• "ป่าเถื่อนรุนแรง!" กมธ.ทหาร วุฒิสภา ประณามกัมพูชา "ไร้ยางอายเยี่ยงสุนัขลอบกัด" จงใจทําร้ายประเทศไทยและประชาชนคนไทย
    https://www.thai-tai.tv/news/20498/
    .
    #กมทหารวุฒิสภา #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ประณามกัมพูชา #พลเรือนบาดเจ็บเสียชีวิต #ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา #ความมั่นคงของรัฐ #พลเอกณัฐพลนาคพาณิชย์ #สุรินทร์ #ศรีสะเกษ #อุบลราชธานี #รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    "ป่าเถื่อนรุนแรง!" กมธ.ทหาร วุฒิสภา ประณามกัมพูชา "ไร้ยางอายเยี่ยงสุนัขลอบกัด" จงใจทําร้ายประเทศไทยและประชาชนคนไทย https://www.thai-tai.tv/news/20498/ . #กมทหารวุฒิสภา #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ประณามกัมพูชา #พลเรือนบาดเจ็บเสียชีวิต #ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา #ความมั่นคงของรัฐ #พลเอกณัฐพลนาคพาณิชย์ #สุรินทร์ #ศรีสะเกษ #อุบลราชธานี #รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจสอบสวนกลางตั้งทีมสืบสวนสอบสวนกรณีคลิปหลุด "นายกฯอิ๊งค์" กับ "ฮุนเซน" แล้ว - เรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนพรุ่งนี้ เตรียมสอบพยาน รวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมว่าเข้าข่ายความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักรหรือไม่

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000063645

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ตำรวจสอบสวนกลางตั้งทีมสืบสวนสอบสวนกรณีคลิปหลุด "นายกฯอิ๊งค์" กับ "ฮุนเซน" แล้ว - เรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนพรุ่งนี้ เตรียมสอบพยาน รวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมว่าเข้าข่ายความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักรหรือไม่ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000063645 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 468 มุมมอง 0 รีวิว
  • นับหนึ่งไล่อุ๊งอิ๊ง จุดเปราะบางชินวัตร

    การชุมนุมของคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (28 มิ.ย.) ซึ่งมีมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) กลุ่ม ศปปส. กองทัพธรรม ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนอีกหลายภาคส่วน มีข้อเรียกร้องหลัก 3 ข้อ ได้แก่ 1. ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2. ให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว และ 3. ยืนเคียงข้างทหาร ปกป้องแผ่นดินและอธิปไตยของชาติ หลังมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในลักษณะขายชาติ ทำลายความมั่นคงของรัฐนอกราชอาณาจักร

    แม้ว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนจะโจมตีกลุ่มผู้ชุมนุม กล่าวหาว่าเป็นข้ออ้างไปสู่รัฐประหาร แต่ก็เป็นเพียงการประดิษฐ์วาทกรรมเพื่อปกป้องตัวเอง แม้ผู้นำเหล่าทัพในยุค พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. ไม่ได้มีท่าทีแสดงออกอย่างโดดเด่น เมื่อเทียบกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ตาม ถึงกระนั้นพรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านทำได้แค่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา โดยไม่ได้ใช้วิธียื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรจะเปิดสมัยประชุมในวันที่ 3 ก.ค. ที่จะถึงนี้ จึงเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับนายทักษิณ ชินวัตร

    ทิศทางข่าวในวันอังคารที่จะถึงนี้ (1 ก.ค.) ลุ้นศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติรับคำร้องกรณีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 36 คน ยื่นถอดถอน น.ส.แพทองธาร ออกจากตำแหน่งหรือไม่ กรณีคลิปเสียงกับ ฮุน เซน และจะมีมติให้ น.ส.แพทองธารหยุดปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายเศรษฐา ทวีสิน แม้ น.ส.แพทองธารจะใช้วิธีให้ตัวเองดำรงตำแหน่งควบ รมว.วัฒนธรรม เข้าประชุมคณะรัฐมนตรีก็ตาม ซึ่งกลุ่ม คปท. จะมีการประชุมเพื่อประเมินว่าจะยกระดับการชุมนุมไปในทิศทางใด โดยมีจุดยืนเดิม คือ นายกรัฐมนตรีลาออก และพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว

    อีกด้านหนึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนแสวงหาข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณกรณีชั้น 14 จำนวน 6 นัด ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้ ขณะที่ศาลอาญานัดสืบพยานคดีมาตรา 112 จากกรณีที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์เมื่อปี 2558 จำนวน 7 นัด ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้เช่นกัน ซึ่งท่าทีนายทักษิณขณะนี้ นับตั้งแต่คลิปเสียงลูกสาวกับฮุน เซน ปล่อยให้ลูกสาวเผชิญหน้าอย่างโดดเดี่ยว ถือเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางช่วงหนึ่งของตระกูลชินวัตร

    #Newskit
    นับหนึ่งไล่อุ๊งอิ๊ง จุดเปราะบางชินวัตร การชุมนุมของคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (28 มิ.ย.) ซึ่งมีมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) กลุ่ม ศปปส. กองทัพธรรม ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนอีกหลายภาคส่วน มีข้อเรียกร้องหลัก 3 ข้อ ได้แก่ 1. ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2. ให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว และ 3. ยืนเคียงข้างทหาร ปกป้องแผ่นดินและอธิปไตยของชาติ หลังมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในลักษณะขายชาติ ทำลายความมั่นคงของรัฐนอกราชอาณาจักร แม้ว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนจะโจมตีกลุ่มผู้ชุมนุม กล่าวหาว่าเป็นข้ออ้างไปสู่รัฐประหาร แต่ก็เป็นเพียงการประดิษฐ์วาทกรรมเพื่อปกป้องตัวเอง แม้ผู้นำเหล่าทัพในยุค พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. ไม่ได้มีท่าทีแสดงออกอย่างโดดเด่น เมื่อเทียบกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ตาม ถึงกระนั้นพรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านทำได้แค่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา โดยไม่ได้ใช้วิธียื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรจะเปิดสมัยประชุมในวันที่ 3 ก.ค. ที่จะถึงนี้ จึงเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับนายทักษิณ ชินวัตร ทิศทางข่าวในวันอังคารที่จะถึงนี้ (1 ก.ค.) ลุ้นศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติรับคำร้องกรณีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 36 คน ยื่นถอดถอน น.ส.แพทองธาร ออกจากตำแหน่งหรือไม่ กรณีคลิปเสียงกับ ฮุน เซน และจะมีมติให้ น.ส.แพทองธารหยุดปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายเศรษฐา ทวีสิน แม้ น.ส.แพทองธารจะใช้วิธีให้ตัวเองดำรงตำแหน่งควบ รมว.วัฒนธรรม เข้าประชุมคณะรัฐมนตรีก็ตาม ซึ่งกลุ่ม คปท. จะมีการประชุมเพื่อประเมินว่าจะยกระดับการชุมนุมไปในทิศทางใด โดยมีจุดยืนเดิม คือ นายกรัฐมนตรีลาออก และพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว อีกด้านหนึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนแสวงหาข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณกรณีชั้น 14 จำนวน 6 นัด ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้ ขณะที่ศาลอาญานัดสืบพยานคดีมาตรา 112 จากกรณีที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์เมื่อปี 2558 จำนวน 7 นัด ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้เช่นกัน ซึ่งท่าทีนายทักษิณขณะนี้ นับตั้งแต่คลิปเสียงลูกสาวกับฮุน เซน ปล่อยให้ลูกสาวเผชิญหน้าอย่างโดดเดี่ยว ถือเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางช่วงหนึ่งของตระกูลชินวัตร #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 634 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิสราเอลมีคำสั่ง ห้ามการรายงานสงครามที่ไม่ได้รับการอนุมัติภายในประเทศ "ทุกกรณี"

    จากคำสั่งของอิสราเอล หากคุณอยู่ในประเทศและอยากรายงานเกี่ยวกับสงคราม ตอนนี้คุณต้องได้รับการอนุมัติล่วงหน้าอย่างเป็นทางการ

    นักข่าว บล็อกเกอร์ สตรีมเมอร์ แม้แต่ลูกพี่ลูกน้องของคุณที่มีช่อง Telegram... ไม่มีใครได้รับการยกเว้น

    แล้วกรณีโพสต์ก่อน ถามทีหลังล่ะ?

    แบบนั้นคุณจะถูกตั้งข้อหา "คุกคามความมั่นคงของรัฐ"

    ดังนั้น การรายงานสงครามจะต้องมาพร้อมกับใบอนุญาต

    ที่มา: Media and Communications on Telegram (Security Cabinet C.B)
    อิสราเอลมีคำสั่ง ห้ามการรายงานสงครามที่ไม่ได้รับการอนุมัติภายในประเทศ "ทุกกรณี" จากคำสั่งของอิสราเอล หากคุณอยู่ในประเทศและอยากรายงานเกี่ยวกับสงคราม ตอนนี้คุณต้องได้รับการอนุมัติล่วงหน้าอย่างเป็นทางการ นักข่าว บล็อกเกอร์ สตรีมเมอร์ แม้แต่ลูกพี่ลูกน้องของคุณที่มีช่อง Telegram... ไม่มีใครได้รับการยกเว้น แล้วกรณีโพสต์ก่อน ถามทีหลังล่ะ? แบบนั้นคุณจะถูกตั้งข้อหา "คุกคามความมั่นคงของรัฐ" ดังนั้น การรายงานสงครามจะต้องมาพร้อมกับใบอนุญาต ที่มา: Media and Communications on Telegram (Security Cabinet C.B)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิตาลียุติสัญญาณที่ทำไว้กับ Paragon Solutions ซึ่งเป็นบริษัทสปายแวร์ของอิสราเอล หลังจากซอฟท์แวร์ที่ชื่อว่า "Graphite" ถูกกล่าวหาจาก WhatsApp ว่าใช้เฝ้าติดตามนักข่าวและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองของอิตาลี โดยการแฮ็กโทรศัพท์ของพวกเขา

    ก่อนหน้านี้ Francesco Cancellato ผู้อำนวยการเว็บไซต์ข่าวในอิตาลีได้รับแจ้งจาก WhatsApp เมื่อช่วงเดือนมกราคมว่า เขาตกเป็นเป้าหมายในการถูกเฝ้าติดตามจากสปายแวร์ Paragon

    Paragon ผู้ผลิตสปายแวร์ของอิสราเอล ได้ติดต่อไปยังรัฐบาลอิตาลีเพื่อขอเข้าตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว เพื่อเช็คว่าเทคโนโลยีของบริษัทถูกรัฐบาลใช้อย่างผิดกฎหมายเพื่อเฝ้าติดตามนักข่าว Francesco Cancellato จริงหรือไม่

    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิตาลีปฏิเสธคำร้องขอจาก Paragon โดยให้เหตุผลว่า การให้ Paragon เข้าถึงข้อมูลจะทำให้ข้อมูลข่าวกรองที่ละเอียดอ่อนถูกเปิดเผยและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติได้

    หลังจากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาข้อยุติได้ จนนำไปสู่การยุติสัญญาในที่สุด

    รายงานจากคณะกรรมาธิการความมั่นคงของรัฐสภาระบุว่า หน่วยข่าวกรองของอิตาลีได้ระงับสัญญากับ Paragon ในช่วงแรก หลังจากนั้นจึงยกเลิกสัญญาไปในที่สุด

    แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะยุติสัญญาไป แต่เหตุการณ์ที่นักข่าวถูกโจมตีจากสปายแวร์ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด

    วิดีโอ1- เมื่อช่วงต้นปี 2025 WhatsApp รายงานว่าบริษัทสปายแวร์จากบริษัท Paragon ของอิสราเอล จ้องโจมตีนักข่าวและบุคคลอื่นๆมากกว่า 24 ประเทศทั่วโลก

    อิตาลียุติสัญญาณที่ทำไว้กับ Paragon Solutions ซึ่งเป็นบริษัทสปายแวร์ของอิสราเอล หลังจากซอฟท์แวร์ที่ชื่อว่า "Graphite" ถูกกล่าวหาจาก WhatsApp ว่าใช้เฝ้าติดตามนักข่าวและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองของอิตาลี โดยการแฮ็กโทรศัพท์ของพวกเขา ก่อนหน้านี้ Francesco Cancellato ผู้อำนวยการเว็บไซต์ข่าวในอิตาลีได้รับแจ้งจาก WhatsApp เมื่อช่วงเดือนมกราคมว่า เขาตกเป็นเป้าหมายในการถูกเฝ้าติดตามจากสปายแวร์ Paragon Paragon ผู้ผลิตสปายแวร์ของอิสราเอล ได้ติดต่อไปยังรัฐบาลอิตาลีเพื่อขอเข้าตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว เพื่อเช็คว่าเทคโนโลยีของบริษัทถูกรัฐบาลใช้อย่างผิดกฎหมายเพื่อเฝ้าติดตามนักข่าว Francesco Cancellato จริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิตาลีปฏิเสธคำร้องขอจาก Paragon โดยให้เหตุผลว่า การให้ Paragon เข้าถึงข้อมูลจะทำให้ข้อมูลข่าวกรองที่ละเอียดอ่อนถูกเปิดเผยและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติได้ หลังจากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาข้อยุติได้ จนนำไปสู่การยุติสัญญาในที่สุด รายงานจากคณะกรรมาธิการความมั่นคงของรัฐสภาระบุว่า หน่วยข่าวกรองของอิตาลีได้ระงับสัญญากับ Paragon ในช่วงแรก หลังจากนั้นจึงยกเลิกสัญญาไปในที่สุด แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะยุติสัญญาไป แต่เหตุการณ์ที่นักข่าวถูกโจมตีจากสปายแวร์ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด 👉วิดีโอ1- เมื่อช่วงต้นปี 2025 WhatsApp รายงานว่าบริษัทสปายแวร์จากบริษัท Paragon ของอิสราเอล จ้องโจมตีนักข่าวและบุคคลอื่นๆมากกว่า 24 ประเทศทั่วโลก
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจภูธรภาค ๓ ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา, สถานีตำรวจภูธรโพธิ์กลาง ,จังหวัดนครราชสีมา และ ปปส.ภาค ๓ ร่วมกันแถลงผลการสืบสวนจับกุมคดียาเสพติดรายสําคัญ ตรวจยึดยาบ้า จำนวน 198,000 เม็ด

    คณะรัฐมนตรีโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา กรอบ นโยบายในการบริหารและพัฒนาประเทศตามกรอบความเร่งด่วน เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี นําความ ปลอดภัย สร้างศักดิ์ศรีและนำความภาคภูมิใจมาสู่ประชาชนไทย นโยบายด้านความปลอดภัย จะทำงาน รวมกับทุกภาคส่วนเพื่อดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดให้หมดไปจากสังคมไทย โดยยึด หลัก “เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย” สนับสนุนให้ผู้เสพเขารับการรักษาบำบัดอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง ส่วนผู้ผลิตผู้ค้า คือผู้ที่ต้องได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม โดยใช้มาตรการปราบปรามทางกฎหมาย อย่างจริงจัง ซึ่งรวมถึงการ “ยึดทรัพย์” เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดพร้อมดำเนินการเจรจาทางการทูต กับประเทศตามแนวชายแดน เพื่อควบคุมการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในประเทศไทย ประชาชนออกจากวงจรการค้ายาเสพติดอย่างถาวร และตึง และปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” เพื่อสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดนถือเป็นนโยบายเร่งด่วนต้อง ทําทันที

    ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.๓/ผอ.ศอ.ปส.ภ.๓, พล.ต.ต.ประสงค์ เรื่องเดช รอง จตร.รรท.รอง ผบช.ภ.๓/รอง ผอ.ศอ.ปส.ภ.๓ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดเร่งรัดสืบสวน จับกุมผู้ค้ายาเสพติดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ การกวาดล้างยาเสพติดในทุกมิติการทำลายเครือข่ายวงจร ยาเสพติดทุกระดับ การสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน และพื้นที่ชั้นใน
    .
    พล.ต.ต.ไพโรจน์ ขุนหมื่น ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.คเชนท์ เสตะปุตตะ รอง ผบก.ภ.จว. นครราชสีมา, พ.ต.อ.วีณวัฒน์ ศรีแย้ม ผกก.สภ.โพธิ์กลาง, พ.ต.ท.สมาน เชาว์มะเริง รอง ผกก.สส. สภ.โพธิ์กลาง สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพธิ์กลาง จว.นครราชสีมา นำโดย พ.ต.ท.ชัยพล คงขุนทด สว.สส.สภ.โพธิ์กลาง, พธิ์กลาง, ร.ต.อ.ภาคิน พิทักษ์ศุภกร พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.โพธิ์กลาง ร่วมสืบสวนจับกุมตัว
    ๑. นายเสือ (นามสมมุติ) อายุ ๒๔ ปี ที่อยู่ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ (ผู้ต้องหาที่ ๑)
    ๒. นายยุทธ (นามสมมุติ) อายุ ๒๔ ปี ที่อยู่ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ (ผู้ต้องหาที่ ๒)
    ๓. นายมอล (นามสมมุติ) อายุ ๓๒ ปี ที่อยู่ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ (ผู้ต้องหาที่ ๓)
    ๔. นางสาวพลอย (นามสมุติ) อายุ ๒๑ ปี ที่อยู่ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ (ผู้ต้องหาที่ ๔)
    พร้อมด้วยของกลาง
    .
    ๑. ยาบ้า จํานวน ๒ เม็ด
    ๒. ยาบ้าที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาล จำนวน ๓๓ หมอน หมอนละ ๓ มัด รวม ๙๙ มัด มัดละ ๒,๐๐๐ เม็ด ซุกซ่อนอยู่ถุงพลาสติกสีดำ รวมยาบ้าทั้งหมดประมาณ ๑๙๘,๐๐๐ เม็ด
    ๓. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อไอโฟน รุ่น ๑๑ สีดำ จำนวน ๑ เครื่อง
    ๔. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อซัมซุง รุ่นเอ ๒๔ จำนวน ๑ เครื่อง
    ๕. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อซัมซุง รุ่นเอ๕๘ จำนวน ๑ เครื่อง
    ๖. น้ำปัสสาวะบรรจุขวดพลาสติก จำนวน ๔ ขวด
    .
    พฤติการณ์แห่งคดี วันที่ ๒๓ พ.ค.๖๘ เวลาประมาณ 00.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพธิ์กลางได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ทำการตั้งจุดตรวจจุดสกัดเพื่อป้องกันเหตุอาชญากรรมและลำเลียงยาเสพติดที่ถนนมิตรภาพ ต.โคกกรวด อ.เมือง จว.นครราชสีมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.โพธิ์กลางได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ชุดสนับสนุน จึงได้ทำการออกตรวจในบริเวณก่อนถึงจุดตรวจจุดสกัดฯ ดังกล่าว
    .
    ต่อมาเวลา ๐๐.๒๐ น. พบว่ามีรถยนต์กลับรถก่อนถึงจุดตั้งจุดตรวจ เจ้าหน้าที่จึงได้ขับรถติดตามไปจนถึงถนนหมายเลข ๒๙๐ บ้านหนองกุ้ง หมู่ที่ ๑๓ ต.โคกกรวด อ.เมืองนครราชสีมา พบรถยนต์กระบะแค๊ปสีเขียว ยี่ห้ออีซูซุ จังหวัดบุรีรัมย์ เลี้ยวเข้าไปจอดที่บริเวณอยู่หน้าสนามชนไก่แก้ว เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าทำการตรวจสอบ พบบุคคลชาย ๒ คน คือนายเสือ (ผู้ต้องหาที่ ๑) เป็นคนขับรถ และนายยุทธ (ผู้ต้องหาที่ ๒) นั่งอยู่ฝั่งผู้โดยสาร ท่าทางมีพิรุธสงสัย จึงได้ทำการสอบ ทั้งสองแจ้งว่ารถยนต์เสีย แต่เจ้าหน้าที่ไม่เชื่อ จึงได้สอบถามจนทั้งสองคนยอมรับว่าได้เสพยาบ้ามาและเป็นคนขับรถนำทางหรือสเก้าท์หน้ารถที่ขนยาบ้า แต่ระหว่างขับรถมาทราบว่ามีการตั้งจุดตรวจอยู่ด้านหน้า จึงเลี้ยวกลับรถก่อนถึงจุดตรวจแล้วมาจอดรถรอเพื่อให้จุดตรวจเลิกก่อนจึงจะเดินทางต่อ เจ้าหน้าที่จึงได้ขอทำการตรวจค้นภายในรถยนต์ดังกล่าวพบยาบ้าจำนวน ๒ เม็ด ของกลางลำดับที่ ๑) จึงได้แจ้งข้อหา “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษ ประเภท ๑ (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและแจ้งผู้ต้องหาที่ ๑ เป็นผู้ขับขี่รถยนต์เสพยาเสพ ติดให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย” และสิทธิ์ให้ผู้ต้องหาทั้งสองทราบ
    .
    นายเสือฯ และนายยุทธฯ ทราบสิทธิดังกล่าวดีโดยละเอียดแล้วได้สมัครใจช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยให้การว่าได้เป็นคนขับรถนำทางหรือสเก้าท์หน้ารถคันที่ขนยาบ้า จะขับรถนำทางห่างกันประมาณ ๔-๕ กิโลเมตร ซึ่งรถขนยาบ้ามีจำนวน ๓ คน ชื่อนายต้า (คนขับรถ), นายมอล และ น.ส.พลอย ใช้รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า สีขาว กทม. เดินทางไปรับยาบ้ามาจาก อ.พระพุทธบาท จว.สระบุรี ซึ่งจะติดต่อกันผ่านแอฟพลิเคชั่นเฟสบุ๊คของนายต้า ตลอดเวลาที่เดินทาง
    .
    เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้วางแผนจับกุมโดยให้ผู้ต้องหาทั้งสอง ติดต่อกับรถคันที่ขนยาบ้าให้มาพบที่จุดที่ตนเอง
    อยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้วางกำลังซุ่มดูอยู่บริเวณใกล้ๆจุดนัดหมาย ต่อมาเวลาประมาณ ๐๑.๐๐ น. รถยนต์เป้าหมายได้มาจอดที่จุดนัดหมาย โดยไม่ดับเครื่องและไม่ลงจากรถยนต์ เจ้าหน้าที่ตำรวจเกรงว่า เป้าหมายจะหลบหนีจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเข้าทำการจับกุม แต่รถยนต์เป้าหมายได้ขับ หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการติดตามไปอย่างกระชั้นชิด มุ่งหน้าผ่านสวนสัตว์นครราชสีมา จนมาถึงจุดสร้างสะพานแห่งใหม่บ้านหนองบัวศาลา ต.หนองบัวศาลา อ.เมืองนครราชสีมา รถยนต์เป้าหมายได้เสียหลักไปชนเสาไฟฟ้าข้างถนนไม่สามารถขับต่อไปได้ คนภายในรถทั้ง ๓ คน ได้ลงจากรถแล้ววิ่งหลบหนีเข้าไปในป่ามันสำปะหลังข้างทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงวิ่งไล่ติดตามจับกุมตัวมาได้ จำนวน ๒ คน คือนายมอล (ผู้ต้องหาที่ ๓) และ น.ส.พลอย (ผู้ต้องหาที่ ๔) ส่วนผู้ชายอีก ๑ คน (นายต้า) หลบหนีไปได้ เจ้าหน้าชุดจับกุมจึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนมาตรวจค้นรถยนต์คันที่ผู้ต้องหาทั้งสองนั่งมา ผลการตรวจค้นพบยาบ้าที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาล จำนวน ๓๓ หมอน หมอนละ ๓ มัด รวม ๙๙ มัด มัดละ ๒,๐๐๐ เม็ด ซุกซ่อนอยู่ ถุงพลาสติกสีดำ รวมยาบ้าทั้งหมดประมาณ ๑๙๘,๐๐๐ เม็ด
    .
    เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบถามมอล (ผู้ต้องหาที่ ๓) และ น.ส.พลอย (ผู้ต้องหาที่ ๔) ให้การว่าเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๘ เวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. นายต้าฯ ขับรถยนต์คันดังกล่าว มาพบและชวนให้นั่งรถไปเป็นเพื่อนที่ จว.สระบุรี โดยนายมอล (ผู้ต้องหาที่ ๓) นั่งข้างคนขับ ส่วน น.ส.พลอยฯ (ผู้ต้องหาที่ ๔) นั่งที่เบาะหลัง เวลาประมาณ ๒๐.๐๐น. ได้จอดรถริมทางบริเวณทุ่งนาที่ ต.หนองแก อ.พระพุทธบาท จว.สระบุรี นายต้าฯ ก็ได้ให้นายมอลฯ ลงไปเอาถุงสีดำที่วางไว้ข้างทางขึ้นมาเก็บบนรถ จำนวน ๑ ถุง แล้วเดินทางกลับ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ โดยให้รถยนต์ของนายเสือฯ (ผู้ต้องหาที่ ๑) เป็นรถนำเพื่อคอยดูเส้นทางว่ามีด่านตำรวจหรือไม่ จนมาถึงที่เกิดเหตุแล้วถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดจับกุมตัวได้พร้อมของกลางดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งสิทธิ์และข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้า) โดยมีไว้ เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ซึ่งก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่ม ประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปโดยฝ่าฝืนกฎหมาย” ซึ่งผู้ต้องหาทราบสิทธิ์และข้อกล่าวหาดีโดยละเอียดแล้ว ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมด้วยของกลาง ส่ง พงส.สภ.โพธิ์กลาง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
    .
    ตำารวจภูธรภาค ๓ จึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน และสถานประกอบการทุกแห่งแจ้ง เบาะแส/ข้อมูล ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งผู้เสพ ผู้ค้า ในสถานประกอบการฯ และอาศัยสถาน ประกอบการฯ ในการกระทำผิด โดยแจ้งขอมูลผ่านสายด่วนยาเสพติด ๑๕๙๙ สายด่วน ๑๙๑ และ Application Police I lert U ได้ตลอด ๒๔ ชม. เพื่อดำเนินการปราบปราม จับกุม ดำเนินคดี ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและลดปัญหายาเสพติดในภาพรวมอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นเพื่อให้สั งคมมีความปลอดภัยจากปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติดต่อไป.
    ตำรวจภูธรภาค ๓ ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา, สถานีตำรวจภูธรโพธิ์กลาง ,จังหวัดนครราชสีมา และ ปปส.ภาค ๓ ร่วมกันแถลงผลการสืบสวนจับกุมคดียาเสพติดรายสําคัญ ตรวจยึดยาบ้า จำนวน 198,000 เม็ด คณะรัฐมนตรีโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา กรอบ นโยบายในการบริหารและพัฒนาประเทศตามกรอบความเร่งด่วน เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี นําความ ปลอดภัย สร้างศักดิ์ศรีและนำความภาคภูมิใจมาสู่ประชาชนไทย นโยบายด้านความปลอดภัย จะทำงาน รวมกับทุกภาคส่วนเพื่อดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดให้หมดไปจากสังคมไทย โดยยึด หลัก “เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย” สนับสนุนให้ผู้เสพเขารับการรักษาบำบัดอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง ส่วนผู้ผลิตผู้ค้า คือผู้ที่ต้องได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม โดยใช้มาตรการปราบปรามทางกฎหมาย อย่างจริงจัง ซึ่งรวมถึงการ “ยึดทรัพย์” เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดพร้อมดำเนินการเจรจาทางการทูต กับประเทศตามแนวชายแดน เพื่อควบคุมการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในประเทศไทย ประชาชนออกจากวงจรการค้ายาเสพติดอย่างถาวร และตึง และปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” เพื่อสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดนถือเป็นนโยบายเร่งด่วนต้อง ทําทันที ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.๓/ผอ.ศอ.ปส.ภ.๓, พล.ต.ต.ประสงค์ เรื่องเดช รอง จตร.รรท.รอง ผบช.ภ.๓/รอง ผอ.ศอ.ปส.ภ.๓ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดเร่งรัดสืบสวน จับกุมผู้ค้ายาเสพติดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ การกวาดล้างยาเสพติดในทุกมิติการทำลายเครือข่ายวงจร ยาเสพติดทุกระดับ การสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน และพื้นที่ชั้นใน . พล.ต.ต.ไพโรจน์ ขุนหมื่น ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.คเชนท์ เสตะปุตตะ รอง ผบก.ภ.จว. นครราชสีมา, พ.ต.อ.วีณวัฒน์ ศรีแย้ม ผกก.สภ.โพธิ์กลาง, พ.ต.ท.สมาน เชาว์มะเริง รอง ผกก.สส. สภ.โพธิ์กลาง สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพธิ์กลาง จว.นครราชสีมา นำโดย พ.ต.ท.ชัยพล คงขุนทด สว.สส.สภ.โพธิ์กลาง, พธิ์กลาง, ร.ต.อ.ภาคิน พิทักษ์ศุภกร พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.โพธิ์กลาง ร่วมสืบสวนจับกุมตัว ๑. นายเสือ (นามสมมุติ) อายุ ๒๔ ปี ที่อยู่ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ (ผู้ต้องหาที่ ๑) ๒. นายยุทธ (นามสมมุติ) อายุ ๒๔ ปี ที่อยู่ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ (ผู้ต้องหาที่ ๒) ๓. นายมอล (นามสมมุติ) อายุ ๓๒ ปี ที่อยู่ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ (ผู้ต้องหาที่ ๓) ๔. นางสาวพลอย (นามสมุติ) อายุ ๒๑ ปี ที่อยู่ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ (ผู้ต้องหาที่ ๔) พร้อมด้วยของกลาง . ๑. ยาบ้า จํานวน ๒ เม็ด ๒. ยาบ้าที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาล จำนวน ๓๓ หมอน หมอนละ ๓ มัด รวม ๙๙ มัด มัดละ ๒,๐๐๐ เม็ด ซุกซ่อนอยู่ถุงพลาสติกสีดำ รวมยาบ้าทั้งหมดประมาณ ๑๙๘,๐๐๐ เม็ด ๓. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อไอโฟน รุ่น ๑๑ สีดำ จำนวน ๑ เครื่อง ๔. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อซัมซุง รุ่นเอ ๒๔ จำนวน ๑ เครื่อง ๕. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อซัมซุง รุ่นเอ๕๘ จำนวน ๑ เครื่อง ๖. น้ำปัสสาวะบรรจุขวดพลาสติก จำนวน ๔ ขวด . พฤติการณ์แห่งคดี วันที่ ๒๓ พ.ค.๖๘ เวลาประมาณ 00.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพธิ์กลางได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ทำการตั้งจุดตรวจจุดสกัดเพื่อป้องกันเหตุอาชญากรรมและลำเลียงยาเสพติดที่ถนนมิตรภาพ ต.โคกกรวด อ.เมือง จว.นครราชสีมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.โพธิ์กลางได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ชุดสนับสนุน จึงได้ทำการออกตรวจในบริเวณก่อนถึงจุดตรวจจุดสกัดฯ ดังกล่าว . ต่อมาเวลา ๐๐.๒๐ น. พบว่ามีรถยนต์กลับรถก่อนถึงจุดตั้งจุดตรวจ เจ้าหน้าที่จึงได้ขับรถติดตามไปจนถึงถนนหมายเลข ๒๙๐ บ้านหนองกุ้ง หมู่ที่ ๑๓ ต.โคกกรวด อ.เมืองนครราชสีมา พบรถยนต์กระบะแค๊ปสีเขียว ยี่ห้ออีซูซุ จังหวัดบุรีรัมย์ เลี้ยวเข้าไปจอดที่บริเวณอยู่หน้าสนามชนไก่แก้ว เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าทำการตรวจสอบ พบบุคคลชาย ๒ คน คือนายเสือ (ผู้ต้องหาที่ ๑) เป็นคนขับรถ และนายยุทธ (ผู้ต้องหาที่ ๒) นั่งอยู่ฝั่งผู้โดยสาร ท่าทางมีพิรุธสงสัย จึงได้ทำการสอบ ทั้งสองแจ้งว่ารถยนต์เสีย แต่เจ้าหน้าที่ไม่เชื่อ จึงได้สอบถามจนทั้งสองคนยอมรับว่าได้เสพยาบ้ามาและเป็นคนขับรถนำทางหรือสเก้าท์หน้ารถที่ขนยาบ้า แต่ระหว่างขับรถมาทราบว่ามีการตั้งจุดตรวจอยู่ด้านหน้า จึงเลี้ยวกลับรถก่อนถึงจุดตรวจแล้วมาจอดรถรอเพื่อให้จุดตรวจเลิกก่อนจึงจะเดินทางต่อ เจ้าหน้าที่จึงได้ขอทำการตรวจค้นภายในรถยนต์ดังกล่าวพบยาบ้าจำนวน ๒ เม็ด ของกลางลำดับที่ ๑) จึงได้แจ้งข้อหา “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษ ประเภท ๑ (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและแจ้งผู้ต้องหาที่ ๑ เป็นผู้ขับขี่รถยนต์เสพยาเสพ ติดให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย” และสิทธิ์ให้ผู้ต้องหาทั้งสองทราบ . นายเสือฯ และนายยุทธฯ ทราบสิทธิดังกล่าวดีโดยละเอียดแล้วได้สมัครใจช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยให้การว่าได้เป็นคนขับรถนำทางหรือสเก้าท์หน้ารถคันที่ขนยาบ้า จะขับรถนำทางห่างกันประมาณ ๔-๕ กิโลเมตร ซึ่งรถขนยาบ้ามีจำนวน ๓ คน ชื่อนายต้า (คนขับรถ), นายมอล และ น.ส.พลอย ใช้รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า สีขาว กทม. เดินทางไปรับยาบ้ามาจาก อ.พระพุทธบาท จว.สระบุรี ซึ่งจะติดต่อกันผ่านแอฟพลิเคชั่นเฟสบุ๊คของนายต้า ตลอดเวลาที่เดินทาง . เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้วางแผนจับกุมโดยให้ผู้ต้องหาทั้งสอง ติดต่อกับรถคันที่ขนยาบ้าให้มาพบที่จุดที่ตนเอง อยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้วางกำลังซุ่มดูอยู่บริเวณใกล้ๆจุดนัดหมาย ต่อมาเวลาประมาณ ๐๑.๐๐ น. รถยนต์เป้าหมายได้มาจอดที่จุดนัดหมาย โดยไม่ดับเครื่องและไม่ลงจากรถยนต์ เจ้าหน้าที่ตำรวจเกรงว่า เป้าหมายจะหลบหนีจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเข้าทำการจับกุม แต่รถยนต์เป้าหมายได้ขับ หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการติดตามไปอย่างกระชั้นชิด มุ่งหน้าผ่านสวนสัตว์นครราชสีมา จนมาถึงจุดสร้างสะพานแห่งใหม่บ้านหนองบัวศาลา ต.หนองบัวศาลา อ.เมืองนครราชสีมา รถยนต์เป้าหมายได้เสียหลักไปชนเสาไฟฟ้าข้างถนนไม่สามารถขับต่อไปได้ คนภายในรถทั้ง ๓ คน ได้ลงจากรถแล้ววิ่งหลบหนีเข้าไปในป่ามันสำปะหลังข้างทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงวิ่งไล่ติดตามจับกุมตัวมาได้ จำนวน ๒ คน คือนายมอล (ผู้ต้องหาที่ ๓) และ น.ส.พลอย (ผู้ต้องหาที่ ๔) ส่วนผู้ชายอีก ๑ คน (นายต้า) หลบหนีไปได้ เจ้าหน้าชุดจับกุมจึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนมาตรวจค้นรถยนต์คันที่ผู้ต้องหาทั้งสองนั่งมา ผลการตรวจค้นพบยาบ้าที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาล จำนวน ๓๓ หมอน หมอนละ ๓ มัด รวม ๙๙ มัด มัดละ ๒,๐๐๐ เม็ด ซุกซ่อนอยู่ ถุงพลาสติกสีดำ รวมยาบ้าทั้งหมดประมาณ ๑๙๘,๐๐๐ เม็ด . เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบถามมอล (ผู้ต้องหาที่ ๓) และ น.ส.พลอย (ผู้ต้องหาที่ ๔) ให้การว่าเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๘ เวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. นายต้าฯ ขับรถยนต์คันดังกล่าว มาพบและชวนให้นั่งรถไปเป็นเพื่อนที่ จว.สระบุรี โดยนายมอล (ผู้ต้องหาที่ ๓) นั่งข้างคนขับ ส่วน น.ส.พลอยฯ (ผู้ต้องหาที่ ๔) นั่งที่เบาะหลัง เวลาประมาณ ๒๐.๐๐น. ได้จอดรถริมทางบริเวณทุ่งนาที่ ต.หนองแก อ.พระพุทธบาท จว.สระบุรี นายต้าฯ ก็ได้ให้นายมอลฯ ลงไปเอาถุงสีดำที่วางไว้ข้างทางขึ้นมาเก็บบนรถ จำนวน ๑ ถุง แล้วเดินทางกลับ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ โดยให้รถยนต์ของนายเสือฯ (ผู้ต้องหาที่ ๑) เป็นรถนำเพื่อคอยดูเส้นทางว่ามีด่านตำรวจหรือไม่ จนมาถึงที่เกิดเหตุแล้วถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดจับกุมตัวได้พร้อมของกลางดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งสิทธิ์และข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้า) โดยมีไว้ เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ซึ่งก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่ม ประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปโดยฝ่าฝืนกฎหมาย” ซึ่งผู้ต้องหาทราบสิทธิ์และข้อกล่าวหาดีโดยละเอียดแล้ว ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมด้วยของกลาง ส่ง พงส.สภ.โพธิ์กลาง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป . ตำารวจภูธรภาค ๓ จึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน และสถานประกอบการทุกแห่งแจ้ง เบาะแส/ข้อมูล ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งผู้เสพ ผู้ค้า ในสถานประกอบการฯ และอาศัยสถาน ประกอบการฯ ในการกระทำผิด โดยแจ้งขอมูลผ่านสายด่วนยาเสพติด ๑๕๙๙ สายด่วน ๑๙๑ และ Application Police I lert U ได้ตลอด ๒๔ ชม. เพื่อดำเนินการปราบปราม จับกุม ดำเนินคดี ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและลดปัญหายาเสพติดในภาพรวมอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นเพื่อให้สั งคมมีความปลอดภัยจากปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติดต่อไป.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 684 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจภูธรภาค ๓ ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา, สถานีตำรวจภูธรโพธิ์กลาง, จังหวัดนครราชสีมา และ ปปส.ภาค ๓ ร่วมกันแถลงผลการสืบสวนจับกุมคดียาเสพติดรายสําคัญ ตรวจยึดยาบ้า จำนวน 198,000 เม็ด

    คณะรัฐมนตรีโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา กรอบ นโยบายในการบริหารและพัฒนาประเทศตามกรอบความเร่งด่วน เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี นําความ ปลอดภัย สร้างศักดิ์ศรีและนำความภาคภูมิใจมาสู่ประชาชนไทย นโยบายด้านความปลอดภัย จะทำงาน รวมกับทุกภาคส่วนเพื่อดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดให้หมดไปจากสังคมไทย โดยยึด หลัก “เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย” สนับสนุนให้ผู้เสพเขารับการรักษาบำบัดอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง ส่วนผู้ผลิตผู้ค้า คือผู้ที่ต้องได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม โดยใช้มาตรการปราบปรามทางกฎหมาย อย่างจริงจัง ซึ่งรวมถึงการ “ยึดทรัพย์” เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดพร้อมดำเนินการเจรจาทางการทูต กับประเทศตามแนวชายแดน เพื่อควบคุมการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในประเทศไทย ประชาชนออกจากวงจรการค้ายาเสพติดอย่างถาวร และตึง และปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” เพื่อสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดนถือเป็นนโยบายเร่งด่วนต้อง ทําทันที

    ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.๓/ผอ.ศอ.ปส.ภ.๓, พล.ต.ต.ประสงค์ เรื่องเดช รอง จตร.รรท.รอง ผบช.ภ.๓/รอง ผอ.ศอ.ปส.ภ.๓ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดเร่งรัดสืบสวน จับกุมผู้ค้ายาเสพติดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ การกวาดล้างยาเสพติดในทุกมิติการทำลายเครือข่ายวงจร ยาเสพติดทุกระดับ การสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน และพื้นที่ชั้นใน
    .
    พล.ต.ต.ไพโรจน์ ขุนหมื่น ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.คเชนท์ เสตะปุตตะ รอง ผบก.ภ.จว. นครราชสีมา, พ.ต.อ.วีณวัฒน์ ศรีแย้ม ผกก.สภ.โพธิ์กลาง, พ.ต.ท.สมาน เชาว์มะเริง รอง ผกก.สส. สภ.โพธิ์กลาง สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพธิ์กลาง จว.นครราชสีมา นำโดย พ.ต.ท.ชัยพล คงขุนทด สว.สส.สภ.โพธิ์กลาง, พธิ์กลาง, ร.ต.อ.ภาคิน พิทักษ์ศุภกร พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.โพธิ์กลาง ร่วมสืบสวนจับกุมตัว
    ๑. นายเสือ (นามสมมุติ) อายุ ๒๔ ปี ที่อยู่ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ (ผู้ต้องหาที่ ๑)
    ๒. นายยุทธ (นามสมมุติ) อายุ ๒๔ ปี ที่อยู่ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ (ผู้ต้องหาที่ ๒)
    ๓. นายมอล (นามสมมุติ) อายุ ๓๒ ปี ที่อยู่ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ (ผู้ต้องหาที่ ๓)
    ๔. นางสาวพลอย (นามสมุติ) อายุ ๒๑ ปี ที่อยู่ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ (ผู้ต้องหาที่ ๔)
    พร้อมด้วยของกลาง
    .
    ๑. ยาบ้า จํานวน ๒ เม็ด
    ๒. ยาบ้าที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาล จำนวน ๓๓ หมอน หมอนละ ๓ มัด รวม ๙๙ มัด มัดละ ๒,๐๐๐ เม็ด ซุกซ่อนอยู่ถุงพลาสติกสีดำ รวมยาบ้าทั้งหมดประมาณ ๑๙๘,๐๐๐ เม็ด
    ๓. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อไอโฟน รุ่น ๑๑ สีดำ จำนวน ๑ เครื่อง
    ๔. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อซัมซุง รุ่นเอ ๒๔ จำนวน ๑ เครื่อง
    ๕. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อซัมซุง รุ่นเอ๕๘ จำนวน ๑ เครื่อง
    ๖. น้ำปัสสาวะบรรจุขวดพลาสติก จำนวน ๔ ขวด
    .
    พฤติการณ์แห่งคดี วันที่ ๒๓ พ.ค.๖๘ เวลาประมาณ 00.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพธิ์กลางได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ทำการตั้งจุดตรวจจุดสกัดเพื่อป้องกันเหตุอาชญากรรมและลำเลียงยาเสพติดที่ถนนมิตรภาพ ต.โคกกรวด อ.เมือง จว.นครราชสีมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.โพธิ์กลางได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ชุดสนับสนุน จึงได้ทำการออกตรวจในบริเวณก่อนถึงจุดตรวจจุดสกัดฯ ดังกล่าว
    .
    ต่อมาเวลา ๐๐.๒๐ น. พบว่ามีรถยนต์กลับรถก่อนถึงจุดตั้งจุดตรวจ เจ้าหน้าที่จึงได้ขับรถติดตามไปจนถึงถนนหมายเลข ๒๙๐ บ้านหนองกุ้ง หมู่ที่ ๑๓ ต.โคกกรวด อ.เมืองนครราชสีมา พบรถยนต์กระบะแค๊ปสีเขียว ยี่ห้ออีซูซุ จังหวัดบุรีรัมย์ เลี้ยวเข้าไปจอดที่บริเวณอยู่หน้าสนามชนไก่แก้ว เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าทำการตรวจสอบ พบบุคคลชาย ๒ คน คือนายเสือ (ผู้ต้องหาที่ ๑) เป็นคนขับรถ และนายยุทธ (ผู้ต้องหาที่ ๒) นั่งอยู่ฝั่งผู้โดยสาร ท่าทางมีพิรุธสงสัย จึงได้ทำการสอบ ทั้งสองแจ้งว่ารถยนต์เสีย แต่เจ้าหน้าที่ไม่เชื่อ จึงได้สอบถามจนทั้งสองคนยอมรับว่าได้เสพยาบ้ามาและเป็นคนขับรถนำทางหรือสเก้าท์หน้ารถที่ขนยาบ้า แต่ระหว่างขับรถมาทราบว่ามีการตั้งจุดตรวจอยู่ด้านหน้า จึงเลี้ยวกลับรถก่อนถึงจุดตรวจแล้วมาจอดรถรอเพื่อให้จุดตรวจเลิกก่อนจึงจะเดินทางต่อ เจ้าหน้าที่จึงได้ขอทำการตรวจค้นภายในรถยนต์ดังกล่าวพบยาบ้าจำนวน ๒ เม็ด ของกลางลำดับที่ ๑) จึงได้แจ้งข้อหา “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษ ประเภท ๑ (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและแจ้งผู้ต้องหาที่ ๑ เป็นผู้ขับขี่รถยนต์เสพยาเสพ ติดให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย” และสิทธิ์ให้ผู้ต้องหาทั้งสองทราบ
    .
    นายเสือฯ และนายยุทธฯ ทราบสิทธิดังกล่าวดีโดยละเอียดแล้วได้สมัครใจช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยให้การว่าได้เป็นคนขับรถนำทางหรือสเก้าท์หน้ารถคันที่ขนยาบ้า จะขับรถนำทางห่างกันประมาณ ๔-๕ กิโลเมตร ซึ่งรถขนยาบ้ามีจำนวน ๓ คน ชื่อนายต้า (คนขับรถ), นายมอล และ น.ส.พลอย ใช้รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า สีขาว กทม. เดินทางไปรับยาบ้ามาจาก อ.พระพุทธบาท จว.สระบุรี ซึ่งจะติดต่อกันผ่านแอฟพลิเคชั่นเฟสบุ๊คของนายต้า ตลอดเวลาที่เดินทาง
    .
    เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้วางแผนจับกุมโดยให้ผู้ต้องหาทั้งสอง ติดต่อกับรถคันที่ขนยาบ้าให้มาพบที่จุดที่ตนเอง
    อยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้วางกำลังซุ่มดูอยู่บริเวณใกล้ๆจุดนัดหมาย ต่อมาเวลาประมาณ ๐๑.๐๐ น. รถยนต์เป้าหมายได้มาจอดที่จุดนัดหมาย โดยไม่ดับเครื่องและไม่ลงจากรถยนต์ เจ้าหน้าที่ตำรวจเกรงว่า เป้าหมายจะหลบหนีจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเข้าทำการจับกุม แต่รถยนต์เป้าหมายได้ขับ หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการติดตามไปอย่างกระชั้นชิด มุ่งหน้าผ่านสวนสัตว์นครราชสีมา จนมาถึงจุดสร้างสะพานแห่งใหม่บ้านหนองบัวศาลา ต.หนองบัวศาลา อ.เมืองนครราชสีมา รถยนต์เป้าหมายได้เสียหลักไปชนเสาไฟฟ้าข้างถนนไม่สามารถขับต่อไปได้ คนภายในรถทั้ง ๓ คน ได้ลงจากรถแล้ววิ่งหลบหนีเข้าไปในป่ามันสำปะหลังข้างทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงวิ่งไล่ติดตามจับกุมตัวมาได้ จำนวน ๒ คน คือนายมอล (ผู้ต้องหาที่ ๓) และ น.ส.พลอย (ผู้ต้องหาที่ ๔) ส่วนผู้ชายอีก ๑ คน (นายต้า) หลบหนีไปได้ เจ้าหน้าชุดจับกุมจึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนมาตรวจค้นรถยนต์คันที่ผู้ต้องหาทั้งสองนั่งมา ผลการตรวจค้นพบยาบ้าที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาล จำนวน ๓๓ หมอน หมอนละ ๓ มัด รวม ๙๙ มัด มัดละ ๒,๐๐๐ เม็ด ซุกซ่อนอยู่ ถุงพลาสติกสีดำ รวมยาบ้าทั้งหมดประมาณ ๑๙๘,๐๐๐ เม็ด
    .
    เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบถามมอล (ผู้ต้องหาที่ ๓) และ น.ส.พลอย (ผู้ต้องหาที่ ๔) ให้การว่าเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๘ เวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. นายต้าฯ ขับรถยนต์คันดังกล่าว มาพบและชวนให้นั่งรถไปเป็นเพื่อนที่ จว.สระบุรี โดยนายมอล (ผู้ต้องหาที่ ๓) นั่งข้างคนขับ ส่วน น.ส.พลอยฯ (ผู้ต้องหาที่ ๔) นั่งที่เบาะหลัง เวลาประมาณ ๒๐.๐๐น. ได้จอดรถริมทางบริเวณทุ่งนาที่ ต.หนองแก อ.พระพุทธบาท จว.สระบุรี นายต้าฯ ก็ได้ให้นายมอลฯ ลงไปเอาถุงสีดำที่วางไว้ข้างทางขึ้นมาเก็บบนรถ จำนวน ๑ ถุง แล้วเดินทางกลับ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ โดยให้รถยนต์ของนายเสือฯ (ผู้ต้องหาที่ ๑) เป็นรถนำเพื่อคอยดูเส้นทางว่ามีด่านตำรวจหรือไม่ จนมาถึงที่เกิดเหตุแล้วถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดจับกุมตัวได้พร้อมของกลางดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งสิทธิ์และข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้า) โดยมีไว้ เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ซึ่งก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่ม ประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปโดยฝ่าฝืนกฎหมาย” ซึ่งผู้ต้องหาทราบสิทธิ์และข้อกล่าวหาดีโดยละเอียดแล้ว ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมด้วยของกลาง ส่ง พงส.สภ.โพธิ์กลาง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
    .
    ตำารวจภูธรภาค ๓ จึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน และสถานประกอบการทุกแห่งแจ้ง เบาะแส/ข้อมูล ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งผู้เสพ ผู้ค้า ในสถานประกอบการฯ และอาศัยสถาน ประกอบการฯ ในการกระทำผิด โดยแจ้งขอมูลผ่านสายด่วนยาเสพติด ๑๕๙๙ สายด่วน ๑๙๑ และ Application Police I lert U ได้ตลอด ๒๔ ชม. เพื่อดำเนินการปราบปราม จับกุม ดำเนินคดี ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและลดปัญหายาเสพติดในภาพรวมอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นเพื่อให้สั งคมมีความปลอดภัยจากปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติดต่อไป.
    ตำรวจภูธรภาค ๓ ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา, สถานีตำรวจภูธรโพธิ์กลาง, จังหวัดนครราชสีมา และ ปปส.ภาค ๓ ร่วมกันแถลงผลการสืบสวนจับกุมคดียาเสพติดรายสําคัญ ตรวจยึดยาบ้า จำนวน 198,000 เม็ด คณะรัฐมนตรีโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา กรอบ นโยบายในการบริหารและพัฒนาประเทศตามกรอบความเร่งด่วน เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี นําความ ปลอดภัย สร้างศักดิ์ศรีและนำความภาคภูมิใจมาสู่ประชาชนไทย นโยบายด้านความปลอดภัย จะทำงาน รวมกับทุกภาคส่วนเพื่อดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดให้หมดไปจากสังคมไทย โดยยึด หลัก “เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย” สนับสนุนให้ผู้เสพเขารับการรักษาบำบัดอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง ส่วนผู้ผลิตผู้ค้า คือผู้ที่ต้องได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม โดยใช้มาตรการปราบปรามทางกฎหมาย อย่างจริงจัง ซึ่งรวมถึงการ “ยึดทรัพย์” เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดพร้อมดำเนินการเจรจาทางการทูต กับประเทศตามแนวชายแดน เพื่อควบคุมการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในประเทศไทย ประชาชนออกจากวงจรการค้ายาเสพติดอย่างถาวร และตึง และปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” เพื่อสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดนถือเป็นนโยบายเร่งด่วนต้อง ทําทันที ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.๓/ผอ.ศอ.ปส.ภ.๓, พล.ต.ต.ประสงค์ เรื่องเดช รอง จตร.รรท.รอง ผบช.ภ.๓/รอง ผอ.ศอ.ปส.ภ.๓ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดเร่งรัดสืบสวน จับกุมผู้ค้ายาเสพติดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ การกวาดล้างยาเสพติดในทุกมิติการทำลายเครือข่ายวงจร ยาเสพติดทุกระดับ การสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน และพื้นที่ชั้นใน . พล.ต.ต.ไพโรจน์ ขุนหมื่น ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.คเชนท์ เสตะปุตตะ รอง ผบก.ภ.จว. นครราชสีมา, พ.ต.อ.วีณวัฒน์ ศรีแย้ม ผกก.สภ.โพธิ์กลาง, พ.ต.ท.สมาน เชาว์มะเริง รอง ผกก.สส. สภ.โพธิ์กลาง สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพธิ์กลาง จว.นครราชสีมา นำโดย พ.ต.ท.ชัยพล คงขุนทด สว.สส.สภ.โพธิ์กลาง, พธิ์กลาง, ร.ต.อ.ภาคิน พิทักษ์ศุภกร พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.โพธิ์กลาง ร่วมสืบสวนจับกุมตัว ๑. นายเสือ (นามสมมุติ) อายุ ๒๔ ปี ที่อยู่ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ (ผู้ต้องหาที่ ๑) ๒. นายยุทธ (นามสมมุติ) อายุ ๒๔ ปี ที่อยู่ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ (ผู้ต้องหาที่ ๒) ๓. นายมอล (นามสมมุติ) อายุ ๓๒ ปี ที่อยู่ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ (ผู้ต้องหาที่ ๓) ๔. นางสาวพลอย (นามสมุติ) อายุ ๒๑ ปี ที่อยู่ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ (ผู้ต้องหาที่ ๔) พร้อมด้วยของกลาง . ๑. ยาบ้า จํานวน ๒ เม็ด ๒. ยาบ้าที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาล จำนวน ๓๓ หมอน หมอนละ ๓ มัด รวม ๙๙ มัด มัดละ ๒,๐๐๐ เม็ด ซุกซ่อนอยู่ถุงพลาสติกสีดำ รวมยาบ้าทั้งหมดประมาณ ๑๙๘,๐๐๐ เม็ด ๓. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อไอโฟน รุ่น ๑๑ สีดำ จำนวน ๑ เครื่อง ๔. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อซัมซุง รุ่นเอ ๒๔ จำนวน ๑ เครื่อง ๕. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อซัมซุง รุ่นเอ๕๘ จำนวน ๑ เครื่อง ๖. น้ำปัสสาวะบรรจุขวดพลาสติก จำนวน ๔ ขวด . พฤติการณ์แห่งคดี วันที่ ๒๓ พ.ค.๖๘ เวลาประมาณ 00.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพธิ์กลางได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ทำการตั้งจุดตรวจจุดสกัดเพื่อป้องกันเหตุอาชญากรรมและลำเลียงยาเสพติดที่ถนนมิตรภาพ ต.โคกกรวด อ.เมือง จว.นครราชสีมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.โพธิ์กลางได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ชุดสนับสนุน จึงได้ทำการออกตรวจในบริเวณก่อนถึงจุดตรวจจุดสกัดฯ ดังกล่าว . ต่อมาเวลา ๐๐.๒๐ น. พบว่ามีรถยนต์กลับรถก่อนถึงจุดตั้งจุดตรวจ เจ้าหน้าที่จึงได้ขับรถติดตามไปจนถึงถนนหมายเลข ๒๙๐ บ้านหนองกุ้ง หมู่ที่ ๑๓ ต.โคกกรวด อ.เมืองนครราชสีมา พบรถยนต์กระบะแค๊ปสีเขียว ยี่ห้ออีซูซุ จังหวัดบุรีรัมย์ เลี้ยวเข้าไปจอดที่บริเวณอยู่หน้าสนามชนไก่แก้ว เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าทำการตรวจสอบ พบบุคคลชาย ๒ คน คือนายเสือ (ผู้ต้องหาที่ ๑) เป็นคนขับรถ และนายยุทธ (ผู้ต้องหาที่ ๒) นั่งอยู่ฝั่งผู้โดยสาร ท่าทางมีพิรุธสงสัย จึงได้ทำการสอบ ทั้งสองแจ้งว่ารถยนต์เสีย แต่เจ้าหน้าที่ไม่เชื่อ จึงได้สอบถามจนทั้งสองคนยอมรับว่าได้เสพยาบ้ามาและเป็นคนขับรถนำทางหรือสเก้าท์หน้ารถที่ขนยาบ้า แต่ระหว่างขับรถมาทราบว่ามีการตั้งจุดตรวจอยู่ด้านหน้า จึงเลี้ยวกลับรถก่อนถึงจุดตรวจแล้วมาจอดรถรอเพื่อให้จุดตรวจเลิกก่อนจึงจะเดินทางต่อ เจ้าหน้าที่จึงได้ขอทำการตรวจค้นภายในรถยนต์ดังกล่าวพบยาบ้าจำนวน ๒ เม็ด ของกลางลำดับที่ ๑) จึงได้แจ้งข้อหา “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษ ประเภท ๑ (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและแจ้งผู้ต้องหาที่ ๑ เป็นผู้ขับขี่รถยนต์เสพยาเสพ ติดให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย” และสิทธิ์ให้ผู้ต้องหาทั้งสองทราบ . นายเสือฯ และนายยุทธฯ ทราบสิทธิดังกล่าวดีโดยละเอียดแล้วได้สมัครใจช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยให้การว่าได้เป็นคนขับรถนำทางหรือสเก้าท์หน้ารถคันที่ขนยาบ้า จะขับรถนำทางห่างกันประมาณ ๔-๕ กิโลเมตร ซึ่งรถขนยาบ้ามีจำนวน ๓ คน ชื่อนายต้า (คนขับรถ), นายมอล และ น.ส.พลอย ใช้รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า สีขาว กทม. เดินทางไปรับยาบ้ามาจาก อ.พระพุทธบาท จว.สระบุรี ซึ่งจะติดต่อกันผ่านแอฟพลิเคชั่นเฟสบุ๊คของนายต้า ตลอดเวลาที่เดินทาง . เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้วางแผนจับกุมโดยให้ผู้ต้องหาทั้งสอง ติดต่อกับรถคันที่ขนยาบ้าให้มาพบที่จุดที่ตนเอง อยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้วางกำลังซุ่มดูอยู่บริเวณใกล้ๆจุดนัดหมาย ต่อมาเวลาประมาณ ๐๑.๐๐ น. รถยนต์เป้าหมายได้มาจอดที่จุดนัดหมาย โดยไม่ดับเครื่องและไม่ลงจากรถยนต์ เจ้าหน้าที่ตำรวจเกรงว่า เป้าหมายจะหลบหนีจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเข้าทำการจับกุม แต่รถยนต์เป้าหมายได้ขับ หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการติดตามไปอย่างกระชั้นชิด มุ่งหน้าผ่านสวนสัตว์นครราชสีมา จนมาถึงจุดสร้างสะพานแห่งใหม่บ้านหนองบัวศาลา ต.หนองบัวศาลา อ.เมืองนครราชสีมา รถยนต์เป้าหมายได้เสียหลักไปชนเสาไฟฟ้าข้างถนนไม่สามารถขับต่อไปได้ คนภายในรถทั้ง ๓ คน ได้ลงจากรถแล้ววิ่งหลบหนีเข้าไปในป่ามันสำปะหลังข้างทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงวิ่งไล่ติดตามจับกุมตัวมาได้ จำนวน ๒ คน คือนายมอล (ผู้ต้องหาที่ ๓) และ น.ส.พลอย (ผู้ต้องหาที่ ๔) ส่วนผู้ชายอีก ๑ คน (นายต้า) หลบหนีไปได้ เจ้าหน้าชุดจับกุมจึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนมาตรวจค้นรถยนต์คันที่ผู้ต้องหาทั้งสองนั่งมา ผลการตรวจค้นพบยาบ้าที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาล จำนวน ๓๓ หมอน หมอนละ ๓ มัด รวม ๙๙ มัด มัดละ ๒,๐๐๐ เม็ด ซุกซ่อนอยู่ ถุงพลาสติกสีดำ รวมยาบ้าทั้งหมดประมาณ ๑๙๘,๐๐๐ เม็ด . เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบถามมอล (ผู้ต้องหาที่ ๓) และ น.ส.พลอย (ผู้ต้องหาที่ ๔) ให้การว่าเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๘ เวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. นายต้าฯ ขับรถยนต์คันดังกล่าว มาพบและชวนให้นั่งรถไปเป็นเพื่อนที่ จว.สระบุรี โดยนายมอล (ผู้ต้องหาที่ ๓) นั่งข้างคนขับ ส่วน น.ส.พลอยฯ (ผู้ต้องหาที่ ๔) นั่งที่เบาะหลัง เวลาประมาณ ๒๐.๐๐น. ได้จอดรถริมทางบริเวณทุ่งนาที่ ต.หนองแก อ.พระพุทธบาท จว.สระบุรี นายต้าฯ ก็ได้ให้นายมอลฯ ลงไปเอาถุงสีดำที่วางไว้ข้างทางขึ้นมาเก็บบนรถ จำนวน ๑ ถุง แล้วเดินทางกลับ อ.ลำปลายมาศ จว.บุรีรัมย์ โดยให้รถยนต์ของนายเสือฯ (ผู้ต้องหาที่ ๑) เป็นรถนำเพื่อคอยดูเส้นทางว่ามีด่านตำรวจหรือไม่ จนมาถึงที่เกิดเหตุแล้วถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดจับกุมตัวได้พร้อมของกลางดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งสิทธิ์และข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้า) โดยมีไว้ เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ซึ่งก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่ม ประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปโดยฝ่าฝืนกฎหมาย” ซึ่งผู้ต้องหาทราบสิทธิ์และข้อกล่าวหาดีโดยละเอียดแล้ว ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมด้วยของกลาง ส่ง พงส.สภ.โพธิ์กลาง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป . ตำารวจภูธรภาค ๓ จึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน และสถานประกอบการทุกแห่งแจ้ง เบาะแส/ข้อมูล ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งผู้เสพ ผู้ค้า ในสถานประกอบการฯ และอาศัยสถาน ประกอบการฯ ในการกระทำผิด โดยแจ้งขอมูลผ่านสายด่วนยาเสพติด ๑๕๙๙ สายด่วน ๑๙๑ และ Application Police I lert U ได้ตลอด ๒๔ ชม. เพื่อดำเนินการปราบปราม จับกุม ดำเนินคดี ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและลดปัญหายาเสพติดในภาพรวมอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นเพื่อให้สั งคมมีความปลอดภัยจากปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติดต่อไป.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 776 มุมมอง 0 รีวิว
  • กอ.รมน.ยันฟ้อง ม.112 “ดร.พอล แชมเบอร์ส” ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ ป.วิฯ อาญา มาตรา 2(4) และ 8 ผู้พบเห็นไม่ว่าบุคคลหรือหน่วยงานแจ้งความดำเนินคดีได้ ยันคนละเรื่องกับเจรจากำแพงภาษีสหรัฐฯ สถานะ กม.-ผลกระทบแตกต่างกันสิ้นเชิง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000040148

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    กอ.รมน.ยันฟ้อง ม.112 “ดร.พอล แชมเบอร์ส” ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ ป.วิฯ อาญา มาตรา 2(4) และ 8 ผู้พบเห็นไม่ว่าบุคคลหรือหน่วยงานแจ้งความดำเนินคดีได้ ยันคนละเรื่องกับเจรจากำแพงภาษีสหรัฐฯ สถานะ กม.-ผลกระทบแตกต่างกันสิ้นเชิง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000040148 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 749 มุมมอง 0 รีวิว
  • "กอ.รมน." แจงดำเนินคดี ม.112 "พอล แชมเบอร์ส" เป็นภัยความมั่นคงของรัฐ ไม่เกี่ยวเจรจากำแพงภาษีสหรัฐ
    https://www.thai-tai.tv/news/18401/
    "กอ.รมน." แจงดำเนินคดี ม.112 "พอล แชมเบอร์ส" เป็นภัยความมั่นคงของรัฐ ไม่เกี่ยวเจรจากำแพงภาษีสหรัฐ https://www.thai-tai.tv/news/18401/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • 77 ปี จับ “หะยีสุหลง” จากโต๊ะอิหม่าม นักเคลื่อนไหว ปลายด้ามขวาน สู่สี่ชีวิตถูกอุ้มฆ่า ถ่วงทะเลสาบสงขลา

    ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 วันที่ชื่อของ "หะยีสุหลง โต๊ะมีนา" ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ในฐานะนักเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิของชาวมลายูมุสลิม ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทว่าการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และสิทธิของประชาชนของเหะยีสุหลง กลับจบลงอย่างโศกนาฏกรรม

    หะยีสุหลงพร้อมกับผู้ติดตามอีก 3 คน หายตัวไปหลังจากเดินทางไปยัง กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จังหวัดสงขลา ก่อนถูกสังหาร และถ่วงน้ำในทะเลสาบสงขลา เหตุการณ์นี้กลายเป็น หนึ่งในกรณีการอุ้มฆ่าทางการเมือง ที่สำคัญที่สุดของไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้ง ระหว่างอำนาจรัฐ กับกลุ่มชนพื้นเมืองในภาคใต้

    "หะยีสุหลง บิน อับดุลกาเคร์ ฒูฮัมมัด เอล ฟาโทนิ" หรือที่รู้จักในนาม "หะยีสุหลง" เป็นผู้นำศาสนาและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ของชาวมลายูมุสลิม ในภาคใต้ของไทย เป็นประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี และเป็นบุคคลสำคัญ ในการเรียกร้องให้รัฐไทย ให้ความเป็นธรรมแก่ชาวมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้

    ภารกิจของหะยีสุหลง
    ปรับปรุงระบบการศึกษา โดยก่อตั้ง "ปอเนาะ" หรือโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแห่งแรก
    ส่งเสริมศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง ต่อต้านความเชื่อที่ขัดกับหลักศาสนา
    เรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรม ให้ชาวมลายูมุสลิม ภายใต้กรอบของรัฐไทย

    แต่... เส้นทางการต่อสู้ กลับนำไปสู่ความขัดแย้งกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่หะยีสุหลงเสนอ "7 ข้อเรียกร้อง" ต่อรัฐบาลไทย

    7 ข้อเรียกร้องของหะยีสุหลง พ.ศ. 2490
    ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2490 หะยีสุหลงได้เสนอข้อเรียกร้อง 7 ประการต่อ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แก่ประชาชนมุสลิม ในภาคใต้

    รายละเอียดของ 7 ข้อเรียกร้อง
    1. ให้แต่งตั้งผู้ว่าราชการ ที่เป็นชาวมลายูมุสลิม และมาจากการเลือกตั้ง
    2. ข้าราชการในพื้นที่ ต้องเป็นมุสลิมอย่างน้อย 80%
    3. ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทย เป็นภาษาราชการ
    4. ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลาง ในโรงเรียนระดับประถมศึกษา
    5. ให้ใช้กฎหมายอิสลาม ในการพิจารณาคดีของศาลศาสนา
    6. รายได้จากภาษีใน 4 จังหวัด ต้องถูกใช้ในพื้นที่นั้น
    7. ให้จัดตั้งคณะกรรมการมุสลิม เพื่อดูแลกิจการของชาวมุสลิม

    แต่กลับเกิดผลกระทบ เนื่องจากข้อเรียกร้องนี้ถูกมองว่า เป็นการพยายามแบ่งแยกดินแดน นำไปสู่การจับกุม และกล่าวหาหะยีสุหลงว่าเป็น "กบฏ"

    หลังการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มาเป็นฝ่ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แนวคิด "7 ข้อเรียกร้อง" ของหะยีสุหลง ถูกตีความว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ

    เหตุการณ์สำคัญ
    16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 → หะยีสุหลงถูกจับกุมที่ปัตตานี
    30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 → ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 4 ปี 8 เดือน ในข้อหาปลุกระดม ให้ประชาชนต่อต้านรัฐ

    หลังจากพ้นโทษ หะยีสุหลงยังคงถูกจับตามอง และเผชิญกับการคุกคามจากฝ่ายรัฐ จนนำไปสู่เหตุการณ์ "การอุ้มหาย" ที่สร้างความตื่นตัวในสังคม

    การอุ้มหายและสังหาร 13 สิงหาคม พ.ศ. 2497
    หลังจากได้รับคำสั่ง ให้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สงขลา หะยีสุหลงพร้อมลูกชายวัย 15 ปี ซึ่งเป็นล่าม และพรรคพวกอีก 2 คน ได้เดินทางไปยัง สำนักงานตำรวจสันติบาลจังหวัดสงชลา

    แล้วพวกเขาก็หายตัวไป...
    หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พวกเขาถูกสังหารในบังกะโล ริมทะเลสาบสงขลา โดยใช้เชือกรัดคอ คว้านท้องศพ แล้วผูกกับแท่งซีเมนต์ก่อนถ่วงน้ำ มีหลักฐานโยงไปถึง พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ว่าเป็นผู้บงการอุ้มฆ่า

    เหตุการณ์นี้ กลายเป็นหนึ่งในคดีอุ้มหาย ที่สะเทือนขวัญที่สุดของไทย และแม้ว่าจะมีการรื้อฟื้นคดี ในปี พ.ศ. 2500 แต่สุดท้าย... ก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ

    เหตุการณ์การอุ้มหายของหะยีสุหลง ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาล และสร้างแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเคลื่อนไหวในภาคใต้

    ผลกระทบที่สำคัญ
    จุดชนวนความไม่พอใจ ของชาวมลายูมุสลิมต่อรัฐไทย
    ทำให้ปัญหาความขัดแย้งใน 4 จังหวัดภาคใต้รุนแรงขึ้น
    กระตุ้นให้เกิดขบวนการเคลื่อนไห วและกลุ่มติดอาวุธในเวลาต่อมา

    แม้ว่าปัจจุบันปัญหาภาคใต้ จะมีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้น แต่เหตุการณ์ของหะยีสุหลง ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหา ด้วยสันติวิธีและความเป็นธรรม

    กรณีของหะยีสุหลง แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน ของปัญหาชายแดนใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม และการปกครองของรัฐไทย

    สิ่งที่รัฐควรเรียนรู้
    การให้สิทธิทางวัฒนธรรมและศาสนา แก่กลุ่มชาติพันธุ์
    การเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมทางการเมือง
    การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ด้วยกระบวนการสันติ

    เหตุการณ์นี้ เป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งยังคงมีอิทธิพล ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161122 ก.พ. 2568

    #หะยีสุหลง #ชายแดนใต้ #อุ้มหาย #77ปีหะยีสุหลง #ประวัติศาสตร์ไทย
    77 ปี จับ “หะยีสุหลง” จากโต๊ะอิหม่าม นักเคลื่อนไหว ปลายด้ามขวาน สู่สี่ชีวิตถูกอุ้มฆ่า ถ่วงทะเลสาบสงขลา 📅 ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 วันที่ชื่อของ "หะยีสุหลง โต๊ะมีนา" ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ในฐานะนักเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิของชาวมลายูมุสลิม ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทว่าการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และสิทธิของประชาชนของเหะยีสุหลง กลับจบลงอย่างโศกนาฏกรรม หะยีสุหลงพร้อมกับผู้ติดตามอีก 3 คน หายตัวไปหลังจากเดินทางไปยัง กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จังหวัดสงขลา ก่อนถูกสังหาร และถ่วงน้ำในทะเลสาบสงขลา เหตุการณ์นี้กลายเป็น หนึ่งในกรณีการอุ้มฆ่าทางการเมือง ที่สำคัญที่สุดของไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้ง ระหว่างอำนาจรัฐ กับกลุ่มชนพื้นเมืองในภาคใต้ 🔍 "หะยีสุหลง บิน อับดุลกาเคร์ ฒูฮัมมัด เอล ฟาโทนิ" หรือที่รู้จักในนาม "หะยีสุหลง" เป็นผู้นำศาสนาและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ของชาวมลายูมุสลิม ในภาคใต้ของไทย เป็นประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี และเป็นบุคคลสำคัญ ในการเรียกร้องให้รัฐไทย ให้ความเป็นธรรมแก่ชาวมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้ 📌 ภารกิจของหะยีสุหลง ✅ ปรับปรุงระบบการศึกษา โดยก่อตั้ง "ปอเนาะ" หรือโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแห่งแรก ✅ ส่งเสริมศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง ต่อต้านความเชื่อที่ขัดกับหลักศาสนา ✅ เรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรม ให้ชาวมลายูมุสลิม ภายใต้กรอบของรัฐไทย แต่... เส้นทางการต่อสู้ กลับนำไปสู่ความขัดแย้งกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่หะยีสุหลงเสนอ "7 ข้อเรียกร้อง" ต่อรัฐบาลไทย 📜 7 ข้อเรียกร้องของหะยีสุหลง พ.ศ. 2490 ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2490 หะยีสุหลงได้เสนอข้อเรียกร้อง 7 ประการต่อ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แก่ประชาชนมุสลิม ในภาคใต้ 📝 รายละเอียดของ 7 ข้อเรียกร้อง 1. ให้แต่งตั้งผู้ว่าราชการ ที่เป็นชาวมลายูมุสลิม และมาจากการเลือกตั้ง 2. ข้าราชการในพื้นที่ ต้องเป็นมุสลิมอย่างน้อย 80% 3. ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทย เป็นภาษาราชการ 4. ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลาง ในโรงเรียนระดับประถมศึกษา 5. ให้ใช้กฎหมายอิสลาม ในการพิจารณาคดีของศาลศาสนา 6. รายได้จากภาษีใน 4 จังหวัด ต้องถูกใช้ในพื้นที่นั้น 7. ให้จัดตั้งคณะกรรมการมุสลิม เพื่อดูแลกิจการของชาวมุสลิม 💡 แต่กลับเกิดผลกระทบ เนื่องจากข้อเรียกร้องนี้ถูกมองว่า เป็นการพยายามแบ่งแยกดินแดน นำไปสู่การจับกุม และกล่าวหาหะยีสุหลงว่าเป็น "กบฏ" ⚖️ หลังการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มาเป็นฝ่ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แนวคิด "7 ข้อเรียกร้อง" ของหะยีสุหลง ถูกตีความว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ 📅 เหตุการณ์สำคัญ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 → หะยีสุหลงถูกจับกุมที่ปัตตานี 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 → ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 4 ปี 8 เดือน ในข้อหาปลุกระดม ให้ประชาชนต่อต้านรัฐ หลังจากพ้นโทษ หะยีสุหลงยังคงถูกจับตามอง และเผชิญกับการคุกคามจากฝ่ายรัฐ จนนำไปสู่เหตุการณ์ "การอุ้มหาย" ที่สร้างความตื่นตัวในสังคม 🚨 การอุ้มหายและสังหาร 13 สิงหาคม พ.ศ. 2497 หลังจากได้รับคำสั่ง ให้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สงขลา หะยีสุหลงพร้อมลูกชายวัย 15 ปี ซึ่งเป็นล่าม และพรรคพวกอีก 2 คน ได้เดินทางไปยัง สำนักงานตำรวจสันติบาลจังหวัดสงชลา ❌ แล้วพวกเขาก็หายตัวไป... หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พวกเขาถูกสังหารในบังกะโล ริมทะเลสาบสงขลา โดยใช้เชือกรัดคอ คว้านท้องศพ แล้วผูกกับแท่งซีเมนต์ก่อนถ่วงน้ำ มีหลักฐานโยงไปถึง พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ว่าเป็นผู้บงการอุ้มฆ่า เหตุการณ์นี้ กลายเป็นหนึ่งในคดีอุ้มหาย ที่สะเทือนขวัญที่สุดของไทย และแม้ว่าจะมีการรื้อฟื้นคดี ในปี พ.ศ. 2500 แต่สุดท้าย... ก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ 🏛️ เหตุการณ์การอุ้มหายของหะยีสุหลง ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาล และสร้างแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเคลื่อนไหวในภาคใต้ 📌 ผลกระทบที่สำคัญ ✅ จุดชนวนความไม่พอใจ ของชาวมลายูมุสลิมต่อรัฐไทย ✅ ทำให้ปัญหาความขัดแย้งใน 4 จังหวัดภาคใต้รุนแรงขึ้น ✅ กระตุ้นให้เกิดขบวนการเคลื่อนไห วและกลุ่มติดอาวุธในเวลาต่อมา แม้ว่าปัจจุบันปัญหาภาคใต้ จะมีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้น แต่เหตุการณ์ของหะยีสุหลง ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหา ด้วยสันติวิธีและความเป็นธรรม 📌 กรณีของหะยีสุหลง แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน ของปัญหาชายแดนใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม และการปกครองของรัฐไทย 🔎 ⚖️ สิ่งที่รัฐควรเรียนรู้ ✅ การให้สิทธิทางวัฒนธรรมและศาสนา แก่กลุ่มชาติพันธุ์ ✅ การเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมทางการเมือง ✅ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ด้วยกระบวนการสันติ 📌 เหตุการณ์นี้ เป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งยังคงมีอิทธิพล ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ⬇️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161122 ก.พ. 2568 #หะยีสุหลง #ชายแดนใต้ #อุ้มหาย #77ปีหะยีสุหลง #ประวัติศาสตร์ไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1363 มุมมอง 0 รีวิว
  • 232 ปี กิโยตินสำเร็จโทษ “พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส” ผิดข้อหาหนัก สมคบประทุษร้าย ต่อเสรีภาพปวงชน และความมั่นคงแห่งรัฐ

    เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2336 หรือ 232 ปี ที่ผ่านมา พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส ถูกสำเร็จโทษด้วยเครื่องกิโยติน ณ ปลัสเดอลาเรวอลูซียง (Place de la Révolution) ใจกลางกรุงปารีส พระองค์ถูกตัดสินโทษ ในข้อหาสมคบคิด ต่อต้านเสรีภาพของประชาชน และบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐ เหตุการณ์นี้เป็นจุดพลิกผันสำคัญ ของประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ซึ่งสะท้อนถึงความวุ่นวาย ทางการเมืองและสังคม ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่ยิ่งใหญ่

    พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2317 ต่อจากพระอัยกา พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ในช่วงเวลานั้น ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับ ปัญหาทางเศรษฐกิจ และความไม่เท่าเทียมทางสังคม ระบบศักดินาที่ให้สิทธิพิเศษ แก่ชนชั้นสูงและศาสนจักร ทำให้ชนชั้นกลาง และประชาชนทั่วไป ตกอยู่ในภาวะกดดันอย่างหนัก ในขณะเดียวกัน หนี้สินมหาศาล ที่เกิดจากสงคราม และการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของราชวงศ์ ยิ่งซ้ำเติมความยากลำบาก ของประชาชน

    พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับปัญหาของประเทศ
    พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 มีความตั้งใจที่จะแก้ไข ปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ ทรงสนับสนุนการปฏิรูปบางอย่าง เช่น การยกเลิกภาษีบางประเภท สำหรับชนชั้นล่าง และการลดอำนาจของศาสนจักร แต่แผนการปฏิรูปดังกล่าว กลับถูกคัดค้านโดยชนชั้นสูง และชนชั้นอภิสิทธิ์ชน ซึ่งมีอิทธิพล ในสภาฐานันดร (Estates-General)

    เมื่อการปฏิรูปล้มเหลว ประชาชนเริ่มรวมตัวกัน และเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง ที่รุนแรงมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2332 เหตุการณ์บุกยึดคุกบาสตีย์ (Storming of the Bastille) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ของอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้ปะทุขึ้น และจุดชนวนให้เกิดการปฏิวัติทั่วประเทศ

    การสูญเสียอำนาจของราชวงศ์
    หลังจากการปฏิวัติเริ่มต้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินี มารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette) ถูกลดทอนอำนาจลงอย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ. 2334 ฝรั่งเศสประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่จำกัดอำนาจของกษัตริย์ และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ความไม่สงบในประเทศ ยังคงดำเนินต่อไป และมีการต่อต้านจากฝ่ายกษัตริย์นิยม และชาติยุโรปอื่น ๆ ที่สนับสนุนราชวงศ์

    ความพยายามหลบหนีที่ล้มเหลว
    ในปี พ.ศ. 2334 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงพยายามหลบหนีออกจากกรุงปารีส เพื่อไปรวมตัวกับ กองกำลังฝ่ายกษัตริย์นิยม ใกล้ชายแดนออสเตรีย แต่แผนการดังกล่าวล้มเหลว เมื่อพระองค์ถูกจับกุมที่เมืองวาแรน (Varennes) และถูกนำกลับมายังกรุงปารีส เหตุการณ์นี้ ยิ่งตอกย้ำความไม่ไว้วางใจของประชาชน ที่มีต่อพระองค์ และทำให้กระแสต่อต้านราชวงศ์ เพิ่มมากขึ้น

    คำตัดสินประหารชีวิต
    ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2335 สมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศส (National Assembly) ประกาศยกเลิกระบอบกษัตริย์ และสถาปนาฝรั่งเศสเป็นสาธารณรัฐ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกจับกุมและตั้งข้อหา กบฏต่อชาติ และสมคบคิดกับชาวต่างชาติ โดยหลักฐานสำคัญคือ เอกสารลับใน “ตู้เหล็ก” (Armoire de fer) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระองค์มีการติดต่อกับชาติยุโรปอื่น ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ ในการต่อต้านการปฏิวัติ

    ลงคะแนนเสียงตัดสินโทษ
    ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2336 สภากงว็องซียง (Convention) ได้ลงคะแนนเสียงตัดสินโทษ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 สมาชิกสภาทั้งหมด 721 คน มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า พระองค์มีความผิดจริง ในการลงคะแนนครั้งต่อมา สมาชิกส่วนใหญ่ เห็นชอบให้สำเร็จโทษ ด้วยการประหารชีวิต

    สำเร็จโทษด้วยกิโยติน
    เช้าของวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2336 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกนำพระองค์ไปยัง ปลัสเดอลาเรวอลูซียง พระองค์ทรงแสดงท่าทีสง่างาม และสงบนิ่ง พร้อมกล่าวพระดำรัสสั้น ๆ แสดงความบริสุทธิ์ และภาวนาให้ฝรั่งเศส พบกับสันติภาพ

    ผู้สำเร็จโทษ ชาลส์ อ็องรี ซ็องซง (Charles-Henri Sanson) รายงานว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงยอมรับชะตากรรมของพระองค์ อย่างสง่างาม ท่ามกลางฝูงชน ที่มาร่วมชมเหตุการณ์นับหมื่นคน บางคนได้นำผ้าเช็ดหน้าของตน ไปรองรับพระโลหิต ซึ่งตกลงบนพื้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ถูกกล่าวขานถึง ในหน้าประวัติศาสตร์

    "กิโยติน" เครื่องมือแห่งการปฏิวัติ
    "กิโยติน" กลายเป็นสัญลักษณ์ ของความเท่าเทียมทางกฎหมาย ในยุคปฏิวัติฝรั่งเศส อุปกรณ์นี้ถูกคิดค้นขึ้น เพื่อใช้สำเร็จโทษ นักโทษทุกชนชั้น อย่างเท่าเทียมกัน โดยมีคุณลักษณะเด่นคือ ความรวดเร็วและ “ปราศจากความเจ็บปวด” ใบมีดน้ำหนักประมาณ 40 กิโลกรัม ถูกแขวนไว้เหนือโครงไม้และปล่อยลงมาอย่างรวดเร็ว เพื่อตัดศีรษะ

    ระหว่างปี พ.ศ. 2336–2337 หรือที่เรียกว่า ยุคแห่งความหวาดกลัว (Reign of Terror) กิโยตินถูกนำมาใช้สำเร็จโทษ บุคคลสำคัญจำนวนมาก รวมถึงพระราชินี มารี อ็องตัวแน็ต และ มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์ ผู้นำฝ่ายปฏิวัติ

    มรดกแห่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 16
    การสำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไม่เพียงเป็นจุดจบ ของระบอบกษัตริย์ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในฝรั่งเศส แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่ประชาชนมีสิทธิและเสียงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ในช่วงการปฏิวัติ ได้สร้างคำถามเกี่ยวกับ การใช้ความรุนแรง ในการบรรลุเป้าหมายทางการเมือง นักประวัติศาสตร์ยังคงถกเถียง ถึงบทบาทและความผิดพลาด ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เคราะห์ร้าย จากเหตุการณ์ที่ใหญ่กว่าพระองค์ หรือเป็นผู้นำที่ล้มเหลว ในการรับมือกับปัญหาของประเทศ

    เหตุการณ์สำเร็จโทษ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ด้วยกิโยติน สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้ง ของสังคมฝรั่งเศส และเป็นบทเรียนสำคัญ เกี่ยวกับความซับซ้อน ของการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง มรดกที่พระองค์ทิ้งไว้ ไม่ใช่เพียงการสิ้นสุดของราชวงศ์ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจ ให้เกิดการปฏิวัติ และการเปลี่ยนแปลง ในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

    คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    1. พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงมีบทบาทอย่างไร ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส?
    พระองค์ทรงพยายามรักษาอำนาจ และตำแหน่งของราชวงศ์ แต่การตัดสินใจที่ผิดพลาดหลายครั้งทำให้สูญเสียความไว้วางใจ จากประชาชน

    2. เหตุใดกิโยติน จึงถูกใช้ในยุคปฏิวัติ?
    กิโยตินถูกมองว่า เป็นเครื่องมือที่ยุติธรรมและรวดเร็ว ในการสำเร็จโทษนักโทษทุกชนชั้น อย่างเท่าเทียม

    3. พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงถูกกล่าวหาว่าอะไร?
    ทรงถูกกล่าวหาว่า สมคบคิดกับชาวต่างชาติ และกบฏต่อประชาชนฝรั่งเศส

    4. ใครคือผู้สำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์?
    ชาลส์ อ็องรี ซ็องซง เป็นผู้สำเร็จโทษพระองค์ ด้วยกิโยติน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 210947 ม.ค. 2568

    #พระเจ้าหลุยส์ที่16 #การปฏิวัติฝรั่งเศส #กิโยติน #ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส #การปลงพระชนม์ #MarieAntoinette #ReignOfTerror #FrenchRevolution
    232 ปี กิโยตินสำเร็จโทษ “พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส” ผิดข้อหาหนัก สมคบประทุษร้าย ต่อเสรีภาพปวงชน และความมั่นคงแห่งรัฐ เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2336 หรือ 232 ปี ที่ผ่านมา พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส ถูกสำเร็จโทษด้วยเครื่องกิโยติน ณ ปลัสเดอลาเรวอลูซียง (Place de la Révolution) ใจกลางกรุงปารีส พระองค์ถูกตัดสินโทษ ในข้อหาสมคบคิด ต่อต้านเสรีภาพของประชาชน และบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐ เหตุการณ์นี้เป็นจุดพลิกผันสำคัญ ของประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ซึ่งสะท้อนถึงความวุ่นวาย ทางการเมืองและสังคม ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่ยิ่งใหญ่ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2317 ต่อจากพระอัยกา พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ในช่วงเวลานั้น ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับ ปัญหาทางเศรษฐกิจ และความไม่เท่าเทียมทางสังคม ระบบศักดินาที่ให้สิทธิพิเศษ แก่ชนชั้นสูงและศาสนจักร ทำให้ชนชั้นกลาง และประชาชนทั่วไป ตกอยู่ในภาวะกดดันอย่างหนัก ในขณะเดียวกัน หนี้สินมหาศาล ที่เกิดจากสงคราม และการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของราชวงศ์ ยิ่งซ้ำเติมความยากลำบาก ของประชาชน พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับปัญหาของประเทศ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 มีความตั้งใจที่จะแก้ไข ปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ ทรงสนับสนุนการปฏิรูปบางอย่าง เช่น การยกเลิกภาษีบางประเภท สำหรับชนชั้นล่าง และการลดอำนาจของศาสนจักร แต่แผนการปฏิรูปดังกล่าว กลับถูกคัดค้านโดยชนชั้นสูง และชนชั้นอภิสิทธิ์ชน ซึ่งมีอิทธิพล ในสภาฐานันดร (Estates-General) เมื่อการปฏิรูปล้มเหลว ประชาชนเริ่มรวมตัวกัน และเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง ที่รุนแรงมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2332 เหตุการณ์บุกยึดคุกบาสตีย์ (Storming of the Bastille) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ของอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้ปะทุขึ้น และจุดชนวนให้เกิดการปฏิวัติทั่วประเทศ การสูญเสียอำนาจของราชวงศ์ หลังจากการปฏิวัติเริ่มต้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินี มารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette) ถูกลดทอนอำนาจลงอย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ. 2334 ฝรั่งเศสประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่จำกัดอำนาจของกษัตริย์ และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ความไม่สงบในประเทศ ยังคงดำเนินต่อไป และมีการต่อต้านจากฝ่ายกษัตริย์นิยม และชาติยุโรปอื่น ๆ ที่สนับสนุนราชวงศ์ ความพยายามหลบหนีที่ล้มเหลว ในปี พ.ศ. 2334 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงพยายามหลบหนีออกจากกรุงปารีส เพื่อไปรวมตัวกับ กองกำลังฝ่ายกษัตริย์นิยม ใกล้ชายแดนออสเตรีย แต่แผนการดังกล่าวล้มเหลว เมื่อพระองค์ถูกจับกุมที่เมืองวาแรน (Varennes) และถูกนำกลับมายังกรุงปารีส เหตุการณ์นี้ ยิ่งตอกย้ำความไม่ไว้วางใจของประชาชน ที่มีต่อพระองค์ และทำให้กระแสต่อต้านราชวงศ์ เพิ่มมากขึ้น คำตัดสินประหารชีวิต ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2335 สมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศส (National Assembly) ประกาศยกเลิกระบอบกษัตริย์ และสถาปนาฝรั่งเศสเป็นสาธารณรัฐ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกจับกุมและตั้งข้อหา กบฏต่อชาติ และสมคบคิดกับชาวต่างชาติ โดยหลักฐานสำคัญคือ เอกสารลับใน “ตู้เหล็ก” (Armoire de fer) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระองค์มีการติดต่อกับชาติยุโรปอื่น ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ ในการต่อต้านการปฏิวัติ ลงคะแนนเสียงตัดสินโทษ ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2336 สภากงว็องซียง (Convention) ได้ลงคะแนนเสียงตัดสินโทษ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 สมาชิกสภาทั้งหมด 721 คน มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า พระองค์มีความผิดจริง ในการลงคะแนนครั้งต่อมา สมาชิกส่วนใหญ่ เห็นชอบให้สำเร็จโทษ ด้วยการประหารชีวิต สำเร็จโทษด้วยกิโยติน เช้าของวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2336 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกนำพระองค์ไปยัง ปลัสเดอลาเรวอลูซียง พระองค์ทรงแสดงท่าทีสง่างาม และสงบนิ่ง พร้อมกล่าวพระดำรัสสั้น ๆ แสดงความบริสุทธิ์ และภาวนาให้ฝรั่งเศส พบกับสันติภาพ ผู้สำเร็จโทษ ชาลส์ อ็องรี ซ็องซง (Charles-Henri Sanson) รายงานว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงยอมรับชะตากรรมของพระองค์ อย่างสง่างาม ท่ามกลางฝูงชน ที่มาร่วมชมเหตุการณ์นับหมื่นคน บางคนได้นำผ้าเช็ดหน้าของตน ไปรองรับพระโลหิต ซึ่งตกลงบนพื้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ถูกกล่าวขานถึง ในหน้าประวัติศาสตร์ "กิโยติน" เครื่องมือแห่งการปฏิวัติ "กิโยติน" กลายเป็นสัญลักษณ์ ของความเท่าเทียมทางกฎหมาย ในยุคปฏิวัติฝรั่งเศส อุปกรณ์นี้ถูกคิดค้นขึ้น เพื่อใช้สำเร็จโทษ นักโทษทุกชนชั้น อย่างเท่าเทียมกัน โดยมีคุณลักษณะเด่นคือ ความรวดเร็วและ “ปราศจากความเจ็บปวด” ใบมีดน้ำหนักประมาณ 40 กิโลกรัม ถูกแขวนไว้เหนือโครงไม้และปล่อยลงมาอย่างรวดเร็ว เพื่อตัดศีรษะ ระหว่างปี พ.ศ. 2336–2337 หรือที่เรียกว่า ยุคแห่งความหวาดกลัว (Reign of Terror) กิโยตินถูกนำมาใช้สำเร็จโทษ บุคคลสำคัญจำนวนมาก รวมถึงพระราชินี มารี อ็องตัวแน็ต และ มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์ ผู้นำฝ่ายปฏิวัติ มรดกแห่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 การสำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไม่เพียงเป็นจุดจบ ของระบอบกษัตริย์ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในฝรั่งเศส แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่ประชาชนมีสิทธิและเสียงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ในช่วงการปฏิวัติ ได้สร้างคำถามเกี่ยวกับ การใช้ความรุนแรง ในการบรรลุเป้าหมายทางการเมือง นักประวัติศาสตร์ยังคงถกเถียง ถึงบทบาทและความผิดพลาด ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เคราะห์ร้าย จากเหตุการณ์ที่ใหญ่กว่าพระองค์ หรือเป็นผู้นำที่ล้มเหลว ในการรับมือกับปัญหาของประเทศ เหตุการณ์สำเร็จโทษ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ด้วยกิโยติน สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้ง ของสังคมฝรั่งเศส และเป็นบทเรียนสำคัญ เกี่ยวกับความซับซ้อน ของการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง มรดกที่พระองค์ทิ้งไว้ ไม่ใช่เพียงการสิ้นสุดของราชวงศ์ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจ ให้เกิดการปฏิวัติ และการเปลี่ยนแปลง ในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก คำถามที่พบบ่อย (FAQs) 1. พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงมีบทบาทอย่างไร ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส? พระองค์ทรงพยายามรักษาอำนาจ และตำแหน่งของราชวงศ์ แต่การตัดสินใจที่ผิดพลาดหลายครั้งทำให้สูญเสียความไว้วางใจ จากประชาชน 2. เหตุใดกิโยติน จึงถูกใช้ในยุคปฏิวัติ? กิโยตินถูกมองว่า เป็นเครื่องมือที่ยุติธรรมและรวดเร็ว ในการสำเร็จโทษนักโทษทุกชนชั้น อย่างเท่าเทียม 3. พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงถูกกล่าวหาว่าอะไร? ทรงถูกกล่าวหาว่า สมคบคิดกับชาวต่างชาติ และกบฏต่อประชาชนฝรั่งเศส 4. ใครคือผู้สำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์? ชาลส์ อ็องรี ซ็องซง เป็นผู้สำเร็จโทษพระองค์ ด้วยกิโยติน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 210947 ม.ค. 2568 #พระเจ้าหลุยส์ที่16 #การปฏิวัติฝรั่งเศส #กิโยติน #ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส #การปลงพระชนม์ #MarieAntoinette #ReignOfTerror #FrenchRevolution
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1367 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2/
    มีการทรมานและประหารชีวิตพลเมืองซีเรียเพิ่มมากขึ้นทุกวัน โดยกลุ่มก่อการร้าย HTS ที่ขณะนี้ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลซีเรีย โดยกล่าวหาว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นอดีตสมาชิกกองทัพและกองกำลังความมั่นคงของรัฐบาลอัสซาด และเป็นผู้ต่อต้านรัฐบาลใหม่
    2/ มีการทรมานและประหารชีวิตพลเมืองซีเรียเพิ่มมากขึ้นทุกวัน โดยกลุ่มก่อการร้าย HTS ที่ขณะนี้ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลซีเรีย โดยกล่าวหาว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นอดีตสมาชิกกองทัพและกองกำลังความมั่นคงของรัฐบาลอัสซาด และเป็นผู้ต่อต้านรัฐบาลใหม่
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 387 มุมมอง 16 0 รีวิว
  • 1/
    มีการทรมานและประหารชีวิตพลเมืองซีเรียเพิ่มมากขึ้นทุกวัน โดยกลุ่มก่อการร้าย HTS ที่ขณะนี้ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลซีเรีย โดยกล่าวหาว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นอดีตสมาชิกกองทัพและกองกำลังความมั่นคงของรัฐบาลอัสซาด และเป็นผู้ต่อต้านรัฐบาลใหม่
    1/ มีการทรมานและประหารชีวิตพลเมืองซีเรียเพิ่มมากขึ้นทุกวัน โดยกลุ่มก่อการร้าย HTS ที่ขณะนี้ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลซีเรีย โดยกล่าวหาว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นอดีตสมาชิกกองทัพและกองกำลังความมั่นคงของรัฐบาลอัสซาด และเป็นผู้ต่อต้านรัฐบาลใหม่
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 405 มุมมอง 18 0 รีวิว
  • ตำรวจสืบนครบาลจับกุม “เอิร์ธ บางกรวย” ลักลอบขนไอซ์ 390 กก. เตรียมกระจายส่ง กทม.-ปริมณฑล สารภาพได้ค่าจ้าง 1 แสนบาท

    วันนี้ (4 ธ.ค.) พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.นิวัฒน์ พึ่งอุทัยศรี รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.สิทธิศักดิ์ นาคามาตย์ ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น. พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ สีเสมอ รอง ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น.พ.ต.ท.นิติกรณ์ ระวัง รอง ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น. สั่งการให้เจ้าหน้าที่ กก.สส.2 บก.สส.บช.น. จับกุมนายวีรชนม์ อายุ 20 ปี หรือเอิร์ท บางกรวย

    พร้อมด้วยของกลาง 1.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) บรรจุภัณฑ์ถุงสีเหลืองดำ จำนวน 390 ถุงๆละประมาณ 1 กิโลกรัม น้ำหนักรวมทั้งหมด ประมาณ 390 กิโลกรัม 2.โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ REALME รุ่น C13 สีดำ จำนวน 1 เครื่อง 3.รถยนต์ยี่ห้อ มิสซูบิชิ รุ่น ปาเจโร่ สีขาว จำนวน 1 คัน

    โดยกล่าวหาว่า จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน หรือไอซ์) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า เป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และเป็นการทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป จับกุมได้บริเวณริมถนน ซอยสะเเกงาม 12 เเขวงเเสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000117068

    #MGROnline #เอิร์ธบางกรวย #ลักลอบขนไอซ์
    ตำรวจสืบนครบาลจับกุม “เอิร์ธ บางกรวย” ลักลอบขนไอซ์ 390 กก. เตรียมกระจายส่ง กทม.-ปริมณฑล สารภาพได้ค่าจ้าง 1 แสนบาท • วันนี้ (4 ธ.ค.) พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.นิวัฒน์ พึ่งอุทัยศรี รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.สิทธิศักดิ์ นาคามาตย์ ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น. พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ สีเสมอ รอง ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น.พ.ต.ท.นิติกรณ์ ระวัง รอง ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น. สั่งการให้เจ้าหน้าที่ กก.สส.2 บก.สส.บช.น. จับกุมนายวีรชนม์ อายุ 20 ปี หรือเอิร์ท บางกรวย • พร้อมด้วยของกลาง 1.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) บรรจุภัณฑ์ถุงสีเหลืองดำ จำนวน 390 ถุงๆละประมาณ 1 กิโลกรัม น้ำหนักรวมทั้งหมด ประมาณ 390 กิโลกรัม 2.โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ REALME รุ่น C13 สีดำ จำนวน 1 เครื่อง 3.รถยนต์ยี่ห้อ มิสซูบิชิ รุ่น ปาเจโร่ สีขาว จำนวน 1 คัน • โดยกล่าวหาว่า จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน หรือไอซ์) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า เป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และเป็นการทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป จับกุมได้บริเวณริมถนน ซอยสะเเกงาม 12 เเขวงเเสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000117068 • #MGROnline #เอิร์ธบางกรวย #ลักลอบขนไอซ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 663 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ปชป.-รทสช.' ค้านนิรโทษกรรม เหตุไปแตะ ม.112
    .
    จากเเดิมที่มีการคาดหมายกันว่ากระบวนการในการนิรโทษกรรมน่าจะเดินหน้าได้สะดวก แต่ทำไปทำมาปรากฎว่าพรรคร่วมรัฐบาลส่งสัญญาณไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกับพรรคประชาธิปัตย์และพรรครวมไทยสร้างชาติ
    .
    นางสาวเจนจิรา รัตนเพียร โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดเผยถึงการประชุมพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องดังกล่าวว่า ในการประชุมส.ส.ของพรรคที่ผ่านมา ได้ให้ความสำคัญกับรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยที่ประชุม สส. ของพรรค เห็นว่ารายงานดังกล่าวยังมีความคลุมเครือ และไม่ชัดเจน หากส่งรายงานดังกล่าวไปให้รัฐบาลเพื่อพิจารณา อาจส่งผลให้เกิดความวุ่นวายในสังคม เนื่องจากเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน
    .
    "สำหรับประเด็นการนิรโทษกรรมนั้น พรรคประชาธิปัตย์ไม่ขัดข้องกับการนิรโทษกรรมในประเด็นทางการเมือง แต่พรรคฯ มีจุดยืนในการไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริต และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ดังนั้นในที่ประชุม สส. จึงมีมติไม่เห็นชอบกับรายงานฉบับดังกล่าว" โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุ
    .
    เช่นเดียวกับ พรรครวมไทยสร้างชาติ โดยนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี และโฆษกพรรค ระบุว่า ที่ประชุมพรรคได้พิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแล้วมีความคิดเห็นว่าขอยืนยันในมติเดิมของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือ จะไม่เห็นชอบในรายงานฉบับดังกล่าว เนื่องจากไม่มีความสมบูรณ์ ขาดข้อสรุปที่ชัดเจน ดังที่เคยได้แจ้งไปเมื่อมีมติพรรครวมไทยสร้างชาติในวันที่ 26 กันยายน 2567 ซึ่งในครั้งนี้รายงานที่พิจารณาก็ยังมีเนื้อหาเช่นเดิม
    .
    "พรรครวมไทยสร้างชาติจึงขอสงวนสิทธิ์ที่จะมีมติงดออกเสียงในการลงมติรายงานฉบับดังกล่าว ทั้งในชั้นการรับทราบ และการเห็นชอบรายงานฉบับดังกล่าวเพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการ และพรรครวมไทยสร้างชาติขอยืนยันว่า จุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติชัดเจนว่าจะต้องไม่มีการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดตามมาตรา 112 โดยเด็ดขาด เนื่องจากเป็นความผิดที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐและละเมิดต่อสถาบันหลักของชาติ" นายอัครเดช ย้ำถึงมติพรรค
    ..............
    Sondhi X
    'ปชป.-รทสช.' ค้านนิรโทษกรรม เหตุไปแตะ ม.112 . จากเเดิมที่มีการคาดหมายกันว่ากระบวนการในการนิรโทษกรรมน่าจะเดินหน้าได้สะดวก แต่ทำไปทำมาปรากฎว่าพรรคร่วมรัฐบาลส่งสัญญาณไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกับพรรคประชาธิปัตย์และพรรครวมไทยสร้างชาติ . นางสาวเจนจิรา รัตนเพียร โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดเผยถึงการประชุมพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องดังกล่าวว่า ในการประชุมส.ส.ของพรรคที่ผ่านมา ได้ให้ความสำคัญกับรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยที่ประชุม สส. ของพรรค เห็นว่ารายงานดังกล่าวยังมีความคลุมเครือ และไม่ชัดเจน หากส่งรายงานดังกล่าวไปให้รัฐบาลเพื่อพิจารณา อาจส่งผลให้เกิดความวุ่นวายในสังคม เนื่องจากเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน . "สำหรับประเด็นการนิรโทษกรรมนั้น พรรคประชาธิปัตย์ไม่ขัดข้องกับการนิรโทษกรรมในประเด็นทางการเมือง แต่พรรคฯ มีจุดยืนในการไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริต และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ดังนั้นในที่ประชุม สส. จึงมีมติไม่เห็นชอบกับรายงานฉบับดังกล่าว" โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุ . เช่นเดียวกับ พรรครวมไทยสร้างชาติ โดยนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี และโฆษกพรรค ระบุว่า ที่ประชุมพรรคได้พิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแล้วมีความคิดเห็นว่าขอยืนยันในมติเดิมของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือ จะไม่เห็นชอบในรายงานฉบับดังกล่าว เนื่องจากไม่มีความสมบูรณ์ ขาดข้อสรุปที่ชัดเจน ดังที่เคยได้แจ้งไปเมื่อมีมติพรรครวมไทยสร้างชาติในวันที่ 26 กันยายน 2567 ซึ่งในครั้งนี้รายงานที่พิจารณาก็ยังมีเนื้อหาเช่นเดิม . "พรรครวมไทยสร้างชาติจึงขอสงวนสิทธิ์ที่จะมีมติงดออกเสียงในการลงมติรายงานฉบับดังกล่าว ทั้งในชั้นการรับทราบ และการเห็นชอบรายงานฉบับดังกล่าวเพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการ และพรรครวมไทยสร้างชาติขอยืนยันว่า จุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติชัดเจนว่าจะต้องไม่มีการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดตามมาตรา 112 โดยเด็ดขาด เนื่องจากเป็นความผิดที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐและละเมิดต่อสถาบันหลักของชาติ" นายอัครเดช ย้ำถึงมติพรรค .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1534 มุมมอง 0 รีวิว
  • #จับอาการทักษิณกับข่าวลือยุบพรรค
    เป็นที่น่าจับตาการอาการแปลกๆ หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
    ตั้งแต่บุตรสาวอดีตนช.ทักษิณ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย
    ทักษิณ แสดงอาการไม่กลัวใคร ตัดสัมพันธ์วงษ์สุวรรณ และการรวมเสียงพรรคร่วมตั้งรัฐบาลได้ผ่านฉลุย รวมถึงการแสดงความเก๋า แก้เกมส์การเมืองจนลุงป้อมไปไม่เป็น สร้างสถานการณ์จนทำให้เสี่ยแป้งต้องตัดลุงอย่างไม่ใยดี
    -แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวลือสะพัด กับการหายหน้าไปจากพื้นที่สื่อของทักษิณ ไปไกลกระทั่งลือว่าทักษิณหลบไปเป็นคนต่างด้าว ณ ต่างแดน แต่ก็มีการสยบข่าวลือ ด้วยการเข้าพบของเสี่ยหนู และเนวิน จนเปิดวาทะกรรม ไม่เคยพูดคำว่า "จบแล้วครับนาย" โดยอนุทินยังเน้นหน้าลอยๆให้สัมภาษณ์ว่า ลูกน้องจะไปพูดแบบนี้กับเจ้านายตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่เห็นเงาทักษิณออกมาให้เห็นหน้าซึ่งผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งสำหรับคนชื่อทักษิณชินวัตร
    -มีข่าวที่ไม่ใช่ข่าวลือชุดต่อมา ว่าทักษิณ ได้ทำการขอนุญาตออกนอกประเทศ 2 วาระ ที่แรกคือ ประเทศอินโดยนีเซีย และวาระที่สองคือสหรัฐ ซึ่งวงการข่าวสารก็จะรับรู้ว่า การขอออกนอกประเทศของทักษิณ ส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับข่าววงใน ที่พบว่ามีความเสี่ยง มีความไม่แน่นอน ที่ควรจะออกไปตั้งหลักนอกประเทศก่อน
    -จึงเกิดคำถามว่า เหตุปัจจัยใดที่จะทำให้ทักษิณ ต้องหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในเกมส์นี้ได้บ้าง ก็พบว่า
    1. กรณี ป๋วยทิพย์ จากชั้น 14 มาถึงการแสดงออกถึงร่างกายที่แข็งแรงดุจพญาช้างสาร โดยไม่แคร์ผู้รับรอง ตั้งแต่ราชทัณฑ์ รพ.ตร. แพทย์ และทุกคนในกระบวนการที่ช่วยให้ทักษิณ ไม่ต้องเดินเข้าประตูตารางแม้แต่นาทีเดียว และยังเฉิดฉายแสดงบารมีอย่างไม่หวั่นเกรงสายตาของคนที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณในอดีต
    2. กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กับแผ่นดินธรณีสงฆ์ ที่แม้มีการให้สัมภาษณ์จากนักกฏหมายหลายคนจะออกมาในแนวทางที่ว่า เรื่องนี้ไม่สร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลแน่นอนก็ตาม และผู้ร้องก็ถูกด้อยค่าต่างๆนาๆก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการ กลไกการทำงานเพื่อแสวงหาความจริงกลับพบปัจจัยที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะเข้าสู่การพิจารณา
    3. กรณีบ้านจันทร์ส่องหล้า กับการเอ่ยถึงคลิปเสียง หรือคลิปภาพ ที่เห็นการบัญชาการของทักษิณ ที่มีต่อพรรคร่วม รวมถึงการใช้อำนาจในการสั่งการพรรคร่วม ไปทำสัญญาใจในการสนับสนุนบุตรสาวให้ได้ตำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็ยังค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ และตัวนายทักษิณ ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์เย้ยอีกว่า ไม่ได้ครอบงำ แต่ตนเองครอบครอง เพราะเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรี ซ้ำยังมีการแต่งตั้ง ผู้มีพระคุณต่อทักษิณ ได้เข้ามาดำรงค์ตำแหน่งสำคัญอย่างมากมาย โดยล่าสุด คือตำแหน่งที่ปรึกษานายก ที่มีจำนวนมากเท่ากับทีมฟุตซอล อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดล้วนมีประวัติศาสตร์ในการรับใช้นายใหญ่ ที่ชื่อทักษิณทั้งสิ้น
    คิงส์โพธิ์ดำ จึงนำข้อมูลต่างๆมานำเสนอไว้ เพื่อหากเกิดเหตุทักษิณหายตัวไปจริงๆวันใด จะได้ทราบที่มาที่ไป ว่ามีอาการใดที่ผิดสังเกตุ กับข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณ ณ วันนี้
    #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    #จับอาการทักษิณกับข่าวลือยุบพรรค เป็นที่น่าจับตาการอาการแปลกๆ หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่บุตรสาวอดีตนช.ทักษิณ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ แสดงอาการไม่กลัวใคร ตัดสัมพันธ์วงษ์สุวรรณ และการรวมเสียงพรรคร่วมตั้งรัฐบาลได้ผ่านฉลุย รวมถึงการแสดงความเก๋า แก้เกมส์การเมืองจนลุงป้อมไปไม่เป็น สร้างสถานการณ์จนทำให้เสี่ยแป้งต้องตัดลุงอย่างไม่ใยดี -แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวลือสะพัด กับการหายหน้าไปจากพื้นที่สื่อของทักษิณ ไปไกลกระทั่งลือว่าทักษิณหลบไปเป็นคนต่างด้าว ณ ต่างแดน แต่ก็มีการสยบข่าวลือ ด้วยการเข้าพบของเสี่ยหนู และเนวิน จนเปิดวาทะกรรม ไม่เคยพูดคำว่า "จบแล้วครับนาย" โดยอนุทินยังเน้นหน้าลอยๆให้สัมภาษณ์ว่า ลูกน้องจะไปพูดแบบนี้กับเจ้านายตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่เห็นเงาทักษิณออกมาให้เห็นหน้าซึ่งผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งสำหรับคนชื่อทักษิณชินวัตร -มีข่าวที่ไม่ใช่ข่าวลือชุดต่อมา ว่าทักษิณ ได้ทำการขอนุญาตออกนอกประเทศ 2 วาระ ที่แรกคือ ประเทศอินโดยนีเซีย และวาระที่สองคือสหรัฐ ซึ่งวงการข่าวสารก็จะรับรู้ว่า การขอออกนอกประเทศของทักษิณ ส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับข่าววงใน ที่พบว่ามีความเสี่ยง มีความไม่แน่นอน ที่ควรจะออกไปตั้งหลักนอกประเทศก่อน -จึงเกิดคำถามว่า เหตุปัจจัยใดที่จะทำให้ทักษิณ ต้องหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในเกมส์นี้ได้บ้าง ก็พบว่า 1. กรณี ป๋วยทิพย์ จากชั้น 14 มาถึงการแสดงออกถึงร่างกายที่แข็งแรงดุจพญาช้างสาร โดยไม่แคร์ผู้รับรอง ตั้งแต่ราชทัณฑ์ รพ.ตร. แพทย์ และทุกคนในกระบวนการที่ช่วยให้ทักษิณ ไม่ต้องเดินเข้าประตูตารางแม้แต่นาทีเดียว และยังเฉิดฉายแสดงบารมีอย่างไม่หวั่นเกรงสายตาของคนที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณในอดีต 2. กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กับแผ่นดินธรณีสงฆ์ ที่แม้มีการให้สัมภาษณ์จากนักกฏหมายหลายคนจะออกมาในแนวทางที่ว่า เรื่องนี้ไม่สร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลแน่นอนก็ตาม และผู้ร้องก็ถูกด้อยค่าต่างๆนาๆก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการ กลไกการทำงานเพื่อแสวงหาความจริงกลับพบปัจจัยที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะเข้าสู่การพิจารณา 3. กรณีบ้านจันทร์ส่องหล้า กับการเอ่ยถึงคลิปเสียง หรือคลิปภาพ ที่เห็นการบัญชาการของทักษิณ ที่มีต่อพรรคร่วม รวมถึงการใช้อำนาจในการสั่งการพรรคร่วม ไปทำสัญญาใจในการสนับสนุนบุตรสาวให้ได้ตำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็ยังค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ และตัวนายทักษิณ ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์เย้ยอีกว่า ไม่ได้ครอบงำ แต่ตนเองครอบครอง เพราะเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรี ซ้ำยังมีการแต่งตั้ง ผู้มีพระคุณต่อทักษิณ ได้เข้ามาดำรงค์ตำแหน่งสำคัญอย่างมากมาย โดยล่าสุด คือตำแหน่งที่ปรึกษานายก ที่มีจำนวนมากเท่ากับทีมฟุตซอล อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดล้วนมีประวัติศาสตร์ในการรับใช้นายใหญ่ ที่ชื่อทักษิณทั้งสิ้น คิงส์โพธิ์ดำ จึงนำข้อมูลต่างๆมานำเสนอไว้ เพื่อหากเกิดเหตุทักษิณหายตัวไปจริงๆวันใด จะได้ทราบที่มาที่ไป ว่ามีอาการใดที่ผิดสังเกตุ กับข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณ ณ วันนี้ #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1276 มุมมอง 70 0 รีวิว
  • #จับอาการทักษิณกับข่าวลือยุบพรรค
    เป็นที่น่าจับตาการอาการแปลกๆ หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
    ตั้งแต่บุตรสาวอดีตนช.ทักษิณ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย
    ทักษิณ แสดงอาการไม่กลัวใคร ตัดสัมพันธ์วงษ์สุวรรณ และการรวมเสียงพรรคร่วมตั้งรัฐบาลได้ผ่านฉลุย รวมถึงการแสดงความเก๋า แก้เกมส์การเมืองจนลุงป้อมไปไม่เป็น สร้างสถานการณ์จนทำให้เสี่ยแป้งต้องตัดลุงอย่างไม่ใยดี
    -แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวลือสะพัด กับการหายหน้าไปจากพื้นที่สื่อของทักษิณ ไปไกลกระทั่งลือว่าทักษิณหลบไปเป็นคนต่างด้าว ณ ต่างแดน แต่ก็มีการสยบข่าวลือ ด้วยการเข้าพบของเสี่ยหนู และเนวิน จนเปิดวาทะกรรม ไม่เคยพูดคำว่า "จบแล้วครับนาย" โดยอนุทินยังเน้นหน้าลอยๆให้สัมภาษณ์ว่า ลูกน้องจะไปพูดแบบนี้กับเจ้านายตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่เห็นเงาทักษิณออกมาให้เห็นหน้าซึ่งผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งสำหรับคนชื่อทักษิณชินวัตร
    -มีข่าวที่ไม่ใช่ข่าวลือชุดต่อมา ว่าทักษิณ ได้ทำการขอนุญาตออกนอกประเทศ 2 วาระ ที่แรกคือ ประเทศอินโดยนีเซีย และวาระที่สองคือสหรัฐ ซึ่งวงการข่าวสารก็จะรับรู้ว่า การขอออกนอกประเทศของทักษิณ ส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับข่าววงใน ที่พบว่ามีความเสี่ยง มีความไม่แน่นอน ที่ควรจะออกไปตั้งหลักนอกประเทศก่อน
    -จึงเกิดคำถามว่า เหตุปัจจัยใดที่จะทำให้ทักษิณ ต้องหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในเกมส์นี้ได้บ้าง ก็พบว่า
    1. กรณี ป๋วยทิพย์ จากชั้น 14 มาถึงการแสดงออกถึงร่างกายที่แข็งแรงดุจพญาช้างสาร โดยไม่แคร์ผู้รับรอง ตั้งแต่ราชทัณฑ์ รพ.ตร. แพทย์ และทุกคนในกระบวนการที่ช่วยให้ทักษิณ ไม่ต้องเดินเข้าประตูตารางแม้แต่นาทีเดียว และยังเฉิดฉายแสดงบารมีอย่างไม่หวั่นเกรงสายตาของคนที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณในอดีต
    2. กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กับแผ่นดินธรณีสงฆ์ ที่แม้มีการให้สัมภาษณ์จากนักกฏหมายหลายคนจะออกมาในแนวทางที่ว่า เรื่องนี้ไม่สร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลแน่นอนก็ตาม และผู้ร้องก็ถูกด้อยค่าต่างๆนาๆก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการ กลไกการทำงานเพื่อแสวงหาความจริงกลับพบปัจจัยที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะเข้าสู่การพิจารณา
    3. กรณีบ้านจันทร์ส่องหล้า กับการเอ่ยถึงคลิปเสียง หรือคลิปภาพ ที่เห็นการบัญชาการของทักษิณ ที่มีต่อพรรคร่วม รวมถึงการใช้อำนาจในการสั่งการพรรคร่วม ไปทำสัญญาใจในการสนับสนุนบุตรสาวให้ได้ตำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็ยังค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ และตัวนายทักษิณ ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์เย้ยอีกว่า ไม่ได้ครอบงำ แต่ตนเองครอบครอง เพราะเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรี ซ้ำยังมีการแต่งตั้ง ผู้มีพระคุณต่อทักษิณ ได้เข้ามาดำรงค์ตำแหน่งสำคัญอย่างมากมาย โดยล่าสุด คือตำแหน่งที่ปรึกษานายก ที่มีจำนวนมากเท่ากับทีมฟุตซอล อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดล้วนมีประวัติศาสตร์ในการรับใช้นายใหญ่ ที่ชื่อทักษิณทั้งสิ้น
    คิงส์โพธิ์ดำ จึงนำข้อมูลต่างๆมานำเสนอไว้ เพื่อหากเกิดเหตุทักษิณหายตัวไปจริงๆวันใด จะได้ทราบที่มาที่ไป ว่ามีอาการใดที่ผิดสังเกตุ กับข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณ ณ วันนี้
    #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    #จับอาการทักษิณกับข่าวลือยุบพรรค เป็นที่น่าจับตาการอาการแปลกๆ หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่บุตรสาวอดีตนช.ทักษิณ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ แสดงอาการไม่กลัวใคร ตัดสัมพันธ์วงษ์สุวรรณ และการรวมเสียงพรรคร่วมตั้งรัฐบาลได้ผ่านฉลุย รวมถึงการแสดงความเก๋า แก้เกมส์การเมืองจนลุงป้อมไปไม่เป็น สร้างสถานการณ์จนทำให้เสี่ยแป้งต้องตัดลุงอย่างไม่ใยดี -แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวลือสะพัด กับการหายหน้าไปจากพื้นที่สื่อของทักษิณ ไปไกลกระทั่งลือว่าทักษิณหลบไปเป็นคนต่างด้าว ณ ต่างแดน แต่ก็มีการสยบข่าวลือ ด้วยการเข้าพบของเสี่ยหนู และเนวิน จนเปิดวาทะกรรม ไม่เคยพูดคำว่า "จบแล้วครับนาย" โดยอนุทินยังเน้นหน้าลอยๆให้สัมภาษณ์ว่า ลูกน้องจะไปพูดแบบนี้กับเจ้านายตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่เห็นเงาทักษิณออกมาให้เห็นหน้าซึ่งผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งสำหรับคนชื่อทักษิณชินวัตร -มีข่าวที่ไม่ใช่ข่าวลือชุดต่อมา ว่าทักษิณ ได้ทำการขอนุญาตออกนอกประเทศ 2 วาระ ที่แรกคือ ประเทศอินโดยนีเซีย และวาระที่สองคือสหรัฐ ซึ่งวงการข่าวสารก็จะรับรู้ว่า การขอออกนอกประเทศของทักษิณ ส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับข่าววงใน ที่พบว่ามีความเสี่ยง มีความไม่แน่นอน ที่ควรจะออกไปตั้งหลักนอกประเทศก่อน -จึงเกิดคำถามว่า เหตุปัจจัยใดที่จะทำให้ทักษิณ ต้องหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในเกมส์นี้ได้บ้าง ก็พบว่า 1. กรณี ป๋วยทิพย์ จากชั้น 14 มาถึงการแสดงออกถึงร่างกายที่แข็งแรงดุจพญาช้างสาร โดยไม่แคร์ผู้รับรอง ตั้งแต่ราชทัณฑ์ รพ.ตร. แพทย์ และทุกคนในกระบวนการที่ช่วยให้ทักษิณ ไม่ต้องเดินเข้าประตูตารางแม้แต่นาทีเดียว และยังเฉิดฉายแสดงบารมีอย่างไม่หวั่นเกรงสายตาของคนที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณในอดีต 2. กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กับแผ่นดินธรณีสงฆ์ ที่แม้มีการให้สัมภาษณ์จากนักกฏหมายหลายคนจะออกมาในแนวทางที่ว่า เรื่องนี้ไม่สร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลแน่นอนก็ตาม และผู้ร้องก็ถูกด้อยค่าต่างๆนาๆก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการ กลไกการทำงานเพื่อแสวงหาความจริงกลับพบปัจจัยที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะเข้าสู่การพิจารณา 3. กรณีบ้านจันทร์ส่องหล้า กับการเอ่ยถึงคลิปเสียง หรือคลิปภาพ ที่เห็นการบัญชาการของทักษิณ ที่มีต่อพรรคร่วม รวมถึงการใช้อำนาจในการสั่งการพรรคร่วม ไปทำสัญญาใจในการสนับสนุนบุตรสาวให้ได้ตำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็ยังค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ และตัวนายทักษิณ ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์เย้ยอีกว่า ไม่ได้ครอบงำ แต่ตนเองครอบครอง เพราะเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรี ซ้ำยังมีการแต่งตั้ง ผู้มีพระคุณต่อทักษิณ ได้เข้ามาดำรงค์ตำแหน่งสำคัญอย่างมากมาย โดยล่าสุด คือตำแหน่งที่ปรึกษานายก ที่มีจำนวนมากเท่ากับทีมฟุตซอล อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดล้วนมีประวัติศาสตร์ในการรับใช้นายใหญ่ ที่ชื่อทักษิณทั้งสิ้น คิงส์โพธิ์ดำ จึงนำข้อมูลต่างๆมานำเสนอไว้ เพื่อหากเกิดเหตุทักษิณหายตัวไปจริงๆวันใด จะได้ทราบที่มาที่ไป ว่ามีอาการใดที่ผิดสังเกตุ กับข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณ ณ วันนี้ #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1224 มุมมอง 0 รีวิว
  • Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram ถูกตำรวจฝรั่งเศสจับกุมทันที อ้างหมายจับที่ออกโดย OFMIN หน่วยงานต่อต้านความรุนแรงต่อผู้เยาว์ของฝรั่งเศส หลังจาก Pavel Durov เพิ่งเดินทางมาถึงสนามบิน Le Bourget ด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว และขณะนี้ต้องเผชิญโทษจำคุก 20 ปี

    25 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า นาย พาเวล ดูรอฟ Pavel Durov ซีอีโอวัย 39 ปีของ Telegram แอปพลิเคชันส่งข้อความยอดนิยมระดับโลก ถูกตำรวจฝรั่งเศสจับกุมตัวที่สนามบิน Le Bourget ทางตอนเหนือของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถูกจับกุมเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. (เวลาท้องถิ่น) หลังเดินทางมาถึงด้วยเครื่องบินส่วนตัว สร้างความตกตะลึงให้กับวงการโซเชียลมีเดียทั่วโลก

    ทางการฝรั่งเศสระบุว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นไปตามหมายจับที่ออกโดย OFMIN หน่วยงานต่อต้านความรุนแรงต่อผู้เยาว์ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ประสานงานในการสอบสวนเบื้องต้นเกี่ยวกับข้อหาร้ายแรงหลายประการ เช่น การฉ้อโกง การค้ายาเสพติด การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ อาชญากรรมองค์กร และการสนับสนุนการก่อการร้าย โดยมีสาเหตุหลักมาจากการที่ Pavel Durov ‘ไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อป้องกันการใช้ Telegram ในทางที่ผิดกฎหมายมา

    แต่กระแสข่าวอีกด้านระบุสาเหตุเพราะว่า บรรดาแฮกเกอร์ต่อต้านอิสราเอลที่ขโมยข้อมูลสำคัญของประเทศอิสราเอลจำนวนหลายกิกะไบต์ได้เผยแพร่ข้อมูลลับดังกล่าวบน TELEGRAM และTelegram ปฏิเสธคำขอของอิสราเอลในการเซ็นเซอร์ข้อมูลดังกล่าว

    Telegram เป็นแอปพลิเคชันส่งข้อความที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลก โดยเฉพาะในรัสเซีย Telegram ที่เข้ารหัสซึ่งมีผู้ใช้เกือบหนึ่งพันล้านคนมีอิทธิพลอย่างมากในรัสเซีย ยูเครน และสาธารณรัฐในอดีตสหภาพโซเวียต โดยจัดอยู่ในอันดับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลักหนึ่งรองจาก Facebook, YouTube, WhatsApp, Instagram, TikTok และ WeChat

    ดูรอฟซึ่งเกิดในรัสเซียก่อตั้ง Telegram ร่วมกับพี่ชายของเขาในปี 2013 เขาออกจากรัสเซียในปี 2014 หลังจากปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของรัฐบาลในการปิดชุมชนฝ่ายค้านบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย VKontakte ของเขาซึ่งเขาขายไป

    หลังจากที่รัสเซียเปิดฉากการรุกรานยูเครนในปี 2022 Telegram ก็กลายเป็นแหล่งหลักของเนื้อหาที่ไม่ได้ผ่านการกรอง – และบางครั้งมีเนื้อหาที่รุนแรงและทำให้เข้าใจผิด – จากทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับสงครามและการเมืองที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง

    รัสเซียเริ่มบล็อก Telegram ในปี 2018 หลังจากที่แอปปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการให้หน่วยงานความมั่นคงของรัฐเข้าถึงข้อความที่เข้ารหัสของผู้ใช้
    การกระทำดังกล่าวขัดขวางบริการของบุคคลที่สามจำนวนมาก แต่มีผลเพียงเล็กน้อยต่อความพร้อมใช้งานของ Telegram ในประเทศ อย่างไรก็ตาม คำสั่งห้ามดังกล่าวได้จุดชนวนให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในมอสโกวและการวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรนอกภาครัฐ

    แพลตฟอร์มนี้ได้กลายเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์บางคนเรียกว่า “สนามรบเสมือนจริง” สำหรับสงคราม ซึ่งใช้โดยประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครนและเจ้าหน้าที่ของเขา รวมถึงรัฐบาลรัสเซียเป็นอย่างมาก Telegram ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้หลบเลี่ยงการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ ได้กลายเป็นสถานที่ไม่กี่แห่งที่ชาวรัสเซียสามารถเข้าถึงข่าวสารอิสระเกี่ยวกับสงครามได้ หลังจากที่เครมลินเพิ่มมาตรการควบคุมสื่ออิสระหลังจากรัสเซียรุกรานยูเครน

    “ผมขอเป็นอิสระดีกว่าต้องรับคำสั่งจากใครก็ตาม” ดูรอฟบอกกับทักเกอร์ คาร์ลสัน นักข่าวชาวอเมริกันในเดือนเมษายนเกี่ยวกับการออกจากรัสเซียของเขาและการค้นหาบ้านให้กับบริษัทของเขา ซึ่งรวมถึงช่วงเวลาในเบอร์ลิน ลอนดอน สิงคโปร์ และซานฟรานซิสโก

    พาเวล ดูรอฟ Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram เมื่อปี 2013 จัดเป็นมหาเศรษฐีที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 9 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3 แสนล้านบาท) ปัจจุบันอาศัยอยู่ในดูไบและถือสัญชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และฝรั่งเศส เขาเคยสร้างชื่อเสียงจากการก่อตั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์ VKontakte ในรัสเซียเมื่อปี 2006 ก่อนที่จะหนีออกจากประเทศและขายหุ้นทั้งหมด หลังถูกกดดันจากรัฐบาลให้ปิดกั้นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลบนแพลตฟอร์ม

    กรณีจับกุมดูรอฟ สถานทูตรัสเซียในฝรั่งเศสได้ดำเนินการ ‘ทันที’ เพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ แม้ว่าตัวแทนของดูรอฟจะไม่ได้ยื่นคำร้องขอความช่วยเหลือตามรายงานของสำนักข่าว TASS ของรัสเซีย ขณะที่คาดว่าดูรอฟจะถูกนำตัวขึ้นศาลในวันที่25 สิงหาคม

    Telegram ไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นของสื่อในทันที ขณะที่กระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศสและตำรวจไม่มีการแถลงและแสดงความคิดเห็นใดๆ

    เหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับวงการเทคโนโลยีและผู้ใช้งาน Telegram ทั่วโลก โดยหลายฝ่ายจับตามองว่าการจับกุมครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของแอปพลิเคชันยอดนิยมอย่างไร และจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายการกำกับดูแลเนื้อหาบนแพลตฟอร์มหรือไม่

    #Thaitimes
    Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram ถูกตำรวจฝรั่งเศสจับกุมทันที อ้างหมายจับที่ออกโดย OFMIN หน่วยงานต่อต้านความรุนแรงต่อผู้เยาว์ของฝรั่งเศส หลังจาก Pavel Durov เพิ่งเดินทางมาถึงสนามบิน Le Bourget ด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว และขณะนี้ต้องเผชิญโทษจำคุก 20 ปี 25 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า นาย พาเวล ดูรอฟ Pavel Durov ซีอีโอวัย 39 ปีของ Telegram แอปพลิเคชันส่งข้อความยอดนิยมระดับโลก ถูกตำรวจฝรั่งเศสจับกุมตัวที่สนามบิน Le Bourget ทางตอนเหนือของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถูกจับกุมเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. (เวลาท้องถิ่น) หลังเดินทางมาถึงด้วยเครื่องบินส่วนตัว สร้างความตกตะลึงให้กับวงการโซเชียลมีเดียทั่วโลก ทางการฝรั่งเศสระบุว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นไปตามหมายจับที่ออกโดย OFMIN หน่วยงานต่อต้านความรุนแรงต่อผู้เยาว์ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ประสานงานในการสอบสวนเบื้องต้นเกี่ยวกับข้อหาร้ายแรงหลายประการ เช่น การฉ้อโกง การค้ายาเสพติด การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ อาชญากรรมองค์กร และการสนับสนุนการก่อการร้าย โดยมีสาเหตุหลักมาจากการที่ Pavel Durov ‘ไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อป้องกันการใช้ Telegram ในทางที่ผิดกฎหมายมา แต่กระแสข่าวอีกด้านระบุสาเหตุเพราะว่า บรรดาแฮกเกอร์ต่อต้านอิสราเอลที่ขโมยข้อมูลสำคัญของประเทศอิสราเอลจำนวนหลายกิกะไบต์ได้เผยแพร่ข้อมูลลับดังกล่าวบน TELEGRAM และTelegram ปฏิเสธคำขอของอิสราเอลในการเซ็นเซอร์ข้อมูลดังกล่าว Telegram เป็นแอปพลิเคชันส่งข้อความที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลก โดยเฉพาะในรัสเซีย Telegram ที่เข้ารหัสซึ่งมีผู้ใช้เกือบหนึ่งพันล้านคนมีอิทธิพลอย่างมากในรัสเซีย ยูเครน และสาธารณรัฐในอดีตสหภาพโซเวียต โดยจัดอยู่ในอันดับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลักหนึ่งรองจาก Facebook, YouTube, WhatsApp, Instagram, TikTok และ WeChat ดูรอฟซึ่งเกิดในรัสเซียก่อตั้ง Telegram ร่วมกับพี่ชายของเขาในปี 2013 เขาออกจากรัสเซียในปี 2014 หลังจากปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของรัฐบาลในการปิดชุมชนฝ่ายค้านบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย VKontakte ของเขาซึ่งเขาขายไป หลังจากที่รัสเซียเปิดฉากการรุกรานยูเครนในปี 2022 Telegram ก็กลายเป็นแหล่งหลักของเนื้อหาที่ไม่ได้ผ่านการกรอง – และบางครั้งมีเนื้อหาที่รุนแรงและทำให้เข้าใจผิด – จากทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับสงครามและการเมืองที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง รัสเซียเริ่มบล็อก Telegram ในปี 2018 หลังจากที่แอปปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการให้หน่วยงานความมั่นคงของรัฐเข้าถึงข้อความที่เข้ารหัสของผู้ใช้ การกระทำดังกล่าวขัดขวางบริการของบุคคลที่สามจำนวนมาก แต่มีผลเพียงเล็กน้อยต่อความพร้อมใช้งานของ Telegram ในประเทศ อย่างไรก็ตาม คำสั่งห้ามดังกล่าวได้จุดชนวนให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในมอสโกวและการวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรนอกภาครัฐ แพลตฟอร์มนี้ได้กลายเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์บางคนเรียกว่า “สนามรบเสมือนจริง” สำหรับสงคราม ซึ่งใช้โดยประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครนและเจ้าหน้าที่ของเขา รวมถึงรัฐบาลรัสเซียเป็นอย่างมาก Telegram ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้หลบเลี่ยงการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ ได้กลายเป็นสถานที่ไม่กี่แห่งที่ชาวรัสเซียสามารถเข้าถึงข่าวสารอิสระเกี่ยวกับสงครามได้ หลังจากที่เครมลินเพิ่มมาตรการควบคุมสื่ออิสระหลังจากรัสเซียรุกรานยูเครน “ผมขอเป็นอิสระดีกว่าต้องรับคำสั่งจากใครก็ตาม” ดูรอฟบอกกับทักเกอร์ คาร์ลสัน นักข่าวชาวอเมริกันในเดือนเมษายนเกี่ยวกับการออกจากรัสเซียของเขาและการค้นหาบ้านให้กับบริษัทของเขา ซึ่งรวมถึงช่วงเวลาในเบอร์ลิน ลอนดอน สิงคโปร์ และซานฟรานซิสโก พาเวล ดูรอฟ Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram เมื่อปี 2013 จัดเป็นมหาเศรษฐีที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 9 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3 แสนล้านบาท) ปัจจุบันอาศัยอยู่ในดูไบและถือสัญชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และฝรั่งเศส เขาเคยสร้างชื่อเสียงจากการก่อตั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์ VKontakte ในรัสเซียเมื่อปี 2006 ก่อนที่จะหนีออกจากประเทศและขายหุ้นทั้งหมด หลังถูกกดดันจากรัฐบาลให้ปิดกั้นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลบนแพลตฟอร์ม กรณีจับกุมดูรอฟ สถานทูตรัสเซียในฝรั่งเศสได้ดำเนินการ ‘ทันที’ เพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ แม้ว่าตัวแทนของดูรอฟจะไม่ได้ยื่นคำร้องขอความช่วยเหลือตามรายงานของสำนักข่าว TASS ของรัสเซีย ขณะที่คาดว่าดูรอฟจะถูกนำตัวขึ้นศาลในวันที่25 สิงหาคม Telegram ไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นของสื่อในทันที ขณะที่กระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศสและตำรวจไม่มีการแถลงและแสดงความคิดเห็นใดๆ เหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับวงการเทคโนโลยีและผู้ใช้งาน Telegram ทั่วโลก โดยหลายฝ่ายจับตามองว่าการจับกุมครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของแอปพลิเคชันยอดนิยมอย่างไร และจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายการกำกับดูแลเนื้อหาบนแพลตฟอร์มหรือไม่ #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1054 มุมมอง 0 รีวิว