล่า แต่ผมเพียงแต่อยากจะเตือนให้คุณฟังให้ดีๆ เพราะว่าคุณยืนข้างษิทรา เบี้ยบังเกิด.บทสรุปของเรื่องนี้ก็คือว่า ระหว่างทนายตั้มที่ทำความเลวให้กับคุณอ้อย กับนักการเมืองที่ทำความชั่วให้กับแผ่นดินไทย ฮุบพื้นที่ดินของแผ่นดินไทยเป็นของตัวเองนั้น เปรียบเทียบกันแล้ว ใครเลวกว่าใคร
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts