• ปชน.พลิกคุมรัฐบาล : [NEWS UPDATE]

    นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน(ปชน.) เปิดเงื่อนไข 5 ข้อ หนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี ห้ามเป็นเสียงข้างมาก ยืนยัน ไม่มีการยื่นดีลแลกคดี 44 สส. ไม่เสียใจเพราะมติคำนึงถึงทางออกประเทศมากกว่าคะแนนนิยม พรรคประชาชนถือ 143 เสียง กำกับรัฐบาลเสียงข้างน้อย ผลักดันการยุบสภาและจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่

    -"พูดไม่ได้"เหตุผลเปลี่ยนขั้ว

    -ชิงทูลเกล้าฯยุบสภา

    -วาระร้อนต้องถึงมือประธาน

    -ได้ทีดันยุบสภา-แก้รธน.
    ปชน.พลิกคุมรัฐบาล : [NEWS UPDATE] นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน(ปชน.) เปิดเงื่อนไข 5 ข้อ หนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี ห้ามเป็นเสียงข้างมาก ยืนยัน ไม่มีการยื่นดีลแลกคดี 44 สส. ไม่เสียใจเพราะมติคำนึงถึงทางออกประเทศมากกว่าคะแนนนิยม พรรคประชาชนถือ 143 เสียง กำกับรัฐบาลเสียงข้างน้อย ผลักดันการยุบสภาและจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ -"พูดไม่ได้"เหตุผลเปลี่ยนขั้ว -ชิงทูลเกล้าฯยุบสภา -วาระร้อนต้องถึงมือประธาน -ได้ทีดันยุบสภา-แก้รธน.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • อ้วน-รอด-ยาก กก.กฤษฎีกายืนยัน รักษาการไม่มีสิทธิยุบสภา (3/9/68)

    #TruthFromThailand
    #การเมืองไทย
    #ยุบสภา
    #กกกฤษฎีกา
    #ภูมิธรรม
    #เพื่อไทย
    #ข่าวด่วน
    #ข่าววันนี้
    #BreakingNews
    #ThaiTimes
    #news1
    #shorts
    อ้วน-รอด-ยาก กก.กฤษฎีกายืนยัน รักษาการไม่มีสิทธิยุบสภา (3/9/68) #TruthFromThailand #การเมืองไทย #ยุบสภา #กกกฤษฎีกา #ภูมิธรรม #เพื่อไทย #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้ #BreakingNews #ThaiTimes #news1 #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • 'อนุทิน' นำทีมเซ็น MOU! ยืนยัน 5 ข้อตกลงกับ 'พรรคประชาชน' ก่อนเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล
    https://www.thai-tai.tv/news/21285/
    .
    #ไทยไท #อนุทินชาญวีรกูล #พรรคประชาชน #ภูมิใจไทย #จัดตั้งรัฐบาล #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    'อนุทิน' นำทีมเซ็น MOU! ยืนยัน 5 ข้อตกลงกับ 'พรรคประชาชน' ก่อนเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล https://www.thai-tai.tv/news/21285/ . #ไทยไท #อนุทินชาญวีรกูล #พรรคประชาชน #ภูมิใจไทย #จัดตั้งรัฐบาล #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวหน้าพรรคประชาชน เผยข้อตกลง 5 ข้อแก่พรรคภูมิใจไทย ก่อนโหวตให้อนุทินเป็นนายกฯ ทั้งให้ยุบสภาใน 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย เดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และต้องไม่เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ยืนยันขอเป็นฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลต่อไป เผยอาจมีบวกลบเล็กน้อยในขั้นตอนจัดทำรัฐธรรมนูญ ด้านรองหัวหน้าพรรคเผย ถ้าบรรจุวาระโหวตเลือกนายกฯ วันนี้ คาดโหวตเลือกนายกฯ เร็วที่สุดวันศุกร์นี้ (5 ก.ย.)
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000084151

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    หัวหน้าพรรคประชาชน เผยข้อตกลง 5 ข้อแก่พรรคภูมิใจไทย ก่อนโหวตให้อนุทินเป็นนายกฯ ทั้งให้ยุบสภาใน 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย เดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และต้องไม่เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ยืนยันขอเป็นฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลต่อไป เผยอาจมีบวกลบเล็กน้อยในขั้นตอนจัดทำรัฐธรรมนูญ ด้านรองหัวหน้าพรรคเผย ถ้าบรรจุวาระโหวตเลือกนายกฯ วันนี้ คาดโหวตเลือกนายกฯ เร็วที่สุดวันศุกร์นี้ (5 ก.ย.) . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000084151 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก UAL256: เมื่อ AMD สร้างระบบ rack-scale ที่ไม่ใช่แค่แรง แต่ “เชื่อมโยงทุกอย่าง” ด้วย Ultra Ethernet และ Vulcano switch

    แม้ AMD ยังไม่เปิดตัว Instinct MI400 อย่างเป็นทางการ แต่บริษัทก็เริ่มเผยโครงสร้างของรุ่นถัดไป—Instinct MI500 UAL256 ซึ่งเป็น rack-scale system รุ่นที่สอง ต่อจาก MI450X “Helios” ที่จะเปิดตัวในปี 2026

    ในระบบ UAL256 แต่ละ compute node จะประกอบด้วย 1 CPU รหัส “Verano” ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 7 และ 4 GPU รุ่น MI500 โดยรวมแล้ว Mega Pod หนึ่งชุดจะมี 64 CPU และ 256 GPU กระจายอยู่ในสองแร็คหลัก (32-node ต่อแร็ค) และเชื่อมต่อกันด้วยแร็คกลางที่มี 18 networking trays

    แต่ละ tray จะใช้ Vulcano switch ASICs จำนวน 4 ตัว ที่รองรับ throughput ระดับ 800G ต่อ tray และผลิตบนเทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ซึ่งถือเป็นการยกระดับการเชื่อมต่อภายใน rack-scale system อย่างแท้จริง

    Verano CPU จะใช้ Socket SP7 และรองรับ PCIe Gen 6, UALink และ Ultra Ethernet ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ AMD กำลังผลักดันให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของ AI/HPC ในยุคถัดไป โดยยังไม่ยืนยันว่าจะเพิ่มจำนวนคอร์เกิน 256 cores ต่อแพ็กเกจเหมือน Venice หรือไม่

    โครงสร้างของ Instinct MI500 UAL256
    ประกอบด้วย 64 Verano CPUs และ 256 MI500 GPUs
    แบ่งเป็นสองแร็คหลัก (32-node ต่อแร็ค) และแร็คกลางสำหรับ networking
    ใช้ Vulcano switch ASICs ที่รองรับ 800G throughput ต่อ tray

    สถาปัตยกรรมของ Verano CPU
    ใช้ Zen 7 microarchitecture ที่เน้น IPC และ instruction set ใหม่
    ยังคงใช้ Socket SP7 และรองรับ PCIe Gen 6, UALink, Ultra Ethernet
    ยังไม่ยืนยันว่าจะเพิ่ม core count เกิน 256 cores ต่อแพ็กเกจ

    เทคโนโลยีการเชื่อมต่อภายในระบบ
    Vulcano switch ผลิตบน TSMC 3nm node
    รองรับ external throughput ระดับ 800G
    ใช้ Ultra Ethernet เป็นโครงสร้างหลักในการเชื่อมต่อ GPU/CPU

    แผนการเปิดตัว
    MI450X “Helios” จะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2026
    MI500 UAL256 Mega Pod จะเปิดตัวในปี 2027
    เป็นระบบ rack-scale รุ่นที่สองของ AMD สำหรับ AI และ HPC

    https://www.techpowerup.com/340598/amd-instinct-mi500-ual256-mega-pod-to-scale-up-to-256-gpus-64-verano-cpus
    🎙️ เรื่องเล่าจาก UAL256: เมื่อ AMD สร้างระบบ rack-scale ที่ไม่ใช่แค่แรง แต่ “เชื่อมโยงทุกอย่าง” ด้วย Ultra Ethernet และ Vulcano switch แม้ AMD ยังไม่เปิดตัว Instinct MI400 อย่างเป็นทางการ แต่บริษัทก็เริ่มเผยโครงสร้างของรุ่นถัดไป—Instinct MI500 UAL256 ซึ่งเป็น rack-scale system รุ่นที่สอง ต่อจาก MI450X “Helios” ที่จะเปิดตัวในปี 2026 ในระบบ UAL256 แต่ละ compute node จะประกอบด้วย 1 CPU รหัส “Verano” ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 7 และ 4 GPU รุ่น MI500 โดยรวมแล้ว Mega Pod หนึ่งชุดจะมี 64 CPU และ 256 GPU กระจายอยู่ในสองแร็คหลัก (32-node ต่อแร็ค) และเชื่อมต่อกันด้วยแร็คกลางที่มี 18 networking trays แต่ละ tray จะใช้ Vulcano switch ASICs จำนวน 4 ตัว ที่รองรับ throughput ระดับ 800G ต่อ tray และผลิตบนเทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ซึ่งถือเป็นการยกระดับการเชื่อมต่อภายใน rack-scale system อย่างแท้จริง Verano CPU จะใช้ Socket SP7 และรองรับ PCIe Gen 6, UALink และ Ultra Ethernet ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ AMD กำลังผลักดันให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของ AI/HPC ในยุคถัดไป โดยยังไม่ยืนยันว่าจะเพิ่มจำนวนคอร์เกิน 256 cores ต่อแพ็กเกจเหมือน Venice หรือไม่ ✅ โครงสร้างของ Instinct MI500 UAL256 ➡️ ประกอบด้วย 64 Verano CPUs และ 256 MI500 GPUs ➡️ แบ่งเป็นสองแร็คหลัก (32-node ต่อแร็ค) และแร็คกลางสำหรับ networking ➡️ ใช้ Vulcano switch ASICs ที่รองรับ 800G throughput ต่อ tray ✅ สถาปัตยกรรมของ Verano CPU ➡️ ใช้ Zen 7 microarchitecture ที่เน้น IPC และ instruction set ใหม่ ➡️ ยังคงใช้ Socket SP7 และรองรับ PCIe Gen 6, UALink, Ultra Ethernet ➡️ ยังไม่ยืนยันว่าจะเพิ่ม core count เกิน 256 cores ต่อแพ็กเกจ ✅ เทคโนโลยีการเชื่อมต่อภายในระบบ ➡️ Vulcano switch ผลิตบน TSMC 3nm node ➡️ รองรับ external throughput ระดับ 800G ➡️ ใช้ Ultra Ethernet เป็นโครงสร้างหลักในการเชื่อมต่อ GPU/CPU ✅ แผนการเปิดตัว ➡️ MI450X “Helios” จะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2026 ➡️ MI500 UAL256 Mega Pod จะเปิดตัวในปี 2027 ➡️ เป็นระบบ rack-scale รุ่นที่สองของ AMD สำหรับ AI และ HPC https://www.techpowerup.com/340598/amd-instinct-mi500-ual256-mega-pod-to-scale-up-to-256-gpus-64-verano-cpus
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD Instinct MI500 UAL256 Mega Pod to Scale up to 256 GPUs, 64 "Verano" CPUs
    While AMD hasn't launched its upcoming Instinct MI400 series of accelerators yet, the company has started preparing its supply chain for what comes after. Thanks to SemiAnalysis, we have a clearer picture of what AMD's Instinct MI500 UAL256 rack will look like. At the base of each compute node, ther...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากแป้นพิมพ์: เมื่อ Return ไม่ได้แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนยุค

    ในจินตนาการของคนทั่วไป การเปลี่ยนจากเครื่องพิมพ์ดีดไปสู่คอมพิวเตอร์ดูเหมือนจะเรียบง่าย—แค่เอาจอและ CPU มาต่อกับแป้นพิมพ์ก็จบ แต่ความจริงนั้นซับซ้อนกว่ามาก และไม่มีปุ่มไหนสะท้อนการเปลี่ยนผ่านนี้ได้ดีเท่ากับ “Return”

    เริ่มจากเครื่องพิมพ์ดีดในยุค 1870s ที่ไม่มีแม้แต่ปุ่ม 0 หรือ 1 เพราะถูกตัดออกเพื่อลดต้นทุน ผู้ใช้ต้องพิมพ์ O แทน 0 และ l แทน 1 หรือแม้แต่ใช้ดินสอเติมสัญลักษณ์ที่ขาดหายไป การพิมพ์ซ้อนทับเพื่อสร้างสัญลักษณ์ใหม่กลายเป็นศิลปะที่เรียกว่า “concrete poetry”

    คันโยก “carriage return” คือกลไกที่พากระดาษขึ้นบรรทัดใหม่และเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย แต่เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามาในยุค 1940s–1950s คันโยกนี้ก็กลายเป็นปุ่ม “Return” ที่กดง่ายขึ้นถึง 425 เท่า

    จากนั้น teletypes ก็เข้ามาแทนที่ Morse code โดยใช้แป้นพิมพ์ QWERTY ส่งข้อความผ่านสายไฟ แต่การเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย (Carriage Return) ใช้เวลานานกว่าการขึ้นบรรทัดใหม่ (Line Feed) จึงต้องแยกเป็นสองรหัส—CR และ LF—ซึ่งกลายเป็นปัญหาที่นักพัฒนายังเจอในทุกวันนี้

    เมื่อ word processor เข้ามาในยุค 1970s–1980s การพิมพ์กลายเป็นข้อมูลที่แก้ไขได้ การขึ้นบรรทัดใหม่จึงไม่ใช่เรื่องของกลไกอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ “text reflow” ที่ต้องปรับอัตโนมัติเมื่อมีการแก้ไขข้อความ Return จึงกลายเป็นปุ่มที่ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า ส่วนการขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return, hard return หรือแม้แต่ modifier key

    เมื่อคอมพิวเตอร์เริ่มมีหน้าจอและฟอร์มให้กรอกข้อมูล ปุ่ม Return ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” ไม่ใช่แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสับสนที่ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้

    จุดกำเนิดของ Return บนเครื่องพิมพ์ดีด
    เริ่มจากคันโยกที่เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้ายและขึ้นบรรทัดใหม่
    กลายเป็นปุ่ม “Return” เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามา
    ลดแรงที่ต้องใช้ในการพิมพ์ลงอย่างมหาศาล

    การแยก CR และ LF บน teletypes
    Carriage Return (CR) เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย
    Line Feed (LF) ขึ้นบรรทัดใหม่
    ถูกแยกเป็นสองรหัสเพื่อให้ระบบทันกับความเร็วในการส่งข้อมูล

    การเปลี่ยนแปลงในยุค word processor
    Return ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า
    การขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return หรือ modifier key
    เกิดแนวคิด “text reflow” ที่ปรับข้อความอัตโนมัติ

    การเปลี่ยนชื่อเป็น Enter บนคอมพิวเตอร์
    ใช้ Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” หรือ “ยืนยันคำสั่ง”
    IBM และ Apple เลือกใช้ชื่อแตกต่างกัน: IBM ใช้ Enter, Apple ใช้ Return
    ปุ่มเดียวกันมีความหมายต่างกันตามบริบทของซอฟต์แวร์

    ความซับซ้อนของแป้นพิมพ์ยุคใหม่
    ปุ่มเดียวอาจมีหลายหน้าที่ เช่น Return, Enter, Execute, New Line
    Modifier key เช่น Shift, Ctrl, Alt เปลี่ยนพฤติกรรมของปุ่ม
    การออกแบบแป้นพิมพ์ต้องรองรับหลายบริบทและหลายภาษา

    https://aresluna.org/the-day-return-became-enter/
    🎙️ เรื่องเล่าจากแป้นพิมพ์: เมื่อ Return ไม่ได้แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนยุค ในจินตนาการของคนทั่วไป การเปลี่ยนจากเครื่องพิมพ์ดีดไปสู่คอมพิวเตอร์ดูเหมือนจะเรียบง่าย—แค่เอาจอและ CPU มาต่อกับแป้นพิมพ์ก็จบ แต่ความจริงนั้นซับซ้อนกว่ามาก และไม่มีปุ่มไหนสะท้อนการเปลี่ยนผ่านนี้ได้ดีเท่ากับ “Return” เริ่มจากเครื่องพิมพ์ดีดในยุค 1870s ที่ไม่มีแม้แต่ปุ่ม 0 หรือ 1 เพราะถูกตัดออกเพื่อลดต้นทุน ผู้ใช้ต้องพิมพ์ O แทน 0 และ l แทน 1 หรือแม้แต่ใช้ดินสอเติมสัญลักษณ์ที่ขาดหายไป การพิมพ์ซ้อนทับเพื่อสร้างสัญลักษณ์ใหม่กลายเป็นศิลปะที่เรียกว่า “concrete poetry” คันโยก “carriage return” คือกลไกที่พากระดาษขึ้นบรรทัดใหม่และเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย แต่เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามาในยุค 1940s–1950s คันโยกนี้ก็กลายเป็นปุ่ม “Return” ที่กดง่ายขึ้นถึง 425 เท่า จากนั้น teletypes ก็เข้ามาแทนที่ Morse code โดยใช้แป้นพิมพ์ QWERTY ส่งข้อความผ่านสายไฟ แต่การเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย (Carriage Return) ใช้เวลานานกว่าการขึ้นบรรทัดใหม่ (Line Feed) จึงต้องแยกเป็นสองรหัส—CR และ LF—ซึ่งกลายเป็นปัญหาที่นักพัฒนายังเจอในทุกวันนี้ เมื่อ word processor เข้ามาในยุค 1970s–1980s การพิมพ์กลายเป็นข้อมูลที่แก้ไขได้ การขึ้นบรรทัดใหม่จึงไม่ใช่เรื่องของกลไกอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ “text reflow” ที่ต้องปรับอัตโนมัติเมื่อมีการแก้ไขข้อความ Return จึงกลายเป็นปุ่มที่ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า ส่วนการขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return, hard return หรือแม้แต่ modifier key เมื่อคอมพิวเตอร์เริ่มมีหน้าจอและฟอร์มให้กรอกข้อมูล ปุ่ม Return ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” ไม่ใช่แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสับสนที่ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ ✅ จุดกำเนิดของ Return บนเครื่องพิมพ์ดีด ➡️ เริ่มจากคันโยกที่เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้ายและขึ้นบรรทัดใหม่ ➡️ กลายเป็นปุ่ม “Return” เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามา ➡️ ลดแรงที่ต้องใช้ในการพิมพ์ลงอย่างมหาศาล ✅ การแยก CR และ LF บน teletypes ➡️ Carriage Return (CR) เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย ➡️ Line Feed (LF) ขึ้นบรรทัดใหม่ ➡️ ถูกแยกเป็นสองรหัสเพื่อให้ระบบทันกับความเร็วในการส่งข้อมูล ✅ การเปลี่ยนแปลงในยุค word processor ➡️ Return ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า ➡️ การขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return หรือ modifier key ➡️ เกิดแนวคิด “text reflow” ที่ปรับข้อความอัตโนมัติ ✅ การเปลี่ยนชื่อเป็น Enter บนคอมพิวเตอร์ ➡️ ใช้ Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” หรือ “ยืนยันคำสั่ง” ➡️ IBM และ Apple เลือกใช้ชื่อแตกต่างกัน: IBM ใช้ Enter, Apple ใช้ Return ➡️ ปุ่มเดียวกันมีความหมายต่างกันตามบริบทของซอฟต์แวร์ ✅ ความซับซ้อนของแป้นพิมพ์ยุคใหม่ ➡️ ปุ่มเดียวอาจมีหลายหน้าที่ เช่น Return, Enter, Execute, New Line ➡️ Modifier key เช่น Shift, Ctrl, Alt เปลี่ยนพฤติกรรมของปุ่ม ➡️ การออกแบบแป้นพิมพ์ต้องรองรับหลายบริบทและหลายภาษา https://aresluna.org/the-day-return-became-enter/
    ARESLUNA.ORG
    The day Return became Enter
    A deep dive into the convoluted and fascinating story of one of the most important keys on the keyboard
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • พรรคประชาชน ประกาศสนับสนุน 'อนุทิน' นั่งนายกฯ ทางการแล้ว พร้อมเงื่อนไขยุบสภาภายใน 4 เดือน ร่าง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็ว ไม่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ยืนยันทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อ-ไม่ส่งตัวแทนรับตำแหน่งรัฐมนตรี

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000084119

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    พรรคประชาชน ประกาศสนับสนุน 'อนุทิน' นั่งนายกฯ ทางการแล้ว พร้อมเงื่อนไขยุบสภาภายใน 4 เดือน ร่าง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็ว ไม่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ยืนยันทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อ-ไม่ส่งตัวแทนรับตำแหน่งรัฐมนตรี อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000084119 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Nanjing: เมื่อ TSMC ต้องขออนุญาตทุกครั้งเพื่อส่งเครื่องมือไปยังโรงงานของตัวเอง

    ในช่วงปลายปี 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกสิทธิ์ Validated End User (VEU) ของ TSMC สำหรับโรงงาน Fab 16 ที่เมืองหนานจิง ประเทศจีน ซึ่งเดิมทีอนุญาตให้ TSMC สามารถนำเข้าเครื่องมือผลิตชิปจากบริษัทอเมริกัน เช่น Applied Materials, KLA และ Lam Research ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตรายครั้ง

    เมื่อ VEU ถูกยกเลิกตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2025 เป็นต้นไป ทุกการส่งออกเครื่องมือ, อะไหล่, หรือสารเคมีไปยัง Fab 16 จะต้องผ่านการตรวจสอบแบบรายรายการจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมี “แนวโน้มปฏิเสธ” เป็นค่าเริ่มต้น ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการดำเนินงานของโรงงานนี้

    แม้ TSMC จะยืนยันว่าจะพยายามดำเนินงานต่อไปโดยไม่สะดุด แต่การเปลี่ยนแปลงนี้อาจบีบให้บริษัทต้องหันไปใช้เครื่องมือจากผู้ผลิตจีน เช่น AMEC, Naura, Kingsemi หรือ Piotech ซึ่งแม้จะมีความก้าวหน้าในบางด้าน แต่ยังไม่สามารถทดแทนเครื่องมือระดับ 16nm ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในส่วนของ lithography ที่ยังไม่มีผู้ผลิตจีนรายใดสามารถทำได้ในระดับที่ TSMC ต้องการ

    ผลกระทบต่อ TSMC อาจไม่รุนแรงเท่ากับ Samsung หรือ SK hynix ที่มี footprint ในจีนมากกว่า แต่การลดกำลังผลิตของ Fab 16 จะส่งผลดีต่อผู้ผลิตจีนอย่าง SMIC และ HuaHong ที่อาจได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น และช่วยผลักดันนโยบาย self-sufficiency ของรัฐบาลจีนให้เดินหน้าเร็วขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/u-s-govt-revokes-tsmcs-authorization-to-ship-tools-to-its-fabs-in-china-special-export-license-to-be-pulled-by-end-of-2025
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Nanjing: เมื่อ TSMC ต้องขออนุญาตทุกครั้งเพื่อส่งเครื่องมือไปยังโรงงานของตัวเอง ในช่วงปลายปี 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกสิทธิ์ Validated End User (VEU) ของ TSMC สำหรับโรงงาน Fab 16 ที่เมืองหนานจิง ประเทศจีน ซึ่งเดิมทีอนุญาตให้ TSMC สามารถนำเข้าเครื่องมือผลิตชิปจากบริษัทอเมริกัน เช่น Applied Materials, KLA และ Lam Research ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตรายครั้ง เมื่อ VEU ถูกยกเลิกตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2025 เป็นต้นไป ทุกการส่งออกเครื่องมือ, อะไหล่, หรือสารเคมีไปยัง Fab 16 จะต้องผ่านการตรวจสอบแบบรายรายการจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมี “แนวโน้มปฏิเสธ” เป็นค่าเริ่มต้น ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการดำเนินงานของโรงงานนี้ แม้ TSMC จะยืนยันว่าจะพยายามดำเนินงานต่อไปโดยไม่สะดุด แต่การเปลี่ยนแปลงนี้อาจบีบให้บริษัทต้องหันไปใช้เครื่องมือจากผู้ผลิตจีน เช่น AMEC, Naura, Kingsemi หรือ Piotech ซึ่งแม้จะมีความก้าวหน้าในบางด้าน แต่ยังไม่สามารถทดแทนเครื่องมือระดับ 16nm ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในส่วนของ lithography ที่ยังไม่มีผู้ผลิตจีนรายใดสามารถทำได้ในระดับที่ TSMC ต้องการ ผลกระทบต่อ TSMC อาจไม่รุนแรงเท่ากับ Samsung หรือ SK hynix ที่มี footprint ในจีนมากกว่า แต่การลดกำลังผลิตของ Fab 16 จะส่งผลดีต่อผู้ผลิตจีนอย่าง SMIC และ HuaHong ที่อาจได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น และช่วยผลักดันนโยบาย self-sufficiency ของรัฐบาลจีนให้เดินหน้าเร็วขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/u-s-govt-revokes-tsmcs-authorization-to-ship-tools-to-its-fabs-in-china-special-export-license-to-be-pulled-by-end-of-2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามหัวพิมพ์: เมื่อ Prusa, Bambu, AtomForm และ Snapmaker เปิดศึกแย่งชิงอนาคตของการพิมพ์หลายสี

    ในเดือนสิงหาคม 2025 วงการ 3D printing สั่นสะเทือนด้วยการเปิดตัวเครื่องพิมพ์แบบ “tool changer” ถึง 4 รุ่นในเวลาใกล้เคียงกัน โดยแต่ละค่ายต่างมีแนวทางเฉพาะของตนเองในการจัดการกับปัญหา “การพิมพ์หลายสีหรือหลายวัสดุ” ที่เคยยุ่งยากและเปลืองวัสดุ

    Snapmaker เปิดตัว U1 บน Kickstarter ด้วยราคาต่ำสุดเพียง $649 สำหรับผู้สนับสนุนกลุ่มแรก และสามารถระดมทุนได้กว่า $13 ล้านจากผู้สนับสนุนกว่า 14,000 คนภายในไม่กี่วัน AtomForm จากจีนเปิดตัว Palette 300 ที่มีหัวพิมพ์ถึง 12 หัว โดยใช้เทคนิคสลับหัวแบบ low-footprint และเตรียมเปิดตัวบน Kickstarter ด้วยราคาเริ่มต้น $1,499

    Bambu Lab เปิดตัว H2C ซึ่งแม้จะไม่ใช่ tool changer เต็มรูปแบบ แต่ก็ใช้แนวคิด “สลับหัวฉีด” โดยยังต้องพึ่งระบบ AMS ในการป้อนเส้นพลาสติก ส่วน Prusa กลับมาอย่างเงียบ ๆ ด้วยโพสต์ภาพ CORE One ที่ติดตั้งหัวพิมพ์ 6 หัว พร้อมอีโมจิป๊อปคอร์น และตามมาด้วยการยืนยันความร่วมมือกับ Bondtech ผู้พัฒนา INDX ซึ่งเป็นระบบ tool changer แบบไร้สายและใช้ความร้อนแบบเหนี่ยวนำ

    แนวคิดของ INDX คือการลดความซับซ้อนของหัวพิมพ์ให้เบาและง่ายต่อการสลับ โดยไม่ต้องใช้สายไฟหรือท่อเส้นพลาสติกที่ยุ่งยาก ทำให้ระบบมีความเสถียรและลดปัญหาการอุดตันของหัวฉีด

    การกลับมาของ Prusa กับ CORE One
    โพสต์ภาพ CORE One ที่ติดตั้งหัวพิมพ์ 6 หัว พร้อมอีโมจิป๊อปคอร์น
    ยืนยันความร่วมมือกับ Bondtech ในการใช้ระบบ INDX tool changer
    INDX ใช้ระบบไร้สายและความร้อนแบบเหนี่ยวนำ ทำให้หัวพิมพ์เบาและง่ายต่อการสลับ

    การเปิดตัวของ Snapmaker U1
    เปิดตัวบน Kickstarter ด้วยราคาต่ำสุด $649
    ระดมทุนได้กว่า $13 ล้านจากผู้สนับสนุนกว่า 14,000 คน
    รองรับการพิมพ์ 4 สีด้วยระบบ tool changer แบบ desktop

    การเปิดตัวของ AtomForm Palette 300
    มีหัวพิมพ์ถึง 12 หัวในพื้นที่ 300 x 300 x 300 mm
    ใช้เทคนิคสลับหัวแบบ low-footprint โดยยังไม่มีการสาธิตสด
    เตรียมเปิดตัวบน Kickstarter ด้วยราคาเริ่มต้น $1,499

    การเปิดตัวของ Bambu Lab H2C
    ใช้แนวคิด “สลับหัวฉีด” โดยยังต้องใช้ AMS ในการป้อนเส้นพลาสติก
    เปิดตัวหลัง H2S เพียง 1 ชั่วโมง สร้างความสับสนในตลาด
    เป็นการตอบโต้ต่อความสำเร็จของ Snapmaker และการมาถึงของ AtomForm

    จุดเด่นของระบบ INDX จาก Bondtech
    ใช้ระบบไร้สายและความร้อนแบบเหนี่ยวนำ ลดความซับซ้อนของหัวพิมพ์
    ลดปัญหาการอุดตันและการเสียเวลาจากการ purge เส้นพลาสติก
    สามารถติดตั้งบนเครื่องพิมพ์ DIY เช่น Voron ได้

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/3d-printings-tool-changer-wars-heat-up-as-prusa-re-enters-the-ring
    🎙️ เรื่องเล่าจากสนามหัวพิมพ์: เมื่อ Prusa, Bambu, AtomForm และ Snapmaker เปิดศึกแย่งชิงอนาคตของการพิมพ์หลายสี ในเดือนสิงหาคม 2025 วงการ 3D printing สั่นสะเทือนด้วยการเปิดตัวเครื่องพิมพ์แบบ “tool changer” ถึง 4 รุ่นในเวลาใกล้เคียงกัน โดยแต่ละค่ายต่างมีแนวทางเฉพาะของตนเองในการจัดการกับปัญหา “การพิมพ์หลายสีหรือหลายวัสดุ” ที่เคยยุ่งยากและเปลืองวัสดุ Snapmaker เปิดตัว U1 บน Kickstarter ด้วยราคาต่ำสุดเพียง $649 สำหรับผู้สนับสนุนกลุ่มแรก และสามารถระดมทุนได้กว่า $13 ล้านจากผู้สนับสนุนกว่า 14,000 คนภายในไม่กี่วัน AtomForm จากจีนเปิดตัว Palette 300 ที่มีหัวพิมพ์ถึง 12 หัว โดยใช้เทคนิคสลับหัวแบบ low-footprint และเตรียมเปิดตัวบน Kickstarter ด้วยราคาเริ่มต้น $1,499 Bambu Lab เปิดตัว H2C ซึ่งแม้จะไม่ใช่ tool changer เต็มรูปแบบ แต่ก็ใช้แนวคิด “สลับหัวฉีด” โดยยังต้องพึ่งระบบ AMS ในการป้อนเส้นพลาสติก ส่วน Prusa กลับมาอย่างเงียบ ๆ ด้วยโพสต์ภาพ CORE One ที่ติดตั้งหัวพิมพ์ 6 หัว พร้อมอีโมจิป๊อปคอร์น และตามมาด้วยการยืนยันความร่วมมือกับ Bondtech ผู้พัฒนา INDX ซึ่งเป็นระบบ tool changer แบบไร้สายและใช้ความร้อนแบบเหนี่ยวนำ แนวคิดของ INDX คือการลดความซับซ้อนของหัวพิมพ์ให้เบาและง่ายต่อการสลับ โดยไม่ต้องใช้สายไฟหรือท่อเส้นพลาสติกที่ยุ่งยาก ทำให้ระบบมีความเสถียรและลดปัญหาการอุดตันของหัวฉีด ✅ การกลับมาของ Prusa กับ CORE One ➡️ โพสต์ภาพ CORE One ที่ติดตั้งหัวพิมพ์ 6 หัว พร้อมอีโมจิป๊อปคอร์น ➡️ ยืนยันความร่วมมือกับ Bondtech ในการใช้ระบบ INDX tool changer ➡️ INDX ใช้ระบบไร้สายและความร้อนแบบเหนี่ยวนำ ทำให้หัวพิมพ์เบาและง่ายต่อการสลับ ✅ การเปิดตัวของ Snapmaker U1 ➡️ เปิดตัวบน Kickstarter ด้วยราคาต่ำสุด $649 ➡️ ระดมทุนได้กว่า $13 ล้านจากผู้สนับสนุนกว่า 14,000 คน ➡️ รองรับการพิมพ์ 4 สีด้วยระบบ tool changer แบบ desktop ✅ การเปิดตัวของ AtomForm Palette 300 ➡️ มีหัวพิมพ์ถึง 12 หัวในพื้นที่ 300 x 300 x 300 mm ➡️ ใช้เทคนิคสลับหัวแบบ low-footprint โดยยังไม่มีการสาธิตสด ➡️ เตรียมเปิดตัวบน Kickstarter ด้วยราคาเริ่มต้น $1,499 ✅ การเปิดตัวของ Bambu Lab H2C ➡️ ใช้แนวคิด “สลับหัวฉีด” โดยยังต้องใช้ AMS ในการป้อนเส้นพลาสติก ➡️ เปิดตัวหลัง H2S เพียง 1 ชั่วโมง สร้างความสับสนในตลาด ➡️ เป็นการตอบโต้ต่อความสำเร็จของ Snapmaker และการมาถึงของ AtomForm ✅ จุดเด่นของระบบ INDX จาก Bondtech ➡️ ใช้ระบบไร้สายและความร้อนแบบเหนี่ยวนำ ลดความซับซ้อนของหัวพิมพ์ ➡️ ลดปัญหาการอุดตันและการเสียเวลาจากการ purge เส้นพลาสติก ➡️ สามารถติดตั้งบนเครื่องพิมพ์ DIY เช่น Voron ได้ https://www.tomshardware.com/3d-printing/3d-printings-tool-changer-wars-heat-up-as-prusa-re-enters-the-ring
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    3D printing's tool changer wars heat up as Prusa re-enters the ring
    Buckle up, the road to 3D printing tool changers is about to get bumpy.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก KB5063878: เมื่ออัปเดตเพื่อป้องกัน กลับกลายเป็นข้อกล่าวหาเรื่องทำลาย

    ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ผู้ใช้ Windows หลายคนเริ่มรายงานว่า SSD ของตน “หายไป” หรือ “พัง” หลังจากติดตั้งอัปเดต KB5063878 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพตช์ความปลอดภัย Windows 11 24H2 โดยเฉพาะเมื่อมีการเขียนไฟล์ต่อเนื่องเกิน 50GB บนไดรฟ์ที่มีข้อมูลเกิน 60% ขึ้นไป

    บางรายงานชี้ว่า SSD ที่ไม่มี DRAM และใช้คอนโทรลเลอร์ Phison ได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่เมื่อมีการทดสอบ SSD 21 รุ่น กลับพบว่าแบรนด์อื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน อย่างไรก็ตาม Microsoft และ Phison ต่างก็ออกมายืนยันว่าไม่สามารถ “ทำให้เกิดปัญหา” ได้ในการทดสอบกว่า 4,500 ชั่วโมง และ 2,200 รอบการเขียน

    แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าอัปเดตเป็นสาเหตุ แต่เอกสารลับที่อ้างว่าเป็นรายชื่อคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบก็ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ทำให้ Phison ต้องออกมาปฏิเสธอย่างหนักแน่น พร้อมขู่ว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ปล่อยข้อมูลเท็จ

    Microsoft เองก็ยืนยันว่าไม่มีข้อมูลจาก telemetry หรือการแจ้งจากลูกค้าโดยตรงที่ชี้ว่าอัปเดตนี้ทำให้ SSD พัง และแนะนำให้ผู้ใช้ที่พบปัญหาแจ้งกลับเพื่อสร้าง “paper trail” ที่จะช่วยให้ตรวจสอบได้ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-swats-down-reports-of-ssd-failures-in-windows-company-says-recent-update-didnt-cause-storage-failures
    🎙️ เรื่องเล่าจาก KB5063878: เมื่ออัปเดตเพื่อป้องกัน กลับกลายเป็นข้อกล่าวหาเรื่องทำลาย ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ผู้ใช้ Windows หลายคนเริ่มรายงานว่า SSD ของตน “หายไป” หรือ “พัง” หลังจากติดตั้งอัปเดต KB5063878 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพตช์ความปลอดภัย Windows 11 24H2 โดยเฉพาะเมื่อมีการเขียนไฟล์ต่อเนื่องเกิน 50GB บนไดรฟ์ที่มีข้อมูลเกิน 60% ขึ้นไป บางรายงานชี้ว่า SSD ที่ไม่มี DRAM และใช้คอนโทรลเลอร์ Phison ได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่เมื่อมีการทดสอบ SSD 21 รุ่น กลับพบว่าแบรนด์อื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน อย่างไรก็ตาม Microsoft และ Phison ต่างก็ออกมายืนยันว่าไม่สามารถ “ทำให้เกิดปัญหา” ได้ในการทดสอบกว่า 4,500 ชั่วโมง และ 2,200 รอบการเขียน แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าอัปเดตเป็นสาเหตุ แต่เอกสารลับที่อ้างว่าเป็นรายชื่อคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบก็ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ทำให้ Phison ต้องออกมาปฏิเสธอย่างหนักแน่น พร้อมขู่ว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ปล่อยข้อมูลเท็จ Microsoft เองก็ยืนยันว่าไม่มีข้อมูลจาก telemetry หรือการแจ้งจากลูกค้าโดยตรงที่ชี้ว่าอัปเดตนี้ทำให้ SSD พัง และแนะนำให้ผู้ใช้ที่พบปัญหาแจ้งกลับเพื่อสร้าง “paper trail” ที่จะช่วยให้ตรวจสอบได้ในอนาคต https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-swats-down-reports-of-ssd-failures-in-windows-company-says-recent-update-didnt-cause-storage-failures
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • ธ.ก.ส.เริ่มมาตรการช่วยผู้ปลูกข้าว นาปรัง-นาปี ไร่ละ 1,000 บาท โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงรอบแรก ในแต่ละภูมิภาค 1-4 ก.ย.68 วงเงินรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท มีเกษตรกรได้ประโยชน์ 2.48 ล้านราย จากกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 4.63 ล้านครัวเรือน ที่เหลือรอตรวจสอบและยืนยันการผลิตข้าว ก่อนโอนเงินช่วยรอบต่อไป
    ธ.ก.ส.เริ่มมาตรการช่วยผู้ปลูกข้าว นาปรัง-นาปี ไร่ละ 1,000 บาท โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงรอบแรก ในแต่ละภูมิภาค 1-4 ก.ย.68 วงเงินรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท มีเกษตรกรได้ประโยชน์ 2.48 ล้านราย จากกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 4.63 ล้านครัวเรือน ที่เหลือรอตรวจสอบและยืนยันการผลิตข้าว ก่อนโอนเงินช่วยรอบต่อไป
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ไม่ทิ้งการรบจับตา BHQ บุกภูมะเขือ : [NEWS UPDATE]
    พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีข่าวว่ามีการนำหน่วยกองบัญชาการองครักษ์(BHQ) ซึ่งเป็นหน่วยขึ้นตรงกับ นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เข้าพื้นที่ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ เป็นการสื่อนัยยะว่าจะยึดพื้นที่ภูมะเขือคืนหรือไม่ คงเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในกำลังส่วนนี้ หน่วยนี้คงฝึกมาพอสมควร อยู่ในการควบคุมของผู้นำกัมพูชาโดยตรง เราติดตามความเคลื่อนไหวของเขา เขาก็ติดตามความเคลื่อนไหวของเราเช่นกัน ทางการทหารก็มีสิทธิ์คิดว่าจะยึดพื้นที่คืน แต่เราไม่ประมาท ภูมะเขืออยู่ในพื้นที่อธิปไตยของประเทศไทย ส่วนเรื่องการวางทุ่นระเบิดเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นการกระทำของกัมพูชา  ยืนยัน ไม่ทิ้งการรบ พยายามทำหน้าที่ให้ครอบคลุมในหลายมิติ


    ท้ารัฐบาลยุบสภา

    ภูมิใจไทยดีกว่าตรงไห
    ไม่ทิ้งการรบจับตา BHQ บุกภูมะเขือ : [NEWS UPDATE] พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีข่าวว่ามีการนำหน่วยกองบัญชาการองครักษ์(BHQ) ซึ่งเป็นหน่วยขึ้นตรงกับ นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เข้าพื้นที่ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ เป็นการสื่อนัยยะว่าจะยึดพื้นที่ภูมะเขือคืนหรือไม่ คงเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในกำลังส่วนนี้ หน่วยนี้คงฝึกมาพอสมควร อยู่ในการควบคุมของผู้นำกัมพูชาโดยตรง เราติดตามความเคลื่อนไหวของเขา เขาก็ติดตามความเคลื่อนไหวของเราเช่นกัน ทางการทหารก็มีสิทธิ์คิดว่าจะยึดพื้นที่คืน แต่เราไม่ประมาท ภูมะเขืออยู่ในพื้นที่อธิปไตยของประเทศไทย ส่วนเรื่องการวางทุ่นระเบิดเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นการกระทำของกัมพูชา  ยืนยัน ไม่ทิ้งการรบ พยายามทำหน้าที่ให้ครอบคลุมในหลายมิติ ท้ารัฐบาลยุบสภา ภูมิใจไทยดีกว่าตรงไห
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ไม่ประมาท BHQ ลงพื้นที่ ภูมะเขือเป็นของไทย : [THE MESSAGE]
    พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีข่าวว่ามีการนำหน่วยกองบัญชาการองครักษ์(BHQ) ซึ่งเป็นหน่วยขึ้นตรงกับ นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เข้าพื้นที่ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ เป็นการสื่อนัยยะว่าจะยึดพื้นที่ภูมะเขือคืนหรือไม่ คงเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในกำลังส่วนนี้ หน่วยนี้คงฝึกมาพอสมควร เป็นกำลังที่อยู่ในการควบคุมของผู้นำกัมพูชาโดยตรง เราติดตามความเคลื่อนไหวของเขาอยู่ เขาก็ติดตามความเคลื่อนไหวของเราเช่นกัน ทางการทหารก็มีสิทธิ์คิดว่าจะยึดพื้นที่คืน แต่เราไม่ประมาท ยืนยัน ภูมะเขือ เป็นพื้นที่ที่เราครอบครอง อยู่ในพื้นที่อธิปไตยของประเทศไทย ส่วนเรื่องการวางทุ่นระเบิดเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นการกระทำของกัมพูชา ส่วนที่มีข่าวว่า พล.ท.สรัย ดึก ผู้บัญชาการกองกำลังสนับสนุนที่ 3 กัมพูชา เสียชีวิต เป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้น คนที่รู้ดีที่สุดคือกัมพูชา
    ไม่ประมาท BHQ ลงพื้นที่ ภูมะเขือเป็นของไทย : [THE MESSAGE] พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีข่าวว่ามีการนำหน่วยกองบัญชาการองครักษ์(BHQ) ซึ่งเป็นหน่วยขึ้นตรงกับ นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เข้าพื้นที่ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ เป็นการสื่อนัยยะว่าจะยึดพื้นที่ภูมะเขือคืนหรือไม่ คงเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในกำลังส่วนนี้ หน่วยนี้คงฝึกมาพอสมควร เป็นกำลังที่อยู่ในการควบคุมของผู้นำกัมพูชาโดยตรง เราติดตามความเคลื่อนไหวของเขาอยู่ เขาก็ติดตามความเคลื่อนไหวของเราเช่นกัน ทางการทหารก็มีสิทธิ์คิดว่าจะยึดพื้นที่คืน แต่เราไม่ประมาท ยืนยัน ภูมะเขือ เป็นพื้นที่ที่เราครอบครอง อยู่ในพื้นที่อธิปไตยของประเทศไทย ส่วนเรื่องการวางทุ่นระเบิดเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นการกระทำของกัมพูชา ส่วนที่มีข่าวว่า พล.ท.สรัย ดึก ผู้บัญชาการกองกำลังสนับสนุนที่ 3 กัมพูชา เสียชีวิต เป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้น คนที่รู้ดีที่สุดคือกัมพูชา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก CrushFTP: เมื่อการแก้บั๊กหนึ่งเปิดทางให้เกิดช่องโหว่อีก

    CrushFTP เป็นซอฟต์แวร์ FTP ที่ได้รับความนิยมในองค์กรทั่วโลก ด้วยความสามารถในการจัดการไฟล์ผ่าน HTTP/S และรองรับโปรโตคอลหลากหลาย แต่ในเดือนกรกฎาคม 2025 นักวิจัยจาก WatchTowr Labs ได้ค้นพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-54309 ซึ่งเปิดทางให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงสิทธิ์ผู้ดูแลระบบผ่านเว็บอินเทอร์เฟซ โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนเลย

    ช่องโหว่นี้เกิดจาก race condition ในการประมวลผลคำขอ HTTP สองชุดที่ถูกส่งต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว โดยคำขอแรกมี header ที่ชี้ไปยัง crushadmin (ผู้ดูแลระบบในตัว) ส่วนคำขอที่สองไม่มี header แต่ใช้ session เดียวกัน ถ้าทั้งสองคำขอถูกประมวลผลในลำดับที่เฉพาะเจาะจง เซิร์ฟเวอร์จะเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ดูแลระบบ และอนุญาตให้สร้างบัญชีแอดมินใหม่ได้ทันที

    สิ่งที่น่าตกใจคือ CrushFTP ได้แก้ไขช่องโหว่นี้แบบ “เงียบ ๆ” โดยไม่แจ้งผู้ใช้ ทำให้กว่า 30,000 instance บนอินเทอร์เน็ตยังคงเสี่ยงต่อการถูกโจมตี และช่องโหว่นี้ถูกเพิ่มเข้าไปในรายการ CISA Known Exploited Vulnerabilities แล้ว

    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-54309
    เป็น race condition ในการประมวลผล HTTP POST สองคำขอที่ใช้ session เดียวกัน
    คำขอแรกมี header AS2-TO: \\crushadmin ส่วนคำขอที่สองไม่มี แต่ใช้ cookie เดิม
    หากลำดับถูกต้อง เซิร์ฟเวอร์จะอนุญาตให้สร้างบัญชีแอดมินใหม่ได้ทันที
    ช่องโหว่เกิดใน CrushFTP v10 ก่อน 10.8.5 และ v11 ก่อน 11.3.4_23

    การค้นพบและการทดสอบโดย WatchTowr Labs
    ใช้ honeypot เฉพาะสำหรับ CrushFTP และตรวจจับการโจมตีแบบ real-time
    วิเคราะห์ traffic แล้วพบรูปแบบคำขอที่ซ้ำกันกว่า 1,000 ครั้ง
    สร้างสคริปต์ PoC ที่สามารถสร้างบัญชีแอดมินใหม่ได้บน instance ที่ยังไม่ patch

    การตอบสนองจาก CrushFTP
    ยอมรับว่าช่องโหว่ถูกใช้โจมตีจริงตั้งแต่ 18 กรกฎาคม 2025
    ระบุว่าการแก้ไขเกิดจากการเปลี่ยนโค้ดเพื่อแก้ปัญหา AS2 โดยไม่รู้ว่ามีช่องโหว่แฝง
    Patch ถูกปล่อยแบบเงียบ ๆ โดยไม่มีการแจ้งเตือนผู้ใช้

    การป้องกันและคำแนะนำ
    อัปเดตเป็น CrushFTP v10.8.5 หรือ v11.3.4_23 ทันที
    เปิดใช้งาน DMZ proxy ซึ่งจะช่วยแยก instance ออกจากเซิร์ฟเวอร์หลัก
    ตรวจสอบ log สำหรับคำขอ POST ที่มี header AS2-TO และ cookie ซ้ำ ๆ
    ใช้ rate limiting และ intrusion detection เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ high-frequency

    https://hackread.com/hackers-exploit-crushftp-zero-day-take-over-servers/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก CrushFTP: เมื่อการแก้บั๊กหนึ่งเปิดทางให้เกิดช่องโหว่อีก CrushFTP เป็นซอฟต์แวร์ FTP ที่ได้รับความนิยมในองค์กรทั่วโลก ด้วยความสามารถในการจัดการไฟล์ผ่าน HTTP/S และรองรับโปรโตคอลหลากหลาย แต่ในเดือนกรกฎาคม 2025 นักวิจัยจาก WatchTowr Labs ได้ค้นพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-54309 ซึ่งเปิดทางให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงสิทธิ์ผู้ดูแลระบบผ่านเว็บอินเทอร์เฟซ โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนเลย ช่องโหว่นี้เกิดจาก race condition ในการประมวลผลคำขอ HTTP สองชุดที่ถูกส่งต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว โดยคำขอแรกมี header ที่ชี้ไปยัง crushadmin (ผู้ดูแลระบบในตัว) ส่วนคำขอที่สองไม่มี header แต่ใช้ session เดียวกัน ถ้าทั้งสองคำขอถูกประมวลผลในลำดับที่เฉพาะเจาะจง เซิร์ฟเวอร์จะเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ดูแลระบบ และอนุญาตให้สร้างบัญชีแอดมินใหม่ได้ทันที สิ่งที่น่าตกใจคือ CrushFTP ได้แก้ไขช่องโหว่นี้แบบ “เงียบ ๆ” โดยไม่แจ้งผู้ใช้ ทำให้กว่า 30,000 instance บนอินเทอร์เน็ตยังคงเสี่ยงต่อการถูกโจมตี และช่องโหว่นี้ถูกเพิ่มเข้าไปในรายการ CISA Known Exploited Vulnerabilities แล้ว ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-54309 ➡️ เป็น race condition ในการประมวลผล HTTP POST สองคำขอที่ใช้ session เดียวกัน ➡️ คำขอแรกมี header AS2-TO: \\crushadmin ส่วนคำขอที่สองไม่มี แต่ใช้ cookie เดิม ➡️ หากลำดับถูกต้อง เซิร์ฟเวอร์จะอนุญาตให้สร้างบัญชีแอดมินใหม่ได้ทันที ➡️ ช่องโหว่เกิดใน CrushFTP v10 ก่อน 10.8.5 และ v11 ก่อน 11.3.4_23 ✅ การค้นพบและการทดสอบโดย WatchTowr Labs ➡️ ใช้ honeypot เฉพาะสำหรับ CrushFTP และตรวจจับการโจมตีแบบ real-time ➡️ วิเคราะห์ traffic แล้วพบรูปแบบคำขอที่ซ้ำกันกว่า 1,000 ครั้ง ➡️ สร้างสคริปต์ PoC ที่สามารถสร้างบัญชีแอดมินใหม่ได้บน instance ที่ยังไม่ patch ✅ การตอบสนองจาก CrushFTP ➡️ ยอมรับว่าช่องโหว่ถูกใช้โจมตีจริงตั้งแต่ 18 กรกฎาคม 2025 ➡️ ระบุว่าการแก้ไขเกิดจากการเปลี่ยนโค้ดเพื่อแก้ปัญหา AS2 โดยไม่รู้ว่ามีช่องโหว่แฝง ➡️ Patch ถูกปล่อยแบบเงียบ ๆ โดยไม่มีการแจ้งเตือนผู้ใช้ ✅ การป้องกันและคำแนะนำ ➡️ อัปเดตเป็น CrushFTP v10.8.5 หรือ v11.3.4_23 ทันที ➡️ เปิดใช้งาน DMZ proxy ซึ่งจะช่วยแยก instance ออกจากเซิร์ฟเวอร์หลัก ➡️ ตรวจสอบ log สำหรับคำขอ POST ที่มี header AS2-TO และ cookie ซ้ำ ๆ ➡️ ใช้ rate limiting และ intrusion detection เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ high-frequency https://hackread.com/hackers-exploit-crushftp-zero-day-take-over-servers/
    HACKREAD.COM
    Hackers Exploit CrushFTP Zero-Day to Take Over Servers
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Trail of Bits: เมื่อภาพที่ดูธรรมดา กลายเป็นประตูสู่การขโมยข้อมูล

    ในโลกที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็น Chatbot, Assistant หรือระบบ CLI การอัปโหลดภาพดูเหมือนจะเป็นเรื่องปลอดภัย แต่ทีมนักวิจัยจาก Trail of Bits ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ที่น่าตกใจ—“image scaling attack” ที่ใช้ภาพความละเอียดสูงซ่อนคำสั่งลับไว้ แล้วปล่อยให้ AI อ่านออกเมื่อภาพถูกย่อขนาด

    ภาพที่ดูปกติสำหรับมนุษย์ อาจมีข้อความแอบซ่อนอยู่ในพิกเซลที่ถูกจัดวางอย่างจงใจ เมื่อ AI ทำการ downscale ภาพเพื่อประมวลผล คำสั่งที่ซ่อนอยู่จะปรากฏขึ้นในรูปแบบที่โมเดลสามารถอ่านและ “เชื่อว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้” ได้ทันที โดยไม่ต้องมีการยืนยันใด ๆ

    นักวิจัยได้สาธิตการโจมตีนี้บนระบบจริง เช่น Gemini CLI, Google Assistant และ Gemini web interface โดยใช้ภาพที่แฝงคำสั่งให้ AI เข้าถึง Google Calendar แล้วส่งข้อมูลไปยังอีเมลของผู้โจมตี—all done silently.

    เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ Trail of Bits ได้เปิดตัวเครื่องมือชื่อ “Anamorpher” ที่สามารถสร้างภาพแบบนี้เพื่อใช้ในการทดสอบระบบ และแนะนำให้ผู้พัฒนา AI แสดง preview ของภาพหลังการ downscale ก่อนดำเนินการใด ๆ พร้อมบังคับให้มีการยืนยันจากผู้ใช้ก่อนทำงานที่อ่อนไหว

    https://hackread.com/hidden-commands-images-exploit-ai-chatbots-steal-data/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Trail of Bits: เมื่อภาพที่ดูธรรมดา กลายเป็นประตูสู่การขโมยข้อมูล ในโลกที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็น Chatbot, Assistant หรือระบบ CLI การอัปโหลดภาพดูเหมือนจะเป็นเรื่องปลอดภัย แต่ทีมนักวิจัยจาก Trail of Bits ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ที่น่าตกใจ—“image scaling attack” ที่ใช้ภาพความละเอียดสูงซ่อนคำสั่งลับไว้ แล้วปล่อยให้ AI อ่านออกเมื่อภาพถูกย่อขนาด ภาพที่ดูปกติสำหรับมนุษย์ อาจมีข้อความแอบซ่อนอยู่ในพิกเซลที่ถูกจัดวางอย่างจงใจ เมื่อ AI ทำการ downscale ภาพเพื่อประมวลผล คำสั่งที่ซ่อนอยู่จะปรากฏขึ้นในรูปแบบที่โมเดลสามารถอ่านและ “เชื่อว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้” ได้ทันที โดยไม่ต้องมีการยืนยันใด ๆ นักวิจัยได้สาธิตการโจมตีนี้บนระบบจริง เช่น Gemini CLI, Google Assistant และ Gemini web interface โดยใช้ภาพที่แฝงคำสั่งให้ AI เข้าถึง Google Calendar แล้วส่งข้อมูลไปยังอีเมลของผู้โจมตี—all done silently. เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ Trail of Bits ได้เปิดตัวเครื่องมือชื่อ “Anamorpher” ที่สามารถสร้างภาพแบบนี้เพื่อใช้ในการทดสอบระบบ และแนะนำให้ผู้พัฒนา AI แสดง preview ของภาพหลังการ downscale ก่อนดำเนินการใด ๆ พร้อมบังคับให้มีการยืนยันจากผู้ใช้ก่อนทำงานที่อ่อนไหว https://hackread.com/hidden-commands-images-exploit-ai-chatbots-steal-data/
    HACKREAD.COM
    Hidden Commands in Images Exploit AI Chatbots and Steal Data
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Positiveblue: เมื่อ Cloudflare เสนอให้เว็บต้องมี “ใบผ่านทาง”

    ในยุคที่ AI agents กำลังกลายเป็นผู้ใช้งานหลักของเว็บ ไม่ใช่แค่คนอีกต่อไป Cloudflare ได้เปิดตัวแนวคิด “signed agents” ซึ่งฟังดูเหมือนระบบยืนยันตัวตนเพื่อความปลอดภัย แต่จริง ๆ แล้วมันคือการสร้าง “allowlist” ที่บริษัทเดียวควบคุมว่าใครมีสิทธิ์เข้าถึงเว็บได้

    Positiveblue วิจารณ์ว่าแนวคิดนี้คล้ายกับการตั้งด่านตรวจคนเข้าเมืองบนอินเทอร์เน็ต—ถ้าไม่ได้อยู่ในรายชื่อของ Cloudflare ก็อาจถูกปฏิเสธการเข้าถึง แม้จะเป็น agent ที่ทำงานแทนผู้ใช้จริง เช่น จองตั๋วเครื่องบินหรือสั่งอาหารก็ตาม

    ในอดีต เว็บเติบโตเพราะไม่มีใครเป็นเจ้าของ ทุกคนสามารถสร้างสิ่งใหม่ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากใคร HTML5 เคยโค่น Flash และ Silverlight เพราะมันเป็นมาตรฐานเปิด ไม่ใช่ปลั๊กอินที่ต้องผ่าน vendor approval

    Positiveblue เสนอว่า authentication และ authorization สำหรับยุค agent ควรเป็นแบบ decentralized โดยใช้ public key cryptography และ DNS เพื่อยืนยันตัวตน ไม่ใช่ระบบลงทะเบียนกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง

    แนวคิด “signed agents” ของ Cloudflare
    เป็นระบบ allowlist สำหรับ bot และ agent ที่ได้รับการอนุมัติจาก Cloudflare
    ใช้เพื่อแยก traffic ที่ดีออกจาก traffic ที่เป็นอันตราย
    ผู้พัฒนา agent ต้องสมัครและผ่านการตรวจสอบเพื่อให้เข้าถึงเว็บได้

    ความเปลี่ยนแปลงของผู้ใช้งานเว็บ
    AI agents กำลังกลายเป็นผู้ใช้งานหลัก เช่น การจองตั๋วหรือสั่งอาหาร
    การกระทำของ agent อาจเกิดจากการมอบหมายโดยผู้ใช้จริง
    ความแตกต่างระหว่าง human action กับ agent action เริ่มเลือนลาง

    ปัญหาของการรวม authentication กับ authorization
    การใช้ “bot passport” เดียวกันสำหรับทุกงานไม่ปลอดภัย
    ต้องมีระบบที่แยกว่า “ใครกำลังทำ” กับ “เขามีสิทธิ์ทำอะไร”
    การมอบสิทธิ์ควรเป็นแบบ per-task ไม่ใช่ per-agent

    แนวทางที่เสนอสำหรับยุค agent
    ใช้ public key cryptography และ DNS เพื่อยืนยันตัวตนแบบ decentralized
    ใช้ token ที่มีขอบเขตจำกัด เช่น macaroons หรือ biscuits
    ใช้ open policy engines เช่น OPA หรือ AWS Cedar เพื่อควบคุมสิทธิ์แบบละเอียด
    ระบบควรตรวจสอบ chain of delegation และ request-level signature

    https://positiveblue.substack.com/p/the-web-does-not-need-gatekeepers
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Positiveblue: เมื่อ Cloudflare เสนอให้เว็บต้องมี “ใบผ่านทาง” ในยุคที่ AI agents กำลังกลายเป็นผู้ใช้งานหลักของเว็บ ไม่ใช่แค่คนอีกต่อไป Cloudflare ได้เปิดตัวแนวคิด “signed agents” ซึ่งฟังดูเหมือนระบบยืนยันตัวตนเพื่อความปลอดภัย แต่จริง ๆ แล้วมันคือการสร้าง “allowlist” ที่บริษัทเดียวควบคุมว่าใครมีสิทธิ์เข้าถึงเว็บได้ Positiveblue วิจารณ์ว่าแนวคิดนี้คล้ายกับการตั้งด่านตรวจคนเข้าเมืองบนอินเทอร์เน็ต—ถ้าไม่ได้อยู่ในรายชื่อของ Cloudflare ก็อาจถูกปฏิเสธการเข้าถึง แม้จะเป็น agent ที่ทำงานแทนผู้ใช้จริง เช่น จองตั๋วเครื่องบินหรือสั่งอาหารก็ตาม ในอดีต เว็บเติบโตเพราะไม่มีใครเป็นเจ้าของ ทุกคนสามารถสร้างสิ่งใหม่ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากใคร HTML5 เคยโค่น Flash และ Silverlight เพราะมันเป็นมาตรฐานเปิด ไม่ใช่ปลั๊กอินที่ต้องผ่าน vendor approval Positiveblue เสนอว่า authentication และ authorization สำหรับยุค agent ควรเป็นแบบ decentralized โดยใช้ public key cryptography และ DNS เพื่อยืนยันตัวตน ไม่ใช่ระบบลงทะเบียนกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ✅ แนวคิด “signed agents” ของ Cloudflare ➡️ เป็นระบบ allowlist สำหรับ bot และ agent ที่ได้รับการอนุมัติจาก Cloudflare ➡️ ใช้เพื่อแยก traffic ที่ดีออกจาก traffic ที่เป็นอันตราย ➡️ ผู้พัฒนา agent ต้องสมัครและผ่านการตรวจสอบเพื่อให้เข้าถึงเว็บได้ ✅ ความเปลี่ยนแปลงของผู้ใช้งานเว็บ ➡️ AI agents กำลังกลายเป็นผู้ใช้งานหลัก เช่น การจองตั๋วหรือสั่งอาหาร ➡️ การกระทำของ agent อาจเกิดจากการมอบหมายโดยผู้ใช้จริง ➡️ ความแตกต่างระหว่าง human action กับ agent action เริ่มเลือนลาง ✅ ปัญหาของการรวม authentication กับ authorization ➡️ การใช้ “bot passport” เดียวกันสำหรับทุกงานไม่ปลอดภัย ➡️ ต้องมีระบบที่แยกว่า “ใครกำลังทำ” กับ “เขามีสิทธิ์ทำอะไร” ➡️ การมอบสิทธิ์ควรเป็นแบบ per-task ไม่ใช่ per-agent ✅ แนวทางที่เสนอสำหรับยุค agent ➡️ ใช้ public key cryptography และ DNS เพื่อยืนยันตัวตนแบบ decentralized ➡️ ใช้ token ที่มีขอบเขตจำกัด เช่น macaroons หรือ biscuits ➡️ ใช้ open policy engines เช่น OPA หรือ AWS Cedar เพื่อควบคุมสิทธิ์แบบละเอียด ➡️ ระบบควรตรวจสอบ chain of delegation และ request-level signature https://positiveblue.substack.com/p/the-web-does-not-need-gatekeepers
    POSITIVEBLUE.SUBSTACK.COM
    The Web Does Not Need Gatekeepers
    Do you register with Google, Amazon or Microsoft to use the web?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสแตนฟอร์ด: เมื่อ AI กลายเป็นตัวกรองคนเข้าสู่โลกการทำงาน

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Generative AI อย่าง ChatGPT, Claude และเครื่องมืออัตโนมัติอื่น ๆ ได้เข้ามาเปลี่ยนวิธีทำงานในหลายอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว แต่ผลกระทบที่หลายคนยังไม่ทันตั้งตัว คือการ “ลดโอกาส” ของคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพ

    งานวิจัยจาก Stanford Digital Economy Lab วิเคราะห์ข้อมูลจาก ADP ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบเงินเดือนรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ พบว่า ตั้งแต่ปลายปี 2022 ถึงกลางปี 2025 การจ้างงานของคนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่ “เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI” เช่น customer service, accounting และ software development ลดลงถึง 13% ขณะที่คนอายุ 35 ปีขึ้นไปในสายงานเดียวกันกลับมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น

    เหตุผลหลักคือ AI สามารถแทนที่ “ความรู้แบบท่องจำ” หรือ codified knowledge ที่คนรุ่นใหม่เพิ่งเรียนจบมาได้ง่าย แต่ยังไม่สามารถแทนที่ “ความรู้จากประสบการณ์” หรือ tacit knowledge ที่คนทำงานมานานสะสมไว้ได้

    นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าในสายงานที่ AI “เสริม” การทำงาน เช่น การช่วยตรวจสอบโค้ดหรือจัดการข้อมูล การจ้างงานกลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีทักษะผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการตัดสินใจ

    ผลกระทบของ AI ต่อแรงงานอายุน้อย
    คนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI มีการจ้างงานลดลง 13%
    สายงานที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ customer service, accounting, software development
    ในขณะที่คนอายุ 35 ปีขึ้นไปในสายงานเดียวกันมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น

    ความแตกต่างระหว่าง codified กับ tacit knowledge
    AI สามารถแทนที่ความรู้แบบท่องจำจากการศึกษาได้ง่าย
    แต่ยังไม่สามารถแทนที่ความรู้จากประสบการณ์ที่ไม่ได้เขียนไว้ในตำรา

    สายงานที่ AI เสริมมากกว่าทดแทน
    ในงานที่ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหรือช่วยเขียนโค้ด
    การจ้างงานยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีทักษะผสม

    ความพยายามควบคุมตัวแปรอื่น
    งานวิจัยพยายามตัดปัจจัยแทรก เช่น remote work, การจ้างงานภายนอก, หรือภาวะเศรษฐกิจ
    ผลลัพธ์ยังคงชี้ชัดว่า AI เป็นตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อการจ้างงานของคนรุ่นใหม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้ AI ในองค์กรยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น หมายความว่าผลกระทบอาจเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
    นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงเริ่มปรากฏในข้อมูลแรงงานแล้ว


    https://www.cnbc.com/2025/08/28/generative-ai-reshapes-us-job-market-stanford-study-shows-entry-level-young-workers.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากสแตนฟอร์ด: เมื่อ AI กลายเป็นตัวกรองคนเข้าสู่โลกการทำงาน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Generative AI อย่าง ChatGPT, Claude และเครื่องมืออัตโนมัติอื่น ๆ ได้เข้ามาเปลี่ยนวิธีทำงานในหลายอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว แต่ผลกระทบที่หลายคนยังไม่ทันตั้งตัว คือการ “ลดโอกาส” ของคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพ งานวิจัยจาก Stanford Digital Economy Lab วิเคราะห์ข้อมูลจาก ADP ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบเงินเดือนรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ พบว่า ตั้งแต่ปลายปี 2022 ถึงกลางปี 2025 การจ้างงานของคนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่ “เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI” เช่น customer service, accounting และ software development ลดลงถึง 13% ขณะที่คนอายุ 35 ปีขึ้นไปในสายงานเดียวกันกลับมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น เหตุผลหลักคือ AI สามารถแทนที่ “ความรู้แบบท่องจำ” หรือ codified knowledge ที่คนรุ่นใหม่เพิ่งเรียนจบมาได้ง่าย แต่ยังไม่สามารถแทนที่ “ความรู้จากประสบการณ์” หรือ tacit knowledge ที่คนทำงานมานานสะสมไว้ได้ นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าในสายงานที่ AI “เสริม” การทำงาน เช่น การช่วยตรวจสอบโค้ดหรือจัดการข้อมูล การจ้างงานกลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีทักษะผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการตัดสินใจ ✅ ผลกระทบของ AI ต่อแรงงานอายุน้อย ➡️ คนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI มีการจ้างงานลดลง 13% ➡️ สายงานที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ customer service, accounting, software development ➡️ ในขณะที่คนอายุ 35 ปีขึ้นไปในสายงานเดียวกันมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ✅ ความแตกต่างระหว่าง codified กับ tacit knowledge ➡️ AI สามารถแทนที่ความรู้แบบท่องจำจากการศึกษาได้ง่าย ➡️ แต่ยังไม่สามารถแทนที่ความรู้จากประสบการณ์ที่ไม่ได้เขียนไว้ในตำรา ✅ สายงานที่ AI เสริมมากกว่าทดแทน ➡️ ในงานที่ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหรือช่วยเขียนโค้ด ➡️ การจ้างงานยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีทักษะผสม ✅ ความพยายามควบคุมตัวแปรอื่น ➡️ งานวิจัยพยายามตัดปัจจัยแทรก เช่น remote work, การจ้างงานภายนอก, หรือภาวะเศรษฐกิจ ➡️ ผลลัพธ์ยังคงชี้ชัดว่า AI เป็นตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อการจ้างงานของคนรุ่นใหม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้ AI ในองค์กรยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น หมายความว่าผลกระทบอาจเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ➡️ นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงเริ่มปรากฏในข้อมูลแรงงานแล้ว https://www.cnbc.com/2025/08/28/generative-ai-reshapes-us-job-market-stanford-study-shows-entry-level-young-workers.html
    WWW.CNBC.COM
    AI adoption linked to 13% decline in jobs for young U.S. workers, Stanford study reveals
    A Standford study has found evidence that the widespread adoption of generative AI is impacting the job prospects of early career workers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากกล้องมือถือ: เมื่อ Meta แอบดูภาพในเครื่องคุณ

    ลองจินตนาการว่า ภาพถ่ายในมือถือของคุณ—ไม่ว่าจะเป็นรูปครอบครัว รูปอาหาร หรือแม้แต่ภาพที่คุณไม่เคยโพสต์—อาจถูกสแกนโดย Meta เพื่อสร้าง “ไอเดียสร้างสรรค์” โดยที่คุณไม่รู้ตัว

    ผู้ใช้ Facebook หลายคนเพิ่งค้นพบว่าในแอปมีการเปิดใช้งานฟีเจอร์ “Camera Roll Sharing Suggestions” ซึ่งอนุญาตให้ Meta เข้าถึงและวิเคราะห์ภาพในเครื่องเพื่อเสนอคอลลาจ, อัลบั้มธีม, หรือรีแคปรายเดือนแบบ AI โดยที่บางคนไม่เคยเห็น popup ขออนุญาตเลยด้วยซ้ำ

    แม้ Meta จะยืนยันว่าฟีเจอร์นี้ “ไม่เปิดโดยอัตโนมัติ” และ “ไม่ใช้เพื่อโฆษณา” แต่ผู้ใช้จำนวนมากกลับพบว่ามันถูกเปิดไว้แล้วในแอปของตัวเอง และไม่แน่ใจว่าตนเคยกดยินยอมหรือไม่

    สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้ภาพจะไม่ถูกแชร์ออกไป แต่การที่บริษัทสามารถเข้าถึงและเก็บภาพที่เราไม่เคยตั้งใจให้ใครเห็น ก็ถือเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวในระดับลึก โดยเฉพาะเมื่อไม่มีการแจ้งเตือนอย่างชัดเจน

    ฟีเจอร์ Camera Roll Sharing Suggestions ของ Meta
    ใช้ AI วิเคราะห์ภาพในเครื่องเพื่อเสนอคอลลาจ, อัลบั้มธีม, และรีแคป
    ข้อมูลที่ใช้รวมถึงวันที่ถ่าย, ใบหน้า, วัตถุ, และสถานที่ในภาพ
    ผลลัพธ์จะมองเห็นได้เฉพาะผู้ใช้ เว้นแต่เลือกแชร์เอง
    Meta ยืนยันว่าไม่ใช้ข้อมูลนี้เพื่อโฆษณา

    วิธีตรวจสอบและปิดฟีเจอร์นี้
    เปิดแอป Facebook แล้วไปที่ Menu > Settings & Privacy > Settings
    เลื่อนลงไปที่ “Camera Roll Sharing Suggestions”
    ปิดสวิตช์สองตัว: “Get camera roll suggestions…” และ “Allow cloud processing…”
    เมื่อปิดแล้ว Meta จะหยุดสแกนภาพใหม่ และลบภาพที่อัปโหลดภายใน 30 วัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในช่วงทดสอบในสหรัฐฯ และแคนาดา ยกเว้นบางรัฐที่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูล
    Meta เคยมีประวัติปัญหาด้านความเป็นส่วนตัว เช่นกรณี Cambridge Analytica
    การสแกนภาพที่ไม่เคยอัปโหลดถือเป็นการขยายขอบเขตการเก็บข้อมูลอย่างเงียบ ๆ

    https://www.zdnet.com/article/meta-might-be-secretly-scanning-your-phones-camera-roll-how-to-check-and-turn-it-off/
    🎙️ เรื่องเล่าจากกล้องมือถือ: เมื่อ Meta แอบดูภาพในเครื่องคุณ ลองจินตนาการว่า ภาพถ่ายในมือถือของคุณ—ไม่ว่าจะเป็นรูปครอบครัว รูปอาหาร หรือแม้แต่ภาพที่คุณไม่เคยโพสต์—อาจถูกสแกนโดย Meta เพื่อสร้าง “ไอเดียสร้างสรรค์” โดยที่คุณไม่รู้ตัว ผู้ใช้ Facebook หลายคนเพิ่งค้นพบว่าในแอปมีการเปิดใช้งานฟีเจอร์ “Camera Roll Sharing Suggestions” ซึ่งอนุญาตให้ Meta เข้าถึงและวิเคราะห์ภาพในเครื่องเพื่อเสนอคอลลาจ, อัลบั้มธีม, หรือรีแคปรายเดือนแบบ AI โดยที่บางคนไม่เคยเห็น popup ขออนุญาตเลยด้วยซ้ำ แม้ Meta จะยืนยันว่าฟีเจอร์นี้ “ไม่เปิดโดยอัตโนมัติ” และ “ไม่ใช้เพื่อโฆษณา” แต่ผู้ใช้จำนวนมากกลับพบว่ามันถูกเปิดไว้แล้วในแอปของตัวเอง และไม่แน่ใจว่าตนเคยกดยินยอมหรือไม่ สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้ภาพจะไม่ถูกแชร์ออกไป แต่การที่บริษัทสามารถเข้าถึงและเก็บภาพที่เราไม่เคยตั้งใจให้ใครเห็น ก็ถือเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวในระดับลึก โดยเฉพาะเมื่อไม่มีการแจ้งเตือนอย่างชัดเจน ✅ ฟีเจอร์ Camera Roll Sharing Suggestions ของ Meta ➡️ ใช้ AI วิเคราะห์ภาพในเครื่องเพื่อเสนอคอลลาจ, อัลบั้มธีม, และรีแคป ➡️ ข้อมูลที่ใช้รวมถึงวันที่ถ่าย, ใบหน้า, วัตถุ, และสถานที่ในภาพ ➡️ ผลลัพธ์จะมองเห็นได้เฉพาะผู้ใช้ เว้นแต่เลือกแชร์เอง ➡️ Meta ยืนยันว่าไม่ใช้ข้อมูลนี้เพื่อโฆษณา ✅ วิธีตรวจสอบและปิดฟีเจอร์นี้ ➡️ เปิดแอป Facebook แล้วไปที่ Menu > Settings & Privacy > Settings ➡️ เลื่อนลงไปที่ “Camera Roll Sharing Suggestions” ➡️ ปิดสวิตช์สองตัว: “Get camera roll suggestions…” และ “Allow cloud processing…” ➡️ เมื่อปิดแล้ว Meta จะหยุดสแกนภาพใหม่ และลบภาพที่อัปโหลดภายใน 30 วัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในช่วงทดสอบในสหรัฐฯ และแคนาดา ยกเว้นบางรัฐที่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูล ➡️ Meta เคยมีประวัติปัญหาด้านความเป็นส่วนตัว เช่นกรณี Cambridge Analytica ➡️ การสแกนภาพที่ไม่เคยอัปโหลดถือเป็นการขยายขอบเขตการเก็บข้อมูลอย่างเงียบ ๆ https://www.zdnet.com/article/meta-might-be-secretly-scanning-your-phones-camera-roll-how-to-check-and-turn-it-off/
    WWW.ZDNET.COM
    Meta might be secretly scanning your phone's camera roll - how to check and turn it off
    Some Facebook users have noticed new settings that let Meta analyze and retain your phone's photos. Yes, you read that right.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: ช่องโหว่ที่ซ่อนอยู่ใน ping และ ActiveMQ

    เมื่อไม่นานมานี้ มีการเปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงสองตัวที่ทำให้ผู้ดูแลระบบ Linux ต้องรีบหันมามองระบบของตัวเองใหม่อีกครั้ง หนึ่งคือ CVE-2025-48964 ที่ซ่อนอยู่ใน ping utility ของ iputils และอีกหนึ่งคือ CVE-2023-46604 ใน Apache ActiveMQ ที่ถูกใช้เป็นช่องทางในการปล่อยมัลแวร์ชื่อ DripDropper

    เริ่มจาก ping utility ที่เราคุ้นเคยกันดี มันคือเครื่องมือพื้นฐานในการตรวจสอบการเชื่อมต่อเครือข่าย แต่ใน adaptive ping mode กลับมีช่องโหว่ที่เปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีส่งแพ็กเก็ต ICMP ที่มี timestamp เป็นศูนย์ ซึ่งจะทำให้เกิดการคำนวณค่าที่ผิดพลาดและนำไปสู่การล่มของแอปพลิเคชัน หรือการเก็บข้อมูลเครือข่ายที่ผิดเพี้ยน

    ในอีกด้านหนึ่ง Apache ActiveMQ ซึ่งเป็น message broker ที่นิยมใช้ในระบบ enterprise ก็ถูกโจมตีด้วยช่องโหว่ CVE-2023-46604 ที่เปิดให้รันคำสั่งจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่นี้ติดตั้งมัลแวร์ DripDropper ที่ไม่เพียงแค่แอบซ่อนตัวเอง แต่ยัง “อุดช่องโหว่” ที่มันใช้เจาะเข้ามา เพื่อกันไม่ให้ใครอื่นตามเข้ามาอีก เป็นการปิดประตูหลังบ้านหลังจากแอบเข้ามาแล้ว

    DripDropper ยังใช้ Dropbox เป็นช่องทางสื่อสารกับผู้โจมตี ทำให้การตรวจจับยากขึ้น เพราะมันแฝงตัวอยู่ในทราฟฟิกที่ดูเหมือนปกติ และยังมีการปรับแต่ง SSH config เพื่อเปิด root login และสร้าง cron jobs เพื่อให้มัลแวร์ทำงานต่อเนื่องแม้ระบบจะรีบูต

    ช่องโหว่ CVE-2025-48964 ใน iputils
    เกิดจาก adaptive ping mode ที่ไม่จัดการ timestamp เป็นศูนย์อย่างเหมาะสม
    ส่งผลให้เกิด integer overflow ระหว่างการคำนวณสถิติ
    ส่งผลให้ ping ล่มหรือเก็บข้อมูลเครือข่ายผิดพลาด
    กระทบต่อระบบที่ใช้ iputils ก่อนเวอร์ชัน 20250602

    ช่องโหว่ CVE-2023-46604 ใน Apache ActiveMQ
    เป็นช่องโหว่ remote code execution ที่มี CVSS 10.0
    เปิดให้รันคำสั่ง shell โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    ถูกใช้ในการติดตั้งมัลแวร์ DripDropper
    ActiveMQ ที่ได้รับผลกระทบคือเวอร์ชันก่อน 5.15.16, 5.16.7, 5.17.6 และ 5.18.3

    พฤติกรรมของมัลแวร์ DripDropper
    เป็นไฟล์ PyInstaller แบบ ELF ที่ต้องใช้รหัสผ่านในการรัน
    สื่อสารกับบัญชี Dropbox ของผู้โจมตีผ่าน bearer token
    สร้างไฟล์มัลแวร์สองตัวที่ทำงานผ่าน cron jobs และปรับแต่ง SSH
    ใช้เทคนิค “patch หลังเจาะ” เพื่อปิดช่องโหว่ที่ใช้เจาะเข้ามา

    ความเสี่ยงจาก adaptive ping mode
    อาจทำให้ระบบตรวจสอบเครือข่ายล้มเหลวในช่วงที่ถูกโจมตี
    ส่งผลให้การวิเคราะห์เครือข่ายผิดพลาดและไม่สามารถตรวจจับการบุกรุกได้

    ความซับซ้อนของการโจมตี ActiveMQ
    ผู้โจมตีใช้เทคนิค patch ช่องโหว่หลังเจาะเพื่อหลบการตรวจจับ
    ทำให้ผู้ดูแลระบบเข้าใจผิดว่าระบบปลอดภัยแล้ว
    การใช้ Dropbox เป็น C2 channel ทำให้การตรวจจับยากขึ้น

    ความเสี่ยงจาก SSH และ cron jobs ที่ถูกปรับแต่ง
    เปิด root login โดยไม่ได้รับอนุญาต
    สร้างช่องทางให้มัลแวร์ทำงานต่อเนื่องแม้มีการรีบูตหรืออัปเดต

    https://linuxconfig.org/critical-cve-2025-48964-vulnerability-in-iputils-a-major-concern-for-linux-administrators
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: ช่องโหว่ที่ซ่อนอยู่ใน ping และ ActiveMQ เมื่อไม่นานมานี้ มีการเปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงสองตัวที่ทำให้ผู้ดูแลระบบ Linux ต้องรีบหันมามองระบบของตัวเองใหม่อีกครั้ง หนึ่งคือ CVE-2025-48964 ที่ซ่อนอยู่ใน ping utility ของ iputils และอีกหนึ่งคือ CVE-2023-46604 ใน Apache ActiveMQ ที่ถูกใช้เป็นช่องทางในการปล่อยมัลแวร์ชื่อ DripDropper เริ่มจาก ping utility ที่เราคุ้นเคยกันดี มันคือเครื่องมือพื้นฐานในการตรวจสอบการเชื่อมต่อเครือข่าย แต่ใน adaptive ping mode กลับมีช่องโหว่ที่เปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีส่งแพ็กเก็ต ICMP ที่มี timestamp เป็นศูนย์ ซึ่งจะทำให้เกิดการคำนวณค่าที่ผิดพลาดและนำไปสู่การล่มของแอปพลิเคชัน หรือการเก็บข้อมูลเครือข่ายที่ผิดเพี้ยน ในอีกด้านหนึ่ง Apache ActiveMQ ซึ่งเป็น message broker ที่นิยมใช้ในระบบ enterprise ก็ถูกโจมตีด้วยช่องโหว่ CVE-2023-46604 ที่เปิดให้รันคำสั่งจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่นี้ติดตั้งมัลแวร์ DripDropper ที่ไม่เพียงแค่แอบซ่อนตัวเอง แต่ยัง “อุดช่องโหว่” ที่มันใช้เจาะเข้ามา เพื่อกันไม่ให้ใครอื่นตามเข้ามาอีก เป็นการปิดประตูหลังบ้านหลังจากแอบเข้ามาแล้ว DripDropper ยังใช้ Dropbox เป็นช่องทางสื่อสารกับผู้โจมตี ทำให้การตรวจจับยากขึ้น เพราะมันแฝงตัวอยู่ในทราฟฟิกที่ดูเหมือนปกติ และยังมีการปรับแต่ง SSH config เพื่อเปิด root login และสร้าง cron jobs เพื่อให้มัลแวร์ทำงานต่อเนื่องแม้ระบบจะรีบูต ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-48964 ใน iputils ➡️ เกิดจาก adaptive ping mode ที่ไม่จัดการ timestamp เป็นศูนย์อย่างเหมาะสม ➡️ ส่งผลให้เกิด integer overflow ระหว่างการคำนวณสถิติ ➡️ ส่งผลให้ ping ล่มหรือเก็บข้อมูลเครือข่ายผิดพลาด ➡️ กระทบต่อระบบที่ใช้ iputils ก่อนเวอร์ชัน 20250602 ✅ ช่องโหว่ CVE-2023-46604 ใน Apache ActiveMQ ➡️ เป็นช่องโหว่ remote code execution ที่มี CVSS 10.0 ➡️ เปิดให้รันคำสั่ง shell โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ ถูกใช้ในการติดตั้งมัลแวร์ DripDropper ➡️ ActiveMQ ที่ได้รับผลกระทบคือเวอร์ชันก่อน 5.15.16, 5.16.7, 5.17.6 และ 5.18.3 ✅ พฤติกรรมของมัลแวร์ DripDropper ➡️ เป็นไฟล์ PyInstaller แบบ ELF ที่ต้องใช้รหัสผ่านในการรัน ➡️ สื่อสารกับบัญชี Dropbox ของผู้โจมตีผ่าน bearer token ➡️ สร้างไฟล์มัลแวร์สองตัวที่ทำงานผ่าน cron jobs และปรับแต่ง SSH ➡️ ใช้เทคนิค “patch หลังเจาะ” เพื่อปิดช่องโหว่ที่ใช้เจาะเข้ามา ‼️ ความเสี่ยงจาก adaptive ping mode ⛔ อาจทำให้ระบบตรวจสอบเครือข่ายล้มเหลวในช่วงที่ถูกโจมตี ⛔ ส่งผลให้การวิเคราะห์เครือข่ายผิดพลาดและไม่สามารถตรวจจับการบุกรุกได้ ‼️ ความซับซ้อนของการโจมตี ActiveMQ ⛔ ผู้โจมตีใช้เทคนิค patch ช่องโหว่หลังเจาะเพื่อหลบการตรวจจับ ⛔ ทำให้ผู้ดูแลระบบเข้าใจผิดว่าระบบปลอดภัยแล้ว ⛔ การใช้ Dropbox เป็น C2 channel ทำให้การตรวจจับยากขึ้น ‼️ ความเสี่ยงจาก SSH และ cron jobs ที่ถูกปรับแต่ง ⛔ เปิด root login โดยไม่ได้รับอนุญาต ⛔ สร้างช่องทางให้มัลแวร์ทำงานต่อเนื่องแม้มีการรีบูตหรืออัปเดต https://linuxconfig.org/critical-cve-2025-48964-vulnerability-in-iputils-a-major-concern-for-linux-administrators
    LINUXCONFIG.ORG
    Critical CVE-2025-48964 Vulnerability in iputils: A Major Concern for Linux Administrators
    Discover the critical CVE-2025-48964 vulnerability impacting the ping utility in iputils, posing significant security risks for Linux systems. Learn how this flaw allows attackers to trigger denial of service and explore the importance of immediate patching and regular monitoring to safeguard your infrastructure.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • เป็นคำถาม ที่คนสงสัยมานานแล้ว
    โดยเฉพาะ ในกลุ่มคน ที่ ตื่นรู้พิษภัยของ โปรตีนหนาม จากการฉีด มรณา mRNA

    คำถามที่ว่า คือ ถ้าไปรับเลือด ที่ปนเปื้อนโปรตีนหนามจาก คนที่ฉีดวัคซีนมาจะเป็นอันตรายไหม?

    ก่อนตอบคำถามนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่า
    1.โปรตีนหนาม ที่ mRNA สั่งให้สร้างนั้นคือ สารพิษ
    2. พบว่า มรณา mRNA คงอยู่ในร่างกายของคนที่ฉีดได้ เป็นปีๆ แถมพบได้ในกระแสเลือด

    ตอนนี้มีคำตอบยืนยันแล้วว่า การรับเลือดที่ปนเปื้อนนั้น "อันตราย"

    ที่น่าสนใจคือ มี ความพยายามออกกฎหมายในต่างประเทศให้ ระบุว่า เลือดที่ได้รับบริจาคมานั้น มาจากคนที่ฉีด มรณา mRNA มาหรือไม่ เพื่อคนที่รับเลือดจะได้เลือกได้ว่า จะรับเลือดที่ปนเปื้อนเหล่านั้นไหม
    อ้าว ศูนย์บริจาคโลหิตในไทยจะเอาอย่างเขาบ้างไหมครับ
    https://www.facebook.com/1732997516/posts/10215903644820673/?mibextid=rS40aB7S9Ucbxw6v
    เป็นคำถาม ที่คนสงสัยมานานแล้ว โดยเฉพาะ ในกลุ่มคน ที่ ตื่นรู้พิษภัยของ โปรตีนหนาม จากการฉีด มรณา mRNA 💉☠️ คำถามที่ว่า คือ ถ้าไปรับเลือด ที่ปนเปื้อนโปรตีนหนามจาก คนที่ฉีดวัคซีนมาจะเป็นอันตรายไหม? ก่อนตอบคำถามนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่า 1.โปรตีนหนาม ที่ mRNA สั่งให้สร้างนั้นคือ สารพิษ 2. พบว่า มรณา mRNA คงอยู่ในร่างกายของคนที่ฉีดได้ เป็นปีๆ แถมพบได้ในกระแสเลือด ตอนนี้มีคำตอบยืนยันแล้วว่า การรับเลือดที่ปนเปื้อนนั้น "อันตราย" ที่น่าสนใจคือ มี ความพยายามออกกฎหมายในต่างประเทศให้ ระบุว่า เลือดที่ได้รับบริจาคมานั้น มาจากคนที่ฉีด มรณา mRNA มาหรือไม่ เพื่อคนที่รับเลือดจะได้เลือกได้ว่า จะรับเลือดที่ปนเปื้อนเหล่านั้นไหม อ้าว ศูนย์บริจาคโลหิตในไทยจะเอาอย่างเขาบ้างไหมครับ https://www.facebook.com/1732997516/posts/10215903644820673/?mibextid=rS40aB7S9Ucbxw6v
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความไม่โปร่งใส, ความกังวลด้านความปลอดภัย และข้อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบวัคซีน COVID-19

    ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์เกี่ยวกับวัคซีน COVID-19 ได้พัฒนาไปในทิศทางที่มีการตั้งคำถามและเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากหลายฝ่าย **ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเรียกร้องให้บริษัทผลิตยาขนาดใหญ่ เช่น Pfizer และ Moderna เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของยา COVID-19 ทันที** โดยระบุว่าประชาชนสมควรได้รับเห็นหลักฐาน [1, 2] ทรัมป์ยังตั้งข้อสงสัยต่อโครงการ Operation Warp Speed ของตัวเอง โดยขอให้มีการตรวจสอบว่าโครงการเร่งพัฒนาวัคซีนนี้ "ยอดเยี่ยมจริงหรือไม่" หรือมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น [1, 4] ข้อเรียกร้องนี้เกิดขึ้นพร้อมกับข่าวที่ปรากฏในรายงานของคณะกรรมการตุลาการของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 ที่ชี้ว่าอาจมีการชะลอการทดสอบวัคซีนโดยเจตนา ซึ่งอาจส่งผลต่อการประกาศความสำเร็จของวัคซีนหลังการเลือกตั้งปี 2020 [5, 6]

    **การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการคือบทบาทของ Robert F. Kennedy Jr. (RFK Jr.) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขาธิการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS)** RFK Jr. ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ตั้งคำถามเรื่องวัคซีน ได้เริ่มทบทวนและยกเลิกการลงทุนในการพัฒนาวัคซีน mRNA 22 รายการ Choawalit Chotwattanaphong เขากล่าวว่า **วัคซีน mRNA มีประสิทธิภาพต่ำในการต่อสู้กับไวรัสที่ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเนื่องจากการกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว** ซึ่งทำให้วัคซีนไม่สามารถป้องกันได้เมื่อเกิดการกลายพันธุ์เพียงครั้งเดียว เช่นกรณีของเชื้อ Omicron Choawalit Chotwattanaphong เขายังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่วัคซีนเหล่านี้อาจส่งเสริมการกลายพันธุ์และยืดเวลาการระบาดใหญ่ได้ Choawalit Chotwattanaphong

    ความกังวลด้านความปลอดภัยของวัคซีนเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมา **RFK Jr. อ้างว่าวัคซีน COVID-19 อาจนำไปสู่การเสียชีวิตในบางกรณี** โดยอ้างอิงข้อมูลการชันสูตรพลิกศพที่ระบุว่าวัคซีนเป็นสาเหตุการเสียชีวิต 73.9% ในกลุ่มผู้เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีน Choawalit Chotwattanaphong เขายังวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงการที่ไม่มี "คำเตือนกล่องดำ" (blackbox warning) เรื่องการเสียชีวิตในเอกสารกำกับวัคซีน แม้ว่ากฎหมายของ FDA จะกำหนดไว้ Choawalit Chotwattanaphong

    มีการเน้นย้ำถึง **การขาด Informed Consent (การยินยอมเข้ารับการรักษาโดยได้รับข้อมูลครบถ้วน) อย่างรุนแรง** ผู้ป่วยหลายราย รวมถึง Dr. Walscott แพทย์ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนยืนยันว่าไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริงและโปร่งใส Choawalit Chotwattanaphong ตัวอย่างที่สะเทือนใจคือเรื่องราวของ Crystal Cordingley ที่เชื่อว่าลูกชายของเธอ Corbin เสียชีวิตจากวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยพบความเสียหายในสมองที่คล้ายกับกรณี SIDS [9, 10] เธอถูกปฏิเสธข้อมูลและ Informed Consent และพบว่ากุมารแพทย์ได้ยื่นรายงาน VAERS โดยที่เธอไม่ทราบ [10] นอกจากนี้ ยังมีข้อกล่าวหาว่าหน่วยงานเช่น American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG) ถูกควบคุมโดย HHS เพื่อผลักดันวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ Choawalit Chotwattanaphong

    **ความเป็นพิษของ Spike Protein ก็เป็นประเด็นที่น่าจับตา** Dr. Robert Sullivan วิสัญญีแพทย์ผู้ได้รับผลกระทบ ได้เปิดเผยประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับการเกิดความดันโลหิตสูงในปอด (Pulmonary Hypertension) หลังฉีดวัคซีน mRNA COVID-19 และการสูญเสียความจุปอดไปครึ่งหนึ่ง [7, 8] เขากล่าวถึงงานวิจัยที่คาดการณ์ว่า Spike Protein สามารถทำลายหลอดเลือดในปอดและรกได้ [8] และ Dr. Ryan Cole พยาธิแพทย์ได้สังเกตเห็นว่าปัญหาลิ่มเลือดในผู้ป่วย "แย่ลงมาก" หลังจากการฉีดวัคซีนทางพันธุกรรม โดยมีรายงานการเสียชีวิตฉับพลันและโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยอายุน้อย [11] การบรรยายยังเสนอว่า **"Long COVID" อาจเป็นการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อน และอาการต่างๆ เช่น สมองล้าและปัญหาทางระบบประสาท อาจเกิดจาก Spike Protein ที่ผลิตโดยวัคซีน mRNA** [12] วัคซีน mRNA ที่ได้รับการดัดแปลงยังพบว่าสามารถคงอยู่ในร่างกายได้นานหลายเดือนและพบได้ในเนื้องอก ซึ่งอาจนำไปสู่โรคแพ้ภูมิตัวเอง [13]

    **ระบบการแพทย์และหน่วยงานสาธารณสุขเองก็ตกอยู่ภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก** ระบบ VAERS (Vaccine Adverse Event Reporting System) ไม่เป็นที่รู้จักหรือเข้าใจอย่างกว้างขวางในหมู่แพทย์ และมักไม่มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดการรายงาน [8] นอกจากนี้ ยังไม่มีการศึกษาอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากวัคซีน และ "ต้นทุนที่ซ่อนอยู่ของการบาดเจ็บ" ก็ไม่ได้รับการศึกษาหรือสอนในโรงเรียนแพทย์ [7, 12] มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ CDC ถึงกับทำลายหลักฐานที่เชื่อมโยงวัคซีน MMR กับออทิซึมในเด็กชายชาวแอฟริกัน-อเมริกัน [15, 16]

    สถานการณ์ล่าสุดนี้สะท้อนให้เห็นถึง **ความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และความไว้วางใจของประชาชนในหน่วยงานรัฐบาลและระบบการแพทย์** โดยการตัดสินใจทางการแพทย์ทั้งหมดต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ Informed Consent ที่แท้จริง [17] มีการคาดการณ์เชิงสมมติฐานว่าหากไม่มีการบังคับใช้คำสั่งให้ฉีดวัคซีน การระบาดใหญ่อาจถูกควบคุมได้เร็วกว่าโดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มเสี่ยงสูงและให้ไวรัสแพร่กระจายในกลุ่มเสี่ยงต่ำ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ [6, 18]

    โดยสรุป สถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงการเรียกร้องที่เพิ่มขึ้นสำหรับการตรวจสอบข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์อย่างโปร่งใส การให้ความสำคัญกับ Informed Consent และการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน COVID-19 อย่างละเอียดถี่ถ้วน.

    https://www.youtube.com/live/4-JxzRRgdy0
    https://youtu.be/-Y2d_4BSGP4

    https://www.facebook.com/share/16v8B1t4by/
    ✍️ความไม่โปร่งใส, ความกังวลด้านความปลอดภัย และข้อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบวัคซีน COVID-19 ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์เกี่ยวกับวัคซีน COVID-19 ได้พัฒนาไปในทิศทางที่มีการตั้งคำถามและเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากหลายฝ่าย **ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเรียกร้องให้บริษัทผลิตยาขนาดใหญ่ เช่น Pfizer และ Moderna เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของยา COVID-19 ทันที** โดยระบุว่าประชาชนสมควรได้รับเห็นหลักฐาน [1, 2] ทรัมป์ยังตั้งข้อสงสัยต่อโครงการ Operation Warp Speed ของตัวเอง โดยขอให้มีการตรวจสอบว่าโครงการเร่งพัฒนาวัคซีนนี้ "ยอดเยี่ยมจริงหรือไม่" หรือมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น [1, 4] ข้อเรียกร้องนี้เกิดขึ้นพร้อมกับข่าวที่ปรากฏในรายงานของคณะกรรมการตุลาการของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 ที่ชี้ว่าอาจมีการชะลอการทดสอบวัคซีนโดยเจตนา ซึ่งอาจส่งผลต่อการประกาศความสำเร็จของวัคซีนหลังการเลือกตั้งปี 2020 [5, 6] **การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการคือบทบาทของ Robert F. Kennedy Jr. (RFK Jr.) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขาธิการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS)** RFK Jr. ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ตั้งคำถามเรื่องวัคซีน ได้เริ่มทบทวนและยกเลิกการลงทุนในการพัฒนาวัคซีน mRNA 22 รายการ [1] เขากล่าวว่า **วัคซีน mRNA มีประสิทธิภาพต่ำในการต่อสู้กับไวรัสที่ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเนื่องจากการกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว** ซึ่งทำให้วัคซีนไม่สามารถป้องกันได้เมื่อเกิดการกลายพันธุ์เพียงครั้งเดียว เช่นกรณีของเชื้อ Omicron [1] เขายังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่วัคซีนเหล่านี้อาจส่งเสริมการกลายพันธุ์และยืดเวลาการระบาดใหญ่ได้ [1] ความกังวลด้านความปลอดภัยของวัคซีนเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมา **RFK Jr. อ้างว่าวัคซีน COVID-19 อาจนำไปสู่การเสียชีวิตในบางกรณี** โดยอ้างอิงข้อมูลการชันสูตรพลิกศพที่ระบุว่าวัคซีนเป็นสาเหตุการเสียชีวิต 73.9% ในกลุ่มผู้เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีน [1] เขายังวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงการที่ไม่มี "คำเตือนกล่องดำ" (blackbox warning) เรื่องการเสียชีวิตในเอกสารกำกับวัคซีน แม้ว่ากฎหมายของ FDA จะกำหนดไว้ [1] มีการเน้นย้ำถึง **การขาด Informed Consent (การยินยอมเข้ารับการรักษาโดยได้รับข้อมูลครบถ้วน) อย่างรุนแรง** ผู้ป่วยหลายราย รวมถึง Dr. Walscott แพทย์ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนยืนยันว่าไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริงและโปร่งใส [1] ตัวอย่างที่สะเทือนใจคือเรื่องราวของ Crystal Cordingley ที่เชื่อว่าลูกชายของเธอ Corbin เสียชีวิตจากวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยพบความเสียหายในสมองที่คล้ายกับกรณี SIDS [9, 10] เธอถูกปฏิเสธข้อมูลและ Informed Consent และพบว่ากุมารแพทย์ได้ยื่นรายงาน VAERS โดยที่เธอไม่ทราบ [10] นอกจากนี้ ยังมีข้อกล่าวหาว่าหน่วยงานเช่น American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG) ถูกควบคุมโดย HHS เพื่อผลักดันวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ [1] **ความเป็นพิษของ Spike Protein ก็เป็นประเด็นที่น่าจับตา** Dr. Robert Sullivan วิสัญญีแพทย์ผู้ได้รับผลกระทบ ได้เปิดเผยประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับการเกิดความดันโลหิตสูงในปอด (Pulmonary Hypertension) หลังฉีดวัคซีน mRNA COVID-19 และการสูญเสียความจุปอดไปครึ่งหนึ่ง [7, 8] เขากล่าวถึงงานวิจัยที่คาดการณ์ว่า Spike Protein สามารถทำลายหลอดเลือดในปอดและรกได้ [8] และ Dr. Ryan Cole พยาธิแพทย์ได้สังเกตเห็นว่าปัญหาลิ่มเลือดในผู้ป่วย "แย่ลงมาก" หลังจากการฉีดวัคซีนทางพันธุกรรม โดยมีรายงานการเสียชีวิตฉับพลันและโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยอายุน้อย [11] การบรรยายยังเสนอว่า **"Long COVID" อาจเป็นการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อน และอาการต่างๆ เช่น สมองล้าและปัญหาทางระบบประสาท อาจเกิดจาก Spike Protein ที่ผลิตโดยวัคซีน mRNA** [12] วัคซีน mRNA ที่ได้รับการดัดแปลงยังพบว่าสามารถคงอยู่ในร่างกายได้นานหลายเดือนและพบได้ในเนื้องอก ซึ่งอาจนำไปสู่โรคแพ้ภูมิตัวเอง [13] **ระบบการแพทย์และหน่วยงานสาธารณสุขเองก็ตกอยู่ภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก** ระบบ VAERS (Vaccine Adverse Event Reporting System) ไม่เป็นที่รู้จักหรือเข้าใจอย่างกว้างขวางในหมู่แพทย์ และมักไม่มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดการรายงาน [8] นอกจากนี้ ยังไม่มีการศึกษาอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากวัคซีน และ "ต้นทุนที่ซ่อนอยู่ของการบาดเจ็บ" ก็ไม่ได้รับการศึกษาหรือสอนในโรงเรียนแพทย์ [7, 12] มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ CDC ถึงกับทำลายหลักฐานที่เชื่อมโยงวัคซีน MMR กับออทิซึมในเด็กชายชาวแอฟริกัน-อเมริกัน [15, 16] สถานการณ์ล่าสุดนี้สะท้อนให้เห็นถึง **ความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และความไว้วางใจของประชาชนในหน่วยงานรัฐบาลและระบบการแพทย์** โดยการตัดสินใจทางการแพทย์ทั้งหมดต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ Informed Consent ที่แท้จริง [17] มีการคาดการณ์เชิงสมมติฐานว่าหากไม่มีการบังคับใช้คำสั่งให้ฉีดวัคซีน การระบาดใหญ่อาจถูกควบคุมได้เร็วกว่าโดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มเสี่ยงสูงและให้ไวรัสแพร่กระจายในกลุ่มเสี่ยงต่ำ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ [6, 18] โดยสรุป สถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงการเรียกร้องที่เพิ่มขึ้นสำหรับการตรวจสอบข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์อย่างโปร่งใส การให้ความสำคัญกับ Informed Consent และการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน COVID-19 อย่างละเอียดถี่ถ้วน. https://www.youtube.com/live/4-JxzRRgdy0 https://youtu.be/-Y2d_4BSGP4 https://www.facebook.com/share/16v8B1t4by/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปอยเปตไม่หลับใหล แม้ไทยจะปิดด่าน

    ข่าวคราวที่สร้างความสับสน เมื่อจู่ๆ ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จังหวัดสระแก้ว ประชาสัมพันธ์ว่า "หลังจากวันที่ 29 ส.ค.เป็นต้นไป จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จะเปิดให้บริการคนไทยและคนกัมพูชา เพื่อเดินทางกลับประเทศภูมิลำเนา ทุกวันพุธและทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 13.00 น. ถึง 16.00 น. เริ่มวันอาทิตย์ที่ 31 ส.ค.68 เป็นต้นไป สำหรับจุดผ่านแดนอื่นๆ ยังไม่เปิดให้บริการ" กลายเป็นที่วิจารณ์จำนวนมาก ทั้งที่สถานการณ์ยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

    เมื่อนักข่าวสอบถาม พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาการ รมช.กลาโหม และผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ปรากฎว่าไม่ใช่คำสั่งของ ศบ.ทก. แต่เป็นตำรวจ ตม. อีกทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บัญชาการกองกำลังบูรพาไม่เกี่ยวข้อง ที่สุดแล้ว ตม.สระแก้วจึงชี้แจงว่า เป็นการอนุโลมให้คนไทยที่ยังตกค้าง และคนกัมพูชาที่จะกลับประเทศเป็นวันสุดท้าย โดยมีเอกสารถูกต้องเท่านั้น ไม่มีเจตนาเป็นอย่างอื่น ยืนยันว่าทุกจุดผ่านแดนฯ ในพื้นที่ จ.สระแก้ว ยังคงปิดเช่นเดิม แต่ความสงสัยจากสังคมยังไม่หมดไป เพราะประกาศก่อนหน้านี้ เหมือนจะให้เปิดด่านทุกวันพุธและอาทิตย์

    แหล่งข่าวจากสื่อมวลชนรายหนึ่ง (ขอสงวนนามเพื่อความปลอดภัย) กล่าวกับ Newskit ว่า ปัจจุบันแม้ด่านพรมแดนบ้านคลองลึกจะปิดไม่ให้เข้า-ออกประเทศ แต่บ่อนกาสิโนในฝั่งเมืองปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย จำนวน 17 แห่ง ปัจจุบันยังคงเปิดให้บริการอยู่ นักเสี่ยงโชคจากทุกสารทิศต้องเดินทางไปลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติเสียมราฐ อังกอร์ (SAI) แล้วเดินทางต่อด้วยรถยนต์ อีกทั้งยังมีประชากรแฝง ที่เป็นนักเสี่ยงโชคจากจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย และประเทศอื่นๆ อาศัยอยู่ในปอยเปตประมาณ 2 แสนคน และยังคงใช้ไฟฟ้าบางส่วนจากไทย มีเสาส่งไฟฟ้าบริเวณบ้านป่าไร่ ซื้อขายกันระหว่างเอกชนกับเอกชน

    แหล่งข่าวยังส่งภาพที่แสดงให้เห็นว่าอาคารสูงซึ่งเป็นโรงแรมและบ่อนกาสิโนยังเปิดไฟสว่างไสว หนึ่งในนั้นคือตีก Crown Casino ที่ตั้งประชิดด่านตรวจคนเข้าเมืองปอยเปต สามารถมองเห็นได้จากตลาดโรงเกลือ ฝั่งประเทศไทย

    สำหรับท่าอากาศยานนานาชาติเสียมราฐ อังกอร์ (SAI) อยู่ห่างจากด่านปอยเปต 196 กิโลเมตร มีเที่ยวบินขาเข้าต่อสัปดาห์ จากกรุงเทพฯ สุวรรณภูมิ 24 เที่ยวบิน ดอนเมือง 14 เที่ยวบิน จากเวียดนาม โฮจิมินห์ 21 เที่ยวบิน ฮานอย 13 เที่ยวบิน ดานัง 7 เที่ยวบิน จากสิงคโปร์, กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย และคุนหมิง ประเทศจีน 7 เที่ยวบิน ส่วนเที่ยวบินในประเทศ มีพนมเปญ 13 เที่ยวบิน และสีหนุวิลล์ 7 เที่ยวบิน

    #Newskit
    ปอยเปตไม่หลับใหล แม้ไทยจะปิดด่าน ข่าวคราวที่สร้างความสับสน เมื่อจู่ๆ ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จังหวัดสระแก้ว ประชาสัมพันธ์ว่า "หลังจากวันที่ 29 ส.ค.เป็นต้นไป จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จะเปิดให้บริการคนไทยและคนกัมพูชา เพื่อเดินทางกลับประเทศภูมิลำเนา ทุกวันพุธและทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 13.00 น. ถึง 16.00 น. เริ่มวันอาทิตย์ที่ 31 ส.ค.68 เป็นต้นไป สำหรับจุดผ่านแดนอื่นๆ ยังไม่เปิดให้บริการ" กลายเป็นที่วิจารณ์จำนวนมาก ทั้งที่สถานการณ์ยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เมื่อนักข่าวสอบถาม พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาการ รมช.กลาโหม และผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ปรากฎว่าไม่ใช่คำสั่งของ ศบ.ทก. แต่เป็นตำรวจ ตม. อีกทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บัญชาการกองกำลังบูรพาไม่เกี่ยวข้อง ที่สุดแล้ว ตม.สระแก้วจึงชี้แจงว่า เป็นการอนุโลมให้คนไทยที่ยังตกค้าง และคนกัมพูชาที่จะกลับประเทศเป็นวันสุดท้าย โดยมีเอกสารถูกต้องเท่านั้น ไม่มีเจตนาเป็นอย่างอื่น ยืนยันว่าทุกจุดผ่านแดนฯ ในพื้นที่ จ.สระแก้ว ยังคงปิดเช่นเดิม แต่ความสงสัยจากสังคมยังไม่หมดไป เพราะประกาศก่อนหน้านี้ เหมือนจะให้เปิดด่านทุกวันพุธและอาทิตย์ แหล่งข่าวจากสื่อมวลชนรายหนึ่ง (ขอสงวนนามเพื่อความปลอดภัย) กล่าวกับ Newskit ว่า ปัจจุบันแม้ด่านพรมแดนบ้านคลองลึกจะปิดไม่ให้เข้า-ออกประเทศ แต่บ่อนกาสิโนในฝั่งเมืองปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย จำนวน 17 แห่ง ปัจจุบันยังคงเปิดให้บริการอยู่ นักเสี่ยงโชคจากทุกสารทิศต้องเดินทางไปลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติเสียมราฐ อังกอร์ (SAI) แล้วเดินทางต่อด้วยรถยนต์ อีกทั้งยังมีประชากรแฝง ที่เป็นนักเสี่ยงโชคจากจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย และประเทศอื่นๆ อาศัยอยู่ในปอยเปตประมาณ 2 แสนคน และยังคงใช้ไฟฟ้าบางส่วนจากไทย มีเสาส่งไฟฟ้าบริเวณบ้านป่าไร่ ซื้อขายกันระหว่างเอกชนกับเอกชน แหล่งข่าวยังส่งภาพที่แสดงให้เห็นว่าอาคารสูงซึ่งเป็นโรงแรมและบ่อนกาสิโนยังเปิดไฟสว่างไสว หนึ่งในนั้นคือตีก Crown Casino ที่ตั้งประชิดด่านตรวจคนเข้าเมืองปอยเปต สามารถมองเห็นได้จากตลาดโรงเกลือ ฝั่งประเทศไทย สำหรับท่าอากาศยานนานาชาติเสียมราฐ อังกอร์ (SAI) อยู่ห่างจากด่านปอยเปต 196 กิโลเมตร มีเที่ยวบินขาเข้าต่อสัปดาห์ จากกรุงเทพฯ สุวรรณภูมิ 24 เที่ยวบิน ดอนเมือง 14 เที่ยวบิน จากเวียดนาม โฮจิมินห์ 21 เที่ยวบิน ฮานอย 13 เที่ยวบิน ดานัง 7 เที่ยวบิน จากสิงคโปร์, กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย และคุนหมิง ประเทศจีน 7 เที่ยวบิน ส่วนเที่ยวบินในประเทศ มีพนมเปญ 13 เที่ยวบิน และสีหนุวิลล์ 7 เที่ยวบิน #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อหลัก ออกมายืนยันด้วย.ให้คนไทยเข้าใจถูกผิดทั่วประเทศ,เขมรมีหนาว,ตาควายโอกาสได้พื้นที่คืนทั้งหมดสูง,ถล่มทางขึ้นทางบันไดมันทั้งหมด,

    https://youtube.com/shorts/me-DrU4J_Os?si=p3qBtXEjmBiRKCdO
    สื่อหลัก ออกมายืนยันด้วย.ให้คนไทยเข้าใจถูกผิดทั่วประเทศ,เขมรมีหนาว,ตาควายโอกาสได้พื้นที่คืนทั้งหมดสูง,ถล่มทางขึ้นทางบันไดมันทั้งหมด, https://youtube.com/shorts/me-DrU4J_Os?si=p3qBtXEjmBiRKCdO
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เผยถึงการประชุมกรรมการบริหารและ สส.พรรคประชาชน เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ในที่ประชุมมีความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย ทั้งการโหวตให้แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย รวมถึงไม่โหวตให้พรรคใด แต่องคาพยพพรรคประชาชน เลือกนายกรัฐมนตรีภายใต้โจทย์ของประเทศในสถานการณ์ปัจจุบัน ขณะที่นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ติดต่อมา แต่เห็นในสื่อว่ายังไม่มีการทาบทามจากพรรค เป็นสิ่งหนึ่งที่น่ากังวล เชื่อว่าสมาชิกพรรคจะใช้ประกอบการตัดสินใจว่าแคนดิเดตพรรคใดให้ความเชื่อมั่นมากกว่า ยืนยัน ไม่มีธงในใจ

    -ดักคอเพื่อไทยยุบสภา
    -ยุบสภาคือทางออก
    -กัมพูชาลอบวางระเบิดในไทย
    -สืบสานวัวสายพันธุ์ไทย
    นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เผยถึงการประชุมกรรมการบริหารและ สส.พรรคประชาชน เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ในที่ประชุมมีความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย ทั้งการโหวตให้แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย รวมถึงไม่โหวตให้พรรคใด แต่องคาพยพพรรคประชาชน เลือกนายกรัฐมนตรีภายใต้โจทย์ของประเทศในสถานการณ์ปัจจุบัน ขณะที่นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ติดต่อมา แต่เห็นในสื่อว่ายังไม่มีการทาบทามจากพรรค เป็นสิ่งหนึ่งที่น่ากังวล เชื่อว่าสมาชิกพรรคจะใช้ประกอบการตัดสินใจว่าแคนดิเดตพรรคใดให้ความเชื่อมั่นมากกว่า ยืนยัน ไม่มีธงในใจ -ดักคอเพื่อไทยยุบสภา -ยุบสภาคือทางออก -กัมพูชาลอบวางระเบิดในไทย -สืบสานวัวสายพันธุ์ไทย
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “ภูมิธรรม” ยืนยันคุย “ชัยเกษม” แล้ว ปมเสนอชื่อนายกฯ โต้กลับสื่อที่อ้างว่ายังไม่ได้รับการติดต่อ
    https://www.thai-tai.tv/news/21248/
    .
    #ไทยไท #ภูมิธรรมเวชยชัย #ชัยเกษมนิติสิริ #เพื่อไทย #จัดตั้งรัฐบาล #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    “ภูมิธรรม” ยืนยันคุย “ชัยเกษม” แล้ว ปมเสนอชื่อนายกฯ โต้กลับสื่อที่อ้างว่ายังไม่ได้รับการติดต่อ https://www.thai-tai.tv/news/21248/ . #ไทยไท #ภูมิธรรมเวชยชัย #ชัยเกษมนิติสิริ #เพื่อไทย #จัดตั้งรัฐบาล #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts