• ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทนำ

    (5)

    ลำพังการโตเร็วของเยอรมัน ก็ทำให้อังกฤษออกอาการแล้ว มันหมายถึง อังกฤษมองว่าเยอรมันกำลังคุกคามอังกฤษ โดยเยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และทำให้เยอรมันเปลี่ยนสถานะ กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับอังกฤษ โดยการจัดตำแหน่งของอังกฤษเอง

    ไม่ต่างอะไร กับอาการของอเมริกา ที่มองจีน เมื่อราว คศ 2000 ต้นๆ เมื่อเศรษฐกิจของจีนโตอย่างก้าวกระโดด และอเมริกา ก็จัดสถานะจีน ไว้ในตำแหน่ง ที่ต้องจับตามอง อย่างไม่ใว้วางใจ

    สถานะของเยอรมัน เหมือนจะคุกคาม (ความอยากเป็นผู้ครองโลกของ) อังกฤษ มากขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่อังกฤษทนอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อเยอรมัน ได้รับสัมปทานจากออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟ Berlin Bagdad และไม่ใช่เป็นเส้นทางที่ ผ่านแหล่งน้ำมันอย่างเดียว แต่อังกฤษเห็นว่า เป็นเส้นทางที่เยอรมันจะขนส่งน้ำมันทางบก ในเมโสโปเตเมียได้อย่างอิสระ โดยกองทัพเรืออันเกรียงไกรของอังกฤษ หมดหนทางสกัดกั้น

    เมื่อโอกาสของอังกฤษ ที่จะเข้าไปถึงแหล่งน้ำมันที่เล็งไว้ ดูจะลางเลือนมีอุปสรรค ผู้อื่นก็ไม่ควรมีโอกาสดีกว่าอังกฤษ แผนการกำจัดเยอรมัน จึงต้องเกิดขึ้น

    ความต้องการของอังกฤษที่แท้จริงคือ กำจัดเยอรมันอย่างหมดจด และครอบครองแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางทั้งหมด โดยไม่มีใครมาแย่ง มาแบ่ง มาขวาง เสาหลักทั้ง 3 จึงจะมีครบอย่างแข็งแรง และการเอาโลกใบนี้มาอยู่ในกำมือของตนตลอดกาลนาน จะได้ไม่เป็นแค่ความฝัน

    อังกฤษคิดว่า วิธีเดียว ที่จะทำให้อังกฤษได้ตามที่ต้องการทั้งหมดคือ ต้องสร้างสงคราม !

    เดือนเมษายน คศ 1914 George ที่ 7 กษัตริย์ของอังกฤษ พร้อมด้วยนายกรัฐมนตรี
    Sir Edward Grey จึงเดินทางไปฝรั่งเศส เป็นกรณีพิเศษ เพื่อไปพบประธานาธิบดี Poincare ของฝรั่งเศส ที่ปารีส โดยมีนาย Iswolski ฑูตรัสเซียประจำฝรั่งเศส เข้าร่วมสนทนากัน 3 ประเทศ และด้วยลิ้นการทูตที่ยาวไปถึงใบหู อันแสนโดดเด่นของอังกฤษ ทั้ง 3 ประเทศ ก็ตกลงจับมือกันอย่างเป็นทางการ เพื่อผนึกกำลังด้านการทหารสำหรับต่อสู้ กับฝ่ายเยอรมันและออสเตรียฮังการี

    อันที่จริง ในสังคมอีลิต และชนชั้นสูงอังกฤษ ก็เห็นพ้องกันก่อน ปี คศ 1914 เสียด้วยซ้ำว่า สงครามเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อจะได้จัดระเบียบของยุโรปเสียใหม่ ให้เป็นไปตามที่อังกฤษเห็นเหมาะสม
    เป็นเวลาหลายทศวรรษมาแล้ว ที่อังกฤษใช้วิธีถ่วงอำนาจการควบคุมยุโรป ด้วยการสนับสนุนอาณาจักรออตโตมาน (ตุรกี ในปัจจุบัน) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือขวางทางรัสเซีย ที่กำลังสร้างความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรม อังกฤษสนับสนุนตุรกี ให้ควบคุม Dardanelles ทางเข้าแหล่งน้ำจืดของรัสเซีย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากของรัสเซียขณะนั้น แต่การที่ออตโตมาน กลายมาเป็นส่วนหนึ่ง ที่สนับสนุนความเจริญทางเศรษฐกิจ ของเยอรมัน ที่เข้มแข็งขึ้นทุกวันในช่วงปลาย คศ 1900 ถึง 1900 ต้นๆ อังกฤษ จึงต้องปรับดุลยอำนาจ และแผนการทูต ที่เกี่ยวข้องเสียใหม่

    อังกฤษเริ่มแผน ด้วยการปรับสัมพันธ์การทูต เปลี่ยนมิตรเป็นศัตรู และเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร ตามผลประโยชน์ของอังกฤษ อังกฤษใช้ผลประโยชน์อย่างเดียว เป็นเครื่องวัดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และในกรณีนี้ ออตโตมาน ซึ่งเคยเป็นมิตรที่ดีกับอังกฤษ เสมอมา จึงถูกปรับสถานะใหม่ ให้เป็นศัตรู และไม่ใช่ศัตรูธรรมดา เป็นศัตรูที่ต้องถูกลงโทษ จนไม่เหลือประเทศ เพราะไปคบกับเยอรมัน ที่อังกฤษยกระดับให้เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งไปแล้ว และเพราะออตโตมานมีแหล่งน้ำมันที่อังกฤษตั้งใจจะครอบครองให้ได้ แต่ออตโตมานกำลังทำตัว ให้เยอรมันมีโอกาสได้แหล่งน้ำมัน ที่อังกฤษเล็งไว้ไปแทน

    ส่วนรัสเซีย ซึ่งอังกฤษเคยมองอย่างไม่ไว้ใจ คราวนี้จึงถูกหลอก มาให้ช่วยกำจัดออตโตมาน ซึ่งอังกฤษก็น่าจะมีเป้าหมาย ให้รัสเซียมีชะตากรรมไม่ต่างกับออตโตมาน เช่นกัน

    อังกฤษ มีความไม่พอใจรัสเซียสะสมอยู่แล้ว ที่รัสเซียเอง ก็มีแผนที่จะสร้างทางรถไฟสาย Trans-Siberia ยาว 5,400 ไมล์ ไปถึงเมืองท่า Vladivostock ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย ตั้งแต่ ประมาณ คศ 1890 ต้นๆ ถ้ารัสเซียสร้างสำเร็จ จะทำให้รัสเซียเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นสิ่งที่อังกฤษยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เช่นเดียวกัน อังกฤษเป็นโรคแพ้ทางรถไฟของผู้อื่นจริงๆ อังกฤษพยายามเสี้ยม ให้เกิดสงครามบอลข่านหลายครั้ง เพื่อขวางการสร้างทางรถไฟ สาย Trans-Siberia แต่ในที่สุด ในปี คศ 1903 Trans-Siberia ก็สร้างสำเร็จ

    แต่รัสเซีย ก็หนีไม่พ้นมือขวางของอังกฤษ คศ 1904 อังกฤษ สนับสนุนให้ญี่ปุ่นบุกรัสเซียทางไซบีเรีย รัสเซียแพ้ญี่ปุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้น ภายในรัสเซียเองก็เริ่มระส่ำระสาย มีการแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย วุ่นวายไปหมด ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าน่าจะต้านอังกฤษต่อไม่ไหว ควรกลับไปอ่อนข้อกับอังกฤษ อีกฝ่ายหนึ่ง คือฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการสร้างทางรถไฟ บอกว่า ถ้ารัสเซียยอมอังกฤษเที่ยวนี้อีก ก็คงต้องยอมไปตลอดชาติ

    ซาร์นิโคลัส ที่ 2 ตัดสินใจตามความเห็นของฝ่ายแรก ปลดรัฐมนตรีที่แนะนำให้สร้างทางรถไฟ และ ตกลงยอมอ่อนข้อให้อังกฤษ แล้วรัสเซียก็เสียสิทธิในการปกครองอาฟกานิสถาน กับดินแดนบางส่วนในอิหร่านให้อังกฤษไปด้วย เป็นบทเรียนที่รัสเซียไม่ควรลืม

    ปี คศ 1907 อังกฤษ กล่อมฝรั่งเศสและรัสเซีย มาร่วมเป็นสัมพันธมิตร Triple Entente โดยมีเป้าหมายแรก เพื่อล๊อกคอ 2 สหาย แยกออกมาจากฝั่งเยอรมันเสียก่อน เพื่อก้าวไปยังเป้าหมายต่อไป คือการทำสงครามกับเยอรมัน รัสเซียคงแพ้ทางอังกฤษ เดินหมากผิดติดต่อกัน
    หลังจากล๊อกคอ 2 สหายมาได้แล้ว อังกฤษ ก็ยุให้เกิดสงครามบอลข่าน 1 ในปี คศ 1912 บุลกาเรีย กรีก และเซอร์เบีย ทำสงครามกับออตโตมาน ซึ่งกำลังเริ่มเป็นคนป่วย (ทางเศรษฐกิจ) ของยุโรป อังกฤษเห็นว่า ไม่มีโอกาสไหนจะดีกว่า ทุบคนเวลาป่วย มีแต่ชนะไม่มีแพ้ แล้วออตโตมานก็น่วมตามคาด รอเวลาถูกทึ้ง

    บอลข่าน 1 เกิดขึ้นแล้ว แต่เยอรมันอาจมีตัวช่วยเหลืออยู่ บอลข่าน 2 จึงต้องเกิดขึ้น โดยโรมาเนียออกมาช่วยอัดกลับบุลกาเรีย อัดกันไปอัดกันมา ผลสุดท้ายอ่อนล้าไปทั้งคู่ ทั้งหมดเป็นการเตรียมการของอังกฤษในการเข้าเข้าสู่สงคราม ที่อังกฤษเรียกว่า The Great Game ที่อังกฤษวางแผนไว้เอง

    ด้วยสงครามเท่านั้น ที่จะทำลายเยอรมันจนหมดสภาพ ทำลายจักรออตโตมานจนไม่เหลือเค้าเดิม เพื่ออังกฤษจะได้เขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ จัดสรร แบ่งแหล่งน้ำมันกันใหม่ กับผู้ที่ชนะสงคราม และเปิดตลาดให้นักล่ารุ่นใหม่เข้าไปแล่เนื้อเถือหนังของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ

    3 อาณาจักรใหญ่ มีประวัติศาสตร์ยืนยาว และน่าจะยังยั่งยืนได้ต่อไป ออตโตมาน เยอรมัน รัสเซีย จึงถูกวางแผนให้ล่มสลาย

    3 เดือนหลังจากที่อังกฤษ ไปจับมือกับฝรั่งเศสและรัสเซียที่ปารีส วันที่ 28 กรกฎาคม คศ 1914 อาชดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของราชวงศ์ออสเตรีย ก็ถูกลอบยิง ที่เมืองเซราเยโว โดยชาวเซอร์เบีย ที่มีข่าวลือว่าเป็นสายลับของอังกฤษ

    แล้วสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เริ่มขึ้นตามแผนของอังกฤษ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    22 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (5) ลำพังการโตเร็วของเยอรมัน ก็ทำให้อังกฤษออกอาการแล้ว มันหมายถึง อังกฤษมองว่าเยอรมันกำลังคุกคามอังกฤษ โดยเยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และทำให้เยอรมันเปลี่ยนสถานะ กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับอังกฤษ โดยการจัดตำแหน่งของอังกฤษเอง ไม่ต่างอะไร กับอาการของอเมริกา ที่มองจีน เมื่อราว คศ 2000 ต้นๆ เมื่อเศรษฐกิจของจีนโตอย่างก้าวกระโดด และอเมริกา ก็จัดสถานะจีน ไว้ในตำแหน่ง ที่ต้องจับตามอง อย่างไม่ใว้วางใจ สถานะของเยอรมัน เหมือนจะคุกคาม (ความอยากเป็นผู้ครองโลกของ) อังกฤษ มากขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่อังกฤษทนอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อเยอรมัน ได้รับสัมปทานจากออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟ Berlin Bagdad และไม่ใช่เป็นเส้นทางที่ ผ่านแหล่งน้ำมันอย่างเดียว แต่อังกฤษเห็นว่า เป็นเส้นทางที่เยอรมันจะขนส่งน้ำมันทางบก ในเมโสโปเตเมียได้อย่างอิสระ โดยกองทัพเรืออันเกรียงไกรของอังกฤษ หมดหนทางสกัดกั้น เมื่อโอกาสของอังกฤษ ที่จะเข้าไปถึงแหล่งน้ำมันที่เล็งไว้ ดูจะลางเลือนมีอุปสรรค ผู้อื่นก็ไม่ควรมีโอกาสดีกว่าอังกฤษ แผนการกำจัดเยอรมัน จึงต้องเกิดขึ้น ความต้องการของอังกฤษที่แท้จริงคือ กำจัดเยอรมันอย่างหมดจด และครอบครองแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางทั้งหมด โดยไม่มีใครมาแย่ง มาแบ่ง มาขวาง เสาหลักทั้ง 3 จึงจะมีครบอย่างแข็งแรง และการเอาโลกใบนี้มาอยู่ในกำมือของตนตลอดกาลนาน จะได้ไม่เป็นแค่ความฝัน อังกฤษคิดว่า วิธีเดียว ที่จะทำให้อังกฤษได้ตามที่ต้องการทั้งหมดคือ ต้องสร้างสงคราม ! เดือนเมษายน คศ 1914 George ที่ 7 กษัตริย์ของอังกฤษ พร้อมด้วยนายกรัฐมนตรี Sir Edward Grey จึงเดินทางไปฝรั่งเศส เป็นกรณีพิเศษ เพื่อไปพบประธานาธิบดี Poincare ของฝรั่งเศส ที่ปารีส โดยมีนาย Iswolski ฑูตรัสเซียประจำฝรั่งเศส เข้าร่วมสนทนากัน 3 ประเทศ และด้วยลิ้นการทูตที่ยาวไปถึงใบหู อันแสนโดดเด่นของอังกฤษ ทั้ง 3 ประเทศ ก็ตกลงจับมือกันอย่างเป็นทางการ เพื่อผนึกกำลังด้านการทหารสำหรับต่อสู้ กับฝ่ายเยอรมันและออสเตรียฮังการี อันที่จริง ในสังคมอีลิต และชนชั้นสูงอังกฤษ ก็เห็นพ้องกันก่อน ปี คศ 1914 เสียด้วยซ้ำว่า สงครามเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อจะได้จัดระเบียบของยุโรปเสียใหม่ ให้เป็นไปตามที่อังกฤษเห็นเหมาะสม เป็นเวลาหลายทศวรรษมาแล้ว ที่อังกฤษใช้วิธีถ่วงอำนาจการควบคุมยุโรป ด้วยการสนับสนุนอาณาจักรออตโตมาน (ตุรกี ในปัจจุบัน) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือขวางทางรัสเซีย ที่กำลังสร้างความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรม อังกฤษสนับสนุนตุรกี ให้ควบคุม Dardanelles ทางเข้าแหล่งน้ำจืดของรัสเซีย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากของรัสเซียขณะนั้น แต่การที่ออตโตมาน กลายมาเป็นส่วนหนึ่ง ที่สนับสนุนความเจริญทางเศรษฐกิจ ของเยอรมัน ที่เข้มแข็งขึ้นทุกวันในช่วงปลาย คศ 1900 ถึง 1900 ต้นๆ อังกฤษ จึงต้องปรับดุลยอำนาจ และแผนการทูต ที่เกี่ยวข้องเสียใหม่ อังกฤษเริ่มแผน ด้วยการปรับสัมพันธ์การทูต เปลี่ยนมิตรเป็นศัตรู และเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร ตามผลประโยชน์ของอังกฤษ อังกฤษใช้ผลประโยชน์อย่างเดียว เป็นเครื่องวัดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และในกรณีนี้ ออตโตมาน ซึ่งเคยเป็นมิตรที่ดีกับอังกฤษ เสมอมา จึงถูกปรับสถานะใหม่ ให้เป็นศัตรู และไม่ใช่ศัตรูธรรมดา เป็นศัตรูที่ต้องถูกลงโทษ จนไม่เหลือประเทศ เพราะไปคบกับเยอรมัน ที่อังกฤษยกระดับให้เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งไปแล้ว และเพราะออตโตมานมีแหล่งน้ำมันที่อังกฤษตั้งใจจะครอบครองให้ได้ แต่ออตโตมานกำลังทำตัว ให้เยอรมันมีโอกาสได้แหล่งน้ำมัน ที่อังกฤษเล็งไว้ไปแทน ส่วนรัสเซีย ซึ่งอังกฤษเคยมองอย่างไม่ไว้ใจ คราวนี้จึงถูกหลอก มาให้ช่วยกำจัดออตโตมาน ซึ่งอังกฤษก็น่าจะมีเป้าหมาย ให้รัสเซียมีชะตากรรมไม่ต่างกับออตโตมาน เช่นกัน อังกฤษ มีความไม่พอใจรัสเซียสะสมอยู่แล้ว ที่รัสเซียเอง ก็มีแผนที่จะสร้างทางรถไฟสาย Trans-Siberia ยาว 5,400 ไมล์ ไปถึงเมืองท่า Vladivostock ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย ตั้งแต่ ประมาณ คศ 1890 ต้นๆ ถ้ารัสเซียสร้างสำเร็จ จะทำให้รัสเซียเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นสิ่งที่อังกฤษยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เช่นเดียวกัน อังกฤษเป็นโรคแพ้ทางรถไฟของผู้อื่นจริงๆ อังกฤษพยายามเสี้ยม ให้เกิดสงครามบอลข่านหลายครั้ง เพื่อขวางการสร้างทางรถไฟ สาย Trans-Siberia แต่ในที่สุด ในปี คศ 1903 Trans-Siberia ก็สร้างสำเร็จ แต่รัสเซีย ก็หนีไม่พ้นมือขวางของอังกฤษ คศ 1904 อังกฤษ สนับสนุนให้ญี่ปุ่นบุกรัสเซียทางไซบีเรีย รัสเซียแพ้ญี่ปุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้น ภายในรัสเซียเองก็เริ่มระส่ำระสาย มีการแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย วุ่นวายไปหมด ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าน่าจะต้านอังกฤษต่อไม่ไหว ควรกลับไปอ่อนข้อกับอังกฤษ อีกฝ่ายหนึ่ง คือฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการสร้างทางรถไฟ บอกว่า ถ้ารัสเซียยอมอังกฤษเที่ยวนี้อีก ก็คงต้องยอมไปตลอดชาติ ซาร์นิโคลัส ที่ 2 ตัดสินใจตามความเห็นของฝ่ายแรก ปลดรัฐมนตรีที่แนะนำให้สร้างทางรถไฟ และ ตกลงยอมอ่อนข้อให้อังกฤษ แล้วรัสเซียก็เสียสิทธิในการปกครองอาฟกานิสถาน กับดินแดนบางส่วนในอิหร่านให้อังกฤษไปด้วย เป็นบทเรียนที่รัสเซียไม่ควรลืม ปี คศ 1907 อังกฤษ กล่อมฝรั่งเศสและรัสเซีย มาร่วมเป็นสัมพันธมิตร Triple Entente โดยมีเป้าหมายแรก เพื่อล๊อกคอ 2 สหาย แยกออกมาจากฝั่งเยอรมันเสียก่อน เพื่อก้าวไปยังเป้าหมายต่อไป คือการทำสงครามกับเยอรมัน รัสเซียคงแพ้ทางอังกฤษ เดินหมากผิดติดต่อกัน หลังจากล๊อกคอ 2 สหายมาได้แล้ว อังกฤษ ก็ยุให้เกิดสงครามบอลข่าน 1 ในปี คศ 1912 บุลกาเรีย กรีก และเซอร์เบีย ทำสงครามกับออตโตมาน ซึ่งกำลังเริ่มเป็นคนป่วย (ทางเศรษฐกิจ) ของยุโรป อังกฤษเห็นว่า ไม่มีโอกาสไหนจะดีกว่า ทุบคนเวลาป่วย มีแต่ชนะไม่มีแพ้ แล้วออตโตมานก็น่วมตามคาด รอเวลาถูกทึ้ง บอลข่าน 1 เกิดขึ้นแล้ว แต่เยอรมันอาจมีตัวช่วยเหลืออยู่ บอลข่าน 2 จึงต้องเกิดขึ้น โดยโรมาเนียออกมาช่วยอัดกลับบุลกาเรีย อัดกันไปอัดกันมา ผลสุดท้ายอ่อนล้าไปทั้งคู่ ทั้งหมดเป็นการเตรียมการของอังกฤษในการเข้าเข้าสู่สงคราม ที่อังกฤษเรียกว่า The Great Game ที่อังกฤษวางแผนไว้เอง ด้วยสงครามเท่านั้น ที่จะทำลายเยอรมันจนหมดสภาพ ทำลายจักรออตโตมานจนไม่เหลือเค้าเดิม เพื่ออังกฤษจะได้เขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ จัดสรร แบ่งแหล่งน้ำมันกันใหม่ กับผู้ที่ชนะสงคราม และเปิดตลาดให้นักล่ารุ่นใหม่เข้าไปแล่เนื้อเถือหนังของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ 3 อาณาจักรใหญ่ มีประวัติศาสตร์ยืนยาว และน่าจะยังยั่งยืนได้ต่อไป ออตโตมาน เยอรมัน รัสเซีย จึงถูกวางแผนให้ล่มสลาย 3 เดือนหลังจากที่อังกฤษ ไปจับมือกับฝรั่งเศสและรัสเซียที่ปารีส วันที่ 28 กรกฎาคม คศ 1914 อาชดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของราชวงศ์ออสเตรีย ก็ถูกลอบยิง ที่เมืองเซราเยโว โดยชาวเซอร์เบีย ที่มีข่าวลือว่าเป็นสายลับของอังกฤษ แล้วสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เริ่มขึ้นตามแผนของอังกฤษ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 22 เม.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทนำ

    (3)

    ก่อนปี คศ 1882 โลกรู้จัก น้ำมันเหนียวๆ ดำๆ ที่เรา เรียกว่า ปิโตรเลียมแล้ว แต่ยังไม่รู้จะเอามาใช้ทำอะไรได้บ้าง และยังไม่รู้ว่า มันเป็นของมีค่ามหาศาล ถึงขนาดที่ฝ่ายที่อยากได้ หรือฝ่ายที่ไม่อยากให้ใครได้ไป พร้อมที่จะสร้างเรื่อง เพื่อทำสงครามฆ่าฟันประชาชนเจ้าของประเทศที่เป็นเจ้าของน้ำมันดำๆ เหนียวๆ นี้ ให้ตายเป็นเบือและประเทศเขาพินาศย่อยยับ อย่างไม่รู้สึกผิดและละอายแม้แต่น้อย

    ปี คศ 1853 ชาวเยอรมันชื่อ Stohwasser เป็นผู้ใช้เทคนิค ผลิตน้ำมันตะเกียง จากน้ำมันที่เรียกว่า ” rock oil” เพราะมันจะไหลออกมาจากก้อนหิน ในแหล่งที่มีน้ำมัน เช่นที่ Titusville ที่ รัฐ Pennsyvania หรือ ที่ Baku ของรัสเซีย หรือที่ Galicia ที่ขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์

    John D Rockefeller คนโคตรรวยตัวแสบของอเมริกา คงได้ยินเรื่องน้ำมันตะเกียงของ เยอรมัน จึงตั้งบริษัทน้ำมัน The Standard Oil Company ขึ้นในปี คศ 1870 เพื่อขายน้ำมันตะเกียงบ้าง รวมทั้งน้ำมัน ที่นำมาใช้ผสมกับตัวยา เพื่อเป็นยารักษาโรค มันเป็นน้ำมันชนิดราคาถูก แต่ก็ทำให้ Rockefeller รวยขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้เหมือนกัน เพราะเขาเล่นใช้วิธีผูกขาด และบี้ราคาคูแข่ง จนอยูไม่ได้และต้องขายกิจการให้เขาในราคาถูก ดีกว่าเจ๊งจนไม่เหลือแม้แต่กางเกง

    ดูเหมือนคนขายปุ๋ย ขายไก่แถวบ้านสมันน้อย ก็นำวิธีนี้มาใช้ บี้มันทุกกิจการ คนค้าขายคนเล็ก คนน้อย จึงต้องถอยร่น หร่อยหรอ และหายไปในที่สุด เหลือแต่รายใหญ่ยักษ์ครอบงำเกือบทั้งประเทศ รวย และก็เลว ไม่ต่างกัน

    ในขณะเดียวกับที่ Standard Oil ของ Rockefeller กำลังก้าวหน้า เขมือบคู่แข่งในอเมริกาไปเรื่อยๆ เจ้าพ่อของอีกฝั่งหนึ่งของมหา สมุทรแอตแลนติก ตระกูล Rothschild จมูกไว ก็เข้าไปขุดเจาะน้ำมันที่ Baku ใน Azerbaijun ของรัสเซีย ในปี คศ 1880 Rothschild มีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง Rothschild ซึ่งมีรากเหง้ามาจากยิว ไม่ได้ไปขุดน้ำมันแต่ลำพัง ขนเอาบรรดาญาติพี่น้องของตระกูล ที่กระจายอยู่ในเมืองต่างๆของยุโรป เข้าไปค้าขาย และขยายพันธ์อยู่ในรัสเซียด้วย เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้แก่ซาร์นิโคลัสแห่งรัสเซีย ที่แสดงอย่างเปิดเผยว่าไม่ชอบยิว และไม่ชอบใจ Rothschild
    ปี คศ 1882 กัปตัน Fisher แห่งกองทัพเรืออังกฤษ พยายามชักชวน ให้กองทัพเรืออังกฤษ เปลี่ยนเครื่องยนต์เรือรบ จากใช้ถ่านหิน เป็นใช้น้ำมัน ซึ่งจะทำให้เรือรบน้ำหนักเบาลง และวิ่งได้เร็วขึ้น Fisher ไม่ได้เป็นรายแรก ที่คิดติดเครื่องให้เรือวิ่งด้วยน้ำมันแทนถ่านหิน รัสเซียก็ใช้มาแล้ว เป็นเรือกลไฟเติมน้ำมัน ที่รัสเซียเรียกว่า “mazut” วิ่งควันโขมงอยู่บริเวณทะเลสาป Caspain

    กัปตัน Fisher ทำการบ้านอย่างเคร่งเครียด ถึงข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ ระหว่างการใช้เครื่องยนต์ ที่ใช้น้ำมันกับใช้ถ่านหิน ในที่สุด กองทัพเรืออังกฤษก็เห็นด้วย ที่จะเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน เพราะ ถ้าทำสำเร็จ ไม่ใช่แค่กองทัพเรือของอังกฤษจะยิ่งกว่าใหญ่เท่านั้น มันคงจะทำให้ความฝัน ที่จะครองโลกไปตลอดกาลนานของอังกฤษ เป็นความจริงอีกด้วย

    อังกฤษคิดหนัก ฝันนี้จะเป็นจริงได้อย่างไร ในเมื่ออังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง บนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แม้แต่แหล่งเดียว

    ส่วนน้ำมันที่ Baku ของรัสเซีย ก็ทำท่าจะมีปัญหาประดังกันมา เรื่องแรก Rothschild ไม่ได้มีจมูกไวคนเดียว Rockefeller ก็มีคนตามดมกลิ่นให้เหมือนกัน ประมาณปี คศ. 1884 Rockefeller จึงเข้าไปใน Baku ช่วงแรก 2 ค่ายแข่งกันขุด แย่งกันขาย ผลปรากฏว่า อาการหนักทั้งคู่ น้ำมันล้นตลาด และราคาตก 2 เจ้าพ่อจึงจับมือตกลงกัน แบ่งเขต แบ่งโควต้ากันเอง ทำเหมือน Baku เป็นที่ดินสาธารณะ ไม่มีเจ้าของ ไม่เห็นหัวซาร์นิโคลัส เจ้าของตัวจริง

    เรื่องเอายิวไปแพร่พันธ์อยูใน รัสเซีย ก็ทำให้ซาร์นิโคลัส เหม็นหน้า Rothschild พอแล้ว นี่ Rothschild รวมหัวกับ Rockefelker ทำข้อตกลง เรื่องการขุดและขายน้ำมันที่ Baku อย่างนี้ ซาร์จะรับไหวหรือ เขาเฉี่ยวหัวเอา เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของ นโยบายส่งยิวออกนอกรัสเซีย จึงเริ่มเป็นรูปธรรม และแน่นอน นโยบายนี้ จึงเป็นการสร้างความขุ่น แค้นเคือง อาฆาต ไว้กับหลายกลุ่ม หลายคน เมื่อโอกาสจะครอบครอง แหล่งน้ำมันที่รัสเซีย ไม่ง่ายอย่างที่คิด อังกฤษจึงต้องหาเสาหลักที่สามต่อไป อย่างเร่งด่วน

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทนำ

    (4)

    ในปี คศ 1902 เป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วว่า บริเวณอาณาจักรออตโตมาน ที่เรียกกันว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) คือ อิรัคและคูเวตในปัจจุบันนี้แหละ เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันปิโตรเลียม แต่ละแหล่งจะมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน และจะเข้าไปถึงแหล่งได้อย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แค่การเจอแหล่งน้ำมันนี้ ก็ทำให้บรรดานักชิงน้ำมัน อยากเป็นเจ้าของปั้ม คิดแผนกันวุ่นไปหมด จนถึงทุกวันนี้ ย้ำ จนถึงทุกวันนี้

    ในที่สุด ปี คศ 1905 อังกฤษ ซึ่งใช้สายลับระดับใกล้เคียง 007 นาย Sidney Reilly ตามสืบจนรู้ว่า นาย William Knox d’Arcy วิศวกรชาวออสเตรเลีย และเป็นนักสำรวจธรณีวิทยาสมัครเล่น ซึ่งมีข่าวว่าเจอน้ำมัน ที่วิหารเก่าแก่แถวเมืองโบราณของอิหร่าน และเทียวไปเทียวมาที่ลอนดอน เพื่อหาเงินกู้มาใช้ในการขุดน้ำมัน ซึ่งโอกาสได้เงินกู้ ริบหรี่มาก
    แต่นาย d’Arcy นับว่ายังมีโชค เนื่องจากเขาเป็นวิศวกร จึงมีโอกาสได้รับใช้ Shah Muzaffar กษัตริย์เปอร์เซีย (อิหร่าน ปัจจุบัน) ซึ่งเพิ่งขึ้นมาครองบัลลังก์ในตอนนั้น และมีความตั้งใจที่จะพัฒนาประ เทศ โดยการสร้างทางรถไฟ ปี คศ 1901 Shah ตอบแทน d’Arcy ในการให้คำปรึกษาต่างๆ ด้วยการให้สัมปทานอายุ 60 ปี ที่จะขุดเจาะแผ่นดินส่วนไหนของเปอร์เซียก็ได้ ขุดเจออะไร ก็ให้ตกเป็นทรัพย์สินของนาย d’Arcy เขาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ Shah ไป สองหมื่นเหรียญ พร้อมตกลงแบ่งให้ Shah 16 เปอร์เซนต์ของรายรับที่จะได้ มันเป็นสัมปทาน ที่ตกทอดถึงทายาท และผู้รับโอนด้วย

    สายลับ Reilly ปลอมตัวเป็นพระ เพราะรู้ว่า นาย d’Arcy เป็นคนเคร่งศาสนา เขาเกลี้ยกล่อม หว่านล้อม จนในที่สุด นาย d’Arcy ซึ่งกำลังจะเซ็นสัญญาร่วมทุนกับกลุ่มธนาคารฝรั่งเศส ของพวก Rothschild เปลี่ยนใจ โอนสัมปทานให้พระปลอมแทน นาย d’Arcy คงนึกว่าได้ทำบุญกับพระเจ้า คงคิดไม่ต่างกับพวกที่ทำบุญกับพระปลอม ที่มาจากวัดจานบิน

    ได้แหล่งน้ำมาแล้ว 1 รายการ แต่คงไม่พอ สำหรับจะใช้เพื่อเป็นอาวุธครองโลก อังกฤษสายตายาวไกล มองจ้อง และจองเอาไว้ ทั่วทั้งตะวันออกกลาง โดยเฉพาะแถบ Mosul อังกฤษ รู้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ไม่น่าจะนานเกินรอ อังกฤษมีแผนเรียบร้อยแล้ว แค่รอจังหวะเวลาบางเรื่องเท่านั้นเอง

    แต่ใช่ว่ามีแต่อังกฤษ ที่คิดครองแหล่งน้ามัน เยอรมันเองก็คิด อาจจะต่างกันที่วิธีการ หรือกลยุทธ เท่านั้นเอง

    ประมาณปี คศ 1870 อุตสาหกรรมของอังกฤษ นำหน้าเยอรมัน ชนิดทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น ในความเห็นของอังกฤษขณะนั้น เยอรมันไม่มีทีท่า ว่าจะขึ้นมาเป็นคู่แข่ง เรียกว่าไม่อยู่ในสายตาของอังกฤษ เอาเลย แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 30 ปี อุตสาหกรรมของเยอรมัน โตเร็วเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นการเดินเรือ การผลิตเหล็ก การไฟฟ้า เครื่องจักร เคมี ปุ๋ย ยารักษาโรคฯลฯ และทำให้เยอรมันเอง ก็ต้องการน้ำมัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต ในการทำอุตสาหกรรม

    และในขณะนั้น เยอรมัน ก็ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง เยอรมันต้องพึ่งน้ำมันของ Standard Oil จึงอยู่ในกำมือของ Rockefeller จนหน้าเขียว เยอรมันจะทนหน้าเขียวไปตลอด ก็คงไม่ไหว

    กลุ่มอุตสาหกรรมและการเงินของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank จึงเจรจา กับรัฐบาลของออตโตมาน เพื่อรับสร้างทางรถไฟ ที่จะวิ่งจาก กรุงคอนแสตนติโนเปิล เมืองหลวงของออตโตมาน ข้ามผ่านอนาโตเลีย เป็นเส้นทางที่เยอรมันวางแผน จะให้ไปถึงเมือง แบกแดด เป็นเส้นทางที่ผ่านแหล่งน้ำมันใหญ่ไปตลอดสาย ข่าวนี้ ทำให้อังกฤษเครียดอย่างยิ่ง และถึงกับนอนฝันร้าย เมื่อมีรายงานข่าวว่า ระหว่างสร้างทางรถไฟ สัมพันธ์ระหว่างเยอรมัน กับออตโตมาน ก็กระชับแน่นขึ้น แน่นขึ้น ไปเรื่อยๆ
    สัมพันธ์คงกระชับกันแน่นจริง ในที่สุดออตโตมาน ก็ตกลง ให้เยอรมันสร้างทางรถไฟยาว ไปถึงแบกแดด ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ยาว 2,500 ไมล์ ฝันร้ายของอังกฤษ กลายเป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องจริงที่ดีเกินความ ฝัน ของเยอรมัน เพราะ ในปี 1912 จากการเจรจาของ Deutsche Bank ออตโตมานเกิดใจดี แถมให้สิทธิ 2 ข้างทาง (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร ยาวตลอดเส้นทางรถไฟ ซึ่งจะไปถึง Mosul หรือ อืรัค ในปัจจุบัน แก่เยอรมัน

    ข่าวนี้ทำให้อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ถึงกับยืนไม่อยู่ เข่าทรุดทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง เท้าทั้ง 2 ข้าง จากนิ้วก้อยถึงนิ้วโป้ง ทำท่าจะรับน้ำหนักต่อไปอีกไม่ไหว จะให้ดีแบบนี้ ต้องมี 4 เท้า ถึงจะยืนอยู่ได้

