• ตัวแทนทีมฟุตบอลกัมพูชาออลสตาร์ ที่สวมหมวกอีกใบเป็นเลขาฯ ครม.เขมร ประกาศจัดม็อบใหญ่ 19 ก.ค.ในกรุงพนมเปญ แสดงพลังต่อต้านการรุกรานของไทย ส่งกำลังใจให้ทหารแนวหน้า อ้างไทยคือศัตรูผู้บุกรุก ชายแดนไม่สงบลงง่ายๆ เขมรต้องสามัคคีกันปกป้องอธิปไตย

    วันนี้(12 ก.ค.) เฟซบุ๊กของ Kampuchea Thmey Daily ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอการแถลงข่าวของนายกุช เวงสรุน เลขาธิการคณะรัฐมนตรีกัมพูชา และตัวแทนของทีมฟุตบอลกัมพูชาออลสตาร์ โดยกล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยยังคงรุกรานดินแดนกัมพูชา ดังนั้นประชาชนกัมพูชาจึงต้องปลูกฝังความรักชาติ ปกป้องชาติและดินแดนของเราด้วย

    นายกุช กล่าวว่า สิ่งที่ยิ่งใหญ่การแข่งขันฟุตบอลก็คือจิตวิญญาณแห่งความรักชาติอยู่ เพราะเราต่างรู้ดีว่าความขัดแย้งระหว่างกัมพูชาและไทยจะไม่จบลงง่ายๆ ศัตรูของเรายังคงตั้งใจจะรุกรานดินแดนของเราต่อไป หากเราไม่พร้อม นั่นหมายความว่า เรายังไม่มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน และยังไม่มีสันติภาพที่แท้จริงร่วมกันบริเวณชายแดนทั้งสองฝั่ง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000065595

    #Thaitimes #MGROnline #ฟุตบอลกัมพูชาออลสตาร์ #กัมพูชา #กรุงพนมเปญ #ม็อบใหญ่
    ตัวแทนทีมฟุตบอลกัมพูชาออลสตาร์ ที่สวมหมวกอีกใบเป็นเลขาฯ ครม.เขมร ประกาศจัดม็อบใหญ่ 19 ก.ค.ในกรุงพนมเปญ แสดงพลังต่อต้านการรุกรานของไทย ส่งกำลังใจให้ทหารแนวหน้า อ้างไทยคือศัตรูผู้บุกรุก ชายแดนไม่สงบลงง่ายๆ เขมรต้องสามัคคีกันปกป้องอธิปไตย • วันนี้(12 ก.ค.) เฟซบุ๊กของ Kampuchea Thmey Daily ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอการแถลงข่าวของนายกุช เวงสรุน เลขาธิการคณะรัฐมนตรีกัมพูชา และตัวแทนของทีมฟุตบอลกัมพูชาออลสตาร์ โดยกล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยยังคงรุกรานดินแดนกัมพูชา ดังนั้นประชาชนกัมพูชาจึงต้องปลูกฝังความรักชาติ ปกป้องชาติและดินแดนของเราด้วย • นายกุช กล่าวว่า สิ่งที่ยิ่งใหญ่การแข่งขันฟุตบอลก็คือจิตวิญญาณแห่งความรักชาติอยู่ เพราะเราต่างรู้ดีว่าความขัดแย้งระหว่างกัมพูชาและไทยจะไม่จบลงง่ายๆ ศัตรูของเรายังคงตั้งใจจะรุกรานดินแดนของเราต่อไป หากเราไม่พร้อม นั่นหมายความว่า เรายังไม่มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน และยังไม่มีสันติภาพที่แท้จริงร่วมกันบริเวณชายแดนทั้งสองฝั่ง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000065595 • #Thaitimes #MGROnline #ฟุตบอลกัมพูชาออลสตาร์ #กัมพูชา #กรุงพนมเปญ #ม็อบใหญ่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • สินค้าไทยในซูเปอร์มาร์เกตกรุงพนมเปญเริ่มขาดแคลน ขณะผู้บริโภคต้องปรับตัวให้คุ้นเคยกับสินค้ายี่ห้อท้องถิ่นหรือที่นำเข้าจากประเทศอื่น บางคนบอกเศร้าหาซื้อนมดัชมิลล์ไม่ได้แล้ว รสชาติอาหารเช้าคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ขณะครูศรีลังกาที่มาสอนในกัมพูชาเผยยังนึกไม่ออกว่าจะอยู่ได้โดยไม่กิน “มาม่า” อย่างไร

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000064782

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    สินค้าไทยในซูเปอร์มาร์เกตกรุงพนมเปญเริ่มขาดแคลน ขณะผู้บริโภคต้องปรับตัวให้คุ้นเคยกับสินค้ายี่ห้อท้องถิ่นหรือที่นำเข้าจากประเทศอื่น บางคนบอกเศร้าหาซื้อนมดัชมิลล์ไม่ได้แล้ว รสชาติอาหารเช้าคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ขณะครูศรีลังกาที่มาสอนในกัมพูชาเผยยังนึกไม่ออกว่าจะอยู่ได้โดยไม่กิน “มาม่า” อย่างไร อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000064782 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 464 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2 นายพล หน่วยอารักขา “ฮุน เซน” ถูกศาลฝรั่งเศสฟ้อง ฐานอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่กลางกรุงพนมเปญ12 มีนาคม 2568ศาลฝรั่งเศสเปิดคดี “ฆ่าหมู่ 1997” กลางกรุงพนมเปญ — 2 นายพลเขมร อดีตบอดี้การ์ดของ “ฮุน เซน” ถูกไต่สวน!ฆ่าหมู่กลางกรุงพนมเปญ 1997 — ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!30 มีนาคม 1997 — ผู้ประท้วงรวมตัวที่สวนสาธารณะฝั่งตรงข้ามรัฐสภากัมพูชา เพื่อเรียกร้องให้ยุติ “ตุลาการใต้ตีน” ของระบอบฮุน เซนจู่ ๆ เกิดระเบิดหลายลูกปะทุใส่ฝูงชนเสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 150 ราย — เลือดสาดทั่วสวนพยานหลายคนเล่าว่า “มือระเบิดวิ่งเข้าไปหาหน่วยอารักขาฮุน เซน” ที่ใส่ชุดปราบจลาจลครบมือ — แต่กลับปล่อยให้พวกเขาหลบหนี!รอน แอบนีย์ พลเมืองสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในผู้บาดเจ็บสาหัส ทำให้ FBI ส่งทีมสอบสวนทันทีรายงาน FBI ถูกเปิดเผยในปี 2009แต่…ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!จนกระทั่งปี 2021 ศาลฝรั่งเศสออกหมายจับ:• ฮิง บุน เหียง — รองผู้บัญชาการกองทัพ และหัวหน้าหน่วยอารักขาครอบครัวฮุน เซน• ฮุย พิเซธ — รัฐมนตรีช่วยกลาโหม และรองหัวหน้าคณะที่ปรึกษาของ “ฮุน มาเนต” ลูกชายฮุน เซนคดีนี้เริ่มจากคำร้องของ “แซม เรนซี” และภรรยาในฝรั่งเศสศาลฝรั่งเศสเคยออกหมายเรียกตัว “ฮุน เซน” ด้วยแต่รัฐบาลฝรั่งเศสกลับบล็อก โดยอ้างว่า “ผู้นำรัฐบาลมีเอกสิทธิ์คุ้มกันตามกฎหมาย”Brad Adams อดีตเจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนแห่ง UN เล่าว่า“ผมไปถึงสวนหลังเหตุระเบิดแค่ 10 นาที…ศพเกลื่อนพื้นทหารยังขัดขวางไม่ให้ช่วยคนเจ็บตำรวจมาถึงทีหลังก็ยืนดูเฉย ๆ…สุดท้าย คนธรรมดานั่นแหละที่ช่วยกันหามคนเจ็บ”ฮิง บุน เหียง ยืนยันกับ RFA ว่า “จะไม่ไปศาล และไม่ส่งทนาย”พร้อมท้าทายว่า: “ไม่มีรูปผมโยนระเบิด แล้วคุณจะจับผมได้ยังไง?”ปี 2018 สหรัฐฯ คว่ำบาตร “ฮิง บุน เหียง” จากเหตุการณ์นี้ รวมถึงอีกหลายคดีทำร้ายประชาชนมือเปล่าขณะที่ฮุย พิเซธ ยอมรับกับ FBI ว่าเขาคือคนสั่งส่งกำลังทหารจากกองพลที่ 70 มาล้อมสวนในวันเกิดเหตุ⸻ฆ่าหมู่ต่อหน้าประชาชน — แต่ไม่มีใครต้องรับผิดรัฐบาลฮุน เซนไม่เคยสอบสวนใคร — มีแต่ปิดปากแต่โลกไม่ลืม — และความจริงจะไม่ตาย#CSI_LA #ฆ่าหมู่1997 #ฝรั่งเศสลากขึ้นศาล #ฮุนเซน #หน่วยฆ่าประชาชน #CambodiaMassacre #GrenadeAttack2 Generals from Hun Sen’s Bodyguard Unit Indicted by French Court for Role in Phnom Penh MassacreMarch 12, 2025A French court has officially opened a case over the 1997 Phnom Penh massacre — putting two Cambodian generals, both former bodyguards of Hun Sen, on trial in absentia.Phnom Penh Massacre, 1997 — Not a Single Person Has Ever Been ArrestedMarch 30, 1997 — Protesters gathered at a park across from the Cambodian National Assembly to denounce Hun Sen’s authoritarian judiciary.Suddenly, several grenades were hurled into the crowd.At least 16 people were killed and more than 150 were injured — blood stained the ground.Eyewitnesses say the grenade-throwers ran toward Hun Sen’s fully equipped bodyguards, who allowed them to escape without pursuit.Ron Abney, a U.S. citizen, was among those seriously injured — prompting the FBI to send investigators to Cambodia.The FBI report was declassified in 2009.But no one was ever arrested.It wasn’t until 2021 that France issued arrest warrants for:• Hing Bun Hieng — Now Deputy Commander-in-Chief of the Armed Forces and head of Hun Sen’s family bodyguard unit• Huy Piseth — Secretary of State at the Ministry of Defense and Deputy Chief of Staff to Hun Manet, Hun Sen’s son→ The case was launched after a legal complaint by Sam Rainsy and his wife, both living in exile in France.The French court initially summoned Hun Sen himself — but the French government blocked the warrant, citing diplomatic immunity laws protecting heads of government.Brad Adams, a former U.N. human rights officer, recalled:“I arrived at the park about 10 minutes after the blast — bodies were everywhere.Soldiers interfered with rescue efforts.Police arrived later but just stood around.It was civilians who carried the injured to safety.”Hing Bun Hieng told RFA he will not appear in court or send a lawyer, saying:“Sam Rainsy has accused me for over 30 years with no real evidence.Are there any photos of me ordering the grenade attack?”In 2018, the U.S. government sanctioned Hing Bun Hieng over this attack and other incidents involving violence against unarmed civilians.Meanwhile, Huy Piseth admitted to the FBI that he had ordered the 70th Brigade to be deployed to the park on the day of the attack.⸻A massacre in broad daylight — and no one has been held accountable.The Hun Sen regime never investigated — only silenced.But the world has not forgotten — and the truth will not die.#CSI_LA #PhnomPenhMassacre1997 #FranceOpensTrial #HunSen #Impunity #Cambodia #GrenadeAttack #JusticeDelayed
    2 นายพล หน่วยอารักขา “ฮุน เซน” ถูกศาลฝรั่งเศสฟ้อง ฐานอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่กลางกรุงพนมเปญ12 มีนาคม 2568ศาลฝรั่งเศสเปิดคดี “ฆ่าหมู่ 1997” กลางกรุงพนมเปญ — 2 นายพลเขมร อดีตบอดี้การ์ดของ “ฮุน เซน” ถูกไต่สวน!ฆ่าหมู่กลางกรุงพนมเปญ 1997 — ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!30 มีนาคม 1997 — ผู้ประท้วงรวมตัวที่สวนสาธารณะฝั่งตรงข้ามรัฐสภากัมพูชา เพื่อเรียกร้องให้ยุติ “ตุลาการใต้ตีน” ของระบอบฮุน เซนจู่ ๆ เกิดระเบิดหลายลูกปะทุใส่ฝูงชนเสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 150 ราย — เลือดสาดทั่วสวนพยานหลายคนเล่าว่า “มือระเบิดวิ่งเข้าไปหาหน่วยอารักขาฮุน เซน” ที่ใส่ชุดปราบจลาจลครบมือ — แต่กลับปล่อยให้พวกเขาหลบหนี!รอน แอบนีย์ พลเมืองสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในผู้บาดเจ็บสาหัส ทำให้ FBI ส่งทีมสอบสวนทันทีรายงาน FBI ถูกเปิดเผยในปี 2009แต่…ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!จนกระทั่งปี 2021 ศาลฝรั่งเศสออกหมายจับ:• ฮิง บุน เหียง — รองผู้บัญชาการกองทัพ และหัวหน้าหน่วยอารักขาครอบครัวฮุน เซน• ฮุย พิเซธ — รัฐมนตรีช่วยกลาโหม และรองหัวหน้าคณะที่ปรึกษาของ “ฮุน มาเนต” ลูกชายฮุน เซนคดีนี้เริ่มจากคำร้องของ “แซม เรนซี” และภรรยาในฝรั่งเศสศาลฝรั่งเศสเคยออกหมายเรียกตัว “ฮุน เซน” ด้วยแต่รัฐบาลฝรั่งเศสกลับบล็อก โดยอ้างว่า “ผู้นำรัฐบาลมีเอกสิทธิ์คุ้มกันตามกฎหมาย”Brad Adams อดีตเจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนแห่ง UN เล่าว่า“ผมไปถึงสวนหลังเหตุระเบิดแค่ 10 นาที…ศพเกลื่อนพื้นทหารยังขัดขวางไม่ให้ช่วยคนเจ็บตำรวจมาถึงทีหลังก็ยืนดูเฉย ๆ…สุดท้าย คนธรรมดานั่นแหละที่ช่วยกันหามคนเจ็บ”ฮิง บุน เหียง ยืนยันกับ RFA ว่า “จะไม่ไปศาล และไม่ส่งทนาย”พร้อมท้าทายว่า: “ไม่มีรูปผมโยนระเบิด แล้วคุณจะจับผมได้ยังไง?”ปี 2018 สหรัฐฯ คว่ำบาตร “ฮิง บุน เหียง” จากเหตุการณ์นี้ รวมถึงอีกหลายคดีทำร้ายประชาชนมือเปล่าขณะที่ฮุย พิเซธ ยอมรับกับ FBI ว่าเขาคือคนสั่งส่งกำลังทหารจากกองพลที่ 70 มาล้อมสวนในวันเกิดเหตุ⸻ฆ่าหมู่ต่อหน้าประชาชน — แต่ไม่มีใครต้องรับผิดรัฐบาลฮุน เซนไม่เคยสอบสวนใคร — มีแต่ปิดปากแต่โลกไม่ลืม — และความจริงจะไม่ตาย#CSI_LA #ฆ่าหมู่1997 #ฝรั่งเศสลากขึ้นศาล #ฮุนเซน #หน่วยฆ่าประชาชน #CambodiaMassacre #GrenadeAttack2 Generals from Hun Sen’s Bodyguard Unit Indicted by French Court for Role in Phnom Penh MassacreMarch 12, 2025A French court has officially opened a case over the 1997 Phnom Penh massacre — putting two Cambodian generals, both former bodyguards of Hun Sen, on trial in absentia.Phnom Penh Massacre, 1997 — Not a Single Person Has Ever Been ArrestedMarch 30, 1997 — Protesters gathered at a park across from the Cambodian National Assembly to denounce Hun Sen’s authoritarian judiciary.Suddenly, several grenades were hurled into the crowd.At least 16 people were killed and more than 150 were injured — blood stained the ground.Eyewitnesses say the grenade-throwers ran toward Hun Sen’s fully equipped bodyguards, who allowed them to escape without pursuit.Ron Abney, a U.S. citizen, was among those seriously injured — prompting the FBI to send investigators to Cambodia.The FBI report was declassified in 2009.But no one was ever arrested.It wasn’t until 2021 that France issued arrest warrants for:• Hing Bun Hieng — Now Deputy Commander-in-Chief of the Armed Forces and head of Hun Sen’s family bodyguard unit• Huy Piseth — Secretary of State at the Ministry of Defense and Deputy Chief of Staff to Hun Manet, Hun Sen’s son→ The case was launched after a legal complaint by Sam Rainsy and his wife, both living in exile in France.The French court initially summoned Hun Sen himself — but the French government blocked the warrant, citing diplomatic immunity laws protecting heads of government.Brad Adams, a former U.N. human rights officer, recalled:“I arrived at the park about 10 minutes after the blast — bodies were everywhere.Soldiers interfered with rescue efforts.Police arrived later but just stood around.It was civilians who carried the injured to safety.”Hing Bun Hieng told RFA he will not appear in court or send a lawyer, saying:“Sam Rainsy has accused me for over 30 years with no real evidence.Are there any photos of me ordering the grenade attack?”In 2018, the U.S. government sanctioned Hing Bun Hieng over this attack and other incidents involving violence against unarmed civilians.Meanwhile, Huy Piseth admitted to the FBI that he had ordered the 70th Brigade to be deployed to the park on the day of the attack.⸻A massacre in broad daylight — and no one has been held accountable.The Hun Sen regime never investigated — only silenced.But the world has not forgotten — and the truth will not die.#CSI_LA #PhnomPenhMassacre1997 #FranceOpensTrial #HunSen #Impunity #Cambodia #GrenadeAttack #JusticeDelayed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 423 มุมมอง 0 รีวิว
  • (TOR) ปี 2546 ไทยยอมรับแผนที่ 1 : 200000 แล้วรัฐบาลไทยไปตกลงยินยอมตกลงตาม ใน JBC ครั้งล่าุด ตามข้อ (2) Approval of the Amendment of 2003 Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Thailand and Cambodia, (TOR 2003) to incorporate LiDAR technology into the Orthophoto Maps production step.

    แปล (2)การอนุมัติการแก้ไขขอบเขตงานและแผนแม่บทการสำรวจและกำหนดแนวเขตร่วมระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา พ.ศ. 2546 (TOR 2003) เพื่อรวมเทคโนโลยี LiDAR เข้าในขั้นตอนการผลิตแผนที่ออร์โธโฟโต หมายถึงจะกำหนดเขตแดนดาวเทียมให้เป็นกับแผนที่ 1 : 200000 ใช่หรือไม่


    15 มิถุนายน 2568 ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) เรื่องการกำหนดแนวเขตที่ดินและการวางหลักเขตชายแดน การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 14-15 มิถุนายน

    สื่อท้องถิ่นของกัมพูชา รายงานว่า ทั้งสองฝ่ายยังคงหารือกันต่อในระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) และเห็นพ้องที่จะอนุมัติวาระสำคัญ 4 ประเด็น ดังต่อไปนี้

    1. การอนุมัติบันทึกการประชุมคณะอนุกรรมการเทคนิคร่วมครั้งที่ 4 (JTSC) ที่จัดขึ้นที่เสียมเรียบ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

    2. การอนุมัติการแก้ไขขอบเขตงานและแผนแม่บทการสำรวจและกำหนดแนวเขตร่วมระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา พ.ศ. 2546 (TOR 2003) เพื่อรวมเทคโนโลยี LiDAR เข้าในขั้นตอนการผลิตแผนที่ออร์โธโฟโต

    3. การอนุมัติการจัดวางคณะสำรวจร่วมเพื่อดำเนินการตรวจสอบภาคสนามและกำหนดเขตแดน

    4. การหารือแนวทางการสำรวจในเขตพื้นที่ 6
    (TOR) ปี 2546 ไทยยอมรับแผนที่ 1 : 200000 แล้วรัฐบาลไทยไปตกลงยินยอมตกลงตาม ใน JBC ครั้งล่าุด ตามข้อ (2) Approval of the Amendment of 2003 Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Thailand and Cambodia, (TOR 2003) to incorporate LiDAR technology into the Orthophoto Maps production step. แปล (2)การอนุมัติการแก้ไขขอบเขตงานและแผนแม่บทการสำรวจและกำหนดแนวเขตร่วมระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา พ.ศ. 2546 (TOR 2003) เพื่อรวมเทคโนโลยี LiDAR เข้าในขั้นตอนการผลิตแผนที่ออร์โธโฟโต หมายถึงจะกำหนดเขตแดนดาวเทียมให้เป็นกับแผนที่ 1 : 200000 ใช่หรือไม่ 15 มิถุนายน 2568 ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) เรื่องการกำหนดแนวเขตที่ดินและการวางหลักเขตชายแดน การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 14-15 มิถุนายน สื่อท้องถิ่นของกัมพูชา รายงานว่า ทั้งสองฝ่ายยังคงหารือกันต่อในระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) และเห็นพ้องที่จะอนุมัติวาระสำคัญ 4 ประเด็น ดังต่อไปนี้ 1. การอนุมัติบันทึกการประชุมคณะอนุกรรมการเทคนิคร่วมครั้งที่ 4 (JTSC) ที่จัดขึ้นที่เสียมเรียบ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 2. การอนุมัติการแก้ไขขอบเขตงานและแผนแม่บทการสำรวจและกำหนดแนวเขตร่วมระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา พ.ศ. 2546 (TOR 2003) เพื่อรวมเทคโนโลยี LiDAR เข้าในขั้นตอนการผลิตแผนที่ออร์โธโฟโต 3. การอนุมัติการจัดวางคณะสำรวจร่วมเพื่อดำเนินการตรวจสอบภาคสนามและกำหนดเขตแดน 4. การหารือแนวทางการสำรวจในเขตพื้นที่ 6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • ห้องนอนแขก "บ้านฮุนเซน" ที่ปิดไว้ไม่ได้ใช้มีไว้สำหรับรองรับอดีตนายกเมืองไทยเท่านั้น

    กับ

    ห้องนั่งเล่นในบ้านมูลค่า 1.8 ล้าน usd (เกือบ 59 ล้านบาท) ในกรุงพนมเปญ

    ห้องนั่งเล่นบ้าน 60 ล้านยังเล็กกว่าห้องนอนแขกที่ปิดไว้ของบ้านฮุนเซน...

    คนกัมพูชาจะรู้สึกอะไรไหม?

    ‐-------‐-----------------------------

    ជាភាសากម្ពុជា៖
    បន្ទប់គេងភ្ញៀវ "ផ្ទះសម្តេចហ៊ុន សែន" ដែលបិទទុកមិនប្រើ គឺសម្រាប់តែទទួលអតីតនាយករដ្ឋមន្ត្រីថៃប៉ុណ្ណោះ។
    ជាមួយ៖
    បន្ទប់ទទួលភ្ញៀវក្នុងផ្ទះតម្លៃ ១,៨ លានដុល្លារ (ជិត ៥៩ លានបាត) នៅទីក្រុងភ្នំពេញ។
    បន្ទប់ទទួលភ្ញៀវផ្ទះ ៦០ លានបាត នៅតែតូចជាងបន្ទប់គេងភ្ញៀវដែលបិទទុករបស់ផ្ទះសម្តេចហ៊ុន សែន...
    តើប្រជាជនកម្ពុជានឹងមានអារម្មណ៍យ៉ាងណាដែរ?
    ห้องนอนแขก "บ้านฮุนเซน" ที่ปิดไว้ไม่ได้ใช้มีไว้สำหรับรองรับอดีตนายกเมืองไทยเท่านั้น กับ ห้องนั่งเล่นในบ้านมูลค่า 1.8 ล้าน usd (เกือบ 59 ล้านบาท) ในกรุงพนมเปญ ห้องนั่งเล่นบ้าน 60 ล้านยังเล็กกว่าห้องนอนแขกที่ปิดไว้ของบ้านฮุนเซน... คนกัมพูชาจะรู้สึกอะไรไหม? ‐-------‐----------------------------- ជាភាសากម្ពុជា៖ បន្ទប់គេងភ្ញៀវ "ផ្ទះសម្តេចហ៊ុន សែន" ដែលបិទទុកមិនប្រើ គឺសម្រាប់តែទទួលអតីតនាយករដ្ឋមន្ត្រីថៃប៉ុណ្ណោះ។ ជាមួយ៖ បន្ទប់ទទួលភ្ញៀវក្នុងផ្ទះតម្លៃ ១,៨ លានដុល្លារ (ជិត ៥៩ លានបាត) នៅទីក្រុងភ្នំពេញ។ បន្ទប់ទទួលភ្ញៀវផ្ទះ ៦០ លានបាត នៅតែតូចជាងបន្ទប់គេងភ្ញៀវដែលបិទទុករបស់ផ្ទះសម្តេចហ៊ុន សែន... តើប្រជាជនកម្ពុជានឹងមានអារម្មណ៍យ៉ាងណាដែរ?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักข่าว Al Jazeera แฉคลิปเสียงหลุด!ฮุนเซน สั่ง “นายฮวด” ไล่ล่าคนเห็นต่างในไทย — ไม่สนว่าจับได้จะ “เป็นหรือตาย”!นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาภายในกัมพูชา —แต่คือคำสั่งจากผู้นำต่างชาติ ที่ล้ำเส้นเข้ามายัง “แผ่นดินไทย”!ในคลิปเสียงดังกล่าว ฮุนเซนได้สั่งตรงถึง “นายเคลียง ฮวด”ให้ดำเนินการ “ตามล่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์ตน แม้จะอยู่ในประเทศไทย”พร้อมกำชับชัดเจนว่า“ไม่ต้องสนใจว่าจับมาได้จะ ‘เป็นหรือตาย’”การลอบสังหารนักการเมืองระดับสูงในกัมพูชา ในปี 2016 นายเขม ไลย์ นักวิจารณ์การเมืองซึ่งเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์ฮุน เซน ชื่อดัง ถูกยิงเสียชีวิตในกรุงพนมเปญ และในปี 2012 นายจุ๊ต วุตติ นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมก็ถูกสังหารด้วยเช่นกันล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ กรณีสังหารนายลิม กิมยา อดีตสมาชิกรัฐสภาวัย 73 ปี ของพรรคแกนนำฝ่ายค้านของกัมพูชาที่ชื่อว่าพรรคกู้ชาติกัมพูชา หรือ ซีเอ็นอาร์พี (Cambodia National Rescue Party - CNRP) ซึ่งพรรคนี้ถูกแบนไปเมื่อปี 2017 จากรายงานของตำรวจไทย เขาถูกยิงด้วยกระสุน 2 นัดบริเวณหน้าอก ทั้งที่เพิ่งเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ด้วยรถบัสจากกัมพูชา พร้อมกับภรรยาที่บริเวณหน้าวัดบวรนิเวศ บางลำพู เขตพระนคร กรุงเทพนายเอกลักษณ์ แพน้อย ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงนายลิม กิมยา อดีต สส. ฝ่ายค้านกัมพูชา ถูกจับตัวได้ที่ จ.พระตะบอง ประเทศกัมพูชา หลังหลบหนีออกจากไทย และถูกส่งตัวกลับมาดำเนินคดีที่ไทยแล้วเมื่อวันที่ 11 ม.ค.2568ที่ผ่านมาแล้วเรื่องก็เงียบhttps://youtu.be/FR39vs42N9I
    สำนักข่าว Al Jazeera แฉคลิปเสียงหลุด!ฮุนเซน สั่ง “นายฮวด” ไล่ล่าคนเห็นต่างในไทย — ไม่สนว่าจับได้จะ “เป็นหรือตาย”!นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาภายในกัมพูชา —แต่คือคำสั่งจากผู้นำต่างชาติ ที่ล้ำเส้นเข้ามายัง “แผ่นดินไทย”!ในคลิปเสียงดังกล่าว ฮุนเซนได้สั่งตรงถึง “นายเคลียง ฮวด”ให้ดำเนินการ “ตามล่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์ตน แม้จะอยู่ในประเทศไทย”พร้อมกำชับชัดเจนว่า“ไม่ต้องสนใจว่าจับมาได้จะ ‘เป็นหรือตาย’”การลอบสังหารนักการเมืองระดับสูงในกัมพูชา ในปี 2016 นายเขม ไลย์ นักวิจารณ์การเมืองซึ่งเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์ฮุน เซน ชื่อดัง ถูกยิงเสียชีวิตในกรุงพนมเปญ และในปี 2012 นายจุ๊ต วุตติ นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมก็ถูกสังหารด้วยเช่นกันล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ กรณีสังหารนายลิม กิมยา อดีตสมาชิกรัฐสภาวัย 73 ปี ของพรรคแกนนำฝ่ายค้านของกัมพูชาที่ชื่อว่าพรรคกู้ชาติกัมพูชา หรือ ซีเอ็นอาร์พี (Cambodia National Rescue Party - CNRP) ซึ่งพรรคนี้ถูกแบนไปเมื่อปี 2017 จากรายงานของตำรวจไทย เขาถูกยิงด้วยกระสุน 2 นัดบริเวณหน้าอก ทั้งที่เพิ่งเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ด้วยรถบัสจากกัมพูชา พร้อมกับภรรยาที่บริเวณหน้าวัดบวรนิเวศ บางลำพู เขตพระนคร กรุงเทพนายเอกลักษณ์ แพน้อย ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงนายลิม กิมยา อดีต สส. ฝ่ายค้านกัมพูชา ถูกจับตัวได้ที่ จ.พระตะบอง ประเทศกัมพูชา หลังหลบหนีออกจากไทย และถูกส่งตัวกลับมาดำเนินคดีที่ไทยแล้วเมื่อวันที่ 11 ม.ค.2568ที่ผ่านมาแล้วเรื่องก็เงียบhttps://youtu.be/FR39vs42N9I
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร และสมเด็จ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เป็นประเด็นร้อนแรงถึงเนื้อหาและความเหมาะสมนั้น วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการสื่อสารนี้ นั่นคือ "ล่ามปริศนา" ที่ทำหน้าที่แปลภาษาไทย-เขมร และเขมร-ไทย ให้ผู้นำทั้งสองเข้าใจกันได้อย่างลึกซึ้ง“พี่ฮวด” เขาคือใคร?จากการตรวจสอบของ "เนชั่นทีวี" ล่ามผู้นี้คือ นาย เคลียง ฮวด หรือที่คนใกล้ชิดในตระกูลชินวัตรเรียกขานอย่างสนิทสนมว่า "ผอ.ฮวด" หรือ "พี่ฮวด" ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีตำแหน่งปัจจุบันของเขาไม่ใช่ธรรมดา เพราะเป็นถึงนายกเทศมนตรีของเขตจรอย จองวา และรองผู้ว่าราชการกรุงพนมเปญ นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ช่วยคนสนิทของสมเด็จ ฮุน เซน ตั้งแต่สมัยที่ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาแหล่งข่าวจากอดีตคนใกล้ชิดของตระกูลชินวัตรเล่าว่า "พี่ฮวด" ถือเป็นเหมือนเลขาฯ ส่วนตัวและผู้ช่วยใกล้ชิดของสมเด็จ ฮุน เซน มานานแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย เนื่องจากเขาสามารถพูดและฟังภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่วมาก ทำให้เขารับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานหลักระหว่างฮุน เซน และฝ่ายไทยมาโดยตลอด"พี่ฮวด" ไม่เพียงแค่สนิทสนมกับสมเด็จ ฮุน เซน เท่านั้น แต่เขายังรู้จักและสนิทกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นอย่างดี เคยให้ความช่วยเหลืออดีตนายกฯ ทักษิณ ในช่วงที่หลบหนีคดีในต่างประเทศ คอยประสานงานต่างๆ ให้อย่างใกล้ชิด และรับบทบาทเป็นล่ามให้ทั้งสองฝ่าย คือทั้งของสมเด็จ ฮุน เซน และของตระกูลชินวัตรแสดงให้เห็นว่า "พี่ฮวด" หรือ "ผอ.ฮวด" เป็นบุคคลที่สมเด็จ ฮุน เซน ไว้วางใจอย่างมาก มักจะปรึกษาหารือและสอบถามในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับประเทศไทย
    จากกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร และสมเด็จ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เป็นประเด็นร้อนแรงถึงเนื้อหาและความเหมาะสมนั้น วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการสื่อสารนี้ นั่นคือ "ล่ามปริศนา" ที่ทำหน้าที่แปลภาษาไทย-เขมร และเขมร-ไทย ให้ผู้นำทั้งสองเข้าใจกันได้อย่างลึกซึ้ง“พี่ฮวด” เขาคือใคร?จากการตรวจสอบของ "เนชั่นทีวี" ล่ามผู้นี้คือ นาย เคลียง ฮวด หรือที่คนใกล้ชิดในตระกูลชินวัตรเรียกขานอย่างสนิทสนมว่า "ผอ.ฮวด" หรือ "พี่ฮวด" ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีตำแหน่งปัจจุบันของเขาไม่ใช่ธรรมดา เพราะเป็นถึงนายกเทศมนตรีของเขตจรอย จองวา และรองผู้ว่าราชการกรุงพนมเปญ นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ช่วยคนสนิทของสมเด็จ ฮุน เซน ตั้งแต่สมัยที่ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาแหล่งข่าวจากอดีตคนใกล้ชิดของตระกูลชินวัตรเล่าว่า "พี่ฮวด" ถือเป็นเหมือนเลขาฯ ส่วนตัวและผู้ช่วยใกล้ชิดของสมเด็จ ฮุน เซน มานานแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย เนื่องจากเขาสามารถพูดและฟังภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่วมาก ทำให้เขารับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานหลักระหว่างฮุน เซน และฝ่ายไทยมาโดยตลอด"พี่ฮวด" ไม่เพียงแค่สนิทสนมกับสมเด็จ ฮุน เซน เท่านั้น แต่เขายังรู้จักและสนิทกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นอย่างดี เคยให้ความช่วยเหลืออดีตนายกฯ ทักษิณ ในช่วงที่หลบหนีคดีในต่างประเทศ คอยประสานงานต่างๆ ให้อย่างใกล้ชิด และรับบทบาทเป็นล่ามให้ทั้งสองฝ่าย คือทั้งของสมเด็จ ฮุน เซน และของตระกูลชินวัตรแสดงให้เห็นว่า "พี่ฮวด" หรือ "ผอ.ฮวด" เป็นบุคคลที่สมเด็จ ฮุน เซน ไว้วางใจอย่างมาก มักจะปรึกษาหารือและสอบถามในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับประเทศไทย
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ ฮุน มานี น้องชายฮุน มาเนต ปลุกม็อบ
    เดินขบวนกลางกรุงพนมเปญ
    หวังยกระดับกระแสต่อต้านไทยเรื่องชายแดน เข้าเค้าอดีตที่เคยปลุกม็อบเผาทำลายสถานทูตและธุรกิจไทยในกัมพูชา
    #7ดอกจิก
    ♣ ฮุน มานี น้องชายฮุน มาเนต ปลุกม็อบ เดินขบวนกลางกรุงพนมเปญ หวังยกระดับกระแสต่อต้านไทยเรื่องชายแดน เข้าเค้าอดีตที่เคยปลุกม็อบเผาทำลายสถานทูตและธุรกิจไทยในกัมพูชา #7ดอกจิก
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## เขมรเดินเกมยึดแผ่นดินไทย ขณะที่ ในประเทศไทยอาจมีไส้ศึก...!!! ##
    ..
    ..
    จากการประมวลข้อมูลทั้งหมด สรุปได้ดังนี้...
    .
    ประเทศไทยยึดถือแค่ แผ่นที่ 1:50,000 ซึ่งละเอียดและแม่นยำกว่ามาก...
    .
    ประเทศไทย ไม่เคยยอมรับแผนที่ 1:200,000 ซึ่ง หยาบ มีความคาดเคลื่อนอย่างน้อย 200 เมตร ทำให้เกิดความขัดแย้ง และ เขมร ลุกล้ำดนแดนไทยตลอด 25 ปีที่ผ่านมา
    .
    เมื่อครั้งที่เสียตัวปราสาทพระวิหารด้วยกฎหมายปิดปาก บนศาลโล และ ครั้งที่เสียพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร ก็เพราะแผนที่ 1:200,000 ที่ฝรั่งเศส จัดทำไว้แต่ฝ่ายเดียว และ วางยาประเทศไทยไว้...!!!
    .
    MOU43-MOU44 ระบุว่าจะปักปันเขตแดนตามแผนที่ 1:200,000 ทั้งๆที่ การปักปันจริงๆ เสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่สมัยรัชการลที่ 5 ด้วยสนธิสัญญา สยาม-ฝรั่งเศส 1904-1907 คือแผนที่ 1:500,000 นั่นเอง (บางส่วนไม่ต้องปักหมุด เพราะสภาพพื้นที่สันปันน้ำมันชัด เป็นขอบหน้าผาชัดเจน)
    .
    เพียงแต่ บางส่วนปัจจุบัน หลักหมุดมันหายไป ให้ทำให้สมบูรณ์เท่านั้น และ ปัจจุบัน เทคโนโลยีดาวเทียมมันละเอียดมาก ทำได้ง่ายๆอยู่แล้ว
    ....
    ....
    ในรายการ News Hour มี การแฉ แชทกลุ่ม ของ กระทรวงการต่างประเทศ ว่า...
    .
    นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) พิมพ์ในไลน์กลุ่มประมาณว่า จะยึดถือแผนที่ 1:200,000 เพราะประเทศไทยจะได้เปรียบ และ ศาลโลกตัดสินแล้ว มีผูกพันธ์ทางกฎหมาย
    .
    คำว่า "ศาลโลกตัดสินแล้ว มีผลผูกพันธ์ทางกฎหมาย" คำๆนี้ ผิดเต็มๆครับ
    .
    ต้องบอกก่อนเลยว่า ประเทศไทยไม่ได้รับอำนาจศาลโลก โดยประเทศไทย ได้เคยสงวนสิทธิ์ที่จะทวงคืนตัวปราสาทพระวิหารในอนาคตไว้แล้วด้วย
    .
    และ ที่สำคัญ ศาลโลกไม่ได้ ตัดสินในเรื่องของแผนที่และเขตแดน (เขมร ขอ แต่ศาลไม่ได้ตัดสิน บอกให้พวกคุณไปคุยกันเอาเอง)
    .
    แต่ ศาลตัดสินเรื่องตัวปราสาทพระวิหาร และ ตีความเพิ่มเรื่อง พื้นที่โดยรอบตัวปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร เพราะ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศรายนึง ไปยอมให้ เขมร ขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียว
    .
    ดังนั้น เมื่อเราไม่ได้เป็นสมาชิกศาลโลกแล้ว ไม่ว่าศาลโลก จะพูด จะพ่น จะถ่มถุยอะไร ออกมา สิ่งนั้น ไม่มีผลผูกพันธ์ทางกฎหมายต่อประเทศไทย
    .
    และ ในรายการ News Hour มีกาาแฉต่อว่า นาย ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ คนนี้...!!!
    .
    คือคนที่ ไปชี้หน้าด่า นาย วีระ สมความคิด ว่าเป็นตวปัญหา และ บีบให้คนไทย 7 คน รวมทั้ง นาย วีระ สมความคิด ให้ยอมรับ และ เซ็นในเอกสาร ว่า นาย วีระ สมความคิด และ พวก รุกล้ำพื้นที่ แผ่นดินเขมร ทั้งๆที่ นาย วีระ สมความคิด และ พวก ถูกจับในผืนแผ่นดินไทย...!!!
    .
    ดังนั้นจึงชี้ให้เห็นพฤติการณ์ที่ นาย ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย มีแนวควมคิดที่ ยอมรับพื้นที่เขมร แต่ไม่ยอมรับพื้นที่ประเทศไทย และ มีแนวคิด ยอมรับแผนที่ 1:200,000 ด้วย...!!!
    .
    ดังนั้น...
    .
    ถ้า Chat นี้เป็นของจริง นี่เท่ากับว่า เราเจอ ขบวนการขายชาติของแท้ แล้วใช่หรือไม่...???
    ...
    ...
    เท่าที่ทั้งฟังทั้งอ่านมา ผมยังไม่เคยเห็นผู้รู้ท่านไหนเคยพูดซักครั้งเดียวว่า แผนที่ 1:200,000 ทำให้ประเทสไทยได้เปรียบ
    ....
    ....
    ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 โทษประหารชีวิต เพราะทำใหสูญเสียดินแดน สมควรนำออกมาใช้แล้วหรือไม่ ในยามนี้...???
    .
    https://youtu.be/cSyAF_g4BiQ?si=ppZ15Ve6ZYuigbAC
    ## เขมรเดินเกมยึดแผ่นดินไทย ขณะที่ ในประเทศไทยอาจมีไส้ศึก...!!! ## .. .. จากการประมวลข้อมูลทั้งหมด สรุปได้ดังนี้... . ประเทศไทยยึดถือแค่ แผ่นที่ 1:50,000 ซึ่งละเอียดและแม่นยำกว่ามาก... . ประเทศไทย ไม่เคยยอมรับแผนที่ 1:200,000 ซึ่ง หยาบ มีความคาดเคลื่อนอย่างน้อย 200 เมตร ทำให้เกิดความขัดแย้ง และ เขมร ลุกล้ำดนแดนไทยตลอด 25 ปีที่ผ่านมา . เมื่อครั้งที่เสียตัวปราสาทพระวิหารด้วยกฎหมายปิดปาก บนศาลโล และ ครั้งที่เสียพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร ก็เพราะแผนที่ 1:200,000 ที่ฝรั่งเศส จัดทำไว้แต่ฝ่ายเดียว และ วางยาประเทศไทยไว้...!!! . MOU43-MOU44 ระบุว่าจะปักปันเขตแดนตามแผนที่ 1:200,000 ทั้งๆที่ การปักปันจริงๆ เสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่สมัยรัชการลที่ 5 ด้วยสนธิสัญญา สยาม-ฝรั่งเศส 1904-1907 คือแผนที่ 1:500,000 นั่นเอง (บางส่วนไม่ต้องปักหมุด เพราะสภาพพื้นที่สันปันน้ำมันชัด เป็นขอบหน้าผาชัดเจน) . เพียงแต่ บางส่วนปัจจุบัน หลักหมุดมันหายไป ให้ทำให้สมบูรณ์เท่านั้น และ ปัจจุบัน เทคโนโลยีดาวเทียมมันละเอียดมาก ทำได้ง่ายๆอยู่แล้ว .... .... ในรายการ News Hour มี การแฉ แชทกลุ่ม ของ กระทรวงการต่างประเทศ ว่า... . นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) พิมพ์ในไลน์กลุ่มประมาณว่า จะยึดถือแผนที่ 1:200,000 เพราะประเทศไทยจะได้เปรียบ และ ศาลโลกตัดสินแล้ว มีผูกพันธ์ทางกฎหมาย . คำว่า "ศาลโลกตัดสินแล้ว มีผลผูกพันธ์ทางกฎหมาย" คำๆนี้ ผิดเต็มๆครับ . ต้องบอกก่อนเลยว่า ประเทศไทยไม่ได้รับอำนาจศาลโลก โดยประเทศไทย ได้เคยสงวนสิทธิ์ที่จะทวงคืนตัวปราสาทพระวิหารในอนาคตไว้แล้วด้วย . และ ที่สำคัญ ศาลโลกไม่ได้ ตัดสินในเรื่องของแผนที่และเขตแดน (เขมร ขอ แต่ศาลไม่ได้ตัดสิน บอกให้พวกคุณไปคุยกันเอาเอง) . แต่ ศาลตัดสินเรื่องตัวปราสาทพระวิหาร และ ตีความเพิ่มเรื่อง พื้นที่โดยรอบตัวปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร เพราะ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศรายนึง ไปยอมให้ เขมร ขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียว . ดังนั้น เมื่อเราไม่ได้เป็นสมาชิกศาลโลกแล้ว ไม่ว่าศาลโลก จะพูด จะพ่น จะถ่มถุยอะไร ออกมา สิ่งนั้น ไม่มีผลผูกพันธ์ทางกฎหมายต่อประเทศไทย . และ ในรายการ News Hour มีกาาแฉต่อว่า นาย ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ คนนี้...!!! . คือคนที่ ไปชี้หน้าด่า นาย วีระ สมความคิด ว่าเป็นตวปัญหา และ บีบให้คนไทย 7 คน รวมทั้ง นาย วีระ สมความคิด ให้ยอมรับ และ เซ็นในเอกสาร ว่า นาย วีระ สมความคิด และ พวก รุกล้ำพื้นที่ แผ่นดินเขมร ทั้งๆที่ นาย วีระ สมความคิด และ พวก ถูกจับในผืนแผ่นดินไทย...!!! . ดังนั้นจึงชี้ให้เห็นพฤติการณ์ที่ นาย ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย มีแนวควมคิดที่ ยอมรับพื้นที่เขมร แต่ไม่ยอมรับพื้นที่ประเทศไทย และ มีแนวคิด ยอมรับแผนที่ 1:200,000 ด้วย...!!! . ดังนั้น... . ถ้า Chat นี้เป็นของจริง นี่เท่ากับว่า เราเจอ ขบวนการขายชาติของแท้ แล้วใช่หรือไม่...??? ... ... เท่าที่ทั้งฟังทั้งอ่านมา ผมยังไม่เคยเห็นผู้รู้ท่านไหนเคยพูดซักครั้งเดียวว่า แผนที่ 1:200,000 ทำให้ประเทสไทยได้เปรียบ .... .... ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 โทษประหารชีวิต เพราะทำใหสูญเสียดินแดน สมควรนำออกมาใช้แล้วหรือไม่ ในยามนี้...??? . https://youtu.be/cSyAF_g4BiQ?si=ppZ15Ve6ZYuigbAC
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฝีเริ่มแตก ขบวนการขายชาติมานาน จะเริ่มผุดออกมาจากน้ำหนอง และไม่เกินความคาดหมายว่า การประชุม JBC ก็เป็นแค่ละคร ยื้อเวลาของสองตระกูล ที่กำลังเดินหมากมาถึงทางตัน

    ไทยไม่เคยรับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2503
    ไทยไม่เคยรับแผนที่ ที่มาตราส่วน1:200,000 ของเขมร

    แต่ตระกูลชิน ที่ไม่ใช่คนรักชาติและกลุ่มขบวนการขายชาติ ยอมรับทั้งอำนาจศาลโลกและแอบลงนาม MOU ยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ของเขมร จนทำให้ไทยต้องเสียตัวปราสาทเขาพระวิหาร ให้กับเขมร และทำให้นาย วีระ สมความคิด ต้องติดคุกในเขมร และพรรคประชาธิปัตย์ ที่นำโดยนาย อภิสิทธิ์ ต้องยอมทำตามเงื่อนไขของเขมร แค่เพื่อช่วยเหลือ สส.ตนเองไม่ให้ติดคุกที่เขมร ทำให้คนไทยเจ็บปวดใจกันทั้งประเทศ ยกเว้นแค่พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง ที่ดีใจที่เห็นไทยเสียตัวปราสาทเขาพระวิหารให้กับเขมร

    ขบวนการขายชาติ มีทั้งอดีตนักการฑูตไทย ที่ประจำอยู่ประเทศเขมร และนักการฑูตในปัจจุบัน รวมไปถึง รัฐมนตรี เจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง อัยการ ศาลและกลุ่มนายทุนเจ้าสัวเชื้อจีน ที่ขายชาติ ที่ทำงานรับใช้สองตระกูลชินกับตระกูลฮุนมานาน

    การแอบใช้เล่ห์เหลี่ยม หลอกคนไทยว่า หากเราลงนาม MOUกับเขมรและยอมรับแผนที่ของเขมรที่เขียนขึ้นมาเอง ที่อัตราส่วน 1:200,000 ไทยจะได้ประโยชน์ จากพื้นที่เขมรเพิ่มขึ้นถึง 100ตารางวา
    แต่ในความเป็นจริงคนพวกนี้ วางแผนให้เขมรได้พื้นที่ประเทศไทยทั้งแนวตะเข็บชายแดน รวมกันมากถึงกว่า 2 ล้านไร่ หากไทยยอมรับแผนที่ของเขมร ที่เขียนขึ้นมาเอง แต่พรรคเพื่อไทยและตระกูลชิน ยอมรับเงื่อนไขของเขมรทั้งหมด เพราะเป็นญาติกัน

    การประชุม JBC ให้ยืดเยื้อออกไปเรื่อยๆ ก็แค่เล่นละครปาหี่ เพื่อประวิงเวลาหาทางส่งทักษิณ หนีออกนอกประเทศไปทางเขมรให้ได้เท่านั้น ในขณะที่ลิ่วล้อของทักษิณ ที่มีทั้งรัฐมนตรีและข้าราชการขายชาติ อัยการและศาล บางกลุ่มบางตัว ในประเทศไทย ก็พยายามดิ้นรน หาวิธีช่วยเหลือทักษิณ จนสุดความสามารถ แต่ดูเหมือนว่า เกมนี้จะมีคนมองออกกันหมด และถึงเวลาที่จะจัดการสองตระกูลนี้ให้สาสม ที่บังอาจทำตัวขายชาติ จนไทยต้องเสียตัวปราสาทเขาพระวิหารให้กับเขมร

    ***รอยแค้นนี้ฝังใจลึกมาช้านาน และใกล้จะถึงเวลากวาดล้างสองตระกูลนี้ให้สิ้นซากลง แบบหมดจรดและถาวร***

    ปัญหาของตระกูลชิน คือ ทักษิณ ต้องติดคุก และ ปปช.ชี้มูลความผิดต่อแพทองธาร ในคดีดิจิตอล วอลเล็ต ที่มีความผิดชัดเจน ที่เอาเงินภาษีรัฐไปแจก และทุจริตในเชิงนโยบาย ใช้เงินภาษีแผ่นดินไปแจกหาเสียงให้พรรคตนเอง และมีเจตนาทำผิดต่อเสถียรภาพทางการเงินและการคลัง

    ประเด็นมีสองทางคือ พ่อติดคุกและตามมาด้วยลูกสาวก็ต้องติดคุกตามพ่อ

    หรือ ต้องหนีออกนอกประเทศ ทั้งพ่อและลูกสาว และยอมให้รัฐบาลใหม่ ยึดทรัพย์ทั้งหมดของตระกูล ไปเป็นสมบัติของชาติ และตามไล่เช็ดปัดกวาด ลิ่วล้อลูกกระจ๊อก พวกกลุ่มขบวนการขายชาติ ให้หมดเกลี้ยง

    นี่คือทางตันของตระกูลชิน ที่กำลังเดินทางมาถึงปากเหว แม้จะพยายามสร้างภาพว่าตระกูลของตน ยังคงมีอำนาจทางการเมืองอยู่ก็ตาม ด้วยการสร้างภาพว่า กำลังปรับ ครม.อยู่ในตอนนี้ และพรรคเพื่อไทยยังมีอิทธิพลทางการเมืองอยู่ แต่เกมนี้ก็เป็นได้แค่เพียงฉากละครสั้นๆ ที่อีกไม่นาน ละครทั้งหมดก็ต้องถึงตอนจบในอีกไม่นาน อนุทิน จะเล่นเกมไปเป็นฝ่ายค้าน หากพรรคเพื่อไทย บีบจะเอากระทรวงมหาดไทยให้ได้ และบีบให้พรรคเพื่อไทยไปจับมือกับพรรคสีส้มแทน เพื่อขึ้นมาเป็นรัฐบาล และนั่นคือระเบิดเวลา ที่จะใช้โอกาสทำลายทั้งสองพรรคในคราเดียวกัน

    พรรคสีส้มเมื่อรวมกับพรรคเพื่อไทย จัดตั้งรัฐบาล พรรคสีส้มจะกลายเป็นสัญลักษณ์พรรคขายชาติในทันทีในสายตาของประชาชน และผลงานสุดห่วยแตกของพรรคเพื่อไทย กำลังดิ่งลงเหวอย่างหนัก หากพรรคไหนยังอยากจับมือกับพรรคนี้ โอกาสสูญพันธุ์ทางการเมืองมีสูงมาก

    และพรรคเพื่อไทยก็รู้ดีว่า หากเพื่อไทยรวมกับพรรคสีส้มเมื่อไหร่ และพรรคสีส้มก็รู้ดีไม่แพ้กันว่า****โอกาสสูงมาก หากสองพรรคนี้มารวมตัวกัน การปฏิวัติรัฐประหารจะเกิดขึ้นสูงมาก***

    นี่คือเกมที่พรรคเพื่อไทยกำลังถูกบีบ ให้กลายเป็นผีสัมภเวสีทางการเมือง ในขณะที่ภาคประชาชนและกองทัพ ก็กำลังเพ่งเล็ง ถึงพฤติกรรมของแพทองธารกับนายภูมิธรรม ต่อเจตนาและมีพฤติกรรมขายชาติและเอื้อผลประโยชน์ให้กับเขมร และกำลังเดินมาจนมุม เมื่อตระกูลฮุน ญาติฝั่งเขมร ก็กำลังจะพังพินาสทั้งตระกูลเช่นกัน

    และก็เป็นความจริงตามที่คาดการณ์เอาไว้ เขมรกำลังเผชิญน้ำท่วมอย่างหนักในหลายพื้นที่ จากปรากฏการณ์ Red Rain เข้าถล่มในหลายเมือง ทำให้อาวุธของเขมรจำนวนมาก ไปติดหล่มเคลื่อนที่ไม่ได้ กองทิ้งเป็นภูเขา แถมยังเกิดตึกถล่มอีก ไฟฟ้าเริ่มติดๆขัดๆ อินเตอร์เนตก็เริ่มใช้ไม่ได้ ผู้คนและกองทัพเขมรเริ่มขาดแคลนอาหารอย่างหนัก โรคมาลาเลียและไข้เลือดออก กำลังแพร่กระจายอย่างหนักกับทหารเขมรที่อยู่แนวหน้า บ่อนคาสิโนเริ่มร้าง
    คนเขมรไม่สามารถออกมาล่าสัตว์ป่าและอาหารป่าที่จะนำไปขายได้ในฝั่งไทย ผู้คนขาดเงินอย่างหนักที่จะเดินทางไปรักษาโรคได้ สะเบียงอาหารในประเทศก็เริ่มหร่อยหรอลง

    ล่าสุดฮุนมาเนต ก็โดนประธาน EU เรียกมาด่าและตำหนิอย่างรุนแรงว่า ชอบนำภาพที่ถ่ายคู่ผู้นำไปลงfacebook แล้วสร้างภาพเท็จและหลอกลวงคนเขมร และผู้นำฝรั่งเศส ก็ไม่เคยรับรู้แผนที่กระโปกของเขมร ที่อ้างเอาชื่อฝรั่งเศส มาเขียนแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 กับไทย แล้วบอกว่าฝรั่งเศสเป็นคนเขียเอง ซึ่งไม่เป็นความจริงสักอย่าง แถมเมื่อสืบสาวไปเรื่อยๆ ผู้นำฝรั่งเศสเอง เป็นผู้เตือนฮุนมาเนตอย่างแรง ที่เมืองนีซ ว่า ระวังจะเสียตัวปราสาทเขาพระวิหารคืนให้กับประเทศไทยนะ เพราะไทยมีลายลักษณ์อักษร ในสัญญาแบ่งเขตแดนมาตั้งแต่สมัยยุคของ ร.5 แล้ว มีเสาแบ่งเขตแดนชัดเจนร่วมกัน และฝรั่งเศสก็จะไม่ยอมรับพื้นที่อัตราส่วน 1:200,000 ของเขมรที่เขียนขึ้นมาเองด้วย

    ในขณะที่ประธาน UN ก็ออกมาซ้ำเติมตระกูลฮุนว่า เป็นเผด็จการทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุดในภูมิภาคอาเซี่ยน เป็นตระกูลที่ผูกขาดอำนาจมานาน ใส่ร้ายและคอยทำร้ายฝ่ายค้าน เพื่ออำนาจของตระกูลตนเอง และถูก UN งดความช่วยเหลือเขมรในทุกด้านด้วย ซวยซ้ำซวยซ้อน

    ตระกูลฮุน กำลังทำให้บ้านเมืองตนเอง กำลังจะล่มจม หวังพึ่งมหาอำนาจก็ไม่มีใครสนใจสักประเทศ

    ผู้นำจีน แสดงความชัดเจน ไม่เข้าร่วมซ้อมรบทางทะเลกับเขมร เพราะรู้ไส้รู้พุงเขมรแล้ว ว่า ตระกูลฮุน ต้องเอาชื่อเสียงของจีน มาสร้างภาพให้เกิดความขัดแย้งกับไทย เลยสั่งสอนตบกะบาลตระกูลฮุน ด้วยการประกาศจะเข้าร่วมฝึกซ้อมเครื่องบินรบกับไทยในทันที

    และตามมาด้วยผู้นำอินโดนีเซีย ประกาศมีแผนจะเข้าร่วมซ้อมรบกับกองทัพไทยในอีกไม่นาน

    แต่ช้ากว่าผู้นำมาเลเซีย ที่ออกมาประกาศชัดเจนว่า จะขอเข้ามาทำการซ้อมรบทางทะเลกับกองทัพเรือไทย แถมใจดีเปิดด่านถาวรให้ไทย จากปัญหาเรื่องยาเสพติดที่มาเลเซียสั่งปิดด่านมานาน และยังขยายความร่วมมือทางการแพทย์ตามแนวชายแดนร่วมกันด้วย

    และในอีกไม่นาน การฝึกรบร่วมกันของกลุ่มประเทศอาเซี่ยน ที่จัดขึ้นในประเทศไทย ที่ไม่มีเขมร ก็กำลังจะเกิดขึ้นตามมา

    แถมยังมีข่าวดีว่า รัสเซีย พร้อมจะส่งขีปนาวุธวิสัยไกล มาให้ไทยใช้ทดสอบแข่งกับอาวุธของค่ายตะวันตก ลองยิงไปสัก3-4 ลูก ลงไปที่กรุงพนมเปญ คงจะดีนะ

    และมีข่าวแว่วๆ ที่จะเป็นจริงว่า สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ อาจเลือกกองทัพไทยเข้าฝึกซ้อมรบพิเศษร่วมกัน เหมือนจะวางรากฐานสร้างกลุ่ม NATO ในเขตภูมิถาคเอเซียในอนาคต

    ทะเลาะกับเขมรในช่วงนี้ มีแต่เรื่องดี้ดี เพราะมหาอำนาจโลกและกลุ่มประเทศของเอเซียและในอาเซี่ยน ยอมรับแสนยานุภาพทางทหารไทยกันหมดแล้ว

    ดูไปดูมา ไม่ได้มีแค่ไทย แต่เหมือนทั้งโลก กำลังช่วยกัน ถล่มซ้ำสองตระกูลนี้ ให้จมธรณีตายไปเลย
    ว่าไหม.

    CR. เดชา นฤนารท.
    15/6/68 10.32 น.
    ฝีเริ่มแตก ขบวนการขายชาติมานาน จะเริ่มผุดออกมาจากน้ำหนอง และไม่เกินความคาดหมายว่า การประชุม JBC ก็เป็นแค่ละคร ยื้อเวลาของสองตระกูล ที่กำลังเดินหมากมาถึงทางตัน ไทยไม่เคยรับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2503 ไทยไม่เคยรับแผนที่ ที่มาตราส่วน1:200,000 ของเขมร แต่ตระกูลชิน ที่ไม่ใช่คนรักชาติและกลุ่มขบวนการขายชาติ ยอมรับทั้งอำนาจศาลโลกและแอบลงนาม MOU ยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ของเขมร จนทำให้ไทยต้องเสียตัวปราสาทเขาพระวิหาร ให้กับเขมร และทำให้นาย วีระ สมความคิด ต้องติดคุกในเขมร และพรรคประชาธิปัตย์ ที่นำโดยนาย อภิสิทธิ์ ต้องยอมทำตามเงื่อนไขของเขมร แค่เพื่อช่วยเหลือ สส.ตนเองไม่ให้ติดคุกที่เขมร ทำให้คนไทยเจ็บปวดใจกันทั้งประเทศ ยกเว้นแค่พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง ที่ดีใจที่เห็นไทยเสียตัวปราสาทเขาพระวิหารให้กับเขมร ขบวนการขายชาติ มีทั้งอดีตนักการฑูตไทย ที่ประจำอยู่ประเทศเขมร และนักการฑูตในปัจจุบัน รวมไปถึง รัฐมนตรี เจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง อัยการ ศาลและกลุ่มนายทุนเจ้าสัวเชื้อจีน ที่ขายชาติ ที่ทำงานรับใช้สองตระกูลชินกับตระกูลฮุนมานาน การแอบใช้เล่ห์เหลี่ยม หลอกคนไทยว่า หากเราลงนาม MOUกับเขมรและยอมรับแผนที่ของเขมรที่เขียนขึ้นมาเอง ที่อัตราส่วน 1:200,000 ไทยจะได้ประโยชน์ จากพื้นที่เขมรเพิ่มขึ้นถึง 100ตารางวา แต่ในความเป็นจริงคนพวกนี้ วางแผนให้เขมรได้พื้นที่ประเทศไทยทั้งแนวตะเข็บชายแดน รวมกันมากถึงกว่า 2 ล้านไร่ หากไทยยอมรับแผนที่ของเขมร ที่เขียนขึ้นมาเอง แต่พรรคเพื่อไทยและตระกูลชิน ยอมรับเงื่อนไขของเขมรทั้งหมด เพราะเป็นญาติกัน การประชุม JBC ให้ยืดเยื้อออกไปเรื่อยๆ ก็แค่เล่นละครปาหี่ เพื่อประวิงเวลาหาทางส่งทักษิณ หนีออกนอกประเทศไปทางเขมรให้ได้เท่านั้น ในขณะที่ลิ่วล้อของทักษิณ ที่มีทั้งรัฐมนตรีและข้าราชการขายชาติ อัยการและศาล บางกลุ่มบางตัว ในประเทศไทย ก็พยายามดิ้นรน หาวิธีช่วยเหลือทักษิณ จนสุดความสามารถ แต่ดูเหมือนว่า เกมนี้จะมีคนมองออกกันหมด และถึงเวลาที่จะจัดการสองตระกูลนี้ให้สาสม ที่บังอาจทำตัวขายชาติ จนไทยต้องเสียตัวปราสาทเขาพระวิหารให้กับเขมร ***รอยแค้นนี้ฝังใจลึกมาช้านาน และใกล้จะถึงเวลากวาดล้างสองตระกูลนี้ให้สิ้นซากลง แบบหมดจรดและถาวร*** ปัญหาของตระกูลชิน คือ ทักษิณ ต้องติดคุก และ ปปช.ชี้มูลความผิดต่อแพทองธาร ในคดีดิจิตอล วอลเล็ต ที่มีความผิดชัดเจน ที่เอาเงินภาษีรัฐไปแจก และทุจริตในเชิงนโยบาย ใช้เงินภาษีแผ่นดินไปแจกหาเสียงให้พรรคตนเอง และมีเจตนาทำผิดต่อเสถียรภาพทางการเงินและการคลัง ประเด็นมีสองทางคือ พ่อติดคุกและตามมาด้วยลูกสาวก็ต้องติดคุกตามพ่อ หรือ ต้องหนีออกนอกประเทศ ทั้งพ่อและลูกสาว และยอมให้รัฐบาลใหม่ ยึดทรัพย์ทั้งหมดของตระกูล ไปเป็นสมบัติของชาติ และตามไล่เช็ดปัดกวาด ลิ่วล้อลูกกระจ๊อก พวกกลุ่มขบวนการขายชาติ ให้หมดเกลี้ยง นี่คือทางตันของตระกูลชิน ที่กำลังเดินทางมาถึงปากเหว แม้จะพยายามสร้างภาพว่าตระกูลของตน ยังคงมีอำนาจทางการเมืองอยู่ก็ตาม ด้วยการสร้างภาพว่า กำลังปรับ ครม.อยู่ในตอนนี้ และพรรคเพื่อไทยยังมีอิทธิพลทางการเมืองอยู่ แต่เกมนี้ก็เป็นได้แค่เพียงฉากละครสั้นๆ ที่อีกไม่นาน ละครทั้งหมดก็ต้องถึงตอนจบในอีกไม่นาน อนุทิน จะเล่นเกมไปเป็นฝ่ายค้าน หากพรรคเพื่อไทย บีบจะเอากระทรวงมหาดไทยให้ได้ และบีบให้พรรคเพื่อไทยไปจับมือกับพรรคสีส้มแทน เพื่อขึ้นมาเป็นรัฐบาล และนั่นคือระเบิดเวลา ที่จะใช้โอกาสทำลายทั้งสองพรรคในคราเดียวกัน พรรคสีส้มเมื่อรวมกับพรรคเพื่อไทย จัดตั้งรัฐบาล พรรคสีส้มจะกลายเป็นสัญลักษณ์พรรคขายชาติในทันทีในสายตาของประชาชน และผลงานสุดห่วยแตกของพรรคเพื่อไทย กำลังดิ่งลงเหวอย่างหนัก หากพรรคไหนยังอยากจับมือกับพรรคนี้ โอกาสสูญพันธุ์ทางการเมืองมีสูงมาก และพรรคเพื่อไทยก็รู้ดีว่า หากเพื่อไทยรวมกับพรรคสีส้มเมื่อไหร่ และพรรคสีส้มก็รู้ดีไม่แพ้กันว่า****โอกาสสูงมาก หากสองพรรคนี้มารวมตัวกัน การปฏิวัติรัฐประหารจะเกิดขึ้นสูงมาก*** นี่คือเกมที่พรรคเพื่อไทยกำลังถูกบีบ ให้กลายเป็นผีสัมภเวสีทางการเมือง ในขณะที่ภาคประชาชนและกองทัพ ก็กำลังเพ่งเล็ง ถึงพฤติกรรมของแพทองธารกับนายภูมิธรรม ต่อเจตนาและมีพฤติกรรมขายชาติและเอื้อผลประโยชน์ให้กับเขมร และกำลังเดินมาจนมุม เมื่อตระกูลฮุน ญาติฝั่งเขมร ก็กำลังจะพังพินาสทั้งตระกูลเช่นกัน และก็เป็นความจริงตามที่คาดการณ์เอาไว้ เขมรกำลังเผชิญน้ำท่วมอย่างหนักในหลายพื้นที่ จากปรากฏการณ์ Red Rain เข้าถล่มในหลายเมือง ทำให้อาวุธของเขมรจำนวนมาก ไปติดหล่มเคลื่อนที่ไม่ได้ กองทิ้งเป็นภูเขา แถมยังเกิดตึกถล่มอีก ไฟฟ้าเริ่มติดๆขัดๆ อินเตอร์เนตก็เริ่มใช้ไม่ได้ ผู้คนและกองทัพเขมรเริ่มขาดแคลนอาหารอย่างหนัก โรคมาลาเลียและไข้เลือดออก กำลังแพร่กระจายอย่างหนักกับทหารเขมรที่อยู่แนวหน้า บ่อนคาสิโนเริ่มร้าง คนเขมรไม่สามารถออกมาล่าสัตว์ป่าและอาหารป่าที่จะนำไปขายได้ในฝั่งไทย ผู้คนขาดเงินอย่างหนักที่จะเดินทางไปรักษาโรคได้ สะเบียงอาหารในประเทศก็เริ่มหร่อยหรอลง ล่าสุดฮุนมาเนต ก็โดนประธาน EU เรียกมาด่าและตำหนิอย่างรุนแรงว่า ชอบนำภาพที่ถ่ายคู่ผู้นำไปลงfacebook แล้วสร้างภาพเท็จและหลอกลวงคนเขมร และผู้นำฝรั่งเศส ก็ไม่เคยรับรู้แผนที่กระโปกของเขมร ที่อ้างเอาชื่อฝรั่งเศส มาเขียนแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 กับไทย แล้วบอกว่าฝรั่งเศสเป็นคนเขียเอง ซึ่งไม่เป็นความจริงสักอย่าง แถมเมื่อสืบสาวไปเรื่อยๆ ผู้นำฝรั่งเศสเอง เป็นผู้เตือนฮุนมาเนตอย่างแรง ที่เมืองนีซ ว่า ระวังจะเสียตัวปราสาทเขาพระวิหารคืนให้กับประเทศไทยนะ เพราะไทยมีลายลักษณ์อักษร ในสัญญาแบ่งเขตแดนมาตั้งแต่สมัยยุคของ ร.5 แล้ว มีเสาแบ่งเขตแดนชัดเจนร่วมกัน และฝรั่งเศสก็จะไม่ยอมรับพื้นที่อัตราส่วน 1:200,000 ของเขมรที่เขียนขึ้นมาเองด้วย ในขณะที่ประธาน UN ก็ออกมาซ้ำเติมตระกูลฮุนว่า เป็นเผด็จการทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุดในภูมิภาคอาเซี่ยน เป็นตระกูลที่ผูกขาดอำนาจมานาน ใส่ร้ายและคอยทำร้ายฝ่ายค้าน เพื่ออำนาจของตระกูลตนเอง และถูก UN งดความช่วยเหลือเขมรในทุกด้านด้วย ซวยซ้ำซวยซ้อน ตระกูลฮุน กำลังทำให้บ้านเมืองตนเอง กำลังจะล่มจม หวังพึ่งมหาอำนาจก็ไม่มีใครสนใจสักประเทศ ผู้นำจีน แสดงความชัดเจน ไม่เข้าร่วมซ้อมรบทางทะเลกับเขมร เพราะรู้ไส้รู้พุงเขมรแล้ว ว่า ตระกูลฮุน ต้องเอาชื่อเสียงของจีน มาสร้างภาพให้เกิดความขัดแย้งกับไทย เลยสั่งสอนตบกะบาลตระกูลฮุน ด้วยการประกาศจะเข้าร่วมฝึกซ้อมเครื่องบินรบกับไทยในทันที และตามมาด้วยผู้นำอินโดนีเซีย ประกาศมีแผนจะเข้าร่วมซ้อมรบกับกองทัพไทยในอีกไม่นาน แต่ช้ากว่าผู้นำมาเลเซีย ที่ออกมาประกาศชัดเจนว่า จะขอเข้ามาทำการซ้อมรบทางทะเลกับกองทัพเรือไทย แถมใจดีเปิดด่านถาวรให้ไทย จากปัญหาเรื่องยาเสพติดที่มาเลเซียสั่งปิดด่านมานาน และยังขยายความร่วมมือทางการแพทย์ตามแนวชายแดนร่วมกันด้วย และในอีกไม่นาน การฝึกรบร่วมกันของกลุ่มประเทศอาเซี่ยน ที่จัดขึ้นในประเทศไทย ที่ไม่มีเขมร ก็กำลังจะเกิดขึ้นตามมา แถมยังมีข่าวดีว่า รัสเซีย พร้อมจะส่งขีปนาวุธวิสัยไกล มาให้ไทยใช้ทดสอบแข่งกับอาวุธของค่ายตะวันตก ลองยิงไปสัก3-4 ลูก ลงไปที่กรุงพนมเปญ คงจะดีนะ และมีข่าวแว่วๆ ที่จะเป็นจริงว่า สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ อาจเลือกกองทัพไทยเข้าฝึกซ้อมรบพิเศษร่วมกัน เหมือนจะวางรากฐานสร้างกลุ่ม NATO ในเขตภูมิถาคเอเซียในอนาคต ทะเลาะกับเขมรในช่วงนี้ มีแต่เรื่องดี้ดี เพราะมหาอำนาจโลกและกลุ่มประเทศของเอเซียและในอาเซี่ยน ยอมรับแสนยานุภาพทางทหารไทยกันหมดแล้ว ดูไปดูมา ไม่ได้มีแค่ไทย แต่เหมือนทั้งโลก กำลังช่วยกัน ถล่มซ้ำสองตระกูลนี้ ให้จมธรณีตายไปเลย ว่าไหม. CR. เดชา นฤนารท. 15/6/68 10.32 น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 493 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วีระ” แฉ “ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย” ประธาน JBC ฝ่ายไทย อดีตทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ เคยบีบบังคับให้ตนยอมรับผิดว่าบุกรุกดินแดนเขมร แถมด่าว่าเป็นตัวปัญหาทำให้กลับมาฉลองปีใหม่ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ จี้เปลี่ยนตัวด่วน หวั่นทำประเทศไทยเสียหาย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000054440

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    “วีระ” แฉ “ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย” ประธาน JBC ฝ่ายไทย อดีตทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ เคยบีบบังคับให้ตนยอมรับผิดว่าบุกรุกดินแดนเขมร แถมด่าว่าเป็นตัวปัญหาทำให้กลับมาฉลองปีใหม่ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ จี้เปลี่ยนตัวด่วน หวั่นทำประเทศไทยเสียหาย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000054440 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    Wow
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 427 มุมมอง 1 รีวิว
  • นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เผยจุดยืนรัฐบาลไทยต่อความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยันใช้กลไก 3 ฝ่าย สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กองทัพบก และกระทรวงการต่างประเทศ หลีกเลี่ยงความรุนแรง รักษาอธิปไตยของชาติเต็มที่ ส่วนความพยายามดึงเรื่องขึ้นศาลโลก รัฐบาลไม่ตกหลุมพราง ต้องใช้กรอบเอ็มโอยู 2543 หาข้อยุติร่วมกัน โดยจะประชุม JBC ไทย-กัมพูชา วันที่ 14 มิ.ย. นี้ ที่กรุงพนมเปญ ยืนยันไม่ปลดแม่ทัพภาคที่ 2 อย่าเชื่อข่าวปลุกปั่น ความสัมพันธ์กับทหารไม่ขัดแย้ง ทุกอย่างคุยกันได้หมด ยังไม่ถึงเวลาปิดด่าน แม้ทหารกัมพูชาล้ำเขตแดนไทยถึง 200 เมตร ต้องพิจารณาจากแผนที่ ยอมรับ ทหารอึดอัดต่อสถานการณ์ แต่ทุกฝ่ายเข้าใจดีว่านี่คือยุทธศาสตร์เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียที่อาจกระทบเอกราชชาติไทย

    -ฉุนถูกจี้ถามกัมพูชาล้ำแดน
    -ไล่กวดภาพ AI
    -แก๊งศูนย์เหรียญตั้งฟรีโซน
    -สารพัดปัญหาเศรษฐกิจไทย
    นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เผยจุดยืนรัฐบาลไทยต่อความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยันใช้กลไก 3 ฝ่าย สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กองทัพบก และกระทรวงการต่างประเทศ หลีกเลี่ยงความรุนแรง รักษาอธิปไตยของชาติเต็มที่ ส่วนความพยายามดึงเรื่องขึ้นศาลโลก รัฐบาลไม่ตกหลุมพราง ต้องใช้กรอบเอ็มโอยู 2543 หาข้อยุติร่วมกัน โดยจะประชุม JBC ไทย-กัมพูชา วันที่ 14 มิ.ย. นี้ ที่กรุงพนมเปญ ยืนยันไม่ปลดแม่ทัพภาคที่ 2 อย่าเชื่อข่าวปลุกปั่น ความสัมพันธ์กับทหารไม่ขัดแย้ง ทุกอย่างคุยกันได้หมด ยังไม่ถึงเวลาปิดด่าน แม้ทหารกัมพูชาล้ำเขตแดนไทยถึง 200 เมตร ต้องพิจารณาจากแผนที่ ยอมรับ ทหารอึดอัดต่อสถานการณ์ แต่ทุกฝ่ายเข้าใจดีว่านี่คือยุทธศาสตร์เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียที่อาจกระทบเอกราชชาติไทย -ฉุนถูกจี้ถามกัมพูชาล้ำแดน -ไล่กวดภาพ AI -แก๊งศูนย์เหรียญตั้งฟรีโซน -สารพัดปัญหาเศรษฐกิจไทย
    Like
    Haha
    Angry
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 634 มุมมอง 38 0 รีวิว
  • ยังไม่ถึงเวลาปิดด่าน รอหลักฐานกัมพูชาล้ำแดน : [THE MESSAGE]

    นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เผยจุดยืนรัฐบาลไทยต่อความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยันใช้กลไก 3 ฝ่าย สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กองทัพบก และกระทรวงการต่างประเทศ หลีกเลี่ยงความรุนแรง รักษาอธิปไตยของชาติเต็มที่ ส่วนความพยายามดึงเรื่องขึ้นศาลโลก รัฐบาลไม่ตกหลุมพรางใช้กรอบเอ็มโอยู 2543 หาข้อยุติร่วมกัน โดยจะประชุม JBC ไทย-กัมพูชา วันที่ 14 มิ.ย.นี้ ที่กรุงพนมเปญ ยืนยันไม่ปลดแม่ทัพภาคที่ 2 อย่าหลงเชื่อข่าวปลุกปั่น ความสัมพันธ์กับทหารไม่มีความขัดแย้ง ทุกอย่างคุยกันได้หมด ยังไม่ถึงเวลาปิดด่าน แม้ทหารกัมพูชาเคลื่อนกำลังล้ำเขตแดนไทยถึง 200 เมตร ต้องใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก ประเมินสถานการณ์รายวันรอบด้าน
    ยังไม่ถึงเวลาปิดด่าน รอหลักฐานกัมพูชาล้ำแดน : [THE MESSAGE] นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เผยจุดยืนรัฐบาลไทยต่อความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยันใช้กลไก 3 ฝ่าย สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กองทัพบก และกระทรวงการต่างประเทศ หลีกเลี่ยงความรุนแรง รักษาอธิปไตยของชาติเต็มที่ ส่วนความพยายามดึงเรื่องขึ้นศาลโลก รัฐบาลไม่ตกหลุมพรางใช้กรอบเอ็มโอยู 2543 หาข้อยุติร่วมกัน โดยจะประชุม JBC ไทย-กัมพูชา วันที่ 14 มิ.ย.นี้ ที่กรุงพนมเปญ ยืนยันไม่ปลดแม่ทัพภาคที่ 2 อย่าหลงเชื่อข่าวปลุกปั่น ความสัมพันธ์กับทหารไม่มีความขัดแย้ง ทุกอย่างคุยกันได้หมด ยังไม่ถึงเวลาปิดด่าน แม้ทหารกัมพูชาเคลื่อนกำลังล้ำเขตแดนไทยถึง 200 เมตร ต้องใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก ประเมินสถานการณ์รายวันรอบด้าน
    Haha
    Angry
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 509 มุมมอง 24 0 รีวิว
  • "ภูมิธรรม" ยันไม่ปลดแม่ทัพภาคที่ 2 จวกรูป "ฮุนเซน" ลูบหัว ใช้ AI ปั่นกระแส ติง "เท้ง-กัณวีร์" ยั่วยุเล่นเกมการเมือง ลั่นรัฐบาลยึดมั่นรักษาอธิปไตยเต็มที่ เตรียมลงพื้นที่ ทภ.2 ปลุกขวัญกำลังใจ ได้ฤกษ์ถกเจบีซี 14 มิ.ย.นี้ ที่กรุงพนมเปญ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000052042

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes

    "ภูมิธรรม" ยันไม่ปลดแม่ทัพภาคที่ 2 จวกรูป "ฮุนเซน" ลูบหัว ใช้ AI ปั่นกระแส ติง "เท้ง-กัณวีร์" ยั่วยุเล่นเกมการเมือง ลั่นรัฐบาลยึดมั่นรักษาอธิปไตยเต็มที่ เตรียมลงพื้นที่ ทภ.2 ปลุกขวัญกำลังใจ ได้ฤกษ์ถกเจบีซี 14 มิ.ย.นี้ ที่กรุงพนมเปญ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000052042 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Haha
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 473 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตโชแอร์พอร์ต สนามบินใหม่พนมเปญ

    แม้ท่าอากาศยานนานาชาติเตโช (Techo International Airport หรือ KTI) ทางตอนใต้ของกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา จะเลื่อนเปิดให้บริการออกไป เพราะผู้เชี่ยวชาญประเมินพบว่ามีงานที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่สนามบินแห่งใหม่ซึ่งก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2563 ด้วยงบลงทุนกว่า 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กำลังจะทดแทนท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญ ซึ่งมีอายุกว่า 66 ปี บนพื้นที่ 400 เฮกตาร์ ใจกลางเมืองหลวงของกัมพูชา ด้วยความทันสมัยในฐานะท่าอากาศยานนานาชาติระดับ 4F บนพื้นที่ 2,600 เฮกตาร์ ใหญ่กว่าท่าอากาศยานเดิมกว่า 6 เท่า ซึ่งเฟสแรกรองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 15 ล้านคนต่อปี

    โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลกัมพูชา โดยสำนักงานเลขาธิการการบินพลเรือนแห่งรัฐ (SSCA) กับบริษัท โอเวอร์ซีส์ แคมโบเดียน อินเวสต์เมนต์ คอร์ปฯ (OCIC Group) ของมหาเศรษฐีกัมพูชาเชื้อสายจีน ปง เคียวแซ (Pung Kheav Se) ตั้งอยู่ที่จังหวัดกันดาล ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางทิศใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร มีทางวิ่งหรือรันเวย์ 3 เส้น ยาว 4,000 เมตร ก่อสร้างโดย บริษัทเซี่ยงไฮ้ เป่าเย่ กรุ๊ป คอร์ปฯ รองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ เช่น แอร์บัส A380-800 โบอิ้ง 747-800 พร้อมหอควบคุมการจราจรทางอากาศ (ATC) สูง 118 เมตร

    สถาปัตยกรรมอาคารผู้โดยสาร ออกแบบโดย บริษัทฟอสเตอร์ แอนด์ พาร์ตเนอร์ จากอังกฤษ ก่อสร้างโดยบริษัท ไชน่า คอนสตรัคชัน เติร์ด เอนจิเนียริง บูโร ประเทศจีน ประกอบด้วยอาคารผู้โดยสารส่วนกลาง พร้อมเสารูปทรงแอโรฟอยล์หรือปีกนก ที่อยู่ด้านข้างทั้งสองข้าง มีประตูขึ้นเครื่อง 22 ประตู รองรับเครื่องบินขนาดกลางได้ 40 ลำ หลังคาโดมโครงสร้างเหล็ก สูง 36 เมตร พร้อมตะแกรงกรองแสงธรรมชาติและส่องสว่างในอาคาร ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์กว่า 1,000 แผง และศูนย์กลางระบบผลิตไฟฟ้า (Energy Center) สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าที่ใช้กับระบบปรับอากาศได้ 7,800 กิโลวัตต์ ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 120 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ประมาณ 100,000 ตัน

    ในปี 2567 ท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญ (PNH) มีเที่ยวบินทั้งหมด 41,022 เที่ยวบิน ผู้โดยสารรวม 4,746,000 คน โดยมีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ สุวรรณภูมิ (BKK) มากที่สุด 88 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ รองลงมาคือกว่างโจว ประเทศจีน (CAN) กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย (KUL) โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม (SGN) และสิงคโปร์ (SIN) หลังการย้ายสนามบินไปยังสถานที่แห่งใหม่ สนามบินเดิมรัฐบาลกัมพูชาจะเก็บรักษาไว้เป็นทรัพย์สินของรัฐ ภายใต้การดูแลของ SSCA โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ยืนยันว่ายังไม่ขายให้แก่ผู้สนใจแต่อย่างใด

    #Newskit
    เตโชแอร์พอร์ต สนามบินใหม่พนมเปญ แม้ท่าอากาศยานนานาชาติเตโช (Techo International Airport หรือ KTI) ทางตอนใต้ของกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา จะเลื่อนเปิดให้บริการออกไป เพราะผู้เชี่ยวชาญประเมินพบว่ามีงานที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่สนามบินแห่งใหม่ซึ่งก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2563 ด้วยงบลงทุนกว่า 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กำลังจะทดแทนท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญ ซึ่งมีอายุกว่า 66 ปี บนพื้นที่ 400 เฮกตาร์ ใจกลางเมืองหลวงของกัมพูชา ด้วยความทันสมัยในฐานะท่าอากาศยานนานาชาติระดับ 4F บนพื้นที่ 2,600 เฮกตาร์ ใหญ่กว่าท่าอากาศยานเดิมกว่า 6 เท่า ซึ่งเฟสแรกรองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 15 ล้านคนต่อปี โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลกัมพูชา โดยสำนักงานเลขาธิการการบินพลเรือนแห่งรัฐ (SSCA) กับบริษัท โอเวอร์ซีส์ แคมโบเดียน อินเวสต์เมนต์ คอร์ปฯ (OCIC Group) ของมหาเศรษฐีกัมพูชาเชื้อสายจีน ปง เคียวแซ (Pung Kheav Se) ตั้งอยู่ที่จังหวัดกันดาล ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางทิศใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร มีทางวิ่งหรือรันเวย์ 3 เส้น ยาว 4,000 เมตร ก่อสร้างโดย บริษัทเซี่ยงไฮ้ เป่าเย่ กรุ๊ป คอร์ปฯ รองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ เช่น แอร์บัส A380-800 โบอิ้ง 747-800 พร้อมหอควบคุมการจราจรทางอากาศ (ATC) สูง 118 เมตร สถาปัตยกรรมอาคารผู้โดยสาร ออกแบบโดย บริษัทฟอสเตอร์ แอนด์ พาร์ตเนอร์ จากอังกฤษ ก่อสร้างโดยบริษัท ไชน่า คอนสตรัคชัน เติร์ด เอนจิเนียริง บูโร ประเทศจีน ประกอบด้วยอาคารผู้โดยสารส่วนกลาง พร้อมเสารูปทรงแอโรฟอยล์หรือปีกนก ที่อยู่ด้านข้างทั้งสองข้าง มีประตูขึ้นเครื่อง 22 ประตู รองรับเครื่องบินขนาดกลางได้ 40 ลำ หลังคาโดมโครงสร้างเหล็ก สูง 36 เมตร พร้อมตะแกรงกรองแสงธรรมชาติและส่องสว่างในอาคาร ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์กว่า 1,000 แผง และศูนย์กลางระบบผลิตไฟฟ้า (Energy Center) สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าที่ใช้กับระบบปรับอากาศได้ 7,800 กิโลวัตต์ ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 120 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ประมาณ 100,000 ตัน ในปี 2567 ท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญ (PNH) มีเที่ยวบินทั้งหมด 41,022 เที่ยวบิน ผู้โดยสารรวม 4,746,000 คน โดยมีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ สุวรรณภูมิ (BKK) มากที่สุด 88 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ รองลงมาคือกว่างโจว ประเทศจีน (CAN) กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย (KUL) โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม (SGN) และสิงคโปร์ (SIN) หลังการย้ายสนามบินไปยังสถานที่แห่งใหม่ สนามบินเดิมรัฐบาลกัมพูชาจะเก็บรักษาไว้เป็นทรัพย์สินของรัฐ ภายใต้การดูแลของ SSCA โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ยืนยันว่ายังไม่ขายให้แก่ผู้สนใจแต่อย่างใด #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 395 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เดินทางถึงกัมพูชาแล้ว ถือเป็นประเทศที่สาม และประเทศสุดท้ายในภารกิจเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเป็นทางการ พร้อมได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี ณ ท่าอากาศยานกรุงพนมเปญ นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสำคัญในความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ
    ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เดินทางถึงกัมพูชาแล้ว ถือเป็นประเทศที่สาม และประเทศสุดท้ายในภารกิจเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเป็นทางการ พร้อมได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี ณ ท่าอากาศยานกรุงพนมเปญ นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสำคัญในความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 17 0 รีวิว
  • พนมเปญปั้นวอล์กกิ้งสตรีท รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

    กรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา เปิดโครงการถนนคนเดินแห่งใหม่ เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2568 ตามแนวท่าเรือสีโสวัตถิ์ ริมแม่น้ำโตนเลสาป ครอบคลุมตั้งแต่อาคารไปรษณีย์กัมพูชา ถึงพระบรมราชวัง โดยปิดถนนห้ามยานพาหนะทุกชนิดเข้า ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 18.00-23.00 น. สัญจรได้เฉพาะคนเดินเท่านั้น พร้อมจัดให้มีห้องน้ำและจัดถนนให้เป็นระเบียบ รวมทั้งจัดให้มีการแสดงทางวัฒนธรรม เช่น ดนตรีพื้นเมืองเขมร พื้นที่วาดภาพ และการแสดงละครสัตว์

    ในระยะแรก ถนนคนเดินใหม่ของกรุงพนมเปญ แบ่งออกเป็น 3 โซน รวมพื้นที่ 57 เฮกตาร์ ได้แก่ โซนแรก พื้นที่ 3.3 เฮกตาร์ ใกล้กับอาคารไปรษณีย์กัมพูชา เป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ โซนที่สอง พื้นที่ 20 เฮกตาร์ เป็นพื้นที่ธุรกิจกลางคืน มีร้านอาหาร บาร์ โรงแรม ร้านค้าต่างๆ และโซนสุดท้าย พื้นที่ 34 เฮกตาร์ เป็นโซนใหญ่ที่สุด ประกอบไปด้วยตลาดเสื้อผ้า และพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจตามธรรมชาติพร้อมสวนสาธารณะ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กัมพูชา พระบรมราชวัง และทุ่งพระเมรุ

    นายควง เซร็ง ผู้ว่าราชการกรุงพนมเปญ เปิดเผยกับ Khmer Times สื่อในกัมพูชาว่า กรุงพนมเปญได้วางแผนทำโครงการถนนคนเดินตั้งแต่ปี 2562 แต่เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ต้องระงับไป ภายหลังรัฐบาลได้มีคำสั่งให้ฝ่ายบริหารของเทศบาลฯ ส่งเสริมการดำเนินงาน ทำให้กลับมาทำโครงการอีกครั้ง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวกัมพูชาและชาวต่างชาติให้มาเยือนกรุงพนมเปญมากขึ้น

    ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวของกัมพูชา ระบุว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา กัมพูชาต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6.7 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 3,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 121,248 ล้านบาท โดยพบว่าคนไทยมาเที่ยวมากถึง 32% รองลงมาคือเวียดนาม 20% จีน 12.7% ลาว 5% สหรัฐอเมริกา 3.2% เกาหลีใต้ 2.9% อินโดนีเซีย 2.5% ฝรั่งเศส 2% สหราชอาณาจักร 1.7% และญี่ปุ่น 1.7% ส่วนมากเดินทางผ่านชายแดนกับทางน้ำ 4 ล้านคน และผ่านท่าอากาศยาน 2 ล้านคน

    นายฮวด ฮะ รมว.ท่องเที่ยวกัมพูชา เปิดเผยกับ Cam Ness สื่อในกัมพูชาว่า ได้ขอให้ประเทศบัลแกเรีย โรมาเนีย กรีซ ไซปรัส เบลเยียม ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก บรูไน และฟิลิปปินส์ สนับสนุนกัมพูชาเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำ แม้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมอาจลดลง แต่เหตุชาวจีนถูกลักพาตัวที่ประเทศไทย เป็นปัจจัยที่อาจดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนให้มาเยือนกัมพูชามากขึ้น คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีน 1.1 ล้านคนในปี 2568 จากปี 2567 มีจำนวน 840,000 คน เพิ่มขึ้น 55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

    #Newskit
    พนมเปญปั้นวอล์กกิ้งสตรีท รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ กรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา เปิดโครงการถนนคนเดินแห่งใหม่ เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2568 ตามแนวท่าเรือสีโสวัตถิ์ ริมแม่น้ำโตนเลสาป ครอบคลุมตั้งแต่อาคารไปรษณีย์กัมพูชา ถึงพระบรมราชวัง โดยปิดถนนห้ามยานพาหนะทุกชนิดเข้า ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 18.00-23.00 น. สัญจรได้เฉพาะคนเดินเท่านั้น พร้อมจัดให้มีห้องน้ำและจัดถนนให้เป็นระเบียบ รวมทั้งจัดให้มีการแสดงทางวัฒนธรรม เช่น ดนตรีพื้นเมืองเขมร พื้นที่วาดภาพ และการแสดงละครสัตว์ ในระยะแรก ถนนคนเดินใหม่ของกรุงพนมเปญ แบ่งออกเป็น 3 โซน รวมพื้นที่ 57 เฮกตาร์ ได้แก่ โซนแรก พื้นที่ 3.3 เฮกตาร์ ใกล้กับอาคารไปรษณีย์กัมพูชา เป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ โซนที่สอง พื้นที่ 20 เฮกตาร์ เป็นพื้นที่ธุรกิจกลางคืน มีร้านอาหาร บาร์ โรงแรม ร้านค้าต่างๆ และโซนสุดท้าย พื้นที่ 34 เฮกตาร์ เป็นโซนใหญ่ที่สุด ประกอบไปด้วยตลาดเสื้อผ้า และพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจตามธรรมชาติพร้อมสวนสาธารณะ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กัมพูชา พระบรมราชวัง และทุ่งพระเมรุ นายควง เซร็ง ผู้ว่าราชการกรุงพนมเปญ เปิดเผยกับ Khmer Times สื่อในกัมพูชาว่า กรุงพนมเปญได้วางแผนทำโครงการถนนคนเดินตั้งแต่ปี 2562 แต่เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ต้องระงับไป ภายหลังรัฐบาลได้มีคำสั่งให้ฝ่ายบริหารของเทศบาลฯ ส่งเสริมการดำเนินงาน ทำให้กลับมาทำโครงการอีกครั้ง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวกัมพูชาและชาวต่างชาติให้มาเยือนกรุงพนมเปญมากขึ้น ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวของกัมพูชา ระบุว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา กัมพูชาต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6.7 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 3,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 121,248 ล้านบาท โดยพบว่าคนไทยมาเที่ยวมากถึง 32% รองลงมาคือเวียดนาม 20% จีน 12.7% ลาว 5% สหรัฐอเมริกา 3.2% เกาหลีใต้ 2.9% อินโดนีเซีย 2.5% ฝรั่งเศส 2% สหราชอาณาจักร 1.7% และญี่ปุ่น 1.7% ส่วนมากเดินทางผ่านชายแดนกับทางน้ำ 4 ล้านคน และผ่านท่าอากาศยาน 2 ล้านคน นายฮวด ฮะ รมว.ท่องเที่ยวกัมพูชา เปิดเผยกับ Cam Ness สื่อในกัมพูชาว่า ได้ขอให้ประเทศบัลแกเรีย โรมาเนีย กรีซ ไซปรัส เบลเยียม ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก บรูไน และฟิลิปปินส์ สนับสนุนกัมพูชาเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำ แม้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมอาจลดลง แต่เหตุชาวจีนถูกลักพาตัวที่ประเทศไทย เป็นปัจจัยที่อาจดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนให้มาเยือนกัมพูชามากขึ้น คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีน 1.1 ล้านคนในปี 2568 จากปี 2567 มีจำนวน 840,000 คน เพิ่มขึ้น 55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 930 มุมมอง 0 รีวิว
  • 22 ปี จากจลาจลกัมพูชา สู่ปฏิบัติการโปเชนตง เบื้องหลังความขัดแย้ง ปฏิบัติการที่โลกต้องจดจำ

    ย้อนกลับไปเมื่อ 22 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2546 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงพนมเปญ
    ประเทศกัมพูชา ไม่เพียงแต่สร้างความสูญเสีย ทางกายภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เหตุจลาจลครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นจากบทความ ในหนังสือพิมพ์กัมพูชา"รัศมี อังกอร์" ที่พาดพิงถึงนักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" ว่าได้กล่าวหากัมพูชาเรื่องนครวัด จนนำไปสู่ความโกรธแค้น และความรุนแรง ที่ลุกลามไปถึงการเผาสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ

    จากบทความหนังสือพิมพ์ สู่ความโกลาหล
    ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2546 หนังสือพิมพ์ "รัศมี อังกอร์" ของกัมพูชา ได้ตีพิทพ์เผยแพร่บทความ ที่กล่าวอ้างว่า นักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" พูดว่านครวัดเป็นของไทย และกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ "ขโมย" นครวัดไป ข้อความนี้แพร่กระจาย ออกไปอย่างรวดเร็ว สร้างกระแสความโกรธเคือง ในหมู่ชาวกัมพูชา แม้ว่ากบ-สุวนันท์ จะออกมาปฏิเสธว่า เธอไม่เคยพูดเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้ง กระแสความไม่พอใจได้

    การตอบสนองของฮุนเซ็น
    นายกรัฐมนตรีกัมพูชา "ฮุนเซ็น" ได้กล่าวสนับสนุนข้อความ ในบทความดังกล่าว โดยเปรียบเทียบว่า นักแสดงชาวไทยคนนี้ "ไม่มีค่าเทียบเท่าใบหญ้า ที่ขึ้นใกล้นครวัด" พร้อมทั้งสั่งให้สถานีโทรทัศน์กัมพูชา หยุดการเผยแพร่ละครไทยทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการปลุกระดม ให้ประชาชนกัมพูชา ระลึกถึงรากเหง้าของตนเอง ซึ่งยิ่งกระพือความไม่พอใจ ในวงกว้าง

    จากชุมนุมสู่เหตุการณ์จลาจล เริ่มต้นที่สถานทูตไทย
    เช้าวันที่ 29 มกราคม 2546 กลุ่มชาวกัมพูชาหลายร้อยคน เริ่มรวมตัวกัน ที่หน้าสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ การประท้วงเริ่มจาก การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น เผาธงชาติไทย และป้ายของสถานทูต ก่อนที่จะบานปลายไปสู่ความรุนแรง เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มบุกเข้าไป ในบริเวณสถานทูต

    อพยพเจ้าหน้าที่สถานทูต
    เอกอัครราชทูตไทย ประจำกัมพูชาในขณะนั้น "ชัชเวทย์ ชาติสุวรรณ" ตัดสินใจสั่งการ ให้เจ้าหน้าที่สถานทูต อพยพออกจากอาคาร โดยปีนรั้วด้านหลังของสถานทูต ไปยังแม่น้ำบาสัก และบางส่วนหลบหนีไปยังสถานทูตญี่ปุ่น ที่อยู่ติดกัน การตัดสินใจที่เด็ดขาดนี้ ช่วยรักษาชีวิตของทุกคน ไว้ได้อย่างปลอดภัย

    ทำลายสถานทูตไทย
    ในช่วงเวลาต่อมา กลุ่มผู้ชุมนุมได้เผา และปล้นสดมสถานทูตไทย รวมถึงทำลายทรัพย์สิ นของธุรกิจไทยในกรุงพนมเปญ เช่น โรงแรม สำนักงาน และร้านค้าต่าง ๆ เหตุการณ์นี้ยิ่งเลวร้ายขึ้น เมื่อมีข่าวลือว่า คนกัมพูชาถูกทำร้ายในประเทศไทย ซึ่งทำให้การจลาจลในพนมเปญ รุนแรงขึ้นไปอีก

    ปฏิบัติการโปเชนตง ความช่วยเหลือจากฟากฟ้า
    หลังจากเกิดเหตุการณ์จลาจล รัฐบาลไทยภายใต้การนำ ของนายกรัฐมนตรี "ดร.ทักษิณ ชินวัตร" ได้ตัดสินใจเปิดปฏิบัติการ "โปเชนตง" เพื่ออพยพคนไทยออกจากกัมพูชา โดยใช้สนามบินเก่า "โปเชนตง" ในกรุงพนมเปญ เป็นจุดรับส่ง โดยได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลกัมพูชา ที่เริ่มเปลี่ยนท่าที และยินยอมให้เครื่องบินทหารไทยเข้าประเทศ

    รายละเอียดของปฏิบัติการ
    วันที่ 30 มกราคม 2546 เวลา 05.15 น. เครื่องบินลำเลียงแบบ C-130H และ G-222 พร้อมหน่วยรบพิเศษ ได้บินจากฐานทัพดอนเมือง ไปยังสนามบินโปเชนตง เพื่ออพยพคนไทยกว่า 700 คน การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด โดยสามารถนำคนไทย กลับมาได้อย่างปลอดภัยทั้งหมด ในวันเดียว

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา
    เหตุการณ์ครั้งนี้ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เลวร้ายลงอย่างมาก ไทยตัดสินใจ ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และปิดชายแดนระหว่างสองประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในภูมิภาค

    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญ ของการสื่อสารระหว่างประเทศ และการป้องกันการปลุกระดม ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง การตอบสนองที่รวดเร็ว และเด็ดขาดของรัฐบาลไทยในครั้งนั้น ยังเป็นตัวอย่างของการจัดการวิกฤต ที่มีประสิทธิภาพ

    22 ปี หลังเหตุการณ์จลาจลในพนมเปญ และปฏิบัติการโปเชนตง ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ในประวัติศาสตร์ไทยและกัมพูชา ทั้งในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการจัดการวิกฤตระดับชาติ เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึง ความสำคัญของความร่วมมือ ความเข้าใจ และการสื่อสารที่ถูกต้อง ระหว่างประชาชน และผู้นำของทั้งสองประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 290850 ม.ค. 2568

    #จลาจลกัมพูชา #ปฏิบัติการโปเชนตง #ไทยกัมพูชา #สถานทูตไทย #ประวัติศาสตร์ไทย #การเมืองระหว่างประเทศ #บทเรียนความขัดแย้ง #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #เหตุการณ์ในอดีต







    22 ปี จากจลาจลกัมพูชา สู่ปฏิบัติการโปเชนตง เบื้องหลังความขัดแย้ง ปฏิบัติการที่โลกต้องจดจำ ย้อนกลับไปเมื่อ 22 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2546 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ไม่เพียงแต่สร้างความสูญเสีย ทางกายภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เหตุจลาจลครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นจากบทความ ในหนังสือพิมพ์กัมพูชา"รัศมี อังกอร์" ที่พาดพิงถึงนักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" ว่าได้กล่าวหากัมพูชาเรื่องนครวัด จนนำไปสู่ความโกรธแค้น และความรุนแรง ที่ลุกลามไปถึงการเผาสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ จากบทความหนังสือพิมพ์ สู่ความโกลาหล ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2546 หนังสือพิมพ์ "รัศมี อังกอร์" ของกัมพูชา ได้ตีพิทพ์เผยแพร่บทความ ที่กล่าวอ้างว่า นักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" พูดว่านครวัดเป็นของไทย และกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ "ขโมย" นครวัดไป ข้อความนี้แพร่กระจาย ออกไปอย่างรวดเร็ว สร้างกระแสความโกรธเคือง ในหมู่ชาวกัมพูชา แม้ว่ากบ-สุวนันท์ จะออกมาปฏิเสธว่า เธอไม่เคยพูดเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้ง กระแสความไม่พอใจได้ การตอบสนองของฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา "ฮุนเซ็น" ได้กล่าวสนับสนุนข้อความ ในบทความดังกล่าว โดยเปรียบเทียบว่า นักแสดงชาวไทยคนนี้ "ไม่มีค่าเทียบเท่าใบหญ้า ที่ขึ้นใกล้นครวัด" พร้อมทั้งสั่งให้สถานีโทรทัศน์กัมพูชา หยุดการเผยแพร่ละครไทยทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการปลุกระดม ให้ประชาชนกัมพูชา ระลึกถึงรากเหง้าของตนเอง ซึ่งยิ่งกระพือความไม่พอใจ ในวงกว้าง จากชุมนุมสู่เหตุการณ์จลาจล เริ่มต้นที่สถานทูตไทย เช้าวันที่ 29 มกราคม 2546 กลุ่มชาวกัมพูชาหลายร้อยคน เริ่มรวมตัวกัน ที่หน้าสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ การประท้วงเริ่มจาก การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น เผาธงชาติไทย และป้ายของสถานทูต ก่อนที่จะบานปลายไปสู่ความรุนแรง เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มบุกเข้าไป ในบริเวณสถานทูต อพยพเจ้าหน้าที่สถานทูต เอกอัครราชทูตไทย ประจำกัมพูชาในขณะนั้น "ชัชเวทย์ ชาติสุวรรณ" ตัดสินใจสั่งการ ให้เจ้าหน้าที่สถานทูต อพยพออกจากอาคาร โดยปีนรั้วด้านหลังของสถานทูต ไปยังแม่น้ำบาสัก และบางส่วนหลบหนีไปยังสถานทูตญี่ปุ่น ที่อยู่ติดกัน การตัดสินใจที่เด็ดขาดนี้ ช่วยรักษาชีวิตของทุกคน ไว้ได้อย่างปลอดภัย ทำลายสถานทูตไทย ในช่วงเวลาต่อมา กลุ่มผู้ชุมนุมได้เผา และปล้นสดมสถานทูตไทย รวมถึงทำลายทรัพย์สิ นของธุรกิจไทยในกรุงพนมเปญ เช่น โรงแรม สำนักงาน และร้านค้าต่าง ๆ เหตุการณ์นี้ยิ่งเลวร้ายขึ้น เมื่อมีข่าวลือว่า คนกัมพูชาถูกทำร้ายในประเทศไทย ซึ่งทำให้การจลาจลในพนมเปญ รุนแรงขึ้นไปอีก ปฏิบัติการโปเชนตง ความช่วยเหลือจากฟากฟ้า หลังจากเกิดเหตุการณ์จลาจล รัฐบาลไทยภายใต้การนำ ของนายกรัฐมนตรี "ดร.ทักษิณ ชินวัตร" ได้ตัดสินใจเปิดปฏิบัติการ "โปเชนตง" เพื่ออพยพคนไทยออกจากกัมพูชา โดยใช้สนามบินเก่า "โปเชนตง" ในกรุงพนมเปญ เป็นจุดรับส่ง โดยได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลกัมพูชา ที่เริ่มเปลี่ยนท่าที และยินยอมให้เครื่องบินทหารไทยเข้าประเทศ รายละเอียดของปฏิบัติการ วันที่ 30 มกราคม 2546 เวลา 05.15 น. เครื่องบินลำเลียงแบบ C-130H และ G-222 พร้อมหน่วยรบพิเศษ ได้บินจากฐานทัพดอนเมือง ไปยังสนามบินโปเชนตง เพื่ออพยพคนไทยกว่า 700 คน การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด โดยสามารถนำคนไทย กลับมาได้อย่างปลอดภัยทั้งหมด ในวันเดียว ผลกระทบที่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา เหตุการณ์ครั้งนี้ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เลวร้ายลงอย่างมาก ไทยตัดสินใจ ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และปิดชายแดนระหว่างสองประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในภูมิภาค เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญ ของการสื่อสารระหว่างประเทศ และการป้องกันการปลุกระดม ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง การตอบสนองที่รวดเร็ว และเด็ดขาดของรัฐบาลไทยในครั้งนั้น ยังเป็นตัวอย่างของการจัดการวิกฤต ที่มีประสิทธิภาพ 22 ปี หลังเหตุการณ์จลาจลในพนมเปญ และปฏิบัติการโปเชนตง ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ในประวัติศาสตร์ไทยและกัมพูชา ทั้งในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการจัดการวิกฤตระดับชาติ เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึง ความสำคัญของความร่วมมือ ความเข้าใจ และการสื่อสารที่ถูกต้อง ระหว่างประชาชน และผู้นำของทั้งสองประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 290850 ม.ค. 2568 #จลาจลกัมพูชา #ปฏิบัติการโปเชนตง #ไทยกัมพูชา #สถานทูตไทย #ประวัติศาสตร์ไทย #การเมืองระหว่างประเทศ #บทเรียนความขัดแย้ง #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #เหตุการณ์ในอดีต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1266 มุมมอง 0 รีวิว
  • อมนครวัดมาพูดก็คงไม่เชื่อ อ้างคดีลิม กิมยา เป็นเรื่องส่วนตัว
    นักการเมืองฝ่ายค้านของกัมพูชากำลังดาหน้าออกมาโวยในลักษณะฟ้องโลก ประมาณว่าตำรวจไทยกำลังเป่าคดี เหตุเกิดจาก บิ๊กต่ายไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ ว่าปมส่วนตัวที่ว่านั้นมันคืออะไร ยังไง เท่านั้นเอง
    ในกรณีเช่นนี้ต้องเข้าใจว่า จะกี่ยุคกี่สมัย ผบ.ตร.ที่ถูกกำกับดูแลโดยนักการเมือง ก็ไม่สามารถมีอิสระในการทำงานได้เต็มที่ ไม่ว่าใครก็ตาม หากอยู่ในสถานการณ์แบบบิ๊กต่าย คงต้องยอมเสียรังวัด ดีกว่าเสี่ยงจะเสียเก้าอี้
    โดยเฉพาะเมื่อนายทักษิณ ชินวัตร พ่อนายกฯ ไทย มีสายสัมพันธ์อันแนบแน่นยาวนานกับสมเด็จฯ ฮุนเซน พ่อนายกฯ กัมพูชา มีไมตรีเกื้อหนุนกัน จนคนสงสัย “ทักษิณ-ฮุนเซน” จะแยกแยะได้หรือไม่ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ของแต่ละชาติ
    คำพูดของบิ๊กต่าย ที่ว่าคดีนี้ฆ่ากันด้วยเรื่องส่วนตัว เลยยิ่งฟังไม่มีน้ำหนัก เหมือนว่าตำรวจไทยโดนใบสั่งให้รีบสรุปรวบรัดให้มันจบๆ
    และในเรื่องนี้หมากตัวสำคัญก็คือ คนชี้เป้า ซึ่งนั่งรถบัสตามประกบนายลิม กิมยา จากฝั่งเขมรมาถึงใจกลางกรุง คนชี้เป้าที่แท้เป็นน้องชายของนักการเมืองซีกรัฐบาลในปัจจุบัน อาศัยในกรุงพนมเปญ แต่รายนี้ตำรวจไทยและกัมพูชาไม่สามารถตามจับตัวได้
    กลายเป็น “ขอมดำดิน” จนบัดนี้ โดยตำรวจกัมพูชา คลำไม่เจอตัวซะแล้ว ไม่เหมือนตอนตะครุบตัวจ่าเอ็มที่จับได้อย่างไว ขบวนการสังหาร จึงมีคนที่รู้จักนายลิม กิมยา เพียงคนเดียว คือคนชี้เป้า น้องชายนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล
    ส่วนจ่าเอ็ม ก็ไม่รู้ว่าเป้าสังหารของตนเป็นใคร รอให้คนชี้เป้าส่งสัญญาณอย่างเดียว ให้ยิงใครก็ยิง ขบวนการใหญ่แบบนี้ หากใครจะนั่งยันนอนยันว่าไม่ใช่เรื่องการเมืองเลือด ต้อง “อมนครวัด” มาพูดกันเลยทีเดียว หากจะให้คนเชื่อ
    ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    อมนครวัดมาพูดก็คงไม่เชื่อ อ้างคดีลิม กิมยา เป็นเรื่องส่วนตัว นักการเมืองฝ่ายค้านของกัมพูชากำลังดาหน้าออกมาโวยในลักษณะฟ้องโลก ประมาณว่าตำรวจไทยกำลังเป่าคดี เหตุเกิดจาก บิ๊กต่ายไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ ว่าปมส่วนตัวที่ว่านั้นมันคืออะไร ยังไง เท่านั้นเอง ในกรณีเช่นนี้ต้องเข้าใจว่า จะกี่ยุคกี่สมัย ผบ.ตร.ที่ถูกกำกับดูแลโดยนักการเมือง ก็ไม่สามารถมีอิสระในการทำงานได้เต็มที่ ไม่ว่าใครก็ตาม หากอยู่ในสถานการณ์แบบบิ๊กต่าย คงต้องยอมเสียรังวัด ดีกว่าเสี่ยงจะเสียเก้าอี้ โดยเฉพาะเมื่อนายทักษิณ ชินวัตร พ่อนายกฯ ไทย มีสายสัมพันธ์อันแนบแน่นยาวนานกับสมเด็จฯ ฮุนเซน พ่อนายกฯ กัมพูชา มีไมตรีเกื้อหนุนกัน จนคนสงสัย “ทักษิณ-ฮุนเซน” จะแยกแยะได้หรือไม่ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ของแต่ละชาติ คำพูดของบิ๊กต่าย ที่ว่าคดีนี้ฆ่ากันด้วยเรื่องส่วนตัว เลยยิ่งฟังไม่มีน้ำหนัก เหมือนว่าตำรวจไทยโดนใบสั่งให้รีบสรุปรวบรัดให้มันจบๆ และในเรื่องนี้หมากตัวสำคัญก็คือ คนชี้เป้า ซึ่งนั่งรถบัสตามประกบนายลิม กิมยา จากฝั่งเขมรมาถึงใจกลางกรุง คนชี้เป้าที่แท้เป็นน้องชายของนักการเมืองซีกรัฐบาลในปัจจุบัน อาศัยในกรุงพนมเปญ แต่รายนี้ตำรวจไทยและกัมพูชาไม่สามารถตามจับตัวได้ กลายเป็น “ขอมดำดิน” จนบัดนี้ โดยตำรวจกัมพูชา คลำไม่เจอตัวซะแล้ว ไม่เหมือนตอนตะครุบตัวจ่าเอ็มที่จับได้อย่างไว ขบวนการสังหาร จึงมีคนที่รู้จักนายลิม กิมยา เพียงคนเดียว คือคนชี้เป้า น้องชายนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ส่วนจ่าเอ็ม ก็ไม่รู้ว่าเป้าสังหารของตนเป็นใคร รอให้คนชี้เป้าส่งสัญญาณอย่างเดียว ให้ยิงใครก็ยิง ขบวนการใหญ่แบบนี้ หากใครจะนั่งยันนอนยันว่าไม่ใช่เรื่องการเมืองเลือด ต้อง “อมนครวัด” มาพูดกันเลยทีเดียว หากจะให้คนเชื่อ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 846 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เกาะกูด” CONSPIRACY MOU44 ชนวนสังหารโหด “ลิม กึมยา”!?
    .
    การสังหารโหด “ลิม กึมยา” อดีต ส.ส.ฝ่ายค้านกัมพูชาและนักเคลื่อนไหวคนสำคัญ ระหว่างเดินทางมาประเทศไทยกับภรรยาชาวฝรั่งเศส ที่บริเวณเกาะกลางถนน ตรงข้ามวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ถือเป็นเรื่องที่สะท้านสะเทือนไปทั้งโลก
    .
    เนื่องเพราะเป็น “คำสั่งฆ่า” และเปิด “ปฏิบัติการข้ามชาติ” อย่างอุกอาจชนิดที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายเลยแม้แต่น้อย
    .
    แน่นอน ในส่วนของ “มือปืน” ชัดเจนแล้วว่าเป็นอดีตนาวิกโยธิน ซึ่งปัจจุบันประกอบอาชีพขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างในซอยสุขุมวิท 22 ที่ชื่อ “จ่าเอ็ม” หรือ “เอกลักษณ์ แพน้อย”
    .
    หลังปฏิบัติการเสร็จ “จ่าเอ็ม” มือปืนหลังสังหารโหดมีรถมารับหลบหนีออกนอกประเทศ ก่อนที่จะจับกุมตัวได้ที่จังหวัดพระตะบอง
    .
    ส่วน “คนชี้เป้า” จากหลักฐานกล้องวงจรปิด พบชายคนดังกล่าวเป็นชาวกัมพูชา เดินทางมากับรถบัสท่องเที่ยวข้ามประเทศคันเดียวกับ “ลิม กึมยา” จากด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เดินทางออกนอกประเทศ โดยสายการบินสกายอังกอร์ ปลายทางที่กรุงพนมเปญทันที
    .
    คนชี้เป้ารายนี้ ได้รับการเปิดเผยจากทางการไทยว่าคือ “นายคิมริน พิช”
    .
    ปฏิบัติการสังหารโหดดังกล่าวสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า มีการวางแผนล่วงหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ขณะที่ “คนสั่งการ” ถือว่า “ไม่ธรรมดา” เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถมีเส้นสายติดต่อ “มือปืนระดับพระกาฬ” ในประเทศไทยให้เป็นผู้ลงมือได้
    .
    คำถามมีเพียงประการเดียวคือ ทำไม “ลิม กึมยา” ถึงต้องตาย?
    .
    ที่มา https://news1live.com/detail/9680000003016
    “เกาะกูด” CONSPIRACY MOU44 ชนวนสังหารโหด “ลิม กึมยา”!? . การสังหารโหด “ลิม กึมยา” อดีต ส.ส.ฝ่ายค้านกัมพูชาและนักเคลื่อนไหวคนสำคัญ ระหว่างเดินทางมาประเทศไทยกับภรรยาชาวฝรั่งเศส ที่บริเวณเกาะกลางถนน ตรงข้ามวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ถือเป็นเรื่องที่สะท้านสะเทือนไปทั้งโลก . เนื่องเพราะเป็น “คำสั่งฆ่า” และเปิด “ปฏิบัติการข้ามชาติ” อย่างอุกอาจชนิดที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายเลยแม้แต่น้อย . แน่นอน ในส่วนของ “มือปืน” ชัดเจนแล้วว่าเป็นอดีตนาวิกโยธิน ซึ่งปัจจุบันประกอบอาชีพขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างในซอยสุขุมวิท 22 ที่ชื่อ “จ่าเอ็ม” หรือ “เอกลักษณ์ แพน้อย” . หลังปฏิบัติการเสร็จ “จ่าเอ็ม” มือปืนหลังสังหารโหดมีรถมารับหลบหนีออกนอกประเทศ ก่อนที่จะจับกุมตัวได้ที่จังหวัดพระตะบอง . ส่วน “คนชี้เป้า” จากหลักฐานกล้องวงจรปิด พบชายคนดังกล่าวเป็นชาวกัมพูชา เดินทางมากับรถบัสท่องเที่ยวข้ามประเทศคันเดียวกับ “ลิม กึมยา” จากด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เดินทางออกนอกประเทศ โดยสายการบินสกายอังกอร์ ปลายทางที่กรุงพนมเปญทันที . คนชี้เป้ารายนี้ ได้รับการเปิดเผยจากทางการไทยว่าคือ “นายคิมริน พิช” . ปฏิบัติการสังหารโหดดังกล่าวสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า มีการวางแผนล่วงหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ขณะที่ “คนสั่งการ” ถือว่า “ไม่ธรรมดา” เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถมีเส้นสายติดต่อ “มือปืนระดับพระกาฬ” ในประเทศไทยให้เป็นผู้ลงมือได้ . คำถามมีเพียงประการเดียวคือ ทำไม “ลิม กึมยา” ถึงต้องตาย? . ที่มา https://news1live.com/detail/9680000003016
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1210 มุมมอง 0 รีวิว
  • กัมพูชาแบนเครื่องดื่มชูกำลังในโรงเรียน

    แม้ในประเทศไทย เครื่องดื่มผสมคาเฟอีนหรือเครื่องดื่มชูกำลัง (Energy Drink) จะจำกัดส่วนผสมคาเฟอีนไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อ 1 ขวดหรือ 1 กระป๋อง และมีคำเตือนห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด โปรดสังเกตคำเตือนบนฉลากก่อนดื่มทุกครั้ง แต่ก็ไม่ได้จำกัดอายุผู้ซื้อ สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายของชำหรือร้านสะดวกซื้อ แต่สำหรับบางประเทศเริ่มมีมาตรการจำกัดผู้ซื้อ โดยเฉพาะเยาวชน เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อ โดยเฉพาะโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ

    กระทรวงศึกษาธิการเยาวชนและกีฬากัมพูชา ออกประกาศห้ามจำหน่าย บริโภค และโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลังทั้งในและโดยรอบสถานศึกษาทั่วประเทศ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2567 ที่ผ่านมา เพื่อป้องกันไม่ให้เยาวชนเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยเฉพาะโรคเบาหวาน หลังนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สั่งการให้ดูแลความปลอดภัยของอาหารและเครื่องดื่มในโรงเรียนอย่างเข้มงวด เพราะกังวลจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เพิ่มขึ้นในหมู่คนหนุ่มสาวชาวกัมพูชา

    "เด็กบางคนดื่มเครื่องดื่มชูกำลังมากถึง 3 กระป๋องต่อวัน" นายฮุน มาเนต กล่าวในพิธีวางศิลาฤกษ์โรงพยาบาลแห่งใหม่ของมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สุขภาพในกรุงพนมเปญ สอดคล้องกับรายงานของรัฐบาลกัมพูชา ที่ระบุว่า ระหว่างปี 2560-2564 มีผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วประเทศกว่า 90,000 ราย เสียชีวิตเกือบ 70 ราย และโรงพยาบาลเด็กคันธะโบภา (Kantha Bopha) ระบุว่าในปี 2566 เด็กเกือบ 700 คนวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 รักษาตัวโรงพยาบาลในจังหวัดเสียมราฐและพนมเปญ

    นายฮัง ชวน นารอน รมว.ศึกษาธิการเยาวชนและกีฬากัมพูชา ยืนยันว่าประกาศดังกล่าวบังคับใช้กับสถาบันการศึกษาทั่วไปทั้งของรัฐและเอกชน รวมไปถึงศูนย์ฝึกอบรมด้านเทคนิคและอาชีวศึกษาทั่วประเทศ พร้อมกันนี้ ยังให้โรงเรียนแต่ละแห่งให้ความรู้แก่นักเรียน ถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพจากเครื่องดื่มชูกำลัง พร้อมตรวจสอบและตรวจยึดเครื่องดื่มชูกำลังจากผู้ขายที่จำหน่ายภายในโรงเรียนและใกล้เคียง หากไม่ปฎิบัติตามจะถึงขั้นยกเลิกสัญญาเช่าแผงขายสินค้า

    ไม่ใช่แค่กัมพูชา แต่ประเทศตะวันตกอย่างโปแลนด์ ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังแก่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2567 ส่วนสาธารณรัฐเช็ก เตรียมห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังแก่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี หลังคณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อเดือน พ.ย. 2567 ส่วนสหราชอาณาจักร พรรคแรงงานเคยหาเสียงว่าจะห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังแก่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี แต่ก็มีผู้ค้าปลีกบางแห่งออกมาตรการจำกัดอายุผู้ซื้อด้วยตัวเอง

    #Newskit
    กัมพูชาแบนเครื่องดื่มชูกำลังในโรงเรียน แม้ในประเทศไทย เครื่องดื่มผสมคาเฟอีนหรือเครื่องดื่มชูกำลัง (Energy Drink) จะจำกัดส่วนผสมคาเฟอีนไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อ 1 ขวดหรือ 1 กระป๋อง และมีคำเตือนห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด โปรดสังเกตคำเตือนบนฉลากก่อนดื่มทุกครั้ง แต่ก็ไม่ได้จำกัดอายุผู้ซื้อ สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายของชำหรือร้านสะดวกซื้อ แต่สำหรับบางประเทศเริ่มมีมาตรการจำกัดผู้ซื้อ โดยเฉพาะเยาวชน เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อ โดยเฉพาะโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ กระทรวงศึกษาธิการเยาวชนและกีฬากัมพูชา ออกประกาศห้ามจำหน่าย บริโภค และโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลังทั้งในและโดยรอบสถานศึกษาทั่วประเทศ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2567 ที่ผ่านมา เพื่อป้องกันไม่ให้เยาวชนเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยเฉพาะโรคเบาหวาน หลังนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สั่งการให้ดูแลความปลอดภัยของอาหารและเครื่องดื่มในโรงเรียนอย่างเข้มงวด เพราะกังวลจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เพิ่มขึ้นในหมู่คนหนุ่มสาวชาวกัมพูชา "เด็กบางคนดื่มเครื่องดื่มชูกำลังมากถึง 3 กระป๋องต่อวัน" นายฮุน มาเนต กล่าวในพิธีวางศิลาฤกษ์โรงพยาบาลแห่งใหม่ของมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สุขภาพในกรุงพนมเปญ สอดคล้องกับรายงานของรัฐบาลกัมพูชา ที่ระบุว่า ระหว่างปี 2560-2564 มีผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วประเทศกว่า 90,000 ราย เสียชีวิตเกือบ 70 ราย และโรงพยาบาลเด็กคันธะโบภา (Kantha Bopha) ระบุว่าในปี 2566 เด็กเกือบ 700 คนวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 รักษาตัวโรงพยาบาลในจังหวัดเสียมราฐและพนมเปญ นายฮัง ชวน นารอน รมว.ศึกษาธิการเยาวชนและกีฬากัมพูชา ยืนยันว่าประกาศดังกล่าวบังคับใช้กับสถาบันการศึกษาทั่วไปทั้งของรัฐและเอกชน รวมไปถึงศูนย์ฝึกอบรมด้านเทคนิคและอาชีวศึกษาทั่วประเทศ พร้อมกันนี้ ยังให้โรงเรียนแต่ละแห่งให้ความรู้แก่นักเรียน ถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพจากเครื่องดื่มชูกำลัง พร้อมตรวจสอบและตรวจยึดเครื่องดื่มชูกำลังจากผู้ขายที่จำหน่ายภายในโรงเรียนและใกล้เคียง หากไม่ปฎิบัติตามจะถึงขั้นยกเลิกสัญญาเช่าแผงขายสินค้า ไม่ใช่แค่กัมพูชา แต่ประเทศตะวันตกอย่างโปแลนด์ ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังแก่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2567 ส่วนสาธารณรัฐเช็ก เตรียมห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังแก่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี หลังคณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อเดือน พ.ย. 2567 ส่วนสหราชอาณาจักร พรรคแรงงานเคยหาเสียงว่าจะห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังแก่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี แต่ก็มีผู้ค้าปลีกบางแห่งออกมาตรการจำกัดอายุผู้ซื้อด้วยตัวเอง #Newskit
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1006 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้องปลดแอกจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสกฤษฎีกากัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนในทะเล มีสองฉบับ**หนึ่ง กฤษฎีกาเลขที่ 439/72/PRK ที่กำหนดเส้นเขตไหล่ทวีป**สอง กฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ที่กำหนดทะเลอาณาเขตปรากฏว่าทั้งสองฉบับรุกล้ำทะเลอาณาเขตของไทยโดยอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907 ##กรณีเส้นเขตไหล่ทวีปรูป 1 จากเพจปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กัมพูชาประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปครั้งแรกปี 2513 ผ่านเกาะกูดเต็มที่รูป 2 ต่อมาเปลี่ยนเป็นกฤษฎีกาเลขที่ 439/72/PRK เกาะกูดอยู่ที่ปลายลูกศรสีแดง กลับเขียนเกาะกูดมีเส้นขยุกขยิก ทำให้ไม่ชัดเจนว่าเส้นผ่านเกาะกูดหรือไม่รูป 3 ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เขียนเอกสารวิชาการว่า เส้นไม่ได้ผ่านเกาะกูด แต่มาจรดชายฝั่งสองด้าน รูป 4 คือล้ำเข้ามาในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของไทย วงกลมสีเหลือง##กรณีทะเลอาณาเขตรูป 5 ดร.สุรเกียรติ์ แสดงแผนที่ในกฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ปรากฏว่ากัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขต จากหมุด 73 บนชายฝั่งมาจรดเกาะกูด แล้วหักลงใต้ผมค้นหากฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ในกูเกิ้ล ไม่พบเลย จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงต่างประเทศเอาเอกสารสำคัญทั้งหมดเผยแพร่ในเว็บไซต์รูป 6 เส้นทะเลอาณาเขตของกัมพูชาก็รุกล้ำเข้ามาในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของไทยอีกเช่นกัน วงกลมสีเหลืองรูป 7 จากเว็บไซต์ CIA สถานฑูตในกรุงพนมเปญรายงานว่า กัมพูชาตราเส้นทะเลอาณาเขตเกินระยะทาง 12 ไมล์ทะเลมาประชิดเกาะกูด ก็โดยอ้างอิงสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907ผมให้ข้อมูลดังนี้:-หนึ่ง เส้นเขตไหล่ทวีปที่ประชิดเกาะกูดสองด้านนั้น อ้างพื้นฐานมาจากเส้นทะเลอาณาเขตเกินระยะทาง 12 ไมล์ทะเลที่กัมพูชาลากมาประชิดเกาะกูดนั่นเองสอง กัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขตมาประชิดเกาะกูด เป็นการรุกล้ำเขตอธิปไตยของประเทศไทย(เขตอธิปไตยของประเทศไทยซึ่งกองทัพไทยมีหน้าที่ต้องปกป้องทันทีถ้ามีการรุกราน ไม่ว่าทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ คือผืนแผ่นดินไทยซึ่งบวกกับทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล)สาม MOU44 มีการแสดงเส้นเขตไหล่ทวีปที่มีพื้นฐานมาจากเส้นทะเลอาณาเขต จึงเป็นการรับรู้ว่า กัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขตรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยพูดแบบชาวบ้าน เป็นการไปรับรู้ว่า อาณาเขตทางทะเลของกัมพูชา กินแดนเข้ามาในอาณาเขตทางทะเลของไทยสี่ กัมพูชาอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907 บิดเบือน เพราะสนธิสัญญาฯพูดถึงการแบ่งเขตบนชายฝั่ง ไม่ใช่ในทะเลห้า เส้นเขตไหล่ทวีปที่ประชิดเกาะกูดสองด้านนั้น ไม่ถูกต้องตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป เพราะอนุสัญญาใช้สำหรับเล็งเส้นในทะเล ไม่ใช่เล็งเส้นผ่านพื้นที่บนบกและอนุสัญญาฯไม่ได้ยอมให้อ้างอิงสิทธิทางประวัติศาสตร์กล่าวโดยสรุป เหตุผลสนับสนุนยกเลิก MOU44 อีกประการหนึ่งคือ MOU44 ไปรับรู้ ทั้งเส้นเขตไหล่ทวีป และเส้นทะเลอาณาเขตของกัมพูชา รับรู้ว่าทั้งสองเส้นรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยวันที่ 6 ธันวาคม 2567นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    ต้องปลดแอกจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสกฤษฎีกากัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนในทะเล มีสองฉบับ**หนึ่ง กฤษฎีกาเลขที่ 439/72/PRK ที่กำหนดเส้นเขตไหล่ทวีป**สอง กฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ที่กำหนดทะเลอาณาเขตปรากฏว่าทั้งสองฉบับรุกล้ำทะเลอาณาเขตของไทยโดยอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907 ##กรณีเส้นเขตไหล่ทวีปรูป 1 จากเพจปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กัมพูชาประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปครั้งแรกปี 2513 ผ่านเกาะกูดเต็มที่รูป 2 ต่อมาเปลี่ยนเป็นกฤษฎีกาเลขที่ 439/72/PRK เกาะกูดอยู่ที่ปลายลูกศรสีแดง กลับเขียนเกาะกูดมีเส้นขยุกขยิก ทำให้ไม่ชัดเจนว่าเส้นผ่านเกาะกูดหรือไม่รูป 3 ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เขียนเอกสารวิชาการว่า เส้นไม่ได้ผ่านเกาะกูด แต่มาจรดชายฝั่งสองด้าน รูป 4 คือล้ำเข้ามาในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของไทย วงกลมสีเหลือง##กรณีทะเลอาณาเขตรูป 5 ดร.สุรเกียรติ์ แสดงแผนที่ในกฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ปรากฏว่ากัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขต จากหมุด 73 บนชายฝั่งมาจรดเกาะกูด แล้วหักลงใต้ผมค้นหากฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ในกูเกิ้ล ไม่พบเลย จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงต่างประเทศเอาเอกสารสำคัญทั้งหมดเผยแพร่ในเว็บไซต์รูป 6 เส้นทะเลอาณาเขตของกัมพูชาก็รุกล้ำเข้ามาในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของไทยอีกเช่นกัน วงกลมสีเหลืองรูป 7 จากเว็บไซต์ CIA สถานฑูตในกรุงพนมเปญรายงานว่า กัมพูชาตราเส้นทะเลอาณาเขตเกินระยะทาง 12 ไมล์ทะเลมาประชิดเกาะกูด ก็โดยอ้างอิงสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907ผมให้ข้อมูลดังนี้:-หนึ่ง เส้นเขตไหล่ทวีปที่ประชิดเกาะกูดสองด้านนั้น อ้างพื้นฐานมาจากเส้นทะเลอาณาเขตเกินระยะทาง 12 ไมล์ทะเลที่กัมพูชาลากมาประชิดเกาะกูดนั่นเองสอง กัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขตมาประชิดเกาะกูด เป็นการรุกล้ำเขตอธิปไตยของประเทศไทย(เขตอธิปไตยของประเทศไทยซึ่งกองทัพไทยมีหน้าที่ต้องปกป้องทันทีถ้ามีการรุกราน ไม่ว่าทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ คือผืนแผ่นดินไทยซึ่งบวกกับทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล)สาม MOU44 มีการแสดงเส้นเขตไหล่ทวีปที่มีพื้นฐานมาจากเส้นทะเลอาณาเขต จึงเป็นการรับรู้ว่า กัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขตรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยพูดแบบชาวบ้าน เป็นการไปรับรู้ว่า อาณาเขตทางทะเลของกัมพูชา กินแดนเข้ามาในอาณาเขตทางทะเลของไทยสี่ กัมพูชาอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907 บิดเบือน เพราะสนธิสัญญาฯพูดถึงการแบ่งเขตบนชายฝั่ง ไม่ใช่ในทะเลห้า เส้นเขตไหล่ทวีปที่ประชิดเกาะกูดสองด้านนั้น ไม่ถูกต้องตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป เพราะอนุสัญญาใช้สำหรับเล็งเส้นในทะเล ไม่ใช่เล็งเส้นผ่านพื้นที่บนบกและอนุสัญญาฯไม่ได้ยอมให้อ้างอิงสิทธิทางประวัติศาสตร์กล่าวโดยสรุป เหตุผลสนับสนุนยกเลิก MOU44 อีกประการหนึ่งคือ MOU44 ไปรับรู้ ทั้งเส้นเขตไหล่ทวีป และเส้นทะเลอาณาเขตของกัมพูชา รับรู้ว่าทั้งสองเส้นรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยวันที่ 6 ธันวาคม 2567นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1004 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำเตือน….สิ่งที่คนไทยไม่รู้จากบทสัมภาษณ์ของฮุน มาเนต ต่อทีท่าการเคลื่อนไหวในประเทศไทยและ MOU44 ซึ่งเขาไม่เคยยอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทยThe Phnom Penh Post (พนมเปญ โพส์ต) หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของทางการกัมพูชา ได้ออกข่าวบทสัมภาษณ์ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาและบุตรชายสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 บทสัมภาษณ์ทำให้เราเห็นว่า กัมพูชายังคงย้ำว่าปัญหาเกาะกูดยังไม่ได้ข้อยุติ ไทยอ้างสิทธิ์ของตนในอธิปไตยเหนือเกาะกูดแต่ฝ่ายเดียว นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นๆอีกที่คนไทยเราไม่เคยรับรู้จากกระทรวงการต่างประเทศของไทย แต่เป็นเรื่องน่าละอายใจที่ต้องไปรับรู้มาจากประเทศอื่น เช่น ข้ออ้างเรื่องเขตแดนทางบก ที่บรรลุข้อตกลงไปแล้ว 42 หลักเขต ระยะทาง 805 กิโลเมตร ยังคงเหลืออีก 31 หลักซึ่งยังตกลงกันไม่ได้ รัฐบาลไทยก็ไม่สนใจเกียรติศักดิ์ศรีของตนเอง วันๆเรามีนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญต่อครอบครัวตนเองมากกว่าประเทศไทย เป็นเรื่องน่าเศร้ามากครับคำสัมภาษณ์ของฮุน มาเนตมีดังนี้“นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้กล่าวถึงการตัดสินใจของรัฐบาลที่นิ่งเฉยต่อข้อพิพาทอธิปไตยเหนือเกาะกูด โดยอ้างถึงการเจรจาต่อรองเขตแดนทางทะเลกับ ประเทศไทยซึ่งยังไม่ได้ให้ข้อยุติ นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต กล่าวถึงการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะไม่พูดถึงข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยเหนือเกาะกูด โดยอ้างถึงการเจรจาเรื่องพรมแดนทางทะเลกับไทยที่ยังคงดำเนินอยู่แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ปัจจุบันทั้งสองประเทศอ้างสิทธิ์ในเกาะดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของตน คำอธิบายดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มฝ่ายค้านและประชาชนบางส่วนที่กล่าวหารัฐบาลว่าไม่ตอบสนองต่อคำกล่าวอ้างของไทยเกี่ยวกับเกาะดังกล่าว ฮุน มาเนต ชี้แจงว่าข้อกล่าวอ้างเหล่านี้มาจากพรรคฝ่ายค้านของไทย ไม่ใช่จากรัฐบาลในการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสำเร็จการศึกษาของนักศึกษมหาวิทยาลัยกรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน มาเนตเน้นย้ำว่าปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนต้องได้รับการจัดการด้วยความระมัดระวัง บางคนบอกว่ารัฐบาลเงียบราวกับ ‘ขโมยม้า’ ไม่ยอมเผชิญหน้ากับไทยเกี่ยวกับข้อเรียกร้องดังกล่าว พวกเขาตำหนิรัฐบาลของฉันว่าสูญเสียเกาะกูดและดินแดนทางทะเลของกัมพูชา พวกเขาบอกว่ารัฐบาลควรนำเรื่องนี้ไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และให้คำอธิบาย”“ทำไมรัฐบาลจึงนิ่งเฉย คำตอบอยู่ที่หลักการสองประการ คือ ความเป็นผู้ใหญ่ทางการเมืองและความรับผิดชอบต่อชาติ หลักการเหล่านี้เป็นแนวทางให้รัฐบาลนิ่งเฉย เพราะการพูดออกมาไม่ได้สะท้อนถึงความเป็นผู้ใหญ่” เขากล่าวมาเนต ได้ขยายความถึงแนวคิดเรื่องวุฒิภาวะทางการเมือง โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาอย่างเป็นทางการระหว่างสองประเทศเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน เขาย้ำว่าปัญหาที่ละเอียดอ่อนดังกล่าวควรได้รับการแก้ไขผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ผ่านโซเชียลมีเดียหรือสื่อมวลชนรัฐบาลไม่ได้พูดแบบที่นักวิเคราะห์พูดกัน” เขากล่าว “เมื่อเราพูด เรื่องนี้จะมีความสำคัญ เราควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของประเทศอื่นหรือไม่ พวกเขาปกป้องสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นของพวกเขา ฝ่ายหนึ่งอ้างว่าดินแดนของพวกเขาสูญหายไป อีกฝ่ายก็บอกว่าไม่เป็นเช่นนั้น ทำไมเราต้องจุดไฟเผาบ้านของเราโดยไม่จำเป็น การกระทำโดยหุนหันพลันแล่นอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น” เขากล่าวอธิบาย มาเนตเน้นย้ำว่ากัมพูชาและไทยได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการหารือเรื่องพรมแดนขึ้น 2 คณะ ได้แก่ คณะกรรมาธิการชายแดนร่วม (JBC) ซึ่งรับผิดชอบประเด็นพรมแดนทางบก และคณะกรรมการเทคนิคร่วม (JTC) ซึ่งเน้นที่เขตแดนทางทะเล“นี่เป็นกลไกอย่างเป็นทางการ รัฐบาลทำงานผ่านกลไกเหล่านี้ สิ่งที่พวกเขาพูด [ในประเทศไทย] เป็นเรื่องของพวกเขา หากมีข้อขัดแย้ง ควรมีการแก้ไขแบบพบหน้ากันเพื่อให้เป็นทางการ” เขากล่าวอธิบายมาเนตกล่าวว่าการเจรจาเรื่องพรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศจนถึงขณะนี้ได้ดำเนินการเฉพาะเรื่องพรมแดนทางบกเท่านั้น โดยได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับพรมแดนทางบกระยะทาง 805 กิโลเมตร ครอบคลุม 73 หลัก โดยมี 42 หลักที่สรุปผลแล้ว และอีก 31 หลักยังอยู่ระหว่างการพิจารณา“เราได้กำหนดขอบเขตที่ดินตามสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยามในปี 1907 ซึ่งครอบคลุมระยะทาง 805 กิโลเมตรและมีเครื่องหมายพรมแดน 73 หลัก การเจรจาใช้เวลา 18 ปีจึงจะสรุปเครื่องหมายได้ 42 หลัก แต่การทำงานยังคงดำเนินต่อไปจนถึงจุดที่วัดได้ละเอียดทุกมิลลิเมตร” เขากล่าวเมื่อพูดถึงเขตแดนทางทะเล มาเนตกล่าวว่า “เราเคยตกลงกันเรื่องเขตแดนทางทะเลหรือไม่? ไม่เลย การเจรจาเกิดขึ้นหลายครั้งโดยไม่มีข้อตกลง หากไม่มีข้อตกลง เราจะสูญเสียอะไรไป? ขอถามหน่อยเถอะ บางคนบอกว่ามันเป็นการทรยศหรือสูญเสียดินแดน แต่ถ้าไม่มีข้อตกลง เราจะฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้อย่างไร?”เขาได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของกัมพูชาผ่านกลไกสันติภาพที่ใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า สำนักเลขาธิการกิจการชายแดนมีความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับการเจรจาต่อเนื่องกับไทยในเรื่องชายแดนนอกจากนี้ มาเนต ยังกล่าวอีกว่า พื้นที่ทั้งหมดของประเทศอาจมีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการคือ 181,035 ตารางกิโลเมตรเขาอ้างถึงการวัด GPS เชิงทดลองที่ดำเนินการในปี 2012 ซึ่งแนะนำว่าการวัดดังกล่าวอาจขยายได้ถึง 181,436 ตารางกิโลเมตร“เศร้าครับ….. เทพมนตรี ลิมปพยอม26 พฤศจิกายน 2567
    คำเตือน….สิ่งที่คนไทยไม่รู้จากบทสัมภาษณ์ของฮุน มาเนต ต่อทีท่าการเคลื่อนไหวในประเทศไทยและ MOU44 ซึ่งเขาไม่เคยยอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทยThe Phnom Penh Post (พนมเปญ โพส์ต) หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของทางการกัมพูชา ได้ออกข่าวบทสัมภาษณ์ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาและบุตรชายสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 บทสัมภาษณ์ทำให้เราเห็นว่า กัมพูชายังคงย้ำว่าปัญหาเกาะกูดยังไม่ได้ข้อยุติ ไทยอ้างสิทธิ์ของตนในอธิปไตยเหนือเกาะกูดแต่ฝ่ายเดียว นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นๆอีกที่คนไทยเราไม่เคยรับรู้จากกระทรวงการต่างประเทศของไทย แต่เป็นเรื่องน่าละอายใจที่ต้องไปรับรู้มาจากประเทศอื่น เช่น ข้ออ้างเรื่องเขตแดนทางบก ที่บรรลุข้อตกลงไปแล้ว 42 หลักเขต ระยะทาง 805 กิโลเมตร ยังคงเหลืออีก 31 หลักซึ่งยังตกลงกันไม่ได้ รัฐบาลไทยก็ไม่สนใจเกียรติศักดิ์ศรีของตนเอง วันๆเรามีนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญต่อครอบครัวตนเองมากกว่าประเทศไทย เป็นเรื่องน่าเศร้ามากครับคำสัมภาษณ์ของฮุน มาเนตมีดังนี้“นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้กล่าวถึงการตัดสินใจของรัฐบาลที่นิ่งเฉยต่อข้อพิพาทอธิปไตยเหนือเกาะกูด โดยอ้างถึงการเจรจาต่อรองเขตแดนทางทะเลกับ ประเทศไทยซึ่งยังไม่ได้ให้ข้อยุติ นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต กล่าวถึงการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะไม่พูดถึงข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยเหนือเกาะกูด โดยอ้างถึงการเจรจาเรื่องพรมแดนทางทะเลกับไทยที่ยังคงดำเนินอยู่แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ปัจจุบันทั้งสองประเทศอ้างสิทธิ์ในเกาะดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของตน คำอธิบายดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มฝ่ายค้านและประชาชนบางส่วนที่กล่าวหารัฐบาลว่าไม่ตอบสนองต่อคำกล่าวอ้างของไทยเกี่ยวกับเกาะดังกล่าว ฮุน มาเนต ชี้แจงว่าข้อกล่าวอ้างเหล่านี้มาจากพรรคฝ่ายค้านของไทย ไม่ใช่จากรัฐบาลในการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสำเร็จการศึกษาของนักศึกษมหาวิทยาลัยกรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน มาเนตเน้นย้ำว่าปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนต้องได้รับการจัดการด้วยความระมัดระวัง บางคนบอกว่ารัฐบาลเงียบราวกับ ‘ขโมยม้า’ ไม่ยอมเผชิญหน้ากับไทยเกี่ยวกับข้อเรียกร้องดังกล่าว พวกเขาตำหนิรัฐบาลของฉันว่าสูญเสียเกาะกูดและดินแดนทางทะเลของกัมพูชา พวกเขาบอกว่ารัฐบาลควรนำเรื่องนี้ไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และให้คำอธิบาย”“ทำไมรัฐบาลจึงนิ่งเฉย คำตอบอยู่ที่หลักการสองประการ คือ ความเป็นผู้ใหญ่ทางการเมืองและความรับผิดชอบต่อชาติ หลักการเหล่านี้เป็นแนวทางให้รัฐบาลนิ่งเฉย เพราะการพูดออกมาไม่ได้สะท้อนถึงความเป็นผู้ใหญ่” เขากล่าวมาเนต ได้ขยายความถึงแนวคิดเรื่องวุฒิภาวะทางการเมือง โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาอย่างเป็นทางการระหว่างสองประเทศเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน เขาย้ำว่าปัญหาที่ละเอียดอ่อนดังกล่าวควรได้รับการแก้ไขผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ผ่านโซเชียลมีเดียหรือสื่อมวลชนรัฐบาลไม่ได้พูดแบบที่นักวิเคราะห์พูดกัน” เขากล่าว “เมื่อเราพูด เรื่องนี้จะมีความสำคัญ เราควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของประเทศอื่นหรือไม่ พวกเขาปกป้องสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นของพวกเขา ฝ่ายหนึ่งอ้างว่าดินแดนของพวกเขาสูญหายไป อีกฝ่ายก็บอกว่าไม่เป็นเช่นนั้น ทำไมเราต้องจุดไฟเผาบ้านของเราโดยไม่จำเป็น การกระทำโดยหุนหันพลันแล่นอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น” เขากล่าวอธิบาย มาเนตเน้นย้ำว่ากัมพูชาและไทยได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการหารือเรื่องพรมแดนขึ้น 2 คณะ ได้แก่ คณะกรรมาธิการชายแดนร่วม (JBC) ซึ่งรับผิดชอบประเด็นพรมแดนทางบก และคณะกรรมการเทคนิคร่วม (JTC) ซึ่งเน้นที่เขตแดนทางทะเล“นี่เป็นกลไกอย่างเป็นทางการ รัฐบาลทำงานผ่านกลไกเหล่านี้ สิ่งที่พวกเขาพูด [ในประเทศไทย] เป็นเรื่องของพวกเขา หากมีข้อขัดแย้ง ควรมีการแก้ไขแบบพบหน้ากันเพื่อให้เป็นทางการ” เขากล่าวอธิบายมาเนตกล่าวว่าการเจรจาเรื่องพรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศจนถึงขณะนี้ได้ดำเนินการเฉพาะเรื่องพรมแดนทางบกเท่านั้น โดยได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับพรมแดนทางบกระยะทาง 805 กิโลเมตร ครอบคลุม 73 หลัก โดยมี 42 หลักที่สรุปผลแล้ว และอีก 31 หลักยังอยู่ระหว่างการพิจารณา“เราได้กำหนดขอบเขตที่ดินตามสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยามในปี 1907 ซึ่งครอบคลุมระยะทาง 805 กิโลเมตรและมีเครื่องหมายพรมแดน 73 หลัก การเจรจาใช้เวลา 18 ปีจึงจะสรุปเครื่องหมายได้ 42 หลัก แต่การทำงานยังคงดำเนินต่อไปจนถึงจุดที่วัดได้ละเอียดทุกมิลลิเมตร” เขากล่าวเมื่อพูดถึงเขตแดนทางทะเล มาเนตกล่าวว่า “เราเคยตกลงกันเรื่องเขตแดนทางทะเลหรือไม่? ไม่เลย การเจรจาเกิดขึ้นหลายครั้งโดยไม่มีข้อตกลง หากไม่มีข้อตกลง เราจะสูญเสียอะไรไป? ขอถามหน่อยเถอะ บางคนบอกว่ามันเป็นการทรยศหรือสูญเสียดินแดน แต่ถ้าไม่มีข้อตกลง เราจะฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้อย่างไร?”เขาได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของกัมพูชาผ่านกลไกสันติภาพที่ใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า สำนักเลขาธิการกิจการชายแดนมีความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับการเจรจาต่อเนื่องกับไทยในเรื่องชายแดนนอกจากนี้ มาเนต ยังกล่าวอีกว่า พื้นที่ทั้งหมดของประเทศอาจมีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการคือ 181,035 ตารางกิโลเมตรเขาอ้างถึงการวัด GPS เชิงทดลองที่ดำเนินการในปี 2012 ซึ่งแนะนำว่าการวัดดังกล่าวอาจขยายได้ถึง 181,436 ตารางกิโลเมตร“เศร้าครับ….. เทพมนตรี ลิมปพยอม26 พฤศจิกายน 2567
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 929 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวีเดนประกาศปิดสำนักงานสถานทูตในพนมเปญ แต่มาใช้สถานทูตสวีเดนในกรุงเทพฯ แทน อ้างเหตุผลจากการระงับความร่วมมือทวิภาคีกับกัมพูชา และการจัดการสนับสนุนกัมพูชาภายใต้กลยุทธ์ระดับภูมิภาคสำหรับความร่วมมือเพื่อการพัฒนากับเอเชียและแปซิฟิกได้ถูกโอนไปยังสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสวีเดน (Sida - Styrelsen för Internationellt Utvecklingssamarbete) ในกรุงสตอกโฮล์มแล้ว ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม2567ที่ผ่านมา

    21 กันยายน 2567-รายงานจากเพจเฟซบุ๊กของสถานเอกอัครราชทูตสวีเดน ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชาได้ประกาศปิดอย่างเป็นทางการและจะยุติการปฏิบัติงานในวันที่ 30 กันยายน 2567 นี้ โดยได้มีการประกาศแจ้งชาวสวีเดนที่อยู่ในประเทศกัมพูชา โดยจะใช้สถานเอกอัครราชทูตสวีเดน ณ กรุงเทพฯ เป็นแทน

    ซึ่งทางการสวีเดนระบุว่า สาเหตุของการปิดสถานทูตสวีเดน ในกัมพูชาเนื่องจากการตัดสินใจของรัฐบาลสวีเดนในการระงับความร่วมมือทวีภาคีกับกัมพูชา และการจัดการสนับสนุนกัมพูชาภายใต้กลยุทธ์ระดับภูมิภาคสำหรับความร่วมมือเพื่อการพัฒนากับเอเชียและแปซิฟิกได้ถูกโอนไปยังสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสวีเดน (Sida - Styrelsen för Internationellt Utvecklingssamarbete) ในกรุงสตอกโฮล์มแล้ว ตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมา

    ส่วนสถานกงสุลสวีเดนในกรุงพนมเปญ จะยังคงเปิดให้บริการพื้นฐานแก่พลเมืองสวีเดนในกัมพูชาต่อไป ซึ่งการปิดสำนักงานฯ ที่เกิดขึ้นนั้นรวมถึงการปิดเพจเฟซบุ๊ก สถานเอกอัครราชทูตสวีเดน ณ กรุงพนมเปญ โดยได้แนะนำให้พลเมืองสวีเดนใช้ติดต่อประสานงานผ่านช่องทาง เฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูตสวีเดน ณ กรุงเทพฯ แทนเช่นกัน

    #Thaitimes
    สวีเดนประกาศปิดสำนักงานสถานทูตในพนมเปญ แต่มาใช้สถานทูตสวีเดนในกรุงเทพฯ แทน อ้างเหตุผลจากการระงับความร่วมมือทวิภาคีกับกัมพูชา และการจัดการสนับสนุนกัมพูชาภายใต้กลยุทธ์ระดับภูมิภาคสำหรับความร่วมมือเพื่อการพัฒนากับเอเชียและแปซิฟิกได้ถูกโอนไปยังสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสวีเดน (Sida - Styrelsen för Internationellt Utvecklingssamarbete) ในกรุงสตอกโฮล์มแล้ว ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม2567ที่ผ่านมา 21 กันยายน 2567-รายงานจากเพจเฟซบุ๊กของสถานเอกอัครราชทูตสวีเดน ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชาได้ประกาศปิดอย่างเป็นทางการและจะยุติการปฏิบัติงานในวันที่ 30 กันยายน 2567 นี้ โดยได้มีการประกาศแจ้งชาวสวีเดนที่อยู่ในประเทศกัมพูชา โดยจะใช้สถานเอกอัครราชทูตสวีเดน ณ กรุงเทพฯ เป็นแทน ซึ่งทางการสวีเดนระบุว่า สาเหตุของการปิดสถานทูตสวีเดน ในกัมพูชาเนื่องจากการตัดสินใจของรัฐบาลสวีเดนในการระงับความร่วมมือทวีภาคีกับกัมพูชา และการจัดการสนับสนุนกัมพูชาภายใต้กลยุทธ์ระดับภูมิภาคสำหรับความร่วมมือเพื่อการพัฒนากับเอเชียและแปซิฟิกได้ถูกโอนไปยังสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสวีเดน (Sida - Styrelsen för Internationellt Utvecklingssamarbete) ในกรุงสตอกโฮล์มแล้ว ตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมา ส่วนสถานกงสุลสวีเดนในกรุงพนมเปญ จะยังคงเปิดให้บริการพื้นฐานแก่พลเมืองสวีเดนในกัมพูชาต่อไป ซึ่งการปิดสำนักงานฯ ที่เกิดขึ้นนั้นรวมถึงการปิดเพจเฟซบุ๊ก สถานเอกอัครราชทูตสวีเดน ณ กรุงพนมเปญ โดยได้แนะนำให้พลเมืองสวีเดนใช้ติดต่อประสานงานผ่านช่องทาง เฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูตสวีเดน ณ กรุงเทพฯ แทนเช่นกัน #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    9
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1848 มุมมอง 0 รีวิว