• "จินตนาการ: ความจริงของเด็ก และบทเรียนของผู้ใหญ่"เมื่อเราย้อนคิดถึงวัยเด็ก เราทุกคนล้วนเคยใช้จินตนาการเป็นที่หลบภัยในวันที่ความจริงไม่เป็นดั่งใจ สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของเด็ก แต่ยังสะท้อนความจริงของมนุษย์ทุกช่วงวัย เมื่อเราปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้มา จินตนาการจะกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยปลอบประโลมใจ เป็นที่พักพิงชั่วคราว หรือในบางครั้งก็อาจยืดเยื้อจนกลายเป็นความจริงที่เราหลอกตัวเองว่า "เป็นไปได้"---จินตนาการในวัยเด็ก: ความรักที่ขาดหายในช่วงวัยเด็ก หากเด็กไม่ได้รับความรักหรือความสนใจเพียงพอจากพ่อแม่ พวกเขามักสร้าง "พ่อแม่ในจินตนาการ" ขึ้นมา พ่อแม่ที่ใจดี อบอุ่น รักใคร่ และพร้อมมอบทุกสิ่งให้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รักพ่อแม่ตัวจริง แต่เพราะพวกเขากำลังหาทางเติมเต็มความว่างเปล่าในใจจินตนาการเหล่านี้ช่วยเด็กจัดการกับความรู้สึกขาดหายแต่เมื่อเวลาผ่านไป จินตนาการที่ยืดเยื้ออาจทำให้พวกเขาปฏิเสธความจริง และเชื่อว่า "ไม่มีใครในโลกเข้าใจหรือรักพวกเขาจริงๆ"---จินตนาการในวัยผู้ใหญ่: ความฝันหรือการหลีกหนี?จินตนาการไม่ใช่เรื่องของเด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่เองก็ใช้มันเป็นเครื่องมือหลีกหนีความจริง เช่น การจินตนาการว่าร่ำรวย การได้ใช้ชีวิตในแบบที่ปรารถนา หรือแม้กระทั่งการคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่กว่าความจริงที่เป็นอยู่ความฝันและความหวังเป็นสิ่งดี หากใช้เพื่อสร้างแรงผลักดันแต่เมื่อจินตนาการกลายเป็น "หลุมหลบภัย" มันอาจหยุดยั้งเราไม่ให้เผชิญและแก้ไขปัญหาที่แท้จริง---บทเรียนสำหรับพ่อแม่: การสร้างจักรวาลเดียวกันกับลูกพ่อแม่ที่มัวแต่หมกมุ่นกับความต้องการของตนเอง หรืออ้างว่า "ทำเพื่ออนาคตของลูก" แต่กลับละเลยการใส่ใจในปัจจุบัน อาจกำลังสร้างกำแพงระหว่างตัวเองกับลูกการปล่อยให้ลูกต้องจมอยู่ในจินตนาการเพียงลำพัง อาจทำให้พวกเขาโตขึ้นมาโดยขาดความผูกพันกับความจริงในทางกลับกัน หากพ่อแม่สร้างจินตนาการร่วมกับลูก เช่น การอ่านนิทาน การพูดคุย และการเล่นร่วมกัน จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น---ความสำคัญของการรู้จักกันและกันการรู้จักลูกอย่างแท้จริงตั้งแต่พวกเขาเกิด คือการป้องกันปัญหาความสัมพันธ์ในอนาคตลูกที่ได้รับความสนใจและการยอมรับจากพ่อแม่จะรู้สึกว่า "พวกเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก"พ่อแม่ที่เข้าใจลูก จะมองเห็นความต้องการและปัญหาที่แท้จริงของลูก---ข้อคิดสำหรับพ่อแม่1. ใส่ใจในปัจจุบัน: อย่ามองข้ามความต้องการเล็กๆ น้อยๆ ของลูก เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน2. สร้างจินตนาการร่วมกัน: ใช้เวลาอ่านนิทานหรือพูดคุยกับลูก เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่า "พ่อแม่เข้าใจพวกเขา"3. อย่าปล่อยให้จินตนาการกลายเป็นหลุมหลบภัย: ช่วยให้ลูกเผชิญกับความจริงอย่างมั่นคง---"จินตนาการอาจเติมเต็มความว่างเปล่าในใจได้ชั่วคราว แต่ความรักและความเข้าใจจากพ่อแม่เท่านั้น ที่สามารถเติมเต็มชีวิตลูกได้อย่างแท้จริง"
    "จินตนาการ: ความจริงของเด็ก และบทเรียนของผู้ใหญ่"เมื่อเราย้อนคิดถึงวัยเด็ก เราทุกคนล้วนเคยใช้จินตนาการเป็นที่หลบภัยในวันที่ความจริงไม่เป็นดั่งใจ สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของเด็ก แต่ยังสะท้อนความจริงของมนุษย์ทุกช่วงวัย เมื่อเราปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้มา จินตนาการจะกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยปลอบประโลมใจ เป็นที่พักพิงชั่วคราว หรือในบางครั้งก็อาจยืดเยื้อจนกลายเป็นความจริงที่เราหลอกตัวเองว่า "เป็นไปได้"---จินตนาการในวัยเด็ก: ความรักที่ขาดหายในช่วงวัยเด็ก หากเด็กไม่ได้รับความรักหรือความสนใจเพียงพอจากพ่อแม่ พวกเขามักสร้าง "พ่อแม่ในจินตนาการ" ขึ้นมา พ่อแม่ที่ใจดี อบอุ่น รักใคร่ และพร้อมมอบทุกสิ่งให้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รักพ่อแม่ตัวจริง แต่เพราะพวกเขากำลังหาทางเติมเต็มความว่างเปล่าในใจจินตนาการเหล่านี้ช่วยเด็กจัดการกับความรู้สึกขาดหายแต่เมื่อเวลาผ่านไป จินตนาการที่ยืดเยื้ออาจทำให้พวกเขาปฏิเสธความจริง และเชื่อว่า "ไม่มีใครในโลกเข้าใจหรือรักพวกเขาจริงๆ"---จินตนาการในวัยผู้ใหญ่: ความฝันหรือการหลีกหนี?จินตนาการไม่ใช่เรื่องของเด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่เองก็ใช้มันเป็นเครื่องมือหลีกหนีความจริง เช่น การจินตนาการว่าร่ำรวย การได้ใช้ชีวิตในแบบที่ปรารถนา หรือแม้กระทั่งการคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่กว่าความจริงที่เป็นอยู่ความฝันและความหวังเป็นสิ่งดี หากใช้เพื่อสร้างแรงผลักดันแต่เมื่อจินตนาการกลายเป็น "หลุมหลบภัย" มันอาจหยุดยั้งเราไม่ให้เผชิญและแก้ไขปัญหาที่แท้จริง---บทเรียนสำหรับพ่อแม่: การสร้างจักรวาลเดียวกันกับลูกพ่อแม่ที่มัวแต่หมกมุ่นกับความต้องการของตนเอง หรืออ้างว่า "ทำเพื่ออนาคตของลูก" แต่กลับละเลยการใส่ใจในปัจจุบัน อาจกำลังสร้างกำแพงระหว่างตัวเองกับลูกการปล่อยให้ลูกต้องจมอยู่ในจินตนาการเพียงลำพัง อาจทำให้พวกเขาโตขึ้นมาโดยขาดความผูกพันกับความจริงในทางกลับกัน หากพ่อแม่สร้างจินตนาการร่วมกับลูก เช่น การอ่านนิทาน การพูดคุย และการเล่นร่วมกัน จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น---ความสำคัญของการรู้จักกันและกันการรู้จักลูกอย่างแท้จริงตั้งแต่พวกเขาเกิด คือการป้องกันปัญหาความสัมพันธ์ในอนาคตลูกที่ได้รับความสนใจและการยอมรับจากพ่อแม่จะรู้สึกว่า "พวกเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก"พ่อแม่ที่เข้าใจลูก จะมองเห็นความต้องการและปัญหาที่แท้จริงของลูก---ข้อคิดสำหรับพ่อแม่1. ใส่ใจในปัจจุบัน: อย่ามองข้ามความต้องการเล็กๆ น้อยๆ ของลูก เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน2. สร้างจินตนาการร่วมกัน: ใช้เวลาอ่านนิทานหรือพูดคุยกับลูก เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่า "พ่อแม่เข้าใจพวกเขา"3. อย่าปล่อยให้จินตนาการกลายเป็นหลุมหลบภัย: ช่วยให้ลูกเผชิญกับความจริงอย่างมั่นคง---"จินตนาการอาจเติมเต็มความว่างเปล่าในใจได้ชั่วคราว แต่ความรักและความเข้าใจจากพ่อแม่เท่านั้น ที่สามารถเติมเต็มชีวิตลูกได้อย่างแท้จริง"
    0 Comments 0 Shares 387 Views 0 Reviews
  • "จำธรรมะเข้าหัว" กับ "นำธรรมะเข้าจิต": ความแตกต่างที่เปลี่ยนชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยคำสอนและคำแนะนำมากมาย หลายคนอาจเคยได้ยินหรือจดจำธรรมะไว้ในใจ แต่ความเข้าใจและการนำไปใช้จริงกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางคนจดจำธรรมะได้มากมาย แต่กลับไม่ได้รู้สึกถึงความสงบสุขหรือการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เพราะเหตุใด? เรามาหาคำตอบกัน---จำธรรมะเข้าหัว: รู้เยอะแต่ไม่เปลี่ยนแปลงการ "จำธรรมะเข้าหัว" เปรียบเสมือนการเก็บข้อมูลในสมอง เป็นการสะสมคำสอน ข้อคิด เพื่อให้พูดหรืออ้างอิงได้ในสถานการณ์ต่างๆข้อดี: สามารถแบ่งปันคำสอนหรือให้คำแนะนำกับผู้อื่นได้ข้อเสีย: เป็นเพียงการรู้เท่านั้น แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจผู้ที่จำธรรมะเข้าหัวมักมีความรู้ แต่ยังขาดการนำธรรมะมาใช้แก้ปัญหาชีวิตจริง ผลที่ตามมาคือ การจมอยู่กับทุกข์เดิมๆ เพราะธรรมะที่แท้จริงยังไม่ได้ซึมซาบเข้าไปในจิตใจ---นำธรรมะเข้าจิต: ฝึกปฏิบัติ สู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงการ "นำธรรมะเข้าจิต" คือการฝึกปฏิบัติตามคำสอนอย่างจริงจัง จนเกิดความเปลี่ยนแปลงในจิตใจเริ่มต้นที่การทำ: เช่น การให้ทาน การรักษาศีลฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง: เช่น การอดทนต่ออารมณ์หรือสิ่งยั่วยุผลลัพธ์ที่ได้: ความสงบ ความสุข และความเข้าใจในธรรมชาติของทุกข์ธรรมะที่เข้าสู่จิตจริงๆ จะช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ กระจ่างขึ้น เช่น การเข้าใจความไม่เที่ยง ความทุกข์ และการไม่ยึดมั่นในตัวตน---เปรียบเทียบ "จำธรรมะเข้าหัว" กับ "นำธรรมะเข้าจิต"---ทำอย่างไรให้ธรรมะเข้าสู่จิต?1. เริ่มจากสิ่งเล็กๆ: เลือกข้อธรรมะง่ายๆ เช่น การให้ทาน หรือการมีสติ2. ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง: อย่าท้อเมื่อเจออุปสรรค จงมองว่าเป็นบททดสอบ3. ทบทวนตนเอง: ถามตัวเองว่า "วันนี้เราได้นำธรรมะมาใช้ในชีวิตหรือยัง?"---บทสรุปการจดจำธรรมะเป็นเพียงก้าวแรก แต่การนำธรรมะเข้าจิตคือหัวใจของการปฏิบัติที่แท้จริง เพราะธรรมะไม่ใช่แค่คำพูดหรือความรู้ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราก้าวข้ามทุกข์ และสร้างความสงบสุขในชีวิต"ธรรมะที่แท้ เป็นของผู้ฝึกฝน ผู้ลงมือทำ และผู้ที่พร้อมเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างแท้จริง"ดังนั้น หากอยากให้ธรรมะช่วยพาเราข้ามพ้นทุกข์ อย่าหยุดแค่การจำ แต่จงเดินหน้าฝึกปฏิบัติ แล้วคุณจะค้นพบความสงบสุขที่แท้จริงในใจ!
    "จำธรรมะเข้าหัว" กับ "นำธรรมะเข้าจิต": ความแตกต่างที่เปลี่ยนชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยคำสอนและคำแนะนำมากมาย หลายคนอาจเคยได้ยินหรือจดจำธรรมะไว้ในใจ แต่ความเข้าใจและการนำไปใช้จริงกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางคนจดจำธรรมะได้มากมาย แต่กลับไม่ได้รู้สึกถึงความสงบสุขหรือการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เพราะเหตุใด? เรามาหาคำตอบกัน---จำธรรมะเข้าหัว: รู้เยอะแต่ไม่เปลี่ยนแปลงการ "จำธรรมะเข้าหัว" เปรียบเสมือนการเก็บข้อมูลในสมอง เป็นการสะสมคำสอน ข้อคิด เพื่อให้พูดหรืออ้างอิงได้ในสถานการณ์ต่างๆข้อดี: สามารถแบ่งปันคำสอนหรือให้คำแนะนำกับผู้อื่นได้ข้อเสีย: เป็นเพียงการรู้เท่านั้น แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจผู้ที่จำธรรมะเข้าหัวมักมีความรู้ แต่ยังขาดการนำธรรมะมาใช้แก้ปัญหาชีวิตจริง ผลที่ตามมาคือ การจมอยู่กับทุกข์เดิมๆ เพราะธรรมะที่แท้จริงยังไม่ได้ซึมซาบเข้าไปในจิตใจ---นำธรรมะเข้าจิต: ฝึกปฏิบัติ สู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงการ "นำธรรมะเข้าจิต" คือการฝึกปฏิบัติตามคำสอนอย่างจริงจัง จนเกิดความเปลี่ยนแปลงในจิตใจเริ่มต้นที่การทำ: เช่น การให้ทาน การรักษาศีลฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง: เช่น การอดทนต่ออารมณ์หรือสิ่งยั่วยุผลลัพธ์ที่ได้: ความสงบ ความสุข และความเข้าใจในธรรมชาติของทุกข์ธรรมะที่เข้าสู่จิตจริงๆ จะช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ กระจ่างขึ้น เช่น การเข้าใจความไม่เที่ยง ความทุกข์ และการไม่ยึดมั่นในตัวตน---เปรียบเทียบ "จำธรรมะเข้าหัว" กับ "นำธรรมะเข้าจิต"---ทำอย่างไรให้ธรรมะเข้าสู่จิต?1. เริ่มจากสิ่งเล็กๆ: เลือกข้อธรรมะง่ายๆ เช่น การให้ทาน หรือการมีสติ2. ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง: อย่าท้อเมื่อเจออุปสรรค จงมองว่าเป็นบททดสอบ3. ทบทวนตนเอง: ถามตัวเองว่า "วันนี้เราได้นำธรรมะมาใช้ในชีวิตหรือยัง?"---บทสรุปการจดจำธรรมะเป็นเพียงก้าวแรก แต่การนำธรรมะเข้าจิตคือหัวใจของการปฏิบัติที่แท้จริง เพราะธรรมะไม่ใช่แค่คำพูดหรือความรู้ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราก้าวข้ามทุกข์ และสร้างความสงบสุขในชีวิต"ธรรมะที่แท้ เป็นของผู้ฝึกฝน ผู้ลงมือทำ และผู้ที่พร้อมเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างแท้จริง"ดังนั้น หากอยากให้ธรรมะช่วยพาเราข้ามพ้นทุกข์ อย่าหยุดแค่การจำ แต่จงเดินหน้าฝึกปฏิบัติ แล้วคุณจะค้นพบความสงบสุขที่แท้จริงในใจ!
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
  • ข้อคิดดีๆจาก หนังสือ "เทคนิคหลอกสมองให้เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่"
    #คำคม #ข้อคิดดีๆ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    ข้อคิดดีๆจาก หนังสือ "เทคนิคหลอกสมองให้เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่" #คำคม #ข้อคิดดีๆ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • วิธีจัดการกับความรู้สึกไม่อยากทำงาน โดยชี้ให้เห็นธรรมชาติของจิตที่ถูกปรุงแต่งด้วยอารมณ์ลบ เช่น ความหนักใจ ความเหนื่อยล้า และความฝืนใจ และเสนอวิธีการเปลี่ยนมุมมองและสร้างอารมณ์เชิงบวกเพื่อเอาชนะกำแพงเหล่านั้นอย่างง่ายดายหลักสำคัญ:1. เข้าใจธรรมชาติของจิต:ความรู้สึกไม่อยากทำงานเกิดจากการสะสมอารมณ์ลบระหว่างทำงาน เช่น ความเหนื่อย ความฝืน และความเครียด ซึ่งสวนทางกับธรรมชาติที่จิตใจอยากสบาย2. แก้ไขด้วยความเบาใจ:การฝืนทำงานทันทีอาจเพิ่มความอึดอัด แต่ถ้าเปลี่ยนวิธีมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเบาใจ จะช่วยลดกำแพงอารมณ์ลบลงได้การสร้างภาพจินตนาการง่ายๆ เช่น ลุกไปดื่มน้ำ แล้วกลับมาทำงานต่อ เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยลดความเครียดและกระตุ้นให้เริ่มงานได้ง่ายขึ้น3. ปรับจิตใจให้เป็นกลาง:เมื่อเริ่มทำงานด้วยอารมณ์ที่โปร่งเบา ใจจะไม่ยึดติดกับความฟุ้งซ่าน หรือความรู้สึกต่อต้านงาน4. สร้างนิสัยแห่งความสุข:ทำซ้ำกระบวนการนี้บ่อยๆ จนเกิดเป็นนิสัย ช่วยให้การเริ่มต้นทำงานเป็นสิ่งที่ง่ายและน่าพอใจเมื่อจิตใจเชื่อมโยงงานกับความรู้สึกสงบ งานจะกลายเป็นพื้นที่ฝึกสมาธิและสร้างความสุขระยะยาวข้อคิดที่สำคัญ:งานไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเครื่องมือฝึกจิตใจการเปลี่ยนอารมณ์ขณะทำงานไม่ใช่เรื่องยาก แค่เริ่มต้นด้วยสิ่งง่ายๆ และพยายามเชื่อมโยงงานกับความรู้สึกดีหากนำหลักการนี้ไปปรับใช้ จะช่วยให้เราสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและความสุขได้ในระยะยาว.
    วิธีจัดการกับความรู้สึกไม่อยากทำงาน โดยชี้ให้เห็นธรรมชาติของจิตที่ถูกปรุงแต่งด้วยอารมณ์ลบ เช่น ความหนักใจ ความเหนื่อยล้า และความฝืนใจ และเสนอวิธีการเปลี่ยนมุมมองและสร้างอารมณ์เชิงบวกเพื่อเอาชนะกำแพงเหล่านั้นอย่างง่ายดายหลักสำคัญ:1. เข้าใจธรรมชาติของจิต:ความรู้สึกไม่อยากทำงานเกิดจากการสะสมอารมณ์ลบระหว่างทำงาน เช่น ความเหนื่อย ความฝืน และความเครียด ซึ่งสวนทางกับธรรมชาติที่จิตใจอยากสบาย2. แก้ไขด้วยความเบาใจ:การฝืนทำงานทันทีอาจเพิ่มความอึดอัด แต่ถ้าเปลี่ยนวิธีมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเบาใจ จะช่วยลดกำแพงอารมณ์ลบลงได้การสร้างภาพจินตนาการง่ายๆ เช่น ลุกไปดื่มน้ำ แล้วกลับมาทำงานต่อ เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยลดความเครียดและกระตุ้นให้เริ่มงานได้ง่ายขึ้น3. ปรับจิตใจให้เป็นกลาง:เมื่อเริ่มทำงานด้วยอารมณ์ที่โปร่งเบา ใจจะไม่ยึดติดกับความฟุ้งซ่าน หรือความรู้สึกต่อต้านงาน4. สร้างนิสัยแห่งความสุข:ทำซ้ำกระบวนการนี้บ่อยๆ จนเกิดเป็นนิสัย ช่วยให้การเริ่มต้นทำงานเป็นสิ่งที่ง่ายและน่าพอใจเมื่อจิตใจเชื่อมโยงงานกับความรู้สึกสงบ งานจะกลายเป็นพื้นที่ฝึกสมาธิและสร้างความสุขระยะยาวข้อคิดที่สำคัญ:งานไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเครื่องมือฝึกจิตใจการเปลี่ยนอารมณ์ขณะทำงานไม่ใช่เรื่องยาก แค่เริ่มต้นด้วยสิ่งง่ายๆ และพยายามเชื่อมโยงงานกับความรู้สึกดีหากนำหลักการนี้ไปปรับใช้ จะช่วยให้เราสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและความสุขได้ในระยะยาว.
    0 Comments 0 Shares 186 Views 0 Reviews
  • เรื่องราวนี้สะท้อนถึง ความแตกต่างในทัศนคติทางสังคมและการรับรู้ค่าของเงิน ที่เกิดขึ้นระหว่างคนที่มีฐานะกับคนที่มีความลำบากทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องการซื้อขายและการต่อรองราคา ที่ผู้คนมักจะรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ต่อรองราคาจากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของในราคาต่ำ แต่กลับไม่รู้สึกต้องการทำเช่นเดียวกันเมื่อซื้อสินค้าที่มีราคาสูงจากร้านค้าหรือร้านอาหารใหญ่ๆ ที่กำหนดราคามาแล้วสิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ: 1. การต่อรองราคากับคนจน: พฤติกรรมที่มักจะเกิดขึ้นคือการที่ผู้ซื้อรู้สึกว่าได้ “ชัยชนะ” เมื่อสามารถต่อรองราคาของสินค้าจากผู้ที่มีรายได้น้อยลงไปได้ แม้ว่าราคาที่ตนจ่ายนั้นอาจจะไม่ได้ทำให้ผู้ขายได้กำไรจริงๆ หรือไม่ได้ทำให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นก็ตาม 2. การไม่ต่อรองในร้านค้าราคาแพง: ในทางกลับกัน ผู้คนมักจะยอมจ่ายราคาที่ตั้งไว้โดยร้านค้าหรือภัตตาคารใหญ่ โดยไม่ต่อรองหรือถามหาความเป็นไปได้ในการลดราคา ทั้งที่บางครั้งการ “ทิ้งทอน” หรือการไม่ขอส่วนลดที่ถูกต้องอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป 3. การให้ราคาสูงกว่าเพื่อช่วยเหลือ: การที่ผู้เขียนเลือกที่จะให้ราคาสูงกว่าที่ต้องการเพื่อช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าที่มีความยากจน ถือเป็นการทำบุญที่มีความหมาย ทั้งในแง่ของการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และการให้เกียรติในความพยายามของคนที่ทำงานหนักในแต่ละวันข้อคิดสิ่งที่เรื่องนี้ต้องการสะท้อนคือการใช้ “ความเมตตา” และ “การช่วยเหลือ” ในการให้เงินหรือให้สิ่งต่างๆ แก่คนที่มีฐานะยากจน หรือผู้ที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพ การไม่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกเอาเปรียบ และการพยายามทำให้พวกเขามีศักดิ์ศรีมากขึ้นผ่านการให้ความเคารพในราคาและการซื้อขาย.
    เรื่องราวนี้สะท้อนถึง ความแตกต่างในทัศนคติทางสังคมและการรับรู้ค่าของเงิน ที่เกิดขึ้นระหว่างคนที่มีฐานะกับคนที่มีความลำบากทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องการซื้อขายและการต่อรองราคา ที่ผู้คนมักจะรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ต่อรองราคาจากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของในราคาต่ำ แต่กลับไม่รู้สึกต้องการทำเช่นเดียวกันเมื่อซื้อสินค้าที่มีราคาสูงจากร้านค้าหรือร้านอาหารใหญ่ๆ ที่กำหนดราคามาแล้วสิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ: 1. การต่อรองราคากับคนจน: พฤติกรรมที่มักจะเกิดขึ้นคือการที่ผู้ซื้อรู้สึกว่าได้ “ชัยชนะ” เมื่อสามารถต่อรองราคาของสินค้าจากผู้ที่มีรายได้น้อยลงไปได้ แม้ว่าราคาที่ตนจ่ายนั้นอาจจะไม่ได้ทำให้ผู้ขายได้กำไรจริงๆ หรือไม่ได้ทำให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นก็ตาม 2. การไม่ต่อรองในร้านค้าราคาแพง: ในทางกลับกัน ผู้คนมักจะยอมจ่ายราคาที่ตั้งไว้โดยร้านค้าหรือภัตตาคารใหญ่ โดยไม่ต่อรองหรือถามหาความเป็นไปได้ในการลดราคา ทั้งที่บางครั้งการ “ทิ้งทอน” หรือการไม่ขอส่วนลดที่ถูกต้องอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป 3. การให้ราคาสูงกว่าเพื่อช่วยเหลือ: การที่ผู้เขียนเลือกที่จะให้ราคาสูงกว่าที่ต้องการเพื่อช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าที่มีความยากจน ถือเป็นการทำบุญที่มีความหมาย ทั้งในแง่ของการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และการให้เกียรติในความพยายามของคนที่ทำงานหนักในแต่ละวันข้อคิดสิ่งที่เรื่องนี้ต้องการสะท้อนคือการใช้ “ความเมตตา” และ “การช่วยเหลือ” ในการให้เงินหรือให้สิ่งต่างๆ แก่คนที่มีฐานะยากจน หรือผู้ที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพ การไม่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกเอาเปรียบ และการพยายามทำให้พวกเขามีศักดิ์ศรีมากขึ้นผ่านการให้ความเคารพในราคาและการซื้อขาย.
    0 Comments 0 Shares 347 Views 0 Reviews
  • #วันลอยกระทง #thaitimes #บทความ #ข้อคิด เนื่องในโอกาสพรุ่งนี้จะเป็นวันทิ้งขยะลงน้ำแห่งชาติ.......ตั้งจิตตั้งใจให้แน่วแน่เถิดครับ ว่าจะไม่เห็นแก่ตัวมักง่ายโยนขยะในมือลงตามลำน้ำสาธารณะ ถ้าอยากทิ้งให้เก็บกลับไปทิ้งที่บ้านตัวเอง ถือเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงความสำนึกรู้คุณที่ทำได้ทุกวัน ไม่จำเป็นต้องไปลอยกระทงให้รกลำน้ำ เป็นภาระแก่พนักงาน ที่ต้องมาตามเก็บให้เราในภายหลัง รวมถึงสร้างมลพิษต่อธรรมชาติ ต้องมาย่อยสลายสิ่งที่พวกเราก่อไว้ แม้จะขนมปังแต่เมื่อมีจำนวนมหาศาล ปลาก็กินไม่ทัน สุดท้ายจมน้ำไปก็เน่าเสียเกิดเป็นก๊าซพิษใต้น้ำ ทำให้ออกซิเจนลดต่ำ สัตว์น้ำจำนวนมากตกตายอีกกลายเป็นการซ้ำเติมต่อแม่คงคาไม่ใช่ขอขมา ถ้าอดไม่ได้อยากลอยมากจริงๆ ขอแนะนำว่าให้รับผิดชอบสิ่งที่ตนได้ลอยไปด้วยการตามเก็บกลับมาทิ้งในที่อันควรให้เรียบร้อยด้วย แล้ววิธีนี้จะมีสักกี่คนกันที่มีความใส่ใจเช่นนั้น แทบทุกคนพอลอยเสร็จ ก็สะบัดก้นหันไปทำกิจกรรมอื่นกันต่อวันพระทั้งที ควรเป็นวันที่ได้ปล่อยความไม่ดีในตนให้ลอยหายไป ไม่หวงแหนหน่วงเหนี่ยวเกี่ยวพันไว้อีก ลอยอย่างนี้น่าจะดีกว่า ทั้งดีต่อตน ดีต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ดีต่อใจ ดีต่อโลก เพราะเราจะกลายเป็นผู้ที่เบียดเบียนชีวิตน้อยลง แต่ถ้าอดไม่ไหวจริงๆ หากไม่ได้ลอยกระทงแล้วอาจจะลงแดงตาย งั้นขอเสนอความเห็นเผื่อไว้ให้ลองพิจารณาดังนี้ถ้าเทศกาลลอยกระทงสำหรับคุณคือ1. เพื่อได้ขอขมาต่อแม่คงคาปีละครั้งลองไม่ต้องลอย แต่ทุกครั้งที่ใช้น้ำ ขอให้ใช้อย่างมีสติ คุ้มค่าที่สุด และไม่ทิ้งอะไรลงน้ำในทุกๆวัน ถือเป็นการกตัญญูรู้คุณ น่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่าไหม2. การได้สนุกสนานเฮฮา ชมบรรยากาศกับเพื่อน คนรัก หรือครอบครัวปีละครั้งลองเปลี่ยนจากชวนกันไปเที่ยวชมบรรยากาศ แสง สี เสียง ลอยกระทง จุดพลุ ฯลฯ มาเป็นชวนกันไปช่วยช้อนกระทงที่ลอยมาติดตามขอบริมตลิ่งขึ้นจากลำน้ำ จะได้ประโยชน์ 2 ต่อ คือได้บรรยากาศตามที่หวัง และได้เก็บขยะขึ้นจากน้ำด้วยน่าสนกว่าไหม3. การได้ขายกระทง ขายของกิน ของเล่น พลุประทัด และอื่นๆที่เกี่ยวข้องให้คนที่มาเที่ยว เพื่อหารายได้ให้ตัวเองลองเปลี่ยนมาเป็นขายสวิงให้คนที่เขาอยากช่วยตักขยะขึ้นจากน้ำแต่ไม่มีอุปกรณ์สิ แล้วก็เขียนป้ายตัวโตๆหน่อย เช่น "สวิงกู้โลก" อุปกรณ์สำหรับยอดมนุษย์ ผู้ที่มีความปรารถนาเสียสละตน เพื่อความสุขมวลรวมประชาชาติ ออกแบบให้แจ๋วไปเลย ราคาไม่แพง แต่ใช้งานง่าย สะดวก เบามือ และแข็งแรง เทรนด์ใหม่ที่มุมมองพลิกด้าน คนอื่นเขาขายสวิงเป็นเครื่องมือทำบาป เราเปลี่ยนให้มาเป็นเครื่องมือในการทำกุศลแทน น่าสนใจกว่าไหม4. เพื่อหวังรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าสู่ชุมชน ทำผลงานเชิดหน้าชูตาอวดนาย หรือชนชั้นผู้มีอำนาจลองเปลี่ยนใหม่นิดเดียว แทนที่จะรณรงค์ประชาสัมพันธ์คนมาเที่ยวงานลอยกระทง ประกวดนางนพมาศ ก็ให้เป็นเที่ยวงานอนุรักษ์น่านน้ำ คืนความงดงามสู่ธรรมชาติ ประกวดความคิดในการประดิษฐ์เครื่องมือ อุปกรณ์ในการเก็บขยะตามแหล่งน้ำ ประกวดออกแบบผลิตภัณฑ์ ให้รางวัลเชิดชูพนักงานทำความสะอาดที่เขาต้องเหนื่อยหนัก ล่องเรือไปตามเก็บกวาดขยะในน้ำที่คุณๆสร้างไว้จะดีกว่าไหมแค่ช่วยคิดให้ ถ้าไม่สนใจ ไม่เห็นด้วย และไม่อยากทำก็ไม่ว่ากัน
    #วันลอยกระทง #thaitimes #บทความ #ข้อคิด เนื่องในโอกาสพรุ่งนี้จะเป็นวันทิ้งขยะลงน้ำแห่งชาติ.......ตั้งจิตตั้งใจให้แน่วแน่เถิดครับ ว่าจะไม่เห็นแก่ตัวมักง่ายโยนขยะในมือลงตามลำน้ำสาธารณะ ถ้าอยากทิ้งให้เก็บกลับไปทิ้งที่บ้านตัวเอง ถือเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงความสำนึกรู้คุณที่ทำได้ทุกวัน ไม่จำเป็นต้องไปลอยกระทงให้รกลำน้ำ เป็นภาระแก่พนักงาน ที่ต้องมาตามเก็บให้เราในภายหลัง รวมถึงสร้างมลพิษต่อธรรมชาติ ต้องมาย่อยสลายสิ่งที่พวกเราก่อไว้ แม้จะขนมปังแต่เมื่อมีจำนวนมหาศาล ปลาก็กินไม่ทัน สุดท้ายจมน้ำไปก็เน่าเสียเกิดเป็นก๊าซพิษใต้น้ำ ทำให้ออกซิเจนลดต่ำ สัตว์น้ำจำนวนมากตกตายอีกกลายเป็นการซ้ำเติมต่อแม่คงคาไม่ใช่ขอขมา ถ้าอดไม่ได้อยากลอยมากจริงๆ ขอแนะนำว่าให้รับผิดชอบสิ่งที่ตนได้ลอยไปด้วยการตามเก็บกลับมาทิ้งในที่อันควรให้เรียบร้อยด้วย แล้ววิธีนี้จะมีสักกี่คนกันที่มีความใส่ใจเช่นนั้น แทบทุกคนพอลอยเสร็จ ก็สะบัดก้นหันไปทำกิจกรรมอื่นกันต่อวันพระทั้งที ควรเป็นวันที่ได้ปล่อยความไม่ดีในตนให้ลอยหายไป ไม่หวงแหนหน่วงเหนี่ยวเกี่ยวพันไว้อีก ลอยอย่างนี้น่าจะดีกว่า ทั้งดีต่อตน ดีต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ดีต่อใจ ดีต่อโลก เพราะเราจะกลายเป็นผู้ที่เบียดเบียนชีวิตน้อยลง แต่ถ้าอดไม่ไหวจริงๆ หากไม่ได้ลอยกระทงแล้วอาจจะลงแดงตาย งั้นขอเสนอความเห็นเผื่อไว้ให้ลองพิจารณาดังนี้ถ้าเทศกาลลอยกระทงสำหรับคุณคือ1. เพื่อได้ขอขมาต่อแม่คงคาปีละครั้งลองไม่ต้องลอย แต่ทุกครั้งที่ใช้น้ำ ขอให้ใช้อย่างมีสติ คุ้มค่าที่สุด และไม่ทิ้งอะไรลงน้ำในทุกๆวัน ถือเป็นการกตัญญูรู้คุณ น่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่าไหม2. การได้สนุกสนานเฮฮา ชมบรรยากาศกับเพื่อน คนรัก หรือครอบครัวปีละครั้งลองเปลี่ยนจากชวนกันไปเที่ยวชมบรรยากาศ แสง สี เสียง ลอยกระทง จุดพลุ ฯลฯ มาเป็นชวนกันไปช่วยช้อนกระทงที่ลอยมาติดตามขอบริมตลิ่งขึ้นจากลำน้ำ จะได้ประโยชน์ 2 ต่อ คือได้บรรยากาศตามที่หวัง และได้เก็บขยะขึ้นจากน้ำด้วยน่าสนกว่าไหม3. การได้ขายกระทง ขายของกิน ของเล่น พลุประทัด และอื่นๆที่เกี่ยวข้องให้คนที่มาเที่ยว เพื่อหารายได้ให้ตัวเองลองเปลี่ยนมาเป็นขายสวิงให้คนที่เขาอยากช่วยตักขยะขึ้นจากน้ำแต่ไม่มีอุปกรณ์สิ แล้วก็เขียนป้ายตัวโตๆหน่อย เช่น "สวิงกู้โลก" อุปกรณ์สำหรับยอดมนุษย์ ผู้ที่มีความปรารถนาเสียสละตน เพื่อความสุขมวลรวมประชาชาติ ออกแบบให้แจ๋วไปเลย ราคาไม่แพง แต่ใช้งานง่าย สะดวก เบามือ และแข็งแรง เทรนด์ใหม่ที่มุมมองพลิกด้าน คนอื่นเขาขายสวิงเป็นเครื่องมือทำบาป เราเปลี่ยนให้มาเป็นเครื่องมือในการทำกุศลแทน น่าสนใจกว่าไหม4. เพื่อหวังรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าสู่ชุมชน ทำผลงานเชิดหน้าชูตาอวดนาย หรือชนชั้นผู้มีอำนาจลองเปลี่ยนใหม่นิดเดียว แทนที่จะรณรงค์ประชาสัมพันธ์คนมาเที่ยวงานลอยกระทง ประกวดนางนพมาศ ก็ให้เป็นเที่ยวงานอนุรักษ์น่านน้ำ คืนความงดงามสู่ธรรมชาติ ประกวดความคิดในการประดิษฐ์เครื่องมือ อุปกรณ์ในการเก็บขยะตามแหล่งน้ำ ประกวดออกแบบผลิตภัณฑ์ ให้รางวัลเชิดชูพนักงานทำความสะอาดที่เขาต้องเหนื่อยหนัก ล่องเรือไปตามเก็บกวาดขยะในน้ำที่คุณๆสร้างไว้จะดีกว่าไหมแค่ช่วยคิดให้ ถ้าไม่สนใจ ไม่เห็นด้วย และไม่อยากทำก็ไม่ว่ากัน
    0 Comments 0 Shares 580 Views 0 Reviews
  • ในขณะที่ละครระยะหลังของช่องหนึ่งกำลังมาแรง ทำท่าจะแซงโค้งช่องยักษ์ใหญ่ในอดีตทั้งหลาย ทว่าในความรู้สึกส่วนลึกของข้าพเจ้าเห็นว่า ไม่ใช่แซงแล้วขึ้นหน้า แต่น่าจะแซงและแหกโค้งหลุดไปนอกวิถี ที่แท้แล้วไม่ใช่พัฒนาขึ้นไปจากละครช่องอื่น แต่คือคลื่นลูกหลังที่เปรียบดังทายาทอสูร รับช่วงต่อขยะปฏิกูลที่มีมานานนม และใส่สีตีไข่ผสมให้ถูกใจคนชม มอมเมาให้หลงติดหนักมากขึ้นไปอีก

    กระแสแรงนั้นน่ากลัว เพราะคนมัวแต่บ้าตามกันไป ไหลไปไหนก็ยังไม่รู้ ที่แน่ ๆ ไปสู่ความเสื่อม ความทราม และห่างไกลความเจริญงอกงามทางจิตใจ

    #ข้อคิด
    #เตือนสติ
    #ละคร
    #thaitimes
    ในขณะที่ละครระยะหลังของช่องหนึ่งกำลังมาแรง ทำท่าจะแซงโค้งช่องยักษ์ใหญ่ในอดีตทั้งหลาย ทว่าในความรู้สึกส่วนลึกของข้าพเจ้าเห็นว่า ไม่ใช่แซงแล้วขึ้นหน้า แต่น่าจะแซงและแหกโค้งหลุดไปนอกวิถี ที่แท้แล้วไม่ใช่พัฒนาขึ้นไปจากละครช่องอื่น แต่คือคลื่นลูกหลังที่เปรียบดังทายาทอสูร รับช่วงต่อขยะปฏิกูลที่มีมานานนม และใส่สีตีไข่ผสมให้ถูกใจคนชม มอมเมาให้หลงติดหนักมากขึ้นไปอีก กระแสแรงนั้นน่ากลัว เพราะคนมัวแต่บ้าตามกันไป ไหลไปไหนก็ยังไม่รู้ ที่แน่ ๆ ไปสู่ความเสื่อม ความทราม และห่างไกลความเจริญงอกงามทางจิตใจ #ข้อคิด #เตือนสติ #ละคร #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 425 Views 0 Reviews
  • ในตัวของเราแต่ละคน มีฆาตกรร้ายแอบซ่อนอยู่ในซอกหลืบ ลึกและมิดชิด มันจะโผล่หน้าออกมาก็เฉพาะยามเมื่อความยับยั้งชั่งใจในตัวเองลดน้อยลงไป จงดูแลคนข้างในให้ดี อย่าปล่อยให้ออกมาอาละวาดภายนอกได้

    #thaitimes
    #ข้อคิด
    #เตือนใจ
    ในตัวของเราแต่ละคน มีฆาตกรร้ายแอบซ่อนอยู่ในซอกหลืบ ลึกและมิดชิด มันจะโผล่หน้าออกมาก็เฉพาะยามเมื่อความยับยั้งชั่งใจในตัวเองลดน้อยลงไป จงดูแลคนข้างในให้ดี อย่าปล่อยให้ออกมาอาละวาดภายนอกได้ #thaitimes #ข้อคิด #เตือนใจ
    0 Comments 0 Shares 399 Views 0 Reviews
  • 7/11/67

    “ปริศนาจากพระพุทธรูป"

    คงไม่มีใครไม่เคยเห็นพระพุทธรูป แต่คงจะมีน้อยคนที่รู้ว่า ลักษณะของพระพุทธรูปที่เราเห็นกันอยู่บ่อยครั้งนั้น แฝงข้อคิดอันประเสริฐสุดในชีวิตเอาไว้ ถึง 5 ประการ
    คือ

    1. พระเศียรแหลม

    มีคำถามว่า ทำไมพระพุทธรูปจึงมีพระเศียรแหลมในเมื่อพระพุทธเจ้าของเราก็เป็นมนุษย์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คิดเป็นปริศนาธรรม

    พระเศียรแหลมนั้นหมายถึง สติปัญญาที่เฉียบแหลมในการดำเนินชีวิต สอนให้เราใช้ชีวิตและรู้จักแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยสติปัญญาไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์

    ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แล้วความผิดพลาดจะเกิดขึ้นน้อย หรือแม้มันเกิดขึ้น เราก็จะเรียนรู้จากมันได้อย่างรวดเร็ว

    ปัญญาคือ ที่สุดแห่งธรรม หากมีปัญญา ชีวิตจะไม่มีปัญหา เพราะทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาจะกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้พัฒนาจิตใจได้เสมอ

    2. พระกรรณยาน

    หูยานเป็นปริศนาธรรมให้ชาวพุทธเป็นคนหูหนัก คือ มีความหนักแน่นมั่นคง ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่หมั่นคิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาอันแยบคาย แล้วจึงเชื่อในหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่ตัวเองได้นำไปทดสอบแล้ว

    เราต้องเชื่อมั่นในหลักเหตุและผล (Cause & Effect) เชื่อว่าบุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น เชื่อว่าสุดท้าย คน ๆเดียวที่จะสามารถทำให้เราสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลวได้คือ ตัวเราเอง และ ชีวิตเราจะเสื่อมทรามหรือเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอกหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ขึ้นอยู่กับความคิด คำพูด และการกระทำของเราเองฉะนั้น ในการใช้ชีวิต ให้มีความสุขุมเยือกเย็น มีสติ และ มีเหตุผลเข้าไว้ อย่าปล่อยใจไปยึดตามสิ่งที่ได้ยิน เชื่อตามคนอื่น หรือตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นจนเกินไป ลองพิสูจน์สิ่งต่าง ๆด้วยตัวเองเสียก่อนจะเชื่อ ตามหลัก “กาลามสูตร” เพื่อฝึกฝนการเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ดั่งองค์พระพุทธฯ

    3. พระเนตรมองต่ำ

    พระพุทธรูปที่สร้างโดยทั่วไปจะมีพระเนตรมองลงที่พระวรกายของพระองค์ ไม่ได้มองดูหน้าต่าง หรือมองดูประตูพระอุโบสถว่าจะมีใครเข้ามาไหว้บ้าง นี่เป็นปริศนาธรรม

    สอนให้มองตนเองและพิจารณาตนเองเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อนจะไปคอยจับผิดผู้อื่น ตามปกติคนเรามักจะมองเห็นแต่ความผิดพลาดของบุคคลอื่น โดยลืมมองข้อบกพร่องของตนเอง มัวแต่เอาเวลาไปนินทาว่าร้ายและจ้องแต่จะคอยวิจารณ์หรือเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างอย่างเดียว ทำให้สูญเสียโอกาสในการปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ตรัสให้เตือนตนเองว่า

    “อตฺตนา โจทยตฺตาน”

    ซึ่งแปลเป็นกลอนได้ว่า...

    “จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด
    ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
    ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน
    ตนแชเชือนรีบเตือนตนให้พ้นภัย”

    นอกจากนั้น พระเนตรที่มองต่ำคือ การสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อมองฟ้าจนฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือ มัวหลงล่องลอยอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมา ตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด... กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก... เพราะนั่นคือ ดินแดนแห่งสวรรค์ที่แท้จริง”

    4. พระพักตร์อันสงบนิ่ง

    ไม่ว่าใครจะด่าว่าพระพุทธรูปอย่างไร ท่านก็ยังสงบนิ่ง ไม่ว่าน้ำจะท่วม แผ่นดินจะไหว หรือใครจะเตะ ต่อย นินทา หรือทำร้ายพระพุทธรูปมากแค่ไหน ท่านก็นิ่งสงบรับแรงกระทบต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างมั่นคง เบิกบาน และไม่หวั่นไหวไปกับปัญหาทั้งเล็กและใหญ่

    ให้ความรู้สึกเย็นสบายต่อผู้พบเห็นอยู่เสมอ ในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะต้องยอมคนอยู่เสมอ แต่ถ้าเราสามารถฝึกรับแรงกระแทกทุกรูปแบบด้วยความนิ่งสงบได้ เราก็จะสามารถตอบโต้อย่างสร้างสรรค์และทรงพลังยิ่งกว่าเดิม เพราะคนบ้าจะโต้ตอบแบบหน้ามืด และคนโง่จะตอบโต้ตอนที่ตัวเองกำลังโกรธ ส่งผลให้ตัวเองและคนอื่นตกตายไปตามกัน

    หากเรารู้จักนิ่งสงบรับแรงกระแทกต่าง ๆ ในชีวิตได้เหมือนพระพุทธรูป ขั้นตอนต่อไปของการตอบโต้จะเกิดจากสติ เกิดจากปัญญา และเกิดจากพลังอันยิ่งใหญ่ที่มาจากใจที่สงบนิ่ง ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สร้างบาดแผลให้กับคนอื่นหรือตัวเอง

    5. รอยยิ้มของผู้ที่เข้าใจโลก

    สุดท้าย คือปริศนาจากพระโอษฐ์ที่แย้มยิ้มอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่รักสรรพสิ่ง รักโลก และเข้าใจความจริงของโลก...

    ความจริงที่ว่า... ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดาความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรแน่นอน
    ความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรคงทนถาวรความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง

    ความสุขและความทุกข์ เป็นของคู่กันเสมอ ฉะนั้น

    “ผู้ที่เข้าใจความจริง” จะสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่วิ่งตามกระแสโลกจนเหนื่อยเกินไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ เพราะมีสัจธรรมเป็นที่พักพิง

    นอกจากนั้นรอยยิ้มของพระพุทธรูป คือ รอยยิ้มของผู้ที่ถ่อมตัว แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจความยิ่งใหญ่และคุณค่าของความเป็นมนุษย์ รู้ว่าแม้ตัวเองจะเป็นเพียงเศษผงธุลีหนึ่งในจักรวาล แต่ก็เป็นเศษผงธุลีที่สามารถเข้าใจความจริงของจักรวาลได้ จึงทั้งเป็นสิ่งที่พิเศษและไม่พิเศษ ในเวลาเดียวกัน...

    อย่าลืมนะ ว่า ในจิตใจของพวกเราทุกคน มีความเป็นพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ซ่อนอยู่ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะหลายคนอาจไม่ทราบว่า แท้จริงคำว่า “พระพุทธเจ้า” (ผู้ตื่นรู้) ไม่ใช่ “ชื่อ” แต่เป็น “คำนำหน้าชื่อ”

    และในอดีตก็เคยมีพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ โดยองค์ปัจจุบันที่เรารู้จักกันดีมีพระนามว่า

    “โคตมะ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ขับไล่ความมืด (อวิชชา) ด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา”

    ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า
    ไม่ว่าใครก็สามารถไปถึงจุดของความเป็น “พุทธะ” ได้ทั้งนั้น หากคนคนนั้นหมั่นใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีปัญญาอยู่เสมอ

    # ฉะนั้น เมื่อใดที่เราก้มลงกราบพระพุทธรูป นอกจากจะระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็อย่าลืมระลึกถึงปรัชญาที่แฝงไว้ด้วย
    7/11/67 “ปริศนาจากพระพุทธรูป" คงไม่มีใครไม่เคยเห็นพระพุทธรูป แต่คงจะมีน้อยคนที่รู้ว่า ลักษณะของพระพุทธรูปที่เราเห็นกันอยู่บ่อยครั้งนั้น แฝงข้อคิดอันประเสริฐสุดในชีวิตเอาไว้ ถึง 5 ประการ คือ 1. พระเศียรแหลม มีคำถามว่า ทำไมพระพุทธรูปจึงมีพระเศียรแหลมในเมื่อพระพุทธเจ้าของเราก็เป็นมนุษย์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คิดเป็นปริศนาธรรม พระเศียรแหลมนั้นหมายถึง สติปัญญาที่เฉียบแหลมในการดำเนินชีวิต สอนให้เราใช้ชีวิตและรู้จักแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยสติปัญญาไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์ ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แล้วความผิดพลาดจะเกิดขึ้นน้อย หรือแม้มันเกิดขึ้น เราก็จะเรียนรู้จากมันได้อย่างรวดเร็ว ปัญญาคือ ที่สุดแห่งธรรม หากมีปัญญา ชีวิตจะไม่มีปัญหา เพราะทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาจะกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้พัฒนาจิตใจได้เสมอ 2. พระกรรณยาน หูยานเป็นปริศนาธรรมให้ชาวพุทธเป็นคนหูหนัก คือ มีความหนักแน่นมั่นคง ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่หมั่นคิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาอันแยบคาย แล้วจึงเชื่อในหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่ตัวเองได้นำไปทดสอบแล้ว เราต้องเชื่อมั่นในหลักเหตุและผล (Cause & Effect) เชื่อว่าบุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น เชื่อว่าสุดท้าย คน ๆเดียวที่จะสามารถทำให้เราสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลวได้คือ ตัวเราเอง และ ชีวิตเราจะเสื่อมทรามหรือเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอกหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ขึ้นอยู่กับความคิด คำพูด และการกระทำของเราเองฉะนั้น ในการใช้ชีวิต ให้มีความสุขุมเยือกเย็น มีสติ และ มีเหตุผลเข้าไว้ อย่าปล่อยใจไปยึดตามสิ่งที่ได้ยิน เชื่อตามคนอื่น หรือตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นจนเกินไป ลองพิสูจน์สิ่งต่าง ๆด้วยตัวเองเสียก่อนจะเชื่อ ตามหลัก “กาลามสูตร” เพื่อฝึกฝนการเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ดั่งองค์พระพุทธฯ 3. พระเนตรมองต่ำ พระพุทธรูปที่สร้างโดยทั่วไปจะมีพระเนตรมองลงที่พระวรกายของพระองค์ ไม่ได้มองดูหน้าต่าง หรือมองดูประตูพระอุโบสถว่าจะมีใครเข้ามาไหว้บ้าง นี่เป็นปริศนาธรรม สอนให้มองตนเองและพิจารณาตนเองเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อนจะไปคอยจับผิดผู้อื่น ตามปกติคนเรามักจะมองเห็นแต่ความผิดพลาดของบุคคลอื่น โดยลืมมองข้อบกพร่องของตนเอง มัวแต่เอาเวลาไปนินทาว่าร้ายและจ้องแต่จะคอยวิจารณ์หรือเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างอย่างเดียว ทำให้สูญเสียโอกาสในการปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ตรัสให้เตือนตนเองว่า “อตฺตนา โจทยตฺตาน” ซึ่งแปลเป็นกลอนได้ว่า... “จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน ตนแชเชือนรีบเตือนตนให้พ้นภัย” นอกจากนั้น พระเนตรที่มองต่ำคือ การสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อมองฟ้าจนฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือ มัวหลงล่องลอยอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมา ตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด... กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก... เพราะนั่นคือ ดินแดนแห่งสวรรค์ที่แท้จริง” 4. พระพักตร์อันสงบนิ่ง ไม่ว่าใครจะด่าว่าพระพุทธรูปอย่างไร ท่านก็ยังสงบนิ่ง ไม่ว่าน้ำจะท่วม แผ่นดินจะไหว หรือใครจะเตะ ต่อย นินทา หรือทำร้ายพระพุทธรูปมากแค่ไหน ท่านก็นิ่งสงบรับแรงกระทบต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างมั่นคง เบิกบาน และไม่หวั่นไหวไปกับปัญหาทั้งเล็กและใหญ่ ให้ความรู้สึกเย็นสบายต่อผู้พบเห็นอยู่เสมอ ในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะต้องยอมคนอยู่เสมอ แต่ถ้าเราสามารถฝึกรับแรงกระแทกทุกรูปแบบด้วยความนิ่งสงบได้ เราก็จะสามารถตอบโต้อย่างสร้างสรรค์และทรงพลังยิ่งกว่าเดิม เพราะคนบ้าจะโต้ตอบแบบหน้ามืด และคนโง่จะตอบโต้ตอนที่ตัวเองกำลังโกรธ ส่งผลให้ตัวเองและคนอื่นตกตายไปตามกัน หากเรารู้จักนิ่งสงบรับแรงกระแทกต่าง ๆ ในชีวิตได้เหมือนพระพุทธรูป ขั้นตอนต่อไปของการตอบโต้จะเกิดจากสติ เกิดจากปัญญา และเกิดจากพลังอันยิ่งใหญ่ที่มาจากใจที่สงบนิ่ง ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สร้างบาดแผลให้กับคนอื่นหรือตัวเอง 5. รอยยิ้มของผู้ที่เข้าใจโลก สุดท้าย คือปริศนาจากพระโอษฐ์ที่แย้มยิ้มอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่รักสรรพสิ่ง รักโลก และเข้าใจความจริงของโลก... ความจริงที่ว่า... ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดาความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรแน่นอน ความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรคงทนถาวรความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง ความสุขและความทุกข์ เป็นของคู่กันเสมอ ฉะนั้น “ผู้ที่เข้าใจความจริง” จะสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่วิ่งตามกระแสโลกจนเหนื่อยเกินไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ เพราะมีสัจธรรมเป็นที่พักพิง นอกจากนั้นรอยยิ้มของพระพุทธรูป คือ รอยยิ้มของผู้ที่ถ่อมตัว แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจความยิ่งใหญ่และคุณค่าของความเป็นมนุษย์ รู้ว่าแม้ตัวเองจะเป็นเพียงเศษผงธุลีหนึ่งในจักรวาล แต่ก็เป็นเศษผงธุลีที่สามารถเข้าใจความจริงของจักรวาลได้ จึงทั้งเป็นสิ่งที่พิเศษและไม่พิเศษ ในเวลาเดียวกัน... อย่าลืมนะ ว่า ในจิตใจของพวกเราทุกคน มีความเป็นพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ซ่อนอยู่ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะหลายคนอาจไม่ทราบว่า แท้จริงคำว่า “พระพุทธเจ้า” (ผู้ตื่นรู้) ไม่ใช่ “ชื่อ” แต่เป็น “คำนำหน้าชื่อ” และในอดีตก็เคยมีพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ โดยองค์ปัจจุบันที่เรารู้จักกันดีมีพระนามว่า “โคตมะ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ขับไล่ความมืด (อวิชชา) ด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา” ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าใครก็สามารถไปถึงจุดของความเป็น “พุทธะ” ได้ทั้งนั้น หากคนคนนั้นหมั่นใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีปัญญาอยู่เสมอ # ฉะนั้น เมื่อใดที่เราก้มลงกราบพระพุทธรูป นอกจากจะระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็อย่าลืมระลึกถึงปรัชญาที่แฝงไว้ด้วย
    0 Comments 0 Shares 461 Views 0 Reviews
  • ต้นไม้พูดได้จากยอดเขา วัดพระบาทเขาหนาม เหนือเขื่อนภูมิพลจังหวัดตาก พระหลวงตาท่านหนึ่งดูแลอยู่และท่านไม่ฉันเนื้อสัตว์

    ภาพถ่ายไว้นานกว่า 16-17 ปีได้

    #ข้อคิด
    #เขื่อนภูมิพล
    #วัดพระบาทเขาหนาม
    #thaitimes
    ต้นไม้พูดได้จากยอดเขา วัดพระบาทเขาหนาม เหนือเขื่อนภูมิพลจังหวัดตาก พระหลวงตาท่านหนึ่งดูแลอยู่และท่านไม่ฉันเนื้อสัตว์ ภาพถ่ายไว้นานกว่า 16-17 ปีได้ #ข้อคิด #เขื่อนภูมิพล #วัดพระบาทเขาหนาม #thaitimes
    Love
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 271 Views 0 Reviews
  • "ในการปฏิบัติภารกิจเพื่อประโยชน์ของประเทศชาตินั้น ในบางครั้งการกระทำอาจเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติก็จริงอยู่ แต่ในบางครั้งบางโอกาสนั้น ผู้รู้ว่าการไม่กระทำนั้นจะก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองยิ่งกว่า"

    พจน์ สารสิน (นายกรัฐมนตรีคนที่ 9 ของประเทศไทย)

    #ข้อคิด
    #สุนทรพจน์
    #thaitimes
    #อดีตนายกรัฐมนตรี
    "ในการปฏิบัติภารกิจเพื่อประโยชน์ของประเทศชาตินั้น ในบางครั้งการกระทำอาจเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติก็จริงอยู่ แต่ในบางครั้งบางโอกาสนั้น ผู้รู้ว่าการไม่กระทำนั้นจะก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองยิ่งกว่า" พจน์ สารสิน (นายกรัฐมนตรีคนที่ 9 ของประเทศไทย) #ข้อคิด #สุนทรพจน์ #thaitimes #อดีตนายกรัฐมนตรี
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 362 Views 0 Reviews
  • "แอลกอฮอล์นั้น เมื่อมันลงได้เข้าไปอยู่ในกระเพาะและเส้นเลือดของคนเราแล้ว ฉันขอโทษเถิดที่จะบอกแก่ท่านว่า มันทำให้หน้าด้าน ประกอบกรรมที่ลามกอนาจารยิ่งกว่าการกอดผู้หญิงต่อหน้าใครต่อใครได้
    อย่างง่ายดาย"

    ยศ วัชรเสถียร
    (ที่มา : คืนหนึ่งในชีวิตของฉัน)

    #ข้อคิด
    #ขี้เหล้า
    #thaitimes
    "แอลกอฮอล์นั้น เมื่อมันลงได้เข้าไปอยู่ในกระเพาะและเส้นเลือดของคนเราแล้ว ฉันขอโทษเถิดที่จะบอกแก่ท่านว่า มันทำให้หน้าด้าน ประกอบกรรมที่ลามกอนาจารยิ่งกว่าการกอดผู้หญิงต่อหน้าใครต่อใครได้ อย่างง่ายดาย" ยศ วัชรเสถียร (ที่มา : คืนหนึ่งในชีวิตของฉัน) #ข้อคิด #ขี้เหล้า #thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 283 Views 0 Reviews
  • "ฟ้ากำหนดบทบาทวาดชีวิต
    พรหมลิขิตขีดชะตาอย่าสงสัย
    คราอับจนทนสู้อยู่ต่อไป
    กลัวทำไมอุปสรรคย่อมผลักดัน
    ให้แปรปรวนผวนผันวันละร้อย
    จงค่อยค่อยพิจารณาอย่าหุนหัน
    อันชั่วดีมีจนระคนกัน
    จะมัวพรั่นอยู่ทำไมใช่จีรัง"

    ไม่ทราบนามผู้แต่ง
    (ที่มา : วรรคทองในวรรณคดี)

    #วรรคทองในวรรณคดี
    #thaitimes
    #บทกวี
    #กลอน
    #ข้อคิด
    "ฟ้ากำหนดบทบาทวาดชีวิต พรหมลิขิตขีดชะตาอย่าสงสัย คราอับจนทนสู้อยู่ต่อไป กลัวทำไมอุปสรรคย่อมผลักดัน ให้แปรปรวนผวนผันวันละร้อย จงค่อยค่อยพิจารณาอย่าหุนหัน อันชั่วดีมีจนระคนกัน จะมัวพรั่นอยู่ทำไมใช่จีรัง" ไม่ทราบนามผู้แต่ง (ที่มา : วรรคทองในวรรณคดี) #วรรคทองในวรรณคดี #thaitimes #บทกวี #กลอน #ข้อคิด
    0 Comments 0 Shares 344 Views 0 Reviews
  • เมื่อคืน 31 ตุลาคม เป็นคืนวันฮาโลวีน

    วันที่ 29 ตุลาคม เมื่อปี พ.ศ.2565 เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ อินแทวอน เกาหลีใต้ เนื่องจากผู้คนแห่แหนกันออกมาเดินเที่ยวชมงานกิจกรรมเนื่องในช่วงเทศกาลฮาโลวีน

    จากที่จะเที่ยวชมอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับผี สุดท้ายจึงมีคนต้องตายเพราะขาดอากาศ ถูกเหยียบตายไปกว่า 159 คน บาดเจ็บอีกมาก

    คนที่ไปเที่ยวงาน ใครเลยจะขาดคิด สุดท้ายตนเองจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่มีโอกาสกลับบ้าน

    เราอย่าเป็นอีกคนหนึ่งที่หลงใหลไปตามกระแสคลั่งไคล้ของสังคมคนส่วนใหญ่ ไม่เสมอไปว่าคนถูกใจมาก นิยมมาก รักมาก แล้วสิ่งนั้น เรื่องนั้น จะเป็นสิ่งดีเรื่องดี

    ส่วนมากมักจะเป็นไปในทางที่เป็นภัย เป็นข้าศึกต่อกุศล

    เที่ยวกลางคืน คือหนึ่งในอบายมุข6 ที่ควรหลีกเลี่ยงละเว้น

    #ข้อคิด
    #thaitimes
    #ฮัลโลวีน
    #เที่ยวกลางคืน
    #อโคจร
    เมื่อคืน 31 ตุลาคม เป็นคืนวันฮาโลวีน วันที่ 29 ตุลาคม เมื่อปี พ.ศ.2565 เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ อินแทวอน เกาหลีใต้ เนื่องจากผู้คนแห่แหนกันออกมาเดินเที่ยวชมงานกิจกรรมเนื่องในช่วงเทศกาลฮาโลวีน จากที่จะเที่ยวชมอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับผี สุดท้ายจึงมีคนต้องตายเพราะขาดอากาศ ถูกเหยียบตายไปกว่า 159 คน บาดเจ็บอีกมาก คนที่ไปเที่ยวงาน ใครเลยจะขาดคิด สุดท้ายตนเองจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่มีโอกาสกลับบ้าน เราอย่าเป็นอีกคนหนึ่งที่หลงใหลไปตามกระแสคลั่งไคล้ของสังคมคนส่วนใหญ่ ไม่เสมอไปว่าคนถูกใจมาก นิยมมาก รักมาก แล้วสิ่งนั้น เรื่องนั้น จะเป็นสิ่งดีเรื่องดี ส่วนมากมักจะเป็นไปในทางที่เป็นภัย เป็นข้าศึกต่อกุศล เที่ยวกลางคืน คือหนึ่งในอบายมุข6 ที่ควรหลีกเลี่ยงละเว้น #ข้อคิด #thaitimes #ฮัลโลวีน #เที่ยวกลางคืน #อโคจร
    0 Comments 0 Shares 450 Views 0 Reviews
  • #thaitimes
    #ท่านจันทร์
    #บทกวี
    #กลอน
    #ข้อคิด
    #รักธรรมะ
    #thaitimes #ท่านจันทร์ #บทกวี #กลอน #ข้อคิด #รักธรรมะ
    0 Comments 0 Shares 428 Views 0 Reviews
  • สำหรับโพสต์นี้ ต้องกราบขออภัยคนในเครื่องแบบข้าราชการทุกคนที่ซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอดไว้ล่วงหน้าด้วยครับ เพราะข้าพเจ้ากำลังจะเขียนถึงเหล่าคนที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ท่านเป็น หวังใจว่าคงไม่ทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจ

    ในความเข้าใจของข้าพเจ้า ตัวการทำลายประเทศนี้แท้จริงไม่ใช่นักการเมืองที่มาแค่ชั่วคราว แล้วก็เปลี่ยนถ่ายไปสู่พรรคอื่น คนอื่นที่ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าใด แต่ควรจะเป็นข้าราชการประจำที่กระทำระยำตำบอนไว้อย่างมหาศาล แน่นอนว่าทุกอาชีพมีทั้งคนดีและคนชั่ว แต่มันแย่ตรงที่อาชีพข้าราชการนั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดทั้งกับประชาชน และรัฐบาล รวมถึงสถาบันพระมหากษัตรย์ ดังนั้นถ้าทำดีก็จะสร้างคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชนสุดล้นพ้นประมาณ แต่หากทำชั่วก็จะสร้างความวิบัติหายนะได้อย่างที่คนชั่วในอาชีพอื่นมิอาจแซงหน้าได้เลย ด้วยเหตุนี้เอง ในทัศนะส่วนตัว ข้าพเจ้าถึงกับอยากจะใช้คำว่า อาชีพที่มีโอกาสไปทัวร์นรกในปริมาณมากสุด น่าจะไม่มีอาชีพใดเกินไปกว่าข้าราชการประจำ

    *

    ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้?

    *

    ถ้าว่ากันตามเหตุผล อาชีพอย่างนักฆ่า ไม่ว่ารับจ้างฆ่าคน หรือรับจ้างฆ่าสัตว์ น่าจะเป็นอาชีพที่มีโอกาสไปทัวร์นรกมากกว่า ด้วยเหตุว่าผิดศีลข้อ 1 ในศีล 5 ของศาสนาพุทธอย่างชัดเจน แต่ข้าพเจ้ามองอย่างนี้คือ อาชีพนักฆ่าเมื่อเทียบจำนวนกับข้าราชการประจำแล้วห่างไกลกันลิบลับ จริงหรือไม่ลองถามตัวเองดูเถิด ในประเทศนี้ คนที่อยากจะเป็นนักฆ่า คือตั้งใจว่าโตมาจะอยากฆ่าคน อยากฆ่าสัตว์ มันจะมีบ้างไหม เกือบทั้งหมดน่าจะด้วยเหตุผลและกรรมบันดาลอันไม่เต็มใจนัก แต่เรียกว่ายอมจำนนด้วยจิตใจที่อ่อนแอแพ้พ่ายต่อสิ่งเร้ามากกว่าเป็นด้วยความเต็มใจและปรารถนา ทีนี้มองไปทางอาชีพข้าราชการสิ คนไทยแต่ไหนแต่ไรมาล้วนมีพื้นฐานความคิดค่านิยมอยากให้ลูกหลานทำอาชีพนี้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าด้วยการถูกฝังชิพมาแต่เล็ก หรือด้วยภาพจำของบรรพบุรุษตั้งแต่รุ่นทวดไล่ขึ้นมาถึงรุ่นพ่อรุ่นแม่ก็ตาม ล้วนหล่อหลอมให้คนไทยนับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ยังคงใฝ่ฝันที่จะอยากเข้าทำงานในวงข้าราชการเป็นส่วนมาก

    *

    ด้วยเหตุผลหลากหลาย อาทิเช่น ความสบายจนเคยชิน ความไม่อยากลำบาก ความต้องการอะไรที่แน่นอน มั่นคงในอาชีพ มีเกียรติในสังคม เพราะเป็นข้าราชการประจำ สามารถเบิกรัฐได้ยามเจ็บป่วย พ่อแม่ลูกคนในครอบครัวล้วนเบิกค่าใช้จ่ายได้ มากน้อยอีกเรื่อง มีวันหยุดเยอะ เวลาทำงานค่อนข้างแน่นอน จะขยันรึแอบขี้เกียจ ถึงสิ้นเดือนก็รับเงินเท่าเดิมที่เคยได้ แถมมีโอกาสและช่องทางมากกว่าอาชีพอื่นที่จะได้เงินในทางมิชอบ ได้เลื่อนตำแหน่งและได้เงินมากขึ้น ได้อภิสิทธิ์และการรับรองจากข้าราชการชั้นผู้น้อย ได้รับความนับหน้าถือตาในสังคม ทั้งหมดนี้เหมือนจะเป็นอาชีพที่ดีมาก คนไทยจำนวนมากจึงพยายามเรียนและสอบแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อให้ได้ชื่อว่าตนคือหนึ่งในข้าราชการ ไม่ว่าจะแผนกไหน สังกัดหน่วยงาน กรม กอง กระทรวง ทบวงใด แต่เมื่อสอบได้สำเร็จสมดังเป้าหมายที่ตั้งไว้ในเบื้องต้นแล้ว จะคงเหลือข้าราชการที่เป็นตัวของตัวเอง ที่ขยันซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ต่อประชาชน ต่อหน่วยงาน ต่อประเทศชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์สักกี่คน โดยไม่ถูกกระแสน้ำโสโครกที่เชี่ยวกรากลากดึงเอาจิตวิญญาณที่เคยตั้งใจดีไว้ ให้สูญสิ้นไปไม่เหลือเค้า

    *

    ที่เขาเรียกว่า "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" คือทั้งคดโกงต่อหน้าที่ หลอกลวงประชาชน และยังปิดบังซ่อนเร้นต่อรัฐบาล และสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำตนเป็นผู้รับใช้นักการเมืองชั่ว ข่มเหงรังแกประชาชน นักการเมืองนั้น ต่อให้เลวทรามขนาดไหน ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือร่วมมือจากข้าราชการประจำที่ต่ำช้า โอกาสที่จะกระทำการอันบัดซบต่อชาติและประชาชน รวมถึงสถาบันพระมหากษัตริย์สำเร็จผลนั้นนับว่าน้อยมาก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้บอกว่าอาชีพนี้มีปริมาณมากสุดที่จะมีโอกาสในการไปทัวร์นรกได้อย่างไร

    *

    เหตุเพราะอาชีพนี้เหมือนต้องสาป ถ้าทำดีก็เสมอตัว แต่ถ้าทำชั่วนี่สิ ทำให้คนทั้งประเทศต้องลำบากเดือดร้อน ทุกข์ทนแสนสาหัส ทั้งที่เงินซึ่งตนใช้ในการดำเนินชีวิตทุกอย่าง สวัสดิการที่ได้รับ บำเหน็จบำนาญ ล้วนมาจากคนทั้งประเทศ จะต้องใช้หนี้ที่ใหญ่เกินตัวไปอีกกี่ภพกี่ชาติจึงจะหลุดพ้นเป็นไทกับตนได้

    เมื่อยังเด็กมีญาติหลายคนเคยแนะนำข้าพเจ้าว่าโตขึ้นให้ทำอาชีพรับราชการสิ ในใจ ณ เวลานั้น ไม่เคยอยากทำเลย ไม่ชอบแต่ตอบตัวเองไม่ถูกว่าเพราะอะไร แต่ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้แล้ว

    #thaitimes
    #ข้าราชการ
    #ข้อคิด
    #แนวคิด
    #บทความ
    #เตือนสติ
    #ทัวร์นรก
    สำหรับโพสต์นี้ ต้องกราบขออภัยคนในเครื่องแบบข้าราชการทุกคนที่ซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอดไว้ล่วงหน้าด้วยครับ เพราะข้าพเจ้ากำลังจะเขียนถึงเหล่าคนที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ท่านเป็น หวังใจว่าคงไม่ทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจ ในความเข้าใจของข้าพเจ้า ตัวการทำลายประเทศนี้แท้จริงไม่ใช่นักการเมืองที่มาแค่ชั่วคราว แล้วก็เปลี่ยนถ่ายไปสู่พรรคอื่น คนอื่นที่ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าใด แต่ควรจะเป็นข้าราชการประจำที่กระทำระยำตำบอนไว้อย่างมหาศาล แน่นอนว่าทุกอาชีพมีทั้งคนดีและคนชั่ว แต่มันแย่ตรงที่อาชีพข้าราชการนั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดทั้งกับประชาชน และรัฐบาล รวมถึงสถาบันพระมหากษัตรย์ ดังนั้นถ้าทำดีก็จะสร้างคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชนสุดล้นพ้นประมาณ แต่หากทำชั่วก็จะสร้างความวิบัติหายนะได้อย่างที่คนชั่วในอาชีพอื่นมิอาจแซงหน้าได้เลย ด้วยเหตุนี้เอง ในทัศนะส่วนตัว ข้าพเจ้าถึงกับอยากจะใช้คำว่า อาชีพที่มีโอกาสไปทัวร์นรกในปริมาณมากสุด น่าจะไม่มีอาชีพใดเกินไปกว่าข้าราชการประจำ * ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้? * ถ้าว่ากันตามเหตุผล อาชีพอย่างนักฆ่า ไม่ว่ารับจ้างฆ่าคน หรือรับจ้างฆ่าสัตว์ น่าจะเป็นอาชีพที่มีโอกาสไปทัวร์นรกมากกว่า ด้วยเหตุว่าผิดศีลข้อ 1 ในศีล 5 ของศาสนาพุทธอย่างชัดเจน แต่ข้าพเจ้ามองอย่างนี้คือ อาชีพนักฆ่าเมื่อเทียบจำนวนกับข้าราชการประจำแล้วห่างไกลกันลิบลับ จริงหรือไม่ลองถามตัวเองดูเถิด ในประเทศนี้ คนที่อยากจะเป็นนักฆ่า คือตั้งใจว่าโตมาจะอยากฆ่าคน อยากฆ่าสัตว์ มันจะมีบ้างไหม เกือบทั้งหมดน่าจะด้วยเหตุผลและกรรมบันดาลอันไม่เต็มใจนัก แต่เรียกว่ายอมจำนนด้วยจิตใจที่อ่อนแอแพ้พ่ายต่อสิ่งเร้ามากกว่าเป็นด้วยความเต็มใจและปรารถนา ทีนี้มองไปทางอาชีพข้าราชการสิ คนไทยแต่ไหนแต่ไรมาล้วนมีพื้นฐานความคิดค่านิยมอยากให้ลูกหลานทำอาชีพนี้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าด้วยการถูกฝังชิพมาแต่เล็ก หรือด้วยภาพจำของบรรพบุรุษตั้งแต่รุ่นทวดไล่ขึ้นมาถึงรุ่นพ่อรุ่นแม่ก็ตาม ล้วนหล่อหลอมให้คนไทยนับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ยังคงใฝ่ฝันที่จะอยากเข้าทำงานในวงข้าราชการเป็นส่วนมาก * ด้วยเหตุผลหลากหลาย อาทิเช่น ความสบายจนเคยชิน ความไม่อยากลำบาก ความต้องการอะไรที่แน่นอน มั่นคงในอาชีพ มีเกียรติในสังคม เพราะเป็นข้าราชการประจำ สามารถเบิกรัฐได้ยามเจ็บป่วย พ่อแม่ลูกคนในครอบครัวล้วนเบิกค่าใช้จ่ายได้ มากน้อยอีกเรื่อง มีวันหยุดเยอะ เวลาทำงานค่อนข้างแน่นอน จะขยันรึแอบขี้เกียจ ถึงสิ้นเดือนก็รับเงินเท่าเดิมที่เคยได้ แถมมีโอกาสและช่องทางมากกว่าอาชีพอื่นที่จะได้เงินในทางมิชอบ ได้เลื่อนตำแหน่งและได้เงินมากขึ้น ได้อภิสิทธิ์และการรับรองจากข้าราชการชั้นผู้น้อย ได้รับความนับหน้าถือตาในสังคม ทั้งหมดนี้เหมือนจะเป็นอาชีพที่ดีมาก คนไทยจำนวนมากจึงพยายามเรียนและสอบแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อให้ได้ชื่อว่าตนคือหนึ่งในข้าราชการ ไม่ว่าจะแผนกไหน สังกัดหน่วยงาน กรม กอง กระทรวง ทบวงใด แต่เมื่อสอบได้สำเร็จสมดังเป้าหมายที่ตั้งไว้ในเบื้องต้นแล้ว จะคงเหลือข้าราชการที่เป็นตัวของตัวเอง ที่ขยันซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ต่อประชาชน ต่อหน่วยงาน ต่อประเทศชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์สักกี่คน โดยไม่ถูกกระแสน้ำโสโครกที่เชี่ยวกรากลากดึงเอาจิตวิญญาณที่เคยตั้งใจดีไว้ ให้สูญสิ้นไปไม่เหลือเค้า * ที่เขาเรียกว่า "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" คือทั้งคดโกงต่อหน้าที่ หลอกลวงประชาชน และยังปิดบังซ่อนเร้นต่อรัฐบาล และสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำตนเป็นผู้รับใช้นักการเมืองชั่ว ข่มเหงรังแกประชาชน นักการเมืองนั้น ต่อให้เลวทรามขนาดไหน ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือร่วมมือจากข้าราชการประจำที่ต่ำช้า โอกาสที่จะกระทำการอันบัดซบต่อชาติและประชาชน รวมถึงสถาบันพระมหากษัตริย์สำเร็จผลนั้นนับว่าน้อยมาก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้บอกว่าอาชีพนี้มีปริมาณมากสุดที่จะมีโอกาสในการไปทัวร์นรกได้อย่างไร * เหตุเพราะอาชีพนี้เหมือนต้องสาป ถ้าทำดีก็เสมอตัว แต่ถ้าทำชั่วนี่สิ ทำให้คนทั้งประเทศต้องลำบากเดือดร้อน ทุกข์ทนแสนสาหัส ทั้งที่เงินซึ่งตนใช้ในการดำเนินชีวิตทุกอย่าง สวัสดิการที่ได้รับ บำเหน็จบำนาญ ล้วนมาจากคนทั้งประเทศ จะต้องใช้หนี้ที่ใหญ่เกินตัวไปอีกกี่ภพกี่ชาติจึงจะหลุดพ้นเป็นไทกับตนได้ เมื่อยังเด็กมีญาติหลายคนเคยแนะนำข้าพเจ้าว่าโตขึ้นให้ทำอาชีพรับราชการสิ ในใจ ณ เวลานั้น ไม่เคยอยากทำเลย ไม่ชอบแต่ตอบตัวเองไม่ถูกว่าเพราะอะไร แต่ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้แล้ว #thaitimes #ข้าราชการ #ข้อคิด #แนวคิด #บทความ #เตือนสติ #ทัวร์นรก
    0 Comments 0 Shares 453 Views 0 Reviews
  • กระทรวงกลาโหมไต้หวันเปิดเผยว่าพบฝูงบินรบและเรือรบของจีน ดำเนินการลาดตระเวนรบใกล้ๆ เกาะของพวกเขา หลังปักกิ่งขู่ใช้มาตรการตอบโต้ กรณีที่สหรัฐฯ อนุมัติขายแพกเกจอาวุธรอบล่าสุดมูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ แก่ไทเป
    .
    สหรัฐฯ มีพันธสัญญาภายใต้กฎหมายในการมอบหนทางแห่งการป้องกันตนเองแก่ไต้หวัน ที่จีนกล่าวอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน แม้ทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่งกัน จุดยืนที่ก่อความเดือดดาลแก่จีนมาอย่างต่อเนื่อง
    .
    เมื่อวันศุกร์ (25 ต.ค.) กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) เปิดเผยว่าอเมริกาได้อนุมัติความเป็นไปได้ในแพกเกจขายอาวุธมูลค่า 2,000 ดอลลาร์แก่ไต้หวัน ในนั้นรวมถึงความเป็นไปได้ในการส่งมอบระบบขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศล้ำสมัย ที่ผ่านการทดสอบในสมรภูมิรบในยูเครนมาแล้วให้แก่เกาะแห่งนี้เป็นครั้งแรก
    .
    กระทรวงกลาโหมไต้หวันเปิดเผยว่าพวกเขาตรวจพบเครื่องบินทหารจีน 19 ลำ ในนั้นรวมถึงเครื่องบินขับไล่ Su-30 ทำการลาดตระเวนเตรียมพร้อมสู้รบร่วมรอบๆ เกาะไต้หวัน ร่วมกับกองเรือรบของจีน เริ่มต้นขึ้นในตอนเช้าวันอาทิตย์ (27 ต.ค.)
    .
    ถ้อยแถลงระบุว่าเครื่องบินของจีนบินอยู่ในน่านฟ้าทางเหนือ ตอนกลาง ทางตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกของไต้หวัน และกระตุ้นให้ต้องส่งกองกำลังไต้หวันออกไปเฝ้าจับตา
    .
    จีนมักดำเนินการลาดตระเวนลักษณะนี้รอบไต้หวันหลายครั้งในรอบ 1 เดือน แต่คราวนี้ถือเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปักกิ่งจัดการซ้อมรบเต็มรูปแบบรอบใหม่ใกล้เกาะไต้หวัน เมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา
    .
    ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ในช่วงค่ำวันอาทิตย์ (27 ต.ค.) กระทรวงการต่างประเทศจีน ประณามอย่างหนักหน่วงและคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อการขายอาวุธรอบล่าสุดของสหรัฐฯ และยื่นประท้วงและแสดงข้อคิดเห็นที่จริงจังไปยังวอชิงตัน
    .
    จีนเรียกร้องให้สหรัฐฯ หยุดป้อนอาวุธแก่ไต้หวันในทันที และหยุดความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เป็นอันตราย ที่บ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน "จีนจะใช้มาตรการตอบโต้ที่แน่วแน่และใช้ทุกมาตรการที่จำเป็นสำหรับปกป้องอธิปไตยของชาติ ความมั่นคงและบูรณภาพแห่งดินแดน" กระทรวงการต่างประเทศระบุ โดยไม่ได้ให้รายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม
    .
    ในช่วง 5 ปีหลังสุด จีนยกระดับความเคลื่อนไหวทางทหารรอบๆ ไต้หวัน เกาะปกครองตนเองตามระบอบประชาธิปไตยที่ปฏิเสธคำกล่าวอ้าวอำนาจอธิปไตยของจีน
    .
    รัฐบาลไต้หวันแสดงความยินดีเกี่ยวกับการขายอาวุธรอบใหม่ ซึ่งเป็นครั้งที่ 17 แล้ว ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จัดหาอาวุธให้แก่เกาะแห่งนี้ "ในการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามต่างๆ จากจีน ไต้หวันมีหน้าที่รับผิดชอบปกป้องผืนแผ่นดินของตนเอง และจะเดินหน้าพิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการป้องกันตนเอง" กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันระบุในวันเสาร์ (26 ต.ค.)
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000103589
    ..............
    Sondhi X
    กระทรวงกลาโหมไต้หวันเปิดเผยว่าพบฝูงบินรบและเรือรบของจีน ดำเนินการลาดตระเวนรบใกล้ๆ เกาะของพวกเขา หลังปักกิ่งขู่ใช้มาตรการตอบโต้ กรณีที่สหรัฐฯ อนุมัติขายแพกเกจอาวุธรอบล่าสุดมูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ แก่ไทเป . สหรัฐฯ มีพันธสัญญาภายใต้กฎหมายในการมอบหนทางแห่งการป้องกันตนเองแก่ไต้หวัน ที่จีนกล่าวอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน แม้ทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่งกัน จุดยืนที่ก่อความเดือดดาลแก่จีนมาอย่างต่อเนื่อง . เมื่อวันศุกร์ (25 ต.ค.) กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) เปิดเผยว่าอเมริกาได้อนุมัติความเป็นไปได้ในแพกเกจขายอาวุธมูลค่า 2,000 ดอลลาร์แก่ไต้หวัน ในนั้นรวมถึงความเป็นไปได้ในการส่งมอบระบบขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศล้ำสมัย ที่ผ่านการทดสอบในสมรภูมิรบในยูเครนมาแล้วให้แก่เกาะแห่งนี้เป็นครั้งแรก . กระทรวงกลาโหมไต้หวันเปิดเผยว่าพวกเขาตรวจพบเครื่องบินทหารจีน 19 ลำ ในนั้นรวมถึงเครื่องบินขับไล่ Su-30 ทำการลาดตระเวนเตรียมพร้อมสู้รบร่วมรอบๆ เกาะไต้หวัน ร่วมกับกองเรือรบของจีน เริ่มต้นขึ้นในตอนเช้าวันอาทิตย์ (27 ต.ค.) . ถ้อยแถลงระบุว่าเครื่องบินของจีนบินอยู่ในน่านฟ้าทางเหนือ ตอนกลาง ทางตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกของไต้หวัน และกระตุ้นให้ต้องส่งกองกำลังไต้หวันออกไปเฝ้าจับตา . จีนมักดำเนินการลาดตระเวนลักษณะนี้รอบไต้หวันหลายครั้งในรอบ 1 เดือน แต่คราวนี้ถือเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปักกิ่งจัดการซ้อมรบเต็มรูปแบบรอบใหม่ใกล้เกาะไต้หวัน เมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา . ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ในช่วงค่ำวันอาทิตย์ (27 ต.ค.) กระทรวงการต่างประเทศจีน ประณามอย่างหนักหน่วงและคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อการขายอาวุธรอบล่าสุดของสหรัฐฯ และยื่นประท้วงและแสดงข้อคิดเห็นที่จริงจังไปยังวอชิงตัน . จีนเรียกร้องให้สหรัฐฯ หยุดป้อนอาวุธแก่ไต้หวันในทันที และหยุดความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เป็นอันตราย ที่บ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน "จีนจะใช้มาตรการตอบโต้ที่แน่วแน่และใช้ทุกมาตรการที่จำเป็นสำหรับปกป้องอธิปไตยของชาติ ความมั่นคงและบูรณภาพแห่งดินแดน" กระทรวงการต่างประเทศระบุ โดยไม่ได้ให้รายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม . ในช่วง 5 ปีหลังสุด จีนยกระดับความเคลื่อนไหวทางทหารรอบๆ ไต้หวัน เกาะปกครองตนเองตามระบอบประชาธิปไตยที่ปฏิเสธคำกล่าวอ้าวอำนาจอธิปไตยของจีน . รัฐบาลไต้หวันแสดงความยินดีเกี่ยวกับการขายอาวุธรอบใหม่ ซึ่งเป็นครั้งที่ 17 แล้ว ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จัดหาอาวุธให้แก่เกาะแห่งนี้ "ในการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามต่างๆ จากจีน ไต้หวันมีหน้าที่รับผิดชอบปกป้องผืนแผ่นดินของตนเอง และจะเดินหน้าพิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการป้องกันตนเอง" กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันระบุในวันเสาร์ (26 ต.ค.) . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000103589 .............. Sondhi X
    Like
    8
    0 Comments 1 Shares 1489 Views 0 Reviews
  • แมลงทับคำนึง

    "กว่าสองปีใช้ชีวิตใต้ผืนดืน
    พร้อมสยายปีกบินอย่างเริงร่า
    สามอาทิตย์คือชีวิตแสนโสภา
    แล้วร่วงลาคืนกลับปฐพี

    ข้าปะเจ้าครานี้ได้ข้อคิด
    ใช้ชีวิตเงียบงามตามวิถี
    หมดเวลาปลดปลงทำหน้าที่
    ละปีกสวยเหลือสิ่งดีไร้ตัวตน"

    แมลงทับไม่ได้กล่าวไว้
    ข้าเพ้อของข้าเอง

    ข้อมูล: ชีวิตมหัศจรรย์ของแมลงทับ
    #ธรรมดาแสนดี
    แมลงทับคำนึง "กว่าสองปีใช้ชีวิตใต้ผืนดืน พร้อมสยายปีกบินอย่างเริงร่า สามอาทิตย์คือชีวิตแสนโสภา แล้วร่วงลาคืนกลับปฐพี ข้าปะเจ้าครานี้ได้ข้อคิด ใช้ชีวิตเงียบงามตามวิถี หมดเวลาปลดปลงทำหน้าที่ ละปีกสวยเหลือสิ่งดีไร้ตัวตน" แมลงทับไม่ได้กล่าวไว้ ข้าเพ้อของข้าเอง ข้อมูล: ชีวิตมหัศจรรย์ของแมลงทับ #ธรรมดาแสนดี
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • ถ้าใครไม่เคยดูหนังที่ เม็ก ไรอัน แสดงกับ แอนดี้ การ์เซีย เรื่อง

    #Whenamanlovesawoman

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคนที่มีอาการแอลกอฮอล์ลิซึม ถือว่าคุณพลาดอย่างแรง

    หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่ดีมาก ที่นำเสนอปัญหาของการที่มีสมาชิกในครอบครัว ติดเหล้าอย่างหนัก

    บทหนังดีมาก ตัวแสดงนำที่รับบทก็แสดงดีมาก เด็กๆที่แสดงเป็นลูกก็น่ารักและเล่นดี เพลงประกอบชื่อเดียวกับหนังก็เนื้อหาดี และไพเราะมาก

    หนังนาน 30 ปีพอดี แต่ยังร่วมสมัย ในบรรดาหนังที่เม็ก ไรอัน แสดงนำทั้งหมด หลายสิบเรื่อง ข้าพเจ้าชอบเรื่องนี้มากที่สุด เป็นอันดับแรก

    เหล้า เบียร์ ทำลายล้างครอบครัวได้มากขนาดไหน ดูได้จากเรื่องนี้

    #เลิกเหล้าเถิดครับเพื่อลูกของคุณ
    #thaitimes
    #เตือนสติ
    #ข้อคิด
    #หนังดี
    #ข้อคิด
    #เลิกเหล้า
    ถ้าใครไม่เคยดูหนังที่ เม็ก ไรอัน แสดงกับ แอนดี้ การ์เซีย เรื่อง #Whenamanlovesawoman โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคนที่มีอาการแอลกอฮอล์ลิซึม ถือว่าคุณพลาดอย่างแรง หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่ดีมาก ที่นำเสนอปัญหาของการที่มีสมาชิกในครอบครัว ติดเหล้าอย่างหนัก บทหนังดีมาก ตัวแสดงนำที่รับบทก็แสดงดีมาก เด็กๆที่แสดงเป็นลูกก็น่ารักและเล่นดี เพลงประกอบชื่อเดียวกับหนังก็เนื้อหาดี และไพเราะมาก หนังนาน 30 ปีพอดี แต่ยังร่วมสมัย ในบรรดาหนังที่เม็ก ไรอัน แสดงนำทั้งหมด หลายสิบเรื่อง ข้าพเจ้าชอบเรื่องนี้มากที่สุด เป็นอันดับแรก เหล้า เบียร์ ทำลายล้างครอบครัวได้มากขนาดไหน ดูได้จากเรื่องนี้ #เลิกเหล้าเถิดครับเพื่อลูกของคุณ #thaitimes #เตือนสติ #ข้อคิด #หนังดี #ข้อคิด #เลิกเหล้า
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 275 Views 0 Reviews
  • 23/ 10/67

    # วันนี้มีบทความข้อคิดดีๆ มาฝากทุกท่านครับ

    #ภาพวาด ปีกัสโซ่
    #ชื่อภาพ "โจร"

    #จิตกรหนุ่มคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะมีชื่อเสียง เขาได้พักอาศัยอยู่ในห้องเก่าๆ แคบๆ แห่งหนึ่ง เขาอาศัยการวาดภาพในการหล่อเลี้ยงชีวิต

    #อยู่มาวันหนึ่ง เศรษฐีคนหนึ่งเดินผ่านมาและเห็นฝีมือการวาดภาพของจิตกร เขารู้สึกพอใจและชอบเป็นอย่างยิ่ง เศรษฐีจึงว่าจ้างให้เขาวาดภาพเหมือนของตัวเองหนึ่งภาพ ตกลงสนทนาราคากันไว้ที่ ๑๐,๐๐๐ เหรียญ

    #เมื่อผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ภาพวาดของเศรษฐีก็สำเร็จเรียบร้อย เศรษฐีกลับมารับภาพตามเวลาที่กำหนดไว้ แต่ครั้งนี้ เศรษฐีเกิดจิตคิดที่ไม่ดี บอกกับจิตกรหนุ่มว่า “เธอไม่ได้+เป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ฉันให้ราคาตามที่ตกลงกันไว้ไม่ได้หรอก!” เศรษฐีนึกกระหยิ่มในใจ “ภาพนี้ก็เป็นภาพของฉัน หากฉันไม่ซื้อ ใครจะโง่ยอมซื้อวะ? ในเมื่อไม่มีคนซื้อ ฉันจำเป็นต้องจ่ายในราคาที่แพงไปทำไม?” “ฉันให้ราคาภาพนี้แค่ ๓,๐๐๐ เหรียญ จะเอาหรือไม่เอา?”

