• เผย"ทนายตั้ม"โยกย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านก่อนถูกจับ พบเพียงตู้เซฟว่างเปล่า ซ้ำเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ทำลายข้อมูลจนยากแก่การแกะรอย เชื่อมีพรายกระซิบคอยบอกความเคลื่อนไหวเจ้าหน้าที่

    วันนี้ ( 8 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า จากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญหลายอย่างที่ทำให้เชื่อว่า นายษิทรา มีพฤติกรรมตั้งใจที่จะฉ้อโกงเงินจากพี่อ้อยจริง โดยเฉพาะหลักฐานเอกสารซื้อรถเบนซ์มูลค่า 13 ล้านบาท หลังพบว่ามีการจัดทำใบเสร็จซื้อรถจำนวน 2 ชุด โดยชุดแรกเป็นใบเสร็จซื้อรถจากโชว์รูมที่มีการระบุราคาจริง คือ 11.5 ล้านบาท ส่วนใบเสร็จอีกชุดที่นายษิทรา นำไปแสดงให้กับ พี่อ้อย ดูนั้นเป็นใบเสร็จที่ทำขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีการระบุตัวเลขราคารถให้สูงขึ้นจากราคาจริง คือ 13 ล้านบาท เพื่อจะนำเอาเงินส่วนต่าง 1.5 ล้านบาท เข้ากระเป๋าตนเอง ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ทางพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. ได้ทำการสอบปากคำพนักงานขายของโชว์รูมและพยานบุคคลต่าง ๆ ไว้หมดแล้ว ซึ่งคำให้การของพยานเหล่านี้ก็สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบ

    ขณะเดียวกันจากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่ยังเชื่อว่า ก่อนหน้าที่นายษิทรา และ ภรรยา จะถูกจับกุมตัว น่าจะมีการเตรียมการไว้เป็นอย่างดี มีการโยกย้ายทรัพย์สินมีค่าออกจากบ้านพัก และ ตู้เซฟ จนหมดเกลี้ยง คงเหลือทรัพย์บางส่วนทิ้งไว้ อีกทั้งโทรศัพท์มือถือที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดไว้นั้น ยังเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ ภายในเครื่องไม่มีข้อมูลใด ๆ บันทึกไว้ ผิดแปลกจากคนปกติทั่วไป รวมถึงเชื่อว่ามีสายข่าวคอยส่งสัญญาณแจ้งความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา นอกจากนี้จากการสอบปากคำพยานบุคคลฝั่งของ นายษิทรา บางราย ยังยอมรับว่า มีการเตรียมคำให้การ หรือ ให้พูดตามสคริปที่เตรียมมา เพื่อปิดบังข้อเท็จจริง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าบุคคลใดเป็นผู้บงการ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000107762

    #MGROnline #ทนายตั้ม
    เผย"ทนายตั้ม"โยกย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านก่อนถูกจับ พบเพียงตู้เซฟว่างเปล่า ซ้ำเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ทำลายข้อมูลจนยากแก่การแกะรอย เชื่อมีพรายกระซิบคอยบอกความเคลื่อนไหวเจ้าหน้าที่ • วันนี้ ( 8 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า จากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญหลายอย่างที่ทำให้เชื่อว่า นายษิทรา มีพฤติกรรมตั้งใจที่จะฉ้อโกงเงินจากพี่อ้อยจริง โดยเฉพาะหลักฐานเอกสารซื้อรถเบนซ์มูลค่า 13 ล้านบาท หลังพบว่ามีการจัดทำใบเสร็จซื้อรถจำนวน 2 ชุด โดยชุดแรกเป็นใบเสร็จซื้อรถจากโชว์รูมที่มีการระบุราคาจริง คือ 11.5 ล้านบาท ส่วนใบเสร็จอีกชุดที่นายษิทรา นำไปแสดงให้กับ พี่อ้อย ดูนั้นเป็นใบเสร็จที่ทำขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีการระบุตัวเลขราคารถให้สูงขึ้นจากราคาจริง คือ 13 ล้านบาท เพื่อจะนำเอาเงินส่วนต่าง 1.5 ล้านบาท เข้ากระเป๋าตนเอง ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ทางพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. ได้ทำการสอบปากคำพนักงานขายของโชว์รูมและพยานบุคคลต่าง ๆ ไว้หมดแล้ว ซึ่งคำให้การของพยานเหล่านี้ก็สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบ • ขณะเดียวกันจากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่ยังเชื่อว่า ก่อนหน้าที่นายษิทรา และ ภรรยา จะถูกจับกุมตัว น่าจะมีการเตรียมการไว้เป็นอย่างดี มีการโยกย้ายทรัพย์สินมีค่าออกจากบ้านพัก และ ตู้เซฟ จนหมดเกลี้ยง คงเหลือทรัพย์บางส่วนทิ้งไว้ อีกทั้งโทรศัพท์มือถือที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดไว้นั้น ยังเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ ภายในเครื่องไม่มีข้อมูลใด ๆ บันทึกไว้ ผิดแปลกจากคนปกติทั่วไป รวมถึงเชื่อว่ามีสายข่าวคอยส่งสัญญาณแจ้งความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา นอกจากนี้จากการสอบปากคำพยานบุคคลฝั่งของ นายษิทรา บางราย ยังยอมรับว่า มีการเตรียมคำให้การ หรือ ให้พูดตามสคริปที่เตรียมมา เพื่อปิดบังข้อเท็จจริง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าบุคคลใดเป็นผู้บงการ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000107762 • #MGROnline #ทนายตั้ม
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • เผย"ทนายตั้ม"โยกย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านก่อนถูกจับ พบเพียงตู้เซฟว่างเปล่า ซ้ำเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ทำลายข้อมูลจนยากแก่การแกะรอย เชื่อมีพรายกระซิบคอยบอกความเคลื่อนไหวเจ้าหน้าที่

    วันนี้ ( 8 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า จากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญหลายอย่างที่ทำให้เชื่อว่า นายษิทรา มีพฤติกรรมตั้งใจที่จะฉ้อโกงเงินจากพี่อ้อยจริง โดยเฉพาะหลักฐานเอกสารซื้อรถเบนซ์มูลค่า 13 ล้านบาท หลังพบว่ามีการจัดทำใบเสร็จซื้อรถจำนวน 2 ชุด โดยชุดแรกเป็นใบเสร็จซื้อรถจากโชว์รูมที่มีการระบุราคาจริง คือ 11.5 ล้านบาท ส่วนใบเสร็จอีกชุดที่นายษิทรา นำไปแสดงให้กับ พี่อ้อย ดูนั้นเป็นใบเสร็จที่ทำขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีการระบุตัวเลขราคารถให้สูงขึ้นจากราคาจริง คือ 13 ล้านบาท เพื่อจะนำเอาเงินส่วนต่าง 1.5 ล้านบาท เข้ากระเป๋าตนเอง ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ทางพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. ได้ทำการสอบปากคำพนักงานขายของโชว์รูมและพยานบุคคลต่าง ๆ ไว้หมดแล้ว ซึ่งคำให้การของพยานเหล่านี้ก็สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบ

    ขณะเดียวกันจากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่ยังเชื่อว่า ก่อนหน้าที่นายษิทรา และ ภรรยา จะถูกจับกุมตัว น่าจะมีการเตรียมการไว้เป็นอย่างดี มีการโยกย้ายทรัพย์สินมีค่าออกจากบ้านพัก และ ตู้เซฟ จนหมดเกลี้ยง คงเหลือทรัพย์บางส่วนทิ้งไว้ อีกทั้งโทรศัพท์มือถือที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดไว้นั้น ยังเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ ภายในเครื่องไม่มีข้อมูลใด ๆ บันทึกไว้ ผิดแปลกจากคนปกติทั่วไป รวมถึงเชื่อว่ามีสายข่าวคอยส่งสัญญาณแจ้งความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา นอกจากนี้จากการสอบปากคำพยานบุคคลฝั่งของ นายษิทรา บางราย ยังยอมรับว่า มีการเตรียมคำให้การ หรือ ให้พูดตามสคริปที่เตรียมมา เพื่อปิดบังข้อเท็จจริง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าบุคคลใดเป็นผู้บงการ

    ที่มา https://news1live.com/detail/9670000107762?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0iXwb9ON8aU3X3XL1RhD5qegiYxWu6i-YIScRH-x92UCQuyMexMytrKM0_aem_iLW5Ap2lhIsRejtdWfs-Hg

    #Thaitimes
    เผย"ทนายตั้ม"โยกย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านก่อนถูกจับ พบเพียงตู้เซฟว่างเปล่า ซ้ำเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ทำลายข้อมูลจนยากแก่การแกะรอย เชื่อมีพรายกระซิบคอยบอกความเคลื่อนไหวเจ้าหน้าที่ วันนี้ ( 8 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า จากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญหลายอย่างที่ทำให้เชื่อว่า นายษิทรา มีพฤติกรรมตั้งใจที่จะฉ้อโกงเงินจากพี่อ้อยจริง โดยเฉพาะหลักฐานเอกสารซื้อรถเบนซ์มูลค่า 13 ล้านบาท หลังพบว่ามีการจัดทำใบเสร็จซื้อรถจำนวน 2 ชุด โดยชุดแรกเป็นใบเสร็จซื้อรถจากโชว์รูมที่มีการระบุราคาจริง คือ 11.5 ล้านบาท ส่วนใบเสร็จอีกชุดที่นายษิทรา นำไปแสดงให้กับ พี่อ้อย ดูนั้นเป็นใบเสร็จที่ทำขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีการระบุตัวเลขราคารถให้สูงขึ้นจากราคาจริง คือ 13 ล้านบาท เพื่อจะนำเอาเงินส่วนต่าง 1.5 ล้านบาท เข้ากระเป๋าตนเอง ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ทางพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. ได้ทำการสอบปากคำพนักงานขายของโชว์รูมและพยานบุคคลต่าง ๆ ไว้หมดแล้ว ซึ่งคำให้การของพยานเหล่านี้ก็สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบ ขณะเดียวกันจากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่ยังเชื่อว่า ก่อนหน้าที่นายษิทรา และ ภรรยา จะถูกจับกุมตัว น่าจะมีการเตรียมการไว้เป็นอย่างดี มีการโยกย้ายทรัพย์สินมีค่าออกจากบ้านพัก และ ตู้เซฟ จนหมดเกลี้ยง คงเหลือทรัพย์บางส่วนทิ้งไว้ อีกทั้งโทรศัพท์มือถือที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดไว้นั้น ยังเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ ภายในเครื่องไม่มีข้อมูลใด ๆ บันทึกไว้ ผิดแปลกจากคนปกติทั่วไป รวมถึงเชื่อว่ามีสายข่าวคอยส่งสัญญาณแจ้งความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา นอกจากนี้จากการสอบปากคำพยานบุคคลฝั่งของ นายษิทรา บางราย ยังยอมรับว่า มีการเตรียมคำให้การ หรือ ให้พูดตามสคริปที่เตรียมมา เพื่อปิดบังข้อเท็จจริง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าบุคคลใดเป็นผู้บงการ ที่มา https://news1live.com/detail/9670000107762?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0iXwb9ON8aU3X3XL1RhD5qegiYxWu6i-YIScRH-x92UCQuyMexMytrKM0_aem_iLW5Ap2lhIsRejtdWfs-Hg #Thaitimes
    NEWS1LIVE.COM
    เผย "ทนายตั้ม" รีบโยกทรัพย์ก่อนถูกจับ ลบข้อมูลในโทรศัพท์เกลี้ยง เชื่อมีกาคาบข่าวบอก
    เผยทนายตั้มโยกย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านก่อนถูกจับ พบเพียงตู้เซฟว่างเปล่า ซ้ำเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ทำลายข้อมูลจนยากแก่การแกะรอย เชื่อมีพรายคอยกระซิบบอกความเคลื่อนไหวเจ้าหน้าที่
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 432 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลไม่ให้ประกันภรรยาทนายตั้ม พบย้ายทรัพย์ออกจากตู้เซฟ เปลี่ยนมือถือก่อนหนีไปเขมร
    .
    เปิดพฤติการณ์ทนายตั้มหลอกคุณอ้อยลงทุนหวยออนไลน์ ฟันส่วนต่างรถเบนซ์-เขียนแบบบ้าน ส่วนภรรยาใกล้ชิดย่อมรู้ทุกการกระทำ เผยก่อนถูกจับมีข่มขู่พยาน ด้อยค่าตำรวจ เปลี่ยนมือถือ ย้ายทรัพย์ออกจากเซฟ ก่อนขับรถไปชายแดน หวั่นหากปล่อยตัวเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ด้านศาลไม่อนุญาตให้ประกันภรรยา แม้ทนายความยื่นประกัน 5 แสน ขอติดกำไลอีเอ็ม
    .
    วันนี้ (8 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.40 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิด ฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1
    .
    คำร้องระบุว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 1 ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมายต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ส่งมอบเงินให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่
    .
    1.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2,000,000 ยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 คิดเป็นเงินไทย จำนวน 71,067,764.70 บาท
    .
    2. ผู้เสียหายได้มอบหมายให้ผู้ต้องหาที่ 1 หาซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท
    .
    3. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ต้องหาที่ 1 ได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท
    .
    การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และจากการสืบสวนสอบสวนพบผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ดังนี้
    .
    1. หลังจากผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายจำนวน 71 ล้านบาทเศษ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้โอนเงินจำนวน 71 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของตนเองไปยังบัญชีอื่นของตนเองอีก 2 ทอด เพื่อชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ต้องหาที่ 2
    .
    2. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับมอบเงินสดของผู้เสียหายที่หลอกลวงเป็นค่าเขียนแบบโรงแรมจำนวน 9,000,000 บาทได้แบ่งเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท ไปมอบให้แก่พี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 ก่อนพี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 นำไปเข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง
    .
    ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
    .
    ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจาก ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดีและเป็นผู้ที่สังคมให้ความเชื่อถือ แต่กลับมีการกระทำผิดหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกัน ในลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นบุคคลใกล้ชิดและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ย่อมรู้เห็นการกระทำผิดและร่วมกระทำความผิดฟอกเงินกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ดังนี้
    .
    ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ให้พยานบุคคลที่สำคัญในคดีให้การต่อพนักงานสอบสวนในลักษณะปกปิดข้อเท็จจริงการกระทำความผิดของตนผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์สำคัญบางประการ ทำให้พยานเกิดความเกรงกลัวภายในอันตรายที่จะเกิดกับพยานหรือตัวครอบครัวเพื่อไม่ให้พยานมาให้การหรือไม่ให้การข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อคดี ผู้ต้องหาที่ 1 มีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้เสียหายและพยานบุคคลที่มาให้การต่อพนักงานสอบสวนเกิดความไม่มั่นใจและไม่ไว้วางใจการทำงานของพนักงานสอบสวน
    .
    จากการสืบสวนพบว่าก่อนที่จะมาจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และบุคคลใกล้ชิดมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ใช้อยู่ประจำได้ปิดสัญญาณไป และขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์มือถือผู้ต้องหาที่ 1 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องหาที่ 2 ส่วนโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 2 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวผู้ต้องหาที่ 2 การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ทำให้ยากแก่การติดต่อหรือติดตามตัวและค้นหาพยานหลักฐานในโทรศัพท์ ทั้งนี้ จากการตรวจค้นหาพยานหลักฐานที่บ้านพักผู้ต้องหาที่ 1- 2 พบว่าภายในบ้านมีตู้นิรภัยขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ติดตั้งหลบซ่อน ทำให้ยากต่อการมองเห็นจากบุคคลภายนอก เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นเปิดตู้นิรภัยดังกล่าว พบว่ามีร่องรอยผ่านการเก็บทรัพย์สินแล้ว จึงไม่พบทรัพย์สินมีค่าใดๆ อยู่ภายในตู้ดังกล่าว น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1 -2 ได้ร่วมกันยักย้ายทรัพย์สินออกไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจค้น
    .
    และขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมขณะผู้ต้องหาที่ 1 -2 ขับรถยนต์อยู่บริเวณถนนสายกบินทร์บุรี-ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าไปทางชายแดนประเทศกัมพูชาและพบกระเป๋าเดินทางภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ต้องหาที่ 1- 2 มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ
    .
    ประกอบกับคดีที่ผู้ต้องหาที่ 1 -2 ถูกตั้งข้อหาจับกุมมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปีในคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้กระทำความผิดฉ้อโกงและได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายจำนวนทั้งสิ้น 78,097,764.70 บาท ซึ่งเป็นความเสียหายมูลค่าสูง จากเหตุผลดังกล่าว หากผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1-2 น่าจะหลบหนีเข้าไปยุ่งหรือพยานหลักฐาน และจะเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูงและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องการผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย
    .
    ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังตามคำร้อง
    .
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทนายของผู้ต้องหาที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอประกัน พร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท รวมทั้งยื่นเงื่อนไขให้ศาล ติดกำไลอีเอ็ม รวมทั้งห้ามออกนอกประเทศ และมารายงานตัวตามนัดทุกครั้ง ล่าสุด ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว
    ..............
    Sondhi X
    ศาลไม่ให้ประกันภรรยาทนายตั้ม พบย้ายทรัพย์ออกจากตู้เซฟ เปลี่ยนมือถือก่อนหนีไปเขมร . เปิดพฤติการณ์ทนายตั้มหลอกคุณอ้อยลงทุนหวยออนไลน์ ฟันส่วนต่างรถเบนซ์-เขียนแบบบ้าน ส่วนภรรยาใกล้ชิดย่อมรู้ทุกการกระทำ เผยก่อนถูกจับมีข่มขู่พยาน ด้อยค่าตำรวจ เปลี่ยนมือถือ ย้ายทรัพย์ออกจากเซฟ ก่อนขับรถไปชายแดน หวั่นหากปล่อยตัวเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ด้านศาลไม่อนุญาตให้ประกันภรรยา แม้ทนายความยื่นประกัน 5 แสน ขอติดกำไลอีเอ็ม . วันนี้ (8 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.40 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิด ฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1 . คำร้องระบุว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 1 ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมายต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ส่งมอบเงินให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่ . 1.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2,000,000 ยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 คิดเป็นเงินไทย จำนวน 71,067,764.70 บาท . 2. ผู้เสียหายได้มอบหมายให้ผู้ต้องหาที่ 1 หาซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท . 3. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ต้องหาที่ 1 ได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท . การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และจากการสืบสวนสอบสวนพบผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ดังนี้ . 1. หลังจากผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายจำนวน 71 ล้านบาทเศษ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้โอนเงินจำนวน 71 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของตนเองไปยังบัญชีอื่นของตนเองอีก 2 ทอด เพื่อชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ต้องหาที่ 2 . 2. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับมอบเงินสดของผู้เสียหายที่หลอกลวงเป็นค่าเขียนแบบโรงแรมจำนวน 9,000,000 บาทได้แบ่งเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท ไปมอบให้แก่พี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 ก่อนพี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 นำไปเข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง . ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา . ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจาก ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดีและเป็นผู้ที่สังคมให้ความเชื่อถือ แต่กลับมีการกระทำผิดหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกัน ในลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นบุคคลใกล้ชิดและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ย่อมรู้เห็นการกระทำผิดและร่วมกระทำความผิดฟอกเงินกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ดังนี้ . ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ให้พยานบุคคลที่สำคัญในคดีให้การต่อพนักงานสอบสวนในลักษณะปกปิดข้อเท็จจริงการกระทำความผิดของตนผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์สำคัญบางประการ ทำให้พยานเกิดความเกรงกลัวภายในอันตรายที่จะเกิดกับพยานหรือตัวครอบครัวเพื่อไม่ให้พยานมาให้การหรือไม่ให้การข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อคดี ผู้ต้องหาที่ 1 มีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้เสียหายและพยานบุคคลที่มาให้การต่อพนักงานสอบสวนเกิดความไม่มั่นใจและไม่ไว้วางใจการทำงานของพนักงานสอบสวน . จากการสืบสวนพบว่าก่อนที่จะมาจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และบุคคลใกล้ชิดมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ใช้อยู่ประจำได้ปิดสัญญาณไป และขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์มือถือผู้ต้องหาที่ 1 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องหาที่ 2 ส่วนโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 2 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวผู้ต้องหาที่ 2 การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ทำให้ยากแก่การติดต่อหรือติดตามตัวและค้นหาพยานหลักฐานในโทรศัพท์ ทั้งนี้ จากการตรวจค้นหาพยานหลักฐานที่บ้านพักผู้ต้องหาที่ 1- 2 พบว่าภายในบ้านมีตู้นิรภัยขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ติดตั้งหลบซ่อน ทำให้ยากต่อการมองเห็นจากบุคคลภายนอก เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นเปิดตู้นิรภัยดังกล่าว พบว่ามีร่องรอยผ่านการเก็บทรัพย์สินแล้ว จึงไม่พบทรัพย์สินมีค่าใดๆ อยู่ภายในตู้ดังกล่าว น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1 -2 ได้ร่วมกันยักย้ายทรัพย์สินออกไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจค้น . และขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมขณะผู้ต้องหาที่ 1 -2 ขับรถยนต์อยู่บริเวณถนนสายกบินทร์บุรี-ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าไปทางชายแดนประเทศกัมพูชาและพบกระเป๋าเดินทางภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ต้องหาที่ 1- 2 มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ . ประกอบกับคดีที่ผู้ต้องหาที่ 1 -2 ถูกตั้งข้อหาจับกุมมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปีในคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้กระทำความผิดฉ้อโกงและได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายจำนวนทั้งสิ้น 78,097,764.70 บาท ซึ่งเป็นความเสียหายมูลค่าสูง จากเหตุผลดังกล่าว หากผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1-2 น่าจะหลบหนีเข้าไปยุ่งหรือพยานหลักฐาน และจะเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูงและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องการผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย . ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังตามคำร้อง . ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทนายของผู้ต้องหาที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอประกัน พร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท รวมทั้งยื่นเงื่อนไขให้ศาล ติดกำไลอีเอ็ม รวมทั้งห้ามออกนอกประเทศ และมารายงานตัวตามนัดทุกครั้ง ล่าสุด ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 354 มุมมอง 0 รีวิว


  • 7 พฤศจิกายน 2567- รายงานสำนักข่าวอิศราระบุว่า คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ (6 พ.ย. 2567) คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ดำเนินการเข้าตรวจตู้นิรภัยจำนวน 21 ตู้ของธนาคารพาณิชย์ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มนายทุนที่เชื่อมโยงกับธุรกิจพนันออนไลน์ในเครือข่าย “แม่มนต์” คดีพิเศษที่ 76/2566 และ 89/2567 โดยมีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหา จำนวน 38 ราย ในข้อหาที่รวมถึงการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ การจัดให้มีการพนันที่ไม่ได้รับอนุญาต และการฟอกเงิน อ้างอิงตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมตามหมายจับแล้วรวม 20 ราย ภายหลังจากการขยายผล พบว่ามีการกระทำความผิดเพิ่มเติม โดยกลุ่มบุคคลทำหน้าที่โยกย้ายเงินที่ได้จากเว็บพนันไปยังบัญชีธนาคารอื่น ซึ่งเกี่ยวข้องกับนายทุนใหญ่ 5 ราย โดยการกระทำดังกล่าวมีลักษณะการฟอกเงินและละเมิดพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้อนุมัติให้ทำการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมเป็นคดีพิเศษที่ 89/2567

    จากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มนายทุนได้เช่าตู้นิรภัยไว้ที่ธนาคารในพื้นที่จังหวัดลพบุรี ทางคณะพนักงานสอบสวนจึงขออนุมัติศาลจังหวัดลพบุรีเพื่อทำการเปิดตู้นิรภัยทั้ง 21 ตู้ พบทรัพย์สิน มูลค่าประเมินกว่า 200 ล้านบาท อาทิ ทรัพย์สินที่มีลักษณะสีคล้ายทองคำ เช่น สร้อยคอ กำไล ต่างหู แหวน สร้อยข้อมือ กำไลคอ เข็มขัด โลหะแท่ง ปิ่นโต แก้ว ชาม จาน ช้อนส้อม กระเป๋าถือ สร้อยคล้ายเพชร โฉนดที่ดิน เงินสดกว่า 15 ล้านบาท และพระเครื่อง รวมทั้งสิ้นประมาณ 300 ล้านบาท

    ที่มา : สำนักข่าวอิศรา
    https://www.isranews.org/article/isranews/133189-government-10.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0iJiORYEJns_S4fqAey0WQrVPeUAKT6HXQDwBcfhOTlmnBEIltKzAKMs8_aem_6sVgMMuvJg2RKvO0rDqBcA

    #Thaitimes
    7 พฤศจิกายน 2567- รายงานสำนักข่าวอิศราระบุว่า คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ (6 พ.ย. 2567) คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ดำเนินการเข้าตรวจตู้นิรภัยจำนวน 21 ตู้ของธนาคารพาณิชย์ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มนายทุนที่เชื่อมโยงกับธุรกิจพนันออนไลน์ในเครือข่าย “แม่มนต์” คดีพิเศษที่ 76/2566 และ 89/2567 โดยมีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหา จำนวน 38 ราย ในข้อหาที่รวมถึงการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ การจัดให้มีการพนันที่ไม่ได้รับอนุญาต และการฟอกเงิน อ้างอิงตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมตามหมายจับแล้วรวม 20 ราย ภายหลังจากการขยายผล พบว่ามีการกระทำความผิดเพิ่มเติม โดยกลุ่มบุคคลทำหน้าที่โยกย้ายเงินที่ได้จากเว็บพนันไปยังบัญชีธนาคารอื่น ซึ่งเกี่ยวข้องกับนายทุนใหญ่ 5 ราย โดยการกระทำดังกล่าวมีลักษณะการฟอกเงินและละเมิดพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้อนุมัติให้ทำการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมเป็นคดีพิเศษที่ 89/2567 จากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มนายทุนได้เช่าตู้นิรภัยไว้ที่ธนาคารในพื้นที่จังหวัดลพบุรี ทางคณะพนักงานสอบสวนจึงขออนุมัติศาลจังหวัดลพบุรีเพื่อทำการเปิดตู้นิรภัยทั้ง 21 ตู้ พบทรัพย์สิน มูลค่าประเมินกว่า 200 ล้านบาท อาทิ ทรัพย์สินที่มีลักษณะสีคล้ายทองคำ เช่น สร้อยคอ กำไล ต่างหู แหวน สร้อยข้อมือ กำไลคอ เข็มขัด โลหะแท่ง ปิ่นโต แก้ว ชาม จาน ช้อนส้อม กระเป๋าถือ สร้อยคล้ายเพชร โฉนดที่ดิน เงินสดกว่า 15 ล้านบาท และพระเครื่อง รวมทั้งสิ้นประมาณ 300 ล้านบาท ที่มา : สำนักข่าวอิศรา https://www.isranews.org/article/isranews/133189-government-10.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0iJiORYEJns_S4fqAey0WQrVPeUAKT6HXQDwBcfhOTlmnBEIltKzAKMs8_aem_6sVgMMuvJg2RKvO0rDqBcA #Thaitimes
    WWW.ISRANEWS.ORG
    ‘ดีเอสไอ’ ค้นตู้นิรภัย 21 ตู้ ขยายผลพนันอนนไลน์ ‘แม่มนต์’ พบทรัพย์สินกว่า 300 ล้าน
    ‘ดีเอสไอ’ ขยายผลเครือข่ายพนันออนไลน์ ‘แม่มนต์’ เปิดตู้นิรภัย 21 ตู้ที่ฝากไว้กับธนาคาร พบทรัพย์สินมูลค่ารวม 300 ล้านบาท
    Like
    Wow
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 484 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจสอบสวนกลาง รวบ "ทนายตั้ม" พร้อมภรรยา ขณะขับปอร์เช่กลางถนน หลังพบพากันขยับหลบหนีไปพื้นที่ อ.พนมสารคาม แจ้งข้อหาหนักฐานฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน หิ้วตัวเข้ากองปราบเค้นสอบ

    วันนี้ (7 พ.ย.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์ุเพ็ชร์ ผบ.ตร.และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ 238/2567 นำพยานและหลักฐาน ไปยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ในข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน

    นอกจากนี้ยัง ยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา "ทนายตั้ม" ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน จากคดีที่มาดามอ้อย เข้าแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม รวบตัวเอาไว้ได้ขณะพากัน ขับขี่รถเก๋งปอร์เช่รุ่น Cayenne สีน้ำตาลทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออกผ่านอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะนำตัวทั้ง 2 ราย เข้าไปสอบปากคำดำเนินคดีที่กอง

    #MGROnline #ทนายตั้ม #ทนายตั้มโดนจับ
    ตำรวจสอบสวนกลาง รวบ "ทนายตั้ม" พร้อมภรรยา ขณะขับปอร์เช่กลางถนน หลังพบพากันขยับหลบหนีไปพื้นที่ อ.พนมสารคาม แจ้งข้อหาหนักฐานฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน หิ้วตัวเข้ากองปราบเค้นสอบ • วันนี้ (7 พ.ย.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์ุเพ็ชร์ ผบ.ตร.และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ 238/2567 นำพยานและหลักฐาน ไปยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ในข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน • นอกจากนี้ยัง ยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา "ทนายตั้ม" ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน จากคดีที่มาดามอ้อย เข้าแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม รวบตัวเอาไว้ได้ขณะพากัน ขับขี่รถเก๋งปอร์เช่รุ่น Cayenne สีน้ำตาลทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออกผ่านอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะนำตัวทั้ง 2 ราย เข้าไปสอบปากคำดำเนินคดีที่กอง • #MGROnline #ทนายตั้ม #ทนายตั้มโดนจับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว

  • จับแล้ว "ทนายตั้ม-เมีย" !ตำรวจตั้ง 3 ข้อหาหนัก “ฉ้อโกง-ฟอกเงิน-ร่วมกันฟอกเงิน”

    7 พฤศจิกายน 2567-รายงานข่าวSondhiX ระบุว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ 238/2567 นำพยานและหลักฐาน ไปยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5337/2567 ลง วันที่ 7 พ.ย. 67 เพื่อให้จับกุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ในข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน
    .
    นอกจากนี้ยัง ยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา "ทนายตั้ม" ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน จากคดีที่มาดามอ้อย เข้าแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม รวบตัวเอาไว้ได้ขณะพากัน ขับขี่รถเก๋งปอร์เช่รุ่น Cayenne สีน้ำตาลทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออกผ่านอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะนำตัวทั้ง 2 ราย เข้าไปสอบปากคำดำเนินคดีที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในช่วงเย็นต่อไป

    ที่มา Sondhi X

    #Thaitimes
    จับแล้ว "ทนายตั้ม-เมีย" !ตำรวจตั้ง 3 ข้อหาหนัก “ฉ้อโกง-ฟอกเงิน-ร่วมกันฟอกเงิน” 7 พฤศจิกายน 2567-รายงานข่าวSondhiX ระบุว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ 238/2567 นำพยานและหลักฐาน ไปยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5337/2567 ลง วันที่ 7 พ.ย. 67 เพื่อให้จับกุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ในข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน . นอกจากนี้ยัง ยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา "ทนายตั้ม" ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน จากคดีที่มาดามอ้อย เข้าแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม รวบตัวเอาไว้ได้ขณะพากัน ขับขี่รถเก๋งปอร์เช่รุ่น Cayenne สีน้ำตาลทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออกผ่านอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะนำตัวทั้ง 2 ราย เข้าไปสอบปากคำดำเนินคดีที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในช่วงเย็นต่อไป ที่มา Sondhi X #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มอาการหลังวัคซีนโควิด (ตอนที่ 1)

    ประโยชน์ของวัคซีนก็คือป้องกันโรค รวมทั้งลดอาการหนัก การตายและในขณะเดียวกันจำเป็นต้องทราบผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนในระยะเวลาต่างๆ ตั้งแต่ได้รับวัคซีนนาทีแรกจนกระทั่งถึงระยะกลางเป็นสัปดาห์และระยะยาวเป็นเดือนและสิ่งที่ทอดยาวไปเป็นปี

    วัคซีนโควิดเช่นกันในช่วงที่มีการระบาดรุนแรงจำเป็นต้องใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และเป้าหมายของทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วยก็คือ ให้ทุกคนได้รับวัคซีนทั้งนี้เพื่อทำให้ระบบสาธารณสุขไม่พังพาบ จนรับผู้ป่วยโควิดไม่ไหว
    แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีระบบในการรองรับเพื่อประเมิน ผลข้างเคียงเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในคนที่ได้รับวัคซีนโดยที่เป็นคนที่ยังสุขภาพดีแข็งแรงจนกระทั่งมีโรคประจำตัวอื่นๆ

    รายงานในวารสารทางการแพทย์ของอังกฤษ British Medical Journal ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2023 ตั้งคำถามถึงระบบในสหรัฐที่รับรายงานผลแทรกซ้อนของวัคซีนที่เรียกว่า vaccine adverse event reporting system (VAERS) ทั้งนี้ยกตัวอย่างหมอสหรัฐที่ได้รับวัคซีนและเกิดผลกระทบอย่างรุนแรง พยายามที่จะรายงานเข้าระบบ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าใดนักรวมทั้งเป็นความซับซ้อนที่จะได้รับการติดตามสืบหารายละเอียดต่อ
    (Is the US’s Vaccine Adverse Event Reporting System broken?BMJ Investigation BMJ 2023; 383 doi: https://doi.org/10.1136/bmj.p2582 (Published 10 November 2023) Cite this as: BMJ 2023;383:p2582)
    ระบบในการรายงานในประเทศต่างๆไม่เฉพาะแต่ในประเทศอเมริกา แม้แต่ในยุโรปและในอังกฤษเองก็มีปัญหา ซึ่งแตกต่างกับระบบในประเทศเกาหลี ดังที่มีรายงานอุบัติการของหัวใจอักเสบหลังได้รับวัคซีน
    เอ็มอาร์เอ็นเอ โดยเป็นการเปิดรายงานแบบอิสระและแทบจะเป็นเรียวไทม์ โดยกฎเกณฑ์ของเงื่อนไขหัวใจอักเสบนั้นตัดสาเหตุอื่น ที่ทำให้หัวใจอักเสบได้ทั้งหมดจนเหลือแต่วัคซีนและตัวเลขที่ได้นั้นยังต่ำกว่าความเป็นจริง ด้วยซ้ำ และถึงแม้ว่าอุบัติการของหัวใจอักเสบอย่างเดียวจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งใน 100,000 แต่ความรุนแรงนั้นมากจนกระทั่งถึงต้องเข้าไอซียูหัวใจวายได้รับการรักษาอย่างเข้มข้นจนกระทั่งมีการเปลี่ยนหัวใจ (บทความสุขภาพพรรษาไทยรัฐหัวใจอักเสบจากวัคซีน)

    ในประเทศไทยเองนั้นดำเนินตามประเทศต่างๆที่ให้มีการฉีดวัคซีนครอบคลุมได้มากที่สุด ดังนั้นจะพบได้ว่ามีรายงานที่ได้รับการปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกันหรือให้มีการพิสูจน์ก่อนว่าวัคซีนเป็นสาเหตุ ซึ่งอาจจะแทบเป็นไปไม่ได้ในผู้ที่ได้รับผลกระทบและแพทย์ที่ ดูคนไข้เพราะต้องมีการสืบสวนหาสาเหตุด้วยการตรวจทางห้องปฏิบัติการหลายชนิดด้วยกัน

    ยกตัวอย่างเช่นเด็กผู้ชายอายุ 14 ขวบได้รับวัคซีน
    เอ็มอาร์เอ็นเอสามเข็ม โดยเข็มสุดท้ายเก้าเดือนก่อนที่จะมีอาการของหัวใจอักเสบหัวใจวาย รุนแรง และกล้ามเนื้อแขนขาอักเสบอัมพาตยกแขนขาไม่ได้ เมื่อดูเงื่อนไขของเวลาเผินๆ อาจจะตัดประเด็นของวัคซีนได้เลย แต่การสืบหาสาเหตุอย่างอื่นทั้งตัวไวรัสโควิดและไวรัสอีกหลายชนิดทั้งหมด รวมทั้งภาวะภูมิแปรปรวนที่ทำให้เกิดการอักเสบ อีกทั้งสามารถตรวจพบเศษของวัคซีนในกล้ามเนื้อหัวใจและมีการอักเสบอย่างรุนแรงในกล้ามเนื้อหัวใจ ทั้งนี้ได้รับการรักษาด้วยการเปลี่ยนถ่ายน้ำเหลือง และการให้สารสกัดน้ำเหลือง ตลอดจนยากดภูมิคุ้มกัน แม้ว่าหัวใจอักเสบหัวใจวายจะดีขึ้นแต่แขนขายังขยับไม่ได้ ทั้งหมดนี้ต้องใช้การตรวจในห้องปฏิบัติการการรักษาในระดับเป็น 100,000 เป็นล้านบาทต่อหนึ่งคน

    เหล่านี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความยากลำบากในการพิสูจน์ความเกี่ยวโยงกับวัคซีน
    แต่ทั้งนี้เริ่มมีการวิเคราะห์สาเหตุการตายที่สูงเกินกว่าที่ จะอธิบายได้เมื่อเทียบ ในช่วงเวลาก่อนโควิด ในระหว่างการระบาดของโควิดและหลังจากระบาดเริ่มสงบไปแล้ว และในช่วงที่เริ่มมีการใช้วัคซีน ที่เรียกว่าอัตรา excess deaths
    และนอกจากนั้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทอดยาวเป็นเวลานานเกินกว่าสามเดือนหลังจากติดเชื้อโควิดที่เรียกว่าลองโควิด (long covid) โดยมีทั้งอาการทางระบบหัวใจและปอด ระบบสมองประสาทและกล้ามเนื้อ ภาวะที่มีการอักเสบของผิวหนัง เส้นเอ็นพังผืด กล้ามเนื้อ ข้อ ตลอดจนการปะทุขึ้นของโรคที่ไม่เคยเป็นมาก่อนหรือโรคที่สงบไปแล้ว รวมทั่งมะเร็งและการเกิดเริม งูสวัดซึ่งไวรัสเหล่านี้เป็นไวรัสที่ซ่อนอยู่ในร่างกายจากการติดเชื้อเนิ่นนานมาแล้ว และถูกกดไม่ให้แสดงตัวออกมาจากการควบคุมของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงของร่างกาย และยังรวมถึง การนอนหลับที่ผิดปกติหลับยากหลับกระท่อนกระแท่น จนถึงฮอร์โมนแปรปรวนทั้งผู้ชายและผู้หญิง
    การติดตามผู้ที่ได้รับผล
    กระทบในลักษณะนี้โดยอาการขณะที่เป็นโควิดไม่รุนแรงแต่อาการหลังจากนั้นกลับรุนแรงและยืดยาว และสืบค้นผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนชนิดต่างๆ ทั้งหมดแล้วเกือบ 100 รายด้วยกัน โดยติดตามหลายวาระเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี

    สิ่งที่น่าตกใจก็คือแม้ว่าอาการตอนแรกหลังจากติดเชื้อโควิดหรือหลังจากได้รับวัคซีนมีผลไม่มากนักแต่ระยะต่อมามีผลกระทบแม้ว่าอาการจะเริ่มสงบไปแล้วก็ตาม โดยผลกระทบ สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการวิเคราะห์การอักเสบในเลือด13 ชนิด และผลกระทบต่อสมองโดยมีการจุดปะทุ ของการอักเสบในสมองจากเซลล์ Astroglia microglia ที่เรียกว่า GFAP และมีระดับของ โปรตีน พิษอัลไซเมอร์ในสมองรวมทั้งมีการทำลายเนื้อสมอง ด้วย (จากการตรวจค่า NFL)

    ลักษณะนี้ทำให้ต้องตระหนักว่าภาวะสมองเสื่อมได้เกิดขึ้นเงียบๆ โดยไม่แสดงอาการด้วยซ้ำและจะสามารถดำเนินต่อไปได้จากภาวะของโรคเมตาบอลิค ของตนเองทั้งอ้วน เบาหวานความดันสูง การไม่ออกกำลัง อาหารที่มากด้วยเนื้อสัตว์การขาดการบริโภคผักผลไม้กากไย

    สมองเสื่อมในลักษณะนี้เป็นที่ตระหนักและมีการประกาศจากสมาคมสมองเสื่อมของสหรัฐและนานาชาติมาตั้งแต่ช่วงโควิดจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

    จากการวิเคราะห์วัคซีนทั้งไฟเซอร์และโมเดนา จากคณะทำงาน ยังพบว่านอกจากเอ็มอาร์เอ็นเอแล้ว ยังมีหลาย พันล้านก๊อปปี้ ของ ดีเอ็นเอและส่วนที่กระตุ้นให้สามารถทำงานได้ดีขึ้นเมื่อเสียบเข้าไปในเซลล์ ทั้ง ori และ SV 40 promoter ทั้งนี้จากกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้วัคซีนเพียงพอกับความต้องการโดยการใช้
    พลาสมิด(บทความสุขภาพหรรษาไทยรัฐ)

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    กลุ่มอาการหลังวัคซีนโควิด (ตอนที่ 1) ประโยชน์ของวัคซีนก็คือป้องกันโรค รวมทั้งลดอาการหนัก การตายและในขณะเดียวกันจำเป็นต้องทราบผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนในระยะเวลาต่างๆ ตั้งแต่ได้รับวัคซีนนาทีแรกจนกระทั่งถึงระยะกลางเป็นสัปดาห์และระยะยาวเป็นเดือนและสิ่งที่ทอดยาวไปเป็นปี วัคซีนโควิดเช่นกันในช่วงที่มีการระบาดรุนแรงจำเป็นต้องใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และเป้าหมายของทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วยก็คือ ให้ทุกคนได้รับวัคซีนทั้งนี้เพื่อทำให้ระบบสาธารณสุขไม่พังพาบ จนรับผู้ป่วยโควิดไม่ไหว แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีระบบในการรองรับเพื่อประเมิน ผลข้างเคียงเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในคนที่ได้รับวัคซีนโดยที่เป็นคนที่ยังสุขภาพดีแข็งแรงจนกระทั่งมีโรคประจำตัวอื่นๆ รายงานในวารสารทางการแพทย์ของอังกฤษ British Medical Journal ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2023 ตั้งคำถามถึงระบบในสหรัฐที่รับรายงานผลแทรกซ้อนของวัคซีนที่เรียกว่า vaccine adverse event reporting system (VAERS) ทั้งนี้ยกตัวอย่างหมอสหรัฐที่ได้รับวัคซีนและเกิดผลกระทบอย่างรุนแรง พยายามที่จะรายงานเข้าระบบ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าใดนักรวมทั้งเป็นความซับซ้อนที่จะได้รับการติดตามสืบหารายละเอียดต่อ (Is the US’s Vaccine Adverse Event Reporting System broken?BMJ Investigation BMJ 2023; 383 doi: https://doi.org/10.1136/bmj.p2582 (Published 10 November 2023) Cite this as: BMJ 2023;383:p2582) ระบบในการรายงานในประเทศต่างๆไม่เฉพาะแต่ในประเทศอเมริกา แม้แต่ในยุโรปและในอังกฤษเองก็มีปัญหา ซึ่งแตกต่างกับระบบในประเทศเกาหลี ดังที่มีรายงานอุบัติการของหัวใจอักเสบหลังได้รับวัคซีน เอ็มอาร์เอ็นเอ โดยเป็นการเปิดรายงานแบบอิสระและแทบจะเป็นเรียวไทม์ โดยกฎเกณฑ์ของเงื่อนไขหัวใจอักเสบนั้นตัดสาเหตุอื่น ที่ทำให้หัวใจอักเสบได้ทั้งหมดจนเหลือแต่วัคซีนและตัวเลขที่ได้นั้นยังต่ำกว่าความเป็นจริง ด้วยซ้ำ และถึงแม้ว่าอุบัติการของหัวใจอักเสบอย่างเดียวจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งใน 100,000 แต่ความรุนแรงนั้นมากจนกระทั่งถึงต้องเข้าไอซียูหัวใจวายได้รับการรักษาอย่างเข้มข้นจนกระทั่งมีการเปลี่ยนหัวใจ (บทความสุขภาพพรรษาไทยรัฐหัวใจอักเสบจากวัคซีน) ในประเทศไทยเองนั้นดำเนินตามประเทศต่างๆที่ให้มีการฉีดวัคซีนครอบคลุมได้มากที่สุด ดังนั้นจะพบได้ว่ามีรายงานที่ได้รับการปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกันหรือให้มีการพิสูจน์ก่อนว่าวัคซีนเป็นสาเหตุ ซึ่งอาจจะแทบเป็นไปไม่ได้ในผู้ที่ได้รับผลกระทบและแพทย์ที่ ดูคนไข้เพราะต้องมีการสืบสวนหาสาเหตุด้วยการตรวจทางห้องปฏิบัติการหลายชนิดด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่นเด็กผู้ชายอายุ 14 ขวบได้รับวัคซีน เอ็มอาร์เอ็นเอสามเข็ม โดยเข็มสุดท้ายเก้าเดือนก่อนที่จะมีอาการของหัวใจอักเสบหัวใจวาย รุนแรง และกล้ามเนื้อแขนขาอักเสบอัมพาตยกแขนขาไม่ได้ เมื่อดูเงื่อนไขของเวลาเผินๆ อาจจะตัดประเด็นของวัคซีนได้เลย แต่การสืบหาสาเหตุอย่างอื่นทั้งตัวไวรัสโควิดและไวรัสอีกหลายชนิดทั้งหมด รวมทั้งภาวะภูมิแปรปรวนที่ทำให้เกิดการอักเสบ อีกทั้งสามารถตรวจพบเศษของวัคซีนในกล้ามเนื้อหัวใจและมีการอักเสบอย่างรุนแรงในกล้ามเนื้อหัวใจ ทั้งนี้ได้รับการรักษาด้วยการเปลี่ยนถ่ายน้ำเหลือง และการให้สารสกัดน้ำเหลือง ตลอดจนยากดภูมิคุ้มกัน แม้ว่าหัวใจอักเสบหัวใจวายจะดีขึ้นแต่แขนขายังขยับไม่ได้ ทั้งหมดนี้ต้องใช้การตรวจในห้องปฏิบัติการการรักษาในระดับเป็น 100,000 เป็นล้านบาทต่อหนึ่งคน เหล่านี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความยากลำบากในการพิสูจน์ความเกี่ยวโยงกับวัคซีน แต่ทั้งนี้เริ่มมีการวิเคราะห์สาเหตุการตายที่สูงเกินกว่าที่ จะอธิบายได้เมื่อเทียบ ในช่วงเวลาก่อนโควิด ในระหว่างการระบาดของโควิดและหลังจากระบาดเริ่มสงบไปแล้ว และในช่วงที่เริ่มมีการใช้วัคซีน ที่เรียกว่าอัตรา excess deaths และนอกจากนั้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทอดยาวเป็นเวลานานเกินกว่าสามเดือนหลังจากติดเชื้อโควิดที่เรียกว่าลองโควิด (long covid) โดยมีทั้งอาการทางระบบหัวใจและปอด ระบบสมองประสาทและกล้ามเนื้อ ภาวะที่มีการอักเสบของผิวหนัง เส้นเอ็นพังผืด กล้ามเนื้อ ข้อ ตลอดจนการปะทุขึ้นของโรคที่ไม่เคยเป็นมาก่อนหรือโรคที่สงบไปแล้ว รวมทั่งมะเร็งและการเกิดเริม งูสวัดซึ่งไวรัสเหล่านี้เป็นไวรัสที่ซ่อนอยู่ในร่างกายจากการติดเชื้อเนิ่นนานมาแล้ว และถูกกดไม่ให้แสดงตัวออกมาจากการควบคุมของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงของร่างกาย และยังรวมถึง การนอนหลับที่ผิดปกติหลับยากหลับกระท่อนกระแท่น จนถึงฮอร์โมนแปรปรวนทั้งผู้ชายและผู้หญิง การติดตามผู้ที่ได้รับผล กระทบในลักษณะนี้โดยอาการขณะที่เป็นโควิดไม่รุนแรงแต่อาการหลังจากนั้นกลับรุนแรงและยืดยาว และสืบค้นผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนชนิดต่างๆ ทั้งหมดแล้วเกือบ 100 รายด้วยกัน โดยติดตามหลายวาระเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี สิ่งที่น่าตกใจก็คือแม้ว่าอาการตอนแรกหลังจากติดเชื้อโควิดหรือหลังจากได้รับวัคซีนมีผลไม่มากนักแต่ระยะต่อมามีผลกระทบแม้ว่าอาการจะเริ่มสงบไปแล้วก็ตาม โดยผลกระทบ สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการวิเคราะห์การอักเสบในเลือด13 ชนิด และผลกระทบต่อสมองโดยมีการจุดปะทุ ของการอักเสบในสมองจากเซลล์ Astroglia microglia ที่เรียกว่า GFAP และมีระดับของ โปรตีน พิษอัลไซเมอร์ในสมองรวมทั้งมีการทำลายเนื้อสมอง ด้วย (จากการตรวจค่า NFL) ลักษณะนี้ทำให้ต้องตระหนักว่าภาวะสมองเสื่อมได้เกิดขึ้นเงียบๆ โดยไม่แสดงอาการด้วยซ้ำและจะสามารถดำเนินต่อไปได้จากภาวะของโรคเมตาบอลิค ของตนเองทั้งอ้วน เบาหวานความดันสูง การไม่ออกกำลัง อาหารที่มากด้วยเนื้อสัตว์การขาดการบริโภคผักผลไม้กากไย สมองเสื่อมในลักษณะนี้เป็นที่ตระหนักและมีการประกาศจากสมาคมสมองเสื่อมของสหรัฐและนานาชาติมาตั้งแต่ช่วงโควิดจนกระทั่งถึงปัจจุบัน จากการวิเคราะห์วัคซีนทั้งไฟเซอร์และโมเดนา จากคณะทำงาน ยังพบว่านอกจากเอ็มอาร์เอ็นเอแล้ว ยังมีหลาย พันล้านก๊อปปี้ ของ ดีเอ็นเอและส่วนที่กระตุ้นให้สามารถทำงานได้ดีขึ้นเมื่อเสียบเข้าไปในเซลล์ ทั้ง ori และ SV 40 promoter ทั้งนี้จากกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้วัคซีนเพียงพอกับความต้องการโดยการใช้ พลาสมิด(บทความสุขภาพหรรษาไทยรัฐ) ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    10
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อิสราเอลและสหรัฐ สองประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการหักหลังเพื่อน"

    อิตาลีกำลังเผชิญเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่เกี่ยวกับการจารกรรมข้อมูลข่าวกรองของรัฐบาลอิตาลี โดยมีเจ้าหน้าที่ Mossad ของอิสราเอลตกเป็นผู้ต้องสงสัยร่วมกับบริษัทเอกชนด้านการสืบสวนของอิตาลี

    จากการรายงานของสื่อระบุว่า เจ้าหน้าที่จากหน่วยงาน Mossad ของอิสราเอล ได้ว่าจ้างบริษัทสืบสวนเอกชน "Equalize" ในอิตาลี ซึ่งมีอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานความมั่นคงอิตาลีเป็นผู้บริหารของบริษัทแห่งนี้ เจาะข้อมูลในกระทรวงมหาดไทยอิตาลี รวมทั้งกระทรวงอื่นๆ เพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวของนักการเมืองรวมถึงนายกรัฐมนตรี Giorgia Meloni รวมทั้งนักการเมืองและบุคคลสำคัญอีกหลายราย

    สื่อยังรายงานอีกว่า อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิตาลีซึ่งเป็นผู้บริหารรายนี้ ตกเป็นผู้ต้องสงสัยหลักในการสอบสวน ส่วนผู้ต้องสงสัยซึ่งทำงานเกี่ยวข้องกับบริษัทเอกชนแห่งนี้ถูกจับไปแล้ว 4 ราย ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเจาะระบบเซิร์ฟเวอร์ของกระทรวงต่างๆ รวมทั้งโทรศัพท์และอุปกรณ์ส่วนบุคคล ระหว่างปี 2019-2024 เพื่อรวบรวมข้อมูลลับและข้อมูลที่ละเอียดอ่อนโดยขายให้เจ้าหน้าที่หน่วยงาน Mossad

    ตามรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอิตาลี นอกจากการเจาะข้อมูลของอิตาลีแล้ว เจ้าหน้าที่ Mossad ยังได้ขอให้บริษัทแห่งนี้เจาะข้อมูลกลุ่ม Wagner ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของรัสเซีย รวมถึงเส้นทางการเงินในยุโรปอีกด้วย

    Meloni นายกรัฐมนตรีอิตาลี ประณามการกระทำครั้งนี้ว่าเป็น “ภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย” ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหมอิตาลี Guido Crosetto เรียกร้องให้มีการเร่งสอบสวนโดยด่วนเพื่อป้องกันความลับรั่วไหลไปมากกว่านี้

    สื่อของอิตาลีวิจารณ์เหตุการณ์นี้ว่าเป็น “การสมคบคิดระดับสูงที่สุด” ที่เกี่ยวข้องกับข่าวกรองของรัฐบาล
    "อิสราเอลและสหรัฐ สองประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการหักหลังเพื่อน" อิตาลีกำลังเผชิญเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่เกี่ยวกับการจารกรรมข้อมูลข่าวกรองของรัฐบาลอิตาลี โดยมีเจ้าหน้าที่ Mossad ของอิสราเอลตกเป็นผู้ต้องสงสัยร่วมกับบริษัทเอกชนด้านการสืบสวนของอิตาลี จากการรายงานของสื่อระบุว่า เจ้าหน้าที่จากหน่วยงาน Mossad ของอิสราเอล ได้ว่าจ้างบริษัทสืบสวนเอกชน "Equalize" ในอิตาลี ซึ่งมีอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานความมั่นคงอิตาลีเป็นผู้บริหารของบริษัทแห่งนี้ เจาะข้อมูลในกระทรวงมหาดไทยอิตาลี รวมทั้งกระทรวงอื่นๆ เพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวของนักการเมืองรวมถึงนายกรัฐมนตรี Giorgia Meloni รวมทั้งนักการเมืองและบุคคลสำคัญอีกหลายราย สื่อยังรายงานอีกว่า อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิตาลีซึ่งเป็นผู้บริหารรายนี้ ตกเป็นผู้ต้องสงสัยหลักในการสอบสวน ส่วนผู้ต้องสงสัยซึ่งทำงานเกี่ยวข้องกับบริษัทเอกชนแห่งนี้ถูกจับไปแล้ว 4 ราย ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเจาะระบบเซิร์ฟเวอร์ของกระทรวงต่างๆ รวมทั้งโทรศัพท์และอุปกรณ์ส่วนบุคคล ระหว่างปี 2019-2024 เพื่อรวบรวมข้อมูลลับและข้อมูลที่ละเอียดอ่อนโดยขายให้เจ้าหน้าที่หน่วยงาน Mossad ตามรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอิตาลี นอกจากการเจาะข้อมูลของอิตาลีแล้ว เจ้าหน้าที่ Mossad ยังได้ขอให้บริษัทแห่งนี้เจาะข้อมูลกลุ่ม Wagner ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของรัสเซีย รวมถึงเส้นทางการเงินในยุโรปอีกด้วย Meloni นายกรัฐมนตรีอิตาลี ประณามการกระทำครั้งนี้ว่าเป็น “ภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย” ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหมอิตาลี Guido Crosetto เรียกร้องให้มีการเร่งสอบสวนโดยด่วนเพื่อป้องกันความลับรั่วไหลไปมากกว่านี้ สื่อของอิตาลีวิจารณ์เหตุการณ์นี้ว่าเป็น “การสมคบคิดระดับสูงที่สุด” ที่เกี่ยวข้องกับข่าวกรองของรัฐบาล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส่อแวววุ่น!! กล่องลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าของสหรัฐถูกลอบวางเพลิง!

    นี่ถือเป็นสัญญาณแห่งความวุ่นวายก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะมีขึ้นเพียง 1 สัปดาห์ ในประเทศที่มีความภาคภูมิใจในความเป็นประชาธิปไตย ที่ยึดถือเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในการบริหารประเทศ

    สหรัฐฯ กำลังเร่งสอบสวนเหตุเพลิงไหม้กล่องลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ในรัฐวอชิงตัน และออริกอน โดยเชื่อว่า เกิดจากมีผู้หย่อนอุปกรณ์จุดไฟลงไปในกล่อง โชคยังดีที่ระบบดับเพลิงภายในกล่อง ช่วยลดความเสียหายของบัตรลงคะแนนเสียงได้ส่วนหนึ่ง

    ขณะที่ ในรัฐวอชิงตัน เกิดเหตุลักษณะเดียวกัน ที่จุดตั้งกล่องลงคะแนนเสียงเลือกตั้งล่วงหน้าในเมือง"แวนคูเวอร์" ทำให้บัตรลงคะแนนเสียหายไปหลายร้อยใบ

    ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่า ทั้งสองเหตุการณ์มีความเชื่องโยงกัน และได้เผยภาพนิ่งจากกล้องวงจรปิด ซึ่งแสดงให้เห็นรถยนต์วอลโว่ S-60 สีดำหรือสีเข้ม รุ่นปี 2001-2004 จอดอยู่ข้างๆ กล่องลงคะแนนเสียง ก่อนจะเกิดเพลิงไหม้ตามมา ซึ่งขณะนี้ กำลังเร่งสืบสวนหามือก่อเหตุ โดยหวังว่าจะมีใครจำรถคันนี้ได้
    ส่อแวววุ่น!! กล่องลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าของสหรัฐถูกลอบวางเพลิง! นี่ถือเป็นสัญญาณแห่งความวุ่นวายก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะมีขึ้นเพียง 1 สัปดาห์ ในประเทศที่มีความภาคภูมิใจในความเป็นประชาธิปไตย ที่ยึดถือเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในการบริหารประเทศ สหรัฐฯ กำลังเร่งสอบสวนเหตุเพลิงไหม้กล่องลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ในรัฐวอชิงตัน และออริกอน โดยเชื่อว่า เกิดจากมีผู้หย่อนอุปกรณ์จุดไฟลงไปในกล่อง โชคยังดีที่ระบบดับเพลิงภายในกล่อง ช่วยลดความเสียหายของบัตรลงคะแนนเสียงได้ส่วนหนึ่ง ขณะที่ ในรัฐวอชิงตัน เกิดเหตุลักษณะเดียวกัน ที่จุดตั้งกล่องลงคะแนนเสียงเลือกตั้งล่วงหน้าในเมือง"แวนคูเวอร์" ทำให้บัตรลงคะแนนเสียหายไปหลายร้อยใบ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่า ทั้งสองเหตุการณ์มีความเชื่องโยงกัน และได้เผยภาพนิ่งจากกล้องวงจรปิด ซึ่งแสดงให้เห็นรถยนต์วอลโว่ S-60 สีดำหรือสีเข้ม รุ่นปี 2001-2004 จอดอยู่ข้างๆ กล่องลงคะแนนเสียง ก่อนจะเกิดเพลิงไหม้ตามมา ซึ่งขณะนี้ กำลังเร่งสืบสวนหามือก่อเหตุ โดยหวังว่าจะมีใครจำรถคันนี้ได้
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • บัตรเลือกตั้งสหรัฐฯหลายร้อยใบถูกทำลาย หลังกล่องหย่อนบัตร 2 ใบ ในรัฐออริกอนและรัฐวอชิงตัน ได้เกิดไฟลุกไหม้ ใน 2 เหตุการณ์ที่ทางพวกเจ้าหน้าที่เชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกัน
    .
    หีบบัตรเลือกตั้งหนึ่ง ในเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐออริกอน ถูกเล่นงานในตอนเช้าวันจันทร์(28ต.ค.) และอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา หีบเลือกตั้งอีกหีบ ได้ถูกเล่นงานในเมืองแวนคูเวอร์ รัฐวอชิงตัน
    .
    เจ้าหน้าที่ตำรวจเผยว่า มีความเป็นไปได้ว่าเหตุการณ์ลอบวางเพลิง 2 ครั้งนี้เกี่ยวข้องกัน และในขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถระบุตำแหน่งยานพาหนะที่ต้องสงสัยในรัฐออริกอนได้แล้ว ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป้าประสงค์ของคนร้ายในการก่อเหตุนั้นคืออะไร แต่ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นการกระทำโดยตั้งใจ
    .
    เอฟบีไอถูกเรียกเข้าช่วยเหลือสืบสวนคดีนี้แล้ว "มันเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ใจสลาย" เกรก คิมซีย์ เจ้าหน้าที่เลือกตั้งในคลาร์ก เคาน์ตี รัฐวอชิงตัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองแวนคูเตอร์ กล่าว "มันเป็นการโจมตีใส่ประชาธิปไตยโดยตรง"
    .
    คิมซีย์ เผยว่าหีบหย่อนบัตรลงคะแนนทั้ง 2 หีบ มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ แต่หีบในแวนคูเวอร์ดูเหมือนว่าระบบจะทำงานขัดข้อง ไม่สามารถช่วยบัตรเลือกตั้งหลายร้อยใบให้รอดพ้นจากการถูกเผาทำลายได้
    .
    ระหว่างแถลงข่าวในเมืองพอร์ทแลนด์ พวกเจ้าหน้าที่ระบุว่าวัตถุต่างๆที่คนร้ายใช้ในการก่อเหตุ ที่พวกเจ้าหน้าที่สามารถเก็บกู้ได้ แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ไฟไหม้หีบบัตรเลือกตั้งทั้ง 2 เหตุการณ์เมื่อวันจันทร์(28ต.ค.) มีความเกี่ยวข้องกัน อย่างไรก็ตามในพอร์ทแลนด์ เชื่อว่ามีบัตรลงคะแนนได้รับความเสียหายเพียง 3 ใบ
    .
    นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังเชื่อว่าทั้ง 2 เหตุการณ์เชื่อมโยงกับอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม โดยคราวนั้นพบวัตถุที่ใช้ในการก่อเหตุ ถูกติดตั้ง ณ หีบหย่อนบัตรลงคะแนนอีกอัน ในแวนคูเวอร์ อย่างไรก็ตามไม่ได้บัตรเลือกตั้งได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว
    .
    เหตุการณ์ล่าสุดนี้เกิดขึ้นไม่ถึง 10 วันก่อนถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งมันโหมกระพือความกังวลแก่ผู้คนเป็นจำนวนมาก และหลายคนหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นซ้ำรอยอีก
    .
    ที่ผ่านมา หีบหย่อนบัตรเลือกตั้งถูกวิพากษ์วิจารณ์จากพวกรีพับลิกันหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ และมันกลายเป็นแก่นกลางของทฤษฎีสมคบคิดต่างๆนานา ที่เชื่อมโยงกับคำอ้างของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ระบุว่าเขาถูกโกงเลือกตั้งในปี 2020
    .
    กล่องหย่อนบัตรเลือกตั้ง ถูกออกแบบมาไม่ให้งัดแงะได้ และบ่อยครั้งมันถูกติดตั้งอยู่บริเวณด้านนอกสถานที่ต่างๆอย่างเช่นสำนักงานเลือกตั้ง ห้องสมุดและอาคารรัฐบาลอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนใช้หย่อนบัตรลงคะแนน
    .
    ทั้งนี้กล่องหย่อนบัตรเลือกตั้งนั้นเป็นหนึ่งในช่องทางโหวตเลือกประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยประชาชนที่ได้รับบัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผ่านไปรษณีย์จะสามารถเลือกได้ว่าจะส่งคะแนนกลับทางไปรษณีย์เหมือนเดิม หรือจะนำมาหย่อนในตู้หย่อนก็ได้
    .
    รัฐต่างๆ 6 แห่ง ที่อยู่ภายใต้การบริหารของรีพับลิกัน ได้แก่อาร์คันซอ, มิสซิสซิปปี, มิสซูรี, นอร์ทแคโรไลนา, เซาท์แคโรโลนา และ เซาท์ดาโคตา ต่างแบนการใช้หีบหย่อนบัตรเลือกตั้งนี้
    .
    รายงานเเกี่ยวกับเหตุการณ์ทำลายกล่องรับบัตรคะแนนเลือกตั้งในสหรัฐฯ มีขึ้นหลังเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงออกคำเตือนแก่ประชาชนให้ระวังภัยการก่อเหตุรุนแรงที่เกี่ยวเนื่องกับการเลือกตั้งโดยฝีมือของกลุ่มหัวรุนแรงในประเทศ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000104419
    ..............
    Sondhi X
    บัตรเลือกตั้งสหรัฐฯหลายร้อยใบถูกทำลาย หลังกล่องหย่อนบัตร 2 ใบ ในรัฐออริกอนและรัฐวอชิงตัน ได้เกิดไฟลุกไหม้ ใน 2 เหตุการณ์ที่ทางพวกเจ้าหน้าที่เชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกัน . หีบบัตรเลือกตั้งหนึ่ง ในเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐออริกอน ถูกเล่นงานในตอนเช้าวันจันทร์(28ต.ค.) และอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา หีบเลือกตั้งอีกหีบ ได้ถูกเล่นงานในเมืองแวนคูเวอร์ รัฐวอชิงตัน . เจ้าหน้าที่ตำรวจเผยว่า มีความเป็นไปได้ว่าเหตุการณ์ลอบวางเพลิง 2 ครั้งนี้เกี่ยวข้องกัน และในขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถระบุตำแหน่งยานพาหนะที่ต้องสงสัยในรัฐออริกอนได้แล้ว ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป้าประสงค์ของคนร้ายในการก่อเหตุนั้นคืออะไร แต่ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นการกระทำโดยตั้งใจ . เอฟบีไอถูกเรียกเข้าช่วยเหลือสืบสวนคดีนี้แล้ว "มันเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ใจสลาย" เกรก คิมซีย์ เจ้าหน้าที่เลือกตั้งในคลาร์ก เคาน์ตี รัฐวอชิงตัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองแวนคูเตอร์ กล่าว "มันเป็นการโจมตีใส่ประชาธิปไตยโดยตรง" . คิมซีย์ เผยว่าหีบหย่อนบัตรลงคะแนนทั้ง 2 หีบ มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ แต่หีบในแวนคูเวอร์ดูเหมือนว่าระบบจะทำงานขัดข้อง ไม่สามารถช่วยบัตรเลือกตั้งหลายร้อยใบให้รอดพ้นจากการถูกเผาทำลายได้ . ระหว่างแถลงข่าวในเมืองพอร์ทแลนด์ พวกเจ้าหน้าที่ระบุว่าวัตถุต่างๆที่คนร้ายใช้ในการก่อเหตุ ที่พวกเจ้าหน้าที่สามารถเก็บกู้ได้ แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ไฟไหม้หีบบัตรเลือกตั้งทั้ง 2 เหตุการณ์เมื่อวันจันทร์(28ต.ค.) มีความเกี่ยวข้องกัน อย่างไรก็ตามในพอร์ทแลนด์ เชื่อว่ามีบัตรลงคะแนนได้รับความเสียหายเพียง 3 ใบ . นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังเชื่อว่าทั้ง 2 เหตุการณ์เชื่อมโยงกับอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม โดยคราวนั้นพบวัตถุที่ใช้ในการก่อเหตุ ถูกติดตั้ง ณ หีบหย่อนบัตรลงคะแนนอีกอัน ในแวนคูเวอร์ อย่างไรก็ตามไม่ได้บัตรเลือกตั้งได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว . เหตุการณ์ล่าสุดนี้เกิดขึ้นไม่ถึง 10 วันก่อนถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งมันโหมกระพือความกังวลแก่ผู้คนเป็นจำนวนมาก และหลายคนหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นซ้ำรอยอีก . ที่ผ่านมา หีบหย่อนบัตรเลือกตั้งถูกวิพากษ์วิจารณ์จากพวกรีพับลิกันหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ และมันกลายเป็นแก่นกลางของทฤษฎีสมคบคิดต่างๆนานา ที่เชื่อมโยงกับคำอ้างของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ระบุว่าเขาถูกโกงเลือกตั้งในปี 2020 . กล่องหย่อนบัตรเลือกตั้ง ถูกออกแบบมาไม่ให้งัดแงะได้ และบ่อยครั้งมันถูกติดตั้งอยู่บริเวณด้านนอกสถานที่ต่างๆอย่างเช่นสำนักงานเลือกตั้ง ห้องสมุดและอาคารรัฐบาลอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนใช้หย่อนบัตรลงคะแนน . ทั้งนี้กล่องหย่อนบัตรเลือกตั้งนั้นเป็นหนึ่งในช่องทางโหวตเลือกประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยประชาชนที่ได้รับบัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผ่านไปรษณีย์จะสามารถเลือกได้ว่าจะส่งคะแนนกลับทางไปรษณีย์เหมือนเดิม หรือจะนำมาหย่อนในตู้หย่อนก็ได้ . รัฐต่างๆ 6 แห่ง ที่อยู่ภายใต้การบริหารของรีพับลิกัน ได้แก่อาร์คันซอ, มิสซิสซิปปี, มิสซูรี, นอร์ทแคโรไลนา, เซาท์แคโรโลนา และ เซาท์ดาโคตา ต่างแบนการใช้หีบหย่อนบัตรเลือกตั้งนี้ . รายงานเเกี่ยวกับเหตุการณ์ทำลายกล่องรับบัตรคะแนนเลือกตั้งในสหรัฐฯ มีขึ้นหลังเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงออกคำเตือนแก่ประชาชนให้ระวังภัยการก่อเหตุรุนแรงที่เกี่ยวเนื่องกับการเลือกตั้งโดยฝีมือของกลุ่มหัวรุนแรงในประเทศ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000104419 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Wow
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1393 มุมมอง 0 รีวิว
  • Benjamin Fulfort:

    แทบไม่มีสิ่งใดเลยที่ Jacob BAUER Rothschild ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือสายเลือดของเขาไม่เกี่ยวข้องด้วย

    การก่อตั้งอิสราเอล

    การบังคับใช้ธนาคารกลาง

    ธงฟาเซล 9/11

    สงครามกับปาเลสไตน์

    กลุ่มล่ามนุษย์

    จักรวรรดิอังกฤษ - รวมถึงต่อไปนี้

    สหราชอาณาจักร

    แคนาดา

    ออสเตรเลีย

    นิวซีแลนด์

    อินเดีย

    ประเทศในแอฟริกา 19 ประเทศ

    แคริบเบียน

    (รวมถึงการที่ไทยต้องเสียดินแดน...)

