• ((( รู้มั้ย? กูเบื่อคนไทยตรงไหน? )))ไม่เรียนรู้ ไม่จดจำ นิ่งไม่เป็น ความจำสั้นกูรู้ หลังศาลท่านไม่รับฟ้องอีเหลี่ยม กูก็เดาทางไว้ก่อนแล้ว ว่า "หาก"ก่อนจะเข้าประเด็นหลัก ที่มรึงอยากรู้ กูขอเตือนความจำมรึงหน่อยน่ะเพิ่งผ่านมาหมาดๆ ..อีเหลี่ยมได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ พวกมรึงก็ดิ้นยิ่งกว่านักโทษซะอีกแล้วเป็นไง? เงื่อนไขอภัยลดโทษ ว่ายังไง? ทูลเกล้าเท็จ ตามมา เพราะเค้าอ่านขาดตั้งแต่เริ่มแล้วว่า มันจะจบตรงไหน อีเหลี่ยม ไม่ได้อภัยโทษไม่พอ ยังจะลากไส้เน่า ทั้งกรมคุก สภาแพทย์ อัยกวย กรมกากี ตายห่ายกชั้น 14 ไปด้วย มรึงเข้าใจยัง? ว่าอภัยลดโทษ มันคือ "กับดัก" หมาที่ไหนก็รู้ ว่ามันป่วยซะที่ไหน? โซเชี่ยลฆ่ามันเองทุกดอก หลักฐานคาจอ เค้าวางหมากไว้รอแล้ว โทษที่มันต้องเจอคือ มอ.112 คดีอื่นอีกเพี๊ยบไม่นับ แต่ดอกนี้ ถึงตายคาคุก และมีจารึกในประวัติศาสตร์ ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อะไรระบุในพระราชกิจจานุเบกษา มันคือหน้าประวัติศาสตร์ไงล่ะ? เดี๋ยวยังจะมีอีก อีเหลี่ยมรอด อีเหลี่ยมไม่โดนฟ้อง อีเหลี่ยมพ้นโทษอื่น แล้วมรึงก็จะดิ้นไปมาไม่เลิก แค้นมันมากสิน่ะ อยากฆ่ามันเองกับมือสิน่ะ อย่าให้เปลืองแรง เดี๋ยวเสนียดจะติดมือมรึงไปด้วย โทษของตระกูลไอ้อีเหี้ยส่องหล้านั้น ถูกกำหนดไว้นานแล้ว จัดการไม่ยาก แต่จะขุดรากถอนโคน และปลุกไอ้ควายไทยบัดซบให้ตื่นเนี่ย มรึงว่าง่ายเหรอ? หากไม่เห็นด้วยตาตัวเอง หากไม่ฉิบหายคาตา ระบบพ่อปกครองลูกจะได้กลับมามุย? อย่าดูแค่เปลือก ให้ไปดูแก่นของเรื่องนี้เข้าประเด็นกันเลย1.อีเหลี่ยมถูกฟ้องกี่คดีรู้มั้ย? มากกว่า 40 คดี ทั้งในอดีตและปัจจุบัน มรึงรู้มั้ยว่า บางคดีไม่มีอายุความ บางคดีรื้อใหม่ได้ หากมีหลักฐานเพิ่ม รวมทั้งคดีตากใบ ที่ยื่นคนละประเด็นฟ้องเบื้องต้น ทุกอย่างเค้าสะสมไว้หมดแล้ว ดังนั้น ไอ้คดีเป็นภัยต่อความมั่นคง และเป็นภัยต่อระบบการปกครองเนี่ย โจทย์มันกว้างเป็นแม่น้ำ กว่าจะไล่เรียง สอบพยาน สอบหลักฐาน มรึงรู้มั้ยว่า ใช้เวลากี่ปี? เข้าใจยัง? มันตายห่าไปแล้วคดียังไม่เสร็จเลย มรึงเชื่อมั้ย? แล้วจะรับฟ้องไปเพื่อ?2.จะฆ่าเหี้ยเนี่ย มรึงต้องเอาให้คาหนังคาเขา สิ่งที่มันพลาดเพราะความกร่าง นั่นคือ "วาจา" การให้สัมภาษณ์ และพยานสิ่งแวดล้อม พยานหลักฐานในโซเชี่ยล ภาพนิ่ง VDO และเอกสารยืนยันปลอมทั้งหลาย พวกนี้ต่างหาก ที่พิสูจน์ได้ชัดเจน ใช้เวลาไม่นาน และมัดตาสังข์ชัดเจนกว่า โดยเฉพาะเรื่อง มอ.112 เรื่องที่ดิน เรื่องออกคำสั่งผิดกฎหมาย(ตอนอยู่ในอำนาจ เอื้อประโยชน์ชาติอื่น โดยเอาความมั่นคงไปเสี่ยง และอีกมากมาย ที่มีหลักฐานใหม่เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ผลของการกระทำเกิดขึ้นจริงแล้ว) สรุปคือล่อมันตายคาคุก ต้องล่อคดีแห่งวาระตนเองทำ ไม่ต้องมีบุคคลที่สามเอี่ยว ถึงจะเร็วและเด็ดหัวได้จริง อย่าว่าโทษ 10 ปี 20 ปี เลย แค่วันเดียวมันก็ไม่ยอมจะอยู่ เผ่นชัวร์ นั่นแหละที่เค้ารอให้มันทำ ไปเอง แล้วคืนสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี ที่เอาไปฝากญาติคืนแผ่นดินมาให้หมด เค้าเช็ครู้หมด มรึงเอาไปฝากใครบ้าง?3.ไอ้ที่รอเนี่ย ไม่ได้กลัวอีเหลี่ยมกระจอกดอกน่ะ ไอ้ตัวที่อยู่เบื้องหลังมันต่างหากล่ะ ที่กำลังจะถูกลากไส้เข้ามาโผล่ให้เห็น ว่าอเมริกา อังกฤษ อิสราเอล มีส่วนในการแทรกแซงการปกครองไทย แค่อีเหลี่ยม กระสุนนัดเดียวจบไปนานแล้ว แต่นั่นคือสิ่งที่เหี้ย CIA รออยู่เช่นกัน มรึงคิดว่ามีขี้ข้าหมารับใช้อีวอชิงตันอยู่ในเมืองไทยเท่าไหร่ เฉพาะสายลับ หน่วยสืบราชการลับเหี้ย ก็หลายแสนแล้ว ชาวบ้านที่ถูกล้างสมองอีกเป็นล้าน หมู่บ้านชาวตะวันตกในอีสานมีไปทำไม? นั่นแหละดง CIA เลยมรึง! ไอ้พวกนี้ รอแค่ไฟเขียวก่อจราจล ที่มาว่าทำไม เราต้องเอารัสเซีย จีน เข้ามาปัดกวาดสิ่งสกปรกพวกนี้ โดยเราจัดการคนในเรากันเองพอ ส่วนไอ้อีต่างชาติ ปล่อยรัสเซีย จีน เค้าเก็บกวาดให้เอง ทำไมมันซับซ้อนเยอะจัง? มรึงรู้มั้ยว่า กว่าวังจะรอดมาถึงวันนี้ได้ ต้องแลกกับอะไรบ้าง? หากพ่อท่านร.9 ไม่สร้างฐาน ฉีดวัคซีนให้คนไทยไว้พึ่งพิงตัวเองก่อนนี้ ป่านนี้ ถูกมันซื้อตัวไปหมดประเทศแล้ว เพราะมีเหี้ยอะไรก็แบมือขอรัฐท่าเดียว ไม่ต้องทำมาหาแดร๊กกันแล้ว อานิสงค์พ่อท่าน ถึงรอด?สรุปคือ คดีกว้างไป โจทย์กว้างไป ตัดได้ เก็บคดีหนัก คดีใหญ่ ที่มีมัดตราสังข์รออยู่ อย่าเพิ่งรีบลงดาบ ในขณะที่คนไทยทั้งหมด ยังไม่เห็นธาตุแท้เหี้ยเด่นชัด จนกว่าคนไทยจะเข้าใจว่า ปชต.ไม่มีอยู่จริงในโลก แค่สมบัติผลัดกันชม เหี้ยไป จัญไรมา ที่สำคัญคือ ไทยเราจะกลายเป็นโมเดล "พ่อปกครองลูก" ที่ทั่วโลกจะนำไปใช้ในอนาคต อย่าโฟกัสแค่อีเหลี่ยมมากจนเกินไป จนลืมไปว่า ประเทศไทย ยังมีอะไรที่ต้องดิ้นรน และฟันฝ่าอีกเยอะ อีเหลี่ยมตายวันนี้ มรึงสะใจ มรึงคิดว่าชนะแล้วเหรอ? หัวหน้ามันยังอยู่ทั้งตัว หมดอีเหลี่ยมไป คนต่อไป อีกลมก็เข้ามาแทน มรึงอ่านเกมส์กันเป็นมั้ย? อีเหลี่ยมแค่หุ่นเชิด วังสู้อยู่กับ DEEP STATE/ ZIONIST/ FREEMASON ระดับโลก เค้ามีอะไรซ่อนอีกเยอะ อย่าเพิ่งรีบเปิดไพ่ตายโชว์ หากมรึงยังไม่ชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กูรำคาญ ถึงต้องมาโพส เพื่อให้สติ อีเหลี่ยมตัวเดียว มันไม่มีค่าพอจะเปลี่ยนประเทศนี้ได้ดอก โน้น ศัตรูตัวจริงมรึงคือ "เยรูซาเล็ม" กูถึงได้บอกไงล่ะว่า เกมส์โลก เกมส์ไทย คือเรื่องเดียวกันทั้งหมดไทยไป อาเซียนก็ไปด้วย แล้วอย่างงี้ มรึงพร้อมจะทุ่มสุดตัวกับปูติน สีจิ้นผิงให้เปลี่ยนโลกได้รึยังล่ะ? เย็นไม่เป็นก็เหนื่อย แค่นิ่ง สงบ เฝ้าดู พอแล้ว เพราะจุดจบของทุกไอ้อี ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว มรึงไม่ต้องห่วงดอก ก็แค่ "ไม่ทันใจมรึง ไม่ได้ดั่งใจมรึง" เหมือนเด็กร้องจะเอาของเล่น โตได้แล้ว จิตวิญญานมรึงต้องพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น เพื่อไปสู่โลกอีกภพภูมิที่สูงกว่า อย่าหลงทาง อย่ายึดติด กับอดีตมากจนเกินไป เดินหน้าประเทศไทย อย่ามาเสียเวลากับเสนียดจัญไรเพียงไม่กี่ตัว? กูโปรดสัดให้แล้วน่ะ ใครไม่เข้าใจ มรึงกลับไปอ่านใหม่อีก 3 รอบ ช้าๆ แล้วใช้สติ คิดตาม มรึงจะดวงตาเห็นธรรมเองหมี CNN(จะอะไรกันนักหนา ยังไง อีเหลี่ยมต้องตายคาที่ ตายโหง ตายแบบน่าสังเวชที่สุดในโลกชัวร์ มรึงอยากจะดูภาพนั้นชิมิ? งั้นมรึงคงตามมันไปดูเองถึง นรกอเวจี ชั้นที่ 99 ทำชั่วไม่ได้เท่ามัน มรึงคงลงไปไม่ถึงแน่ มรึงจะสนอะไร ประเทศรอด แผ่นดินสูงขึ้น ไทยชนะ ไม่ใช่สิ่งที่มรึงต้องการเหรอ วังเค้าทำอยู่ ทหารทำอยู่ เกจิ ครูบา อาจารย์ท่าน ทำอยู่ ขอพูดแทนผู้อยู่เบื้องหลังทุกท่านที่ปิดทองหลังพระว่า "หัดนิ่งซะบ้างน่ะ พวกมรึง ไอ้สัส" รู้ตัวกันบ้างมั้ยว่า "มรึงอยู่ในกลียุค" น่ะเฟ้ยเห้ย กลียุคคือผิดปกติ)22 พฤศจิกายน 6721.20 น.
    ((( รู้มั้ย? กูเบื่อคนไทยตรงไหน? )))ไม่เรียนรู้ ไม่จดจำ นิ่งไม่เป็น ความจำสั้นกูรู้ หลังศาลท่านไม่รับฟ้องอีเหลี่ยม กูก็เดาทางไว้ก่อนแล้ว ว่า "หาก"ก่อนจะเข้าประเด็นหลัก ที่มรึงอยากรู้ กูขอเตือนความจำมรึงหน่อยน่ะเพิ่งผ่านมาหมาดๆ ..อีเหลี่ยมได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ พวกมรึงก็ดิ้นยิ่งกว่านักโทษซะอีกแล้วเป็นไง? เงื่อนไขอภัยลดโทษ ว่ายังไง? ทูลเกล้าเท็จ ตามมา เพราะเค้าอ่านขาดตั้งแต่เริ่มแล้วว่า มันจะจบตรงไหน อีเหลี่ยม ไม่ได้อภัยโทษไม่พอ ยังจะลากไส้เน่า ทั้งกรมคุก สภาแพทย์ อัยกวย กรมกากี ตายห่ายกชั้น 14 ไปด้วย มรึงเข้าใจยัง? ว่าอภัยลดโทษ มันคือ "กับดัก" หมาที่ไหนก็รู้ ว่ามันป่วยซะที่ไหน? โซเชี่ยลฆ่ามันเองทุกดอก หลักฐานคาจอ เค้าวางหมากไว้รอแล้ว โทษที่มันต้องเจอคือ มอ.112 คดีอื่นอีกเพี๊ยบไม่นับ แต่ดอกนี้ ถึงตายคาคุก และมีจารึกในประวัติศาสตร์ ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อะไรระบุในพระราชกิจจานุเบกษา มันคือหน้าประวัติศาสตร์ไงล่ะ? เดี๋ยวยังจะมีอีก อีเหลี่ยมรอด อีเหลี่ยมไม่โดนฟ้อง อีเหลี่ยมพ้นโทษอื่น แล้วมรึงก็จะดิ้นไปมาไม่เลิก แค้นมันมากสิน่ะ อยากฆ่ามันเองกับมือสิน่ะ อย่าให้เปลืองแรง เดี๋ยวเสนียดจะติดมือมรึงไปด้วย โทษของตระกูลไอ้อีเหี้ยส่องหล้านั้น ถูกกำหนดไว้นานแล้ว จัดการไม่ยาก แต่จะขุดรากถอนโคน และปลุกไอ้ควายไทยบัดซบให้ตื่นเนี่ย มรึงว่าง่ายเหรอ? หากไม่เห็นด้วยตาตัวเอง หากไม่ฉิบหายคาตา ระบบพ่อปกครองลูกจะได้กลับมามุย? อย่าดูแค่เปลือก ให้ไปดูแก่นของเรื่องนี้เข้าประเด็นกันเลย1.อีเหลี่ยมถูกฟ้องกี่คดีรู้มั้ย? มากกว่า 40 คดี ทั้งในอดีตและปัจจุบัน มรึงรู้มั้ยว่า บางคดีไม่มีอายุความ บางคดีรื้อใหม่ได้ หากมีหลักฐานเพิ่ม รวมทั้งคดีตากใบ ที่ยื่นคนละประเด็นฟ้องเบื้องต้น ทุกอย่างเค้าสะสมไว้หมดแล้ว ดังนั้น ไอ้คดีเป็นภัยต่อความมั่นคง และเป็นภัยต่อระบบการปกครองเนี่ย โจทย์มันกว้างเป็นแม่น้ำ กว่าจะไล่เรียง สอบพยาน สอบหลักฐาน มรึงรู้มั้ยว่า ใช้เวลากี่ปี? เข้าใจยัง? มันตายห่าไปแล้วคดียังไม่เสร็จเลย มรึงเชื่อมั้ย? แล้วจะรับฟ้องไปเพื่อ?2.จะฆ่าเหี้ยเนี่ย มรึงต้องเอาให้คาหนังคาเขา สิ่งที่มันพลาดเพราะความกร่าง นั่นคือ "วาจา" การให้สัมภาษณ์ และพยานสิ่งแวดล้อม พยานหลักฐานในโซเชี่ยล ภาพนิ่ง VDO และเอกสารยืนยันปลอมทั้งหลาย พวกนี้ต่างหาก ที่พิสูจน์ได้ชัดเจน ใช้เวลาไม่นาน และมัดตาสังข์ชัดเจนกว่า โดยเฉพาะเรื่อง มอ.112 เรื่องที่ดิน เรื่องออกคำสั่งผิดกฎหมาย(ตอนอยู่ในอำนาจ เอื้อประโยชน์ชาติอื่น โดยเอาความมั่นคงไปเสี่ยง และอีกมากมาย ที่มีหลักฐานใหม่เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ผลของการกระทำเกิดขึ้นจริงแล้ว) สรุปคือล่อมันตายคาคุก ต้องล่อคดีแห่งวาระตนเองทำ ไม่ต้องมีบุคคลที่สามเอี่ยว ถึงจะเร็วและเด็ดหัวได้จริง อย่าว่าโทษ 10 ปี 20 ปี เลย แค่วันเดียวมันก็ไม่ยอมจะอยู่ เผ่นชัวร์ นั่นแหละที่เค้ารอให้มันทำ ไปเอง แล้วคืนสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี ที่เอาไปฝากญาติคืนแผ่นดินมาให้หมด เค้าเช็ครู้หมด มรึงเอาไปฝากใครบ้าง?3.ไอ้ที่รอเนี่ย ไม่ได้กลัวอีเหลี่ยมกระจอกดอกน่ะ ไอ้ตัวที่อยู่เบื้องหลังมันต่างหากล่ะ ที่กำลังจะถูกลากไส้เข้ามาโผล่ให้เห็น ว่าอเมริกา อังกฤษ อิสราเอล มีส่วนในการแทรกแซงการปกครองไทย แค่อีเหลี่ยม กระสุนนัดเดียวจบไปนานแล้ว แต่นั่นคือสิ่งที่เหี้ย CIA รออยู่เช่นกัน มรึงคิดว่ามีขี้ข้าหมารับใช้อีวอชิงตันอยู่ในเมืองไทยเท่าไหร่ เฉพาะสายลับ หน่วยสืบราชการลับเหี้ย ก็หลายแสนแล้ว ชาวบ้านที่ถูกล้างสมองอีกเป็นล้าน หมู่บ้านชาวตะวันตกในอีสานมีไปทำไม? นั่นแหละดง CIA เลยมรึง! ไอ้พวกนี้ รอแค่ไฟเขียวก่อจราจล ที่มาว่าทำไม เราต้องเอารัสเซีย จีน เข้ามาปัดกวาดสิ่งสกปรกพวกนี้ โดยเราจัดการคนในเรากันเองพอ ส่วนไอ้อีต่างชาติ ปล่อยรัสเซีย จีน เค้าเก็บกวาดให้เอง ทำไมมันซับซ้อนเยอะจัง? มรึงรู้มั้ยว่า กว่าวังจะรอดมาถึงวันนี้ได้ ต้องแลกกับอะไรบ้าง? หากพ่อท่านร.9 ไม่สร้างฐาน ฉีดวัคซีนให้คนไทยไว้พึ่งพิงตัวเองก่อนนี้ ป่านนี้ ถูกมันซื้อตัวไปหมดประเทศแล้ว เพราะมีเหี้ยอะไรก็แบมือขอรัฐท่าเดียว ไม่ต้องทำมาหาแดร๊กกันแล้ว อานิสงค์พ่อท่าน ถึงรอด?สรุปคือ คดีกว้างไป โจทย์กว้างไป ตัดได้ เก็บคดีหนัก คดีใหญ่ ที่มีมัดตราสังข์รออยู่ อย่าเพิ่งรีบลงดาบ ในขณะที่คนไทยทั้งหมด ยังไม่เห็นธาตุแท้เหี้ยเด่นชัด จนกว่าคนไทยจะเข้าใจว่า ปชต.ไม่มีอยู่จริงในโลก แค่สมบัติผลัดกันชม เหี้ยไป จัญไรมา ที่สำคัญคือ ไทยเราจะกลายเป็นโมเดล "พ่อปกครองลูก" ที่ทั่วโลกจะนำไปใช้ในอนาคต อย่าโฟกัสแค่อีเหลี่ยมมากจนเกินไป จนลืมไปว่า ประเทศไทย ยังมีอะไรที่ต้องดิ้นรน และฟันฝ่าอีกเยอะ อีเหลี่ยมตายวันนี้ มรึงสะใจ มรึงคิดว่าชนะแล้วเหรอ? หัวหน้ามันยังอยู่ทั้งตัว หมดอีเหลี่ยมไป คนต่อไป อีกลมก็เข้ามาแทน มรึงอ่านเกมส์กันเป็นมั้ย? อีเหลี่ยมแค่หุ่นเชิด วังสู้อยู่กับ DEEP STATE/ ZIONIST/ FREEMASON ระดับโลก เค้ามีอะไรซ่อนอีกเยอะ อย่าเพิ่งรีบเปิดไพ่ตายโชว์ หากมรึงยังไม่ชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กูรำคาญ ถึงต้องมาโพส เพื่อให้สติ อีเหลี่ยมตัวเดียว มันไม่มีค่าพอจะเปลี่ยนประเทศนี้ได้ดอก โน้น ศัตรูตัวจริงมรึงคือ "เยรูซาเล็ม" กูถึงได้บอกไงล่ะว่า เกมส์โลก เกมส์ไทย คือเรื่องเดียวกันทั้งหมดไทยไป อาเซียนก็ไปด้วย แล้วอย่างงี้ มรึงพร้อมจะทุ่มสุดตัวกับปูติน สีจิ้นผิงให้เปลี่ยนโลกได้รึยังล่ะ? เย็นไม่เป็นก็เหนื่อย แค่นิ่ง สงบ เฝ้าดู พอแล้ว เพราะจุดจบของทุกไอ้อี ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว มรึงไม่ต้องห่วงดอก ก็แค่ "ไม่ทันใจมรึง ไม่ได้ดั่งใจมรึง" เหมือนเด็กร้องจะเอาของเล่น โตได้แล้ว จิตวิญญานมรึงต้องพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น เพื่อไปสู่โลกอีกภพภูมิที่สูงกว่า อย่าหลงทาง อย่ายึดติด กับอดีตมากจนเกินไป เดินหน้าประเทศไทย อย่ามาเสียเวลากับเสนียดจัญไรเพียงไม่กี่ตัว? กูโปรดสัดให้แล้วน่ะ ใครไม่เข้าใจ มรึงกลับไปอ่านใหม่อีก 3 รอบ ช้าๆ แล้วใช้สติ คิดตาม มรึงจะดวงตาเห็นธรรมเองหมี CNN(จะอะไรกันนักหนา ยังไง อีเหลี่ยมต้องตายคาที่ ตายโหง ตายแบบน่าสังเวชที่สุดในโลกชัวร์ มรึงอยากจะดูภาพนั้นชิมิ? งั้นมรึงคงตามมันไปดูเองถึง นรกอเวจี ชั้นที่ 99 ทำชั่วไม่ได้เท่ามัน มรึงคงลงไปไม่ถึงแน่ มรึงจะสนอะไร ประเทศรอด แผ่นดินสูงขึ้น ไทยชนะ ไม่ใช่สิ่งที่มรึงต้องการเหรอ วังเค้าทำอยู่ ทหารทำอยู่ เกจิ ครูบา อาจารย์ท่าน ทำอยู่ ขอพูดแทนผู้อยู่เบื้องหลังทุกท่านที่ปิดทองหลังพระว่า "หัดนิ่งซะบ้างน่ะ พวกมรึง ไอ้สัส" รู้ตัวกันบ้างมั้ยว่า "มรึงอยู่ในกลียุค" น่ะเฟ้ยเห้ย กลียุคคือผิดปกติ)22 พฤศจิกายน 6721.20 น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://law.go.th/listeningDetail?survey_id=NDU5OURHQV9MQVdfRlJPTlRFTkQ=

    มีเวลาเหลืออีก 2 วัน ร่วมด้วยช่วยกันครับ เข้าเวป ไปตอบ ไม่เห็นด้วย ทั้ง 15 ข้อ คัดค้านระบบทาสจากคาร์บอนเครดิตที่จะบวกในสินค้า,บริการและกิจกรรมทั้งหมดที่เราทำ หลังจากการหลอกลวงเรื่องโลกร้อน เพื่อบีบให้เราจน เศรษฐกิจล่มสลาย กวดต้อนผู้คนให้พึ่งพารัฐ แล้วจำกัดเสรีภาพ

    ด่วนที่สุด❗️สำคัญมากขอเวลา 2 นาที
    เราทุกคนช่วยกันเข้าไปคัดค้านกฎหมาย Carbon tax
    ภายในวันนี้
    ก่อนทึ่จะสายเกินไป
    แบบสอบถามมี 15ข้อ
    ตอบ "ไม่เห็นด้วย"
    ทั้งหมดทุกข้อ
    ในร่างพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ https://law.go.th/listeningDetail?survey_id=NDU5OURHQV9MQVdfRlJPTlRFTkQ=
    ✳️ ทำความเข้าใจ
    หลอกลวงเรื่องโลกร้อน
    https://www.youtube.com/live/gUcp53brbEQ?si=QXbUqUz06sFgzsj8
    โลกร้อนเพราะคาร์บอน
    เป็นเรื่องหลอกลวง ตอนที่ 1
    https://t.me/awakened_thailand/424
    ตอนที่ 2
    https://t.me/awakened_thailand/425
    ตอนทึ่ 3
    https://t.me/awakened_thailand/426
    อธิบายเมื่อมีกฎหมายคาร์บอนเครดิต แล้วจะเกิดอะไรขึ้น 20พย.67
    https://www.youtube.com/live/OiOyuFyxjdw?si=MxBbCuLK-QukI5xu
    #agenda2030 #ทาส #ตกงาน #ภาษี
    #carbontax #แพง #carboncredit
    https://law.go.th/listeningDetail?survey_id=NDU5OURHQV9MQVdfRlJPTlRFTkQ= มีเวลาเหลืออีก 2 วัน ร่วมด้วยช่วยกันครับ เข้าเวป ไปตอบ ไม่เห็นด้วย ทั้ง 15 ข้อ คัดค้านระบบทาสจากคาร์บอนเครดิตที่จะบวกในสินค้า,บริการและกิจกรรมทั้งหมดที่เราทำ หลังจากการหลอกลวงเรื่องโลกร้อน เพื่อบีบให้เราจน เศรษฐกิจล่มสลาย กวดต้อนผู้คนให้พึ่งพารัฐ แล้วจำกัดเสรีภาพ ด่วนที่สุด❗️สำคัญมากขอเวลา 2 นาที เราทุกคนช่วยกันเข้าไปคัดค้านกฎหมาย Carbon tax ภายในวันนี้ ก่อนทึ่จะสายเกินไป แบบสอบถามมี 15ข้อ ตอบ "ไม่เห็นด้วย" ทั้งหมดทุกข้อ ในร่างพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ https://law.go.th/listeningDetail?survey_id=NDU5OURHQV9MQVdfRlJPTlRFTkQ= ✳️ ทำความเข้าใจ หลอกลวงเรื่องโลกร้อน https://www.youtube.com/live/gUcp53brbEQ?si=QXbUqUz06sFgzsj8 โลกร้อนเพราะคาร์บอน เป็นเรื่องหลอกลวง ตอนที่ 1 https://t.me/awakened_thailand/424 ตอนที่ 2 https://t.me/awakened_thailand/425 ตอนทึ่ 3 https://t.me/awakened_thailand/426 อธิบายเมื่อมีกฎหมายคาร์บอนเครดิต แล้วจะเกิดอะไรขึ้น 20พย.67 https://www.youtube.com/live/OiOyuFyxjdw?si=MxBbCuLK-QukI5xu #agenda2030 #ทาส #ตกงาน #ภาษี #carbontax #แพง #carboncredit
    LAW.GO.TH
    ระบบกลางทางกฎหมาย
    ระบบกลางทางกฎหมาย
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
  • วุฒิสภาสหรัฐฯ ลงคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นไม่เห็นด้วยกับมติที่เสนอโดยวุฒิสมาชิกเบอร์นี แซนเดอร์ส ซึ่งเรียกร้องให้มีการ "หยุดส่งอาวุธให้กับอิสราเอล"

    โดยมีมติ:
    เห็นด้วยเพียง 18 เสียง
    ไม่เห็นด้วยมากถึง 79 เสียง
    และงดออกเสียง 1 เสียง
    วุฒิสภาสหรัฐฯ ลงคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นไม่เห็นด้วยกับมติที่เสนอโดยวุฒิสมาชิกเบอร์นี แซนเดอร์ส ซึ่งเรียกร้องให้มีการ "หยุดส่งอาวุธให้กับอิสราเอล" โดยมีมติ: เห็นด้วยเพียง 18 เสียง ไม่เห็นด้วยมากถึง 79 เสียง และงดออกเสียง 1 เสียง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐใช้สิทธิ์คัดค้านร่างมติที่เรียกร้อง "ให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซาโดยทันที และอย่างถาวร โดยไม่มีเงื่อนไข รวมถึงการปล่อยตัวตัวประกันทั้งหมด" ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติวันนี้

    ประเทศอื่นๆ ทั้งหมดในคณะมนตรีฯซึ่งมีสมาชิก 15 ชาติ ลงมติเห็นชอบกัน 14 เสียง ยกเว้นสหรัฐเพียงประเทศเดียว!

    ผลการลงคะแนน
    เห็นด้วย: 14
    ไม่เห็นด้วย: 1 (สหรัฐอเมริกา)
    งดออกเสียง: 0

    นี่เป็นมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติฉบับที่สี่ที่เรียกร้องให้หยุดยิงในฉนวนกาซาซึ่งถูกสหรัฐใช้สิทธิ์ยับยั้งนับตั้งแต่สงครามเริ่มต้น

    เจ้าหน้าที่ของสหรัฐรายหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อ กล่าวกับสื่อว่า สหรัฐจะสนับสนุนเฉพาะมติที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวตัวประกันโดยทันทีเท่านั้น แต่จะไม่สนับสนุนการหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งสหรัฐต้องการให้มีการกำหนดเงื่อนไขข้อตกลงในการหยุดยิงด้วย

    ในเดือนมิถุนายน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ผ่านมติหยุดยิงที่เสนอโดยสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการเสนอเงื่อนไขการหยุดยิงที่จัดทำขึ้นโดยสหรัฐ อย่างไรก็ตามกรอบเงื่อนไขดังกล่าวยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้จนถึงขณะนี้ ซึ่งเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ เนื่องจากเงื่อนไขของสหรัฐถูกมองว่าเข้าข้างอิสราเอลมากเกินไป
    สหรัฐใช้สิทธิ์คัดค้านร่างมติที่เรียกร้อง "ให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซาโดยทันที และอย่างถาวร โดยไม่มีเงื่อนไข รวมถึงการปล่อยตัวตัวประกันทั้งหมด" ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติวันนี้ ประเทศอื่นๆ ทั้งหมดในคณะมนตรีฯซึ่งมีสมาชิก 15 ชาติ ลงมติเห็นชอบกัน 14 เสียง ยกเว้นสหรัฐเพียงประเทศเดียว! ผลการลงคะแนน เห็นด้วย: 14 ไม่เห็นด้วย: 1 (สหรัฐอเมริกา) งดออกเสียง: 0 นี่เป็นมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติฉบับที่สี่ที่เรียกร้องให้หยุดยิงในฉนวนกาซาซึ่งถูกสหรัฐใช้สิทธิ์ยับยั้งนับตั้งแต่สงครามเริ่มต้น เจ้าหน้าที่ของสหรัฐรายหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อ กล่าวกับสื่อว่า สหรัฐจะสนับสนุนเฉพาะมติที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวตัวประกันโดยทันทีเท่านั้น แต่จะไม่สนับสนุนการหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งสหรัฐต้องการให้มีการกำหนดเงื่อนไขข้อตกลงในการหยุดยิงด้วย ในเดือนมิถุนายน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ผ่านมติหยุดยิงที่เสนอโดยสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการเสนอเงื่อนไขการหยุดยิงที่จัดทำขึ้นโดยสหรัฐ อย่างไรก็ตามกรอบเงื่อนไขดังกล่าวยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้จนถึงขณะนี้ ซึ่งเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ เนื่องจากเงื่อนไขของสหรัฐถูกมองว่าเข้าข้างอิสราเอลมากเกินไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภายหลังการประชุมกับนายนาบีห์ เบอร์รี ประธานรัฐสภาเลบานอน นายอาโมส โฮชสไตน์ ผู้แทนสหรัฐฯจากเบรุตกล่าวว่า

    ○ “ผมไม่สามารถเปิดเผยจุดที่ไม่เห็นด้วยที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงได้ ผมจะเดินทางจากเบรุตไปยังอิสราเอลเพื่อทำงานต่อไปเพื่อหาทางแก้ไขเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้”

    ○ “ผมจะร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯชุดใหม่ในการพยายามคลี่คลายความตึงเครียดในเลบานอน”

    ○ “บรรยากาศเป็นไปในเชิงบวก, และเราก็มีความคืบหน้า เราจะดำเนินการไปทีละขั้นตอน, โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลของทั้งเลบานอนและอิสราเอล, และจะแจ้งความคืบหน้าให้คุณทราบ”
    .
    Following his meeting with Lebanese Parliament Speaker Nabih Berri, US envoy Amos Hochstein from Beirut:

    ○ “I cannot disclose the specific points of disagreement regarding the ceasefire agreement. I will be traveling from Beirut to Israel to continue working towards a solution whenever possible.”

    ○ “I will collaborate with the incoming US administration on efforts to de-escalate tensions in Lebanon.”

    ○ “The atmosphere is positive, and we have made progress. We will continue to take things step by step, working closely with both the Lebanese and Israeli administrations, and will update you on any developments.”
    .
    7:19 PM · Nov 20, 2024 · 1,481 Views
    https://x.com/TheCradleMedia/status/1859210057759723657
    ภายหลังการประชุมกับนายนาบีห์ เบอร์รี ประธานรัฐสภาเลบานอน นายอาโมส โฮชสไตน์ ผู้แทนสหรัฐฯจากเบรุตกล่าวว่า ○ “ผมไม่สามารถเปิดเผยจุดที่ไม่เห็นด้วยที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงได้ ผมจะเดินทางจากเบรุตไปยังอิสราเอลเพื่อทำงานต่อไปเพื่อหาทางแก้ไขเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้” ○ “ผมจะร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯชุดใหม่ในการพยายามคลี่คลายความตึงเครียดในเลบานอน” ○ “บรรยากาศเป็นไปในเชิงบวก, และเราก็มีความคืบหน้า เราจะดำเนินการไปทีละขั้นตอน, โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลของทั้งเลบานอนและอิสราเอล, และจะแจ้งความคืบหน้าให้คุณทราบ” . Following his meeting with Lebanese Parliament Speaker Nabih Berri, US envoy Amos Hochstein from Beirut: ○ “I cannot disclose the specific points of disagreement regarding the ceasefire agreement. I will be traveling from Beirut to Israel to continue working towards a solution whenever possible.” ○ “I will collaborate with the incoming US administration on efforts to de-escalate tensions in Lebanon.” ○ “The atmosphere is positive, and we have made progress. We will continue to take things step by step, working closely with both the Lebanese and Israeli administrations, and will update you on any developments.” . 7:19 PM · Nov 20, 2024 · 1,481 Views https://x.com/TheCradleMedia/status/1859210057759723657
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง "ทนายตั้ม" ทำตัวผู้จัดการมรดก ส่อง GPS รถเบนซ์ เปิดแผนลวงเข้าป่า-ล่องแพ
    .
    รายการสนธิเล่าเรื่องเช้านี้ พบทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก เขียนพินัยกรรมเอง ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ พบให้พยานเซ็นเฉพาะหน้าสุดท้าย ไม่คืนคู่ฉบับ ซื้อรถเบนซ์คุณอ้อย ติด GPS ดูทุกความเคลื่อนไหว แถมชักชวนไปเที่ยวไกลๆ ไปเชียงราย แม้กระทั่งไปเขื่อนเชี่ยวหลาน สุราษฎร์ธานี ไม่มีสัญญาณมือถือ ผวาหากตายไปอ้างได้ว่าอุบัติเหตุ สุดท้ายทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองสกัดกั้น
    .
    วันนี้ (20 พ.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวในรายการสนธิเล่าเรื่อง ทางยูทูบ Sondhitalk ถึงความคืบหน้าคดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เศรษฐีชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แจ้งความดำเนินคดีกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ไฮไสต์สำคัญอยู่ที่การที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก โดยสรุปดังนี้
    .
    - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มต้องการเป็นผู้จัดการมรดกในการเขียนพินัยกรรม พอได้รับการแต่งตั้งก็พยายามชวนคุณอ้อยไปเที่ยวไกลๆ เช่น เขื่อนรัชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งอะไรก็เกิดขึ้นได้โดยไม่มีใครคาดคิด หากคุณอ้อยเสียชีวิต ทนายตั้มจะได้เป็นผู้จัดการมรดก มีอำนาจเด็ดขาดแต่ผู้เดียว แต่โชคดีที่คุณอ้อยไหวตัวทัน
    .
    - ก่อนหน้านี้บริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด ได้รับว่าจ้างจากคุณอ้อยเดือนละ 300,000 บาทให้เป็นที่ปรึกษาดูแลผลประโยชน์ธุรกิจ เมื่อ 2 ปีก่อน หลังจากนั้นทนายตั้มอาศัยความไว้ใจจากพี่อ้อยช่วยเหลือดำเนินการ เช่น ยกลูกตัวเองคนหนึ่งให้เป็นลูกบุญธรรม แต่ลูกชายคุณอ้อยไม่เห็นด้วย
    .
    - เมื่อรู้ว่าคุณอ้อยร่ำรวยเป็นหมื่นล้านบาท และการศึกษาน้อย ร่ำรวยจากการเสี่ยงโชค คุณอ้อยพลาดตรงที่หาทนายความจากเฟซบุ๊ก เห็นว่าทนายตั้มหน้าตาดี เป็นทนายความเพื่อประชาชน แต่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ นึกไม่ถึงว่าเป็นคนเลวถึงขนาดนั้น
    .
    - พอได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแค่ 9 วัน ทนายตั้มก็คิดจะฮุบเงินฮุบทอง ทำพินัยกรรมที่สำนักงาน ษิทรา ลอว์เฟิร์ม มีทั้งหมด 7 ข้อ โดยมีทนายตั้มเป็นผู้เขียนและพิมพ์พินัยกรรม คุณเดวิดสามีคุณอ้อย และคุณน้อย เป็นพยาน ทีแรกไม่ผิดสังเกต แต่ภายหลังพบว่าทนายตั้มไม่ได้ทำงานสมค่าจ้าง ยกครอบครัวเที่ยวหรูอยู่สบาย รวมทั้งสำนักงาน ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จัดทริปพาพนักงาน 20 คนเที่ยวญี่ปุ่น ก็ขอเงินคุณอ้อยหลายล้านบาท และขอเงินยิบย่อย
    .
    - ผ่านไป 1 ปี คุณอ้อยเห็นว่าทำงานไม่คุ้ม ไม่ไหว เลยยกเลิกสัญญาเป็นที่ปรึกษา แต่ทนายตั้มยังตื้อขอต่อสัญญาอีก 1 ปี พร้อมข้อเสนอการลงทุนตามมา เป็นที่มาของเงิน 2 ล้านยูโร ทำแอปฯ นาคี ต่อด้วยคดีสมคบกับนายนุวัฒน์และ น.ส.สาลินีหลอกลวงว่าถูกแฮกคริปโตฯ สูญ 39 ล้านบาท ฉ้อโกงเขียนแบบโรงแรม และอื่นๆ
    .
    - ทนายตั้มร่างพินัยกรรมคุณอ้อยฉบับใหม่ ทำที่บ้านชีวา ลงวันที่ 7 ส.ค. 2566 แก้ไขจากฉบับแรก แต่พินัยกรรมมีปัญหารายละเอียดสำคัญว่า สินทรัพย์ที่อยู่ต่างประเทศให้ลูกชายคนเดียว แต่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ ติด GPS เอาไว้ โดยทนายตั้มติดเอง แสดงว่าจะตามว่ารถคันนี้ไปที่ไหนบ้าง จึงสงสัยว่าทำไมถึงติด GPS เอาไว้ แต่ทนายตั้มยังโกหก
    .
    - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มเคยชวนไปเชียงราย อ้างว่าทำบุญที่วัดห้วยปลากั้ง แต่ไม่ไปเพราะไกล เป็นห่วงความปลอดภัยของแฟน และไม่ได้รู้จักคนทางโน้น และชวนไปล่องแพที่ภาคใต้ เขื่อนรัชประภา จ.สุราษฎร์ธานี แต่ไม่ไปเพราะกลัวเป็นน้ำ ไปลำบากเลยปฎิเสธ ไม่ได้คิดเบื้องหน้าเบื้องหลัง พอรู้จากคนใกล้ชิดก็กลัวว่าอยู่ใต้แพ
    .
    - ในสัญญาติดตั้ง GPS ใช้ชื่อทนายตั้ม ทำสัญญารายปี และมีหลักฐานว่าทนายตั้มแอบดูข้อมูลการเดินทางว่าไปไหนบ้าง เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาหลังมีเรื่อง นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาทนายตั้มยังแอบเข้าไปดู GPS ว่ารถคุณอ้อยเดินทางไปที่ไหน
    .
    - คุณอ้อยและคุณน้อยพบว่า หลังทำพินัยกรรมฉบับที่ 2 ทนายตั้มยังชักชวนไปเที่ยวแพที่เขื่อนรัชประภา อ้างว่าจะพาไปรู้จักนายตำรวจคนหนึ่งซึ่งเป็นคนใต้ คือ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือโจ๊ก เหมือนกับที่ไปฮ่องกง ไปเจอนายอนุทิน ชาญวีรกุล และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ แต่คุณอ้อยไม่อยากไป เพราะไม่อยากลำบาก และไม่อยากรู้จักใคร
    .
    - เขื่อนรัชชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ต ใครจะทำอะไรก็ไม่มีใครรู้ สมมติกรณีที่จัดการกับเจ้าของมรดกก็ไม่มีใครรู้ อ้างได้ว่าอุบัติเหตุทางน้ำ
    .
    - หลังจากทำพินัยกรรมฉบับที่ 2 คุณอ้อยและคุณน้อยพยายามทวงถามพินัยกรรมคู่ฉบับก็ไม่นำมาให้ กระทั่งแตกหักเรื่องรถเบนซ์ ได้ทำหนังสือทวงถามพินัยกรรม แต่ทนายตั้มตอบกลับว่า ทำลายไปหมดแล้ว ทั้งที่ไม่ได้ถามหรือทำลายต่อหน้า และพบว่าสัญญามีช่องโหว่ อีกทั้งให้ลงนามเฉพาะหน้าสุดท้าย แทนที่จะลงนามสัญญาทุกหน้า เพราะฉะนั้นเป็นพินัยกรรมปลอมและพินัยกรรมสอดไส้
    .
    - ต้นปี 2567 หลังจากคุณอ้อยใจสลาย ก็ได้ยกเลิกพินัยกรรมกับทนายตั้มทุกฉบับ แล้วไปทำพินัยกรรมฝ่ายเมือง จัดทำที่อำเภอ มีเจ้าหน้าที่รัฐรับรอง
    ..............
    Sondhi X
    สนธิเล่าเรื่อง "ทนายตั้ม" ทำตัวผู้จัดการมรดก ส่อง GPS รถเบนซ์ เปิดแผนลวงเข้าป่า-ล่องแพ . รายการสนธิเล่าเรื่องเช้านี้ พบทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก เขียนพินัยกรรมเอง ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ พบให้พยานเซ็นเฉพาะหน้าสุดท้าย ไม่คืนคู่ฉบับ ซื้อรถเบนซ์คุณอ้อย ติด GPS ดูทุกความเคลื่อนไหว แถมชักชวนไปเที่ยวไกลๆ ไปเชียงราย แม้กระทั่งไปเขื่อนเชี่ยวหลาน สุราษฎร์ธานี ไม่มีสัญญาณมือถือ ผวาหากตายไปอ้างได้ว่าอุบัติเหตุ สุดท้ายทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองสกัดกั้น . วันนี้ (20 พ.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวในรายการสนธิเล่าเรื่อง ทางยูทูบ Sondhitalk ถึงความคืบหน้าคดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เศรษฐีชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แจ้งความดำเนินคดีกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ไฮไสต์สำคัญอยู่ที่การที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก โดยสรุปดังนี้ . - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มต้องการเป็นผู้จัดการมรดกในการเขียนพินัยกรรม พอได้รับการแต่งตั้งก็พยายามชวนคุณอ้อยไปเที่ยวไกลๆ เช่น เขื่อนรัชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งอะไรก็เกิดขึ้นได้โดยไม่มีใครคาดคิด หากคุณอ้อยเสียชีวิต ทนายตั้มจะได้เป็นผู้จัดการมรดก มีอำนาจเด็ดขาดแต่ผู้เดียว แต่โชคดีที่คุณอ้อยไหวตัวทัน . - ก่อนหน้านี้บริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด ได้รับว่าจ้างจากคุณอ้อยเดือนละ 300,000 บาทให้เป็นที่ปรึกษาดูแลผลประโยชน์ธุรกิจ เมื่อ 2 ปีก่อน หลังจากนั้นทนายตั้มอาศัยความไว้ใจจากพี่อ้อยช่วยเหลือดำเนินการ เช่น ยกลูกตัวเองคนหนึ่งให้เป็นลูกบุญธรรม แต่ลูกชายคุณอ้อยไม่เห็นด้วย . - เมื่อรู้ว่าคุณอ้อยร่ำรวยเป็นหมื่นล้านบาท และการศึกษาน้อย ร่ำรวยจากการเสี่ยงโชค คุณอ้อยพลาดตรงที่หาทนายความจากเฟซบุ๊ก เห็นว่าทนายตั้มหน้าตาดี เป็นทนายความเพื่อประชาชน แต่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ นึกไม่ถึงว่าเป็นคนเลวถึงขนาดนั้น . - พอได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแค่ 9 วัน ทนายตั้มก็คิดจะฮุบเงินฮุบทอง ทำพินัยกรรมที่สำนักงาน ษิทรา ลอว์เฟิร์ม มีทั้งหมด 7 ข้อ โดยมีทนายตั้มเป็นผู้เขียนและพิมพ์พินัยกรรม คุณเดวิดสามีคุณอ้อย และคุณน้อย เป็นพยาน ทีแรกไม่ผิดสังเกต แต่ภายหลังพบว่าทนายตั้มไม่ได้ทำงานสมค่าจ้าง ยกครอบครัวเที่ยวหรูอยู่สบาย รวมทั้งสำนักงาน ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จัดทริปพาพนักงาน 20 คนเที่ยวญี่ปุ่น ก็ขอเงินคุณอ้อยหลายล้านบาท และขอเงินยิบย่อย . - ผ่านไป 1 ปี คุณอ้อยเห็นว่าทำงานไม่คุ้ม ไม่ไหว เลยยกเลิกสัญญาเป็นที่ปรึกษา แต่ทนายตั้มยังตื้อขอต่อสัญญาอีก 1 ปี พร้อมข้อเสนอการลงทุนตามมา เป็นที่มาของเงิน 2 ล้านยูโร ทำแอปฯ นาคี ต่อด้วยคดีสมคบกับนายนุวัฒน์และ น.ส.สาลินีหลอกลวงว่าถูกแฮกคริปโตฯ สูญ 39 ล้านบาท ฉ้อโกงเขียนแบบโรงแรม และอื่นๆ . - ทนายตั้มร่างพินัยกรรมคุณอ้อยฉบับใหม่ ทำที่บ้านชีวา ลงวันที่ 7 ส.ค. 2566 แก้ไขจากฉบับแรก แต่พินัยกรรมมีปัญหารายละเอียดสำคัญว่า สินทรัพย์ที่อยู่ต่างประเทศให้ลูกชายคนเดียว แต่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ ติด GPS เอาไว้ โดยทนายตั้มติดเอง แสดงว่าจะตามว่ารถคันนี้ไปที่ไหนบ้าง จึงสงสัยว่าทำไมถึงติด GPS เอาไว้ แต่ทนายตั้มยังโกหก . - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มเคยชวนไปเชียงราย อ้างว่าทำบุญที่วัดห้วยปลากั้ง แต่ไม่ไปเพราะไกล เป็นห่วงความปลอดภัยของแฟน และไม่ได้รู้จักคนทางโน้น และชวนไปล่องแพที่ภาคใต้ เขื่อนรัชประภา จ.สุราษฎร์ธานี แต่ไม่ไปเพราะกลัวเป็นน้ำ ไปลำบากเลยปฎิเสธ ไม่ได้คิดเบื้องหน้าเบื้องหลัง พอรู้จากคนใกล้ชิดก็กลัวว่าอยู่ใต้แพ . - ในสัญญาติดตั้ง GPS ใช้ชื่อทนายตั้ม ทำสัญญารายปี และมีหลักฐานว่าทนายตั้มแอบดูข้อมูลการเดินทางว่าไปไหนบ้าง เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาหลังมีเรื่อง นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาทนายตั้มยังแอบเข้าไปดู GPS ว่ารถคุณอ้อยเดินทางไปที่ไหน . - คุณอ้อยและคุณน้อยพบว่า หลังทำพินัยกรรมฉบับที่ 2 ทนายตั้มยังชักชวนไปเที่ยวแพที่เขื่อนรัชประภา อ้างว่าจะพาไปรู้จักนายตำรวจคนหนึ่งซึ่งเป็นคนใต้ คือ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือโจ๊ก เหมือนกับที่ไปฮ่องกง ไปเจอนายอนุทิน ชาญวีรกุล และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ แต่คุณอ้อยไม่อยากไป เพราะไม่อยากลำบาก และไม่อยากรู้จักใคร . - เขื่อนรัชชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ต ใครจะทำอะไรก็ไม่มีใครรู้ สมมติกรณีที่จัดการกับเจ้าของมรดกก็ไม่มีใครรู้ อ้างได้ว่าอุบัติเหตุทางน้ำ . - หลังจากทำพินัยกรรมฉบับที่ 2 คุณอ้อยและคุณน้อยพยายามทวงถามพินัยกรรมคู่ฉบับก็ไม่นำมาให้ กระทั่งแตกหักเรื่องรถเบนซ์ ได้ทำหนังสือทวงถามพินัยกรรม แต่ทนายตั้มตอบกลับว่า ทำลายไปหมดแล้ว ทั้งที่ไม่ได้ถามหรือทำลายต่อหน้า และพบว่าสัญญามีช่องโหว่ อีกทั้งให้ลงนามเฉพาะหน้าสุดท้าย แทนที่จะลงนามสัญญาทุกหน้า เพราะฉะนั้นเป็นพินัยกรรมปลอมและพินัยกรรมสอดไส้ . - ต้นปี 2567 หลังจากคุณอ้อยใจสลาย ก็ได้ยกเลิกพินัยกรรมกับทนายตั้มทุกฉบับ แล้วไปทำพินัยกรรมฝ่ายเมือง จัดทำที่อำเภอ มีเจ้าหน้าที่รัฐรับรอง .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    8
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 867 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายการสนธิเล่าเรื่องเช้านี้ พบทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก เขียนพินัยกรรมเอง ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ พบให้พยานเซ็นเฉพาะหน้าสุดท้าย ไม่คืนคู่ฉบับ ซื้อรถเบนซ์คุณอ้อย ติด GPS ดูทุกความเคลื่อนไหว แถมชักชวนไปเที่ยวไกลๆ ไปเชียงราย แม้กระทั่งไปเขื่อนเชี่ยวหลาน สุราษฎร์ธานี ไม่มีสัญญาณมือถือ ผวาหากตายไปอ้างได้ว่าอุบัติเหตุ สุดท้ายทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองสกัดกั้น

    วันนี้ (20 พ.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวในรายการสนธิเล่าเรื่อง ทางยูทูบ Sondhitalk ถึงความคืบหน้าคดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เศรษฐีชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แจ้งความดำเนินคดีกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ไฮไสต์สำคัญอยู่ที่การที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก โดยสรุปดังนี้

    - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มต้องการเป็นผู้จัดการมรดกในการเขียนพินัยกรรม พอได้รับการแต่งตั้งก็พยายามชวนคุณอ้อยไปเที่ยวไกลๆ เช่น เขื่อนรัชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งอะไรก็เกิดขึ้นได้โดยไม่มีใครคาดคิด หากคุณอ้อยเสียชีวิต ทนายตั้มจะได้เป็นผู้จัดการมรดก มีอำนาจเด็ดขาดแต่ผู้เดียว แต่โชคดีที่คุณอ้อยไหวตัวทัน

    - ก่อนหน้านี้บริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด ได้รับว่าจ้างจากคุณอ้อยเดือนละ 300,000 บาทให้เป็นที่ปรึกษาดูแลผลประโยชน์ธุรกิจ เมื่อ 2 ปีก่อน หลังจากนั้นทนายตั้มอาศัยความไว้ใจจากพี่อ้อยช่วยเหลือดำเนินการ เช่น ยกลูกตัวเองคนหนึ่งให้เป็นลูกบุญธรรม แต่ลูกชายคุณอ้อยไม่เห็นด้วย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000111671

    #MGROnline #ทนายตั้ม #ผู้จัดการมรดก #พินัยกรรม #พี่อ้อย
    รายการสนธิเล่าเรื่องเช้านี้ พบทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก เขียนพินัยกรรมเอง ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ พบให้พยานเซ็นเฉพาะหน้าสุดท้าย ไม่คืนคู่ฉบับ ซื้อรถเบนซ์คุณอ้อย ติด GPS ดูทุกความเคลื่อนไหว แถมชักชวนไปเที่ยวไกลๆ ไปเชียงราย แม้กระทั่งไปเขื่อนเชี่ยวหลาน สุราษฎร์ธานี ไม่มีสัญญาณมือถือ ผวาหากตายไปอ้างได้ว่าอุบัติเหตุ สุดท้ายทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองสกัดกั้น • วันนี้ (20 พ.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวในรายการสนธิเล่าเรื่อง ทางยูทูบ Sondhitalk ถึงความคืบหน้าคดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เศรษฐีชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แจ้งความดำเนินคดีกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ไฮไสต์สำคัญอยู่ที่การที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก โดยสรุปดังนี้ • - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มต้องการเป็นผู้จัดการมรดกในการเขียนพินัยกรรม พอได้รับการแต่งตั้งก็พยายามชวนคุณอ้อยไปเที่ยวไกลๆ เช่น เขื่อนรัชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งอะไรก็เกิดขึ้นได้โดยไม่มีใครคาดคิด หากคุณอ้อยเสียชีวิต ทนายตั้มจะได้เป็นผู้จัดการมรดก มีอำนาจเด็ดขาดแต่ผู้เดียว แต่โชคดีที่คุณอ้อยไหวตัวทัน • - ก่อนหน้านี้บริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด ได้รับว่าจ้างจากคุณอ้อยเดือนละ 300,000 บาทให้เป็นที่ปรึกษาดูแลผลประโยชน์ธุรกิจ เมื่อ 2 ปีก่อน หลังจากนั้นทนายตั้มอาศัยความไว้ใจจากพี่อ้อยช่วยเหลือดำเนินการ เช่น ยกลูกตัวเองคนหนึ่งให้เป็นลูกบุญธรรม แต่ลูกชายคุณอ้อยไม่เห็นด้วย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000111671 • #MGROnline #ทนายตั้ม #ผู้จัดการมรดก #พินัยกรรม #พี่อ้อย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 391 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17 พ.ย. 2567 – นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง จับหมาไปขังได้แล้ว!!! ผ่านเว็บไซต์ www.thaipost.net มีเนื้อหาดังนี้ถาม เห็นตัวแทนราชทัณฑ์ตอบคณะกรรมาธิการสภาว่า รับตัวทักษิณเข้าเรือนจำแล้ว ก็ส่งตัวไป รพ.ตำรวจเลย โดยอธิบายว่าทางพยาบาลได้โทรศัพท์ปรึกษากับหมอของเรือนจำแล้ว ซึ่งทางกรรมาธิการตรวจสอบข้อมูลแล้วบอกว่า ทั้งหมดนี้ทักษิณใช้เวลาอยู่ในเรือนจำแค่ ๔ นาทีเท่านั้นตรงจุดนี้ผมข้องใจจริงๆครับ อาจารย์ค้นกฎกระทรวงว่าด้วยการส่งตัวผู้ต้องขัง พ.ศ.๒๕๖๓ แล้ว เขาเปิดให้ทำกันง่ายๆอย่างนี้หรือตอบ ไม่จริงครับ ข้อ ๒ ของกฎกระทรวงระบุชัดเจนว่า นักโทษต้องรับการตรวจทางการแพทย์ก่อน“ข้อ ๒ เมื่อผู้บัญชาการเรือนจำได้รับรายงานจากเจ้าพนักงานเรือนจำว่า ผู้ต้องขังคนใดป่วย ให้ส่งตัวผู้ต้องขังคนนั้นไปรับการตรวจในสถานพยาบาล ของเรือนจำ” เมื่อไม่มีการตรวจเลยเช่นนี้ นี่จึงเป็นการละเว้นหน้าที่เป็นข้อแรก ที่ ปปช.จะขอเวชระเบียน ขอใบส่งตัวอะไรของหมอเรือนจำนั่น มันก็ไม่มีหรอกครับถาม ตามกฎกระทรวงนี้ ตรวจแล้วต้องทำยังไงต่อครับตอบ กฎกระทรวงกำหนดว่า ถ้าตรวจแล้วฝ่ายการแพทย์ของเรือนจำรายงานว่า รักษาในโรงพยาบาลเรือนจำจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ดำเนินการดังนี้“(๑) กรณีผู้บัญชาการเรือนจำอนุญาต ให้เจ้าพนักงานเรือนจำพาผู้ต้องขังคนนั้นไปและกลับในวันเดียวกัน(๒) หากแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษามีความเห็นว่า สมควรรับตัวผู้ต้องขังคนนั้นไว้รักษา ให้เจ้าพนักงาน เรือนจำซึ่งพาผู้ต้องขังคนนั้นไปตรวจรักษาขอหลักฐานและความเห็นของแพทย์ผู้ทำาการตรวจรักษา ประกอบการจัดทำรายงานเสนอผู้บัญชาการเรือนจำพิจารณา ถ้าผู้บัญชาการเรือนจำเห็นด้วยกับ ความเห็นของแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษา ให้มีคำสั่งอนุญาตให้รับตัวไว้รักษา”ถาม อ้าว..ตามพฤติการณ์จริงที่ปรากฏนั้น เมื่อส่งทักษิณไปถึงโรงพยาบาลตำรวจแล้ว เขาก็รับตัวไว้ ยาวไป ๖ เดือนเลยนี่ครับ โดยไม่มีการสื่อสารให้ทางราชทัณฑ์อนุญาตหรือไม่อนุญาตเลย จะอยู่จริงหรือไม่นานแค่ไหนก็ไม่มีใครยืนยันได้ตอบ นี่เป็นการละเว้นหน้าที่อย่างชัดเจนเป็นข้อที่ ๒ ดังนั้น ปปช.จะไปขอเวชระเบียน ใบส่งตัว ใบรับตัวพร้อมบันทึกการตรวจร่างกายอะไรก็ไม่มีหรอกครับ ขั้นตอนอนุญาตของ ผบ.เรือนจำข้อนี้สำคัญมากขาดไม่ได้ กฎกระทรวงระบุชัดว่า“กรณีผู้บัญชาการเรือนจำไม่เห็นด้วยกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษา ให้เจ้าพนักงาน นำตัวผู้ต้องขังคนนั้นกลับเข้ารักษาพยาบาลภายในเรือนจำ”ตอบ กฎกระทรวงระบุไว้รัดกุมครับว่า“เมื่อผู้บัญชาการเรือนจำอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้จัดเจ้าพนักงานเรือนจำอย่างน้อยจำนวนสองคนควบคุมผู้ต้องขังป่วยหนึ่งคนให้อยู่ภายใน เขตที่กำหนดให้เจ้าพนักงานเรือนจำซึ่งมีหน้าที่ควบคุมผู้ต้องขังจดบันทึกข้อมูลผู้เข้าเยี่ยม และเวลา เข้าเยี่ยมโดยละเอียด และดูแลให้ผู้เข้าเยี่ยมปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำใช้สิทธิของผู้ต้องขังตามที่ทางราชการจัดให้และห้ามเข้าอยู่ในห้องพักพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไปรับประทานอาหารตามที่สถานที่รักษา ๓ จัดให้”ถาม เห็นพลตำรวจเอกเสรี เตมียเวส ท่านให้การต่อ ปปช.ว่า เมื่อไปเยี่ยมทักษิณสองครั้งนั้น ท่านไม่เห็นมีพนักงานอยู่ประจำเลย ห้องพักก็เป็นห้องพิเศษ ชั้น ๑๔ ทั้งชั้นเห็นเปิดอยู่ห้องเดียว อาหารการกินสมบูรณ์มีข้าวเหนียวมะม่วงเลี้ยงแขกด้วยนะครับตอบ นี่ก็เป็นการละเว้นหน้าที่เป็นข้อที่สามครับ พวกเขาทำจน รพ.ตำรวจกลายเป็นโรงแรมไปเลย มีนักโทษคนเดียวในประวัติศาสตร์ไทยเท่านั้นได้รับบริการอย่างนี้ถาม พอส่ง โรงพยาบาลตำรวจแล้ว ในกฎกระทรวงไม่มีการตรวจสอบอะไรอีกเลยหรือครับ อยู่นอกเรือนจำตั้ง ๖ เดือน แล้วก็พักโทษไปเลย ง่ายๆอย่างนี้เลยหรือตอบ กฎหมายเขากำหนดการตรวจสอบทางบริหารไว้อย่างนี้ครับ“- หากพักรักษาตัวเกินกว่าสามสิบวัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องหากพักรักษาตัวเกินกว่าหกสิบวัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้ปลัดกระทรวงทราบ-หากพักรักษาตัวเกินกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้รัฐมนตรีทราบ”ถาม แล้วเขามีหนังสือและรายงานอย่างที่ว่านี้ไหมครับตอบ รัฐมนตรี บอกว่ามี และได้เห็นผลตรวจ MRI ด้วย ผมเข้าใจได้ว่าเป็นผลการตรวจก่อนผ่าซ่อมเอ็นหัวไหล่เท่านั้น ซึ่งอาการอย่างนี้ผู้สูงอายุเป็นกันทั่วไป ผ่าวันเดียวก็กลับเรือนจำได้แล้ว เอามาอ้างอยู่นอกเรือนจำเป็น ๖ เดือนไม่ได้หรอกครับ รายงานและหลักฐานที่ว่านี้จะมีจริงไหม ถูกต้องหรือไม่ ทั้ง ปปช.และ กมธ ก็ยังไม่มีใครได้มาวิเคราะห์เลยถาม แล้วที่คุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ท่านร้องให้ศาลไต่สวนว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ราชทัณฑ์ต้องขอให้ศาลออกคำสั่งทุเลาการลงโทษก่อน จึงจะนอนโรงพยาบาลตำรวจได้ ถ้าไม่ผ่านศาลก็ต้องถือว่าไม่ถูกต้อง ศาลต้องออกหมายจับทักษิณมาขังให้ครบ ๑ ปี นั้น คำร้องนี้ถูกต้องให้ศาลรับวินิจฉัยได้ไหมครับตอบ มาตรานั้น ให้ศาลสั่งได้เมื่อญาติ หรือเรือนจำ ร้องขอ หรือเมื่อศาลเห็นเองว่า จำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก ก็ให้ส่งไปบำบัดรักษานอกคุกได้ แต่กรณีทักษิณนี่ เขาอธิบายว่าเป็นการรักษาตามความจำเป็น ตามอำนาจของราชทัณฑ์ ศาลไม่เกี่ยว จริงๆแล้วกฎกระทรวงน่าจะจำกัดเวลาไว้เลยว่า ถ้าต้องรักษาเกิน ๓๐ วันให้ราชทัณฑ์ไปขอคำสั่งทุเลาการลงโทษ ถ้ากำหนดอย่างนี้ศาลก็จะตรวจสอบได้ตามอำนาจในกฎหมาย โอกาสติดคุกทิพย์ก็จะจำกัดอีกมากถาม แต่เฉพาะปัญหาว่าราชทัณฑ์ทำถูกต้องหรือไม่นี่ มันพอแล้วหรือยังครับที่ ปปช.จะมีมติตั้งข้อกล่าวหาผู้รับผิดชอบว่ากระทำผิดอาญา และมีมติส่งเรื่องให้นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจผู้บังคับบัญชา สั่งราชทัณฑ์ให้ร้องศาลให้ออกหมายขัง นำตัวนักโทษกลับเข้าคุกด้วยตอบ เห็นเขาบอกให้หมาอยู่ส่วนหมา คนอยู่ส่วนคน ผมว่าเมื่อปล่อยออกมาโดยไม่ชอบชัดเจนจะๆ และยังพองขนอหังการคับบ้านเมืองอยู่นอกกรงอย่างนี้ ก็ควรจับไปขังได้แล้วครับ
    17 พ.ย. 2567 – นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง จับหมาไปขังได้แล้ว!!! ผ่านเว็บไซต์ www.thaipost.net มีเนื้อหาดังนี้ถาม เห็นตัวแทนราชทัณฑ์ตอบคณะกรรมาธิการสภาว่า รับตัวทักษิณเข้าเรือนจำแล้ว ก็ส่งตัวไป รพ.ตำรวจเลย โดยอธิบายว่าทางพยาบาลได้โทรศัพท์ปรึกษากับหมอของเรือนจำแล้ว ซึ่งทางกรรมาธิการตรวจสอบข้อมูลแล้วบอกว่า ทั้งหมดนี้ทักษิณใช้เวลาอยู่ในเรือนจำแค่ ๔ นาทีเท่านั้นตรงจุดนี้ผมข้องใจจริงๆครับ อาจารย์ค้นกฎกระทรวงว่าด้วยการส่งตัวผู้ต้องขัง พ.ศ.๒๕๖๓ แล้ว เขาเปิดให้ทำกันง่ายๆอย่างนี้หรือตอบ ไม่จริงครับ ข้อ ๒ ของกฎกระทรวงระบุชัดเจนว่า นักโทษต้องรับการตรวจทางการแพทย์ก่อน“ข้อ ๒ เมื่อผู้บัญชาการเรือนจำได้รับรายงานจากเจ้าพนักงานเรือนจำว่า ผู้ต้องขังคนใดป่วย ให้ส่งตัวผู้ต้องขังคนนั้นไปรับการตรวจในสถานพยาบาล ของเรือนจำ” เมื่อไม่มีการตรวจเลยเช่นนี้ นี่จึงเป็นการละเว้นหน้าที่เป็นข้อแรก ที่ ปปช.จะขอเวชระเบียน ขอใบส่งตัวอะไรของหมอเรือนจำนั่น มันก็ไม่มีหรอกครับถาม ตามกฎกระทรวงนี้ ตรวจแล้วต้องทำยังไงต่อครับตอบ กฎกระทรวงกำหนดว่า ถ้าตรวจแล้วฝ่ายการแพทย์ของเรือนจำรายงานว่า รักษาในโรงพยาบาลเรือนจำจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ดำเนินการดังนี้“(๑) กรณีผู้บัญชาการเรือนจำอนุญาต ให้เจ้าพนักงานเรือนจำพาผู้ต้องขังคนนั้นไปและกลับในวันเดียวกัน(๒) หากแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษามีความเห็นว่า สมควรรับตัวผู้ต้องขังคนนั้นไว้รักษา ให้เจ้าพนักงาน เรือนจำซึ่งพาผู้ต้องขังคนนั้นไปตรวจรักษาขอหลักฐานและความเห็นของแพทย์ผู้ทำาการตรวจรักษา ประกอบการจัดทำรายงานเสนอผู้บัญชาการเรือนจำพิจารณา ถ้าผู้บัญชาการเรือนจำเห็นด้วยกับ ความเห็นของแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษา ให้มีคำสั่งอนุญาตให้รับตัวไว้รักษา”ถาม อ้าว..ตามพฤติการณ์จริงที่ปรากฏนั้น เมื่อส่งทักษิณไปถึงโรงพยาบาลตำรวจแล้ว เขาก็รับตัวไว้ ยาวไป ๖ เดือนเลยนี่ครับ โดยไม่มีการสื่อสารให้ทางราชทัณฑ์อนุญาตหรือไม่อนุญาตเลย จะอยู่จริงหรือไม่นานแค่ไหนก็ไม่มีใครยืนยันได้ตอบ นี่เป็นการละเว้นหน้าที่อย่างชัดเจนเป็นข้อที่ ๒ ดังนั้น ปปช.จะไปขอเวชระเบียน ใบส่งตัว ใบรับตัวพร้อมบันทึกการตรวจร่างกายอะไรก็ไม่มีหรอกครับ ขั้นตอนอนุญาตของ ผบ.เรือนจำข้อนี้สำคัญมากขาดไม่ได้ กฎกระทรวงระบุชัดว่า“กรณีผู้บัญชาการเรือนจำไม่เห็นด้วยกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษา ให้เจ้าพนักงาน นำตัวผู้ต้องขังคนนั้นกลับเข้ารักษาพยาบาลภายในเรือนจำ”ตอบ กฎกระทรวงระบุไว้รัดกุมครับว่า“เมื่อผู้บัญชาการเรือนจำอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้จัดเจ้าพนักงานเรือนจำอย่างน้อยจำนวนสองคนควบคุมผู้ต้องขังป่วยหนึ่งคนให้อยู่ภายใน เขตที่กำหนดให้เจ้าพนักงานเรือนจำซึ่งมีหน้าที่ควบคุมผู้ต้องขังจดบันทึกข้อมูลผู้เข้าเยี่ยม และเวลา เข้าเยี่ยมโดยละเอียด และดูแลให้ผู้เข้าเยี่ยมปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำใช้สิทธิของผู้ต้องขังตามที่ทางราชการจัดให้และห้ามเข้าอยู่ในห้องพักพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไปรับประทานอาหารตามที่สถานที่รักษา ๓ จัดให้”ถาม เห็นพลตำรวจเอกเสรี เตมียเวส ท่านให้การต่อ ปปช.ว่า เมื่อไปเยี่ยมทักษิณสองครั้งนั้น ท่านไม่เห็นมีพนักงานอยู่ประจำเลย ห้องพักก็เป็นห้องพิเศษ ชั้น ๑๔ ทั้งชั้นเห็นเปิดอยู่ห้องเดียว อาหารการกินสมบูรณ์มีข้าวเหนียวมะม่วงเลี้ยงแขกด้วยนะครับตอบ นี่ก็เป็นการละเว้นหน้าที่เป็นข้อที่สามครับ พวกเขาทำจน รพ.ตำรวจกลายเป็นโรงแรมไปเลย มีนักโทษคนเดียวในประวัติศาสตร์ไทยเท่านั้นได้รับบริการอย่างนี้ถาม พอส่ง โรงพยาบาลตำรวจแล้ว ในกฎกระทรวงไม่มีการตรวจสอบอะไรอีกเลยหรือครับ อยู่นอกเรือนจำตั้ง ๖ เดือน แล้วก็พักโทษไปเลย ง่ายๆอย่างนี้เลยหรือตอบ กฎหมายเขากำหนดการตรวจสอบทางบริหารไว้อย่างนี้ครับ“- หากพักรักษาตัวเกินกว่าสามสิบวัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องหากพักรักษาตัวเกินกว่าหกสิบวัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้ปลัดกระทรวงทราบ-หากพักรักษาตัวเกินกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้รัฐมนตรีทราบ”ถาม แล้วเขามีหนังสือและรายงานอย่างที่ว่านี้ไหมครับตอบ รัฐมนตรี บอกว่ามี และได้เห็นผลตรวจ MRI ด้วย ผมเข้าใจได้ว่าเป็นผลการตรวจก่อนผ่าซ่อมเอ็นหัวไหล่เท่านั้น ซึ่งอาการอย่างนี้ผู้สูงอายุเป็นกันทั่วไป ผ่าวันเดียวก็กลับเรือนจำได้แล้ว เอามาอ้างอยู่นอกเรือนจำเป็น ๖ เดือนไม่ได้หรอกครับ รายงานและหลักฐานที่ว่านี้จะมีจริงไหม ถูกต้องหรือไม่ ทั้ง ปปช.และ กมธ ก็ยังไม่มีใครได้มาวิเคราะห์เลยถาม แล้วที่คุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ท่านร้องให้ศาลไต่สวนว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ราชทัณฑ์ต้องขอให้ศาลออกคำสั่งทุเลาการลงโทษก่อน จึงจะนอนโรงพยาบาลตำรวจได้ ถ้าไม่ผ่านศาลก็ต้องถือว่าไม่ถูกต้อง ศาลต้องออกหมายจับทักษิณมาขังให้ครบ ๑ ปี นั้น คำร้องนี้ถูกต้องให้ศาลรับวินิจฉัยได้ไหมครับตอบ มาตรานั้น ให้ศาลสั่งได้เมื่อญาติ หรือเรือนจำ ร้องขอ หรือเมื่อศาลเห็นเองว่า จำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก ก็ให้ส่งไปบำบัดรักษานอกคุกได้ แต่กรณีทักษิณนี่ เขาอธิบายว่าเป็นการรักษาตามความจำเป็น ตามอำนาจของราชทัณฑ์ ศาลไม่เกี่ยว จริงๆแล้วกฎกระทรวงน่าจะจำกัดเวลาไว้เลยว่า ถ้าต้องรักษาเกิน ๓๐ วันให้ราชทัณฑ์ไปขอคำสั่งทุเลาการลงโทษ ถ้ากำหนดอย่างนี้ศาลก็จะตรวจสอบได้ตามอำนาจในกฎหมาย โอกาสติดคุกทิพย์ก็จะจำกัดอีกมากถาม แต่เฉพาะปัญหาว่าราชทัณฑ์ทำถูกต้องหรือไม่นี่ มันพอแล้วหรือยังครับที่ ปปช.จะมีมติตั้งข้อกล่าวหาผู้รับผิดชอบว่ากระทำผิดอาญา และมีมติส่งเรื่องให้นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจผู้บังคับบัญชา สั่งราชทัณฑ์ให้ร้องศาลให้ออกหมายขัง นำตัวนักโทษกลับเข้าคุกด้วยตอบ เห็นเขาบอกให้หมาอยู่ส่วนหมา คนอยู่ส่วนคน ผมว่าเมื่อปล่อยออกมาโดยไม่ชอบชัดเจนจะๆ และยังพองขนอหังการคับบ้านเมืองอยู่นอกกรงอย่างนี้ ก็ควรจับไปขังได้แล้วครับ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • ** #หน้าใส​ ไม่=​ #เซลล์ผิวหน้าแข็งแรง ! **

    ในบางครั้ง แม้ผิวของเราจะดูใส ดูสุขภาพดีเมื่อมอง จากภายนอก แต่ลึกๆแล้ว ผิวอาจกำลังเผชิญปัญหาความอ่อนแออยู่ก็เป็นได้ โดยที่เรามองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกต

    >>> นี่คือ​ 3 สัญญาณ​สำคัญ‼️ ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณ "อาจจะ" ไม่ได้แข็งแรง​ อย่างที่เห็น

    1. ผิว #ระคายเคืองง่าย และ #มีรอยแดง

    หากผิวของคุณมีแนวโน้มที่จะระคายเคืองง่าย เช่น รู้สึกแสบ คัน มีรอยแดง หรือแม้กระทั่งมีผดเล็กๆ ขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือสัมผัสกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผิวของคุณอาจจะอ่อนแอกว่าที่คิด อาการระคายเคืองง่ายนี้เกิดขึ้นจากการที่เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวไวต่อสิ่งเร้าจากภายนอก เช่น มลภาวะ ฝุ่น หรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (Purnamawati et al., 2017)

    2. ผิว #แห้ง หรือ #ขาดความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว

    อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวของคุณกำลังอ่อนแอ คือ การที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย แม้จะใช้ครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ หากผิวแห้งหรือขาดน้ำบ่อยๆ นั่นอาจแปลว่าผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ผิวสูญเสียไขมันตามธรรมชาติหรือโครงสร้างผิวไม่แข็งแรงพอ การที่ผิวแห้งกร้านง่ายทำให้เกิดริ้วรอยและผิวที่หมองคล้ำเร็วกว่าปกติ (Proksch et al., 2008).

    3. ผิว #ฟื้นตัวช้า หลัง #โดนแสงแดด หรือ #ทำความสะอาด

    ผิวที่อ่อนแอมักจะฟื้นตัวได้ช้าหลังจากเจอความรุนแรงจากภายนอก เช่น การโดนแสงแดดแรงๆ หรือการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก หากหลังจากออกแดดแล้วผิวมีรอยแดง นานกว่าปกติ หรือรู้สึกแห้งตึงหลังล้างหน้าโดยที่ผิวไม่คืนสภาพได้รวดเร็ว ผิวของคุณอาจกำลังส่งสัญญาณว่าต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และอาจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวอ่อนแอลงไปอีก (Krutmann et al., 2014).

    การดูแลผิวให้แข็งแรงจากภายในจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ผิวจะดูใสแต่ก็ไม่ควรละเลยสัญญาณเหล่านี้ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณอาจจะไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เห็น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ สารให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดหรือมลภาวะโดยตรง จะช่วยให้ผิวของคุณกลับมาแข็งแรง สดใส และสุขภาพดีอย่างแท้จริง

    -------

    ทำไม " #สารอาหารผิวในรูปแป้ง #COCON " จึงเหมาะสมต่อการ "ฟื้นฟูผิวอ่อนแอ" และ "ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ" ?

    COCON คือ #สารอาหารผิว ที่ประกอบด้วย โปรตีนจาก #PureCocoon 100% ไม่มีสารสังเคราะห์ ไม่มีสารคงตัวเจือปน ที่ผ่านกรรมวิธีเทคโนโลยีขั้นสูง จากแลปที่เชี่ยวชาญทางด้าน #TissueEngineering อันดับต้นๆของโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ทำให้โมเลกุลของสารอาหาร "เป็นทรงกลม" จึงไม่บาดเซลลผิว ในตอนทา และ สามารถซึมลงไปให้เซลล์ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอะไรตกค้าง ไม่ระคายเคืองเซลล์ผิวเลย จึงเป็นแบรนด์ที่ใช้ในวงการแพทย์ของญี่ปุ่น

    ซึ่ง มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและป้องกันผิว จากความอ่อนแอ ดังนี้

    1. ฟื้นฟูผิวอ่อนแอด้วยการซ่อมแซมเซลล์จากภายใน
    COCON เป็น สารอาหารผิวในรูปแป้งที่มี Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายได้ลึกถึงระดับ DNA ทำให้โครงสร้างผิวที่เคยถูกทำลายจากมลภาวะ แสงแดด หรือการใช้งานหนักกลับมาแข็งแรงขึ้น ผิวที่เคยอ่อนแอจึงสามารถฟื้นตัวและกลับมาดูสุขภาพดีได้อย่างเป็นธรรมชาติ

    2. ป้องกันการสูญเสียเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier)
    ด้วยคุณสมบัติของ Silk Protein ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ COCON ช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ฝุ่น มลภาวะ และสารเคมี ทำให้ผิวที่ยังแข็งแรงไม่ถูกทำลายง่าย และลดโอกาสที่ผิวจะกลายเป็นผิวอ่อนแอในอนาคต

    3. ป้องกันและลดการอักเสบขนาดเล็ก (Micro-Inflammation)
    การอักเสบขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ COCON มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับเซลล์ผิว และลดความเสี่ยงที่ผิวจะเกิดปัญหาระยะยาว เช่น การเสื่อมสภาพหรือการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

    4. เหมาะกับทุกสภาพผิว ปลอดภัย ไร้สารสังเคราะห์
    COCON เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารสังเคราะห์เจือปน จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การใช้สารอาหารผิวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผิวจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการระคายเคืองและส่งเสริมสุขภาพผิวในระยะยาว

    5. ช่วยรักษาสมดุลของผิวอย่างยั่งยืน
    การใช้ COCON อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผิวได้รับสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยรักษาความสมดุลของผิว ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวที่ดีอยู่แล้วคงความสุขภาพดีไว้ได้อย่างยาวนาน

    ไม่ว่าคุณจะมีผิวที่อ่อนแอหรือผิวที่ต้องการการป้องกันไม่ให้เสื่อมสภาพ COCON คือคำตอบที่ช่วยเติมเต็มความต้องการของผิวคุณ ด้วย Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ที่ผ่านกระบวนการเทคโนโลยีขั้นสูง ที่อ่อนโยนและทรงประสิทธิภาพในการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก

    -------

    **สำหรับผู้ที่ใช้ COCON อยู่แล้ว** หากคุณใช้ COCON แล้วพบว่ามีอาการผื่นแดงขึ้น นั่นแปลว่า เซลล์ผิวของคุณอ่อนแอจากเคมีในผลิตภัณฑ์อื่นที่คุณใช้ หรือ มลภาวะที่คุณต้องเผชิญในแต่ละวัน

    ดังนั้น แนะนำให้ลองใช้ COCON เฉพาะตอนกลางคืนเพียงอย่างเดียวก่อน เพื่อให้ผิวได้พักและฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีจากครีมหรือเครื่องสำอางตัวอื่นที่อาจปิดกั้นการทำงานของ COCON

    การใช้สารอาหารผิว COCON เพียงตัวเดียวก่อนนอน จะช่วยให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจทำลายเซลล์ผิวในระยะยาว เมื่อผิวกลับมาแข็งแรงแล้ว ค่อยเริ่มใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นในช่วงกลางวัน

    #TheSignature #BangkokCraftmanship #skincare #สกินแคร์ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    ** #หน้าใส​ ไม่=​ #เซลล์ผิวหน้าแข็งแรง ! ** ในบางครั้ง แม้ผิวของเราจะดูใส ดูสุขภาพดีเมื่อมอง จากภายนอก แต่ลึกๆแล้ว ผิวอาจกำลังเผชิญปัญหาความอ่อนแออยู่ก็เป็นได้ โดยที่เรามองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกต >>> นี่คือ​ 3 สัญญาณ​สำคัญ‼️ ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณ "อาจจะ" ไม่ได้แข็งแรง​ อย่างที่เห็น 1. ผิว #ระคายเคืองง่าย และ #มีรอยแดง หากผิวของคุณมีแนวโน้มที่จะระคายเคืองง่าย เช่น รู้สึกแสบ คัน มีรอยแดง หรือแม้กระทั่งมีผดเล็กๆ ขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือสัมผัสกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผิวของคุณอาจจะอ่อนแอกว่าที่คิด อาการระคายเคืองง่ายนี้เกิดขึ้นจากการที่เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวไวต่อสิ่งเร้าจากภายนอก เช่น มลภาวะ ฝุ่น หรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (Purnamawati et al., 2017) 2. ผิว #แห้ง หรือ #ขาดความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวของคุณกำลังอ่อนแอ คือ การที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย แม้จะใช้ครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ หากผิวแห้งหรือขาดน้ำบ่อยๆ นั่นอาจแปลว่าผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ผิวสูญเสียไขมันตามธรรมชาติหรือโครงสร้างผิวไม่แข็งแรงพอ การที่ผิวแห้งกร้านง่ายทำให้เกิดริ้วรอยและผิวที่หมองคล้ำเร็วกว่าปกติ (Proksch et al., 2008). 3. ผิว #ฟื้นตัวช้า หลัง #โดนแสงแดด หรือ #ทำความสะอาด ผิวที่อ่อนแอมักจะฟื้นตัวได้ช้าหลังจากเจอความรุนแรงจากภายนอก เช่น การโดนแสงแดดแรงๆ หรือการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก หากหลังจากออกแดดแล้วผิวมีรอยแดง นานกว่าปกติ หรือรู้สึกแห้งตึงหลังล้างหน้าโดยที่ผิวไม่คืนสภาพได้รวดเร็ว ผิวของคุณอาจกำลังส่งสัญญาณว่าต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และอาจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวอ่อนแอลงไปอีก (Krutmann et al., 2014). การดูแลผิวให้แข็งแรงจากภายในจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ผิวจะดูใสแต่ก็ไม่ควรละเลยสัญญาณเหล่านี้ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณอาจจะไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เห็น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ สารให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดหรือมลภาวะโดยตรง จะช่วยให้ผิวของคุณกลับมาแข็งแรง สดใส และสุขภาพดีอย่างแท้จริง ------- ทำไม " #สารอาหารผิวในรูปแป้ง #COCON " จึงเหมาะสมต่อการ "ฟื้นฟูผิวอ่อนแอ" และ "ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ" ? COCON คือ #สารอาหารผิว ที่ประกอบด้วย โปรตีนจาก #PureCocoon 100% ไม่มีสารสังเคราะห์ ไม่มีสารคงตัวเจือปน ที่ผ่านกรรมวิธีเทคโนโลยีขั้นสูง จากแลปที่เชี่ยวชาญทางด้าน #TissueEngineering อันดับต้นๆของโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ทำให้โมเลกุลของสารอาหาร "เป็นทรงกลม" จึงไม่บาดเซลลผิว ในตอนทา และ สามารถซึมลงไปให้เซลล์ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอะไรตกค้าง ไม่ระคายเคืองเซลล์ผิวเลย จึงเป็นแบรนด์ที่ใช้ในวงการแพทย์ของญี่ปุ่น ซึ่ง มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและป้องกันผิว จากความอ่อนแอ ดังนี้ 1. ฟื้นฟูผิวอ่อนแอด้วยการซ่อมแซมเซลล์จากภายใน COCON เป็น สารอาหารผิวในรูปแป้งที่มี Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายได้ลึกถึงระดับ DNA ทำให้โครงสร้างผิวที่เคยถูกทำลายจากมลภาวะ แสงแดด หรือการใช้งานหนักกลับมาแข็งแรงขึ้น ผิวที่เคยอ่อนแอจึงสามารถฟื้นตัวและกลับมาดูสุขภาพดีได้อย่างเป็นธรรมชาติ 2. ป้องกันการสูญเสียเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ด้วยคุณสมบัติของ Silk Protein ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ COCON ช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ฝุ่น มลภาวะ และสารเคมี ทำให้ผิวที่ยังแข็งแรงไม่ถูกทำลายง่าย และลดโอกาสที่ผิวจะกลายเป็นผิวอ่อนแอในอนาคต 3. ป้องกันและลดการอักเสบขนาดเล็ก (Micro-Inflammation) การอักเสบขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ COCON มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับเซลล์ผิว และลดความเสี่ยงที่ผิวจะเกิดปัญหาระยะยาว เช่น การเสื่อมสภาพหรือการเกิดริ้วรอยก่อนวัย 4. เหมาะกับทุกสภาพผิว ปลอดภัย ไร้สารสังเคราะห์ COCON เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารสังเคราะห์เจือปน จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การใช้สารอาหารผิวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผิวจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการระคายเคืองและส่งเสริมสุขภาพผิวในระยะยาว 5. ช่วยรักษาสมดุลของผิวอย่างยั่งยืน การใช้ COCON อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผิวได้รับสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยรักษาความสมดุลของผิว ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวที่ดีอยู่แล้วคงความสุขภาพดีไว้ได้อย่างยาวนาน ไม่ว่าคุณจะมีผิวที่อ่อนแอหรือผิวที่ต้องการการป้องกันไม่ให้เสื่อมสภาพ COCON คือคำตอบที่ช่วยเติมเต็มความต้องการของผิวคุณ ด้วย Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ที่ผ่านกระบวนการเทคโนโลยีขั้นสูง ที่อ่อนโยนและทรงประสิทธิภาพในการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก ------- **สำหรับผู้ที่ใช้ COCON อยู่แล้ว** หากคุณใช้ COCON แล้วพบว่ามีอาการผื่นแดงขึ้น นั่นแปลว่า เซลล์ผิวของคุณอ่อนแอจากเคมีในผลิตภัณฑ์อื่นที่คุณใช้ หรือ มลภาวะที่คุณต้องเผชิญในแต่ละวัน ดังนั้น แนะนำให้ลองใช้ COCON เฉพาะตอนกลางคืนเพียงอย่างเดียวก่อน เพื่อให้ผิวได้พักและฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีจากครีมหรือเครื่องสำอางตัวอื่นที่อาจปิดกั้นการทำงานของ COCON การใช้สารอาหารผิว COCON เพียงตัวเดียวก่อนนอน จะช่วยให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจทำลายเซลล์ผิวในระยะยาว เมื่อผิวกลับมาแข็งแรงแล้ว ค่อยเริ่มใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นในช่วงกลางวัน #TheSignature #BangkokCraftmanship #skincare #สกินแคร์ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 422 มุมมอง 0 รีวิว
  • ** #หน้าใส​ ไม่=​ #เซลล์ผิวหน้าแข็งแรง ! **

    ในบางครั้ง แม้ผิวของเราจะดูใส ดูสุขภาพดีเมื่อมอง จากภายนอก แต่ลึกๆแล้ว ผิวอาจกำลังเผชิญปัญหาความอ่อนแออยู่ก็เป็นได้ โดยที่เรามองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกต

    >>> นี่คือ​ 3 สัญญาณ​สำคัญ‼️ ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณ "อาจจะ" ไม่ได้แข็งแรง​ อย่างที่เห็น

    1. ผิว #ระคายเคืองง่าย และ #มีรอยแดง

    หากผิวของคุณมีแนวโน้มที่จะระคายเคืองง่าย เช่น รู้สึกแสบ คัน มีรอยแดง หรือแม้กระทั่งมีผดเล็กๆ ขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือสัมผัสกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผิวของคุณอาจจะอ่อนแอกว่าที่คิด อาการระคายเคืองง่ายนี้เกิดขึ้นจากการที่เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวไวต่อสิ่งเร้าจากภายนอก เช่น มลภาวะ ฝุ่น หรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (Purnamawati et al., 2017)

    2. ผิว #แห้ง หรือ #ขาดความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว

    อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวของคุณกำลังอ่อนแอ คือ การที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย แม้จะใช้ครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ หากผิวแห้งหรือขาดน้ำบ่อยๆ นั่นอาจแปลว่าผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ผิวสูญเสียไขมันตามธรรมชาติหรือโครงสร้างผิวไม่แข็งแรงพอ การที่ผิวแห้งกร้านง่ายทำให้เกิดริ้วรอยและผิวที่หมองคล้ำเร็วกว่าปกติ (Proksch et al., 2008).

    3. ผิว #ฟื้นตัวช้า หลัง #โดนแสงแดด หรือ #ทำความสะอาด

    ผิวที่อ่อนแอมักจะฟื้นตัวได้ช้าหลังจากเจอความรุนแรงจากภายนอก เช่น การโดนแสงแดดแรงๆ หรือการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก หากหลังจากออกแดดแล้วผิวมีรอยแดง นานกว่าปกติ หรือรู้สึกแห้งตึงหลังล้างหน้าโดยที่ผิวไม่คืนสภาพได้รวดเร็ว ผิวของคุณอาจกำลังส่งสัญญาณว่าต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และอาจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวอ่อนแอลงไปอีก (Krutmann et al., 2014).

    การดูแลผิวให้แข็งแรงจากภายในจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ผิวจะดูใสแต่ก็ไม่ควรละเลยสัญญาณเหล่านี้ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณอาจจะไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เห็น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ สารให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดหรือมลภาวะโดยตรง จะช่วยให้ผิวของคุณกลับมาแข็งแรง สดใส และสุขภาพดีอย่างแท้จริง

    -------

    ทำไม " #สารอาหารผิวในรูปแป้ง #COCON " จึงเหมาะสมต่อการ "ฟื้นฟูผิวอ่อนแอ" และ "ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ" ?

    COCON คือ #สารอาหารผิว ที่ประกอบด้วย โปรตีนจาก #PureCocoon 100% ไม่มีสารสังเคราะห์ ไม่มีสารคงตัวเจือปน ที่ผ่านกรรมวิธีเทคโนโลยีขั้นสูง จากแลปที่เชี่ยวชาญทางด้าน #TissueEngineering อันดับต้นๆของโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ทำให้โมเลกุลของสารอาหาร "เป็นทรงกลม" จึงไม่บาดเซลลผิว ในตอนทา และ สามารถซึมลงไปให้เซลล์ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอะไรตกค้าง ไม่ระคายเคืองเซลล์ผิวเลย จึงเป็นแบรนด์ที่ใช้ในวงการแพทย์ของญี่ปุ่น

    ซึ่ง มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและป้องกันผิว จากความอ่อนแอ ดังนี้

    1. ฟื้นฟูผิวอ่อนแอด้วยการซ่อมแซมเซลล์จากภายใน
    COCON เป็น สารอาหารผิวในรูปแป้งที่มี Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายได้ลึกถึงระดับ DNA ทำให้โครงสร้างผิวที่เคยถูกทำลายจากมลภาวะ แสงแดด หรือการใช้งานหนักกลับมาแข็งแรงขึ้น ผิวที่เคยอ่อนแอจึงสามารถฟื้นตัวและกลับมาดูสุขภาพดีได้อย่างเป็นธรรมชาติ

    2. ป้องกันการสูญเสียเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier)
    ด้วยคุณสมบัติของ Silk Protein ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ COCON ช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ฝุ่น มลภาวะ และสารเคมี ทำให้ผิวที่ยังแข็งแรงไม่ถูกทำลายง่าย และลดโอกาสที่ผิวจะกลายเป็นผิวอ่อนแอในอนาคต

    3. ป้องกันและลดการอักเสบขนาดเล็ก (Micro-Inflammation)
    การอักเสบขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ COCON มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับเซลล์ผิว และลดความเสี่ยงที่ผิวจะเกิดปัญหาระยะยาว เช่น การเสื่อมสภาพหรือการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

    4. เหมาะกับทุกสภาพผิว ปลอดภัย ไร้สารสังเคราะห์
    COCON เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารสังเคราะห์เจือปน จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การใช้สารอาหารผิวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผิวจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการระคายเคืองและส่งเสริมสุขภาพผิวในระยะยาว

    5. ช่วยรักษาสมดุลของผิวอย่างยั่งยืน
    การใช้ COCON อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผิวได้รับสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยรักษาความสมดุลของผิว ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวที่ดีอยู่แล้วคงความสุขภาพดีไว้ได้อย่างยาวนาน

    ไม่ว่าคุณจะมีผิวที่อ่อนแอหรือผิวที่ต้องการการป้องกันไม่ให้เสื่อมสภาพ COCON คือคำตอบที่ช่วยเติมเต็มความต้องการของผิวคุณ ด้วย Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ที่ผ่านกระบวนการเทคโนโลยีขั้นสูง ที่อ่อนโยนและทรงประสิทธิภาพในการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก

    -------

    **สำหรับผู้ที่ใช้ COCON อยู่แล้ว** หากคุณใช้ COCON แล้วพบว่ามีอาการผื่นแดงขึ้น นั่นแปลว่า เซลล์ผิวของคุณอ่อนแอจากเคมีในผลิตภัณฑ์อื่นที่คุณใช้ หรือ มลภาวะที่คุณต้องเผชิญในแต่ละวัน

    ดังนั้น แนะนำให้ลองใช้ COCON เฉพาะตอนกลางคืนเพียงอย่างเดียวก่อน เพื่อให้ผิวได้พักและฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีจากครีมหรือเครื่องสำอางตัวอื่นที่อาจปิดกั้นการทำงานของ COCON

    การใช้สารอาหารผิว COCON เพียงตัวเดียวก่อนนอน จะช่วยให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจทำลายเซลล์ผิวในระยะยาว เมื่อผิวกลับมาแข็งแรงแล้ว ค่อยเริ่มใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นในช่วงกลางวัน

    #TheSignature #BangkokCraftmanship #skincare #สกินแคร์ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    ** #หน้าใส​ ไม่=​ #เซลล์ผิวหน้าแข็งแรง ! ** ในบางครั้ง แม้ผิวของเราจะดูใส ดูสุขภาพดีเมื่อมอง จากภายนอก แต่ลึกๆแล้ว ผิวอาจกำลังเผชิญปัญหาความอ่อนแออยู่ก็เป็นได้ โดยที่เรามองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกต >>> นี่คือ​ 3 สัญญาณ​สำคัญ‼️ ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณ "อาจจะ" ไม่ได้แข็งแรง​ อย่างที่เห็น 1. ผิว #ระคายเคืองง่าย และ #มีรอยแดง หากผิวของคุณมีแนวโน้มที่จะระคายเคืองง่าย เช่น รู้สึกแสบ คัน มีรอยแดง หรือแม้กระทั่งมีผดเล็กๆ ขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือสัมผัสกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผิวของคุณอาจจะอ่อนแอกว่าที่คิด อาการระคายเคืองง่ายนี้เกิดขึ้นจากการที่เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวไวต่อสิ่งเร้าจากภายนอก เช่น มลภาวะ ฝุ่น หรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (Purnamawati et al., 2017) 2. ผิว #แห้ง หรือ #ขาดความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวของคุณกำลังอ่อนแอ คือ การที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย แม้จะใช้ครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ หากผิวแห้งหรือขาดน้ำบ่อยๆ นั่นอาจแปลว่าผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ผิวสูญเสียไขมันตามธรรมชาติหรือโครงสร้างผิวไม่แข็งแรงพอ การที่ผิวแห้งกร้านง่ายทำให้เกิดริ้วรอยและผิวที่หมองคล้ำเร็วกว่าปกติ (Proksch et al., 2008). 3. ผิว #ฟื้นตัวช้า หลัง #โดนแสงแดด หรือ #ทำความสะอาด ผิวที่อ่อนแอมักจะฟื้นตัวได้ช้าหลังจากเจอความรุนแรงจากภายนอก เช่น การโดนแสงแดดแรงๆ หรือการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก หากหลังจากออกแดดแล้วผิวมีรอยแดง นานกว่าปกติ หรือรู้สึกแห้งตึงหลังล้างหน้าโดยที่ผิวไม่คืนสภาพได้รวดเร็ว ผิวของคุณอาจกำลังส่งสัญญาณว่าต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และอาจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวอ่อนแอลงไปอีก (Krutmann et al., 2014). การดูแลผิวให้แข็งแรงจากภายในจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ผิวจะดูใสแต่ก็ไม่ควรละเลยสัญญาณเหล่านี้ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณอาจจะไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เห็น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ สารให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดหรือมลภาวะโดยตรง จะช่วยให้ผิวของคุณกลับมาแข็งแรง สดใส และสุขภาพดีอย่างแท้จริง ------- ทำไม " #สารอาหารผิวในรูปแป้ง #COCON " จึงเหมาะสมต่อการ "ฟื้นฟูผิวอ่อนแอ" และ "ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ" ? COCON คือ #สารอาหารผิว ที่ประกอบด้วย โปรตีนจาก #PureCocoon 100% ไม่มีสารสังเคราะห์ ไม่มีสารคงตัวเจือปน ที่ผ่านกรรมวิธีเทคโนโลยีขั้นสูง จากแลปที่เชี่ยวชาญทางด้าน #TissueEngineering อันดับต้นๆของโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ทำให้โมเลกุลของสารอาหาร "เป็นทรงกลม" จึงไม่บาดเซลลผิว ในตอนทา และ สามารถซึมลงไปให้เซลล์ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอะไรตกค้าง ไม่ระคายเคืองเซลล์ผิวเลย จึงเป็นแบรนด์ที่ใช้ในวงการแพทย์ของญี่ปุ่น ซึ่ง มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและป้องกันผิว จากความอ่อนแอ ดังนี้ 1. ฟื้นฟูผิวอ่อนแอด้วยการซ่อมแซมเซลล์จากภายใน COCON เป็น สารอาหารผิวในรูปแป้งที่มี Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายได้ลึกถึงระดับ DNA ทำให้โครงสร้างผิวที่เคยถูกทำลายจากมลภาวะ แสงแดด หรือการใช้งานหนักกลับมาแข็งแรงขึ้น ผิวที่เคยอ่อนแอจึงสามารถฟื้นตัวและกลับมาดูสุขภาพดีได้อย่างเป็นธรรมชาติ 2. ป้องกันการสูญเสียเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ด้วยคุณสมบัติของ Silk Protein ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ COCON ช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ฝุ่น มลภาวะ และสารเคมี ทำให้ผิวที่ยังแข็งแรงไม่ถูกทำลายง่าย และลดโอกาสที่ผิวจะกลายเป็นผิวอ่อนแอในอนาคต 3. ป้องกันและลดการอักเสบขนาดเล็ก (Micro-Inflammation) การอักเสบขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ COCON มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับเซลล์ผิว และลดความเสี่ยงที่ผิวจะเกิดปัญหาระยะยาว เช่น การเสื่อมสภาพหรือการเกิดริ้วรอยก่อนวัย 4. เหมาะกับทุกสภาพผิว ปลอดภัย ไร้สารสังเคราะห์ COCON เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารสังเคราะห์เจือปน จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การใช้สารอาหารผิวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผิวจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการระคายเคืองและส่งเสริมสุขภาพผิวในระยะยาว 5. ช่วยรักษาสมดุลของผิวอย่างยั่งยืน การใช้ COCON อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผิวได้รับสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยรักษาความสมดุลของผิว ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวที่ดีอยู่แล้วคงความสุขภาพดีไว้ได้อย่างยาวนาน ไม่ว่าคุณจะมีผิวที่อ่อนแอหรือผิวที่ต้องการการป้องกันไม่ให้เสื่อมสภาพ COCON คือคำตอบที่ช่วยเติมเต็มความต้องการของผิวคุณ ด้วย Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ที่ผ่านกระบวนการเทคโนโลยีขั้นสูง ที่อ่อนโยนและทรงประสิทธิภาพในการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก ------- **สำหรับผู้ที่ใช้ COCON อยู่แล้ว** หากคุณใช้ COCON แล้วพบว่ามีอาการผื่นแดงขึ้น นั่นแปลว่า เซลล์ผิวของคุณอ่อนแอจากเคมีในผลิตภัณฑ์อื่นที่คุณใช้ หรือ มลภาวะที่คุณต้องเผชิญในแต่ละวัน ดังนั้น แนะนำให้ลองใช้ COCON เฉพาะตอนกลางคืนเพียงอย่างเดียวก่อน เพื่อให้ผิวได้พักและฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีจากครีมหรือเครื่องสำอางตัวอื่นที่อาจปิดกั้นการทำงานของ COCON การใช้สารอาหารผิว COCON เพียงตัวเดียวก่อนนอน จะช่วยให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจทำลายเซลล์ผิวในระยะยาว เมื่อผิวกลับมาแข็งแรงแล้ว ค่อยเริ่มใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นในช่วงกลางวัน #TheSignature #BangkokCraftmanship #skincare #สกินแคร์ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 665 มุมมอง 0 รีวิว
  • #วันลอยกระทง #thaitimes #บทความ #ข้อคิด เนื่องในโอกาสพรุ่งนี้จะเป็นวันทิ้งขยะลงน้ำแห่งชาติ.......ตั้งจิตตั้งใจให้แน่วแน่เถิดครับ ว่าจะไม่เห็นแก่ตัวมักง่ายโยนขยะในมือลงตามลำน้ำสาธารณะ ถ้าอยากทิ้งให้เก็บกลับไปทิ้งที่บ้านตัวเอง ถือเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงความสำนึกรู้คุณที่ทำได้ทุกวัน ไม่จำเป็นต้องไปลอยกระทงให้รกลำน้ำ เป็นภาระแก่พนักงาน ที่ต้องมาตามเก็บให้เราในภายหลัง รวมถึงสร้างมลพิษต่อธรรมชาติ ต้องมาย่อยสลายสิ่งที่พวกเราก่อไว้ แม้จะขนมปังแต่เมื่อมีจำนวนมหาศาล ปลาก็กินไม่ทัน สุดท้ายจมน้ำไปก็เน่าเสียเกิดเป็นก๊าซพิษใต้น้ำ ทำให้ออกซิเจนลดต่ำ สัตว์น้ำจำนวนมากตกตายอีกกลายเป็นการซ้ำเติมต่อแม่คงคาไม่ใช่ขอขมา ถ้าอดไม่ได้อยากลอยมากจริงๆ ขอแนะนำว่าให้รับผิดชอบสิ่งที่ตนได้ลอยไปด้วยการตามเก็บกลับมาทิ้งในที่อันควรให้เรียบร้อยด้วย แล้ววิธีนี้จะมีสักกี่คนกันที่มีความใส่ใจเช่นนั้น แทบทุกคนพอลอยเสร็จ ก็สะบัดก้นหันไปทำกิจกรรมอื่นกันต่อวันพระทั้งที ควรเป็นวันที่ได้ปล่อยความไม่ดีในตนให้ลอยหายไป ไม่หวงแหนหน่วงเหนี่ยวเกี่ยวพันไว้อีก ลอยอย่างนี้น่าจะดีกว่า ทั้งดีต่อตน ดีต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ดีต่อใจ ดีต่อโลก เพราะเราจะกลายเป็นผู้ที่เบียดเบียนชีวิตน้อยลง แต่ถ้าอดไม่ไหวจริงๆ หากไม่ได้ลอยกระทงแล้วอาจจะลงแดงตาย งั้นขอเสนอความเห็นเผื่อไว้ให้ลองพิจารณาดังนี้ถ้าเทศกาลลอยกระทงสำหรับคุณคือ1. เพื่อได้ขอขมาต่อแม่คงคาปีละครั้งลองไม่ต้องลอย แต่ทุกครั้งที่ใช้น้ำ ขอให้ใช้อย่างมีสติ คุ้มค่าที่สุด และไม่ทิ้งอะไรลงน้ำในทุกๆวัน ถือเป็นการกตัญญูรู้คุณ น่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่าไหม2. การได้สนุกสนานเฮฮา ชมบรรยากาศกับเพื่อน คนรัก หรือครอบครัวปีละครั้งลองเปลี่ยนจากชวนกันไปเที่ยวชมบรรยากาศ แสง สี เสียง ลอยกระทง จุดพลุ ฯลฯ มาเป็นชวนกันไปช่วยช้อนกระทงที่ลอยมาติดตามขอบริมตลิ่งขึ้นจากลำน้ำ จะได้ประโยชน์ 2 ต่อ คือได้บรรยากาศตามที่หวัง และได้เก็บขยะขึ้นจากน้ำด้วยน่าสนกว่าไหม3. การได้ขายกระทง ขายของกิน ของเล่น พลุประทัด และอื่นๆที่เกี่ยวข้องให้คนที่มาเที่ยว เพื่อหารายได้ให้ตัวเองลองเปลี่ยนมาเป็นขายสวิงให้คนที่เขาอยากช่วยตักขยะขึ้นจากน้ำแต่ไม่มีอุปกรณ์สิ แล้วก็เขียนป้ายตัวโตๆหน่อย เช่น "สวิงกู้โลก" อุปกรณ์สำหรับยอดมนุษย์ ผู้ที่มีความปรารถนาเสียสละตน เพื่อความสุขมวลรวมประชาชาติ ออกแบบให้แจ๋วไปเลย ราคาไม่แพง แต่ใช้งานง่าย สะดวก เบามือ และแข็งแรง เทรนด์ใหม่ที่มุมมองพลิกด้าน คนอื่นเขาขายสวิงเป็นเครื่องมือทำบาป เราเปลี่ยนให้มาเป็นเครื่องมือในการทำกุศลแทน น่าสนใจกว่าไหม4. เพื่อหวังรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าสู่ชุมชน ทำผลงานเชิดหน้าชูตาอวดนาย หรือชนชั้นผู้มีอำนาจลองเปลี่ยนใหม่นิดเดียว แทนที่จะรณรงค์ประชาสัมพันธ์คนมาเที่ยวงานลอยกระทง ประกวดนางนพมาศ ก็ให้เป็นเที่ยวงานอนุรักษ์น่านน้ำ คืนความงดงามสู่ธรรมชาติ ประกวดความคิดในการประดิษฐ์เครื่องมือ อุปกรณ์ในการเก็บขยะตามแหล่งน้ำ ประกวดออกแบบผลิตภัณฑ์ ให้รางวัลเชิดชูพนักงานทำความสะอาดที่เขาต้องเหนื่อยหนัก ล่องเรือไปตามเก็บกวาดขยะในน้ำที่คุณๆสร้างไว้จะดีกว่าไหมแค่ช่วยคิดให้ ถ้าไม่สนใจ ไม่เห็นด้วย และไม่อยากทำก็ไม่ว่ากัน
    #วันลอยกระทง #thaitimes #บทความ #ข้อคิด เนื่องในโอกาสพรุ่งนี้จะเป็นวันทิ้งขยะลงน้ำแห่งชาติ.......ตั้งจิตตั้งใจให้แน่วแน่เถิดครับ ว่าจะไม่เห็นแก่ตัวมักง่ายโยนขยะในมือลงตามลำน้ำสาธารณะ ถ้าอยากทิ้งให้เก็บกลับไปทิ้งที่บ้านตัวเอง ถือเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงความสำนึกรู้คุณที่ทำได้ทุกวัน ไม่จำเป็นต้องไปลอยกระทงให้รกลำน้ำ เป็นภาระแก่พนักงาน ที่ต้องมาตามเก็บให้เราในภายหลัง รวมถึงสร้างมลพิษต่อธรรมชาติ ต้องมาย่อยสลายสิ่งที่พวกเราก่อไว้ แม้จะขนมปังแต่เมื่อมีจำนวนมหาศาล ปลาก็กินไม่ทัน สุดท้ายจมน้ำไปก็เน่าเสียเกิดเป็นก๊าซพิษใต้น้ำ ทำให้ออกซิเจนลดต่ำ สัตว์น้ำจำนวนมากตกตายอีกกลายเป็นการซ้ำเติมต่อแม่คงคาไม่ใช่ขอขมา ถ้าอดไม่ได้อยากลอยมากจริงๆ ขอแนะนำว่าให้รับผิดชอบสิ่งที่ตนได้ลอยไปด้วยการตามเก็บกลับมาทิ้งในที่อันควรให้เรียบร้อยด้วย แล้ววิธีนี้จะมีสักกี่คนกันที่มีความใส่ใจเช่นนั้น แทบทุกคนพอลอยเสร็จ ก็สะบัดก้นหันไปทำกิจกรรมอื่นกันต่อวันพระทั้งที ควรเป็นวันที่ได้ปล่อยความไม่ดีในตนให้ลอยหายไป ไม่หวงแหนหน่วงเหนี่ยวเกี่ยวพันไว้อีก ลอยอย่างนี้น่าจะดีกว่า ทั้งดีต่อตน ดีต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ดีต่อใจ ดีต่อโลก เพราะเราจะกลายเป็นผู้ที่เบียดเบียนชีวิตน้อยลง แต่ถ้าอดไม่ไหวจริงๆ หากไม่ได้ลอยกระทงแล้วอาจจะลงแดงตาย งั้นขอเสนอความเห็นเผื่อไว้ให้ลองพิจารณาดังนี้ถ้าเทศกาลลอยกระทงสำหรับคุณคือ1. เพื่อได้ขอขมาต่อแม่คงคาปีละครั้งลองไม่ต้องลอย แต่ทุกครั้งที่ใช้น้ำ ขอให้ใช้อย่างมีสติ คุ้มค่าที่สุด และไม่ทิ้งอะไรลงน้ำในทุกๆวัน ถือเป็นการกตัญญูรู้คุณ น่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่าไหม2. การได้สนุกสนานเฮฮา ชมบรรยากาศกับเพื่อน คนรัก หรือครอบครัวปีละครั้งลองเปลี่ยนจากชวนกันไปเที่ยวชมบรรยากาศ แสง สี เสียง ลอยกระทง จุดพลุ ฯลฯ มาเป็นชวนกันไปช่วยช้อนกระทงที่ลอยมาติดตามขอบริมตลิ่งขึ้นจากลำน้ำ จะได้ประโยชน์ 2 ต่อ คือได้บรรยากาศตามที่หวัง และได้เก็บขยะขึ้นจากน้ำด้วยน่าสนกว่าไหม3. การได้ขายกระทง ขายของกิน ของเล่น พลุประทัด และอื่นๆที่เกี่ยวข้องให้คนที่มาเที่ยว เพื่อหารายได้ให้ตัวเองลองเปลี่ยนมาเป็นขายสวิงให้คนที่เขาอยากช่วยตักขยะขึ้นจากน้ำแต่ไม่มีอุปกรณ์สิ แล้วก็เขียนป้ายตัวโตๆหน่อย เช่น "สวิงกู้โลก" อุปกรณ์สำหรับยอดมนุษย์ ผู้ที่มีความปรารถนาเสียสละตน เพื่อความสุขมวลรวมประชาชาติ ออกแบบให้แจ๋วไปเลย ราคาไม่แพง แต่ใช้งานง่าย สะดวก เบามือ และแข็งแรง เทรนด์ใหม่ที่มุมมองพลิกด้าน คนอื่นเขาขายสวิงเป็นเครื่องมือทำบาป เราเปลี่ยนให้มาเป็นเครื่องมือในการทำกุศลแทน น่าสนใจกว่าไหม4. เพื่อหวังรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าสู่ชุมชน ทำผลงานเชิดหน้าชูตาอวดนาย หรือชนชั้นผู้มีอำนาจลองเปลี่ยนใหม่นิดเดียว แทนที่จะรณรงค์ประชาสัมพันธ์คนมาเที่ยวงานลอยกระทง ประกวดนางนพมาศ ก็ให้เป็นเที่ยวงานอนุรักษ์น่านน้ำ คืนความงดงามสู่ธรรมชาติ ประกวดความคิดในการประดิษฐ์เครื่องมือ อุปกรณ์ในการเก็บขยะตามแหล่งน้ำ ประกวดออกแบบผลิตภัณฑ์ ให้รางวัลเชิดชูพนักงานทำความสะอาดที่เขาต้องเหนื่อยหนัก ล่องเรือไปตามเก็บกวาดขยะในน้ำที่คุณๆสร้างไว้จะดีกว่าไหมแค่ช่วยคิดให้ ถ้าไม่สนใจ ไม่เห็นด้วย และไม่อยากทำก็ไม่ว่ากัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 495 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคยเขียนไปแล้ว.น่าจะในเฟส..มีคน ไม่เห็นด้วย...เขียนว่า อีกไม่นาน ช่างแกะสลัก.
    วัสดุ ..อะไรก็ตาม..ที่เครื่อง CNC แกะแทนได้.....จะแทบสูุญพันธุ์......
    ...ใช้เวลาน้อยกว่ามากๆๆๆ...
    ... ต้นทุนค่าแรงหายไป...กลายเป็นลงทุนเครื่อง และก็คำนวณจุดคุ้มทุน ..
    ...งานมีความละเอียด และ เป๊ะ ...กว่า เพราะสามารถคัดกรอง แก้แบบใน com. ก่อนได้...
    ...ผมเขียนว่า พวกงานไม้แกะสลัก...ที่ไม่เก่า แบบย้อนไปถึงขั้น ยุคสมัย (หลายร้อยปี) คือ กึ่ง เก่าใหม่ 345 60 ปี ....แล้วราคาแพงๆ...จะถูกแทนที่ ด้วยสิ่งนี้.
    เคยเขียนไปแล้ว.น่าจะในเฟส..มีคน ไม่เห็นด้วย...เขียนว่า อีกไม่นาน ช่างแกะสลัก. วัสดุ ..อะไรก็ตาม..ที่เครื่อง CNC แกะแทนได้.....จะแทบสูุญพันธุ์...... ...ใช้เวลาน้อยกว่ามากๆๆๆ... ... ต้นทุนค่าแรงหายไป...กลายเป็นลงทุนเครื่อง และก็คำนวณจุดคุ้มทุน .. ...งานมีความละเอียด และ เป๊ะ ...กว่า เพราะสามารถคัดกรอง แก้แบบใน com. ก่อนได้... ...ผมเขียนว่า พวกงานไม้แกะสลัก...ที่ไม่เก่า แบบย้อนไปถึงขั้น ยุคสมัย (หลายร้อยปี) คือ กึ่ง เก่าใหม่ 345 60 ปี ....แล้วราคาแพงๆ...จะถูกแทนที่ ด้วยสิ่งนี้.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..เรา ประเทศไทยเราล่ะ,เราจะซ่อมแซมประเทศไทยเราจริงจังแบบไหน&กันเสียที.

