• #OsakaExpo #ไม่ชอบมาพากล #800ล้าน #บริษัทรับงาน
    https://youtube.com/shorts/AP_iAGM-4T8?
    #OsakaExpo #ไม่ชอบมาพากล #800ล้าน #บริษัทรับงาน https://youtube.com/shorts/AP_iAGM-4T8?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉีกหน้ากาก”โกงซ้อนโกง” ตึก สตง.ถล่ม
    ปลอมลายเซ็นวิศวกร บิดเบือนไม่รับผิดชอบ
    .
    เรื่องตึก สตง.(สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน)ถล่ม อีกสิบปีก็พูดได้ว่ามันเป็นมหากาพย์การโกง ผมว่ามันโคตรจะระยำตำบอนเลย ผม 78 ปี ปีนี้ ผมทำข่าวมาห้าสิบกว่าปี ผมไม่เคยเจอขบวนการคอร์รัปชันที่ยิ่งใหญ่และลึกลับซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็ว่าได้ เรื่องขบวนการทุจริตในการจัดจ้างเพื่อก่อสร้างและตกแต่งอาคาร สตง. แห่งใหม่ ในเขตจตุจักร อย่างที่ผมฟันธงและบอกไปแล้วว่ามันมีเงื่อนงำในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ
    .
    จริงๆ เรื่องนี้ต้องทำเป็นกรณีศึกษา Case study สถาบันการศึกษา อาจารย์น่าจะเอาข้อมูลพวกนี้ แล้วมาสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาว่ามันโกงกันอย่างไร ความเป็น สตง. นี่ไงที่ผมบอกว่าผมจะฟ้องท่านผู้ชม ให้จารึกลงในประวัติศาสตร์ ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานมันพูดถึงคน สตง. เลวๆ ที่มันระยำตำบอนและโกงชาติบ้านเมือง ทำผิดคุณธรรม จริยธรรม ในหน้าที่ที่ตัวเองต้องตรวจสอบการทุจริต แต่กลับทุจริตเสียเอง
    .
    ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความไม่ชอบมาพากลในการจัดจ้างเพื่อก่อสร้างโครงการนี้ยิ่งขึ้นไปอีก คือมันมีการปลอมลายเซ็นสำหรับกรณีวิศวกรทั้งสองคนที่มีชื่อไปเกี่ยวข้องและรับผิดชอบเกี่ยวกับการควบคุมการก่อสร้างและออกแบบอาคาร คือ หนึ่ง คุณสมเกียรติ ชูแสงสุข ที่ถูกอ้างชื่อและปลอมลายเซ็นว่าเป็นผู้ควบคุมงานของกิจการร่วมค้า PWK สอง คือคุณพิมล เจริญยิ่ง วิศวกรอายุ 85 ปี ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้ออกแบบอาคาร 2 สตง. จริงหรือไม่ เจ้าตัวกลับปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องด้วย และไม่ได้ทำงานออกแบบมาหลายปีแล้ว ท่านผู้ชมครับเห็นหรือยังครับ มหากาพย์ของการโกง โกงกันตั้งแต่เริ่มออกแบบแล้ว ตรงนี้มันมีพิรุธไหม ? เพราะกรมโยธาธิการฯได้แจ้งว่า ที่ขอมาขอให้มีการเร่งออกแบบตึก สตง.ที่มีงบสองพันล้านบาทภายใน 180 วันไม่ทัน ก็เป็นสิทธิ์หน่วยงานนี้จะเอาสิทธิ์ตรงนั้นไปแจ้งบริษัทเอกชนออกแบบแทน นี่คือการเจตนาที่จะทุจริตที่เห็นได้ชัดเจน
    .
    มีคนหนึ่งที่ผมอยากให้ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ใจแทบขาด เพราะน่าจะเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง คือ คุณปฏิวัติ ศิริไทย ซีอีโอ และเจ้าของบริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด ซึ่งบริษัทนี้เป็นหนึ่งในสามบริษัทที่ไปรวมตัวกันเป็นกิจการร่วมค้า PKWได้งานควบคุมก่อสร้างตึก สตง. ในวงเงิน 74.65 ล้านบาท
    .
    คุณปฏิวัติครับ คุณอย่านั่งนิ่งเฉย เพราะผมได้ยินว่าคุณเป็นผู้กว้างขวาง รู้จักคุณประจักษ์ บุญยัง อดีตผู้ว่าฯ สตง. รู้จักนายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าฯ สตง. มือไม้ของคุณประจักษ์ รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างประธาน คตง. คือ พล.อ.ชนะทัพ อินทามระ ประธาน คตง. หรือประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เรื่อยไปจนถึงคนใกล้ชิด ทั้งทหาร ตำรวจ พลเรือน ซึ่งเป็นเครือญาติและคนใกล้ชิด พล.อ.ชนะทัพ ด้วย แม้หน่วยงานโคตรอภิสิทธิ์อย่าง สตง. ยืนยันที่ทำนั้น ล้วนแต่ดำเนินด้วยความถูกต้องบริสุทธิ์ผูดผ่องทั้งสิ้น
    .
    แต่ถ้ามันเน่าข้างในหมดแล้ว จะเอาหนังอะไรมากลบ ใส่เสื้อกี่ตัว กลิ่นมันออก พอกลิ่นมันออก ถอดเสื้อออกก็เหม็นเสื้อเชิ้ตก็เหม็น ถอดเสื้อเชิ้ตออก เสื้อเชิ้ตก็เหม็น ถอดคอกลมออก คอกลมก็เหม็น พอถอดออกหมดแล้ว อ้าว ตายห่า มันเน่าหมดแล้วนี่ มันเน่าก็คือว่า ทำมาหาแดกกันทุกระดับ ตั้งแต่ผู้หลักผู้ใหญ่ใน สตง. จะเป็นใครก็ตาม ท่านผู้ชมเดาเอาเองก็แล้วกัน
    ฉีกหน้ากาก”โกงซ้อนโกง” ตึก สตง.ถล่ม ปลอมลายเซ็นวิศวกร บิดเบือนไม่รับผิดชอบ . เรื่องตึก สตง.(สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน)ถล่ม อีกสิบปีก็พูดได้ว่ามันเป็นมหากาพย์การโกง ผมว่ามันโคตรจะระยำตำบอนเลย ผม 78 ปี ปีนี้ ผมทำข่าวมาห้าสิบกว่าปี ผมไม่เคยเจอขบวนการคอร์รัปชันที่ยิ่งใหญ่และลึกลับซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็ว่าได้ เรื่องขบวนการทุจริตในการจัดจ้างเพื่อก่อสร้างและตกแต่งอาคาร สตง. แห่งใหม่ ในเขตจตุจักร อย่างที่ผมฟันธงและบอกไปแล้วว่ามันมีเงื่อนงำในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ . จริงๆ เรื่องนี้ต้องทำเป็นกรณีศึกษา Case study สถาบันการศึกษา อาจารย์น่าจะเอาข้อมูลพวกนี้ แล้วมาสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาว่ามันโกงกันอย่างไร ความเป็น สตง. นี่ไงที่ผมบอกว่าผมจะฟ้องท่านผู้ชม ให้จารึกลงในประวัติศาสตร์ ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานมันพูดถึงคน สตง. เลวๆ ที่มันระยำตำบอนและโกงชาติบ้านเมือง ทำผิดคุณธรรม จริยธรรม ในหน้าที่ที่ตัวเองต้องตรวจสอบการทุจริต แต่กลับทุจริตเสียเอง . ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความไม่ชอบมาพากลในการจัดจ้างเพื่อก่อสร้างโครงการนี้ยิ่งขึ้นไปอีก คือมันมีการปลอมลายเซ็นสำหรับกรณีวิศวกรทั้งสองคนที่มีชื่อไปเกี่ยวข้องและรับผิดชอบเกี่ยวกับการควบคุมการก่อสร้างและออกแบบอาคาร คือ หนึ่ง คุณสมเกียรติ ชูแสงสุข ที่ถูกอ้างชื่อและปลอมลายเซ็นว่าเป็นผู้ควบคุมงานของกิจการร่วมค้า PWK สอง คือคุณพิมล เจริญยิ่ง วิศวกรอายุ 85 ปี ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้ออกแบบอาคาร 2 สตง. จริงหรือไม่ เจ้าตัวกลับปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องด้วย และไม่ได้ทำงานออกแบบมาหลายปีแล้ว ท่านผู้ชมครับเห็นหรือยังครับ มหากาพย์ของการโกง โกงกันตั้งแต่เริ่มออกแบบแล้ว ตรงนี้มันมีพิรุธไหม ? เพราะกรมโยธาธิการฯได้แจ้งว่า ที่ขอมาขอให้มีการเร่งออกแบบตึก สตง.ที่มีงบสองพันล้านบาทภายใน 180 วันไม่ทัน ก็เป็นสิทธิ์หน่วยงานนี้จะเอาสิทธิ์ตรงนั้นไปแจ้งบริษัทเอกชนออกแบบแทน นี่คือการเจตนาที่จะทุจริตที่เห็นได้ชัดเจน . มีคนหนึ่งที่ผมอยากให้ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ใจแทบขาด เพราะน่าจะเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง คือ คุณปฏิวัติ ศิริไทย ซีอีโอ และเจ้าของบริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด ซึ่งบริษัทนี้เป็นหนึ่งในสามบริษัทที่ไปรวมตัวกันเป็นกิจการร่วมค้า PKWได้งานควบคุมก่อสร้างตึก สตง. ในวงเงิน 74.65 ล้านบาท . คุณปฏิวัติครับ คุณอย่านั่งนิ่งเฉย เพราะผมได้ยินว่าคุณเป็นผู้กว้างขวาง รู้จักคุณประจักษ์ บุญยัง อดีตผู้ว่าฯ สตง. รู้จักนายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าฯ สตง. มือไม้ของคุณประจักษ์ รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างประธาน คตง. คือ พล.อ.ชนะทัพ อินทามระ ประธาน คตง. หรือประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เรื่อยไปจนถึงคนใกล้ชิด ทั้งทหาร ตำรวจ พลเรือน ซึ่งเป็นเครือญาติและคนใกล้ชิด พล.อ.ชนะทัพ ด้วย แม้หน่วยงานโคตรอภิสิทธิ์อย่าง สตง. ยืนยันที่ทำนั้น ล้วนแต่ดำเนินด้วยความถูกต้องบริสุทธิ์ผูดผ่องทั้งสิ้น . แต่ถ้ามันเน่าข้างในหมดแล้ว จะเอาหนังอะไรมากลบ ใส่เสื้อกี่ตัว กลิ่นมันออก พอกลิ่นมันออก ถอดเสื้อออกก็เหม็นเสื้อเชิ้ตก็เหม็น ถอดเสื้อเชิ้ตออก เสื้อเชิ้ตก็เหม็น ถอดคอกลมออก คอกลมก็เหม็น พอถอดออกหมดแล้ว อ้าว ตายห่า มันเน่าหมดแล้วนี่ มันเน่าก็คือว่า ทำมาหาแดกกันทุกระดับ ตั้งแต่ผู้หลักผู้ใหญ่ใน สตง. จะเป็นใครก็ตาม ท่านผู้ชมเดาเอาเองก็แล้วกัน
    Like
    Love
    25
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1098 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตึกถล่มปูดทุจริต สตง. ซื้อของแพง ส่อโกงครบวงจร
    .
    ขณะที่ ปฏิบัติการขุดซากตึก 30 ชั้น ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. กำลังดำเนินการไป ยังมีปฏิบัติการคู่ขนาน คือ การขุดหาความไม่ชอบมาพากล เกี่ยวกับงบการจัดซื้อจัดจ้าง ภายในตึกดังกล่าวไปพร้อมกัน
    ยิ่งขุด ก็ยิ่งเจอความอัปยศ ขององค์กรตรวจสอบ คอร์รัปชั่นของไทย อย่าง สตง. ส่อเค้าจะมีการคอร์รัปชั่นซะเอง อย่างมีการใช้เหล็กซึ่งไม่ได้มาตรฐาน เอามาก่อสร้างตึกหรือมีการปลอมลายเซ็นวิศวกรโครงการ ทั้งที่วิศวกรคนดังกล่าว อายุ 85 ปีแล้ว ไม่ได้ทำงานแล้ว

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ตึกถล่มปูดทุจริต สตง. ซื้อของแพง ส่อโกงครบวงจร . ขณะที่ ปฏิบัติการขุดซากตึก 30 ชั้น ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. กำลังดำเนินการไป ยังมีปฏิบัติการคู่ขนาน คือ การขุดหาความไม่ชอบมาพากล เกี่ยวกับงบการจัดซื้อจัดจ้าง ภายในตึกดังกล่าวไปพร้อมกัน ยิ่งขุด ก็ยิ่งเจอความอัปยศ ขององค์กรตรวจสอบ คอร์รัปชั่นของไทย อย่าง สตง. ส่อเค้าจะมีการคอร์รัปชั่นซะเอง อย่างมีการใช้เหล็กซึ่งไม่ได้มาตรฐาน เอามาก่อสร้างตึกหรือมีการปลอมลายเซ็นวิศวกรโครงการ ทั้งที่วิศวกรคนดังกล่าว อายุ 85 ปีแล้ว ไม่ได้ทำงานแล้ว #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 578 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก่อนตึกถล่มไม่กี่วัน สตง.เพิ่งวางศิลาฤกษ์ สร้างตึกใหม่ที่จ.ตราด และ สมุทรสาคร ฝากแฟนคลับคิงส์ในพื้นที่ ดูความไม่ชอบมาพากลด้วย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #สตง
    #ตึกถล่ม
    #แผ่นดินไหว
    ก่อนตึกถล่มไม่กี่วัน สตง.เพิ่งวางศิลาฤกษ์ สร้างตึกใหม่ที่จ.ตราด และ สมุทรสาคร ฝากแฟนคลับคิงส์ในพื้นที่ ดูความไม่ชอบมาพากลด้วย #คิงส์โพธิ์แดง #สตง #ตึกถล่ม #แผ่นดินไหว
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำได้จริงจะดีมาก บิ๊กต่าย ประกาศตั้งคณะทำงานชุดพิเศษ ดูแลปกป้องความยุติธรรมให้ประชาชน จากคดีความที่ไม่ชอบมาพากล หรือไม่ได้รับความยุติธรรมในการดำเนินคดี รวมไปถึงจะให้คณะทำงานชุดนี้เข้ามาติดตามความยุติธรรมในคดีแตงโมด้วย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    #บิ๊กต่าย
    #คดีแตงโม
    ทำได้จริงจะดีมาก บิ๊กต่าย ประกาศตั้งคณะทำงานชุดพิเศษ ดูแลปกป้องความยุติธรรมให้ประชาชน จากคดีความที่ไม่ชอบมาพากล หรือไม่ได้รับความยุติธรรมในการดำเนินคดี รวมไปถึงจะให้คณะทำงานชุดนี้เข้ามาติดตามความยุติธรรมในคดีแตงโมด้วย #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3 #บิ๊กต่าย #คดีแตงโม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 399 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5 มีนาคม “วันนักข่าว” กับบทบาทสื่อมวลชนในยุค AI เผยความจริง สิ่งลวงตา และการถ่วงดุลอำนาจ

    📅 วันที่ 5 มีนาคมของทุกปี ถือเป็น "วันนักข่าว" หรือ "วันสื่อสารมวลชนแห่งชาติ" ในประเทศไทย ซึ่งเป็นวันสำคัญของวงการสื่อสารมวลชน โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากวันสถาปนา สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2498

    ปัจจุบัน บทบาทของนักข่าวและสื่อมวลชน กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในยุคดิจิทัล และเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) ที่ไร้พรมแดน ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทั้งข้อเท็จจริงและข่าวลวง (Fake News) บทบาทของสื่อ จึงไม่ใช่เพียงรายงานข่าวเท่านั้น แต่ต้องทำหน้าที่คัดกรอง ตรวจสอบ และถ่วงดุลอำนาจ เพื่อให้สังคมได้รับข้อมูลที่ถูกต้อ งและเป็นธรรม

    📖 ความเป็นมาของวันนักข่าว จุดกำเนิดของวันนักข่าวในไทย 🎙
    สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ปัจจุบันคือ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นโดยนักข่าวรุ่นบุกเบิก 15 คน ที่รวมตัวกันที่ศาลานเรศวร ในสวนลุมพินี โดยมี นายชาญ สินศุข จากสยามนิกร เป็นประธานการประชุม

    🔹 ในอดีต หนังสือพิมพ์ไทยยึดถือธรรมเนียมว่า วันที่ 6 มีนาคม ของทุกปี จะเป็นวันหยุดงานของนักข่าว และจะไม่มีหนังสือพิมพ์วางจำหน่าย แต่เมื่อเวลาผ่านไป สังคมมีความต้องการบริโภคข่าวสารมากขึ้น ทำให้ต้องยุติธรรมเนียมนี้ไป

    🔹 ต่อมา ในปี พ.ศ. 2542 สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ได้รวมตัวกับ สมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และกำหนดให้วันที่ 5 มีนาคม เป็นวันนักข่าว อย่างเป็นทางการจนถึงปัจจุบัน

    🎥 บทบาทสำคัญของนักข่าวในสังคมไทย นักข่าวไม่ได้เป็นเพียงผู้รายงานข่าว แต่ยังมีบทบาทสำคัญในหลายมิติของสังคม ตั้งแต่การเฝ้าระวังอำนาจ การเปิดโปงความจริง ไปจนถึงการสร้างความตระหนักรู้ และขับเคลื่อนสังคม

    🏛 เฝ้าระวังและตรวจสอบอำนาจ (Watchdog Journalism)
    ✅ นักข่าวทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่าง ๆ
    ✅ เปิดโปงการทุจริต คอร์รัปชัน และความไม่ชอบมาพากลในสังคม
    ✅ ปกป้องประชาชน จากการถูกเอารัดเอาเปรียบ

    📰 ให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจของประชาชน
    ✅ รายงานข่าวสารด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
    ✅ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล การเลือกตั้ง และภัยพิบัติ
    ✅ ช่วยให้ประชาชนตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง บนพื้นฐานของข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

    🚨 สร้างกระแส และกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
    ✅ นำเสนอปัญหาสำคัญ เช่น ความเหลื่อมล้ำ สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม
    ✅ กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย และการแก้ไขปัญหา
    ✅ เป็นช่องทางในการเรียกร้องความเป็นธรรม ให้กับประชาชน

    🎤 เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน
    ✅ นำเสนอเรื่องราวของผู้ด้อยโอกาส และกลุ่มที่ถูกกดขี่
    ✅ ให้พื้นที่แก่ประชาชน ในการแสดงความคิดเห็น
    ✅ ช่วยให้เสียงของประชาชน ถูกได้ยินในเวทีสาธารณะ

    🔓 สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
    ✅ สื่อมวลชนเป็นหัวใจของ ประชาธิปไตย
    ✅ หากปราศจากเสรีภาพทางสื่อ สังคมอาจถูกควบคุมโดยข้อมูลฝ่ายเดียว
    ✅ นักข่าวต้องกล้าหาญ และยืนหยัดในการรายงานความจริง

    🌍 ยุค AI กับความท้าทายของสื่อมวลชน
    🤖 AI และอัลกอริทึมเปลี่ยนโฉมวงการข่าว
    🔹 เทคโนโลยี AI ช่วยให้ ข่าวถูกสร้าง และกระจายได้รวดเร็วขึ้น
    🔹 แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ใช้อัลกอริทึมในการเลือกนำเสนอข่าว ที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ แต่ อาจทำให้ข่าวสารถูกบิดเบือ นและเกิด Echo Chamber (ห้องเสียงสะท้อน)

    🚨 ข่าวปลอม (Fake News) และ Deepfake
    🔹 ข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือนแพร่กระจาย ในโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว
    🔹 เทคโนโลยี Deepfake ทำให้เกิดวิดีโอปลอม ที่เลียนแบบบุคคลจริงได้อย่างแนบเนียน
    🔹 นักข่าวต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล อย่างเข้มงวด

    💰 รายได้จากโฆษณาของสื่อดั้งเดิมลดลง
    🔹 หนังสือพิมพ์ และสื่อโทรทัศน์สูญเสียรายได้ ให้กับแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Facebook, Google
    🔹 นักข่าวต้องปรับตัวไปสู่การสร้างรายได้ ผ่านช่องทางออนไลน์ และการสมัครสมาชิก (Subscription-Based Media)

    🏛 แรงกดดันจากอำนาจรัฐและกลุ่มทุน
    🔹 นักข่าวบางคนอาจถูกคุกคาม หากรายงานข่าวที่กระทบต่อผู้มีอำนาจ
    🔹 สื่อบางสำนัก อาจถูกควบคุมโดยกลุ่มทุน ทำให้เสรีภาพทางข่าวสารถูกจำกัด

    ✅ แนวทางในการพัฒนาวงการสื่อมวลชนไทย
    ✔ สร้างมาตรฐานทางจริยธรรม นักข่าวต้องรักษาความเป็นกลาง และความถูกต้องของข้อมูล
    ✔ ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเข้มงวด ป้องกันการแพร่กระจายของข่าวปลอม
    ✔ ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ เช่น AI ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร
    ✔ พัฒนาทักษะนักข่าวให้ทันสมัย ให้สามารถปรับตัวเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัล

    🎯 "นักข่าว" อาชีพที่ขับเคลื่อนความจริงและสังคมไทย
    👥 นักข่าวเป็นอาชีพที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคม
    📢 พวกเขาทำหน้าที่รายงานข้อเท็จจริง คัดกรองข่าวสาร และตรวจสอบอำนาจ
    🌍 ในยุค AI สื่อมวลชนต้องเผชิญกับ Fake News การคุกคามจากอำนาจรัฐ และความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
    📌 อย่างไรก็ตาม จริยธรรม ความกล้าหาญ และการยึดมั่นในความจริง จะทำให้สื่อมวลชน ยังคงเป็นเสาหลักของประชาธิปไตย

    💡 "เพราะข่าวที่ดี ไม่ใช่แค่ข่าวที่เร็ว แต่ต้องเป็นข่าวที่ถูกต้อง"

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 051127 มี.ค. 2568

    🔖 #วันนักข่าว #นักข่าวไทย #สื่อมวลชน #FreedomOfPress #AIกับสื่อ #ข่าวปลอม #FakeNews #Deepfake #PressFreedom #MediaEthics
    5 มีนาคม “วันนักข่าว” กับบทบาทสื่อมวลชนในยุค AI เผยความจริง สิ่งลวงตา และการถ่วงดุลอำนาจ 📅 วันที่ 5 มีนาคมของทุกปี ถือเป็น "วันนักข่าว" หรือ "วันสื่อสารมวลชนแห่งชาติ" ในประเทศไทย ซึ่งเป็นวันสำคัญของวงการสื่อสารมวลชน โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากวันสถาปนา สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2498 ปัจจุบัน บทบาทของนักข่าวและสื่อมวลชน กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในยุคดิจิทัล และเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) ที่ไร้พรมแดน ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทั้งข้อเท็จจริงและข่าวลวง (Fake News) บทบาทของสื่อ จึงไม่ใช่เพียงรายงานข่าวเท่านั้น แต่ต้องทำหน้าที่คัดกรอง ตรวจสอบ และถ่วงดุลอำนาจ เพื่อให้สังคมได้รับข้อมูลที่ถูกต้อ งและเป็นธรรม 📖 ความเป็นมาของวันนักข่าว จุดกำเนิดของวันนักข่าวในไทย 🎙 สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ปัจจุบันคือ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นโดยนักข่าวรุ่นบุกเบิก 15 คน ที่รวมตัวกันที่ศาลานเรศวร ในสวนลุมพินี โดยมี นายชาญ สินศุข จากสยามนิกร เป็นประธานการประชุม 🔹 ในอดีต หนังสือพิมพ์ไทยยึดถือธรรมเนียมว่า วันที่ 6 มีนาคม ของทุกปี จะเป็นวันหยุดงานของนักข่าว และจะไม่มีหนังสือพิมพ์วางจำหน่าย แต่เมื่อเวลาผ่านไป สังคมมีความต้องการบริโภคข่าวสารมากขึ้น ทำให้ต้องยุติธรรมเนียมนี้ไป 🔹 ต่อมา ในปี พ.ศ. 2542 สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ได้รวมตัวกับ สมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และกำหนดให้วันที่ 5 มีนาคม เป็นวันนักข่าว อย่างเป็นทางการจนถึงปัจจุบัน 🎥 บทบาทสำคัญของนักข่าวในสังคมไทย นักข่าวไม่ได้เป็นเพียงผู้รายงานข่าว แต่ยังมีบทบาทสำคัญในหลายมิติของสังคม ตั้งแต่การเฝ้าระวังอำนาจ การเปิดโปงความจริง ไปจนถึงการสร้างความตระหนักรู้ และขับเคลื่อนสังคม 🏛 เฝ้าระวังและตรวจสอบอำนาจ (Watchdog Journalism) ✅ นักข่าวทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่าง ๆ ✅ เปิดโปงการทุจริต คอร์รัปชัน และความไม่ชอบมาพากลในสังคม ✅ ปกป้องประชาชน จากการถูกเอารัดเอาเปรียบ 📰 ให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจของประชาชน ✅ รายงานข่าวสารด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ✅ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล การเลือกตั้ง และภัยพิบัติ ✅ ช่วยให้ประชาชนตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง บนพื้นฐานของข้อมูลที่น่าเชื่อถือ 🚨 สร้างกระแส และกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ✅ นำเสนอปัญหาสำคัญ เช่น ความเหลื่อมล้ำ สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม ✅ กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย และการแก้ไขปัญหา ✅ เป็นช่องทางในการเรียกร้องความเป็นธรรม ให้กับประชาชน 🎤 เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน ✅ นำเสนอเรื่องราวของผู้ด้อยโอกาส และกลุ่มที่ถูกกดขี่ ✅ ให้พื้นที่แก่ประชาชน ในการแสดงความคิดเห็น ✅ ช่วยให้เสียงของประชาชน ถูกได้ยินในเวทีสาธารณะ 🔓 สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ✅ สื่อมวลชนเป็นหัวใจของ ประชาธิปไตย ✅ หากปราศจากเสรีภาพทางสื่อ สังคมอาจถูกควบคุมโดยข้อมูลฝ่ายเดียว ✅ นักข่าวต้องกล้าหาญ และยืนหยัดในการรายงานความจริง 🌍 ยุค AI กับความท้าทายของสื่อมวลชน 🤖 AI และอัลกอริทึมเปลี่ยนโฉมวงการข่าว 🔹 เทคโนโลยี AI ช่วยให้ ข่าวถูกสร้าง และกระจายได้รวดเร็วขึ้น 🔹 แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ใช้อัลกอริทึมในการเลือกนำเสนอข่าว ที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ แต่ อาจทำให้ข่าวสารถูกบิดเบือ นและเกิด Echo Chamber (ห้องเสียงสะท้อน) 🚨 ข่าวปลอม (Fake News) และ Deepfake 🔹 ข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือนแพร่กระจาย ในโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว 🔹 เทคโนโลยี Deepfake ทำให้เกิดวิดีโอปลอม ที่เลียนแบบบุคคลจริงได้อย่างแนบเนียน 🔹 นักข่าวต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล อย่างเข้มงวด 💰 รายได้จากโฆษณาของสื่อดั้งเดิมลดลง 🔹 หนังสือพิมพ์ และสื่อโทรทัศน์สูญเสียรายได้ ให้กับแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Facebook, Google 🔹 นักข่าวต้องปรับตัวไปสู่การสร้างรายได้ ผ่านช่องทางออนไลน์ และการสมัครสมาชิก (Subscription-Based Media) 🏛 แรงกดดันจากอำนาจรัฐและกลุ่มทุน 🔹 นักข่าวบางคนอาจถูกคุกคาม หากรายงานข่าวที่กระทบต่อผู้มีอำนาจ 🔹 สื่อบางสำนัก อาจถูกควบคุมโดยกลุ่มทุน ทำให้เสรีภาพทางข่าวสารถูกจำกัด ✅ แนวทางในการพัฒนาวงการสื่อมวลชนไทย ✔ สร้างมาตรฐานทางจริยธรรม นักข่าวต้องรักษาความเป็นกลาง และความถูกต้องของข้อมูล ✔ ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเข้มงวด ป้องกันการแพร่กระจายของข่าวปลอม ✔ ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ เช่น AI ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร ✔ พัฒนาทักษะนักข่าวให้ทันสมัย ให้สามารถปรับตัวเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัล 🎯 "นักข่าว" อาชีพที่ขับเคลื่อนความจริงและสังคมไทย 👥 นักข่าวเป็นอาชีพที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคม 📢 พวกเขาทำหน้าที่รายงานข้อเท็จจริง คัดกรองข่าวสาร และตรวจสอบอำนาจ 🌍 ในยุค AI สื่อมวลชนต้องเผชิญกับ Fake News การคุกคามจากอำนาจรัฐ และความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี 📌 อย่างไรก็ตาม จริยธรรม ความกล้าหาญ และการยึดมั่นในความจริง จะทำให้สื่อมวลชน ยังคงเป็นเสาหลักของประชาธิปไตย 💡 "เพราะข่าวที่ดี ไม่ใช่แค่ข่าวที่เร็ว แต่ต้องเป็นข่าวที่ถูกต้อง" ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 051127 มี.ค. 2568 🔖 #วันนักข่าว #นักข่าวไทย #สื่อมวลชน #FreedomOfPress #AIกับสื่อ #ข่าวปลอม #FakeNews #Deepfake #PressFreedom #MediaEthics
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1077 มุมมอง 0 รีวิว
  • “โรงพิมพ์รุ่งศิลป์” แจ้งความ “องค์การค้า สกสค.” งุบงิบ เปิดซองราคาพิมพ์แบบเรียน
    .
    “โรงพิมพ์รุ่งศิลป์” โร่แจ้งความ หลัง “องค์การค้าของ สกสค.” ไม่ให้ร่วมสังเกตการณ์เปิดซองประมูลโครงการพิมพ์แบบเรียนปี 68 ชี้ส่อขัด พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ หวั่นไม่โปร่งใส แถมไม่มีการทำข้อตกลงคุณธรรม ที่ กม.ฉบับเดียวกำหนดว่า โครงการเกิน 1 พันล้านบ. ต้องจัดทำเพื่อป้องกันการทุจริต
    .
    ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (องค์การค้าของ สกสค.) เปิดประกวดราคาจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียน ปีการศึกษา 2568 จำนวน 145 รายการ วงเงินงบประมาณ 1,060 ล้านบาท ด้วยวิธีคัดเลือก โดยได้เปิดรับข้อเสนอจากบริษัทที่ได้รับการเชิญชวนเมื่อวันที่ 24 ก.พ.68 ที่ผ่านมานั้น
    .
    น.ส.ภัทรพร ธนสารสาคร ผู้รับมอบอำนาจจาก บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) จำกัด เปิดเผยว่า โรงพิมพ์รุ่งศิลป์ เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการเชิญชวนจากองค์การค้าของ สกสค.ให้เข้าร่วมเสนอราคาพิมพ์หนังสือแบบเรียน ปีการศึกษา 2568 จำนวน 145 รายการ และได้เข้ายื่นซองประมูลในช่วงเช้าของวันที่ 24 ก.พ.68 ตามกำหนดเวลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามในช่วงบ่ายซึ่งทาง องค์การค้าของ สกสค. จะมีการเปิดซองเสนอราคาของผู้เข้าร่วมประมูล โรงพิมพ์รุ่งศิลป์ กลับได้รับแจ้งว่าไม่สามารถร่วมสังเกตการณ์ได้ ทั้งที่ตามระเบียบปฏิบัติในมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 (พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ) หมวด 2 การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและผู้ประกอบการในการป้องกันการทุจริต โดยในมาตรา 16 ระบุว่า “เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ให้หน่วยงานของรัฐจัดให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการสังเกตการณ์ขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใดของการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐตามที่กำหนดไว้ในหมวดนี้”
    .
    “หลังยื่นซองราคาแล้ว จู่ๆ เจ้าหน้าที่ก็มาแจ้งกับบริษัทฯ ว่าไม่ให้อยู่ร่วมสังเกตการณ์ประมูล ทั้งที่ตามระเบียบต้องกระทำอย่างโปร่งใส ให้ผู้เข้าร่วมประมูลได้สังเกตการณ์ เห็นว่าอาจมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น และอาจส่งผลให้ โรงพิมพ์รุ่งศิลป์ ได้รับความเสียหาย จึงได้เข้าแจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่ สน.ลาดพร้าว” น.ส.ภัทรพร ระบุ
    .
    น.ส.ภัทรพร ยังตั้งข้อสังเกตว่า โครงการประกวดราคาจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียน ปีการศึกษา 2568 จำนวน 145 รายการ วงเงินงบประมาณ 1,060 ล้านบาท ด้วยวิธีการคัดเลือกครั้งนี้ ไม่มีการปฏิบัติตาม ข้อตกลงคุณธรรม ที่ระบุไว้ใน มาตรา 17-18 แห่ง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ทั้งที่เป็นโครงการที่มีงบประมาณมากกว่า 1 พันล้านบาท เข้าเกณฑ์ต้องจัดทำ ข้อตกลงคุณธรรม ตามโครงการความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการและผู้ประกอบการที่จะเข้ายื่นข้อเสนอ ที่ต้องตกลงกันว่าจะไม่กระทำการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง และให้มีผู้สังเกตการณ์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ ที่จำเป็นต่อโครงการจัดซื้อจัดจ้างนั้น ๆ เข้าร่วมสังเกตการณ์ในการจัดซื้อจัดจ้าง
    ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดำาร่างขอบเขตของงาน (ทีโออาร์) จนสิ้นสุดโครงการ
    .
    ”การที่ องค์การค้าฯ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายให้มีข้อตกลงคุณธรรม ก็เกรงว่าจะทำให้โครงการพิมพ์แบบเรียนปี 68 ครั้งนี้จะมีปัญหาขึ้นมาอีก หลังจากที่ได้ยกเลิกผลการประกวดราคาด้วยวิธี e-bidding มาแล้ว รวมทั้งในช่วง 2-3 ปีหลังที่โครงการพิมพ์แบบเรียนมีปัญหาความไม่ชอบมาพากลมาโดยตลอด“ น.ส.ภัทรพร ระบุ.
    ............
    Sondhi X
    “โรงพิมพ์รุ่งศิลป์” แจ้งความ “องค์การค้า สกสค.” งุบงิบ เปิดซองราคาพิมพ์แบบเรียน . “โรงพิมพ์รุ่งศิลป์” โร่แจ้งความ หลัง “องค์การค้าของ สกสค.” ไม่ให้ร่วมสังเกตการณ์เปิดซองประมูลโครงการพิมพ์แบบเรียนปี 68 ชี้ส่อขัด พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ หวั่นไม่โปร่งใส แถมไม่มีการทำข้อตกลงคุณธรรม ที่ กม.ฉบับเดียวกำหนดว่า โครงการเกิน 1 พันล้านบ. ต้องจัดทำเพื่อป้องกันการทุจริต . ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (องค์การค้าของ สกสค.) เปิดประกวดราคาจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียน ปีการศึกษา 2568 จำนวน 145 รายการ วงเงินงบประมาณ 1,060 ล้านบาท ด้วยวิธีคัดเลือก โดยได้เปิดรับข้อเสนอจากบริษัทที่ได้รับการเชิญชวนเมื่อวันที่ 24 ก.พ.68 ที่ผ่านมานั้น . น.ส.ภัทรพร ธนสารสาคร ผู้รับมอบอำนาจจาก บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) จำกัด เปิดเผยว่า โรงพิมพ์รุ่งศิลป์ เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการเชิญชวนจากองค์การค้าของ สกสค.ให้เข้าร่วมเสนอราคาพิมพ์หนังสือแบบเรียน ปีการศึกษา 2568 จำนวน 145 รายการ และได้เข้ายื่นซองประมูลในช่วงเช้าของวันที่ 24 ก.พ.68 ตามกำหนดเวลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามในช่วงบ่ายซึ่งทาง องค์การค้าของ สกสค. จะมีการเปิดซองเสนอราคาของผู้เข้าร่วมประมูล โรงพิมพ์รุ่งศิลป์ กลับได้รับแจ้งว่าไม่สามารถร่วมสังเกตการณ์ได้ ทั้งที่ตามระเบียบปฏิบัติในมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 (พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ) หมวด 2 การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและผู้ประกอบการในการป้องกันการทุจริต โดยในมาตรา 16 ระบุว่า “เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ให้หน่วยงานของรัฐจัดให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการสังเกตการณ์ขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใดของการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐตามที่กำหนดไว้ในหมวดนี้” . “หลังยื่นซองราคาแล้ว จู่ๆ เจ้าหน้าที่ก็มาแจ้งกับบริษัทฯ ว่าไม่ให้อยู่ร่วมสังเกตการณ์ประมูล ทั้งที่ตามระเบียบต้องกระทำอย่างโปร่งใส ให้ผู้เข้าร่วมประมูลได้สังเกตการณ์ เห็นว่าอาจมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น และอาจส่งผลให้ โรงพิมพ์รุ่งศิลป์ ได้รับความเสียหาย จึงได้เข้าแจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่ สน.ลาดพร้าว” น.ส.ภัทรพร ระบุ . น.ส.ภัทรพร ยังตั้งข้อสังเกตว่า โครงการประกวดราคาจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียน ปีการศึกษา 2568 จำนวน 145 รายการ วงเงินงบประมาณ 1,060 ล้านบาท ด้วยวิธีการคัดเลือกครั้งนี้ ไม่มีการปฏิบัติตาม ข้อตกลงคุณธรรม ที่ระบุไว้ใน มาตรา 17-18 แห่ง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ทั้งที่เป็นโครงการที่มีงบประมาณมากกว่า 1 พันล้านบาท เข้าเกณฑ์ต้องจัดทำ ข้อตกลงคุณธรรม ตามโครงการความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการและผู้ประกอบการที่จะเข้ายื่นข้อเสนอ ที่ต้องตกลงกันว่าจะไม่กระทำการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง และให้มีผู้สังเกตการณ์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ ที่จำเป็นต่อโครงการจัดซื้อจัดจ้างนั้น ๆ เข้าร่วมสังเกตการณ์ในการจัดซื้อจัดจ้าง ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดำาร่างขอบเขตของงาน (ทีโออาร์) จนสิ้นสุดโครงการ . ”การที่ องค์การค้าฯ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายให้มีข้อตกลงคุณธรรม ก็เกรงว่าจะทำให้โครงการพิมพ์แบบเรียนปี 68 ครั้งนี้จะมีปัญหาขึ้นมาอีก หลังจากที่ได้ยกเลิกผลการประกวดราคาด้วยวิธี e-bidding มาแล้ว รวมทั้งในช่วง 2-3 ปีหลังที่โครงการพิมพ์แบบเรียนมีปัญหาความไม่ชอบมาพากลมาโดยตลอด“ น.ส.ภัทรพร ระบุ. ............ Sondhi X
    Like
    Love
    16
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2390 มุมมอง 0 รีวิว
  • จับผิดฮั้วเลือก ส.ว.สายสีน้ำเงินขยับ "นันทนา" เชียร์ดีเอสไอ
    .
    ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ของส.ว.บางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ที่เข้ามาตรวจสอบกระบวนการเลือกส.ว. ปรากฎว่ายังมีส.ว.อีกส่วนหนึ่งที่สนับสนุนการทำงานของดีเอสไอ นำโดย น.ส.นันทนา นันทวโรภาส ส.ว.ในกลุ่มอิสระ ซึ่งระบุว่า เดิมทีทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการสืบสวน สอบสวนการทุจริตเลือกตั้งต่างๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป 7 เดือนแล้ว กกต.ยังเงียบอยู่ ทำให้มีประชาชนเริ่มกังขาการทำหน้าที่ของ กกต. และการที่ดีเอสไอแสดงท่าทีว่าจะเข้ามารับทำคดีนี้ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชนที่เขามีข้อสงสัยเกี่ยวกับการได้มาซึ่ง ส.ว.ชุดนี้
    .
    "ส่วนกระบวนการที่ดีเอสไอจะดำเนินการสืบสวนนั้น เข้าใจว่าเป็นเรื่องทางคดีอาญาเกี่ยวกับการอั้งยี่ที่แยกออกจากเรื่องคดีเลือกตั้ง ซึ่งหากทางดีเอสไอเข้ามาดำเนินการและสามารถทำให้คลายข้อสงสัยของประชาชนจำนวนมากได้ ก็เห็นด้วย"
    .
    "ส่วนตัวเห็นว่ากระบวนการได้มาซึ่ง ส.ว.ตรงนี้มันวิปริตบิดเบี้ยวไปตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ นั่นคือเป็นกระบวนการที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วม เพราะเป็นคนที่สมัคร จ่ายเงิน และเข้ามาเลือกกันเอง ฉะนั้น หากกระบวนการไปถึงขั้นตอนที่พบว่ามีความผิดปกติ ไม่ชอบมาพากล และต้องมีการล้มกระดาน คิดว่าก่อนที่จะมีการล้มกระดานควรจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการได้มาซึ่ง ส.ว. เพื่อเปลี่ยนกติกาก่อน เพราะหากมีการล้มกระดานจริง แต่ยังใช้กติกาเดิม มันก็เหมือนเดิม ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร" ส.ว.นันทนา ระบุ
    .
    ขณะเดียวกัน มีรายงานจากวุฒิสภาว่า นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ประธานคณะกรรมาธิการคมนาคม วุฒิสภา ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการประสานงานวุฒิสภาหรือ วิปวุฒิสภา ได้นัดหารือวิปวุฒิสภา เป็นกรณีพิเศษ ในวันจันทร์ที่ 24 ก.พ.นี้ ที่ห้องประชุม 406-407 ตึกวุฒิสภา เวลา 08.00 น. ที่เป็นช่วงก่อนเข้าประชุมวุฒิสภา โดยได้มีการส่งข้อความถึงสว.ที่อยู่ในวิปวุฒิสภาให้แจ้งการเข้าประชุม โดยหากใครลาการประชุมขอให้แจ้งล่วงหน้า ซึ่งเดิมที วิปวุฒิสภา จะนัดประชุมวันที่ 26 ก.พ.แต่ได้เลื่อนมาเป็น 24 ก.พ. หลังคณะกรรมการคดีพิเศษ หรือบอร์ดดีเอสไอ นัดประชุมวันที่ 25 ก.พ. เพื่อลงมติว่าจะรับเรื่องการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้าสอบสวนการเลือกสว.ชุดปัจจุบันเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งการจะรับเป็นคดีพิเศษ ต้องใช้เสียงของกรรมการอย่างน้อย 2 ใน 3 จากกรรมการที่มีอยู่ 22 คนหรือประมาณ 15 เสียง ดีเอสไอถึงเข้าสอบสวนได้ แต่ต้องจับตาว่าจะมีกรรมการเข้าประชุมครบหรือไม่
    .
    นอกจากนี้ ยังมีการรายงานอีกว่า ได้มีการขอความร่วมมือจากกลุ่มส.ว.ให้งดการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนไว้ก่อน เพื่อรอฟังมติที่ประชุมบอร์ดดีเอสไอในวันอังคารที่ 25 ก.พ.
    .............
    Sondhi X
    จับผิดฮั้วเลือก ส.ว.สายสีน้ำเงินขยับ "นันทนา" เชียร์ดีเอสไอ . ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ของส.ว.บางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ที่เข้ามาตรวจสอบกระบวนการเลือกส.ว. ปรากฎว่ายังมีส.ว.อีกส่วนหนึ่งที่สนับสนุนการทำงานของดีเอสไอ นำโดย น.ส.นันทนา นันทวโรภาส ส.ว.ในกลุ่มอิสระ ซึ่งระบุว่า เดิมทีทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการสืบสวน สอบสวนการทุจริตเลือกตั้งต่างๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป 7 เดือนแล้ว กกต.ยังเงียบอยู่ ทำให้มีประชาชนเริ่มกังขาการทำหน้าที่ของ กกต. และการที่ดีเอสไอแสดงท่าทีว่าจะเข้ามารับทำคดีนี้ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชนที่เขามีข้อสงสัยเกี่ยวกับการได้มาซึ่ง ส.ว.ชุดนี้ . "ส่วนกระบวนการที่ดีเอสไอจะดำเนินการสืบสวนนั้น เข้าใจว่าเป็นเรื่องทางคดีอาญาเกี่ยวกับการอั้งยี่ที่แยกออกจากเรื่องคดีเลือกตั้ง ซึ่งหากทางดีเอสไอเข้ามาดำเนินการและสามารถทำให้คลายข้อสงสัยของประชาชนจำนวนมากได้ ก็เห็นด้วย" . "ส่วนตัวเห็นว่ากระบวนการได้มาซึ่ง ส.ว.ตรงนี้มันวิปริตบิดเบี้ยวไปตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ นั่นคือเป็นกระบวนการที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วม เพราะเป็นคนที่สมัคร จ่ายเงิน และเข้ามาเลือกกันเอง ฉะนั้น หากกระบวนการไปถึงขั้นตอนที่พบว่ามีความผิดปกติ ไม่ชอบมาพากล และต้องมีการล้มกระดาน คิดว่าก่อนที่จะมีการล้มกระดานควรจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการได้มาซึ่ง ส.ว. เพื่อเปลี่ยนกติกาก่อน เพราะหากมีการล้มกระดานจริง แต่ยังใช้กติกาเดิม มันก็เหมือนเดิม ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร" ส.ว.นันทนา ระบุ . ขณะเดียวกัน มีรายงานจากวุฒิสภาว่า นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ประธานคณะกรรมาธิการคมนาคม วุฒิสภา ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการประสานงานวุฒิสภาหรือ วิปวุฒิสภา ได้นัดหารือวิปวุฒิสภา เป็นกรณีพิเศษ ในวันจันทร์ที่ 24 ก.พ.นี้ ที่ห้องประชุม 406-407 ตึกวุฒิสภา เวลา 08.00 น. ที่เป็นช่วงก่อนเข้าประชุมวุฒิสภา โดยได้มีการส่งข้อความถึงสว.ที่อยู่ในวิปวุฒิสภาให้แจ้งการเข้าประชุม โดยหากใครลาการประชุมขอให้แจ้งล่วงหน้า ซึ่งเดิมที วิปวุฒิสภา จะนัดประชุมวันที่ 26 ก.พ.แต่ได้เลื่อนมาเป็น 24 ก.พ. หลังคณะกรรมการคดีพิเศษ หรือบอร์ดดีเอสไอ นัดประชุมวันที่ 25 ก.พ. เพื่อลงมติว่าจะรับเรื่องการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้าสอบสวนการเลือกสว.ชุดปัจจุบันเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งการจะรับเป็นคดีพิเศษ ต้องใช้เสียงของกรรมการอย่างน้อย 2 ใน 3 จากกรรมการที่มีอยู่ 22 คนหรือประมาณ 15 เสียง ดีเอสไอถึงเข้าสอบสวนได้ แต่ต้องจับตาว่าจะมีกรรมการเข้าประชุมครบหรือไม่ . นอกจากนี้ ยังมีการรายงานอีกว่า ได้มีการขอความร่วมมือจากกลุ่มส.ว.ให้งดการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนไว้ก่อน เพื่อรอฟังมติที่ประชุมบอร์ดดีเอสไอในวันอังคารที่ 25 ก.พ. ............. Sondhi X
    Like
    Haha
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2286 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกมเก็บเหรียญ Jagat น่าสงสัยความเสี่ยงสูง

    Jagat ภาษาอินโดนีเซียแปลว่าจักรวาล ระบุตัวเองว่าเป็นแอปพลิเคชันค้นหาครอบครัวและเพื่อน แต่มีกิจกรรมที่ชื่อว่า Jagat Coin Hunt เปิดให้ทำภารกิจล่าเหรียญเมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ และเชียงราย โดยนำเหรียญที่จัดทำขึ้นไปซุกซ่อนตามสถานที่ต่างๆ แล้วให้คนที่เล่นเกมไปตามหาเหรียญบนแผนที่ เปิดระบบตั้งแต่เวลา 08.00-24.00 น. เมื่อพบเหรียญจะต้องกรอกรหัสบนเหรียญ ถ่ายคลิปและภาพนิ่งลงในติ๊กต็อกพร้อมแฮชแท็กที่กำหนด จะได้เงินรางวัลตั้งแต่ 500 บาท ถึง 200,000 บาท

    เมื่อมีการโปรโมตเกมผ่านติ๊กต็อก ทำให้วัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา คนทำงาน รวมทั้งคนที่ทำอาชีพอิสระ เช่น ไรเดอร์ ออกตามหาเหรียญโดยรวมตัวกันในสถานที่ซึ่งถูกบอกใบ้ว่ามีเหรียญซ่อนอยู่จำนวนมาก และบุกรุกพื้นที่ส่วนบุคคลสร้างความเดือดร้อนรำคาญ หรือบางคนรื้อสถานที่สาธารณะทั้งต้นไม้ใบหญ้า งัดฝาท่อ งัดอิฐตัวหนอน งัดเก้าอี้ ทรัพย์สินเสียหาย ที่น่าเป็นห่วงคือเยาวชนต่างโดดเรียนเพื่อตามหาเหรียญโดยไม่บอกผู้ปกครอง ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายต่อสังคม

    แอปพลิเคชัน Jagat พัฒนาโดยบริษัท JAGAT TECHNOLOGY PTE. LTD. จดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ ใช้ที่อยู่ในอาคาร OUE Downtown ข้อมูลจาก RocketReach ระบุว่าประธานบริษัทคือ Barry Beagen อยู่ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และซีอีโอคือ Xing Loy อยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ มีพนักงานจำนวน 19 คน จากการค้นหาเว็บไซต์ LinkedIn พบว่าพนักงานมีทั้งอยู่ในอินโดนีเซีย ประเทศจีน (เมืองเฉินตู มณฑลเสฉวน) สิงคโปร์ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม แต่ไม่พบว่าจดทะเบียนหรือประกอบธุรกิจในประเทศไทย

    ที่น่าเป็นห่วงก็คือ จากการนำเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 พบว่าไม่ชอบมาพากลหลายเรื่อง อาทิ การให้เสียเงินจำนวนมากเพื่อบอกคำใบ้ที่ซ่อนเหรียญ เริ่มต้นที่ 149 บาท ถ้าต้องการคำใบ้เพิ่ม ต้องซื้อเพิ่มตั้งแต่ 29 ถึง 300 บาท ซึ่งมีเยาวชนจำนวนมากเสียเงินเพื่อซื้อคำใบ้ ส่วนผู้สื่อข่าวพอพบเหรียญกลับถูกยกเลิกเพราะผู้ดูแลระบบรู้ว่าเป็นผู้สื่อข่าว การเพิ่มเพื่อนที่พบว่ามีข้อมูลส่วนบุคคลหลายอย่าง อีกฝ่ายสามารถติดตามได้ถ้าเสียเงินสมัครสมาชิก ทั้งการเคลื่อนย้าย พิกัดโลเกชัน การใช้โทรศัพท์ การชาร์จแบตเตอรี แม้กระทั่งการนอนหลับและการตื่นนอน ซึ่งเป็นอันตรายสำหรับคนที่ประสงค์ร้ายต่อเด็ก

    ล่าสุดพบว่าการโอนเงินรางวัลผ่านทรูวอลเล็ตไม่ใช่บัญชีบริษัท แต่เป็นบุคคลสัญชาติไทย และมีผู้ได้รับเงินรางวัลรายหนึ่ง ไปให้การกับตำรวจไซเบอร์ตามหมายเรียก แล้วถูกผู้ดูแลระบบตัดออกจากเกม

    #Newskit
    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    เกมเก็บเหรียญ Jagat น่าสงสัยความเสี่ยงสูง Jagat ภาษาอินโดนีเซียแปลว่าจักรวาล ระบุตัวเองว่าเป็นแอปพลิเคชันค้นหาครอบครัวและเพื่อน แต่มีกิจกรรมที่ชื่อว่า Jagat Coin Hunt เปิดให้ทำภารกิจล่าเหรียญเมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ และเชียงราย โดยนำเหรียญที่จัดทำขึ้นไปซุกซ่อนตามสถานที่ต่างๆ แล้วให้คนที่เล่นเกมไปตามหาเหรียญบนแผนที่ เปิดระบบตั้งแต่เวลา 08.00-24.00 น. เมื่อพบเหรียญจะต้องกรอกรหัสบนเหรียญ ถ่ายคลิปและภาพนิ่งลงในติ๊กต็อกพร้อมแฮชแท็กที่กำหนด จะได้เงินรางวัลตั้งแต่ 500 บาท ถึง 200,000 บาท เมื่อมีการโปรโมตเกมผ่านติ๊กต็อก ทำให้วัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา คนทำงาน รวมทั้งคนที่ทำอาชีพอิสระ เช่น ไรเดอร์ ออกตามหาเหรียญโดยรวมตัวกันในสถานที่ซึ่งถูกบอกใบ้ว่ามีเหรียญซ่อนอยู่จำนวนมาก และบุกรุกพื้นที่ส่วนบุคคลสร้างความเดือดร้อนรำคาญ หรือบางคนรื้อสถานที่สาธารณะทั้งต้นไม้ใบหญ้า งัดฝาท่อ งัดอิฐตัวหนอน งัดเก้าอี้ ทรัพย์สินเสียหาย ที่น่าเป็นห่วงคือเยาวชนต่างโดดเรียนเพื่อตามหาเหรียญโดยไม่บอกผู้ปกครอง ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายต่อสังคม แอปพลิเคชัน Jagat พัฒนาโดยบริษัท JAGAT TECHNOLOGY PTE. LTD. จดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ ใช้ที่อยู่ในอาคาร OUE Downtown ข้อมูลจาก RocketReach ระบุว่าประธานบริษัทคือ Barry Beagen อยู่ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และซีอีโอคือ Xing Loy อยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ มีพนักงานจำนวน 19 คน จากการค้นหาเว็บไซต์ LinkedIn พบว่าพนักงานมีทั้งอยู่ในอินโดนีเซีย ประเทศจีน (เมืองเฉินตู มณฑลเสฉวน) สิงคโปร์ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม แต่ไม่พบว่าจดทะเบียนหรือประกอบธุรกิจในประเทศไทย ที่น่าเป็นห่วงก็คือ จากการนำเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 พบว่าไม่ชอบมาพากลหลายเรื่อง อาทิ การให้เสียเงินจำนวนมากเพื่อบอกคำใบ้ที่ซ่อนเหรียญ เริ่มต้นที่ 149 บาท ถ้าต้องการคำใบ้เพิ่ม ต้องซื้อเพิ่มตั้งแต่ 29 ถึง 300 บาท ซึ่งมีเยาวชนจำนวนมากเสียเงินเพื่อซื้อคำใบ้ ส่วนผู้สื่อข่าวพอพบเหรียญกลับถูกยกเลิกเพราะผู้ดูแลระบบรู้ว่าเป็นผู้สื่อข่าว การเพิ่มเพื่อนที่พบว่ามีข้อมูลส่วนบุคคลหลายอย่าง อีกฝ่ายสามารถติดตามได้ถ้าเสียเงินสมัครสมาชิก ทั้งการเคลื่อนย้าย พิกัดโลเกชัน การใช้โทรศัพท์ การชาร์จแบตเตอรี แม้กระทั่งการนอนหลับและการตื่นนอน ซึ่งเป็นอันตรายสำหรับคนที่ประสงค์ร้ายต่อเด็ก ล่าสุดพบว่าการโอนเงินรางวัลผ่านทรูวอลเล็ตไม่ใช่บัญชีบริษัท แต่เป็นบุคคลสัญชาติไทย และมีผู้ได้รับเงินรางวัลรายหนึ่ง ไปให้การกับตำรวจไซเบอร์ตามหมายเรียก แล้วถูกผู้ดูแลระบบตัดออกจากเกม #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 893 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟันธง “แตงโม" ถูกฆาตกรรม มีเงื่อนงำพิรุธ.ที่ผ่านมา ผมพูดถึงประเด็นไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโม ภัทริดา ผมพูดเรื่องนี้มาเมื่อ 2 ปี 9 เดือนที่แล้ว ผมเป็นสื่อมวลชนเพียงคนเดียวในประเทศไทยที่ใช้สัญชาติญาณบวกกับลางสังหรณ์ของตัวเองฟันธงลงไปว่า "แตงโม" เสียชีวิตจากเหตุฆาตกรรมอำพราง เธอไม่ได้ตายเพราะตกน้ำ โดนใบพัดปั่นที่ขา ระหว่างนั่งปัสสาวะที่ท้ายเรือแต่อย่างใด.ผมได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากลคล้ายๆกันคดีบอส อยู่วิทยา คือ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ในเวลานั้น ออกแอกชันลงมาควบคุมการสอบสวนด้วยตัวเอง แม้แตงโมจะเป็นดาราดัง เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ แต่ผมได้กลิ่นตุๆ อย่างผิดวิสัย ว่าทำไมระดับ ผบ.ตร. ถึงลงมาทำคดีนี้ด้วยตัวเอง ตำรวจระดับล่างทำไม่ได้หรือ เพราะถ้าคุณมั่นใจว่าเป็นเรื่องคนตกน้ำตาย.วันนี้ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หอบเอกสารหลักฐานชิ้นใหญ่หลายอย่างที่ได้มาจากการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ การหาข้อมูลเชิงเทคนิคตามหลักวิทยาศาสตร์ เอาเข้ามาให้กับอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กับทีมงาน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ช่วยพิจารณา เพื่อยืนยันว่าลางสังหรณ์จากสัญชาติญาณของผมมันเป็นความจริง.แต่ที่ผมพูดวันนี้ ผมพูดจากคำพิพากษาของศาลยกฟ้องคดีหมิ่นประมาทที่ตำรวจ 21 นายฟ้องคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ว่า การสืบสวนสอบสวนของตำรวจนั้น พยานหลักฐานการตายล้วนมีเงื่อนงำและมีพิรุธมากมาย นี่ผมไม่ได้เขียนเองหรือพูดเองนะ เป็นข้อความที่ระบุในคำพิพากษาศาลจริงๆ.ทำไมศาลจึงให้เหตุผลในคำพิพากษายกฟ้องนายอัจฉริยะ กับพวก แบบนี้ ? หลายๆ คนคงอยากรู้แล้วใช่ไหม เอาเป็นว่าคดีแตงโมนั้นมีพิรุธ มีเงื่อนงำอยู่มากมาย อยากรู้ต้องไปติดตามอาจารย์ปานเทพ อาจารย์ยิปมันของผม แห่งบ้านพระอาทิตย์ สัปดาห์หน้าน่าจะมีคำพูดใหม่ๆ เพียบ ที่คุณไม่เคยรับรู้มาก่อน
    ฟันธง “แตงโม" ถูกฆาตกรรม มีเงื่อนงำพิรุธ.ที่ผ่านมา ผมพูดถึงประเด็นไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโม ภัทริดา ผมพูดเรื่องนี้มาเมื่อ 2 ปี 9 เดือนที่แล้ว ผมเป็นสื่อมวลชนเพียงคนเดียวในประเทศไทยที่ใช้สัญชาติญาณบวกกับลางสังหรณ์ของตัวเองฟันธงลงไปว่า "แตงโม" เสียชีวิตจากเหตุฆาตกรรมอำพราง เธอไม่ได้ตายเพราะตกน้ำ โดนใบพัดปั่นที่ขา ระหว่างนั่งปัสสาวะที่ท้ายเรือแต่อย่างใด.ผมได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากลคล้ายๆกันคดีบอส อยู่วิทยา คือ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ในเวลานั้น ออกแอกชันลงมาควบคุมการสอบสวนด้วยตัวเอง แม้แตงโมจะเป็นดาราดัง เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ แต่ผมได้กลิ่นตุๆ อย่างผิดวิสัย ว่าทำไมระดับ ผบ.ตร. ถึงลงมาทำคดีนี้ด้วยตัวเอง ตำรวจระดับล่างทำไม่ได้หรือ เพราะถ้าคุณมั่นใจว่าเป็นเรื่องคนตกน้ำตาย.วันนี้ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หอบเอกสารหลักฐานชิ้นใหญ่หลายอย่างที่ได้มาจากการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ การหาข้อมูลเชิงเทคนิคตามหลักวิทยาศาสตร์ เอาเข้ามาให้กับอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กับทีมงาน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ช่วยพิจารณา เพื่อยืนยันว่าลางสังหรณ์จากสัญชาติญาณของผมมันเป็นความจริง.แต่ที่ผมพูดวันนี้ ผมพูดจากคำพิพากษาของศาลยกฟ้องคดีหมิ่นประมาทที่ตำรวจ 21 นายฟ้องคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ว่า การสืบสวนสอบสวนของตำรวจนั้น พยานหลักฐานการตายล้วนมีเงื่อนงำและมีพิรุธมากมาย นี่ผมไม่ได้เขียนเองหรือพูดเองนะ เป็นข้อความที่ระบุในคำพิพากษาศาลจริงๆ.ทำไมศาลจึงให้เหตุผลในคำพิพากษายกฟ้องนายอัจฉริยะ กับพวก แบบนี้ ? หลายๆ คนคงอยากรู้แล้วใช่ไหม เอาเป็นว่าคดีแตงโมนั้นมีพิรุธ มีเงื่อนงำอยู่มากมาย อยากรู้ต้องไปติดตามอาจารย์ปานเทพ อาจารย์ยิปมันของผม แห่งบ้านพระอาทิตย์ สัปดาห์หน้าน่าจะมีคำพูดใหม่ๆ เพียบ ที่คุณไม่เคยรับรู้มาก่อน
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 769 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟันธง“แตงโม"ถูกฆาตกรรม มีเงื่อนงำพิรุธ
    .
    ที่ผ่านมา ผมพูดถึงประเด็นไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโม ภัทริดา ผมพูดเรื่องนี้มาเมื่อ 2 ปี 9 เดือนที่แล้ว ผมเป็นสื่อมวลชนเพียงคนเดียวในประเทศไทยที่ใช้สัญชาติญาณบวกกับลางสังหรณ์ของตัวเองฟันธงลงไปว่า "แตงโม" เสียชีวิตจากเหตุฆาตกรรมอำพราง เธอไม่ได้ตายเพราะตกน้ำ โดนใบพัดปั่นที่ขา ระหว่างนั่งปัสสาวะที่ท้ายเรือแต่อย่างใด
    .
    ผมได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากลคล้ายๆกันคดีบอส อยู่วิทยา คือ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ในเวลานั้น ออกแอกชันลงมาควบคุมการสอบสวนด้วยตัวเอง แม้แตงโมจะเป็นดาราดัง เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ แต่ผมได้กลิ่นตุๆ อย่างผิดวิสัย ว่าทำไมระดับ ผบ.ตร. ถึงลงมาทำคดีนี้ด้วยตัวเอง ตำรวจระดับล่างทำไม่ได้หรือ เพราะถ้าคุณมั่นใจว่าเป็นเรื่องคนตกน้ำตาย
    .
    วันนี้ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หอบเอกสารหลักฐานชิ้นใหญ่หลายอย่างที่ได้มาจากการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ การหาข้อมูลเชิงเทคนิคตามหลักวิทยาศาสตร์ เอาเข้ามาให้กับอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กับทีมงาน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ช่วยพิจารณา เพื่อยืนยันว่าลางสังหรณ์จากสัญชาติญาณของผมมันเป็นความจริง
    .
    แต่ที่ผมพูดวันนี้ ผมพูดจากคำพิพากษาของศาลยกฟ้องคดีหมิ่นประมาทที่ตำรวจ 21 นายฟ้องคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ว่า การสืบสวนสอบสวนของตำรวจนั้น พยานหลักฐานการตายล้วนมีเงื่อนงำและมีพิรุธมากมาย นี่ผมไม่ได้เขียนเองหรือพูดเองนะ เป็นข้อความที่ระบุในคำพิพากษาศาลจริงๆ
    .
    ทำไมศาลจึงให้เหตุผลในคำพิพากษายกฟ้องนายอัจฉริยะ กับพวก แบบนี้ ? หลายๆ คนคงอยากรู้แล้วใช่ไหม เอาเป็นว่าคดีแตงโมนั้นมีพิรุธ มีเงื่อนงำอยู่มากมาย อยากรู้ต้องไปติดตามอาจารย์ปานเทพ อาจารย์ยิปมันของผม แห่งบ้านพระอาทิตย์ สัปดาห์หน้าน่าจะมีคำพูดใหม่ๆ เพียบ ที่คุณไม่เคยรับรู้มาก่อน
    ฟันธง“แตงโม"ถูกฆาตกรรม มีเงื่อนงำพิรุธ . ที่ผ่านมา ผมพูดถึงประเด็นไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโม ภัทริดา ผมพูดเรื่องนี้มาเมื่อ 2 ปี 9 เดือนที่แล้ว ผมเป็นสื่อมวลชนเพียงคนเดียวในประเทศไทยที่ใช้สัญชาติญาณบวกกับลางสังหรณ์ของตัวเองฟันธงลงไปว่า "แตงโม" เสียชีวิตจากเหตุฆาตกรรมอำพราง เธอไม่ได้ตายเพราะตกน้ำ โดนใบพัดปั่นที่ขา ระหว่างนั่งปัสสาวะที่ท้ายเรือแต่อย่างใด . ผมได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากลคล้ายๆกันคดีบอส อยู่วิทยา คือ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ในเวลานั้น ออกแอกชันลงมาควบคุมการสอบสวนด้วยตัวเอง แม้แตงโมจะเป็นดาราดัง เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ แต่ผมได้กลิ่นตุๆ อย่างผิดวิสัย ว่าทำไมระดับ ผบ.ตร. ถึงลงมาทำคดีนี้ด้วยตัวเอง ตำรวจระดับล่างทำไม่ได้หรือ เพราะถ้าคุณมั่นใจว่าเป็นเรื่องคนตกน้ำตาย . วันนี้ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หอบเอกสารหลักฐานชิ้นใหญ่หลายอย่างที่ได้มาจากการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ การหาข้อมูลเชิงเทคนิคตามหลักวิทยาศาสตร์ เอาเข้ามาให้กับอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กับทีมงาน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ช่วยพิจารณา เพื่อยืนยันว่าลางสังหรณ์จากสัญชาติญาณของผมมันเป็นความจริง . แต่ที่ผมพูดวันนี้ ผมพูดจากคำพิพากษาของศาลยกฟ้องคดีหมิ่นประมาทที่ตำรวจ 21 นายฟ้องคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ว่า การสืบสวนสอบสวนของตำรวจนั้น พยานหลักฐานการตายล้วนมีเงื่อนงำและมีพิรุธมากมาย นี่ผมไม่ได้เขียนเองหรือพูดเองนะ เป็นข้อความที่ระบุในคำพิพากษาศาลจริงๆ . ทำไมศาลจึงให้เหตุผลในคำพิพากษายกฟ้องนายอัจฉริยะ กับพวก แบบนี้ ? หลายๆ คนคงอยากรู้แล้วใช่ไหม เอาเป็นว่าคดีแตงโมนั้นมีพิรุธ มีเงื่อนงำอยู่มากมาย อยากรู้ต้องไปติดตามอาจารย์ปานเทพ อาจารย์ยิปมันของผม แห่งบ้านพระอาทิตย์ สัปดาห์หน้าน่าจะมีคำพูดใหม่ๆ เพียบ ที่คุณไม่เคยรับรู้มาก่อน
    Like
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1285 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขบวนการ"ตั้ม นรกแตก"ปมสอดไส้พินัยกรรม.เมื่อวันจันทร์ที่18พ.ย.นี้ พี่อ้อยมาเพื่อมาขอบคุณพวกผม ทีมงาน สื่อในเครือ ก่อนจะเดินทางกลับต่างประเทศครั้งนี้ นอกจากนี้แล้ว พี่อ้อยฝากขอบคุณสื่อมวลชนทั้งหลายทุกคนที่เกาะติด ช่วยกันขุดค้นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงของทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ที่กระทำการฉ้อโกงพี่อ้อย จตุพร จนตำรวจตั้งข้อหาเป็นภาษาชาวบ้านว่า "ฉ้อโกงจนเป็นสันดาน" ถ้าภาษากฎหมายก็เรียกว่า "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ".ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ฉ้อโกง เป็นการเข้าสู่ พ.ร.บ.ฟอกเงิน จนในที่สุดตอนนี้ ทั้งตั้มและภรรยา ตลอดจนนายนุวัฒน์ และภรรยาที่ชื่อ "แซน" สารินี นุชนารถ ก็ถูกจำคุกไปเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ให้ประกัน เพราะคุณอ้อยตัดสินใจแจ้งความเรื่อง 39 ล้าน จากจุด 39 ล้าน โยงไปโยงมา โอ้โห ตัวละครเยอะมาก โยงไปจนถึงคุณดาว ซึ่งเป็นพี่สาวภรรยา โยงไปถึงนุวัฒน์ โยงไปถึงแซน นุชนารถ ไปหมดทุกคน และเกี่ยวข้องกับคนขับรถ แล้วก็จับเส้นทางการเงิน จนในที่สุดแล้ว พี่สาวของภรรยาษิทรา เบี้ยบังเกิด ยอมสารภาพ พาไปชี้ที่เกิดเหตุถุงที่ใส่เงินมา .ผมต้องขอชื่นชมและยกย่องเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตำรวจเขาใช้คนประมาณเท่าไร ? ร้อยกว่าคนที่ทำคดีนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว ตอนนี้แตกย่อยออกเป็น 4 คดีแล้ว จาก 71 ล้าน มูลค่าการฉ้อโกง 120 กว่าล้านบาท .มันก็เลยกลายเป็นเรื่องขบวนการที่เตรียมการฉ้อโกง มีคลิปที่พี่อ้อยพูดเองกับอาจารย์ปานเทพว่า ตั้มต้องการเป็นผู้จัดการมรดกพี่อ้อยในการเขียนพินัยกรรม พอได้เป็นเสร็จเรียบร้อย ก็พยายามชวนพี่อ้อยไปเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน ที่ๆ มันไกลปืนเที่ยง ที่อะไรก็ตามมันสามารถจะเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่มีใครคาดคิด ท่านผู้ชมใช้วิจารณญาณอนุมานดูว่า คนถ้ามันไม่ซื่อสัตย์อย่างนี้ ทำไมทะลึ่งอยากจะมาเป็นผู้จัดการมรดก แต่ว่าโชคดีที่มีการไหวตัวทัน.ด้วยเหตุนี้ ต้นปี 2567 พี่อ้อยเมื่อได้รับทราบไม่ชอบมาพากลทั้งหมด ที่ทนายตั้ม ษิทรา ดำเนินการ เขาก็เลยยกเลิกพินัยกรรมกรรมที่ทนายตั้ม บริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม ทุกฉบับ แล้วเขาก็ไปทำพินัยกรรมใหม่ฉบับที่ 3 ภาษากฎหมายเขาเรียกว่า พินัยกรรมทำเป็นเอกสารฝ่ายเมืองที่อำเภอ มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องรับรอง เพื่อไม่ให้พินัยกรรมฉบับเก่าไม่สามารถมีผลผูกพันได้อีกต่อไป.ท่านผู้ชมเห็นหรือเปล่า ความเจ้าเล่ห์แสนกลของคนที่เป็นทนายความ คุณสายหยุด คุณฟังให้มันดีๆนะ คุณเดชาฟังให้ดึๆนะ ปั่นเสร็จแล้วจงใจหลอกลวงลูกความที่ไม่ค่อยรู้เรื่องทางกฎหมาย ผมไม่รู้ว่าคุณสองคนเคยหลอกลวงใครหรือเปล่า แต่ผมเพียงแต่อยากจะเตือนให้คุณฟังให้ดีๆ เพราะว่าคุณยืนข้างษิทรา เบี้ยบังเกิด.บทสรุปของเรื่องนี้ก็คือว่า ระหว่างทนายตั้มที่ทำความเลวให้กับคุณอ้อย กับนักการเมืองที่ทำความชั่วให้กับแผ่นดินไทย ฮุบพื้นที่ดินของแผ่นดินไทยเป็นของตัวเองนั้น เปรียบเทียบกันแล้ว ใครเลวกว่าใคร
    ขบวนการ"ตั้ม นรกแตก"ปมสอดไส้พินัยกรรม.เมื่อวันจันทร์ที่18พ.ย.นี้ พี่อ้อยมาเพื่อมาขอบคุณพวกผม ทีมงาน สื่อในเครือ ก่อนจะเดินทางกลับต่างประเทศครั้งนี้ นอกจากนี้แล้ว พี่อ้อยฝากขอบคุณสื่อมวลชนทั้งหลายทุกคนที่เกาะติด ช่วยกันขุดค้นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงของทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ที่กระทำการฉ้อโกงพี่อ้อย จตุพร จนตำรวจตั้งข้อหาเป็นภาษาชาวบ้านว่า "ฉ้อโกงจนเป็นสันดาน" ถ้าภาษากฎหมายก็เรียกว่า "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ".ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ฉ้อโกง เป็นการเข้าสู่ พ.ร.บ.ฟอกเงิน จนในที่สุดตอนนี้ ทั้งตั้มและภรรยา ตลอดจนนายนุวัฒน์ และภรรยาที่ชื่อ "แซน" สารินี นุชนารถ ก็ถูกจำคุกไปเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ให้ประกัน เพราะคุณอ้อยตัดสินใจแจ้งความเรื่อง 39 ล้าน จากจุด 39 ล้าน โยงไปโยงมา โอ้โห ตัวละครเยอะมาก โยงไปจนถึงคุณดาว ซึ่งเป็นพี่สาวภรรยา โยงไปถึงนุวัฒน์ โยงไปถึงแซน นุชนารถ ไปหมดทุกคน และเกี่ยวข้องกับคนขับรถ แล้วก็จับเส้นทางการเงิน จนในที่สุดแล้ว พี่สาวของภรรยาษิทรา เบี้ยบังเกิด ยอมสารภาพ พาไปชี้ที่เกิดเหตุถุงที่ใส่เงินมา .ผมต้องขอชื่นชมและยกย่องเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตำรวจเขาใช้คนประมาณเท่าไร ? ร้อยกว่าคนที่ทำคดีนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว ตอนนี้แตกย่อยออกเป็น 4 คดีแล้ว จาก 71 ล้าน มูลค่าการฉ้อโกง 120 กว่าล้านบาท .มันก็เลยกลายเป็นเรื่องขบวนการที่เตรียมการฉ้อโกง มีคลิปที่พี่อ้อยพูดเองกับอาจารย์ปานเทพว่า ตั้มต้องการเป็นผู้จัดการมรดกพี่อ้อยในการเขียนพินัยกรรม พอได้เป็นเสร็จเรียบร้อย ก็พยายามชวนพี่อ้อยไปเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน ที่ๆ มันไกลปืนเที่ยง ที่อะไรก็ตามมันสามารถจะเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่มีใครคาดคิด ท่านผู้ชมใช้วิจารณญาณอนุมานดูว่า คนถ้ามันไม่ซื่อสัตย์อย่างนี้ ทำไมทะลึ่งอยากจะมาเป็นผู้จัดการมรดก แต่ว่าโชคดีที่มีการไหวตัวทัน.ด้วยเหตุนี้ ต้นปี 2567 พี่อ้อยเมื่อได้รับทราบไม่ชอบมาพากลทั้งหมด ที่ทนายตั้ม ษิทรา ดำเนินการ เขาก็เลยยกเลิกพินัยกรรมกรรมที่ทนายตั้ม บริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม ทุกฉบับ แล้วเขาก็ไปทำพินัยกรรมใหม่ฉบับที่ 3 ภาษากฎหมายเขาเรียกว่า พินัยกรรมทำเป็นเอกสารฝ่ายเมืองที่อำเภอ มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องรับรอง เพื่อไม่ให้พินัยกรรมฉบับเก่าไม่สามารถมีผลผูกพันได้อีกต่อไป.ท่านผู้ชมเห็นหรือเปล่า ความเจ้าเล่ห์แสนกลของคนที่เป็นทนายความ คุณสายหยุด คุณฟังให้มันดีๆนะ คุณเดชาฟังให้ดึๆนะ ปั่นเสร็จแล้วจงใจหลอกลวงลูกความที่ไม่ค่อยรู้เรื่องทางกฎหมาย ผมไม่รู้ว่าคุณสองคนเคยหลอกลวงใครหรือเปล่า แต่ผมเพียงแต่อยากจะเตือนให้คุณฟังให้ดีๆ เพราะว่าคุณยืนข้างษิทรา เบี้ยบังเกิด.บทสรุปของเรื่องนี้ก็คือว่า ระหว่างทนายตั้มที่ทำความเลวให้กับคุณอ้อย กับนักการเมืองที่ทำความชั่วให้กับแผ่นดินไทย ฮุบพื้นที่ดินของแผ่นดินไทยเป็นของตัวเองนั้น เปรียบเทียบกันแล้ว ใครเลวกว่าใคร
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1221 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อี้ แทนคุณ" แฉหมอเจ้าของ รพ.ชื่อดัง หลอกคนมีอันจะกินลงทุนทิพย์ อ้างทำ Wellness Center ครบวงจร อึ้งความเสียหายพุ่ง 8-9 พันล้าน เตือนถ้าเชื่อใน "บุญ" เอาเงินมาคืนผู้เสียหายเถอะ ชี้ เงินที่เอาไปเป็นเงินบาปทั้งนั้น ไม่ใช้ชาตินี้ก็ต้องใช้ชาติหน้า แย้มข้อมูลเยอะมาก ขอเวลานิด เหตุอาจกระเทือนความเชื่อมั่นครั้งใหญ่

    วันนี้(20 พ.ย.) นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม กล่าวว่า ตนได้รับการร้องเรียนกว่า 30 ราย กรณีนายแพทย์เจ้าของโรงพยาบาลชื่อดัง หลอกให้ลงทุนมูลค่าความเสียหายกว่าพันล้าน โดยมีพฤติการณ์หลอกลงทุนทำ Wellness โดยระดมทุนจากประเทศหนึ่งจากตะวันออกกลางมาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งใช้เงินประมาณ 20,000 ล้านบาท มีการระบุว่าจะยกระดับ Wellness ของไทย และอ้างว่าต้องมีเงินค้ำสัญญาก่อน ซึ่งผู้เสียหายเป็นหมอ เป็นผู้มีอันจะกิน เฉลี่ยแล้ว 50 ล้านบาทขึ้นไปในแต่ละราย ตนคิดว่ากรณีนี้ใหญ่มาก เท่าที่ทราบมีการระดมทุนไปถึง 8,000-9,000 ล้านบาทแล้ว

    "ท่านมีโมเดล มีแผนชัดเจนว่าท่านจะทำอย่างไร ทำตึกอย่างไร ทำครบวงจรอย่างไร แต่ว่าอันนี้ก็ไม่อยากจะไปกล่าวหาท่าน หากท่านไม่แสดงความบริสุทธิ์ใจ ลักษณะแบบนี้ ร่องรอยไม่ชอบมาพากลแบบนี้ ก็เชื่อได้ว่าท่านอาจจะตั้งใจที่จะปิดบังซ่อนเร้นข้อมูลด้วยหรือไม่ตั้งแต่แรก ซึ่งเรื่องนี้ต้องไปตรวจสอบดู แต่ว่าอย่างไรก็ดีที่มีข่าวว่าท่านออกไปต่างประเทศแล้ว ผมก็ติดตามอยู่จากผู้เสียหายจำนวนมาก ก็เป็นไปได้ เพราะติดต่ออะไรไม่ได้แล้ว" นายแทนคุณ กล่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/politics/detail/9670000111525

    #MGROnline #อี้แทนคุณ #WellnessCenter
    "อี้ แทนคุณ" แฉหมอเจ้าของ รพ.ชื่อดัง หลอกคนมีอันจะกินลงทุนทิพย์ อ้างทำ Wellness Center ครบวงจร อึ้งความเสียหายพุ่ง 8-9 พันล้าน เตือนถ้าเชื่อใน "บุญ" เอาเงินมาคืนผู้เสียหายเถอะ ชี้ เงินที่เอาไปเป็นเงินบาปทั้งนั้น ไม่ใช้ชาตินี้ก็ต้องใช้ชาติหน้า แย้มข้อมูลเยอะมาก ขอเวลานิด เหตุอาจกระเทือนความเชื่อมั่นครั้งใหญ่ • วันนี้(20 พ.ย.) นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม กล่าวว่า ตนได้รับการร้องเรียนกว่า 30 ราย กรณีนายแพทย์เจ้าของโรงพยาบาลชื่อดัง หลอกให้ลงทุนมูลค่าความเสียหายกว่าพันล้าน โดยมีพฤติการณ์หลอกลงทุนทำ Wellness โดยระดมทุนจากประเทศหนึ่งจากตะวันออกกลางมาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งใช้เงินประมาณ 20,000 ล้านบาท มีการระบุว่าจะยกระดับ Wellness ของไทย และอ้างว่าต้องมีเงินค้ำสัญญาก่อน ซึ่งผู้เสียหายเป็นหมอ เป็นผู้มีอันจะกิน เฉลี่ยแล้ว 50 ล้านบาทขึ้นไปในแต่ละราย ตนคิดว่ากรณีนี้ใหญ่มาก เท่าที่ทราบมีการระดมทุนไปถึง 8,000-9,000 ล้านบาทแล้ว • "ท่านมีโมเดล มีแผนชัดเจนว่าท่านจะทำอย่างไร ทำตึกอย่างไร ทำครบวงจรอย่างไร แต่ว่าอันนี้ก็ไม่อยากจะไปกล่าวหาท่าน หากท่านไม่แสดงความบริสุทธิ์ใจ ลักษณะแบบนี้ ร่องรอยไม่ชอบมาพากลแบบนี้ ก็เชื่อได้ว่าท่านอาจจะตั้งใจที่จะปิดบังซ่อนเร้นข้อมูลด้วยหรือไม่ตั้งแต่แรก ซึ่งเรื่องนี้ต้องไปตรวจสอบดู แต่ว่าอย่างไรก็ดีที่มีข่าวว่าท่านออกไปต่างประเทศแล้ว ผมก็ติดตามอยู่จากผู้เสียหายจำนวนมาก ก็เป็นไปได้ เพราะติดต่ออะไรไม่ได้แล้ว" นายแทนคุณ กล่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9670000111525 • #MGROnline #อี้แทนคุณ #WellnessCenter
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 713 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความไม่ชอบมาพากลของการเลือกตั้งประธานาธิบดีมอลโดวา แต่ยุโรปรับรองว่าเป็นไปโดยสุจริตและเป็นประชาธิปไตย

    ภาพวิดีโอเผยให้เห็นว่าประชาชนชาวมอลโดวามารอลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่สถานกงศุลในรัสเซีย แต่รัฐบาลมอลโดวาส่งบัตรลงคะแนนมาเพียง 10,000 ใบเท่านั้น และมีหน่วยลงคะแนนเสียงเพียงสองหน่วย จากตัวเลขชาวมอลโดวาทั้งหมด 500,000 คน ทำให้มีคนไม่ได้ลงคะแนนเป็นจำนวนมาก

    มอลโดวามีพลเมือง 2.5 ล้านคน เป็นผู้อพยพอยู่ในต่างแดนอีก 1.2 ล้านคนที่มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้ง จึงมีความสำคัญต่อคะแนนเสียงของนางไมอา ซานดู

    ในขณะที่ชาวมอลโดวาอยู่ในรัสเซีย 500,000 คน และเขตปกครองพิเศษทรานส์นีสเตรียอีก 450,000 คน ส่วนที่เหลือกระจายอยู่ในโรมาเนีย เยอรมนี และปะเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นๆ นี่จึงเป็นที่มาของการจำกัดบัตรลงคะแนนเลือกตั้งในรัสเซีย

    รัฐบาลรักษาการของมอลโดวานำโดยนางไมอา ซานดู มีข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มผู้อพยพที่อยู่ในรัสเซีย และพยายามขัดขวางกลุ่มคนที่ “ต่อต้านสหภาพยุโรป แต่นิยมรัสเซีย” ไม่ให้ลงคะแนนเสียง การจำกัดบัตรลงคะแนนเพียงหนึ่งหมื่นใบในรัสเซีย นั่นคือเหตุผล

    ในทางกลับกันจำนวนหน่วยเลือกตั้งในยุโรป ที่มีชาวมอลโดวาน้อยกว่า แต่กลับมีหน่วยลงคะแนนเสียงจำนวนมากกว่าในรัสเซียหลายเท่า

    นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในรัสเซีย รวมทั้งเขตปกครองพิเศษทรานส์นีสเตรีย พยายามขับรถส่วนตัวเข้ามาในมอลโดวาเพื่อลงคะแนนเสียง แต่ก็ถูกขัดขวางจากเจ้าหน้าที่ไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาเข้ามา
    ความไม่ชอบมาพากลของการเลือกตั้งประธานาธิบดีมอลโดวา แต่ยุโรปรับรองว่าเป็นไปโดยสุจริตและเป็นประชาธิปไตย ภาพวิดีโอเผยให้เห็นว่าประชาชนชาวมอลโดวามารอลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่สถานกงศุลในรัสเซีย แต่รัฐบาลมอลโดวาส่งบัตรลงคะแนนมาเพียง 10,000 ใบเท่านั้น และมีหน่วยลงคะแนนเสียงเพียงสองหน่วย จากตัวเลขชาวมอลโดวาทั้งหมด 500,000 คน ทำให้มีคนไม่ได้ลงคะแนนเป็นจำนวนมาก มอลโดวามีพลเมือง 2.5 ล้านคน เป็นผู้อพยพอยู่ในต่างแดนอีก 1.2 ล้านคนที่มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้ง จึงมีความสำคัญต่อคะแนนเสียงของนางไมอา ซานดู ในขณะที่ชาวมอลโดวาอยู่ในรัสเซีย 500,000 คน และเขตปกครองพิเศษทรานส์นีสเตรียอีก 450,000 คน ส่วนที่เหลือกระจายอยู่ในโรมาเนีย เยอรมนี และปะเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นๆ นี่จึงเป็นที่มาของการจำกัดบัตรลงคะแนนเลือกตั้งในรัสเซีย รัฐบาลรักษาการของมอลโดวานำโดยนางไมอา ซานดู มีข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มผู้อพยพที่อยู่ในรัสเซีย และพยายามขัดขวางกลุ่มคนที่ “ต่อต้านสหภาพยุโรป แต่นิยมรัสเซีย” ไม่ให้ลงคะแนนเสียง การจำกัดบัตรลงคะแนนเพียงหนึ่งหมื่นใบในรัสเซีย นั่นคือเหตุผล ในทางกลับกันจำนวนหน่วยเลือกตั้งในยุโรป ที่มีชาวมอลโดวาน้อยกว่า แต่กลับมีหน่วยลงคะแนนเสียงจำนวนมากกว่าในรัสเซียหลายเท่า นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในรัสเซีย รวมทั้งเขตปกครองพิเศษทรานส์นีสเตรีย พยายามขับรถส่วนตัวเข้ามาในมอลโดวาเพื่อลงคะแนนเสียง แต่ก็ถูกขัดขวางจากเจ้าหน้าที่ไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาเข้ามา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 48 0 รีวิว
  • พูดมีเหตุมีผล แต่ที่สงสัยคือ ที่พูดว่า

    "แต่ผมเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล ไม่ใช่แค่เรื่องนี้"

    อะไร ? คือความไม่ชอบมาพากล

    และอะไร ? ที่ว่าไม่ใช่แค่เรื่องนี้
    พูดมีเหตุมีผล แต่ที่สงสัยคือ ที่พูดว่า "แต่ผมเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล ไม่ใช่แค่เรื่องนี้" อะไร ? คือความไม่ชอบมาพากล และอะไร ? ที่ว่าไม่ใช่แค่เรื่องนี้
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 60 0 รีวิว
  • ชีวิตผู้นำของพี่ปู……ความวัวไม่ทันหาย……ความแอร์ไลน์เข้ามาแทรก……ติ่งแสนจะเหนื่อยใจแทนจริงจิ๊งงงงง……!!

    ตอนยี่สิบสี่……คดีที่โยนกลองกันไปมา……ป่านนี้ยังหาที่ลงไม่ได้……!!!

    การแลกเปลี่ยนการสอยร่วงระหว่างยูเครนและรัสเซียที่เหมือนกับการแลกหมัดนั้น……
    วันที่ 17 กรกฏาคม 2014 ได้เกิดโศกนาฏกรรมของเครื่องบิน Malaysia Airways Boeing 777 ที่มีผู้โดยสาร 283 คนพร้อมลูกเรือ อีก 15 คน จากแอมสเตอร์ดัม สู่ กัวลาลัมเปอร์
    ร่วงลงสู่พื้นดิน ในเขตแนว 50 ไมล์ ชายแดน ยูเครน-รัสเซีย
    ในเขต Donetsk (การตกอยู่ในดินแดนของยูเครน)
    สาเหตุ จากการสันนิษฐานชั้นแรก คือ โดนขีปนาวุธ Buk 9M83 ที่เป็นของรัสเซียที่ส่งยิงมาจากทางภาคพื้นดิน

    ปูตินที่เพิ่งกลับจากการประชุมฟีฟ่าที่บราซิล ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธใดๆในเรื่องนี้ แต่เขาได้ให้ความเห็นว่า……
    “สายการบินควรจะเลี่ยงเส้นทางที่เป็นแนวของการสู้รบ และการเกิดโศกนาฏกรรมแบบนี้…ไม่ควรเอามาเป็นการป้ายสีกันทางการเมือง ควรที่จะให้ความสำคัญกับผู้ที่สูญเสียและครอบครัวของเขาก่อนจะดีกว่า……”
    แต่……สื่อที่ออกมาที่ส่วนใหญ่คือสื่อทางตะวันตก ได้ต่างออกมาตำหนิรัสเซียไปแล้ว
    สื่ออังกฤษ……พาดหัวว่า เป็นเพราะขีปนาวุธของฆาตกรปูติน……

    ความแตกร้าวระหว่างรัสเซียกับตะวันตกได้ขยายแยกออกห่างขึ้น ……อเมริกาได้ถือข้อนี้ ยืดเวลาการแซงชั่นยึดทรัพย์ออกไปอีก
    เศรษฐกิจของรัสเซียเริ่มสั่นคลอน ค่าเงินรูเบิ้ลตก ราคาน้ำมันถูกกด……ทางตะวันตกเริ่มยิ้มเยาะอย่างสะใจ เพราะมันเหมือนกับตีถูกที่หน้าแข้งให้รัสเซียคุกเข่าลงได้
    ปูตินเชื่อว่าเป็นการร่วมมือกันระหว่าง สหรัฐอเมริกาและซาอุดิอาระเบีย……

    ยังไม่ทันที่จะได้คิดอ่านทำอะไร ไม่กี่วันต่อมาจากการเกิดโศกนาฏกรรมนั้น
    ศาลโลกที่กรุงเฮกได้รีบตัดสินคดีที่ Mikhail Khodorkovsky (ในนามของบริษัท Yukos) ที่ฟ้องรัฐบาลรัสเซีย……ศาลได้ตัดสินให้รัสเซียจ่ายค่าเสียหายให้โจทก์ ห้าหมื่นล้านเหรียญ
    ปูตินได้บอกกับเพื่อนสนิทในกลุ่มว่า ……จากนี้ไป เขาจะไม่แคร์เลยว่าทางตะวันตกจะคิดอย่างไรกับรัสเซีย เพราะหน้าฉากที่งานโอลิมปิกที่คุยกันแสนหวาน สมัครสมานสามัคคี กลมเกลียวชื่นมื่น……
    แต่……เมื่อถึงจังหวะที่เปิดหน้ากาก………พวกเขามาพร้อมมีดที่พร้อมจะปักลงที่กลางหลัง

    ปูตินเป็นคนที่ยิ่งตี……ก็ยิ่งโต เขารู้สึกดีใจที่ได้จัดการกับไครเมียและยูเครนตะวันออกไปก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน เพราะอย่างไรเสีย……รัสเซียก็คือผู้ร้ายในสายตาของใครต่อใครอยู่แล้ว ในยามที่กองทัพยูเครนได้ทำทารุณกรรรมต่อประชาชน
    ชายขอบ……มีทั้งพวกนีโอนาซีที่ออกมาตบตี ตบทรัพย์นักท่องเที่ยวอยู่บ่อยๆ………ทุกคนไม่ปริปาก……

    กลุ่มที่ต่อต้านปูติน เริ่มฉวยโอกาสนี้ไหวตัวกันอีกครั้ง เช่น
    Alexsei Navalny, Pavel Durov (หรือ Mark Zuckerberg แห่งรัสเซีย), Boris Berezovsky, Boris Nemtov และคนที่เพิ่งได้รับอภัยโทษไปหมาดๆคือ Mikhail Khodorovsky ที่ไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์
    ในวันที่ 31 กรกฏาคม เหล่ามหาเศรษฐีอีกหลายๆคนที่ถือเอาโอกาสนี้ไปรวมตัว…ประชุมแบบลับๆที่ ศูนย์อำนวยการฟุตบอล, มอสโคว์ เพื่อที่จะพบปะหารือปรับทุกข์กันในเรื่องการที่ยึดไครเมีย จนเกิดการแซงชั่นทางธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม……ที่พวกเขาจะพลอยเดือดร้อน……
    หนึ่งในนั้น คือ Vladimir Yakunin ประธานรถไฟ Moskva
    ทุกคนได้เริ่มสาธยายความอึดอัดที่ต้องผจญกับอุปสรรคต่างๆ
    เพราะตะวันตกไม่ยอมรับการเข้ายึดไครเมีย
    หลายคนเริ่มตำหนิปูติน….
    แต่ยาคุนิน ได้ลุกขึ้นยืนกล่าวเป็นคนสุดท้ายด้วยเสียงที่ดังฟังชัดว่า……
    “ ใช่……ประเทศเรากำลังถูกเขาแซงชั่น……ประธานาธิบดีของเรากำลังยืนหยัดสู้อย่างกล้าหาญ แต่พวกคุณที่เสียผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยช่างทุกข์ร้อนกันเกินเหตุ เรื่องที่จะโดนอะไรมากกว่านี้จากตะวันตกที่พวกคุณกังวลกัน……
    ผมขอบอกตรงนี้เลยว่า ……เขาทำแน่ ไม่ว่ารัสเซียจะทำอะไร
    พวกเขาก็หาเหตุจนได้ ต่อให้พวกคุณไปคุกเข่าขอความปรานี
    เขาก็จะถีบคุณออกมา……ดังนั้น แทนที่จะมาก่นด่ากัน……หันมาสนับสนุนชาติของตัวเองอย่างพลเมืองที่ดี……ดีกว่าไหม ?”

    คนที่เคลื่อนไหวต่อต้านในทุกอย่างที่เป็นปูติน คือ Boris Nemtsov นักการเมืองฝ่ายลิเบอรัล ที่เคยเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรีสมัยเยลซิน ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่สมัยเมื่อครั้งที่ปูตินได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในสมัยแรก ที่เขาดำเนินการต่อต้านทั้งใต้ดินและบนดิน
    ไม่ว่าจะมีการประท้วงในครั้งไหน หรือ เรื่องอะไร เนมซอฟจะเดินนำหน้าเสียงดังฟังชัดเสมอ
    เรื่อง Sochi……เขาได้ทำเอกสารแจกนักข่าวถึงความไม่ชอบมาพากลเรื่องการก่อสร้างและงบประมาณ
    เมื่อมาถึงไครเมีย และ ยูเครน เนมซอฟ……จะเข้าข้างทางฝั่งยูเครนแบบเต็มตัว เขาเริ่มใช้ถ้อยคำที่รุนแรงขึ้นทุกที
    พอมาถึง เรื่องเครื่องบินตก……เขาออกโรงด่าปูตินแบบไม่ไว้หน้า ทั้งๆที่การพิสูจน์หลักฐานยังไม่เสร็จสิ้น

    เขารับงานสัมภาษณ์ในทุกสื่อตะวันตกที่เปิดโอกาสให้โจมตีรัฐบาลรัสเซีย
    ที่สุดๆคือ ในการสัมภาษณ์ของเขาในเดือนเมษายน 2014 ที่เขาเรียกปูตินเป็นคนโรคจิต เอางบประมาณไปละลายกับเชเชน……และ…ใครจะรู้ว่าเท่าไหร่…นอกจากพระอัลเลาะห์เจ้า…!!!
    ต้องเรียกว่า……นั่นคือการให้สัมภาษณ์แบบผีเจาะปากมาพูดแท้ๆ เพราะข้อความนี้ได้ไปสร้างความดือดดาลให้กับพวกนักรบเชเชน……

    วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2015 เวลา 23:31 ในขณะที่เนมซอฟกำลังเดินทอดน่องเกี่ยวแขนไปกับแฟนสาว Anna Durytka บนสะพานหน้าพระราชวังเครมลิน
    มีรถยนต์วิ่งผ่านมา…;เสียงปืนลั่นมาแปดนัด……เนมซอฟล้มลง สิ้นใจ
    แต่แฟนสาว……ที่เคียงข้าง……ปลอดภัยไม่มีอันตรายใดๆ
    (มืออาชีพจริงๆ……)

    การตายของเนมซอฟเป็นข่าวดังไปทั่วโลก
    เดือนมีนาคม ทางตำรวจได้จับกุมมือปืนได้สองคน คือ Anzor Gubashev และ Zaur Dadaev ทั้งคู่เป็นชาวมุสลิม จากทางเหนือของคอเคซัส
    ข่าวจากรัสเซีย……ว่า จำเลยยอมรับสารภาพว่า โกรธที่หมิ่นพระอัลเลาะห์ และหยามกองทัพเชเชน
    ข่าวจากตะวันตก……ว่า……ทั้งคู่รับจ้างวานมาเป็นเงินจำนวนสิบห้าล้านรูเบิ้ล

    หลังจากที่เรื่องนี้เกิดขึ้น ปูตินได้หายไปจากหน้าสื่อถึงสิบวัน
    ทีเล่นเอาทุกคนสงสัยไปหมด ว่า เขาไปไหน……อะไรเกิดขึ้น……
    ป่วย……หรือโดนปฎิวัติเงียบ……??
    ข่าวนี้มาพร้อมกับข่าวที่ Alina Kaayeva ได้เพิ่งคลอดลูก
    แต่เสียงจากวงในได้แย้มออกมาว่า เขาได้พักรักษาหลังและไหล่ (จากการเล่นยูโดมานาน)

    แต่ที่แน่ๆ คือ การพิสูจน์หลักฐานของการตกของสายการบิน Malaysia Airlines ยังไม่จบในทุกวันนี้ คาดว่า ศาลจะตัดสินว่าใครผิดใครถูกในปลายปี 2022 นี้……
    ทางรัสเซีย……ได้อ้างว่า เขาได้ส่งข้อความไปยังสายการบินพานิชย์ต่างๆแล้วว่า ขอให้เลี่ยงการใช้เส้นทางผ่านดินแดนที่เป็นกรณีพิพาท หรือจะต้องบินสูงกว่า สามหมื่นหกพันฟุต
    และที่เกิดเหตุ……ไม่ใช่ในรัสเซีย แต่เป็นยูเครน
    ส่วนขีปนาวุธที่ต้องสงสัย คือ Buk นั้น มีใช้ทั้งรัสเซียและยูเครน

    ทางยูเครน…บอกว่า เป็นฝีมือของรัสเซีย เพราะหลังจากที่เกิดเหตุ มีวิทยุจากฝ่ายรัสเซียที่โห่ร้องว่า ได้สอย AN-26 ของยูเครนไปอีกหนึ่งลำ (คงเข้าใจว่าเป็น AN-26)

    ส่วนทางตะวันตก……ต่างขานรับเข้าข้างยูเครนไปทั้งหมดแล้ว…!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ชีวิตผู้นำของพี่ปู……ความวัวไม่ทันหาย……ความแอร์ไลน์เข้ามาแทรก……ติ่งแสนจะเหนื่อยใจแทนจริงจิ๊งงงงง……!! ตอนยี่สิบสี่……คดีที่โยนกลองกันไปมา……ป่านนี้ยังหาที่ลงไม่ได้……!!! การแลกเปลี่ยนการสอยร่วงระหว่างยูเครนและรัสเซียที่เหมือนกับการแลกหมัดนั้น…… วันที่ 17 กรกฏาคม 2014 ได้เกิดโศกนาฏกรรมของเครื่องบิน Malaysia Airways Boeing 777 ที่มีผู้โดยสาร 283 คนพร้อมลูกเรือ อีก 15 คน จากแอมสเตอร์ดัม สู่ กัวลาลัมเปอร์ ร่วงลงสู่พื้นดิน ในเขตแนว 50 ไมล์ ชายแดน ยูเครน-รัสเซีย ในเขต Donetsk (การตกอยู่ในดินแดนของยูเครน) สาเหตุ จากการสันนิษฐานชั้นแรก คือ โดนขีปนาวุธ Buk 9M83 ที่เป็นของรัสเซียที่ส่งยิงมาจากทางภาคพื้นดิน ปูตินที่เพิ่งกลับจากการประชุมฟีฟ่าที่บราซิล ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธใดๆในเรื่องนี้ แต่เขาได้ให้ความเห็นว่า…… “สายการบินควรจะเลี่ยงเส้นทางที่เป็นแนวของการสู้รบ และการเกิดโศกนาฏกรรมแบบนี้…ไม่ควรเอามาเป็นการป้ายสีกันทางการเมือง ควรที่จะให้ความสำคัญกับผู้ที่สูญเสียและครอบครัวของเขาก่อนจะดีกว่า……” แต่……สื่อที่ออกมาที่ส่วนใหญ่คือสื่อทางตะวันตก ได้ต่างออกมาตำหนิรัสเซียไปแล้ว สื่ออังกฤษ……พาดหัวว่า เป็นเพราะขีปนาวุธของฆาตกรปูติน…… ความแตกร้าวระหว่างรัสเซียกับตะวันตกได้ขยายแยกออกห่างขึ้น ……อเมริกาได้ถือข้อนี้ ยืดเวลาการแซงชั่นยึดทรัพย์ออกไปอีก เศรษฐกิจของรัสเซียเริ่มสั่นคลอน ค่าเงินรูเบิ้ลตก ราคาน้ำมันถูกกด……ทางตะวันตกเริ่มยิ้มเยาะอย่างสะใจ เพราะมันเหมือนกับตีถูกที่หน้าแข้งให้รัสเซียคุกเข่าลงได้ ปูตินเชื่อว่าเป็นการร่วมมือกันระหว่าง สหรัฐอเมริกาและซาอุดิอาระเบีย…… ยังไม่ทันที่จะได้คิดอ่านทำอะไร ไม่กี่วันต่อมาจากการเกิดโศกนาฏกรรมนั้น ศาลโลกที่กรุงเฮกได้รีบตัดสินคดีที่ Mikhail Khodorkovsky (ในนามของบริษัท Yukos) ที่ฟ้องรัฐบาลรัสเซีย……ศาลได้ตัดสินให้รัสเซียจ่ายค่าเสียหายให้โจทก์ ห้าหมื่นล้านเหรียญ ปูตินได้บอกกับเพื่อนสนิทในกลุ่มว่า ……จากนี้ไป เขาจะไม่แคร์เลยว่าทางตะวันตกจะคิดอย่างไรกับรัสเซีย เพราะหน้าฉากที่งานโอลิมปิกที่คุยกันแสนหวาน สมัครสมานสามัคคี กลมเกลียวชื่นมื่น…… แต่……เมื่อถึงจังหวะที่เปิดหน้ากาก………พวกเขามาพร้อมมีดที่พร้อมจะปักลงที่กลางหลัง ปูตินเป็นคนที่ยิ่งตี……ก็ยิ่งโต เขารู้สึกดีใจที่ได้จัดการกับไครเมียและยูเครนตะวันออกไปก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน เพราะอย่างไรเสีย……รัสเซียก็คือผู้ร้ายในสายตาของใครต่อใครอยู่แล้ว ในยามที่กองทัพยูเครนได้ทำทารุณกรรรมต่อประชาชน ชายขอบ……มีทั้งพวกนีโอนาซีที่ออกมาตบตี ตบทรัพย์นักท่องเที่ยวอยู่บ่อยๆ………ทุกคนไม่ปริปาก…… กลุ่มที่ต่อต้านปูติน เริ่มฉวยโอกาสนี้ไหวตัวกันอีกครั้ง เช่น Alexsei Navalny, Pavel Durov (หรือ Mark Zuckerberg แห่งรัสเซีย), Boris Berezovsky, Boris Nemtov และคนที่เพิ่งได้รับอภัยโทษไปหมาดๆคือ Mikhail Khodorovsky ที่ไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 31 กรกฏาคม เหล่ามหาเศรษฐีอีกหลายๆคนที่ถือเอาโอกาสนี้ไปรวมตัว…ประชุมแบบลับๆที่ ศูนย์อำนวยการฟุตบอล, มอสโคว์ เพื่อที่จะพบปะหารือปรับทุกข์กันในเรื่องการที่ยึดไครเมีย จนเกิดการแซงชั่นทางธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม……ที่พวกเขาจะพลอยเดือดร้อน…… หนึ่งในนั้น คือ Vladimir Yakunin ประธานรถไฟ Moskva ทุกคนได้เริ่มสาธยายความอึดอัดที่ต้องผจญกับอุปสรรคต่างๆ เพราะตะวันตกไม่ยอมรับการเข้ายึดไครเมีย หลายคนเริ่มตำหนิปูติน…. แต่ยาคุนิน ได้ลุกขึ้นยืนกล่าวเป็นคนสุดท้ายด้วยเสียงที่ดังฟังชัดว่า…… “ ใช่……ประเทศเรากำลังถูกเขาแซงชั่น……ประธานาธิบดีของเรากำลังยืนหยัดสู้อย่างกล้าหาญ แต่พวกคุณที่เสียผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยช่างทุกข์ร้อนกันเกินเหตุ เรื่องที่จะโดนอะไรมากกว่านี้จากตะวันตกที่พวกคุณกังวลกัน…… ผมขอบอกตรงนี้เลยว่า ……เขาทำแน่ ไม่ว่ารัสเซียจะทำอะไร พวกเขาก็หาเหตุจนได้ ต่อให้พวกคุณไปคุกเข่าขอความปรานี เขาก็จะถีบคุณออกมา……ดังนั้น แทนที่จะมาก่นด่ากัน……หันมาสนับสนุนชาติของตัวเองอย่างพลเมืองที่ดี……ดีกว่าไหม ?” คนที่เคลื่อนไหวต่อต้านในทุกอย่างที่เป็นปูติน คือ Boris Nemtsov นักการเมืองฝ่ายลิเบอรัล ที่เคยเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรีสมัยเยลซิน ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่สมัยเมื่อครั้งที่ปูตินได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในสมัยแรก ที่เขาดำเนินการต่อต้านทั้งใต้ดินและบนดิน ไม่ว่าจะมีการประท้วงในครั้งไหน หรือ เรื่องอะไร เนมซอฟจะเดินนำหน้าเสียงดังฟังชัดเสมอ เรื่อง Sochi……เขาได้ทำเอกสารแจกนักข่าวถึงความไม่ชอบมาพากลเรื่องการก่อสร้างและงบประมาณ เมื่อมาถึงไครเมีย และ ยูเครน เนมซอฟ……จะเข้าข้างทางฝั่งยูเครนแบบเต็มตัว เขาเริ่มใช้ถ้อยคำที่รุนแรงขึ้นทุกที พอมาถึง เรื่องเครื่องบินตก……เขาออกโรงด่าปูตินแบบไม่ไว้หน้า ทั้งๆที่การพิสูจน์หลักฐานยังไม่เสร็จสิ้น เขารับงานสัมภาษณ์ในทุกสื่อตะวันตกที่เปิดโอกาสให้โจมตีรัฐบาลรัสเซีย ที่สุดๆคือ ในการสัมภาษณ์ของเขาในเดือนเมษายน 2014 ที่เขาเรียกปูตินเป็นคนโรคจิต เอางบประมาณไปละลายกับเชเชน……และ…ใครจะรู้ว่าเท่าไหร่…นอกจากพระอัลเลาะห์เจ้า…!!! ต้องเรียกว่า……นั่นคือการให้สัมภาษณ์แบบผีเจาะปากมาพูดแท้ๆ เพราะข้อความนี้ได้ไปสร้างความดือดดาลให้กับพวกนักรบเชเชน…… วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2015 เวลา 23:31 ในขณะที่เนมซอฟกำลังเดินทอดน่องเกี่ยวแขนไปกับแฟนสาว Anna Durytka บนสะพานหน้าพระราชวังเครมลิน มีรถยนต์วิ่งผ่านมา…;เสียงปืนลั่นมาแปดนัด……เนมซอฟล้มลง สิ้นใจ แต่แฟนสาว……ที่เคียงข้าง……ปลอดภัยไม่มีอันตรายใดๆ (มืออาชีพจริงๆ……) การตายของเนมซอฟเป็นข่าวดังไปทั่วโลก เดือนมีนาคม ทางตำรวจได้จับกุมมือปืนได้สองคน คือ Anzor Gubashev และ Zaur Dadaev ทั้งคู่เป็นชาวมุสลิม จากทางเหนือของคอเคซัส ข่าวจากรัสเซีย……ว่า จำเลยยอมรับสารภาพว่า โกรธที่หมิ่นพระอัลเลาะห์ และหยามกองทัพเชเชน ข่าวจากตะวันตก……ว่า……ทั้งคู่รับจ้างวานมาเป็นเงินจำนวนสิบห้าล้านรูเบิ้ล หลังจากที่เรื่องนี้เกิดขึ้น ปูตินได้หายไปจากหน้าสื่อถึงสิบวัน ทีเล่นเอาทุกคนสงสัยไปหมด ว่า เขาไปไหน……อะไรเกิดขึ้น…… ป่วย……หรือโดนปฎิวัติเงียบ……?? ข่าวนี้มาพร้อมกับข่าวที่ Alina Kaayeva ได้เพิ่งคลอดลูก แต่เสียงจากวงในได้แย้มออกมาว่า เขาได้พักรักษาหลังและไหล่ (จากการเล่นยูโดมานาน) แต่ที่แน่ๆ คือ การพิสูจน์หลักฐานของการตกของสายการบิน Malaysia Airlines ยังไม่จบในทุกวันนี้ คาดว่า ศาลจะตัดสินว่าใครผิดใครถูกในปลายปี 2022 นี้…… ทางรัสเซีย……ได้อ้างว่า เขาได้ส่งข้อความไปยังสายการบินพานิชย์ต่างๆแล้วว่า ขอให้เลี่ยงการใช้เส้นทางผ่านดินแดนที่เป็นกรณีพิพาท หรือจะต้องบินสูงกว่า สามหมื่นหกพันฟุต และที่เกิดเหตุ……ไม่ใช่ในรัสเซีย แต่เป็นยูเครน ส่วนขีปนาวุธที่ต้องสงสัย คือ Buk นั้น มีใช้ทั้งรัสเซียและยูเครน ทางยูเครน…บอกว่า เป็นฝีมือของรัสเซีย เพราะหลังจากที่เกิดเหตุ มีวิทยุจากฝ่ายรัสเซียที่โห่ร้องว่า ได้สอย AN-26 ของยูเครนไปอีกหนึ่งลำ (คงเข้าใจว่าเป็น AN-26) ส่วนทางตะวันตก……ต่างขานรับเข้าข้างยูเครนไปทั้งหมดแล้ว…!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 922 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขออภัยนะคะ……ไปเที่ยวมานิดนึง แต่……ในฐานะติ่งอาวุโส ก็ต้องรีบกลับมาประจำที่ค่าาา……พี่ปูเค้ากำลังฮ็อต…!!!

    ตอนยี่สิบสอง……เรื่องการแทรกแซงในยูเครนไม่ใช่เรื่องใหม่……ยังไงก็ต้องเป็นสนามรบ……!!!

    2013 ในระหว่างที่รัสเซียกำลังพุ่งแรงในเรื่องของเศรษฐกิจและการส่งพลังงาน อเมริกาก็เริ่มอึดอัด……เพราะระหว่างสัมพันธภาพดีๆระหว่างรัสเซียกับอเมริกานั้น……ก็แค่ภาพลักษณ์ภายนอกในสำนักข่าวเท่านั้น
    ที่เหลือคือ…การคุมเชิงกันแบบไม่กระพริบตา……
    โชคได้เข้าข้างปูติน……แบบบุญหล่นทับ……ในวันที่ 23 มิถุนายน 2013
    ที่สายการบินแอโรฟลอตได้นำชายอเมริกันคนหนึ่งมาสู่แผ่นดินรัสเซีย
    เขาคนนั้นคือ Edward Snowden ชายวัย 40 ปี ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมของบริษัท Dell และ Booz Allen Hamilton ที่เป็นบริษัทที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดของ NSA (National Security Agency) หรือ ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา
    สโนว์เดน……ได้พบกับความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐ ด้วยหลักฐานหลายๆอย่างที่มีการดักฟังโทรศัพท์ประชาชน และ ควบคุมเพื่อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในทุกที่ ที่ข้ามไปถึง แคนาดา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์
    เขาได้ข้อมูลไปกระจายใน WikiLeaks และ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เช่น The Guardian, The Washington Post
    และได้หลบหนีไปยังฮ่องกง เพื่อไปพบกับใครบางคนที่สถานกงสุลรัสเซียที่นั่น……
    จากนั้นเขาตั้งใจจะไปที่คิวบา………แต่ทางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอายัดพาสปอร์ตของเขาและมีหมายจับ……นั่นหมายความว่าเขาจะไปที่ไหนไม่ได้ นอกจากจะต้องส่งกลับ หรือ ต้องติดอยู่ที่สนามบินที่ฮ่องกงเพื่อรอการจับกุมตัว

    แต่ทางฮ่องกงได้ส่งเขาขึ้นเครื่องบินไปที่มอสโคว์..…ที่ทางรัฐบาลของปูตินปูพรมแดงรอรับ……ที่หัวหน้าของ FSB ไปรอรับด้วยตัวเองในฐานะแขกผู้มีเกียรติและถือว่าเป็นว่าวีรบุรุษ……

    ปธน. บารัค โอบามา พยายามที่จะติดต่อขอตัว”ผู้ร้าย” กลับไป โดยอ้างว่าสโนว์เดนเป็นคนขายชาติ และเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคง
    รวมทั้งสัญญาว่า……จะไม่มีการทำร้าย หรือ จับไปทารุณกรรม จะดำเนินคดีตามกฏหมายเท่านั้น……
    ปูตินตอกกลับไปว่า……เขาไม่ได้มีความผิดอะไรในรัสเซีย และ ด้วยสิทธิมนุษยชน เขามีสิทธิที่จะขออยู่ในรัสเซียได้ เพราะมีคุณสมบัติครบถ้วน
    ว่าแล้ว…สโนว์เดนก็ได้รับวีซ่าลี้ภัยให้อยู่ในรัสเซียแบบยาวนาน

    การเปิดเผยความลับของสโนว์เดนนี้ ผู้นำหลายชาติจึงได้ทราบว่า โทรศัพท์ของตัวเองมีการถูกดักฟัง เช่น นางแองเจลา เมอร์เคิล ด้วยระบบ
    SORM (System of Operative-Investigative Measures) ที่อเมริกาได้สร้างเป็นมุ้งคลุมไว้ทั่วเพื่อเป็นสปายทางระบบใยแก้ว

    เมื่อความลับจากสโนว์เดนที่แจกแจงออกมาให้ชาวโลกได้ทราบ
    โอบามายิ่งแค้นปูตินมากขึ้นเป็นทวีคูณ……เขามีกำหนดการที่จะต้องพบกับปูตินในเดือนกันยายน ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในการประชุม G20
    แต่…ขอยกเลิก……โดยอ้างกับนักข่าวว่า พบไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรัสเซียทำตรงกันข้ามทุกอย่าง เช่นการเท่าเทียมทางกลุ่มรักร่วมเพศ,
    การลดขนาดการสร้างอาวุธ, ยกเลิกการรับเลี้ยงดูเด็ก และความวุ่นวายที่ตะวันออกกลาง
    แต่……โอบามาไม่ปริปากในเรื่องการรั่วไหลของความลับที่กำลังเป็นข่าวดังในขณะนั้น…
    ทางฝ่ายโฆษกของรัสเซียได้ออกมาตอบโต้ว่า……ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง……!!!

    ผลจากวิกิลีคส์ ที่เผยแพร่ไปได้สร้างความหวั่นไหวให้กับหลายๆชาติ
    ที่ตอนนี้เริ่มมองเห็นความสำคัญของรัสเซีย เพราะทุกคนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า……รัฐบาลรัสเซียได้ล่วงรู้ข้อมูลลับไปมากน้อยแค่ไหน
    สายตาทั้งหมดที่มองไปที่สหรัฐอเมริกา……มีแต่ความเคลือบแคลงและหมดความไว้ใจ
    แม้แต่นิตยสาร Forbes ได้ติดตำแหน่งให้ปูตินเป็นบุคคลที่ทรงอานุภาพที่สุดในโลก
    บุคคลที่ทรงอานุภาพ……ได้หันมาโฟกัสที่ยูเครนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
    เพราะเมื่อปี 2010 ที่ Viktor Yanukovych ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
    ได้มีความกลมเกลียวเป็นอันดีกับรัสเซีย แต่พอมาปลายสมัย คือ 2015
    เขาเริ่มเปลี่ยนไป……หันไปซบกับตะวันตก ที่กำลังขยายยุโรปมาจนติดชายขอบ เช่น Moldova, Georgia และ Armenia โดยเริ่มจากลงนามในสนธิสัญญาทางการค้า โดยหวังว่าจะต่อยอดไปจนถึงสมาชิกสภายูโรเปี้ยน

    สำหรับปูติน……การก้าวล่วงมาถึงยูเครน……มันเกินกว่าที่จะรับได้
    เพราะเขามองออกว่า……นั่นคือ สิ่งที่ตะวันตกต้องการมากที่สุด คือ พื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตทหารในนามของนาโต้……
    และทางพลังงาน……ที่จะเข้ามาควบคุมแหล่งทรัพยากร……
    ถ้าเกิดมีสงครามระหว่าง รัสเซียกับอเมริกา (มีความเป็นไปได้สูง)
    ทางตะวันตกแทบไม่ต้องลงแรงรบเลย เพราะ มีพลังงานให้ใช้ไม่มีหมด
    มีการหนุนหลังเรื่องเสบียงจากยุโรปไม่อั้น และ สามารถปิดกั้นทะเลบอลติก……
    ดังนั้น ยูเครนคือกล่องดวงใจ……ที่ต้องเต้นตามจังหวะของรัสเซียเท่านั้น
    ปูตินตั้งใจที่จะสร้างกลุ่ม Eurasian Union ขึ้นมา คือ เป็นการรวมตัวของโลกฝั่งตะวันออก ( ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว คือ BRICS)
    แต่หัวใจสำคัญคือ ยูเครนที่ปูตินถือว่า เป็นดินแดน(เก่าแก่)ต้นกำเนิดของรัสเซียจะต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดตะวันตก….โดยเริ่มความเป็น Eurasian Union จากพรมแดนตรงนั้น……
    แต่ไปๆมาๆ…ยูเครนได้หันไปโปรตะวันตกอย่างออกหน้าออกตา
    โดยเฉพาะกับนางฮิลลารี คลินตันที่เคยออกมาเย้ยเยาะว่า (2012)
    “ถ้าคิดว่ายูเครนคือหมูในอวย…ฝันไปเถอะ……”

    ก่อนที่ EU จะรับ Lithuania เข้าไปเป็นสมาชิก อียูได้หันมาเร่งให้ยูเครนรีบเซ็นสัญญาค้าขายกันเสียก่อน เพื่อจะได้เอาไว้เป็นเครดิตว่ามีกิจกรรมกับทางยุโรป
    ปูตินพยายามคัดค้าน และพยายามไปเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง แม้กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2013 ที่เป็นวันสำคัญทางศาสนาร่วมกัน ที่ปูตินได้ย้ำเตือนถึงความเป็นออโธด็อกซ์ที่ผูกพันมาตั้งแต่ ปี 988

    ฝ่ายพ่อค้ายูเครนที่โปรตะวันตก เช่น บริษัท Roshen (ขายขนมทอฟฟี่)
    ปูตินสั่งบอยคอต……ห้ามเข้า
    เขาได้พบกับประธานาธิบดี Yanukovych สองครั้งติดกันในเดือนตุลาคมและ พฤศจิกายน และบอกตรงๆว่า……ยูเครนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หากคิดที่จะหวังไปร่วมกับยุโรป……รวมทั้ง พลังงานทั้งหลายแหล่ จะต้องถูกตัดขาด……
    เมื่อโดนเข้าไปเต็มๆ……ท่าทีของยานุโควิชที่มีต่อยูโรปได้เปลี่ยนไปไม่กล้าที่จะออกความเห็นหรือตัดสินใจ เขาได้บอกกับทางอียูไปตรงๆว่า
    ยูเครนเป็นหนี้รัสเซียอยู่ แสนหกหมื่นล้านเหรียญ ถ้าทางสภายุโรปมีหนทางที่จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ ยูเครนก็จะได้มีโอกาสทำสัญญาทางการค้าด้วย
    สภายุโรปได้ยินจำนวนเงิน………ก็ลมจับ ไม่เสนอหน้ามาชวนอีกเลย

    แต่ก่อนที่จะโดนปูตินอัดเข้าไป ยานุโควิชได้ทำการโฆษณาให้ความหวังกับประชาชนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะเปิดความสัมพันธ์กับยูโรป และจะพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสภาอียู
    แต่เมื่อถึงเวลาการประชุม ที่ลิธัวเนีย ในวันที่ 21 พฤศจิกายน
    ยานุโควิช……ได้ประกาศออกสื่อให้ทราบทั่วกันว่า เขาเปลี่ยนใจแล้ว
    ไม่ขอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสัมพันธ์ทางพานิชย์กับอียู
    อยู่อย่างนี้เหมือนเดิม…
    ผลคือ……ประชาชนออกมาเดินขบวน แน่นหนาเต็มเมือง
    แต่คราวนี้ไม่ใช่ธงสีส้ม……แต่เป็นธงอียูสีฟ้าที่มีดาวเหลืองเป็นวงกลม

    ยานุโควิช……แทบไม่ต้องแก้ไขอะไรเพราะในเวลานั้นเป็นฤดูหนาวที่ใกล้เทศกาลปลายปี ชุมนุมกันก็ได้แค่เดี๋ยวเดียว เขาบินไปจีน ไปทำสัญญาการค้าขาย (แทนยุโรป) ก่อนไปที่จีน เขาแวะพบกับปูตินเพื่อทำการตกลงกันว่า ทางรัสเซียจะให้เงินอุดหนุนสภาพคล่องหมื่นห้าพันล้านเหรียญ
    และลดราคาก๊าส จาก$400 คิวบิตเมตร เป็น $268
    ที่จะเก็บเป็นความลับไปจนกว่าจะถึงวันที่ 9 มีนาคม 2014 ที่ผู้นำทั้งสองจะมีการพบปะกัน แล้วค่อยประกาศอย่างเป็นทางการ………

    เป็นอันว่า…ในยกนี้ ปูตินได้เอาชนะต่อคำเยาะเย้ยของนางคลินตันไปได้

    ตอนนั้นเป็นช่วงที่ใกล้จะเปิดพิธีกีฬาโอลิมปิกที่ Sochi ประมุขของประเทศต่างๆจะเข้ามาเป็นอาคันตุกะ เขาได้ทำการปล่อยนักโทษการเมือง ให้เป็นอิสระ อย่างเช่น Mikhaïl Khodorkovsky ที่จำคุกมาแล้ว10 ปี
    โดยมีการทำสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับการเมืองอีก…… และปลดปล่อยกลุ่มสาวห่าม ***** Riot ตามด้วยกลุ่มที่เคยประท้วงอื่นๆ
    สองวันก่อนที่จะมีพิธีเปิด….กลุ่มนักข่าวสามสิบกว่าคนได้ทำการเขียนข่าวในทำนองว่า เป็นการใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเพื่อสนองความต้องการของคนคนเดียว……
    ปูตินให้สัมภาษณ์โต้ว่า……”การทำให้คนรักเรา สรรเสริญเรา ชื่นชมเรา นั้นทำไม่ยากเลย..”
    นักข่าวถามว่า ต้องทำอย่างไร?
    คำตอบคือ……ก็เวลาที่เราลดขนาดกองทัพ…ยกพื้นที่ให้เขา…ขายทรัพยากรให้เขาอย่างถูกๆไงล่ะ ……แค่นั้นเขาก็จะรักเรา ดีกับเราสารพัด…!!
    แต่เมื่อพิธีงานเปิดผ่านไป.……คนที่เคยติ……คนที่เคยต่อต้านกลับมาชื่นชมในผลงานและภาคภูมิใจไปตามๆกัน

    สำหรับปูติน.……มันคือการเรียกศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมา เฉกเช่นเมื่อครั้ง Yuri Gagarin ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ……และกองทัพแดงได้ชัยชนะในสงครามกับนาซี
    ความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้…ได้ส่งข้ามไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ไม่ได้เข้ามาร่วม เพราะหนึ่งคือความขัดแย้ง
    สองคือ……ความบาดตาบาดใจ…!!!!


    Wiwanda W. Vichit
    ขออภัยนะคะ……ไปเที่ยวมานิดนึง แต่……ในฐานะติ่งอาวุโส ก็ต้องรีบกลับมาประจำที่ค่าาา……พี่ปูเค้ากำลังฮ็อต…!!! ตอนยี่สิบสอง……เรื่องการแทรกแซงในยูเครนไม่ใช่เรื่องใหม่……ยังไงก็ต้องเป็นสนามรบ……!!! 2013 ในระหว่างที่รัสเซียกำลังพุ่งแรงในเรื่องของเศรษฐกิจและการส่งพลังงาน อเมริกาก็เริ่มอึดอัด……เพราะระหว่างสัมพันธภาพดีๆระหว่างรัสเซียกับอเมริกานั้น……ก็แค่ภาพลักษณ์ภายนอกในสำนักข่าวเท่านั้น ที่เหลือคือ…การคุมเชิงกันแบบไม่กระพริบตา…… โชคได้เข้าข้างปูติน……แบบบุญหล่นทับ……ในวันที่ 23 มิถุนายน 2013 ที่สายการบินแอโรฟลอตได้นำชายอเมริกันคนหนึ่งมาสู่แผ่นดินรัสเซีย เขาคนนั้นคือ Edward Snowden ชายวัย 40 ปี ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมของบริษัท Dell และ Booz Allen Hamilton ที่เป็นบริษัทที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดของ NSA (National Security Agency) หรือ ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา สโนว์เดน……ได้พบกับความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐ ด้วยหลักฐานหลายๆอย่างที่มีการดักฟังโทรศัพท์ประชาชน และ ควบคุมเพื่อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในทุกที่ ที่ข้ามไปถึง แคนาดา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ เขาได้ข้อมูลไปกระจายใน WikiLeaks และ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เช่น The Guardian, The Washington Post และได้หลบหนีไปยังฮ่องกง เพื่อไปพบกับใครบางคนที่สถานกงสุลรัสเซียที่นั่น…… จากนั้นเขาตั้งใจจะไปที่คิวบา………แต่ทางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอายัดพาสปอร์ตของเขาและมีหมายจับ……นั่นหมายความว่าเขาจะไปที่ไหนไม่ได้ นอกจากจะต้องส่งกลับ หรือ ต้องติดอยู่ที่สนามบินที่ฮ่องกงเพื่อรอการจับกุมตัว แต่ทางฮ่องกงได้ส่งเขาขึ้นเครื่องบินไปที่มอสโคว์..…ที่ทางรัฐบาลของปูตินปูพรมแดงรอรับ……ที่หัวหน้าของ FSB ไปรอรับด้วยตัวเองในฐานะแขกผู้มีเกียรติและถือว่าเป็นว่าวีรบุรุษ…… ปธน. บารัค โอบามา พยายามที่จะติดต่อขอตัว”ผู้ร้าย” กลับไป โดยอ้างว่าสโนว์เดนเป็นคนขายชาติ และเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคง รวมทั้งสัญญาว่า……จะไม่มีการทำร้าย หรือ จับไปทารุณกรรม จะดำเนินคดีตามกฏหมายเท่านั้น…… ปูตินตอกกลับไปว่า……เขาไม่ได้มีความผิดอะไรในรัสเซีย และ ด้วยสิทธิมนุษยชน เขามีสิทธิที่จะขออยู่ในรัสเซียได้ เพราะมีคุณสมบัติครบถ้วน ว่าแล้ว…สโนว์เดนก็ได้รับวีซ่าลี้ภัยให้อยู่ในรัสเซียแบบยาวนาน การเปิดเผยความลับของสโนว์เดนนี้ ผู้นำหลายชาติจึงได้ทราบว่า โทรศัพท์ของตัวเองมีการถูกดักฟัง เช่น นางแองเจลา เมอร์เคิล ด้วยระบบ SORM (System of Operative-Investigative Measures) ที่อเมริกาได้สร้างเป็นมุ้งคลุมไว้ทั่วเพื่อเป็นสปายทางระบบใยแก้ว เมื่อความลับจากสโนว์เดนที่แจกแจงออกมาให้ชาวโลกได้ทราบ โอบามายิ่งแค้นปูตินมากขึ้นเป็นทวีคูณ……เขามีกำหนดการที่จะต้องพบกับปูตินในเดือนกันยายน ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในการประชุม G20 แต่…ขอยกเลิก……โดยอ้างกับนักข่าวว่า พบไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรัสเซียทำตรงกันข้ามทุกอย่าง เช่นการเท่าเทียมทางกลุ่มรักร่วมเพศ, การลดขนาดการสร้างอาวุธ, ยกเลิกการรับเลี้ยงดูเด็ก และความวุ่นวายที่ตะวันออกกลาง แต่……โอบามาไม่ปริปากในเรื่องการรั่วไหลของความลับที่กำลังเป็นข่าวดังในขณะนั้น… ทางฝ่ายโฆษกของรัสเซียได้ออกมาตอบโต้ว่า……ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง……!!! ผลจากวิกิลีคส์ ที่เผยแพร่ไปได้สร้างความหวั่นไหวให้กับหลายๆชาติ ที่ตอนนี้เริ่มมองเห็นความสำคัญของรัสเซีย เพราะทุกคนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า……รัฐบาลรัสเซียได้ล่วงรู้ข้อมูลลับไปมากน้อยแค่ไหน สายตาทั้งหมดที่มองไปที่สหรัฐอเมริกา……มีแต่ความเคลือบแคลงและหมดความไว้ใจ แม้แต่นิตยสาร Forbes ได้ติดตำแหน่งให้ปูตินเป็นบุคคลที่ทรงอานุภาพที่สุดในโลก บุคคลที่ทรงอานุภาพ……ได้หันมาโฟกัสที่ยูเครนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะเมื่อปี 2010 ที่ Viktor Yanukovych ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ได้มีความกลมเกลียวเป็นอันดีกับรัสเซีย แต่พอมาปลายสมัย คือ 2015 เขาเริ่มเปลี่ยนไป……หันไปซบกับตะวันตก ที่กำลังขยายยุโรปมาจนติดชายขอบ เช่น Moldova, Georgia และ Armenia โดยเริ่มจากลงนามในสนธิสัญญาทางการค้า โดยหวังว่าจะต่อยอดไปจนถึงสมาชิกสภายูโรเปี้ยน สำหรับปูติน……การก้าวล่วงมาถึงยูเครน……มันเกินกว่าที่จะรับได้ เพราะเขามองออกว่า……นั่นคือ สิ่งที่ตะวันตกต้องการมากที่สุด คือ พื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตทหารในนามของนาโต้…… และทางพลังงาน……ที่จะเข้ามาควบคุมแหล่งทรัพยากร…… ถ้าเกิดมีสงครามระหว่าง รัสเซียกับอเมริกา (มีความเป็นไปได้สูง) ทางตะวันตกแทบไม่ต้องลงแรงรบเลย เพราะ มีพลังงานให้ใช้ไม่มีหมด มีการหนุนหลังเรื่องเสบียงจากยุโรปไม่อั้น และ สามารถปิดกั้นทะเลบอลติก…… ดังนั้น ยูเครนคือกล่องดวงใจ……ที่ต้องเต้นตามจังหวะของรัสเซียเท่านั้น ปูตินตั้งใจที่จะสร้างกลุ่ม Eurasian Union ขึ้นมา คือ เป็นการรวมตัวของโลกฝั่งตะวันออก ( ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว คือ BRICS) แต่หัวใจสำคัญคือ ยูเครนที่ปูตินถือว่า เป็นดินแดน(เก่าแก่)ต้นกำเนิดของรัสเซียจะต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดตะวันตก….โดยเริ่มความเป็น Eurasian Union จากพรมแดนตรงนั้น…… แต่ไปๆมาๆ…ยูเครนได้หันไปโปรตะวันตกอย่างออกหน้าออกตา โดยเฉพาะกับนางฮิลลารี คลินตันที่เคยออกมาเย้ยเยาะว่า (2012) “ถ้าคิดว่ายูเครนคือหมูในอวย…ฝันไปเถอะ……” ก่อนที่ EU จะรับ Lithuania เข้าไปเป็นสมาชิก อียูได้หันมาเร่งให้ยูเครนรีบเซ็นสัญญาค้าขายกันเสียก่อน เพื่อจะได้เอาไว้เป็นเครดิตว่ามีกิจกรรมกับทางยุโรป ปูตินพยายามคัดค้าน และพยายามไปเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง แม้กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2013 ที่เป็นวันสำคัญทางศาสนาร่วมกัน ที่ปูตินได้ย้ำเตือนถึงความเป็นออโธด็อกซ์ที่ผูกพันมาตั้งแต่ ปี 988 ฝ่ายพ่อค้ายูเครนที่โปรตะวันตก เช่น บริษัท Roshen (ขายขนมทอฟฟี่) ปูตินสั่งบอยคอต……ห้ามเข้า เขาได้พบกับประธานาธิบดี Yanukovych สองครั้งติดกันในเดือนตุลาคมและ พฤศจิกายน และบอกตรงๆว่า……ยูเครนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หากคิดที่จะหวังไปร่วมกับยุโรป……รวมทั้ง พลังงานทั้งหลายแหล่ จะต้องถูกตัดขาด…… เมื่อโดนเข้าไปเต็มๆ……ท่าทีของยานุโควิชที่มีต่อยูโรปได้เปลี่ยนไปไม่กล้าที่จะออกความเห็นหรือตัดสินใจ เขาได้บอกกับทางอียูไปตรงๆว่า ยูเครนเป็นหนี้รัสเซียอยู่ แสนหกหมื่นล้านเหรียญ ถ้าทางสภายุโรปมีหนทางที่จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ ยูเครนก็จะได้มีโอกาสทำสัญญาทางการค้าด้วย สภายุโรปได้ยินจำนวนเงิน………ก็ลมจับ ไม่เสนอหน้ามาชวนอีกเลย แต่ก่อนที่จะโดนปูตินอัดเข้าไป ยานุโควิชได้ทำการโฆษณาให้ความหวังกับประชาชนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะเปิดความสัมพันธ์กับยูโรป และจะพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสภาอียู แต่เมื่อถึงเวลาการประชุม ที่ลิธัวเนีย ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ยานุโควิช……ได้ประกาศออกสื่อให้ทราบทั่วกันว่า เขาเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ขอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสัมพันธ์ทางพานิชย์กับอียู อยู่อย่างนี้เหมือนเดิม… ผลคือ……ประชาชนออกมาเดินขบวน แน่นหนาเต็มเมือง แต่คราวนี้ไม่ใช่ธงสีส้ม……แต่เป็นธงอียูสีฟ้าที่มีดาวเหลืองเป็นวงกลม ยานุโควิช……แทบไม่ต้องแก้ไขอะไรเพราะในเวลานั้นเป็นฤดูหนาวที่ใกล้เทศกาลปลายปี ชุมนุมกันก็ได้แค่เดี๋ยวเดียว เขาบินไปจีน ไปทำสัญญาการค้าขาย (แทนยุโรป) ก่อนไปที่จีน เขาแวะพบกับปูตินเพื่อทำการตกลงกันว่า ทางรัสเซียจะให้เงินอุดหนุนสภาพคล่องหมื่นห้าพันล้านเหรียญ และลดราคาก๊าส จาก$400 คิวบิตเมตร เป็น $268 ที่จะเก็บเป็นความลับไปจนกว่าจะถึงวันที่ 9 มีนาคม 2014 ที่ผู้นำทั้งสองจะมีการพบปะกัน แล้วค่อยประกาศอย่างเป็นทางการ……… เป็นอันว่า…ในยกนี้ ปูตินได้เอาชนะต่อคำเยาะเย้ยของนางคลินตันไปได้ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ใกล้จะเปิดพิธีกีฬาโอลิมปิกที่ Sochi ประมุขของประเทศต่างๆจะเข้ามาเป็นอาคันตุกะ เขาได้ทำการปล่อยนักโทษการเมือง ให้เป็นอิสระ อย่างเช่น Mikhaïl Khodorkovsky ที่จำคุกมาแล้ว10 ปี โดยมีการทำสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับการเมืองอีก…… และปลดปล่อยกลุ่มสาวห่าม Pussy Riot ตามด้วยกลุ่มที่เคยประท้วงอื่นๆ สองวันก่อนที่จะมีพิธีเปิด….กลุ่มนักข่าวสามสิบกว่าคนได้ทำการเขียนข่าวในทำนองว่า เป็นการใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเพื่อสนองความต้องการของคนคนเดียว…… ปูตินให้สัมภาษณ์โต้ว่า……”การทำให้คนรักเรา สรรเสริญเรา ชื่นชมเรา นั้นทำไม่ยากเลย..” นักข่าวถามว่า ต้องทำอย่างไร? คำตอบคือ……ก็เวลาที่เราลดขนาดกองทัพ…ยกพื้นที่ให้เขา…ขายทรัพยากรให้เขาอย่างถูกๆไงล่ะ ……แค่นั้นเขาก็จะรักเรา ดีกับเราสารพัด…!! แต่เมื่อพิธีงานเปิดผ่านไป.……คนที่เคยติ……คนที่เคยต่อต้านกลับมาชื่นชมในผลงานและภาคภูมิใจไปตามๆกัน สำหรับปูติน.……มันคือการเรียกศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมา เฉกเช่นเมื่อครั้ง Yuri Gagarin ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ……และกองทัพแดงได้ชัยชนะในสงครามกับนาซี ความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้…ได้ส่งข้ามไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ไม่ได้เข้ามาร่วม เพราะหนึ่งคือความขัดแย้ง สองคือ……ความบาดตาบาดใจ…!!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1156 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ต้องฟูมฟายไปนะคะ ติ่งขา………พี่ปูคมทั้งในฝักและนอกฝักเชียว……!!!

    ตอนเจ็ด………ตำแหน่งที่ได้รับ……ไม่ได้มาจากโชคหรือการจับฉลาก……แต่ด้วยความสามารถและความอุตสาหะล้วนๆ

    ที่ปูตินลังเลนั้น……เขาเพียงแต่ห่วงว่าครอบครัวจะปรับชีวิตและความเป็นอยู่ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสังคมที่มอสโคว์กับกรุงเซนต์ต่างกันมากมาย
    แต่เมื่อได้คุยกับลุดมิลา เธอและลูกๆไม่มีปัญหาอะไร ไปไหนก็ได้เพราะอำนาจในการตัดสินก็อยู่ที่ช้างเท้าหน้าคือปูตินอยู่แล้ว และตัวเธอเองก็จะได้มีอิสระกับสายตาของแม่สามีไปเสียบ้าง

    สาเหตุก็เพราะรัฐบาลของเยลซินต้องการ”น้ำใหม่”มาแทนที่น้ำเสียที่รวมกันกันเป็นกระจุกอยู่ในเครมลิน เพราะความผิดพลาดในเรื่องการทำสงครามปราบปรามที่ Chechen ในปี 1994 ที่ทุกคนคิดว่า
    วันสองวันก็คงจบ……แต่ที่ไหนได้ มาลากถ่วงยาวมาจนตอนนี้
    รวมทั้งสุขภาพที่ลดถอยของเยลซินเอง ที่เป็นโรคหัวใจกำเริบในตอนต้นปี 1995 ที่ทำให้เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกสู่สายตาของประชาชน

    นี่คือเหตุผลที่ปูตินได้เข้ามาเป็นน้ำใหม่ในมอสโคว์ ในเดือนกันยายน 1996 และได้รับบ้านประจำตำแหน่งที่ค่อนข้างหรูหราอยู่ใกล้ๆกับเครมลิน
    เขาได้นำเพื่อนคู่ใจมาช่วยงานด้วยสองคน จากเซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก คือ Sergei Chemezov**และ Igor Sechin***

    เจ้านายของเขา ปาเวล ได้มอบหมายงานให้เป็นฝ่ายดูแลอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด จะต้องมีการคัดกรอง บริหารที่ดิน ตึกอาคารกันใหม่ เพราะในยุคของโซเวียต ทุกอย่างเป็นของรัฐบาล แต่ตอนนี้ก่อนที่จะมีการจำหน่าย หรือ จัดสรร ออกโฉนดจะต้องทำการประเมิน
    ซึ่งมันหมายถึงงานที่มากมายมหาศาล เพราะพื้นที่ที่จะต้องดูแลทั้งหมด คือ 78 เขตจังหวัด และ ต่างประเทศ(ในความควบคุมของโซเวียต) อื่นๆ เช่น อาคารที่ตั้งสถานทูต โรงเรียน
    รวมทั้งที่ยูเครน

    เรียกได้ว่า งานนี้ ทำให้ปูตินได้รู้หมดถึงทรัพย์สินของรัสเซียว่าอยู่ที่ไหน และ มีค่าเท่าใด
    และยิ่งค้นไป……เขาได้เห็นความไม่ชอบมาพากลหลายๆอย่าง เช่นพื้นที่สำคัญหลายแห่งถูกปล่อยให้เช่า แม้แต่ทรัพย์สินที่มีในสวิสเซอร์แลนด์ก็เช่นกัน ที่ขายไปในราคาที่เหมือนจะให้ฟรี จากชื่อบริษัท หรือ องค์กรประหลาดๆ
    ยิ่งค้นไปก็เจอว่าเป็นการ”ลักไก่” จากในหมู่ข้าราชการด้วยกัน

    เขาได้ทำรายงานให้กับทางต้นสังกัดให้ทราบเป็นเอกสารอย่างครบถ้วน เพื่อที่จะจัดการกันต่อไป เพราะเขาถือว่า
    หน้าที่ของเขา คือ การรวบรวมเอกสารและข้อมูล
    ส่วนการพิจารณาโทษ……เป็นหน้าที่ของหน่วยที่เกี่ยวข้อง

    แต่การดำเนินการล่าช้าจนเกินเหตุเพราะในช่วงนั้น มีสงครามที่เชเชน ที่มีแม่ทัพผู้อำนวยการ คือ นายพล Alexandr Lebed จอมยะโสคนนั้น
    ที่ได้สร้างผลงานให้อับอายไปทั่ว คือ แทนที่จะสยบเชเชน ดินแดนชายแดนขนาดเล็กแค่นั้น แต่ทำไม่สำเร็จ (สิงหาคม 1996)
    แถมจะยอมเจรจาสงบศึกทำสนธิสัญญาที่เสียเปรียบเข้าไปอีก
    งานนี้ทำให้เกิดกระแสที่เสียหายกับรัฐบาลของเยลซิน
    เหล่าคณะมนตรีเริ่มลุกขึ้นมาทะเลาะกันลั่นสภา
    หลายคนเรียก นายพล Alexandr Lebed ว่าเป็น “Little Napoleon” (คือ ปากดี ทีเหลว) หรือ “ไอ้กองทัพไม่มีน้ำยา”
    กระแสโกรธแค้นของประชาชนเริ่มทวีขึ้น
    จนไม่กี่วันต่อมา เยลซินต้องทำการปลดท่านนายพลออกจากตำแหน่ง

    การปรับเปลี่ยนตำแน่งได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ปูตินได้ขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการแห่งองค์กรรวม ( Chief of Staff) ที่เทียบเท่ากับ
    อธิบดี ที่ไม่กี่วันต่อมาหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง สภาได้ออกกฏหมายใหม่ เพิ่มอำนาจให้กับเขาอีก ในการขยายวงสอบสวนการทุจริต ยักยอก รวมไปถึงการคอร์รัปชั่นที่ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ ไม่ว่าจะเป็น ข้าราชการ, พนักงานลูกจ้าง และการสัมปทานต่างๆ
    งานนี้ ปูตินได้เจอะเจองานช้างเข้าหลายงาน เช่น อดีตนายพล Paval Grachev คนสนิทของเยลซิน ที่ควบคุมกองทัพในคอร์เคซัส ตั้งแต่ปี 1993-1996 ได้นำรถถังและอาวุธต่างๆที่มีมูลค่ากว่า หนึ่งพันล้านดอลล่าร์ ไปให้กับกองทัพของอาร์เมเนี่ยน ในสงครามกับ อาร์เซอร์ไบจาน
    ซึ่งเป็นการกระทำที่ถือว่าขายชาติ เพราะ รัสเซียอยู่ฝ่ายสนับสนุนอาเซอร์ไบจาน

    แต่…ทุกอย่างได้ผ่านไปก่อนที่ปูตินจะก้าวเข้ามา เขาจะไปทำอะไรได้ นอกจากจะต้องเลี้ยงนายพลคนนี้ต่อไป เนื่องจากว่าเป็นนายพลระดับวงในของเยลซที่เปรียบเหมือนตัวอันตราย ถ้าบีบคั้น……
    ก็อาจจะตกไปอยู่ในมือของชาติอื่นที่ต้องการล้วงความลับ
    ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีเลี้ยงเอาไว้ แล้วใส่ปลอกคอล่ามโซ่ให้สั้น
    โดยที่เขาใช้วิธีให้สัมภาษณ์กับนักข่าว
    ในเวลาที่ถูกถามถึงเรื่อง
    “นายพล เมอร์ซิเดส” เพราะนายพลคนนี้ชอบใช้รถหรูเกินฐานะ
    ว่า เรื่องการตรวจสอบคอร์รัปชั่นค้าอาวุธกับฝ่ายตรงข้ามนั้นไปถึงไหนแล้ว
    ปูตินตอบเรียบๆว่า “เราได้เอกสารพร้อมทุกอย่างแล้ว ข้อมูลครบ จะส่งขึ้นไปให้ฝ่ายกฎหมายต่อไป”
    นักข่าวถามต่อว่า
    “นายพลเมอร์ซิเดสได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่..??”
    “ก็ไม่มีนะ ไม่มีชื่อของ Gen. Pavel Grachev มาเกี่ยวข้องด้วย “

    นี่คือการทำงานของปูตินที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้กับเยลซิน
    แต่มืออีกข้างหนึ่งเขาได้จัดการไปตามกฏหมายเอาผิด ใช้เวลาถึงสิบปี ที่ได้เอานายพลและคณะออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ (2007)
    หรืองานคอร์รัปชั่นในหน่วยสร้างทางที่เป็นเงินมหาศาลที่มีข้าราชการเกี่ยวข้องทำผิดถึง 260 คน (ในเมษายน ปี 1997)
    หรือใน Stavropol เชือดไปอีก 450 คน (ในกันยายน 1997)

    เรื่องนายพลที่ต้องล่าช้านานขนาดนั้น เพราะปูตินไม่มีอำนาจในบทลงโทษที่เป็นงานส่วนตุลาการ
    เขาทำได้แค่ชี้มูลความผิดพร้อมหลักฐานที่หนาแน่น

    เพราะการทำงานไล่บี้การยักยอกนั้น ทำให้ปูตินต้องเข้าติดต่อกับงานเดิมอีก คือ KGB ที่ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น FSB (แต่อาคารที่ทำงานยังอยู่ที่เดิม) อยู่บ่อยๆ เท่ากับว่าเขาได้กลับไปเยือนบรรยากาศเก่าๆอีกครั้ง

    และจากงานที่ต้องมาดูพื้นที่และทรัพยากรของชาติ ที่เขาได้ทำงานอย่างไหลลื่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเขาเหนือมนุษย์……
    หากแต่มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุด ที่เขาเกิดความสนใจในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เพราะจากงานที่ทำอยู่ในสภาเทศบาลที่กรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในช่วงที่อนาโตลีได้แพ้เลือกตั้ง
    ปูตินเริ่มมีเวลาว่าง เพราะมีหน้าที่เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้กับทีมใหม่
    เขาใช้เวลานั้น ไปลงเรียนวิชาบริหารเหมืองแร่และทรัพยากรน้ำมัน ที่ Georgi Plekhanov Mining Institute
    แทนที่จะไปเรียนต่อทางด้านกฎหมาย
    และไม่ได้ไปเรียนคนเดียว เขาเอาเพื่อนรักทั้งสอง Viktor Zubkov กับ Igor Sechin ไปนั่งเรียนกันด้วย

    ปลายปี 1996 (เข้าเรียนกลางปี 1995) ที่ปูตินสามารถส่งแฟ้ม Thesis ที่หนากว่า 250 หน้า ในเรื่องทรัพยากรแร่ธาตุที่เปรียบเสมือนทองคำของประเทศ
    ได้สำเร็จสวยงาม เพราะเขาได้ติวเตอร์คนสำคัญมาช่วย
    นั่นคือ Vladimir Litvenenko ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญเหมืองแร่ ที่ไปค้นคว้าหาตำราจากยุโรปมาแปลให้เป็นภาษารัสเซีย
    เรื่องนี้ ปูตินและเพื่อนๆที่พากันไปเรียนก็ไม่ได้ไปโอ้อวดที่ไหน ตอนนั้นที่ไปลงเรียน ก็เพราะมีเวลาว่าง
    เขาเพียงแต่คิดว่า……ในสายงานทางกฎหมายของเขาควรจะต้องรู้เรื่องทรัพยาการที่เป็นธุรกิจหลักของประเทศให้ดีขึ้น

    และเขาก็ได้ใช้มันจริงๆที่มอสโคว์ เพราะเขาได้รู้ทันเจ้ากรมพลังงานที่มีการเล่นตลกกับใบสัมปทาน……แต่ก็พูดมากไปไม่ได้ เพราะนั่นคือกลุ่มคนในวงในของเยลซิน

    แต่ทีนี้ความไม่เป็นธรรมได้เกิดขึ้นกับคดีของอนาโตลี เจ้านายเก่า
    เพราะหลังจากที่อะนาโตลี ถูกกลุ่มวงในมอสโคว์”เท”จนไม่ได้รับการสนับสนุนเลือกตั้งนั้น เขาได้” โวย” กับเยลซิน
    ที่ได้รับการตอบสนอง คือ เยลซินเอาพวกนั้นออกไปเป็นแผงก็จริง ………แต่คนกลุ่มนั้นก็ไม่ได้ไปไหน หรือ รับโทษอะไร
    ยังวนเวียนเป็นที่ปรึกษาอยู่รอบตัวเยลซินเหมือนเดิม
    แถมอนาโตลี ได้มีศัตรูเพิ่มอย่างออกหน้าออกตาอีกต่างหาก
    การกลั่นแกล้งจึงได้เกิดขึ้น แบบชนิดให้ได้อาย
    เช่นอนาโตลีมีการประชุมกับคณะมนตรีจาก UNESCO
    จู่ๆก็มีตำรวจบุกไปกลางงาน ขอควบคุมตัวไปสอบสวนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่มีหมายจับ
    จนเขาเครียดถึงกับล้มป่วย เข้าโรงพยาบาล
    ครอบครัวต้องการให้แพทย์จากมอสโคว์มารักษา

    ปูตินบินด่วนไปเยี่ยมทันที และจัดการส่งเขาเข้าโรงพยาบาลทหาร จัดการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาพร้อม
    และที่เขาทำมากกว่านั้น มากเกินอำนาจเขาไปอีก คือ จัดเช่าเครื่องบินส่วนตัวจากฟินแลนด์นำตัวเขาออกนอกประเทศไปยังกรุงปารีส
    โดยให้เหล่า KGB นำขบวนรถฉุกเฉินไปยังสนามบิน
    หมายจับอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ทุกอย่างผ่านตลอด พาสปอร์ต
    ประทับตรา ผ่านศุลกากร

    การกล้าทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการฉีกกฎหมายทิ้ง และเสี่ยงต่อการเสียอนาคตของปูตินที่กำลังจะไปได้สวย
    แต่……สำหรับอนาโตลีแล้ว ปูตินพร้อมแลกเพื่อที่จะช่วยเหลือตอบแทนผู้ที่เคยมีพระคุณ
    เพราะเขาได้เห็นมาตลอดว่า เรื่องราวนั้นเป็นอย่างไร ในประเทศที่กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้อะไรได้ ความผิดของอนาโตลีนั้นเทียบเท่ากับเมล็ดทรายของคนหลายๆคนในเครมลิน

    คนที่ชื่นชมกับความกตัญญูและการกล้าตัดสินใจของปูติน ในครั้งนี้ คือ ท่านประธานธิบดี Boris Yentsin เพราะท่านว่า
    ถ้าเกิดขึ้นกับเรา…จะมีใครที่ไหนที่จะกล้ามาช่วยเราขนาดนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย……?!!!

    ปูตินเริ่มเป็นที่จับตามองจากคณะท่านผู้นำ ในวันที่ 21 มีนาคม 1998 เยลซินได้เรียกให้นายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin
    เข้ามาพบที่บ้านพักส่วนตัว เพื่อที่จะบอกว่า วิคเตอร์ทำหน้าที่นี้มานานถึงห้าปีแล้ว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกอย่างยังกวาดเข้าไปซุกอยู่ใต้พรม……เขาต้องการคนที่จะมา”ยกพรมขึ้น” แล้ว “กวาดขยะออกให้หมด” เพื่อบ้านจะได้น่าอยู่
    ฉะนั้น……ที่ให้มาพบในครั้งนี้ คือการไล่ออก……

    เยลซินได้เสนอชื่อ Sergei Kiriyenko อดีตนายธนาคารที่เป็นนักการเมืองหนุ่มวัย 35 ปี ต่อสภา……สภาไม่ผ่านทั้งสองครั้ง
    แต่ต่อมา……ด้วยแรงผลักดันของเยลซิน……ก็ผ่านฉลุย
    ส่วนอดีตนายกฯที่ถูกไล่ออกไป ก็ฮึ่มๆ ประกาศว่าเขาจะลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า จะได้รู้หมู่รู้จ่ากันไป.…

    นายทุนกระเป๋าหนัก Boris Berezovsky ที่สนับสนุนเยลซิน
    เพราะมีผลประโยชน์มหาศาลนั้น เริ่มเข้ามามีบทบาทช่วยเลือก
    เพราะกลุ่มคนวงในเก่าๆเท่าที่เห็น ต่างก็จะเข้ามาขวางทางการค้าของเขาทั้งสิ้น เพราะทุกคนต่างมีเส้นสายในกิจการสารพัดอยู่แล้ว

    ไม่ทันที่ใครจะคิดอ่านทำอะไร กระดานหุ้นรัสเซียตกฮวบ
    หุ้นบริษัทพลังงาน Rosneft ที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ ตกดิ่ง
    บริษัทลงทุนจากต่างชาติได้พากันถอนหุ้น เงินรูเบิ้ลสูญเสียมูลค่าที่รัฐบาลก็เอาไม่อยู่
    การแทรกแซงจากต่างชาติเริ่มเข้ามา ทั้งจากภาคการเมือง
    และเศรษฐกิจ
    เยลซินเริ่มเห็นแล้วว่า สาเหตุที่เกิดเช่นนั้น เพราะฝีมือของกลุ่มพ่อมดทางการเงิน จากคนรอบตัว (Oligarchs) ของเขาเองที่ส่วนใหญ่แล้ว คือยิว ที่มาปั่นกระแสขาขึ้นให้ แล้วก็ถีบหัว ตบคว่ำ……

    เยลซินเริ่มโดดเดี่ยว เขาต้องหาคนที่จะคอยพิทักษ์ปกป้อง และจะเข้ามาช่วยขจัดเหลือบไรพวกนี้ให้ออกไปให้พ้นจากชาติบ้านเมืองได้ ก็มีอยู่องค์กรเดียว คือ FSB (KGB) ที่เขาไม่ได้สนใจ ใส่ใจดูแลมานานแสนนาน
    ซึ่งเข้าทาง Boris Berezovsky (ยิวหนึ่งใน Oligarchs) ได้เสนอชื่อ ปูติน เพราะเขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดที่จะเปิดบริษัทขายรถยนตร์ในเลนินกราด ได้ไปติดต่อกับปูตินเพื่อขอใบอนุญาตการค้า และได้ยื่นซองใต้โต๊ะให้
    แต่ถูกปฏิเสธ……ไม่รับ……!!!
    เยลซินเห็นด้วย (จากเรื่องของอนาโตลี) เขาบอกว่า……”ตอนแรกเราเห็นว่าปูตินเขาเป็นคนเฉยๆ เพราะเห็นเขาเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไร แต่เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่า เป็นคนที่คมในฝัก”

    นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆ Sergei Kiriyenko ได้รับคำสั่งให้ที่มอสโคว์ เพื่อแจ้งข่าวกับปูติน
    ปูตินจึงไปรอรับท่านนายกฯ ที่สนามบิน ที่เขาคิดว่า เรื่องด่วนแบบนี้ ไม่น่าที่จะเป็นข่าวมงคล
    ทันทีที่ได้พบหน้ากัน ท่านนายกฯ ได้ปรี่เข้ามาจับมือขอแสดงความยินดี พร้อมกับบอกว่า “ดีใจด้วยนะ”
    “ดีใจอะไรหรือครับ..?”
    “ท่านประธานาธิบดีได้ทำการแต่งตั้งและลงนามให้นายเป็นผู้อำนวยการ FSB (KGB) น่ะซิ”

    ปูตินงงนิดหน่อย แต่เขาพอรู้มาบ้างแล้วว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงงานของเขาให้กลับไปอยู่ในสายงานเดิม แต่ไม่คิดว่า จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการเลย…
    สิ่งแรกที่เขาทำ นั้นคือ ติดต่อไปยังลุดมิลาที่พาลูกๆไปพักผ่อน
    ที่ชายฝั่งทะเลบอลติด
    ด้วยข้อความที่ส่งแบบสายลับ คือ……
    “ฟังให้ดีนะ……ผมกำลังจะกลับไปในที่ที่ผมจากมา..”
    ลุดมิลาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ……
    เขาจึงย้ำประโยคเดิมถึงสามครั้ง…ก่อนที่จะวางสายไป

    ลุดมิลาทำท่าเหนื่อยใจ……เธอบอกกับตัวเองว่า
    “ชั้นจะไปรู้เรื่องกับเธอไหม……ก็เปลี่ยนงานมานับสิบครั้งแล้วเนี่ยยย……?!!!

    ~~~ขยายความ

    Sergei Chemezov** เพื่อนรักของปูติน จากสถาบัน KGB
    ต่อมาคือ CEO ของบริษัท Rostec ที่สร้างอาวุธ และยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพของรัสเซีย

    Igor Sechin*** อีกหนึ่งศิษย์ร่วมสถาบัน KGB ปัจจุบัน คือ CEO ของ บริษัทน้ำมันและพลังงาน Rosneft

    ทั้งสองคนได้ถูกทางตะวันตกยึดเรือหรูมูลค่าพันล้านไปในทะเลเมติเตอเรเนียน พร้อมทั้งเป็นบุคคลที่โดนแซงชั่นในธนาคาร
    เมื่อถูกถามถึงความเห็น เขาสองคนหัวเราะ บอกว่า จิ๊บๆ
    แต่รอเขาจะฟ้องกลับเรียกค่าเสียหาย เพราะนั่นคือทรัพย์สินส่วนตัว และไม่ได้ล่วงล้ำในน่านน้ำเพราะมีเอกสารสิทธิ์ และมีการจ่ายค่าการท่าและภาษีอย่างถูกต้อง

    Viktor Zubkov**** เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีเมื่อปูตินเป็นนายกฯ ปัจจุบันนี้เป็นประธานบอร์ดของ บริษัท Gazprom
    คนนี้ก็โดนยึดเรือหรูไป ก็จิ๊บๆอีกเหมือนกัน

    ปูตินมีระบบดูแลคนใกล้ตัวที่ดียิ่ง เขาเลือกคนที่มีความสามารถเข้าไปนั่งในตำแหน่งบริหาร บอกว่า ไม่ต้องคอร์รัปชั่น
    เพราะแค่โบนัสหนึ่งเปอร์เซ็นต์ต่อปี ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด………

    แหม……………ก้อ…แต่ละบริษัทที่เอ่ยมากำไรปีละเป็นแสนล้าน ต่อให้ชาติหน้าชาติโน้นก็ใช้ไม่หมด………!!

    Wiwanda W. Vichit
    ไม่ต้องฟูมฟายไปนะคะ ติ่งขา………พี่ปูคมทั้งในฝักและนอกฝักเชียว……!!! ตอนเจ็ด………ตำแหน่งที่ได้รับ……ไม่ได้มาจากโชคหรือการจับฉลาก……แต่ด้วยความสามารถและความอุตสาหะล้วนๆ ที่ปูตินลังเลนั้น……เขาเพียงแต่ห่วงว่าครอบครัวจะปรับชีวิตและความเป็นอยู่ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสังคมที่มอสโคว์กับกรุงเซนต์ต่างกันมากมาย แต่เมื่อได้คุยกับลุดมิลา เธอและลูกๆไม่มีปัญหาอะไร ไปไหนก็ได้เพราะอำนาจในการตัดสินก็อยู่ที่ช้างเท้าหน้าคือปูตินอยู่แล้ว และตัวเธอเองก็จะได้มีอิสระกับสายตาของแม่สามีไปเสียบ้าง สาเหตุก็เพราะรัฐบาลของเยลซินต้องการ”น้ำใหม่”มาแทนที่น้ำเสียที่รวมกันกันเป็นกระจุกอยู่ในเครมลิน เพราะความผิดพลาดในเรื่องการทำสงครามปราบปรามที่ Chechen ในปี 1994 ที่ทุกคนคิดว่า วันสองวันก็คงจบ……แต่ที่ไหนได้ มาลากถ่วงยาวมาจนตอนนี้ รวมทั้งสุขภาพที่ลดถอยของเยลซินเอง ที่เป็นโรคหัวใจกำเริบในตอนต้นปี 1995 ที่ทำให้เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกสู่สายตาของประชาชน นี่คือเหตุผลที่ปูตินได้เข้ามาเป็นน้ำใหม่ในมอสโคว์ ในเดือนกันยายน 1996 และได้รับบ้านประจำตำแหน่งที่ค่อนข้างหรูหราอยู่ใกล้ๆกับเครมลิน เขาได้นำเพื่อนคู่ใจมาช่วยงานด้วยสองคน จากเซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก คือ Sergei Chemezov**และ Igor Sechin*** เจ้านายของเขา ปาเวล ได้มอบหมายงานให้เป็นฝ่ายดูแลอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด จะต้องมีการคัดกรอง บริหารที่ดิน ตึกอาคารกันใหม่ เพราะในยุคของโซเวียต ทุกอย่างเป็นของรัฐบาล แต่ตอนนี้ก่อนที่จะมีการจำหน่าย หรือ จัดสรร ออกโฉนดจะต้องทำการประเมิน ซึ่งมันหมายถึงงานที่มากมายมหาศาล เพราะพื้นที่ที่จะต้องดูแลทั้งหมด คือ 78 เขตจังหวัด และ ต่างประเทศ(ในความควบคุมของโซเวียต) อื่นๆ เช่น อาคารที่ตั้งสถานทูต โรงเรียน รวมทั้งที่ยูเครน เรียกได้ว่า งานนี้ ทำให้ปูตินได้รู้หมดถึงทรัพย์สินของรัสเซียว่าอยู่ที่ไหน และ มีค่าเท่าใด และยิ่งค้นไป……เขาได้เห็นความไม่ชอบมาพากลหลายๆอย่าง เช่นพื้นที่สำคัญหลายแห่งถูกปล่อยให้เช่า แม้แต่ทรัพย์สินที่มีในสวิสเซอร์แลนด์ก็เช่นกัน ที่ขายไปในราคาที่เหมือนจะให้ฟรี จากชื่อบริษัท หรือ องค์กรประหลาดๆ ยิ่งค้นไปก็เจอว่าเป็นการ”ลักไก่” จากในหมู่ข้าราชการด้วยกัน เขาได้ทำรายงานให้กับทางต้นสังกัดให้ทราบเป็นเอกสารอย่างครบถ้วน เพื่อที่จะจัดการกันต่อไป เพราะเขาถือว่า หน้าที่ของเขา คือ การรวบรวมเอกสารและข้อมูล ส่วนการพิจารณาโทษ……เป็นหน้าที่ของหน่วยที่เกี่ยวข้อง แต่การดำเนินการล่าช้าจนเกินเหตุเพราะในช่วงนั้น มีสงครามที่เชเชน ที่มีแม่ทัพผู้อำนวยการ คือ นายพล Alexandr Lebed จอมยะโสคนนั้น ที่ได้สร้างผลงานให้อับอายไปทั่ว คือ แทนที่จะสยบเชเชน ดินแดนชายแดนขนาดเล็กแค่นั้น แต่ทำไม่สำเร็จ (สิงหาคม 1996) แถมจะยอมเจรจาสงบศึกทำสนธิสัญญาที่เสียเปรียบเข้าไปอีก งานนี้ทำให้เกิดกระแสที่เสียหายกับรัฐบาลของเยลซิน เหล่าคณะมนตรีเริ่มลุกขึ้นมาทะเลาะกันลั่นสภา หลายคนเรียก นายพล Alexandr Lebed ว่าเป็น “Little Napoleon” (คือ ปากดี ทีเหลว) หรือ “ไอ้กองทัพไม่มีน้ำยา” กระแสโกรธแค้นของประชาชนเริ่มทวีขึ้น จนไม่กี่วันต่อมา เยลซินต้องทำการปลดท่านนายพลออกจากตำแหน่ง การปรับเปลี่ยนตำแน่งได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ปูตินได้ขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการแห่งองค์กรรวม ( Chief of Staff) ที่เทียบเท่ากับ อธิบดี ที่ไม่กี่วันต่อมาหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง สภาได้ออกกฏหมายใหม่ เพิ่มอำนาจให้กับเขาอีก ในการขยายวงสอบสวนการทุจริต ยักยอก รวมไปถึงการคอร์รัปชั่นที่ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ ไม่ว่าจะเป็น ข้าราชการ, พนักงานลูกจ้าง และการสัมปทานต่างๆ งานนี้ ปูตินได้เจอะเจองานช้างเข้าหลายงาน เช่น อดีตนายพล Paval Grachev คนสนิทของเยลซิน ที่ควบคุมกองทัพในคอร์เคซัส ตั้งแต่ปี 1993-1996 ได้นำรถถังและอาวุธต่างๆที่มีมูลค่ากว่า หนึ่งพันล้านดอลล่าร์ ไปให้กับกองทัพของอาร์เมเนี่ยน ในสงครามกับ อาร์เซอร์ไบจาน ซึ่งเป็นการกระทำที่ถือว่าขายชาติ เพราะ รัสเซียอยู่ฝ่ายสนับสนุนอาเซอร์ไบจาน แต่…ทุกอย่างได้ผ่านไปก่อนที่ปูตินจะก้าวเข้ามา เขาจะไปทำอะไรได้ นอกจากจะต้องเลี้ยงนายพลคนนี้ต่อไป เนื่องจากว่าเป็นนายพลระดับวงในของเยลซที่เปรียบเหมือนตัวอันตราย ถ้าบีบคั้น…… ก็อาจจะตกไปอยู่ในมือของชาติอื่นที่ต้องการล้วงความลับ ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีเลี้ยงเอาไว้ แล้วใส่ปลอกคอล่ามโซ่ให้สั้น โดยที่เขาใช้วิธีให้สัมภาษณ์กับนักข่าว ในเวลาที่ถูกถามถึงเรื่อง “นายพล เมอร์ซิเดส” เพราะนายพลคนนี้ชอบใช้รถหรูเกินฐานะ ว่า เรื่องการตรวจสอบคอร์รัปชั่นค้าอาวุธกับฝ่ายตรงข้ามนั้นไปถึงไหนแล้ว ปูตินตอบเรียบๆว่า “เราได้เอกสารพร้อมทุกอย่างแล้ว ข้อมูลครบ จะส่งขึ้นไปให้ฝ่ายกฎหมายต่อไป” นักข่าวถามต่อว่า “นายพลเมอร์ซิเดสได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่..??” “ก็ไม่มีนะ ไม่มีชื่อของ Gen. Pavel Grachev มาเกี่ยวข้องด้วย “ นี่คือการทำงานของปูตินที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้กับเยลซิน แต่มืออีกข้างหนึ่งเขาได้จัดการไปตามกฏหมายเอาผิด ใช้เวลาถึงสิบปี ที่ได้เอานายพลและคณะออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ (2007) หรืองานคอร์รัปชั่นในหน่วยสร้างทางที่เป็นเงินมหาศาลที่มีข้าราชการเกี่ยวข้องทำผิดถึง 260 คน (ในเมษายน ปี 1997) หรือใน Stavropol เชือดไปอีก 450 คน (ในกันยายน 1997) เรื่องนายพลที่ต้องล่าช้านานขนาดนั้น เพราะปูตินไม่มีอำนาจในบทลงโทษที่เป็นงานส่วนตุลาการ เขาทำได้แค่ชี้มูลความผิดพร้อมหลักฐานที่หนาแน่น เพราะการทำงานไล่บี้การยักยอกนั้น ทำให้ปูตินต้องเข้าติดต่อกับงานเดิมอีก คือ KGB ที่ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น FSB (แต่อาคารที่ทำงานยังอยู่ที่เดิม) อยู่บ่อยๆ เท่ากับว่าเขาได้กลับไปเยือนบรรยากาศเก่าๆอีกครั้ง และจากงานที่ต้องมาดูพื้นที่และทรัพยากรของชาติ ที่เขาได้ทำงานอย่างไหลลื่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเขาเหนือมนุษย์…… หากแต่มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุด ที่เขาเกิดความสนใจในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เพราะจากงานที่ทำอยู่ในสภาเทศบาลที่กรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในช่วงที่อนาโตลีได้แพ้เลือกตั้ง ปูตินเริ่มมีเวลาว่าง เพราะมีหน้าที่เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้กับทีมใหม่ เขาใช้เวลานั้น ไปลงเรียนวิชาบริหารเหมืองแร่และทรัพยากรน้ำมัน ที่ Georgi Plekhanov Mining Institute แทนที่จะไปเรียนต่อทางด้านกฎหมาย และไม่ได้ไปเรียนคนเดียว เขาเอาเพื่อนรักทั้งสอง Viktor Zubkov กับ Igor Sechin ไปนั่งเรียนกันด้วย ปลายปี 1996 (เข้าเรียนกลางปี 1995) ที่ปูตินสามารถส่งแฟ้ม Thesis ที่หนากว่า 250 หน้า ในเรื่องทรัพยากรแร่ธาตุที่เปรียบเสมือนทองคำของประเทศ ได้สำเร็จสวยงาม เพราะเขาได้ติวเตอร์คนสำคัญมาช่วย นั่นคือ Vladimir Litvenenko ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญเหมืองแร่ ที่ไปค้นคว้าหาตำราจากยุโรปมาแปลให้เป็นภาษารัสเซีย เรื่องนี้ ปูตินและเพื่อนๆที่พากันไปเรียนก็ไม่ได้ไปโอ้อวดที่ไหน ตอนนั้นที่ไปลงเรียน ก็เพราะมีเวลาว่าง เขาเพียงแต่คิดว่า……ในสายงานทางกฎหมายของเขาควรจะต้องรู้เรื่องทรัพยาการที่เป็นธุรกิจหลักของประเทศให้ดีขึ้น และเขาก็ได้ใช้มันจริงๆที่มอสโคว์ เพราะเขาได้รู้ทันเจ้ากรมพลังงานที่มีการเล่นตลกกับใบสัมปทาน……แต่ก็พูดมากไปไม่ได้ เพราะนั่นคือกลุ่มคนในวงในของเยลซิน แต่ทีนี้ความไม่เป็นธรรมได้เกิดขึ้นกับคดีของอนาโตลี เจ้านายเก่า เพราะหลังจากที่อะนาโตลี ถูกกลุ่มวงในมอสโคว์”เท”จนไม่ได้รับการสนับสนุนเลือกตั้งนั้น เขาได้” โวย” กับเยลซิน ที่ได้รับการตอบสนอง คือ เยลซินเอาพวกนั้นออกไปเป็นแผงก็จริง ………แต่คนกลุ่มนั้นก็ไม่ได้ไปไหน หรือ รับโทษอะไร ยังวนเวียนเป็นที่ปรึกษาอยู่รอบตัวเยลซินเหมือนเดิม แถมอนาโตลี ได้มีศัตรูเพิ่มอย่างออกหน้าออกตาอีกต่างหาก การกลั่นแกล้งจึงได้เกิดขึ้น แบบชนิดให้ได้อาย เช่นอนาโตลีมีการประชุมกับคณะมนตรีจาก UNESCO จู่ๆก็มีตำรวจบุกไปกลางงาน ขอควบคุมตัวไปสอบสวนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่มีหมายจับ จนเขาเครียดถึงกับล้มป่วย เข้าโรงพยาบาล ครอบครัวต้องการให้แพทย์จากมอสโคว์มารักษา ปูตินบินด่วนไปเยี่ยมทันที และจัดการส่งเขาเข้าโรงพยาบาลทหาร จัดการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาพร้อม และที่เขาทำมากกว่านั้น มากเกินอำนาจเขาไปอีก คือ จัดเช่าเครื่องบินส่วนตัวจากฟินแลนด์นำตัวเขาออกนอกประเทศไปยังกรุงปารีส โดยให้เหล่า KGB นำขบวนรถฉุกเฉินไปยังสนามบิน หมายจับอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ทุกอย่างผ่านตลอด พาสปอร์ต ประทับตรา ผ่านศุลกากร การกล้าทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการฉีกกฎหมายทิ้ง และเสี่ยงต่อการเสียอนาคตของปูตินที่กำลังจะไปได้สวย แต่……สำหรับอนาโตลีแล้ว ปูตินพร้อมแลกเพื่อที่จะช่วยเหลือตอบแทนผู้ที่เคยมีพระคุณ เพราะเขาได้เห็นมาตลอดว่า เรื่องราวนั้นเป็นอย่างไร ในประเทศที่กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้อะไรได้ ความผิดของอนาโตลีนั้นเทียบเท่ากับเมล็ดทรายของคนหลายๆคนในเครมลิน คนที่ชื่นชมกับความกตัญญูและการกล้าตัดสินใจของปูติน ในครั้งนี้ คือ ท่านประธานธิบดี Boris Yentsin เพราะท่านว่า ถ้าเกิดขึ้นกับเรา…จะมีใครที่ไหนที่จะกล้ามาช่วยเราขนาดนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย……?!!! ปูตินเริ่มเป็นที่จับตามองจากคณะท่านผู้นำ ในวันที่ 21 มีนาคม 1998 เยลซินได้เรียกให้นายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin เข้ามาพบที่บ้านพักส่วนตัว เพื่อที่จะบอกว่า วิคเตอร์ทำหน้าที่นี้มานานถึงห้าปีแล้ว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกอย่างยังกวาดเข้าไปซุกอยู่ใต้พรม……เขาต้องการคนที่จะมา”ยกพรมขึ้น” แล้ว “กวาดขยะออกให้หมด” เพื่อบ้านจะได้น่าอยู่ ฉะนั้น……ที่ให้มาพบในครั้งนี้ คือการไล่ออก…… เยลซินได้เสนอชื่อ Sergei Kiriyenko อดีตนายธนาคารที่เป็นนักการเมืองหนุ่มวัย 35 ปี ต่อสภา……สภาไม่ผ่านทั้งสองครั้ง แต่ต่อมา……ด้วยแรงผลักดันของเยลซิน……ก็ผ่านฉลุย ส่วนอดีตนายกฯที่ถูกไล่ออกไป ก็ฮึ่มๆ ประกาศว่าเขาจะลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า จะได้รู้หมู่รู้จ่ากันไป.… นายทุนกระเป๋าหนัก Boris Berezovsky ที่สนับสนุนเยลซิน เพราะมีผลประโยชน์มหาศาลนั้น เริ่มเข้ามามีบทบาทช่วยเลือก เพราะกลุ่มคนวงในเก่าๆเท่าที่เห็น ต่างก็จะเข้ามาขวางทางการค้าของเขาทั้งสิ้น เพราะทุกคนต่างมีเส้นสายในกิจการสารพัดอยู่แล้ว ไม่ทันที่ใครจะคิดอ่านทำอะไร กระดานหุ้นรัสเซียตกฮวบ หุ้นบริษัทพลังงาน Rosneft ที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ ตกดิ่ง บริษัทลงทุนจากต่างชาติได้พากันถอนหุ้น เงินรูเบิ้ลสูญเสียมูลค่าที่รัฐบาลก็เอาไม่อยู่ การแทรกแซงจากต่างชาติเริ่มเข้ามา ทั้งจากภาคการเมือง และเศรษฐกิจ เยลซินเริ่มเห็นแล้วว่า สาเหตุที่เกิดเช่นนั้น เพราะฝีมือของกลุ่มพ่อมดทางการเงิน จากคนรอบตัว (Oligarchs) ของเขาเองที่ส่วนใหญ่แล้ว คือยิว ที่มาปั่นกระแสขาขึ้นให้ แล้วก็ถีบหัว ตบคว่ำ…… เยลซินเริ่มโดดเดี่ยว เขาต้องหาคนที่จะคอยพิทักษ์ปกป้อง และจะเข้ามาช่วยขจัดเหลือบไรพวกนี้ให้ออกไปให้พ้นจากชาติบ้านเมืองได้ ก็มีอยู่องค์กรเดียว คือ FSB (KGB) ที่เขาไม่ได้สนใจ ใส่ใจดูแลมานานแสนนาน ซึ่งเข้าทาง Boris Berezovsky (ยิวหนึ่งใน Oligarchs) ได้เสนอชื่อ ปูติน เพราะเขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดที่จะเปิดบริษัทขายรถยนตร์ในเลนินกราด ได้ไปติดต่อกับปูตินเพื่อขอใบอนุญาตการค้า และได้ยื่นซองใต้โต๊ะให้ แต่ถูกปฏิเสธ……ไม่รับ……!!! เยลซินเห็นด้วย (จากเรื่องของอนาโตลี) เขาบอกว่า……”ตอนแรกเราเห็นว่าปูตินเขาเป็นคนเฉยๆ เพราะเห็นเขาเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไร แต่เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่า เป็นคนที่คมในฝัก” นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆ Sergei Kiriyenko ได้รับคำสั่งให้ที่มอสโคว์ เพื่อแจ้งข่าวกับปูติน ปูตินจึงไปรอรับท่านนายกฯ ที่สนามบิน ที่เขาคิดว่า เรื่องด่วนแบบนี้ ไม่น่าที่จะเป็นข่าวมงคล ทันทีที่ได้พบหน้ากัน ท่านนายกฯ ได้ปรี่เข้ามาจับมือขอแสดงความยินดี พร้อมกับบอกว่า “ดีใจด้วยนะ” “ดีใจอะไรหรือครับ..?” “ท่านประธานาธิบดีได้ทำการแต่งตั้งและลงนามให้นายเป็นผู้อำนวยการ FSB (KGB) น่ะซิ” ปูตินงงนิดหน่อย แต่เขาพอรู้มาบ้างแล้วว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงงานของเขาให้กลับไปอยู่ในสายงานเดิม แต่ไม่คิดว่า จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการเลย… สิ่งแรกที่เขาทำ นั้นคือ ติดต่อไปยังลุดมิลาที่พาลูกๆไปพักผ่อน ที่ชายฝั่งทะเลบอลติด ด้วยข้อความที่ส่งแบบสายลับ คือ…… “ฟังให้ดีนะ……ผมกำลังจะกลับไปในที่ที่ผมจากมา..” ลุดมิลาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ…… เขาจึงย้ำประโยคเดิมถึงสามครั้ง…ก่อนที่จะวางสายไป ลุดมิลาทำท่าเหนื่อยใจ……เธอบอกกับตัวเองว่า “ชั้นจะไปรู้เรื่องกับเธอไหม……ก็เปลี่ยนงานมานับสิบครั้งแล้วเนี่ยยย……?!!! ~~~ขยายความ Sergei Chemezov** เพื่อนรักของปูติน จากสถาบัน KGB ต่อมาคือ CEO ของบริษัท Rostec ที่สร้างอาวุธ และยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพของรัสเซีย Igor Sechin*** อีกหนึ่งศิษย์ร่วมสถาบัน KGB ปัจจุบัน คือ CEO ของ บริษัทน้ำมันและพลังงาน Rosneft ทั้งสองคนได้ถูกทางตะวันตกยึดเรือหรูมูลค่าพันล้านไปในทะเลเมติเตอเรเนียน พร้อมทั้งเป็นบุคคลที่โดนแซงชั่นในธนาคาร เมื่อถูกถามถึงความเห็น เขาสองคนหัวเราะ บอกว่า จิ๊บๆ แต่รอเขาจะฟ้องกลับเรียกค่าเสียหาย เพราะนั่นคือทรัพย์สินส่วนตัว และไม่ได้ล่วงล้ำในน่านน้ำเพราะมีเอกสารสิทธิ์ และมีการจ่ายค่าการท่าและภาษีอย่างถูกต้อง Viktor Zubkov**** เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีเมื่อปูตินเป็นนายกฯ ปัจจุบันนี้เป็นประธานบอร์ดของ บริษัท Gazprom คนนี้ก็โดนยึดเรือหรูไป ก็จิ๊บๆอีกเหมือนกัน ปูตินมีระบบดูแลคนใกล้ตัวที่ดียิ่ง เขาเลือกคนที่มีความสามารถเข้าไปนั่งในตำแหน่งบริหาร บอกว่า ไม่ต้องคอร์รัปชั่น เพราะแค่โบนัสหนึ่งเปอร์เซ็นต์ต่อปี ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด……… แหม……………ก้อ…แต่ละบริษัทที่เอ่ยมากำไรปีละเป็นแสนล้าน ต่อให้ชาติหน้าชาติโน้นก็ใช้ไม่หมด………!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3169 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ปริศนาแมวดำทั้ง7

    เรื่องสั้นนักสืบ จากผลงานเขียนโดย เอลเลอรี ควีน แปลโดย กันยรัตน์

    หนึ่งในเรื่องจากหนังสือ ปรัศนี รวมนิยายนักสืบเรื่องสั้นที่สรรแล้ว จากยอดนักเขียนชื่อก้องหลายคน

    เลือกเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังเป็นเรื่องแรกก่อน นับเป็นเรื่องสั้นขนาดกลางที่อ่านสนุก มีแทรกอารมณ์ขันบางช่วง

    ตัวเอกของเรื่องก็ชื่อเดียวกับคนเขียนนั่นแหละ

    เปิดเรื่องด้วยการที่ ยอดชายของเรื่องต้องการหาซื้อหมาสักตัว จึงเข้าไปคุยกับเจ้าของร้านซึ่งเป็นสาวสวยคนหนึ่ง หญิงสาวมีอัธยาศัยดี ช่างจ้อ บอกว่าพันธุ์ที่ควีนต้องการนั้นไม่มี ถ้าอีกพันธุ์ได้ไหม คุยไปคุยมาเกิดกรี๊ดกร๊าดเมื่อทราบว่าชายตรงหน้าคือคนดัง เอลเลอรี ควีน ทีนี้จ้อไม่หยุด เปรยถามว่าคุณควีนพักอยู่แถวใกล้ๆนี้ คงรู้จักหญิงคนหนึ่งที่ชื่อ..กระมัง เพราะเธอก็เป็นลูกค้าของร้านเช่นกัน ควีนบอกไม่รู้จักแต่สนใจชื่อที่แปลกของหญิงคนนั้น เจ้าของร้านจึงเล่าว่าเป็นสตรีชราเดินเหินไม่ได้ เมื่อสักหกเดือนก่อน น้องสาวที่หน้าคล้ายกัน อายุห่างกันไม่มากมาอยู่ด้วยที่ห้องของเธอเพื่อดูแล แต่เข้ากันไม่ได้ เพราะคนน้องรักแมวมาก เคยมาซื้อแมวดำตัวผู้ตาเขียวจากที่ร้าน แล้วอีกสองวันต่อมาโทรศัพท์บอกขอนำมาคืน เพราะพี่สาวเกลียดแมว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มาคืน

    เธอเล่าต่อไปว่า ที่น่าแปลกคือ จากนั้นไม่นานคนพี่ที่เดินไม่ได้ก็โทรมาที่ร้าน ขอให้หาแมวสีเดียวกันตัวผู้ ที่เหมือนตัวที่น้องสาวเคยซื้อไปในราคาไม่แพง แล้วให้นำไปส่งที่แฟลตในช่วงบ่าย ซึ่งเป็นเวลาที่น้องสาวจะไม่อยู่เพราะออกไปเดินเล่นข้างนอก ด้วยความที่ไม่อยากให้น้องสาวทราบจึงห้ามคนขายไม่ให้บอก ทุกครั้งที่นำแมวไปส่งจึงไม่เคยพบหญิงชราคนน้อง น่าแปลกกว่านั้นคือคนพี่จะโทรมาสั่งแมวสัปดาห์ละครั้ง รวมกว่า5สัปดาห์เข้าแล้ว ทั้งที่เป็นคนเกลียดแมว เรื่องนี้สะดุดใจนักสืบควีนมาก จึงอยากลองไปเจอกับหญิงชราคนพี่ที่ป่วยเดินไม่ได้ โดยขอให้เจ้าของร้านสาวพาไป โดยจะอ้างว่าควีนสั่งแมวไว้ก่อน พอแมวถูกขายให้หญิงชราไปจึงไม่ยอม ต้องการมาคุยทำความตกลง สาวเจ้าของร้านตกลงช่วย เพราะดูเธอชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเป็นกิจวัตร และวันนี้ได้เวลาที่ต้องไปตามนัดพอดี

    เมื่อไปถึงแฟลตที่หญิงชราอาศัย ทั้งสองกดกริ่งหลายหน ส่งเสียงดังเรียก แต่กลับไม่ได้รับการเปิดประตู ขวดนมสดวางตั้งไว้ที่หน้าประตูสองขวด ควีนรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ประตูก็ล็อก ซึ่งต่างจากที่สาวขายแมวบอกว่าทุกครั้งที่มาส่งแมวช่วงเวลานี้ ประตูจะเปิดเพราะคนน้องจะออกไปข้างนอกแล้วไม่ล็อก ทั้งสองจึงลองไปสอบถามกับทางสำนักงานของคนดูแลตึกนามสกุล พอตเตอร์ แต่ปรากฏสามีที่ดูแลตึกไม่อยู่ ภรรยาออกมารับหน้าถามมีธุระอะไร พอทราบว่าทั้งสองมาหาหญิงชราแต่เข้าไม่ได้เพราะประตูล็อก และมีขวดนมวางไว้สองขวดจึงแปลกใจ ควีนสอบถามว่าเห็นหรือคุยกับหญิงชราครั้งสุดท้ายเมื่อไร ภรรยาคนดูแลบอกว่าน่าจะสองวันก่อน พอถูกถามถึงสามี ก็ตอบว่าไปทำงานพิเศษช่วงครึ่งวันที่โรงงานเคมี คงจะกลับช่วงเย็น เธอบอกอีกว่าหญิงชราเรียกสามีไปช่วยทาสีซ่อมแซมในห้องช่วงบ่ายหรือเย็นมาเกือบเดือนแล้ว โดยจะให้ค่าจ้างด้วย

    ควีนกับสาวขายแมวจึงขอมาสเตอร์คีย์ แล้วย้อนจะไปไขประตูห้องหญิงชรา ทว่าควีนได้ยินเสียง มีคนอยู่ในห้อง และคนคนนั้นได้หาอะไรมาขัดไม่ให้เขาผลักประตูเข้าไปได้ สุดท้ายจึงต้องออกแรงพุ่งชนจนประตูเปิด แต่คนที่อยู่ในห้องรีบหนีหลบออกทางหน้าต่างแล้วปีนบันไดวนขึ้นบนดาดฟ้าหนีไปแล้ว เขาจึงตรวจสภาพในห้อง ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งมายืนหน้าประตูอย่างงุนงง บอกเป็นหลานมาพบหญิงชรา ตามที่เธอได้เขียนจดหมายส่งหาเขา เขาติดธุระจึงมาช้า พอทราบว่าอาจเกิดเหตุไม่ดีขึ้นกับหญิงชราทั้งสองก็ตกใจ ควีนสอบถามเขาและขอดูจดหมาย เนื้อความในนั้นหญิงชรากำลังกลัวเพราะคาดว่าตนกำลังตกอยู่ในอันตรายอะไรสักอย่าง ขอให้หลานช่วยมาหาโดยเร็วที่สุด ควีนถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเขา ได้ทราบว่าป้าทั้งสองไม่ค่อยลงรอยกัน ป้าคนโตพอมีเงินเก็บก้อนหนึ่ง แต่ไม่ไว้ใจธนาคาร และไม่ไว้ใจน้องสาว จึงแอบเก็บเงินไว้สักแห่งในห้อง เธอกลัวว่าน้องสาวจะขโมยเงินนี้ไป ควีนแนะให้เขาเข้าพักโรงแรมแถวใกล้ ๆ เพื่อรอฟังข่าวต่อไป

    ปรากฏว่าหญิงชราหายตัวไป มีแต่เตียงว่างเปล่ายับยู่ยี่ เธอเดินไม่ได้ แต่กลับไม่อยู่ในห้อง คนน้องก็น่าจะไม่ได้อยู่ที่นี่มาอย่างน้อยสองวันเช่นกัน ถึงมีขวดนมวางหน้าประตู ที่น่าแปลกคือไม่เห็นแมวเลยสักตัว ทั้งที่ควรจะมีอยู่ 7 ตัว ควีนตรวจจานอาหารที่มีอาหารเหลืออยู่ เขาตรวจหาลายนิ้วมือบนช้อน ส้อมและมีด แต่ไม่พบลายนิ้วมือใครเลย เขาวานเจ้าของร้านขายแมวให้นำเอาอาหารที่เหลือนี้ไปส่งตรวจกับ ดอกเตอร์คนหนึ่ง จากนั้นตัวเองก็จะสำรวจต่อให้ทั่ว ก่อนสาวสวยร้านแมวจะออกจากห้อง ควีนส่งเสียงด้วยความตกใจ ให้รีบมาดูที่อ่างอาบน้ำ ที่สุดทั้งสองจึงเห็นว่ามีซากแมวดำตัวหนึ่งนอนตายจมกองเลือดในสภาพน่าอนาถ ที่หัวถูกทุบแหลกเละด้วยแปรงถูตัวที่ถูกทิ้งไว้ใกล้ ๆ

    ควีนได้ไปพบภรรยาคนดูแลตึกอีกครั้ง คราวนี้นายพอตเตอร์ผู้ดูแลกลับมาจากทำงานแล้ว จึงสอบถามเพิ่มเติมว่าเคยเห็นแมวตายในช่วงที่ผ่านมาบ้างไหม ภรรยานายพอตเตอร์ตกใจ บอกว่าใช่ ทำไมถึงรู้ ส่วนสามีบอกว่าใช่พบกระโหลกแมวในเตาเผาขยะหกตัว สัปดาห์ละตัว ไม่คิดว่าเจ้าของจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ ควีนเดินไปสำรวจรอบ ๆ เตาเผาขยะ รวบรวมหลักฐานเพิ่ม เมื่อสาวร้านขายแมวกลับมาพร้อมแจ้งว่าตรวจไม่พบอะไรในอาหารที่เหลือ ควีนสรุปว่าควรเป็นเช่นนั้น ที่สุดเขาพออนุมานได้แล้วว่าหญิงชราทั้งสองน่าจะตายไปแล้ว

    คนพี่คงระแวงว่าน้องสาวจะวางยาพิษตนเพื่อหวังเงินที่เก็บซ่อนไว้ จึงสั่งซื้อแมวมาทั้งที่เกลียด เพื่อใช้ทดสอบกินอาหารก่อน ถ้าแมวปลอดภัยตนจึงจะกินอาหาร แต่เนื่องจากคนร้ายวางยาทุกสัปดาห์ แมวจึงตายทำให้ต้องสั่งแมวตัวใหม่ และต้องการไม่ให้น้องสาวสงสัยจึงเลือกที่สีและขนาดรวมถึงเพศเดียวกับแมวของน้องสาว เมื่อแมวตายเพราะพิษ ก็คงจะห่อศพแล้วฝากเมียคนดูแลให้ไปทิ้งในเตาเผารวมกับขยะอื่น แต่ครั้งสุดท้าย คนร้ายคงเปลี่ยนแผน ไม่ใส่ยาพิษในอาหารเพราะทำมาหกครั้งไม่สำเร็จ จึงทายาพิษที่ช้อน ส้อม มีดแทน แมวกินไม่เป็นไร หญิงชราจึงกินอาหารจานนั้นและตายจากพิษที่ติดกับสิ่งที่เธอไม่ทันระวัง คนร้ายจึงเช็ดทำลายหลักฐาน และฆ่าแมวตัวที่เหลือด้วยวิธีอำมหิต และคนร้ายต้องไม่ใช่น้องสาวแน่ เพราะเธอรักแมว คงไม่กล้าพอที่จะลงมือฆ่าแมว น่าจะมาเห็นเหตุการณ์เข้าจึงถูกฆ่าปิดปาก ส่วนศพของทั้งสองคงถูกเอาไปใส่เตาเผาขยะ แล้วเช่นนั้นคนร้ายคือใครล่ะ

    ขณะสาวร้านขายแมวถามควีน ทั้งสองได้ยินเสียงไขกุญแจห้อง ที่แท้คนร้ายนึกว่าคงไม่มีคนอยู่ในห้องแล้ว และย้อนกลับมาเพื่อต้องการหาเงินที่หญิงชราซ่อนไว้ ควีนรีบพาตัวหญิงสาวไปแอบในตู้เสื้อผ้า ส่วนเขาออกไปตะลุมบอนกับคนร้าย ขณะจะพลาดท่าถูกคนร้ายเอามีดเสียบ หญิงสาวถลันออกจากตู้เตะไปที่ข้อมือชายคนนั้นที่เธอยังไม่เห็นหน้า ควีนร้องบอกให้ไปเปิดประตู ทันใดนั้นตำรวจหลายคนกรูเข้ามา จากนั้นเธอก็สลบไป

    ฟื้นอีกที เธอรีบถามใครคือคนร้าย ควีนบอกจะเป็นใครได้อีก นอกจากคนที่เข้ามาทาสีในห้องอยู่เกือบเดือน และทำงานโรงงานเคมีสามารถหายาพิษได้ง่าย อีกทั้งมีกุญแจห้องอีกดอก และคอยจัดการทิ้งขยะในเตาเผา ดีที่ควีนแอบโทรแจ้งตำรวจไว้ให้มาช่วยก่อนหน้านั้น และก็มาทันเวลาพอดี

    📌ส่วนเงินที่หญิงชราแอบไว้ พบซ่อนในหนังสือเล่มหนึ่ง! ใต้เตียงนอน

    📌 ที่น่าสนใจที่สุดคือ คนร้ายรายนี้ชื่อว่า แฮรี่ พอตเตอร์!

    #เรื่องสั้น
    #เรื่องสั้นแปล
    #กันยรัตน์
    #แมวดำ
    #สืบสวน
    #คดีปริศนา
    #เอลเลอรีควีน
    #นักสืบ
    #thaitimes
    #ปริศนาแมวดำทั้ง7 เรื่องสั้นนักสืบ จากผลงานเขียนโดย เอลเลอรี ควีน แปลโดย กันยรัตน์ หนึ่งในเรื่องจากหนังสือ ปรัศนี รวมนิยายนักสืบเรื่องสั้นที่สรรแล้ว จากยอดนักเขียนชื่อก้องหลายคน เลือกเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังเป็นเรื่องแรกก่อน นับเป็นเรื่องสั้นขนาดกลางที่อ่านสนุก มีแทรกอารมณ์ขันบางช่วง ตัวเอกของเรื่องก็ชื่อเดียวกับคนเขียนนั่นแหละ เปิดเรื่องด้วยการที่ ยอดชายของเรื่องต้องการหาซื้อหมาสักตัว จึงเข้าไปคุยกับเจ้าของร้านซึ่งเป็นสาวสวยคนหนึ่ง หญิงสาวมีอัธยาศัยดี ช่างจ้อ บอกว่าพันธุ์ที่ควีนต้องการนั้นไม่มี ถ้าอีกพันธุ์ได้ไหม คุยไปคุยมาเกิดกรี๊ดกร๊าดเมื่อทราบว่าชายตรงหน้าคือคนดัง เอลเลอรี ควีน ทีนี้จ้อไม่หยุด เปรยถามว่าคุณควีนพักอยู่แถวใกล้ๆนี้ คงรู้จักหญิงคนหนึ่งที่ชื่อ..กระมัง เพราะเธอก็เป็นลูกค้าของร้านเช่นกัน ควีนบอกไม่รู้จักแต่สนใจชื่อที่แปลกของหญิงคนนั้น เจ้าของร้านจึงเล่าว่าเป็นสตรีชราเดินเหินไม่ได้ เมื่อสักหกเดือนก่อน น้องสาวที่หน้าคล้ายกัน อายุห่างกันไม่มากมาอยู่ด้วยที่ห้องของเธอเพื่อดูแล แต่เข้ากันไม่ได้ เพราะคนน้องรักแมวมาก เคยมาซื้อแมวดำตัวผู้ตาเขียวจากที่ร้าน แล้วอีกสองวันต่อมาโทรศัพท์บอกขอนำมาคืน เพราะพี่สาวเกลียดแมว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มาคืน เธอเล่าต่อไปว่า ที่น่าแปลกคือ จากนั้นไม่นานคนพี่ที่เดินไม่ได้ก็โทรมาที่ร้าน ขอให้หาแมวสีเดียวกันตัวผู้ ที่เหมือนตัวที่น้องสาวเคยซื้อไปในราคาไม่แพง แล้วให้นำไปส่งที่แฟลตในช่วงบ่าย ซึ่งเป็นเวลาที่น้องสาวจะไม่อยู่เพราะออกไปเดินเล่นข้างนอก ด้วยความที่ไม่อยากให้น้องสาวทราบจึงห้ามคนขายไม่ให้บอก ทุกครั้งที่นำแมวไปส่งจึงไม่เคยพบหญิงชราคนน้อง น่าแปลกกว่านั้นคือคนพี่จะโทรมาสั่งแมวสัปดาห์ละครั้ง รวมกว่า5สัปดาห์เข้าแล้ว ทั้งที่เป็นคนเกลียดแมว เรื่องนี้สะดุดใจนักสืบควีนมาก จึงอยากลองไปเจอกับหญิงชราคนพี่ที่ป่วยเดินไม่ได้ โดยขอให้เจ้าของร้านสาวพาไป โดยจะอ้างว่าควีนสั่งแมวไว้ก่อน พอแมวถูกขายให้หญิงชราไปจึงไม่ยอม ต้องการมาคุยทำความตกลง สาวเจ้าของร้านตกลงช่วย เพราะดูเธอชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเป็นกิจวัตร และวันนี้ได้เวลาที่ต้องไปตามนัดพอดี เมื่อไปถึงแฟลตที่หญิงชราอาศัย ทั้งสองกดกริ่งหลายหน ส่งเสียงดังเรียก แต่กลับไม่ได้รับการเปิดประตู ขวดนมสดวางตั้งไว้ที่หน้าประตูสองขวด ควีนรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ประตูก็ล็อก ซึ่งต่างจากที่สาวขายแมวบอกว่าทุกครั้งที่มาส่งแมวช่วงเวลานี้ ประตูจะเปิดเพราะคนน้องจะออกไปข้างนอกแล้วไม่ล็อก ทั้งสองจึงลองไปสอบถามกับทางสำนักงานของคนดูแลตึกนามสกุล พอตเตอร์ แต่ปรากฏสามีที่ดูแลตึกไม่อยู่ ภรรยาออกมารับหน้าถามมีธุระอะไร พอทราบว่าทั้งสองมาหาหญิงชราแต่เข้าไม่ได้เพราะประตูล็อก และมีขวดนมวางไว้สองขวดจึงแปลกใจ ควีนสอบถามว่าเห็นหรือคุยกับหญิงชราครั้งสุดท้ายเมื่อไร ภรรยาคนดูแลบอกว่าน่าจะสองวันก่อน พอถูกถามถึงสามี ก็ตอบว่าไปทำงานพิเศษช่วงครึ่งวันที่โรงงานเคมี คงจะกลับช่วงเย็น เธอบอกอีกว่าหญิงชราเรียกสามีไปช่วยทาสีซ่อมแซมในห้องช่วงบ่ายหรือเย็นมาเกือบเดือนแล้ว โดยจะให้ค่าจ้างด้วย ควีนกับสาวขายแมวจึงขอมาสเตอร์คีย์ แล้วย้อนจะไปไขประตูห้องหญิงชรา ทว่าควีนได้ยินเสียง มีคนอยู่ในห้อง และคนคนนั้นได้หาอะไรมาขัดไม่ให้เขาผลักประตูเข้าไปได้ สุดท้ายจึงต้องออกแรงพุ่งชนจนประตูเปิด แต่คนที่อยู่ในห้องรีบหนีหลบออกทางหน้าต่างแล้วปีนบันไดวนขึ้นบนดาดฟ้าหนีไปแล้ว เขาจึงตรวจสภาพในห้อง ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งมายืนหน้าประตูอย่างงุนงง บอกเป็นหลานมาพบหญิงชรา ตามที่เธอได้เขียนจดหมายส่งหาเขา เขาติดธุระจึงมาช้า พอทราบว่าอาจเกิดเหตุไม่ดีขึ้นกับหญิงชราทั้งสองก็ตกใจ ควีนสอบถามเขาและขอดูจดหมาย เนื้อความในนั้นหญิงชรากำลังกลัวเพราะคาดว่าตนกำลังตกอยู่ในอันตรายอะไรสักอย่าง ขอให้หลานช่วยมาหาโดยเร็วที่สุด ควีนถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเขา ได้ทราบว่าป้าทั้งสองไม่ค่อยลงรอยกัน ป้าคนโตพอมีเงินเก็บก้อนหนึ่ง แต่ไม่ไว้ใจธนาคาร และไม่ไว้ใจน้องสาว จึงแอบเก็บเงินไว้สักแห่งในห้อง เธอกลัวว่าน้องสาวจะขโมยเงินนี้ไป ควีนแนะให้เขาเข้าพักโรงแรมแถวใกล้ ๆ เพื่อรอฟังข่าวต่อไป ปรากฏว่าหญิงชราหายตัวไป มีแต่เตียงว่างเปล่ายับยู่ยี่ เธอเดินไม่ได้ แต่กลับไม่อยู่ในห้อง คนน้องก็น่าจะไม่ได้อยู่ที่นี่มาอย่างน้อยสองวันเช่นกัน ถึงมีขวดนมวางหน้าประตู ที่น่าแปลกคือไม่เห็นแมวเลยสักตัว ทั้งที่ควรจะมีอยู่ 7 ตัว ควีนตรวจจานอาหารที่มีอาหารเหลืออยู่ เขาตรวจหาลายนิ้วมือบนช้อน ส้อมและมีด แต่ไม่พบลายนิ้วมือใครเลย เขาวานเจ้าของร้านขายแมวให้นำเอาอาหารที่เหลือนี้ไปส่งตรวจกับ ดอกเตอร์คนหนึ่ง จากนั้นตัวเองก็จะสำรวจต่อให้ทั่ว ก่อนสาวสวยร้านแมวจะออกจากห้อง ควีนส่งเสียงด้วยความตกใจ ให้รีบมาดูที่อ่างอาบน้ำ ที่สุดทั้งสองจึงเห็นว่ามีซากแมวดำตัวหนึ่งนอนตายจมกองเลือดในสภาพน่าอนาถ ที่หัวถูกทุบแหลกเละด้วยแปรงถูตัวที่ถูกทิ้งไว้ใกล้ ๆ ควีนได้ไปพบภรรยาคนดูแลตึกอีกครั้ง คราวนี้นายพอตเตอร์ผู้ดูแลกลับมาจากทำงานแล้ว จึงสอบถามเพิ่มเติมว่าเคยเห็นแมวตายในช่วงที่ผ่านมาบ้างไหม ภรรยานายพอตเตอร์ตกใจ บอกว่าใช่ ทำไมถึงรู้ ส่วนสามีบอกว่าใช่พบกระโหลกแมวในเตาเผาขยะหกตัว สัปดาห์ละตัว ไม่คิดว่าเจ้าของจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ ควีนเดินไปสำรวจรอบ ๆ เตาเผาขยะ รวบรวมหลักฐานเพิ่ม เมื่อสาวร้านขายแมวกลับมาพร้อมแจ้งว่าตรวจไม่พบอะไรในอาหารที่เหลือ ควีนสรุปว่าควรเป็นเช่นนั้น ที่สุดเขาพออนุมานได้แล้วว่าหญิงชราทั้งสองน่าจะตายไปแล้ว คนพี่คงระแวงว่าน้องสาวจะวางยาพิษตนเพื่อหวังเงินที่เก็บซ่อนไว้ จึงสั่งซื้อแมวมาทั้งที่เกลียด เพื่อใช้ทดสอบกินอาหารก่อน ถ้าแมวปลอดภัยตนจึงจะกินอาหาร แต่เนื่องจากคนร้ายวางยาทุกสัปดาห์ แมวจึงตายทำให้ต้องสั่งแมวตัวใหม่ และต้องการไม่ให้น้องสาวสงสัยจึงเลือกที่สีและขนาดรวมถึงเพศเดียวกับแมวของน้องสาว เมื่อแมวตายเพราะพิษ ก็คงจะห่อศพแล้วฝากเมียคนดูแลให้ไปทิ้งในเตาเผารวมกับขยะอื่น แต่ครั้งสุดท้าย คนร้ายคงเปลี่ยนแผน ไม่ใส่ยาพิษในอาหารเพราะทำมาหกครั้งไม่สำเร็จ จึงทายาพิษที่ช้อน ส้อม มีดแทน แมวกินไม่เป็นไร หญิงชราจึงกินอาหารจานนั้นและตายจากพิษที่ติดกับสิ่งที่เธอไม่ทันระวัง คนร้ายจึงเช็ดทำลายหลักฐาน และฆ่าแมวตัวที่เหลือด้วยวิธีอำมหิต และคนร้ายต้องไม่ใช่น้องสาวแน่ เพราะเธอรักแมว คงไม่กล้าพอที่จะลงมือฆ่าแมว น่าจะมาเห็นเหตุการณ์เข้าจึงถูกฆ่าปิดปาก ส่วนศพของทั้งสองคงถูกเอาไปใส่เตาเผาขยะ แล้วเช่นนั้นคนร้ายคือใครล่ะ ขณะสาวร้านขายแมวถามควีน ทั้งสองได้ยินเสียงไขกุญแจห้อง ที่แท้คนร้ายนึกว่าคงไม่มีคนอยู่ในห้องแล้ว และย้อนกลับมาเพื่อต้องการหาเงินที่หญิงชราซ่อนไว้ ควีนรีบพาตัวหญิงสาวไปแอบในตู้เสื้อผ้า ส่วนเขาออกไปตะลุมบอนกับคนร้าย ขณะจะพลาดท่าถูกคนร้ายเอามีดเสียบ หญิงสาวถลันออกจากตู้เตะไปที่ข้อมือชายคนนั้นที่เธอยังไม่เห็นหน้า ควีนร้องบอกให้ไปเปิดประตู ทันใดนั้นตำรวจหลายคนกรูเข้ามา จากนั้นเธอก็สลบไป ฟื้นอีกที เธอรีบถามใครคือคนร้าย ควีนบอกจะเป็นใครได้อีก นอกจากคนที่เข้ามาทาสีในห้องอยู่เกือบเดือน และทำงานโรงงานเคมีสามารถหายาพิษได้ง่าย อีกทั้งมีกุญแจห้องอีกดอก และคอยจัดการทิ้งขยะในเตาเผา ดีที่ควีนแอบโทรแจ้งตำรวจไว้ให้มาช่วยก่อนหน้านั้น และก็มาทันเวลาพอดี 📌ส่วนเงินที่หญิงชราแอบไว้ พบซ่อนในหนังสือเล่มหนึ่ง! ใต้เตียงนอน 📌 ที่น่าสนใจที่สุดคือ คนร้ายรายนี้ชื่อว่า แฮรี่ พอตเตอร์! #เรื่องสั้น #เรื่องสั้นแปล #กันยรัตน์ #แมวดำ #สืบสวน #คดีปริศนา #เอลเลอรีควีน #นักสืบ #thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1785 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิงส์ได้ดูสัมภาษณ์หลายครั้งหลายรายการ
    ทำไมทำให้รู้สึกว่า ดร.สุขุมพงศ์คนนี้
    มีอะไรแปลกๆ ถึงขนาด ธรรมนัสลั่นด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ
    บอกว่า หมอนี่นี่แหละที่ยืนยันว่าทุกอย่างถูกต้องตามกระบวนการ
    และแคลิฟอเนียยูนิเวอร์ซิตี้ คือสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือ
    และลั่นว่า กรณีของตน และหมอเกศ สุขุมพงศ์ต้องรับผิดชอบ
    แม้ว่า ดร.สุขุมพงศ์ดูจะมีความเชี่ยวชาญในการตอบคำถาม
    และเอาตัวเองออกจากปัญหาได้อย่างพริ้วไหวดุจสายน้ำก็ตาม
    แต่มันมีอะไรไม่ชอบมาพากลนะคับนะ เหมือนเคสเหล่านี้จะเป็นตัวบ่งบอกถึงอาชีพในการล่อให้คนมีชื่อเสียงไปแสวงหาการเป็นศาตราจารย์ เป็นดร.โดยทางลัดหรือไม่
    แต่ยืนยันอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เป็นมหาลัยที่น่าเชื่อถือและได้รับการับรองจากบลาๆๆ
    จะบอกว่า ดร.สุขุมพงศ์เป็นแค่ประธานสอบคนนอกอย่างที่อ้าง
    ฟังยังไงก็ไม่ขึ้นจริงๆ และตอนนี้ ดร.สุขุมพงศ์ก็ชิ่งกรรเชียงหนี
    อย่างพริ้วจริงๆ อ้างว่าไม่ได้เชิญชวน มีคนพามา
    แต่สุดท้ายตัวเองก็คือคนที่มีความเกี่ยวข้องทั้งกระบวนการ
    ถามนิดเดียว สุขุมพงศ์คนเก่ง ไปรีดแป้งเท่าไหร่
    ไปรีดหมอเกศ ได้มาเท่าไหร่ บอกยอดหน่อยได้ป่ะ
    เผื่อจะผันตัวไปหากินทางนี้บ้าง
    เป็นอาจารย์ประเภทไหน ที่พาลูกศิษย์ไปหลงทาง
    งานนี้ ดูมีแต่ดร.สุขุมพงศ์ที่มีแต่ได้กับได้
    แถมให้สัมภาษณ์เอาตัวรอดทุกกรณี
    ถ้าไม่มีสุขุมพงศ์เป็นตัวละคร
    หมอเกศ คงได้เป็นสว.ไร้มลทิลไปแล้วจริงๆ
    สมัยนี้ ไม่ใช่เลือกเพื่อนดีๆนะ
    หรือไม่ใช่แค่เลือกผัวเลือกเมียดีๆ
    จะเลือกใครไปเป็นครูผู้ชี้ทางก็ต้องเลือกดีๆ
    เพราะสุดท้าย ชี้ทางผิด ฉิบหายแบบหมอเกศไม่รู้ตัว
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #หมอเกศ
    #สุขุมพงศ์
    #มีอาจารย์เมื่อพร้อม
    คิงส์ได้ดูสัมภาษณ์หลายครั้งหลายรายการ ทำไมทำให้รู้สึกว่า ดร.สุขุมพงศ์คนนี้ มีอะไรแปลกๆ ถึงขนาด ธรรมนัสลั่นด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ บอกว่า หมอนี่นี่แหละที่ยืนยันว่าทุกอย่างถูกต้องตามกระบวนการ และแคลิฟอเนียยูนิเวอร์ซิตี้ คือสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือ และลั่นว่า กรณีของตน และหมอเกศ สุขุมพงศ์ต้องรับผิดชอบ แม้ว่า ดร.สุขุมพงศ์ดูจะมีความเชี่ยวชาญในการตอบคำถาม และเอาตัวเองออกจากปัญหาได้อย่างพริ้วไหวดุจสายน้ำก็ตาม แต่มันมีอะไรไม่ชอบมาพากลนะคับนะ เหมือนเคสเหล่านี้จะเป็นตัวบ่งบอกถึงอาชีพในการล่อให้คนมีชื่อเสียงไปแสวงหาการเป็นศาตราจารย์ เป็นดร.โดยทางลัดหรือไม่ แต่ยืนยันอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เป็นมหาลัยที่น่าเชื่อถือและได้รับการับรองจากบลาๆๆ จะบอกว่า ดร.สุขุมพงศ์เป็นแค่ประธานสอบคนนอกอย่างที่อ้าง ฟังยังไงก็ไม่ขึ้นจริงๆ และตอนนี้ ดร.สุขุมพงศ์ก็ชิ่งกรรเชียงหนี อย่างพริ้วจริงๆ อ้างว่าไม่ได้เชิญชวน มีคนพามา แต่สุดท้ายตัวเองก็คือคนที่มีความเกี่ยวข้องทั้งกระบวนการ ถามนิดเดียว สุขุมพงศ์คนเก่ง ไปรีดแป้งเท่าไหร่ ไปรีดหมอเกศ ได้มาเท่าไหร่ บอกยอดหน่อยได้ป่ะ เผื่อจะผันตัวไปหากินทางนี้บ้าง เป็นอาจารย์ประเภทไหน ที่พาลูกศิษย์ไปหลงทาง งานนี้ ดูมีแต่ดร.สุขุมพงศ์ที่มีแต่ได้กับได้ แถมให้สัมภาษณ์เอาตัวรอดทุกกรณี ถ้าไม่มีสุขุมพงศ์เป็นตัวละคร หมอเกศ คงได้เป็นสว.ไร้มลทิลไปแล้วจริงๆ สมัยนี้ ไม่ใช่เลือกเพื่อนดีๆนะ หรือไม่ใช่แค่เลือกผัวเลือกเมียดีๆ จะเลือกใครไปเป็นครูผู้ชี้ทางก็ต้องเลือกดีๆ เพราะสุดท้าย ชี้ทางผิด ฉิบหายแบบหมอเกศไม่รู้ตัว #คิงส์โพธิ์แดง #หมอเกศ #สุขุมพงศ์ #มีอาจารย์เมื่อพร้อม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 703 มุมมอง 0 รีวิว