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    21 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (3) ก่อนปี คศ 1882 โลกรู้จัก น้ำมันเหนียวๆ ดำๆ ที่เรา เรียกว่า ปิโตรเลียมแล้ว แต่ยังไม่รู้จะเอามาใช้ทำอะไรได้บ้าง และยังไม่รู้ว่า มันเป็นของมีค่ามหาศาล ถึงขนาดที่ฝ่ายที่อยากได้ หรือฝ่ายที่ไม่อยากให้ใครได้ไป พร้อมที่จะสร้างเรื่อง เพื่อทำสงครามฆ่าฟันประชาชนเจ้าของประเทศที่เป็นเจ้าของน้ำมันดำๆ เหนียวๆ นี้ ให้ตายเป็นเบือและประเทศเขาพินาศย่อยยับ อย่างไม่รู้สึกผิดและละอายแม้แต่น้อย ปี คศ 1853 ชาวเยอรมันชื่อ Stohwasser เป็นผู้ใช้เทคนิค ผลิตน้ำมันตะเกียง จากน้ำมันที่เรียกว่า ” rock oil” เพราะมันจะไหลออกมาจากก้อนหิน ในแหล่งที่มีน้ำมัน เช่นที่ Titusville ที่ รัฐ Pennsyvania หรือ ที่ Baku ของรัสเซีย หรือที่ Galicia ที่ขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์ John D Rockefeller คนโคตรรวยตัวแสบของอเมริกา คงได้ยินเรื่องน้ำมันตะเกียงของ เยอรมัน จึงตั้งบริษัทน้ำมัน The Standard Oil Company ขึ้นในปี คศ 1870 เพื่อขายน้ำมันตะเกียงบ้าง รวมทั้งน้ำมัน ที่นำมาใช้ผสมกับตัวยา เพื่อเป็นยารักษาโรค มันเป็นน้ำมันชนิดราคาถูก แต่ก็ทำให้ Rockefeller รวยขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้เหมือนกัน เพราะเขาเล่นใช้วิธีผูกขาด และบี้ราคาคูแข่ง จนอยูไม่ได้และต้องขายกิจการให้เขาในราคาถูก ดีกว่าเจ๊งจนไม่เหลือแม้แต่กางเกง ดูเหมือนคนขายปุ๋ย ขายไก่แถวบ้านสมันน้อย ก็นำวิธีนี้มาใช้ บี้มันทุกกิจการ คนค้าขายคนเล็ก คนน้อย จึงต้องถอยร่น หร่อยหรอ และหายไปในที่สุด เหลือแต่รายใหญ่ยักษ์ครอบงำเกือบทั้งประเทศ รวย และก็เลว ไม่ต่างกัน ในขณะเดียวกับที่ Standard Oil ของ Rockefeller กำลังก้าวหน้า เขมือบคู่แข่งในอเมริกาไปเรื่อยๆ เจ้าพ่อของอีกฝั่งหนึ่งของมหา สมุทรแอตแลนติก ตระกูล Rothschild จมูกไว ก็เข้าไปขุดเจาะน้ำมันที่ Baku ใน Azerbaijun ของรัสเซีย ในปี คศ 1880 Rothschild มีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง Rothschild ซึ่งมีรากเหง้ามาจากยิว ไม่ได้ไปขุดน้ำมันแต่ลำพัง ขนเอาบรรดาญาติพี่น้องของตระกูล ที่กระจายอยู่ในเมืองต่างๆของยุโรป เข้าไปค้าขาย และขยายพันธ์อยู่ในรัสเซียด้วย เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้แก่ซาร์นิโคลัสแห่งรัสเซีย ที่แสดงอย่างเปิดเผยว่าไม่ชอบยิว และไม่ชอบใจ Rothschild ปี คศ 1882 กัปตัน Fisher แห่งกองทัพเรืออังกฤษ พยายามชักชวน ให้กองทัพเรืออังกฤษ เปลี่ยนเครื่องยนต์เรือรบ จากใช้ถ่านหิน เป็นใช้น้ำมัน ซึ่งจะทำให้เรือรบน้ำหนักเบาลง และวิ่งได้เร็วขึ้น Fisher ไม่ได้เป็นรายแรก ที่คิดติดเครื่องให้เรือวิ่งด้วยน้ำมันแทนถ่านหิน รัสเซียก็ใช้มาแล้ว เป็นเรือกลไฟเติมน้ำมัน ที่รัสเซียเรียกว่า “mazut” วิ่งควันโขมงอยู่บริเวณทะเลสาป Caspain กัปตัน Fisher ทำการบ้านอย่างเคร่งเครียด ถึงข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ ระหว่างการใช้เครื่องยนต์ ที่ใช้น้ำมันกับใช้ถ่านหิน ในที่สุด กองทัพเรืออังกฤษก็เห็นด้วย ที่จะเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน เพราะ ถ้าทำสำเร็จ ไม่ใช่แค่กองทัพเรือของอังกฤษจะยิ่งกว่าใหญ่เท่านั้น มันคงจะทำให้ความฝัน ที่จะครองโลกไปตลอดกาลนานของอังกฤษ เป็นความจริงอีกด้วย อังกฤษคิดหนัก ฝันนี้จะเป็นจริงได้อย่างไร ในเมื่ออังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง บนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แม้แต่แหล่งเดียว ส่วนน้ำมันที่ Baku ของรัสเซีย ก็ทำท่าจะมีปัญหาประดังกันมา เรื่องแรก Rothschild ไม่ได้มีจมูกไวคนเดียว Rockefeller ก็มีคนตามดมกลิ่นให้เหมือนกัน ประมาณปี คศ. 1884 Rockefeller จึงเข้าไปใน Baku ช่วงแรก 2 ค่ายแข่งกันขุด แย่งกันขาย ผลปรากฏว่า อาการหนักทั้งคู่ น้ำมันล้นตลาด และราคาตก 2 เจ้าพ่อจึงจับมือตกลงกัน แบ่งเขต แบ่งโควต้ากันเอง ทำเหมือน Baku เป็นที่ดินสาธารณะ ไม่มีเจ้าของ ไม่เห็นหัวซาร์นิโคลัส เจ้าของตัวจริง เรื่องเอายิวไปแพร่พันธ์อยูใน รัสเซีย ก็ทำให้ซาร์นิโคลัส เหม็นหน้า Rothschild พอแล้ว นี่ Rothschild รวมหัวกับ Rockefelker ทำข้อตกลง เรื่องการขุดและขายน้ำมันที่ Baku อย่างนี้ ซาร์จะรับไหวหรือ เขาเฉี่ยวหัวเอา เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของ นโยบายส่งยิวออกนอกรัสเซีย จึงเริ่มเป็นรูปธรรม และแน่นอน นโยบายนี้ จึงเป็นการสร้างความขุ่น แค้นเคือง อาฆาต ไว้กับหลายกลุ่ม หลายคน เมื่อโอกาสจะครอบครอง แหล่งน้ำมันที่รัสเซีย ไม่ง่ายอย่างที่คิด อังกฤษจึงต้องหาเสาหลักที่สามต่อไป อย่างเร่งด่วน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (4) ในปี คศ 1902 เป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วว่า บริเวณอาณาจักรออตโตมาน ที่เรียกกันว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) คือ อิรัคและคูเวตในปัจจุบันนี้แหละ เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันปิโตรเลียม แต่ละแหล่งจะมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน และจะเข้าไปถึงแหล่งได้อย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แค่การเจอแหล่งน้ำมันนี้ ก็ทำให้บรรดานักชิงน้ำมัน อยากเป็นเจ้าของปั้ม คิดแผนกันวุ่นไปหมด จนถึงทุกวันนี้ ย้ำ จนถึงทุกวันนี้ ในที่สุด ปี คศ 1905 อังกฤษ ซึ่งใช้สายลับระดับใกล้เคียง 007 นาย Sidney Reilly ตามสืบจนรู้ว่า นาย William Knox d’Arcy วิศวกรชาวออสเตรเลีย และเป็นนักสำรวจธรณีวิทยาสมัครเล่น ซึ่งมีข่าวว่าเจอน้ำมัน ที่วิหารเก่าแก่แถวเมืองโบราณของอิหร่าน และเทียวไปเทียวมาที่ลอนดอน เพื่อหาเงินกู้มาใช้ในการขุดน้ำมัน ซึ่งโอกาสได้เงินกู้ ริบหรี่มาก แต่นาย d’Arcy นับว่ายังมีโชค เนื่องจากเขาเป็นวิศวกร จึงมีโอกาสได้รับใช้ Shah Muzaffar กษัตริย์เปอร์เซีย (อิหร่าน ปัจจุบัน) ซึ่งเพิ่งขึ้นมาครองบัลลังก์ในตอนนั้น และมีความตั้งใจที่จะพัฒนาประ เทศ โดยการสร้างทางรถไฟ ปี คศ 1901 Shah ตอบแทน d’Arcy ในการให้คำปรึกษาต่างๆ ด้วยการให้สัมปทานอายุ 60 ปี ที่จะขุดเจาะแผ่นดินส่วนไหนของเปอร์เซียก็ได้ ขุดเจออะไร ก็ให้ตกเป็นทรัพย์สินของนาย d’Arcy เขาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ Shah ไป สองหมื่นเหรียญ พร้อมตกลงแบ่งให้ Shah 16 เปอร์เซนต์ของรายรับที่จะได้ มันเป็นสัมปทาน ที่ตกทอดถึงทายาท และผู้รับโอนด้วย สายลับ Reilly ปลอมตัวเป็นพระ เพราะรู้ว่า นาย d’Arcy เป็นคนเคร่งศาสนา เขาเกลี้ยกล่อม หว่านล้อม จนในที่สุด นาย d’Arcy ซึ่งกำลังจะเซ็นสัญญาร่วมทุนกับกลุ่มธนาคารฝรั่งเศส ของพวก Rothschild เปลี่ยนใจ โอนสัมปทานให้พระปลอมแทน นาย d’Arcy คงนึกว่าได้ทำบุญกับพระเจ้า คงคิดไม่ต่างกับพวกที่ทำบุญกับพระปลอม ที่มาจากวัดจานบิน ได้แหล่งน้ำมาแล้ว 1 รายการ แต่คงไม่พอ สำหรับจะใช้เพื่อเป็นอาวุธครองโลก อังกฤษสายตายาวไกล มองจ้อง และจองเอาไว้ ทั่วทั้งตะวันออกกลาง โดยเฉพาะแถบ Mosul อังกฤษ รู้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ไม่น่าจะนานเกินรอ อังกฤษมีแผนเรียบร้อยแล้ว แค่รอจังหวะเวลาบางเรื่องเท่านั้นเอง แต่ใช่ว่ามีแต่อังกฤษ ที่คิดครองแหล่งน้ามัน เยอรมันเองก็คิด อาจจะต่างกันที่วิธีการ หรือกลยุทธ เท่านั้นเอง ประมาณปี คศ 1870 อุตสาหกรรมของอังกฤษ นำหน้าเยอรมัน ชนิดทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น ในความเห็นของอังกฤษขณะนั้น เยอรมันไม่มีทีท่า ว่าจะขึ้นมาเป็นคู่แข่ง เรียกว่าไม่อยู่ในสายตาของอังกฤษ เอาเลย แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 30 ปี อุตสาหกรรมของเยอรมัน โตเร็วเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นการเดินเรือ การผลิตเหล็ก การไฟฟ้า เครื่องจักร เคมี ปุ๋ย ยารักษาโรคฯลฯ และทำให้เยอรมันเอง ก็ต้องการน้ำมัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต ในการทำอุตสาหกรรม และในขณะนั้น เยอรมัน ก็ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง เยอรมันต้องพึ่งน้ำมันของ Standard Oil จึงอยู่ในกำมือของ Rockefeller จนหน้าเขียว เยอรมันจะทนหน้าเขียวไปตลอด ก็คงไม่ไหว กลุ่มอุตสาหกรรมและการเงินของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank จึงเจรจา กับรัฐบาลของออตโตมาน เพื่อรับสร้างทางรถไฟ ที่จะวิ่งจาก กรุงคอนแสตนติโนเปิล เมืองหลวงของออตโตมาน ข้ามผ่านอนาโตเลีย เป็นเส้นทางที่เยอรมันวางแผน จะให้ไปถึงเมือง แบกแดด เป็นเส้นทางที่ผ่านแหล่งน้ำมันใหญ่ไปตลอดสาย ข่าวนี้ ทำให้อังกฤษเครียดอย่างยิ่ง และถึงกับนอนฝันร้าย เมื่อมีรายงานข่าวว่า ระหว่างสร้างทางรถไฟ สัมพันธ์ระหว่างเยอรมัน กับออตโตมาน ก็กระชับแน่นขึ้น แน่นขึ้น ไปเรื่อยๆ สัมพันธ์คงกระชับกันแน่นจริง ในที่สุดออตโตมาน ก็ตกลง ให้เยอรมันสร้างทางรถไฟยาว ไปถึงแบกแดด ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ยาว 2,500 ไมล์ ฝันร้ายของอังกฤษ กลายเป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องจริงที่ดีเกินความ ฝัน ของเยอรมัน เพราะ ในปี 1912 จากการเจรจาของ Deutsche Bank ออตโตมานเกิดใจดี แถมให้สิทธิ 2 ข้างทาง (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร ยาวตลอดเส้นทางรถไฟ ซึ่งจะไปถึง Mosul หรือ อืรัค ในปัจจุบัน แก่เยอรมัน ข่าวนี้ทำให้อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ถึงกับยืนไม่อยู่ เข่าทรุดทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง เท้าทั้ง 2 ข้าง จากนิ้วก้อยถึงนิ้วโป้ง ทำท่าจะรับน้ำหนักต่อไปอีกไม่ไหว จะให้ดีแบบนี้ ต้องมี 4 เท้า ถึงจะยืนอยู่ได้ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 21 เม.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • กองทัพไทยเรา ต้องยึดอำนาจอย่างเดียว,ประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศเถอะ เลอะเทอะมากพอแล้ว บ้านเมืองมีแต่เสียหายสิ้นชาติอย่างเดียว.,อับอายบรรพบุรุษเรามาก,เรา..ลูกหลานคนรุ่นปัจจุบันรับไม่ได้จริงๆกับนักการเมืองชั่วเลวหน้ามึนหน้าด้านหน้าหนาแบบนี้.

    https://vm.tiktok.com/ZSHvTyfRS3ctq-KMt6S/
    กองทัพไทยเรา ต้องยึดอำนาจอย่างเดียว,ประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศเถอะ เลอะเทอะมากพอแล้ว บ้านเมืองมีแต่เสียหายสิ้นชาติอย่างเดียว.,อับอายบรรพบุรุษเรามาก,เรา..ลูกหลานคนรุ่นปัจจุบันรับไม่ได้จริงๆกับนักการเมืองชั่วเลวหน้ามึนหน้าด้านหน้าหนาแบบนี้. https://vm.tiktok.com/ZSHvTyfRS3ctq-KMt6S/
    @amarintvhd

    วีระ สมความคิด แฉ ทรัปม์ มัดมือชกนายกฯอนุทินเซ็นสัญญา เข้ามาขุดแร่แรร์เอิร์ธ แร่หายากในไทย#แร่แรร์เอิร์ธ#แร่หายาก#ทรัมป์#เรื่องร้อนอมรินทร์#AmarinTV#amarintvonline#ข่าวอมรินทร์ออนไลน์#ข่าวTikTok#ข่าวด่วนTikTok

    ♬ เสียงต้นฉบับ - Amarin TV HD 34 - Amarin TV HD 34
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • "อนุทิน" ขอโทษประชาชนทำเข้าใจผิด ปมบอกไทยก็รุกล้ำพื้นที่เขมร แจงหมายถึงพื้นที่อ้างสิทธิ์ ยอมรับเงื่อนไข 4 ข้อ ไม่น่าจบทัน 4 เดือน โดยเฉพาะเรื่องปราบสแกมเมอร์ต้องคุยกันใหม่

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000102972

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    "อนุทิน" ขอโทษประชาชนทำเข้าใจผิด ปมบอกไทยก็รุกล้ำพื้นที่เขมร แจงหมายถึงพื้นที่อ้างสิทธิ์ ยอมรับเงื่อนไข 4 ข้อ ไม่น่าจบทัน 4 เดือน โดยเฉพาะเรื่องปราบสแกมเมอร์ต้องคุยกันใหม่ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000102972 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • CISOs ควรปรับแนวคิดเรื่องความเสี่ยงจากผู้ให้บริการหรือไม่? — เมื่อ AI และบริการภายนอกซับซ้อนขึ้น

    บทความจาก CSO Online ชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) กำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ในการจัดการความเสี่ยงจากผู้ให้บริการภายนอก (MSP/MSSP) โดยเฉพาะเมื่อบริการเหล่านี้มีความสำคัญและซับซ้อนมากขึ้น เช่น การจัดการระบบคลาวด์, AI, และศูนย์ปฏิบัติการด้านความปลอดภัย (SOC)

    ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
    47% ขององค์กรพบเหตุการณ์โจมตีหรือข้อมูลรั่วไหลจาก third-party ภายใน 12 เดือน
    บอร์ดบริหารกดดันให้ CISO แสดงความมั่นใจในความปลอดภัยของพันธมิตร
    การตรวจสอบผู้ให้บริการกลายเป็นภาระหนักทั้งต่อองค์กรและผู้ให้บริการ

    ความซับซ้อนของบริการ
    MSP/MSSP ไม่ใช่แค่ให้บริการพื้นฐาน แต่รวมถึง threat hunting, data warehousing, AI tuning
    การประเมินความเสี่ยงต้องครอบคลุมตั้งแต่ leadership, GRC, SDLC, SLA ไปจนถึง disaster recovery

    ความสัมพันธ์มากกว่าการตรวจสอบ
    CISOs ควรเริ่มจากการสร้างความสัมพันธ์ก่อน แล้วจึงเข้าสู่การประเมินอย่างเป็นทางการ
    การสนทนาเปิดเผยช่วยสร้างความไว้วางใจมากกว่าการกรอกแบบฟอร์ม

    คำถามแนะนำสำหรับการประเมินผู้ให้บริการ
    ใครรับผิดชอบด้าน cybersecurity และรายงานต่อใคร?
    มีการใช้ framework ใด และตรวจสอบอย่างไร?
    มีการทดสอบเชิงรุก เช่น pen test, crisis drill หรือไม่?
    มีการฝึกอบรมพนักงานด้านภัยคุกคามหรือไม่?

    บทบาทของ AI
    AI เพิ่มความเสี่ยงใหม่ แต่ก็ช่วยตรวจสอบพันธมิตรได้ดีขึ้น
    มีการติดตามการรับรอง ISO 42001 สำหรับ AI governance
    GenAI สามารถช่วยค้นหาข้อมูลสาธารณะของผู้ให้บริการเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือ

    ข้อเสนอแนะสำหรับ CISOs
    เปลี่ยนจาก “แบบสอบถาม” เป็น “บทสนทนา” เพื่อเข้าใจความคิดของพันธมิตร
    มองความเสี่ยงเป็น “ความรับผิดชอบร่วม” ไม่ใช่แค่การโยนภาระ
    ใช้ AI เพื่อเสริมการตรวจสอบ ไม่ใช่แทนที่การประเมินเชิงมนุษย์

    https://www.csoonline.com/article/4075982/do-cisos-need-to-rethink-service-provider-risk.html
    🛡️🤝 CISOs ควรปรับแนวคิดเรื่องความเสี่ยงจากผู้ให้บริการหรือไม่? — เมื่อ AI และบริการภายนอกซับซ้อนขึ้น บทความจาก CSO Online ชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) กำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ในการจัดการความเสี่ยงจากผู้ให้บริการภายนอก (MSP/MSSP) โดยเฉพาะเมื่อบริการเหล่านี้มีความสำคัญและซับซ้อนมากขึ้น เช่น การจัดการระบบคลาวด์, AI, และศูนย์ปฏิบัติการด้านความปลอดภัย (SOC) 📈 ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น 🎗️ 47% ขององค์กรพบเหตุการณ์โจมตีหรือข้อมูลรั่วไหลจาก third-party ภายใน 12 เดือน 🎗️ บอร์ดบริหารกดดันให้ CISO แสดงความมั่นใจในความปลอดภัยของพันธมิตร 🎗️ การตรวจสอบผู้ให้บริการกลายเป็นภาระหนักทั้งต่อองค์กรและผู้ให้บริการ 🧠 ความซับซ้อนของบริการ 🎗️ MSP/MSSP ไม่ใช่แค่ให้บริการพื้นฐาน แต่รวมถึง threat hunting, data warehousing, AI tuning 🎗️ การประเมินความเสี่ยงต้องครอบคลุมตั้งแต่ leadership, GRC, SDLC, SLA ไปจนถึง disaster recovery 🤝 ความสัมพันธ์มากกว่าการตรวจสอบ 🎗️ CISOs ควรเริ่มจากการสร้างความสัมพันธ์ก่อน แล้วจึงเข้าสู่การประเมินอย่างเป็นทางการ 🎗️ การสนทนาเปิดเผยช่วยสร้างความไว้วางใจมากกว่าการกรอกแบบฟอร์ม 🧪 คำถามแนะนำสำหรับการประเมินผู้ให้บริการ 🎗️ ใครรับผิดชอบด้าน cybersecurity และรายงานต่อใคร? 🎗️ มีการใช้ framework ใด และตรวจสอบอย่างไร? 🎗️ มีการทดสอบเชิงรุก เช่น pen test, crisis drill หรือไม่? 🎗️ มีการฝึกอบรมพนักงานด้านภัยคุกคามหรือไม่? 🤖 บทบาทของ AI 🎗️ AI เพิ่มความเสี่ยงใหม่ แต่ก็ช่วยตรวจสอบพันธมิตรได้ดีขึ้น 🎗️ มีการติดตามการรับรอง ISO 42001 สำหรับ AI governance 🎗️ GenAI สามารถช่วยค้นหาข้อมูลสาธารณะของผู้ให้บริการเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือ ✅ ข้อเสนอแนะสำหรับ CISOs ➡️ เปลี่ยนจาก “แบบสอบถาม” เป็น “บทสนทนา” เพื่อเข้าใจความคิดของพันธมิตร ➡️ มองความเสี่ยงเป็น “ความรับผิดชอบร่วม” ไม่ใช่แค่การโยนภาระ ➡️ ใช้ AI เพื่อเสริมการตรวจสอบ ไม่ใช่แทนที่การประเมินเชิงมนุษย์ https://www.csoonline.com/article/4075982/do-cisos-need-to-rethink-service-provider-risk.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Do CISOs need to rethink service provider risk?
    CISOs are charged with managing a vast ecosystem of MSPs and MSSPs, but are the usual processes fit for purpose as outsourced services become more complex and critical — and will AI force a rethink?
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • กองทัพสหรัฐฯ เผชิญปัญหาใหม่: โดรนมากเกินไปจนเป็นภาระต่อทหารภาคพื้นดิน

    แม้ว่าโดรนจะกลายเป็นอาวุธสำคัญในสงครามยุคใหม่ ทั้งในอัฟกานิสถาน อิรัก และยูเครน แต่กองทัพสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับปัญหาใหม่ที่ไม่คาดคิด — จำนวนโดรนที่มากเกินไป กำลังกลายเป็นภาระต่อทหารภาคพื้นดิน โดยเฉพาะในระดับหมวดและกองร้อย

    ปัญหาหลักที่เกิดจาก “โดรนล้นสนามรบ”
    กองทัพเริ่มแจกจ่ายโดรนให้ใช้ในระดับกองร้อยและหมวด ทำให้ทหารแต่ละหน่วยต้องรับผิดชอบอุปกรณ์เพิ่มขึ้น
    ทหารภาคพื้นดินต้องแบกอุปกรณ์หนักอยู่แล้ว เช่น ปืน, กระสุน, อาหาร, น้ำ, เสื้อเกราะ — รวมแล้วอาจหนักถึง 75–150+ ปอนด์
    การเพิ่มโดรนเข้าไป เช่น RQ-11 Raven ที่หนักราว 5 ปอนด์ ยังต้องมีอุปกรณ์ควบคุม, หน้าจอรับภาพ, และกระเป๋าใส่อุปกรณ์อีก
    หน่วยทหารบางแห่งไม่มีเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกใช้งานโดรน ทำให้การใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพ
    ผู้บังคับหมวดต้องรับภาระเพิ่มในการจัดการโดรน นอกเหนือจากการควบคุมกำลังพลและยุทธวิธี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    โดรนถูกใช้อย่างแพร่หลายในสงครามยุคใหม่ เช่น ISR, สนับสนุนทางอากาศ, ลอบโจมตี
    กองทัพสหรัฐฯ ใช้โดรนหลายรุ่น เช่น MQ-1 Predator, MQ-9 Reaper, RQ-11 Raven
    การแจกจ่ายโดรนในระดับหมวดและกองร้อยสร้างภาระด้านน้ำหนักและการจัดการ
    ทหารภาคพื้นดินต้องแบกอุปกรณ์หนักอยู่แล้ว การเพิ่มโดรนอาจทำให้เสียสมดุล
    ขาดบุคลากรที่ผ่านการฝึกใช้งานโดรนในบางหน่วย

    แนวทางแก้ไขที่เสนอ
    ย้ายการใช้งานโดรนจากระดับหมวดไปยังระดับหมู่หรือกองร้อยขึ้นไป
    พัฒนาโดรนขนาดเล็กแบบใช้ครั้งเดียวที่ไม่เพิ่มภาระมาก
    เพิ่มการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้สามารถใช้งานโดรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.slashgear.com/2005463/us-army-colonel-problem-too-many-drones/
    🛩️⚠️ กองทัพสหรัฐฯ เผชิญปัญหาใหม่: โดรนมากเกินไปจนเป็นภาระต่อทหารภาคพื้นดิน แม้ว่าโดรนจะกลายเป็นอาวุธสำคัญในสงครามยุคใหม่ ทั้งในอัฟกานิสถาน อิรัก และยูเครน แต่กองทัพสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับปัญหาใหม่ที่ไม่คาดคิด — จำนวนโดรนที่มากเกินไป กำลังกลายเป็นภาระต่อทหารภาคพื้นดิน โดยเฉพาะในระดับหมวดและกองร้อย 📦 ปัญหาหลักที่เกิดจาก “โดรนล้นสนามรบ” 💠 กองทัพเริ่มแจกจ่ายโดรนให้ใช้ในระดับกองร้อยและหมวด ทำให้ทหารแต่ละหน่วยต้องรับผิดชอบอุปกรณ์เพิ่มขึ้น 💠 ทหารภาคพื้นดินต้องแบกอุปกรณ์หนักอยู่แล้ว เช่น ปืน, กระสุน, อาหาร, น้ำ, เสื้อเกราะ — รวมแล้วอาจหนักถึง 75–150+ ปอนด์ 💠 การเพิ่มโดรนเข้าไป เช่น RQ-11 Raven ที่หนักราว 5 ปอนด์ ยังต้องมีอุปกรณ์ควบคุม, หน้าจอรับภาพ, และกระเป๋าใส่อุปกรณ์อีก 💠 หน่วยทหารบางแห่งไม่มีเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกใช้งานโดรน ทำให้การใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพ 💠 ผู้บังคับหมวดต้องรับภาระเพิ่มในการจัดการโดรน นอกเหนือจากการควบคุมกำลังพลและยุทธวิธี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ โดรนถูกใช้อย่างแพร่หลายในสงครามยุคใหม่ เช่น ISR, สนับสนุนทางอากาศ, ลอบโจมตี ➡️ กองทัพสหรัฐฯ ใช้โดรนหลายรุ่น เช่น MQ-1 Predator, MQ-9 Reaper, RQ-11 Raven ➡️ การแจกจ่ายโดรนในระดับหมวดและกองร้อยสร้างภาระด้านน้ำหนักและการจัดการ ➡️ ทหารภาคพื้นดินต้องแบกอุปกรณ์หนักอยู่แล้ว การเพิ่มโดรนอาจทำให้เสียสมดุล ➡️ ขาดบุคลากรที่ผ่านการฝึกใช้งานโดรนในบางหน่วย ✅ แนวทางแก้ไขที่เสนอ ➡️ ย้ายการใช้งานโดรนจากระดับหมวดไปยังระดับหมู่หรือกองร้อยขึ้นไป ➡️ พัฒนาโดรนขนาดเล็กแบบใช้ครั้งเดียวที่ไม่เพิ่มภาระมาก ➡️ เพิ่มการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้สามารถใช้งานโดรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.slashgear.com/2005463/us-army-colonel-problem-too-many-drones/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The US Army Has A Looming Problem: Too Many Drones - SlashGear
    While drones are undoubtedly helpful, an overabundance of them creates a problem for ground operations., overloading soldiers with extra equipment to carry.
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • IPFire 2.29 Core Update 198 เสริมเกราะ IPS ครั้งใหญ่ พร้อมอัปเดตความปลอดภัยรอบด้าน

    IPFire 2.29 Core Update 198 คือการอัปเดตครั้งใหญ่ของดิสโทรไฟร์วอลล์แบบโอเพ่นซอร์ส ที่มุ่งเน้นการยกระดับระบบป้องกันการบุกรุก (IPS) ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น พร้อมทั้งอัปเดตเครื่องมือสำคัญและแพตช์ความปลอดภัยจำนวนมาก

    จุดเด่นของ IPFire 2.29 Core Update 198
    ยกระดับ IPS ด้วย Suricata 8.0.1 ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
    รองรับการแจ้งเตือนและรายงานภัยคุกคามแบบเรียลไทม์
    ปรับปรุงการจัดการหน่วยความจำและการเริ่มต้นระบบ
    รองรับโปรโตคอลใหม่หลากหลายสำหรับการตรวจสอบเครือข่าย
    อัปเดตเครื่องมือและไลบรารีสำคัญจำนวนมาก
    เพิ่มความสามารถในการบันทึกและตรวจสอบเหตุการณ์ย้อนหลัง

    คำเตือนสำหรับผู้ดูแลระบบ
    ควรอัปเดตระบบทันทีเพื่อรับแพตช์ความปลอดภัยล่าสุด
    ตรวจสอบการตั้งค่าแจ้งเตือนและการเชื่อมต่อ syslog ให้พร้อมใช้งาน
    หากใช้กฎ IPS แบบกำหนดเอง อาจต้องทดสอบความเข้ากันได้กับ Suricata 8

    https://9to5linux.com/ipfire-2-29-core-update-198-gives-major-boost-to-the-intrusion-prevention-system
    🛡️🔥 IPFire 2.29 Core Update 198 เสริมเกราะ IPS ครั้งใหญ่ พร้อมอัปเดตความปลอดภัยรอบด้าน IPFire 2.29 Core Update 198 คือการอัปเดตครั้งใหญ่ของดิสโทรไฟร์วอลล์แบบโอเพ่นซอร์ส ที่มุ่งเน้นการยกระดับระบบป้องกันการบุกรุก (IPS) ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น พร้อมทั้งอัปเดตเครื่องมือสำคัญและแพตช์ความปลอดภัยจำนวนมาก ✅ จุดเด่นของ IPFire 2.29 Core Update 198 ➡️ ยกระดับ IPS ด้วย Suricata 8.0.1 ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ➡️ รองรับการแจ้งเตือนและรายงานภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ ➡️ ปรับปรุงการจัดการหน่วยความจำและการเริ่มต้นระบบ ➡️ รองรับโปรโตคอลใหม่หลากหลายสำหรับการตรวจสอบเครือข่าย ➡️ อัปเดตเครื่องมือและไลบรารีสำคัญจำนวนมาก ➡️ เพิ่มความสามารถในการบันทึกและตรวจสอบเหตุการณ์ย้อนหลัง ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ดูแลระบบ ⛔ ควรอัปเดตระบบทันทีเพื่อรับแพตช์ความปลอดภัยล่าสุด ⛔ ตรวจสอบการตั้งค่าแจ้งเตือนและการเชื่อมต่อ syslog ให้พร้อมใช้งาน ⛔ หากใช้กฎ IPS แบบกำหนดเอง อาจต้องทดสอบความเข้ากันได้กับ Suricata 8 https://9to5linux.com/ipfire-2-29-core-update-198-gives-major-boost-to-the-intrusion-prevention-system
    9TO5LINUX.COM
    IPFire 2.29 Core Update 198 Gives Major Boost to the Intrusion Prevention System - 9to5Linux
    IPFire 2.29 Core Update 198 firewall distribution is now available for download with major improvements to the Intrusion Prevention System.
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • SadServers: แพลตฟอร์มฝึกทักษะ Linux และ DevOps ผ่านสถานการณ์จริงในระบบออนไลน์

    SadServers คือเว็บไซต์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ดูแลระบบ Linux และสายงาน DevOps ได้ฝึกฝนทักษะผ่านการแก้ปัญหาจริงในเซิร์ฟเวอร์ที่ “กำลังมีปัญหา” โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม ไม่ต้องมีเครื่องเซิร์ฟเวอร์ของตัวเอง แค่คลิก “Run” ก็เริ่มทดสอบได้ทันที

    ลักษณะการใช้งานของ SadServers

    ผู้ใช้จะได้รับเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกตั้งค่าล่วงหน้าให้มีปัญหาเฉพาะ
    ต้องเข้าไปแก้ไขผ่าน terminal ที่เปิดได้จากเว็บเบราว์เซอร์
    มีโจทย์ให้เลือกหลายระดับ: ง่าย, ปานกลาง, ยาก
    มี 3 ประเภทโจทย์:
    - Fix: แก้ปัญหาเซิร์ฟเวอร์ให้กลับมาทำงานได้
    - Hack: ทดสอบความปลอดภัยของระบบ
    - Do: ทำงานตามคำสั่งใน command line
    ระบบจะตรวจคำตอบโดยอัตโนมัติเมื่อส่งงาน
    มีโจทย์ฟรีให้เล่นโดยไม่ต้องสมัครสมาชิก เช่น การหาว่าโปรแกรมใดกำลังเขียน log file แล้วหยุดมัน

    จุดเด่นของ SadServers
    ฝึกทักษะ Linux และ DevOps ผ่านสถานการณ์จริง
    ไม่ต้องติดตั้งเครื่องมือหรือเซิร์ฟเวอร์เอง
    มีระบบตรวจคำตอบอัตโนมัติ
    รองรับการใช้งานผ่านเบราว์เซอร์
    มีโจทย์ฟรีให้ทดลองก่อนสมัคร

    สิทธิพิเศษในเวอร์ชัน Pro
    เข้าถึงโจทย์ทั้งหมด
    เวลาทำโจทย์นานขึ้น
    ลองทำซ้ำได้ไม่จำกัด
    เข้าถึง VM ผ่าน SSH โดยตรง
    มีระบบบันทึกคำสั่งและหน้าแสดงความสำเร็จ

    เบื้องหลังการพัฒนา
    สร้างโดย Fernando ผู้เชี่ยวชาญด้าน DevOps
    เน้นการใช้งานจริงมากกว่าความสวยงามของเว็บไซต์
    เหมาะสำหรับผู้ที่เบื่อทฤษฎีและต้องการฝึกแบบลงมือจริง

    https://news.itsfoss.com/sadservers/
    🧠💻 SadServers: แพลตฟอร์มฝึกทักษะ Linux และ DevOps ผ่านสถานการณ์จริงในระบบออนไลน์ SadServers คือเว็บไซต์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ดูแลระบบ Linux และสายงาน DevOps ได้ฝึกฝนทักษะผ่านการแก้ปัญหาจริงในเซิร์ฟเวอร์ที่ “กำลังมีปัญหา” โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม ไม่ต้องมีเครื่องเซิร์ฟเวอร์ของตัวเอง แค่คลิก “Run” ก็เริ่มทดสอบได้ทันที 🔧 ลักษณะการใช้งานของ SadServers 💠 ผู้ใช้จะได้รับเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกตั้งค่าล่วงหน้าให้มีปัญหาเฉพาะ 💠 ต้องเข้าไปแก้ไขผ่าน terminal ที่เปิดได้จากเว็บเบราว์เซอร์ 💠 มีโจทย์ให้เลือกหลายระดับ: ง่าย, ปานกลาง, ยาก 💠 มี 3 ประเภทโจทย์: - Fix: แก้ปัญหาเซิร์ฟเวอร์ให้กลับมาทำงานได้ - Hack: ทดสอบความปลอดภัยของระบบ - Do: ทำงานตามคำสั่งใน command line 💠 ระบบจะตรวจคำตอบโดยอัตโนมัติเมื่อส่งงาน 💠 มีโจทย์ฟรีให้เล่นโดยไม่ต้องสมัครสมาชิก เช่น การหาว่าโปรแกรมใดกำลังเขียน log file แล้วหยุดมัน ✅ จุดเด่นของ SadServers ➡️ ฝึกทักษะ Linux และ DevOps ผ่านสถานการณ์จริง ➡️ ไม่ต้องติดตั้งเครื่องมือหรือเซิร์ฟเวอร์เอง ➡️ มีระบบตรวจคำตอบอัตโนมัติ ➡️ รองรับการใช้งานผ่านเบราว์เซอร์ ➡️ มีโจทย์ฟรีให้ทดลองก่อนสมัคร ✅ สิทธิพิเศษในเวอร์ชัน Pro ➡️ เข้าถึงโจทย์ทั้งหมด ➡️ เวลาทำโจทย์นานขึ้น ➡️ ลองทำซ้ำได้ไม่จำกัด ➡️ เข้าถึง VM ผ่าน SSH โดยตรง ➡️ มีระบบบันทึกคำสั่งและหน้าแสดงความสำเร็จ ✅ เบื้องหลังการพัฒนา ➡️ สร้างโดย Fernando ผู้เชี่ยวชาญด้าน DevOps ➡️ เน้นการใช้งานจริงมากกว่าความสวยงามของเว็บไซต์ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ที่เบื่อทฤษฎีและต้องการฝึกแบบลงมือจริง https://news.itsfoss.com/sadservers/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    What LeetCode? I Found This Platform to Practice Linux Troubleshooting Skills
    Move over theory and practice your Linux and DevOps skills by solving various challenges on this innovative platform. A good way to prepare for job interviews.
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน OpenVPN บน Linux/macOS เปิดทางให้โจมตีผ่าน DNS Server ปลอม (CVE-2025-10680)

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยเปิดเผยช่องโหว่ระดับสูงใน OpenVPN เวอร์ชัน 2.7_alpha1 ถึง 2.7_beta1 ซึ่งเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีสามารถแทรกคำสั่งลงในระบบผ่าน DNS server ที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะบนระบบปฏิบัติการแบบ Unix เช่น Linux, BSD และ macOS

    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-10680
    ปัญหาเกิดจากการที่ OpenVPN ไม่กรองข้อมูลที่ได้รับจากเซิร์ฟเวอร์ VPN อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะคำสั่ง --dns และ --dhcp-option ที่ถูกส่งไปยังสคริปต์ --dns-updown
    หากเซิร์ฟเวอร์ VPN ถูกควบคุมโดยผู้โจมตี จะสามารถส่งคำสั่งที่แอบแฝงไปกับการตั้งค่า DNS/DHCP และทำให้ระบบฝั่ง client รันคำสั่งอันตรายได้
    หาก OpenVPN ทำงานด้วยสิทธิ์ root ผู้โจมตีอาจเข้าควบคุมระบบทั้งหมดได้ทันที
    Windows ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง ยกเว้นกรณีที่ใช้ PowerShell ในเส้นทางสคริปต์เดียวกัน

    OpenVPN ได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 2.7_beta2 ซึ่งมีการกรองข้อมูล DNS อย่างเหมาะสม พร้อมปรับปรุงการจัดการ socket บน Windows และการตั้งค่า IPv4 broadcast บน Linux

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-10680 มีระดับความรุนแรง CVSS 8.8
    ส่งผลกระทบต่อ OpenVPN 2.7_alpha1 ถึง 2.7_beta1 บนระบบ Unix
    เกิดจากการไม่กรองคำสั่ง --dns และ --dhcp-option อย่างเหมาะสม
    ผู้โจมตีสามารถแทรกคำสั่งผ่าน DNS server ปลอม
    แพตช์แก้ไขออกแล้วในเวอร์ชัน 2.7_beta2
    Windows ได้รับผลกระทบเฉพาะกรณีที่ใช้ PowerShell ในสคริปต์เดียวกัน

    คำแนะนำสำหรับผู้ดูแลระบบ
    อัปเดต OpenVPN เป็นเวอร์ชัน 2.7_beta2 หรือใหม่กว่าโดยเร็ว
    หลีกเลี่ยงการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ VPN ที่ไม่เชื่อถือ
    ตรวจสอบสิทธิ์การทำงานของ OpenVPN ว่าไม่ควรใช้ root โดยไม่จำเป็น
    ปิดการใช้ --dns-updown หากไม่จำเป็น

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้และองค์กร
    หากใช้ OpenVPN เวอร์ชันที่มีช่องโหว่ อาจถูกโจมตีด้วยคำสั่งแฝงจากเซิร์ฟเวอร์ปลอม
    การรัน OpenVPN ด้วยสิทธิ์ root เพิ่มความเสี่ยงในการถูกควบคุมระบบทั้งหมด
    การไม่อัปเดตเวอร์ชันล่าสุดอาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ remote code execution

    https://securityonline.info/high-severity-openvpn-flaw-cve-2025-10680-allows-script-injection-on-linux-macos-via-malicious-dns-server/
    ⚠️🔐 ช่องโหว่ร้ายแรงใน OpenVPN บน Linux/macOS เปิดทางให้โจมตีผ่าน DNS Server ปลอม (CVE-2025-10680) นักวิจัยด้านความปลอดภัยเปิดเผยช่องโหว่ระดับสูงใน OpenVPN เวอร์ชัน 2.7_alpha1 ถึง 2.7_beta1 ซึ่งเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีสามารถแทรกคำสั่งลงในระบบผ่าน DNS server ที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะบนระบบปฏิบัติการแบบ Unix เช่น Linux, BSD และ macOS 🧠 รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-10680 💠 ปัญหาเกิดจากการที่ OpenVPN ไม่กรองข้อมูลที่ได้รับจากเซิร์ฟเวอร์ VPN อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะคำสั่ง --dns และ --dhcp-option ที่ถูกส่งไปยังสคริปต์ --dns-updown 💠 หากเซิร์ฟเวอร์ VPN ถูกควบคุมโดยผู้โจมตี จะสามารถส่งคำสั่งที่แอบแฝงไปกับการตั้งค่า DNS/DHCP และทำให้ระบบฝั่ง client รันคำสั่งอันตรายได้ 💠 หาก OpenVPN ทำงานด้วยสิทธิ์ root ผู้โจมตีอาจเข้าควบคุมระบบทั้งหมดได้ทันที 💠 Windows ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง ยกเว้นกรณีที่ใช้ PowerShell ในเส้นทางสคริปต์เดียวกัน OpenVPN ได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 2.7_beta2 ซึ่งมีการกรองข้อมูล DNS อย่างเหมาะสม พร้อมปรับปรุงการจัดการ socket บน Windows และการตั้งค่า IPv4 broadcast บน Linux ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-10680 มีระดับความรุนแรง CVSS 8.8 ➡️ ส่งผลกระทบต่อ OpenVPN 2.7_alpha1 ถึง 2.7_beta1 บนระบบ Unix ➡️ เกิดจากการไม่กรองคำสั่ง --dns และ --dhcp-option อย่างเหมาะสม ➡️ ผู้โจมตีสามารถแทรกคำสั่งผ่าน DNS server ปลอม ➡️ แพตช์แก้ไขออกแล้วในเวอร์ชัน 2.7_beta2 ➡️ Windows ได้รับผลกระทบเฉพาะกรณีที่ใช้ PowerShell ในสคริปต์เดียวกัน ✅ คำแนะนำสำหรับผู้ดูแลระบบ ➡️ อัปเดต OpenVPN เป็นเวอร์ชัน 2.7_beta2 หรือใหม่กว่าโดยเร็ว ➡️ หลีกเลี่ยงการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ VPN ที่ไม่เชื่อถือ ➡️ ตรวจสอบสิทธิ์การทำงานของ OpenVPN ว่าไม่ควรใช้ root โดยไม่จำเป็น ➡️ ปิดการใช้ --dns-updown หากไม่จำเป็น ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้และองค์กร ⛔ หากใช้ OpenVPN เวอร์ชันที่มีช่องโหว่ อาจถูกโจมตีด้วยคำสั่งแฝงจากเซิร์ฟเวอร์ปลอม ⛔ การรัน OpenVPN ด้วยสิทธิ์ root เพิ่มความเสี่ยงในการถูกควบคุมระบบทั้งหมด ⛔ การไม่อัปเดตเวอร์ชันล่าสุดอาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ remote code execution https://securityonline.info/high-severity-openvpn-flaw-cve-2025-10680-allows-script-injection-on-linux-macos-via-malicious-dns-server/
    SECURITYONLINE.INFO
    High-Severity OpenVPN Flaw (CVE-2025-10680) Allows Script Injection on Linux/macOS via Malicious DNS Server
    A High-severity OpenVPN flaw (CVE-2025-10680) in beta versions allows script injection on Unix-like clients (Linux, macOS). Malicious DNS/DHCP arguments can execute arbitrary commands on the client side.
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • The Matrix เคยเกือบได้เกมจาก Hideo Kojima แต่ Konami ปฏิเสธแบบไม่ใยดี

    ย้อนกลับไปในปี 1999 ผู้กำกับ The Matrix — พี่น้อง Wachowski — เคยเสนอให้ Hideo Kojima นักออกแบบเกมชื่อดังจากซีรีส์ Metal Gear สร้างเกมจากจักรวาล The Matrix แต่ข้อเสนอถูกปฏิเสธโดย CEO ของ Konami ในขณะนั้น ทั้งที่ Kojima แสดงความสนใจอย่างมาก

    เรื่องราวเบื้องหลังที่เพิ่งถูกเปิดเผย
    Christopher Bergstresser อดีตผู้บริหาร Konami เล่าเหตุการณ์ในวันเปิดตัว The Matrix ที่ญี่ปุ่น
    Wachowski โทรหา Konami เพื่อขอพบ Kojima และเสนอให้เขาสร้างเกมจาก The Matrix
    Kojima, Aki Saito และ Kazumi Kitaue (CEO) เข้าร่วมประชุมกับทีมผู้กำกับ
    เมื่อข้อเสนอถูกแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ CEO ฟัง เขาตอบกลับทันทีว่า “ไม่”
    แม้จะถูกปฏิเสธ ทีมงานยังได้ร่วมงานเปิดตัวภาพยนตร์และงานเลี้ยงหลังฉาย

    มีรายงานเพิ่มเติมว่า Kojima ยังแสดงความสนใจในโปรเจกต์นี้หลังจากถูกปฏิเสธ และอาจเคยพยายามผลักดันให้เกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Wachowski เสนอให้ Kojima สร้างเกมจาก The Matrix ในปี 1999
    Konami ปฏิเสธข้อเสนอทันที แม้ Kojimaสนใจ
    การประชุมเกิดขึ้นในวันเปิดตัวภาพยนตร์ที่ญี่ปุ่น
    ทีมงานยังได้ร่วมงานเลี้ยงหลังฉาย แม้โปรเจกต์ไม่เกิดขึ้น
    Kojima อาจพยายามผลักดันโปรเจกต์หลังจากนั้น แต่ไม่สำเร็จ

    ความสำคัญของโปรเจกต์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น
    The Matrix เป็น IP ที่เหมาะกับเกมแนวแอ็กชันและไซไฟ
    Kojima มีชื่อเสียงด้านการเล่าเรื่องและการออกแบบเกมล้ำยุค
    การร่วมมือครั้งนี้อาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์เกมไซไฟไปเลย

    คำเตือนจากอดีตที่น่าคิด
    การตัดสินใจของผู้บริหารอาจขัดขวางโอกาสสร้างสรรค์ระดับตำนาน
    The Matrix ยังไม่มีเกมที่ได้รับคำชมในระดับเดียวกับภาพยนตร์
    แฟน ๆ อาจไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์เกมที่ควรจะเกิดขึ้น

    https://wccftech.com/the-matrix-creators-wanted-kojima-make-a-game-on-the-ip-konami-refused/
    🎮🕶️ The Matrix เคยเกือบได้เกมจาก Hideo Kojima แต่ Konami ปฏิเสธแบบไม่ใยดี ย้อนกลับไปในปี 1999 ผู้กำกับ The Matrix — พี่น้อง Wachowski — เคยเสนอให้ Hideo Kojima นักออกแบบเกมชื่อดังจากซีรีส์ Metal Gear สร้างเกมจากจักรวาล The Matrix แต่ข้อเสนอถูกปฏิเสธโดย CEO ของ Konami ในขณะนั้น ทั้งที่ Kojima แสดงความสนใจอย่างมาก 📼 เรื่องราวเบื้องหลังที่เพิ่งถูกเปิดเผย 💠 Christopher Bergstresser อดีตผู้บริหาร Konami เล่าเหตุการณ์ในวันเปิดตัว The Matrix ที่ญี่ปุ่น 💠 Wachowski โทรหา Konami เพื่อขอพบ Kojima และเสนอให้เขาสร้างเกมจาก The Matrix 💠 Kojima, Aki Saito และ Kazumi Kitaue (CEO) เข้าร่วมประชุมกับทีมผู้กำกับ 💠 เมื่อข้อเสนอถูกแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ CEO ฟัง เขาตอบกลับทันทีว่า “ไม่” 💠 แม้จะถูกปฏิเสธ ทีมงานยังได้ร่วมงานเปิดตัวภาพยนตร์และงานเลี้ยงหลังฉาย มีรายงานเพิ่มเติมว่า Kojima ยังแสดงความสนใจในโปรเจกต์นี้หลังจากถูกปฏิเสธ และอาจเคยพยายามผลักดันให้เกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Wachowski เสนอให้ Kojima สร้างเกมจาก The Matrix ในปี 1999 ➡️ Konami ปฏิเสธข้อเสนอทันที แม้ Kojimaสนใจ ➡️ การประชุมเกิดขึ้นในวันเปิดตัวภาพยนตร์ที่ญี่ปุ่น ➡️ ทีมงานยังได้ร่วมงานเลี้ยงหลังฉาย แม้โปรเจกต์ไม่เกิดขึ้น ➡️ Kojima อาจพยายามผลักดันโปรเจกต์หลังจากนั้น แต่ไม่สำเร็จ ✅ ความสำคัญของโปรเจกต์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น ➡️ The Matrix เป็น IP ที่เหมาะกับเกมแนวแอ็กชันและไซไฟ ➡️ Kojima มีชื่อเสียงด้านการเล่าเรื่องและการออกแบบเกมล้ำยุค ➡️ การร่วมมือครั้งนี้อาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์เกมไซไฟไปเลย ‼️ คำเตือนจากอดีตที่น่าคิด ⛔ การตัดสินใจของผู้บริหารอาจขัดขวางโอกาสสร้างสรรค์ระดับตำนาน ⛔ The Matrix ยังไม่มีเกมที่ได้รับคำชมในระดับเดียวกับภาพยนตร์ ⛔ แฟน ๆ อาจไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์เกมที่ควรจะเกิดขึ้น https://wccftech.com/the-matrix-creators-wanted-kojima-make-a-game-on-the-ip-konami-refused/
    WCCFTECH.COM
    The Matrix Creators Wanted Kojima to Make a Game Based on the IP, But Konami Refused
    According to a former Konami employee, the creators of The Matrix asked Hideo Kojima to make a game on the IP, but Konami's CEO refused.
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • สงครามชิง ‘Rare Earth’ สหรัฐ-จีน เปิดศึกใส่กันหนัก ไทยแลนด์ รอรับแรงกระแทก : ถอนหมุดข่าว 28-10-68
    สงครามชิง ‘Rare Earth’ สหรัฐ-จีน เปิดศึกใส่กันหนัก ไทยแลนด์ รอรับแรงกระแทก : ถอนหมุดข่าว 28-10-68
    0 Comments 1 Shares 7 Views 0 0 Reviews
  • Apple เตรียมใช้เทคโนโลยีเก่าในการผลิตโมเด็ม 5G C2 สำหรับ iPhone 18 แม้มีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยี 2nm ก็ตาม

    Apple กำลังจะเปิดตัวโมเด็ม 5G รุ่นใหม่ชื่อว่า “C2” สำหรับ iPhone 18 ในปี 2026 โดยเลือกใช้กระบวนการผลิตแบบ 4nm ‘N4’ ของ TSMC แทนที่จะใช้เทคโนโลยีล่าสุดอย่าง 2nm แม้จะมีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ก็ตาม

    จุดเด่นและเหตุผลเบื้องหลังการเลือกใช้เทคโนโลยีเก่า
    โมเด็ม C2 จะมาแทนที่ Qualcomm ใน iPhone 18 ทั้งซีรีส์ ซึ่งรวมถึงรุ่นพับได้ของ Apple
    แม้ Apple ได้สิทธิ์มากกว่า 50% ของการผลิต 2nm ของ TSMC แต่เลือกใช้ 4nm N4 สำหรับโมเด็ม C2
    นักวิเคราะห์ Ming-Chi Kuo ระบุว่า โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานมาก และการใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ
    C2 จะรองรับทั้ง mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1 และ C1X ที่ใช้ใน iPhone 16e

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Apple จะใช้โมเด็ม C2 ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm N4 ของ TSMC
    iPhone 18 จะเป็นรุ่นแรกที่ใช้โมเด็ม C2 แทน Qualcomm
    แม้มีสิทธิ์ใช้ 2nm แต่ Apple เลือกใช้เทคโนโลยีเก่าเพื่อประหยัดต้นทุนและความเหมาะสมทางเทคนิค
    C2 รองรับ mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1
    TSMC N4 มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 5% และความหนาแน่นทรานซิสเตอร์เพิ่มขึ้น 6% จาก N5

    เหตุผลที่ไม่ใช้เทคโนโลยีใหม่
    โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานสูง
    การใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ
    ผลตอบแทนจากการลงทุนในการพัฒนาโมเด็มไม่สูง

    https://wccftech.com/apple-c2-to-be-mass-produced-on-older-tsmc-process-says-report/
    📶🔧 Apple เตรียมใช้เทคโนโลยีเก่าในการผลิตโมเด็ม 5G C2 สำหรับ iPhone 18 แม้มีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยี 2nm ก็ตาม Apple กำลังจะเปิดตัวโมเด็ม 5G รุ่นใหม่ชื่อว่า “C2” สำหรับ iPhone 18 ในปี 2026 โดยเลือกใช้กระบวนการผลิตแบบ 4nm ‘N4’ ของ TSMC แทนที่จะใช้เทคโนโลยีล่าสุดอย่าง 2nm แม้จะมีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ก็ตาม 📱 จุดเด่นและเหตุผลเบื้องหลังการเลือกใช้เทคโนโลยีเก่า 💠 โมเด็ม C2 จะมาแทนที่ Qualcomm ใน iPhone 18 ทั้งซีรีส์ ซึ่งรวมถึงรุ่นพับได้ของ Apple 💠 แม้ Apple ได้สิทธิ์มากกว่า 50% ของการผลิต 2nm ของ TSMC แต่เลือกใช้ 4nm N4 สำหรับโมเด็ม C2 💠 นักวิเคราะห์ Ming-Chi Kuo ระบุว่า โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานมาก และการใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ 💠 C2 จะรองรับทั้ง mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1 และ C1X ที่ใช้ใน iPhone 16e ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Apple จะใช้โมเด็ม C2 ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm N4 ของ TSMC ➡️ iPhone 18 จะเป็นรุ่นแรกที่ใช้โมเด็ม C2 แทน Qualcomm ➡️ แม้มีสิทธิ์ใช้ 2nm แต่ Apple เลือกใช้เทคโนโลยีเก่าเพื่อประหยัดต้นทุนและความเหมาะสมทางเทคนิค ➡️ C2 รองรับ mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1 ➡️ TSMC N4 มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 5% และความหนาแน่นทรานซิสเตอร์เพิ่มขึ้น 6% จาก N5 ✅ เหตุผลที่ไม่ใช้เทคโนโลยีใหม่ ➡️ โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานสูง ➡️ การใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ ➡️ ผลตอบแทนจากการลงทุนในการพัฒนาโมเด็มไม่สูง https://wccftech.com/apple-c2-to-be-mass-produced-on-older-tsmc-process-says-report/
    WCCFTECH.COM
    Apple’s Next In-House 5G Modem, The C2, Will Use An Older Manufacturing Process From TSMC Next Year, Unlike The A20 & A20 Pro
    The iPhone 18 series will use A20 and A20 Pro chipsets made on TSMC’s 2nm process, but the C2 5G modem will leverage an older technology
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • Samsung Galaxy Tri-Fold โผล่ตัวจริงครั้งแรก! มือถือพับสามทบที่อาจเปลี่ยนอนาคตสมาร์ทโฟน

    Samsung ได้เผยโฉมมือถือพับสามทบรุ่นแรกในงาน K-Tech Showcase ที่เกาหลีใต้ โดยนำเครื่องต้นแบบมาโชว์ในตู้กระจกให้เห็นทั้งตอนพับและกางออก แม้ยังไม่มีใครได้สัมผัสตัวจริง แต่ภาพที่หลุดออกมาให้เห็นดีไซน์ชัดเจน และอาจเปิดตัวเต็มรูปแบบในช่วงปลายเดือนตุลาคมหรือต้นพฤศจิกายนนี้

    รายละเอียดของ Galaxy Tri-Fold
    หน้าจอด้านนอกขนาดประมาณ 6.5 นิ้ว
    เมื่อกางออกเต็มที่ หน้าจอขยายได้ถึง 10 นิ้ว — ใช้งานได้ทั้งแบบมือถือและแท็บเล็ต
    เป็นการทดลองฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ของ Samsung หลังจาก Fold และ Flip
    มีภาพเรนเดอร์หลุดจาก @UniverseIce ที่เผยให้เห็นหน้าจอภายในแบบละเอียด
    คาดว่าจะวางจำหน่ายเฉพาะบางประเทศในเอเชียเท่านั้นในช่วงแรก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Samsung โชว์ Galaxy Tri-Fold ครั้งแรกในงาน K-Tech Showcase
    เครื่องต้นแบบถูกจัดแสดงในตู้กระจก ไม่สามารถสัมผัสได้
    หน้าจอภายนอก 6.5 นิ้ว และขยายได้ถึง 10 นิ้วเมื่อกางออก
    ภาพเรนเดอร์จากแหล่งข่าวหลุดเผยดีไซน์ภายใน
    คาดว่าจะเปิดตัวเต็มรูปแบบในวันที่ 31 ตุลาคมหรือ 1 พฤศจิกายน
    อาจวางจำหน่ายเฉพาะบางประเทศในเอเชียช่วงแรก

    ความสำคัญของการเปิดตัว
    เป็นมือถือพับสามทบรุ่นแรกของ Samsung
    สะท้อนการทดลองฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ในตลาดสมาร์ทโฟน
    หากได้รับความนิยม อาจมีการอัปเดตรุ่นใหม่ทุกปี

    คำเตือนสำหรับผู้ที่สนใจ
    ยังไม่มีข้อมูลสเปกภายในหรือฟีเจอร์อย่างเป็นทางการ
    ไม่สามารถทดลองใช้งานจริงได้ในงาน
    การวางจำหน่ายอาจจำกัดเฉพาะบางประเทศในช่วงแรก

    https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/the-samsung-galaxy-tri-fold-just-got-officially-shown-off
    📱🔺 Samsung Galaxy Tri-Fold โผล่ตัวจริงครั้งแรก! มือถือพับสามทบที่อาจเปลี่ยนอนาคตสมาร์ทโฟน Samsung ได้เผยโฉมมือถือพับสามทบรุ่นแรกในงาน K-Tech Showcase ที่เกาหลีใต้ โดยนำเครื่องต้นแบบมาโชว์ในตู้กระจกให้เห็นทั้งตอนพับและกางออก แม้ยังไม่มีใครได้สัมผัสตัวจริง แต่ภาพที่หลุดออกมาให้เห็นดีไซน์ชัดเจน และอาจเปิดตัวเต็มรูปแบบในช่วงปลายเดือนตุลาคมหรือต้นพฤศจิกายนนี้ 🔍 รายละเอียดของ Galaxy Tri-Fold 💠 หน้าจอด้านนอกขนาดประมาณ 6.5 นิ้ว 💠 เมื่อกางออกเต็มที่ หน้าจอขยายได้ถึง 10 นิ้ว — ใช้งานได้ทั้งแบบมือถือและแท็บเล็ต 💠 เป็นการทดลองฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ของ Samsung หลังจาก Fold และ Flip 💠 มีภาพเรนเดอร์หลุดจาก @UniverseIce ที่เผยให้เห็นหน้าจอภายในแบบละเอียด 💠 คาดว่าจะวางจำหน่ายเฉพาะบางประเทศในเอเชียเท่านั้นในช่วงแรก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Samsung โชว์ Galaxy Tri-Fold ครั้งแรกในงาน K-Tech Showcase ➡️ เครื่องต้นแบบถูกจัดแสดงในตู้กระจก ไม่สามารถสัมผัสได้ ➡️ หน้าจอภายนอก 6.5 นิ้ว และขยายได้ถึง 10 นิ้วเมื่อกางออก ➡️ ภาพเรนเดอร์จากแหล่งข่าวหลุดเผยดีไซน์ภายใน ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวเต็มรูปแบบในวันที่ 31 ตุลาคมหรือ 1 พฤศจิกายน ➡️ อาจวางจำหน่ายเฉพาะบางประเทศในเอเชียช่วงแรก ✅ ความสำคัญของการเปิดตัว ➡️ เป็นมือถือพับสามทบรุ่นแรกของ Samsung ➡️ สะท้อนการทดลองฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ในตลาดสมาร์ทโฟน ➡️ หากได้รับความนิยม อาจมีการอัปเดตรุ่นใหม่ทุกปี ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ที่สนใจ ⛔ ยังไม่มีข้อมูลสเปกภายในหรือฟีเจอร์อย่างเป็นทางการ ⛔ ไม่สามารถทดลองใช้งานจริงได้ในงาน ⛔ การวางจำหน่ายอาจจำกัดเฉพาะบางประเทศในช่วงแรก https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/the-samsung-galaxy-tri-fold-just-got-officially-shown-off
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • ผลการศึกษาใหม่เผย: แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมช้ากว่าที่เคยคิด – Kia ครองแชมป์สุขภาพแบตดีที่สุด

    ผลการศึกษาจากสวีเดนโดยบริษัท Kvdbil วิเคราะห์สุขภาพแบตเตอรี่ (State of Health – SoH) ของรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดกว่า 1,300 คัน พบว่า กว่า 80% ของรถ EV มือสองยังคงรักษาความจุแบตเตอรี่ไว้ได้มากกว่า 90% แม้ผ่านการใช้งานหลายปี ซึ่งสวนทางกับความเชื่อเดิมที่ว่าแบตเตอรี่ EV จะเสื่อมเร็วและต้องเปลี่ยนใหม่ภายในไม่กี่ปี

    ผลการจัดอันดับแบรนด์และรุ่นที่แบตเตอรี่เสื่อมน้อยที่สุด
    Kia EV6 และ Kia e-Niro ครองอันดับสูงสุดในกลุ่มรถไฟฟ้า
    Tesla Model Y ตามมาในอันดับที่สาม แม้จะเป็นรุ่นที่มีจำนวนมากที่สุดในกลุ่ม
    แบรนด์ที่มีสุขภาพแบตดีที่สุดโดยรวม ได้แก่ Kia, Audi, Opel และ Tesla
    ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเสื่อมของแบตเตอรี่ ได้แก่ อายุรถ, สภาพอากาศ, พฤติกรรมการขับขี่, และ รูปแบบการชาร์จ

    การศึกษานี้ช่วยลบล้างความเชื่อผิด ๆ ว่าแบตเตอรี่ EV จะเสื่อมเร็วและต้องเปลี่ยนใหม่ภายใน 5–8 ปี โดยพบว่าแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่มีระบบระบายความร้อนดีสามารถใช้งานได้นานกว่าที่คาดไว้

    ข้อมูลสำคัญจากการศึกษา
    กว่า 80% ของรถ EV มือสองยังคงมีแบตเตอรี่ที่มี SoH มากกว่า 90%
    Kia EV6 และ e-Niro มีสุขภาพแบตดีที่สุดในกลุ่ม
    Tesla Model Y อยู่ในอันดับ 3 แม้จะมีจำนวนมากที่สุด
    ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสื่อมของแบตเตอรี่: อายุ, สภาพอากาศ, พฤติกรรมการขับขี่, การชาร์จ
    แบตเตอรี่ EV เสื่อมช้ากว่าที่เคยคาดไว้ และอาจใช้งานได้นานกว่าตัวรถเอง

    คำแนะนำในการรักษาสุขภาพแบตเตอรี่
    จำกัดการชาร์จรายวันไว้ที่ 80%
    หลีกเลี่ยงการใช้ DC fast charging บ่อยครั้ง
    หลีกเลี่ยงการจอดรถในที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด
    ใช้ระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ

    คำเตือนสำหรับผู้ซื้อรถ EV มือสอง
    อย่าตัดสินสุขภาพแบตจากอายุรถเพียงอย่างเดียว
    รถที่ใช้งานหนักหรือชาร์จผิดวิธีอาจมีแบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าค่าเฉลี่ย
    ควรตรวจสอบรายงาน SoH ก่อนซื้อรถ EV มือสองทุกครั้ง

    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/new-study-crowns-the-king-of-ev-battery-health-and-it-shows-batteries-dont-degrade-as-badly-as-first-feared
    🔋👑 ผลการศึกษาใหม่เผย: แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมช้ากว่าที่เคยคิด – Kia ครองแชมป์สุขภาพแบตดีที่สุด ผลการศึกษาจากสวีเดนโดยบริษัท Kvdbil วิเคราะห์สุขภาพแบตเตอรี่ (State of Health – SoH) ของรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดกว่า 1,300 คัน พบว่า กว่า 80% ของรถ EV มือสองยังคงรักษาความจุแบตเตอรี่ไว้ได้มากกว่า 90% แม้ผ่านการใช้งานหลายปี ซึ่งสวนทางกับความเชื่อเดิมที่ว่าแบตเตอรี่ EV จะเสื่อมเร็วและต้องเปลี่ยนใหม่ภายในไม่กี่ปี 🚗 ผลการจัดอันดับแบรนด์และรุ่นที่แบตเตอรี่เสื่อมน้อยที่สุด 💠 Kia EV6 และ Kia e-Niro ครองอันดับสูงสุดในกลุ่มรถไฟฟ้า 💠 Tesla Model Y ตามมาในอันดับที่สาม แม้จะเป็นรุ่นที่มีจำนวนมากที่สุดในกลุ่ม 💠 แบรนด์ที่มีสุขภาพแบตดีที่สุดโดยรวม ได้แก่ Kia, Audi, Opel และ Tesla 💠 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเสื่อมของแบตเตอรี่ ได้แก่ อายุรถ, สภาพอากาศ, พฤติกรรมการขับขี่, และ รูปแบบการชาร์จ การศึกษานี้ช่วยลบล้างความเชื่อผิด ๆ ว่าแบตเตอรี่ EV จะเสื่อมเร็วและต้องเปลี่ยนใหม่ภายใน 5–8 ปี โดยพบว่าแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่มีระบบระบายความร้อนดีสามารถใช้งานได้นานกว่าที่คาดไว้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากการศึกษา ➡️ กว่า 80% ของรถ EV มือสองยังคงมีแบตเตอรี่ที่มี SoH มากกว่า 90% ➡️ Kia EV6 และ e-Niro มีสุขภาพแบตดีที่สุดในกลุ่ม ➡️ Tesla Model Y อยู่ในอันดับ 3 แม้จะมีจำนวนมากที่สุด ➡️ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสื่อมของแบตเตอรี่: อายุ, สภาพอากาศ, พฤติกรรมการขับขี่, การชาร์จ ➡️ แบตเตอรี่ EV เสื่อมช้ากว่าที่เคยคาดไว้ และอาจใช้งานได้นานกว่าตัวรถเอง ✅ คำแนะนำในการรักษาสุขภาพแบตเตอรี่ ➡️ จำกัดการชาร์จรายวันไว้ที่ 80% ➡️ หลีกเลี่ยงการใช้ DC fast charging บ่อยครั้ง ➡️ หลีกเลี่ยงการจอดรถในที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด ➡️ ใช้ระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ซื้อรถ EV มือสอง ⛔ อย่าตัดสินสุขภาพแบตจากอายุรถเพียงอย่างเดียว ⛔ รถที่ใช้งานหนักหรือชาร์จผิดวิธีอาจมีแบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าค่าเฉลี่ย ⛔ ควรตรวจสอบรายงาน SoH ก่อนซื้อรถ EV มือสองทุกครั้ง https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/new-study-crowns-the-king-of-ev-battery-health-and-it-shows-batteries-dont-degrade-as-badly-as-first-feared
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • Windows 11 เพิ่มฟีเจอร์ตรวจสอบหน่วยความจำอัตโนมัติ พร้อมอุดช่องโหว่ File Explorer เพื่อความเสถียรและปลอดภัยยิ่งขึ้น

    Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่ชื่อว่า “Proactive Memory Diagnostics” ซึ่งจะช่วยตรวจสอบและแก้ไขปัญหาหน่วยความจำที่อาจทำให้ระบบล่ม พร้อมกับการอัปเดตด้านความปลอดภัยใน File Explorer ที่ปิดช่องโหว่สำคัญในการแสดงตัวอย่างไฟล์ที่ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ต

    Proactive Memory Diagnostics คืออะไร?
    ฟีเจอร์นี้จะทำงานเมื่อระบบเกิด “bugcheck” หรือการล่มแบบ Black Screen of Death
    หลังรีสตาร์ท ผู้ใช้จะได้รับแจ้งให้รันการสแกนหน่วยความจำ
    การสแกนใช้เวลาประมาณ 5 นาที และหากพบปัญหา Microsoft จะพยายามแก้ไขให้อัตโนมัติ
    ผู้ใช้สามารถเลือกไม่รันการสแกนได้ หากไม่ต้องการรอในระหว่างรีบูต

    การอัปเดต File Explorer เพื่อความปลอดภัย
    Microsoft ปิดการแสดงตัวอย่างไฟล์ที่ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ตใน File Explorer
    หากคลิกดูไฟล์ จะมีข้อความเตือนว่า “ไฟล์อาจเป็นอันตราย” และแนะนำให้เปิดไฟล์ด้วยความระมัดระวัง
    ผู้ใช้สามารถ “Unblock” ไฟล์ได้ด้วยตนเองผ่าน Properties หากมั่นใจในแหล่งที่มา
    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการค้นพบช่องโหว่ที่สามารถถูกโจมตีผ่าน preview pane

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11
    Proactive Memory Diagnostics ช่วยตรวจสอบและแก้ไขปัญหาหน่วยความจำ
    แจ้งเตือนให้สแกนหลังเกิดระบบล่มแบบ bugcheck
    ใช้เวลาเฉลี่ยไม่เกิน 5 นาทีในการสแกน
    ผู้ใช้สามารถเลือกไม่รันการสแกนได้

    การอัปเดตด้านความปลอดภัยใน File Explorer
    ปิดการแสดงตัวอย่างไฟล์ที่ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ต
    เพิ่มข้อความเตือนเมื่อเปิดไฟล์ที่อาจเป็นอันตราย
    ผู้ใช้สามารถ “Unblock” ไฟล์ได้หากมั่นใจในความปลอดภัย
    ป้องกันการโจมตีผ่านช่องโหว่ใน preview pane

    https://www.techradar.com/computing/windows/windows-11-is-getting-a-new-trick-to-make-your-pc-more-reliable-and-microsoft-has-fixed-a-security-flaw-in-file-explorer
    🧠🛡️ Windows 11 เพิ่มฟีเจอร์ตรวจสอบหน่วยความจำอัตโนมัติ พร้อมอุดช่องโหว่ File Explorer เพื่อความเสถียรและปลอดภัยยิ่งขึ้น Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่ชื่อว่า “Proactive Memory Diagnostics” ซึ่งจะช่วยตรวจสอบและแก้ไขปัญหาหน่วยความจำที่อาจทำให้ระบบล่ม พร้อมกับการอัปเดตด้านความปลอดภัยใน File Explorer ที่ปิดช่องโหว่สำคัญในการแสดงตัวอย่างไฟล์ที่ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ต 🧠 Proactive Memory Diagnostics คืออะไร? 💠 ฟีเจอร์นี้จะทำงานเมื่อระบบเกิด “bugcheck” หรือการล่มแบบ Black Screen of Death 💠 หลังรีสตาร์ท ผู้ใช้จะได้รับแจ้งให้รันการสแกนหน่วยความจำ 💠 การสแกนใช้เวลาประมาณ 5 นาที และหากพบปัญหา Microsoft จะพยายามแก้ไขให้อัตโนมัติ 💠 ผู้ใช้สามารถเลือกไม่รันการสแกนได้ หากไม่ต้องการรอในระหว่างรีบูต 🛡️ การอัปเดต File Explorer เพื่อความปลอดภัย 💠 Microsoft ปิดการแสดงตัวอย่างไฟล์ที่ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ตใน File Explorer 💠 หากคลิกดูไฟล์ จะมีข้อความเตือนว่า “ไฟล์อาจเป็นอันตราย” และแนะนำให้เปิดไฟล์ด้วยความระมัดระวัง 💠 ผู้ใช้สามารถ “Unblock” ไฟล์ได้ด้วยตนเองผ่าน Properties หากมั่นใจในแหล่งที่มา 💠 การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการค้นพบช่องโหว่ที่สามารถถูกโจมตีผ่าน preview pane ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ➡️ Proactive Memory Diagnostics ช่วยตรวจสอบและแก้ไขปัญหาหน่วยความจำ ➡️ แจ้งเตือนให้สแกนหลังเกิดระบบล่มแบบ bugcheck ➡️ ใช้เวลาเฉลี่ยไม่เกิน 5 นาทีในการสแกน ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกไม่รันการสแกนได้ ✅ การอัปเดตด้านความปลอดภัยใน File Explorer ➡️ ปิดการแสดงตัวอย่างไฟล์ที่ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ต ➡️ เพิ่มข้อความเตือนเมื่อเปิดไฟล์ที่อาจเป็นอันตราย ➡️ ผู้ใช้สามารถ “Unblock” ไฟล์ได้หากมั่นใจในความปลอดภัย ➡️ ป้องกันการโจมตีผ่านช่องโหว่ใน preview pane https://www.techradar.com/computing/windows/windows-11-is-getting-a-new-trick-to-make-your-pc-more-reliable-and-microsoft-has-fixed-a-security-flaw-in-file-explorer
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • ระวัง! แฮกเกอร์ใช้ Copilot Studio หลอกขโมย OAuth Token ผ่านหน้าล็อกอินปลอม

    นักวิจัยจาก Datadog Security Labs เตือนถึงเทคนิคใหม่ที่ชื่อว่า “CoPhish” ซึ่งใช้ Microsoft Copilot Studio agents เป็นเครื่องมือหลอกขโมย OAuth token จากผู้ใช้ โดยสร้างหน้าล็อกอินหรือหน้าขอสิทธิ์ที่ดูเหมือนจริงผ่านโดเมนของ Microsoft เอง ทำให้เหยื่อหลงเชื่อและอนุญาตการเข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยไม่รู้ตัว

    วิธีการโจมตีของ CoPhish

    แฮกเกอร์สร้างหรือแชร์ agent ใน Copilot Studio ที่มีหน้าตาเหมือนระบบขอสิทธิ์ของ Microsoft Entra/OAuth
    เมื่อเหยื่อคลิก “Login” หรือ “Consent” ระบบจะขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เช่น อีเมล, แชท, ปฏิทิน, ไฟล์ และระบบอัตโนมัติ
    หากเหยื่ออนุญาต แฮกเกอร์จะได้รับ OAuth token ที่สามารถใช้เข้าถึงข้อมูลภายในองค์กรได้ทันที
    โดเมนที่ใช้คือ copilotstudio.microsoft.com ซึ่งเป็นของจริง ทำให้ยากต่อการตรวจจับ

    Microsoft ยืนยันว่าเป็นการโจมตีแบบ social engineering และกำลังดำเนินการปรับปรุงระบบเพื่อป้องกันการใช้งานในลักษณะนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    CoPhish เป็นเทคนิค phishing ที่ใช้ Copilot Studio agents หลอกขอสิทธิ์ OAuth
    ใช้โดเมนจริงของ Microsoft ทำให้ดูน่าเชื่อถือ
    หากเหยื่ออนุญาต แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้ทันที
    Microsoft ยืนยันปัญหาและกำลังปรับปรุงระบบผ่านการอัปเดตในอนาคต
    การโจมตีนี้เน้นการหลอกลวงผ่าน UI ที่ดูเหมือนจริง

    วิธีลดความเสี่ยง
    จำกัดการอนุญาตแอปจากบุคคลที่สาม (ต้องใช้ admin consent)
    บังคับใช้ MFA และ conditional access
    ตรวจสอบ agent ที่ถูกแชร์หรือเผยแพร่ใน Copilot Studio อย่างละเอียด
    เฝ้าระวังการลงทะเบียนแอปใหม่และ token ที่ถูกอนุญาต
    ยกเลิก token และแอปที่น่าสงสัยทันที

    https://www.techradar.com/pro/security/experts-warn-microsoft-copilot-studio-agents-are-being-hijacked-to-steal-oauth-tokens
    🛡️🎭 ระวัง! แฮกเกอร์ใช้ Copilot Studio หลอกขโมย OAuth Token ผ่านหน้าล็อกอินปลอม นักวิจัยจาก Datadog Security Labs เตือนถึงเทคนิคใหม่ที่ชื่อว่า “CoPhish” ซึ่งใช้ Microsoft Copilot Studio agents เป็นเครื่องมือหลอกขโมย OAuth token จากผู้ใช้ โดยสร้างหน้าล็อกอินหรือหน้าขอสิทธิ์ที่ดูเหมือนจริงผ่านโดเมนของ Microsoft เอง ทำให้เหยื่อหลงเชื่อและอนุญาตการเข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยไม่รู้ตัว 🔍 วิธีการโจมตีของ CoPhish 💠 แฮกเกอร์สร้างหรือแชร์ agent ใน Copilot Studio ที่มีหน้าตาเหมือนระบบขอสิทธิ์ของ Microsoft Entra/OAuth 💠 เมื่อเหยื่อคลิก “Login” หรือ “Consent” ระบบจะขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เช่น อีเมล, แชท, ปฏิทิน, ไฟล์ และระบบอัตโนมัติ 💠 หากเหยื่ออนุญาต แฮกเกอร์จะได้รับ OAuth token ที่สามารถใช้เข้าถึงข้อมูลภายในองค์กรได้ทันที 💠 โดเมนที่ใช้คือ copilotstudio.microsoft.com ซึ่งเป็นของจริง ทำให้ยากต่อการตรวจจับ Microsoft ยืนยันว่าเป็นการโจมตีแบบ social engineering และกำลังดำเนินการปรับปรุงระบบเพื่อป้องกันการใช้งานในลักษณะนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ CoPhish เป็นเทคนิค phishing ที่ใช้ Copilot Studio agents หลอกขอสิทธิ์ OAuth ➡️ ใช้โดเมนจริงของ Microsoft ทำให้ดูน่าเชื่อถือ ➡️ หากเหยื่ออนุญาต แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้ทันที ➡️ Microsoft ยืนยันปัญหาและกำลังปรับปรุงระบบผ่านการอัปเดตในอนาคต ➡️ การโจมตีนี้เน้นการหลอกลวงผ่าน UI ที่ดูเหมือนจริง ✅ วิธีลดความเสี่ยง ➡️ จำกัดการอนุญาตแอปจากบุคคลที่สาม (ต้องใช้ admin consent) ➡️ บังคับใช้ MFA และ conditional access ➡️ ตรวจสอบ agent ที่ถูกแชร์หรือเผยแพร่ใน Copilot Studio อย่างละเอียด ➡️ เฝ้าระวังการลงทะเบียนแอปใหม่และ token ที่ถูกอนุญาต ➡️ ยกเลิก token และแอปที่น่าสงสัยทันที https://www.techradar.com/pro/security/experts-warn-microsoft-copilot-studio-agents-are-being-hijacked-to-steal-oauth-tokens
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมว.วัฒนธรรม เผยถึงการเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง กรมศิลปากร อยู่ระหว่างตรวจสอบความพร้อมราชรถและพระยานมาศ จากนั้นจะทำแบบพระเมรุมาศ คาดใช้เวลาร่างแบบ 2 เดือน ก่อนนำขึ้นให้องค์ที่ปรึกษามีพระราชวินิจฉัย และจะใช้เวลาก่อสร้างพระเมรุมาศไม่เกิน 9 เดือน ส่วนการจัดงานประเพณีต่างๆ สามารถจัดได้ โดยขอให้ลดโทนเสียง เหมาะสมกับสถานการณ์ อยู่ในกรอบประเพณีอันดีงาม

    -จับมือจีนรับมืออาชญากรรม
    -อย่าวางใจกัมพูชา
    -มหาสมุทร-พันธกิจ-โอกาส
    -ของหวานจากสหรัฐฯ
    นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมว.วัฒนธรรม เผยถึงการเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง กรมศิลปากร อยู่ระหว่างตรวจสอบความพร้อมราชรถและพระยานมาศ จากนั้นจะทำแบบพระเมรุมาศ คาดใช้เวลาร่างแบบ 2 เดือน ก่อนนำขึ้นให้องค์ที่ปรึกษามีพระราชวินิจฉัย และจะใช้เวลาก่อสร้างพระเมรุมาศไม่เกิน 9 เดือน ส่วนการจัดงานประเพณีต่างๆ สามารถจัดได้ โดยขอให้ลดโทนเสียง เหมาะสมกับสถานการณ์ อยู่ในกรอบประเพณีอันดีงาม -จับมือจีนรับมืออาชญากรรม -อย่าวางใจกัมพูชา -มหาสมุทร-พันธกิจ-โอกาส -ของหวานจากสหรัฐฯ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 0 Reviews
  • พนักงานใช้ AI สร้างใบเสร็จปลอม หลอกบริษัททั่วโลก เสียหายหลักล้าน!

    การใช้ AI สร้างภาพปลอมกำลังกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของการโกงค่าใช้จ่ายในองค์กร โดยเฉพาะใบเสร็จค่าเดินทางและค่าอาหารที่สามารถสร้างได้ง่ายเพียงพิมพ์คำสั่งไม่กี่บรรทัด ล่าสุดมีรายงานว่าบริษัทต่างๆ พบใบเสร็จปลอมที่สร้างด้วย AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และยากต่อการตรวจจับด้วยสายตามนุษย์

    รายงานจาก AppZen และ Ramp

    AppZen พบว่าใบเสร็จปลอมที่สร้างด้วย AI คิดเป็น 14% ของเอกสารหลอกลวงทั้งหมดในเดือนกันยายน 2025 เพิ่มขึ้นจาก 0% ในปี 2024
    Ramp ตรวจพบใบแจ้งหนี้ปลอมมูลค่ากว่า 1 ล้านดอลลาร์ภายใน 90 วัน
    SAP Concur ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดการค่าใช้จ่ายระดับโลก ระบุว่า “อย่าไว้ใจสายตา” เพราะใบเสร็จปลอมมีความสมจริงสูงมาก

    ใบเสร็จที่สร้างด้วย AI มีรายละเอียดครบถ้วน เช่น รอยยับของกระดาษ รายการอาหารที่ตรงกับเมนูจริง และลายเซ็นปลอม ทำให้ผู้ตรวจสอบไม่สามารถแยกแยะได้ด้วยตาเปล่า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ใบเสร็จปลอมที่สร้างด้วย AI เพิ่มขึ้นจาก 0% เป็น 14% ภายใน 1 ปี
    Ramp ตรวจพบใบแจ้งหนี้ปลอมมูลค่ากว่า 1 ล้านดอลลาร์ใน 90 วัน
    SAP Concur ตรวจสอบเอกสารกว่า 80 ล้านรายการต่อเดือนด้วย AI
    ใบเสร็จปลอมมีความสมจริงสูงจนมนุษย์ไม่สามารถแยกแยะได้
    AI ช่วยสร้างใบเสร็จปลอมได้ในไม่กี่วินาทีจากคำสั่งข้อความธรรมดา

    วิธีตรวจจับใบเสร็จปลอม
    ใช้ AI ตรวจสอบ metadata ของภาพเพื่อดูว่าเป็นภาพที่สร้างด้วย AI หรือไม่
    ตรวจสอบข้อมูลแวดล้อม เช่น เวลาเซิร์ฟเวอร์ รายการเดินทาง และรูปแบบการใช้จ่าย
    ใช้ระบบ cross-check กับข้อมูลจริง เช่น เที่ยวบิน โรงแรม หรือชื่อร้านอาหาร

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    “นี่ไม่ใช่ภัยในอนาคต แต่มันเกิดขึ้นแล้ว” — Sebastien Marchon, CEO ของ Rydoo
    “ใบเสร็จปลอมสมจริงมากจนเราต้องบอกลูกค้า ‘อย่าไว้ใจสายตา’” — Chris Juneau, SAP Concur

    คำเตือนสำหรับองค์กร
    การตรวจสอบด้วยมนุษย์ไม่สามารถรับมือกับใบเสร็จปลอมที่สร้างด้วย AI ได้
    Metadata สามารถถูกลบได้ง่ายด้วยการถ่ายภาพหน้าจอหรือถ่ายใหม่
    หากไม่มีระบบตรวจสอบที่ทันสมัย องค์กรอาจเสียหายทางการเงินอย่างหนัก

    https://www.techradar.com/pro/security/workers-are-scamming-their-employers-using-ai-generated-fake-expense-receipts
    🧾🤖 พนักงานใช้ AI สร้างใบเสร็จปลอม หลอกบริษัททั่วโลก เสียหายหลักล้าน! การใช้ AI สร้างภาพปลอมกำลังกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของการโกงค่าใช้จ่ายในองค์กร โดยเฉพาะใบเสร็จค่าเดินทางและค่าอาหารที่สามารถสร้างได้ง่ายเพียงพิมพ์คำสั่งไม่กี่บรรทัด ล่าสุดมีรายงานว่าบริษัทต่างๆ พบใบเสร็จปลอมที่สร้างด้วย AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และยากต่อการตรวจจับด้วยสายตามนุษย์ 📉 รายงานจาก AppZen และ Ramp 💠 AppZen พบว่าใบเสร็จปลอมที่สร้างด้วย AI คิดเป็น 14% ของเอกสารหลอกลวงทั้งหมดในเดือนกันยายน 2025 เพิ่มขึ้นจาก 0% ในปี 2024 💠 Ramp ตรวจพบใบแจ้งหนี้ปลอมมูลค่ากว่า 1 ล้านดอลลาร์ภายใน 90 วัน 💠 SAP Concur ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดการค่าใช้จ่ายระดับโลก ระบุว่า “อย่าไว้ใจสายตา” เพราะใบเสร็จปลอมมีความสมจริงสูงมาก ใบเสร็จที่สร้างด้วย AI มีรายละเอียดครบถ้วน เช่น รอยยับของกระดาษ รายการอาหารที่ตรงกับเมนูจริง และลายเซ็นปลอม ทำให้ผู้ตรวจสอบไม่สามารถแยกแยะได้ด้วยตาเปล่า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ใบเสร็จปลอมที่สร้างด้วย AI เพิ่มขึ้นจาก 0% เป็น 14% ภายใน 1 ปี ➡️ Ramp ตรวจพบใบแจ้งหนี้ปลอมมูลค่ากว่า 1 ล้านดอลลาร์ใน 90 วัน ➡️ SAP Concur ตรวจสอบเอกสารกว่า 80 ล้านรายการต่อเดือนด้วย AI ➡️ ใบเสร็จปลอมมีความสมจริงสูงจนมนุษย์ไม่สามารถแยกแยะได้ ➡️ AI ช่วยสร้างใบเสร็จปลอมได้ในไม่กี่วินาทีจากคำสั่งข้อความธรรมดา ✅ วิธีตรวจจับใบเสร็จปลอม ➡️ ใช้ AI ตรวจสอบ metadata ของภาพเพื่อดูว่าเป็นภาพที่สร้างด้วย AI หรือไม่ ➡️ ตรวจสอบข้อมูลแวดล้อม เช่น เวลาเซิร์ฟเวอร์ รายการเดินทาง และรูปแบบการใช้จ่าย ➡️ ใช้ระบบ cross-check กับข้อมูลจริง เช่น เที่ยวบิน โรงแรม หรือชื่อร้านอาหาร ✅ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ “นี่ไม่ใช่ภัยในอนาคต แต่มันเกิดขึ้นแล้ว” — Sebastien Marchon, CEO ของ Rydoo ➡️ “ใบเสร็จปลอมสมจริงมากจนเราต้องบอกลูกค้า ‘อย่าไว้ใจสายตา’” — Chris Juneau, SAP Concur ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กร ⛔ การตรวจสอบด้วยมนุษย์ไม่สามารถรับมือกับใบเสร็จปลอมที่สร้างด้วย AI ได้ ⛔ Metadata สามารถถูกลบได้ง่ายด้วยการถ่ายภาพหน้าจอหรือถ่ายใหม่ ⛔ หากไม่มีระบบตรวจสอบที่ทันสมัย องค์กรอาจเสียหายทางการเงินอย่างหนัก https://www.techradar.com/pro/security/workers-are-scamming-their-employers-using-ai-generated-fake-expense-receipts
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • Windows 10 ใกล้หมดอายุ ส่งผลให้ยอดขาย Mac พุ่งแรงทั่วโลก

    การสิ้นสุดการสนับสนุนของ Windows 10 ในเดือนตุลาคม 2025 กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากหันไปใช้ Mac แทนการอัปเกรดเป็น Windows 11 โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจและผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความมั่นคงและปลอดภัยมากขึ้น

    เหตุผลที่ Mac ขายดีขึ้นหลัง Windows 10 หมดอายุ

    จากรายงานของ Counterpoint Research พบว่า ยอดขาย Mac ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 14.9% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2025 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีปัจจัยหลักคือ:
    ความนิยมของ MacBook รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป Apple Silicon ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน
    การยอมรับในระดับองค์กร โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการระบบปลอดภัยแต่ไม่ซับซ้อน
    ความไม่แน่นอนของการอัปเกรดเป็น Windows 11 ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์

    Apple ยังเน้นจุดแข็งด้านความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสข้อมูลและการควบคุมความเป็นส่วนตัวในระดับระบบ ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญสำหรับองค์กรที่ไม่มีทีม IT ประจำ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Windows 10 หมดอายุในเดือนตุลาคม 2025 ทำให้ผู้ใช้ต้องหาทางเลือกใหม่
    Mac มียอดขายเพิ่มขึ้น 14.9% ในไตรมาสเดียวกัน
    ธุรกิจขนาดเล็กหันมาใช้ Mac เพราะระบบปลอดภัยและใช้งานง่าย
    Apple Silicon ช่วยให้ Mac มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน
    ผู้ใช้ iPhone มีแนวโน้มเลือก Mac เพื่อความต่อเนื่องในการทำงาน

    ปัจจัยที่ทำให้ผู้ใช้ลังเลอัปเกรด Windows
    Windows 11 ต้องการฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น TPM 2.0 และ UEFI Secure Boot
    ความไม่แน่นอนด้านความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์เก่า
    ค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดอุปกรณ์และระบบ

    https://www.techradar.com/computing/macbooks/never-mind-linux-windows-10s-end-of-life-is-driving-up-apple-mac-sales
    🍏💻 Windows 10 ใกล้หมดอายุ ส่งผลให้ยอดขาย Mac พุ่งแรงทั่วโลก การสิ้นสุดการสนับสนุนของ Windows 10 ในเดือนตุลาคม 2025 กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากหันไปใช้ Mac แทนการอัปเกรดเป็น Windows 11 โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจและผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความมั่นคงและปลอดภัยมากขึ้น 📈 เหตุผลที่ Mac ขายดีขึ้นหลัง Windows 10 หมดอายุ จากรายงานของ Counterpoint Research พบว่า ยอดขาย Mac ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 14.9% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2025 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีปัจจัยหลักคือ: 💠 ความนิยมของ MacBook รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป Apple Silicon ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน 💠 การยอมรับในระดับองค์กร โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการระบบปลอดภัยแต่ไม่ซับซ้อน 💠 ความไม่แน่นอนของการอัปเกรดเป็น Windows 11 ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์ Apple ยังเน้นจุดแข็งด้านความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสข้อมูลและการควบคุมความเป็นส่วนตัวในระดับระบบ ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญสำหรับองค์กรที่ไม่มีทีม IT ประจำ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Windows 10 หมดอายุในเดือนตุลาคม 2025 ทำให้ผู้ใช้ต้องหาทางเลือกใหม่ ➡️ Mac มียอดขายเพิ่มขึ้น 14.9% ในไตรมาสเดียวกัน ➡️ ธุรกิจขนาดเล็กหันมาใช้ Mac เพราะระบบปลอดภัยและใช้งานง่าย ➡️ Apple Silicon ช่วยให้ Mac มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน ➡️ ผู้ใช้ iPhone มีแนวโน้มเลือก Mac เพื่อความต่อเนื่องในการทำงาน ✅ ปัจจัยที่ทำให้ผู้ใช้ลังเลอัปเกรด Windows ➡️ Windows 11 ต้องการฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น TPM 2.0 และ UEFI Secure Boot ➡️ ความไม่แน่นอนด้านความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์เก่า ➡️ ค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดอุปกรณ์และระบบ https://www.techradar.com/computing/macbooks/never-mind-linux-windows-10s-end-of-life-is-driving-up-apple-mac-sales
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • Tenstorrent เปิดตัว Open Chiplet Atlas Ecosystem ปฏิวัติการออกแบบชิปแบบเปิดและเชื่อมต่อได้ทุกค่าย

    Tenstorrent ประกาศเปิดตัว Open Chiplet Atlas Ecosystem (OCA) ในงานที่ซานฟรานซิสโก โดยมีเป้าหมายเพื่อ “เปิดเสรี” การออกแบบชิปแบบ chiplet ให้สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างอิสระ ลดต้นทุน และเร่งนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    แนวคิดหลักของ OCA Ecosystem

    OCA ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มใหม่ แต่เป็น “มาตรฐานเปิด” ที่ครอบคลุมทุกชั้นของการออกแบบ chiplet ตั้งแต่ระดับกายภาพไปจนถึงซอฟต์แวร์ โดยมี 3 เสาหลักสำคัญ:
    Architecture: สถาปัตยกรรมเปิดที่กำหนดมาตรฐานการเชื่อมต่อ chiplet ใน 5 ชั้น ได้แก่ Physical, Transport, Protocol, System และ Software
    Harness: เฟรมเวิร์กแบบโอเพ่นซอร์สที่ช่วยให้นักออกแบบสามารถสร้าง chiplet ที่เชื่อมต่อได้ทันที โดยไม่ต้องพัฒนา logic ซ้ำ
    Compliance: โปรแกรมตรวจสอบความเข้ากันได้ทั้งก่อนและหลังการผลิต รวมถึง “Golden Chiplet” สำหรับทดสอบ และกิจกรรม “Plugfests” เพื่อทดลองใช้งานร่วมกัน

    จุดเด่นของ OCA Ecosystem
    ลดต้นทุนการพัฒนาและเร่งเวลาออกสู่ตลาด
    รองรับการออกแบบ chiplet แบบ multivendor โดยไม่ติด vendor lock-in
    เหมาะกับผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น AI accelerators, ยานยนต์, และดาต้าเซ็นเตอร์

    ความร่วมมือระดับโลก
    มีพันธมิตรมากกว่า 50 รายจากบริษัทเซมิคอนดักเตอร์และมหาวิทยาลัยชั้นนำ
    ตัวอย่างเช่น LG, Rapidus, Axelera AI, BSC, ITRI, และมหาวิทยาลัยโตเกียว
    สนับสนุนโดยนักวิจัยจาก Oxford, HKUST, UC Riverside และ Shanghai Jiao Tong

    ความเห็นจากผู้นำอุตสาหกรรม
    BOS Semiconductors เน้นความสำคัญของความเข้ากันได้ระยะยาวในอุตสาหกรรมยานยนต์
    BSC ชี้ว่า OCA จะช่วยให้เกิดความหลากหลายในการประมวลผล
    Rapidus มองว่า OCA จะช่วยลดความซับซ้อนในการผลิตและเปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือก chiplet จากหลายค่าย

    https://www.techpowerup.com/342293/tenstorrent-announces-open-chiplet-atlas-ecosystem
    🧩🔗 Tenstorrent เปิดตัว Open Chiplet Atlas Ecosystem ปฏิวัติการออกแบบชิปแบบเปิดและเชื่อมต่อได้ทุกค่าย Tenstorrent ประกาศเปิดตัว Open Chiplet Atlas Ecosystem (OCA) ในงานที่ซานฟรานซิสโก โดยมีเป้าหมายเพื่อ “เปิดเสรี” การออกแบบชิปแบบ chiplet ให้สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างอิสระ ลดต้นทุน และเร่งนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ 🧠 แนวคิดหลักของ OCA Ecosystem OCA ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มใหม่ แต่เป็น “มาตรฐานเปิด” ที่ครอบคลุมทุกชั้นของการออกแบบ chiplet ตั้งแต่ระดับกายภาพไปจนถึงซอฟต์แวร์ โดยมี 3 เสาหลักสำคัญ: 💠 Architecture: สถาปัตยกรรมเปิดที่กำหนดมาตรฐานการเชื่อมต่อ chiplet ใน 5 ชั้น ได้แก่ Physical, Transport, Protocol, System และ Software 💠 Harness: เฟรมเวิร์กแบบโอเพ่นซอร์สที่ช่วยให้นักออกแบบสามารถสร้าง chiplet ที่เชื่อมต่อได้ทันที โดยไม่ต้องพัฒนา logic ซ้ำ 💠 Compliance: โปรแกรมตรวจสอบความเข้ากันได้ทั้งก่อนและหลังการผลิต รวมถึง “Golden Chiplet” สำหรับทดสอบ และกิจกรรม “Plugfests” เพื่อทดลองใช้งานร่วมกัน ✅ จุดเด่นของ OCA Ecosystem ➡️ ลดต้นทุนการพัฒนาและเร่งเวลาออกสู่ตลาด ➡️ รองรับการออกแบบ chiplet แบบ multivendor โดยไม่ติด vendor lock-in ➡️ เหมาะกับผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น AI accelerators, ยานยนต์, และดาต้าเซ็นเตอร์ ✅ ความร่วมมือระดับโลก ➡️ มีพันธมิตรมากกว่า 50 รายจากบริษัทเซมิคอนดักเตอร์และมหาวิทยาลัยชั้นนำ ➡️ ตัวอย่างเช่น LG, Rapidus, Axelera AI, BSC, ITRI, และมหาวิทยาลัยโตเกียว ➡️ สนับสนุนโดยนักวิจัยจาก Oxford, HKUST, UC Riverside และ Shanghai Jiao Tong ✅ ความเห็นจากผู้นำอุตสาหกรรม ➡️ BOS Semiconductors เน้นความสำคัญของความเข้ากันได้ระยะยาวในอุตสาหกรรมยานยนต์ ➡️ BSC ชี้ว่า OCA จะช่วยให้เกิดความหลากหลายในการประมวลผล ➡️ Rapidus มองว่า OCA จะช่วยลดความซับซ้อนในการผลิตและเปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือก chiplet จากหลายค่าย https://www.techpowerup.com/342293/tenstorrent-announces-open-chiplet-atlas-ecosystem
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Tenstorrent Announces Open Chiplet Atlas Ecosystem
    Announced at their recent event in San Francisco, the OCA Ecosystem will democratize chip design, lower development costs, and accelerate innovation, enabling heterogeneous chiplets for plug-and-play interoperability. There are now more than 50 partners involved in the ecosystem, from leading semico...
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • จีนเปิดตัว BIE-1 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เลียนแบบสมอง ขนาดเท่าตู้เย็น ใช้ไฟบ้านธรรมดา!

    นักวิทยาศาสตร์จีนจาก Guangdong Institute of Intelligent Science and Technology ได้เปิดตัว “BI Explorer 1” หรือ BIE-1 ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ neuromorphic ที่เลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ โดยมีขนาดเท่าตู้เย็นเล็ก แต่ประสิทธิภาพระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ พร้อมใช้ไฟบ้านทั่วไป

    จุดเด่นของ BIE-1
    ขนาดกะทัดรัด: เทียบเท่าตู้เย็นขนาดเล็ก แต่สามารถทำงานได้เทียบเท่าระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดห้อง
    ประหยัดพลังงาน: ใช้พลังงานน้อยกว่าระบบทั่วไปถึง 90% และยังคงอุณหภูมิ CPU ไม่เกิน 70°C แม้ใช้งานหนัก
    ประสิทธิภาพสูง: มี 1,152 CPU cores, RAM 4.8TB DDR5 และพื้นที่จัดเก็บ 204TB
    ใช้เทคโนโลยีเลียนแบบสมอง: ประมวลผลแบบ neural network ที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    รองรับการใช้งานหลากหลาย: เหมาะสำหรับบ้าน, สำนักงาน, หรือแม้แต่การใช้งานแบบเคลื่อนที่ เช่น รถพยาบาลหรือห้องเรียนเคลื่อนที่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    BIE-1 เป็นเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ neuromorphic ที่เลียนแบบสมอง
    ขนาดเท่าตู้เย็น ใช้ไฟบ้านทั่วไป
    มี 1,152 CPU cores, RAM 4.8TB และพื้นที่จัดเก็บ 204TB
    ใช้พลังงานน้อยกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไปถึง 90%
    อุณหภูมิ CPU ไม่เกิน 70°C แม้ใช้งานเต็มที่
    เหมาะสำหรับการใช้งานในบ้าน, สำนักงาน, หรือพื้นที่เคลื่อนที่

    เทคโนโลยีเลียนแบบสมอง
    ใช้ neural network ที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    รองรับการประมวลผลแบบ multimodal เช่น ข้อความ, ภาพ, และเสียง
    เหมาะสำหรับงานด้านสุขภาพ, การศึกษา, และผู้ช่วย AI ส่วนบุคคล

    ความเปรียบเทียบกับระบบเดิม
    เทียบกับ Intel Hala Point และ SpiNNaker 2 ที่ใช้พื้นที่ขนาดใหญ่
    BIE-1 เป็นระบบแบบ standalone ที่ไม่ต้องใช้ SSD, HDD หรือ GPU
    ใช้พลังงานน้อยกว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดห้อง” ถึง 90%

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    คำว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์” ยังไม่มีนิยามที่ชัดเจน ทำให้การเปรียบเทียบอาจคลุมเครือ
    ยังไม่มีข้อมูลราคาหรือวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
    ข้อมูลจากแหล่งตะวันตกยังมีจำกัด อาจต้องรอการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพจริง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-builds-neuromorphic-ai-server-the-size-of-a-mini-fridge-bi-explorer-1-runs-on-a-household-socket-and-contains-1-152-cpu-cores
    🧠🧊 จีนเปิดตัว BIE-1 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เลียนแบบสมอง ขนาดเท่าตู้เย็น ใช้ไฟบ้านธรรมดา! นักวิทยาศาสตร์จีนจาก Guangdong Institute of Intelligent Science and Technology ได้เปิดตัว “BI Explorer 1” หรือ BIE-1 ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ neuromorphic ที่เลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ โดยมีขนาดเท่าตู้เย็นเล็ก แต่ประสิทธิภาพระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ พร้อมใช้ไฟบ้านทั่วไป 📦 จุดเด่นของ BIE-1 💠 ขนาดกะทัดรัด: เทียบเท่าตู้เย็นขนาดเล็ก แต่สามารถทำงานได้เทียบเท่าระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดห้อง 💠 ประหยัดพลังงาน: ใช้พลังงานน้อยกว่าระบบทั่วไปถึง 90% และยังคงอุณหภูมิ CPU ไม่เกิน 70°C แม้ใช้งานหนัก 💠 ประสิทธิภาพสูง: มี 1,152 CPU cores, RAM 4.8TB DDR5 และพื้นที่จัดเก็บ 204TB 💠 ใช้เทคโนโลยีเลียนแบบสมอง: ประมวลผลแบบ neural network ที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 💠 รองรับการใช้งานหลากหลาย: เหมาะสำหรับบ้าน, สำนักงาน, หรือแม้แต่การใช้งานแบบเคลื่อนที่ เช่น รถพยาบาลหรือห้องเรียนเคลื่อนที่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ BIE-1 เป็นเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ neuromorphic ที่เลียนแบบสมอง ➡️ ขนาดเท่าตู้เย็น ใช้ไฟบ้านทั่วไป ➡️ มี 1,152 CPU cores, RAM 4.8TB และพื้นที่จัดเก็บ 204TB ➡️ ใช้พลังงานน้อยกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไปถึง 90% ➡️ อุณหภูมิ CPU ไม่เกิน 70°C แม้ใช้งานเต็มที่ ➡️ เหมาะสำหรับการใช้งานในบ้าน, สำนักงาน, หรือพื้นที่เคลื่อนที่ ✅ เทคโนโลยีเลียนแบบสมอง ➡️ ใช้ neural network ที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ รองรับการประมวลผลแบบ multimodal เช่น ข้อความ, ภาพ, และเสียง ➡️ เหมาะสำหรับงานด้านสุขภาพ, การศึกษา, และผู้ช่วย AI ส่วนบุคคล ✅ ความเปรียบเทียบกับระบบเดิม ➡️ เทียบกับ Intel Hala Point และ SpiNNaker 2 ที่ใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ ➡️ BIE-1 เป็นระบบแบบ standalone ที่ไม่ต้องใช้ SSD, HDD หรือ GPU ➡️ ใช้พลังงานน้อยกว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดห้อง” ถึง 90% ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ คำว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์” ยังไม่มีนิยามที่ชัดเจน ทำให้การเปรียบเทียบอาจคลุมเครือ ⛔ ยังไม่มีข้อมูลราคาหรือวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ⛔ ข้อมูลจากแหล่งตะวันตกยังมีจำกัด อาจต้องรอการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพจริง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-builds-neuromorphic-ai-server-the-size-of-a-mini-fridge-bi-explorer-1-runs-on-a-household-socket-and-contains-1-152-cpu-cores
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • เปิดโลกไมโครชิป: นักสะสมเผยภาพภายใน Intel 4004 ชิปโปรแกรมตัวแรกของโลก

    นักสะสมซีพียูนามว่า “CPU Duke” ได้เปิดเผยภาพภายในของ Intel 4004 ชิปไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ที่เปิดตัวเมื่อปี 1971 โดยใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในระดับนาโน เผยให้เห็นความซับซ้อนของเทคโนโลยีในยุคเริ่มต้นของการประมวลผล

    จุดเด่นของ Intel 4004

    Intel 4004 เป็นชิปขนาด 10,000 นาโนเมตร มีทรานซิสเตอร์จำนวน 2,300 ตัว
    เป็นโปรเซสเซอร์แบบ 4-bit ที่มีความเร็วเพียง 740kHz และใช้แรงดันไฟฟ้าสูงถึง 15V
    รองรับหน่วยความจำสูงสุดเพียง 4KB และสามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที
    ถือเป็นชิปแรกที่สามารถ “โปรแกรมได้” ด้วยซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการคอมพิวเตอร์

    CPU Duke ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ Entertechnikwelt ในสวิตเซอร์แลนด์ และทำการ “เปิดฝา” เพื่อเผยให้เห็นโครงสร้างภายใน เช่น ลวดเชื่อมภายในและชั้นโพลีซิลิคอนใต้แผ่นโลหะ ซึ่งเขาอ้างว่าสามารถนับทรานซิสเตอร์ได้ทีละตัว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel 4004 เป็นชิปแรกที่สามารถโปรแกรมได้ด้วยซอฟต์แวร์
    มีขนาด 10,000nm และทรานซิสเตอร์ 2,300 ตัว
    ความเร็ว 740kHz และแรงดันไฟฟ้า 15V
    รองรับหน่วยความจำเพียง 4KB
    สามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที
    ถูกออกแบบเพื่อใช้ในเครื่องคิดเลขของ Busicom ก่อนจะกลายเป็นชิปอเนกประสงค์

    การเปิดเผยโดย CPU Duke
    ใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในของ Intel 4004
    เห็นลวดเชื่อมและโครงสร้างโพลีซิลิคอนอย่างชัดเจน
    ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ในสวิตเซอร์แลนด์เพื่อการศึกษา

    ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
    Intel 4004 เป็นจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์
    เปลี่ยนแนวคิดจากฮาร์ดแวร์เฉพาะทางเป็นระบบที่สามารถเขียนโปรแกรมได้
    เป็นรากฐานของการพัฒนาชิปในยุคปัจจุบัน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/cpu-collector-exposes-microscopic-insides-of-intels-revolutionary-4004-chip-10-000nm-chip-was-the-worlds-first-programmable-microchip-processor
    🔬💡 เปิดโลกไมโครชิป: นักสะสมเผยภาพภายใน Intel 4004 ชิปโปรแกรมตัวแรกของโลก นักสะสมซีพียูนามว่า “CPU Duke” ได้เปิดเผยภาพภายในของ Intel 4004 ชิปไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ที่เปิดตัวเมื่อปี 1971 โดยใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในระดับนาโน เผยให้เห็นความซับซ้อนของเทคโนโลยีในยุคเริ่มต้นของการประมวลผล 🧠 จุดเด่นของ Intel 4004 💠 Intel 4004 เป็นชิปขนาด 10,000 นาโนเมตร มีทรานซิสเตอร์จำนวน 2,300 ตัว 💠 เป็นโปรเซสเซอร์แบบ 4-bit ที่มีความเร็วเพียง 740kHz และใช้แรงดันไฟฟ้าสูงถึง 15V 💠 รองรับหน่วยความจำสูงสุดเพียง 4KB และสามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที 💠 ถือเป็นชิปแรกที่สามารถ “โปรแกรมได้” ด้วยซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการคอมพิวเตอร์ CPU Duke ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ Entertechnikwelt ในสวิตเซอร์แลนด์ และทำการ “เปิดฝา” เพื่อเผยให้เห็นโครงสร้างภายใน เช่น ลวดเชื่อมภายในและชั้นโพลีซิลิคอนใต้แผ่นโลหะ ซึ่งเขาอ้างว่าสามารถนับทรานซิสเตอร์ได้ทีละตัว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel 4004 เป็นชิปแรกที่สามารถโปรแกรมได้ด้วยซอฟต์แวร์ ➡️ มีขนาด 10,000nm และทรานซิสเตอร์ 2,300 ตัว ➡️ ความเร็ว 740kHz และแรงดันไฟฟ้า 15V ➡️ รองรับหน่วยความจำเพียง 4KB ➡️ สามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที ➡️ ถูกออกแบบเพื่อใช้ในเครื่องคิดเลขของ Busicom ก่อนจะกลายเป็นชิปอเนกประสงค์ ✅ การเปิดเผยโดย CPU Duke ➡️ ใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในของ Intel 4004 ➡️ เห็นลวดเชื่อมและโครงสร้างโพลีซิลิคอนอย่างชัดเจน ➡️ ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ในสวิตเซอร์แลนด์เพื่อการศึกษา ✅ ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ➡️ Intel 4004 เป็นจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์ ➡️ เปลี่ยนแนวคิดจากฮาร์ดแวร์เฉพาะทางเป็นระบบที่สามารถเขียนโปรแกรมได้ ➡️ เป็นรากฐานของการพัฒนาชิปในยุคปัจจุบัน https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/cpu-collector-exposes-microscopic-insides-of-intels-revolutionary-4004-chip-10-000nm-chip-was-the-worlds-first-programmable-microchip-processor
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • นักวิทยาศาสตร์เผย: มนุษย์แทบแยกไม่ออกระหว่าง 1440p กับ 8K หากดูจากระยะ 10 ฟุต!

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ร่วมกับ Meta Reality Labs ได้ทำการศึกษาขีดจำกัดการมองเห็นของมนุษย์ต่อความละเอียดหน้าจอ พบว่า ที่ระยะห่าง 10 ฟุตจากหน้าจอขนาด 50 นิ้ว ความแตกต่างระหว่าง 1440p, 4K และ 8K แทบไม่สามารถแยกออกได้ด้วยสายตา

    รายละเอียดการศึกษา

    นักวิจัยได้พัฒนาเครื่องมือวัด “Pixels Per Degree” (PPD) เพื่อประเมินว่ามนุษย์สามารถแยกแยะพิกเซลได้มากแค่ไหนในแต่ละสีและระยะห่าง โดยใช้จอภาพที่สามารถปรับความละเอียดได้อย่างต่อเนื่อง และวัดการรับรู้ของผู้ทดลองในหลายเงื่อนไข เช่น สี ความสว่าง และมุมมอง

    ผลลัพธ์ที่ได้:
    สีขาวดำ: มนุษย์สามารถแยกแยะได้สูงสุดถึง 94 PPD
    สีแดงและเขียว: 89 PPD
    สีเหลืองและม่วง: ต่ำสุดที่ 53 PPD

    นักวิจัยยังสร้างเครื่องคำนวณออนไลน์ให้ผู้ใช้กรอกขนาดหน้าจอ ระยะห่าง และความละเอียด เพื่อดูว่าความละเอียดที่สูงขึ้นจะมีผลต่อการรับรู้จริงหรือไม่

    ข้อมูลสำคัญจากการศึกษา
    ระยะห่าง 10 ฟุตจากหน้าจอ 50 นิ้ว: 1440p, 4K และ 8K แทบไม่ต่างกันในสายตามนุษย์
    1% เท่านั้นที่สามารถแยกแยะภาพ 1440p กับภาพสมบูรณ์แบบได้
    ที่ 4K และ 8K ตัวเลขนั้นลดลงเหลือ 0% — หมายความว่าไม่มีใครแยกออกได้
    การเพิ่มความละเอียดเกินขีดจำกัดสายตาอาจเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า

    ขีดจำกัดการมองเห็นของมนุษย์
    สีขาวดำ: สูงสุด 94 PPD
    สีแดง/เขียว: สูงสุด 89 PPD
    สีเหลือง/ม่วง: ต่ำสุด 53 PPD
    ความสามารถในการแยกแยะลดลงเมื่อมองจากมุมเฉียงหรือในสภาพแสงต่างกัน

    เครื่องมือช่วยผู้บริโภค
    นักวิจัยพัฒนาเครื่องคำนวณออนไลน์เพื่อช่วยเลือกหน้าจอที่เหมาะสม
    ช่วยลดการซื้อหน้าจอที่มีความละเอียดเกินความจำเป็น

    คำเตือนสำหรับผู้บริโภค
    การซื้อหน้าจอ 8K อาจไม่ให้คุณภาพภาพที่ต่างจาก 1440p หากดูจากระยะไกล
    ความละเอียดสูงขึ้นหมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้นและใช้พลังงานมากขึ้น
    ผู้ผลิตอาจโฆษณาความละเอียดเกินความจำเป็นเพื่อกระตุ้นยอดขาย

    https://www.tomshardware.com/monitors/scientists-claim-you-cant-see-the-difference-between-1440p-and-8k-at-10-feet-in-new-study-on-the-limits-of-the-human-eye-would-still-be-an-improvement-on-the-previously-touted-upper-limit-of-60-pixels-per-degree
    🧠👁️ นักวิทยาศาสตร์เผย: มนุษย์แทบแยกไม่ออกระหว่าง 1440p กับ 8K หากดูจากระยะ 10 ฟุต! นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ร่วมกับ Meta Reality Labs ได้ทำการศึกษาขีดจำกัดการมองเห็นของมนุษย์ต่อความละเอียดหน้าจอ พบว่า ที่ระยะห่าง 10 ฟุตจากหน้าจอขนาด 50 นิ้ว ความแตกต่างระหว่าง 1440p, 4K และ 8K แทบไม่สามารถแยกออกได้ด้วยสายตา 📺 รายละเอียดการศึกษา นักวิจัยได้พัฒนาเครื่องมือวัด “Pixels Per Degree” (PPD) เพื่อประเมินว่ามนุษย์สามารถแยกแยะพิกเซลได้มากแค่ไหนในแต่ละสีและระยะห่าง โดยใช้จอภาพที่สามารถปรับความละเอียดได้อย่างต่อเนื่อง และวัดการรับรู้ของผู้ทดลองในหลายเงื่อนไข เช่น สี ความสว่าง และมุมมอง 💠 ผลลัพธ์ที่ได้: 👁️ สีขาวดำ: มนุษย์สามารถแยกแยะได้สูงสุดถึง 94 PPD 👁️ สีแดงและเขียว: 89 PPD 👁️ สีเหลืองและม่วง: ต่ำสุดที่ 53 PPD นักวิจัยยังสร้างเครื่องคำนวณออนไลน์ให้ผู้ใช้กรอกขนาดหน้าจอ ระยะห่าง และความละเอียด เพื่อดูว่าความละเอียดที่สูงขึ้นจะมีผลต่อการรับรู้จริงหรือไม่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากการศึกษา ➡️ ระยะห่าง 10 ฟุตจากหน้าจอ 50 นิ้ว: 1440p, 4K และ 8K แทบไม่ต่างกันในสายตามนุษย์ ➡️ 1% เท่านั้นที่สามารถแยกแยะภาพ 1440p กับภาพสมบูรณ์แบบได้ ➡️ ที่ 4K และ 8K ตัวเลขนั้นลดลงเหลือ 0% — หมายความว่าไม่มีใครแยกออกได้ ➡️ การเพิ่มความละเอียดเกินขีดจำกัดสายตาอาจเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า ✅ ขีดจำกัดการมองเห็นของมนุษย์ ➡️ สีขาวดำ: สูงสุด 94 PPD ➡️ สีแดง/เขียว: สูงสุด 89 PPD ➡️ สีเหลือง/ม่วง: ต่ำสุด 53 PPD ➡️ ความสามารถในการแยกแยะลดลงเมื่อมองจากมุมเฉียงหรือในสภาพแสงต่างกัน ✅ เครื่องมือช่วยผู้บริโภค ➡️ นักวิจัยพัฒนาเครื่องคำนวณออนไลน์เพื่อช่วยเลือกหน้าจอที่เหมาะสม ➡️ ช่วยลดการซื้อหน้าจอที่มีความละเอียดเกินความจำเป็น ‼️ คำเตือนสำหรับผู้บริโภค ⛔ การซื้อหน้าจอ 8K อาจไม่ให้คุณภาพภาพที่ต่างจาก 1440p หากดูจากระยะไกล ⛔ ความละเอียดสูงขึ้นหมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้นและใช้พลังงานมากขึ้น ⛔ ผู้ผลิตอาจโฆษณาความละเอียดเกินความจำเป็นเพื่อกระตุ้นยอดขาย https://www.tomshardware.com/monitors/scientists-claim-you-cant-see-the-difference-between-1440p-and-8k-at-10-feet-in-new-study-on-the-limits-of-the-human-eye-would-still-be-an-improvement-on-the-previously-touted-upper-limit-of-60-pixels-per-degree
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • SK hynix เปิดตัวกลยุทธ์ AI NAND ยุคใหม่ พร้อม SSD ความจุระดับเพตะไบต์ และความเร็วทะลุ 100 ล้าน IOPS

    ลองจินตนาการว่า AI ไม่ได้แค่ฉลาดขึ้น แต่ยังเร็วขึ้นและจัดการข้อมูลได้มหาศาลแบบที่ฮาร์ดดิสก์ธรรมดาเทียบไม่ติด ล่าสุด SK hynix ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่จากเกาหลีใต้ ได้เปิดตัวกลยุทธ์ใหม่ในงาน Global Summit 2025 ที่จะเปลี่ยนโฉมวงการเก็บข้อมูลสำหรับ AI โดยเฉพาะ

    พวกเขาแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 สายหลัก ได้แก่ AIN D, AIN P และ AIN B ซึ่งแต่ละตัวมีจุดเด่นเฉพาะตัว:

    AIN D (Density): ใช้เทคโนโลยี 3D QLC NAND เพื่อสร้าง SSD ที่มีความจุระดับ “เพตะไบต์” สำหรับเก็บข้อมูล AI ขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายแทนที่ HDD แบบใกล้เคียงเซิร์ฟเวอร์

    AIN P (Performance): SSD ที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI โดยเฉพาะ เช่นการค้นหาฐานข้อมูลแบบเวกเตอร์ ด้วยความเร็วสูงถึง 100 ล้าน IOPS ผ่าน PCIe 6.0 ภายในปี 2027

    AIN B (Bandwidth): ใช้เทคโนโลยี High Bandwidth Flash (HBF) ที่ร่วมพัฒนากับ SanDisk เพื่อให้ได้แบนด์วิดธ์ระดับเดียวกับ HBM แต่ยังไม่มีมาตรฐานกลางหรือตัวเลขประสิทธิภาพที่ชัดเจน

    นอกจากนั้น SK hynix ยังร่วมมือกับ SanDisk จัดงาน “HBF Night” เพื่อผลักดันการพัฒนา ecosystem ของ NAND สำหรับ AI โดยเฉพาะ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ที่ผู้ผลิตหน่วยความจำกำลังปรับตัวเพื่อรองรับการเติบโตของ AI อย่างรวดเร็ว

    และถ้ามองจากภาพรวมของอุตสาหกรรมตอนนี้ เราจะเห็นว่าเทคโนโลยีเก็บข้อมูลกำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI ไม่ใช่แค่เรื่องของชิปประมวลผลอีกต่อไป แต่รวมถึงการจัดเก็บและส่งข้อมูลที่เร็วและใหญ่กว่าที่เคยเป็นมา

    กลยุทธ์ใหม่ของ SK hynix สำหรับตลาด AI
    เปิดตัวผลิตภัณฑ์ NAND 3 สาย: AIN D, AIN P, AIN B
    มุ่งเน้นการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น การเก็บข้อมูล, การประมวลผล, และการส่งข้อมูลความเร็วสูง

    AIN D: ความจุสูงสุดในตลาด
    ใช้ 3D QLC NAND เพื่อสร้าง SSD ความจุระดับเพตะไบต์
    ตั้งเป้าแทนที่ nearline HDD สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI

    AIN P: SSD ความเร็วสูงสำหรับ AI inference
    รองรับการประมวลผลแบบละเอียด เช่น vector search
    ความเร็วสูงสุด 100 ล้าน IOPS ผ่าน PCIe 6.0 ภายในปี 2027
    มีข้อจำกัดด้านแบนด์วิดธ์ของ PCIe 6.0 x4 ที่ต้องใช้ x8 หรือ x16 เพื่อให้ถึงเป้าหมาย

    AIN B: เทคโนโลยีใหม่ High Bandwidth Flash
    พัฒนาโดยร่วมมือกับ SanDisk
    เป้าหมายคือให้แบนด์วิดธ์ระดับ HBM แต่ยังไม่มีมาตรฐานกลาง
    เหมาะสำหรับงาน inference ที่ต้องการ throughput สูงโดยไม่ต้องเพิ่ม accelerator

    ความร่วมมือเพื่อผลักดันมาตรฐานใหม่
    SK hynix และ SanDisk จัดงาน HBF Night เพื่อรวมผู้พัฒนา ecosystem
    สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของตลาด NAND ที่มุ่งสู่ AI โดยเฉพาะ

    ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีที่ต้องจับตา
    PCIe 6.0 x4 ไม่สามารถรองรับ 100 ล้าน IOPS ได้จริง ต้องใช้ x8 หรือ x16
    AIN B ยังไม่มีตัวเลขประสิทธิภาพหรือกำหนดการวางจำหน่ายที่ชัดเจน
    มาตรฐานของ HBF ยังไม่ถูกกำหนด ทำให้การใช้งานยังไม่แพร่หลาย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/sk-hynix-unveils-ai-nand-strategy-including-gargantuan-petabyte-class-qlc-ssds-ultra-fast-hbf-and-100m-iops-ssds-also-in-the-pipeline
    🧠💾 SK hynix เปิดตัวกลยุทธ์ AI NAND ยุคใหม่ พร้อม SSD ความจุระดับเพตะไบต์ และความเร็วทะลุ 100 ล้าน IOPS ลองจินตนาการว่า AI ไม่ได้แค่ฉลาดขึ้น แต่ยังเร็วขึ้นและจัดการข้อมูลได้มหาศาลแบบที่ฮาร์ดดิสก์ธรรมดาเทียบไม่ติด ล่าสุด SK hynix ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่จากเกาหลีใต้ ได้เปิดตัวกลยุทธ์ใหม่ในงาน Global Summit 2025 ที่จะเปลี่ยนโฉมวงการเก็บข้อมูลสำหรับ AI โดยเฉพาะ พวกเขาแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 สายหลัก ได้แก่ AIN D, AIN P และ AIN B ซึ่งแต่ละตัวมีจุดเด่นเฉพาะตัว: 💠 AIN D (Density): ใช้เทคโนโลยี 3D QLC NAND เพื่อสร้าง SSD ที่มีความจุระดับ “เพตะไบต์” สำหรับเก็บข้อมูล AI ขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายแทนที่ HDD แบบใกล้เคียงเซิร์ฟเวอร์ 💠 AIN P (Performance): SSD ที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI โดยเฉพาะ เช่นการค้นหาฐานข้อมูลแบบเวกเตอร์ ด้วยความเร็วสูงถึง 100 ล้าน IOPS ผ่าน PCIe 6.0 ภายในปี 2027 💠 AIN B (Bandwidth): ใช้เทคโนโลยี High Bandwidth Flash (HBF) ที่ร่วมพัฒนากับ SanDisk เพื่อให้ได้แบนด์วิดธ์ระดับเดียวกับ HBM แต่ยังไม่มีมาตรฐานกลางหรือตัวเลขประสิทธิภาพที่ชัดเจน นอกจากนั้น SK hynix ยังร่วมมือกับ SanDisk จัดงาน “HBF Night” เพื่อผลักดันการพัฒนา ecosystem ของ NAND สำหรับ AI โดยเฉพาะ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ที่ผู้ผลิตหน่วยความจำกำลังปรับตัวเพื่อรองรับการเติบโตของ AI อย่างรวดเร็ว และถ้ามองจากภาพรวมของอุตสาหกรรมตอนนี้ เราจะเห็นว่าเทคโนโลยีเก็บข้อมูลกำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI ไม่ใช่แค่เรื่องของชิปประมวลผลอีกต่อไป แต่รวมถึงการจัดเก็บและส่งข้อมูลที่เร็วและใหญ่กว่าที่เคยเป็นมา ✅ กลยุทธ์ใหม่ของ SK hynix สำหรับตลาด AI ➡️ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ NAND 3 สาย: AIN D, AIN P, AIN B ➡️ มุ่งเน้นการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น การเก็บข้อมูล, การประมวลผล, และการส่งข้อมูลความเร็วสูง ✅ AIN D: ความจุสูงสุดในตลาด ➡️ ใช้ 3D QLC NAND เพื่อสร้าง SSD ความจุระดับเพตะไบต์ ➡️ ตั้งเป้าแทนที่ nearline HDD สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI ✅ AIN P: SSD ความเร็วสูงสำหรับ AI inference ➡️ รองรับการประมวลผลแบบละเอียด เช่น vector search ➡️ ความเร็วสูงสุด 100 ล้าน IOPS ผ่าน PCIe 6.0 ภายในปี 2027 ➡️ มีข้อจำกัดด้านแบนด์วิดธ์ของ PCIe 6.0 x4 ที่ต้องใช้ x8 หรือ x16 เพื่อให้ถึงเป้าหมาย ✅ AIN B: เทคโนโลยีใหม่ High Bandwidth Flash ➡️ พัฒนาโดยร่วมมือกับ SanDisk ➡️ เป้าหมายคือให้แบนด์วิดธ์ระดับ HBM แต่ยังไม่มีมาตรฐานกลาง ➡️ เหมาะสำหรับงาน inference ที่ต้องการ throughput สูงโดยไม่ต้องเพิ่ม accelerator ✅ ความร่วมมือเพื่อผลักดันมาตรฐานใหม่ ➡️ SK hynix และ SanDisk จัดงาน HBF Night เพื่อรวมผู้พัฒนา ecosystem ➡️ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของตลาด NAND ที่มุ่งสู่ AI โดยเฉพาะ ‼️ ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีที่ต้องจับตา ⛔ PCIe 6.0 x4 ไม่สามารถรองรับ 100 ล้าน IOPS ได้จริง ต้องใช้ x8 หรือ x16 ⛔ AIN B ยังไม่มีตัวเลขประสิทธิภาพหรือกำหนดการวางจำหน่ายที่ชัดเจน ⛔ มาตรฐานของ HBF ยังไม่ถูกกำหนด ทำให้การใช้งานยังไม่แพร่หลาย https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/sk-hynix-unveils-ai-nand-strategy-including-gargantuan-petabyte-class-qlc-ssds-ultra-fast-hbf-and-100m-iops-ssds-also-in-the-pipeline
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • เนื้อว่านหลวงพ่อทุ่งคา รุ่นแรก วัดบูรพาราม จ.ปัตตานี
    เนื้อว่านหลวงพ่อทุ่งคา รุ่นแรก พิมพ์ซุ้มเรือนแก้ว (พิมพ์นิยม หายาก) วัดบูรพาราม อำเภอยะหริ่ง จ.ปัตตานี // พระดีพิธีใหญ่ หลวงพ่อทิม วัดช้างไห้ และ ได้มวลสารศักดิ์สิทธิ์ หลายแห่ง เช่น ว่านหลวงปู่ทวดเนื้อว่าน ปี2497 รุ่นแรก และมีพระเกจิที่เก่งมากหลายๆท่านมาร่วมปลุกเสกเช่น หลวงพ่อดำ วัดตุยง พ่อท่านคล้าย วัดสวนชัน พระอาจารย์นอง วัดทรายขาว ปลุกเสก // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณโดดเด่นด้านเมตตามหานิยมและคุ้มครองป้องกันภยันตรายต่างๆ คงกระพันชาตรี ทำให้คนรักคนหลง และเป็นที่เมตตาแก่คนรอบข้าง เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ ดีนัก **

    ** พระดีพิธีใหญ่ พ่อท่านคล้าย อ.ทิม อ.นอง และเกจิอาจารย์สายใต้ร่วมปลุกเสก มวลสารประกอบด้วย ว่านหลวงพ่อทวด2497 ว่าน 108 ชนิด ดินสังเวชนียสถาน เกสรดอกไม้ ผงคำภีร์ต่างๆ ดินกากยายักษ์ ผงกรุต่างๆ **

    ** ประวัติหลวงพ่อทุ่งคา วัดบูรพาราม จ.ปัตตานี "หลวงพ่อทุ่งคา" วัดบูรพาราม อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี เป็นพระพุทธรูปโบราณปางมารวิชัย เป็นศิลปะสมัยเชียงแสนผสมอู่ทอง พุทธศตวรรษที่ 17 วัสดุหล่อด้วยทองสำริดขนาดหน้าตัก กว้าง 55 เซนติเมตร สูง 71 เซนติเมตร พุทธคุณเมตตามหานิยมคุ้มครองป้องกันภยันตรายทั้งปวงได้ แคล้วคลาดจากเหตุร้ายต่างๆ เป็นที่เคารพสักการะนับถือบูชา เป็นพระประจำบ้าน ก็จะเป็นเกราะคุ้มครองป้องกันให้ปราศจากภัยพิบัติต่างๆ อันเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ อัคคีภัย วาตภัย ให้ความร่มเย็นเป็นสุขเสริมความเป็นสิริมงคล จำเริญพูนผลด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ แก่ทุกๆ คน **

    ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เนื้อว่านหลวงพ่อทุ่งคา รุ่นแรก วัดบูรพาราม จ.ปัตตานี เนื้อว่านหลวงพ่อทุ่งคา รุ่นแรก พิมพ์ซุ้มเรือนแก้ว (พิมพ์นิยม หายาก) วัดบูรพาราม อำเภอยะหริ่ง จ.ปัตตานี // พระดีพิธีใหญ่ หลวงพ่อทิม วัดช้างไห้ และ ได้มวลสารศักดิ์สิทธิ์ หลายแห่ง เช่น ว่านหลวงปู่ทวดเนื้อว่าน ปี2497 รุ่นแรก และมีพระเกจิที่เก่งมากหลายๆท่านมาร่วมปลุกเสกเช่น หลวงพ่อดำ วัดตุยง พ่อท่านคล้าย วัดสวนชัน พระอาจารย์นอง วัดทรายขาว ปลุกเสก // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณโดดเด่นด้านเมตตามหานิยมและคุ้มครองป้องกันภยันตรายต่างๆ คงกระพันชาตรี ทำให้คนรักคนหลง และเป็นที่เมตตาแก่คนรอบข้าง เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ ดีนัก ** ** พระดีพิธีใหญ่ พ่อท่านคล้าย อ.ทิม อ.นอง และเกจิอาจารย์สายใต้ร่วมปลุกเสก มวลสารประกอบด้วย ว่านหลวงพ่อทวด2497 ว่าน 108 ชนิด ดินสังเวชนียสถาน เกสรดอกไม้ ผงคำภีร์ต่างๆ ดินกากยายักษ์ ผงกรุต่างๆ ** ** ประวัติหลวงพ่อทุ่งคา วัดบูรพาราม จ.ปัตตานี "หลวงพ่อทุ่งคา" วัดบูรพาราม อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี เป็นพระพุทธรูปโบราณปางมารวิชัย เป็นศิลปะสมัยเชียงแสนผสมอู่ทอง พุทธศตวรรษที่ 17 วัสดุหล่อด้วยทองสำริดขนาดหน้าตัก กว้าง 55 เซนติเมตร สูง 71 เซนติเมตร พุทธคุณเมตตามหานิยมคุ้มครองป้องกันภยันตรายทั้งปวงได้ แคล้วคลาดจากเหตุร้ายต่างๆ เป็นที่เคารพสักการะนับถือบูชา เป็นพระประจำบ้าน ก็จะเป็นเกราะคุ้มครองป้องกันให้ปราศจากภัยพิบัติต่างๆ อันเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ อัคคีภัย วาตภัย ให้ความร่มเย็นเป็นสุขเสริมความเป็นสิริมงคล จำเริญพูนผลด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ แก่ทุกๆ คน ** ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
More Results