    ..พรรคเดโมแครต ถ้าคุณสงสัยว่าทำไมอเมริกาถึงเลือกทรัมป์ ฉันขออธิบายให้ฟัง:

    ความจริงก็คือ ชาวอเมริกันเบื่อหน่ายกับเรื่องบ้าๆ ของคุณแล้ว

    คุณทำลายชาติและวัฒนธรรมของเรา คุณล้อเลียน ดูถูก และเลือกปฏิบัติต่อเราอย่างเปิดเผย จากนั้นก็เรียกเราว่าพวกเหยียดผิว เหยียดเพศ และพวกนาซี เมื่อเราเริ่มสังเกตเห็น

    คุณทำให้สถาบันอันยิ่งใหญ่ของเราเสื่อมเสียชื่อเสียงและเสื่อมทราม รวมถึงสื่อ โซเชียลมีเดีย เทคโนโลยี สถาบันการศึกษา หน่วยข่าวกรอง สุขภาพ ยา ฮอลลีวูด ความบันเทิง กีฬา ทุกอย่าง! คุณใช้ทุกแง่มุมของชีวิตชาวอเมริกันเป็นอาวุธ และใช้มันเพื่อผลักดันวาระฝ่ายซ้ายสุดโต่งของคุณให้พวกเราต้องทนทุกข์ทรมาน

    คุณบอกเราว่าทรัมป์เป็นทรัพยากรของรัสเซียที่กำลังจะก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 และจะเลวร้ายยิ่งกว่าฮิตเลอร์ จากนั้นคุณก็ใช้สิ่งนั้นเป็นข้ออ้างในการแสดงความเกลียดชังต่อผู้สนับสนุนทรัมป์และก่อจลาจลบนท้องถนน คุณใช้สิ่งนั้นเป็นข้ออ้างในการขัดขวางและทำลายวาระแรกของทรัมป์ และกลายเป็นว่ามันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด
    จากนั้นในช่วงโควิด คุณเรียกร้องให้เราทุกคนถูกบังคับให้ทำการทดลองทางการแพทย์โดยไม่ทดลอง คุณต้องการให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยถูกขังไว้ในคุก คุณต้องการให้เด็กๆ ถูกพรากไปจากพ่อแม่ที่ต่อต้านวัคซีน คุณต้องการให้พวกต่อต้านวัคซีนอยู่ในค่าย คุณเชียร์ให้พวกเราต้องตาย จากนั้นก็กลายเป็นว่าคุณคิดผิดเกี่ยวกับทุกอย่าง ตั้งแต่แหล่งกำเนิดที่มนุษย์สร้างขึ้น ไปจนถึงหน้ากาก วัคซีน การเว้นระยะห่างทางสังคม ไอเวอร์เมกติน HCQ ภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ และทุกสิ่งทุกอย่าง

    จากนั้นในช่วงยูเครน คุณบอกเราว่ายูเครนเป็นปราการของประชาธิปไตย และพวกเขาต้องการเงินภาษีของเราทั้งหมดอย่างมาก จากนั้นก็กลายเป็นว่ายูเครนเป็นหนึ่งในประเทศที่ทุจริตมากที่สุดในโลก โดยมีกองกำลังทหารนาซีตามตัวอักษร และที่จริงแล้วเป็นเพียงปฏิบัติการฟอกเงินเพื่อขโมยเงินจากผู้เสียภาษีชาวอเมริกัน คุณต้องการปกป้องพรมแดนของยูเครนมากกว่าของเราเอง คุณส่งเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปยังอีกฟากของโลก ในขณะที่ชาวอเมริกันต้องทนทุกข์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับคำโกหก

    นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ Epstein, Diddy และการค้ามนุษย์อีกด้วย พวกคุณทุกคนบอกเราอย่างรุนแรงว่าการค้ามนุษย์เป็นเพียงเรื่องหลอกลวง พวกคุณบอกเราว่าชายแดนปลอดภัย และพวกคุณบอกเราว่าใครก็ตามที่ตั้งคำถามถึงเรื่องนี้คือพวกนักทฤษฎีสมคบคิดที่ไถ่ถอนไม่ได้และน่ารังเกียจ (และเป็นขยะ) พวกคุณบอกว่าใครก็ตามที่ดูรายการ "Sound of Freedom" ล้วนเป็นพวกหัวรุนแรง QAnon และเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย จากนั้นมันก็กลายเป็นเรื่องจริง และชนชั้นสูงก็มีส่วนร่วมในอาชญากรรมที่เลวร้ายต่อเด็กๆ จริงๆ หลังจากที่คุณบอกเรามาหลายสิบปีว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง พวกคุณปกปิดอาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดที่จินตนาการได้ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง

    ฉันทำแบบนี้ได้เป็นวันๆ แต่ฉันคิดว่าคุณคงเข้าใจประเด็นแล้ว ชาวอเมริกันตื่นตัวต่อกลลวงและความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา และเราจะไม่ทนอีกต่อไป ดังนั้นเราจึงจ้างโดนัลด์ เจ. ทรัมป์และทีมผู้รักชาติของเขาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ และนำอเมริกากลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

    นี่คือความเป็นจริงของสถานการณ์ คุณเป็นคนเลว และคุณถูกหลอก ยิ่งคุณตื่นรู้เร็วเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งสามารถเข้าร่วมกับเราในการซ่อมแซมประเทศนี้ได้เร็วขึ้นเท่านั้น หรือคุณสามารถเลือกที่จะปฏิเสธความจริง และใช้ชีวิตที่เหลือของคุณไปกับความเกลียดชังที่ขึ้นอยู่กับคำโกหก

    ทางเลือกเป็นของคุณ

    ลงชื่อ: ผู้รักชาติอเมริกันที่แท้จริง

    @realDonaldTrump ขอบคุณสำหรับความกล้าหาญและการยืนหยัดเพื่ออเมริกาและมวลมนุษยชาติ ขอพระเจ้าอวยพรอเมริกา 🙏🏼🇺🇸ฟ
    ..เรา ประเทศไทยเราล่ะ,เราจะซ่อมแซมประเทศไทยเราจริงจังแบบไหน&กันเสียที. ..พรรคเดโมแครต ถ้าคุณสงสัยว่าทำไมอเมริกาถึงเลือกทรัมป์ ฉันขออธิบายให้ฟัง: ความจริงก็คือ ชาวอเมริกันเบื่อหน่ายกับเรื่องบ้าๆ ของคุณแล้ว คุณทำลายชาติและวัฒนธรรมของเรา คุณล้อเลียน ดูถูก และเลือกปฏิบัติต่อเราอย่างเปิดเผย จากนั้นก็เรียกเราว่าพวกเหยียดผิว เหยียดเพศ และพวกนาซี เมื่อเราเริ่มสังเกตเห็น คุณทำให้สถาบันอันยิ่งใหญ่ของเราเสื่อมเสียชื่อเสียงและเสื่อมทราม รวมถึงสื่อ โซเชียลมีเดีย เทคโนโลยี สถาบันการศึกษา หน่วยข่าวกรอง สุขภาพ ยา ฮอลลีวูด ความบันเทิง กีฬา ทุกอย่าง! คุณใช้ทุกแง่มุมของชีวิตชาวอเมริกันเป็นอาวุธ และใช้มันเพื่อผลักดันวาระฝ่ายซ้ายสุดโต่งของคุณให้พวกเราต้องทนทุกข์ทรมาน คุณบอกเราว่าทรัมป์เป็นทรัพยากรของรัสเซียที่กำลังจะก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 และจะเลวร้ายยิ่งกว่าฮิตเลอร์ จากนั้นคุณก็ใช้สิ่งนั้นเป็นข้ออ้างในการแสดงความเกลียดชังต่อผู้สนับสนุนทรัมป์และก่อจลาจลบนท้องถนน คุณใช้สิ่งนั้นเป็นข้ออ้างในการขัดขวางและทำลายวาระแรกของทรัมป์ และกลายเป็นว่ามันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด จากนั้นในช่วงโควิด คุณเรียกร้องให้เราทุกคนถูกบังคับให้ทำการทดลองทางการแพทย์โดยไม่ทดลอง คุณต้องการให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยถูกขังไว้ในคุก คุณต้องการให้เด็กๆ ถูกพรากไปจากพ่อแม่ที่ต่อต้านวัคซีน คุณต้องการให้พวกต่อต้านวัคซีนอยู่ในค่าย คุณเชียร์ให้พวกเราต้องตาย จากนั้นก็กลายเป็นว่าคุณคิดผิดเกี่ยวกับทุกอย่าง ตั้งแต่แหล่งกำเนิดที่มนุษย์สร้างขึ้น ไปจนถึงหน้ากาก วัคซีน การเว้นระยะห่างทางสังคม ไอเวอร์เมกติน HCQ ภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ และทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นในช่วงยูเครน คุณบอกเราว่ายูเครนเป็นปราการของประชาธิปไตย และพวกเขาต้องการเงินภาษีของเราทั้งหมดอย่างมาก จากนั้นก็กลายเป็นว่ายูเครนเป็นหนึ่งในประเทศที่ทุจริตมากที่สุดในโลก โดยมีกองกำลังทหารนาซีตามตัวอักษร และที่จริงแล้วเป็นเพียงปฏิบัติการฟอกเงินเพื่อขโมยเงินจากผู้เสียภาษีชาวอเมริกัน คุณต้องการปกป้องพรมแดนของยูเครนมากกว่าของเราเอง คุณส่งเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปยังอีกฟากของโลก ในขณะที่ชาวอเมริกันต้องทนทุกข์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับคำโกหก นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ Epstein, Diddy และการค้ามนุษย์อีกด้วย พวกคุณทุกคนบอกเราอย่างรุนแรงว่าการค้ามนุษย์เป็นเพียงเรื่องหลอกลวง พวกคุณบอกเราว่าชายแดนปลอดภัย และพวกคุณบอกเราว่าใครก็ตามที่ตั้งคำถามถึงเรื่องนี้คือพวกนักทฤษฎีสมคบคิดที่ไถ่ถอนไม่ได้และน่ารังเกียจ (และเป็นขยะ) พวกคุณบอกว่าใครก็ตามที่ดูรายการ "Sound of Freedom" ล้วนเป็นพวกหัวรุนแรง QAnon และเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย จากนั้นมันก็กลายเป็นเรื่องจริง และชนชั้นสูงก็มีส่วนร่วมในอาชญากรรมที่เลวร้ายต่อเด็กๆ จริงๆ หลังจากที่คุณบอกเรามาหลายสิบปีว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง พวกคุณปกปิดอาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดที่จินตนาการได้ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ฉันทำแบบนี้ได้เป็นวันๆ แต่ฉันคิดว่าคุณคงเข้าใจประเด็นแล้ว ชาวอเมริกันตื่นตัวต่อกลลวงและความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา และเราจะไม่ทนอีกต่อไป ดังนั้นเราจึงจ้างโดนัลด์ เจ. ทรัมป์และทีมผู้รักชาติของเขาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ และนำอเมริกากลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง นี่คือความเป็นจริงของสถานการณ์ คุณเป็นคนเลว และคุณถูกหลอก ยิ่งคุณตื่นรู้เร็วเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งสามารถเข้าร่วมกับเราในการซ่อมแซมประเทศนี้ได้เร็วขึ้นเท่านั้น หรือคุณสามารถเลือกที่จะปฏิเสธความจริง และใช้ชีวิตที่เหลือของคุณไปกับความเกลียดชังที่ขึ้นอยู่กับคำโกหก ทางเลือกเป็นของคุณ ลงชื่อ: ผู้รักชาติอเมริกันที่แท้จริง @realDonaldTrump ขอบคุณสำหรับความกล้าหาญและการยืนหยัดเพื่ออเมริกาและมวลมนุษยชาติ ขอพระเจ้าอวยพรอเมริกา 🙏🏼🇺🇸ฟ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 437 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำนาน "#ผู้หญิง" สร้างร้านสุกี้ #MK ในไทย
    ความสำเร็จของ "ผู้หญิง" ผู้สร้าง "เอ็มเคสุกี้" จากบทสัมภาษณ์ "ยุพิน ธีระโกเมน" ใน "พลอยแกมเพชร" "ยุพิน" เป็นภรรยาของ "ฤทธิ์ ธีระโกเมน"

    เอ็มเคสุกี้" เริ่มต้นมาจากร้าน "เอ็มเค" ที่สยามสแควร์ คุณแม่ทองคำ เมฆโต แม่ของ "ยุพิน" เป็นผู้บุกเบิก แต่เจ้าของร้านเอ็มเคต้นตำรับ เป็นผู้หญิงชาวฮ่องกง ชื่อว่า "มาคอง คิงยี" "มาคอง คิงยี" อยู่ กทม. บ้านติดกับคุณแม่ทองคำ เธอเป็นคนรวยมาก ส่วนคุณแม่ทองคำเป็น "แม่บ้าน" ทำอาหารเก่ง

    วันหนึ่ง "มาคอง คิงยี" อยากเปิดร้านอาหารที่สยามสแควร์ ก็เลยชวนคุณแม่ทองคำมาเป็น "แม่ครัว" ชื่อร้าน "เอ็มเค" ก็มาจากชื่อ "มาคอง " ทำอยู่พักหนึ่งก็เบื่อ เพราะลูกค้าเริ่มจู้จี้จุกจิก สุดท้ายก็เลิกทำ และยกให้คุณแม่ทองคำทำต่อไป โดยให้ทยอยผ่อนชำระไปเรื่อยๆ คุณนายมาคองย้ายไปปักหลักอยู่ที่สหรัฐอเมริกา

    ส่วนคุณแม่ทองคำก็บุกเบิกร้านเอ็มเคจนประสบความสำเร็จ "คุณแม่ถือเป็นคนเกื้อกูลและเอื้ออารีแบบคนโบราณ เราติดแม่เขา ติดเจ้าของ เจ้าของไม่คิดเล็กคิดน้อยกับลูกค้า ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ใช่คนที่เขารู้จักมาก่อน"

    จากร้านเอ็มเคที่สยามสแควร์ ขยายเป็น "กรีนเอ็มเค" ที่ "เซ็นทรัล ลาดพร้าว" และ "เอ็มเคสุกี้" ในที่สุด

    ตํานาน "เอ็มเคสุกี้" มาจาก "ผู้หญิง" 2 คนครับ

    ตอนที่ "ยุพิน" บุกเบิกร้าน "กรีนเอ็มเค" ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ร้านนี้ขายอาหารไทยเหมือนกับร้าน "เอ็มเค" ที่สยามสแควร์ "ยุพิน" เป็นคนขยันเหมือนแม่ ตีห้าจะออกจากบ้าน เข้าร้านตั้งแต่เช้าตรู่ "สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์" พักอยู่ที่ "เซ็นทรัล" เขาตื่นเช้ามาออกกำลังกายทุกวัน และเจอ "ยุพิน" เป็นประจำ

    เขาถามว่า "มาทำอะไรตั้งแต่เช้า" เธอตอบว่ามาเตรียมตัวเปิดร้าน

    "สัมฤทธิ์" คงเห็นความขยันของ "ยุพิน"

    วันหนึ่ง เขาจึงบอกว่าจะให้ทำร้านสุกี้ที่ชั้นล่างพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร

    "ยุพิน" ปฏิเสธทันที "หนูไม่มีเงินค่ะ"

    "สัมฤทธิ์" บอกว่าเธอไม่ต้องทำอะไร "เดี๋ยวฉันจะทำให้หมด"

    เงินที่ใช้ในการลงทุนตกแต่งร้าน "เอ็มเคสุกี้" สาขาแรกเป็นเงินประมาณ 20 ล้านบาท

    "สัมฤทธิ์" ควักให้

    แต่ถึงกระนั้น การทำร้านสุกี้ขนาดใหญ่ก็ต้องใช้เงินลงทุนสูง และมีความเสี่ยง

    เพราะเป็น "สินค้า" ที่ "ยุพิน" ไม่มีประสบการณ์มาก่อน

    วันที่ "ยุพิน" นำเรื่องนี้มาเล่าให้ที่บ้านฟัง คุณแม่ทองคำตัดสินใจทันที "ทำไปเลยลูก เดี๋ยวแม่จะช่วยเอง" วันนั้น "ฤทธิ์" สามีของ ยุพินไม่เห็นด้วย พ่อของ "ยุพิน" ก็ไม่เห็นด้วย น้องชายของ "ยุพิน" ก็ไม่เห็นด้วย "ผู้ชาย" ในบ้านทุกคน ไม่เห็นด้วย มีคนที่เห็นด้วยเพียง 2 คน คือ "ยุพิน" และคุณแม่ทองคำ "ผู้หญิง" ทั้งคู่

    "ผู้หญิง" ที่เป็นเสียงส่วนน้อย "เห็นด้วย"

    แต่ร้าน "เอ็มเคสุกี้" ก็กำเนิดขึ้นมา ร้านเอ็มเคสุกี้มีหลักคิดหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับคนทำร้านอาหาร คือ "เจ้าของ" ก็เป็นลูกค้าคนหนึ่ง กินอะไรที่ร้าน ต้องจ่าย "ยุพิน" เป็นคนวางกฎนี้เอง เพราะแต่ละคนก็มีน้อง มีเพื่อน มีน้องเพื่อน ลูกเพื่อน ถ้าไม่กำหนดหลักการไว้จะลำบากในการดูแล

    วันแรกที่เปิดร้าน พ่อของ "ยุพิน" พาเพื่อนไปเลี้ยง แต่ต้องจ่ายตังค์ เขาโมโหมาก เพราะเสียหน้า แต่ตอนหลังก็เข้าใจว่าทำไมต้องใช้กติกานี้ ตอนนี้ถ้าลูกสาวพาเพื่อนไปเลี้ยง คุณยุพินก็จะโอนเงินไปจ่ายที่ร้าน กลายเป็นกติกาที่รู้กันใน "เอ็มเคสุกี้"

    คำสอนของคุณแม่ทองคำตอนเริ่มต้น "เอ็มเคสุกี้" เธอสอนลูกสาวและลูกเขยว่า เมื่อได้อะไรมาก็แล้วแต่ ให้ทำให้ดีที่สุด "และถ้ามีอะไรผิดพลาด ให้ถือว่าเราไม่ได้เจตนา มันเกิดขึ้นมาด้วยความไม่ตั้งใจ" เพราะการทำงานนั้น "ใจ" ของเราสำคัญที่สุด การเริ่มต้นงานใหม่ "กำลังใจ" เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้ามัวแต่มองความผิดพลาดและโทษตัวเอง เราจะหมดกำลังใจ

    ต้องถือหลักว่าถ้าเจตนา เขาเรียกว่า "ความผิด" แต่ถ้าทำดีที่สุดแล้ว และไม่เจตนา เขาเรียกว่า "พลาด" แค่พลาดก็แก้ไขใหม่ เท่านั้นเอง คุณแม่ทองคำเป็นคนมัธยัสถ์มาก ตอนทำเอ็มเคยุคแรกๆ จะใส่เสื้อผ้าเพียงแค่ 2 ชุด หรือช่วงเริ่มต้น "เอ็มเคสุกี้" เธอจะไปจ่ายตลาดเอง ไปรถเมล์ กลับรถตุ๊กๆ

    เธอใช้เงินเพื่อตัวเองน้อยมาก แต่ถ้าให้คนอื่นหรือบริจาคให้โรงพยาบาล โรงเรียน หรือวัด เท่าไรเท่ากัน เป็นที่รู้กันในครอบครัวว่าคุณแม่ทองคำเป็นคนใจบุญ
    และนี่คือสิ่งที่ "ฤทธิ์-ยุพิน" ทำตาม ล่าสุด ตอนที่แม่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช เธอบอกคุณหมอว่า ถ้าที่โรงพยาบาลมีสถานที่ เธอจะเปิดร้านเอ็มเคสุกี้ให้
    กำไรเท่าไร ยกให้โรงพยาบาลทั้งหมด ตอนนี้ "เอ็มเคสุกี้" เริ่มแล้วที่โรงพยาบาลศิริราช

    กำลังจะขยายไปที่โรงพยาบาลจุฬาฯ และโรงพยาบาลรามาฯ แนวคิดเหมือนเดิม คือ กำไรเท่าไรมอบให้โรงพยาบาลทั้งหมด

    "เพิ่งคุยกับคุณฤทธิ์ว่าเราน่าจะไปโรงพยาบาลต่างจังหวัดบ้าง" พนักงานของ "เอ็มเคสุกี้" สาขาโรงพยาบาลเหล่านี้ ทำงานมีความสุขมาก เพราะสาขามีกำไรเท่าไรก็ได้ทำบุญเท่านั้น ทำงานเหมือนกับทำบุญ จะไม่มีความสุขได้อย่างไร

    จากบทสัมภาษณ์ "ยุพิน ธีระโกเมน" ใน "พลอยแกมเพชร"
    Cr: เพจเจาะเวลาหาอดีต
    ตำนาน "#ผู้หญิง" สร้างร้านสุกี้ #MK ในไทย ความสำเร็จของ "ผู้หญิง" ผู้สร้าง "เอ็มเคสุกี้" จากบทสัมภาษณ์ "ยุพิน ธีระโกเมน" ใน "พลอยแกมเพชร" "ยุพิน" เป็นภรรยาของ "ฤทธิ์ ธีระโกเมน" เอ็มเคสุกี้" เริ่มต้นมาจากร้าน "เอ็มเค" ที่สยามสแควร์ คุณแม่ทองคำ เมฆโต แม่ของ "ยุพิน" เป็นผู้บุกเบิก แต่เจ้าของร้านเอ็มเคต้นตำรับ เป็นผู้หญิงชาวฮ่องกง ชื่อว่า "มาคอง คิงยี" "มาคอง คิงยี" อยู่ กทม. บ้านติดกับคุณแม่ทองคำ เธอเป็นคนรวยมาก ส่วนคุณแม่ทองคำเป็น "แม่บ้าน" ทำอาหารเก่ง วันหนึ่ง "มาคอง คิงยี" อยากเปิดร้านอาหารที่สยามสแควร์ ก็เลยชวนคุณแม่ทองคำมาเป็น "แม่ครัว" ชื่อร้าน "เอ็มเค" ก็มาจากชื่อ "มาคอง " ทำอยู่พักหนึ่งก็เบื่อ เพราะลูกค้าเริ่มจู้จี้จุกจิก สุดท้ายก็เลิกทำ และยกให้คุณแม่ทองคำทำต่อไป โดยให้ทยอยผ่อนชำระไปเรื่อยๆ คุณนายมาคองย้ายไปปักหลักอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ส่วนคุณแม่ทองคำก็บุกเบิกร้านเอ็มเคจนประสบความสำเร็จ "คุณแม่ถือเป็นคนเกื้อกูลและเอื้ออารีแบบคนโบราณ เราติดแม่เขา ติดเจ้าของ เจ้าของไม่คิดเล็กคิดน้อยกับลูกค้า ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ใช่คนที่เขารู้จักมาก่อน" จากร้านเอ็มเคที่สยามสแควร์ ขยายเป็น "กรีนเอ็มเค" ที่ "เซ็นทรัล ลาดพร้าว" และ "เอ็มเคสุกี้" ในที่สุด ตํานาน "เอ็มเคสุกี้" มาจาก "ผู้หญิง" 2 คนครับ ตอนที่ "ยุพิน" บุกเบิกร้าน "กรีนเอ็มเค" ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ร้านนี้ขายอาหารไทยเหมือนกับร้าน "เอ็มเค" ที่สยามสแควร์ "ยุพิน" เป็นคนขยันเหมือนแม่ ตีห้าจะออกจากบ้าน เข้าร้านตั้งแต่เช้าตรู่ "สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์" พักอยู่ที่ "เซ็นทรัล" เขาตื่นเช้ามาออกกำลังกายทุกวัน และเจอ "ยุพิน" เป็นประจำ เขาถามว่า "มาทำอะไรตั้งแต่เช้า" เธอตอบว่ามาเตรียมตัวเปิดร้าน "สัมฤทธิ์" คงเห็นความขยันของ "ยุพิน" วันหนึ่ง เขาจึงบอกว่าจะให้ทำร้านสุกี้ที่ชั้นล่างพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร "ยุพิน" ปฏิเสธทันที "หนูไม่มีเงินค่ะ" "สัมฤทธิ์" บอกว่าเธอไม่ต้องทำอะไร "เดี๋ยวฉันจะทำให้หมด" เงินที่ใช้ในการลงทุนตกแต่งร้าน "เอ็มเคสุกี้" สาขาแรกเป็นเงินประมาณ 20 ล้านบาท "สัมฤทธิ์" ควักให้ แต่ถึงกระนั้น การทำร้านสุกี้ขนาดใหญ่ก็ต้องใช้เงินลงทุนสูง และมีความเสี่ยง เพราะเป็น "สินค้า" ที่ "ยุพิน" ไม่มีประสบการณ์มาก่อน วันที่ "ยุพิน" นำเรื่องนี้มาเล่าให้ที่บ้านฟัง คุณแม่ทองคำตัดสินใจทันที "ทำไปเลยลูก เดี๋ยวแม่จะช่วยเอง" วันนั้น "ฤทธิ์" สามีของ ยุพินไม่เห็นด้วย พ่อของ "ยุพิน" ก็ไม่เห็นด้วย น้องชายของ "ยุพิน" ก็ไม่เห็นด้วย "ผู้ชาย" ในบ้านทุกคน ไม่เห็นด้วย มีคนที่เห็นด้วยเพียง 2 คน คือ "ยุพิน" และคุณแม่ทองคำ "ผู้หญิง" ทั้งคู่ "ผู้หญิง" ที่เป็นเสียงส่วนน้อย "เห็นด้วย" แต่ร้าน "เอ็มเคสุกี้" ก็กำเนิดขึ้นมา ร้านเอ็มเคสุกี้มีหลักคิดหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับคนทำร้านอาหาร คือ "เจ้าของ" ก็เป็นลูกค้าคนหนึ่ง กินอะไรที่ร้าน ต้องจ่าย "ยุพิน" เป็นคนวางกฎนี้เอง เพราะแต่ละคนก็มีน้อง มีเพื่อน มีน้องเพื่อน ลูกเพื่อน ถ้าไม่กำหนดหลักการไว้จะลำบากในการดูแล วันแรกที่เปิดร้าน พ่อของ "ยุพิน" พาเพื่อนไปเลี้ยง แต่ต้องจ่ายตังค์ เขาโมโหมาก เพราะเสียหน้า แต่ตอนหลังก็เข้าใจว่าทำไมต้องใช้กติกานี้ ตอนนี้ถ้าลูกสาวพาเพื่อนไปเลี้ยง คุณยุพินก็จะโอนเงินไปจ่ายที่ร้าน กลายเป็นกติกาที่รู้กันใน "เอ็มเคสุกี้" คำสอนของคุณแม่ทองคำตอนเริ่มต้น "เอ็มเคสุกี้" เธอสอนลูกสาวและลูกเขยว่า เมื่อได้อะไรมาก็แล้วแต่ ให้ทำให้ดีที่สุด "และถ้ามีอะไรผิดพลาด ให้ถือว่าเราไม่ได้เจตนา มันเกิดขึ้นมาด้วยความไม่ตั้งใจ" เพราะการทำงานนั้น "ใจ" ของเราสำคัญที่สุด การเริ่มต้นงานใหม่ "กำลังใจ" เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้ามัวแต่มองความผิดพลาดและโทษตัวเอง เราจะหมดกำลังใจ ต้องถือหลักว่าถ้าเจตนา เขาเรียกว่า "ความผิด" แต่ถ้าทำดีที่สุดแล้ว และไม่เจตนา เขาเรียกว่า "พลาด" แค่พลาดก็แก้ไขใหม่ เท่านั้นเอง คุณแม่ทองคำเป็นคนมัธยัสถ์มาก ตอนทำเอ็มเคยุคแรกๆ จะใส่เสื้อผ้าเพียงแค่ 2 ชุด หรือช่วงเริ่มต้น "เอ็มเคสุกี้" เธอจะไปจ่ายตลาดเอง ไปรถเมล์ กลับรถตุ๊กๆ เธอใช้เงินเพื่อตัวเองน้อยมาก แต่ถ้าให้คนอื่นหรือบริจาคให้โรงพยาบาล โรงเรียน หรือวัด เท่าไรเท่ากัน เป็นที่รู้กันในครอบครัวว่าคุณแม่ทองคำเป็นคนใจบุญ และนี่คือสิ่งที่ "ฤทธิ์-ยุพิน" ทำตาม ล่าสุด ตอนที่แม่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช เธอบอกคุณหมอว่า ถ้าที่โรงพยาบาลมีสถานที่ เธอจะเปิดร้านเอ็มเคสุกี้ให้ กำไรเท่าไร ยกให้โรงพยาบาลทั้งหมด ตอนนี้ "เอ็มเคสุกี้" เริ่มแล้วที่โรงพยาบาลศิริราช กำลังจะขยายไปที่โรงพยาบาลจุฬาฯ และโรงพยาบาลรามาฯ แนวคิดเหมือนเดิม คือ กำไรเท่าไรมอบให้โรงพยาบาลทั้งหมด "เพิ่งคุยกับคุณฤทธิ์ว่าเราน่าจะไปโรงพยาบาลต่างจังหวัดบ้าง" พนักงานของ "เอ็มเคสุกี้" สาขาโรงพยาบาลเหล่านี้ ทำงานมีความสุขมาก เพราะสาขามีกำไรเท่าไรก็ได้ทำบุญเท่านั้น ทำงานเหมือนกับทำบุญ จะไม่มีความสุขได้อย่างไร จากบทสัมภาษณ์ "ยุพิน ธีระโกเมน" ใน "พลอยแกมเพชร" Cr: เพจเจาะเวลาหาอดีต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ทุกวันนี้วิธีการแบบเก่าๆที่เหมือนการนำน้ำเมาย้ายมาใส่ในขวดใหม่จริงๆ
    ก่อนอื่น ต้องเข้าใจนิยามของคำว่า เชิงหมาแก่ก่อน
    — อาการ 'ฟอร์มหมาแก่' อธิบายง่ายๆ ก็คือ คนที่ชอบแสดงออกให้เพื่อนรู้แบบหนึ่ง แต่จริงๆ ตั้งใจอีกอย่าง
    ยกตัวอย่างนักข่าว ที่ชื่อดนัย หรือที่พี่คิงส์มักเรียกแกว่า ดนูยหมาแก่ ไม่ได้แซะนะ แกเรียกตัวเองว่าหมาแก่จริงๆ สาเหตุก็เพราะแกมีวิธีการนำเสนอข่าวแบบนี้ ทำติดอ่างบ้าง พูดกำกวมบ้าง จนคนในวงการสื่อเรียกว่า ไอ่ดนัย ฟอร์มหมาแก่ เรื่องนี้นี่รู้กันเฉพาะสายสื่อสารมวลชนเลยนะ
    วีรกรรมของดนัย มีเยอะมากนะ แต่ที่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงจริงๆก็คือ เทพโจ๊กของกระผ๊ม ที่ดนัยใช้คำนี้เรียกแทนชื่อบิ๊กโจ๊ก หรือนายสุรเชษฐ์ หักพาล
    ที่เริ่มสตาร์ทด้วยการยกโจ๊กเข้ามาให้เป็นจุดสนใจของสังคม พร้อมเปิดแอร์ทาร์มให้สัมภาษณ์ จนกลายเป็นรายการพีอาร์ของโจ๊ก นอกจากนั้นประเด็นใดก็ตามที่อาจเป็นภาพลบให้โจ๊ก ดนัยจะให้โอกาสในการชี้แจง และใช้สไตล์การพูดแบบกำกวม หรือเบี่ยงเบนประเด็นให้สังคมเข้าใจไปในแบบที่โจ๊กต้องการ เช่น การที่โจ๊กถูกเปิดเผยเรื่องเงินดาร์ค และถูกตั้งกรรมการสอบ ดนัยได้สร้างวาทะกรรม ว่าเป็นเรื่องของตร.มีปัญหากัน ระหว่างรองผบตร.สองคน ในเวลานั้น ทั้งๆที่สิ่งที่โจ๊กถูกสอบล้วนมีหลักฐานและพยานที่ชัดเจน จนท้ายที่สุดกรรมได้ตามทันโจ๊ก และดนัยก็สละเรือในวันนี้ นี่คือตัวอย่างของนักข่าวที่อ้างตัวว่าเป็นกลาง แต่ใช้ฟอร์มหมาแก่ เพื่อซักฟอกผู้ว่าจ้าง ที่มีความชัดเจนเหมาะสมต่อการยกตัวอย่าง
    - ส่วนของทนายเดชา ที่พูดเสมอว่า ตนเองเป็นกลาง แต่ในหลายๆครั้ง ทนายเดชาแสดงตัวอยู่ข้างบุคคลที่เป็นคนที่สังคมไทย มองว่าซั่ว ตั้งแต่ครู่จุ๋ม กับการกระทำต่อน้องอนุบาล รวมถึงอีกหลายกรณี โดยทุกครั้งที่คนไทยแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วย เดชา ก็จะเย้ยหยันกลับมา ด้วยคำว่า จุ๊กกรู๊ และล่าสุด กับเรื่องของตั้ม ที่สื่อทุกช่องต่างออกมาเปิดเผยเรื่องราว รวมทั้งผสห. อย่างเจ๊อ้อย เรียกได้ว่า ทุกสื่อไปในทิศทางเดียวกัน แต่เดชา ที่บอกว่าตนเองนั้นเป็นกลาง และเป็นผู้ให้ความรู้ด้านกฏหมาย กลับให้ข้อมูลในเชิงการยืนยันของความบริสุทธิ์ของตั้ม จนโดนสื่อตำนานอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาปรามและท้าให้ดนคด. แต่เดชาก็อยู่เป็น ไลฟ์สดว่า จะทำทำไมไม่มีประโยชน์ และอธิบายเพิ่มว่า ทางสนธิ มีข้อมูลจาก ผสห. แต่ตน มีข้อมูลจากตั้ม มันคนละชุดข้อมูล
    - จากที่พี่คิงส์ฯฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ยอมรับว่า เดชา ควรแสดงตนในฐานะที่เป็นคนที่มีความรู้ด้านกฏหมาย ด้วยการปกป้องประชาชน ไม่ใช่ปกป้องคนซั่ว อายุก็เริ่มมากขึ้นแล้ว ร่องรอยแห่งความชราก็มาปรากฏเต็มใบหน้า อยากให้เดชามีภาพจำที่ดีสำหรับคนไทย เลิกเหอะ วิธีการมีแสง ด้วยการยืนขวางความถูกต้อง โดยไม่แยแสความรู้สึกของ ผสห เอาพรรคเอาพวก ไม่มีความยั่งยืน กับชื่อเสียงที่ได้มาจากวิธีการแบบนี้ เลิกใช้ "ฟอร์มหมาแก่" เสียที
    เชื่อพี่คิงส์ฯ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ทุกวันนี้วิธีการแบบเก่าๆที่เหมือนการนำน้ำเมาย้ายมาใส่ในขวดใหม่จริงๆ ก่อนอื่น ต้องเข้าใจนิยามของคำว่า เชิงหมาแก่ก่อน — อาการ 'ฟอร์มหมาแก่' อธิบายง่ายๆ ก็คือ คนที่ชอบแสดงออกให้เพื่อนรู้แบบหนึ่ง แต่จริงๆ ตั้งใจอีกอย่าง ยกตัวอย่างนักข่าว ที่ชื่อดนัย หรือที่พี่คิงส์มักเรียกแกว่า ดนูยหมาแก่ ไม่ได้แซะนะ แกเรียกตัวเองว่าหมาแก่จริงๆ สาเหตุก็เพราะแกมีวิธีการนำเสนอข่าวแบบนี้ ทำติดอ่างบ้าง พูดกำกวมบ้าง จนคนในวงการสื่อเรียกว่า ไอ่ดนัย ฟอร์มหมาแก่ เรื่องนี้นี่รู้กันเฉพาะสายสื่อสารมวลชนเลยนะ วีรกรรมของดนัย มีเยอะมากนะ แต่ที่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงจริงๆก็คือ เทพโจ๊กของกระผ๊ม ที่ดนัยใช้คำนี้เรียกแทนชื่อบิ๊กโจ๊ก หรือนายสุรเชษฐ์ หักพาล ที่เริ่มสตาร์ทด้วยการยกโจ๊กเข้ามาให้เป็นจุดสนใจของสังคม พร้อมเปิดแอร์ทาร์มให้สัมภาษณ์ จนกลายเป็นรายการพีอาร์ของโจ๊ก นอกจากนั้นประเด็นใดก็ตามที่อาจเป็นภาพลบให้โจ๊ก ดนัยจะให้โอกาสในการชี้แจง และใช้สไตล์การพูดแบบกำกวม หรือเบี่ยงเบนประเด็นให้สังคมเข้าใจไปในแบบที่โจ๊กต้องการ เช่น การที่โจ๊กถูกเปิดเผยเรื่องเงินดาร์ค และถูกตั้งกรรมการสอบ ดนัยได้สร้างวาทะกรรม ว่าเป็นเรื่องของตร.มีปัญหากัน ระหว่างรองผบตร.สองคน ในเวลานั้น ทั้งๆที่สิ่งที่โจ๊กถูกสอบล้วนมีหลักฐานและพยานที่ชัดเจน จนท้ายที่สุดกรรมได้ตามทันโจ๊ก และดนัยก็สละเรือในวันนี้ นี่คือตัวอย่างของนักข่าวที่อ้างตัวว่าเป็นกลาง แต่ใช้ฟอร์มหมาแก่ เพื่อซักฟอกผู้ว่าจ้าง ที่มีความชัดเจนเหมาะสมต่อการยกตัวอย่าง - ส่วนของทนายเดชา ที่พูดเสมอว่า ตนเองเป็นกลาง แต่ในหลายๆครั้ง ทนายเดชาแสดงตัวอยู่ข้างบุคคลที่เป็นคนที่สังคมไทย มองว่าซั่ว ตั้งแต่ครู่จุ๋ม กับการกระทำต่อน้องอนุบาล รวมถึงอีกหลายกรณี โดยทุกครั้งที่คนไทยแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วย เดชา ก็จะเย้ยหยันกลับมา ด้วยคำว่า จุ๊กกรู๊ และล่าสุด กับเรื่องของตั้ม ที่สื่อทุกช่องต่างออกมาเปิดเผยเรื่องราว รวมทั้งผสห. อย่างเจ๊อ้อย เรียกได้ว่า ทุกสื่อไปในทิศทางเดียวกัน แต่เดชา ที่บอกว่าตนเองนั้นเป็นกลาง และเป็นผู้ให้ความรู้ด้านกฏหมาย กลับให้ข้อมูลในเชิงการยืนยันของความบริสุทธิ์ของตั้ม จนโดนสื่อตำนานอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาปรามและท้าให้ดนคด. แต่เดชาก็อยู่เป็น ไลฟ์สดว่า จะทำทำไมไม่มีประโยชน์ และอธิบายเพิ่มว่า ทางสนธิ มีข้อมูลจาก ผสห. แต่ตน มีข้อมูลจากตั้ม มันคนละชุดข้อมูล - จากที่พี่คิงส์ฯฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ยอมรับว่า เดชา ควรแสดงตนในฐานะที่เป็นคนที่มีความรู้ด้านกฏหมาย ด้วยการปกป้องประชาชน ไม่ใช่ปกป้องคนซั่ว อายุก็เริ่มมากขึ้นแล้ว ร่องรอยแห่งความชราก็มาปรากฏเต็มใบหน้า อยากให้เดชามีภาพจำที่ดีสำหรับคนไทย เลิกเหอะ วิธีการมีแสง ด้วยการยืนขวางความถูกต้อง โดยไม่แยแสความรู้สึกของ ผสห เอาพรรคเอาพวก ไม่มีความยั่งยืน กับชื่อเสียงที่ได้มาจากวิธีการแบบนี้ เลิกใช้ "ฟอร์มหมาแก่" เสียที เชื่อพี่คิงส์ฯ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 840 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อดีต" รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล โยอัฟ กัลลันต์ กล่าวกับสื่อมวลชนถึง เหตุผลที่เขาถูกไล่ออกจากตำแหน่งเป็นเพราะว่า เขาต้องการให้ชาวยิวออร์โธดอกซ์เข้าร่วมการเกณฑ์ทหารภาคบังคับเพื่อปฏิบัติหน้าที่ด้วย (นี่หมายความว่ากองทัพขาดแคลนกำลังพลอย่างหนักตามข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริง)

    นอกจากนี้เขายังสนับสนุนให้มีการเจรจาในข้อตกลงกหยุดยิงและปล่อยตัวประกันในฉนวนกาซา ซึ่งเนทันนาฮูไม่เห็นด้วย เพราะเขาพร้อมยอมเสียตัวประกันเพื่อทำลายฮามาส (เป็นไปตามข่าวลือที่มีมาก่อนหน้านี้อีกเช่นกันถึงความขัดแย้งของทั้งสองคนเรื่องการเจรจากับฮามาส ซึ่งกัลลันต์ต้องการมานานแล้ว)

    อีกหนึ่งเหตุผลคือ เขาเรียกร้องให้มีการสอบสวนถึงความล้มเหลวของหน่วยงานด้านการทหารและข่าวกรองในวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่ฮามาสโจมตีอิสราเอลอีกด้วย
    "อดีต" รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล โยอัฟ กัลลันต์ กล่าวกับสื่อมวลชนถึง เหตุผลที่เขาถูกไล่ออกจากตำแหน่งเป็นเพราะว่า เขาต้องการให้ชาวยิวออร์โธดอกซ์เข้าร่วมการเกณฑ์ทหารภาคบังคับเพื่อปฏิบัติหน้าที่ด้วย (นี่หมายความว่ากองทัพขาดแคลนกำลังพลอย่างหนักตามข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริง) นอกจากนี้เขายังสนับสนุนให้มีการเจรจาในข้อตกลงกหยุดยิงและปล่อยตัวประกันในฉนวนกาซา ซึ่งเนทันนาฮูไม่เห็นด้วย เพราะเขาพร้อมยอมเสียตัวประกันเพื่อทำลายฮามาส (เป็นไปตามข่าวลือที่มีมาก่อนหน้านี้อีกเช่นกันถึงความขัดแย้งของทั้งสองคนเรื่องการเจรจากับฮามาส ซึ่งกัลลันต์ต้องการมานานแล้ว) อีกหนึ่งเหตุผลคือ เขาเรียกร้องให้มีการสอบสวนถึงความล้มเหลวของหน่วยงานด้านการทหารและข่าวกรองในวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่ฮามาสโจมตีอิสราเอลอีกด้วย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤣ผู้มีสิทธิเลือกตั้งของสหรัฐฯ ร้อยละ ๔๓ รู้สึกไม่พอใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศ, ร้อยละ ๒๙ รู้สึกโกรธเคือง🤣 - ผลสำรวจทางออกของ CNN

    ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งของสหรัฐฯ ร้อยละ ๕๘ ไม่เห็นด้วยกับการที่ไบเดนดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี, ในขณะที่ร้อยละ ๔๑ เห็นด้วย
    .
    43% of US voters feel dissatisfied with how things are going in the country, 29% are angry - CNN exit poll

    The poll also showed that 58% of US voters disapprove of Biden as president, while 41% approve.
    .
    6:02 AM · Nov 6, 2024 · 1,859 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1853935944761585734
    🤣ผู้มีสิทธิเลือกตั้งของสหรัฐฯ ร้อยละ ๔๓ รู้สึกไม่พอใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศ, ร้อยละ ๒๙ รู้สึกโกรธเคือง🤣 - ผลสำรวจทางออกของ CNN ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งของสหรัฐฯ ร้อยละ ๕๘ ไม่เห็นด้วยกับการที่ไบเดนดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี, ในขณะที่ร้อยละ ๔๑ เห็นด้วย . 43% of US voters feel dissatisfied with how things are going in the country, 29% are angry - CNN exit poll The poll also showed that 58% of US voters disapprove of Biden as president, while 41% approve. . 6:02 AM · Nov 6, 2024 · 1,859 Views https://x.com/SputnikInt/status/1853935944761585734
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • Thaitimes น่าจะเพิ่มพุ่ม เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย เหตุผลเสนอแนะ พร้อมพุ่ม
    แสดงควารู้สึก ใต้ภาพหรือของความของบุคคลแต่ละคนด้วย..
    Thaitimes น่าจะเพิ่มพุ่ม เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย เหตุผลเสนอแนะ พร้อมพุ่ม แสดงควารู้สึก ใต้ภาพหรือของความของบุคคลแต่ละคนด้วย..
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ และนางสุพรรณวษา โชติก็ญาณ ถัง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) แถลงข่าวเรื่องพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อน (OCA) ระหว่างไทย – กัมพูชา

    4 พฤศจิกายน 2567- รายงานข่าว NBT CONNEXT เปิดเผยว่า อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กต. กล่าวว่า ไทยได้ประกาศเขตไหล่ทวีปในปี 2516 เนื่องจากเห็นว่าการประเทศของกัมพูชาในปี 2515 เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เพราะเส้นผ่านเข้าไปในเกาะกูด จึงประกาศเขตไหล่ทวีปของไทย เป็นพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีป เมื่อวันที่ 18 พ.ค.2516 ระบุว่าสิทธิอธิปไตยซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตของประเทศใกล้เคียงอันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้น จะเป็นไปตามที่ได้ตกลงกัน

    ดังนั้นในการประกาศของกัมพูชาและไทย มีพื้นที่ทับซ้อนกัน 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งค่อนข้างมีขนาดใหญ่ หรือกว่า 4 เท่าเมื่อเทียบกับกรณีพื้นที่ทับซ้อนของไทยกับมาเลเซีย โดยเป็นเส้นที่ครอบคลุมทะเลอาณาเขต EEZ และไหล่ทวีป
    อย่างไรก็ตาม ไทย-กัมพูชา เริ่มเจรจาเรื่องพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่ปี 2513 แต่เกิดปัญหาว่ากัมพูชาต้องการคุยเพียงการพัฒนาร่วมในเรื่องของทรัพยากร ขณะที่ไทยเห็นว่าเขตทางทะเลมีความสำคัญ รวมถึงความมั่นคง และความเป็นอยู่ของประชาชน โดยยืนยันว่าต้องคุยประเด็นเหล่านี้ด้วย ซึ่งไทยได้ประกาศเส้นด้านใต้ลงมาระหว่างเกาะกูดกับเกาะกง แสดงออกว่าไทยไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่กัมพูชาประกาศ

    หลักสากลเมื่อเกิดพื้นที่ทับซ้อน จึงต้องเจรจากันทั้งสองฝ่ายเพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้ สำหรับ MOU 2544 แบ่งเป็นพื้นที่เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ เป็นการเจรจาแบ่งเขตทางทะเล และพื้นที่อยู่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ เป็นการเจรจาพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน สิ่งที่ดำเนินการประชาชนทั้งสองฝ่ายต้องยอมรับในข้อตกลง และผลการเจรจาต้องผ่านความเห็นชอบโดยรัฐสภา และสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

    “ ยืนยันว่า MOU 44 ไม่ได้ทำให้ไทยเสียเกาะกูด เพราะสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ส.1907 ระบุชัดเจน เกาะกูด เป็นของไทย เป็นการยืนยันกรรมสิทธิ์เหนือตัวเกาะ และยังใช้อำนาจอธิปไตยเกาะกูด 100% ประเด็นยกเลิก MOU 44 เข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ในปี 2552 ซึ่งเสนอให้ยกเลิก เพราะขณะนั้นไม่มีความคืบหน้า และ ครม.รับในหลักการ แต่ขอให้พิจารณาให้รอบคอบและได้หารือกับที่ปรึกษาทีมต่างชาติ และประชุมคณะกรรมการพิเศษที่เป็นภาคี และหน่วยงานด้านความมั่นคง สมช. กระทรวงพลังงาน รวมทั้งกฤษฎีกา โดยปี 2557 ได้ข้อสรุปว่า MOU 44 ยังมีประโยชนที่จะนำไปสู่การเจรจา จึงเสนอ ครม.ให้ทบทวนมติ ครม.ปี 2552 ว่าเรื่องนี้ต้องใช้ MOU 44 ต่อทุกครั้งที่มีรัฐบาลใหม่ยังขอให้กรอบ MOU 44 เป็นพื้นฐานในการเจรจาข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา เป็นกลไกที่เหมาะสมที่สุด และรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ ซึ่งทุกรัฐบาลก็ยอมรับและหลักการยังเหมือนเดิม” อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ กล่าว