    โดยคณะลูกขุนใหญ่

    คำพูด: สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในลอนดอนซิตี้ พื้นที่หนึ่งตารางไมล์ที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก ลอนดอนไม่ได้ถูกปกครองโดยรัฐบาลอังกฤษ แต่ในทางกลับกันกลับมีอำนาจเหนือลอนดอน

    ลอนดอนมีศาลและกองกำลังตำรวจเป็นของตัวเอง และไม่เคยถูกท้าทายอำนาจอธิปไตยและการปกครองตนเอง ลอนดอนปกครองทั้งราชวงศ์และโลกเกือบทั้งหมด ชนชั้นสูงของอังกฤษเชื่อว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะกดขี่มนุษย์ที่เหลือซึ่งพวกเขามองว่าเป็น "ปศุสัตว์" ของพวกเขา

    ในมุมมองของพวกเขา พวกเขาเป็นเจ้าของประชากร ทั้งร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ประชาธิปไตยเป็นเพียงภาพลวงตาที่ปล่อยให้ประชาชนอยู่ตามลำพังในขณะที่ลอนดอนเป็นผู้สั่งการและดึงเชือก ชนชั้นสูงกลุ่มนี้พยายามหลายครั้งเพื่อสร้าง "ระเบียบโลกใหม่" แต่ทั้งหมดล้มเหลว พวกเขาเกือบจะประสบความสำเร็จในการปกครองสหรัฐอเมริกา แต่ก็ล้มเหลวที่นั่นเช่นกัน

    เท็กซัสกำลังอยู่ในเส้นทางที่จะกำจัดกลุ่มธนาคารกลางสหรัฐออกจากรัฐทั้งหมด ร่วมกับอีกกว่า 40 ประเทศที่กำลังแนะนำระบบการเงินใหม่ หนี้ส่วนบุคคลของเราทั้งหมดอยู่ในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ

    ทันทีที่เราเปลี่ยนไปสู่หน่วยการเงินอื่น เราก็จะไม่ถูกผูกมัดกับระบบหนี้ของภาคธนาคารอีกต่อไป ซึ่งจะล่มสลายลงพร้อมกับตลาดอนุพันธ์ที่เชื่อมโยงกับธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ได้เข้ามาควบคุมเมื่อหลายปีก่อน

    สิ่งที่เรากำลังเห็นคือการสิ้นสุดของระบอบการปกครองที่แสวงหาการครอบครองโลก บุคคลสำคัญที่มีความรับผิดชอบทั้งหมดกำลังถูกปลดออกทีละน้อย และเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของพวกเขาก็สูญเสียการควบคุมรัฐบาลที่พวกเขาไม่ได้ควบคุมอีกต่อไปเช่นกัน

    ต้องขอบคุณเรื่องของ EPA

    ต้องขอบคุณกฎ Basel 3

    ต้องขอบคุณประเทศมากกว่า 40 ประเทศที่กลับมาใช้มาตรฐานทองคำ

    ทำไมคุณคิดว่า Blackrock จึงถอนตัวจากวาระเกี่ยวกับสภาพอากาศ คุณไม่สามารถพึ่งพาหน่วยงาน 3 ตัวอักษรในการขู่กรรโชก จ่ายสินบน รีดไถ หรือขู่กรรโชกนักการเมืองของสหรัฐฯ ให้ร่างกฎหมายที่บังคับให้รัฐบาลของเราปฏิบัติตามวาระที่บ่อนทำลายประเทศนี้ต่อไปได้อีกต่อไป

    คุณไม่รู้สึกแปลกใจหรือที่สหประชาชาติถูกปิดชั่วคราวเพราะจ่ายค่าไฟฟ้าไม่ได้? คุณรู้ไหมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกแค่ไหนสำหรับคนที่อยากครอบครองโลกและไม่สามารถจ่ายค่าไฟฟ้ารายเดือนได้อีกต่อไป ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นของธนาคารที่พิมพ์เงินออกมาจากอากาศบางๆ

    นั่นคงบอกคุณได้ว่าพระเจ้ามีอารมณ์ขันเช่นกัน ตอนนี้คุณเห็นผู้เล่นหลักคนหนึ่ง ลอร์ดจาคอบ ร็อธส์ไชลด์ ถูกย้ายออกจากโลกใบนี้ ฉันรู้ว่าเรื่องนี้คงทำให้เบนจามิน เนทันยาฮูรู้สึกประหม่าเล็กน้อยในตอนนี้

    พวกคุณทุกคนต้องเข้าใจว่าเรื่องนี้ลึกซึ้งแค่ไหน ตั้งแต่ปี 1871 เป็นอย่างน้อย สายเลือดทั้งหมดนี้มีความรับผิดชอบว่าทำไมเราถึงล้าหลังในเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงชีวิตซึ่งเราทุกคนคาดหวังว่าจะได้รับการเผยแพร่ในที่สุดในไม่ช้าและเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล

    เพื่อให้สั้นลง ทุกสิ่งที่เราทำในการสืบสวนการทุจริตที่เกิดจากการผูกขาดของราชวงศ์อังกฤษและเงินของเมืองลอนดอนดูเหมือนจะย้อนกลับไปถึงช่วงเวลานี้ประมาณปี 1870 เมื่อมีการปฏิวัติหลายครั้งโดยชนชั้นนำของอังกฤษ

    🔥 ในนามของไซออน 🔥
    Benjamin Fulfort: แทบไม่มีสิ่งใดเลยที่ Jacob BAUER Rothschild ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือสายเลือดของเขาไม่เกี่ยวข้องด้วย การก่อตั้งอิสราเอล การบังคับใช้ธนาคารกลาง ธงฟาเซล 9/11 สงครามกับปาเลสไตน์ กลุ่มล่ามนุษย์ จักรวรรดิอังกฤษ - รวมถึงต่อไปนี้ สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ประเทศในแอฟริกา 19 ประเทศ แคริบเบียน (รวมถึงการที่ไทยต้องเสียดินแดน...) โดยคณะลูกขุนใหญ่ คำพูด: สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในลอนดอนซิตี้ พื้นที่หนึ่งตารางไมล์ที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก ลอนดอนไม่ได้ถูกปกครองโดยรัฐบาลอังกฤษ แต่ในทางกลับกันกลับมีอำนาจเหนือลอนดอน ลอนดอนมีศาลและกองกำลังตำรวจเป็นของตัวเอง และไม่เคยถูกท้าทายอำนาจอธิปไตยและการปกครองตนเอง ลอนดอนปกครองทั้งราชวงศ์และโลกเกือบทั้งหมด ชนชั้นสูงของอังกฤษเชื่อว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะกดขี่มนุษย์ที่เหลือซึ่งพวกเขามองว่าเป็น "ปศุสัตว์" ของพวกเขา ในมุมมองของพวกเขา พวกเขาเป็นเจ้าของประชากร ทั้งร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ประชาธิปไตยเป็นเพียงภาพลวงตาที่ปล่อยให้ประชาชนอยู่ตามลำพังในขณะที่ลอนดอนเป็นผู้สั่งการและดึงเชือก ชนชั้นสูงกลุ่มนี้พยายามหลายครั้งเพื่อสร้าง "ระเบียบโลกใหม่" แต่ทั้งหมดล้มเหลว พวกเขาเกือบจะประสบความสำเร็จในการปกครองสหรัฐอเมริกา แต่ก็ล้มเหลวที่นั่นเช่นกัน เท็กซัสกำลังอยู่ในเส้นทางที่จะกำจัดกลุ่มธนาคารกลางสหรัฐออกจากรัฐทั้งหมด ร่วมกับอีกกว่า 40 ประเทศที่กำลังแนะนำระบบการเงินใหม่ หนี้ส่วนบุคคลของเราทั้งหมดอยู่ในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ ทันทีที่เราเปลี่ยนไปสู่หน่วยการเงินอื่น เราก็จะไม่ถูกผูกมัดกับระบบหนี้ของภาคธนาคารอีกต่อไป ซึ่งจะล่มสลายลงพร้อมกับตลาดอนุพันธ์ที่เชื่อมโยงกับธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ได้เข้ามาควบคุมเมื่อหลายปีก่อน สิ่งที่เรากำลังเห็นคือการสิ้นสุดของระบอบการปกครองที่แสวงหาการครอบครองโลก บุคคลสำคัญที่มีความรับผิดชอบทั้งหมดกำลังถูกปลดออกทีละน้อย และเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของพวกเขาก็สูญเสียการควบคุมรัฐบาลที่พวกเขาไม่ได้ควบคุมอีกต่อไปเช่นกัน ต้องขอบคุณเรื่องของ EPA ต้องขอบคุณกฎ Basel 3 ต้องขอบคุณประเทศมากกว่า 40 ประเทศที่กลับมาใช้มาตรฐานทองคำ ทำไมคุณคิดว่า Blackrock จึงถอนตัวจากวาระเกี่ยวกับสภาพอากาศ คุณไม่สามารถพึ่งพาหน่วยงาน 3 ตัวอักษรในการขู่กรรโชก จ่ายสินบน รีดไถ หรือขู่กรรโชกนักการเมืองของสหรัฐฯ ให้ร่างกฎหมายที่บังคับให้รัฐบาลของเราปฏิบัติตามวาระที่บ่อนทำลายประเทศนี้ต่อไปได้อีกต่อไป คุณไม่รู้สึกแปลกใจหรือที่สหประชาชาติถูกปิดชั่วคราวเพราะจ่ายค่าไฟฟ้าไม่ได้? คุณรู้ไหมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกแค่ไหนสำหรับคนที่อยากครอบครองโลกและไม่สามารถจ่ายค่าไฟฟ้ารายเดือนได้อีกต่อไป ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นของธนาคารที่พิมพ์เงินออกมาจากอากาศบางๆ นั่นคงบอกคุณได้ว่าพระเจ้ามีอารมณ์ขันเช่นกัน ตอนนี้คุณเห็นผู้เล่นหลักคนหนึ่ง ลอร์ดจาคอบ ร็อธส์ไชลด์ ถูกย้ายออกจากโลกใบนี้ ฉันรู้ว่าเรื่องนี้คงทำให้เบนจามิน เนทันยาฮูรู้สึกประหม่าเล็กน้อยในตอนนี้ พวกคุณทุกคนต้องเข้าใจว่าเรื่องนี้ลึกซึ้งแค่ไหน ตั้งแต่ปี 1871 เป็นอย่างน้อย สายเลือดทั้งหมดนี้มีความรับผิดชอบว่าทำไมเราถึงล้าหลังในเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงชีวิตซึ่งเราทุกคนคาดหวังว่าจะได้รับการเผยแพร่ในที่สุดในไม่ช้าและเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล เพื่อให้สั้นลง ทุกสิ่งที่เราทำในการสืบสวนการทุจริตที่เกิดจากการผูกขาดของราชวงศ์อังกฤษและเงินของเมืองลอนดอนดูเหมือนจะย้อนกลับไปถึงช่วงเวลานี้ประมาณปี 1870 เมื่อมีการปฏิวัติหลายครั้งโดยชนชั้นนำของอังกฤษ 🔥 ในนามของไซออน 🔥
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • เบื้องหลังดีเอสไอ รับคดี The Icon ตำรวจถอยรอรับคำสั่ง
    .
    คดี The Icon มาถึงประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายต้องจับตา ภายหลังมีการส่งมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มารับไม้ต่อในฐานะคดีพิเศษ โดยเรื่องนี้ลำดับขั้นตอนที่น่าสนใจ คือ เรื่องนี้เป็นกระบวนการและขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเมื่อความผิดใดความผิดหนึ่งเข้าลักษณะตาม พรบ.การสอบสวนคดีพิเศษพ.ศ. 2547 และเป็นความผิดที่มีลักษณะตามประกาศของคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ตำรวจจึงต้องถือปฏิบัติตามกฏหมายที่ต้องส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมพยานหลักฐานต่างๆ ในความรับผิดชอบเบื้องต้น ให้กับ dsi ตามกำหนดเวลาเพื่อไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
    .
    ที่สำคัญคดีนี้หลังจากที่ตำรวจได้รับแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ มาตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2567 ได้มีการสอบสวนปากคำประชาชนที่เชื่อว่าตกเป็นผู้เสียหาย และรวบรวมพยานหลักฐานมาโดยตลอด ซึ่งก็เริ่มมีประชาชนเดินทางมาแจ้งความมากขึ้น จนปริมาณงานไม่สัมพันธ์กับจำนวนพนักงานสอบสวนของ บช.ก. ที่ต้องทำงานตั้งแต่ 9.00 - 02.00 ของวันรุ่งขึ้น จากปริมาณประชาชนที่มาแจ้งความและการรอคอยเพื่อให้ปากคำ ทำให้ประชาชนต้องรอเป็นเวลานาน บางรายรอจนข้ามวัน ด้วยเหตุนี้ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงสั่งให้มีการเปิดศูนย์รับแจ้งความขึ้นทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เชื่อว่าเป็นผู้เสียหาย จนถึง ณ วันนี้ มีการสอบสวนผู้เสียหายไปกว่า 9,000 คน และมีมูลค่าที่เชื่อว่าเสียหายถึง 2,900 ล้านบาทเศษ
    .
    นับตั้งแต่วันที่มีการสอบสวนปากคำและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายเป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดของ บช.ก. ได้มีการประชุม ,การวิเคราะห์ พิจารณาคำให้การ, การตรวจค้น , ออกหมายจับและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพื่อรวบรวมและแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมมาโดยตลอด ถือว่าได้ดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายอย่างเต็มที่ไปถึง 80% แล้ว ดังนั้นในการดำเนินการเบื้องต้น ตำรวจก็มีความมั่นใจว่า ได้ดำเนินการอย่างรอบคอบและรัดกุมมากพอสมควรที่จะส่งให้ดีเอสไอรับไปดำเนินการตามกฏหมาย
    .
    โดยเมื่อดีเอสไอรับคดีไปแล้วตำรวจก็อาจจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการสืบสวนสอบสวนได้ โดยดีเอสไออาจร้องขอให้ตำรวจหรือหน่วยงานใด เข้าช่วยเหลือ หรือปฏิบัติงานร่วมกันตามข้อบังคับของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้ ซึ่งตำรวจได้ยืนยันไปแล้วว่า มีความพร้อมและยินดีที่จะยังร่วมดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายกับดีเอสไอต่อไป
    .
    อย่างไรก็ตามเมื่อส่งสำนวนการสอบสวนในคดีดิไอคอนกรุ๊ป ไปให้ดีเอสไอแล้ว ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวน ก็อาจใช้มาตรา 33 แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ รัฐมนตรีอาจเสนอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมีคำสั่งตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานอื่นมาปฏิบัติหน้าที่ในกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อช่วยเหลือในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษนั้นได้” ซึ่งถือเป็นวิธีการที่ หน่วยงานต่างๆ จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ ช่วยเหลือ เพื่อประโยชน์แห่งการสืบสวนสอบสวน ในคดีนี้ต่อไป
    .............
    Sondhi X
    เบื้องหลังดีเอสไอ รับคดี The Icon ตำรวจถอยรอรับคำสั่ง . คดี The Icon มาถึงประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายต้องจับตา ภายหลังมีการส่งมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มารับไม้ต่อในฐานะคดีพิเศษ โดยเรื่องนี้ลำดับขั้นตอนที่น่าสนใจ คือ เรื่องนี้เป็นกระบวนการและขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเมื่อความผิดใดความผิดหนึ่งเข้าลักษณะตาม พรบ.การสอบสวนคดีพิเศษพ.ศ. 2547 และเป็นความผิดที่มีลักษณะตามประกาศของคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ตำรวจจึงต้องถือปฏิบัติตามกฏหมายที่ต้องส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมพยานหลักฐานต่างๆ ในความรับผิดชอบเบื้องต้น ให้กับ dsi ตามกำหนดเวลาเพื่อไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป . ที่สำคัญคดีนี้หลังจากที่ตำรวจได้รับแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ มาตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2567 ได้มีการสอบสวนปากคำประชาชนที่เชื่อว่าตกเป็นผู้เสียหาย และรวบรวมพยานหลักฐานมาโดยตลอด ซึ่งก็เริ่มมีประชาชนเดินทางมาแจ้งความมากขึ้น จนปริมาณงานไม่สัมพันธ์กับจำนวนพนักงานสอบสวนของ บช.ก. ที่ต้องทำงานตั้งแต่ 9.00 - 02.00 ของวันรุ่งขึ้น จากปริมาณประชาชนที่มาแจ้งความและการรอคอยเพื่อให้ปากคำ ทำให้ประชาชนต้องรอเป็นเวลานาน บางรายรอจนข้ามวัน ด้วยเหตุนี้ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงสั่งให้มีการเปิดศูนย์รับแจ้งความขึ้นทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เชื่อว่าเป็นผู้เสียหาย จนถึง ณ วันนี้ มีการสอบสวนผู้เสียหายไปกว่า 9,000 คน และมีมูลค่าที่เชื่อว่าเสียหายถึง 2,900 ล้านบาทเศษ . นับตั้งแต่วันที่มีการสอบสวนปากคำและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายเป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดของ บช.ก. ได้มีการประชุม ,การวิเคราะห์ พิจารณาคำให้การ, การตรวจค้น , ออกหมายจับและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพื่อรวบรวมและแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมมาโดยตลอด ถือว่าได้ดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายอย่างเต็มที่ไปถึง 80% แล้ว ดังนั้นในการดำเนินการเบื้องต้น ตำรวจก็มีความมั่นใจว่า ได้ดำเนินการอย่างรอบคอบและรัดกุมมากพอสมควรที่จะส่งให้ดีเอสไอรับไปดำเนินการตามกฏหมาย . โดยเมื่อดีเอสไอรับคดีไปแล้วตำรวจก็อาจจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการสืบสวนสอบสวนได้ โดยดีเอสไออาจร้องขอให้ตำรวจหรือหน่วยงานใด เข้าช่วยเหลือ หรือปฏิบัติงานร่วมกันตามข้อบังคับของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้ ซึ่งตำรวจได้ยืนยันไปแล้วว่า มีความพร้อมและยินดีที่จะยังร่วมดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายกับดีเอสไอต่อไป . อย่างไรก็ตามเมื่อส่งสำนวนการสอบสวนในคดีดิไอคอนกรุ๊ป ไปให้ดีเอสไอแล้ว ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวน ก็อาจใช้มาตรา 33 แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ รัฐมนตรีอาจเสนอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมีคำสั่งตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานอื่นมาปฏิบัติหน้าที่ในกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อช่วยเหลือในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษนั้นได้” ซึ่งถือเป็นวิธีการที่ หน่วยงานต่างๆ จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ ช่วยเหลือ เพื่อประโยชน์แห่งการสืบสวนสอบสวน ในคดีนี้ต่อไป ............. Sondhi X
    Like
    Angry
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 774 มุมมอง 1 รีวิว
  • "อัจฉริยะ !"

    สำหรับตัวผมแล้ว ถ้าพูดถึงนักเขียนญี่ปุ่นที่เป็นปรมาจารย์ด้านการเล่าเรื่อง และการบรรยายที่สร้างบรรยากาศที่หลอน ๆ สั่นประสาท ความดำมืดและวิปริตของจิตใจของตัวฆาตกรร้าย รวมถึงความรู้สึกเย็บวาบ ขนลุกซู่เมื่ออ่านไปเรื่อย ๆ ที่มีความโดดเด่นแล้ว ชื่อที่นึกถึงเป็นอันดับแรกเลยคือ เอโดะงะวะ รัมโปะ ตามมาด้วย โยโคมิโซะ เซชิ

    #ลายนิ้วมือปีศาจ คืออีกหนึ่งผลงานที่ยืนยันข้อความข้างต้น

    สนพ.เจคลาส
    ผู้เขียน เอโดะงาวะ รัมโปะ
    ผู้แปล ทินภาส พาหะนิชย์
    พิมพ์ เม.ย.2561
    230 บาท 226 หน้า

    เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมไม่คาดฝันขึ้น โดยเหยื่อรายแรกเป็นผู้ช่วยงานของนักสืบเอกชนผู้มีชื่อเสียงนามว่า ดร.มุนะกะตะ ซึ่งมีความสามารถและเชี่ยวชาญทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ ชื่อเสียงควบคู่มากับยอดนักสืบเอกอะเกะชิ โคะโงะโร เรื่องราวจึงไม่ธรรมดา แต่เป็นคดีที่มีความยอกย้อนซ่อนเงื่อน และคนร้ายมีวิธีการที่น่ากลัวกว่าฆาตกรทั่วไปอย่างเทียบไม่ได้

    เนื่องจาก นักสืบอะเกะชิที่เป็นเพื่อนและรู้จักกับสารวัตรนะกะมุระแห่งกรมตำรวจนครบาลโตเกียวไม่ว่าง ติดภารกิจที่ต่างแดน จึงเป็นหน้าที่ของ ดร.มุนะกะตะ ที่ต้องออกโรง ทั้งเพื่อล้างอายตนเองที่ไม่สามารถช่วยลูกน้องได้ และเพื่อชื่อเสียงในฐานะนักสืบของตนไม่ให้มัวหมอง เขาจึงเริ่มตามสืบหาตัวคนร้าย ที่ส่งข้อความมาถึง เศรษฐีนักธุรกิจผู้หนึ่งที่มีกิจการค้าของตนเองนาม คะวะเตะ โชตะโร ระบุชัดว่ามีเป้าหมายเพื่อต้องการฆ่าล้างแค้นคนในครอบครัวของเขาทั้งหมด 3 ชีวิต คือตัวคะวะเตะ และลูกสาวอีกสองคนที่เติบโตเป็นสาวสวยแล้ว โดยเขาก็นึกไม่ออกว่าได้สร้างความโกรธแค้นให้เกิดแก่ใครจนถึงขั้นจ้องจะทำลายล้างตระกูลให้ไม่เหลือสักคนเดียว

    แม้นว่า ดร.มุนะกะตะ จะได้หลักฐานสำคัญที่พบจากซองเอกสารที่ผู้ช่วยชายพยายามจะส่งให้ถึงมือเขา ก่อนจะถูกวางยาพิษเสียชีวิต เป็นรอยนิ้วมือที่คาดว่าน่าจะเป็นของผู้ที่กำลังวางแผนฆ่าครอบครัวคะวะเตะ เป็นรอยนิ้วประหลาดน่าขนลุกที่มีลักษณะคล้ายก้นหอย3วง จึงพยายามตามสืบจากเบาะแสดังกล่าว โดยมอบหมายให้ผู้ช่วยชายอีกคนไปดำเนินการ ไม่นานต่อมาลูกสาวทั้งสองของผู้ว่าจ้างกลับพบชะตากรรมดำมืด กลายเป็นเหยื่อถูกฆ่าตายไปทีละคนอย่างน่าพิศวง ทั้งที่มีตำรวจจำนวนมาก และนักสืบคอยเฝ้ายามรักษาความปลอดภัยให้อย่างรัดกุมแน่นหนา