    #จิตกรหนุ่มตกตะลึง เหมือนโดนไฟฟ้าช็อตเป็นรอบที่สอง เพราะเขาไม่เคยเจอลูกค้าประเภทนี้มาก่อน จึงรู้สึกสับสน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาอ้อนวอนเศรษฐีอยู่เป็นเวลานานสองนาน เพื่อให้เศรษฐียอมจ่ายให้ตามราคาที่ตกลงกันไว้ เขาบอกกับเศรษฐีว่า "คนเราต้องถือสัจจะเป็นที่ตั้ง"!

    “อย่ามาโยกโย้ ฉันให้นายแค่ ๓,๐๐๐ พันเหรียญเท่านั้น!” เศรษฐีคิดว่าตนถือไพ่เหนือกว่า จึงได้ตะคอกกลับไปอีกว่า
    “ฉันบอกนายเป็นครั้งสุดท้าย ๓,๐๐๐ เหรียญ จะขายหรือไม่ขาย?”

    #จิตกรหนุ่มรู้ว่าอ้อนวอนไปก็เปล่าประโยชน์ ประกอบกับความรู้สึกไม่พอใจกับการถูกข่มเหง เขาจึงพูดกับเศรษฐีด้วยเสียงอันดังว่า “ไม่"! ผมไม่ขายรูปแผ่นนี้แล้ว และผมจะไม่ยอมรับความอัปยศที่คุณพยายามเสือกใสมาให้ผมเป็นอันขาด วันนี้คุณเป็นคนผิดสัจจะ วันข้างหน้าผมจะทำให้คุณต้องซื้อภาพนี้ในราคาที่สูงกว่านี้อีก ๒๐๐ เท่า”

    “ตลกล่ะ ๒๐๐ เท่า ก็เท่ากับหกแสนเหรียญเชียวนะ ฉันจะโง่ซื้อภาพของตัวเองในราคาหกแสนเหรียญได้ยังไง?”
    “งั้นผมก็จะรอคุณเป็นคนมาง้อขอซื้อภาพของคุณเองก็แล้วกัน!” พูดเสร็จ ชายหนุ่มก็ถือภาพนั้นเดินกลับเข้าบ้านไป ไม่สนใจชายเศรษฐีแม้แต่น้อย

    #เหตุการณ์ที่จิตกรหนุ่ม ได้เผชิญกับความอัปยศที่เศรษฐียัดเหยียดมาให้ วันรุ่งขึ้น เขาย้ายไปอยู่เมืองอื่นด้วยความสะเทือนใจ

    #เขาตัดสินใจเข้าเรียนศิลปะอย่างเป็นทางการ และเอาจริงเอาจังกับการวาดภาพอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟ้าย่อมไม่ทำให้ผู้ทุ่มเทผิดหวัง ผ่านไป ๑๐ กว่าปี เขากลายเป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ในกลุ่มจิตกรที่ติดอันดับมีชื่อของเขาเป็นหนึ่งในนั้น

    #ส่วนเศรษฐีคนนั้นล่ะ? หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นผ่านไปได้ ๒ วัน เขาก็ได้ลืมเรื่องราวนั้นไปและไม่เคยจำมาใส่ใจอีกเลย

    #อยู่มาวันหนึ่ง สหายของเศรษฐีหลายคนต่างพากันมาเยี่ยมเขาที่บ้านโดยไม่ได้นัดหมาย “เกลอเอ๋ย มันเป็นสิ่งประหลาดมาก หลายวันนี้พวกเราได้ไปเยี่ยมชมนิทรรศการการภาพวาดของจิตกรผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง แต่มีอยู่ภาพหนึ่งที่มีราคาแพงมาก และไม่ยอมให้มีการต่อรองราคาใดๆ ทั้งสิ้น แต่ภาพวาดนั้น เหมือนเกลอยังกะแกะ เกลอรู้ไหมภาพนั่นมีราคาเท่าไหร่? หกแสนเชียวนะภาพนั้นนะ! แต่ที่น่าขันก็คือ #ภาพนั้นมี่ชื่อว่า “โจร”

    #เศรษฐีเหมือนถูกไม้หน้าสามตีกลางแสกหน้า ภาพเหตุการณ์เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วผุดขึ้นมาเหมือนม้วนหนังที่ทำการฉายใหม่อีกครั้ง

    #สิ่งที่เพื่อนของเขาเล่ามา ทำความเสียหายให้เขาเป็นอย่างยิ่ง เขารีบเดินทางไปที่จัดแสดงนิทรรศการภาพวาดแห่งนั้นในทันที พร้อมกับเข้าไปทำการขอโทษจิตกรหนุ่มผู้นั้นด้วยตัวของเขาเอง แถมยังยอมซื้อภาพนั้นกลับบ้านในราคาหกแสนเหรียญโดยไม่ขาดไม่เกินไปแม้แต่สตางค์เดียว

    #เพราะอุดมการณ์ ที่ไม่ยอมแพ้ในครานั้น ทำให้ชายเศรษฐียอมกลับมาก้มหัวให้ในวันนี้ จิตกรหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่า "ปิกัสโซ่"

    #ไม่มีใคร สามารถทำร้ายคุณหรือยัดเหยียดความอัปยศอดสูมาให้คุณได้ นอกเสียจากตัวคุณเอง!


    #เครดิต : นุสนธิ์บุคส์
    #ขอบคุณเจ้าของบทความและภาพประกอบ
    23/ 10/67 # วันนี้มีบทความข้อคิดดีๆ มาฝากทุกท่านครับ #ภาพวาด ปีกัสโซ่ #ชื่อภาพ "โจร" #จิตกรหนุ่มคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะมีชื่อเสียง เขาได้พักอาศัยอยู่ในห้องเก่าๆ แคบๆ แห่งหนึ่ง เขาอาศัยการวาดภาพในการหล่อเลี้ยงชีวิต #อยู่มาวันหนึ่ง เศรษฐีคนหนึ่งเดินผ่านมาและเห็นฝีมือการวาดภาพของจิตกร เขารู้สึกพอใจและชอบเป็นอย่างยิ่ง เศรษฐีจึงว่าจ้างให้เขาวาดภาพเหมือนของตัวเองหนึ่งภาพ ตกลงสนทนาราคากันไว้ที่ ๑๐,๐๐๐ เหรียญ #เมื่อผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ภาพวาดของเศรษฐีก็สำเร็จเรียบร้อย เศรษฐีกลับมารับภาพตามเวลาที่กำหนดไว้ แต่ครั้งนี้ เศรษฐีเกิดจิตคิดที่ไม่ดี บอกกับจิตกรหนุ่มว่า “เธอไม่ได้+เป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ฉันให้ราคาตามที่ตกลงกันไว้ไม่ได้หรอก!” เศรษฐีนึกกระหยิ่มในใจ “ภาพนี้ก็เป็นภาพของฉัน หากฉันไม่ซื้อ ใครจะโง่ยอมซื้อวะ? ในเมื่อไม่มีคนซื้อ ฉันจำเป็นต้องจ่ายในราคาที่แพงไปทำไม?” “ฉันให้ราคาภาพนี้แค่ ๓,๐๐๐ เหรียญ จะเอาหรือไม่เอา?” #จิตกรหนุ่มตกตะลึง เหมือนโดนไฟฟ้าช็อตเป็นรอบที่สอง เพราะเขาไม่เคยเจอลูกค้าประเภทนี้มาก่อน จึงรู้สึกสับสน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาอ้อนวอนเศรษฐีอยู่เป็นเวลานานสองนาน เพื่อให้เศรษฐียอมจ่ายให้ตามราคาที่ตกลงกันไว้ เขาบอกกับเศรษฐีว่า "คนเราต้องถือสัจจะเป็นที่ตั้ง"! “อย่ามาโยกโย้ ฉันให้นายแค่ ๓,๐๐๐ พันเหรียญเท่านั้น!” เศรษฐีคิดว่าตนถือไพ่เหนือกว่า จึงได้ตะคอกกลับไปอีกว่า “ฉันบอกนายเป็นครั้งสุดท้าย ๓,๐๐๐ เหรียญ จะขายหรือไม่ขาย?” #จิตกรหนุ่มรู้ว่าอ้อนวอนไปก็เปล่าประโยชน์ ประกอบกับความรู้สึกไม่พอใจกับการถูกข่มเหง เขาจึงพูดกับเศรษฐีด้วยเสียงอันดังว่า “ไม่"! ผมไม่ขายรูปแผ่นนี้แล้ว และผมจะไม่ยอมรับความอัปยศที่คุณพยายามเสือกใสมาให้ผมเป็นอันขาด วันนี้คุณเป็นคนผิดสัจจะ วันข้างหน้าผมจะทำให้คุณต้องซื้อภาพนี้ในราคาที่สูงกว่านี้อีก ๒๐๐ เท่า” “ตลกล่ะ ๒๐๐ เท่า ก็เท่ากับหกแสนเหรียญเชียวนะ ฉันจะโง่ซื้อภาพของตัวเองในราคาหกแสนเหรียญได้ยังไง?” “งั้นผมก็จะรอคุณเป็นคนมาง้อขอซื้อภาพของคุณเองก็แล้วกัน!” พูดเสร็จ ชายหนุ่มก็ถือภาพนั้นเดินกลับเข้าบ้านไป ไม่สนใจชายเศรษฐีแม้แต่น้อย #เหตุการณ์ที่จิตกรหนุ่ม ได้เผชิญกับความอัปยศที่เศรษฐียัดเหยียดมาให้ วันรุ่งขึ้น เขาย้ายไปอยู่เมืองอื่นด้วยความสะเทือนใจ #เขาตัดสินใจเข้าเรียนศิลปะอย่างเป็นทางการ และเอาจริงเอาจังกับการวาดภาพอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟ้าย่อมไม่ทำให้ผู้ทุ่มเทผิดหวัง ผ่านไป ๑๐ กว่าปี เขากลายเป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ในกลุ่มจิตกรที่ติดอันดับมีชื่อของเขาเป็นหนึ่งในนั้น #ส่วนเศรษฐีคนนั้นล่ะ? หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นผ่านไปได้ ๒ วัน เขาก็ได้ลืมเรื่องราวนั้นไปและไม่เคยจำมาใส่ใจอีกเลย #อยู่มาวันหนึ่ง สหายของเศรษฐีหลายคนต่างพากันมาเยี่ยมเขาที่บ้านโดยไม่ได้นัดหมาย “เกลอเอ๋ย มันเป็นสิ่งประหลาดมาก หลายวันนี้พวกเราได้ไปเยี่ยมชมนิทรรศการการภาพวาดของจิตกรผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง แต่มีอยู่ภาพหนึ่งที่มีราคาแพงมาก และไม่ยอมให้มีการต่อรองราคาใดๆ ทั้งสิ้น แต่ภาพวาดนั้น เหมือนเกลอยังกะแกะ เกลอรู้ไหมภาพนั่นมีราคาเท่าไหร่? หกแสนเชียวนะภาพนั้นนะ! แต่ที่น่าขันก็คือ #ภาพนั้นมี่ชื่อว่า “โจร” #เศรษฐีเหมือนถูกไม้หน้าสามตีกลางแสกหน้า ภาพเหตุการณ์เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วผุดขึ้นมาเหมือนม้วนหนังที่ทำการฉายใหม่อีกครั้ง #สิ่งที่เพื่อนของเขาเล่ามา ทำความเสียหายให้เขาเป็นอย่างยิ่ง เขารีบเดินทางไปที่จัดแสดงนิทรรศการภาพวาดแห่งนั้นในทันที พร้อมกับเข้าไปทำการขอโทษจิตกรหนุ่มผู้นั้นด้วยตัวของเขาเอง แถมยังยอมซื้อภาพนั้นกลับบ้านในราคาหกแสนเหรียญโดยไม่ขาดไม่เกินไปแม้แต่สตางค์เดียว #เพราะอุดมการณ์ ที่ไม่ยอมแพ้ในครานั้น ทำให้ชายเศรษฐียอมกลับมาก้มหัวให้ในวันนี้ จิตกรหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่า "ปิกัสโซ่" #ไม่มีใคร สามารถทำร้ายคุณหรือยัดเหยียดความอัปยศอดสูมาให้คุณได้ นอกเสียจากตัวคุณเอง! #เครดิต : นุสนธิ์บุคส์ #ขอบคุณเจ้าของบทความและภาพประกอบ
    0 Comments 0 Shares 409 Views 0 Reviews