    ที่มา NBT CONNEXT

    #Thaitimes
    นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ และนางสุพรรณวษา โชติก็ญาณ ถัง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) แถลงข่าวเรื่องพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อน (OCA) ระหว่างไทย – กัมพูชา 4 พฤศจิกายน 2567- รายงานข่าว NBT CONNEXT เปิดเผยว่า อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กต. กล่าวว่า ไทยได้ประกาศเขตไหล่ทวีปในปี 2516 เนื่องจากเห็นว่าการประเทศของกัมพูชาในปี 2515 เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เพราะเส้นผ่านเข้าไปในเกาะกูด จึงประกาศเขตไหล่ทวีปของไทย เป็นพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีป เมื่อวันที่ 18 พ.ค.2516 ระบุว่าสิทธิอธิปไตยซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตของประเทศใกล้เคียงอันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้น จะเป็นไปตามที่ได้ตกลงกัน ดังนั้นในการประกาศของกัมพูชาและไทย มีพื้นที่ทับซ้อนกัน 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งค่อนข้างมีขนาดใหญ่ หรือกว่า 4 เท่าเมื่อเทียบกับกรณีพื้นที่ทับซ้อนของไทยกับมาเลเซีย โดยเป็นเส้นที่ครอบคลุมทะเลอาณาเขต EEZ และไหล่ทวีป อย่างไรก็ตาม ไทย-กัมพูชา เริ่มเจรจาเรื่องพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่ปี 2513 แต่เกิดปัญหาว่ากัมพูชาต้องการคุยเพียงการพัฒนาร่วมในเรื่องของทรัพยากร ขณะที่ไทยเห็นว่าเขตทางทะเลมีความสำคัญ รวมถึงความมั่นคง และความเป็นอยู่ของประชาชน โดยยืนยันว่าต้องคุยประเด็นเหล่านี้ด้วย ซึ่งไทยได้ประกาศเส้นด้านใต้ลงมาระหว่างเกาะกูดกับเกาะกง แสดงออกว่าไทยไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่กัมพูชาประกาศ หลักสากลเมื่อเกิดพื้นที่ทับซ้อน จึงต้องเจรจากันทั้งสองฝ่ายเพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้ สำหรับ MOU 2544 แบ่งเป็นพื้นที่เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ เป็นการเจรจาแบ่งเขตทางทะเล และพื้นที่อยู่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ เป็นการเจรจาพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน สิ่งที่ดำเนินการประชาชนทั้งสองฝ่ายต้องยอมรับในข้อตกลง และผลการเจรจาต้องผ่านความเห็นชอบโดยรัฐสภา และสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง “ ยืนยันว่า MOU 44 ไม่ได้ทำให้ไทยเสียเกาะกูด เพราะสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ส.1907 ระบุชัดเจน เกาะกูด เป็นของไทย เป็นการยืนยันกรรมสิทธิ์เหนือตัวเกาะ และยังใช้อำนาจอธิปไตยเกาะกูด 100% ประเด็นยกเลิก MOU 44 เข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ในปี 2552 ซึ่งเสนอให้ยกเลิก เพราะขณะนั้นไม่มีความคืบหน้า และ ครม.รับในหลักการ แต่ขอให้พิจารณาให้รอบคอบและได้หารือกับที่ปรึกษาทีมต่างชาติ และประชุมคณะกรรมการพิเศษที่เป็นภาคี และหน่วยงานด้านความมั่นคง สมช. กระทรวงพลังงาน รวมทั้งกฤษฎีกา โดยปี 2557 ได้ข้อสรุปว่า MOU 44 ยังมีประโยชนที่จะนำไปสู่การเจรจา จึงเสนอ ครม.ให้ทบทวนมติ ครม.ปี 2552 ว่าเรื่องนี้ต้องใช้ MOU 44 ต่อทุกครั้งที่มีรัฐบาลใหม่ยังขอให้กรอบ MOU 44 เป็นพื้นฐานในการเจรจาข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา เป็นกลไกที่เหมาะสมที่สุด และรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ ซึ่งทุกรัฐบาลก็ยอมรับและหลักการยังเหมือนเดิม” อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ กล่าว ที่มา NBT CONNEXT #Thaitimes
    Like
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 435 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาว"Thaitimes"ทุกท่านคะ"รบ.ออกกฎหมายให้สัญชาติต่างด้าวพี่น้องคิดอย่างไร?"ถ้าเป็นพี่น้องชาติพันธุ์ชายขอบที่อาศัยในไทยมานานแสนนานสมควรให้เขาๆคือคนไทยอยู่แล้ว"แต่ประเด็นการให้สัญชาติต่างด้าวหนีเข้าเมืองมาเพราะการสู้รบและไม่ต้องการเป็นทหาร!!#ขอคัดค้านถึงที่สุดไม่เห็นด้วยนี่มันขายชาติชัดๆเลยเราจะยอมให้คนชาติอื่นมาอยู่บนหัวเรางั้นหรือ"นกม"พยายามสร้างสตอรี่ต่างๆ"เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจประชาชนไปจากเรื่องเกาะกูด(อ่าวไทยใช่หรือไม่?)และจะเอาคนพวกนี้มาเป็นฐานเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือเปล่า"ยุคนี้ฝ่ายค้านก็ไม่มี🤝คิดกันแต่จะแก้"รธน60'ชุดปราบโกงไม่มีวันหมดอายุความ'นกมกลัว'รธน.เหมือนผีกลัวยันต์😱"จะแก้ ม.112ไม่รู้เดือดร้อนอะไรปชช.เขาไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย&ประชาชนออกไปขับไล่ไม่รู้กี่ครั้งล้มตายมากมายมันก็กลับมาโกงอีกเหมือนเดิม"คิดว่าพวกตะวันตกหนุนหลังและจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรออย่างเลวที่สุดก็สู้กันแค่ตายกันไปข้างหนึ่งตายอย่าง"สิงห์ ดีกว่าอยู่อย่าง ควาย อยู่บนแผ่นดินยังคิดเผาแผ่นดินมึงจะมีจุดจบไม่ดีแน่👇🔥👹
    ชาว"Thaitimes"ทุกท่านคะ"รบ.ออกกฎหมายให้สัญชาติต่างด้าวพี่น้องคิดอย่างไร?"ถ้าเป็นพี่น้องชาติพันธุ์ชายขอบที่อาศัยในไทยมานานแสนนานสมควรให้เขาๆคือคนไทยอยู่แล้ว"แต่ประเด็นการให้สัญชาติต่างด้าวหนีเข้าเมืองมาเพราะการสู้รบและไม่ต้องการเป็นทหาร!!#ขอคัดค้านถึงที่สุดไม่เห็นด้วยนี่มันขายชาติชัดๆเลยเราจะยอมให้คนชาติอื่นมาอยู่บนหัวเรางั้นหรือ"นกม"พยายามสร้างสตอรี่ต่างๆ"เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจประชาชนไปจากเรื่องเกาะกูด(อ่าวไทยใช่หรือไม่?)และจะเอาคนพวกนี้มาเป็นฐานเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือเปล่า"ยุคนี้ฝ่ายค้านก็ไม่มี🤝คิดกันแต่จะแก้"รธน60'ชุดปราบโกงไม่มีวันหมดอายุความ'นกมกลัว'รธน.เหมือนผีกลัวยันต์😱"จะแก้ ม.112ไม่รู้เดือดร้อนอะไรปชช.เขาไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย&ประชาชนออกไปขับไล่ไม่รู้กี่ครั้งล้มตายมากมายมันก็กลับมาโกงอีกเหมือนเดิม"คิดว่าพวกตะวันตกหนุนหลังและจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรออย่างเลวที่สุดก็สู้กันแค่ตายกันไปข้างหนึ่งตายอย่าง"สิงห์ ดีกว่าอยู่อย่าง ควาย อยู่บนแผ่นดินยังคิดเผาแผ่นดินมึงจะมีจุดจบไม่ดีแน่👇🔥👹
    Like
    Angry
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปิโตรเลียมเกาะกูด น้ำมันแพงเหมือนเดิม

    มีคำกล่าวว่า "ข่าวลือมักจะมาก่อนข่าวจริงเสมอ" ประเด็นเกาะกูดเกิดขึ้นจากข่าวลือแบบปากต่อปากว่า นักการเมืองรายหนึ่งจะยกเกาะกูดให้เขมร กระทั่งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พักการลงโทษจากคดีทุจริตไปแสดงวิสัยทัศน์ให้กับสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2567 เสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันของไทยกับกัมพูชา หรือ OCA (Overlapping Claims Area) อ้างว่ากัมพูชาลากเส้นจากไหล่ทวีป 200 ไมล์ทะเลแล้วเกยกัน ถือว่าเป็นเขตทับซ้อน ถ้ามีทรัพยากรอยู่ก็ถือว่าแบ่งกันคนละครึ่ง

    แม้ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ.125 แต่เมื่อปี 2515 กัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย 200 ไมล์ทะเลฝ่ายเดียว โดยลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 จ.ตราด ไปผ่ากลางครึ่งหนึ่งของเกาะกูด แต่ก็มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยในปี 2516 โดยแบ่งครึ่งมุมจากหลักเขตที่ 73 ระหว่างเกาะกูดและเกาะกง ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายสากล คือ บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 แต่กัมพูชายังคงยึดถือเขตไหล่ทวีปของตนเอง หนำซ้ำรัฐบาลทักษิณไปเซ็น MOU 2544 ทำให้นายทักษิณอ้างว่าเป็นเขตทับซ้อน

    ต่อมาวันที่ 10 ต.ค. 2567 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ จะเริ่มเจรจากับกัมพูชาอีกครั้ง เพื่อสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่มีมูลค่าอย่างน้อย 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เนื่องจากต้องการเพิ่มปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ควบคุมค่าไฟฟ้า และลดค่าใช้จ่ายนำเข้าเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น คาดว่าจะมีก๊าซธรรมชาติ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตและน้ำมันดิบ 300 ล้านบาร์เรล แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะทั้งสองประเทศขัดแย้งทางการทูตและความอ่อนไหวเรื่องอธิปไตย ทำให้การเจรจาหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2544

    แม้เรื่องเกาะกูดจะไม่โด่งดัง แต่ก็เป็นที่พูดถึงในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล กังวลว่าไทยจะเสียสิทธิ์ทางทะเล และเสียดินแดนเช่นเดียวกับกรณีปราสาทพระวิหาร ส่วนรัฐบาลตอบโต้ว่าเป็นพวกคลั่งชาติ ทำร้ายผลประโยชน์ของประเทศ อย่างไรก็ตาม ถึงรัฐบาลทั้งสองประเทศจะร่วมกันนำพลังงานขึ้นมาใช้ แต่สุดท้ายคนไทยใช้น้ำมันแพงเหมือนเดิม เพราะอ้างอิงราคาน้ำมันจากประเทศสิงคโปร์ แถมต้นทุนโรงกลั่นในไทยสูงกว่าสิงค์โปร์ ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติยังจำกัดอยู่ที่รายใหญ่ เชื่อไม่ได้ว่าค่าไฟฟ้าจะถูกลง คนที่ได้ประโยชน์ตัวจริงคือนักการเมือง กับกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่มเท่านั้น

    #Newskit #เกาะกูด
    ปิโตรเลียมเกาะกูด น้ำมันแพงเหมือนเดิม มีคำกล่าวว่า "ข่าวลือมักจะมาก่อนข่าวจริงเสมอ" ประเด็นเกาะกูดเกิดขึ้นจากข่าวลือแบบปากต่อปากว่า นักการเมืองรายหนึ่งจะยกเกาะกูดให้เขมร กระทั่งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พักการลงโทษจากคดีทุจริตไปแสดงวิสัยทัศน์ให้กับสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2567 เสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันของไทยกับกัมพูชา หรือ OCA (Overlapping Claims Area) อ้างว่ากัมพูชาลากเส้นจากไหล่ทวีป 200 ไมล์ทะเลแล้วเกยกัน ถือว่าเป็นเขตทับซ้อน ถ้ามีทรัพยากรอยู่ก็ถือว่าแบ่งกันคนละครึ่ง แม้ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ.125 แต่เมื่อปี 2515 กัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย 200 ไมล์ทะเลฝ่ายเดียว โดยลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 จ.ตราด ไปผ่ากลางครึ่งหนึ่งของเกาะกูด แต่ก็มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยในปี 2516 โดยแบ่งครึ่งมุมจากหลักเขตที่ 73 ระหว่างเกาะกูดและเกาะกง ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายสากล คือ บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 แต่กัมพูชายังคงยึดถือเขตไหล่ทวีปของตนเอง หนำซ้ำรัฐบาลทักษิณไปเซ็น MOU 2544 ทำให้นายทักษิณอ้างว่าเป็นเขตทับซ้อน ต่อมาวันที่ 10 ต.ค. 2567 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ จะเริ่มเจรจากับกัมพูชาอีกครั้ง เพื่อสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่มีมูลค่าอย่างน้อย 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เนื่องจากต้องการเพิ่มปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ควบคุมค่าไฟฟ้า และลดค่าใช้จ่ายนำเข้าเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น คาดว่าจะมีก๊าซธรรมชาติ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตและน้ำมันดิบ 300 ล้านบาร์เรล แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะทั้งสองประเทศขัดแย้งทางการทูตและความอ่อนไหวเรื่องอธิปไตย ทำให้การเจรจาหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2544 แม้เรื่องเกาะกูดจะไม่โด่งดัง แต่ก็เป็นที่พูดถึงในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล กังวลว่าไทยจะเสียสิทธิ์ทางทะเล และเสียดินแดนเช่นเดียวกับกรณีปราสาทพระวิหาร ส่วนรัฐบาลตอบโต้ว่าเป็นพวกคลั่งชาติ ทำร้ายผลประโยชน์ของประเทศ อย่างไรก็ตาม ถึงรัฐบาลทั้งสองประเทศจะร่วมกันนำพลังงานขึ้นมาใช้ แต่สุดท้ายคนไทยใช้น้ำมันแพงเหมือนเดิม เพราะอ้างอิงราคาน้ำมันจากประเทศสิงคโปร์ แถมต้นทุนโรงกลั่นในไทยสูงกว่าสิงค์โปร์ ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติยังจำกัดอยู่ที่รายใหญ่ เชื่อไม่ได้ว่าค่าไฟฟ้าจะถูกลง คนที่ได้ประโยชน์ตัวจริงคือนักการเมือง กับกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่มเท่านั้น #Newskit #เกาะกูด
    Like
    14
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 573 มุมมอง 0 รีวิว
  • ณ บ้านพระอาทิตย์
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    การประกาศขีดเส้นเขตไหล่ทวีป และทะเลอาณาเขตของกัมพูชาในปี พ.ศ. 2515 ที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากลนั้น ได้มีการละเมิดสิทธิและอธิปไตยทางทะเลของราชอาณาจักรไทยอย่างชัดเจน และส่งผลทำให้ราชอาณาจักรไทยได้ “ปฏิเสธ” การประกาศขีดเส้นที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลของกัมพูชาไปแล้ว ด้วยการมีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516



    นอกจากนั้นในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มีมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับอ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ปี พ.ศ. 2544 (MOU 2544) ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 อีกด้วย

    โดยมีรายละเอียด ดังนี้

    พระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาได้กำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 มาประชิดเกาะกูดด้านตะวันออก แล้วอ้อมเกาะกูดไปด้านล่างแล้ววกกลับมาเป็นรูปตัว U แล้วลากเส้นต่อเนื่องไปยังทิศตะวันตกของเกาะกูดลึกเข้าไปในอ่าวไทยก็ดี หรือพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาฝ่ายเดียว ซึ่งกำหนดแผนที่แสดงการลาก “เส้นทะเลอาณาเขต” ของกัมพูชาจากหลักเขตที่ 73 ประชิดด้านทิศตะวันตกของเกาะกูด ฉบับเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2515 ก็ดี ล้วนเป็นแผนที่กำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลที่ “ละเมิดสิทธิและละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย“ทั้งสิ้น และยังไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล เพราะไม่เป็นไปตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 อีกด้วย โดยมีผลตามมาดังนี้

    1.ละเมิด ทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด

    2.ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด

    3.ละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทยที่มีการแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดกับเกาะกงจากหลักเขตที่ 73 จึงเป็นการละเมิดเส้นแบ่งที่ระยะทางเท่ากันระหว่างไทยและกัมพูชา (Equidistant Line)

    อย่างไรก็ตาม ราชอาณาจักรไทยได้เคย “ปฏิเสธ” การขีดเส้นทางทะเลของกัมพูชาที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลไปแล้วในเวลาต่อมา

    โดยราชอาณาจักรไทยได้มีพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2516 โดยมีจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

    “พระบรมราชโองการ” ตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า “Royal Command” ซึ่งมีความหมายว่า “คำสั่งราชการของพระมหากษัตริย์”

    พระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เป็นพระราชอำนาจภายใต้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2515 ที่เกี่ยวพันกับสถานภาพกำหนดเขตแดนทางทะเลของ “ราชอาณาจักรไทย” กับ “จอมทัพไทย” และองค์พระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงเป็นประมุขแห่งราชอาณาจักรไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ ดังนี้

    “มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้

    พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย

    มาตรา 18 บรรดาบทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการใดๆ อันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”

    ดังนั้น พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เป็นพระบรมราชโองการที่เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน จึงมีผลตามกฎหมายและต้องมีการบังคับใช้จนถึงปัจจุบัน หากมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นต้องมีการแก้ไขด้วยพระบรมราชโองการเช่นกัน ดังนั้นจะอาศัยนักการเมืองไปตกลงกันเองตามอำเภอใจโดยขัดต่อพระบรมราชโองการนั้นไม่ได้

    ความสำคัญของพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นอกจากจะมีความหมายถึงการ “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่รุกล้ำราชอาณาเขตทะเลไทยแล้ว ยังได้ประกาศถึงเรื่อง “สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติ” อย่างชัดเจนดังปรากฏเป็นข้อความในพระบรมราชโองการความว่า



    “เพื่อความมุ่งประสงค์ในการใช้สิทธิอธิปไตยของประเทศไทยในการสำรวจและการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย จึงกำหนดให้เขตไหล่ทวีปตามแผนที่และพิกัดภูมิศาสตร์ของแต่ละจุดที่ประกอบเป็นเขตไหล่ทวีปของไทย ซึ่งแนบท้ายประกาศนี้เป็นเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย“

    อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีพระบรมราชโองการฉบับนี้เป็นเวลา 2 ปี คือปี พ.ศ. 2514 และ พ.ศ. 2515 รัฐบาลราชอาณาจักรไทยได้ทำการให้สัมปทานปิโตรเลียมให้กับต่างชาติไปแล้วหลายแปลง โดยเฉพาะกลุ่มทุนจาก สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และญี่ปุ่น ที่ยึดถือการซื้อขายปิโตรเลียมเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือที่เรียกว่า ปิโตรดอลลาร์

    ดังนั้น การที่กัมพูชาตราพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาได้กำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ย่อมทำให้ผู้รับสัมปทานในประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการให้สำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยได้ และอาจทำให้แหล่งปิโตรเลียมของราชอาณาจักรไทยกลายเป็นของกัมพูชาได้ด้วย

    ประกอบกับในเวลานั้นประเทศไทยได้ผ่านบทเรียนราคาแพงมาเป็นเวลา 10 ปีที่ได้สูญเสียปราสาทพระวิหารไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ที่คำตัดสินของศาลโลกให้ประเทศไทยแพ้คดีด้วยเพราะ “กฎหมายปิดปาก” โดยอ้างว่าฝ่ายไทยนิ่งเฉยไม่ปฏิเสธต่อแผนที่ฝรั่งเศส อ้างว่าฝ่ายไทยนิ่งเฉยต่อการสำแดงอธิปไตยของกัมพูชา ทั้งๆ ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนยอดหน้าผาฝั่งราชอาณาจักรไทยซึ่งเป็นเส้นเขตแดนตามธรรมชาติที่ชัดเจน

    ดังนั้น ประเทศไทยจะดำเนินการปฏิเสธเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาฉบับปี พ.ศ. 2515 จึงต้องมีความรอบคอบ รัดกุม และคำนึงถึงการปกป้องสิทธิและอธิปไตยของชาติ ไม่ให้ถูกแย่งชิงแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมในอ่าวไทยให้ไปเป็นของกัมพูชา ไม่ให้ซ้ำรอยการสูญเสียปราสาทพระวิหารของไทยในปี พ.ศ. 2505 ด้วย

    ดังนั้น เพื่อความสมบูรณ์และชอบธรรมในการ “ปฏิเสธ” แผนที่เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ไม่กระทำการตามกฎหมายทะเลสากล พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 จึงอยู่บน “มูลฐานของกฎหมายทะเลสากล” ดังความปรากฎในพระบรมราชโองการว่า

    “ในการกำหนดเขตไหล่ทวีปนี้ ได้ยึดถือมูลฐานแห่งสิทธิตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ อันเป็นที่ยอมรับนับถือกันทั่วไป และตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 และประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้แล้วเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2511”

    แม้ราชอาณาจักรไทยจะมีพระบรมราชโองการประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปที่อยู่บนมูลฐานของกฎหมายสากล แต่ก็ยังมีความตระหนักด้วยว่าอาจจะต้องมีความเสี่ยงที่จะเกิดข้อพิพาท “ในอนาคต” กับเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาอย่างแน่นอน

    ราชอาณาจักรไทยจึงได้ประกาศโดยพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 กำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปนั้น ได้วางหลักในอนาคตว่าหากจะมีการตกลงกันในวันข้างหน้าจะต้องใช้มูลฐานของกฎหมายสากลเท่านั้น

    ซึ่งแปลว่าฝ่ายราชอาณาจักรไทยนอกจากจะประกาศ “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตย ณ วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 แล้ว ยังจะต้อง “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลทุกกรณีใน “อนาคต” ด้วย ดังข้อความปรากฏในพระบรมราชโองการความว่า

    “สำหรับสิทธิอธิปไตยในส่วนที่เป็นทะเลอาณาเขตซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตใกล้เคียงอันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้นจะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน โดยยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958“



    หมายความว่าหากราชอาณาจักรไทยมีข้อพิพาทในอาณาเขตใกล้เคียงกันแล้วก็เปิดทางให้ตกลงกันได้ แต่ต้อง “ยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958” เท่านั้น

    ดังเช่นกรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-มาเลเซีย ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างเส้นเขตไหล่ทวีปของประเทศตัวเองให้ได้เปรียบที่สุด

    แต่เมื่อทั้ง 2 ประเทศได้ตกลงกันโดยอาศัยมูลฐานของกฎหมายทะเลสากล จึงสามารถยอมรับการอ้างสิทธิทับซ้อนเหลื่อมล้ำกันของพื้นที่ซึ่งกันและกันได้ และยังคงเป็นการดำเนินรอยตามพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516

    ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียในการแบ่งปันผลผลิตปิโตรเลียม โดยการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของไทย-มาเลเซียในอ่าวไทย

    แต่เมื่อจะมีบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองในอ่าวไทยแล้ว ก็ยังต้องอาศัยพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้บันทีกความเข้าใจฉบับดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2523 และรับสนองพระบรมราชโองการโดย พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี

    แต่กรณีของเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาซึ่งไม่อยู่บนฐานของมูลฐานของกฎหมายทะเลสากล ซึ่งราชอาณาจักรไทย ได้ “ปฏิเสธ” ไปแล้วโดยมีพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 และได้ “ปฏิเสธ” การตกลงกันในอนาคตด้วย เพราะการขีดเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาดังกล่าวไม่ได้อยู่บนมูลฐานของมูลฐานแห่งบทบัญญัติของกฎหมายทะเลสากล

    ดังนั้น บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาเรื่องพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ปี พ.ศ. 2544 (MOU 2544) ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ลงนามกันเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ได้เปลี่ยนสถานภาพในหลักการสำคัญ จากการ “ปฏิเสธ“ เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย มากลายเป็น “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” พื้นที่อ้างสิทธิเขตไหล่ทวีปของประเทศกัมพูชาที่ขีดเส้นตามอำเภอใจและไม่เป็นไปตามกฎหมายสากล

    การที่ประเทศไทย “ไม่ปฏิเสธ” การลากเส้นเขตไหล่ทวีปที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลของกัมพูชา ย่อมเท่ากับประเทศไทยเข้าสู่ภาวะสุ่มเสี่ยงที่ถูกตีความได้ว่าราชอาณาจักรไทยได้ “สละสิทธิ” จุดแข็งที่สุดคือการลากเส้นไหล่ทวีปตามกฎหมายสากลเพียงอย่างเดียว ให้กลายเป็นการยอมรับการเกิดพื้นที่ไม่แน่ชัดเหลื่อมซ้อนกันระหว่างการลากเส้นตามกฎหมายสากลของราชอาณาจักรไทย กับการลากเส้นตามอำเภอใจของกัมพูชาที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย

    MOU 2544 จึงอาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เนื่องด้วยมีการ “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” การอ้างสิทธิทับซ้อนโดยอาศัยการขีดเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาซึ่งไม่อยู่บน ”มูลฐานของกฎหมายทะเลสากล“

    เรากำลังขาดสติเดินตามรอย “กฎหมายปิดปาก”เสี่ยงสูญเสียเกาะกูดในอนาคตได้เหมือนการสูญเสียปราสาทพระวิหารในอดีตหรือไม่?

    ความสุ่มเสี่ยงดังกล่าวได้เคยเป็นปัญหาที่มีการถกเถียงกันอย่างมากระหว่างรัฐบาลไทยและภาคประชาชนต่อเนื่องมาก่อนแล้วเมื่อ 16 ปีก่อน

    จนในที่สุดในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU 2544 ไปแล้ว ดังปรากฏหลักฐานของ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ได้ตอบกระทู้ของนายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2553 ความตอนหนึ่งว่า

    “ขอกราบเรียนดังนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ฉบับวันที่ 18 มิถุนายน 2554 แต่โดยที่เรื่องดังกล่าวต้องนำเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ

    จึงมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาข้อกฎหมายให้รอบคอบก่อนดำเนินการต่อไป แล้วก็กระทรวงการต่างประเทศโดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกำลังดำเนินการศึกษาและพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยละเอียดก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา แล้วก็เพื่อเสนอต่อรัฐสภาต่อไป”

    โดยพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้นที่เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU 2544 ประกอบไปด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมชาติพัฒนา พรรคกิจสังคม และพรรคมาตุภูมิ

    จริงอยู่ที่ว่าการยกเลิก MOU 2544 จนปัจจุบันยังไม่แล้วเสร็จ แต่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 มีผลผูกพันทางกฎหมายอย่างแน่นอน และยังมีผลจนถึงปัจจุบันหากยังไม่มีมติคณะรัฐมนตรีเป็นอย่างอื่น

    ดังนั้น การปฏิบัติหน้าที่ของทุกกระทรวงจะดำเนินการไปในหลักการอื่นโดยฝ่าฝืนต่อมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 จะทำต่อไปได้อย่างไร ยกเว้นเสียแต่ว่ามีการขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีเสียใหม่ จริงหรือไม่?

    ดังนั้น การเดินหน้าในการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างไทย-กัมพูชาตาม MOU 2544 ต่อไป อาจเข้าข่ายไม่เพียงเป็นการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เท่านั้น แต่ยังฝ่าฝืนต่อมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 อีกด้วย

    สำหรับ นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แทนที่จะมากล่าวหาว่าประชาชนผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการเดินหน้า MOU 2544 ว่าเป็นพวกคลั่งชาตินั้น ก็ควรจะสำรวจรัฐบาลตัวเองด้วยว่ากำลังขายชาติอยู่หรือไม่

    ด้วยจิตคารวะ
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต

    https://mgronline.com/daily/detail/9670000105530

    #Thaitimes
    ณ บ้านพระอาทิตย์ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ การประกาศขีดเส้นเขตไหล่ทวีป และทะเลอาณาเขตของกัมพูชาในปี พ.ศ. 2515 ที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากลนั้น ได้มีการละเมิดสิทธิและอธิปไตยทางทะเลของราชอาณาจักรไทยอย่างชัดเจน และส่งผลทำให้ราชอาณาจักรไทยได้ “ปฏิเสธ” การประกาศขีดเส้นที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลของกัมพูชาไปแล้ว ด้วยการมีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นอกจากนั้นในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มีมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับอ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ปี พ.ศ. 2544 (MOU 2544) ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 อีกด้วย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ พระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาได้กำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 มาประชิดเกาะกูดด้านตะวันออก แล้วอ้อมเกาะกูดไปด้านล่างแล้ววกกลับมาเป็นรูปตัว U แล้วลากเส้นต่อเนื่องไปยังทิศตะวันตกของเกาะกูดลึกเข้าไปในอ่าวไทยก็ดี หรือพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาฝ่ายเดียว ซึ่งกำหนดแผนที่แสดงการลาก “เส้นทะเลอาณาเขต” ของกัมพูชาจากหลักเขตที่ 73 ประชิดด้านทิศตะวันตกของเกาะกูด ฉบับเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2515 ก็ดี ล้วนเป็นแผนที่กำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลที่ “ละเมิดสิทธิและละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย“ทั้งสิ้น และยังไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล เพราะไม่เป็นไปตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 อีกด้วย โดยมีผลตามมาดังนี้ 1.ละเมิด ทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด 2.ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด 3.ละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทยที่มีการแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดกับเกาะกงจากหลักเขตที่ 73 จึงเป็นการละเมิดเส้นแบ่งที่ระยะทางเท่ากันระหว่างไทยและกัมพูชา (Equidistant Line) อย่างไรก็ตาม ราชอาณาจักรไทยได้เคย “ปฏิเสธ” การขีดเส้นทางทะเลของกัมพูชาที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลไปแล้วในเวลาต่อมา โดยราชอาณาจักรไทยได้มีพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2516 โดยมีจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ “พระบรมราชโองการ” ตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า “Royal Command” ซึ่งมีความหมายว่า “คำสั่งราชการของพระมหากษัตริย์” พระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เป็นพระราชอำนาจภายใต้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2515 ที่เกี่ยวพันกับสถานภาพกำหนดเขตแดนทางทะเลของ “ราชอาณาจักรไทย” กับ “จอมทัพไทย” และองค์พระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงเป็นประมุขแห่งราชอาณาจักรไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ ดังนี้ “มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย มาตรา 18 บรรดาบทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการใดๆ อันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ” ดังนั้น พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เป็นพระบรมราชโองการที่เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน จึงมีผลตามกฎหมายและต้องมีการบังคับใช้จนถึงปัจจุบัน หากมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นต้องมีการแก้ไขด้วยพระบรมราชโองการเช่นกัน ดังนั้นจะอาศัยนักการเมืองไปตกลงกันเองตามอำเภอใจโดยขัดต่อพระบรมราชโองการนั้นไม่ได้ ความสำคัญของพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นอกจากจะมีความหมายถึงการ “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่รุกล้ำราชอาณาเขตทะเลไทยแล้ว ยังได้ประกาศถึงเรื่อง “สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติ” อย่างชัดเจนดังปรากฏเป็นข้อความในพระบรมราชโองการความว่า “เพื่อความมุ่งประสงค์ในการใช้สิทธิอธิปไตยของประเทศไทยในการสำรวจและการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย จึงกำหนดให้เขตไหล่ทวีปตามแผนที่และพิกัดภูมิศาสตร์ของแต่ละจุดที่ประกอบเป็นเขตไหล่ทวีปของไทย ซึ่งแนบท้ายประกาศนี้เป็นเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย“ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีพระบรมราชโองการฉบับนี้เป็นเวลา 2 ปี คือปี พ.ศ. 2514 และ พ.ศ. 2515 รัฐบาลราชอาณาจักรไทยได้ทำการให้สัมปทานปิโตรเลียมให้กับต่างชาติไปแล้วหลายแปลง โดยเฉพาะกลุ่มทุนจาก สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และญี่ปุ่น ที่ยึดถือการซื้อขายปิโตรเลียมเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือที่เรียกว่า ปิโตรดอลลาร์ ดังนั้น การที่กัมพูชาตราพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาได้กำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ย่อมทำให้ผู้รับสัมปทานในประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการให้สำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยได้ และอาจทำให้แหล่งปิโตรเลียมของราชอาณาจักรไทยกลายเป็นของกัมพูชาได้ด้วย ประกอบกับในเวลานั้นประเทศไทยได้ผ่านบทเรียนราคาแพงมาเป็นเวลา 10 ปีที่ได้สูญเสียปราสาทพระวิหารไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ที่คำตัดสินของศาลโลกให้ประเทศไทยแพ้คดีด้วยเพราะ “กฎหมายปิดปาก” โดยอ้างว่าฝ่ายไทยนิ่งเฉยไม่ปฏิเสธต่อแผนที่ฝรั่งเศส อ้างว่าฝ่ายไทยนิ่งเฉยต่อการสำแดงอธิปไตยของกัมพูชา ทั้งๆ ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนยอดหน้าผาฝั่งราชอาณาจักรไทยซึ่งเป็นเส้นเขตแดนตามธรรมชาติที่ชัดเจน ดังนั้น ประเทศไทยจะดำเนินการปฏิเสธเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาฉบับปี พ.ศ. 2515 จึงต้องมีความรอบคอบ รัดกุม และคำนึงถึงการปกป้องสิทธิและอธิปไตยของชาติ ไม่ให้ถูกแย่งชิงแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมในอ่าวไทยให้ไปเป็นของกัมพูชา ไม่ให้ซ้ำรอยการสูญเสียปราสาทพระวิหารของไทยในปี พ.ศ. 2505 ด้วย ดังนั้น เพื่อความสมบูรณ์และชอบธรรมในการ “ปฏิเสธ” แผนที่เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ไม่กระทำการตามกฎหมายทะเลสากล พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 จึงอยู่บน “มูลฐานของกฎหมายทะเลสากล” ดังความปรากฎในพระบรมราชโองการว่า “ในการกำหนดเขตไหล่ทวีปนี้ ได้ยึดถือมูลฐานแห่งสิทธิตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ อันเป็นที่ยอมรับนับถือกันทั่วไป และตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 และประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้แล้วเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2511” แม้ราชอาณาจักรไทยจะมีพระบรมราชโองการประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปที่อยู่บนมูลฐานของกฎหมายสากล แต่ก็ยังมีความตระหนักด้วยว่าอาจจะต้องมีความเสี่ยงที่จะเกิดข้อพิพาท “ในอนาคต” กับเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาอย่างแน่นอน ราชอาณาจักรไทยจึงได้ประกาศโดยพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 กำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปนั้น ได้วางหลักในอนาคตว่าหากจะมีการตกลงกันในวันข้างหน้าจะต้องใช้มูลฐานของกฎหมายสากลเท่านั้น ซึ่งแปลว่าฝ่ายราชอาณาจักรไทยนอกจากจะประกาศ “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตย ณ วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 แล้ว ยังจะต้อง “ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลทุกกรณีใน “อนาคต” ด้วย ดังข้อความปรากฏในพระบรมราชโองการความว่า “สำหรับสิทธิอธิปไตยในส่วนที่เป็นทะเลอาณาเขตซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตใกล้เคียงอันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้นจะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน โดยยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958“ หมายความว่าหากราชอาณาจักรไทยมีข้อพิพาทในอาณาเขตใกล้เคียงกันแล้วก็เปิดทางให้ตกลงกันได้ แต่ต้อง “ยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958” เท่านั้น ดังเช่นกรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-มาเลเซีย ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างเส้นเขตไหล่ทวีปของประเทศตัวเองให้ได้เปรียบที่สุด แต่เมื่อทั้ง 2 ประเทศได้ตกลงกันโดยอาศัยมูลฐานของกฎหมายทะเลสากล จึงสามารถยอมรับการอ้างสิทธิทับซ้อนเหลื่อมล้ำกันของพื้นที่ซึ่งกันและกันได้ และยังคงเป็นการดำเนินรอยตามพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียในการแบ่งปันผลผลิตปิโตรเลียม โดยการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของไทย-มาเลเซียในอ่าวไทย แต่เมื่อจะมีบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองในอ่าวไทยแล้ว ก็ยังต้องอาศัยพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้บันทีกความเข้าใจฉบับดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2523 และรับสนองพระบรมราชโองการโดย พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี แต่กรณีของเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาซึ่งไม่อยู่บนฐานของมูลฐานของกฎหมายทะเลสากล ซึ่งราชอาณาจักรไทย ได้ “ปฏิเสธ” ไปแล้วโดยมีพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 และได้ “ปฏิเสธ” การตกลงกันในอนาคตด้วย เพราะการขีดเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาดังกล่าวไม่ได้อยู่บนมูลฐานของมูลฐานแห่งบทบัญญัติของกฎหมายทะเลสากล ดังนั้น บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาเรื่องพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ปี พ.ศ. 2544 (MOU 2544) ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ลงนามกันเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ได้เปลี่ยนสถานภาพในหลักการสำคัญ จากการ “ปฏิเสธ“ เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย มากลายเป็น “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” พื้นที่อ้างสิทธิเขตไหล่ทวีปของประเทศกัมพูชาที่ขีดเส้นตามอำเภอใจและไม่เป็นไปตามกฎหมายสากล การที่ประเทศไทย “ไม่ปฏิเสธ” การลากเส้นเขตไหล่ทวีปที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลของกัมพูชา ย่อมเท่ากับประเทศไทยเข้าสู่ภาวะสุ่มเสี่ยงที่ถูกตีความได้ว่าราชอาณาจักรไทยได้ “สละสิทธิ” จุดแข็งที่สุดคือการลากเส้นไหล่ทวีปตามกฎหมายสากลเพียงอย่างเดียว ให้กลายเป็นการยอมรับการเกิดพื้นที่ไม่แน่ชัดเหลื่อมซ้อนกันระหว่างการลากเส้นตามกฎหมายสากลของราชอาณาจักรไทย กับการลากเส้นตามอำเภอใจของกัมพูชาที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย MOU 2544 จึงอาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เนื่องด้วยมีการ “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” การอ้างสิทธิทับซ้อนโดยอาศัยการขีดเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาซึ่งไม่อยู่บน ”มูลฐานของกฎหมายทะเลสากล“ เรากำลังขาดสติเดินตามรอย “กฎหมายปิดปาก”เสี่ยงสูญเสียเกาะกูดในอนาคตได้เหมือนการสูญเสียปราสาทพระวิหารในอดีตหรือไม่? ความสุ่มเสี่ยงดังกล่าวได้เคยเป็นปัญหาที่มีการถกเถียงกันอย่างมากระหว่างรัฐบาลไทยและภาคประชาชนต่อเนื่องมาก่อนแล้วเมื่อ 16 ปีก่อน จนในที่สุดในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU 2544 ไปแล้ว ดังปรากฏหลักฐานของ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ได้ตอบกระทู้ของนายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2553 ความตอนหนึ่งว่า “ขอกราบเรียนดังนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ฉบับวันที่ 18 มิถุนายน 2554 แต่โดยที่เรื่องดังกล่าวต้องนำเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ จึงมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาข้อกฎหมายให้รอบคอบก่อนดำเนินการต่อไป แล้วก็กระทรวงการต่างประเทศโดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกำลังดำเนินการศึกษาและพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยละเอียดก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา แล้วก็เพื่อเสนอต่อรัฐสภาต่อไป” โดยพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้นที่เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU 2544 ประกอบไปด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมชาติพัฒนา พรรคกิจสังคม และพรรคมาตุภูมิ จริงอยู่ที่ว่าการยกเลิก MOU 2544 จนปัจจุบันยังไม่แล้วเสร็จ แต่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 มีผลผูกพันทางกฎหมายอย่างแน่นอน และยังมีผลจนถึงปัจจุบันหากยังไม่มีมติคณะรัฐมนตรีเป็นอย่างอื่น ดังนั้น การปฏิบัติหน้าที่ของทุกกระทรวงจะดำเนินการไปในหลักการอื่นโดยฝ่าฝืนต่อมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 จะทำต่อไปได้อย่างไร ยกเว้นเสียแต่ว่ามีการขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีเสียใหม่ จริงหรือไม่? ดังนั้น การเดินหน้าในการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างไทย-กัมพูชาตาม MOU 2544 ต่อไป อาจเข้าข่ายไม่เพียงเป็นการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เท่านั้น แต่ยังฝ่าฝืนต่อมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 อีกด้วย สำหรับ นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แทนที่จะมากล่าวหาว่าประชาชนผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการเดินหน้า MOU 2544 ว่าเป็นพวกคลั่งชาตินั้น ก็ควรจะสำรวจรัฐบาลตัวเองด้วยว่ากำลังขายชาติอยู่หรือไม่ ด้วยจิตคารวะ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต https://mgronline.com/daily/detail/9670000105530 #Thaitimes
    Like
    Love
    8
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 789 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา “ฆาเวียร์ มิลเล” มีคำสั่งปลดรัฐมนตรีต่างประเทศอาร์เจนตินา หลังสนับสนุนมติสหประชาชาติ ยกเลิกคว่ำบาตรคิวบา

    เฆราร์โด เวิร์ธไฮน์ เอกอัครราชทูตอาร์เจนตินาประจำสหรัฐฯ จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่แทน

    เมื่อวันก่อนที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ มีการลงมติเรียกร้องให้ยุติการคว่ำบาตรคิวบาอย่างท่วมท้นด้วยคะแนนโหวตเห็นด้วย 187 เสียง ไม่เห็นด้วย 2 เสียง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นคู่หูจากนรก "สหรัฐอเมริกาและอิสราเอล" ขณะที่ 1 เสียงของมอลโดวา งดออกเสียง

    ทางด้านตัวแทนของสหรัฐฯ กล่าวต่อว่า แม้สหรัฐฯจะคัดค้านมตินี้ แต่ยืนยันด้วยความจริงใจว่าสหรัฐฯ ยังคงอยู่เคียงข้างประชาชนชาวคิวบา และจะแสวงหาหนทางเพื่อให้การสนับสนุนที่มีความหมายแก่คิวบาต่อไป

    สหรัฐฯ เริ่มมีมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจคิวบายาวนานถึง 64 ปี โดยตั้งแต่ปี 2503 หลังการปฏิวัติที่นำโดยนายฟิเดล คาสโตร

    ปีนี้เป็นปีที่ 32 ติดต่อกันที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติมีการลงมติที่ไม่มีผลผูกมัดทางกฎหมายเรียกร้องให้ยุติการคว่ำบาตรคิวบา แน่นอนว่าเสียงที่ไม่เห็นชอบแต่ละปีจะยืนพื้นอยู่สองประเทศ คือ สหรัฐฯ และ อิสราเอล โดยในแต่ละปีอาจจะมีประเทศอื่นเข้าร่วมไม่เห็นด้วย ตามแรงกดดันของสหรัฐ

    และในปีนี้อิหร่านได้กล่าวแสดงสนับสนุนให้ยกเลิกมาตรการดังกล่าวในสหประชาชาติ: "การคว่ำบาตรและการปิดล้อมที่ไร้มนุษยธรรมที่สหรัฐฯ กำหนดต่อคิวบามานานกว่า 6 ทศวรรษ ถือเป็นระบบมาตรการฝ่ายเดียวที่ไม่ยุติธรรมและยืดเยื้อที่สุดเท่าที่เคยใช้กับประเทศใดๆ... เราขอแสดงความสามัคคีกับคิวบาเช่นเดียวกับที่เราทำมาตลอด 32 ปีที่ผ่านมา"

    ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา “ฆาเวียร์ มิลเล” มีคำสั่งปลดรัฐมนตรีต่างประเทศอาร์เจนตินา หลังสนับสนุนมติสหประชาชาติ ยกเลิกคว่ำบาตรคิวบา เฆราร์โด เวิร์ธไฮน์ เอกอัครราชทูตอาร์เจนตินาประจำสหรัฐฯ จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่แทน เมื่อวันก่อนที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ มีการลงมติเรียกร้องให้ยุติการคว่ำบาตรคิวบาอย่างท่วมท้นด้วยคะแนนโหวตเห็นด้วย 187 เสียง ไม่เห็นด้วย 2 เสียง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นคู่หูจากนรก "สหรัฐอเมริกาและอิสราเอล" ขณะที่ 1 เสียงของมอลโดวา งดออกเสียง ทางด้านตัวแทนของสหรัฐฯ กล่าวต่อว่า แม้สหรัฐฯจะคัดค้านมตินี้ แต่ยืนยันด้วยความจริงใจว่าสหรัฐฯ ยังคงอยู่เคียงข้างประชาชนชาวคิวบา และจะแสวงหาหนทางเพื่อให้การสนับสนุนที่มีความหมายแก่คิวบาต่อไป สหรัฐฯ เริ่มมีมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจคิวบายาวนานถึง 64 ปี โดยตั้งแต่ปี 2503 หลังการปฏิวัติที่นำโดยนายฟิเดล คาสโตร ปีนี้เป็นปีที่ 32 ติดต่อกันที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติมีการลงมติที่ไม่มีผลผูกมัดทางกฎหมายเรียกร้องให้ยุติการคว่ำบาตรคิวบา แน่นอนว่าเสียงที่ไม่เห็นชอบแต่ละปีจะยืนพื้นอยู่สองประเทศ คือ สหรัฐฯ และ อิสราเอล โดยในแต่ละปีอาจจะมีประเทศอื่นเข้าร่วมไม่เห็นด้วย ตามแรงกดดันของสหรัฐ และในปีนี้อิหร่านได้กล่าวแสดงสนับสนุนให้ยกเลิกมาตรการดังกล่าวในสหประชาชาติ: "การคว่ำบาตรและการปิดล้อมที่ไร้มนุษยธรรมที่สหรัฐฯ กำหนดต่อคิวบามานานกว่า 6 ทศวรรษ ถือเป็นระบบมาตรการฝ่ายเดียวที่ไม่ยุติธรรมและยืดเยื้อที่สุดเท่าที่เคยใช้กับประเทศใดๆ... เราขอแสดงความสามัคคีกับคิวบาเช่นเดียวกับที่เราทำมาตลอด 32 ปีที่ผ่านมา"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘ปชน.-ประชาชาติ’ เสนอญัตติด่วนกรณีตากใบ มี สส. เพื่อไทย ไม่เห็นด้วย ประธานให้อภิปรายก่อนลงมติ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000102854

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ‘ปชน.-ประชาชาติ’ เสนอญัตติด่วนกรณีตากใบ มี สส. เพื่อไทย ไม่เห็นด้วย ประธานให้อภิปรายก่อนลงมติ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000102854 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    10
    2 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 3424 มุมมอง 1 รีวิว
  • อนาคตสถานีลพบุรี

    โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ระยะทาง 145 กิโลเมตร มูลค่าโครงการ 21,467 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างตั้งแต่กลางปี 2561 ในที่สุดสัญญาที่ 1 ช่วงบ้านกลับ-โคกกะเทียม (ทางรถไฟยกระดับ) ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อเดือน ก.ย. 2567 ส่วนสัญญาที่ 2 ท่าแค-ปากน้ำโพ คืบหน้า 98.26% คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน พ.ย. 2567 และสัญญาที่ 3 งานระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม (ST8) คืบหน้า 49.59% คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ค. 2568

    สำหรับไฮไลต์ของโครงการอยู่ที่สัญญาที่ 1 เป็นการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่ใหม่ ระยะทาง 29 กิโลเมตร เพื่อป้องกันผลกระทบต่อโบราณสถานอย่างพระปรางค์สามยอด มีจุดเริ่มต้นทางทิศใต้ของสถานีบ้านกลับ เบี่ยงออกทางด้านทิศตะวันตกของเมืองลพบุรี และยกระดับบนแนวเกาะกลางถนนของทางหลวงหมายเลข 366 (ถนนเลี่ยงเมืองลพบุรี) ระยะทาง 19 กิโลเมตร ก่อนลดระดับลง บรรจบแนวเส้นทางรถไฟเดิม ระหว่างสถานีท่าแค และสถานีโคกกะเทียม

    พร้อมปรับปรุงสถานีรถไฟบ้านกลับ โดยอนุรักษ์อาคารเดิมไว้ และก่อสร้างสถานีรถไฟลพบุรี 2 บริเวณถนนเลี่ยงเมืองลพบุรี ก่อนถึงแยกสนามไชย ต.โพลาดแก้ว อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี เป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ 3 ชั้น ประกอบด้วยชั้น 1 ที่จอดรถ ชั้น 2 พื้นที่จำหน่ายตั๋วและรองรับผู้โดยสาร ชั้น 3 ชานชาลา

    อย่างไรก็ตาม เนื่องจากที่ตั้งสถานีรถไฟลพบุรี 2 อยู่ห่างจากสถานีรถไฟลพบุรี ต.ท่าหิน อ.เมืองฯ จ.ลพบุรี ประมาณ 9 กิโลเมตร ตามแผนของกระทรวงคมนาคม จะให้รถไฟชานเมือง กรุงเทพ (หัวลำโพง)-ลพบุรี และรถไฟท้องถิ่น พิษณุโลก-ลพบุรี ทั้งไปและกลับ จอดที่สถานีเดิม นอกนั้นทั้งรถไฟธรรมดา รถเร็ว รถด่วน รถด่วนพิเศษ ย้ายไปให้บริการที่สถานีลพบุรี 2 แห่งใหม่

    แน่นอนว่าย่อมมีผู้ไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่ต้องอาศัยรถไฟธรรมดา สายพิษณุโลก สายตะพานหิน สายนครสวรรค์ และสายบ้านตาคลี มายังสถานีลพบุรี ไม่นับรวมกรณีรถไฟทางไกลสายเหนือ ต้องไปใช้บริการที่สถานีลพบุรี 2 มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพียงพอหรือไม่ มีรถรับส่งผู้โดยสารไปยังตัวเมืองลพบุรีหรือไม่ บริการฟรีหรือเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ภาระตกอยู่กับผู้โดยสารเพิ่มขึ้น

    ขณะนี้สถานีรถไฟลพบุรี ได้ทำทำแบบสำรวจเพื่อประกอบการจัดทำแผนในการเดินขบวนรถไฟโดยสาร ที่ให้บริการระหว่างสถานีลพบุรี (เดิม) และสถานีลพบุรี 2 เพื่อรับทราบถึงความคิดเห็น ความต้องการ ข้อดีข้อเสีย และผลกระทบที่ได้รับ สามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่ Google Form https://forms.gle/8HG7zhG7gheZBaSW6 หรือที่ช่องจำหน่ายตั๋วโดยสาร สถานีรถไฟลพบุรี

    #Newskit #สถานีลพบุรี #รถไฟทางคู่
    อนาคตสถานีลพบุรี โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ระยะทาง 145 กิโลเมตร มูลค่าโครงการ 21,467 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างตั้งแต่กลางปี 2561 ในที่สุดสัญญาที่ 1 ช่วงบ้านกลับ-โคกกะเทียม (ทางรถไฟยกระดับ) ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อเดือน ก.ย. 2567 ส่วนสัญญาที่ 2 ท่าแค-ปากน้ำโพ คืบหน้า 98.26% คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน พ.ย. 2567 และสัญญาที่ 3 งานระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม (ST8) คืบหน้า 49.59% คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ค. 2568 สำหรับไฮไลต์ของโครงการอยู่ที่สัญญาที่ 1 เป็นการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่ใหม่ ระยะทาง 29 กิโลเมตร เพื่อป้องกันผลกระทบต่อโบราณสถานอย่างพระปรางค์สามยอด มีจุดเริ่มต้นทางทิศใต้ของสถานีบ้านกลับ เบี่ยงออกทางด้านทิศตะวันตกของเมืองลพบุรี และยกระดับบนแนวเกาะกลางถนนของทางหลวงหมายเลข 366 (ถนนเลี่ยงเมืองลพบุรี) ระยะทาง 19 กิโลเมตร ก่อนลดระดับลง บรรจบแนวเส้นทางรถไฟเดิม ระหว่างสถานีท่าแค และสถานีโคกกะเทียม พร้อมปรับปรุงสถานีรถไฟบ้านกลับ โดยอนุรักษ์อาคารเดิมไว้ และก่อสร้างสถานีรถไฟลพบุรี 2 บริเวณถนนเลี่ยงเมืองลพบุรี ก่อนถึงแยกสนามไชย ต.โพลาดแก้ว อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี เป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ 3 ชั้น ประกอบด้วยชั้น 1 ที่จอดรถ ชั้น 2 พื้นที่จำหน่ายตั๋วและรองรับผู้โดยสาร ชั้น 3 ชานชาลา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากที่ตั้งสถานีรถไฟลพบุรี 2 อยู่ห่างจากสถานีรถไฟลพบุรี ต.ท่าหิน อ.เมืองฯ จ.ลพบุรี ประมาณ 9 กิโลเมตร ตามแผนของกระทรวงคมนาคม จะให้รถไฟชานเมือง กรุงเทพ (หัวลำโพง)-ลพบุรี และรถไฟท้องถิ่น พิษณุโลก-ลพบุรี ทั้งไปและกลับ จอดที่สถานีเดิม นอกนั้นทั้งรถไฟธรรมดา รถเร็ว รถด่วน รถด่วนพิเศษ ย้ายไปให้บริการที่สถานีลพบุรี 2 แห่งใหม่ แน่นอนว่าย่อมมีผู้ไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่ต้องอาศัยรถไฟธรรมดา สายพิษณุโลก สายตะพานหิน สายนครสวรรค์ และสายบ้านตาคลี มายังสถานีลพบุรี ไม่นับรวมกรณีรถไฟทางไกลสายเหนือ ต้องไปใช้บริการที่สถานีลพบุรี 2 มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพียงพอหรือไม่ มีรถรับส่งผู้โดยสารไปยังตัวเมืองลพบุรีหรือไม่ บริการฟรีหรือเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ภาระตกอยู่กับผู้โดยสารเพิ่มขึ้น ขณะนี้สถานีรถไฟลพบุรี ได้ทำทำแบบสำรวจเพื่อประกอบการจัดทำแผนในการเดินขบวนรถไฟโดยสาร ที่ให้บริการระหว่างสถานีลพบุรี (เดิม) และสถานีลพบุรี 2 เพื่อรับทราบถึงความคิดเห็น ความต้องการ ข้อดีข้อเสีย และผลกระทบที่ได้รับ สามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่ Google Form https://forms.gle/8HG7zhG7gheZBaSW6 หรือที่ช่องจำหน่ายตั๋วโดยสาร สถานีรถไฟลพบุรี #Newskit #สถานีลพบุรี #รถไฟทางคู่
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 421 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts