• ผู้ร่วมเกิดในขันธ์5 (รูป-นาม)
    มีดวงจิตที่ยังละกิเลสความอยากไม่ได้ ต้องผจญทุกข์
    เหมือนๆกัน
    ต้องดูแลรูป(ร่างกาย)ไม่ให้เจ็บป่วย และต้องคอยดูแลบำรุงรักษาร่างกาย
    ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ซ้ำๆกันทุกวัน
    ต้องใช้นาม คือใช้จิตวิญญาณในการรับรู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ผ่านทางอวัยวะต่างๆของร่างกาย
    เป็นกลไกในการดำรงชีวิต
    เหมือนๆกัน
    ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจในกลไกชีวิต ขันธ์5-รูปกับนาม
    เราก็จะเข้าใจในการใช้ชีวิตของทุกชีวิตที่เกิดมาบนผืนโลกใบนี้
    ผู้ร่วมเกิดในขันธ์5 (รูป-นาม) มีดวงจิตที่ยังละกิเลสความอยากไม่ได้ ต้องผจญทุกข์ เหมือนๆกัน ต้องดูแลรูป(ร่างกาย)ไม่ให้เจ็บป่วย และต้องคอยดูแลบำรุงรักษาร่างกาย ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ซ้ำๆกันทุกวัน ต้องใช้นาม คือใช้จิตวิญญาณในการรับรู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ผ่านทางอวัยวะต่างๆของร่างกาย เป็นกลไกในการดำรงชีวิต เหมือนๆกัน ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจในกลไกชีวิต ขันธ์5-รูปกับนาม เราก็จะเข้าใจในการใช้ชีวิตของทุกชีวิตที่เกิดมาบนผืนโลกใบนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์บทความของเพจเฟซบุ๊กKornkit Disthan ของกรกิจ ดิษฐาน ที่น่าสนใจวันนี้เขียนเยอะที่สุดแล้วในหนึ่งวัน เพราะมีแต่เรื่องทั้งวัน เพราะไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมามี "คำเตือน" จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาฯ ในกรุงเทพ ว่า "...รัฐบาลไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 45 คนกลับประเทศจีน การเนรเทศในลักษณะเดียวกันนี้เคยก่อให้เกิดการโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการเนรเทศชาวอุยกูร์ออกจากประเทศไทยในปี 2015 ได้เกิดเหตุอุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณในกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 รายและบาดเจ็บอีก 125 ราย เนื่องจากศาลแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก (จึงตกเป็นเป้าหมายของพวกอุยกูร์)" ดังนั้น ทางสถานทูตจึงแนะนำพลเมืองสหรัฐฯ ในไทยว่า "เพิ่มความระมัดระวังและเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านซึ่งนักท่องเที่ยวมักไป เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้"คำเตือนนี้ จะว่าไปก็เหมาะสมในแง่ "กันไว้ก่อน" แต่มันอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้ "ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยบอกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้ได้อ่านเงื่อนไขของทางจีนแล้วว่าจะให้ดำรงชีวิตตามปกติ จึงยอมสมัครใจกลับจีนเอง ซึ่งจะจริงไม่จริงนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน แต่ถ้าอิงตามนี้ว่าสมัครใจกลับเอง แล้ว "ใครกันแน่ที่จะเดือนร้อนแทนคนเหล่านี้จนต้องก่อการร้ายในไทย?"การทำเช่นนั้นอาจจะยิ่งทำให้ไทยเข้าใกล้จีนเข้าไปอีก หรืออาจบีบต้องมีปฏิบัติการใหม่ระว่างไทย-จีนที่กวาดล้างผู้ก่อการร้ายเพิ่มเติมจากตอนนี้ที่กำลังร่วมมือกวาดล้างสแกมเมอร์และถ้าชาวอุยกูร์เหล่านี้เป็นปัจจัยให้เกิดการก่อการร้ายในไทยขึ้นมาจริงๆ การส่งไปให้จีนก็ยิ่งชอบธรรม เพราะเท่ากับว่าถ้าส่งตัวคนเหล่านี้ออกไปตะวันตกหรือตุรกีหรือตะวันออกกลาง ไม่กลายเป็นการ "ปล่อยเสือเข้าป่า" หรอกหรือ? เพราะชาวอุยกูร์ที่ไปทางตะวันตก ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแอกทิวิสต์เชิงสันติ แต่ที่ออกไปรบในตะวันออกกลางมีเป็นพันคน และตอนนี้ฮึกเหิมอยากจะก่อญิฮาดกับจีนใจจะขาดอีกประเทศหนึ่งที่เตือน คือกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ออกคำเตือนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เรียกว่าไวกว่าสหรัฐฯ เสียอีก โดยเตือนไว้ว่า "ในกรุงเทพมหานคร หลังจากชาวอุยกูร์ถูกเนรเทศกลับประเทศจีน ในปี 2015 ได้เกิดระเบิดขึ้นที่สี่แยกราชประสงค์ ใกล้ศาลพระพรหมเอราวัณ เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปีเดียวกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย และบาดเจ็บ 125 ราย รวมทั้งชาวญี่ปุ่นด้วย ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและนักท่องเที่ยวควรพยายามหาข้อมูลล่าสุดและดำเนินการดังต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะบริเวณรอบสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดงาน ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ระบบขนส่งสาธารณะ สถานที่ทางศาสนา ฯลฯ ที่มีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกัน มักตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง"เนื่องจากมีชาวญี่ปุ่นเป็นเหยื่อการระเบิดศาลพระพรหมครั้งนั้นด้วย จึงสมเหตุผลที่ทางการญี่ปุ่นต้องเตือน และน่าสังเกตว่าเหตุผลของการเตือนของญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ นั้นเหมือนกันอย่างมากแต่ก็มีบริบทแวดล้อมที่ควรทราบคือ ทางการญี่ปุ่นขู่ตอบโต้และขู่จะเล่นงานจีนมาหลายปีแล้วเรื่องที่ (พันธมิตรตะวันตก) อ้างว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ และคอยช่วยเหลือชาวอุยกูร์ จัดการประชุมชาวอุยกูร์จากทั่วโลกในญี่ปุ่น ประเด็นนี้จึงเป็น "เรื่องการเมือง" ที่ญี่ปุ่นคอยใช้กระซวกจีนมาตลอดด้วย มีเหตุผลที่ต้องพิจารณาเอาไว้ในใจว่า สหรัฐ ญี่ปุ่น และชาติ G7 ทั้งหมด ใช้ประเด็นอุยกูร์โจมตีและคว่ำบาตรจีน ดังนั้นประเทศที่ร่วมมือกับจีนเรื่องอุยกูร์ ก็ควรจะตระหนักถึงผลลัพธ์ที่จะเจอจากกลุ่มนี้เอาไว้ด้วยอีกด้านหนึ่งที่ควรทราบไว้แม้ว่าจะเกี่ยวข้องแบบห่างๆ ก็คือญี่ปุ่นก็ให้การคุ้มครองชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยมายังญี่ปุ่น และคนเหล่านี้ได้ก่อตั้งสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น (日本ウイグル協会) ขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านจีนผู้ให้การสนับสนุน/เป็นพันธมิตรของสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น คือ สมาคมกัมบาเระนิปปง (頑張れ日本!) ซึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมญี่ปุ่น/ฝ่ายขวาจัด และเกี่ยวข้องกับนักการเมืองและพรรคการเมืองที่เอียงไปทางขวาเหมือนกัน แน่นอนว่ากลุ่มนี้ก็ต่อต้านจีนเช่นกันหนึ่งในกลุ่มที่สนับสนุนอุยกูร์ คือ สมาชิกพรรครัฐบาล LDP เช่นที่ปรึกษาของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ
    รีโพสต์บทความของเพจเฟซบุ๊กKornkit Disthan ของกรกิจ ดิษฐาน ที่น่าสนใจวันนี้เขียนเยอะที่สุดแล้วในหนึ่งวัน เพราะมีแต่เรื่องทั้งวัน เพราะไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมามี "คำเตือน" จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาฯ ในกรุงเทพ ว่า "...รัฐบาลไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 45 คนกลับประเทศจีน การเนรเทศในลักษณะเดียวกันนี้เคยก่อให้เกิดการโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการเนรเทศชาวอุยกูร์ออกจากประเทศไทยในปี 2015 ได้เกิดเหตุอุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณในกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 รายและบาดเจ็บอีก 125 ราย เนื่องจากศาลแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก (จึงตกเป็นเป้าหมายของพวกอุยกูร์)" ดังนั้น ทางสถานทูตจึงแนะนำพลเมืองสหรัฐฯ ในไทยว่า "เพิ่มความระมัดระวังและเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านซึ่งนักท่องเที่ยวมักไป เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้"คำเตือนนี้ จะว่าไปก็เหมาะสมในแง่ "กันไว้ก่อน" แต่มันอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้ "ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยบอกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้ได้อ่านเงื่อนไขของทางจีนแล้วว่าจะให้ดำรงชีวิตตามปกติ จึงยอมสมัครใจกลับจีนเอง ซึ่งจะจริงไม่จริงนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน แต่ถ้าอิงตามนี้ว่าสมัครใจกลับเอง แล้ว "ใครกันแน่ที่จะเดือนร้อนแทนคนเหล่านี้จนต้องก่อการร้ายในไทย?"การทำเช่นนั้นอาจจะยิ่งทำให้ไทยเข้าใกล้จีนเข้าไปอีก หรืออาจบีบต้องมีปฏิบัติการใหม่ระว่างไทย-จีนที่กวาดล้างผู้ก่อการร้ายเพิ่มเติมจากตอนนี้ที่กำลังร่วมมือกวาดล้างสแกมเมอร์และถ้าชาวอุยกูร์เหล่านี้เป็นปัจจัยให้เกิดการก่อการร้ายในไทยขึ้นมาจริงๆ การส่งไปให้จีนก็ยิ่งชอบธรรม เพราะเท่ากับว่าถ้าส่งตัวคนเหล่านี้ออกไปตะวันตกหรือตุรกีหรือตะวันออกกลาง ไม่กลายเป็นการ "ปล่อยเสือเข้าป่า" หรอกหรือ? เพราะชาวอุยกูร์ที่ไปทางตะวันตก ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแอกทิวิสต์เชิงสันติ แต่ที่ออกไปรบในตะวันออกกลางมีเป็นพันคน และตอนนี้ฮึกเหิมอยากจะก่อญิฮาดกับจีนใจจะขาดอีกประเทศหนึ่งที่เตือน คือกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ออกคำเตือนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เรียกว่าไวกว่าสหรัฐฯ เสียอีก โดยเตือนไว้ว่า "ในกรุงเทพมหานคร หลังจากชาวอุยกูร์ถูกเนรเทศกลับประเทศจีน ในปี 2015 ได้เกิดระเบิดขึ้นที่สี่แยกราชประสงค์ ใกล้ศาลพระพรหมเอราวัณ เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปีเดียวกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย และบาดเจ็บ 125 ราย รวมทั้งชาวญี่ปุ่นด้วย ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและนักท่องเที่ยวควรพยายามหาข้อมูลล่าสุดและดำเนินการดังต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะบริเวณรอบสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดงาน ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ระบบขนส่งสาธารณะ สถานที่ทางศาสนา ฯลฯ ที่มีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกัน มักตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง"เนื่องจากมีชาวญี่ปุ่นเป็นเหยื่อการระเบิดศาลพระพรหมครั้งนั้นด้วย จึงสมเหตุผลที่ทางการญี่ปุ่นต้องเตือน และน่าสังเกตว่าเหตุผลของการเตือนของญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ นั้นเหมือนกันอย่างมากแต่ก็มีบริบทแวดล้อมที่ควรทราบคือ ทางการญี่ปุ่นขู่ตอบโต้และขู่จะเล่นงานจีนมาหลายปีแล้วเรื่องที่ (พันธมิตรตะวันตก) อ้างว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ และคอยช่วยเหลือชาวอุยกูร์ จัดการประชุมชาวอุยกูร์จากทั่วโลกในญี่ปุ่น ประเด็นนี้จึงเป็น "เรื่องการเมือง" ที่ญี่ปุ่นคอยใช้กระซวกจีนมาตลอดด้วย มีเหตุผลที่ต้องพิจารณาเอาไว้ในใจว่า สหรัฐ ญี่ปุ่น และชาติ G7 ทั้งหมด ใช้ประเด็นอุยกูร์โจมตีและคว่ำบาตรจีน ดังนั้นประเทศที่ร่วมมือกับจีนเรื่องอุยกูร์ ก็ควรจะตระหนักถึงผลลัพธ์ที่จะเจอจากกลุ่มนี้เอาไว้ด้วยอีกด้านหนึ่งที่ควรทราบไว้แม้ว่าจะเกี่ยวข้องแบบห่างๆ ก็คือญี่ปุ่นก็ให้การคุ้มครองชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยมายังญี่ปุ่น และคนเหล่านี้ได้ก่อตั้งสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น (日本ウイグル協会) ขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านจีนผู้ให้การสนับสนุน/เป็นพันธมิตรของสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น คือ สมาคมกัมบาเระนิปปง (頑張れ日本!) ซึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมญี่ปุ่น/ฝ่ายขวาจัด และเกี่ยวข้องกับนักการเมืองและพรรคการเมืองที่เอียงไปทางขวาเหมือนกัน แน่นอนว่ากลุ่มนี้ก็ต่อต้านจีนเช่นกันหนึ่งในกลุ่มที่สนับสนุนอุยกูร์ คือ สมาชิกพรรครัฐบาล LDP เช่นที่ปรึกษาของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • 54 ปี ลอบสังหาร “ครูโกมล คีมทอง” คอมมิวนิสต์เข้าใจผิด! คิดว่าเป็น… สายลับรัฐบาลไทย

    ย้อนรอยโศกนาฏกรรม ครูหนุ่มผู้มุ่งมั่นเพื่อการศึกษาในชนบท แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า ท่ามกลางความเข้าใจผิด ในยุคสมัย ที่ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ร้อนระอุ

    📌 เหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ยังเป็นปริศนา ย้อนไปเมื่อ 54 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 เสียงปืนดังขึ้นที่บ้านเหนือคลอง หมู่ที่ 4 ตำบลสินเจริญ กิ่งอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทำให้ครูหนุ่มวัยเพียง 24 ปี ต้องจบชีวิตลงอย่างโหดร้าย

    "โกมล คีมทอง ครูหนุ่มที่มีอุดมการณ์แรงกล้า มุ่งมั่นที่จะพัฒนาเยาวชน ในพื้นที่ห่างไกล ผ่านระบบการศึกษา ที่เหมาะสมกับชุมชน ทว่า… ด้วยความเข้าใจผิด ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ทำให้ถูกตราหน้าว่า เป็นสายลับของรัฐบาลไทย และนำไปสู่การสังหารอันน่าเศร้า

    เรื่องราวของครูโกมล เต็มไปด้วยความซับซ้อน เป็นเหยื่อของสงครามอุดมการณ์ ที่ทั้งฝ่ายรัฐ และฝ่ายคอมมิวนิสต์ ต่างก็เพ่งเล็งและไม่ไว้ใจ จนกระทั่งความเข้าใจผิดครั้งใหญ่ ได้คร่าชีวิตพร้อมเพื่อนร่วมอุดมการณ์ อีกสองคน

    📖 ครูโกมล คีมทอง จากเด็กหนุ่มหัวใจนักสู้ สู่ครูผู้เสียสละ
    👦🏻 "ครูโกมล คีมทอง" เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2489 ที่ จังหวัดสุโขทัย เติบโตขึ้นมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญ กับการศึกษา

    จบชั้นประถมศึกษา จากโรงเรียนบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยม จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพฯ และเข้าศึกษาต่อ ที่คณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นครู

    🎓 เส้นทางสู่อาชีพครู และอุดมการณ์ที่แรงกล้า
    ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย โกมลเป็นนิสิตที่กระตือรือร้น เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสา และค่ายพัฒนาชนบทเป็นประจำ ทำให้เห็นถึงความลำบากของเด็ก ในพื้นที่ห่างไกล และตัดสินใจแน่วแน่ว่า "ชีวิตนี้จะอุทิศให้กับการศึกษาในชนบท"

    ในปีสุดท้ายของการเรียน ครูโกมลได้รับโอกาสเข้าร่วม “ค่ายพัฒนากำลังคน เหมืองห้วยในเขา” ซึ่งจัดขึ้นที่เหมืองแร่แห่งหนึ่ง ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่นี่เอง ที่โกมลได้เห็นปัญหาการศึกษาของเด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล และตัดสินใจที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ "สร้างโรงเรียนชุมชน"

    🏫 โรงเรียนชุมชนที่เหมืองห้วยในเขา อุดมการณ์ที่เป็นภัย
    🎯 จุดมุ่งหมายของครูโกมล โรงเรียนที่ครูโกมลตั้งใจสร้าง ไม่ใช่แค่สถานศึกษาแบบทั่วไป แต่เป็นโรงเรียนที่ออกแบบมา ให้เหมาะกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน

    ✔️ หลักสูตรพิเศษ เน้นวิชาที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิต เช่น การเกษตร ปศุสัตว์ และงานช่าง
    ✔️ วัฒนธรรมท้องถิ่น ส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรม เช่น หนังตะลุง มโนราห์ และนิทานพื้นบ้าน
    ✔️ ชุมชนเป็นศูนย์กลาง โรงเรียนได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้าน ไม่ใช่รัฐ

    แนวคิดเช่นนี้ ทำให้ทั้งรัฐบาล และพรรคคอมมิวนิสต์จับตามอง ด้วยความสงสัยว่า "แท้จริงแล้ว ครูโกมลทำงานให้ฝ่ายใด?"

    🔥 สงครามอุดมการณ์ จุดเริ่มต้นของความหวาดระแวง
    🏴 ฝ่ายรัฐบาลมองว่า ครูโกมลเป็น "แนวร่วมคอมมิวนิสต์"
    รัฐบาลไทยในขณะนั้น มีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ อย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่รัฐบางคนเห็นว่า แนวคิดของครูโกมล อาจสนับสนุนอุดมการณ์ ของพรรคคอมมิวนิสต์ โรงเรียนของครูโกมล ไม่ได้ใช้หลักสูตร จากกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า อาจเป็นศูนย์กลาง ของขบวนการล้มล้างอำนาจรัฐ

    🚩 ฝ่ายคอมมิวนิสต์มองว่า "สายลับรัฐบาล"
    ขณะนั้น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) กำลังทำสงครามกองโจร กับรัฐบาลไทย การที่ครูโกมล เดินทางไปพบปะชาวบ้าน ถ่ายภาพ และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรม ทำให้พคท.เข้าใจว่ากำลังสอดแนม อีกทั้งการที่ครูโกมล ได้รับเงินสนับสนุนจาก "มูลนิธิเอเชีย" ซึ่งเป็นองค์กรต่างชาติ ยิ่งทำให้พคท.เชื่อว่า กำลังทำงานให้รัฐบาลไทย สุดท้าย... ความเข้าใจผิดนี้ นำไปสู่โศกนาฏกรรม ที่ไม่มีวันย้อนคืน

    ☠️ โศกนาฏกรรม คืนสังหารที่ไม่มีวันลืม
    22 กุมภาพันธ์ 2514 📍 บ้านเหนือคลอง อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
    ครูโกมล คีมทอง, รัตนา สกุลไทย บัณฑิตอักษรศาสตร์ จุฬาฯ และเสรี ปรีชา หมอเร่ขายยา ถูกกลุ่มกองกำลัง พรรคคอมมิวนิสต จับตัวไป และถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด

    หลังจากเหตุการณ์นี้ รัฐบาลไทยได้โปรยใบปลิวปฏิเสธว่า "ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหาร" ขณะที่ พคท. ออกมายอมรับในเวลาต่อมาว่า "เป็นผู้ลงมือสังหาร เนื่องจากเข้าใจผิดคิดว่า ครูโกมลเป็นสายลับรัฐบาลไทย"

    🏛️ แม้ว่า "ครูโกมล คีมทอง" จะจากไป แต่สิ่งที่ได้ทำไว้ ยังคงเป็นที่จดจำ
    ✔️ การเสียสละทำให้เกิด “มูลนิธิโกมล คีมทอง” ในปี พ.ศ. 2514
    ✔️ สร้างแรงบันดาลใจ ให้คนรุ่นหลังอุทิศตน เพื่อพัฒนาสังคม
    ✔️ หลักสูตรการศึกษา ที่เน้นชุมชนเป็นศูนย์กลาง ยังคงเป็นแนวคิด ที่นำมาใช้ในการศึกษายุคใหม่

    🎭 ครูโกมลถูกฆ่าโดยใคร?
    👉 ฝ่ายรัฐบาล หรือ พรรคคอมมิวนิสต์?
    👉 เป็นเพียงครูธรรมดา หรือมีบทบาทที่ลึกซึ้งกว่านั้น?
    👉 ถ้าไม่มีการสังหารในวันนั้น ครูโกมลจะสามารถเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทย ได้มากแค่ไหน?

    แม้ข้อเท็จจริง จะได้รับการเปิดเผยไปแล้ว แต่คำถามเหล่านี้ ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันมา จนถึงทุกวันนี้...

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221245 ก.พ. 2568

    #️⃣ #ครูโกมลคีมทอง #54ปีลอบสังหาร #โกมลคีมทอง #ประวัติศาสตร์ไทย #คอมมิวนิสต์ไทย #การศึกษาชนบท #ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ #มูลนิธิโกมลคีมทอง #ครูผู้เสียสละ #ประวัติศาสตร์ต้องรู้
    54 ปี ลอบสังหาร “ครูโกมล คีมทอง” คอมมิวนิสต์เข้าใจผิด! คิดว่าเป็น… สายลับรัฐบาลไทย ย้อนรอยโศกนาฏกรรม ครูหนุ่มผู้มุ่งมั่นเพื่อการศึกษาในชนบท แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า ท่ามกลางความเข้าใจผิด ในยุคสมัย ที่ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ร้อนระอุ 📌 เหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ยังเป็นปริศนา ย้อนไปเมื่อ 54 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 เสียงปืนดังขึ้นที่บ้านเหนือคลอง หมู่ที่ 4 ตำบลสินเจริญ กิ่งอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทำให้ครูหนุ่มวัยเพียง 24 ปี ต้องจบชีวิตลงอย่างโหดร้าย "โกมล คีมทอง ครูหนุ่มที่มีอุดมการณ์แรงกล้า มุ่งมั่นที่จะพัฒนาเยาวชน ในพื้นที่ห่างไกล ผ่านระบบการศึกษา ที่เหมาะสมกับชุมชน ทว่า… ด้วยความเข้าใจผิด ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ทำให้ถูกตราหน้าว่า เป็นสายลับของรัฐบาลไทย และนำไปสู่การสังหารอันน่าเศร้า เรื่องราวของครูโกมล เต็มไปด้วยความซับซ้อน เป็นเหยื่อของสงครามอุดมการณ์ ที่ทั้งฝ่ายรัฐ และฝ่ายคอมมิวนิสต์ ต่างก็เพ่งเล็งและไม่ไว้ใจ จนกระทั่งความเข้าใจผิดครั้งใหญ่ ได้คร่าชีวิตพร้อมเพื่อนร่วมอุดมการณ์ อีกสองคน 📖 ครูโกมล คีมทอง จากเด็กหนุ่มหัวใจนักสู้ สู่ครูผู้เสียสละ 👦🏻 "ครูโกมล คีมทอง" เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2489 ที่ จังหวัดสุโขทัย เติบโตขึ้นมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญ กับการศึกษา จบชั้นประถมศึกษา จากโรงเรียนบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยม จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพฯ และเข้าศึกษาต่อ ที่คณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นครู 🎓 เส้นทางสู่อาชีพครู และอุดมการณ์ที่แรงกล้า ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย โกมลเป็นนิสิตที่กระตือรือร้น เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสา และค่ายพัฒนาชนบทเป็นประจำ ทำให้เห็นถึงความลำบากของเด็ก ในพื้นที่ห่างไกล และตัดสินใจแน่วแน่ว่า "ชีวิตนี้จะอุทิศให้กับการศึกษาในชนบท" ในปีสุดท้ายของการเรียน ครูโกมลได้รับโอกาสเข้าร่วม “ค่ายพัฒนากำลังคน เหมืองห้วยในเขา” ซึ่งจัดขึ้นที่เหมืองแร่แห่งหนึ่ง ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่นี่เอง ที่โกมลได้เห็นปัญหาการศึกษาของเด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล และตัดสินใจที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ "สร้างโรงเรียนชุมชน" 🏫 โรงเรียนชุมชนที่เหมืองห้วยในเขา อุดมการณ์ที่เป็นภัย 🎯 จุดมุ่งหมายของครูโกมล โรงเรียนที่ครูโกมลตั้งใจสร้าง ไม่ใช่แค่สถานศึกษาแบบทั่วไป แต่เป็นโรงเรียนที่ออกแบบมา ให้เหมาะกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน ✔️ หลักสูตรพิเศษ เน้นวิชาที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิต เช่น การเกษตร ปศุสัตว์ และงานช่าง ✔️ วัฒนธรรมท้องถิ่น ส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรม เช่น หนังตะลุง มโนราห์ และนิทานพื้นบ้าน ✔️ ชุมชนเป็นศูนย์กลาง โรงเรียนได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้าน ไม่ใช่รัฐ แนวคิดเช่นนี้ ทำให้ทั้งรัฐบาล และพรรคคอมมิวนิสต์จับตามอง ด้วยความสงสัยว่า "แท้จริงแล้ว ครูโกมลทำงานให้ฝ่ายใด?" 🔥 สงครามอุดมการณ์ จุดเริ่มต้นของความหวาดระแวง 🏴 ฝ่ายรัฐบาลมองว่า ครูโกมลเป็น "แนวร่วมคอมมิวนิสต์" รัฐบาลไทยในขณะนั้น มีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ อย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่รัฐบางคนเห็นว่า แนวคิดของครูโกมล อาจสนับสนุนอุดมการณ์ ของพรรคคอมมิวนิสต์ โรงเรียนของครูโกมล ไม่ได้ใช้หลักสูตร จากกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า อาจเป็นศูนย์กลาง ของขบวนการล้มล้างอำนาจรัฐ 🚩 ฝ่ายคอมมิวนิสต์มองว่า "สายลับรัฐบาล" ขณะนั้น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) กำลังทำสงครามกองโจร กับรัฐบาลไทย การที่ครูโกมล เดินทางไปพบปะชาวบ้าน ถ่ายภาพ และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรม ทำให้พคท.เข้าใจว่ากำลังสอดแนม อีกทั้งการที่ครูโกมล ได้รับเงินสนับสนุนจาก "มูลนิธิเอเชีย" ซึ่งเป็นองค์กรต่างชาติ ยิ่งทำให้พคท.เชื่อว่า กำลังทำงานให้รัฐบาลไทย สุดท้าย... ความเข้าใจผิดนี้ นำไปสู่โศกนาฏกรรม ที่ไม่มีวันย้อนคืน ☠️ โศกนาฏกรรม คืนสังหารที่ไม่มีวันลืม 22 กุมภาพันธ์ 2514 📍 บ้านเหนือคลอง อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครูโกมล คีมทอง, รัตนา สกุลไทย บัณฑิตอักษรศาสตร์ จุฬาฯ และเสรี ปรีชา หมอเร่ขายยา ถูกกลุ่มกองกำลัง พรรคคอมมิวนิสต จับตัวไป และถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด หลังจากเหตุการณ์นี้ รัฐบาลไทยได้โปรยใบปลิวปฏิเสธว่า "ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหาร" ขณะที่ พคท. ออกมายอมรับในเวลาต่อมาว่า "เป็นผู้ลงมือสังหาร เนื่องจากเข้าใจผิดคิดว่า ครูโกมลเป็นสายลับรัฐบาลไทย" 🏛️ แม้ว่า "ครูโกมล คีมทอง" จะจากไป แต่สิ่งที่ได้ทำไว้ ยังคงเป็นที่จดจำ ✔️ การเสียสละทำให้เกิด “มูลนิธิโกมล คีมทอง” ในปี พ.ศ. 2514 ✔️ สร้างแรงบันดาลใจ ให้คนรุ่นหลังอุทิศตน เพื่อพัฒนาสังคม ✔️ หลักสูตรการศึกษา ที่เน้นชุมชนเป็นศูนย์กลาง ยังคงเป็นแนวคิด ที่นำมาใช้ในการศึกษายุคใหม่ 🎭 ครูโกมลถูกฆ่าโดยใคร? 👉 ฝ่ายรัฐบาล หรือ พรรคคอมมิวนิสต์? 👉 เป็นเพียงครูธรรมดา หรือมีบทบาทที่ลึกซึ้งกว่านั้น? 👉 ถ้าไม่มีการสังหารในวันนั้น ครูโกมลจะสามารถเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทย ได้มากแค่ไหน? แม้ข้อเท็จจริง จะได้รับการเปิดเผยไปแล้ว แต่คำถามเหล่านี้ ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันมา จนถึงทุกวันนี้... ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221245 ก.พ. 2568 #️⃣ #ครูโกมลคีมทอง #54ปีลอบสังหาร #โกมลคีมทอง #ประวัติศาสตร์ไทย #คอมมิวนิสต์ไทย #การศึกษาชนบท #ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ #มูลนิธิโกมลคีมทอง #ครูผู้เสียสละ #ประวัติศาสตร์ต้องรู้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 737 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับสิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของมนุษย์ สิ่งมีชีวิตบนโลก รวมทั้งมนุษย์ พึ่งพาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการดำรงชีวิต ในขณะที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิต แต่ก็อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศได้หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม

    ### ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความสมดุลนี้ ได้แก่:
    1. **การใช้นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม**
    - เทคโนโลยีสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาพลังงานสะอาด (พลังงานแสงอาทิตย์ ลม) การใช้ยานพาหนะไฟฟ้า และการรีไซเคิลขยะ
    - เทคโนโลยีช่วยในการตรวจสอบและจัดการสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ดาวเทียมเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    2. **ผลกระทบเชิงลบของเทคโนโลยี**
    - การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมากเพื่อผลิตเทคโนโลยี เช่น การขุดแร่หายากสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    - มลพิษจากกระบวนการผลิตและขยะอิเล็กทรอนิกส์
    - การรบกวนระบบนิเวศจากการขยายตัวของเมืองและอุตสาหกรรม

    3. **การปรับตัวของสิ่งมีชีวิต**
    - สิ่งมีชีวิตหลายชนิดต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่เกิดจากเทคโนโลยี เช่น มลพิษทางอากาศและน้ำ
    - การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพเนื่องจากที่อยู่อาศัยถูกทำลาย

    4. **บทบาทของมนุษย์ในการสร้างสมดุล**
    - มนุษย์ต้องรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยีอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    - การส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืนและการลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น
    - การสนับสนุนนโยบายและกฎหมายที่ส่งเสริมการปกป้องสิ่งแวดล้อม

    ### สรุป:
    ความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับสิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการจัดการอย่างรอบคอบ มนุษย์ในฐานะผู้ใช้เทคโนโลยีต้องตระหนักถึงผลกระทบและพยายามลดการทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ทั้งเทคโนโลยีและสิ่งมีชีวิตสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
    ความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับสิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของมนุษย์ สิ่งมีชีวิตบนโลก รวมทั้งมนุษย์ พึ่งพาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการดำรงชีวิต ในขณะที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิต แต่ก็อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศได้หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม ### ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความสมดุลนี้ ได้แก่: 1. **การใช้นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม** - เทคโนโลยีสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาพลังงานสะอาด (พลังงานแสงอาทิตย์ ลม) การใช้ยานพาหนะไฟฟ้า และการรีไซเคิลขยะ - เทคโนโลยีช่วยในการตรวจสอบและจัดการสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ดาวเทียมเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2. **ผลกระทบเชิงลบของเทคโนโลยี** - การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมากเพื่อผลิตเทคโนโลยี เช่น การขุดแร่หายากสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ - มลพิษจากกระบวนการผลิตและขยะอิเล็กทรอนิกส์ - การรบกวนระบบนิเวศจากการขยายตัวของเมืองและอุตสาหกรรม 3. **การปรับตัวของสิ่งมีชีวิต** - สิ่งมีชีวิตหลายชนิดต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่เกิดจากเทคโนโลยี เช่น มลพิษทางอากาศและน้ำ - การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพเนื่องจากที่อยู่อาศัยถูกทำลาย 4. **บทบาทของมนุษย์ในการสร้างสมดุล** - มนุษย์ต้องรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยีอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม - การส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืนและการลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น - การสนับสนุนนโยบายและกฎหมายที่ส่งเสริมการปกป้องสิ่งแวดล้อม ### สรุป: ความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับสิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการจัดการอย่างรอบคอบ มนุษย์ในฐานะผู้ใช้เทคโนโลยีต้องตระหนักถึงผลกระทบและพยายามลดการทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ทั้งเทคโนโลยีและสิ่งมีชีวิตสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 313 มุมมอง 0 รีวิว
  • แคลอรี่ว่างเปล่า (Empty Calories)

    อาหารทุกชนิดมีแคลอรี และร่างกายจะใช้แคลอรีทั้งหมดเป็นพลังงานทันที และอาจเก็บไว้เป็นไกลโคเจนเพื่อเป็นแหล่งพลังงานในอนาคตหรือเปลี่ยนเป็นไขมัน ขึ้นอยู่กับจำนวนแคลอรีที่คุณกินในช่วงระยะเวลาหนึ่ง อาหารบางชนิดอาจมีแคลอรีต่ำมาก เช่น ผักและผลไม้บางชนิด แต่นอกจากน้ำและสารให้ความหวานเทียมแล้ว ไม่มีอะไรที่คุณกินได้โดยไม่มีแคลอรีเลย

    สิ่งที่เรากินควรมีมากกว่าแค่แคลอรี่

    แน่นอนว่าเราต้องการแคลอรีเพื่อการดำรงชีวิต แต่ร่างกายต้องการอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น คาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุ โปรตีน วิตามิน ไฟเบอร์ และไขมันดี

    ผักมีวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อให้ทำงานได้อย่างปกติ เนื้อไม่ติดมันและปลาเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีซึ่งมีความสำคัญต่อกระบวนการซ่อมแซม การเจริญเติบโต และพัฒนาการของร่างกาย ไฟเบอร์ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้รู้สึกอิ่ม เป็นแหล่งที่อยู่ของจุลชีพฝั่งดีในลำไส้และกระตุ้นการขับถ่ายให้เป็นปกติ ส่วนไขมันดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินบางชนิดได้ดี

    แคลอรีว่างเปล่าก็คืออาหารที่มีแต่แคลอรี ซึ่งให้ประโยชน์แก่ร่างกายไม่ครบถ้วน

    แคลอรี่ว่างเปล่าสามารถให้พลังงานได้ทันที ส่งเสริมความอิ่ม แต่ไม่สามารถใช้สร้างกล้ามเนื้อ ไม่ให้วิตามินหรือให้ประโยชน์ทางโภชนาการอื่นๆ ได้ นอกจากนี้แคลอรี่ว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้เป็นพลังงานจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบของ ไขมัน

    ตามหลักการทั่วไป หากอาหารไม่มีสารอาหารหรือมีแคลอรีจากน้ำตาลและไขมันมากกว่าสารอาหาร ก็ถือว่าเป็นแหล่งแคลอรีว่างเปล่า หลักๆได้แก่:

    • เครื่องดื่มอัดลม เครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา ชาหวาน น้ำมะนาว และเครื่องดื่มชูกำลัง

    • อาหารขยะและอาหารจานด่วน

    • ลูกอม รวมทั้งลูกอมแข็งและลูกอมเคี้ยวหวานหรือเปรี้ยว

    • เค้กและโดนัท

    ทำไมแคลอรี่ว่างเปล่าถึงไม่ดี

    เมื่อคุณกินแคลอรีว่างเปล่า คุณมักจะกินเข้าไปเมื่อพิจารณาถึง ความเร่งรีบ ความอิ่มและการลดน้ำหนัก การรับประทานแคลอรี่ว่างเปล่ามากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงและเกิดการอักเสบ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานและโรคหัวใจได้

    ร่างกายต้องการอาหารที่ครบถ้วนในแต่ละมื้อ แคลอรีจำเป็นเพื่อให้พลังงานเท่านั้น
    สิ่งที่น่าห่วงใยที่สุด ก็คือสมอง

    เมื่อสมองขาดสารอาหารที่จำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งแร่ธาตุ ต่อมาคุณก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ การคิดอย่างมีสมาธิ การมีสติสัมปชัญญะ และความสามารถในการควบคุมอวัยวะอื่นๆ

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    แคลอรี่ว่างเปล่า (Empty Calories) อาหารทุกชนิดมีแคลอรี และร่างกายจะใช้แคลอรีทั้งหมดเป็นพลังงานทันที และอาจเก็บไว้เป็นไกลโคเจนเพื่อเป็นแหล่งพลังงานในอนาคตหรือเปลี่ยนเป็นไขมัน ขึ้นอยู่กับจำนวนแคลอรีที่คุณกินในช่วงระยะเวลาหนึ่ง อาหารบางชนิดอาจมีแคลอรีต่ำมาก เช่น ผักและผลไม้บางชนิด แต่นอกจากน้ำและสารให้ความหวานเทียมแล้ว ไม่มีอะไรที่คุณกินได้โดยไม่มีแคลอรีเลย สิ่งที่เรากินควรมีมากกว่าแค่แคลอรี่ แน่นอนว่าเราต้องการแคลอรีเพื่อการดำรงชีวิต แต่ร่างกายต้องการอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น คาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุ โปรตีน วิตามิน ไฟเบอร์ และไขมันดี ผักมีวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อให้ทำงานได้อย่างปกติ เนื้อไม่ติดมันและปลาเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีซึ่งมีความสำคัญต่อกระบวนการซ่อมแซม การเจริญเติบโต และพัฒนาการของร่างกาย ไฟเบอร์ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้รู้สึกอิ่ม เป็นแหล่งที่อยู่ของจุลชีพฝั่งดีในลำไส้และกระตุ้นการขับถ่ายให้เป็นปกติ ส่วนไขมันดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินบางชนิดได้ดี แคลอรีว่างเปล่าก็คืออาหารที่มีแต่แคลอรี ซึ่งให้ประโยชน์แก่ร่างกายไม่ครบถ้วน แคลอรี่ว่างเปล่าสามารถให้พลังงานได้ทันที ส่งเสริมความอิ่ม แต่ไม่สามารถใช้สร้างกล้ามเนื้อ ไม่ให้วิตามินหรือให้ประโยชน์ทางโภชนาการอื่นๆ ได้ นอกจากนี้แคลอรี่ว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้เป็นพลังงานจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบของ ไขมัน ตามหลักการทั่วไป หากอาหารไม่มีสารอาหารหรือมีแคลอรีจากน้ำตาลและไขมันมากกว่าสารอาหาร ก็ถือว่าเป็นแหล่งแคลอรีว่างเปล่า หลักๆได้แก่: • เครื่องดื่มอัดลม เครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา ชาหวาน น้ำมะนาว และเครื่องดื่มชูกำลัง • อาหารขยะและอาหารจานด่วน • ลูกอม รวมทั้งลูกอมแข็งและลูกอมเคี้ยวหวานหรือเปรี้ยว • เค้กและโดนัท ทำไมแคลอรี่ว่างเปล่าถึงไม่ดี เมื่อคุณกินแคลอรีว่างเปล่า คุณมักจะกินเข้าไปเมื่อพิจารณาถึง ความเร่งรีบ ความอิ่มและการลดน้ำหนัก การรับประทานแคลอรี่ว่างเปล่ามากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงและเกิดการอักเสบ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ ร่างกายต้องการอาหารที่ครบถ้วนในแต่ละมื้อ แคลอรีจำเป็นเพื่อให้พลังงานเท่านั้น สิ่งที่น่าห่วงใยที่สุด ก็คือสมอง เมื่อสมองขาดสารอาหารที่จำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งแร่ธาตุ ต่อมาคุณก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ การคิดอย่างมีสมาธิ การมีสติสัมปชัญญะ และความสามารถในการควบคุมอวัยวะอื่นๆ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 0 รีวิว
  • 763 ปีพญามังรายสร้าง “เมืองเชียงราย” หลังเสด็จตามรอยเท้าช้าง สร้างเวียงรอบดอยจอมทอง

    "เชียงราย" เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ ยาวนานกว่า 763 ปี โดยถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 1805 ตามบันทึกตำนานพื้นเมือง พญามังรายทรงเสด็จตามรอยเท้าช้าง มาทางทิศตะวันออก ก่อนจะเลือกชัยภูมิริมฝั่งแม่น้ำกก และดอยจอมทองในการก่อตั้งเมืองเชียงรายแห่งนี้ โดยสร้างเป็นเวียงล้อมรอบดอยจอมทองให้มีความมั่นคง และเป็นศูนย์กลางการปกครอง ในยุคนั้น

    เมืองเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงแค่เมืองประวัติศาสตร์ แต่ยังสะท้อนถึงภูมิปัญญา และความเฉลียวฉลาดของพญามังราย ในการเลือกพื้นที่ ที่เหมาะสมสำหรับการตั้งถิ่นฐาน ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเมือง มาจนถึงปัจจุบัน 🌄

    พญามังราย ราชาผู้ก่อตั้งล้านนา
    "พญามังราย" หรือที่รู้จักกันในนาม "ปฐมกษัตริย์แห่งล้านนา" เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และขยายอาณาจักรล้านนา พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ในปี พ.ศ. 1802 เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 25 แห่งหิรัญนครเงินยางเชียงลาว โดยตลอดรัชสมัย พระองค์ได้สร้างเมืองสำคัญหลายแห่ง เช่น

    - เมืองเชียงราย ศูนย์กลางการปกครองแห่งแรก ของพระองค์
    - เวียงกุมกาม เมืองต้นแบบก่อนการสร้างเชียงใหม่
    - เมืองเชียงใหม่ เมืองที่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา

    พระนามของพญามังราย ได้รับการบันทึกไว้ในเอกสาร และหลักฐานประวัติศาสตร์มากมาย เช่น จารึกวัดพระยืน (พ.ศ. 1912) และมังรายศาสตร์ ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญ และบทบาทของพระองค์ ในฐานะผู้วางรากฐานอาณาจักรล้านนา

    เหตุผลที่เลือกดอยจอมทอง เป็นที่ตั้งเมือง
    ชัยภูมิของดอยจอมทอง ที่ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำกก มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง ต่อการตั้งเมืองในยุคนั้น เนื่องจาก

    - ความปลอดภัย ดอยจอมทองเป็นที่สูง ช่วยให้การป้องกันเมืองจากศัตรูง่ายขึ้น
    - ทรัพยากรธรรมชาติ แม่น้ำกกที่ไหลผ่าน เป็นแหล่งน้ำสำคัญ สำหรับการดำรงชีวิตและการเกษตร 🌾
    - การคมนาคม แม่น้ำกกยังเป็นเส้นทางการค้า และการเดินทางระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ

    พญามังรายทรงมองเห็นถึง ความสำคัญของพื้นที่แห่งนี้ จึงได้วางรากฐานให้เชียงราย กลายเป็นเมืองที่รุ่งเรือง และมั่นคง

    บทบาทของเชียงราย ในยุคอาณาจักรล้านนา
    หลังจากการสร้างเมืองเชียงราย พญามังรายได้ครองราชย์ และพัฒนาเมือง ให้เป็นศูนย์กลางการปกครอง แห่งแรกของอาณาจักรล้านนา ก่อนจะย้ายไปสร้างเมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 1839 เมืองเชียงราย จึงกลายเป็นที่ตั้งของพระราชโอรส พญาไชยสงคราม ผู้สืบทอดราชสมบัติ ต่อจากพญามังราย

    ในยุคต่อมา เมื่ออาณาจักรล้านนา ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพม่า ในปี พ.ศ. 2101 เมืองเชียงรายยังคงมีบทบาทสำคัญ ในฐานะเมืองยุทธศาสตร์ แต่ในช่วงสงคราม ระหว่างสยามและพม่า เมืองเชียงรายเริ่มร้างผู้คน เนื่องจากประชาชน ต้องอพยพหนีภัยสงคราม

    ฟื้นฟูเมืองเชียงราย ในสมัยรัตนโกสินทร์
    ในปี พ.ศ. 2386 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชานุญาต ให้เจ้าหลวงเชียงใหม่ฟื้นฟูเมืองเชียงรายขึ้นใหม่ โดยเมืองเชียงราย กลับมาเป็นศูนย์กลางการปกครอง ที่สำคัญอีกครั้ง และได้รับการยกฐานะ เป็นเมืองจัตวามณฑลพายัพ ในปี พ.ศ. 2453

    ข้อถกเถียงเกี่ยวกับพระนาม "พญามังราย"
    พระนาม "พญามังราย" ได้รับการบันทึกไว้ ในเอกสารประวัติศาสตร์ และหลักฐานต่าง ๆ แต่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 มีการเปลี่ยนแปลงพระนามเป็น "เม็งราย" ในพงศาวดารโยนก โดยไม่ปรากฏเหตุผลที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ชื่อนี้ได้รับการใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เช่น ตำบลเม็งราย อำเภอพญาเม็งราย และโรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม

    วัฒนธรรมและมรดกทางประวัติศาสตร์ ของเชียงราย
    เมืองเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงแค่ ศูนย์กลางทางการปกครองในอดีต แต่ยังเป็นแหล่งรวบรวม มรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ เช่น

    - วัดพระธาตุดอยจอมทอง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เกี่ยวข้องกับการก่อตั้งเมือง
    - พิพิธภัณฑ์อูบคำ รวบรวมศิลปวัตถุ ที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองในอดีต

    คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    1. ทำไมพญามังราย ถึงเลือกเชียงรายเป็นที่ตั้งเมือง?
    พญามังรายทรงเลือกพื้นที่ ดอยจอมทองและแม่น้ำกก เพราะเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม ต่อการตั้งเมือง มีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ และสามารถป้องกันศัตรูได้ง่าย

    2. เมืองเชียงรายมีความสำคัญอย่างไร ในยุคล้านนา?
    เมืองเชียงรายเป็นเมืองแรก ที่พญามังรายสร้างขึ้น และเป็นศูนย์กลางการปกครอง ของอาณาจักรล้านนา ก่อนจะย้ายไปยังเชียงใหม่

    3. ชื่อนาม "พญามังราย" มีที่มาอย่างไร?
    ชื่อนี้มีที่มาจาก การผสมชื่อของพระบิดา พระมารดา และฤๅษีปัทมังกร ผู้ตั้งถวาย

    เมืองเชียงราย ที่ก่อตั้งโดยพญามังราย เมื่อ 763 ปี ที่ผ่านมา เป็นมรดกสำคัญ ที่สะท้อนถึงภูมิปัญญา และประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ของอาณาจักรล้านนา แม้ว่าเมืองนี้ จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่ความงดงาม และคุณค่าทางวัฒนธรรมของเชียงราย ยังคงสืบทอดมา จนถึงปัจจุบัน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 261148 ม.ค. 2568

    #เมืองเชียงราย #พญามังราย #ประวัติศาสตร์ล้านนา #วัฒนธรรมเชียงราย #763ปีเชียงราย #เชียงราย
    763 ปีพญามังรายสร้าง “เมืองเชียงราย” หลังเสด็จตามรอยเท้าช้าง สร้างเวียงรอบดอยจอมทอง "เชียงราย" เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ ยาวนานกว่า 763 ปี โดยถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 1805 ตามบันทึกตำนานพื้นเมือง พญามังรายทรงเสด็จตามรอยเท้าช้าง มาทางทิศตะวันออก ก่อนจะเลือกชัยภูมิริมฝั่งแม่น้ำกก และดอยจอมทองในการก่อตั้งเมืองเชียงรายแห่งนี้ โดยสร้างเป็นเวียงล้อมรอบดอยจอมทองให้มีความมั่นคง และเป็นศูนย์กลางการปกครอง ในยุคนั้น เมืองเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงแค่เมืองประวัติศาสตร์ แต่ยังสะท้อนถึงภูมิปัญญา และความเฉลียวฉลาดของพญามังราย ในการเลือกพื้นที่ ที่เหมาะสมสำหรับการตั้งถิ่นฐาน ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเมือง มาจนถึงปัจจุบัน 🌄 พญามังราย ราชาผู้ก่อตั้งล้านนา "พญามังราย" หรือที่รู้จักกันในนาม "ปฐมกษัตริย์แห่งล้านนา" เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และขยายอาณาจักรล้านนา พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ในปี พ.ศ. 1802 เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 25 แห่งหิรัญนครเงินยางเชียงลาว โดยตลอดรัชสมัย พระองค์ได้สร้างเมืองสำคัญหลายแห่ง เช่น - เมืองเชียงราย ศูนย์กลางการปกครองแห่งแรก ของพระองค์ - เวียงกุมกาม เมืองต้นแบบก่อนการสร้างเชียงใหม่ - เมืองเชียงใหม่ เมืองที่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา พระนามของพญามังราย ได้รับการบันทึกไว้ในเอกสาร และหลักฐานประวัติศาสตร์มากมาย เช่น จารึกวัดพระยืน (พ.ศ. 1912) และมังรายศาสตร์ ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญ และบทบาทของพระองค์ ในฐานะผู้วางรากฐานอาณาจักรล้านนา เหตุผลที่เลือกดอยจอมทอง เป็นที่ตั้งเมือง ชัยภูมิของดอยจอมทอง ที่ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำกก มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง ต่อการตั้งเมืองในยุคนั้น เนื่องจาก - ความปลอดภัย ดอยจอมทองเป็นที่สูง ช่วยให้การป้องกันเมืองจากศัตรูง่ายขึ้น - ทรัพยากรธรรมชาติ แม่น้ำกกที่ไหลผ่าน เป็นแหล่งน้ำสำคัญ สำหรับการดำรงชีวิตและการเกษตร 🌾 - การคมนาคม แม่น้ำกกยังเป็นเส้นทางการค้า และการเดินทางระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ พญามังรายทรงมองเห็นถึง ความสำคัญของพื้นที่แห่งนี้ จึงได้วางรากฐานให้เชียงราย กลายเป็นเมืองที่รุ่งเรือง และมั่นคง บทบาทของเชียงราย ในยุคอาณาจักรล้านนา หลังจากการสร้างเมืองเชียงราย พญามังรายได้ครองราชย์ และพัฒนาเมือง ให้เป็นศูนย์กลางการปกครอง แห่งแรกของอาณาจักรล้านนา ก่อนจะย้ายไปสร้างเมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 1839 เมืองเชียงราย จึงกลายเป็นที่ตั้งของพระราชโอรส พญาไชยสงคราม ผู้สืบทอดราชสมบัติ ต่อจากพญามังราย ในยุคต่อมา เมื่ออาณาจักรล้านนา ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพม่า ในปี พ.ศ. 2101 เมืองเชียงรายยังคงมีบทบาทสำคัญ ในฐานะเมืองยุทธศาสตร์ แต่ในช่วงสงคราม ระหว่างสยามและพม่า เมืองเชียงรายเริ่มร้างผู้คน เนื่องจากประชาชน ต้องอพยพหนีภัยสงคราม ฟื้นฟูเมืองเชียงราย ในสมัยรัตนโกสินทร์ ในปี พ.ศ. 2386 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชานุญาต ให้เจ้าหลวงเชียงใหม่ฟื้นฟูเมืองเชียงรายขึ้นใหม่ โดยเมืองเชียงราย กลับมาเป็นศูนย์กลางการปกครอง ที่สำคัญอีกครั้ง และได้รับการยกฐานะ เป็นเมืองจัตวามณฑลพายัพ ในปี พ.ศ. 2453 ข้อถกเถียงเกี่ยวกับพระนาม "พญามังราย" พระนาม "พญามังราย" ได้รับการบันทึกไว้ ในเอกสารประวัติศาสตร์ และหลักฐานต่าง ๆ แต่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 มีการเปลี่ยนแปลงพระนามเป็น "เม็งราย" ในพงศาวดารโยนก โดยไม่ปรากฏเหตุผลที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ชื่อนี้ได้รับการใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เช่น ตำบลเม็งราย อำเภอพญาเม็งราย และโรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม วัฒนธรรมและมรดกทางประวัติศาสตร์ ของเชียงราย เมืองเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงแค่ ศูนย์กลางทางการปกครองในอดีต แต่ยังเป็นแหล่งรวบรวม มรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ เช่น - วัดพระธาตุดอยจอมทอง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เกี่ยวข้องกับการก่อตั้งเมือง - พิพิธภัณฑ์อูบคำ รวบรวมศิลปวัตถุ ที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองในอดีต คำถามที่พบบ่อย (FAQs) 1. ทำไมพญามังราย ถึงเลือกเชียงรายเป็นที่ตั้งเมือง? พญามังรายทรงเลือกพื้นที่ ดอยจอมทองและแม่น้ำกก เพราะเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม ต่อการตั้งเมือง มีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ และสามารถป้องกันศัตรูได้ง่าย 2. เมืองเชียงรายมีความสำคัญอย่างไร ในยุคล้านนา? เมืองเชียงรายเป็นเมืองแรก ที่พญามังรายสร้างขึ้น และเป็นศูนย์กลางการปกครอง ของอาณาจักรล้านนา ก่อนจะย้ายไปยังเชียงใหม่ 3. ชื่อนาม "พญามังราย" มีที่มาอย่างไร? ชื่อนี้มีที่มาจาก การผสมชื่อของพระบิดา พระมารดา และฤๅษีปัทมังกร ผู้ตั้งถวาย เมืองเชียงราย ที่ก่อตั้งโดยพญามังราย เมื่อ 763 ปี ที่ผ่านมา เป็นมรดกสำคัญ ที่สะท้อนถึงภูมิปัญญา และประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ของอาณาจักรล้านนา แม้ว่าเมืองนี้ จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่ความงดงาม และคุณค่าทางวัฒนธรรมของเชียงราย ยังคงสืบทอดมา จนถึงปัจจุบัน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 261148 ม.ค. 2568 #เมืองเชียงราย #พญามังราย #ประวัติศาสตร์ล้านนา #วัฒนธรรมเชียงราย #763ปีเชียงราย #เชียงราย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 687 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความหวัง
    คนทั่วไปอาจจะคิดว่าความหวังไม่ใช่สิ่งสำคัญสักเท่าไหร่ในการมีชีวิตอยู่ของคนเรา
    แต่แท้ที่จริงแล้วความหวังเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการทำให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปในวันข้างหน้า
    น้อยคนนักที่จะมีความหวังอันเต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เรารู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง หรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังใจที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆที่กำลังประสบพบเจออยู่ในขณะนั้น ท่ามกลางความท้อแท้สิ้นหวังนั้น คนที่สามารถปลุกเร้ากำลังใจขึ้นมาทำให้กลับมามีความหวังขึ้นมาได้อีกครั้งนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้นั้น มันก็เท่ากับว่าเค้าผู้นั้นได้กำกุญแจแห่งชัยชนะไว้ในมือแล้วนั่นเอง ส่วนผู้ที่ถูกความท้อแท้สิ้นหวังกลืนกินไปแล้วนั้น มันก็เท่ากับว่าเค้าผู้นั้นกำลังตกอยู่ในห้วงหุบเหวแห่งความพ่ายแพ้แล้วนั่นเอง
    คนเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตนี้มีค่าแก่การมีชีวิตอยู่ มันเหมือนเป็นการให้กำลังใจตัวเองด้วยไปในตัว เมือเกิดความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังหมดอาลัยอาวรในชีวิต รันทดชีวิต เกิดความรู้สึกว่าในชั่วชีวิตนี้นั้นมันไม่เหลืออะไรให้อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว สุดท้ายก็จะคิดสั้น ฆ่าตัวตาย หรืออาจจะถึงขั้นพาลพลอยพาคนอื่นเดือดร้อน ฆ่าคนอื่นตายตามไปด้วย เพราะเกิดความรู้สึก เหงา ว้าแหว่ ที่ตัวเองตายไปแล้วไม่มีใครตายไปเป็นเพื่อนกับตนเองในโลกหน้าด้วยนั่นเอง
    ความรู้สึกนี้นันเกิดขึ้นได้กับทุกคน และแทบทุกคนก็ล้วนเคยประสบพบเจอกับความรู้สึกนี้มาด้วยกันทั้งนั้น เพราะในชั่วชีวิตของคนเราคนหนึ่งนั้นก็ต้องพบเจอกับความสุขความทุกข์มาด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครที่จะไม่เคยมีประสบการณ์ความสุขหรือความทุกข์แต่เพียงอย่างเดียวด้านเดียวไปชั่วทั้งชีวิตหรอกจริงมั้ย
    การคว้าความหวังมาไว้ในกำมือนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลยเสียทีเดียว เค้าคนนั้นจะต้องผ่านการทดสอบจากเบื้องบนมาอย่างแสนสาหัสมากมาย กว่าจะรู้ซึ้งถึงความหมายที่แท้จริงของตนเองว่าควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร เพื่อใคร แล้วจะทำอะไรต่อไปในวันข้างหน้า ในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ต่อดี ถ้าเค้าสามารถค้นหาคำตอบแห่งชีวิตของตนเองได้ เค้าคนนั้นก็จะเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม และก็สาสามารถคว้าความหวังมาไว้ในกำมือของตัวเองได้นั่นเอง
    สุดท้ายนี้ผมขอถามคุณผู้อ่านว่า
    1.คุณคิดว่าคุณรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิตของตัวเองแล้วหรือยัง?
    2.คุณได้ค้นพบคำตอบของการมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรและหรือเพื่อใครแล้วหรือยัง?
    3.คุณจะดำเนินชีวิตของคุณต่อไปอย่างไรในอนาคต ตราบจนกระทั่งคุณได้หมดลมหายใจและตายไป?
    4.เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและความท้อแท้สิ้นหวัง คุณจะยังมีความหวังและกำลังใจอันเต็มเปี่ยมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคที่อยู่ข้างหน้าอยู่อีกมั้ย?
    สุดท้ายนี้ ผมสามารถบอกกับคุณได้ว่า
    ความหวังเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำรงชีวิตอยู่ของคนเราจริงๆ
    ความหวัง คนทั่วไปอาจจะคิดว่าความหวังไม่ใช่สิ่งสำคัญสักเท่าไหร่ในการมีชีวิตอยู่ของคนเรา แต่แท้ที่จริงแล้วความหวังเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการทำให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปในวันข้างหน้า น้อยคนนักที่จะมีความหวังอันเต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เรารู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง หรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังใจที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆที่กำลังประสบพบเจออยู่ในขณะนั้น ท่ามกลางความท้อแท้สิ้นหวังนั้น คนที่สามารถปลุกเร้ากำลังใจขึ้นมาทำให้กลับมามีความหวังขึ้นมาได้อีกครั้งนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้นั้น มันก็เท่ากับว่าเค้าผู้นั้นได้กำกุญแจแห่งชัยชนะไว้ในมือแล้วนั่นเอง ส่วนผู้ที่ถูกความท้อแท้สิ้นหวังกลืนกินไปแล้วนั้น มันก็เท่ากับว่าเค้าผู้นั้นกำลังตกอยู่ในห้วงหุบเหวแห่งความพ่ายแพ้แล้วนั่นเอง คนเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตนี้มีค่าแก่การมีชีวิตอยู่ มันเหมือนเป็นการให้กำลังใจตัวเองด้วยไปในตัว เมือเกิดความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังหมดอาลัยอาวรในชีวิต รันทดชีวิต เกิดความรู้สึกว่าในชั่วชีวิตนี้นั้นมันไม่เหลืออะไรให้อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว สุดท้ายก็จะคิดสั้น ฆ่าตัวตาย หรืออาจจะถึงขั้นพาลพลอยพาคนอื่นเดือดร้อน ฆ่าคนอื่นตายตามไปด้วย เพราะเกิดความรู้สึก เหงา ว้าแหว่ ที่ตัวเองตายไปแล้วไม่มีใครตายไปเป็นเพื่อนกับตนเองในโลกหน้าด้วยนั่นเอง ความรู้สึกนี้นันเกิดขึ้นได้กับทุกคน และแทบทุกคนก็ล้วนเคยประสบพบเจอกับความรู้สึกนี้มาด้วยกันทั้งนั้น เพราะในชั่วชีวิตของคนเราคนหนึ่งนั้นก็ต้องพบเจอกับความสุขความทุกข์มาด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครที่จะไม่เคยมีประสบการณ์ความสุขหรือความทุกข์แต่เพียงอย่างเดียวด้านเดียวไปชั่วทั้งชีวิตหรอกจริงมั้ย การคว้าความหวังมาไว้ในกำมือนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลยเสียทีเดียว เค้าคนนั้นจะต้องผ่านการทดสอบจากเบื้องบนมาอย่างแสนสาหัสมากมาย กว่าจะรู้ซึ้งถึงความหมายที่แท้จริงของตนเองว่าควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร เพื่อใคร แล้วจะทำอะไรต่อไปในวันข้างหน้า ในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ต่อดี ถ้าเค้าสามารถค้นหาคำตอบแห่งชีวิตของตนเองได้ เค้าคนนั้นก็จะเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม และก็สาสามารถคว้าความหวังมาไว้ในกำมือของตัวเองได้นั่นเอง สุดท้ายนี้ผมขอถามคุณผู้อ่านว่า 1.คุณคิดว่าคุณรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิตของตัวเองแล้วหรือยัง? 2.คุณได้ค้นพบคำตอบของการมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรและหรือเพื่อใครแล้วหรือยัง? 3.คุณจะดำเนินชีวิตของคุณต่อไปอย่างไรในอนาคต ตราบจนกระทั่งคุณได้หมดลมหายใจและตายไป? 4.เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและความท้อแท้สิ้นหวัง คุณจะยังมีความหวังและกำลังใจอันเต็มเปี่ยมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคที่อยู่ข้างหน้าอยู่อีกมั้ย? สุดท้ายนี้ ผมสามารถบอกกับคุณได้ว่า ความหวังเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำรงชีวิตอยู่ของคนเราจริงๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • สตรีทสไตล์

    บนท้องถนนเต็มไปด้วยสีสันแห่งการดำรงชีวิต

    #ช้างชักภาพ
    #ลุงช้างหญ่าย
    #streetphotography
    #phototherapy
    สตรีทสไตล์ บนท้องถนนเต็มไปด้วยสีสันแห่งการดำรงชีวิต #ช้างชักภาพ #ลุงช้างหญ่าย #streetphotography #phototherapy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 336 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดังที่กล่าวไปแล้วว่า โคกหนองนา มี 3 องค์ประกอบหลัก คือ “โคก” พื้นที่สูง สำหรับปลูกป่า ปลูกพืชผัก ปลูกที่อยู่อาศัย “หนอง” สำหรับกักเก็บน้ำ ใช้ในการชลประทาน “นา” สำหรับทำนา และ ปลูกข้าว แต่หากจะให้สมบูรณ์จริง ๆ ยังมีอีก 2 องค์ประกอบหลัก คือ คลองไส้ไก่ และ คันนาทองคำ ซึ่งแต่ละองค์ประกอบมีรายละเอียดดังต่อไปนี้1. โคกใช้ดินที่ได้จากการขุดหนองน้ำ มาถมดินภายในพื้นที่ให้สูงขึ้นเป็นโคก ในสัดส่วน 40% ของพื้นที่ โดย 30% ของพื้นที่ แบ่งไว้สำหรับปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง คือ ไม้ใช้สอย ไม้กินได้ และ ไม้เศรษฐกิจ เพื่อให้พอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น โดยชนิดของต้นไม้ที่ปลูก ควรมีความสูง 5 ระดับด้วย คือ ไม้สูง ไม้กลาง ไม้เตี้ย ไม้เรี่ยดิน และ พืชหัว อีก 10% แบ่งสำหรับเป็นที่อยู่อาศัย และ เลี้ยงสัตว์ การปลูกไม้สูง 5 ระดับ นอกจากจะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับระบบนิเวศ และ สามารถอุ้มน้ำในดินได้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยบดบังแสงแดด ทำให้บ้านมีความร่มเย็นขึ้นอีกด้วย2. หนองขุดหนองเป็นจุด ๆ ในสัดส่วน 30% ทั่วทั้งพื้นที่ เพื่อเป็นแหล่งกักเก็บน้ำยามหน้าฝน ไว้ใช้ในหน้าแล้ง โดยหนองนั้น จะมีรูปทรงอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปเรขาคณิต แต่ควรมีระดับความตื้น – ความลึก ไม่เท่ากันบ้าง เป็นหลัก และ ไม่ควรกว้างจนเกินไป เพื่อไม่ให้น้ำโดนแสงแดด จนระเหยออกไปหมด3. นาแบ่งพื้นที่ 30% สำหรับทำเป็นไร่นาไว้ปลูกข้าว จะช่วยให้มีผลผลิต เก็บไว้รับประทานในครอบครัว หรือ เก็บผลผลิตขายก็ได้4. คลองไส้ไก่ทำเป็นคลองเล็ก ๆ คดโค้งไปรอบ ๆ พื้นที่ เชื่อมระหว่างหนองที่ขุดไว้ตามจุดต่าง ๆ จะช่วยให้เก็บกักน้ำได้เพิ่มมากขึ้น และ มีแหล่งน้ำรอบ ๆ พื้นที่ สามารถรดน้ำพืชผักได้ง่าย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่5. คันนาทองคำยกหัวคันนาให้สูง ส่วนฐานคันนา ให้ถมให้กว้าง จะช่วยกักเก็บน้ำในไร่นา ทำให้นาเป็นนาน้ำลึก ช่วยควบคุมหญ้า ทำให้ข้าวออกรวงใหญ่ ให้ผลผลิตดี และ ยังมีพื้นที่สำหรับปลูกพืชผักผลไม้บนหัวคันนา สามารถเก็บผลผลิตไว้กินในครัวเรือน หรือ จะเก็บขายสร้างรายได้ ก็ได้ด้วยโคกหนองนา โมเดล ศาสตร์พระราชา กับ การทำการเกษตรอย่างยั่งยืนโคกหนองนา โมเดล คือ มีองค์ประกอบอะไรบ้าง ช่วยให้ทำการเกษตรอย่างยั่งยืน ได้อย่างไร SGE มีคำตอบ พร้อมพาไปดูการออกแบบ โคกหนองนาโมเดล 3 ไร่ แบบคร่าว ๆใครสนใจอยากน้อมนำ ศาสตร์พระราชา มาประยุกต์ใช้ในการทำการเกษตร ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแล้วละก็ ตามมาดูกันเลยโคกหนองนาโมเดล คือโคกหนองนาโคกหนองนาโมเดล คือ การจัดการพื้นที่ทางการเกษตรอย่างยั่งยืน โดยการออกแบบพื้นที่ให้มี 3 องค์ประกอบหลัก คือ “โคก” พื้นที่สูง สำหรับปลูกป่า ปลูกพืชผัก ปลูกที่อยู่อาศัย “หนอง” สำหรับกักเก็บน้ำ ใช้ในการชลประทาน “นา” สำหรับทำนา และ ปลูกข้าว เพื่อให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตร พร้อมกับ บริหารจัดการน้ำได้อย่างยั่งยืน สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างพอเพียง ตามแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ อันเป็นแนวพระราชดำริ หรือ “ศาสตร์พระราชา” ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9องค์ประกอบของ โคกหนองนาโคกหนองนาโมเดลดังที่กล่าวไปแล้วว่า โคกหนองนา มี 3 องค์ประกอบหลัก คือ “โคก” พื้นที่สูง สำหรับปลูกป่า ปลูกพืชผัก ปลูกที่อยู่อาศัย “หนอง” สำหรับกักเก็บน้ำ ใช้ในการชลประทาน “นา” สำหรับทำนา และ ปลูกข้าว แต่หากจะให้สมบูรณ์จริง ๆ ยังมีอีก 2 องค์ประกอบหลัก คือ คลองไส้ไก่ และ คันนาทองคำ ซึ่งแต่ละองค์ประกอบมีรายละเอียดดังต่อไปนี้1. โคกใช้ดินที่ได้จากการขุดหนองน้ำ มาถมดินภายในพื้นที่ให้สูงขึ้นเป็นโคก ในสัดส่วน 40% ของพื้นที่ โดย 30% ของพื้นที่ แบ่งไว้สำหรับปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง คือ ไม้ใช้สอย ไม้กินได้ และ ไม้เศรษฐกิจ เพื่อให้พอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น โดยชนิดของต้นไม้ที่ปลูก ควรมีความสูง 5 ระดับด้วย คือ ไม้สูง ไม้กลาง ไม้เตี้ย ไม้เรี่ยดิน และ พืชหัว อีก 10% แบ่งสำหรับเป็นที่อยู่อาศัย และ เลี้ยงสัตว์ การปลูกไม้สูง 5 ระดับ นอกจากจะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับระบบนิเวศ และ สามารถอุ้มน้ำในดินได้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยบดบังแสงแดด ทำให้บ้านมีความร่มเย็นขึ้นอีกด้วย2. หนองขุดหนองเป็นจุด ๆ ในสัดส่วน 30% ทั่วทั้งพื้นที่ เพื่อเป็นแหล่งกักเก็บน้ำยามหน้าฝน ไว้ใช้ในหน้าแล้ง โดยหนองนั้น จะมีรูปทรงอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปเรขาคณิต แต่ควรมีระดับความตื้น – ความลึก ไม่เท่ากันบ้าง เป็นหลัก และ ไม่ควรกว้างจนเกินไป เพื่อไม่ให้น้ำโดนแสงแดด จนระเหยออกไปหมด3. นาแบ่งพื้นที่ 30% สำหรับทำเป็นไร่นาไว้ปลูกข้าว จะช่วยให้มีผลผลิต เก็บไว้รับประทานในครอบครัว หรือ เก็บผลผลิตขายก็ได้4. คลองไส้ไก่ทำเป็นคลองเล็ก ๆ คดโค้งไปรอบ ๆ พื้นที่ เชื่อมระหว่างหนองที่ขุดไว้ตามจุดต่าง ๆ จะช่วยให้เก็บกักน้ำได้เพิ่มมากขึ้น และ มีแหล่งน้ำรอบ ๆ พื้นที่ สามารถรดน้ำพืชผักได้ง่าย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่5. คันนาทองคำยกหัวคันนาให้สูง ส่วนฐานคันนา ให้ถมให้กว้าง จะช่วยกักเก็บน้ำในไร่นา ทำให้นาเป็นนาน้ำลึก ช่วยควบคุมหญ้า ทำให้ข้าวออกรวงใหญ่ ให้ผลผลิตดี และ ยังมีพื้นที่สำหรับปลูกพืชผักผลไม้บนหัวคันนา สามารถเก็บผลผลิตไว้กินในครัวเรือน หรือ จะเก็บขายสร้างรายได้ ก็ได้ด้วยโคกหนองนา ดีอย่างไร ?โคกหนองนาโมเดล1. ช่วยกักเก็บน้ำให้มีใช้ตลอดทั้งปีโดยปกติ เกษตรกรมักจะอาศัยน้ำจาก เขื่อน หรือ อ่างเก็บน้ำ มาใช้ในการทำการเกษตร เป็นหลัก ทำให้เมื่อประสบภัยแล้ง ระบบชลประทานมีน้ำไม่เพียงพอ ก็มักจะประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ จนทำให้พืชผักล้มตาย ได้รับความเดือดร้อนเสมอ ๆ ซึ่งถ้าหากปรับพื้นที่ทางการเกษตร ให้เป็น โคกหนองนา แล้วละก็ จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ เนื่องจากบนโคก ก็มีพืชหลายชนิด ๆ ที่มีรากหยั่งลึก สามารถอุ้มน้ำไว้ในดิน ในหนอง ขุดหลุมลึก สามารถกักเก็บน้ำได้ในช่วงฝนตก ส่วนนา คลองไส้ไก่ ก็สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ ก็จะทำให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี ไม่ต้องคอยพึ่งพิงน้ำจากที่อื่น ๆ อีก2. ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างพอเพียงบนโคกก็ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ในหนองก็เลี้ยงปลา ไร่นาก็มีข้าว หัวคันนาก็มีพืชผักไว้เก็บกิน ทำให้เกษตรกรสามารถเก็บผลผลิต ไว้บริโภคในครัวเรือนได้อย่างไม่ขัดสน ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างพอเพียง โดยไม่ต้องพึ่งพิงทรัพยากรจากภายนอก หรือ มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ในการซื้อข้าวปลาอาหาร แต่อย่างใด ตรงตามหลัก “พอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น” อันเป็นขั้นพื้นฐาน จากทฤษฎี 9 ขั้น สู่ความยั่งยืนตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง3. สามารถเก็บผลผลิตขาย สร้างรายได้หลังจากพอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็นแล้ว หากมีผลผลิตเหลือ ก็สามารถเก็บผลผลิตขาย เพื่อสร้างรายได้ ช่วยให้เกษตรกรทำการเกษตรได้อย่างยั่งยืน และ มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น4. ป้องกันน้ำท่วมเมื่อที่อยู่อาศัยอยู่บนโคก พืชผักต่าง ๆ ก็ปลูกอยู่บนคันนาที่ยกสูง ทำให้หากฝนตกน้ำหลาก ก็จะช่วยป้องกันน้ำท่วม ลดการเกิดผลกระทบและความเสียหายต่อผลผลิต ทรัพย์สิน และ ชีวิตของคนในครอบครัวได้
    ดังที่กล่าวไปแล้วว่า โคกหนองนา มี 3 องค์ประกอบหลัก คือ “โคก” พื้นที่สูง สำหรับปลูกป่า ปลูกพืชผัก ปลูกที่อยู่อาศัย “หนอง” สำหรับกักเก็บน้ำ ใช้ในการชลประทาน “นา” สำหรับทำนา และ ปลูกข้าว แต่หากจะให้สมบูรณ์จริง ๆ ยังมีอีก 2 องค์ประกอบหลัก คือ คลองไส้ไก่ และ คันนาทองคำ ซึ่งแต่ละองค์ประกอบมีรายละเอียดดังต่อไปนี้1. โคกใช้ดินที่ได้จากการขุดหนองน้ำ มาถมดินภายในพื้นที่ให้สูงขึ้นเป็นโคก ในสัดส่วน 40% ของพื้นที่ โดย 30% ของพื้นที่ แบ่งไว้สำหรับปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง คือ ไม้ใช้สอย ไม้กินได้ และ ไม้เศรษฐกิจ เพื่อให้พอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น โดยชนิดของต้นไม้ที่ปลูก ควรมีความสูง 5 ระดับด้วย คือ ไม้สูง ไม้กลาง ไม้เตี้ย ไม้เรี่ยดิน และ พืชหัว อีก 10% แบ่งสำหรับเป็นที่อยู่อาศัย และ เลี้ยงสัตว์ การปลูกไม้สูง 5 ระดับ นอกจากจะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับระบบนิเวศ และ สามารถอุ้มน้ำในดินได้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยบดบังแสงแดด ทำให้บ้านมีความร่มเย็นขึ้นอีกด้วย2. หนองขุดหนองเป็นจุด ๆ ในสัดส่วน 30% ทั่วทั้งพื้นที่ เพื่อเป็นแหล่งกักเก็บน้ำยามหน้าฝน ไว้ใช้ในหน้าแล้ง โดยหนองนั้น จะมีรูปทรงอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปเรขาคณิต แต่ควรมีระดับความตื้น – ความลึก ไม่เท่ากันบ้าง เป็นหลัก และ ไม่ควรกว้างจนเกินไป เพื่อไม่ให้น้ำโดนแสงแดด จนระเหยออกไปหมด3. นาแบ่งพื้นที่ 30% สำหรับทำเป็นไร่นาไว้ปลูกข้าว จะช่วยให้มีผลผลิต เก็บไว้รับประทานในครอบครัว หรือ เก็บผลผลิตขายก็ได้4. คลองไส้ไก่ทำเป็นคลองเล็ก ๆ คดโค้งไปรอบ ๆ พื้นที่ เชื่อมระหว่างหนองที่ขุดไว้ตามจุดต่าง ๆ จะช่วยให้เก็บกักน้ำได้เพิ่มมากขึ้น และ มีแหล่งน้ำรอบ ๆ พื้นที่ สามารถรดน้ำพืชผักได้ง่าย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่5. คันนาทองคำยกหัวคันนาให้สูง ส่วนฐานคันนา ให้ถมให้กว้าง จะช่วยกักเก็บน้ำในไร่นา ทำให้นาเป็นนาน้ำลึก ช่วยควบคุมหญ้า ทำให้ข้าวออกรวงใหญ่ ให้ผลผลิตดี และ ยังมีพื้นที่สำหรับปลูกพืชผักผลไม้บนหัวคันนา สามารถเก็บผลผลิตไว้กินในครัวเรือน หรือ จะเก็บขายสร้างรายได้ ก็ได้ด้วยโคกหนองนา โมเดล ศาสตร์พระราชา กับ การทำการเกษตรอย่างยั่งยืนโคกหนองนา โมเดล คือ มีองค์ประกอบอะไรบ้าง ช่วยให้ทำการเกษตรอย่างยั่งยืน ได้อย่างไร SGE มีคำตอบ พร้อมพาไปดูการออกแบบ โคกหนองนาโมเดล 3 ไร่ แบบคร่าว ๆใครสนใจอยากน้อมนำ ศาสตร์พระราชา มาประยุกต์ใช้ในการทำการเกษตร ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแล้วละก็ ตามมาดูกันเลยโคกหนองนาโมเดล คือโคกหนองนาโคกหนองนาโมเดล คือ การจัดการพื้นที่ทางการเกษตรอย่างยั่งยืน โดยการออกแบบพื้นที่ให้มี 3 องค์ประกอบหลัก คือ “โคก” พื้นที่สูง สำหรับปลูกป่า ปลูกพืชผัก ปลูกที่อยู่อาศัย “หนอง” สำหรับกักเก็บน้ำ ใช้ในการชลประทาน “นา” สำหรับทำนา และ ปลูกข้าว เพื่อให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตร พร้อมกับ บริหารจัดการน้ำได้อย่างยั่งยืน สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างพอเพียง ตามแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ อันเป็นแนวพระราชดำริ หรือ “ศาสตร์พระราชา” ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9องค์ประกอบของ โคกหนองนาโคกหนองนาโมเดลดังที่กล่าวไปแล้วว่า โคกหนองนา มี 3 องค์ประกอบหลัก คือ “โคก” พื้นที่สูง สำหรับปลูกป่า ปลูกพืชผัก ปลูกที่อยู่อาศัย “หนอง” สำหรับกักเก็บน้ำ ใช้ในการชลประทาน “นา” สำหรับทำนา และ ปลูกข้าว แต่หากจะให้สมบูรณ์จริง ๆ ยังมีอีก 2 องค์ประกอบหลัก คือ คลองไส้ไก่ และ คันนาทองคำ ซึ่งแต่ละองค์ประกอบมีรายละเอียดดังต่อไปนี้1. โคกใช้ดินที่ได้จากการขุดหนองน้ำ มาถมดินภายในพื้นที่ให้สูงขึ้นเป็นโคก ในสัดส่วน 40% ของพื้นที่ โดย 30% ของพื้นที่ แบ่งไว้สำหรับปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง คือ ไม้ใช้สอย ไม้กินได้ และ ไม้เศรษฐกิจ เพื่อให้พอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น โดยชนิดของต้นไม้ที่ปลูก ควรมีความสูง 5 ระดับด้วย คือ ไม้สูง ไม้กลาง ไม้เตี้ย ไม้เรี่ยดิน และ พืชหัว อีก 10% แบ่งสำหรับเป็นที่อยู่อาศัย และ เลี้ยงสัตว์ การปลูกไม้สูง 5 ระดับ นอกจากจะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับระบบนิเวศ และ สามารถอุ้มน้ำในดินได้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยบดบังแสงแดด ทำให้บ้านมีความร่มเย็นขึ้นอีกด้วย2. หนองขุดหนองเป็นจุด ๆ ในสัดส่วน 30% ทั่วทั้งพื้นที่ เพื่อเป็นแหล่งกักเก็บน้ำยามหน้าฝน ไว้ใช้ในหน้าแล้ง โดยหนองนั้น จะมีรูปทรงอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปเรขาคณิต แต่ควรมีระดับความตื้น – ความลึก ไม่เท่ากันบ้าง เป็นหลัก และ ไม่ควรกว้างจนเกินไป เพื่อไม่ให้น้ำโดนแสงแดด จนระเหยออกไปหมด3. นาแบ่งพื้นที่ 30% สำหรับทำเป็นไร่นาไว้ปลูกข้าว จะช่วยให้มีผลผลิต เก็บไว้รับประทานในครอบครัว หรือ เก็บผลผลิตขายก็ได้4. คลองไส้ไก่ทำเป็นคลองเล็ก ๆ คดโค้งไปรอบ ๆ พื้นที่ เชื่อมระหว่างหนองที่ขุดไว้ตามจุดต่าง ๆ จะช่วยให้เก็บกักน้ำได้เพิ่มมากขึ้น และ มีแหล่งน้ำรอบ ๆ พื้นที่ สามารถรดน้ำพืชผักได้ง่าย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่5. คันนาทองคำยกหัวคันนาให้สูง ส่วนฐานคันนา ให้ถมให้กว้าง จะช่วยกักเก็บน้ำในไร่นา ทำให้นาเป็นนาน้ำลึก ช่วยควบคุมหญ้า ทำให้ข้าวออกรวงใหญ่ ให้ผลผลิตดี และ ยังมีพื้นที่สำหรับปลูกพืชผักผลไม้บนหัวคันนา สามารถเก็บผลผลิตไว้กินในครัวเรือน หรือ จะเก็บขายสร้างรายได้ ก็ได้ด้วยโคกหนองนา ดีอย่างไร ?โคกหนองนาโมเดล1. ช่วยกักเก็บน้ำให้มีใช้ตลอดทั้งปีโดยปกติ เกษตรกรมักจะอาศัยน้ำจาก เขื่อน หรือ อ่างเก็บน้ำ มาใช้ในการทำการเกษตร เป็นหลัก ทำให้เมื่อประสบภัยแล้ง ระบบชลประทานมีน้ำไม่เพียงพอ ก็มักจะประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ จนทำให้พืชผักล้มตาย ได้รับความเดือดร้อนเสมอ ๆ ซึ่งถ้าหากปรับพื้นที่ทางการเกษตร ให้เป็น โคกหนองนา แล้วละก็ จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ เนื่องจากบนโคก ก็มีพืชหลายชนิด ๆ ที่มีรากหยั่งลึก สามารถอุ้มน้ำไว้ในดิน ในหนอง ขุดหลุมลึก สามารถกักเก็บน้ำได้ในช่วงฝนตก ส่วนนา คลองไส้ไก่ ก็สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ ก็จะทำให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี ไม่ต้องคอยพึ่งพิงน้ำจากที่อื่น ๆ อีก2. ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างพอเพียงบนโคกก็ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ในหนองก็เลี้ยงปลา ไร่นาก็มีข้าว หัวคันนาก็มีพืชผักไว้เก็บกิน ทำให้เกษตรกรสามารถเก็บผลผลิต ไว้บริโภคในครัวเรือนได้อย่างไม่ขัดสน ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างพอเพียง โดยไม่ต้องพึ่งพิงทรัพยากรจากภายนอก หรือ มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ในการซื้อข้าวปลาอาหาร แต่อย่างใด ตรงตามหลัก “พอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น” อันเป็นขั้นพื้นฐาน จากทฤษฎี 9 ขั้น สู่ความยั่งยืนตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง3. สามารถเก็บผลผลิตขาย สร้างรายได้หลังจากพอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็นแล้ว หากมีผลผลิตเหลือ ก็สามารถเก็บผลผลิตขาย เพื่อสร้างรายได้ ช่วยให้เกษตรกรทำการเกษตรได้อย่างยั่งยืน และ มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น4. ป้องกันน้ำท่วมเมื่อที่อยู่อาศัยอยู่บนโคก พืชผักต่าง ๆ ก็ปลูกอยู่บนคันนาที่ยกสูง ทำให้หากฝนตกน้ำหลาก ก็จะช่วยป้องกันน้ำท่วม ลดการเกิดผลกระทบและความเสียหายต่อผลผลิต ทรัพย์สิน และ ชีวิตของคนในครอบครัวได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 599 มุมมอง 0 รีวิว
  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่ถิ่นทุรกันดาร 4 จังหวัด มอบรถเข็นวีลแชร์พร้อมค่าพาหนะแก่ผู้พิการด้อยโอกาสในส่วนภูมิภาค จังหวัดสระแก้ว อุตรดิตถ์ ชุมพร และนครศรีธรรมราช พร้อมมอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์
    .
    ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 7 ธันวาคม 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ พร้อมด้วย นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ นำทีมลงพื้นที่มอบรถเข็นวีลแชร์พร้อมค่าพาหนะ คนละ 500 บาท แก่ผู้พิการด้อยโอกาสในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว อุตรดิตถ์ ชุมพร และนครศรีธรรมราช รวมจำนวน 400 คัน ใน โครงการ ป่อเต็กตึ๊ง สงเคราะห์สังคม รวมมูลค่าเป็นเงินทั้งสิ้น 1,160,000 บาท เพื่อบรรเทาความยากลำบากในการดำรงชีวิต และเพื่อให้ผู้พิการสามารถช่วยเหลือตนเองได้
    และในโอกาสเดียวกันนี้ ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ มูลนิธิฯ ยังได้มอบจักรยานใน “โครงการ จักรยานเพื่อน้องสัญจร” ให้กับโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ รวม 5 แห่ง รวมจักรยานจำนวน 100 คัน อุปกรณ์กีฬา จำนวน 5 ชุด หน้ากากอนามัย 2,500 ชิ้น พร้อมค่าพาหนะโรงเรียนละ 2,000 บาท คิดเป็นมูลค่า 165,950 บาท เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักเรียนที่ประสบปัญหาการเดินทางมาโรงเรียน แบ่งเบาภาระผู้ปกครอง เสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร การแบ่งปัน และการดูแลสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการดำเนินงานทั้งสองโครงการในครั้งนี้ทั้งสิ้น 1,325,950 บาท (หนึ่งล้านสามแสนสองหมื่นห้าพันเก้าร้อยห้าสิบบาทถ้วน) โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย มูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี รวมทั้ง ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ
    .
    ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
    .
    ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และเฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung
    .
    “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
    #แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418
    #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่ถิ่นทุรกันดาร 4 จังหวัด มอบรถเข็นวีลแชร์พร้อมค่าพาหนะแก่ผู้พิการด้อยโอกาสในส่วนภูมิภาค จังหวัดสระแก้ว อุตรดิตถ์ ชุมพร และนครศรีธรรมราช พร้อมมอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ . ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 7 ธันวาคม 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ พร้อมด้วย นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ นำทีมลงพื้นที่มอบรถเข็นวีลแชร์พร้อมค่าพาหนะ คนละ 500 บาท แก่ผู้พิการด้อยโอกาสในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว อุตรดิตถ์ ชุมพร และนครศรีธรรมราช รวมจำนวน 400 คัน ใน โครงการ ป่อเต็กตึ๊ง สงเคราะห์สังคม รวมมูลค่าเป็นเงินทั้งสิ้น 1,160,000 บาท เพื่อบรรเทาความยากลำบากในการดำรงชีวิต และเพื่อให้ผู้พิการสามารถช่วยเหลือตนเองได้ และในโอกาสเดียวกันนี้ ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ มูลนิธิฯ ยังได้มอบจักรยานใน “โครงการ จักรยานเพื่อน้องสัญจร” ให้กับโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ รวม 5 แห่ง รวมจักรยานจำนวน 100 คัน อุปกรณ์กีฬา จำนวน 5 ชุด หน้ากากอนามัย 2,500 ชิ้น พร้อมค่าพาหนะโรงเรียนละ 2,000 บาท คิดเป็นมูลค่า 165,950 บาท เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักเรียนที่ประสบปัญหาการเดินทางมาโรงเรียน แบ่งเบาภาระผู้ปกครอง เสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร การแบ่งปัน และการดูแลสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการดำเนินงานทั้งสองโครงการในครั้งนี้ทั้งสิ้น 1,325,950 บาท (หนึ่งล้านสามแสนสองหมื่นห้าพันเก้าร้อยห้าสิบบาทถ้วน) โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย มูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี รวมทั้ง ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ . ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” . ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และเฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung . “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” #แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 777 มุมมอง 0 รีวิว
  • หน้าที่หลักของบุตรหลานที่พึงควรกระทำต่อบุพการีบุพการี หรือบิดามารดา เป็นผู้มีพระคุณที่ยิ่งใหญ่ต่อบุตรหลาน ทั้งในด้านการให้กำเนิด การเลี้ยงดู และการอบรมสั่งสอน เพื่อให้บุตรหลานเติบโตเป็นผู้ที่สามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขและมีคุณค่า ดังนั้น หน้าที่หลักของบุตรหลานที่ควรกระทำต่อบุพการีมีดังนี้1. ความกตัญญูกตเวทีความกตัญญูคือการระลึกถึงพระคุณของบิดามารดา และความกตเวทีคือการตอบแทนพระคุณอย่างเหมาะสม บุตรหลานควรแสดงความเคารพ นอบน้อม และแสดงความรักต่อบุพการีในทุกโอกาส ไม่ว่าจะด้วยการพูดจา การกระทำ หรือการดูแลเอาใจใส่2. การดูแลในยามเจ็บป่วยหรือแก่ชราในยามที่บุพการีเจ็บป่วยหรือเข้าสู่วัยชรา บุตรหลานมีหน้าที่ดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น การพาไปพบแพทย์ การจัดหาสิ่งของที่จำเป็น การอยู่เป็นเพื่อนพูดคุย และให้ความอบอุ่นทางใจ3. การเชื่อฟังคำสอนการเชื่อฟังคำสอนของบุพการีเป็นสิ่งสำคัญ เพราะคำสอนของบุพการีมักมาจากประสบการณ์และความปรารถนาดีที่มีต่อบุตรหลาน การเชื่อฟังนี้รวมถึงการปฏิบัติตนให้เป็นคนดี ไม่ทำให้บุพการีเสียใจหรือผิดหวัง4. การตอบแทนพระคุณการตอบแทนพระคุณอาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น การช่วยเหลือทางการเงินเมื่อบุพการีต้องการ การสร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจให้กับครอบครัว หรือการดูแลบุพการีเมื่อท่านไม่สามารถดูแลตนเองได้5. การรักษามรดกทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของครอบครัวบุตรหลานควรรักษาและสืบทอดคุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมที่ดีงามของครอบครัว เช่น การเคารพผู้ใหญ่ การทำบุญอุทิศให้บุพการีที่ล่วงลับ และการแสดงความภักดีต่อครอบครัวสรุปหน้าที่ของบุตรหลานที่มีต่อบุพการีไม่เพียงแต่เป็นความรับผิดชอบในทางสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงความรัก ความเคารพ และความกตัญญู ซึ่งเป็นคุณธรรมสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว และสร้างสังคมที่อบอุ่นและมั่นคงในที่สุด
    หน้าที่หลักของบุตรหลานที่พึงควรกระทำต่อบุพการีบุพการี หรือบิดามารดา เป็นผู้มีพระคุณที่ยิ่งใหญ่ต่อบุตรหลาน ทั้งในด้านการให้กำเนิด การเลี้ยงดู และการอบรมสั่งสอน เพื่อให้บุตรหลานเติบโตเป็นผู้ที่สามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขและมีคุณค่า ดังนั้น หน้าที่หลักของบุตรหลานที่ควรกระทำต่อบุพการีมีดังนี้1. ความกตัญญูกตเวทีความกตัญญูคือการระลึกถึงพระคุณของบิดามารดา และความกตเวทีคือการตอบแทนพระคุณอย่างเหมาะสม บุตรหลานควรแสดงความเคารพ นอบน้อม และแสดงความรักต่อบุพการีในทุกโอกาส ไม่ว่าจะด้วยการพูดจา การกระทำ หรือการดูแลเอาใจใส่2. การดูแลในยามเจ็บป่วยหรือแก่ชราในยามที่บุพการีเจ็บป่วยหรือเข้าสู่วัยชรา บุตรหลานมีหน้าที่ดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น การพาไปพบแพทย์ การจัดหาสิ่งของที่จำเป็น การอยู่เป็นเพื่อนพูดคุย และให้ความอบอุ่นทางใจ3. การเชื่อฟังคำสอนการเชื่อฟังคำสอนของบุพการีเป็นสิ่งสำคัญ เพราะคำสอนของบุพการีมักมาจากประสบการณ์และความปรารถนาดีที่มีต่อบุตรหลาน การเชื่อฟังนี้รวมถึงการปฏิบัติตนให้เป็นคนดี ไม่ทำให้บุพการีเสียใจหรือผิดหวัง4. การตอบแทนพระคุณการตอบแทนพระคุณอาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น การช่วยเหลือทางการเงินเมื่อบุพการีต้องการ การสร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจให้กับครอบครัว หรือการดูแลบุพการีเมื่อท่านไม่สามารถดูแลตนเองได้5. การรักษามรดกทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของครอบครัวบุตรหลานควรรักษาและสืบทอดคุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมที่ดีงามของครอบครัว เช่น การเคารพผู้ใหญ่ การทำบุญอุทิศให้บุพการีที่ล่วงลับ และการแสดงความภักดีต่อครอบครัวสรุปหน้าที่ของบุตรหลานที่มีต่อบุพการีไม่เพียงแต่เป็นความรับผิดชอบในทางสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงความรัก ความเคารพ และความกตัญญู ซึ่งเป็นคุณธรรมสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว และสร้างสังคมที่อบอุ่นและมั่นคงในที่สุด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 460 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลัก #ทศพิธราชธรรม หลักปฏิบัติ #พอเพียง #บันได๙ขั้น #ระเบิด๔ลูก #สามัคคีเป็นพลังค้ำจุนแผ่นดิน #สคสพระราชทาน๒๕๔๗ #คำสอน #ในหลวง #รัชกาลที่๙ #ศิษย์ยักษ์ เครือข่าย #กสิกรรมธรรมชาติ ทุกคน ได้รับการสั่งสอนปลูกฝัง ในวันแรกของค่ายฝึกอบรมทุกรุ่น … เราได้ยึดถือปฏิบัติในการ #ดำรงชีวิต ในทุกๆ วัน อย่างเหมาะสม #ไม่ติดตำรา ตลอดมาและตลอดไป ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ ด้วยความ #จงรักภักดี นิรันดร์ 🙏🏼💛🇹🇭
    หลัก #ทศพิธราชธรรม หลักปฏิบัติ #พอเพียง #บันได๙ขั้น #ระเบิด๔ลูก #สามัคคีเป็นพลังค้ำจุนแผ่นดิน #สคสพระราชทาน๒๕๔๗ #คำสอน #ในหลวง #รัชกาลที่๙ #ศิษย์ยักษ์ เครือข่าย #กสิกรรมธรรมชาติ ทุกคน ได้รับการสั่งสอนปลูกฝัง ในวันแรกของค่ายฝึกอบรมทุกรุ่น … เราได้ยึดถือปฏิบัติในการ #ดำรงชีวิต ในทุกๆ วัน อย่างเหมาะสม #ไม่ติดตำรา ตลอดมาและตลอดไป ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ ด้วยความ #จงรักภักดี นิรันดร์ 🙏🏼💛🇹🇭
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 743 มุมมอง 0 รีวิว
  • 30/1167

    ## น้ำตกเลือด (Blood Falls) ในแอนตาร์กติกา : ปริศนาแห่งขั้วโลกใต้ที่ชวนพิศวง

    ท่ามกลางความเวิ้งว้างว่างเปล่าของทวีปแอนตาร์กติกา ณ ธารน้ำแข็งเทย์เลอร์ (Taylor Glacier) ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาแห้งแล้งแมคเมอร์โด (McMurdo Dry Valleys) มีปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าพิศวงที่ดึงดูดความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์และผู้คนทั่วโลก นั่นคือ **น้ำตกเลือด (Blood Falls)** สายน้ำสีแดงฉานราวกับเลือดที่ไหลทะลักออกมาจากรอยแยกของธารน้ำแข็ง ตัดกับพื้นน้ำแข็งสีขาวโพลน สร้างความตื่นตะลึงและความสงสัยใคร่รู้แก่นักสำรวจขั้วโลกใต้มาเนิ่นนาน ราวกับเป็นฉากในภาพยนตร์สยองขวัญ

    **การค้นพบและความลึกลับ**

    ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1911 กริฟฟิธ เทย์เลอร์ (Griffith Taylor) นักธรณีวิทยาชาวออสเตรเลีย เป็นผู้ค้นพบน้ำตกเลือดเป็นคนแรก ในขณะนั้น ด้วยข้อจำกัดทางวิทยาศาสตร์ เขาสันนิษฐานว่าสีแดงของน้ำตกเกิดจากสาหร่ายสีแดง ซึ่งเป็นสมมติฐานที่ฟังดูสมเหตุสมผลในยุคนั้น แต่ต่อมา นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความจริงที่น่าทึ่งยิ่งกว่า ซ่อนอยู่ภายใต้ธารน้ำแข็งแห่งนี้

    **ต้นกำเนิดของสีแดง**

    ปัจจุบัน เราทราบแล้วว่าสีแดงเข้มของน้ำตกเลือด เกิดจาก **เหล็กออกไซด์ (iron oxide)** หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ สนิมเหล็ก ซึ่งมีปริมาณมากในน้ำที่ไหลออกมาจากน้ำตก แต่น้ำเหล่านี้ไม่ได้มาจากหิมะหรือน้ำแข็งที่ละลาย หากแต่มีต้นกำเนิดจากทะเลสาบน้ำเค็มใต้ธารน้ำแข็ง ซึ่งถูกกักขังไว้ภายใต้น้ำแข็งมานานกว่า 2 ล้านปี

    ลองนึกภาพทะเลสาบโบราณ ที่ถูกปิดตายจากโลกภายนอก อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก และเป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์ ที่ปรับตัวให้อยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากออกซิเจนและแสงแดด จุลินทรีย์เหล่านี้ ดำรงชีวิตโดยการหายใจโดยใช้ซัลเฟต และมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลง ธาตุเหล็กในน้ำให้กลายเป็นเหล็กออกไซด์ เมื่อน้ำใต้ธารน้ำแข็ง ไหลออกมาสัมผัสกับอากาศ เหล็กออกไซด์ก็จะทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เกิดเป็นสีแดงสนิม เหมือนกับที่เราเห็นเหล็กขึ้นสนิมเมื่อโดนน้ำและอากาศ

    **ความสำคัญต่อการศึกษา**

    น้ำตกเลือด ไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา แต่ยังเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญ ที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ เข้าใจถึง ระบบนิเวศน์โบราณ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และ กระบวนการทางธรณีวิทยา

    การศึกษา จุลินทรีย์ ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว เช่น ทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็ง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ที่ช่วยให้เรา ค้นพบ สิ่งมีชีวิต บนดาวเคราะห์ดวงอื่น เช่น ดาวอังคาร ที่อาจมีสภาพแวดล้อมคล้ายคลึงกัน

    น้ำตกเลือด จึงเป็นเสมือนห้องทดลองทางธรรมชาติ ที่เปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์ ศึกษา และ ไขปริศนา เกี่ยวกับ สิ่งมีชีวิต และ วิวัฒนาการ บนโลก และ ในจักรวาล

    **ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ**

    * น้ำตกเลือด มีความเค็ม มากกว่า น้ำทะเล ถึง 4 เท่า ลองจินตนาการถึงรสชาติของมันดูสิครับ
    * อุณหภูมิของน้ำ ใน น้ำตกเลือด อยู่ที่ -5 องศาเซลเซียส แต่ไม่แข็งตัว เนื่องจาก ความเค็ม ที่ทำหน้าที่เหมือนสารป้องกันการแข็งตัว
    * จุลินทรีย์ ที่อาศัยอยู่ใน น้ำตกเลือด สามารถ หายใจ โดยใช้ ซัลเฟต แทน ออกซิเจน ซึ่งเป็น กลไกการปรับตัว ที่น่าทึ่ง สำหรับการดำรงชีวิต ในสภาพแวดล้อม ที่ ไม่มีออกซิเจน
    30/1167 ## น้ำตกเลือด (Blood Falls) ในแอนตาร์กติกา : ปริศนาแห่งขั้วโลกใต้ที่ชวนพิศวง ท่ามกลางความเวิ้งว้างว่างเปล่าของทวีปแอนตาร์กติกา ณ ธารน้ำแข็งเทย์เลอร์ (Taylor Glacier) ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาแห้งแล้งแมคเมอร์โด (McMurdo Dry Valleys) มีปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าพิศวงที่ดึงดูดความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์และผู้คนทั่วโลก นั่นคือ **น้ำตกเลือด (Blood Falls)** สายน้ำสีแดงฉานราวกับเลือดที่ไหลทะลักออกมาจากรอยแยกของธารน้ำแข็ง ตัดกับพื้นน้ำแข็งสีขาวโพลน สร้างความตื่นตะลึงและความสงสัยใคร่รู้แก่นักสำรวจขั้วโลกใต้มาเนิ่นนาน ราวกับเป็นฉากในภาพยนตร์สยองขวัญ **การค้นพบและความลึกลับ** ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1911 กริฟฟิธ เทย์เลอร์ (Griffith Taylor) นักธรณีวิทยาชาวออสเตรเลีย เป็นผู้ค้นพบน้ำตกเลือดเป็นคนแรก ในขณะนั้น ด้วยข้อจำกัดทางวิทยาศาสตร์ เขาสันนิษฐานว่าสีแดงของน้ำตกเกิดจากสาหร่ายสีแดง ซึ่งเป็นสมมติฐานที่ฟังดูสมเหตุสมผลในยุคนั้น แต่ต่อมา นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความจริงที่น่าทึ่งยิ่งกว่า ซ่อนอยู่ภายใต้ธารน้ำแข็งแห่งนี้ **ต้นกำเนิดของสีแดง** ปัจจุบัน เราทราบแล้วว่าสีแดงเข้มของน้ำตกเลือด เกิดจาก **เหล็กออกไซด์ (iron oxide)** หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ สนิมเหล็ก ซึ่งมีปริมาณมากในน้ำที่ไหลออกมาจากน้ำตก แต่น้ำเหล่านี้ไม่ได้มาจากหิมะหรือน้ำแข็งที่ละลาย หากแต่มีต้นกำเนิดจากทะเลสาบน้ำเค็มใต้ธารน้ำแข็ง ซึ่งถูกกักขังไว้ภายใต้น้ำแข็งมานานกว่า 2 ล้านปี ลองนึกภาพทะเลสาบโบราณ ที่ถูกปิดตายจากโลกภายนอก อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก และเป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์ ที่ปรับตัวให้อยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากออกซิเจนและแสงแดด จุลินทรีย์เหล่านี้ ดำรงชีวิตโดยการหายใจโดยใช้ซัลเฟต และมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลง ธาตุเหล็กในน้ำให้กลายเป็นเหล็กออกไซด์ เมื่อน้ำใต้ธารน้ำแข็ง ไหลออกมาสัมผัสกับอากาศ เหล็กออกไซด์ก็จะทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เกิดเป็นสีแดงสนิม เหมือนกับที่เราเห็นเหล็กขึ้นสนิมเมื่อโดนน้ำและอากาศ **ความสำคัญต่อการศึกษา** น้ำตกเลือด ไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา แต่ยังเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญ ที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ เข้าใจถึง ระบบนิเวศน์โบราณ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และ กระบวนการทางธรณีวิทยา การศึกษา จุลินทรีย์ ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว เช่น ทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็ง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ที่ช่วยให้เรา ค้นพบ สิ่งมีชีวิต บนดาวเคราะห์ดวงอื่น เช่น ดาวอังคาร ที่อาจมีสภาพแวดล้อมคล้ายคลึงกัน น้ำตกเลือด จึงเป็นเสมือนห้องทดลองทางธรรมชาติ ที่เปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์ ศึกษา และ ไขปริศนา เกี่ยวกับ สิ่งมีชีวิต และ วิวัฒนาการ บนโลก และ ในจักรวาล **ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ** * น้ำตกเลือด มีความเค็ม มากกว่า น้ำทะเล ถึง 4 เท่า ลองจินตนาการถึงรสชาติของมันดูสิครับ * อุณหภูมิของน้ำ ใน น้ำตกเลือด อยู่ที่ -5 องศาเซลเซียส แต่ไม่แข็งตัว เนื่องจาก ความเค็ม ที่ทำหน้าที่เหมือนสารป้องกันการแข็งตัว * จุลินทรีย์ ที่อาศัยอยู่ใน น้ำตกเลือด สามารถ หายใจ โดยใช้ ซัลเฟต แทน ออกซิเจน ซึ่งเป็น กลไกการปรับตัว ที่น่าทึ่ง สำหรับการดำรงชีวิต ในสภาพแวดล้อม ที่ ไม่มีออกซิเจน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 484 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัพย์สมบัติส่วนบุคคล ตอนที่ 2

    เรื่องของทรัพย์สมบัติในตอนที่แล้ว มันช่างสร้างปัญหาในการดำรงชีวิตมากมาย รวมไปถึงการส่งผลต่อสุขภาพจิตด้วยและการดำเนินชีวิตด้วย

    หากแต่ภูมิปัญหาของพระพุทธเจ้า ได้สอนและจำแนกไว้เป็นอย่างดีและชัดเจนมากๆแล้วว่า ทรัพย์สมบัติแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ทรัพย์สมบัติภายนอก และทรัพย์สมบัติภายใน

    ตอนนี้เราจะมาลงรายละเอียดของทรัพย์สมบัติภายนอกกันครับ

    ทรัพย์สมบัติภายนอก มีอะไรบ้าง… เงิน , ทอง , บ้าน , รถยนต์ , โทรศัพท์มือถือ , รองเท้า , ปากกา, นาฬิกา หรือพูดง่ายๆว่าสิ่งที่เรามองออกไปรอบๆตัวที่เห็นทั้งหมด แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีทรัพย์สมบัติภายนอกที่เรายึดเอาไว้ว่าเป็นของตัวเอง อีกหลายๆอย่างซึ่งไม่ใช่อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ยกตัวอย่างเช่น ประเทศ(ของเรา) , โรงเรียน(ของเรา) , พ่อแม่(ของเรา) , ลูก(ของเรา) หรือ สามี/ภรรยา(ของเรา) สิ่งเหล่านี้จะเรียกว่าเป็นทรัพย์สมบัติได้หรือเปล่า…ไม่แน่ใจ แต่เราก็ยึดไปแล้วว่าเป็นของเรา

    ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสิ่งที่จับต้องไม่ได้ที่เราเรียกว่าเป็นของเราอีกเช่น ร่างกาย(ของเรา) , ชื่อเสียงเกียรติยศ(ของเรา) , รูปร่างหน้าตา(ของเรา) , ทรงผม(ของเรา) , ความสวย/หล่อ(ของเรา) , ศักดิ์ศรี(ของเรา) หรือภูมิหลัง(ของเรา)

    สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นของเราจริงๆหรือเปล่า? ถ้าเป็นของเราจริงๆเราต้องบังคับมันได้ เช่นบังคับให้จำนวนเพิ่มขึ้นหรือลดลง , บังคับให้(เขา)ทำแบบนั้นแบบนี้ตามใจเรา หรือบังคับไม่ให้มันเสื่อมสภาพไป ซึ่งเราไม่สามารถบังคับอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นจะเรียกว่าเป็นของของเราได้ไหม

    สินทรัพย์ภายนอก เราต้องแลกมา หามา ได้มา ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ซึ่งเรายังคงต้องได้มาจากผู้อื่น ในมุมมองของการหาสินทรัพย์ภายนอกที่เป็นเงิน เราก็ต้องแลกด้วยแรง แลกด้วยส่วนต่างของกำไร แล้วเอาเงินจากอีกคนหรืออีกฝ่ายหนึ่งมา ซึ่งเงินก้อนนี้ก็ถูกดึงมากจากอีกฝ่าย และพวกเขาก็ดึงมากจากผู้อื่นๆ รวมไปถึงเงินของเราก็ยังต้องจับจ่าย ใช้มันออกไปให้คนอื่นเช่นกัน ทรัพย์เหล่านี้สูญเสียไปง่าย เสื่อมค่าก็ง่าย เหมือนว่าวัฎจักรนี้ไม่มีที่สิ้นสุดเลย

    ปัญหาหลักของคนเราทุกคนคือการสะสมและการปรียบเทียบทรัพย์สมบัติกับผู้อื่น สมบัติที่ว่าก็คือโดยเฉพาะทรัพย์สมบัติภายนอก ทรัพย์สมบัติภายนอกอย่างที่กล่าวมานั้น เป็นสิ่งของที่เหมือนๆกันทั้งหมด ทั้งเงิน สิ่งของ และอื่นๆ ซึ่งทำให้เกิดการเปรียบเทียบกันง่าย เช่น ฉันเงินเยอะกว่า บ้านหลังใหญ่กว่า รถยนต์พึ่งออกใหม่ โทรศัพท์รุ่นใหม่ พวกเราอยู่ในวังวนนี้มาโดยตลอด

    แล้วจะเกิดอะไรขึ้นอีก เมื่อมีความเชื่อและความยึดถือว่าคนรวย คนมีทรัพย์มาก เป็นคนเก่ง เป็นคนที่น่านับหน้าถือตา รวมไปถึงอาจจะมีอำนาจวาสนาสูงด้วย ทำให้คนเราต้องไข่วคว้าหาเงินทอง ทรัพย์สมบัติมากขึ้น มากขึ้น ไปเรื่อยๆ นอกจากต้องการมากแล้ว ยังต้องการให้มีมากขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทรัพย์สินเหล่านอกจากหลายๆคนมีมากมายมาตั้งแต่กำเนิดได้จากมรดกตกทอดมาจากคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย หรือจากคุณพ่อคุณแม่ด้วย บางคนหามาได้จากความมานะพยายาม บางคนสติปัญญาดี บางคนดวงดี ซึ่งในคนปกติอย่างเราๆ การหาทรัพย์สมบัติมาด้วยความสุจริตนั้นไม่ได้หามาได้ง่ายๆเลย

    การที่ต้องนำทรัพย์สมบัติสะสมมาเทียบเท่ากับคนอื่นๆเป็นเรื่องที่ยากและเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าหากทำได้เมื่อเทียบกับตัวเทียบที่หนึ่งแล้วยังไงต่อ คนที่เราคิดว่าเราไปเทียบด้วยนั้นรวยแล้วแต่ที่จริงก็ยังมีคนที่รวยกว่าและรวยมากกว่าอีก คนที่จ้องจะเปรียบเทียบก็ต้องเปรียบเทียบกับคู่เปรียบที่รวยกว่าเดิม และเมื่อทำได้มากกว่าคนนี้ก็มองหาคนที่อยู่สูงขึ้นไปอีก ถ้าพิจารณาดีๆจากคนรวยในโลกแล้วเราจะเห็นว่าคนที่รวยนั้นเขามีความรวยแบบไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ รวยมหารวย ถ้าเปรียบเทียบกันไปแบบนี้ กว่าเราจะตายไปก็คงจะไม่สามารถเป็นคนที่รวยชนะทุกคนในประเทศได้ รวมไปถึงเป็นที่หนึ่งของโลกด้วยเช่นกัน

    คนที่เห็นคนอื่นมีมาก มีสิ่งของชิ้นใหม่ อยากเป็นคนมีสมบัติมากๆ แต่ความสามารถ ความมีโชค ความขยัน และความอดทน ไม่เท่ากับคนอื่น ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จะได้สมบัติมามากๆได้ยังไง เขาก็ต้องหาทางที่ไม่ตรงไปตรงมา เช่น โกง ปล้น ยักยอก หรือบังคับขู่เข็น และนั่นเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เป็นบาป สร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น อ่านที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าทรัพย์สมบัติภายนอกมันต้องได้จากคนอื่นมา เหตุการณ์เหล่านี้สามารถเห็นได้ตามหน้าสื่อต่างๆมากมาย ผู้กระทำก็ถูกจับติดคุก ติดตาราง บางคนถึงขั้นวางยาพิษผู้เสียหาย

    เรื่องราวของทรัพย์สมบัติภายนอกยังไม่จบ รออ่านตอนที่ 3 นะครับ
    ทรัพย์สมบัติส่วนบุคคล ตอนที่ 2 เรื่องของทรัพย์สมบัติในตอนที่แล้ว มันช่างสร้างปัญหาในการดำรงชีวิตมากมาย รวมไปถึงการส่งผลต่อสุขภาพจิตด้วยและการดำเนินชีวิตด้วย หากแต่ภูมิปัญหาของพระพุทธเจ้า ได้สอนและจำแนกไว้เป็นอย่างดีและชัดเจนมากๆแล้วว่า ทรัพย์สมบัติแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ทรัพย์สมบัติภายนอก และทรัพย์สมบัติภายใน ตอนนี้เราจะมาลงรายละเอียดของทรัพย์สมบัติภายนอกกันครับ ทรัพย์สมบัติภายนอก มีอะไรบ้าง… เงิน , ทอง , บ้าน , รถยนต์ , โทรศัพท์มือถือ , รองเท้า , ปากกา, นาฬิกา หรือพูดง่ายๆว่าสิ่งที่เรามองออกไปรอบๆตัวที่เห็นทั้งหมด แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีทรัพย์สมบัติภายนอกที่เรายึดเอาไว้ว่าเป็นของตัวเอง อีกหลายๆอย่างซึ่งไม่ใช่อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ยกตัวอย่างเช่น ประเทศ(ของเรา) , โรงเรียน(ของเรา) , พ่อแม่(ของเรา) , ลูก(ของเรา) หรือ สามี/ภรรยา(ของเรา) สิ่งเหล่านี้จะเรียกว่าเป็นทรัพย์สมบัติได้หรือเปล่า…ไม่แน่ใจ แต่เราก็ยึดไปแล้วว่าเป็นของเรา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสิ่งที่จับต้องไม่ได้ที่เราเรียกว่าเป็นของเราอีกเช่น ร่างกาย(ของเรา) , ชื่อเสียงเกียรติยศ(ของเรา) , รูปร่างหน้าตา(ของเรา) , ทรงผม(ของเรา) , ความสวย/หล่อ(ของเรา) , ศักดิ์ศรี(ของเรา) หรือภูมิหลัง(ของเรา) สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นของเราจริงๆหรือเปล่า? ถ้าเป็นของเราจริงๆเราต้องบังคับมันได้ เช่นบังคับให้จำนวนเพิ่มขึ้นหรือลดลง , บังคับให้(เขา)ทำแบบนั้นแบบนี้ตามใจเรา หรือบังคับไม่ให้มันเสื่อมสภาพไป ซึ่งเราไม่สามารถบังคับอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นจะเรียกว่าเป็นของของเราได้ไหม สินทรัพย์ภายนอก เราต้องแลกมา หามา ได้มา ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ซึ่งเรายังคงต้องได้มาจากผู้อื่น ในมุมมองของการหาสินทรัพย์ภายนอกที่เป็นเงิน เราก็ต้องแลกด้วยแรง แลกด้วยส่วนต่างของกำไร แล้วเอาเงินจากอีกคนหรืออีกฝ่ายหนึ่งมา ซึ่งเงินก้อนนี้ก็ถูกดึงมากจากอีกฝ่าย และพวกเขาก็ดึงมากจากผู้อื่นๆ รวมไปถึงเงินของเราก็ยังต้องจับจ่าย ใช้มันออกไปให้คนอื่นเช่นกัน ทรัพย์เหล่านี้สูญเสียไปง่าย เสื่อมค่าก็ง่าย เหมือนว่าวัฎจักรนี้ไม่มีที่สิ้นสุดเลย ปัญหาหลักของคนเราทุกคนคือการสะสมและการปรียบเทียบทรัพย์สมบัติกับผู้อื่น สมบัติที่ว่าก็คือโดยเฉพาะทรัพย์สมบัติภายนอก ทรัพย์สมบัติภายนอกอย่างที่กล่าวมานั้น เป็นสิ่งของที่เหมือนๆกันทั้งหมด ทั้งเงิน สิ่งของ และอื่นๆ ซึ่งทำให้เกิดการเปรียบเทียบกันง่าย เช่น ฉันเงินเยอะกว่า บ้านหลังใหญ่กว่า รถยนต์พึ่งออกใหม่ โทรศัพท์รุ่นใหม่ พวกเราอยู่ในวังวนนี้มาโดยตลอด แล้วจะเกิดอะไรขึ้นอีก เมื่อมีความเชื่อและความยึดถือว่าคนรวย คนมีทรัพย์มาก เป็นคนเก่ง เป็นคนที่น่านับหน้าถือตา รวมไปถึงอาจจะมีอำนาจวาสนาสูงด้วย ทำให้คนเราต้องไข่วคว้าหาเงินทอง ทรัพย์สมบัติมากขึ้น มากขึ้น ไปเรื่อยๆ นอกจากต้องการมากแล้ว ยังต้องการให้มีมากขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทรัพย์สินเหล่านอกจากหลายๆคนมีมากมายมาตั้งแต่กำเนิดได้จากมรดกตกทอดมาจากคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย หรือจากคุณพ่อคุณแม่ด้วย บางคนหามาได้จากความมานะพยายาม บางคนสติปัญญาดี บางคนดวงดี ซึ่งในคนปกติอย่างเราๆ การหาทรัพย์สมบัติมาด้วยความสุจริตนั้นไม่ได้หามาได้ง่ายๆเลย การที่ต้องนำทรัพย์สมบัติสะสมมาเทียบเท่ากับคนอื่นๆเป็นเรื่องที่ยากและเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าหากทำได้เมื่อเทียบกับตัวเทียบที่หนึ่งแล้วยังไงต่อ คนที่เราคิดว่าเราไปเทียบด้วยนั้นรวยแล้วแต่ที่จริงก็ยังมีคนที่รวยกว่าและรวยมากกว่าอีก คนที่จ้องจะเปรียบเทียบก็ต้องเปรียบเทียบกับคู่เปรียบที่รวยกว่าเดิม และเมื่อทำได้มากกว่าคนนี้ก็มองหาคนที่อยู่สูงขึ้นไปอีก ถ้าพิจารณาดีๆจากคนรวยในโลกแล้วเราจะเห็นว่าคนที่รวยนั้นเขามีความรวยแบบไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ รวยมหารวย ถ้าเปรียบเทียบกันไปแบบนี้ กว่าเราจะตายไปก็คงจะไม่สามารถเป็นคนที่รวยชนะทุกคนในประเทศได้ รวมไปถึงเป็นที่หนึ่งของโลกด้วยเช่นกัน คนที่เห็นคนอื่นมีมาก มีสิ่งของชิ้นใหม่ อยากเป็นคนมีสมบัติมากๆ แต่ความสามารถ ความมีโชค ความขยัน และความอดทน ไม่เท่ากับคนอื่น ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จะได้สมบัติมามากๆได้ยังไง เขาก็ต้องหาทางที่ไม่ตรงไปตรงมา เช่น โกง ปล้น ยักยอก หรือบังคับขู่เข็น และนั่นเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เป็นบาป สร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น อ่านที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าทรัพย์สมบัติภายนอกมันต้องได้จากคนอื่นมา เหตุการณ์เหล่านี้สามารถเห็นได้ตามหน้าสื่อต่างๆมากมาย ผู้กระทำก็ถูกจับติดคุก ติดตาราง บางคนถึงขั้นวางยาพิษผู้เสียหาย เรื่องราวของทรัพย์สมบัติภายนอกยังไม่จบ รออ่านตอนที่ 3 นะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 691 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิสัญญาองค์การอนามัยโลก

    ประเทศไทยควรต้องสนใจกับข้อกำหนดสนธิสัญญากับองค์การอนามัยโลก

    รายชื่อคัดค้าน และรายละเอียด สนธิสัญญาขององค์การอนามัยโลกที่ เมื่อตกลง ต้องทำตาม
    อย่าง บิดพริ้วไม่ได้

    ปัจจุบันมีการลงขื่อ 60,000 ราย และ รวมทั้ง มีการคัดค้านจาก สมาพันธ์เครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย
    ซึ่งถือว่าเป็นประชาชนรากหญ้าและได้รับผลกระทบ
    อย่างสูงเมื่อการดำรงชีวิต การเข้าถึงยาและสมุนไพรวิถีไทยจะถูกห้าม

    รายละเอียดเหล่านี้ ส่งถึง ท่าน รมต ประธานสภา และ กระทรวง สาธารณสุข
    ตั้งแต่พฤษภาคม 2567 จนถึงปัจจุบันนี้ คนไทยยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น

    และทางการ และรัฐบาล ควร ต้องชี้แจงให้คนไทยทุกคนทราบ

    และ รัฐบาล ทราบหรือไม่ว่า ควรต้องทำอะไร ทั้งๆที่ประเทศต่างๆทั่วโลกกังวล

    ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยมีทรัพยากรสมุนไพรธรรมชาติที่ใช้กันมาเนิ่นนานแล้ว แต่ถูกด้อยค่าไปตามลำดับ

    และต้องตระหนักว่าสมุนไพรเหล่านี้ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาเป็นยาและส่งกลับมาขาย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร และตัวอื่นๆ โดยศึกษาในขั้นโมเลกุลและผลตรงกับที่บรรพบุรุษไทยได้จารึกสรรพคุณไว้ตั้งแต่สมัยต้นรัชกาล ด้วยซ้ำ
    ในตำราแพทย์ไทยนั้น

    ยกตัวอย่างเช่นรูปลักษณะของฝีดาษได้บรรยายไว้ 12 ชนิด ซึ่งตรงกับ 12 ไวรัสในตระกูลฝีดาษที่เราทราบกันในปัจจุบัน และมีการระบุสมุนไพรแต่ละประเภทตามความรุนแรงของชนิดฝีดาษ

    ข้อมูลรายละเอียดของการคัดค้าน WHO 24 พค.67
    https://drive.google.com/drive/folders/1GyWC2OcVnUkglL7YUtFRum8S_TqZvmIU

    ความสำคัญของ สนธิสัญญาขององค์การอนามัยโลกต่อภาคีเครือข่ายรวมกระทั่งถึงประเทศไทย
    ถ้าอยู่ภายใต้ สนธิสัญญานี้ จะบิดพริ้วมิได้
    และจะเกิด ผลกระทบติดตามมากมาย หลายเรื่อง เช่น
    1- องค์การอนามัยโลกสามารถประกาศโรคระบาดใดให้เป็น สถานการณ์โรค ระบาดทั้งโลกได้ โดยไม่ต้องฟัง ข้อมูลรายละเอียดจากพื้นที่ให้ครบทุกด้าน
    2- เมื่อประกาศแล้วเราต้องทำตามทุกอย่าง และไม่สามารถทำอะไรที่ควรจะทำได้
    3- วัคซีนต้องฉีดตามองค์การอนามัยโลกสั่ง โดย องค์การอนามัยโลก ไม่ต้อง มีความรับผิดชอบ ถ้าเกิดมีผลข้างเคียง ไม่ว่าจะรุนแรงเท่าใด เพราะถือว่า ได้รับสิทธิ์และถืออำนาจสั่งการได้อย่างสมบูรณ์
    4-ยา ต้องใช้ตามที่สั่งโดยไม่บิดพลิ้ว นั่นคือยาต้องสั่งจากต่างประเทศอย่างเดียว และยาที่ผลิตจากวัตถุดิบจากประเทศในเอเชียจะถูกมองว่าไม่มีประสิทธิภาพไม่ได้มาตรฐานและมีอันตรายทันที หรือไม่
    5- สมุนไพรที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการใช้และจะมีการออกประกาศโดยกระทรวงทบวงกรมสถาบันโรงเรียนแพทย์โดยถือว่าเป็นคำสั่งหรือข้อแนะนำจากองค์การอนามัยโลกและผ่านมาทาง อย สหรัฐ ศูนย์ควบคุมป้องกันโรคของสหรัฐ
    6- สามารถที่จะเซ็นเซอร์ทุกอย่างได้ที่เกี่ยวกับข้อมูลที่ควรจะเป็น ไม่ว่าเป็นผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนของวัคซีนและยาที่องค์การอนามัยโลกสั่ง
    ประชาชนไม่สามารถสื่อสารการใช้ยาที่คนไทยใช้อยู่แล้วในพื้นที่ และมีหน่วยงานที่เซ็นเซอร์โดยจัดให้เป็นข้อมูลเท็จ misinformation ผ่านทางหน่วยงานของรัฐ จากองค์กร และสู่ประชาชนทั้งประเทศให้เชื่อฟัง

    ทั้งนี้จะมีหน่วยงานที่สอดส่องโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์และทำการถอดถอนข้อมูล ดิสเครดิต ผู้ที่ให้ข้อมูลทันที มีหน่วยงานลักษณะนี้ รวมทั้งกระทรวงของรัฐที่ทำตามกระบวนการนี้

    สิ่งที่กล่าวนี้เกิดขึ้นแล้ว ในช่วงโควิด และเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องของผลกระทบผลข้างเคียง ของสิ่งที่ฉีด

    โดยที่ทางการของประเทศ ไทยเองประกาศทั่วประเทศเมื่อต้นปี 2567 ว่า
    ผลกระทบร้ายแรงและถึงแก่ชีวิตทั้งประเทศมีเพียงห้าราย
    โดยที่ตัวเลขห้ารายนี้ จะเทียบกับหนึ่งในล้าน ซึ่ง
    เป็นตัวเลขที่ยอมรับได้ตามประกาศขององค์การอนามัยโลก
    ทั้งๆที่รายอื่นเป็น 10,000 เป็น 100,000 ถูกปัดว่าไม่มีความเกี่ยวข้อง และถึงกระทั่งให้หาข้อพิสูจน์มา เอง โดยที่การพิสูจน์ หรือชันสูตรศพ ทาง วิทยาศาสตร์นั้นต้องการทุนไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท

    สิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้นแล้วและจะรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่าถ้าตกอยู่ในสนธิสัญญานี้

    วัคซีนในปัจจุบันและต่อจากนี้ในมนุษย์และสัตว์ใช้เทคโนโลยี ที่ใช้กับโควิด ทั้งนี้โดยอ้างว่า ได้ใช้กับประชาชนทั่วโลกแล้วและผลกระทบไม่ได้เกิดจากวัคซีน

    นสพ มติชน ฉบับพิมพ์
    ท็อล์กออฟเดอะทาวน์
    10 พย 2567

    กระบวนการรวบรวมรายชื่อคัดค้านและนำส่งทางการของประเทศไทยโดยกลุ่มแพทย์และประชาชนไทยพิทักษ์สิทธิ์

    รวบรวมข้อมูลโดย
    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    สนธิสัญญาองค์การอนามัยโลก ประเทศไทยควรต้องสนใจกับข้อกำหนดสนธิสัญญากับองค์การอนามัยโลก รายชื่อคัดค้าน และรายละเอียด สนธิสัญญาขององค์การอนามัยโลกที่ เมื่อตกลง ต้องทำตาม อย่าง บิดพริ้วไม่ได้ ปัจจุบันมีการลงขื่อ 60,000 ราย และ รวมทั้ง มีการคัดค้านจาก สมาพันธ์เครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นประชาชนรากหญ้าและได้รับผลกระทบ อย่างสูงเมื่อการดำรงชีวิต การเข้าถึงยาและสมุนไพรวิถีไทยจะถูกห้าม รายละเอียดเหล่านี้ ส่งถึง ท่าน รมต ประธานสภา และ กระทรวง สาธารณสุข ตั้งแต่พฤษภาคม 2567 จนถึงปัจจุบันนี้ คนไทยยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น และทางการ และรัฐบาล ควร ต้องชี้แจงให้คนไทยทุกคนทราบ และ รัฐบาล ทราบหรือไม่ว่า ควรต้องทำอะไร ทั้งๆที่ประเทศต่างๆทั่วโลกกังวล ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยมีทรัพยากรสมุนไพรธรรมชาติที่ใช้กันมาเนิ่นนานแล้ว แต่ถูกด้อยค่าไปตามลำดับ และต้องตระหนักว่าสมุนไพรเหล่านี้ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาเป็นยาและส่งกลับมาขาย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร และตัวอื่นๆ โดยศึกษาในขั้นโมเลกุลและผลตรงกับที่บรรพบุรุษไทยได้จารึกสรรพคุณไว้ตั้งแต่สมัยต้นรัชกาล ด้วยซ้ำ ในตำราแพทย์ไทยนั้น ยกตัวอย่างเช่นรูปลักษณะของฝีดาษได้บรรยายไว้ 12 ชนิด ซึ่งตรงกับ 12 ไวรัสในตระกูลฝีดาษที่เราทราบกันในปัจจุบัน และมีการระบุสมุนไพรแต่ละประเภทตามความรุนแรงของชนิดฝีดาษ ข้อมูลรายละเอียดของการคัดค้าน WHO 24 พค.67 https://drive.google.com/drive/folders/1GyWC2OcVnUkglL7YUtFRum8S_TqZvmIU ความสำคัญของ สนธิสัญญาขององค์การอนามัยโลกต่อภาคีเครือข่ายรวมกระทั่งถึงประเทศไทย ถ้าอยู่ภายใต้ สนธิสัญญานี้ จะบิดพริ้วมิได้ และจะเกิด ผลกระทบติดตามมากมาย หลายเรื่อง เช่น 1- องค์การอนามัยโลกสามารถประกาศโรคระบาดใดให้เป็น สถานการณ์โรค ระบาดทั้งโลกได้ โดยไม่ต้องฟัง ข้อมูลรายละเอียดจากพื้นที่ให้ครบทุกด้าน 2- เมื่อประกาศแล้วเราต้องทำตามทุกอย่าง และไม่สามารถทำอะไรที่ควรจะทำได้ 3- วัคซีนต้องฉีดตามองค์การอนามัยโลกสั่ง โดย องค์การอนามัยโลก ไม่ต้อง มีความรับผิดชอบ ถ้าเกิดมีผลข้างเคียง ไม่ว่าจะรุนแรงเท่าใด เพราะถือว่า ได้รับสิทธิ์และถืออำนาจสั่งการได้อย่างสมบูรณ์ 4-ยา ต้องใช้ตามที่สั่งโดยไม่บิดพลิ้ว นั่นคือยาต้องสั่งจากต่างประเทศอย่างเดียว และยาที่ผลิตจากวัตถุดิบจากประเทศในเอเชียจะถูกมองว่าไม่มีประสิทธิภาพไม่ได้มาตรฐานและมีอันตรายทันที หรือไม่ 5- สมุนไพรที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการใช้และจะมีการออกประกาศโดยกระทรวงทบวงกรมสถาบันโรงเรียนแพทย์โดยถือว่าเป็นคำสั่งหรือข้อแนะนำจากองค์การอนามัยโลกและผ่านมาทาง อย สหรัฐ ศูนย์ควบคุมป้องกันโรคของสหรัฐ 6- สามารถที่จะเซ็นเซอร์ทุกอย่างได้ที่เกี่ยวกับข้อมูลที่ควรจะเป็น ไม่ว่าเป็นผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนของวัคซีนและยาที่องค์การอนามัยโลกสั่ง ประชาชนไม่สามารถสื่อสารการใช้ยาที่คนไทยใช้อยู่แล้วในพื้นที่ และมีหน่วยงานที่เซ็นเซอร์โดยจัดให้เป็นข้อมูลเท็จ misinformation ผ่านทางหน่วยงานของรัฐ จากองค์กร และสู่ประชาชนทั้งประเทศให้เชื่อฟัง ทั้งนี้จะมีหน่วยงานที่สอดส่องโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์และทำการถอดถอนข้อมูล ดิสเครดิต ผู้ที่ให้ข้อมูลทันที มีหน่วยงานลักษณะนี้ รวมทั้งกระทรวงของรัฐที่ทำตามกระบวนการนี้ สิ่งที่กล่าวนี้เกิดขึ้นแล้ว ในช่วงโควิด และเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องของผลกระทบผลข้างเคียง ของสิ่งที่ฉีด โดยที่ทางการของประเทศ ไทยเองประกาศทั่วประเทศเมื่อต้นปี 2567 ว่า ผลกระทบร้ายแรงและถึงแก่ชีวิตทั้งประเทศมีเพียงห้าราย โดยที่ตัวเลขห้ารายนี้ จะเทียบกับหนึ่งในล้าน ซึ่ง เป็นตัวเลขที่ยอมรับได้ตามประกาศขององค์การอนามัยโลก ทั้งๆที่รายอื่นเป็น 10,000 เป็น 100,000 ถูกปัดว่าไม่มีความเกี่ยวข้อง และถึงกระทั่งให้หาข้อพิสูจน์มา เอง โดยที่การพิสูจน์ หรือชันสูตรศพ ทาง วิทยาศาสตร์นั้นต้องการทุนไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท สิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้นแล้วและจะรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่าถ้าตกอยู่ในสนธิสัญญานี้ วัคซีนในปัจจุบันและต่อจากนี้ในมนุษย์และสัตว์ใช้เทคโนโลยี ที่ใช้กับโควิด ทั้งนี้โดยอ้างว่า ได้ใช้กับประชาชนทั่วโลกแล้วและผลกระทบไม่ได้เกิดจากวัคซีน นสพ มติชน ฉบับพิมพ์ ท็อล์กออฟเดอะทาวน์ 10 พย 2567 กระบวนการรวบรวมรายชื่อคัดค้านและนำส่งทางการของประเทศไทยโดยกลุ่มแพทย์และประชาชนไทยพิทักษ์สิทธิ์ รวบรวมข้อมูลโดย ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    Love
    14
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1205 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนที่ชอบ swab บ่อยๆ อดทนอ่านสักนิดนะ
    อันนี้เค้าแปลไทยมาให้แล้ว บรรทัดต่อบรรทัด
    ว่ามันอันตรายยังไง แบบไหน เพราะอะไร
    ⏩เหตุใดหน่วยงานภาครัฐจึงยังดึงดันที่จะบังคับใช้ TR-PCT test เป็น Gold Standard ในการวินิจฉัยผู้ติดเชื้อโkวิdให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และบ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะบ่อยได้ในบุคคลเดิม
    ⏩ทั้งที่เทคนิคนี้ได้รับการพิสูจน์อย่างกว้างขวางโดยนักวิทยาศาตร์และบุคลากรทางการแพทย์กว่าห้าหมื่นคนทั่วโลกแล้วว่าเป็นวิธีที่เชื่อถือไม่ได้
    ⏩ให้ผลบวกลวง หรือ False Positive มหาศาลกว่า 90% และแม้แต่ Dr. Kary Mullis ผู้คิดค้นเทคนิคนี้เอง
    ยังยืนกรานออกสื่อหลายครั้งว่ามันไม่เที่ยงตรงและนำไปสู่การแปลผลผิดพลาดได้
    ❓เหตุใดจึงเลือกวิธีล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะของพวกเราอย่างมากทั้งที่สามารถทำได้ง่ายจากการตรวจวิเคราะห์น้ำลาย
    📌การสอดไม้ Swab เข้าไปกว้านลึกถึงเพดานจมูกสามารถสร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อพังผืดที่ห่อหุ้ม Olfactory Nerve
    📌ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพและอายุขัยของมนุษย์ เนื่องจาก olfactory nerve เป็นปราการด่านหนึ่งในสองของกะโหลกศรีษะ
    ⏩ซึ่งเชื่อมระหว่างโพรงจมูกกับสมอง ที่ไวรัสและแบคทีเรียสามารถเดินทางข้าม blood-brain barrier เข้าสู่สมองได้
    📌นอกจากนี้ olfactory nerve ยังเป็นเซลล์ชนิดเดียวในกะโหลกศรีษะที่มี stem cells เรียกว่า olfactory ensheathing cells ที่ล้อมรอบเซลล์รับกลิ่น olfactory sensory axons ส่วนที่ยื่นออกมาจากเซลล์ประสาท neuron
    ⏩ทำหน้าที่ส่งผ่านกระแสประสาทจากเซลล์ร่างกาย พวกมันทำหน้าที่ปกป้อง olfactory nerve และช่วยการสร้างเซลล์ใหม่เมื่อเกิดความบาดเจ็บเสียหาย (สเต็มเซลล์ชนิดนี้มีความพิเศษมากจนถูกนำไปใช้ในการซ่อมแซมไขสันหลังบาดเจ็บและรักษาโรคทางสมองหลายชนิดในการแพทย์ปัจจุบันอย่างประสบความสำเร็จ)
    ⏩นอกจากนี้ olfactory ensheathing cells ยังช่วยเป็นภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด
    ✅เนื่องจากมันประพฤติตัวเป็น phagocytic กล่าวคือ จับกินและย่อยสลายเชื้อโรคได้
    📌ดังนั้น มันจึงเป็นปราการสำคัญที่ช่วยป้องกันสมองโดยระบบภูมิคุ้มกันธรรมชาติของร่างกาย โดยเซลล์ประสาท Olfactory และ neuron bulb มีอายุขัย 4-8 เดือน
    ก่อนจะถูกแทนที่อย่างต่อเนื่องด้วย neuron stem cell อย่าง olfactory ensheathing cells
    ⏩มันช่วยส่งเสริมการอยู่รอดของเซลล์ประสาทและช่วยในการขยายตัวของ axon
    📌จากงานวิจัยล่าสุด แสดงให้เห็นว่า หาก olfactory ensheathing cells สูญเสียความสามารถในการสร้างใหม่หรือซ่อมแซมตัวเองไป
    ‼️จะทำให้โอกาสการเสียชีวิตภายใน 5 ปี ในผู้ใหญ่วัย 57 – 85 ปี เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 4 เท่าตัว
    📌การทำงานของ olfactory จึงเสมือนเป็นเครื่องทำนายความสามารถในการดำรงชีวิตภายใน 5 ปี เป็นสัญญาณเตือนเมื่อการสร้างใหม่ของเซลล์ช้าลง และใช้เป็นเครื่องบ่งชี้เมื่อมีการสะสมสารพิษที่สัมผัสจากสิ่งแวดล้อม
    ‼️ Olfactory nerve ที่เสียหายเสมือนป้อมปราการสู่สมองถูกทำลาย ทำให้ง่ายต่อการถูกโจมตีด้วยสิ่งแปลกปลอมและส่งผลอันตรายถึงแก่ชีวิต
    📌การ swab PCR เป็นระยะ จนทำลายความสามารถในการสร้างใหม่ต่อ Olfactory nerve ทำให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในผู้ใหญ่อายุ 57 – 85 ปี ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มผู้สูงอายุ
    ‼️การทดสอบ PCR test มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเสียหายครั้งแล้วครั้งเล่าต่อ Olfactory nerve
    📌ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    ⏩ซึ่งยอดผู้ติดเชื้อนี้ได้ถูกนำไปสนับสนุนให้รัฐบาลยกระดับมาตรการต่อโรคระบาดยิ่งขึ้น
    📌เมื่อมีผู้ถูกทดสอบโดย PCR เพิ่มขึ้น เซลล์ป้องกันจึงถูกทำลายมากขึ้นและมีผู้ติดเชื้อหลากหลายชนิดเพิ่มขึ้นในครั้งต่อมา
    😔โดยจะถูกตีความต่อไปว่า เกิดการติดเชื้อจากไวรัสโkวิdด้วยการเพิ่มจำนวน Cycle ใน thermal cycler จนกว่าเปอร์เซ็นต์จะเพิ่มจนให้ผลเป็นบวก
    ⏩เพื่อสรุปว่าเป็นโkวิdตามต้องการ
    📌อาจมีการโต้แย้งว่า การทดสอบ swab ช่องจมูกที่ถูกต้อง ควรกวาดเป็นมุมสูงไม่เกิน 30 องศา จากแนวระนาบเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสเส้นประสาทรับกลิ่น
    📌แต่ในตำแหน่งดังกล่าวนี้ ไม้ Swab จะไปไปสัมผัสเส้นประสาท Trigeminal แทน ซึ่งเป็น blood-brain barrier เข้าสู่สมองปราการที่สอง
    ‼️ส่งผลต่อการรับรสและการมองเห็น
    📌นอกจากนี้ เพื่อเป็นการทำลายประสาทรับกลิ่นและรส ไม้ swab ไม่จำเป็นต้องไปสัมผัสโดนจนก่ออันตรายต่อเซลล์ประสาท Trigeminal หรือ Olfactory โดยตรงเลย
    ⁉️แค่ลำพังการสร้างความระคายเคืองต่อเยื่อเมือกในโพรงจมูก ก็สามารถส่งผลกระทบต่ออวัยวะทั้งระบบ Limbic
    📌เนื่องจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก
    ‼️สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดผู้ป่วยโควิดจึงสูญเสียการตอบสนองทางพฤติกรรมที่ควบคุมโดยระบบ Limbic เช่น การนอนหลับ ความเหนื่อยล้า การรับรู้ การปรับตัว การเคลื่อนไหว ความจำ เป็นต้น
    📌นอกจากปลายของไม้ swab มีเขี้ยวขรุขระ ประกอบกับวิธีการสอดที่ลึกและการหมุนที่กว้างอย่างรุนแรง
    ⏩ถูกออกแบบมาเพื่อขีดข่วนสร้างความเสียหายให้เยื่อยุผิวมากที่สุดแล้ว
    ‼️ยังพบว่ามีการใช้สารเคมี ethylene oxide ที่รู้จักกันดีว่าเป็นสารก่อมะเร็ง
    📌ถูกนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อใน PCR swab test ก่ออันตรายกับเยื่อเมือกโพรงจมูกซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่มีความไวต่อการแพ้
    📌ร่วมกับมาตรการบังคับใช้ให้สวมหน้ากากอนามัยทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง
    📌จึงเป็นการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียและไวรัสให้เข้าสู่สมองผ่าน Olfactory nerve และ Trigeminal neve ที่เสียหายให้มากยิ่งขึ้น
    📌จากผลการศึกษาหลายร้อยชิ้น แสดงให้เห็นว่าภายใต้หน้ากากอนามัยเป็นแหล่งปนเปื้อนแบคทีเรียและเชื้อราจำนวนมาก เมื่อสวมใส่เป็นเวลานาน
    📌และหลายงานวิจัยยืนยันว่าการใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของระบบทางเดินหายใจสั้นลง และความเหนื่อยล้าอย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05)
    ⏩ในหน้ากาก N95 ออกซิเจนลดลง 72%, คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น 82%, อาการปวดหัว 60%, ความบกพร่องของการหายในอุณหภูมิและความชื้นที่เพิ่มขึ้น 100%.
    📌นอกจากนี้ หลายการศึกษาพบว่า
    การใส่หน้ากากอนามัย ไม่สามารถปิดกั้นการแพร่กระจายของละอองไวรัสได้อย่างสมบูรณ์แม้ขณะปิดสนิท จึงไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ
    📌ในปี 2020 เด็กและวัยรุ่นส่วนใหญ่รอดพ้นการการทดสอบ PCR มีสุขภาพแข็งแรง และไม่มีอาการแสดงการติดเชื้อโควิดเลย
    📌กระทั่งปี 2021 เมื่อมีการทดสอบเชิงรุก พวกเขาก็เริ่มแสดงอาการ ที่เกิดจากโkวิdทันที
    📌ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการสร้างความเสียหายต่อสมองโดยจงใจ
    ‼️ความบกพร่องในการทำงานของศูนย์กลางการหายใจในสมอง Medula oblongata ก่อให้เกิดภาวะหายใจลำบาก Dyspnoea โดยที่ไม่มีการติดเชื้อหรือรอยโรคใดที่ปอด แต่เป็นความเสียหายทางสมองและระบบประสาท
    เราเรียบเรียงใหม่จากส่วนหนึ่งในบทความ PCR Tests and the Depopulation Program by Kevin Galalae, 10 October 2021
    Cr : Ramone Jira
    คนที่ชอบ swab บ่อยๆ อดทนอ่านสักนิดนะ อันนี้เค้าแปลไทยมาให้แล้ว บรรทัดต่อบรรทัด ว่ามันอันตรายยังไง แบบไหน เพราะอะไร ⏩เหตุใดหน่วยงานภาครัฐจึงยังดึงดันที่จะบังคับใช้ TR-PCT test เป็น Gold Standard ในการวินิจฉัยผู้ติดเชื้อโkวิdให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และบ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะบ่อยได้ในบุคคลเดิม ⏩ทั้งที่เทคนิคนี้ได้รับการพิสูจน์อย่างกว้างขวางโดยนักวิทยาศาตร์และบุคลากรทางการแพทย์กว่าห้าหมื่นคนทั่วโลกแล้วว่าเป็นวิธีที่เชื่อถือไม่ได้ ⏩ให้ผลบวกลวง หรือ False Positive มหาศาลกว่า 90% และแม้แต่ Dr. Kary Mullis ผู้คิดค้นเทคนิคนี้เอง ยังยืนกรานออกสื่อหลายครั้งว่ามันไม่เที่ยงตรงและนำไปสู่การแปลผลผิดพลาดได้ ❓เหตุใดจึงเลือกวิธีล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะของพวกเราอย่างมากทั้งที่สามารถทำได้ง่ายจากการตรวจวิเคราะห์น้ำลาย 📌การสอดไม้ Swab เข้าไปกว้านลึกถึงเพดานจมูกสามารถสร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อพังผืดที่ห่อหุ้ม Olfactory Nerve 📌ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพและอายุขัยของมนุษย์ เนื่องจาก olfactory nerve เป็นปราการด่านหนึ่งในสองของกะโหลกศรีษะ ⏩ซึ่งเชื่อมระหว่างโพรงจมูกกับสมอง ที่ไวรัสและแบคทีเรียสามารถเดินทางข้าม blood-brain barrier เข้าสู่สมองได้ 📌นอกจากนี้ olfactory nerve ยังเป็นเซลล์ชนิดเดียวในกะโหลกศรีษะที่มี stem cells เรียกว่า olfactory ensheathing cells ที่ล้อมรอบเซลล์รับกลิ่น olfactory sensory axons ส่วนที่ยื่นออกมาจากเซลล์ประสาท neuron ⏩ทำหน้าที่ส่งผ่านกระแสประสาทจากเซลล์ร่างกาย พวกมันทำหน้าที่ปกป้อง olfactory nerve และช่วยการสร้างเซลล์ใหม่เมื่อเกิดความบาดเจ็บเสียหาย (สเต็มเซลล์ชนิดนี้มีความพิเศษมากจนถูกนำไปใช้ในการซ่อมแซมไขสันหลังบาดเจ็บและรักษาโรคทางสมองหลายชนิดในการแพทย์ปัจจุบันอย่างประสบความสำเร็จ) ⏩นอกจากนี้ olfactory ensheathing cells ยังช่วยเป็นภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด ✅เนื่องจากมันประพฤติตัวเป็น phagocytic กล่าวคือ จับกินและย่อยสลายเชื้อโรคได้ 📌ดังนั้น มันจึงเป็นปราการสำคัญที่ช่วยป้องกันสมองโดยระบบภูมิคุ้มกันธรรมชาติของร่างกาย โดยเซลล์ประสาท Olfactory และ neuron bulb มีอายุขัย 4-8 เดือน ก่อนจะถูกแทนที่อย่างต่อเนื่องด้วย neuron stem cell อย่าง olfactory ensheathing cells ⏩มันช่วยส่งเสริมการอยู่รอดของเซลล์ประสาทและช่วยในการขยายตัวของ axon 📌จากงานวิจัยล่าสุด แสดงให้เห็นว่า หาก olfactory ensheathing cells สูญเสียความสามารถในการสร้างใหม่หรือซ่อมแซมตัวเองไป ‼️จะทำให้โอกาสการเสียชีวิตภายใน 5 ปี ในผู้ใหญ่วัย 57 – 85 ปี เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 4 เท่าตัว 📌การทำงานของ olfactory จึงเสมือนเป็นเครื่องทำนายความสามารถในการดำรงชีวิตภายใน 5 ปี เป็นสัญญาณเตือนเมื่อการสร้างใหม่ของเซลล์ช้าลง และใช้เป็นเครื่องบ่งชี้เมื่อมีการสะสมสารพิษที่สัมผัสจากสิ่งแวดล้อม ‼️ Olfactory nerve ที่เสียหายเสมือนป้อมปราการสู่สมองถูกทำลาย ทำให้ง่ายต่อการถูกโจมตีด้วยสิ่งแปลกปลอมและส่งผลอันตรายถึงแก่ชีวิต 📌การ swab PCR เป็นระยะ จนทำลายความสามารถในการสร้างใหม่ต่อ Olfactory nerve ทำให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในผู้ใหญ่อายุ 57 – 85 ปี ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มผู้สูงอายุ ‼️การทดสอบ PCR test มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเสียหายครั้งแล้วครั้งเล่าต่อ Olfactory nerve 📌ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ⏩ซึ่งยอดผู้ติดเชื้อนี้ได้ถูกนำไปสนับสนุนให้รัฐบาลยกระดับมาตรการต่อโรคระบาดยิ่งขึ้น 📌เมื่อมีผู้ถูกทดสอบโดย PCR เพิ่มขึ้น เซลล์ป้องกันจึงถูกทำลายมากขึ้นและมีผู้ติดเชื้อหลากหลายชนิดเพิ่มขึ้นในครั้งต่อมา 😔โดยจะถูกตีความต่อไปว่า เกิดการติดเชื้อจากไวรัสโkวิdด้วยการเพิ่มจำนวน Cycle ใน thermal cycler จนกว่าเปอร์เซ็นต์จะเพิ่มจนให้ผลเป็นบวก ⏩เพื่อสรุปว่าเป็นโkวิdตามต้องการ 📌อาจมีการโต้แย้งว่า การทดสอบ swab ช่องจมูกที่ถูกต้อง ควรกวาดเป็นมุมสูงไม่เกิน 30 องศา จากแนวระนาบเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสเส้นประสาทรับกลิ่น 📌แต่ในตำแหน่งดังกล่าวนี้ ไม้ Swab จะไปไปสัมผัสเส้นประสาท Trigeminal แทน ซึ่งเป็น blood-brain barrier เข้าสู่สมองปราการที่สอง ‼️ส่งผลต่อการรับรสและการมองเห็น 📌นอกจากนี้ เพื่อเป็นการทำลายประสาทรับกลิ่นและรส ไม้ swab ไม่จำเป็นต้องไปสัมผัสโดนจนก่ออันตรายต่อเซลล์ประสาท Trigeminal หรือ Olfactory โดยตรงเลย ⁉️แค่ลำพังการสร้างความระคายเคืองต่อเยื่อเมือกในโพรงจมูก ก็สามารถส่งผลกระทบต่ออวัยวะทั้งระบบ Limbic 📌เนื่องจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก ‼️สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดผู้ป่วยโควิดจึงสูญเสียการตอบสนองทางพฤติกรรมที่ควบคุมโดยระบบ Limbic เช่น การนอนหลับ ความเหนื่อยล้า การรับรู้ การปรับตัว การเคลื่อนไหว ความจำ เป็นต้น 📌นอกจากปลายของไม้ swab มีเขี้ยวขรุขระ ประกอบกับวิธีการสอดที่ลึกและการหมุนที่กว้างอย่างรุนแรง ⏩ถูกออกแบบมาเพื่อขีดข่วนสร้างความเสียหายให้เยื่อยุผิวมากที่สุดแล้ว ‼️ยังพบว่ามีการใช้สารเคมี ethylene oxide ที่รู้จักกันดีว่าเป็นสารก่อมะเร็ง 📌ถูกนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อใน PCR swab test ก่ออันตรายกับเยื่อเมือกโพรงจมูกซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่มีความไวต่อการแพ้ 📌ร่วมกับมาตรการบังคับใช้ให้สวมหน้ากากอนามัยทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง 📌จึงเป็นการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียและไวรัสให้เข้าสู่สมองผ่าน Olfactory nerve และ Trigeminal neve ที่เสียหายให้มากยิ่งขึ้น 📌จากผลการศึกษาหลายร้อยชิ้น แสดงให้เห็นว่าภายใต้หน้ากากอนามัยเป็นแหล่งปนเปื้อนแบคทีเรียและเชื้อราจำนวนมาก เมื่อสวมใส่เป็นเวลานาน 📌และหลายงานวิจัยยืนยันว่าการใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของระบบทางเดินหายใจสั้นลง และความเหนื่อยล้าอย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05) ⏩ในหน้ากาก N95 ออกซิเจนลดลง 72%, คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น 82%, อาการปวดหัว 60%, ความบกพร่องของการหายในอุณหภูมิและความชื้นที่เพิ่มขึ้น 100%. 📌นอกจากนี้ หลายการศึกษาพบว่า การใส่หน้ากากอนามัย ไม่สามารถปิดกั้นการแพร่กระจายของละอองไวรัสได้อย่างสมบูรณ์แม้ขณะปิดสนิท จึงไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ 📌ในปี 2020 เด็กและวัยรุ่นส่วนใหญ่รอดพ้นการการทดสอบ PCR มีสุขภาพแข็งแรง และไม่มีอาการแสดงการติดเชื้อโควิดเลย 📌กระทั่งปี 2021 เมื่อมีการทดสอบเชิงรุก พวกเขาก็เริ่มแสดงอาการ ที่เกิดจากโkวิdทันที 📌ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการสร้างความเสียหายต่อสมองโดยจงใจ ‼️ความบกพร่องในการทำงานของศูนย์กลางการหายใจในสมอง Medula oblongata ก่อให้เกิดภาวะหายใจลำบาก Dyspnoea โดยที่ไม่มีการติดเชื้อหรือรอยโรคใดที่ปอด แต่เป็นความเสียหายทางสมองและระบบประสาท เราเรียบเรียงใหม่จากส่วนหนึ่งในบทความ PCR Tests and the Depopulation Program by Kevin Galalae, 10 October 2021 Cr : Ramone Jira
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 836 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เตือนตนเอง"

    ท่านคงไม่ต้องการให้ตัวท่านเอง รวมทั้งคนอื่นๆ ต้องได้รับวิบากกรรมที่ไม่ดี และมีชีวิตทุกข์ยากลำบากเข็ญใจเยี่ยงนี้.

    ดังนั้น ท่านควรกระทำเหตุปัจจัยสำหรับการดำรงชีวิตที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น สัมมาอาชีวะ ซื่อสัตย์ มัธยัสถ์ การแบ่งปัน และทานบารมี เป็นต้น

    ณรงค์ คนขำ
    29/10/2567

    Location: สะพานลอย อาคารดีทแฮล์ม กรุงเทพฯ
    "เตือนตนเอง" ท่านคงไม่ต้องการให้ตัวท่านเอง รวมทั้งคนอื่นๆ ต้องได้รับวิบากกรรมที่ไม่ดี และมีชีวิตทุกข์ยากลำบากเข็ญใจเยี่ยงนี้. ดังนั้น ท่านควรกระทำเหตุปัจจัยสำหรับการดำรงชีวิตที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น สัมมาอาชีวะ ซื่อสัตย์ มัธยัสถ์ การแบ่งปัน และทานบารมี เป็นต้น ณรงค์ คนขำ 29/10/2567 Location: สะพานลอย อาคารดีทแฮล์ม กรุงเทพฯ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เตือนตนเอง"

    ท่านคงไม่ต้องการให้ตัวท่านเอง รวมทั้งคนอื่นๆ ต้องได้รับวิบากกรรมที่ไม่ดี และมีชีวิตทุกข์ยากลำบากเข็ญใจเยี่ยงนี้.

    ดังนั้น ท่านควรกระทำเหตุปัจจัยสำหรับการดำรงชีวิตที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น สัมมาอาชีวะ ซื่อสัตย์ มัธยัสถ์ การแบ่งปัน และทานบารมี เป็นต้น

    ณรงค์ คนขำ
    29/10/2567

    Location: สะพานลอย อาคารดีทแฮล์ม กรุงเทพฯ
    "เตือนตนเอง" ท่านคงไม่ต้องการให้ตัวท่านเอง รวมทั้งคนอื่นๆ ต้องได้รับวิบากกรรมที่ไม่ดี และมีชีวิตทุกข์ยากลำบากเข็ญใจเยี่ยงนี้. ดังนั้น ท่านควรกระทำเหตุปัจจัยสำหรับการดำรงชีวิตที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น สัมมาอาชีวะ ซื่อสัตย์ มัธยัสถ์ การแบ่งปัน และทานบารมี เป็นต้น ณรงค์ คนขำ 29/10/2567 Location: สะพานลอย อาคารดีทแฮล์ม กรุงเทพฯ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • เช้า ๆ ก่อนไปทำงาน lit nit ก็ขอลองไปฟังเทศน์มหาชาติสักหน่อย เพราะยังไม่เคยฟังเลย
    ....
    ตั้งใจไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าวันนี้จะไปฟัง ดังนั้นเมื่อคืนจึงทำการบ้าน หาข้อมูลว่าเทศน์มหาชาติคืออะไร มีประวัติอย่างไร จะได้ไม่ฟังสักแต่ว่าฟัง
    ....
    เทศน์มหาชาติคือการเล่าเรื่องชาติที่พระพุทธเจ้ากำเนิดเป็นพระเวสสันดร ซึ่งเป็นชาติที่ท่านบริจาคทานยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นมหาทาน
    ....
    สันนิฐานว่าเริ่มตั้งแต่สมัยสุโขทัย มีคติความเชื่อว่าฟังเทศน์มหาชาติแล้วจะมีอานิสงส์ได้เกิดในยุคพระศรีอริยเมตไตรย สมัยก่อนนั้นเทศน์ 3 วัน แต่พอสมัยรัตนโกสินทร์ได้มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพการใช้ชีวิตของประชาชนที่ไม่มีเวลา จึงเหลือเทศน์แค่วันเดียว
    ....
    ยุคหลังมานี้มีการปรับเปลี่ยนจากพระขึ้นเทศน์จำนวน 5 รูป เหลือ 2 รูป แล้วใช้นักแสดงลิเกมาเป็นผู้แสดงเป็น "หางเครื่อง" แต่คำว่าหางเครื่องฟังดูไม่เหมาะกับการเทศน์จึงเปลี่ยนเป็น "ทรงเครื่อง"มีหลายภาคส่วนที่เห็นว่าการเทศน์ในยุคปัจจุบันเน้นไปทางเรี่ยไรจนเกินงาม มากกว่าจะเน้นเนื้อหาสาระดั้งเดิมของการเทศน์จึงมีการถกเรื่องนี้พอสมควร
    ....
    ที่วัดนี้ไม่ได้เทศน์ทรงเครื่อง แต่เป็นการสวดคาถาพันพร้อมคำแปลให้ญาติโยมได้ฟังเพื่อประโยชน์ในทางธรรม lit nit ฟังได้ 3 กัณฑ์ จากทั้งหมด 13 กัณฑ์ เพราะต้องไปทำงาน แต่ถึงอย่างนั้น lit nit ก็รู้สึกว่ามีประโยชน์กับตนเองมากทีเดียว เพราะมีข้อติดขัดบางอย่างในความรู้สึกที่แก้ไม่หายสักที แต่พอได้ฟัง กัณฑ์ที่ 3 (หรือซีซั่นที่3นั่นแหละ) จึงได้รู้สึกว่าได้ปลดเปลื้องปัญหาทางใจข้อนั้น
    #หากมีโอกาสไปฟังกันเถิด เทศน์มหาชาติคือพุทธวจนะของพระพุทธเจ้า และมีความรู้ ตลอดจนคติในการดำรงชีวิตสอนไว้ในทุก ๆ กัณฑ์
    เช้า ๆ ก่อนไปทำงาน lit nit ก็ขอลองไปฟังเทศน์มหาชาติสักหน่อย เพราะยังไม่เคยฟังเลย .... ตั้งใจไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าวันนี้จะไปฟัง ดังนั้นเมื่อคืนจึงทำการบ้าน หาข้อมูลว่าเทศน์มหาชาติคืออะไร มีประวัติอย่างไร จะได้ไม่ฟังสักแต่ว่าฟัง .... เทศน์มหาชาติคือการเล่าเรื่องชาติที่พระพุทธเจ้ากำเนิดเป็นพระเวสสันดร ซึ่งเป็นชาติที่ท่านบริจาคทานยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นมหาทาน .... สันนิฐานว่าเริ่มตั้งแต่สมัยสุโขทัย มีคติความเชื่อว่าฟังเทศน์มหาชาติแล้วจะมีอานิสงส์ได้เกิดในยุคพระศรีอริยเมตไตรย สมัยก่อนนั้นเทศน์ 3 วัน แต่พอสมัยรัตนโกสินทร์ได้มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพการใช้ชีวิตของประชาชนที่ไม่มีเวลา จึงเหลือเทศน์แค่วันเดียว .... ยุคหลังมานี้มีการปรับเปลี่ยนจากพระขึ้นเทศน์จำนวน 5 รูป เหลือ 2 รูป แล้วใช้นักแสดงลิเกมาเป็นผู้แสดงเป็น "หางเครื่อง" แต่คำว่าหางเครื่องฟังดูไม่เหมาะกับการเทศน์จึงเปลี่ยนเป็น "ทรงเครื่อง"มีหลายภาคส่วนที่เห็นว่าการเทศน์ในยุคปัจจุบันเน้นไปทางเรี่ยไรจนเกินงาม มากกว่าจะเน้นเนื้อหาสาระดั้งเดิมของการเทศน์จึงมีการถกเรื่องนี้พอสมควร .... ที่วัดนี้ไม่ได้เทศน์ทรงเครื่อง แต่เป็นการสวดคาถาพันพร้อมคำแปลให้ญาติโยมได้ฟังเพื่อประโยชน์ในทางธรรม lit nit ฟังได้ 3 กัณฑ์ จากทั้งหมด 13 กัณฑ์ เพราะต้องไปทำงาน แต่ถึงอย่างนั้น lit nit ก็รู้สึกว่ามีประโยชน์กับตนเองมากทีเดียว เพราะมีข้อติดขัดบางอย่างในความรู้สึกที่แก้ไม่หายสักที แต่พอได้ฟัง กัณฑ์ที่ 3 (หรือซีซั่นที่3นั่นแหละ) จึงได้รู้สึกว่าได้ปลดเปลื้องปัญหาทางใจข้อนั้น #หากมีโอกาสไปฟังกันเถิด เทศน์มหาชาติคือพุทธวจนะของพระพุทธเจ้า และมีความรู้ ตลอดจนคติในการดำรงชีวิตสอนไว้ในทุก ๆ กัณฑ์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 509 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขบวนพยุหยาตราทางชลมารคมรดกชาติไทย-มรดกของโลก
    .
    เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในการพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร ในวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2567
    .
    ทั้งนี้ เป็นพระราชพิธีสำคัญที่คนไทยทั้งประเทศต่างรอคอยชมความงดงามของริ้วขบวนเรือพระราชพิธี ดังจะเห็นได้จากในช่วงการซ้อมใหญ่ที่ผ่านมา ได้มีประชาชนจับจองพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ขบวนเรือเคลื่อนผ่านเป็นจำนวนมาก
    .
    สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประชาชนให้ความสนใจกับขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เป็นอย่างมากนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นโบราณราชประเพณีที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก แต่จะมีขึ้นเฉพาะในห้วงเวลาที่ประเทศไทยมีโอกาสสำคัญเท่านั้น อย่างล่าสุดที่คนไทยได้เห็นขบวนพยุหยาตราทางชลมารค คือ การเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อปีพ.ศ.2562
    .
    พระราชพิธีขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ไม่ได้มีความสำคัญเฉพาะในมิติของการเป็นพิธีการหนึ่งของรัฐเท่านั้น แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของคนไทยที่ผูกพันกับสายน้ำอีกด้วย โดยสารคดีเฉลิมพระเกียรติ มรดกศิลป์ แผ่นดินไทย ตอนที่ 1 เรือไทยคู่สายน้ำ และ ตอนที่ 2 ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ซึ่งเป็นข้อมูลที่จัดทำโดยคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ได้อธิบายถึงความสำคัญของขบวนพยุหยาตราทางชลมารคไว้อย่างน่าสนใจตอนหนึ่งดังนี้
    .
    "นับแต่อดีตชาวไทยมีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับสายน้ำ เปรียบเสมือนสายชีวิตที่หล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่ง เป็นเหตุผลที่ทำให้คนในสมัยโบราณ นิยมสร้างบ้านเรือนใกล้ริมน้ำกันเป็นส่วนมาก ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ดังนั้น เรือ จึงเป็นพาหนะ สำคัญที่ใช้ในการสัญจรทางน้ำ การต่อเรือแต่ละลำ จึงคำนึงถึงความเหมาะสมของการใช้งาน ...และยิ่งเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลของพระมหากษัตริย์ด้วยแล้ว จะมีการจัดริ้วขบวนเรืออย่างสมพระเกียรติ ริ้วขบวนเรือนี้ เรียกว่า ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค"
    .
    สำหรับการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคนี้ มีวิวัฒนาการมาจากการจัดขบวนทัพเรือในยามที่ว่างศึก เพื่อเป็นการฝึกซ้อมเรียกระดมพล โดยที่กองเรือเหล่านี้จะตกแต่งอย่างสวยงาม มีการประโคมดนตรีไปในขบวน เพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน และพลพายเกิดความฮึกเหิมเป็นการแสดงออก ถึงความเป็นเอกลักษณ์ ทางด้านวัฒนธรรมประเพณีอย่างหนึ่งของชาติแสดงถึงพระบารมีแผ่ไพศาลของพระมหากษัตริย์อันเป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญ และเป็นที่พึ่งแด่พสกนิกรทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ ที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
    .
    โดยประเพณีเสด็จพระราชดาเนินถวายผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคนั้น ได้รับการฟื้นฟูตั้งแต่ปี 2500 หลังจากว่างเว้นมานานถึง 50 ปี นับตั้งแต่การสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ 150 ปี ซึ่งการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคครั้งแรกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2500 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ โดยได้จัดให้มีขบวนเรือพระราชพิธี อัญเชิญพระพุทธรูป ไตรปิฏก และพระสงฆ์ เคลื่อนไปตามลำน้ำเจ้าพระยา
    .
    นับตั้งแต่ พ.ศ.2500 จนถึง พ.ศ.2555 ได้มีการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค จำนวน 15 ครั้ง และจัดขบวนเรือพระราชพิธี จำนวน 2 ครั้ง โดยสิ่งที่เป็นเครื่องตอกย้ำถึงความงดงามและยิ่งใหญ่ของพระราชพิธีทางน้ำของประเทศไทย คือ การที่องค์การเรือโลก (World Ship Trust) แห่งสหราชอาณาจักรได้มอบรางวัล “มรดกเรือโลก” แก่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เมื่อปี 2535
    .
    ดังนั้น พระราชพิธีที่จะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม จึงเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศไทยอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
    ..............
    Sondhi X
    ขบวนพยุหยาตราทางชลมารคมรดกชาติไทย-มรดกของโลก . เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในการพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร ในวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2567 . ทั้งนี้ เป็นพระราชพิธีสำคัญที่คนไทยทั้งประเทศต่างรอคอยชมความงดงามของริ้วขบวนเรือพระราชพิธี ดังจะเห็นได้จากในช่วงการซ้อมใหญ่ที่ผ่านมา ได้มีประชาชนจับจองพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ขบวนเรือเคลื่อนผ่านเป็นจำนวนมาก . สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประชาชนให้ความสนใจกับขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เป็นอย่างมากนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นโบราณราชประเพณีที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก แต่จะมีขึ้นเฉพาะในห้วงเวลาที่ประเทศไทยมีโอกาสสำคัญเท่านั้น อย่างล่าสุดที่คนไทยได้เห็นขบวนพยุหยาตราทางชลมารค คือ การเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อปีพ.ศ.2562 . พระราชพิธีขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ไม่ได้มีความสำคัญเฉพาะในมิติของการเป็นพิธีการหนึ่งของรัฐเท่านั้น แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของคนไทยที่ผูกพันกับสายน้ำอีกด้วย โดยสารคดีเฉลิมพระเกียรติ มรดกศิลป์ แผ่นดินไทย ตอนที่ 1 เรือไทยคู่สายน้ำ และ ตอนที่ 2 ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ซึ่งเป็นข้อมูลที่จัดทำโดยคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ได้อธิบายถึงความสำคัญของขบวนพยุหยาตราทางชลมารคไว้อย่างน่าสนใจตอนหนึ่งดังนี้ . "นับแต่อดีตชาวไทยมีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับสายน้ำ เปรียบเสมือนสายชีวิตที่หล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่ง เป็นเหตุผลที่ทำให้คนในสมัยโบราณ นิยมสร้างบ้านเรือนใกล้ริมน้ำกันเป็นส่วนมาก ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ดังนั้น เรือ จึงเป็นพาหนะ สำคัญที่ใช้ในการสัญจรทางน้ำ การต่อเรือแต่ละลำ จึงคำนึงถึงความเหมาะสมของการใช้งาน ...และยิ่งเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลของพระมหากษัตริย์ด้วยแล้ว จะมีการจัดริ้วขบวนเรืออย่างสมพระเกียรติ ริ้วขบวนเรือนี้ เรียกว่า ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค" . สำหรับการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคนี้ มีวิวัฒนาการมาจากการจัดขบวนทัพเรือในยามที่ว่างศึก เพื่อเป็นการฝึกซ้อมเรียกระดมพล โดยที่กองเรือเหล่านี้จะตกแต่งอย่างสวยงาม มีการประโคมดนตรีไปในขบวน เพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน และพลพายเกิดความฮึกเหิมเป็นการแสดงออก ถึงความเป็นเอกลักษณ์ ทางด้านวัฒนธรรมประเพณีอย่างหนึ่งของชาติแสดงถึงพระบารมีแผ่ไพศาลของพระมหากษัตริย์อันเป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญ และเป็นที่พึ่งแด่พสกนิกรทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ ที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร . โดยประเพณีเสด็จพระราชดาเนินถวายผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคนั้น ได้รับการฟื้นฟูตั้งแต่ปี 2500 หลังจากว่างเว้นมานานถึง 50 ปี นับตั้งแต่การสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ 150 ปี ซึ่งการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคครั้งแรกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2500 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ โดยได้จัดให้มีขบวนเรือพระราชพิธี อัญเชิญพระพุทธรูป ไตรปิฏก และพระสงฆ์ เคลื่อนไปตามลำน้ำเจ้าพระยา . นับตั้งแต่ พ.ศ.2500 จนถึง พ.ศ.2555 ได้มีการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค จำนวน 15 ครั้ง และจัดขบวนเรือพระราชพิธี จำนวน 2 ครั้ง โดยสิ่งที่เป็นเครื่องตอกย้ำถึงความงดงามและยิ่งใหญ่ของพระราชพิธีทางน้ำของประเทศไทย คือ การที่องค์การเรือโลก (World Ship Trust) แห่งสหราชอาณาจักรได้มอบรางวัล “มรดกเรือโลก” แก่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เมื่อปี 2535 . ดังนั้น พระราชพิธีที่จะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม จึงเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศไทยอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ .............. Sondhi X
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1552 มุมมอง 0 รีวิว
  • การที่คนๆคนหนึี่งดำรงชีวิตอยู่ได้เเต่ละวัน
    นอกจากกินข้าวกินน้ำเป็นหลัก เเล้วถ้าต้องกินยาเป็นกำๆเเบบนี้ ทุกคืน ทุกวัน ...

    ความรู้สึก ก่อนกิน ก่อนกลืน หลังกลืน
    หลับตา ตื่นมา หยิบ อีกกำ ความรู้สึก ก่อนกิน ก่อนกลืน หลังกลืน ห่างสักพัก หยิบอีกกำ
    กิน กลืน หลับตานนอน วนเเบบนี้ไปเรื่อยๆ

    อีกกี่10ปีไม่รู้ ไตจะวายเมื่อไหร่ ตับจะพังตอนใหน
    หรือจะไหลตายเมื่อไหร่ วันที่จะไม่ต้องกินยาเป็นกำๆ ต้องเฝ้ารออีกนานเเค่ใหน


    เจ้ากรรมนายเวรฉัน มาในรูปเเบบ ยา สินะ
    การที่คนๆคนหนึี่งดำรงชีวิตอยู่ได้เเต่ละวัน นอกจากกินข้าวกินน้ำเป็นหลัก เเล้วถ้าต้องกินยาเป็นกำๆเเบบนี้ ทุกคืน ทุกวัน ... ความรู้สึก ก่อนกิน ก่อนกลืน หลังกลืน หลับตา ตื่นมา หยิบ อีกกำ ความรู้สึก ก่อนกิน ก่อนกลืน หลังกลืน ห่างสักพัก หยิบอีกกำ กิน กลืน หลับตานนอน วนเเบบนี้ไปเรื่อยๆ อีกกี่10ปีไม่รู้ ไตจะวายเมื่อไหร่ ตับจะพังตอนใหน หรือจะไหลตายเมื่อไหร่ วันที่จะไม่ต้องกินยาเป็นกำๆ ต้องเฝ้ารออีกนานเเค่ใหน เจ้ากรรมนายเวรฉัน มาในรูปเเบบ ยา สินะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • 11 ตุลาคม 2567 ณ กองการบิน ศูนย์การเคลื่อนย้ายกองทัพบก บางเขน มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย พร้อมด้วยหน่วยงานเครือข่าย ช่วยกันลำเลียงถุงยังชีพพระราชทานมูลนิธิฯ จำนวน 5,250 ถุง เพื่อส่งต่อไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดเชียงใหม่

    พร้อมกันนี้มึการลำเลียงสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตนำส่งไปช่วยผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงรายด้วย
    .
    .
    #มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่งภาฯยามยาก #สภากาชาดไทย #เพื่อนไม่ทิ้งกันในยามยาก #แบ่งปันพอเพียงยั่งยืน #บรรเทาทุกข์ #เชียงใหม่ #เชียงราย #ช่วยเหลือผู้ประสบภัย #อุทกภัย #thaitimes #thaitimesสยามโสภา
    11 ตุลาคม 2567 ณ กองการบิน ศูนย์การเคลื่อนย้ายกองทัพบก บางเขน มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย พร้อมด้วยหน่วยงานเครือข่าย ช่วยกันลำเลียงถุงยังชีพพระราชทานมูลนิธิฯ จำนวน 5,250 ถุง เพื่อส่งต่อไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมกันนี้มึการลำเลียงสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตนำส่งไปช่วยผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงรายด้วย . . #มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่งภาฯยามยาก #สภากาชาดไทย #เพื่อนไม่ทิ้งกันในยามยาก #แบ่งปันพอเพียงยั่งยืน #บรรเทาทุกข์ #เชียงใหม่ #เชียงราย #ช่วยเหลือผู้ประสบภัย #อุทกภัย #thaitimes #thaitimesสยามโสภา
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1303 มุมมอง 128 0 รีวิว
  • ไปดู "ควายยิ้ม" แวะ "กินแฟ ดูฟาย"
    >>>บ้านควาย บ้านไทยรีสอร์ท สุพรรณบุรี
    ☆เพจ
    》》https://www.facebook.com/buffalovillages?mibextid=ZbWKwL
    《《
    ☆เบอร์ติดต่อ
    081-358-7347
    ☆☆หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย หรือที่ชาวบ้านเรียกกันง่าย ๆ ว่า "บ้านควาย"
    จัดตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2545 ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 70 ไร่
    ติดถนนทางหลวงหมายเลข 340 ซึ่งเป็นถนนสายหลักของอำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี
    บ้านควาย เป็นโครงการที่สะท้อนถึงวิถีการดำรงชีวิตของชาวไทยชนบทในสมัยก่อน ซึ่งมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับควาย
    ☆ค่าข้าชม 30 บาท
    ■■■■■■■■■■■■
    #หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทยสุพรรณบุรี
    #สุพรรณบุรี #กินแฟดูฟาย #คาเฟ่ควายที่สุพรรณบุรี #เที่ยวไทยไปกับมะนาวก้าวเดิน #มะนาวก้าวเดิน #บ้านควายบ้านไทยรีสอร์ทสุพรรณบุรี
    #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    ไปดู "ควายยิ้ม" แวะ "กินแฟ ดูฟาย" >>>บ้านควาย บ้านไทยรีสอร์ท สุพรรณบุรี ☆เพจ 》》https://www.facebook.com/buffalovillages?mibextid=ZbWKwL 《《 ☆เบอร์ติดต่อ 081-358-7347 ☆☆หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย หรือที่ชาวบ้านเรียกกันง่าย ๆ ว่า "บ้านควาย" จัดตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2545 ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 70 ไร่ ติดถนนทางหลวงหมายเลข 340 ซึ่งเป็นถนนสายหลักของอำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี บ้านควาย เป็นโครงการที่สะท้อนถึงวิถีการดำรงชีวิตของชาวไทยชนบทในสมัยก่อน ซึ่งมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับควาย ☆ค่าข้าชม 30 บาท ■■■■■■■■■■■■ #หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทยสุพรรณบุรี #สุพรรณบุรี #กินแฟดูฟาย #คาเฟ่ควายที่สุพรรณบุรี #เที่ยวไทยไปกับมะนาวก้าวเดิน #มะนาวก้าวเดิน #บ้านควายบ้านไทยรีสอร์ทสุพรรณบุรี #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    Like
    Haha
    Yay
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1680 มุมมอง 672 0 รีวิว
  • ไปดู "ควายยิ้ม" แวะ "กินแฟ ดูฟาย"
    >>>หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทยและบ้านไทยรีสอร์ท จ.สุพรรณบุรี
    ☆เพจ
    》》https://www.facebook.com/buffalovillages?mibextid=ZbWKwL
    《《
    ☆เบอร์ติดต่อ
    081-358-7347
    ☆☆หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย หรือที่ชาวบ้านเรียกกันง่าย ๆ ว่า "บ้านควาย"
    จัดตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2545 ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 70 ไร่
    ติดถนนทางหลวงหมายเลข 340 ซึ่งเป็นถนนสายหลักของอำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี บ้านควาย เป็นโครงการที่สะท้อนถึงวิถีการดำรงชีวิตของชาวไทยชนบทในสมัยก่อน ซึ่งมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับควาย
    ☆ค่าข้าชม 30 บาท
    ■■■■■■■■■
    #หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทยสุพรรณบุรี
    #สุพรรณบุรี #กินแฟดูฟาย #คาเฟ่ควายที่สุพรรณบุรี #เที่ยวไทยไปกับมะนาวก้าวเดิน #มะนาวก้าวเดิน #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    ไปดู "ควายยิ้ม" แวะ "กินแฟ ดูฟาย" >>>หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทยและบ้านไทยรีสอร์ท จ.สุพรรณบุรี ☆เพจ 》》https://www.facebook.com/buffalovillages?mibextid=ZbWKwL 《《 ☆เบอร์ติดต่อ 081-358-7347 ☆☆หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย หรือที่ชาวบ้านเรียกกันง่าย ๆ ว่า "บ้านควาย" จัดตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2545 ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 70 ไร่ ติดถนนทางหลวงหมายเลข 340 ซึ่งเป็นถนนสายหลักของอำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี บ้านควาย เป็นโครงการที่สะท้อนถึงวิถีการดำรงชีวิตของชาวไทยชนบทในสมัยก่อน ซึ่งมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับควาย ☆ค่าข้าชม 30 บาท ■■■■■■■■■ #หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทยสุพรรณบุรี #สุพรรณบุรี #กินแฟดูฟาย #คาเฟ่ควายที่สุพรรณบุรี #เที่ยวไทยไปกับมะนาวก้าวเดิน #มะนาวก้าวเดิน #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    Yay
    Wow
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2012 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไปดู "ควายยิ้ม" แวะ "กินแฟ ดูฟาย"
    >>>หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทยและบ้านไทยรีสอร์ท จ.สุพรรณบุรี
    ☆เพจ
    》》https://www.facebook.com/buffalovillages?mibextid=ZbWKwL
    《《
    ☆เบอร์ติดต่อ
    081-358-7347
    ☆☆หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย หรือที่ชาวบ้านเรียกกันง่าย ๆ ว่า "บ้านควาย"
    จัดตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2545 ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 70 ไร่
    ติดถนนทางหลวงหมายเลข 340 ซึ่งเป็นถนนสายหลักของอำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี บ้านควาย เป็นโครงการที่สะท้อนถึงวิถีการดำรงชีวิตของชาวไทยชนบทในสมัยก่อน ซึ่งมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับควาย
    ☆ค่าข้าชม 30 บาท
    ■■■■■■■■■■■■■
    #หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทยสุพรรณบุรี
    #สุพรรณบุรี #กินแฟดูฟาย #คาเฟ่ควายที่สุพรรณบุรี #เที่ยวไทยไปกับมะนาวก้าวเดิน #มะนาวก้าวเดิน
    #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    ไปดู "ควายยิ้ม" แวะ "กินแฟ ดูฟาย" >>>หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทยและบ้านไทยรีสอร์ท จ.สุพรรณบุรี ☆เพจ 》》https://www.facebook.com/buffalovillages?mibextid=ZbWKwL 《《 ☆เบอร์ติดต่อ 081-358-7347 ☆☆หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย หรือที่ชาวบ้านเรียกกันง่าย ๆ ว่า "บ้านควาย" จัดตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2545 ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 70 ไร่ ติดถนนทางหลวงหมายเลข 340 ซึ่งเป็นถนนสายหลักของอำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี บ้านควาย เป็นโครงการที่สะท้อนถึงวิถีการดำรงชีวิตของชาวไทยชนบทในสมัยก่อน ซึ่งมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับควาย ☆ค่าข้าชม 30 บาท ■■■■■■■■■■■■■ #หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทยสุพรรณบุรี #สุพรรณบุรี #กินแฟดูฟาย #คาเฟ่ควายที่สุพรรณบุรี #เที่ยวไทยไปกับมะนาวก้าวเดิน #มะนาวก้าวเดิน #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2362 มุมมอง 568 0 รีวิว
Pages Boosts