    นี่..ไม่น่าเป็นไปได้ ฆาตกรทำอย่างไร จึงสามารถราวกับภูติผีปีศาจ แถมยังหยามน้ำหน้านักสืบด้วยการทิ้งรอยนิ้วมือที่มีก้นหอย3วงเอาไว้ในหลายวาระ ดร.มุนะกะตะเหมือนถูกคนร้ายนำหน้าหนึ่งก้าวเสมอ สถานการณ์เลวร้ายลง คะวะตะเองนั้นทั้งเศร้าเสียใจและตื่นกลัวอย่างมาก ความแค้นใดในอดีต ที่ฝังแน่นในจิตใจของฆาตกร จนถึงขั้นวางแผนเพื่อจะกำจัดตระกูลของเขาให้สิ้นซาก หลังฆ่าเหยื่อแล้วยังจัดแสดงศพเพื่อหวังให้สาธารณะพบเห็นเป็นการประจานอย่างอำมหิต แต่ในที่สุดฆาตกรก็ไม่อาจรอดพ้นฝีมือในการสืบสวนและแกะรอยของดร.มุนะกะตะ จนสามารถปิดคดีลงได้ แม้จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกถึง 3 รายก็ตาม

    แต่เรื่องราวกลับไม่จบลงง่ายดายเพียงนั้น หลังจากนักสืบอะเกะชิเสร็จจากภารกิจกลับมา และได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดจากคำบอกเล่าของสารวัตรนะกะมุระ เขาจึงเริ่มดำเนินการสืบสวนในแบบฉบับของตนอย่างลับ ๆ และได้ข้อสรุปที่มีมุมมองต่อคดีนี้แตกต่างไปจากของตำรวจและ ดร.มุนะกะตะโดยสิ้นเชิง อาเกะชิเชื่อว่าคดียังไม่จบ คนร้ายตัวจริงยังลอยนวล แล้วที่แท้ได้เกิดอะไรขึ้นกับเหยื่อทั้งหมดที่สูญเสียไปกันแน่ ตกลงความจริงคือ..ใครกันที่สืบสวนผิดพลาดระหว่าง ดร.มุนะกะตะ กับอาเกะชิ

    นี่คืออีกหนึ่งสุดยอดของความร้ายกาจ กับความจงเกลียดจงชังเข้าขั้นหมกมุ่น และอาฆาตพยาบาทรุนแรงที่สุดคดีหนึ่งเท่าที่ผมเคยได้อ่านมา

    🖋หลังอ่านจบ

    โคตรน่าทึ่ง...คงต้องใช้คำนี้ ไม่นึกว่าผู้เขียนจะบรรจงสร้างโครงเรื่องที่ดูเหมือนเป็นการฆ่าล้างแค้นที่พบได้ในนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมทั่วไป ให้มีความแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ และชั้นเชิงลูกเล่นเทคนิกแพรวพรายได้ขนาดนี้ ดูเหมือนคนร้ายแทบจะไม่ได้ใช้หรืออาศัยความรู้เฉพาะทางพิเศษใดในวิธีการลงมือฆ่าเหยื่อ เพียงอาศัยเรื่องที่ดูธรรมดาสามัญที่สุด มาสร้างขึ้นเป็นกำดักทางจิตใจ หลอกทั้งตัวละครนักสืบในเรื่องและหลอกคนอ่านได้อย่างแนบเนียน แม้นจะมีวางจุดสังเกตที่ชวนให้คิดด้วยความน่าฉงนตามรายทางเป็นระยะ ซึ่งหากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนดี ๆ อาจพอจะเริ่มจับจุดและสังเกตเห็นบางอย่าง แต่ถ้าอ่านแบบขี้เกียจคิดให้วุ่นวาย แค่ตามเรื่องราวไปเรื่อย ๆ พอถึงช่วงเฉลยจะส่งผลให้ชวนอัศจรรย์ใจเพิ่มขึ้น ในส่วนของการดำเนินเรื่องตั้งแต่เริ่มต้นจนตลอดทางถึงตอนจบ ไม่มีความน่าเบื่อปรากฏให้เห็น มีแต่สร้างความรู้สึกอยากรู้ ชวนลุ้น เอาใจช่วยให้เหยื่อรอดพ้น และนักสืบจับคนร้ายได้โดยไว ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะสยิวไปกับบรรยากาศแห่งความไม่น่าไว้ใจ ปริศนาที่ราวกับลูกเล่นหรือมายากลของปีศาจฆาตกร ความโรคจิตขั้นรุนแรงชวนสะอิดสะเอียนที่เลือดเย็น ปนเปกับความรู้สึกอกสั่นขวัญบิน เมื่อนึกถึงแผนการอันชั่วร้ายที่ถูกวางแผนมาอย่างยาวนานหลายสิบปี ตอนนี้ดีที่ไม่ยาวมาก เรียกว่าเนื้อหากำลังเหมาะ

    เอโดะงาวะมีความสามารถในการสร้างปมตัวร้ายที่น่าเศร้าระคนน่ารังเกียจ ไปจนถึงขั้นน่าเกลียดได้อย่างถึงแก่น ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุเห็นถึงสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในของบุคคลธรรมดา ที่ภายนอกดูไม่เหมือนจะเป็นคนร้ายได้เลยนำมาใช้เป็นวัตถุดิบชั้นดี แต่ทั้งอย่างนั้นชีวิตเบื้องหลังที่ถูกแต่งแต้มขึ้นก็ช่างสมจริง จนทำให้รู้สึกสงสารในชะตากรรมรันทดของผู้ก่ออาชญากรรมด้วยเช่นกัน เมื่อบวกกับสไตล์ที่เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ในการเล่าเรื่องเสมือนประหนึ่งตัวเองกำลังนั่งชวนคุยกับคนอ่านในวงล้อมรอบกองไฟยามดึกสงัด และรู้จักการหยอดถ้อยคำบางช่วงตอนที่ยิ่งสร้างอารมณ์ให้คนที่กำลังติดตามเรื่องเล่าของเขาอย่างจดจ่อ เกิดความตื่นเต้นตึงเตรียดไปด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นความน่าหลงใหลอันชวนให้ไม่อยากลุกไปไหนหรือทำอิริยาบถใดอื่น นอกจากฟังสิ่งที่เขาเล่าต่อจนจบเรื่อง ใจที่เขม็งเกลียวจนแน่นจึงคลายออกและปลอดโปร่งในที่สุด เรื่องนี้ก็เป็นเช่นที่ว่ามานี้ แม้นถูกเขียนมานานกว่า 80 ปี แต่อ่านในยุคปัจจุบันยังคงได้อรรถรส สาระความบันเทิงไม่ด้อยกว่าเรื่องที่แต่งโดยนักเขียนรุ่นใหม่ยุคหลังเลย

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    และอะเกะชิเองก็สมกับความเป็นยอดนักสืบเอกโดยแท้ บุคลิกที่ดูน่าเกรงขามในยามที่ต้องแสดงออกถึงอำนาจให้คนอื่นเห็น แต่ก็ขี้เล่น หัวเราะง่ายยิ้มง่าย ช่วยทำให้ผู้ฟังผ่อนคลาย อีกทั้งวาทศิลป์ในการเลือกใช้คำพูดให้เข้ากับสถานการณ์ก็ยอดเยี่ยม ประกอบกับไหวพริบความช่างสังเกตในการแยกแยะและประมวลผลข้อมูล เห็นถึงจุดอื่นที่คนทั้งหลายไม่ทันเห็นหรือมองข้ามไป ล้วนเป็นคุณสมบัติและภาพลักษณ์ที่น่าจดจำ แม้นจะปรากฏตัวมาในช่วงท้ายใกล้จบ แต่มีบทบาทสำคัญยิ่งที่ส่งผลต่อการพลิกโฉมของคดีนี้ที่สุด

    สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านงานของรัมโปะมาก่อนเลย เริ่มต้นด้วย "ลายนิ้วมือปีศาจ" ก็ไม่เลวครับ

    ป.ล. พบความผิดพลาดในการพิมพ์หนึ่งจุด

    #thaitimes
    #เอโดะงาวะรัมโปะ
    #ฆาตกรรม
    #สืบสวน
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #หนังสือน่าอ่าน
    #ล้างแค้น
    #นักสืบ
    #รีวิวหนังสือ
    #วิจารณ์หนังสือ
    "อัจฉริยะ !" สำหรับตัวผมแล้ว ถ้าพูดถึงนักเขียนญี่ปุ่นที่เป็นปรมาจารย์ด้านการเล่าเรื่อง และการบรรยายที่สร้างบรรยากาศที่หลอน ๆ สั่นประสาท ความดำมืดและวิปริตของจิตใจของตัวฆาตกรร้าย รวมถึงความรู้สึกเย็บวาบ ขนลุกซู่เมื่ออ่านไปเรื่อย ๆ ที่มีความโดดเด่นแล้ว ชื่อที่นึกถึงเป็นอันดับแรกเลยคือ เอโดะงะวะ รัมโปะ ตามมาด้วย โยโคมิโซะ เซชิ #ลายนิ้วมือปีศาจ คืออีกหนึ่งผลงานที่ยืนยันข้อความข้างต้น สนพ.เจคลาส ผู้เขียน เอโดะงาวะ รัมโปะ ผู้แปล ทินภาส พาหะนิชย์ พิมพ์ เม.ย.2561 230 บาท 226 หน้า เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมไม่คาดฝันขึ้น โดยเหยื่อรายแรกเป็นผู้ช่วยงานของนักสืบเอกชนผู้มีชื่อเสียงนามว่า ดร.มุนะกะตะ ซึ่งมีความสามารถและเชี่ยวชาญทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ ชื่อเสียงควบคู่มากับยอดนักสืบเอกอะเกะชิ โคะโงะโร เรื่องราวจึงไม่ธรรมดา แต่เป็นคดีที่มีความยอกย้อนซ่อนเงื่อน และคนร้ายมีวิธีการที่น่ากลัวกว่าฆาตกรทั่วไปอย่างเทียบไม่ได้ เนื่องจาก นักสืบอะเกะชิที่เป็นเพื่อนและรู้จักกับสารวัตรนะกะมุระแห่งกรมตำรวจนครบาลโตเกียวไม่ว่าง ติดภารกิจที่ต่างแดน จึงเป็นหน้าที่ของ ดร.มุนะกะตะ ที่ต้องออกโรง ทั้งเพื่อล้างอายตนเองที่ไม่สามารถช่วยลูกน้องได้ และเพื่อชื่อเสียงในฐานะนักสืบของตนไม่ให้มัวหมอง เขาจึงเริ่มตามสืบหาตัวคนร้าย ที่ส่งข้อความมาถึง เศรษฐีนักธุรกิจผู้หนึ่งที่มีกิจการค้าของตนเองนาม คะวะเตะ โชตะโร ระบุชัดว่ามีเป้าหมายเพื่อต้องการฆ่าล้างแค้นคนในครอบครัวของเขาทั้งหมด 3 ชีวิต คือตัวคะวะเตะ และลูกสาวอีกสองคนที่เติบโตเป็นสาวสวยแล้ว โดยเขาก็นึกไม่ออกว่าได้สร้างความโกรธแค้นให้เกิดแก่ใครจนถึงขั้นจ้องจะทำลายล้างตระกูลให้ไม่เหลือสักคนเดียว แม้นว่า ดร.มุนะกะตะ จะได้หลักฐานสำคัญที่พบจากซองเอกสารที่ผู้ช่วยชายพยายามจะส่งให้ถึงมือเขา ก่อนจะถูกวางยาพิษเสียชีวิต เป็นรอยนิ้วมือที่คาดว่าน่าจะเป็นของผู้ที่กำลังวางแผนฆ่าครอบครัวคะวะเตะ เป็นรอยนิ้วประหลาดน่าขนลุกที่มีลักษณะคล้ายก้นหอย3วง จึงพยายามตามสืบจากเบาะแสดังกล่าว โดยมอบหมายให้ผู้ช่วยชายอีกคนไปดำเนินการ ไม่นานต่อมาลูกสาวทั้งสองของผู้ว่าจ้างกลับพบชะตากรรมดำมืด กลายเป็นเหยื่อถูกฆ่าตายไปทีละคนอย่างน่าพิศวง ทั้งที่มีตำรวจจำนวนมาก และนักสืบคอยเฝ้ายามรักษาความปลอดภัยให้อย่างรัดกุมแน่นหนา นี่..ไม่น่าเป็นไปได้ ฆาตกรทำอย่างไร จึงสามารถราวกับภูติผีปีศาจ แถมยังหยามน้ำหน้านักสืบด้วยการทิ้งรอยนิ้วมือที่มีก้นหอย3วงเอาไว้ในหลายวาระ ดร.มุนะกะตะเหมือนถูกคนร้ายนำหน้าหนึ่งก้าวเสมอ สถานการณ์เลวร้ายลง คะวะตะเองนั้นทั้งเศร้าเสียใจและตื่นกลัวอย่างมาก ความแค้นใดในอดีต ที่ฝังแน่นในจิตใจของฆาตกร จนถึงขั้นวางแผนเพื่อจะกำจัดตระกูลของเขาให้สิ้นซาก หลังฆ่าเหยื่อแล้วยังจัดแสดงศพเพื่อหวังให้สาธารณะพบเห็นเป็นการประจานอย่างอำมหิต แต่ในที่สุดฆาตกรก็ไม่อาจรอดพ้นฝีมือในการสืบสวนและแกะรอยของดร.มุนะกะตะ จนสามารถปิดคดีลงได้ แม้จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกถึง 3 รายก็ตาม แต่เรื่องราวกลับไม่จบลงง่ายดายเพียงนั้น หลังจากนักสืบอะเกะชิเสร็จจากภารกิจกลับมา และได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดจากคำบอกเล่าของสารวัตรนะกะมุระ เขาจึงเริ่มดำเนินการสืบสวนในแบบฉบับของตนอย่างลับ ๆ และได้ข้อสรุปที่มีมุมมองต่อคดีนี้แตกต่างไปจากของตำรวจและ ดร.มุนะกะตะโดยสิ้นเชิง อาเกะชิเชื่อว่าคดียังไม่จบ คนร้ายตัวจริงยังลอยนวล แล้วที่แท้ได้เกิดอะไรขึ้นกับเหยื่อทั้งหมดที่สูญเสียไปกันแน่ ตกลงความจริงคือ..ใครกันที่สืบสวนผิดพลาดระหว่าง ดร.มุนะกะตะ กับอาเกะชิ นี่คืออีกหนึ่งสุดยอดของความร้ายกาจ กับความจงเกลียดจงชังเข้าขั้นหมกมุ่น และอาฆาตพยาบาทรุนแรงที่สุดคดีหนึ่งเท่าที่ผมเคยได้อ่านมา 🖋หลังอ่านจบ โคตรน่าทึ่ง...คงต้องใช้คำนี้ ไม่นึกว่าผู้เขียนจะบรรจงสร้างโครงเรื่องที่ดูเหมือนเป็นการฆ่าล้างแค้นที่พบได้ในนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมทั่วไป ให้มีความแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ และชั้นเชิงลูกเล่นเทคนิกแพรวพรายได้ขนาดนี้ ดูเหมือนคนร้ายแทบจะไม่ได้ใช้หรืออาศัยความรู้เฉพาะทางพิเศษใดในวิธีการลงมือฆ่าเหยื่อ เพียงอาศัยเรื่องที่ดูธรรมดาสามัญที่สุด มาสร้างขึ้นเป็นกำดักทางจิตใจ หลอกทั้งตัวละครนักสืบในเรื่องและหลอกคนอ่านได้อย่างแนบเนียน แม้นจะมีวางจุดสังเกตที่ชวนให้คิดด้วยความน่าฉงนตามรายทางเป็นระยะ ซึ่งหากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนดี ๆ อาจพอจะเริ่มจับจุดและสังเกตเห็นบางอย่าง แต่ถ้าอ่านแบบขี้เกียจคิดให้วุ่นวาย แค่ตามเรื่องราวไปเรื่อย ๆ พอถึงช่วงเฉลยจะส่งผลให้ชวนอัศจรรย์ใจเพิ่มขึ้น ในส่วนของการดำเนินเรื่องตั้งแต่เริ่มต้นจนตลอดทางถึงตอนจบ ไม่มีความน่าเบื่อปรากฏให้เห็น มีแต่สร้างความรู้สึกอยากรู้ ชวนลุ้น เอาใจช่วยให้เหยื่อรอดพ้น และนักสืบจับคนร้ายได้โดยไว ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะสยิวไปกับบรรยากาศแห่งความไม่น่าไว้ใจ ปริศนาที่ราวกับลูกเล่นหรือมายากลของปีศาจฆาตกร ความโรคจิตขั้นรุนแรงชวนสะอิดสะเอียนที่เลือดเย็น ปนเปกับความรู้สึกอกสั่นขวัญบิน เมื่อนึกถึงแผนการอันชั่วร้ายที่ถูกวางแผนมาอย่างยาวนานหลายสิบปี ตอนนี้ดีที่ไม่ยาวมาก เรียกว่าเนื้อหากำลังเหมาะ เอโดะงาวะมีความสามารถในการสร้างปมตัวร้ายที่น่าเศร้าระคนน่ารังเกียจ ไปจนถึงขั้นน่าเกลียดได้อย่างถึงแก่น ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุเห็นถึงสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในของบุคคลธรรมดา ที่ภายนอกดูไม่เหมือนจะเป็นคนร้ายได้เลยนำมาใช้เป็นวัตถุดิบชั้นดี แต่ทั้งอย่างนั้นชีวิตเบื้องหลังที่ถูกแต่งแต้มขึ้นก็ช่างสมจริง จนทำให้รู้สึกสงสารในชะตากรรมรันทดของผู้ก่ออาชญากรรมด้วยเช่นกัน เมื่อบวกกับสไตล์ที่เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ในการเล่าเรื่องเสมือนประหนึ่งตัวเองกำลังนั่งชวนคุยกับคนอ่านในวงล้อมรอบกองไฟยามดึกสงัด และรู้จักการหยอดถ้อยคำบางช่วงตอนที่ยิ่งสร้างอารมณ์ให้คนที่กำลังติดตามเรื่องเล่าของเขาอย่างจดจ่อ เกิดความตื่นเต้นตึงเตรียดไปด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นความน่าหลงใหลอันชวนให้ไม่อยากลุกไปไหนหรือทำอิริยาบถใดอื่น นอกจากฟังสิ่งที่เขาเล่าต่อจนจบเรื่อง ใจที่เขม็งเกลียวจนแน่นจึงคลายออกและปลอดโปร่งในที่สุด เรื่องนี้ก็เป็นเช่นที่ว่ามานี้ แม้นถูกเขียนมานานกว่า 80 ปี แต่อ่านในยุคปัจจุบันยังคงได้อรรถรส สาระความบันเทิงไม่ด้อยกว่าเรื่องที่แต่งโดยนักเขียนรุ่นใหม่ยุคหลังเลย . . . . . . . . . . . และอะเกะชิเองก็สมกับความเป็นยอดนักสืบเอกโดยแท้ บุคลิกที่ดูน่าเกรงขามในยามที่ต้องแสดงออกถึงอำนาจให้คนอื่นเห็น แต่ก็ขี้เล่น หัวเราะง่ายยิ้มง่าย ช่วยทำให้ผู้ฟังผ่อนคลาย อีกทั้งวาทศิลป์ในการเลือกใช้คำพูดให้เข้ากับสถานการณ์ก็ยอดเยี่ยม ประกอบกับไหวพริบความช่างสังเกตในการแยกแยะและประมวลผลข้อมูล เห็นถึงจุดอื่นที่คนทั้งหลายไม่ทันเห็นหรือมองข้ามไป ล้วนเป็นคุณสมบัติและภาพลักษณ์ที่น่าจดจำ แม้นจะปรากฏตัวมาในช่วงท้ายใกล้จบ แต่มีบทบาทสำคัญยิ่งที่ส่งผลต่อการพลิกโฉมของคดีนี้ที่สุด สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านงานของรัมโปะมาก่อนเลย เริ่มต้นด้วย "ลายนิ้วมือปีศาจ" ก็ไม่เลวครับ ป.ล. พบความผิดพลาดในการพิมพ์หนึ่งจุด #thaitimes #เอโดะงาวะรัมโปะ #ฆาตกรรม #สืบสวน #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #หนังสือน่าอ่าน #ล้างแค้น #นักสืบ #รีวิวหนังสือ #วิจารณ์หนังสือ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบช.ก.เข้าพบรองนายกฯ สรุปโอนสำนวนคดี "ดิไอคอนกรุ๊ป" ทั้งหมดให้ดีเอสไอ ด้านคณะสืบสวนสอบสวน บช.ก.หารือรายละเอียดกันอีกครั้ง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000103472

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ผบช.ก.เข้าพบรองนายกฯ สรุปโอนสำนวนคดี "ดิไอคอนกรุ๊ป" ทั้งหมดให้ดีเอสไอ ด้านคณะสืบสวนสอบสวน บช.ก.หารือรายละเอียดกันอีกครั้ง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000103472 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Sad
    19
    4 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2889 มุมมอง 1 รีวิว
  • 'ภูมิธรรม'ท่องสคริปเป๊ะ รัฐบาลทำเต็มที่ คดีตากใบจบแล้ว
    .
    สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กำลังเป็นที่จับตามองอีกครั้ง ภายหลังอายุคดีการสลายการชุมนุมหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส หมดอายุความ ทำให้ผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐไม่ต้องขึ้นศาลเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
    .
    นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า สถานการณ์ในพื้นที่เป็นเรื่องที่มีความกังวลตั้งแต่ต้นมาโดยตลอด เพราะสถานการณ์ความรุนแรงยังไม่จบ ทั้งท่าทีที่ฝ่ายรัฐบาลได้พยายามจบคดีนี้ตั้งแต่แรก และใช้เวลา 4-5 ปีในการติดตามแก้ไขปัญหา
    .
    "ส่วนที่บอกว่ารัฐบาลไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้มีกระบวนการยุติธรรม ยืนยันว่ารัฐบาลมีกระบวนการยุติธรรม อย่างที่ตนเคยบอกว่า เคยนำคดีเข้าสู่ศาลฯ อย่างน้อย 4 คดี เพราะฉะนั้นกระบวนการต่าง ๆ ที่ทำมา ก็ได้ทำมาอย่างยาวนาน และที่ศาลฯ ได้ตัดสินในช่วง 5 ปีแรกจนถึงตอนนี้ผ่านมาแล้วกว่า 15 ปี ไม่เคยมีการหยิบหยก ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาแล้วหลายรัฐบาล แต่เหตุการณ์ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียใจกับเรื่องที่ไม่สามารถทำให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ได้ และไม่สามารถออก พ.ร.ก.แก้ไขอายุความ ตามที่มีหลายฝ่ายเสนอมาได้"
    .
    นายภูมิธรรม ย้ำว่า ได้ให้ทุกหน่วยงานเฝ้าระวัง อย่าให้มีผลต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก และไม่ใช่เรื่องที่จะไปคาดการณ์ให้เลวร้ายที่สุด แต่เราดูแลป้องกันตลอดอยู่แล้ว เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งการแสดงเชิงสัญลักษณ์ของแต่ละฝ่าย เห็นพูดกันในสภาฯ ว่ามีคนเสียชีวิตกว่า 700 กว่าคน แต่ความจริงมีเพียง 70 กว่าคน ถ้าจะนำคนเสียชีวิต 700 กว่าคน ซึ่งต้องนับรวมทหารที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย หากจะพูดกันแบบตรงไปตรงมา เรื่องนี้ถือว่า จบแล้ว
    .
    ขณะที่ การปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่นั้นเริ่มมีการปรับแนวทางการทำงานเพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อกรณีคดีตากใบ เชื่อมโยงกรณีตากใบอีก
    พันตำรวจเอก ประยงค์ โคตรสาขา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ยกระดับคุมเข้ม4มุมเมือง ด่านทุกปรากการมีการตรวจ จยย. และรถยนต์ที่เข้าออกปัตตานี ร่วมถึงตรวจบุคคลที่มีรายชื่ออยู่สารระบบ หวั่นคนร้ายก่อเหตุในช่วงระหว่างนี้ หลังหน่วยความมั่นคงทราบว่ามีการนำอาวุธ และระเบิดพักค่อยเตรียมก่อเหตุอีกครั้งในพื้นที่
    .
    นอกจากนี้ ภายหลังเกิดกรณีคนร้ายก่อเหตุคาร์บอมบ์ หน้า สภ.อ.ปะนาเระ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี มีคำสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจด่วน ประกอบด้วย ผกก.ปะนาเระ รองสืบสวน 3 นาย รองฝ่ายป้องกันปราบปราม อ.ปะนาเระ 2 นาย
    ..............
    Sondhi X
    'ภูมิธรรม'ท่องสคริปเป๊ะ รัฐบาลทำเต็มที่ คดีตากใบจบแล้ว . สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กำลังเป็นที่จับตามองอีกครั้ง ภายหลังอายุคดีการสลายการชุมนุมหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส หมดอายุความ ทำให้ผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐไม่ต้องขึ้นศาลเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม . นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า สถานการณ์ในพื้นที่เป็นเรื่องที่มีความกังวลตั้งแต่ต้นมาโดยตลอด เพราะสถานการณ์ความรุนแรงยังไม่จบ ทั้งท่าทีที่ฝ่ายรัฐบาลได้พยายามจบคดีนี้ตั้งแต่แรก และใช้เวลา 4-5 ปีในการติดตามแก้ไขปัญหา . "ส่วนที่บอกว่ารัฐบาลไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้มีกระบวนการยุติธรรม ยืนยันว่ารัฐบาลมีกระบวนการยุติธรรม อย่างที่ตนเคยบอกว่า เคยนำคดีเข้าสู่ศาลฯ อย่างน้อย 4 คดี เพราะฉะนั้นกระบวนการต่าง ๆ ที่ทำมา ก็ได้ทำมาอย่างยาวนาน และที่ศาลฯ ได้ตัดสินในช่วง 5 ปีแรกจนถึงตอนนี้ผ่านมาแล้วกว่า 15 ปี ไม่เคยมีการหยิบหยก ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาแล้วหลายรัฐบาล แต่เหตุการณ์ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียใจกับเรื่องที่ไม่สามารถทำให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ได้ และไม่สามารถออก พ.ร.ก.แก้ไขอายุความ ตามที่มีหลายฝ่ายเสนอมาได้" . นายภูมิธรรม ย้ำว่า ได้ให้ทุกหน่วยงานเฝ้าระวัง อย่าให้มีผลต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก และไม่ใช่เรื่องที่จะไปคาดการณ์ให้เลวร้ายที่สุด แต่เราดูแลป้องกันตลอดอยู่แล้ว เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งการแสดงเชิงสัญลักษณ์ของแต่ละฝ่าย เห็นพูดกันในสภาฯ ว่ามีคนเสียชีวิตกว่า 700 กว่าคน แต่ความจริงมีเพียง 70 กว่าคน ถ้าจะนำคนเสียชีวิต 700 กว่าคน ซึ่งต้องนับรวมทหารที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย หากจะพูดกันแบบตรงไปตรงมา เรื่องนี้ถือว่า จบแล้ว . ขณะที่ การปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่นั้นเริ่มมีการปรับแนวทางการทำงานเพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อกรณีคดีตากใบ เชื่อมโยงกรณีตากใบอีก พันตำรวจเอก ประยงค์ โคตรสาขา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ยกระดับคุมเข้ม4มุมเมือง ด่านทุกปรากการมีการตรวจ จยย. และรถยนต์ที่เข้าออกปัตตานี ร่วมถึงตรวจบุคคลที่มีรายชื่ออยู่สารระบบ หวั่นคนร้ายก่อเหตุในช่วงระหว่างนี้ หลังหน่วยความมั่นคงทราบว่ามีการนำอาวุธ และระเบิดพักค่อยเตรียมก่อเหตุอีกครั้งในพื้นที่ . นอกจากนี้ ภายหลังเกิดกรณีคนร้ายก่อเหตุคาร์บอมบ์ หน้า สภ.อ.ปะนาเระ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี มีคำสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจด่วน ประกอบด้วย ผกก.ปะนาเระ รองสืบสวน 3 นาย รองฝ่ายป้องกันปราบปราม อ.ปะนาเระ 2 นาย .............. Sondhi X
    Sad
    Like
    Love
    Haha
    Angry
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 782 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจคุม "นัตตี้" ยูทูบเบอร์ดัง พร้อมมารดา ถึงสนามบินดอนเมือง หลังหนีคดีโกงเทรดหุ้น 2 พันล้านกบดานอินโดฯ ส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมาย

    วันนี้ (25 ต.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว น.ส.สุชาตา คงจักร์หรือ นัตตี้ อายุ 31 ปี และนางธานิยา คงจักร์ อายุ 66 ปี มารดาของนัทตี้ ผู้ต้องหาคดีหลอกลงทุนเทรดหุ้นมูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท เดินทางถึงประเทศไทย หลังถูกจับกุมตัวได้ที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยมี พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2, พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษก ตร. และ ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ร่วมแถลงผลการจับกุม

    สืบเนื่องจากเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ได้มีผู้เสียหายจำนวนมากเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ณ ศูนย์แจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และสถานีตำรวจทั่วประเทศ เพื่อดำเนินคดีกับเน็ตไอดอลสาว ชื่อ น.ส.สุชาตา คงจักร์ หรือ นัตตี้ Nutty Diary ยูทูบเบอร์ชื่อดัง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท และมีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อกว่า 6,000 คน ซึ่งในเวลาต่อมาจำนวนผู้เสียหายได้เพิ่มขึ้น และมีการแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกหลายหน่วยงาน เช่น บช.สอท. และสถานีตำรวจในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000102950

    #MGROnline #NuttyDiary #เทรดหุ้น
    ตำรวจคุม "นัตตี้" ยูทูบเบอร์ดัง พร้อมมารดา ถึงสนามบินดอนเมือง หลังหนีคดีโกงเทรดหุ้น 2 พันล้านกบดานอินโดฯ ส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมาย • วันนี้ (25 ต.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว น.ส.สุชาตา คงจักร์หรือ นัตตี้ อายุ 31 ปี และนางธานิยา คงจักร์ อายุ 66 ปี มารดาของนัทตี้ ผู้ต้องหาคดีหลอกลงทุนเทรดหุ้นมูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท เดินทางถึงประเทศไทย หลังถูกจับกุมตัวได้ที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยมี พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2, พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษก ตร. และ ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ร่วมแถลงผลการจับกุม • สืบเนื่องจากเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ได้มีผู้เสียหายจำนวนมากเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ณ ศูนย์แจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และสถานีตำรวจทั่วประเทศ เพื่อดำเนินคดีกับเน็ตไอดอลสาว ชื่อ น.ส.สุชาตา คงจักร์ หรือ นัตตี้ Nutty Diary ยูทูบเบอร์ชื่อดัง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท และมีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อกว่า 6,000 คน ซึ่งในเวลาต่อมาจำนวนผู้เสียหายได้เพิ่มขึ้น และมีการแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกหลายหน่วยงาน เช่น บช.สอท. และสถานีตำรวจในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000102950 • #MGROnline #NuttyDiary #เทรดหุ้น
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนตำรวจภูธร จ.สงขลา เข้าตรวจค้นบ้านผู้ต้องหา 2 รายในคดีตากใบที่กำลังจะหมดอายุความพรุ่งนี้ แต่ไม่พบตัวทั้งคู่

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000102583

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนตำรวจภูธร จ.สงขลา เข้าตรวจค้นบ้านผู้ต้องหา 2 รายในคดีตากใบที่กำลังจะหมดอายุความพรุ่งนี้ แต่ไม่พบตัวทั้งคู่ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000102583 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Angry
    Love
    Haha
    Wow
    Sad
    25
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3662 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมียโจ๊ก” ชิงมอบตัว หลังศาลอนุมัติหมายจับ ร่วมกันลักทรัพย์-บุกรุกเคหะสถาน
    .
    วันนี้ (24 ต.ค.) ศาลอาญาพระโขนง อนุมัติออกหมายจับที่ จ.717/2567 ให้จับกุมนางศิรินัดดา หักพาล อายุ 50 ปี ภรรยา พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเคหะสถาน และร่วมกันบุกรุกเคหะสถาน ตามที่ พ.ต.ท.สิทธิเดช หาญจริง พนักงานสอบสวน สน.พระโขนง ขออนุมัติศาลออกหมายจับ และได้ส่งหมายจับถึงผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา จับตัวมาดำเนินคดี โดยมีอายุความ 10 ปี
    .
    ล่าสุดเมื่อเวลา 14.50 น. นางศิรินัดดาเข้ามอบตัวที่ สน.พระโขนงแล้ว หลังศาลอาญาพระโขนงอนุมัติหมายจับไม่นานนัก เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ว่า ไม่เป็นเรื่องจริง ถ้าเกิดว่าอะไรที่เสียหายขอให้เป็นเรื่องของทนายความ เมื่อนักข่าวถามเรื่องคีย์การ์ดขโมยไปจริงหรือไม่ นางศิรินัดดาไม่ตอบ เมื่อถามว่าคีย์การ์ดได้มาอย่างไร ก็ตอบว่า ขอให้เป็นหน้าที่ของทนายความ เมื่อถามว่า ยืนยันว่าข้อกล่าวหาไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่ นางศิรินัดดา ตอบว่า ค่ะ เมื่อถามว่าเบื้องต้นได้มีการติดต่อหรือพูดคุยกับผู้เสียหายหรือไม่ นางศิรินัดดา ไม่ตอบ เมื่อถามย้ำว่าได้ขโมยของหรือไม่ ก็กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของทนายความ ถามว่าคืนนั้นทำไมต้องเข้าไปที่คอนโดเขา ถามว่าถุงกระสอบที่เขากล่าวอ้างเป็นถุงอะไร เจ้าตัวไม่ตอบ ก่อนเข้าพบตำรวจ
    .
    สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2567 เวลาประมาณ 14.00-16.00 น. นางศิรินัดดาบุกเข้าไปในห้องพักของคอนโดมิเนียม กรีนคอนโด ในซอยสุขุมวิท 101 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ ก่อนที่ผู้เสียหายเป็นอาจารย์พิเศษ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม เข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2567 ว่าทรัพย์สินเป็นทองคำน้ำหนัก 120 บาท มูลค่า 5 ล้านบาทหายไป แม้ผู้เสียหายพยายามทวงถามเพื่อขอคืนทรัพย์สิน แต่นางศิรินัดดาไม่ยอมพูดคุยด้วย ตัดการติดต่อทุกช่องทาง และเมื่อสอบถามไปยัง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ กลับอ้างว่าเป็นเรื่องของภรรยา ตัวเองไม่ขอรับรู้ จึงแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พระโขนงทันที
    .
    นอกจากนี้ มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ผู้เสียหายยังไปออกรายการโทรทัศน์ แฉว่ามีภรรยานายตำรวจใหญ่รายหนึ่ง แย่งสามีของตน โดยมีคลิปจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นถึงภรรยานายตำรวจใหญ่ กำลังมีเพศสัมพันธ์กับสามีของผู้เสียหาย เป็นตำรวจยศ พ.ต.ท. รับราชการเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน อีกทั้งยังมีการซุกทรัพย์สินใส่ถุงกระสอบ 5 ถุง มาฝากไว้ที่ห้อง รวมทั้งฉวยโอกาสหยิบคีย์การ์ดไปด้วย สามารถเข้า-ออกคอนโดมิเนียมได้ตามอำเภอใจ และในทางสืบสวนของตำรวจพบว่าเส้นทางการเงินจากบัญชีม้า เครือข่ายการพนันของนายตำรวจใหญ่ มาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟให้ห้องพักดังกล่าวอีกด้วย
    ..............
    Sondhi X
    “เมียโจ๊ก” ชิงมอบตัว หลังศาลอนุมัติหมายจับ ร่วมกันลักทรัพย์-บุกรุกเคหะสถาน . วันนี้ (24 ต.ค.) ศาลอาญาพระโขนง อนุมัติออกหมายจับที่ จ.717/2567 ให้จับกุมนางศิรินัดดา หักพาล อายุ 50 ปี ภรรยา พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเคหะสถาน และร่วมกันบุกรุกเคหะสถาน ตามที่ พ.ต.ท.สิทธิเดช หาญจริง พนักงานสอบสวน สน.พระโขนง ขออนุมัติศาลออกหมายจับ และได้ส่งหมายจับถึงผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา จับตัวมาดำเนินคดี โดยมีอายุความ 10 ปี . ล่าสุดเมื่อเวลา 14.50 น. นางศิรินัดดาเข้ามอบตัวที่ สน.พระโขนงแล้ว หลังศาลอาญาพระโขนงอนุมัติหมายจับไม่นานนัก เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ว่า ไม่เป็นเรื่องจริง ถ้าเกิดว่าอะไรที่เสียหายขอให้เป็นเรื่องของทนายความ เมื่อนักข่าวถามเรื่องคีย์การ์ดขโมยไปจริงหรือไม่ นางศิรินัดดาไม่ตอบ เมื่อถามว่าคีย์การ์ดได้มาอย่างไร ก็ตอบว่า ขอให้เป็นหน้าที่ของทนายความ เมื่อถามว่า ยืนยันว่าข้อกล่าวหาไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่ นางศิรินัดดา ตอบว่า ค่ะ เมื่อถามว่าเบื้องต้นได้มีการติดต่อหรือพูดคุยกับผู้เสียหายหรือไม่ นางศิรินัดดา ไม่ตอบ เมื่อถามย้ำว่าได้ขโมยของหรือไม่ ก็กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของทนายความ ถามว่าคืนนั้นทำไมต้องเข้าไปที่คอนโดเขา ถามว่าถุงกระสอบที่เขากล่าวอ้างเป็นถุงอะไร เจ้าตัวไม่ตอบ ก่อนเข้าพบตำรวจ . สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2567 เวลาประมาณ 14.00-16.00 น. นางศิรินัดดาบุกเข้าไปในห้องพักของคอนโดมิเนียม กรีนคอนโด ในซอยสุขุมวิท 101 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ ก่อนที่ผู้เสียหายเป็นอาจารย์พิเศษ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม เข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2567 ว่าทรัพย์สินเป็นทองคำน้ำหนัก 120 บาท มูลค่า 5 ล้านบาทหายไป แม้ผู้เสียหายพยายามทวงถามเพื่อขอคืนทรัพย์สิน แต่นางศิรินัดดาไม่ยอมพูดคุยด้วย ตัดการติดต่อทุกช่องทาง และเมื่อสอบถามไปยัง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ กลับอ้างว่าเป็นเรื่องของภรรยา ตัวเองไม่ขอรับรู้ จึงแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พระโขนงทันที . นอกจากนี้ มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ผู้เสียหายยังไปออกรายการโทรทัศน์ แฉว่ามีภรรยานายตำรวจใหญ่รายหนึ่ง แย่งสามีของตน โดยมีคลิปจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นถึงภรรยานายตำรวจใหญ่ กำลังมีเพศสัมพันธ์กับสามีของผู้เสียหาย เป็นตำรวจยศ พ.ต.ท. รับราชการเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน อีกทั้งยังมีการซุกทรัพย์สินใส่ถุงกระสอบ 5 ถุง มาฝากไว้ที่ห้อง รวมทั้งฉวยโอกาสหยิบคีย์การ์ดไปด้วย สามารถเข้า-ออกคอนโดมิเนียมได้ตามอำเภอใจ และในทางสืบสวนของตำรวจพบว่าเส้นทางการเงินจากบัญชีม้า เครือข่ายการพนันของนายตำรวจใหญ่ มาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟให้ห้องพักดังกล่าวอีกด้วย .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 982 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทีมหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหาพรรคเลเบอร์ของนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ แห่งสหราชอาณาจักร ว่าแทรกแซงอย่างโจ่งแจ้งในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังมีอาสาสมัครบางส่วนเดินทางมาช่วยหาเสียงให้กมลา แฮร์ริส
    .
    แคมป์หาเสียงของผู้สมัครจากรีพับลิกัน ยื่นคำร้องไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งกลางในวอชิงตัน เรียกร้องให้ทำการสืบสวนในสิ่งที่พวกเขาให้คำจำกัดความว่าเป็นความช่วยเหลืออย่างผิดกฎหมายจากพรรคเลเบอร์ที่มอบแก่ทีมหาเสียงของแฮร์ริส
    .
    รอยเตอร์อ้างว่าเป็นเวลานานแล้วที่บรรดาอาสาสมัครทางการเมืองสหราชอาณาจักร จะเดินทางมายังสหรัฐฯ ก่อนหน้าศึกเลือกตั้ง โดยที่พวกนักเคลื่อนไหวจากพรรคเลเบอร์ พรรคซ้ายกลาง ปกติแล้วมักให้การสนับสนุนพรรคเดโมแครต ส่วนพรรคคอนเซอร์เวทีฟ จะให้การสนับสนุนพรรครีพับลิกัน
    .
    พวกเจ้าหน้าที่สหราชอาณาจักร ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม บอกกับรอยเตอร์ ยอมรับว่าที่ปรึกษาระดับสูงบางส่วนของพรรคเลเบอร์ เดินทางไปพบกับเหล่านักยุทธศาสตร์ของเดโมแครตในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลังจากพวกเขาได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในศึกเลือกตั้งสหราชอาณาจักรเมื่อเดือนกรกฎาคม
    .
    นายกรัฐมนตรีสตาร์เมอร์ ปฏิเสธข้อสันนิษฐานที่ว่าเสียงคร่ำครวญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจะก่อความเสียหายในความสัมพันธ์กับทรัมป์ หากว่าอดีตประธานาธิบดีรายนี้คว้าชัยชนะอีกครั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน โดยอ้างว่าบรรดาผู้สนับสนุนพรรคเลเบอร์สมัครใจช่วยแฮร์ริส หาเสียงนอกเวลางาน
    .
    "พวกเขาทำมันในเวลาว่าง พวกเขาทำมันโดยสมัครใจ ผมคิดว่าพวกเขาคงอยู่ที่นั่น พร้อมกับอาสมัครคนอื่นๆ มันเป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมาอย่างมาก"
    .
    เกรก สเวนสัน ประธาน Republicans Overseas UK องค์กรการเมืองที่เกี่ยวข้องกับชาวอเมริกาที่โหวตเลือกรีพับลิกัน ที่พำนักอยู่ในสหราชอาณาจักร บอกว่า ทรัมป์ เป็นคนที่ยากจะคาดเดา แต่ถ้าเขาชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนหน้า เหตุการณ์นี้ไม่น่าจะก่อความเสียหายในความสัมพันธ์กับสตาร์เมอร์
    .
    "ทรัมป์มักทำเรื่องต่างๆ ให้เป็นเรื่องส่วนตัว และปล่อยให้เป็นประเด็นพิพาทส่วนตัวส่งผลกระทบกับเขา" สเวนสันกล่าวกับรอยเตอร์ "แต่ผมคิดว่าทรัมป์จะมองข้ามเรื่องนี้ เรื่องนี้อาจก่อรอยแผลเป็นเล็กๆ น้อยๆ หรืออาจจะไม่ก่อบาดแผลใดๆ เลยก็ได้"
    .
    อ้างอิงกฎระเบียบในสหรัฐฯ ชาวต่างชาติสามารถสมัครใจเข้าร่วมรณรงค์หาเสียง แต่ไม่มีสิทธิให้การสนับสนุนทางการเงิน
    .
    คำร้องเรียนจากทีมหาเสียงของทรัมปื อ้างรายงานข่าวของสื่อมวลชนและข้อความหนึ่งบน LinkedIn ที่โพสต์โดย โซเฟีย พาเทล หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของพรรคเลเบอร์สหราชอาณาจักร ที่เขียนว่ามีเจ้าหน้าที่พรรคเลเบอร์ทั้งในอดีตและปัจจุบันเกือบ 100 คน ที่จะเดินทางไปยังสหรัฐฯ ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อช่วยให้ แฮร์ริส รองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตได้รับเลือกตั้ง
    .
    ในคำร้องเรียนเขียนว่า "ข้าพเจ้าในนามของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 ร้องขอให้ดำเนินการสืบสวนในทันทีต่อการแทรกแซงโดยต่างชาติอย่างโจ่งแจ้งในศึกเลือตั้งประธานาธิบดี 2024 ในรูปแบบที่เหมือนเป็นการสนับสนุนอย่างผิดกฎหมายโดยต่างประเทศ"
    .
    "การค้นหาว่ามีต่างชาติแทรกแซงศึกเลือกตั้งของเราหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องมองไม่ไกลนอกเหนือจากโพสต์บน LinkedIn เลย มองด้วยสายตาเปล่าก็รู้ว่าการแทรกแซงกำลังเกิดขึ้น"
    .
    ในข่าวประชาสัมพันธ์ที่ใช้ชื่อว่า "สหราชอาณาจักรกำลังมา" ทีมหาเสียงของทรัมป์ยังกล่าวด้วยว่า "พรรคเลเบอร์ พรรคฝ่ายซ้าย" เป็นแรงบันดาลใจในนโยบายเสรีนิยมและวาทกรรมที่เป็นอันตรายของกมลา แฮร์ริส
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102310
    ..............
    Sondhi X
    ทีมหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหาพรรคเลเบอร์ของนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ แห่งสหราชอาณาจักร ว่าแทรกแซงอย่างโจ่งแจ้งในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังมีอาสาสมัครบางส่วนเดินทางมาช่วยหาเสียงให้กมลา แฮร์ริส . แคมป์หาเสียงของผู้สมัครจากรีพับลิกัน ยื่นคำร้องไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งกลางในวอชิงตัน เรียกร้องให้ทำการสืบสวนในสิ่งที่พวกเขาให้คำจำกัดความว่าเป็นความช่วยเหลืออย่างผิดกฎหมายจากพรรคเลเบอร์ที่มอบแก่ทีมหาเสียงของแฮร์ริส . รอยเตอร์อ้างว่าเป็นเวลานานแล้วที่บรรดาอาสาสมัครทางการเมืองสหราชอาณาจักร จะเดินทางมายังสหรัฐฯ ก่อนหน้าศึกเลือกตั้ง โดยที่พวกนักเคลื่อนไหวจากพรรคเลเบอร์ พรรคซ้ายกลาง ปกติแล้วมักให้การสนับสนุนพรรคเดโมแครต ส่วนพรรคคอนเซอร์เวทีฟ จะให้การสนับสนุนพรรครีพับลิกัน . พวกเจ้าหน้าที่สหราชอาณาจักร ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม บอกกับรอยเตอร์ ยอมรับว่าที่ปรึกษาระดับสูงบางส่วนของพรรคเลเบอร์ เดินทางไปพบกับเหล่านักยุทธศาสตร์ของเดโมแครตในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลังจากพวกเขาได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในศึกเลือกตั้งสหราชอาณาจักรเมื่อเดือนกรกฎาคม . นายกรัฐมนตรีสตาร์เมอร์ ปฏิเสธข้อสันนิษฐานที่ว่าเสียงคร่ำครวญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจะก่อความเสียหายในความสัมพันธ์กับทรัมป์ หากว่าอดีตประธานาธิบดีรายนี้คว้าชัยชนะอีกครั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน โดยอ้างว่าบรรดาผู้สนับสนุนพรรคเลเบอร์สมัครใจช่วยแฮร์ริส หาเสียงนอกเวลางาน . "พวกเขาทำมันในเวลาว่าง พวกเขาทำมันโดยสมัครใจ ผมคิดว่าพวกเขาคงอยู่ที่นั่น พร้อมกับอาสมัครคนอื่นๆ มันเป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมาอย่างมาก" . เกรก สเวนสัน ประธาน Republicans Overseas UK องค์กรการเมืองที่เกี่ยวข้องกับชาวอเมริกาที่โหวตเลือกรีพับลิกัน ที่พำนักอยู่ในสหราชอาณาจักร บอกว่า ทรัมป์ เป็นคนที่ยากจะคาดเดา แต่ถ้าเขาชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนหน้า เหตุการณ์นี้ไม่น่าจะก่อความเสียหายในความสัมพันธ์กับสตาร์เมอร์ . "ทรัมป์มักทำเรื่องต่างๆ ให้เป็นเรื่องส่วนตัว และปล่อยให้เป็นประเด็นพิพาทส่วนตัวส่งผลกระทบกับเขา" สเวนสันกล่าวกับรอยเตอร์ "แต่ผมคิดว่าทรัมป์จะมองข้ามเรื่องนี้ เรื่องนี้อาจก่อรอยแผลเป็นเล็กๆ น้อยๆ หรืออาจจะไม่ก่อบาดแผลใดๆ เลยก็ได้" . อ้างอิงกฎระเบียบในสหรัฐฯ ชาวต่างชาติสามารถสมัครใจเข้าร่วมรณรงค์หาเสียง แต่ไม่มีสิทธิให้การสนับสนุนทางการเงิน . คำร้องเรียนจากทีมหาเสียงของทรัมปื อ้างรายงานข่าวของสื่อมวลชนและข้อความหนึ่งบน LinkedIn ที่โพสต์โดย โซเฟีย พาเทล หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของพรรคเลเบอร์สหราชอาณาจักร ที่เขียนว่ามีเจ้าหน้าที่พรรคเลเบอร์ทั้งในอดีตและปัจจุบันเกือบ 100 คน ที่จะเดินทางไปยังสหรัฐฯ ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อช่วยให้ แฮร์ริส รองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตได้รับเลือกตั้ง . ในคำร้องเรียนเขียนว่า "ข้าพเจ้าในนามของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 ร้องขอให้ดำเนินการสืบสวนในทันทีต่อการแทรกแซงโดยต่างชาติอย่างโจ่งแจ้งในศึกเลือตั้งประธานาธิบดี 2024 ในรูปแบบที่เหมือนเป็นการสนับสนุนอย่างผิดกฎหมายโดยต่างประเทศ" . "การค้นหาว่ามีต่างชาติแทรกแซงศึกเลือกตั้งของเราหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องมองไม่ไกลนอกเหนือจากโพสต์บน LinkedIn เลย มองด้วยสายตาเปล่าก็รู้ว่าการแทรกแซงกำลังเกิดขึ้น" . ในข่าวประชาสัมพันธ์ที่ใช้ชื่อว่า "สหราชอาณาจักรกำลังมา" ทีมหาเสียงของทรัมป์ยังกล่าวด้วยว่า "พรรคเลเบอร์ พรรคฝ่ายซ้าย" เป็นแรงบันดาลใจในนโยบายเสรีนิยมและวาทกรรมที่เป็นอันตรายของกมลา แฮร์ริส . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102310 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1770 มุมมอง 0 รีวิว
  • แมคโดนัลด์ ดิ้นรนจำกัดความเสียหายจากการแพร่ระบาดของเชื้ออีโคไล ที่เชื่อมโยงกับแฮมเบอร์เกอร์ควอเตอร์ พาวน์เดอร์ ซึ่งแผ่ลามไปทั่วสหรัฐฯ คร่าชีวิตผู้บริโภคแล้ว 1 ราย และล้มป่วยอีกเกือบ 50 คน ในขณะที่พวกเขาตัดสินใจถอดเมนูดังกล่าวออกจากสาขาต่างๆ ในหลายสิบรัฐ
    .
    การระบาดทำให้ผู้คนล้มป่วยทั่วภูมิภาคทางตะวันตก และตะวันตกตอนกลางของสหรัฐฯ โดยในบรรดาผู้ป่วยเกือบ 50 คนนั้น มีอยู่ 10 รายที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล สืบเนื่องจากอาการแทรกซ้อนรุนแรง อ้างอิงข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (ซีดีซี) ซึ่งอยู่ระหว่างการสืบสวนการแพร่ระบาด ขณะที่โฆษกของแมคโดนัลด์ ยืนยันว่าการแพร่ระบาดจำกัดวงอยู่เฉพาะในอเมริกาเท่านั้น
    .
    ในบรรดาผู้ที่รักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น รวมไปถึงเด็กรายหนึ่งที่มีอาการฮีโมไลติกยูรีมิก (hemolytic uremic syndrome) เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดขนาดเล็กในไตได้รับความเสียหาย หรือเกิดการอักเสบจนอาจเป็นเหตุให้เกิดลิ่มเลือดภายในเส้นเลือด
    .
    "เราคาดหมายว่าจะพบเห็นเคสผู้ป่วยเพิ่มเติม" ทอม สคินเนอร์ โฆษกของซีดีซีระบุ "แมคโดนัลด์ เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในการเข้าจัดการ และหวังว่ามันจะช่วยป้องกันเคสต่างๆ ได้มากมายเท่าที่จะเป็นไปได้"
    .
    เมื่อวันอังคาร (22 ต.ค.) หน่วยงานสาธารณสุขแห่งนี้ออกคำแนะนำว่าบุคคลใดที่รับประทานแฮมเบอร์เกอร์ควอเตอร์ พาวน์เดอร์ และมีอาการต่างๆ ของพิษเชื้ออีโคไล เช่น ท้องเสียง มีไข้สูงกว่า 38.9 องศาเซลเซียส และอาเจียนให้รีบไปพบแพทย์ในทันที
    .
    ปกติแล้วอาการต่างๆ เหล่านี้จะเริ่มขึ้น 3 ถึง 4 วันหลังจากติดเชื้อ และคนส่วนใหญ่จะฟื้นไข้ได้เองภายใน 5 ถึง 7 วัน โดยไม่ต้องรับการรักษาใดๆ อย่างไรก็ตาม มีบางเคสที่อาจมีอาการรุนแรงและจำเป็นต้องเข้ารับรักษาตัวในโรงพยาบาล
    .
    ก่อนหน้านี้ การแพร่ระบาดของเชื้ออีโคไล ณ บรรดาเครือข่ายอาหารฟาสต์ฟูดใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ เคยเป็นเหตุให้ผู้บริโภคหมางเมินเครือข่ายร้านฟาสต์ฟูดเหล่านั้นเป็นเวลาหลายเดือน ในเรื่องนี้ทาง โจ เออร์ลินเกอร์ ประธานภูมิภาคอเมริกา ของแมคโดนัลด์ ยอมรับในวันพุธ (23 ต.ค.) ว่าพวกเขาจำเป็นต้องฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน หลังถอดเมนูดังกล่าวออกจากสาขาต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ ประมาณ 1 ใน 5 จากทั้งหมด 14,000 สาขา
    .
    บริษัทถอดแฮมเบอร์เกอร์ควอเตอร์ พาวน์เดอร์ ออกจากสาขาต่างๆ ของแมคโดนัลด์ ในรัฐโคโลราโด แคนซัส ยูทาห์ และไวโอมิง และในบางพื้นที่ในไอดาโฮ ไอโอวา มิสซูรี มอนแทนา เนบราสกา เนวาดา นิวเม็กซิโกและโอคลาโฮมา
    .
    ซีดีซี และแมคโดนัลด์กำลังดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มข้นบรรดาซัปพลายเออร์ทั้งหลายของบริษัท ที่เป็นผู้ป้อนหัวหอมหั่นและเนื้อบด ในความพยายามสรุปถึงสาเหตุของการแพร่ระบาด
    .
    เชื้ออีโคไลสายพันธุ์ O157:H7 ที่นำมาซึ่งการแพร่ระบาดในแมคโดนัลด์ เป็นสายพันธุ์เดียวกับที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเครือข่ายร้านฟาสต์ฟูดแจ็คอินเดอะบ็อกซ์เมื่อปี 1993 ที่คราวนั้นคร่าชีวิตเด็กไป 4 ราย มันสามารถก่อการติดเชื้ออาการรุนแรงมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนชรา เด็กและบุคคลที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติ
    .
    โฆษกของแมคโดนัลด์ อ้างว่าบรรดาซัปพลายเออร์ของแมคโดนัลด์ ได้มีการทดสอบผลิตภัณฑ์ของตนเองบ่อยครั้ง และในนั้นรวมถึงในตอนที่ทางซีดีซีระบุว่าเป็นช่วงเวลาของการแพร่ระบาด และไม่พบเชื้ออีโคไลในผลิตภันฑ์เหล่านั้นแต่อย่างใด
    .
    ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอ็นบีซีในวันพุธ (23 ต.ค.) เออร์ลินเกอร์ เน้นย้ำว่าทางบริษัทได้ใช้มาตรการต่างๆ อย่างรวดเร็วในการถอดแฮมเบอร์เกอร์ควอเตอร์ พาวน์เดอร์ ออกจากเมนู ในพื้่นที่ต่างๆ ที่การแพร่ระบาดเกิดขึ้น "สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อเร็วๆ นี้ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ลำดับความสำคัญของเราคือเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคอเมริกา"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102309
    ..............
    Sondhi X
    แมคโดนัลด์ ดิ้นรนจำกัดความเสียหายจากการแพร่ระบาดของเชื้ออีโคไล ที่เชื่อมโยงกับแฮมเบอร์เกอร์ควอเตอร์ พาวน์เดอร์ ซึ่งแผ่ลามไปทั่วสหรัฐฯ คร่าชีวิตผู้บริโภคแล้ว 1 ราย และล้มป่วยอีกเกือบ 50 คน ในขณะที่พวกเขาตัดสินใจถอดเมนูดังกล่าวออกจากสาขาต่างๆ ในหลายสิบรัฐ . การระบาดทำให้ผู้คนล้มป่วยทั่วภูมิภาคทางตะวันตก และตะวันตกตอนกลางของสหรัฐฯ โดยในบรรดาผู้ป่วยเกือบ 50 คนนั้น มีอยู่ 10 รายที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล สืบเนื่องจากอาการแทรกซ้อนรุนแรง อ้างอิงข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (ซีดีซี) ซึ่งอยู่ระหว่างการสืบสวนการแพร่ระบาด ขณะที่โฆษกของแมคโดนัลด์ ยืนยันว่าการแพร่ระบาดจำกัดวงอยู่เฉพาะในอเมริกาเท่านั้น . ในบรรดาผู้ที่รักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น รวมไปถึงเด็กรายหนึ่งที่มีอาการฮีโมไลติกยูรีมิก (hemolytic uremic syndrome) เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดขนาดเล็กในไตได้รับความเสียหาย หรือเกิดการอักเสบจนอาจเป็นเหตุให้เกิดลิ่มเลือดภายในเส้นเลือด . "เราคาดหมายว่าจะพบเห็นเคสผู้ป่วยเพิ่มเติม" ทอม สคินเนอร์ โฆษกของซีดีซีระบุ "แมคโดนัลด์ เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในการเข้าจัดการ และหวังว่ามันจะช่วยป้องกันเคสต่างๆ ได้มากมายเท่าที่จะเป็นไปได้" . เมื่อวันอังคาร (22 ต.ค.) หน่วยงานสาธารณสุขแห่งนี้ออกคำแนะนำว่าบุคคลใดที่รับประทานแฮมเบอร์เกอร์ควอเตอร์ พาวน์เดอร์ และมีอาการต่างๆ ของพิษเชื้ออีโคไล เช่น ท้องเสียง มีไข้สูงกว่า 38.9 องศาเซลเซียส และอาเจียนให้รีบไปพบแพทย์ในทันที . ปกติแล้วอาการต่างๆ เหล่านี้จะเริ่มขึ้น 3 ถึง 4 วันหลังจากติดเชื้อ และคนส่วนใหญ่จะฟื้นไข้ได้เองภายใน 5 ถึง 7 วัน โดยไม่ต้องรับการรักษาใดๆ อย่างไรก็ตาม มีบางเคสที่อาจมีอาการรุนแรงและจำเป็นต้องเข้ารับรักษาตัวในโรงพยาบาล . ก่อนหน้านี้ การแพร่ระบาดของเชื้ออีโคไล ณ บรรดาเครือข่ายอาหารฟาสต์ฟูดใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ เคยเป็นเหตุให้ผู้บริโภคหมางเมินเครือข่ายร้านฟาสต์ฟูดเหล่านั้นเป็นเวลาหลายเดือน ในเรื่องนี้ทาง โจ เออร์ลินเกอร์ ประธานภูมิภาคอเมริกา ของแมคโดนัลด์ ยอมรับในวันพุธ (23 ต.ค.) ว่าพวกเขาจำเป็นต้องฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน หลังถอดเมนูดังกล่าวออกจากสาขาต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ ประมาณ 1 ใน 5 จากทั้งหมด 14,000 สาขา . บริษัทถอดแฮมเบอร์เกอร์ควอเตอร์ พาวน์เดอร์ ออกจากสาขาต่างๆ ของแมคโดนัลด์ ในรัฐโคโลราโด แคนซัส ยูทาห์ และไวโอมิง และในบางพื้นที่ในไอดาโฮ ไอโอวา มิสซูรี มอนแทนา เนบราสกา เนวาดา นิวเม็กซิโกและโอคลาโฮมา . ซีดีซี และแมคโดนัลด์กำลังดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มข้นบรรดาซัปพลายเออร์ทั้งหลายของบริษัท ที่เป็นผู้ป้อนหัวหอมหั่นและเนื้อบด ในความพยายามสรุปถึงสาเหตุของการแพร่ระบาด . เชื้ออีโคไลสายพันธุ์ O157:H7 ที่นำมาซึ่งการแพร่ระบาดในแมคโดนัลด์ เป็นสายพันธุ์เดียวกับที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเครือข่ายร้านฟาสต์ฟูดแจ็คอินเดอะบ็อกซ์เมื่อปี 1993 ที่คราวนั้นคร่าชีวิตเด็กไป 4 ราย มันสามารถก่อการติดเชื้ออาการรุนแรงมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนชรา เด็กและบุคคลที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติ . โฆษกของแมคโดนัลด์ อ้างว่าบรรดาซัปพลายเออร์ของแมคโดนัลด์ ได้มีการทดสอบผลิตภัณฑ์ของตนเองบ่อยครั้ง และในนั้นรวมถึงในตอนที่ทางซีดีซีระบุว่าเป็นช่วงเวลาของการแพร่ระบาด และไม่พบเชื้ออีโคไลในผลิตภันฑ์เหล่านั้นแต่อย่างใด . ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอ็นบีซีในวันพุธ (23 ต.ค.) เออร์ลินเกอร์ เน้นย้ำว่าทางบริษัทได้ใช้มาตรการต่างๆ อย่างรวดเร็วในการถอดแฮมเบอร์เกอร์ควอเตอร์ พาวน์เดอร์ ออกจากเมนู ในพื้่นที่ต่างๆ ที่การแพร่ระบาดเกิดขึ้น "สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อเร็วๆ นี้ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ลำดับความสำคัญของเราคือเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคอเมริกา" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102309 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Angry
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1765 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ดีเอสไอ” เตรียมเชิญผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบนาฬิกาหรู “บอสพอล” ของเก๊หรือไม่ หากผลพิสูจน์พบว่าเป็นของปลอมก็ไม่มีผลต่อการสืบสวนคดี เพราะต้องขยายผลว่าเหตุใดจึงนำไปซุกซ่อนในห้องพักดังกล่าว

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000102163

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “ดีเอสไอ” เตรียมเชิญผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบนาฬิกาหรู “บอสพอล” ของเก๊หรือไม่ หากผลพิสูจน์พบว่าเป็นของปลอมก็ไม่มีผลต่อการสืบสวนคดี เพราะต้องขยายผลว่าเหตุใดจึงนำไปซุกซ่อนในห้องพักดังกล่าว อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000102163 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Yay
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2343 มุมมอง 0 รีวิว
  • โจ๊กและเมีย วิบากกรรมทำงาน
    สุรเชชษฐ์ หักพาล ที่วันนี้หมดสิ้นแล้วซึ่งองครักษ์พิทักษ์นาย ไม่ว่าจะเป็น
    1. ดนัย หมาแก่ กับเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ที่เป็นรายการฟอกขาวที่มีประสิทธิภาพให้กับ สุรเชชษฐ์ หักพาล ที่วันนี้อาหารหมาขาดแคลน ก็ได้ประกาศตัวดุจเป็นฝั่งตรงข้าม ถึงกับเอ่ยว่า “สุรเชชษฐ์ทำไมไม่มีใครชอบคุณ” แล้ววันนี้หมาแก่ ก็หากระแสใหม่ ฉีกแนวไปทำเรื่องดิไอคอนรัวๆ ไม่หันกลับมามองนายเก่าจากโจ๊กอีกเลย
    2. ตั้ม ทนายหิวแสง ที่เล่นใหญ่ เกินเบอร์ นัดสื่อแถลงรัวๆ รับงานจากโจ๊กมา หวังคว่ำบิ๊กต่าย และบิ๊กเต่า จนทำให้ประชาชนรู้แนว ไม่ให้ค่า และถึงแม้วันนี้จะหวังกระแสดิไอคอน ตั้มไปออกหน้าออกตาที่โหนกระแส แต่ก็มิวายที่ประชาชนไม่เอา คือไม่เอา จนสุดท้ายปล่อยไก่ อ้างว่าหาข้อมูลไม่หลับไม่นอน แต่ดันไม่รู้ว่า ชื่อที่ตนเองบอกว่าเป็นไอ้โม่งในเครือข่ายดิไอค่อนนั้น กลับเป็นแม่แท้ๆของบอสพอลแห่งดิไอค่อน จนต้องยกมือไหว้ขอขมาหน้าจอ หน้าเจื่อนจนแทบไม่พูดอะไรต่อตลอดรายการ
    3. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวสที่วางตัวคล้ายเป็นพ่อบุญธรรมของสุรเชชษฐ์ วางแนวการต่อสู้ ทั้งเกมการไม่ยอมรับหมายเรียก หวังให้คดีหมดอายุความ ตามที่ตนทำมาตลอด แต่สุรเชชษฐ์กลับไม่รอด แต่ก็ยังคงดิ้นเฮือกสุดท้าย ไปออกหน้าออกตาที่จันทร์ส่องหล้า หวังได้กลับมาคุมตร. และได้ใช้อำนาจในการช่วยเหลือสุรเชชษฐ์ แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่หวัง
    จนแถลงแบล็คเมลคนชั้น 14 ว่าจะเปิดข้อมูลเด็ด แต่เชิงหมาแก่คนชั้น 14 และลูกสาวกลับไม่ให้ราคา ไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย
    และจากข้อมูลล่าสุด อัยการจะยื่นฟ้องยึดทรัพย์โจ๊ก กับ เมีย 4.8 แสนบาท
    ถึงแม้จะมีเสียงขำขัน ว่ายึดได้แค่นี้หรือมีเสียงแขวะ เสียงแซะสตช.ไม่ขาดสาย แต่หารู้ไม่ยอดจำนวนนี้ คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โจ๊กมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเงินดำจากเว็บออนไลน์จริง แม้จะมีการยักย้าย ถ่ายเทไปสู่ usdt จำนวนมหาศาลแล้วก็ตาม
    ยอด 4.8 แสนบาทนี้ ได้มาจากพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เส้นทางการเงิน ยืนยัน ชัดเจน
    ผลการสืบสวนโดย ปปง ซึ่งเป็นหน่วยงานเฉพาะ ที่ไม่มีส่วนได้เสีย กับผู้ใดใน สตช
    พิสูจน์ยืนยัน จนนำไปสู่การเสนอเรื่องไปอัยการ ฟ้องต่อศาล เพื่อยึดทรัพย์ข้างต้น
    สำนวนที่เสนอไปเฉพาะเรื่องนี้ ร่วม 1400 กว่า หน้า เลยทีเดียว
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    โจ๊กและเมีย วิบากกรรมทำงาน สุรเชชษฐ์ หักพาล ที่วันนี้หมดสิ้นแล้วซึ่งองครักษ์พิทักษ์นาย ไม่ว่าจะเป็น 1. ดนัย หมาแก่ กับเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ที่เป็นรายการฟอกขาวที่มีประสิทธิภาพให้กับ สุรเชชษฐ์ หักพาล ที่วันนี้อาหารหมาขาดแคลน ก็ได้ประกาศตัวดุจเป็นฝั่งตรงข้าม ถึงกับเอ่ยว่า “สุรเชชษฐ์ทำไมไม่มีใครชอบคุณ” แล้ววันนี้หมาแก่ ก็หากระแสใหม่ ฉีกแนวไปทำเรื่องดิไอคอนรัวๆ ไม่หันกลับมามองนายเก่าจากโจ๊กอีกเลย 2. ตั้ม ทนายหิวแสง ที่เล่นใหญ่ เกินเบอร์ นัดสื่อแถลงรัวๆ รับงานจากโจ๊กมา หวังคว่ำบิ๊กต่าย และบิ๊กเต่า จนทำให้ประชาชนรู้แนว ไม่ให้ค่า และถึงแม้วันนี้จะหวังกระแสดิไอคอน ตั้มไปออกหน้าออกตาที่โหนกระแส แต่ก็มิวายที่ประชาชนไม่เอา คือไม่เอา จนสุดท้ายปล่อยไก่ อ้างว่าหาข้อมูลไม่หลับไม่นอน แต่ดันไม่รู้ว่า ชื่อที่ตนเองบอกว่าเป็นไอ้โม่งในเครือข่ายดิไอค่อนนั้น กลับเป็นแม่แท้ๆของบอสพอลแห่งดิไอค่อน จนต้องยกมือไหว้ขอขมาหน้าจอ หน้าเจื่อนจนแทบไม่พูดอะไรต่อตลอดรายการ 3. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวสที่วางตัวคล้ายเป็นพ่อบุญธรรมของสุรเชชษฐ์ วางแนวการต่อสู้ ทั้งเกมการไม่ยอมรับหมายเรียก หวังให้คดีหมดอายุความ ตามที่ตนทำมาตลอด แต่สุรเชชษฐ์กลับไม่รอด แต่ก็ยังคงดิ้นเฮือกสุดท้าย ไปออกหน้าออกตาที่จันทร์ส่องหล้า หวังได้กลับมาคุมตร. และได้ใช้อำนาจในการช่วยเหลือสุรเชชษฐ์ แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่หวัง จนแถลงแบล็คเมลคนชั้น 14 ว่าจะเปิดข้อมูลเด็ด แต่เชิงหมาแก่คนชั้น 14 และลูกสาวกลับไม่ให้ราคา ไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย และจากข้อมูลล่าสุด อัยการจะยื่นฟ้องยึดทรัพย์โจ๊ก กับ เมีย 4.8 แสนบาท ถึงแม้จะมีเสียงขำขัน ว่ายึดได้แค่นี้หรือมีเสียงแขวะ เสียงแซะสตช.ไม่ขาดสาย แต่หารู้ไม่ยอดจำนวนนี้ คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โจ๊กมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเงินดำจากเว็บออนไลน์จริง แม้จะมีการยักย้าย ถ่ายเทไปสู่ usdt จำนวนมหาศาลแล้วก็ตาม ยอด 4.8 แสนบาทนี้ ได้มาจากพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เส้นทางการเงิน ยืนยัน ชัดเจน ผลการสืบสวนโดย ปปง ซึ่งเป็นหน่วยงานเฉพาะ ที่ไม่มีส่วนได้เสีย กับผู้ใดใน สตช พิสูจน์ยืนยัน จนนำไปสู่การเสนอเรื่องไปอัยการ ฟ้องต่อศาล เพื่อยึดทรัพย์ข้างต้น สำนวนที่เสนอไปเฉพาะเรื่องนี้ ร่วม 1400 กว่า หน้า เลยทีเดียว #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่วม 18 บอสดิไอคอน เตรียมโดนข้อหาฟอกเงิน
    .
    ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการตรวจสอบการทำธุรกิจของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด นอกจากต้องจับตาความคืบหน้าในการขอประกันตัวของบรรดาเหล่าบอสคนดังแล้ว ปรากฎว่าการดำเนินไต่สวนของพนักงานสอบสวนก็มีความคืบหน้าเช่นกัน หลังจากมีรายงานว่ากองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เตรียมแจ้งข้อหากับบรรดาบอสทั้ง 18 คน เพิ่มเติม
    .
    สำหรับฐานความผิดที่จะแจ้งเพิ่มนั้น มีข้อหาร่วมกันกระทำผิดฐานฟอกเงินเป็นหลัก นอกจากนี้อาจมีข้อหาอื่น ๆ ประกอบ เช่น ความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน รวมไปถึงข้อหาอั้งยี่และซ่องโจร เนื่องจากกลุ่มผู้ต้องหามีพฤติกรรมลักษณะขององค์กรอาชญากรรมอีกด้วย
    .
    โดยการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมนั้น ทีมสอบสวนจะมอบให้ให้พนักงานสอบสวน บช.ก. เข้าไปแจ้งข้อหากับผู้ต้องหาทั้งหมดในเรือนจำ ซึ่งคาดว่าจะสรุปข้อหาทั้งหมดที่จะแจ้งเพิ่มเติมได้ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งชุดพนักงานสอบสวนจะประสานงานกับทีมสืบสวนที่มีตำรวจ กองปราบปราม เป็นตัวหลักในการตรวจสอบเส้นทางการเงินและทรัพย์สินของผู้ต้องหาแต่ละราย เพื่อให้ได้หลักฐานเชื่อมโยงไปสู่การกระทำความผิดฐานฟอกเงินด้วย
    .
    ด้าน ตำรวจสอบสวนกลาง สรุปจำนวนยอดผู้เสียหายพบว่ายอดรวมสะสม ระหว่างวันที่ 10-20 ตุลาคม 2567 จำนวนผู้เสียหายที่สอบปากคำแล้ว 2,875 ราย มูลค่าความเสียหายเฉพาะที่สอบปากคำแล้วรวม 979 ล้านบาทเศษ
    .
    ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) สรุปข้อมูลการรับแจ้งความร้องทุกข์ในคดีดิไอคอนกรุ๊ป จากศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ตำรวจภูธรจังหวัดและกองบังคับการตำรวจนครบาล ประจำวันที่ 19 ตุลาคม 2567 รวมผู้เสียหาย 892 ราย มูลค่าความเสียหาย 207 ล้านบาทเศษ ยอดรวมสะสม ระหว่างวันที่ 18-19 ตุลาคม 2567 มีจำนวนผู้เสียหายที่สอบปากคำแล้ว 2,773 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 632 ล้านบาทเศษ
    ..............
    Sondhi X
    อ่วม 18 บอสดิไอคอน เตรียมโดนข้อหาฟอกเงิน . ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการตรวจสอบการทำธุรกิจของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด นอกจากต้องจับตาความคืบหน้าในการขอประกันตัวของบรรดาเหล่าบอสคนดังแล้ว ปรากฎว่าการดำเนินไต่สวนของพนักงานสอบสวนก็มีความคืบหน้าเช่นกัน หลังจากมีรายงานว่ากองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เตรียมแจ้งข้อหากับบรรดาบอสทั้ง 18 คน เพิ่มเติม . สำหรับฐานความผิดที่จะแจ้งเพิ่มนั้น มีข้อหาร่วมกันกระทำผิดฐานฟอกเงินเป็นหลัก นอกจากนี้อาจมีข้อหาอื่น ๆ ประกอบ เช่น ความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน รวมไปถึงข้อหาอั้งยี่และซ่องโจร เนื่องจากกลุ่มผู้ต้องหามีพฤติกรรมลักษณะขององค์กรอาชญากรรมอีกด้วย . โดยการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมนั้น ทีมสอบสวนจะมอบให้ให้พนักงานสอบสวน บช.ก. เข้าไปแจ้งข้อหากับผู้ต้องหาทั้งหมดในเรือนจำ ซึ่งคาดว่าจะสรุปข้อหาทั้งหมดที่จะแจ้งเพิ่มเติมได้ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งชุดพนักงานสอบสวนจะประสานงานกับทีมสืบสวนที่มีตำรวจ กองปราบปราม เป็นตัวหลักในการตรวจสอบเส้นทางการเงินและทรัพย์สินของผู้ต้องหาแต่ละราย เพื่อให้ได้หลักฐานเชื่อมโยงไปสู่การกระทำความผิดฐานฟอกเงินด้วย . ด้าน ตำรวจสอบสวนกลาง สรุปจำนวนยอดผู้เสียหายพบว่ายอดรวมสะสม ระหว่างวันที่ 10-20 ตุลาคม 2567 จำนวนผู้เสียหายที่สอบปากคำแล้ว 2,875 ราย มูลค่าความเสียหายเฉพาะที่สอบปากคำแล้วรวม 979 ล้านบาทเศษ . ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) สรุปข้อมูลการรับแจ้งความร้องทุกข์ในคดีดิไอคอนกรุ๊ป จากศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ตำรวจภูธรจังหวัดและกองบังคับการตำรวจนครบาล ประจำวันที่ 19 ตุลาคม 2567 รวมผู้เสียหาย 892 ราย มูลค่าความเสียหาย 207 ล้านบาทเศษ ยอดรวมสะสม ระหว่างวันที่ 18-19 ตุลาคม 2567 มีจำนวนผู้เสียหายที่สอบปากคำแล้ว 2,773 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 632 ล้านบาทเศษ .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 634 มุมมอง 0 รีวิว
  • อับบาส อารากชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน เตือนว่าพวกเขาจะมองสหรัฐฯ เป็นผู้สมคบคิดหากว่าอิสราเอลทำตามคำขู่ ด้วยการโจมตีครั้งใหญ่ใส่สาธารณรัฐอิสลาม
    .
    เมื่อวันศุกร์ (18 ต.ค.) พวกผู้สื่อข่าวสอบถามประธานาธิบดีโจ ไบเดน ว่าเขารับทราบหรือไม่ ว่าอิสราเอล พันธมิตรใกล้ชิดที่สุดของวอชิงตันในตะวันออกกลางจะดำเนินการอย่างไรในการตอบโต้อิหร่าน ต่อกรณีห่ายิงขีปนาวุธเข้าใส่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม และ อิสราเอลจะทำการแก้แค้นอิหร่านจริงๆ ใช่หรือไม่
    .
    ในเรื่องนี้ ไบเดน ตอบกลับว่า "ใช่ ใช่" แต่ปฏิเสธให้รายละเอียดเพิ่มเติม
    .
    อารากชี เขียนบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์เมื่อวันเสาร์ (19 ต.ค.) เน้นย้ำว่า "ใครก็ตามที่รับทราบหรือเข้าใจว่าอิสราเอลจะตอบโต้อิหร่านอย่างไรและเมื่อไหร่ หรือมอบหนทางต่างๆ และสนับสนุนความคิดที่โง่เขลาดังกล่าว มันเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่พวกเขาควรต้องรับผิดชอบสำหรับความเป็นไปได้ของความสูญเสียใดๆ"
    .
    สารของรัฐมนตรีรายนี้ไม่ได้พาดพิงถึงวอชิงตันโดยตรง แต่โพสต์ของเขาได้แนบรายงานข่าวชิ้นหนึ่งของรอยเตอร์ เกี่ยวกับคำสัมภาษณ์ของไบเดน ที่ยืนยันว่าเขารับทราบเกี่ยวกับแผนการต่างๆ ของอิสราเอลในการเล็งเป้าเล่นงานอิหร่าน"
    .
    สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานในวันเสาร์ (19 ต.ค.) รายงานอ้างแหล่งข่าว 3 คน ว่าสหรัฐฯ ได้เปิดการสืบสวนหนึ่ง หลังจากข่าวกรองลับสุดยอดต่อกรณีอิสราเอลกำลังเตรียมการสำหรับความเป็นไปได้ในการโจมตีอิสราเอล รั่วหลุดสู่สื่อสังคมออนไลน์
    .
    เอกสาร 2 ฉบับที่โพสต์บนเทเลแกรมเมื่อวันศุกร์ (18 ต.ค.) หนึ่งในนั้นดูเหมือนเป็นเอกสารที่ตระเตรียมโดยสำนักงานข่าวกรองภูมิสารสนเทศแห่งชาติของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่ระบุว่ากองทัพอิสราเอลกำลังเดินหน้าเตรียมการกระสุน และเบี่ยงความเคลื่อนไหวต่างๆ ของอากาศยานไร้คนขับในวันที่ 19 ตุลาคม ซึ่งชัดเจนว่าน่าจะเพื่อการโจมตีเล่นงานอิหร่าน
    .
    ส่วนเอกสารอีกฉบับบรรจุรายละเอียดหนึ่งของการฝึกซ้อมประจำการทางทหารขนานใหญ่ โดยกองทัพอากาศอิสราเอล ระหว่างวันที่ 15 และ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา
    .
    เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม อิหร่านรัวยิงขีปนาวุธเกือบ 200 ลูกเข้าใส่อิสราเอล เรียกมันว่าเป็นการแก้แค้นให้เหตุลอบสังหารพวกผู้นำฮามาสและฮิซบอลเลาะห์ เช่นเดียวกับนายพลรายหนึ่งของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน
    .
    นับตั้งแต่นั้น โยอาฟ กัลแลนท์ รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล ขู่ทำการแก้แค้น "นองเลือด แม่นยำและแบบไม่คาดคิด" ในขณะที่พวกเจ้าหน้าที่อิสราเอลบางส่วนเรียกร้องให้โจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานของอิหร่าน ในนั้นรวมถึงโรงงานนิวเคลียร์
    .
    ทำเนียบของ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ระบุในวันพฤหัสบดี (17 ต.ค.) ว่าประเทศแห่งนี้จะตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการแก้แค้น "บนพื้นฐานของผลประโยชน์แห่งชาติของเรา"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000101220
    ..............
    Sondhi X
    อับบาส อารากชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน เตือนว่าพวกเขาจะมองสหรัฐฯ เป็นผู้สมคบคิดหากว่าอิสราเอลทำตามคำขู่ ด้วยการโจมตีครั้งใหญ่ใส่สาธารณรัฐอิสลาม . เมื่อวันศุกร์ (18 ต.ค.) พวกผู้สื่อข่าวสอบถามประธานาธิบดีโจ ไบเดน ว่าเขารับทราบหรือไม่ ว่าอิสราเอล พันธมิตรใกล้ชิดที่สุดของวอชิงตันในตะวันออกกลางจะดำเนินการอย่างไรในการตอบโต้อิหร่าน ต่อกรณีห่ายิงขีปนาวุธเข้าใส่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม และ อิสราเอลจะทำการแก้แค้นอิหร่านจริงๆ ใช่หรือไม่ . ในเรื่องนี้ ไบเดน ตอบกลับว่า "ใช่ ใช่" แต่ปฏิเสธให้รายละเอียดเพิ่มเติม . อารากชี เขียนบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์เมื่อวันเสาร์ (19 ต.ค.) เน้นย้ำว่า "ใครก็ตามที่รับทราบหรือเข้าใจว่าอิสราเอลจะตอบโต้อิหร่านอย่างไรและเมื่อไหร่ หรือมอบหนทางต่างๆ และสนับสนุนความคิดที่โง่เขลาดังกล่าว มันเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่พวกเขาควรต้องรับผิดชอบสำหรับความเป็นไปได้ของความสูญเสียใดๆ" . สารของรัฐมนตรีรายนี้ไม่ได้พาดพิงถึงวอชิงตันโดยตรง แต่โพสต์ของเขาได้แนบรายงานข่าวชิ้นหนึ่งของรอยเตอร์ เกี่ยวกับคำสัมภาษณ์ของไบเดน ที่ยืนยันว่าเขารับทราบเกี่ยวกับแผนการต่างๆ ของอิสราเอลในการเล็งเป้าเล่นงานอิหร่าน" . สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานในวันเสาร์ (19 ต.ค.) รายงานอ้างแหล่งข่าว 3 คน ว่าสหรัฐฯ ได้เปิดการสืบสวนหนึ่ง หลังจากข่าวกรองลับสุดยอดต่อกรณีอิสราเอลกำลังเตรียมการสำหรับความเป็นไปได้ในการโจมตีอิสราเอล รั่วหลุดสู่สื่อสังคมออนไลน์ . เอกสาร 2 ฉบับที่โพสต์บนเทเลแกรมเมื่อวันศุกร์ (18 ต.ค.) หนึ่งในนั้นดูเหมือนเป็นเอกสารที่ตระเตรียมโดยสำนักงานข่าวกรองภูมิสารสนเทศแห่งชาติของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่ระบุว่ากองทัพอิสราเอลกำลังเดินหน้าเตรียมการกระสุน และเบี่ยงความเคลื่อนไหวต่างๆ ของอากาศยานไร้คนขับในวันที่ 19 ตุลาคม ซึ่งชัดเจนว่าน่าจะเพื่อการโจมตีเล่นงานอิหร่าน . ส่วนเอกสารอีกฉบับบรรจุรายละเอียดหนึ่งของการฝึกซ้อมประจำการทางทหารขนานใหญ่ โดยกองทัพอากาศอิสราเอล ระหว่างวันที่ 15 และ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา . เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม อิหร่านรัวยิงขีปนาวุธเกือบ 200 ลูกเข้าใส่อิสราเอล เรียกมันว่าเป็นการแก้แค้นให้เหตุลอบสังหารพวกผู้นำฮามาสและฮิซบอลเลาะห์ เช่นเดียวกับนายพลรายหนึ่งของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน . นับตั้งแต่นั้น โยอาฟ กัลแลนท์ รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล ขู่ทำการแก้แค้น "นองเลือด แม่นยำและแบบไม่คาดคิด" ในขณะที่พวกเจ้าหน้าที่อิสราเอลบางส่วนเรียกร้องให้โจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานของอิหร่าน ในนั้นรวมถึงโรงงานนิวเคลียร์ . ทำเนียบของ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ระบุในวันพฤหัสบดี (17 ต.ค.) ว่าประเทศแห่งนี้จะตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการแก้แค้น "บนพื้นฐานของผลประโยชน์แห่งชาติของเรา" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000101220 .............. Sondhi X
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 789 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไบแนนซ์ ออกโรงชี้แจงผ่านหนังสือด่วน หลังเกิดประเด็นร้อนจากการโอนเหรียญ USDT มูลค่ากว่า 8,223 ล้านบาท ของหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ซึ่งเชื่อมโยงกับ The iCON GROUP เข้ามายัง Binance Hot Wallet หลังเกิดกระแสสังคมสงสัยที่มาของเงินถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่

    ไบแนนซ์ระบุว่า "เบื้องต้นฝ่ายสืบสวนของไบแนนซ์ ได้ดำเนินการติดต่อประสานงานโดยตรงกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทยเป็นที่เรียบร้อย พร้อมทั้งได้รับการชี้แจงว่าในขณะนี้คดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการสืบสวน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไบแนนซ์ดำเนินงานโดยให้ความสำคัญในการต่อสู้กับการฉ้อโกงและต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ ผ่านการประสานงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย" ฝ่ายสืบสวนของไบแนนซ์ ระบุ

    อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าหลังจากนี้จะมีการอายัดบัญชีและเหรียญ USDT มูลค่ากว่า 8,223 ล้านบาทใน Binance Hot Wallet ซึ่งเกี่ยวข้องกับ The iCON GROUP เพื่อตรวจสอบตามกระบวนการทางกฏหมายหรือไม่ แม้ว่าทางไปแนนซ์จะยืนยันว่า "ประสานงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย" แต่เนื่องจากขอบเขตการบังคับใช้กฏหมายของไทยอาจมีข้อจำกัดเฉพาะในราชอาณาจักร ทำให้การอายัดทรัพย์นอกราชอาณาจักรของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไทย ไม่สามารถทำได้โดยตรง เนื่องจากอำนาจของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไทยจำกัดอยู่ภายในราชอาณาจักร

    อย่างไรก็ตาม หากมีการสืบสวนพบว่าทรัพย์สินที่ต้องสงสัยอยู่ในต่างประเทศ หน่วยงานไทยสามารถขอความร่วมมือจากประเทศที่เกี่ยวข้อง ผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน หรือความร่วมมือด้านกฎหมายในระดับนานาชาติ (MLAT) เพื่อให้อายัดหรือยึดทรัพย์สินที่อยู่นอกอาณาเขตของไทย

    ทั้งนี้การขอความร่วมมือเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงและกฎหมายของประเทศที่ทรัพย์สินตั้งอยู่ และจะต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายของทั้งสองประเทศ อีกทั้ง ไบแนนซ์เอง ก็อยู่นอกเหนือการบังคับใช้กฏหมายของไทย ณ ปัจจุบัน Binance (ไบแนนซ์) ยังไม่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto Exchange) ในประเทศไทยจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทำให้ในกรณีที่ยังไม่มีใบอนุญาตอย่างเป็นทางการการดำเนินงานของไบแนน์ในประเทศไทย หรือเกี่ยวเนื่องกับประเทศไทย จึงอาจถูกจำกัดทางกฏหมาย หรือ ล่าช้าเพิกเฉยได้

    อย่างไรก็ดี ทางสำนักงาน ก.ล.ต. แนะนำผู้ลงทุนในไทยควรใช้แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการอนุญาตจาก ก.ล.ต. เพื่อความปลอดภัยทางกฎหมาย

    https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000101004

    #Thaitimes
    ไบแนนซ์ ออกโรงชี้แจงผ่านหนังสือด่วน หลังเกิดประเด็นร้อนจากการโอนเหรียญ USDT มูลค่ากว่า 8,223 ล้านบาท ของหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ซึ่งเชื่อมโยงกับ The iCON GROUP เข้ามายัง Binance Hot Wallet หลังเกิดกระแสสังคมสงสัยที่มาของเงินถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ ไบแนนซ์ระบุว่า "เบื้องต้นฝ่ายสืบสวนของไบแนนซ์ ได้ดำเนินการติดต่อประสานงานโดยตรงกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทยเป็นที่เรียบร้อย พร้อมทั้งได้รับการชี้แจงว่าในขณะนี้คดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการสืบสวน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไบแนนซ์ดำเนินงานโดยให้ความสำคัญในการต่อสู้กับการฉ้อโกงและต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ ผ่านการประสานงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย" ฝ่ายสืบสวนของไบแนนซ์ ระบุ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าหลังจากนี้จะมีการอายัดบัญชีและเหรียญ USDT มูลค่ากว่า 8,223 ล้านบาทใน Binance Hot Wallet ซึ่งเกี่ยวข้องกับ The iCON GROUP เพื่อตรวจสอบตามกระบวนการทางกฏหมายหรือไม่ แม้ว่าทางไปแนนซ์จะยืนยันว่า "ประสานงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย" แต่เนื่องจากขอบเขตการบังคับใช้กฏหมายของไทยอาจมีข้อจำกัดเฉพาะในราชอาณาจักร ทำให้การอายัดทรัพย์นอกราชอาณาจักรของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไทย ไม่สามารถทำได้โดยตรง เนื่องจากอำนาจของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไทยจำกัดอยู่ภายในราชอาณาจักร อย่างไรก็ตาม หากมีการสืบสวนพบว่าทรัพย์สินที่ต้องสงสัยอยู่ในต่างประเทศ หน่วยงานไทยสามารถขอความร่วมมือจากประเทศที่เกี่ยวข้อง ผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน หรือความร่วมมือด้านกฎหมายในระดับนานาชาติ (MLAT) เพื่อให้อายัดหรือยึดทรัพย์สินที่อยู่นอกอาณาเขตของไทย ทั้งนี้การขอความร่วมมือเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงและกฎหมายของประเทศที่ทรัพย์สินตั้งอยู่ และจะต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายของทั้งสองประเทศ อีกทั้ง ไบแนนซ์เอง ก็อยู่นอกเหนือการบังคับใช้กฏหมายของไทย ณ ปัจจุบัน Binance (ไบแนนซ์) ยังไม่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto Exchange) ในประเทศไทยจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทำให้ในกรณีที่ยังไม่มีใบอนุญาตอย่างเป็นทางการการดำเนินงานของไบแนน์ในประเทศไทย หรือเกี่ยวเนื่องกับประเทศไทย จึงอาจถูกจำกัดทางกฏหมาย หรือ ล่าช้าเพิกเฉยได้ อย่างไรก็ดี ทางสำนักงาน ก.ล.ต. แนะนำผู้ลงทุนในไทยควรใช้แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการอนุญาตจาก ก.ล.ต. เพื่อความปลอดภัยทางกฎหมาย https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000101004 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    "ไบแนนซ์" แจงประเด็นร้อน "The iCON GROUP" หลัง USDT กว่า 8,223 ล้านโอนเข้า Binance Hot Wallet
    ไบแนนซ์ ออกโรงชี้แจงผ่านหนังสือด่วน หลังเกิดประเด็นร้อนจากการโอนเหรียญ USDT มูลค่ากว่า 8,223 ล้านบาท ของหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ซึ่งเชื่อมโยงกับ The iCON GROUP เข้ามายัง Binance Hot Wallet
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts