• "ชาญชัย" ยื่นคำร้องครั้งที่ 3 ขอให้ศาลไต่สวน และออกหมายจับ "ทักษิณ" กลับไปติดคุก โดยเขียนคำฟ้องใหม่ รวบรวมพยานหลักฐานผู้กระทำผิดให้ครบถ้วน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000004976

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    "ชาญชัย" ยื่นคำร้องครั้งที่ 3 ขอให้ศาลไต่สวน และออกหมายจับ "ทักษิณ" กลับไปติดคุก โดยเขียนคำฟ้องใหม่ รวบรวมพยานหลักฐานผู้กระทำผิดให้ครบถ้วน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000004976 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Love
    31
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1077 มุมมอง 1 รีวิว
  • 14 ม.ค. 2568 – นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ เผยแพร่บทความเรื่อง “ความรับผิดชอบ”ในคดีชั้น ๑๔ โดยมีเนื้อหา ดังนี้

    จรรยาบรรณแพทย์

    ถาม ๑๕ มกราคม นี้ ถึงกำหนดที่ฝ่ายแพทย์ ทั้ง รพ.ราชทัณฑ์ และ รพ.ตำรวจ ต้องส่งเวชระเบียน ให้อนุกรรมการสอบสวนของ แพทยสภาแล้ว ขอทราบว่า แพทยสภาเขาจะไปเอาทำอะไรครับ
    ตอบ ไปตรวจว่ามีหมอคนไหน ทำผิดจรรยาบรรณ ไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่หรือไม่ เช่นรายงานเท็จ ปั้นแต่งให้ความเห็นโดยไม่ใช้วิชาชีพ อย่างนี้ถ้าพบว่ามีจริงก็ลงโทษผิดจรรยาบรรณ คือ พักใช้หรือยึดใบประกอบโรคศิลป์ ทั้งนี้ไม่ว่าหมอคนนั้นจะอยู่ในราชการหรือไม่ก็ตาม

    ถาม แล้วหมอคนที่ผิดจรรยาบรรณนั้น ไม่ติดคุกหรือครับ
    ตอบ ถ้าอยู่ในราชการ ก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่ ต้องไปติดคุกเพราะกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่เป็นอีกฐานความผิดหนึ่ง

    ถาม ถ้า รพ.ตำรวจ รับทักษิณไว้ โดยไม่มีการตรวจโรคเลย แล้วหมอก็ผ่าไหล่ให้ตามคำสั่ง ผอ.เท่านั้น
    ตอบ หมอที่ผ่าก็ไม่ผิดอะไรในทางจรรยาบรรณ จะผิดก็ตรง ผอ.โรงพยาบาลที่รับนักโทษ ให้ มาอยู่อาศัยราวกับเป็นโรงแรมเท่านั้น ตรงนี้ก็เป็นเรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ เช่นกัน
    ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่

    ถาม ถ้าเขาบอกแพทยสภาว่าไม่ให้เวชระเบียน เพราะผู้ป่วยไม่ยินยอม จะได้ไหม
    ตอบ ไม่ได้ครับ นี่เป็นคำสั่งเพื่อทำการตามหน้าที่ใ ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายวิชาชีพเวชกรรม จะอ้างสิทธิคนป่วยมาหวงกันเวชระเบียนไว้ไม่ได้ กฎหมายสุขภาพชัดเจนว่า ให้ปฏิเสธได้แต่เฉพาะการขอทราบโดยอ้างสิทธิสาธารณะชน ตามกฎหมายข้อมูลข่าวสารเท่านั้น

    ถาม เห็น พ.ต.อ.ทวี รัฐมนตรียุติธรรม บอกว่า รพ.ตำรวจ น่าจะส่งเวชระเบียนจากหมอสิงค์โปร์ ให้แพทยสภาเขาไปซะ จะได้หมดเรื่อง
    ตอบ อย่ามั่วครับท่าน…แพทยสภาไทย เขาตรวจหมอไทยครับ ว่าตรวจสุขภาพ นช.ทักษิณ และให้ความเห็นถูกต้องไหมในกระบวนการส่งตัวและรับตัวทั้งหมดระหว่างเรือนจำ และ รพ.ตำรวจ ส่วนรายงานแพทย์จากสิงค์โปร์นั้นไม่เกี่ยวอะไรเลย

    ถาม พ.ต.อ.ทวี ยังพูดในสภาว่า ได้เคยเห็นรายงานผ่าไหล่และ ผล MRI ของ นักโทษ ในรายงานของเรือนจำด้วยตาตนเองเลยนะครับ
    ตอบ ประเด็นในคดี มันอยู่ตรงที่ว่า ป่วยหนักจน รพ.ราชทัณฑ์ รักษาไม่ได้จริงหรือไม่ เรื่องผ่าไหล่นั่นไม่เกี่ยวเลย ส่งไปนอนเล่นอยู่โรงพยาบาลตำรวจ แล้วมีผ่าไหล่แถมให้ก็ได้ ผ่าแบบนี้อยู่โรงพยาบาลวันสองวันก็กลับเรือนจำได้แล้ว มิหนำซ้ำพวกหมอเขาบอกว่า ถ้าป่วยวิกฤตแล้ว ทำMRI ก็ไม่ได้ ดมยาสลบก็ไม่ได้นะครับ

    ถาม รัฐมนตรีอาจพูดเพื่อให้ตัวเองดูสุจริตก็ได้นะครับ
    ตอบ ถ้าในรายงานจากเรือนจำ ชัดเจนว่าไม่มีการตรวจร่างกาย และไม่มีคำสั่งส่งตัวรับตัว ด้วยเหตุป่วยวิกฤตอยู่เลย ตรงนี้ก็แสดงว่า ระดับล่างทำงานบกพร่อง ละเว้นหน้าที่ชัดเจนแล้ว รายงานบกพร่องอย่างนี้ทำไมระดับบน ทั้ง อธิบดี ปลัดกระทรวง และรัฐมนตรีไม่เห็น ไม่ท้วงติง เพียงแค่นี้ผมก็ว่ามีมูลให้ ปปช.ตั้งข้อหา เจ้าหน้าที่ระดับบน เพิ่มได้แล้วครับ

    ถาม ถ้า รพ.ตำรวจและเรือนจำ ทำนิ่งเฉยไม่ส่งเวชระเบียน หรือตอบว่าไม่มี จะได้ไหม
    ตอบ ถ้าเป็นอย่างนั้น ความตามปากคำพยานบุคคล คือ พลตำรวจเอกเสรี ที่เห็นด้วยตาว่า ทักษิณไม่ป่วยจริง ก็จะมีน้ำหนักฟังเป็นที่ยุติขึ้นมาทันที จะโดน ๑๕๗ กันหมดทั้ง ผบ.เรือนจำและ ผอ.โรงพยาบาลตำรวจ
    ถาม ในมติ ปปช.เห็นว่า เจ้าหน้าที่มีมูลความผิด ถึง ๑๒ คน ครับ
    ตอบ ๑๒ คน นั้นเป็นคนที่มีชื่อเกี่ยวข้องเท่านั้น ถ้าได้เวชระเบียนมาตรวจสอบ หรือได้ปากคำจนความจริงครบถ้วน ใน ๑๒ คนนี้ก็น่าจะมีคนพ้นข้อสงสัยไปได้ ที่วันนี้โดนสงสัยกันหมดเพราะไม่ยอมให้ปากคำและเวชระเบียนใดๆเลย จริงๆนั้น มาถึงชั้นนี้ มันต้องตัวใครตัวมันกันแล้วครับ
    อำนาจศาลยุติธรรม ออกหมายจำคุกใหม่

    ถาม คำพืพากษาจำคุกมีแล้ว ออกหมายจำคุกแล้ว แล้วนักโทษถูกปล่อยไปนอนเล่นโรงพยาบาล อย่างนี้จะเอาตัวมาขังใหม่ได้ไหมครับ
    ตอบ เรื่องการบังคับตามคำพิพากษษคดีอาญานี้ มีมาตรา ๒๔๖ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาระบุว่า ถ้านักโทษป่วยและอยู่ในคุกแล้วจะมีอันตรายถึงชีวิต ก็ให้ศาลสั่งทุเลาโทษ คือไปรักษาตัวนอกเรือนจำโดยหยุดไม่นับเวลาคุมขังได้ แต่กระทรวงยุติธรรมกลับมาออกกฎกระทรวงให้อำนาจราชทัณฑ์ส่งนักโทษไปรักษานอกเรือนจำได้เองจนยาวไปเลย โดยมีการตรวจสอบของผู้บังคับบัญชาจากรายงานเป็นระยะเท่านั้นเอง
    ตรงนี้ ก็นับเป็นปัญหาทางนิติบัญญัติที่ต้องทบทวนกันให้ชัดเจนต่อไปว่าจะเอายังไงกันแน่ ที่จริงนั้นก็ควรจะให้ราชทัณฑ์ส่งตัวโดยไม่ผ่านศาลได้ เฉพาะที่เป็นการฉุกเฉินเท่านั้น แล้วค่อยให้มาขอศาลอีกทีเมื่อเกิน ๓๐ วัน ไปแล้วก็ได้

    ถาม แล้วคดี นช.ทักษิณจะทำอย่างไร เมื่อได้ส่งตัวไปแล้วโดยไม่ผ่านศาล
    ตอบ ก็ต้องถือตามกฎกระทรวงครับ แต่เงื่อนไขว่าต้องเจ็บป่วยวิกฤตถึงชีวิต ยังคงดำรงอยู่

    ถาม แล้วศาลจะมีอำนาจตรวจสอบย้อนหลังได้อย่างไรครับ ในเมื่อนักโทษเขาออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว พ้นโทษไปแล้วอย่างนี้
    ตอบ อำนาจตรวจสอบให้มีการปฏิบัติตามหมายจำคุกนั้นยังมีอยู่เสมอไป มาตรา ๒๔๖ เป็นมาตราที่ยืนยันความมีอยู๋ของอำนาจนี้ว่า ราชทัณฑ์จะเห็นหมายศาลที่ให้จำคุกเป็นกระดาษเช็ดก้นไม่ได้

    ถาม แล้วเรื่องจะไปสู่ศาล ให้ศาลตรวจสอบว่านักโทษป่วยวิกฤตจริงไหม ได้อย่างไร ใครจะร้องได้บ้างว่า นักโทษไม่ได้ติดคุกเลย
    ตอบ ก็ต้องเอานิติวิธีที่ใช้กฎหมายเทียบเคียงมาช่วยครับ โดยเทียบกับ มาตรา ๒๔๖ ดูสิครับว่ามาตรานี้ใครร้องได้บ้าง มาคดีนี้ก็น่าจะร้องได้อย่างนั้นเหมือนกัน ดูซึ่งผมว่าต้องร้องได้ทั้งราชทัณฑ์เอง หรือศาลเห็นเอง ก็ได้
    เริ่มจากรัฐมนตรียุติธรรม ถ้าพึ่งรู้ว่าผิดพลาด จะสั่งราชทัณฑ์ให้ร้องศาลก็ได้ หรือศาลจะเห็นเองก็ได้ ซึ่งวันนี้คดีนี้ก็มีข้อสงสัยถึงขั้น ปปช.สั่งมีมูลแล้ว แพทยสภาขอเวชระเบียนแล้วก็ยังเบี้ยวไม่ยอมให้ เพียงเท่านี้ก็พอให้ศาลสั่งไต่สวนได้แล้วครับ

    ถาม ศาลลงมือไต่สวนได้โดยไม่ต้องรอ ผล ปปช. หรือ แพทยสภา ใช่ไหมครับ
    ตอบ ไม่ต้องรอแน่นอนครับ โดยหลักกฎหมายนั้น เรามีแต่ห้ามองค์กรใดพิจารณาแข่งกับศาลไม่มีเลยที่ให้ศาลรอผลองค์กรอื่น และยิ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาว่าเบี้ยวคำพิพากษาศาลหรือไม่ด้วยแล้ว ศาลจะมานั่งรอเห็นตามคนอื่นไม่ได้หรอกครับ

    ถาม เห็นมีข่าวว่า ศาลส่วนหนึ่งเห็นว่าเรื่องนี้เป็นความขัดแย้งทางการเมือง ตนจึงไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยว กลายเป็น “คู่กรณี” ด้วย
    ตอบ เรื่องนี้เป็นเรื่องความยุติธรรมในบ้านเมือง ที่ประชาชนได้ยอมรับเห็นศาลเป็นเสาหลักมาสี่ชั่วคนแล้ว ถ้าวันนี้คนในสถาบันไม่รู้สำนึกในหน้าที่นี้ บ้านเมืองก็ต้องชิบหายต่อไปอีก จนในที่สุดก็หายไปหมดทั้งศาลและประชาชนบนแผ่นดินนี้
    แก้วสรร อติโพธิ
    14 ม.ค. 2568 – นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ เผยแพร่บทความเรื่อง “ความรับผิดชอบ”ในคดีชั้น ๑๔ โดยมีเนื้อหา ดังนี้ จรรยาบรรณแพทย์ ถาม ๑๕ มกราคม นี้ ถึงกำหนดที่ฝ่ายแพทย์ ทั้ง รพ.ราชทัณฑ์ และ รพ.ตำรวจ ต้องส่งเวชระเบียน ให้อนุกรรมการสอบสวนของ แพทยสภาแล้ว ขอทราบว่า แพทยสภาเขาจะไปเอาทำอะไรครับ ตอบ ไปตรวจว่ามีหมอคนไหน ทำผิดจรรยาบรรณ ไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่หรือไม่ เช่นรายงานเท็จ ปั้นแต่งให้ความเห็นโดยไม่ใช้วิชาชีพ อย่างนี้ถ้าพบว่ามีจริงก็ลงโทษผิดจรรยาบรรณ คือ พักใช้หรือยึดใบประกอบโรคศิลป์ ทั้งนี้ไม่ว่าหมอคนนั้นจะอยู่ในราชการหรือไม่ก็ตาม ถาม แล้วหมอคนที่ผิดจรรยาบรรณนั้น ไม่ติดคุกหรือครับ ตอบ ถ้าอยู่ในราชการ ก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่ ต้องไปติดคุกเพราะกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่เป็นอีกฐานความผิดหนึ่ง ถาม ถ้า รพ.ตำรวจ รับทักษิณไว้ โดยไม่มีการตรวจโรคเลย แล้วหมอก็ผ่าไหล่ให้ตามคำสั่ง ผอ.เท่านั้น ตอบ หมอที่ผ่าก็ไม่ผิดอะไรในทางจรรยาบรรณ จะผิดก็ตรง ผอ.โรงพยาบาลที่รับนักโทษ ให้ มาอยู่อาศัยราวกับเป็นโรงแรมเท่านั้น ตรงนี้ก็เป็นเรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ เช่นกัน ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ถาม ถ้าเขาบอกแพทยสภาว่าไม่ให้เวชระเบียน เพราะผู้ป่วยไม่ยินยอม จะได้ไหม ตอบ ไม่ได้ครับ นี่เป็นคำสั่งเพื่อทำการตามหน้าที่ใ ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายวิชาชีพเวชกรรม จะอ้างสิทธิคนป่วยมาหวงกันเวชระเบียนไว้ไม่ได้ กฎหมายสุขภาพชัดเจนว่า ให้ปฏิเสธได้แต่เฉพาะการขอทราบโดยอ้างสิทธิสาธารณะชน ตามกฎหมายข้อมูลข่าวสารเท่านั้น ถาม เห็น พ.ต.อ.ทวี รัฐมนตรียุติธรรม บอกว่า รพ.ตำรวจ น่าจะส่งเวชระเบียนจากหมอสิงค์โปร์ ให้แพทยสภาเขาไปซะ จะได้หมดเรื่อง ตอบ อย่ามั่วครับท่าน…แพทยสภาไทย เขาตรวจหมอไทยครับ ว่าตรวจสุขภาพ นช.ทักษิณ และให้ความเห็นถูกต้องไหมในกระบวนการส่งตัวและรับตัวทั้งหมดระหว่างเรือนจำ และ รพ.ตำรวจ ส่วนรายงานแพทย์จากสิงค์โปร์นั้นไม่เกี่ยวอะไรเลย ถาม พ.ต.อ.ทวี ยังพูดในสภาว่า ได้เคยเห็นรายงานผ่าไหล่และ ผล MRI ของ นักโทษ ในรายงานของเรือนจำด้วยตาตนเองเลยนะครับ ตอบ ประเด็นในคดี มันอยู่ตรงที่ว่า ป่วยหนักจน รพ.ราชทัณฑ์ รักษาไม่ได้จริงหรือไม่ เรื่องผ่าไหล่นั่นไม่เกี่ยวเลย ส่งไปนอนเล่นอยู่โรงพยาบาลตำรวจ แล้วมีผ่าไหล่แถมให้ก็ได้ ผ่าแบบนี้อยู่โรงพยาบาลวันสองวันก็กลับเรือนจำได้แล้ว มิหนำซ้ำพวกหมอเขาบอกว่า ถ้าป่วยวิกฤตแล้ว ทำMRI ก็ไม่ได้ ดมยาสลบก็ไม่ได้นะครับ ถาม รัฐมนตรีอาจพูดเพื่อให้ตัวเองดูสุจริตก็ได้นะครับ ตอบ ถ้าในรายงานจากเรือนจำ ชัดเจนว่าไม่มีการตรวจร่างกาย และไม่มีคำสั่งส่งตัวรับตัว ด้วยเหตุป่วยวิกฤตอยู่เลย ตรงนี้ก็แสดงว่า ระดับล่างทำงานบกพร่อง ละเว้นหน้าที่ชัดเจนแล้ว รายงานบกพร่องอย่างนี้ทำไมระดับบน ทั้ง อธิบดี ปลัดกระทรวง และรัฐมนตรีไม่เห็น ไม่ท้วงติง เพียงแค่นี้ผมก็ว่ามีมูลให้ ปปช.ตั้งข้อหา เจ้าหน้าที่ระดับบน เพิ่มได้แล้วครับ ถาม ถ้า รพ.ตำรวจและเรือนจำ ทำนิ่งเฉยไม่ส่งเวชระเบียน หรือตอบว่าไม่มี จะได้ไหม ตอบ ถ้าเป็นอย่างนั้น ความตามปากคำพยานบุคคล คือ พลตำรวจเอกเสรี ที่เห็นด้วยตาว่า ทักษิณไม่ป่วยจริง ก็จะมีน้ำหนักฟังเป็นที่ยุติขึ้นมาทันที จะโดน ๑๕๗ กันหมดทั้ง ผบ.เรือนจำและ ผอ.โรงพยาบาลตำรวจ ถาม ในมติ ปปช.เห็นว่า เจ้าหน้าที่มีมูลความผิด ถึง ๑๒ คน ครับ ตอบ ๑๒ คน นั้นเป็นคนที่มีชื่อเกี่ยวข้องเท่านั้น ถ้าได้เวชระเบียนมาตรวจสอบ หรือได้ปากคำจนความจริงครบถ้วน ใน ๑๒ คนนี้ก็น่าจะมีคนพ้นข้อสงสัยไปได้ ที่วันนี้โดนสงสัยกันหมดเพราะไม่ยอมให้ปากคำและเวชระเบียนใดๆเลย จริงๆนั้น มาถึงชั้นนี้ มันต้องตัวใครตัวมันกันแล้วครับ อำนาจศาลยุติธรรม ออกหมายจำคุกใหม่ ถาม คำพืพากษาจำคุกมีแล้ว ออกหมายจำคุกแล้ว แล้วนักโทษถูกปล่อยไปนอนเล่นโรงพยาบาล อย่างนี้จะเอาตัวมาขังใหม่ได้ไหมครับ ตอบ เรื่องการบังคับตามคำพิพากษษคดีอาญานี้ มีมาตรา ๒๔๖ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาระบุว่า ถ้านักโทษป่วยและอยู่ในคุกแล้วจะมีอันตรายถึงชีวิต ก็ให้ศาลสั่งทุเลาโทษ คือไปรักษาตัวนอกเรือนจำโดยหยุดไม่นับเวลาคุมขังได้ แต่กระทรวงยุติธรรมกลับมาออกกฎกระทรวงให้อำนาจราชทัณฑ์ส่งนักโทษไปรักษานอกเรือนจำได้เองจนยาวไปเลย โดยมีการตรวจสอบของผู้บังคับบัญชาจากรายงานเป็นระยะเท่านั้นเอง ตรงนี้ ก็นับเป็นปัญหาทางนิติบัญญัติที่ต้องทบทวนกันให้ชัดเจนต่อไปว่าจะเอายังไงกันแน่ ที่จริงนั้นก็ควรจะให้ราชทัณฑ์ส่งตัวโดยไม่ผ่านศาลได้ เฉพาะที่เป็นการฉุกเฉินเท่านั้น แล้วค่อยให้มาขอศาลอีกทีเมื่อเกิน ๓๐ วัน ไปแล้วก็ได้ ถาม แล้วคดี นช.ทักษิณจะทำอย่างไร เมื่อได้ส่งตัวไปแล้วโดยไม่ผ่านศาล ตอบ ก็ต้องถือตามกฎกระทรวงครับ แต่เงื่อนไขว่าต้องเจ็บป่วยวิกฤตถึงชีวิต ยังคงดำรงอยู่ ถาม แล้วศาลจะมีอำนาจตรวจสอบย้อนหลังได้อย่างไรครับ ในเมื่อนักโทษเขาออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว พ้นโทษไปแล้วอย่างนี้ ตอบ อำนาจตรวจสอบให้มีการปฏิบัติตามหมายจำคุกนั้นยังมีอยู่เสมอไป มาตรา ๒๔๖ เป็นมาตราที่ยืนยันความมีอยู๋ของอำนาจนี้ว่า ราชทัณฑ์จะเห็นหมายศาลที่ให้จำคุกเป็นกระดาษเช็ดก้นไม่ได้ ถาม แล้วเรื่องจะไปสู่ศาล ให้ศาลตรวจสอบว่านักโทษป่วยวิกฤตจริงไหม ได้อย่างไร ใครจะร้องได้บ้างว่า นักโทษไม่ได้ติดคุกเลย ตอบ ก็ต้องเอานิติวิธีที่ใช้กฎหมายเทียบเคียงมาช่วยครับ โดยเทียบกับ มาตรา ๒๔๖ ดูสิครับว่ามาตรานี้ใครร้องได้บ้าง มาคดีนี้ก็น่าจะร้องได้อย่างนั้นเหมือนกัน ดูซึ่งผมว่าต้องร้องได้ทั้งราชทัณฑ์เอง หรือศาลเห็นเอง ก็ได้ เริ่มจากรัฐมนตรียุติธรรม ถ้าพึ่งรู้ว่าผิดพลาด จะสั่งราชทัณฑ์ให้ร้องศาลก็ได้ หรือศาลจะเห็นเองก็ได้ ซึ่งวันนี้คดีนี้ก็มีข้อสงสัยถึงขั้น ปปช.สั่งมีมูลแล้ว แพทยสภาขอเวชระเบียนแล้วก็ยังเบี้ยวไม่ยอมให้ เพียงเท่านี้ก็พอให้ศาลสั่งไต่สวนได้แล้วครับ ถาม ศาลลงมือไต่สวนได้โดยไม่ต้องรอ ผล ปปช. หรือ แพทยสภา ใช่ไหมครับ ตอบ ไม่ต้องรอแน่นอนครับ โดยหลักกฎหมายนั้น เรามีแต่ห้ามองค์กรใดพิจารณาแข่งกับศาลไม่มีเลยที่ให้ศาลรอผลองค์กรอื่น และยิ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาว่าเบี้ยวคำพิพากษาศาลหรือไม่ด้วยแล้ว ศาลจะมานั่งรอเห็นตามคนอื่นไม่ได้หรอกครับ ถาม เห็นมีข่าวว่า ศาลส่วนหนึ่งเห็นว่าเรื่องนี้เป็นความขัดแย้งทางการเมือง ตนจึงไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยว กลายเป็น “คู่กรณี” ด้วย ตอบ เรื่องนี้เป็นเรื่องความยุติธรรมในบ้านเมือง ที่ประชาชนได้ยอมรับเห็นศาลเป็นเสาหลักมาสี่ชั่วคนแล้ว ถ้าวันนี้คนในสถาบันไม่รู้สำนึกในหน้าที่นี้ บ้านเมืองก็ต้องชิบหายต่อไปอีก จนในที่สุดก็หายไปหมดทั้งศาลและประชาชนบนแผ่นดินนี้ แก้วสรร อติโพธิ
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • ป.ป.ช. แต่งตั้งที่ปรึกษาองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริงและคณะฝ่ายเลขานุการ ช่วยไต่สวนและกำหนดแนวทางการไต่สวนคดี จนท.เอื้อประโยชน์ “ทักษิณ” รักษาตัวชั้น 14

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000003832

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ป.ป.ช. แต่งตั้งที่ปรึกษาองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริงและคณะฝ่ายเลขานุการ ช่วยไต่สวนและกำหนดแนวทางการไต่สวนคดี จนท.เอื้อประโยชน์ “ทักษิณ” รักษาตัวชั้น 14 อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000003832 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Angry
    11
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 983 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อมูลเกี่ยวกับการลาออกของ สมิธ ถูกระบุเอาไว้ในฟุตโน้ตของเอกสารดังกล่าว โดยบอกว่า สมิธ ได้ทำงานเสร็จสมบูรณ์แล้ว และส่งรายงานชั้นความลับฉบับสุดท้ายไปเมื่อวันที่ 7 ม.ค. ก่อนที่จะ "แยกทาง" กับกระทรวงยุติธรรมสกรัฐฯ ในวันที่ 10 ม.ค.

    อดีตอัยการคดีอาชญากรรมสงครามผู้นี้ได้เป็นผู้สั่งฟ้อง ทรัมป์ ในคดีอาญา 2 จาก 4 คดีที่ ทรัมป์ ตกเป็นจำเลยหลังพ้นตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในปี 2021 ทว่าคดีทั้งสองก็ต้องหยุดชะงักไปหลังผู้พิพากษาฟลอริดาที่ได้รับการแต่งตั้งโดย ทรัมป์ ตัดสินยกฟ้องไปหนึ่ง และศาลสูงสุดสหรัฐฯ ที่มีผู้พิพากษา 3 คนที่ถูกแต่งตั้งโดย ทรัมป์ วินิจฉัยว่าอดีตผู้นำสหรัฐฯ ทุกคนมีสิทธิคุ้มกันจากการถูกดำเนินคดีในการกระทำภายใต้อำนาจหน้าที่ (official acts) ทำให้ทั้ง 2 คดีนี้ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนเลย

    หลังจากที่ ทรัมป์ เอาชนะรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 5 พ.ย.ปีที่แล้ว สมิธ ได้ประกาศยกฟ้อง ทรัมป์ ทั้ง 2 คดี โดยอ้างถึงจุดยืนของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่ปฏิเสธการดำเนินคดีกับประธานาธิบดีในตำแหน่ง

    ในเอกสารคำร้องขอให้ศาลยกฟ้อง ทีมงานของ สมิธ ยังคงยืนยันว่าคดีเหล่านี้มีคุณค่า (merits) สมควรแก่การไต่สวน ทว่าการกลับขึ้นมามีอำนาจของ ทรัมป์ เท่านั้นที่ทำให้คดีไปต่อไม่ได้

    ด้านว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงความยินดีกับข่าวการลาออกของ สมิธ ในวันอาทิตย์ (12) โดยโพสต์ Truth Social ว่า สมิธ ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง และยังกล่าวหาอัยการผู้นี้ว่า "ทำลายชีวิตของผู้คนและครอบครัวจำนวนมากมาย"

    ทั้งนี้ การลาออกของ สมิธ จากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่หลายคนคาดหมายอยู่แล้ว เนื่องจาก ทรัมป์ ซึ่งออกมาด่าอัยการพิเศษผู้นี้ว่าเป็นพวก "วิกลจริต" (deranged) ประกาศชัดเจนว่าจะไล่ สมิธ ออกทันทีที่สาบานตนเป็นประธานาธิบดีในวันที่ 20 ม.ค. แถมยังขู่จะไล่เบี้ยแก้แค้นทั้ง สมิธ และบุคคลอื่นๆ ที่มีส่วนในการสอบสวนตนด้วย

    เมื่อปี 2023 ทรัมป์ กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งอดีตและในตำแหน่งคนแรกที่ถูกฟ้องคดีอาญา เริ่มจากคดีที่นิวยอร์กซึ่งเขาถูกตั้งข้อหาพยายามปกปิดเรื่องการจ่ายเงินปิดปากดาราหนังผู้ใหญ่ในช่วงก่อนศึกเลือกตั้งปี 2016 จากนั้นก็ตามมาด้วยคำสั่งฟ้องของอัยการ สมิธ จากกรณีที่ ทรัมป์ เก็บเอกสารชั้นความลับไว้กับตัวอย่างผิดกฎหมายหลังพ้นตำแหน่งประธานาธิบดี และพยายามล้มผลเลือกตั้งปี 2020 ซึ่งเป็นชนวนนำมาสู่เหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาในวันที่ 6 ม.ค. ปี 2021

    อัยการในรัฐจอร์เจียยังมีการตั้งข้อหาเอาผิด ทรัมป์ ฐานพยายามล้มผลเลือกตั้งในรัฐดังกล่าวที่เขาเป็นฝ่ายแพ้ด้วย

    ที่มา : รอยเตอร์
    https://mgronline.com/around/detail/9680000003502?tbref=hp
    ข้อมูลเกี่ยวกับการลาออกของ สมิธ ถูกระบุเอาไว้ในฟุตโน้ตของเอกสารดังกล่าว โดยบอกว่า สมิธ ได้ทำงานเสร็จสมบูรณ์แล้ว และส่งรายงานชั้นความลับฉบับสุดท้ายไปเมื่อวันที่ 7 ม.ค. ก่อนที่จะ "แยกทาง" กับกระทรวงยุติธรรมสกรัฐฯ ในวันที่ 10 ม.ค. อดีตอัยการคดีอาชญากรรมสงครามผู้นี้ได้เป็นผู้สั่งฟ้อง ทรัมป์ ในคดีอาญา 2 จาก 4 คดีที่ ทรัมป์ ตกเป็นจำเลยหลังพ้นตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในปี 2021 ทว่าคดีทั้งสองก็ต้องหยุดชะงักไปหลังผู้พิพากษาฟลอริดาที่ได้รับการแต่งตั้งโดย ทรัมป์ ตัดสินยกฟ้องไปหนึ่ง และศาลสูงสุดสหรัฐฯ ที่มีผู้พิพากษา 3 คนที่ถูกแต่งตั้งโดย ทรัมป์ วินิจฉัยว่าอดีตผู้นำสหรัฐฯ ทุกคนมีสิทธิคุ้มกันจากการถูกดำเนินคดีในการกระทำภายใต้อำนาจหน้าที่ (official acts) ทำให้ทั้ง 2 คดีนี้ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนเลย หลังจากที่ ทรัมป์ เอาชนะรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 5 พ.ย.ปีที่แล้ว สมิธ ได้ประกาศยกฟ้อง ทรัมป์ ทั้ง 2 คดี โดยอ้างถึงจุดยืนของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่ปฏิเสธการดำเนินคดีกับประธานาธิบดีในตำแหน่ง ในเอกสารคำร้องขอให้ศาลยกฟ้อง ทีมงานของ สมิธ ยังคงยืนยันว่าคดีเหล่านี้มีคุณค่า (merits) สมควรแก่การไต่สวน ทว่าการกลับขึ้นมามีอำนาจของ ทรัมป์ เท่านั้นที่ทำให้คดีไปต่อไม่ได้ ด้านว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงความยินดีกับข่าวการลาออกของ สมิธ ในวันอาทิตย์ (12) โดยโพสต์ Truth Social ว่า สมิธ ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง และยังกล่าวหาอัยการผู้นี้ว่า "ทำลายชีวิตของผู้คนและครอบครัวจำนวนมากมาย" ทั้งนี้ การลาออกของ สมิธ จากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่หลายคนคาดหมายอยู่แล้ว เนื่องจาก ทรัมป์ ซึ่งออกมาด่าอัยการพิเศษผู้นี้ว่าเป็นพวก "วิกลจริต" (deranged) ประกาศชัดเจนว่าจะไล่ สมิธ ออกทันทีที่สาบานตนเป็นประธานาธิบดีในวันที่ 20 ม.ค. แถมยังขู่จะไล่เบี้ยแก้แค้นทั้ง สมิธ และบุคคลอื่นๆ ที่มีส่วนในการสอบสวนตนด้วย เมื่อปี 2023 ทรัมป์ กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งอดีตและในตำแหน่งคนแรกที่ถูกฟ้องคดีอาญา เริ่มจากคดีที่นิวยอร์กซึ่งเขาถูกตั้งข้อหาพยายามปกปิดเรื่องการจ่ายเงินปิดปากดาราหนังผู้ใหญ่ในช่วงก่อนศึกเลือกตั้งปี 2016 จากนั้นก็ตามมาด้วยคำสั่งฟ้องของอัยการ สมิธ จากกรณีที่ ทรัมป์ เก็บเอกสารชั้นความลับไว้กับตัวอย่างผิดกฎหมายหลังพ้นตำแหน่งประธานาธิบดี และพยายามล้มผลเลือกตั้งปี 2020 ซึ่งเป็นชนวนนำมาสู่เหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาในวันที่ 6 ม.ค. ปี 2021 อัยการในรัฐจอร์เจียยังมีการตั้งข้อหาเอาผิด ทรัมป์ ฐานพยายามล้มผลเลือกตั้งในรัฐดังกล่าวที่เขาเป็นฝ่ายแพ้ด้วย ที่มา : รอยเตอร์ https://mgronline.com/around/detail/9680000003502?tbref=hp
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลอาญานัดไต่สวนคำร้องประกัน ’บอสวิน‘ จำเลยที่ 10 คดี"ดิไอคอน"ฉ้อโกงประชาชน 15 ม.ค.นี้ พร้อมเบิกเเพทย์พิสูจน์อาการป่วย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000002640

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ศาลอาญานัดไต่สวนคำร้องประกัน ’บอสวิน‘ จำเลยที่ 10 คดี"ดิไอคอน"ฉ้อโกงประชาชน 15 ม.ค.นี้ พร้อมเบิกเเพทย์พิสูจน์อาการป่วย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000002640 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Sad
    Haha
    15
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1609 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวเกาหลีใต้หลายพันคนปักหลักชุมนุมท่ามกลางพายุหิมะหน้าที่พักประธานาธิบดี ยุน ซอก-ยอล ในวันอาทิตย์ (5 ม.ค.) ก่อนเส้นตายหมายจับกรณีการประกาศกฎอัยการศึกจะสิ้นสุดในอีกไม่ถึง 48 ชั่วโมง
    .
    ยุนนำเกาหลีใต้เข้าสู่วิกฤตการเมืองตั้งแต่ต้นเดือนที่แล้วจากการประกาศกฎอัยการศึกช่วงสั้นๆ และนับจากนั้นก็กบดานอยู่ในทำเนียบประธานาธิบดีโดยมีหน่วยอารักขาที่จงรักภักดีห้อมล้อมป้องกันการเข้าจับกุมของทางการ
    .
    วันเสาร์ (4 ม.ค.) ประชาชนหลายพันคนไปรวมตัวกันที่หน้าทำเนียบประธานาธิบดีและถนนหลักหลายสายในกรุงโซล หลังจากความพยายามเข้าจับกุมยุนล้มเหลว โดยฝ่ายหนึ่งเรียกร้องให้จับกุมประธานาธิบดีผู้นี้ ขณะที่อีกฝ่ายต้องการให้ประกาศว่า การถอดถอนยุนเป็นโมฆะ ผู้ประท้วงเหล่านั้นนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งในวันอาทิตย์แม้มีหิมะตกลงมาอย่างหนักเมื่อคืนวันเสาร์ก็ตาม
    .
    ลี จิน-อา วัย 28 ปี ที่เคยทำงานในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง บอกว่า ลาออกจากงานเพื่อไปประท้วงต่อต้านยุนและปกป้องประเทศชาติและประชาธิปไตย โดยไม่สนใจว่า หิมะจะตกหนักแค่ไหน ลียังปักหลักค้างแรมหน้าทำเนียบประธานาธิบดีเนื่องจากบ้านอยู่ไกลเกินกว่าจะเดินทางกลับ
    .
    เช่นเดียวกับพัค ยอง-ชุล วัย 70 ปี ที่บอกว่า เคยไปรบกับคอมมิวนิสต์ท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ 20 องศา และตอนนี้ต้องออกรบอีกครั้งเพื่อปกป้องยุนก่อนที่หมายจับจะหมดอายุเที่ยงคืนวันจันทร์
    .
    การชุมนุมท่ามกลางความหนาวเหน็บเกิดขึ้นหลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมายุนเผยว่า ได้ติดตามการชุมนุมของผู้สนับสนุนตนเองจากไลฟ์สตรีมบนยูทูบ พร้อมประกาศ “สู้” กับพวกที่พยายามตั้งคำถามกับการประกาศกฎอัยการศึกของตน
    .
    การยึดอำนาจในช่วงสั้นๆ ดังกล่าวส่งผลให้ยุนเผชิญข้อหาอาญาจากการก่อกบฏ ซึ่งเป็นหนึ่งในคดีอาญาไม่กี่คดีที่ประธานาธิบดีไม่ได้รับเอกสิทธิ์คุ้มกัน ซึ่งเท่ากับว่า ยุนอาจถูกตัดสินจำคุกหรือเลวร้ายที่สุดคือประหารชีวิต หากมีการบังคับใช้หมายจับ ยุนจะเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนแรกที่ถูกจับกุมขณะอยู่ในตำแหน่ง
    .
    ทั้งนี้ พรรคประชาธิปไตย (ดีพี) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านสำคัญ เรียกร้องให้ยุบหน่วยอารักขาประธานาธิบดี หลังจากเจ้าหน้าที่สอบสวนถูกกองกำลังรักษาความปลอดภัยนับร้อยขัดขวางไม่ให้เข้าถึงตัวยุน
    .
    พัค ชาน-แด ผู้นำดีพีในรัฐสภา กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่า หน่วยอารักขาประธานาธิบดีละเมิดรัฐธรรมนูญด้วยการตั้งตนเป็นกองกำลังปฏิวัติ จึงไม่มีความชอบธรรมอีกต่อไป
    .
    สำนักงานสอบสวนการทุจริต (ซีไอโอ) ที่ทำการสอบสวนกรณีการประกาศกฎอัยการศึก และฝ่ายค้านเรียกร้องให้ชอย ซัง-ม็อก สมาชิกพรรคเดียวกับยุนที่เข้ารักษาการตำแหน่งประธานาธิบดีไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ สั่งให้หน่วยอารักขาประธานาธิบดีให้ความร่วมมือในการสอบสวน
    .
    นอกจากนั้น มีแนวโน้มว่า แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ที่เดินทางถึงโซลในวันอาทิตย์ จะหารือกับโช แท-ยุล รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ เกี่ยวกับวิกฤตการเมืองที่เกาหลีใต้เผชิญอยู่ รวมถึงสนับสนุนให้สานต่อนโยบายของยุนในวันจันทร์ (6 ม.ค.)
    .
    วันศุกร์ที่ผ่านมา ทนายความของยุนระบุว่า ความพยายามจับกุมประธานาธิบดี “ผิดกฎหมายและไม่ถูกต้อง” และประกาศจะดำเนินการตามกฎหมาย ขณะที่หน่วยอารักขาและทหารกีดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่สอบสวนเข้าถึงตัวยุน และต้องล้มเลิกความพยายามโดยระบุเหตุผลด้านความปลอดภัย
    .
    ทางด้านศาลรัฐธรรมนูญนั้นจะเริ่มการไต่สวนในวันที่ 14 ม.ค. ไม่ว่ายุนจะไปให้การหรือไม่ก็ตาม โดยมีเวลา 180 วันในการวินิจฉัยว่า จะปลดหรือคืนตำแหน่งให้ยุนซึ่งในระหว่างนี้ถูกห้ามปฏิบัติหน้าที่
    .
    ทั้งนี้ อดีตประธานาธิบดีโน มู-เฮียน และพัค กึน-ฮเยไม่เคยไปปรากฏตัวในการพิจารณาคดีถอดถอนแต่อย่างใด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000001202
    ..............
    Sondhi X
    ชาวเกาหลีใต้หลายพันคนปักหลักชุมนุมท่ามกลางพายุหิมะหน้าที่พักประธานาธิบดี ยุน ซอก-ยอล ในวันอาทิตย์ (5 ม.ค.) ก่อนเส้นตายหมายจับกรณีการประกาศกฎอัยการศึกจะสิ้นสุดในอีกไม่ถึง 48 ชั่วโมง . ยุนนำเกาหลีใต้เข้าสู่วิกฤตการเมืองตั้งแต่ต้นเดือนที่แล้วจากการประกาศกฎอัยการศึกช่วงสั้นๆ และนับจากนั้นก็กบดานอยู่ในทำเนียบประธานาธิบดีโดยมีหน่วยอารักขาที่จงรักภักดีห้อมล้อมป้องกันการเข้าจับกุมของทางการ . วันเสาร์ (4 ม.ค.) ประชาชนหลายพันคนไปรวมตัวกันที่หน้าทำเนียบประธานาธิบดีและถนนหลักหลายสายในกรุงโซล หลังจากความพยายามเข้าจับกุมยุนล้มเหลว โดยฝ่ายหนึ่งเรียกร้องให้จับกุมประธานาธิบดีผู้นี้ ขณะที่อีกฝ่ายต้องการให้ประกาศว่า การถอดถอนยุนเป็นโมฆะ ผู้ประท้วงเหล่านั้นนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งในวันอาทิตย์แม้มีหิมะตกลงมาอย่างหนักเมื่อคืนวันเสาร์ก็ตาม . ลี จิน-อา วัย 28 ปี ที่เคยทำงานในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง บอกว่า ลาออกจากงานเพื่อไปประท้วงต่อต้านยุนและปกป้องประเทศชาติและประชาธิปไตย โดยไม่สนใจว่า หิมะจะตกหนักแค่ไหน ลียังปักหลักค้างแรมหน้าทำเนียบประธานาธิบดีเนื่องจากบ้านอยู่ไกลเกินกว่าจะเดินทางกลับ . เช่นเดียวกับพัค ยอง-ชุล วัย 70 ปี ที่บอกว่า เคยไปรบกับคอมมิวนิสต์ท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ 20 องศา และตอนนี้ต้องออกรบอีกครั้งเพื่อปกป้องยุนก่อนที่หมายจับจะหมดอายุเที่ยงคืนวันจันทร์ . การชุมนุมท่ามกลางความหนาวเหน็บเกิดขึ้นหลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมายุนเผยว่า ได้ติดตามการชุมนุมของผู้สนับสนุนตนเองจากไลฟ์สตรีมบนยูทูบ พร้อมประกาศ “สู้” กับพวกที่พยายามตั้งคำถามกับการประกาศกฎอัยการศึกของตน . การยึดอำนาจในช่วงสั้นๆ ดังกล่าวส่งผลให้ยุนเผชิญข้อหาอาญาจากการก่อกบฏ ซึ่งเป็นหนึ่งในคดีอาญาไม่กี่คดีที่ประธานาธิบดีไม่ได้รับเอกสิทธิ์คุ้มกัน ซึ่งเท่ากับว่า ยุนอาจถูกตัดสินจำคุกหรือเลวร้ายที่สุดคือประหารชีวิต หากมีการบังคับใช้หมายจับ ยุนจะเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนแรกที่ถูกจับกุมขณะอยู่ในตำแหน่ง . ทั้งนี้ พรรคประชาธิปไตย (ดีพี) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านสำคัญ เรียกร้องให้ยุบหน่วยอารักขาประธานาธิบดี หลังจากเจ้าหน้าที่สอบสวนถูกกองกำลังรักษาความปลอดภัยนับร้อยขัดขวางไม่ให้เข้าถึงตัวยุน . พัค ชาน-แด ผู้นำดีพีในรัฐสภา กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่า หน่วยอารักขาประธานาธิบดีละเมิดรัฐธรรมนูญด้วยการตั้งตนเป็นกองกำลังปฏิวัติ จึงไม่มีความชอบธรรมอีกต่อไป . สำนักงานสอบสวนการทุจริต (ซีไอโอ) ที่ทำการสอบสวนกรณีการประกาศกฎอัยการศึก และฝ่ายค้านเรียกร้องให้ชอย ซัง-ม็อก สมาชิกพรรคเดียวกับยุนที่เข้ารักษาการตำแหน่งประธานาธิบดีไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ สั่งให้หน่วยอารักขาประธานาธิบดีให้ความร่วมมือในการสอบสวน . นอกจากนั้น มีแนวโน้มว่า แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ที่เดินทางถึงโซลในวันอาทิตย์ จะหารือกับโช แท-ยุล รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ เกี่ยวกับวิกฤตการเมืองที่เกาหลีใต้เผชิญอยู่ รวมถึงสนับสนุนให้สานต่อนโยบายของยุนในวันจันทร์ (6 ม.ค.) . วันศุกร์ที่ผ่านมา ทนายความของยุนระบุว่า ความพยายามจับกุมประธานาธิบดี “ผิดกฎหมายและไม่ถูกต้อง” และประกาศจะดำเนินการตามกฎหมาย ขณะที่หน่วยอารักขาและทหารกีดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่สอบสวนเข้าถึงตัวยุน และต้องล้มเลิกความพยายามโดยระบุเหตุผลด้านความปลอดภัย . ทางด้านศาลรัฐธรรมนูญนั้นจะเริ่มการไต่สวนในวันที่ 14 ม.ค. ไม่ว่ายุนจะไปให้การหรือไม่ก็ตาม โดยมีเวลา 180 วันในการวินิจฉัยว่า จะปลดหรือคืนตำแหน่งให้ยุนซึ่งในระหว่างนี้ถูกห้ามปฏิบัติหน้าที่ . ทั้งนี้ อดีตประธานาธิบดีโน มู-เฮียน และพัค กึน-ฮเยไม่เคยไปปรากฏตัวในการพิจารณาคดีถอดถอนแต่อย่างใด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000001202 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1041 มุมมอง 0 รีวิว
  • 30 ธันวาคม 2567-สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. เสียงเอกฉันท์ ตีตกข้อกล่าวหา เรืออากาศโทณรุจ โกมลารชุน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนปฏิบัติการ (DO-V) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท Global Airworks Inc. โดยยกเลิกสัญญา PURCHASE TERMS AGREEMENT PTA 070225-08 เป็นเหตุให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย หลังก่อนหน้านี้ถูกชี้มูลความผิดกรณีการจัดซื้ออุปกรณ์ห้องนักบินเอื้อประโยชน์เอกชนโดยมิชอบ ทำรัฐสูญเสีย 147 ล้านบาท ไปแล้ว

    สำนักงาน ป.ป.ช.ระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำผิดโดยสรุป ว่า สืบเนื่องจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการจัดซื้ออุปกรณ์ในห้องนักบิน เพื่อรองรับข้อมูลปฏิบัติการบินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และระบบกล้องวงจรปิดสำหรับตรวจสอบบริเวณห้องนักบิน (Electronic Flight Bag/Cockpit Door Surveillance System, EFB/CDSS) ไม่เป็นไปตามระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติเห็นชอบว่าการกระทำของเรืออากาศโท อภินันทน์ สุมนะเศรณี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (DD) กับพวก รวม 3 ราย ในกรณีดังกล่าวมีมูลความผิดทางอาญา และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง จึงมีมติให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญา พร้อมทั้งส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91(1) และ (2)

    อนึ่ง จากการไต่สวนข้อเท็จจริงมีหลักฐานปรากฏชัดแจ้งว่า บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยเรืออากาศโท อภินันทน์ สุมนะเศรณี ได้ลงนามในสัญญา Purchase Terms Agreement PTA 070225-08 MAY 17, 2007 กับบริษัท Global Airwork Inc. เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 หลังจากนั้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการตรวจรับและชำระเงินให้แก่บริษัท Global Airwork Inc ไปจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 147,395,028.586 บาท แต่ปรากฏว่าบริษัทดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการตามสัญญาได้ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จึงทำการเลิกสัญญา (Terminate) กับบริษัท Global Airworks Inc. และเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2551 ได้ทำข้อตกลงว่าจ้างบริษัท Airworks International Inc. ให้ดำเนินการตามสัญญา Purchase Terms Agreement PTA 070225-08 ต่อไป ซึ่งเป็นการสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท Global Airworks Inc. ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขที่ทำให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เสียประโยชน์ ทั้งที่บริษัทดังกล่าวเป็นฝ่ายผิดสัญญา ซึ่งในทางกฎหมาย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ว่าจ้าง ย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้ตามสัญญานั้น

    ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า ทางไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานรับฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง คดีหมายเลขดำที่ อท 113/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อท 123/2565 ว่า การจัดหาระบบอุปกรณ์ในห้องนักบินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบกล้องวงจรปิดสำหรับตรวจสอบบริเวณห้องนักบิน (Electronic Flight Bag/Cockpit Door Surveillance System หรือ EFB/CDSS) เป็นเรื่องที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของคณะกรรมการการบินพลเรือน ว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยในบริเวณส่วนของผู้ประจำหน้าที่ภาคอากาศ ถือเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการจัดหาโดยเร็วอันเข้ากรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งตามระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 ข้อ 127 และข้อ 128 แต่เมื่อการจัดหาโครงการ EFB/CDSS ครั้งนี้ ฝ่ายปฏิบัติการ (DO) ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้ใช้ไม่ได้เป็นผู้ขออนุมัติในหลักการเพื่อจัดซื้อจัดจ้างเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาตามลำดับชั้นมาแต่แรก เนื่องจากเป็นกรณีที่คณะกรรมการบริหารบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ใช้อำนาจในทางบริหารพิจารณาอนุมัติในหลักการให้ฝ่ายปฏิบัติการ (DO) ไปดำเนินการจัดหาตามโครงการ EFB/CDSS โดยเร็ว เพราะเห็นว่าโครงการ EFB/CDSS เป็นข้อบังคับของคณะกรรมการการบินพลเรือน ว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยในบริเวณส่วนของผู้ประจำหน้าที่ภาคอากาศที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จะต้องถือปฏิบัติตาม

    กล่าวคือเป็นการพิจารณาสั่งการจากระดับบนสู่ระดับล่าง มิใช่กรณีที่หน่วยงานผู้ใช้เป็นผู้จัดซื้อจัดจ้างและทำรายงานหรือทำคำขออนุมัติในหลักการเพื่อจัดหาพัสดุตามข้อ 16 กรณีจึงไม่จำต้องขออนุมัติหลักการจัดหาพัสดุและเสนอตั้งคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างต่อผู้บังคับบัญชาตามระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 ข้อ 128 ประกอบข้อ 16 และข้อ 24 ก่อน และหลังจากลงนามในสัญญา PURCHASE TERMS AGREEMENT (PTA) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 แล้ว วันที่ 28 เมษายน 2552 ฝ่ายปฏิบัติการ (DO) ก็ได้รายงานผลการดำเนินโครงการจัดหา EFB/CDSS ให้ที่ประชุมฝ่ายบริหารงานนโยบายบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 22/2552 ทราบ ถือเป็นการรายงานความคืบหน้าและรายงานผลการดำเนินงานต่อผู้มีอำนาจอนุมัติด้วยวิธีกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งตามข้อ 127 แล้ว
    สำหรับกรณีที่หลังจากลงนามในสัญญาซื้อขายที่ 070225-08 (Purchase Terms Agreement PTA 070225-08) และข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 1 ของสัญญาการซื้อขายที่ 070225-08 (Side Agreement No.1 To Purchase Terms Agreement PTA 070225-08) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 แล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงว่า บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท โกลบอล แอร์เวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Global Airworks Inc.) ได้ร่วมกันทำข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 2 (Side Agreement No.2 To Purchase Terms Agreement PTA 070225-08) และข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 3 (Side Agreement No.3 To Purchase Terms Agreement PTA 070225-08) รวมถึงลงนามในหนังสือการสิ้นสุดแห่งสัญญาจัดซื้อ (TERMINATION OF PURCHASE TERMS AGREEMENT) ฉบับลงวันที่ 2 ธันวาคม 2551 เพื่อยกเลิกการดำเนินการตามสัญญาการซื้อขายที่ 070225-08 (PURCHASE TERMS AGREEMENT PTA 070225-08) พร้อมด้วยข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 3 และลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MEMORANDUM OF UNDERSTANDING : MOU) ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 2551 กับบริษัท Airworks International Inc. ให้เข้าเป็นคู่สัญญาตามสัญญาซื้อขายที่ 070225-08 และข้อตกลงนอกสัญญาทั้งสามฉบับ ในฐานะผู้รับเหมาหลัก นั้น ทางไต่สวนรับฟังได้ตามถ้อยคำของหัวหน้าฝ่ายบริหารการจัดซื้อหมวดหมู่การบริการองค์กรและเทคโนโลยี (WP) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่า ตามระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 หมวด 14 การจัดหาพัสดุ การจ้างซ่อมชิ้นส่วนอะไหล่ของเครื่องบินในกิจการฝ่ายช่าง มิได้กำหนดเกี่ยวกับการจัดทำสัญญาและบริหารสัญญาไว้ โดยข้อ 128 กำหนดให้นำความตามข้อกำหนดในหมวด 2 และหมวด 12 มาใช้บังคับกับการพัสดุในหมวดนี้ ดังนั้น การจัดทำสัญญาและการบริหารสัญญาการจัดหาระบบ EFB/CDSS ดังกล่าวข้างต้น หน่วยงานผู้บริหารสัญญาดังกล่าวซึ่งประสงค์จะแก้ไขสัญญาจะต้องดำเนินการตามข้อ 52 วรรคหนึ่ง และยกเลิกสัญญาดังกล่าวจะต้องดำเนินการตามข้อ 57 สำหรับกรณีการลงนามหนังสือการสิ้นสุดแห่งสัญญาจัดซื้อ (TERMINATION OF PURCHASE TERMS AGREEMENT) เพื่อยกเลิกการดำเนินการตามสัญญาการซื้อขายที่ 070225-08 พร้อมด้วยบันทึกข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 3 กับบริษัท Global Airworks Inc. และจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) เพื่อเปลี่ยนคู่สัญญาเป็นบริษัท Airworks International Inc. นั้น เห็นว่าต้องพิจารณาเจตนารมณ์ของหน่วยงานผู้บริหารสัญญาหรือผู้รับผิดชอบสัญญาว่า ประสงค์จะบอกเลิกสัญญาเดิมเพื่อดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างรายใหม่หรือไม่ หากประสงค์จะจัดหาผู้รับจ้างรายใหม่จะต้องดำเนินการจัดหาตามขั้นตอนและระเบียบฯ ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการและทำให้งานจ้างสะดุดหยุดลงและไม่ต่อเนื่อง แต่หากมีความต้องการดำเนินงานจ้างต่อเนื่องเพราะมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน เพียงแต่มีเหตุจำเป็นต้องที่จะต้องเปลี่ยนแปลงคู่สัญญาและผู้ที่จะเข้ามาเป็นคู่สัญญาใหม่เป็นผู้ดำเนินการตามสัญญาเดิมอยู่แล้ว ก็ต้องไปพิจารณาตามข้อ 52 วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546

    เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า เรืออากาศโท ณรุจ โกมลารชุน ผู้ถูกกล่าวหา ได้รายงานการดำเนินการในโครงการติดตั้งระบบ CDSS/EFB (Cockpit Door Surveillance System/Electronic Flight Bag ให้ที่ประชุมฝ่ายบริหารงานนโยบายบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 22/2552 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2552 และที่ประชุมคณะกรรมการบริหารบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 5/2552 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2552 ทราบ โดยสรุปได้ว่า โครงการฯ ได้ดำเนินมาถึงขั้นตอนการทำ First Article Inspection (FAI) และได้ผ่านการตรวจรับจากคณะกรรมการ FOIS แล้ว ซึ่งตามแผนกำหนดการได้วางแผนติดตั้งใน Simulator ในช่วงเดือนเมษายน 2551 ที่ผ่านมา แต่การดำเนินการได้เกิดความล่าช้าและหยุดชะงักลง เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2551 เนื่องจากบริษัท Global Airworks Inc. ซึ่งเป็นบริษัทคู่สัญญายังไม่ได้จ่ายเงินงวดล่าสุดให้แก่บริษัท Airworks International Inc. ทำให้บริษัทดังกล่าวประสบปัญหาขาดทุนเพื่อใช้ในการพัฒนาระบบต่อไป ดังนั้น เพื่อให้โครงการฯ สามารถดำเนินการต่อไปได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และเสร็จสิ้นก่อนวันที่ 31 ตุลาคม 2552 ตามข้อบังคับเรื่อง CDSS ของกรมการขนส่งทางอากาศ คณะกรรมการโครงการ FOIS ได้พิจารณาถึงความคุ้มค่าและความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น จึงเห็นควรให้ทำการโอนย้ายสัญญาจากบริษัทคู่สัญญา คือ บริษัท Global Airworks Inc. ให้เป็นบริษัท Airworks International Inc. ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจในระบบเป็นอย่างดี ให้เป็นผู้ดำเนินการโครงการฯ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณะทำงานฯ ได้ดำเนินการพัฒนาโครงการ FOIS ร่วมกับบริษัท Airworks International Inc. มาโดยตลอด โดยคณะทำงานฯ ได้ปรึกษาผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายบริหารทั่วไป (DW) และรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายทรัพยากรบุคคลและบริหารทั่วไป (DB) ถึงความเป็นไปได้ที่จะโอนย้ายสัญญาจากบริษัท Global Airworks Inc. ไปเป็นบริษัท Airworks International Inc. และดำเนินการตรวจสอบข้อสัญญาดังกล่าวกับสำนักกฎหมาย Ohashi & Priver ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทฯ ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย (California) แล้ว

    จากการตรวจสอบพบว่า บริษัทฯ สามารถยกเลิกสัญญากับบริษัท Global Airworks Inc. ได้ ซึ่งบริษัท Global Airworks Inc. ได้ลงนามใน Termination of Purchase Term Agreement (ยุติสัญญา) มีผลตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2551 และบริษัท Airworks International Inc. ได้ลงนามในบันทึก MOU (MEMORANDUM OF UNDERSTANDING) เพื่อใช้เป็นสัญญาในการว่าจ้างต่อไป โดยยึดถือสัญญาและข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 3 เป็นหลัก ซึ่งจะไม่เป็นภาระเพิ่มเติมกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) อีกทั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง คดีหมายเลขดำที่ อท 113/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อท 123/2565 ได้วินิจฉัยแล้วว่า ความเสียหายที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับจากการดำเนินการโครงการดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากการผิดสัญญาของบริษัทคู่สัญญาหาใช่เป็นผลโดยตรงที่เกิดจากการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาแต่ประการใด

    ดังนั้น จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น กรณีจึงยังฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาใช้อำนาจในหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตยกเลิกสัญญา PURCHASE TERMS AGREEMENT PTA 070225-08 ในโครงการจัดหาระบบอุปกรณ์ในห้องนักบินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบกล้องวงจรปิดสำหรับตรวจสอบบริเวณห้องนักบิน (Electronic Flight Bag/Cockpit Door Surveillance System หรือ EFB/CDSS) อันมีผลเป็นการสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท Global Airworks Inc. เป็นเหตุให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย ตามที่กล่าวหา เห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล เห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป

    คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 95/2567 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 5 เสียง เห็นชอบตามความเห็นของคณะไต่สวนเบื้องต้น ว่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่า เรืออากาศโท ณรุจ โกมลารชุน ผู้ถูกกล่าวหา ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล เห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป

    ที่มา https://www.isranews.org/article/isranews/134601-invesplsas.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR1kI0-fnUDE9ajVg12WB5mv5DGZ3ZKlsaLfqJpzUQtP4llITQyiR18Wh0k_aem_DhSs6GDSfpKfTQf95GOygQ#oqivacefs2fkm2lmydk45pwsq9fj9qdcf
    30 ธันวาคม 2567-สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. เสียงเอกฉันท์ ตีตกข้อกล่าวหา เรืออากาศโทณรุจ โกมลารชุน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนปฏิบัติการ (DO-V) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท Global Airworks Inc. โดยยกเลิกสัญญา PURCHASE TERMS AGREEMENT PTA 070225-08 เป็นเหตุให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย หลังก่อนหน้านี้ถูกชี้มูลความผิดกรณีการจัดซื้ออุปกรณ์ห้องนักบินเอื้อประโยชน์เอกชนโดยมิชอบ ทำรัฐสูญเสีย 147 ล้านบาท ไปแล้ว สำนักงาน ป.ป.ช.ระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำผิดโดยสรุป ว่า สืบเนื่องจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการจัดซื้ออุปกรณ์ในห้องนักบิน เพื่อรองรับข้อมูลปฏิบัติการบินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และระบบกล้องวงจรปิดสำหรับตรวจสอบบริเวณห้องนักบิน (Electronic Flight Bag/Cockpit Door Surveillance System, EFB/CDSS) ไม่เป็นไปตามระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติเห็นชอบว่าการกระทำของเรืออากาศโท อภินันทน์ สุมนะเศรณี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (DD) กับพวก รวม 3 ราย ในกรณีดังกล่าวมีมูลความผิดทางอาญา และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง จึงมีมติให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญา พร้อมทั้งส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91(1) และ (2) อนึ่ง จากการไต่สวนข้อเท็จจริงมีหลักฐานปรากฏชัดแจ้งว่า บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยเรืออากาศโท อภินันทน์ สุมนะเศรณี ได้ลงนามในสัญญา Purchase Terms Agreement PTA 070225-08 MAY 17, 2007 กับบริษัท Global Airwork Inc. เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 หลังจากนั้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการตรวจรับและชำระเงินให้แก่บริษัท Global Airwork Inc ไปจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 147,395,028.586 บาท แต่ปรากฏว่าบริษัทดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการตามสัญญาได้ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จึงทำการเลิกสัญญา (Terminate) กับบริษัท Global Airworks Inc. และเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2551 ได้ทำข้อตกลงว่าจ้างบริษัท Airworks International Inc. ให้ดำเนินการตามสัญญา Purchase Terms Agreement PTA 070225-08 ต่อไป ซึ่งเป็นการสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท Global Airworks Inc. ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขที่ทำให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เสียประโยชน์ ทั้งที่บริษัทดังกล่าวเป็นฝ่ายผิดสัญญา ซึ่งในทางกฎหมาย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ว่าจ้าง ย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้ตามสัญญานั้น ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า ทางไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานรับฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง คดีหมายเลขดำที่ อท 113/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อท 123/2565 ว่า การจัดหาระบบอุปกรณ์ในห้องนักบินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบกล้องวงจรปิดสำหรับตรวจสอบบริเวณห้องนักบิน (Electronic Flight Bag/Cockpit Door Surveillance System หรือ EFB/CDSS) เป็นเรื่องที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของคณะกรรมการการบินพลเรือน ว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยในบริเวณส่วนของผู้ประจำหน้าที่ภาคอากาศ ถือเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการจัดหาโดยเร็วอันเข้ากรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งตามระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 ข้อ 127 และข้อ 128 แต่เมื่อการจัดหาโครงการ EFB/CDSS ครั้งนี้ ฝ่ายปฏิบัติการ (DO) ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้ใช้ไม่ได้เป็นผู้ขออนุมัติในหลักการเพื่อจัดซื้อจัดจ้างเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาตามลำดับชั้นมาแต่แรก เนื่องจากเป็นกรณีที่คณะกรรมการบริหารบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ใช้อำนาจในทางบริหารพิจารณาอนุมัติในหลักการให้ฝ่ายปฏิบัติการ (DO) ไปดำเนินการจัดหาตามโครงการ EFB/CDSS โดยเร็ว เพราะเห็นว่าโครงการ EFB/CDSS เป็นข้อบังคับของคณะกรรมการการบินพลเรือน ว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยในบริเวณส่วนของผู้ประจำหน้าที่ภาคอากาศที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จะต้องถือปฏิบัติตาม กล่าวคือเป็นการพิจารณาสั่งการจากระดับบนสู่ระดับล่าง มิใช่กรณีที่หน่วยงานผู้ใช้เป็นผู้จัดซื้อจัดจ้างและทำรายงานหรือทำคำขออนุมัติในหลักการเพื่อจัดหาพัสดุตามข้อ 16 กรณีจึงไม่จำต้องขออนุมัติหลักการจัดหาพัสดุและเสนอตั้งคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างต่อผู้บังคับบัญชาตามระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 ข้อ 128 ประกอบข้อ 16 และข้อ 24 ก่อน และหลังจากลงนามในสัญญา PURCHASE TERMS AGREEMENT (PTA) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 แล้ว วันที่ 28 เมษายน 2552 ฝ่ายปฏิบัติการ (DO) ก็ได้รายงานผลการดำเนินโครงการจัดหา EFB/CDSS ให้ที่ประชุมฝ่ายบริหารงานนโยบายบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 22/2552 ทราบ ถือเป็นการรายงานความคืบหน้าและรายงานผลการดำเนินงานต่อผู้มีอำนาจอนุมัติด้วยวิธีกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งตามข้อ 127 แล้ว สำหรับกรณีที่หลังจากลงนามในสัญญาซื้อขายที่ 070225-08 (Purchase Terms Agreement PTA 070225-08) และข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 1 ของสัญญาการซื้อขายที่ 070225-08 (Side Agreement No.1 To Purchase Terms Agreement PTA 070225-08) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 แล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงว่า บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท โกลบอล แอร์เวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Global Airworks Inc.) ได้ร่วมกันทำข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 2 (Side Agreement No.2 To Purchase Terms Agreement PTA 070225-08) และข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 3 (Side Agreement No.3 To Purchase Terms Agreement PTA 070225-08) รวมถึงลงนามในหนังสือการสิ้นสุดแห่งสัญญาจัดซื้อ (TERMINATION OF PURCHASE TERMS AGREEMENT) ฉบับลงวันที่ 2 ธันวาคม 2551 เพื่อยกเลิกการดำเนินการตามสัญญาการซื้อขายที่ 070225-08 (PURCHASE TERMS AGREEMENT PTA 070225-08) พร้อมด้วยข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 3 และลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MEMORANDUM OF UNDERSTANDING : MOU) ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 2551 กับบริษัท Airworks International Inc. ให้เข้าเป็นคู่สัญญาตามสัญญาซื้อขายที่ 070225-08 และข้อตกลงนอกสัญญาทั้งสามฉบับ ในฐานะผู้รับเหมาหลัก นั้น ทางไต่สวนรับฟังได้ตามถ้อยคำของหัวหน้าฝ่ายบริหารการจัดซื้อหมวดหมู่การบริการองค์กรและเทคโนโลยี (WP) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่า ตามระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 หมวด 14 การจัดหาพัสดุ การจ้างซ่อมชิ้นส่วนอะไหล่ของเครื่องบินในกิจการฝ่ายช่าง มิได้กำหนดเกี่ยวกับการจัดทำสัญญาและบริหารสัญญาไว้ โดยข้อ 128 กำหนดให้นำความตามข้อกำหนดในหมวด 2 และหมวด 12 มาใช้บังคับกับการพัสดุในหมวดนี้ ดังนั้น การจัดทำสัญญาและการบริหารสัญญาการจัดหาระบบ EFB/CDSS ดังกล่าวข้างต้น หน่วยงานผู้บริหารสัญญาดังกล่าวซึ่งประสงค์จะแก้ไขสัญญาจะต้องดำเนินการตามข้อ 52 วรรคหนึ่ง และยกเลิกสัญญาดังกล่าวจะต้องดำเนินการตามข้อ 57 สำหรับกรณีการลงนามหนังสือการสิ้นสุดแห่งสัญญาจัดซื้อ (TERMINATION OF PURCHASE TERMS AGREEMENT) เพื่อยกเลิกการดำเนินการตามสัญญาการซื้อขายที่ 070225-08 พร้อมด้วยบันทึกข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 3 กับบริษัท Global Airworks Inc. และจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) เพื่อเปลี่ยนคู่สัญญาเป็นบริษัท Airworks International Inc. นั้น เห็นว่าต้องพิจารณาเจตนารมณ์ของหน่วยงานผู้บริหารสัญญาหรือผู้รับผิดชอบสัญญาว่า ประสงค์จะบอกเลิกสัญญาเดิมเพื่อดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างรายใหม่หรือไม่ หากประสงค์จะจัดหาผู้รับจ้างรายใหม่จะต้องดำเนินการจัดหาตามขั้นตอนและระเบียบฯ ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการและทำให้งานจ้างสะดุดหยุดลงและไม่ต่อเนื่อง แต่หากมีความต้องการดำเนินงานจ้างต่อเนื่องเพราะมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน เพียงแต่มีเหตุจำเป็นต้องที่จะต้องเปลี่ยนแปลงคู่สัญญาและผู้ที่จะเข้ามาเป็นคู่สัญญาใหม่เป็นผู้ดำเนินการตามสัญญาเดิมอยู่แล้ว ก็ต้องไปพิจารณาตามข้อ 52 วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า เรืออากาศโท ณรุจ โกมลารชุน ผู้ถูกกล่าวหา ได้รายงานการดำเนินการในโครงการติดตั้งระบบ CDSS/EFB (Cockpit Door Surveillance System/Electronic Flight Bag ให้ที่ประชุมฝ่ายบริหารงานนโยบายบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 22/2552 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2552 และที่ประชุมคณะกรรมการบริหารบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 5/2552 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2552 ทราบ โดยสรุปได้ว่า โครงการฯ ได้ดำเนินมาถึงขั้นตอนการทำ First Article Inspection (FAI) และได้ผ่านการตรวจรับจากคณะกรรมการ FOIS แล้ว ซึ่งตามแผนกำหนดการได้วางแผนติดตั้งใน Simulator ในช่วงเดือนเมษายน 2551 ที่ผ่านมา แต่การดำเนินการได้เกิดความล่าช้าและหยุดชะงักลง เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2551 เนื่องจากบริษัท Global Airworks Inc. ซึ่งเป็นบริษัทคู่สัญญายังไม่ได้จ่ายเงินงวดล่าสุดให้แก่บริษัท Airworks International Inc. ทำให้บริษัทดังกล่าวประสบปัญหาขาดทุนเพื่อใช้ในการพัฒนาระบบต่อไป ดังนั้น เพื่อให้โครงการฯ สามารถดำเนินการต่อไปได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และเสร็จสิ้นก่อนวันที่ 31 ตุลาคม 2552 ตามข้อบังคับเรื่อง CDSS ของกรมการขนส่งทางอากาศ คณะกรรมการโครงการ FOIS ได้พิจารณาถึงความคุ้มค่าและความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น จึงเห็นควรให้ทำการโอนย้ายสัญญาจากบริษัทคู่สัญญา คือ บริษัท Global Airworks Inc. ให้เป็นบริษัท Airworks International Inc. ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจในระบบเป็นอย่างดี ให้เป็นผู้ดำเนินการโครงการฯ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณะทำงานฯ ได้ดำเนินการพัฒนาโครงการ FOIS ร่วมกับบริษัท Airworks International Inc. มาโดยตลอด โดยคณะทำงานฯ ได้ปรึกษาผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายบริหารทั่วไป (DW) และรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายทรัพยากรบุคคลและบริหารทั่วไป (DB) ถึงความเป็นไปได้ที่จะโอนย้ายสัญญาจากบริษัท Global Airworks Inc. ไปเป็นบริษัท Airworks International Inc. และดำเนินการตรวจสอบข้อสัญญาดังกล่าวกับสำนักกฎหมาย Ohashi & Priver ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทฯ ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย (California) แล้ว จากการตรวจสอบพบว่า บริษัทฯ สามารถยกเลิกสัญญากับบริษัท Global Airworks Inc. ได้ ซึ่งบริษัท Global Airworks Inc. ได้ลงนามใน Termination of Purchase Term Agreement (ยุติสัญญา) มีผลตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2551 และบริษัท Airworks International Inc. ได้ลงนามในบันทึก MOU (MEMORANDUM OF UNDERSTANDING) เพื่อใช้เป็นสัญญาในการว่าจ้างต่อไป โดยยึดถือสัญญาและข้อตกลงนอกสัญญาฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 3 เป็นหลัก ซึ่งจะไม่เป็นภาระเพิ่มเติมกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) อีกทั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง คดีหมายเลขดำที่ อท 113/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อท 123/2565 ได้วินิจฉัยแล้วว่า ความเสียหายที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับจากการดำเนินการโครงการดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากการผิดสัญญาของบริษัทคู่สัญญาหาใช่เป็นผลโดยตรงที่เกิดจากการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาแต่ประการใด ดังนั้น จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น กรณีจึงยังฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาใช้อำนาจในหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตยกเลิกสัญญา PURCHASE TERMS AGREEMENT PTA 070225-08 ในโครงการจัดหาระบบอุปกรณ์ในห้องนักบินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบกล้องวงจรปิดสำหรับตรวจสอบบริเวณห้องนักบิน (Electronic Flight Bag/Cockpit Door Surveillance System หรือ EFB/CDSS) อันมีผลเป็นการสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท Global Airworks Inc. เป็นเหตุให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย ตามที่กล่าวหา เห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล เห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 95/2567 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 5 เสียง เห็นชอบตามความเห็นของคณะไต่สวนเบื้องต้น ว่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่า เรืออากาศโท ณรุจ โกมลารชุน ผู้ถูกกล่าวหา ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล เห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป ที่มา https://www.isranews.org/article/isranews/134601-invesplsas.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR1kI0-fnUDE9ajVg12WB5mv5DGZ3ZKlsaLfqJpzUQtP4llITQyiR18Wh0k_aem_DhSs6GDSfpKfTQf95GOygQ#oqivacefs2fkm2lmydk45pwsq9fj9qdcf
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 324 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลจังหวีดนนทบุรี นัดสืบพยานคดี แตงโม ธิดาคุณแม่แจงไม่อยากให้รื้อคดีลูกสาวเสียชีวิตปริษนา ย้ำหลักฐานเก่า ยอมรับเหนื่อยหารื้อคดีขึ้นทำใหม่“แซน”อ้างมีขบวรการตอบทรัพย์ยืนยันไม่กังวล
    .
    วันนี้( 26 ธ.ค.)เมื่อเวลา 09.00น. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ศาลจังหวัดนนทบุรี ผู้เกี่ยวข้องในคดีการเสียชีวิตของดาราสาว แตงโม นิดาขึ้นเรือเร็วสปีทโบทเสียชีวิตไปอย่างเป็นปริศนา โดยมีผู้เกี่ยวข้องในคดีจำนวน 5 คน อยู่บนเรือที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งเป็นผลให้มีการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดจนขั้นตอนอยู่ในระหว่างการดำเนินคดีในชั้นศาล ที่ผ่านมาเกือบ 3ปีแล้ว
    .
    ศาลจังหวัดนนทบุรีได้มีหมายนัดบุคคลที่เกี่ยวข้องนัดไต่สวนสืบพยานฯทางคดีเพิ่มเติมในบางส่วน อาทิ แม่แตงโม พร้อมทนายเดชา กระติก แซนพร้อมทนายตุ้ย และจ็อบ โดยมีสื่อมวลชนเฝ้าติดตามรายงานข่าวอย่างต่อเนื่องบริเวณหน้าศาลจังหวัดนนทบุรี
    .
    แซนกล่าวว่าขอชี้แจงเหตุผลเดียวยุคนี้มันเป็นมุมมืดของกระบวนการยุติธรรมปล่อยให้นักร้องนักตบทรัพย์ออกมาทำได้อย่างอุกอาจ มากล่าวหาหน่วยงานรัฐมากล่าวหาผู้ต้องหามากล่าวหาจำเลยได้โดยที่ไม่มีใครทำอะไรเป็นยุคมืดของขบวนการยุติธรรมตอนนี้ตนไม่ขอบอกว่ามีคนพยายามตบทรัพย์ อยู่หรือไม่เจ้าตัวน่าจะทราบดี ถ้าคนที่เจตนาจะทำต้องลองถามเขาดูว่าเขาคิดแบบนั้นหรือเปล่า พยายามกล่าวหาทุกคนบนเรือ คิดไปอย่างอื่นไม่ได้ ในการรื้อคดีตนก็รู้สึกยินดีถ้ามีหลักฐานอะไรช่วยนำมาให้ช่วยพิจารณา จะได้สิ้นข้อสงสัย ถ้าพวกตนผิดยุคนี้คงไม่เอาไว้
    .
    ตนอยากฝากถึงคุณหมอประเด็นที่ออกมาพูด ว่าตัดคุณหมอจากพยานคดีนี้ไม่ทราบว่าคุณหมอมีหน้าที่ทำหน้าที่อะไรกับคดีนี้ตั้งแต่แรก คุณหมอถึงใช้คำว่าถูกตัด ตนไม่กังวลใจ ขบวนการมาถึงขนาดนี้แค่กังวลว่าจะล่าช้าอยากให้ขบวนการเสร็จสิ้นโดยเร็ว จริงๆตนไม่อยากฟ้องใคร จบคดีก็ไม่อยากมาศาล คนขี้ฟ้องทำตัวเหมือนเด็กๆไม่รู้ใครเขียนคำฟ้องและเปรียบเทียบว่าเขาเหมือนหมา ตนไม่ได้มีเจตนาแค่ลงภาพกับสัตว์เลี้ยงเป็นปกติธุระอยู่แล้ว วันนี้ทัวร์มาลงตนอีกรอบอยากฝากบอกประชาชนเวลาฟังอยากให้คิดตามด้วย อย่ามาด่าคนอื่นที่คุณไม่รู้จักเพราะถ้าคุณโดนด่าคุณก็ไม่ชอบเหมือนกัน
    .
    ตนเคยถามว่าที่คุณออกมาพูดว่ามีคลิปตนไม่เคยได้รับคำตอบสัก 1 ครั้ง ที่เห็นว่ามีใครออกมาเอามีดกรีดขา ใครเป็นคนสั่งพูดว่าจะเปิดมา 2 ปี 10 เดือน ปัจจุบันอยากถามว่าไหนคลิป ตนเลยถามว่าศาลไหน คุณเคยมาสักครั้งไหม ศาลที่คุณไปเปิดคือศาลหมิ่นประมาทคดีหมิ่นประมาทของคุณเกี่ยวอะไรกับคดีของเรา จะมาบอกว่าให้ไปดูในศาลอย่ามาปัดเก่งคำว่าหลักฐานใหม่หลักฐานเก่าขอให้มีก่อนคิดว่าวิจารณ์โดยสุจริต อยู่ดีๆมาฟ้องตนข้อหาหมิ่นประมาท อยากให้ใจกว้าง มีหลักฐานอะไรมาเปิดได้เลยมาบอกว่าเดี๋ยวจะกลัวว่าจะโดนเปลี่ยนแปลงหลักฐานเปิดมาจะได้จบ อยากให้มาเล่าความคิดโดยรวมให้ฟังหน่อยถ้าไม่ใช่เป็นแบบที่ตนบอกแล้วมันเกิดอะไรขึ้นใครฆ่าใครใครทำอะไร ตนอยากทราบเหมือนกันว่าคิดอะไรในความคิดของเขา พอพูดความจริงหาว่าโกหก อยากให้ทำตัวให้ทันยุคทันสมัย ยุคนี้เป็นยุคที่กฎหมายกำลังจะบังคับใช้สมรสเท่าเทียมถ้าแฟนหัวโปกมาเรียกนายจะไม่ติดถึงแม้จะเป็นผู้ใหญ่ควรทำตัวให้ทันยุคทันสมัย
    นายพรศักดิ์ วิภาสอาภานนท์ หรือทนายตุ๋ย ทนายความของแซน กล่าวว่าทุกคนทำหน้าที่อยากจะพิสูจน์ความจริงแซน บอกว่าให้พิสูจน์มาได้เลย อย่างตนดูสำนวนคดีสิ่งที่นำเสนอออกไปกับสิ่งที่อยู่ในสำนวน มันแตกต่างกันแต่ตนเปิดเผยไม่ได้ ส่วนคนบนเรือยินดีถ้าอยากให้พิสูจน์
    .
    ทางด้านทนายเดชากล่าวว่า วันนี้ตนมาศาลในฐานะทนายแม่แตงโม เดินทางมาแถลงศาลขอเลื่อนคดีเพื่อที่จะรอว่าอัยการสูงสุดจะมีคำสั่งเรื่องรื้อฟื้นคดีหรือแก้ฟ้องตามที่นายอัจฉริยะมายื่นเรื่อง หลัง 29 มกราคม มีเวลาถึงเดือนเมษายน พิจารณาคดีเสร็จเวลา 2 เดือนครึ่ง เขียนคำพิพากษา 1 เดือน ส่งให้อธิบดี 1 เดือน ประมาณเดือนเมษายน ถ้าอัยการสูงสุดมีคำสั่งจะแก้ฟ้องมายื่นที่ศาลนนทบุรีได้ได้
    นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน แม่จิ๋ม กล่าวว่าวันนี้เดินทางมาในฐานะโจทก์ร่วม ส่วนตัวตนไม่อยากให้รื้อคดีมันเรื่องมากหลักฐานใหม่ก็ไม่มี มีแต่หลักฐานเก่า 2-3 ปีที่แล้ว อยากฝากบอกน้องแตงโมว่าให้ช่วยแม่เรื่องคดี จากที่คดีผิดให้เป็นคดีที่ถูกต้อง ทุกคนบนเรือปิดปากเงียบจะไปเอาหลักฐานที่ไหน ตนคิดว่าแล้วแต่เวรกรรม ตนไม่เคยรู้จักคุณอัจฉริยะมาก่อนไม่เคยเสวนาหรือสังสรรค์กัน มีครั้งเดียวที่ควงขึ้นบันไดเลื่อนที่ตำรวจไซเบอร์ เนื่องจากบันไดเลื่อนเสีย
    .
    ส่วนจะไปปรึกษาเรื่องคดีไม่เคยคุยกัน คดีนี้ฟังแล้วเหนื่อยถ้าจะรื้อขอหลักฐานมาให้ตนดูสักอย่างคดีนี้เขายังมาเอาหลักฐานของคุณแม่ฟ้องศาลเอง แม่ต้องมาถอนออกแล้วก็ไม่เคยคุยกันอีกเลย คดีแตงโมนานแล้วถ้ามีต้องมาโชว์ก่อนหน้านี้แล้ว ในส่วนของจำเลย 6 คน มีการพูดคุยกันปกติ ที่สนิทมากคือแซน ส่วนกระติ๊กโดนไต่สวนนาน 3 ชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีโอกาสได้คุยกัน แม่คุยกับคนบนเรือได้ทุกคน เลิกโกรธแล้วลูกของตนเสียไปนานจะเอากลับคืนมาคงไม่ได้แล้ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000124109
    ..............
    Sondhi X
    ศาลจังหวีดนนทบุรี นัดสืบพยานคดี แตงโม ธิดาคุณแม่แจงไม่อยากให้รื้อคดีลูกสาวเสียชีวิตปริษนา ย้ำหลักฐานเก่า ยอมรับเหนื่อยหารื้อคดีขึ้นทำใหม่“แซน”อ้างมีขบวรการตอบทรัพย์ยืนยันไม่กังวล . วันนี้( 26 ธ.ค.)เมื่อเวลา 09.00น. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ศาลจังหวัดนนทบุรี ผู้เกี่ยวข้องในคดีการเสียชีวิตของดาราสาว แตงโม นิดาขึ้นเรือเร็วสปีทโบทเสียชีวิตไปอย่างเป็นปริศนา โดยมีผู้เกี่ยวข้องในคดีจำนวน 5 คน อยู่บนเรือที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งเป็นผลให้มีการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดจนขั้นตอนอยู่ในระหว่างการดำเนินคดีในชั้นศาล ที่ผ่านมาเกือบ 3ปีแล้ว . ศาลจังหวัดนนทบุรีได้มีหมายนัดบุคคลที่เกี่ยวข้องนัดไต่สวนสืบพยานฯทางคดีเพิ่มเติมในบางส่วน อาทิ แม่แตงโม พร้อมทนายเดชา กระติก แซนพร้อมทนายตุ้ย และจ็อบ โดยมีสื่อมวลชนเฝ้าติดตามรายงานข่าวอย่างต่อเนื่องบริเวณหน้าศาลจังหวัดนนทบุรี . แซนกล่าวว่าขอชี้แจงเหตุผลเดียวยุคนี้มันเป็นมุมมืดของกระบวนการยุติธรรมปล่อยให้นักร้องนักตบทรัพย์ออกมาทำได้อย่างอุกอาจ มากล่าวหาหน่วยงานรัฐมากล่าวหาผู้ต้องหามากล่าวหาจำเลยได้โดยที่ไม่มีใครทำอะไรเป็นยุคมืดของขบวนการยุติธรรมตอนนี้ตนไม่ขอบอกว่ามีคนพยายามตบทรัพย์ อยู่หรือไม่เจ้าตัวน่าจะทราบดี ถ้าคนที่เจตนาจะทำต้องลองถามเขาดูว่าเขาคิดแบบนั้นหรือเปล่า พยายามกล่าวหาทุกคนบนเรือ คิดไปอย่างอื่นไม่ได้ ในการรื้อคดีตนก็รู้สึกยินดีถ้ามีหลักฐานอะไรช่วยนำมาให้ช่วยพิจารณา จะได้สิ้นข้อสงสัย ถ้าพวกตนผิดยุคนี้คงไม่เอาไว้ . ตนอยากฝากถึงคุณหมอประเด็นที่ออกมาพูด ว่าตัดคุณหมอจากพยานคดีนี้ไม่ทราบว่าคุณหมอมีหน้าที่ทำหน้าที่อะไรกับคดีนี้ตั้งแต่แรก คุณหมอถึงใช้คำว่าถูกตัด ตนไม่กังวลใจ ขบวนการมาถึงขนาดนี้แค่กังวลว่าจะล่าช้าอยากให้ขบวนการเสร็จสิ้นโดยเร็ว จริงๆตนไม่อยากฟ้องใคร จบคดีก็ไม่อยากมาศาล คนขี้ฟ้องทำตัวเหมือนเด็กๆไม่รู้ใครเขียนคำฟ้องและเปรียบเทียบว่าเขาเหมือนหมา ตนไม่ได้มีเจตนาแค่ลงภาพกับสัตว์เลี้ยงเป็นปกติธุระอยู่แล้ว วันนี้ทัวร์มาลงตนอีกรอบอยากฝากบอกประชาชนเวลาฟังอยากให้คิดตามด้วย อย่ามาด่าคนอื่นที่คุณไม่รู้จักเพราะถ้าคุณโดนด่าคุณก็ไม่ชอบเหมือนกัน . ตนเคยถามว่าที่คุณออกมาพูดว่ามีคลิปตนไม่เคยได้รับคำตอบสัก 1 ครั้ง ที่เห็นว่ามีใครออกมาเอามีดกรีดขา ใครเป็นคนสั่งพูดว่าจะเปิดมา 2 ปี 10 เดือน ปัจจุบันอยากถามว่าไหนคลิป ตนเลยถามว่าศาลไหน คุณเคยมาสักครั้งไหม ศาลที่คุณไปเปิดคือศาลหมิ่นประมาทคดีหมิ่นประมาทของคุณเกี่ยวอะไรกับคดีของเรา จะมาบอกว่าให้ไปดูในศาลอย่ามาปัดเก่งคำว่าหลักฐานใหม่หลักฐานเก่าขอให้มีก่อนคิดว่าวิจารณ์โดยสุจริต อยู่ดีๆมาฟ้องตนข้อหาหมิ่นประมาท อยากให้ใจกว้าง มีหลักฐานอะไรมาเปิดได้เลยมาบอกว่าเดี๋ยวจะกลัวว่าจะโดนเปลี่ยนแปลงหลักฐานเปิดมาจะได้จบ อยากให้มาเล่าความคิดโดยรวมให้ฟังหน่อยถ้าไม่ใช่เป็นแบบที่ตนบอกแล้วมันเกิดอะไรขึ้นใครฆ่าใครใครทำอะไร ตนอยากทราบเหมือนกันว่าคิดอะไรในความคิดของเขา พอพูดความจริงหาว่าโกหก อยากให้ทำตัวให้ทันยุคทันสมัย ยุคนี้เป็นยุคที่กฎหมายกำลังจะบังคับใช้สมรสเท่าเทียมถ้าแฟนหัวโปกมาเรียกนายจะไม่ติดถึงแม้จะเป็นผู้ใหญ่ควรทำตัวให้ทันยุคทันสมัย นายพรศักดิ์ วิภาสอาภานนท์ หรือทนายตุ๋ย ทนายความของแซน กล่าวว่าทุกคนทำหน้าที่อยากจะพิสูจน์ความจริงแซน บอกว่าให้พิสูจน์มาได้เลย อย่างตนดูสำนวนคดีสิ่งที่นำเสนอออกไปกับสิ่งที่อยู่ในสำนวน มันแตกต่างกันแต่ตนเปิดเผยไม่ได้ ส่วนคนบนเรือยินดีถ้าอยากให้พิสูจน์ . ทางด้านทนายเดชากล่าวว่า วันนี้ตนมาศาลในฐานะทนายแม่แตงโม เดินทางมาแถลงศาลขอเลื่อนคดีเพื่อที่จะรอว่าอัยการสูงสุดจะมีคำสั่งเรื่องรื้อฟื้นคดีหรือแก้ฟ้องตามที่นายอัจฉริยะมายื่นเรื่อง หลัง 29 มกราคม มีเวลาถึงเดือนเมษายน พิจารณาคดีเสร็จเวลา 2 เดือนครึ่ง เขียนคำพิพากษา 1 เดือน ส่งให้อธิบดี 1 เดือน ประมาณเดือนเมษายน ถ้าอัยการสูงสุดมีคำสั่งจะแก้ฟ้องมายื่นที่ศาลนนทบุรีได้ได้ นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน แม่จิ๋ม กล่าวว่าวันนี้เดินทางมาในฐานะโจทก์ร่วม ส่วนตัวตนไม่อยากให้รื้อคดีมันเรื่องมากหลักฐานใหม่ก็ไม่มี มีแต่หลักฐานเก่า 2-3 ปีที่แล้ว อยากฝากบอกน้องแตงโมว่าให้ช่วยแม่เรื่องคดี จากที่คดีผิดให้เป็นคดีที่ถูกต้อง ทุกคนบนเรือปิดปากเงียบจะไปเอาหลักฐานที่ไหน ตนคิดว่าแล้วแต่เวรกรรม ตนไม่เคยรู้จักคุณอัจฉริยะมาก่อนไม่เคยเสวนาหรือสังสรรค์กัน มีครั้งเดียวที่ควงขึ้นบันไดเลื่อนที่ตำรวจไซเบอร์ เนื่องจากบันไดเลื่อนเสีย . ส่วนจะไปปรึกษาเรื่องคดีไม่เคยคุยกัน คดีนี้ฟังแล้วเหนื่อยถ้าจะรื้อขอหลักฐานมาให้ตนดูสักอย่างคดีนี้เขายังมาเอาหลักฐานของคุณแม่ฟ้องศาลเอง แม่ต้องมาถอนออกแล้วก็ไม่เคยคุยกันอีกเลย คดีแตงโมนานแล้วถ้ามีต้องมาโชว์ก่อนหน้านี้แล้ว ในส่วนของจำเลย 6 คน มีการพูดคุยกันปกติ ที่สนิทมากคือแซน ส่วนกระติ๊กโดนไต่สวนนาน 3 ชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีโอกาสได้คุยกัน แม่คุยกับคนบนเรือได้ทุกคน เลิกโกรธแล้วลูกของตนเสียไปนานจะเอากลับคืนมาคงไม่ได้แล้ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000124109 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    Sad
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1135 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไบเดนจองเวรไม่เลิก ประกาศเปิดการสอบสวนเซมิคอนดักเตอร์ “รุ่นเก่า” ของจีนในนาทีท้ายๆ ก่อนพ้นตำแหน่ง มุ่งปูทางคณะบริหารชุดใหม่ของทรัมป์รีดภาษี 60% ตามที่ขู่ไว้ ด้านปักกิ่งโต้วอชิงตันกีดกันการค้า ขณะที่องค์กรตัวแทนภาคเทคโนโลยีของอเมริกาเตือนว่า การสอบสวนล่าสุดนี้อาจทำให้เกิดผลกระทบสลับซับซ้อนและกว้างไกลต่อเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานโลก พร้อมเรียกร้องอเมริกา “อย่าด่วนตัดสินล่วงหน้า”
    .
    แคทเธอลีน ไท่ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) แถลงเมื่อวันจันทร์ (23 ธ.ค.) ว่า การสอบสวนล่าสุดนี้มีเป้าหมายในการปกป้องคุ้มครองผู้ผลิตชิปของอเมริกาและชาติอื่นๆ จากซัปพลายชิปจำนวนมากมายมหาศาลซึ่งผลิตในจีนภายใต้การผลักดันของปักกิ่ง
    .
    การสอบสวนที่อิงกับอำนาจตาม “มาตรา 301” ของกฎหมายการค้าสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมาตราเดียวกับที่โดนัลด์ ทรัมป์ ใช้ในการขึ้นภาษีศุลกากรเอากับสินค้าจีนตอนที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกนั้น เกิดขึ้น 4 สัปดาห์ก่อนที่คณะบริหาร โจ ไบเดน จะหมดอำนาจ และทรัมป์จะได้หวนกลับเข้าสู่ทำเนียบขาว ในวันที่ 20 ม.ค.2025 โดยพวกเจ้าหน้าที่ของไบเดนเผยว่า จะส่งต่อการสอบสวนนี้ให้คณะบริหารชุดใหม่ดำเนินการต่อไป เป็นการปูทางให้ทรัมป์สามารถเริ่มเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มในอัตรา 60% จากชิปนำเข้าจากจีนตามที่เขาข่มขู่ไว้ก่อนหน้านี้
    .
    ก่อนหน้านี้ คณะบริหารของไบเดนเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มจากชิปจีนที่นำเข้าสหรัฐฯในอัตรา 50% มาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ปีนี้ รวมทั้งยังยกระดับมาตรการจำกัดการส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์และชิปหน่วยความจำขั้นสูง ตลอดจนถึงเครื่องจักรอุปกรณ์ผลิตชิปไปยังแดนมังกรอีกด้วย
    .
    ทั้งนี้ ชิปรุ่นเก่า (Legacy chip) ใช้กระบวนการผลิตที่เริ่มต้นเมื่อกว่าทศวรรษที่แล้ว และมักซับซ้อนน้อยกว่าชิปเอไอหรือชิปขั้นสูง กระนั้นก็เป็นชิปที่ยังคงมีใช้งานกันอยู่อย่างกว้างขวางทั่วไป
    .
    จีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ แถลงสำทับเมื่อวันจันทร์ว่า งานวิจัยของกระทรวงพบว่า ผลิตภัณฑ์ของอเมริกา 2 ใน 3 ทีเดียวยังคงใช้ชิปรุ่นเก่าของจีน และบริษัทอเมริกันราว 50% ไม่รู้ที่มาของชิปที่ใช้ ในจำนวนนี้รวมถึงบริษัทในอุตสาหกรรมการทหาร เธอบอกว่าว่า ข้อมูลนี้น่ากังวลอย่างยิ่ง
    .
    ทางด้าน ไท่ เสริมว่า สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ของเธอ พบหลักฐานว่า จีนกำลังพุ่งเป้ามาที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ด้วยความมุ่งหมายที่จะครอบงำโลก โดยหวังจะเปิดทางให้บริษัทจีนเพิ่มศักยภาพทางด้านนี้ได้อย่างรวดเร็ว และเสนอชิปราคาถูกเกินจริงที่อาจเป็นอันตรายหรือกำจัดการแข่งขันที่อิงกับตลาด เช่นเดียวกับที่เคยทำในอุตสาหกรรมเหล็กกล้า แผงพลังงานแสงอาทิตย์ และรถอีวีมาแล้ว
    .
    ในส่วนปฏิกิริยาของทางฝ่ายจีน กระทรวงพาณิชย์แดนมังกรออกคำแถลงตอบโต้ว่า การสอบสวนเช่นนี้ของอเมริกาคือพฤติการณ์การกีดกันการค้า ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง กระทั่งไปถึงพวกบริษัทอเมริกันเอง รวมถึงทำให้ห่วงโซ่อุปทานชิปโลกสะดุดติดขัด ทั้งนี้ ปักกิ่งจะตอบโต้ดำเนินมาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของประเทศ
    .
    ขณะที่ เจสัน ออกซ์แมน ประธานสภาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่เป็นตัวแทนภาคเทคโนโลยีของอเมริกา ออกมาเตือนว่า การสอบสวนของวอชิงตันอาจทำให้เกิดผลกระทบที่ซับซ้อนและกว้างไกลต่อเศรษฐกิจโลกและห่วงโซ่อุปทานโลก พร้อมเรียกร้องให้ยูเอสทีอาร์ “อย่าด่วนมีคำตัดสินล่วงหน้า” แต่ควรดำเนินการสอบสวนอย่างเป็นธรรม
    .
    ปัจจุบัน พวกเครื่องโทรศัพท์สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป เครื่องเล่นวิดีโอเกม และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภคอื่นๆ ที่ไม่ใช่รุ่นล้ำยุค ยังคงใช้เซมิคอนดักเตอร์รุ่นเก่ากันอยู่มาก โดยที่สินค้าเหล่านี้ซึ่งจำหน่ายกันในอเมริกาส่วนใหญ่ก็ยังคงนำเข้าจากจีน
    .
    เจ้าหน้าที่คณะบริหารของไบเดนคนหนึ่งเปิดเผยว่า การสอบสวนล่าสุดนี้ ในเบื้องต้นจะโฟกัสที่การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งรวมถึงขอบเขตการนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น อุปกรณ์การแพทย์ รถ และผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมการทหาร
    .
    ทั้งนี้ ตามหมายเกี่ยวกับการสอบสวนคราวนี้ ของสำนักงานทะเบียนสหรัฐฯ ระบุว่า คณะบริหารไบเดนจะเริ่มต้นเปิดรับความเห็นต่างๆ ของสาธารณชนเกี่ยวกับการสอบสวนนี้ในวันที่ 6 มกราคม และวางแผนจัดการไต่สวนสาธารณะขึ้นในวันที่ 11-12 มีนาคม โดยที่การสอบสวนมีกำหนดเสร็จสิ้นภายในเวลา 1 ปี
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000123559
    ..............
    Sondhi X
    ไบเดนจองเวรไม่เลิก ประกาศเปิดการสอบสวนเซมิคอนดักเตอร์ “รุ่นเก่า” ของจีนในนาทีท้ายๆ ก่อนพ้นตำแหน่ง มุ่งปูทางคณะบริหารชุดใหม่ของทรัมป์รีดภาษี 60% ตามที่ขู่ไว้ ด้านปักกิ่งโต้วอชิงตันกีดกันการค้า ขณะที่องค์กรตัวแทนภาคเทคโนโลยีของอเมริกาเตือนว่า การสอบสวนล่าสุดนี้อาจทำให้เกิดผลกระทบสลับซับซ้อนและกว้างไกลต่อเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานโลก พร้อมเรียกร้องอเมริกา “อย่าด่วนตัดสินล่วงหน้า” . แคทเธอลีน ไท่ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) แถลงเมื่อวันจันทร์ (23 ธ.ค.) ว่า การสอบสวนล่าสุดนี้มีเป้าหมายในการปกป้องคุ้มครองผู้ผลิตชิปของอเมริกาและชาติอื่นๆ จากซัปพลายชิปจำนวนมากมายมหาศาลซึ่งผลิตในจีนภายใต้การผลักดันของปักกิ่ง . การสอบสวนที่อิงกับอำนาจตาม “มาตรา 301” ของกฎหมายการค้าสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมาตราเดียวกับที่โดนัลด์ ทรัมป์ ใช้ในการขึ้นภาษีศุลกากรเอากับสินค้าจีนตอนที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกนั้น เกิดขึ้น 4 สัปดาห์ก่อนที่คณะบริหาร โจ ไบเดน จะหมดอำนาจ และทรัมป์จะได้หวนกลับเข้าสู่ทำเนียบขาว ในวันที่ 20 ม.ค.2025 โดยพวกเจ้าหน้าที่ของไบเดนเผยว่า จะส่งต่อการสอบสวนนี้ให้คณะบริหารชุดใหม่ดำเนินการต่อไป เป็นการปูทางให้ทรัมป์สามารถเริ่มเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มในอัตรา 60% จากชิปนำเข้าจากจีนตามที่เขาข่มขู่ไว้ก่อนหน้านี้ . ก่อนหน้านี้ คณะบริหารของไบเดนเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มจากชิปจีนที่นำเข้าสหรัฐฯในอัตรา 50% มาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ปีนี้ รวมทั้งยังยกระดับมาตรการจำกัดการส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์และชิปหน่วยความจำขั้นสูง ตลอดจนถึงเครื่องจักรอุปกรณ์ผลิตชิปไปยังแดนมังกรอีกด้วย . ทั้งนี้ ชิปรุ่นเก่า (Legacy chip) ใช้กระบวนการผลิตที่เริ่มต้นเมื่อกว่าทศวรรษที่แล้ว และมักซับซ้อนน้อยกว่าชิปเอไอหรือชิปขั้นสูง กระนั้นก็เป็นชิปที่ยังคงมีใช้งานกันอยู่อย่างกว้างขวางทั่วไป . จีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ แถลงสำทับเมื่อวันจันทร์ว่า งานวิจัยของกระทรวงพบว่า ผลิตภัณฑ์ของอเมริกา 2 ใน 3 ทีเดียวยังคงใช้ชิปรุ่นเก่าของจีน และบริษัทอเมริกันราว 50% ไม่รู้ที่มาของชิปที่ใช้ ในจำนวนนี้รวมถึงบริษัทในอุตสาหกรรมการทหาร เธอบอกว่าว่า ข้อมูลนี้น่ากังวลอย่างยิ่ง . ทางด้าน ไท่ เสริมว่า สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ของเธอ พบหลักฐานว่า จีนกำลังพุ่งเป้ามาที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ด้วยความมุ่งหมายที่จะครอบงำโลก โดยหวังจะเปิดทางให้บริษัทจีนเพิ่มศักยภาพทางด้านนี้ได้อย่างรวดเร็ว และเสนอชิปราคาถูกเกินจริงที่อาจเป็นอันตรายหรือกำจัดการแข่งขันที่อิงกับตลาด เช่นเดียวกับที่เคยทำในอุตสาหกรรมเหล็กกล้า แผงพลังงานแสงอาทิตย์ และรถอีวีมาแล้ว . ในส่วนปฏิกิริยาของทางฝ่ายจีน กระทรวงพาณิชย์แดนมังกรออกคำแถลงตอบโต้ว่า การสอบสวนเช่นนี้ของอเมริกาคือพฤติการณ์การกีดกันการค้า ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง กระทั่งไปถึงพวกบริษัทอเมริกันเอง รวมถึงทำให้ห่วงโซ่อุปทานชิปโลกสะดุดติดขัด ทั้งนี้ ปักกิ่งจะตอบโต้ดำเนินมาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของประเทศ . ขณะที่ เจสัน ออกซ์แมน ประธานสภาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่เป็นตัวแทนภาคเทคโนโลยีของอเมริกา ออกมาเตือนว่า การสอบสวนของวอชิงตันอาจทำให้เกิดผลกระทบที่ซับซ้อนและกว้างไกลต่อเศรษฐกิจโลกและห่วงโซ่อุปทานโลก พร้อมเรียกร้องให้ยูเอสทีอาร์ “อย่าด่วนมีคำตัดสินล่วงหน้า” แต่ควรดำเนินการสอบสวนอย่างเป็นธรรม . ปัจจุบัน พวกเครื่องโทรศัพท์สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป เครื่องเล่นวิดีโอเกม และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภคอื่นๆ ที่ไม่ใช่รุ่นล้ำยุค ยังคงใช้เซมิคอนดักเตอร์รุ่นเก่ากันอยู่มาก โดยที่สินค้าเหล่านี้ซึ่งจำหน่ายกันในอเมริกาส่วนใหญ่ก็ยังคงนำเข้าจากจีน . เจ้าหน้าที่คณะบริหารของไบเดนคนหนึ่งเปิดเผยว่า การสอบสวนล่าสุดนี้ ในเบื้องต้นจะโฟกัสที่การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งรวมถึงขอบเขตการนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น อุปกรณ์การแพทย์ รถ และผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมการทหาร . ทั้งนี้ ตามหมายเกี่ยวกับการสอบสวนคราวนี้ ของสำนักงานทะเบียนสหรัฐฯ ระบุว่า คณะบริหารไบเดนจะเริ่มต้นเปิดรับความเห็นต่างๆ ของสาธารณชนเกี่ยวกับการสอบสวนนี้ในวันที่ 6 มกราคม และวางแผนจัดการไต่สวนสาธารณะขึ้นในวันที่ 11-12 มีนาคม โดยที่การสอบสวนมีกำหนดเสร็จสิ้นภายในเวลา 1 ปี . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000123559 .............. Sondhi X
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 813 มุมมอง 0 รีวิว
  • พวกผู้สนับสนุนและต่อต้านประธานาธิบดียุน ซ็อกยอล แห่งเกาหลีใต้ พากันออกมาชุมนุมโดยอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ร้อยเมตรในกรุงโซล ในวันเสาร์ (21 ธ.ค.) ราว 1 สัปดาห์หลังจากเขาถูกรัฐสภาถอดถอนจากตำแหน่ง จากกรณีประกาศอัยการศึก ที่ประกาศยกเลิกในเวลาต่อมาไม่กี่ชั่วโมง
    .
    แม้ปัจจุบัน ยุน ถูกพักอำนาจประธานาธิบดี แต่ยังคงอยู่ในตำแหน่ง เขาไม่ยอมทำตามหมายเรียกต่างๆ ของพวกเจ้าหน้าที่ที่กำลังสืบสวนว่า กฎอัยการศึกที่เขาประกาศใช้ในช่วงค่ำวันที่ 3 ธันวาคมและยกเลิกในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมานั้น เข้าข่ายก่อกบฏหรือไม่
    .
    นอกจากนี้ ยุน ยังไม่ตอบสนองใดๆ ต่อความพยายามในการติดต่อเขาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะรับรองถอดถอนเขาพ้นจากตำแหน่งหรือคืนอำนาจประธานาธิบดีแก่เขา ทั้งนี้ ศาลมีแผนนัดไต่สวนมูลฟ้องเป็นครั้งแรกในวันศุกร์ (27 ธ.ค.)
    .
    การประท้วงทั้งสนับสนุนและต่อต้านยุนในวันเสาร์ (21 ธ.ค.) จัดขึ้นในจัตุรัสควางฮวามุน ใจกลางเมืองหลวง อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานเกี่ยวกับการกระทบกระทั่งใดๆ
    .
    พวกผู้ประท้วงต่อต้านยุนหลายหมื่นคน ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาววัย 20 ถึง 30 ปีเศษๆ รวมตัวกันตอนเวลา 15.00น. โบกไฟเค-ป็อป และป้ายข้อความที่เขียนว่า "จับกุม! ขังคุก! หัวหน้ากบฏยุน ซ็อกยอล"
    .
    "ผมอยากถามยุน ว่าเขาทำเรื่องแบบนี้กับประชาธิปไตยได้อย่างไร ในยุคทศวรรษที่ 21 และผมคิดว่าถ้าเขามีมโนธรรมสำนึก เขาควรลาออกไป" ผู้ประท้วงวัย 27 ปีรายหนึ่งกล่าว
    .
    ส่วนผู้ประท้วงสนับสนุนยุนหลายพันคน ส่วนใหญ่เป็นมีสูงอายุกว่าและเป็นกลุ่มคนหัวอนุรักษนิยมมากกว่า รวมตัวกันตั้งแต่ช่วงเที่ยงวัน คัดค้านการถอดถอนยุนพ้นจากตำแหน่ง และสนับสนุนให้คืนอำนาจประธานาธิบดีแก่เขา
    .
    "รัฐสภาที่โกงการเลือกตั้ง กำลังกัดกร่อนประเทศทีละน้อย และเป็นศูนย์กลางของอำนาจสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ดังนั้นพวกเราจึงออกมารวมตัวกันและพูดในสิ่งเดียวกัน เราคัดค้านอย่างที่สุดต่อการถอดถอน" ผู้ชุมนุมรายหนึ่งกล่าว
    .
    ทั้งนี้ ยุน กล่าวอ้างการโกงเลือกตั้ง และ "ขุมกำลังต่อต้านรัฐ" พวกเข้าข้างฝักใฝ่เกาหลีเหนือ เป็นข้ออ้างความชอบธรรมในการประกาศกฎอัยการศึก คำกล่าวอ้างที่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งปฏิเสธ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000122558
    ..............
    Sondhi X
    พวกผู้สนับสนุนและต่อต้านประธานาธิบดียุน ซ็อกยอล แห่งเกาหลีใต้ พากันออกมาชุมนุมโดยอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ร้อยเมตรในกรุงโซล ในวันเสาร์ (21 ธ.ค.) ราว 1 สัปดาห์หลังจากเขาถูกรัฐสภาถอดถอนจากตำแหน่ง จากกรณีประกาศอัยการศึก ที่ประกาศยกเลิกในเวลาต่อมาไม่กี่ชั่วโมง . แม้ปัจจุบัน ยุน ถูกพักอำนาจประธานาธิบดี แต่ยังคงอยู่ในตำแหน่ง เขาไม่ยอมทำตามหมายเรียกต่างๆ ของพวกเจ้าหน้าที่ที่กำลังสืบสวนว่า กฎอัยการศึกที่เขาประกาศใช้ในช่วงค่ำวันที่ 3 ธันวาคมและยกเลิกในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมานั้น เข้าข่ายก่อกบฏหรือไม่ . นอกจากนี้ ยุน ยังไม่ตอบสนองใดๆ ต่อความพยายามในการติดต่อเขาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะรับรองถอดถอนเขาพ้นจากตำแหน่งหรือคืนอำนาจประธานาธิบดีแก่เขา ทั้งนี้ ศาลมีแผนนัดไต่สวนมูลฟ้องเป็นครั้งแรกในวันศุกร์ (27 ธ.ค.) . การประท้วงทั้งสนับสนุนและต่อต้านยุนในวันเสาร์ (21 ธ.ค.) จัดขึ้นในจัตุรัสควางฮวามุน ใจกลางเมืองหลวง อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานเกี่ยวกับการกระทบกระทั่งใดๆ . พวกผู้ประท้วงต่อต้านยุนหลายหมื่นคน ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาววัย 20 ถึง 30 ปีเศษๆ รวมตัวกันตอนเวลา 15.00น. โบกไฟเค-ป็อป และป้ายข้อความที่เขียนว่า "จับกุม! ขังคุก! หัวหน้ากบฏยุน ซ็อกยอล" . "ผมอยากถามยุน ว่าเขาทำเรื่องแบบนี้กับประชาธิปไตยได้อย่างไร ในยุคทศวรรษที่ 21 และผมคิดว่าถ้าเขามีมโนธรรมสำนึก เขาควรลาออกไป" ผู้ประท้วงวัย 27 ปีรายหนึ่งกล่าว . ส่วนผู้ประท้วงสนับสนุนยุนหลายพันคน ส่วนใหญ่เป็นมีสูงอายุกว่าและเป็นกลุ่มคนหัวอนุรักษนิยมมากกว่า รวมตัวกันตั้งแต่ช่วงเที่ยงวัน คัดค้านการถอดถอนยุนพ้นจากตำแหน่ง และสนับสนุนให้คืนอำนาจประธานาธิบดีแก่เขา . "รัฐสภาที่โกงการเลือกตั้ง กำลังกัดกร่อนประเทศทีละน้อย และเป็นศูนย์กลางของอำนาจสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ดังนั้นพวกเราจึงออกมารวมตัวกันและพูดในสิ่งเดียวกัน เราคัดค้านอย่างที่สุดต่อการถอดถอน" ผู้ชุมนุมรายหนึ่งกล่าว . ทั้งนี้ ยุน กล่าวอ้างการโกงเลือกตั้ง และ "ขุมกำลังต่อต้านรัฐ" พวกเข้าข้างฝักใฝ่เกาหลีเหนือ เป็นข้ออ้างความชอบธรรมในการประกาศกฎอัยการศึก คำกล่าวอ้างที่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งปฏิเสธ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000122558 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 671 มุมมอง 0 รีวิว
  • สัประยุทธ์ “ธรรมะ-อธรรม” #เปลวสีเงินplewเปลว สีเงิน“กฎหมาย” มีไว้สร้างสมดุลทาง “สังคมเป็นธรรม”แต่ทุกวันนี้คนใน “๓ สถาบันอำนาจ” คือ อำนาจนิติบัญญัติ, อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ “บางคน”ใช้กฎหมายสร้าง “สังคมอยุติธรรม” ทำลายสมดุลความเป็นคนที่เท่าเทียมทางกฎหมาย จนเกิดคำว่า “ป่วยทิพย์-คุกทิพย์”บ่งบอกถึง “เลือกปฎิบัติ-สองมาตรฐาน” ซึ่งชาวบ้านทั่วไป ไม่มีสิทธิได้รับโอกาสนั้น (เว้นแต่มีเงิน)คนใน ๓ สถาบันอำนาจเท่านั้น….ที่จะทำให้ “สังคมเป็นธรรม” กลายเป็น “สังคมระยำ” เช่นนั้นได้!มันก็แปลก คนกินเงินเดือนจากภาษีประชาชนที่เรียกเรียก “เจ้าหน้าที่รัฐ” กลับมีอำนาจ “เหนือชีวิตประชาชน”นายจ้าง คือคนเสียภาษีแท้ๆ กลับถูก “ส้นตีนอำนาจ” ยัดปากตลอดกาลแค่จะคุกเข่า ยกสองมืออ่อนล้า วอนเมตตาและความเป็นธรรม ก็ยังถูกตราหน้า “พวกทำให้บ้านเมืองเสียโอกาส”โอกาสโกงบ้าน-กินเมืองละก็ใช่แต่ไมใช่โอกาสคืนความชอบธรรมให้กับบ้านเมือง!สังคมชาติที่ผู้คน “ตัวใคร-ตัวมัน” เห็นประโยชน์ชาติ ไม่ใช่ประโยชน์กู แล้วต่างทอดธุระและชาวบ้านก็เอาแต่ “ชะแง้รอแจก”ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ สยบยอมโจร ใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่เป็นกุญแจไข เปิดทางให้มัน “ปล้นบ้าน-ชำเราเมือง” จนย่ามใจ กร่างใหญ่คับประเทศผมก็ได้แต่ทอดถอนใจ ทำได้เพียง “รักบ้าน-รักเมือง” ด้วยปากไปวันๆเมื่อสัปดาห์ก่อน เห็นคนที่ไม่เอาแต่นั่งทอดถอนใจอย่างผม เขาเห็นการประทำย่ำยีบ้านเมืองจากไอ้ตัวกาลีเมืองแล้ว พวกเขาร้อนใจนัดกันไปคุยตามประสาคนห่วงบ้าน-ห่วงเมือง ผมอ่านข่าว ก็มีท่านเหล่านี้แก้วสรร อติโพธิ, ดร.เจิม ศักดิ์ ปิ่นทอง, ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ, ขวัญสรวง อติโพธิ, พลเอกสมเจตน์ บุญถนอมจตุพร พรหมพันธุ์, ทนายนกเขา, ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์,สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, พิชิต ไชยมงคล,สาวิทย์ แก้วหวาน, ประสาร มฤคพิทักษ์, ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว), แซมดิน เลิศบุศย์สมชาย แสวงการ, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม, นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์, ชาญชัย อิสระเสนารักษ์, ปรีดา เตียสุวรรณ์ และฯลฯหลายท่าน รู้จักมักคุ้น หลายท่านได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยพบสรุป ท่านเหล่านั้น มีที่มาเดียวกันบ้าง ต่างกันบ้าง คิดและทำเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้างแต่ที่สุดแล้ว หนีหลักธรรมชาติไม่พ้นธรรมะ คือธรรมชาติ สิ่งจัดสรรมนุษย์คือธรรมชาติ รวงข้าว เมื่อแก่ ย่อมค้อมรวงบัว เกิดจากโคลนตม เมื่อพ้นน้ำ ย่อมปลดเปลื้องจากโคลนตม พิสุทธิ์แทนใจ บูชาธรรมคณะบุคคลเหล่านั้น ก็ประมาณนี้ …..ในความต่างที่มา ที่คิด ที่ทำ ในความเป็นบัณฑิตแห่งธาตุคน ที่สุดแล้ว คนธาตุบัณฑิตย่อมไหลรวมในหมู่บัณฑิตด้วยกันจะเรียกเขาเหล่านั้นว่าอะไรดีล่ะ?เพราะมีทั้ง พันธมิตรฯ ทั้ง กปปส. ทั้งกลุ่มหลอมรวม ทั้งเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ทั้งกลุ่มสันติอโศกเรียกคณะ “ปชพช.” ดีมั้ย ….เป็นอักษรรวมความเพื่อให้ “เรียกง่าย-จำง่าย”ปชพช. “คณะปัญญาชนพิทักษ์ชาติ” ดูเหมาะสมกับสิ่งที่พวกเขาทำเมื่อวาน (๑๘ ธค.๖๗)คือ คณะปัญญาชนพากันเดินไปที่ “สำนักงานคณะกรรมการ​ป้องกัน​และ​ปราบปราม​การ​ทุจริต​แห่งชาติ “​(ป.ป.ช.​)ไม่ได้ไปก่อกวน ก้าวร้าว เยี่ยงอันธพาลเมือง แต่ไปเยี่ยงบัณฑิต กระทำเยี่ยงบัณฑิตเพื่อยื่นหนังสือให้ป.ป.ช.ตระหนักคิด กรณี ป.ป.ช.​ รับพิจารณาข้อกล่าวหา….“นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์” อธิบดีกรมราชทัณฑ์ รวมถึงเจ้าหน้าที่เรือนจำ แพทย์รพ.ราชทัณฑ์ และรพ.ตำรวจ รวม ๑๒ คนส่งตัวผู้ต้องขังรายนายทักษิณ ชินวัตร จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ​ให้ป.ป.ช.เร่งรัดพิจารณาเรื่องนี้และดำเนินคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็ว​ ในหนังสือ มี ๔ ข้อ๑.คดีส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำพบว่า มีพยานเป็นบุคคลชัดเจน ได้เข้าไปเยี่ยมและพบว่าไม่มีอาการเจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ควบคุม หรือประจำอยู่ห้องพิเศษดังกล่าวและยังไม่ปรากฏหลักฐานการตรวจ หรือหลักฐานความเห็นของแพทย์ที่อนุญาตให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจซึ่งพิธีการทั้งหมดนี้ ขัดต่อขั้นตอนกฎกระทรวงทั้งสิ้น และไม่ว่าป.ป.ช.จะขอความร่วมมือไปเท่าไร ก็ไม่ได้รับจึงเป็นหลักฐานที่เพียงพอว่า พฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายทุจริตช่วยเหลือกันโดยมิชอบส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ ของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง ป.ป.ช.จึงต้องเร่งไต่สวน๒.คดีให้อยู่บ้านพักโทษ โดยมติการให้พักโทษ โดยอ้าง นักโทษมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งการนั่ง เดินขึ้นบันได อาบน้ำ แต่งตัวรับประทานอาหาร จึงจำเป็นต้องพักโทษให้แต่ปรากฏว่า หลังการพักโทษ นักโทษกลับแข็งแรงขึ้นมาโดยพลัน เดินทางไปทั่วประเทศ ขึ้นปราศรัย ร่วมงานเลี้ยง ใช้ชีวิตปกติได้ทุกอย่าง จึงไม่อาจเชื่อได้ว่าการพักโทษมาจากการประเมินสภาพร่างกายโดยสุจริตและถูกต้อง​ดังนั้น จึงอยากให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าไปเป็นอีกหนึ่งคดีในชั้นการพิจารณาของป.ป.ช.ด้วย๓.เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย กฎหมายไทยพยายามปราบปรามคดีทุจริตคอร์รัปชันเป็นพิเศษแต่ปรากฏว่า หลังดำเนินคดีไปแล้วไม่มีกรอบเกณฑ์​การตรวจสอบที่เคร่งครัดปล่อยให้กระบวนการทุจริต ตัดทอนโทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา กำเริบเสิบสานเป็นผลให้ความยุติธรรมเสื่อมสลาย จนประชาชนสิ้นศรัทธา๔.เข้าข่ายเป็นกระบวนการทุจริตระดับชาติ ใช้เงินสร้างอำนาจ แล้วใช้อำนาจมา​สร้างเงิน​ สร้างพวก​ สร้างสื่อ สร้างผลงานทุจริตไว้ ๒ ทศวรรษ​ จนเสียหายไปกว่าแสนล้าน และหัวหน้าขบวนการ ก็ยังยอมรับคำขออภัยโทษ ว่าได้ทำผิดไปแล้วจริงๆ แต่มาบัดนี้ แทนที่จะยอมรับโทษกลับหลีกเลี่ยง แสดงตน เข้าครอบงำพรรค​ ผลักดันนโยบายทุจริต สร้างประชานิยมไม่หยุดยั้งและล่าสุดยังประกาศจะพาน้องสาวที่เป็นจำเลยหนีคดีทุจริตรับจำนำข้าวกลับมาด้วยถือเป็นพฤติการณ์ทุจริตฉ้อฉลรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมหยุดบทบาทการเมือง และพาประเทศไปในทางต่ำ“นี่คือหายนะที่เห็นได้ชัดเจน และอนาคตที่มืดมิดเช่นนี้ จึงฝาก ป.ป.ช.ตระหนักและทุ่มเท รับผิดชอบ กู้อนาคตบ้านเมืองอย่างเต็มสติกำลัง”ขณะเดียวกัน ​”คณะปชพช.” ยังบอกว่า….จะยื่นให้สอบบุคคลเพิ่มเติม​ทั้ง ​”พ.ต.อ.ทวี​ สอดส่อง” ​รมว.ยุติธรรม และ “​นางพงษ์สวาท นีละโยธิน” ปลัดฯ ยุติธรรม เพราะมองว่าอยู่ในกระบวนการที่ช่วยนายทักษิณ​อาจารย์ “แก้วสรร อติโพธิ” อดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์และรองอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวต่อหน้าเลขาฯ ป.ป.ช.ว่า“มั่นใจในการทำงาน ป.ป.ช.และคิดว่ากฎหมายกำลังเดินไปตามทางที่ถูก-ที่ควร​ จึงขอให้เดินหน้าเต็มที่​และคิดว่าจะใช้เวลาไม่นานพร้อมขอให้แพทย์ที่รักษานายทักษิณออกมาพูด โดยขอให้เอาตัวการจริงๆ มาลงโทษ​หลายคนถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนายทักษิณ คำตอบในทางกฎหมาย ถ้าหมายศาลให้ขังและหากไม่มีการขังตามหมายต้องออกหมายใหม่ กลับไปเข้าคุกเป็นอำนาจ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง” ที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ กำลังจะไปร้อง ซึ่งศาลสามารถเรียกสำนวนจากป.ป.ช.ไปดูและวินิจฉัยได้“จุดสำคัญ ศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยของป.ป.ช.เพราะคดีนี้ เป็นคดีเจ้าหน้าที่ ดังนั้น นายทักษิณ​ เตรียมตัวได้​”อาจารย์แก้วสรร ยังสัมโมทนียกถาว่า “หากป.ป.ช.ทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง จะยอมกราบเลย”“จตุพร พรหมพันธุ์” อดีตแกนนำนปช.ผู้พ้นขอบเหวคืนสู่ฟากฝั่ง กล่าวว่า“มาให้กำลังใจป.ป.ช.ทั้งมีความไม่สบายใจในอนาคต เพราะคดีของนายทักษิณ ป.ป.ช.เป็นผู้ชี้มูลเองวันนี้มาด้วยความหวังในการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.อย่างตรงไปตรงมา ในจำนวนผู้ที่ถูกตั้งองค์คณะไต่สวน ๑๒ คนนี้ ใครไม่ผิด คือไม่ผิด ไม่ได้ต้องการมาทำให้ “ดำเป็นขาว- ขาวเป็นดำ” แต่ต้องการมาให้ “ถูกเป็นถูก-ผิดเป็นผิด, ดีเป็นดี- ชั่วเป็นชั่ว”ยอมรับว่าเรื่องการไต่สวน วันนี้ “ยังไม่ไว้ใจป.ป.ช.” จนกว่าจะได้พิสูจน์จนสิ้นข้อสงสัยแล้ว และได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตถึงวันนั้น ผมและคณะจะมาขอบคุณอีกครั้งขณะนี้ เป็นที่ประจักษ์ นายทักษิณไม่ได้ติดคุกแม้แต่วันเดียว เราต้องการเห็นน้ำยาของ ป.ป.ช.ไม่ต้องการเห็นขนมจีน….”ครับ….ผมก็เกรงว่า คุณจตุพรจะเห็นแต่ “ขนมจีน” เท่านั้นแหละ ตามกฎหมายป.ป.ช.มาตรา ๕๑ ให้กรอบเวลาไว้ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนเองทั้งคณะ ต้องทำให้เสร็จภายใน ๒ ปี ถ้าไม่เสร็จ ขยายเวลาได้อีก ๑ ปีสรุป “รอไปอีก ๓ ปี” กว่าจะเสร็จขั้นไต่สวน!ตอนนี้ ป.ป.ช.ครบวาระ ๓ ท่าน อยู่ช่วงกรรมการสรรหากำลังพิจารณาคุณสมบัติผู้สมัคร กว่าจะได้ครบ ก็คงกลางปีหน้าโน่นและถ้าถึงขั้นชี้มูลความผิด ต้องเรียก ๑๒ ผู้ถูกกล่าวหามาให้ปากคำ กี่ปีถึงครบ ๑๒ ปากล่ะ ?เอาว่า “๕ ปี” เร็วสุด!ที่อาจารย์แก้วสรรบอก “คิดว่าจะใช้เวลาไม่นาน” นั้นรออีก ๕-๘ ปี นานมั้ย?เห็นที คณะปชพช.คงต้องทำหน้าที่ “ไม้แยงก้น” ป.ป.ช.เป็นรายการ “ทวงถามรายเดือน” แล้วหละไม่งั้น “กราบป.ป.ช.” ของอาจารย์แก้วสรรสู้ “กราบแผ่นดิน” ของ “พระเจ้ามูลเมือง” ผู้กลับชาติมาเกิดไม่ได้หรอก!เปลว สีเงิน๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๗
    สัประยุทธ์ “ธรรมะ-อธรรม” #เปลวสีเงินplewเปลว สีเงิน“กฎหมาย” มีไว้สร้างสมดุลทาง “สังคมเป็นธรรม”แต่ทุกวันนี้คนใน “๓ สถาบันอำนาจ” คือ อำนาจนิติบัญญัติ, อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ “บางคน”ใช้กฎหมายสร้าง “สังคมอยุติธรรม” ทำลายสมดุลความเป็นคนที่เท่าเทียมทางกฎหมาย จนเกิดคำว่า “ป่วยทิพย์-คุกทิพย์”บ่งบอกถึง “เลือกปฎิบัติ-สองมาตรฐาน” ซึ่งชาวบ้านทั่วไป ไม่มีสิทธิได้รับโอกาสนั้น (เว้นแต่มีเงิน)คนใน ๓ สถาบันอำนาจเท่านั้น….ที่จะทำให้ “สังคมเป็นธรรม” กลายเป็น “สังคมระยำ” เช่นนั้นได้!มันก็แปลก คนกินเงินเดือนจากภาษีประชาชนที่เรียกเรียก “เจ้าหน้าที่รัฐ” กลับมีอำนาจ “เหนือชีวิตประชาชน”นายจ้าง คือคนเสียภาษีแท้ๆ กลับถูก “ส้นตีนอำนาจ” ยัดปากตลอดกาลแค่จะคุกเข่า ยกสองมืออ่อนล้า วอนเมตตาและความเป็นธรรม ก็ยังถูกตราหน้า “พวกทำให้บ้านเมืองเสียโอกาส”โอกาสโกงบ้าน-กินเมืองละก็ใช่แต่ไมใช่โอกาสคืนความชอบธรรมให้กับบ้านเมือง!สังคมชาติที่ผู้คน “ตัวใคร-ตัวมัน” เห็นประโยชน์ชาติ ไม่ใช่ประโยชน์กู แล้วต่างทอดธุระและชาวบ้านก็เอาแต่ “ชะแง้รอแจก”ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ สยบยอมโจร ใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่เป็นกุญแจไข เปิดทางให้มัน “ปล้นบ้าน-ชำเราเมือง” จนย่ามใจ กร่างใหญ่คับประเทศผมก็ได้แต่ทอดถอนใจ ทำได้เพียง “รักบ้าน-รักเมือง” ด้วยปากไปวันๆเมื่อสัปดาห์ก่อน เห็นคนที่ไม่เอาแต่นั่งทอดถอนใจอย่างผม เขาเห็นการประทำย่ำยีบ้านเมืองจากไอ้ตัวกาลีเมืองแล้ว พวกเขาร้อนใจนัดกันไปคุยตามประสาคนห่วงบ้าน-ห่วงเมือง ผมอ่านข่าว ก็มีท่านเหล่านี้แก้วสรร อติโพธิ, ดร.เจิม ศักดิ์ ปิ่นทอง, ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ, ขวัญสรวง อติโพธิ, พลเอกสมเจตน์ บุญถนอมจตุพร พรหมพันธุ์, ทนายนกเขา, ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์,สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, พิชิต ไชยมงคล,สาวิทย์ แก้วหวาน, ประสาร มฤคพิทักษ์, ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว), แซมดิน เลิศบุศย์สมชาย แสวงการ, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม, นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์, ชาญชัย อิสระเสนารักษ์, ปรีดา เตียสุวรรณ์ และฯลฯหลายท่าน รู้จักมักคุ้น หลายท่านได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยพบสรุป ท่านเหล่านั้น มีที่มาเดียวกันบ้าง ต่างกันบ้าง คิดและทำเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้างแต่ที่สุดแล้ว หนีหลักธรรมชาติไม่พ้นธรรมะ คือธรรมชาติ สิ่งจัดสรรมนุษย์คือธรรมชาติ รวงข้าว เมื่อแก่ ย่อมค้อมรวงบัว เกิดจากโคลนตม เมื่อพ้นน้ำ ย่อมปลดเปลื้องจากโคลนตม พิสุทธิ์แทนใจ บูชาธรรมคณะบุคคลเหล่านั้น ก็ประมาณนี้ …..ในความต่างที่มา ที่คิด ที่ทำ ในความเป็นบัณฑิตแห่งธาตุคน ที่สุดแล้ว คนธาตุบัณฑิตย่อมไหลรวมในหมู่บัณฑิตด้วยกันจะเรียกเขาเหล่านั้นว่าอะไรดีล่ะ?เพราะมีทั้ง พันธมิตรฯ ทั้ง กปปส. ทั้งกลุ่มหลอมรวม ทั้งเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ทั้งกลุ่มสันติอโศกเรียกคณะ “ปชพช.” ดีมั้ย ….เป็นอักษรรวมความเพื่อให้ “เรียกง่าย-จำง่าย”ปชพช. “คณะปัญญาชนพิทักษ์ชาติ” ดูเหมาะสมกับสิ่งที่พวกเขาทำเมื่อวาน (๑๘ ธค.๖๗)คือ คณะปัญญาชนพากันเดินไปที่ “สำนักงานคณะกรรมการ​ป้องกัน​และ​ปราบปราม​การ​ทุจริต​แห่งชาติ “​(ป.ป.ช.​)ไม่ได้ไปก่อกวน ก้าวร้าว เยี่ยงอันธพาลเมือง แต่ไปเยี่ยงบัณฑิต กระทำเยี่ยงบัณฑิตเพื่อยื่นหนังสือให้ป.ป.ช.ตระหนักคิด กรณี ป.ป.ช.​ รับพิจารณาข้อกล่าวหา….“นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์” อธิบดีกรมราชทัณฑ์ รวมถึงเจ้าหน้าที่เรือนจำ แพทย์รพ.ราชทัณฑ์ และรพ.ตำรวจ รวม ๑๒ คนส่งตัวผู้ต้องขังรายนายทักษิณ ชินวัตร จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ​ให้ป.ป.ช.เร่งรัดพิจารณาเรื่องนี้และดำเนินคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็ว​ ในหนังสือ มี ๔ ข้อ๑.คดีส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำพบว่า มีพยานเป็นบุคคลชัดเจน ได้เข้าไปเยี่ยมและพบว่าไม่มีอาการเจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ควบคุม หรือประจำอยู่ห้องพิเศษดังกล่าวและยังไม่ปรากฏหลักฐานการตรวจ หรือหลักฐานความเห็นของแพทย์ที่อนุญาตให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจซึ่งพิธีการทั้งหมดนี้ ขัดต่อขั้นตอนกฎกระทรวงทั้งสิ้น และไม่ว่าป.ป.ช.จะขอความร่วมมือไปเท่าไร ก็ไม่ได้รับจึงเป็นหลักฐานที่เพียงพอว่า พฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายทุจริตช่วยเหลือกันโดยมิชอบส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ ของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง ป.ป.ช.จึงต้องเร่งไต่สวน๒.คดีให้อยู่บ้านพักโทษ โดยมติการให้พักโทษ โดยอ้าง นักโทษมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งการนั่ง เดินขึ้นบันได อาบน้ำ แต่งตัวรับประทานอาหาร จึงจำเป็นต้องพักโทษให้แต่ปรากฏว่า หลังการพักโทษ นักโทษกลับแข็งแรงขึ้นมาโดยพลัน เดินทางไปทั่วประเทศ ขึ้นปราศรัย ร่วมงานเลี้ยง ใช้ชีวิตปกติได้ทุกอย่าง จึงไม่อาจเชื่อได้ว่าการพักโทษมาจากการประเมินสภาพร่างกายโดยสุจริตและถูกต้อง​ดังนั้น จึงอยากให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าไปเป็นอีกหนึ่งคดีในชั้นการพิจารณาของป.ป.ช.ด้วย๓.เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย กฎหมายไทยพยายามปราบปรามคดีทุจริตคอร์รัปชันเป็นพิเศษแต่ปรากฏว่า หลังดำเนินคดีไปแล้วไม่มีกรอบเกณฑ์​การตรวจสอบที่เคร่งครัดปล่อยให้กระบวนการทุจริต ตัดทอนโทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา กำเริบเสิบสานเป็นผลให้ความยุติธรรมเสื่อมสลาย จนประชาชนสิ้นศรัทธา๔.เข้าข่ายเป็นกระบวนการทุจริตระดับชาติ ใช้เงินสร้างอำนาจ แล้วใช้อำนาจมา​สร้างเงิน​ สร้างพวก​ สร้างสื่อ สร้างผลงานทุจริตไว้ ๒ ทศวรรษ​ จนเสียหายไปกว่าแสนล้าน และหัวหน้าขบวนการ ก็ยังยอมรับคำขออภัยโทษ ว่าได้ทำผิดไปแล้วจริงๆ แต่มาบัดนี้ แทนที่จะยอมรับโทษกลับหลีกเลี่ยง แสดงตน เข้าครอบงำพรรค​ ผลักดันนโยบายทุจริต สร้างประชานิยมไม่หยุดยั้งและล่าสุดยังประกาศจะพาน้องสาวที่เป็นจำเลยหนีคดีทุจริตรับจำนำข้าวกลับมาด้วยถือเป็นพฤติการณ์ทุจริตฉ้อฉลรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมหยุดบทบาทการเมือง และพาประเทศไปในทางต่ำ“นี่คือหายนะที่เห็นได้ชัดเจน และอนาคตที่มืดมิดเช่นนี้ จึงฝาก ป.ป.ช.ตระหนักและทุ่มเท รับผิดชอบ กู้อนาคตบ้านเมืองอย่างเต็มสติกำลัง”ขณะเดียวกัน ​”คณะปชพช.” ยังบอกว่า….จะยื่นให้สอบบุคคลเพิ่มเติม​ทั้ง ​”พ.ต.อ.ทวี​ สอดส่อง” ​รมว.ยุติธรรม และ “​นางพงษ์สวาท นีละโยธิน” ปลัดฯ ยุติธรรม เพราะมองว่าอยู่ในกระบวนการที่ช่วยนายทักษิณ​อาจารย์ “แก้วสรร อติโพธิ” อดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์และรองอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวต่อหน้าเลขาฯ ป.ป.ช.ว่า“มั่นใจในการทำงาน ป.ป.ช.และคิดว่ากฎหมายกำลังเดินไปตามทางที่ถูก-ที่ควร​ จึงขอให้เดินหน้าเต็มที่​และคิดว่าจะใช้เวลาไม่นานพร้อมขอให้แพทย์ที่รักษานายทักษิณออกมาพูด โดยขอให้เอาตัวการจริงๆ มาลงโทษ​หลายคนถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนายทักษิณ คำตอบในทางกฎหมาย ถ้าหมายศาลให้ขังและหากไม่มีการขังตามหมายต้องออกหมายใหม่ กลับไปเข้าคุกเป็นอำนาจ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง” ที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ กำลังจะไปร้อง ซึ่งศาลสามารถเรียกสำนวนจากป.ป.ช.ไปดูและวินิจฉัยได้“จุดสำคัญ ศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยของป.ป.ช.เพราะคดีนี้ เป็นคดีเจ้าหน้าที่ ดังนั้น นายทักษิณ​ เตรียมตัวได้​”อาจารย์แก้วสรร ยังสัมโมทนียกถาว่า “หากป.ป.ช.ทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง จะยอมกราบเลย”“จตุพร พรหมพันธุ์” อดีตแกนนำนปช.ผู้พ้นขอบเหวคืนสู่ฟากฝั่ง กล่าวว่า“มาให้กำลังใจป.ป.ช.ทั้งมีความไม่สบายใจในอนาคต เพราะคดีของนายทักษิณ ป.ป.ช.เป็นผู้ชี้มูลเองวันนี้มาด้วยความหวังในการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.อย่างตรงไปตรงมา ในจำนวนผู้ที่ถูกตั้งองค์คณะไต่สวน ๑๒ คนนี้ ใครไม่ผิด คือไม่ผิด ไม่ได้ต้องการมาทำให้ “ดำเป็นขาว- ขาวเป็นดำ” แต่ต้องการมาให้ “ถูกเป็นถูก-ผิดเป็นผิด, ดีเป็นดี- ชั่วเป็นชั่ว”ยอมรับว่าเรื่องการไต่สวน วันนี้ “ยังไม่ไว้ใจป.ป.ช.” จนกว่าจะได้พิสูจน์จนสิ้นข้อสงสัยแล้ว และได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตถึงวันนั้น ผมและคณะจะมาขอบคุณอีกครั้งขณะนี้ เป็นที่ประจักษ์ นายทักษิณไม่ได้ติดคุกแม้แต่วันเดียว เราต้องการเห็นน้ำยาของ ป.ป.ช.ไม่ต้องการเห็นขนมจีน….”ครับ….ผมก็เกรงว่า คุณจตุพรจะเห็นแต่ “ขนมจีน” เท่านั้นแหละ ตามกฎหมายป.ป.ช.มาตรา ๕๑ ให้กรอบเวลาไว้ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนเองทั้งคณะ ต้องทำให้เสร็จภายใน ๒ ปี ถ้าไม่เสร็จ ขยายเวลาได้อีก ๑ ปีสรุป “รอไปอีก ๓ ปี” กว่าจะเสร็จขั้นไต่สวน!ตอนนี้ ป.ป.ช.ครบวาระ ๓ ท่าน อยู่ช่วงกรรมการสรรหากำลังพิจารณาคุณสมบัติผู้สมัคร กว่าจะได้ครบ ก็คงกลางปีหน้าโน่นและถ้าถึงขั้นชี้มูลความผิด ต้องเรียก ๑๒ ผู้ถูกกล่าวหามาให้ปากคำ กี่ปีถึงครบ ๑๒ ปากล่ะ ?เอาว่า “๕ ปี” เร็วสุด!ที่อาจารย์แก้วสรรบอก “คิดว่าจะใช้เวลาไม่นาน” นั้นรออีก ๕-๘ ปี นานมั้ย?เห็นที คณะปชพช.คงต้องทำหน้าที่ “ไม้แยงก้น” ป.ป.ช.เป็นรายการ “ทวงถามรายเดือน” แล้วหละไม่งั้น “กราบป.ป.ช.” ของอาจารย์แก้วสรรสู้ “กราบแผ่นดิน” ของ “พระเจ้ามูลเมือง” ผู้กลับชาติมาเกิดไม่ได้หรอก!เปลว สีเงิน๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๗
    Love
    Like
    Yay
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 752 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันที่ 18 ธ.ค. 67 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สนามบินน้ำ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อดีตแกนนำเสื้อเหลือง และอดีตแกนนำเสื้อแดงประกอบด้วย นายแก้วสรร อติโพธิ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายคมสัน โพธิ์คง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ นายประพันธ์ คูณมี นายประสาร มฤคพิทักษ์ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ นายปรีดา เตียสุวรรณ์ นายแซมดิน เลิศบุศย์ นายเสน่ห์ หงษ์ทอง น.ส.นีรนุช จิตต์สม นายมานพ เกื้อรัตน์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา นายอานนท์ กลิ่นแก้ว นายใจเพชร กล้าจน นายพิชิต ไชยมงคล นายนัสเซอร์ ยีหมะ คอนเทนต์แนะนำพร้อมมวลชนจำนวนหนึ่ง เดินทางมาทำกิจกรรม พร้อมอ่านแถลงการณ์ และยื่นหนังสือให้กำลังใจป.ป.ช. ภายหลังมีมติสั่งสอบ 12 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ปมนาย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ารับการรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อให้เร่งรัดพิจารณาเรื่องนี้ และดำเนินคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็ว​ โดยมีนายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เป็นตัวแทนรับหนังสือ โดยนายพิชิต​ ได้อ่านแถลงการณ์ ดังนี้​ ข้อ​ 1 คดีส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำพบว่ามีพยานเป็นบุคคลชัดเจน ได้เข้าไปเยี่ยมและพบว่าไม่มีอาการเจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ควบคุม หรือประจำอยู่ห้องพิเศษดังกล่าว และยังไม่ปรากฏ หลักฐานการตรวจ หรือหลักฐานความเห็นของแพทย์ที่อนุญาต ให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งพิธีการทั้งหมดขัดต่อขั้นตอนกฎกระทรวง ทั้งสิ้น และไม่ว่าป.ป.ช.จะขอความร่วมมือไปเท่าไรก็ไม่ได้รับ จึงเป็นหลักฐานที่เพียงพอว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าขทุจริตช่วยเหลือกัน โดยมิชอบ ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ ของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง ป.ป.ช.จึงต้องเร่งไต่สวน ข้อ​ 2 คดีให้อยู่บ้านพักโทษ โดยมติการให้พักโทษ โดยอ้างว่า​ นักโทษมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งการนั่งเดินขึ้นบันไดอาบน้ำแต่งตัวรับประทานอาหาร จึงจำเป็นต้องพักโทษให้ แต่ปรากฏว่าหลังการพักโทษ นักโทษกับแข็งแรงขึ้นมาโดยพลัน เดินทางไปทั่วประเทศ ขึ้นปราศรัย ร่วมงานเลี้ยง ใช้ชีวิตปกติได้ทุกอย่างจึงไม่อาจเชื่อได้ว่า การพักโทษ มาจากการประเมินสภาพร่างกายโดยสุจริตและถูกต้อง​ ดังนั้นจึงอยากให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าไปเป็นอีกหนึ่งคดีในชั้นการพิจารณาของป.ป.ช.ด้วย ข้อ 3 เรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย โดยกฎหมายไทยพยายาม ปราบปรามคดีทุจริตคอรัปชั่นเป็นพิเศษ แต่ปรากฏว่า หลังดำเนินคดีไปแล้วไม่มีกรอบ เกณฑ์​การตรวจสอบที่เคร่ง ปล่อยให้กระบวนการทุจริตตัดทอน โทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา กำเริบเสิบสาน เป็นผลให้ความยุติธรรมเสื่อมสลาย จนประชาชนสิ้นศรัทธา ข้อ 4 เข้าข่ายเป็นกระบวนการทุจริตระดับชาติ ใช้เงินสร้างอำนาจ แล้วใช้อำนาจมา​ สร้างเงิน​ สร้างพวก​ สร้างสื่อ สร้างผลงานทุจริตไว้ 2 ทศวรรษ​ จนเสียหายไปกว่าแสนล้าน และ หัวหน้ากระบวนการก็ยังยอมรับคำขออภัยโทษ ว่าได้ทำผิดไปแล้วจริงๆ แต่มาบัดนี้แทนที่จะยอมรับโทษ กับหลีกเลี่ยงแสงตน เข้าครอบงำพรรค​ ผลักดันนโยบายทุจริต สร้างประชานิยมไม่หยุดยั้งและล่าสุด ยังประกาศจะพาน้องสาวที่เป็นจำเลยหนีคดีทุจริตรับจำนำข้าวกลับมาด้วย ถือเป็นพฤติการณ์ทุจริตฉ้อฉลรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมหยุดบทบาทการเมือง และพาประเทศไปในทางต่ำ พร้อมกับย้ำว่านี่คือหายนะ ที่เห็นได้อย่างชัดเจน และอนาคตที่มืดมิดเช่นนี้ จึงฝากปปช ตระหนักและทุ่มเท รับผิดชอบ กู้อนาคตบ้านเมืองอย่างเต็มสติกำลัง​ขณะเดียวกัน​ ยังจะมีการยื่นให้สอบบุคคลเพิ่มเติม​ ทั้ง​พันตำรวจเอกทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ยุติธรรม และ​ นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม​ เพราะมองว่าอยู่ในกระบวนการที่ช่วยนายทักษิณ​ จากนั้นนายแก้วสรร กล่าวว่า ตนก็รู้สึกดีใจที่ ป.ป.ช.มีมติสั่งสอบ 12 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจดังกล่าว เพราะไม่เช่นนั้นก็จะหาว่าพวกเรามาบีบบังคับแล้วท่านก็คล้อยตามพวกเรา โดยไม่มีเหตุผล ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้น ในฐานะนักกฎหมาย และเคยตรวจสอบยึดทรัพย์นายทักษิณมาแล้ว ก็อยากจะบอกว่างานนี้ทั้งหลักฐานและข้อกฎหมายมันชัดเจนเห็นตรงกันว่ามีมูล และ ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่มาแล้ว ในฐานะที่ตนเคยตรวจสอบมาพออ่านเกมออก งานนี้ถ้าเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจมีหลักฐานว่าป่วยจริงก็แค่เอามาให้ ป.ป.ช. ซึ่งก็จะไม่มามาถึงวันนี้แน่นอน แต่การที่กลบหลักฐาน ไม่ยอมให้หลักฐานอะไรเลย รวมถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เสรีพิศุทธ์ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย บอกว่าเห็นนายทักษิณนั่งยิ้มกินข้าวเหนียวมะม่วง แถมออกจากโรงพยาบาลมาแล้วก็ใส่ปลอกคอแค่พักเดียว ก็เดินไปทั่วประเทศ เพียงเท่านี้ก็มีมูลชัดเจนแล้วว่าคุณไม่ยอมให้ความร่วมมือ นายแก้วสรร กล่าวว่า ดังนั้นวันนี้ตนมั่นใจใน ป.ป.ช. ว่ากฎหมายกำลังเดินไปตามทางที่ถูกที่ควร งานนี้ไม่ใช่งานการเมือง แต่เป็นกระบวนการยุติธรรมที่สร้างขึ้นมา วันนี้ ป.ป.ช.กำลังเจอกับกระบวนการทุจริตแห่งชาติ เพราะฉะนั้นกำลังใจจึงสำคัญ ตนและประชาชนขอให้ท่านเดินหน้าเต็มที่ ใครไม่ผิดก็ปล่อยเขาไป แต่ใครที่เป็นตัวการจริงๆ และให้ความเห็นว่าหากนายทักษิณอยู่เรือนจำต้องต้องตายแน่ ถามว่ามีหรือไม่ และหมอคนนั้นคือใคร ขอให้นำหลักฐานมา เพราะฉะนั้นนับแต่นี้ต่อไปเมื่อไต่สวนคดี สิ่งที่เราจะเห็นคืออำนาจเด็ดขาด หากไม่ให้เอกสาร ไม่ให้ปากคำจะต้องติดคุก แค่ถามว่าป่วยจริงไหม ใครเกี่ยวข้อง ใครให้ความเห็นเท่านั้น เรื่องจะไม่ช้าแน่นอน เมื่อตรวจสอบเพียงพอแล้วต้องสรุปข้อกล่าวหาส่งให้ผู้เกี่ยวข้องชี้แจง ใครเห็นว่าไม่ทุจริตก็ปล่อยเขาไป ไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหา แต่ใครที่นั่งเงียบๆ แล้วหลักฐานไปถึง ขอให้เรียกเข้ามาตั้งข้อหาเพิ่ม จากนั้นแจ้งข้อหาให้มีการต่อสู้ เชื่อว่างานนี้จะไม่นาน นายแก้วสรร กล่าวว่า ส่วนที่หลายคนถามว่าจะเกิดอะไรกับนายทักษิณ ในทางกฎหมาย ถ้าหมายศาลให้ขังแล้วไม่มีการขังตามหมาย ก็ต้องออกหมายใหม่ เพื่อให้กลับไปเข้าคุก เป็นอำนาจ ของศาลคดีอาญาทางการเมือง ศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอผลคดีนี้ ที่เป็นคดีของเจ้าหน้าที่ว่าปล่อยตัวให้ไปรักษาถูกต้องหรือไม่ และมีใครทุจริตหรือไม่ ส่วนการขังที่ไม่เกิดขึ้นนั้นไม่ว่าจะมีคนทุจริตกี่คนหรือทุจริตหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยว ดังนั้นนายทักษิณเตรียมตัวได้ ด้านนายจตุพร กล่าวว่า วันนี้มาให้กำลังใจ ป.ป.ช.ในการตรวจสอบ เพราะนายทักษิณไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว เราต้องการเห็นน้ำยาของ ป.ป.ช. ส่วนเรื่องเวชระเบียน หากโรงพยาบาลตำรวจไม่ให้ ป.ป.ช.ต้องดำเนินคดีตั้งแต่ ผบ.ตร. โรงพยาบาลตำรวจ แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้การทำการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ทำให้แผ่นดินนี้สูงขึ้นเยอะ ณ วันนี้เรามาด้วยความหวัง และให้กำลังใจ ป.ป.ช.ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เจ้าหน้าที่ในจำนวน 12 คนนี้ ถ้าใครไม่ผิดก็คือไม่ผิด แต่ถ้าใครผิดก็ว่าตามผิด วันนี้ไม่ได้ต้องการมาทำให้ดำเป็นขาว หรือขาวเป็นดำ แต่ต้องการมาทำให้ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว ไม่เช่นนั้นเราจะมีความหวังได้อย่างไร เพราะฉะนั้นตนฝากไปถึงเลขา ป.ป.ช.ตนวาดหวังว่า ป.ป.ช.จะทำหน้าที่ แต่ก็ยังไม่ไว้ใจการไต่สวน จนกว่าจะมีการพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยแล้วว่าได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ส่วน นพ.วรงค์ กล่าวว่า การพักโทษกรณีพิเศษในช่วง 6 เดือนหลัง ถือว่านักโทษอายุเกิน 70 ปีต้องช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือช่วยเหลือตัวเองได้น้อย และนักโทษคนนี้ต้องไม่เป็นอันตรายต่อสังคม หรือโอกาสที่จะทำผิดซ้ำนั้นมีน้อยมาก ถามว่าแล้ววันนี้เป็นอย่างไร ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อสังคม สังคมจะกลียุคและฆ่ากันตาย ดังนั้น ป.ป.ช.ต้องรีบดำเนินการ และยืนยันว่าการพักโทษกรณีนี้ไม่ได้ไปใช้บั้นปลายชีวิตกับครอบครัว ทั้งนี้ ป.ป.ช.ต้องทำหน้าที่อิสระอย่างแท้จริง ต้องตรวจสอบและถ่วงดุล เพราะสภาฯทำหน้าที่ไม่ได้ จึงต้องมาอาศัย ป.ป.ช. เพื่อให้เป็นที่พึ่งของประชาชน เพื่อให้ประเทศอยู่ได้และประชาธิปไตยอยู่รอด ถ้า ป.ป.ช.ไม่เป็นที่พึ่งของประชาชน ประเทศก็จะอยู่ไม่ได้ และ ป.ป.ช.ก็จะไม่มีอีกต่อไป ขณะที่เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ขอขอบคุณที่มาให้กำลังใจในวันนี้ ซึ่งตอนนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งองค์คณะได้ตั้งไต่สวนบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ในการดำเนินการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็มีมติค่อนข้างชัดเจนว่า หากไต่สวนพบบุคคลอื่นที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ก็ให้ดำเนินการไต่สวนต่อไปด้วย ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าเราจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามความคาดหวังของประชาชน และความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ขอยืนยันว่าในส่วนของ ป.ป.ช. เราทำหน้าที่ไต่สวนและรวบรวมพยานหลักฐานตามพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริงเป็นหลัก ดังนั้นในบางเรื่องอาจจะไม่ตรงตามใจที่ประชาชนรับทราบข้อมูลจากสื่อโซเชียลต่างๆ เพราะการพิจารณาต้องดูพยานหลักฐานเป็นหลัก และพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและเป็นเสาหลักในกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองต่อไป
    วันที่ 18 ธ.ค. 67 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สนามบินน้ำ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อดีตแกนนำเสื้อเหลือง และอดีตแกนนำเสื้อแดงประกอบด้วย นายแก้วสรร อติโพธิ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายคมสัน โพธิ์คง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ นายประพันธ์ คูณมี นายประสาร มฤคพิทักษ์ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ นายปรีดา เตียสุวรรณ์ นายแซมดิน เลิศบุศย์ นายเสน่ห์ หงษ์ทอง น.ส.นีรนุช จิตต์สม นายมานพ เกื้อรัตน์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา นายอานนท์ กลิ่นแก้ว นายใจเพชร กล้าจน นายพิชิต ไชยมงคล นายนัสเซอร์ ยีหมะ คอนเทนต์แนะนำพร้อมมวลชนจำนวนหนึ่ง เดินทางมาทำกิจกรรม พร้อมอ่านแถลงการณ์ และยื่นหนังสือให้กำลังใจป.ป.ช. ภายหลังมีมติสั่งสอบ 12 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ปมนาย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ารับการรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อให้เร่งรัดพิจารณาเรื่องนี้ และดำเนินคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็ว​ โดยมีนายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เป็นตัวแทนรับหนังสือ โดยนายพิชิต​ ได้อ่านแถลงการณ์ ดังนี้​ ข้อ​ 1 คดีส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำพบว่ามีพยานเป็นบุคคลชัดเจน ได้เข้าไปเยี่ยมและพบว่าไม่มีอาการเจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ควบคุม หรือประจำอยู่ห้องพิเศษดังกล่าว และยังไม่ปรากฏ หลักฐานการตรวจ หรือหลักฐานความเห็นของแพทย์ที่อนุญาต ให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งพิธีการทั้งหมดขัดต่อขั้นตอนกฎกระทรวง ทั้งสิ้น และไม่ว่าป.ป.ช.จะขอความร่วมมือไปเท่าไรก็ไม่ได้รับ จึงเป็นหลักฐานที่เพียงพอว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าขทุจริตช่วยเหลือกัน โดยมิชอบ ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ ของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง ป.ป.ช.จึงต้องเร่งไต่สวน ข้อ​ 2 คดีให้อยู่บ้านพักโทษ โดยมติการให้พักโทษ โดยอ้างว่า​ นักโทษมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งการนั่งเดินขึ้นบันไดอาบน้ำแต่งตัวรับประทานอาหาร จึงจำเป็นต้องพักโทษให้ แต่ปรากฏว่าหลังการพักโทษ นักโทษกับแข็งแรงขึ้นมาโดยพลัน เดินทางไปทั่วประเทศ ขึ้นปราศรัย ร่วมงานเลี้ยง ใช้ชีวิตปกติได้ทุกอย่างจึงไม่อาจเชื่อได้ว่า การพักโทษ มาจากการประเมินสภาพร่างกายโดยสุจริตและถูกต้อง​ ดังนั้นจึงอยากให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าไปเป็นอีกหนึ่งคดีในชั้นการพิจารณาของป.ป.ช.ด้วย ข้อ 3 เรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย โดยกฎหมายไทยพยายาม ปราบปรามคดีทุจริตคอรัปชั่นเป็นพิเศษ แต่ปรากฏว่า หลังดำเนินคดีไปแล้วไม่มีกรอบ เกณฑ์​การตรวจสอบที่เคร่ง ปล่อยให้กระบวนการทุจริตตัดทอน โทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา กำเริบเสิบสาน เป็นผลให้ความยุติธรรมเสื่อมสลาย จนประชาชนสิ้นศรัทธา ข้อ 4 เข้าข่ายเป็นกระบวนการทุจริตระดับชาติ ใช้เงินสร้างอำนาจ แล้วใช้อำนาจมา​ สร้างเงิน​ สร้างพวก​ สร้างสื่อ สร้างผลงานทุจริตไว้ 2 ทศวรรษ​ จนเสียหายไปกว่าแสนล้าน และ หัวหน้ากระบวนการก็ยังยอมรับคำขออภัยโทษ ว่าได้ทำผิดไปแล้วจริงๆ แต่มาบัดนี้แทนที่จะยอมรับโทษ กับหลีกเลี่ยงแสงตน เข้าครอบงำพรรค​ ผลักดันนโยบายทุจริต สร้างประชานิยมไม่หยุดยั้งและล่าสุด ยังประกาศจะพาน้องสาวที่เป็นจำเลยหนีคดีทุจริตรับจำนำข้าวกลับมาด้วย ถือเป็นพฤติการณ์ทุจริตฉ้อฉลรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมหยุดบทบาทการเมือง และพาประเทศไปในทางต่ำ พร้อมกับย้ำว่านี่คือหายนะ ที่เห็นได้อย่างชัดเจน และอนาคตที่มืดมิดเช่นนี้ จึงฝากปปช ตระหนักและทุ่มเท รับผิดชอบ กู้อนาคตบ้านเมืองอย่างเต็มสติกำลัง​ขณะเดียวกัน​ ยังจะมีการยื่นให้สอบบุคคลเพิ่มเติม​ ทั้ง​พันตำรวจเอกทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ยุติธรรม และ​ นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม​ เพราะมองว่าอยู่ในกระบวนการที่ช่วยนายทักษิณ​ จากนั้นนายแก้วสรร กล่าวว่า ตนก็รู้สึกดีใจที่ ป.ป.ช.มีมติสั่งสอบ 12 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจดังกล่าว เพราะไม่เช่นนั้นก็จะหาว่าพวกเรามาบีบบังคับแล้วท่านก็คล้อยตามพวกเรา โดยไม่มีเหตุผล ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้น ในฐานะนักกฎหมาย และเคยตรวจสอบยึดทรัพย์นายทักษิณมาแล้ว ก็อยากจะบอกว่างานนี้ทั้งหลักฐานและข้อกฎหมายมันชัดเจนเห็นตรงกันว่ามีมูล และ ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่มาแล้ว ในฐานะที่ตนเคยตรวจสอบมาพออ่านเกมออก งานนี้ถ้าเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจมีหลักฐานว่าป่วยจริงก็แค่เอามาให้ ป.ป.ช. ซึ่งก็จะไม่มามาถึงวันนี้แน่นอน แต่การที่กลบหลักฐาน ไม่ยอมให้หลักฐานอะไรเลย รวมถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เสรีพิศุทธ์ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย บอกว่าเห็นนายทักษิณนั่งยิ้มกินข้าวเหนียวมะม่วง แถมออกจากโรงพยาบาลมาแล้วก็ใส่ปลอกคอแค่พักเดียว ก็เดินไปทั่วประเทศ เพียงเท่านี้ก็มีมูลชัดเจนแล้วว่าคุณไม่ยอมให้ความร่วมมือ นายแก้วสรร กล่าวว่า ดังนั้นวันนี้ตนมั่นใจใน ป.ป.ช. ว่ากฎหมายกำลังเดินไปตามทางที่ถูกที่ควร งานนี้ไม่ใช่งานการเมือง แต่เป็นกระบวนการยุติธรรมที่สร้างขึ้นมา วันนี้ ป.ป.ช.กำลังเจอกับกระบวนการทุจริตแห่งชาติ เพราะฉะนั้นกำลังใจจึงสำคัญ ตนและประชาชนขอให้ท่านเดินหน้าเต็มที่ ใครไม่ผิดก็ปล่อยเขาไป แต่ใครที่เป็นตัวการจริงๆ และให้ความเห็นว่าหากนายทักษิณอยู่เรือนจำต้องต้องตายแน่ ถามว่ามีหรือไม่ และหมอคนนั้นคือใคร ขอให้นำหลักฐานมา เพราะฉะนั้นนับแต่นี้ต่อไปเมื่อไต่สวนคดี สิ่งที่เราจะเห็นคืออำนาจเด็ดขาด หากไม่ให้เอกสาร ไม่ให้ปากคำจะต้องติดคุก แค่ถามว่าป่วยจริงไหม ใครเกี่ยวข้อง ใครให้ความเห็นเท่านั้น เรื่องจะไม่ช้าแน่นอน เมื่อตรวจสอบเพียงพอแล้วต้องสรุปข้อกล่าวหาส่งให้ผู้เกี่ยวข้องชี้แจง ใครเห็นว่าไม่ทุจริตก็ปล่อยเขาไป ไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหา แต่ใครที่นั่งเงียบๆ แล้วหลักฐานไปถึง ขอให้เรียกเข้ามาตั้งข้อหาเพิ่ม จากนั้นแจ้งข้อหาให้มีการต่อสู้ เชื่อว่างานนี้จะไม่นาน นายแก้วสรร กล่าวว่า ส่วนที่หลายคนถามว่าจะเกิดอะไรกับนายทักษิณ ในทางกฎหมาย ถ้าหมายศาลให้ขังแล้วไม่มีการขังตามหมาย ก็ต้องออกหมายใหม่ เพื่อให้กลับไปเข้าคุก เป็นอำนาจ ของศาลคดีอาญาทางการเมือง ศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอผลคดีนี้ ที่เป็นคดีของเจ้าหน้าที่ว่าปล่อยตัวให้ไปรักษาถูกต้องหรือไม่ และมีใครทุจริตหรือไม่ ส่วนการขังที่ไม่เกิดขึ้นนั้นไม่ว่าจะมีคนทุจริตกี่คนหรือทุจริตหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยว ดังนั้นนายทักษิณเตรียมตัวได้ ด้านนายจตุพร กล่าวว่า วันนี้มาให้กำลังใจ ป.ป.ช.ในการตรวจสอบ เพราะนายทักษิณไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว เราต้องการเห็นน้ำยาของ ป.ป.ช. ส่วนเรื่องเวชระเบียน หากโรงพยาบาลตำรวจไม่ให้ ป.ป.ช.ต้องดำเนินคดีตั้งแต่ ผบ.ตร. โรงพยาบาลตำรวจ แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้การทำการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ทำให้แผ่นดินนี้สูงขึ้นเยอะ ณ วันนี้เรามาด้วยความหวัง และให้กำลังใจ ป.ป.ช.ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เจ้าหน้าที่ในจำนวน 12 คนนี้ ถ้าใครไม่ผิดก็คือไม่ผิด แต่ถ้าใครผิดก็ว่าตามผิด วันนี้ไม่ได้ต้องการมาทำให้ดำเป็นขาว หรือขาวเป็นดำ แต่ต้องการมาทำให้ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว ไม่เช่นนั้นเราจะมีความหวังได้อย่างไร เพราะฉะนั้นตนฝากไปถึงเลขา ป.ป.ช.ตนวาดหวังว่า ป.ป.ช.จะทำหน้าที่ แต่ก็ยังไม่ไว้ใจการไต่สวน จนกว่าจะมีการพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยแล้วว่าได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ส่วน นพ.วรงค์ กล่าวว่า การพักโทษกรณีพิเศษในช่วง 6 เดือนหลัง ถือว่านักโทษอายุเกิน 70 ปีต้องช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือช่วยเหลือตัวเองได้น้อย และนักโทษคนนี้ต้องไม่เป็นอันตรายต่อสังคม หรือโอกาสที่จะทำผิดซ้ำนั้นมีน้อยมาก ถามว่าแล้ววันนี้เป็นอย่างไร ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อสังคม สังคมจะกลียุคและฆ่ากันตาย ดังนั้น ป.ป.ช.ต้องรีบดำเนินการ และยืนยันว่าการพักโทษกรณีนี้ไม่ได้ไปใช้บั้นปลายชีวิตกับครอบครัว ทั้งนี้ ป.ป.ช.ต้องทำหน้าที่อิสระอย่างแท้จริง ต้องตรวจสอบและถ่วงดุล เพราะสภาฯทำหน้าที่ไม่ได้ จึงต้องมาอาศัย ป.ป.ช. เพื่อให้เป็นที่พึ่งของประชาชน เพื่อให้ประเทศอยู่ได้และประชาธิปไตยอยู่รอด ถ้า ป.ป.ช.ไม่เป็นที่พึ่งของประชาชน ประเทศก็จะอยู่ไม่ได้ และ ป.ป.ช.ก็จะไม่มีอีกต่อไป ขณะที่เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ขอขอบคุณที่มาให้กำลังใจในวันนี้ ซึ่งตอนนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งองค์คณะได้ตั้งไต่สวนบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ในการดำเนินการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็มีมติค่อนข้างชัดเจนว่า หากไต่สวนพบบุคคลอื่นที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ก็ให้ดำเนินการไต่สวนต่อไปด้วย ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าเราจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามความคาดหวังของประชาชน และความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ขอยืนยันว่าในส่วนของ ป.ป.ช. เราทำหน้าที่ไต่สวนและรวบรวมพยานหลักฐานตามพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริงเป็นหลัก ดังนั้นในบางเรื่องอาจจะไม่ตรงตามใจที่ประชาชนรับทราบข้อมูลจากสื่อโซเชียลต่างๆ เพราะการพิจารณาต้องดูพยานหลักฐานเป็นหลัก และพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและเป็นเสาหลักในกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองต่อไป
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 584 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดชื่อ 12 ข้าราชการ-จนท.รัฐ
    เอื้อ "ทักษิณ" ป่วยทิพย์ที่ชั้น 14
    .
    วันนี้ (16 ธ.ค.) นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า วันนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณากรณีกล่าวหานายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และพล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กรณีส่งตัวผู้ต้องขังรายนายทักษิณ ชินวัตร จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ และให้นายทักษิณ ชินวัตร อยู่รักษา ที่โรงพยาบาลตำรวจจนกระทั่งครบ 180 วัน ทั้งที่ไม่เจ็บป่วยจริง เพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำ โดยพิจารณารายงานการตรวจสอบเบื้องต้น แล้วเห็นว่า จากการตรวจสอบพบว่า มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอ จึงมีมติรับเรื่องไว้พิจารณาและดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็นองค์คณะไต่สวน ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 51 โดยให้ดำเนินการไต่สวนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวม 12 คน ทั้งนี้ หากในชั้นไต่สวนพบว่ามีบุคคลอื่น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ให้ดำเนินการไต่สวนกับบุคคลดังกล่าวต่อไป
    .
    สำหรับ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ จำนวน 12 ราย ที่จะถูกดำเนินไต่สวนกรณีนี้ ประกอบด้วย
    .
    1. นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์
    2. นายสิทธิ สุธีวงศ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์
    3. นายชาญ วชิรเดช รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์
    4. นายนัสที ทองปลาด ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
    5. พลตำรวจโท โสภณรัชต์ สิงหจารุ เมื่อครั้งนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ
    6. พลตำรวจโท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ
    7. พันตำรวจเอก ชนะ จงโชคดี นายแพทย์ (สบ 5) โรงพยาบาลตำรวจ แพทย์เจ้าของไข้ และผู้ออกใบความเห็นแพทย์
    8. พลตำรวจตรี สามารถ ม่วงศิริ แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ผู้ออกใบความเห็นแพทย์
    9. นายแพทย์ วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์
    10. แพทย์หญิง รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ผู้ตรวจร่างกายขณะรับตัวผู้ต้องขังใหม่
    11. นายสัญญา วงค์หินกอง พัศดีเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
    12. นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
    .
    Cr : MGR Infographics
    .
    .
    #ข้าราชการ #เจ้าหน้าที่รัฐ #เรือนจำพิเศษ #ทักษิณชินวัตร #ป่วยทิพย์ #ชั้น14
    เปิดชื่อ 12 ข้าราชการ-จนท.รัฐ เอื้อ "ทักษิณ" ป่วยทิพย์ที่ชั้น 14 . วันนี้ (16 ธ.ค.) นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า วันนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณากรณีกล่าวหานายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และพล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กรณีส่งตัวผู้ต้องขังรายนายทักษิณ ชินวัตร จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ และให้นายทักษิณ ชินวัตร อยู่รักษา ที่โรงพยาบาลตำรวจจนกระทั่งครบ 180 วัน ทั้งที่ไม่เจ็บป่วยจริง เพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำ โดยพิจารณารายงานการตรวจสอบเบื้องต้น แล้วเห็นว่า จากการตรวจสอบพบว่า มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอ จึงมีมติรับเรื่องไว้พิจารณาและดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็นองค์คณะไต่สวน ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 51 โดยให้ดำเนินการไต่สวนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวม 12 คน ทั้งนี้ หากในชั้นไต่สวนพบว่ามีบุคคลอื่น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ให้ดำเนินการไต่สวนกับบุคคลดังกล่าวต่อไป . สำหรับ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ จำนวน 12 ราย ที่จะถูกดำเนินไต่สวนกรณีนี้ ประกอบด้วย . 1. นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ 2. นายสิทธิ สุธีวงศ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ 3. นายชาญ วชิรเดช รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ 4. นายนัสที ทองปลาด ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 5. พลตำรวจโท โสภณรัชต์ สิงหจารุ เมื่อครั้งนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ 6. พลตำรวจโท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ 7. พันตำรวจเอก ชนะ จงโชคดี นายแพทย์ (สบ 5) โรงพยาบาลตำรวจ แพทย์เจ้าของไข้ และผู้ออกใบความเห็นแพทย์ 8. พลตำรวจตรี สามารถ ม่วงศิริ แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ผู้ออกใบความเห็นแพทย์ 9. นายแพทย์ วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ 10. แพทย์หญิง รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ผู้ตรวจร่างกายขณะรับตัวผู้ต้องขังใหม่ 11. นายสัญญา วงค์หินกอง พัศดีเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 12. นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร . Cr : MGR Infographics . . #ข้าราชการ #เจ้าหน้าที่รัฐ #เรือนจำพิเศษ #ทักษิณชินวัตร #ป่วยทิพย์ #ชั้น14
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 732 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่กังวลหลุดเก้าอี้ รมต. ปม ป.ป.ช. ไต่สวนทักษิณชั้น 14 (17/12/67) #news1#ชั้น14 #ทักษิณ
    ไม่กังวลหลุดเก้าอี้ รมต. ปม ป.ป.ช. ไต่สวนทักษิณชั้น 14 (17/12/67) #news1#ชั้น14 #ทักษิณ
    Haha
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 837 มุมมอง 46 0 รีวิว
  • INFO สำนักข่าวอิศรา “:สรุปมติ ป.ป.ช.ตั้งองค์คณะไต่สวน ขรก.-จนท.รัฐ 12 ราย คดีเอื้อ'ทักษิณ' ชั้น 14”.ป.ป.ช.มติเอกฉันท์ตั้งองค์คณะไต่สวนชุดใหญ่ ขรก.-เจ้าหน้าที่รัฐ 12 ราย กรมราชทัณฑ์ เรือนจำพิเศษกทม. โรงพยาบาลตำรวจ กรณีเอื้อประโยชน์ 'ทักษิณ ชินวัตร' เข้ารักษาตัวห้องพิเศษชั้น 14 เผยชื่อ 'อธิบดี - รองฯ -ผู้บัญชาการเรือนจำ-แพทย์ -พัศดี- พยาบาล' โดนหมด สำนักข่าวอิศรา จึงนำข้อมูล มานำเสนอผ่านภาพอินโฟกราฟิก ดังนี้.อ่านเพิ่มเติมhttps://www.isranews.org/article/infographic/134270-SSSS.htmlhttps://www.isranews.org/.../isra.../134268-investwooas.html
    INFO สำนักข่าวอิศรา “:สรุปมติ ป.ป.ช.ตั้งองค์คณะไต่สวน ขรก.-จนท.รัฐ 12 ราย คดีเอื้อ'ทักษิณ' ชั้น 14”.ป.ป.ช.มติเอกฉันท์ตั้งองค์คณะไต่สวนชุดใหญ่ ขรก.-เจ้าหน้าที่รัฐ 12 ราย กรมราชทัณฑ์ เรือนจำพิเศษกทม. โรงพยาบาลตำรวจ กรณีเอื้อประโยชน์ 'ทักษิณ ชินวัตร' เข้ารักษาตัวห้องพิเศษชั้น 14 เผยชื่อ 'อธิบดี - รองฯ -ผู้บัญชาการเรือนจำ-แพทย์ -พัศดี- พยาบาล' โดนหมด สำนักข่าวอิศรา จึงนำข้อมูล มานำเสนอผ่านภาพอินโฟกราฟิก ดังนี้.อ่านเพิ่มเติมhttps://www.isranews.org/article/infographic/134270-SSSS.htmlhttps://www.isranews.org/.../isra.../134268-investwooas.html
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 386 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## เมื่อนายใหญ่ "ไม่อยากติดคุกแม้แต่วันเดียว" ข้ารับใข้ก็ต้อง เข้าไปติดคุกแทน...!!! ##
    ..
    ..
    มติเอกฉันท์...!!!
    .
    ป.ป.ช.ตั้งองค์คณะไต่สวน อธิบดี-หมอ-ผบ.คุก-จนท.12ราย เอื้อ "ทักษิณ" ชั้น 14
    ....
    ....
    เมื่อนายใหญ่เคยลั่นวาจาว่า จะกลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุกเลยแม้แต่วันเดียว...!!!
    .
    ข้ารับใช้ก็ต้อง สรรหาวิธีการ...
    .
    เมื่อไอเดียบรรเจิด งั้นสลับที่กันก็ได้นี่หว่า...!!!
    .
    การหาคนไปติดคุกแทน สไตล์คนมีอำนาจ จำเริ่มต้นขึ้น...
    .
    ผลก็ออกมาอย่างที่เรารับรู้กัน...
    .
    อ้างว่าป่วยใกล้จะตาย จะออกจากโรงพยาบาลชั้น 14 ไม่ได้ ไม่งั้นตายแน่...!!!
    .
    พอถามว่าเป็นอะไร 5 คนตอบ ก็ 5 โรค ไม่ซ้ำกัน ทั้ง เอ็นขาด เอ็นเปื่อยยุ่ย ก็ว่ากันไป...
    .
    ตอนพาออกมากระบวนการขั้นตอนรวดเร็วปาน เดอะแฟรช รับลูกไหลลื่นต่อกันเป็นทอดๆ...
    .
    วันนี้พอถูกสอบสวน...
    .
    เกษียณแล้ว มั่งหละ
    ไม่รู้เรื่องมั่งหละ
    ไม่เคยเห็นมั่งหละ
    เวชระเบียนไม่มีมั่งหละ
    .
    ทุกวันนี้ เห็นแต่เดินทาง ออนทัวร์ทางการเมือง...
    .
    ไปขึ้นเวทีปราศรัย
    ไปหาเสียง
    ไปปาถกฐาที่ประชุมพรรค
    ไม่พอใจ ไล่คนนั้นไล่คนนี้
    .
    คนไทยไม่ได้โง่ทุกคนหรอกครับ...
    ...
    ...
    นิทานเรื่องแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่ได้อ้างอิงบุคคลที่มีอยู่จริงแต่อย่างใด...
    ...
    ...
    🤣🤣🤣🤣🤣🤣
    .
    https://www.isranews.org/article/isranews/134249-invessssss-4.html
    ## เมื่อนายใหญ่ "ไม่อยากติดคุกแม้แต่วันเดียว" ข้ารับใข้ก็ต้อง เข้าไปติดคุกแทน...!!! ## .. .. มติเอกฉันท์...!!! . ป.ป.ช.ตั้งองค์คณะไต่สวน อธิบดี-หมอ-ผบ.คุก-จนท.12ราย เอื้อ "ทักษิณ" ชั้น 14 .... .... เมื่อนายใหญ่เคยลั่นวาจาว่า จะกลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุกเลยแม้แต่วันเดียว...!!! . ข้ารับใช้ก็ต้อง สรรหาวิธีการ... . เมื่อไอเดียบรรเจิด งั้นสลับที่กันก็ได้นี่หว่า...!!! . การหาคนไปติดคุกแทน สไตล์คนมีอำนาจ จำเริ่มต้นขึ้น... . ผลก็ออกมาอย่างที่เรารับรู้กัน... . อ้างว่าป่วยใกล้จะตาย จะออกจากโรงพยาบาลชั้น 14 ไม่ได้ ไม่งั้นตายแน่...!!! . พอถามว่าเป็นอะไร 5 คนตอบ ก็ 5 โรค ไม่ซ้ำกัน ทั้ง เอ็นขาด เอ็นเปื่อยยุ่ย ก็ว่ากันไป... . ตอนพาออกมากระบวนการขั้นตอนรวดเร็วปาน เดอะแฟรช รับลูกไหลลื่นต่อกันเป็นทอดๆ... . วันนี้พอถูกสอบสวน... . เกษียณแล้ว มั่งหละ ไม่รู้เรื่องมั่งหละ ไม่เคยเห็นมั่งหละ เวชระเบียนไม่มีมั่งหละ . ทุกวันนี้ เห็นแต่เดินทาง ออนทัวร์ทางการเมือง... . ไปขึ้นเวทีปราศรัย ไปหาเสียง ไปปาถกฐาที่ประชุมพรรค ไม่พอใจ ไล่คนนั้นไล่คนนี้ . คนไทยไม่ได้โง่ทุกคนหรอกครับ... ... ... นิทานเรื่องแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่ได้อ้างอิงบุคคลที่มีอยู่จริงแต่อย่างใด... ... ... 🤣🤣🤣🤣🤣🤣 . https://www.isranews.org/article/isranews/134249-invessssss-4.html
    WWW.ISRANEWS.ORG
    มติเอกฉันท์! ป.ป.ช.ตั้งองค์คณะไต่สวน อธิบดี-หมอ-ผบ.คุก-จนท.12ราย เอื้อ 'ทักษิณ' ชั้น 14
    ป.ป.ช.มติเอกฉันท์ตั้งองค์คณะไต่สวนชุดใหญ่ ขรก.-เจ้าหน้าที่รัฐ 12 ราย กรมราชทัณฑ์ เรือนจำพิเศษกทม. โรงพยาบาลตำรวจ กรณีเอื้อประโยชน์ 'ทักษิณ ชินวัตร' เข้ารักษาตัวห้องพิเศษชั้น 14 เผยชื่อ 'อธิบดี - รองฯ -ผู้บัญชาการเรือนจำ-แพทย์ -พัศดี- พยาบาล' โดนหมด
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • ป.ป.ช.รับเรื่องคดีเอื้อทักษิณนอนชั้น 14 ไม่ติดคุก เปิดชื่อ 12 จนท.กรมคุก-รพ.ตำรวจ ไต่สวนชุดใหญ่

    ที่ประชุม ป.ป.ช. มีมติรับเรื่องกรณีอธิบดีราชทัณฑ์-แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ เอื้อประโยชน์นักโทษชายทักษิณ นอนวีไอพีชั้น 14 ไม่ติดคุกจริง เปิด 12 รายชื่ออธิบดี-รองอธิบดี-ผบ.เรือนจำ-แพทย์ -พัศดี- พยาบาล โดนไต่สวนชุดใหญ่

    วันนี้ (16 ธ.ค.) นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า วันนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณากรณีกล่าวหา นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กรณีส่งตัวผู้ต้องขังราย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบิดาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ และให้นายทักษิณ ชินวัตร อยู่รักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ จนกระทั่งครบ 180 วัน ทั้งที่ไม่เจ็บป่วยจริง เพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำ

    โดยพิจารณารายงานการตรวจสอบเบื้องต้นแล้วเห็นว่า จากการตรวจสอบพบว่า มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอ จึงมีมติรับเรื่องไว้พิจารณาและดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็นองค์คณะไต่สวน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 51 โดยให้ดำเนินการไต่สวนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวม 12 คน ทั้งนี้ หากในชั้นไต่สวนพบว่ามีบุคคลอื่น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ให้ดำเนินการไต่สวนกับบุคคลดังกล่าวต่อไป

    รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ให้กรรมการ ป.ป.ช. ทุกคนเป็นองค์คณะไต่สวนข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ กรมราชทัณฑ์ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลตำรวจ จำนวน 12 ราย กรณีเอื้อประโยชน์ นายทักษิณ เข้าพักรักษาตัวที่ ห้องพิเศษชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ประกอบด้วย 

    1. นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์   อธิบดีกรมราชทัณฑ์

    2. นายสิทธิ สุธีวงศ์  เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์

    3. นายชาญ วชิรเดช  รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ 

    4. นายนัสที ทองปลาด  ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

    5. พลตำรวจโท โสภณรัชต์ สิงหจารุ  เมื่อครั้งนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ

    6. พลตำรวจโท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์  นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ

    7. พันตำรวจเอก ชนะ จงโชคดี  นายแพทย์ (สบ 5) โรงพยาบาลตำรวจ แพทย์เจ้าของไข้ และผู้ออกใบความเห็นแพทย์

    8. พลตำรวจตรี สามารถ ม่วงศิริ  แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ผู้ออกใบความเห็นแพทย์

    9. นายแพทย์ วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข  ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์

    10. แพทย์หญิง รวมทิพย์ สุภานันท์  แพทย์ผู้ตรวจร่างกายขณะรับตัวผู้ต้องขังใหม่

    11. นายสัญญา วงค์หินกอง  พัศดีเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

    12. นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน  พยาบาลเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 

    ทั้งนี้ การตั้งองค์คณะไต่สวนคดีชั้น 14 ของ ป.ป.ช. ครั้งนี้ เป็นการไต่สวนคดีตามขั้นตอนทางกฎหมาย ยังต้องผ่านขั้นตอนอีกหลายขั้นตอน ถ้าพบว่ามีมูลจึงจะมีการแจ้งข้อกล่าวหา และเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง จากนั้นจึงจะสรุปสำนวน ส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลอีกครั้ง เพราะฉะนั้นข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 12 ราย ตามรายชื่อข้างต้น ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ 

    สำหรับกรณีนี้ ปรากฏเป็นข่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ป.ป.ช.ได้ทำการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงรวบรวมพยานหลักฐานมาระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ส่งรายงานการตรวจสอบที่ชี้ว่า นายทักษิณ ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น มาให้ ป.ป.ช. พิจารณาประกอบในช่วงเดือน ส.ค.2567 ที่ผ่านมาด้วย

    ขณะที่การตั้งองค์คณะไต่สวนชุดใหญ่ขึ้นมาไต่สวนคดีของ ป.ป.ช. เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 51 ที่ระบุว่า ในการไต่สวนเรื่องใดที่เป็นเรื่องสำคัญมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง หรือเป็นกรณีมีการไต่สวนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนเอง หรือจะแต่งตั้งกรรมการไม่น้อยกว่าสองคนและบุคคลอื่นเป็นคณะกรรมการไต่สวนก็ได้
    คณะกรรมการไต่สวนตามวรรคหนึ่งมีอำนาจแต่งตั้งหัวหน้าพนักงานไต่สวนหรือพนักงานไต่สวน และพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ช่วยเหลือคณะกรรมการไต่สวนในการดำเนินการตามหน้าที่ได้ตามที่เห็นสมควร
    ............
    Sondhi X
    ป.ป.ช.รับเรื่องคดีเอื้อทักษิณนอนชั้น 14 ไม่ติดคุก เปิดชื่อ 12 จนท.กรมคุก-รพ.ตำรวจ ไต่สวนชุดใหญ่ ที่ประชุม ป.ป.ช. มีมติรับเรื่องกรณีอธิบดีราชทัณฑ์-แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ เอื้อประโยชน์นักโทษชายทักษิณ นอนวีไอพีชั้น 14 ไม่ติดคุกจริง เปิด 12 รายชื่ออธิบดี-รองอธิบดี-ผบ.เรือนจำ-แพทย์ -พัศดี- พยาบาล โดนไต่สวนชุดใหญ่ วันนี้ (16 ธ.ค.) นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า วันนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณากรณีกล่าวหา นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กรณีส่งตัวผู้ต้องขังราย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบิดาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ และให้นายทักษิณ ชินวัตร อยู่รักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ จนกระทั่งครบ 180 วัน ทั้งที่ไม่เจ็บป่วยจริง เพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำ โดยพิจารณารายงานการตรวจสอบเบื้องต้นแล้วเห็นว่า จากการตรวจสอบพบว่า มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอ จึงมีมติรับเรื่องไว้พิจารณาและดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็นองค์คณะไต่สวน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 51 โดยให้ดำเนินการไต่สวนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวม 12 คน ทั้งนี้ หากในชั้นไต่สวนพบว่ามีบุคคลอื่น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ให้ดำเนินการไต่สวนกับบุคคลดังกล่าวต่อไป รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ให้กรรมการ ป.ป.ช. ทุกคนเป็นองค์คณะไต่สวนข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ กรมราชทัณฑ์ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลตำรวจ จำนวน 12 ราย กรณีเอื้อประโยชน์ นายทักษิณ เข้าพักรักษาตัวที่ ห้องพิเศษชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ประกอบด้วย  1. นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์   อธิบดีกรมราชทัณฑ์ 2. นายสิทธิ สุธีวงศ์  เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ 3. นายชาญ วชิรเดช  รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์  4. นายนัสที ทองปลาด  ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 5. พลตำรวจโท โสภณรัชต์ สิงหจารุ  เมื่อครั้งนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ 6. พลตำรวจโท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์  นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ 7. พันตำรวจเอก ชนะ จงโชคดี  นายแพทย์ (สบ 5) โรงพยาบาลตำรวจ แพทย์เจ้าของไข้ และผู้ออกใบความเห็นแพทย์ 8. พลตำรวจตรี สามารถ ม่วงศิริ  แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ผู้ออกใบความเห็นแพทย์ 9. นายแพทย์ วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข  ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ 10. แพทย์หญิง รวมทิพย์ สุภานันท์  แพทย์ผู้ตรวจร่างกายขณะรับตัวผู้ต้องขังใหม่ 11. นายสัญญา วงค์หินกอง  พัศดีเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 12. นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน  พยาบาลเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร  ทั้งนี้ การตั้งองค์คณะไต่สวนคดีชั้น 14 ของ ป.ป.ช. ครั้งนี้ เป็นการไต่สวนคดีตามขั้นตอนทางกฎหมาย ยังต้องผ่านขั้นตอนอีกหลายขั้นตอน ถ้าพบว่ามีมูลจึงจะมีการแจ้งข้อกล่าวหา และเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง จากนั้นจึงจะสรุปสำนวน ส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลอีกครั้ง เพราะฉะนั้นข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 12 ราย ตามรายชื่อข้างต้น ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่  สำหรับกรณีนี้ ปรากฏเป็นข่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ป.ป.ช.ได้ทำการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงรวบรวมพยานหลักฐานมาระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ส่งรายงานการตรวจสอบที่ชี้ว่า นายทักษิณ ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น มาให้ ป.ป.ช. พิจารณาประกอบในช่วงเดือน ส.ค.2567 ที่ผ่านมาด้วย ขณะที่การตั้งองค์คณะไต่สวนชุดใหญ่ขึ้นมาไต่สวนคดีของ ป.ป.ช. เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 51 ที่ระบุว่า ในการไต่สวนเรื่องใดที่เป็นเรื่องสำคัญมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง หรือเป็นกรณีมีการไต่สวนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนเอง หรือจะแต่งตั้งกรรมการไม่น้อยกว่าสองคนและบุคคลอื่นเป็นคณะกรรมการไต่สวนก็ได้ คณะกรรมการไต่สวนตามวรรคหนึ่งมีอำนาจแต่งตั้งหัวหน้าพนักงานไต่สวนหรือพนักงานไต่สวน และพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ช่วยเหลือคณะกรรมการไต่สวนในการดำเนินการตามหน้าที่ได้ตามที่เห็นสมควร ............ Sondhi X
    Like
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 872 มุมมอง 0 รีวิว
  • ป.ป.ช.มีมติรับพิจารณาปม 12 เจ้าหน้าที่รัฐเอื้อประโยชน์ "ทักษิณ" นอนชั้น 14 ที่โรงพยาบาลตำรวจจนกระทั่งครบ 180 วัน ป.ป.ช.ทั้งคณะเป็นคณะกรรมการไต่สวน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000120744

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ป.ป.ช.มีมติรับพิจารณาปม 12 เจ้าหน้าที่รัฐเอื้อประโยชน์ "ทักษิณ" นอนชั้น 14 ที่โรงพยาบาลตำรวจจนกระทั่งครบ 180 วัน ป.ป.ช.ทั้งคณะเป็นคณะกรรมการไต่สวน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000120744 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Haha
    Like
    Wow
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 836 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ปปช #กรรมการ #ไต่สวน #นักโทษ #ชั้น14 #ทักษิณ
    https://www.isranews.org/article/isranews/134249-invessssss-4.html?
    #ปปช #กรรมการ #ไต่สวน #นักโทษ #ชั้น14 #ทักษิณ https://www.isranews.org/article/isranews/134249-invessssss-4.html?
    WWW.ISRANEWS.ORG
    มติเอกฉันท์! ป.ป.ช.ตั้งองค์คณะไต่สวน อธิบดี-หมอ-ผบ.คุก-จนท.12ราย เอื้อ 'ทักษิณ' ชั้น 14
    ป.ป.ช.มติเอกฉันท์ตั้งองค์คณะไต่สวนชุดใหญ่ ขรก.-เจ้าหน้าที่รัฐ 12 ราย กรมราชทัณฑ์ เรือนจำพิเศษกทม. โรงพยาบาลตำรวจ กรณีเอื้อประโยชน์ 'ทักษิณ ชินวัตร' เข้ารักษาตัวห้องพิเศษชั้น 14 เผยชื่อ 'อธิบดี - รองฯ -ผู้บัญชาการเรือนจำ-แพทย์ -พัศดี- พยาบาล' โดนหมด
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วัชระ” แฉปม "น.ช.ทักษิณ" ป่วยทิพย์ ชั้น 14 มีทั้ง รมต.-บิ๊ก ขรก.ถูกมติเอกฉันท์ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแล้ว และชงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่กลับมีไอ้โม่ง ชื่อย่อ "ว" แจ้งให้ให้ยุติสอบ แต่ กก.ไต่สวนไม่ยอม และจะส่งรายงานการตรวจสอบให้สอบ กก.คนดังกล่าวต่อไป พร้อมปูดฝากลูกสาวเข้า ปตท.ยุค "ปู"

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000118997

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “วัชระ” แฉปม "น.ช.ทักษิณ" ป่วยทิพย์ ชั้น 14 มีทั้ง รมต.-บิ๊ก ขรก.ถูกมติเอกฉันท์ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแล้ว และชงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่กลับมีไอ้โม่ง ชื่อย่อ "ว" แจ้งให้ให้ยุติสอบ แต่ กก.ไต่สวนไม่ยอม และจะส่งรายงานการตรวจสอบให้สอบ กก.คนดังกล่าวต่อไป พร้อมปูดฝากลูกสาวเข้า ปตท.ยุค "ปู" อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000118997 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Yay
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 866 มุมมอง 1 รีวิว
  • ถิงจ้าง - การโบยพระราชทานสวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดู <หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร ภาค 2> คงจำได้ถึงเรื่องราวตอนที่ผู้ตรวจการล่ายหมิงเฉิงร้องเรียนฮ่องเต้ว่าประพฤติตนไม่ถูกต้อง (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความนี้) ฮ่องเต้เลย ‘ตกรางวัล’ ให้เป็นการลงทัณฑ์ด้วยการโบยพร้อมกับคำพูดที่ว่า ยอมเสื่อมเสียชื่อเสียงของตนเองเพื่อให้ผู้ตรวจการล่ายมีชื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ การลงทัณฑ์ด้วยการโบยตีเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยจากหลายซีรีส์และนิยายจีน การลงทัณฑ์นี้ทั่วไปเรียกว่า ‘จ้างสิง’ (杖刑) เป็นวิธีการลงทัณฑ์ที่ถูกบัญญัติเข้าไปในกฎหมาย เพียงแต่รูปแบบและรายละเอียดอาจแตกต่างกันไปตามยุคสมัย แต่ที่วันนี้จะคุยถึงคือการโบยที่เรียกว่า ‘ถิงจ้าง’ (廷杖) ซึ่งเป็นกรณีที่เราเห็นในเรื่อง <หาญชะตาฯ 2> ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น ‘จ้าง’ แปลว่าตีด้วยไม้ ส่วน ‘ถิง’ หมายถึงส่วนของพระราชวังที่ฮ่องเต้ใช้ทรงงานและประชุมกับขุนนางหรือหมายถึงราชสำนัก ดังนั้น ‘ถิงจ้าง’ จึงเป็นศัพท์เฉพาะที่ใช้หมายถึงการโบยขุนนางระดับสูงหน้าพระที่นั่งและเป็นคำสั่งของฮ่องเต้เท่านั้น การลงทัณฑ์ด้วยการโบยตามคำสั่งของฮ่องเต้มีมาตั้งแต่สมัยฮั่น แต่จากสมัยฮั่นจนถึงสมัยหยวนเกิดกรณีอย่างนี้น้อยมาก มันไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัวและไม่ใช่บทลงโทษตามกฎหมาย หากแต่เป็นอำนาจของฮ่องเต้ที่จะเลือกใช้ได้ตามความต้องการและสั่งลงทัณฑ์ได้เลยโดยไม่ผ่านขั้นตอนพิจารณาความผิดตามกฎหมาย ต่อมาในสมัยหมิงมีการถิงจ้างหน้าพระที่นั่งบ่อยมากโดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของราชวงศ์และมีการกำหนดกฎเกณฑ์อย่างชัดเจน จริงๆ แล้วแรกเริ่มเลย การถิงจ้างในสมัยหมิงไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อลงโทษสถานหนัก หากแต่เป็นการสร้างความอัปยศอดสูให้แก่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เพราะว่าหลักปฏิบัติแต่ไหนแต่ไรมาคือไม่ลงทัณฑ์ขุนนาง หากจะลงทัณฑ์จะปลดออกจากตำแหน่งก่อน ดังนั้น การที่ขุนนางถูกถกชุดชั้นนอกออกแล้วโบยก้นอีกทั้งทำต่อหน้าขุนนางด้วยกันนั้นจึงเป็นเรื่องอัปยศมาก ซึ่งเหตุการณ์แรกเกิดขึ้นในรัชสมัยขององค์หมิงไท่จู่ (จูหยวนจาง) เป็นช่วงตอนที่เพิ่งครองราชย์ได้สักแปดปี (ค.ศ. 1376) เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องของขุนนางจากกระทรวงราชทัณฑ์นามว่าหรูไท่ซู่ เขาถวายฎีกาฉบับหนึ่งยาวถึงหมื่นกว่าอักษรร้องเรียนการขาดแคลนข้าราชการที่มีคุณภาพ ซึ่งยาวจนองค์หมิงไท่จู่ต้องให้คนอ่านให้ฟัง ฟังๆ ไปก็รู้สึกว่าน้ำเยอะเนื้อน้อย ถ้อยคำที่ใช้ก็ยิ่งฟังไม่เข้าหู อุตส่าห์เรียกให้หรู่ไท่ซู่มานั่งคุยให้ฟัง แต่ก็ทนไม่ได้กับการพูดวกไปวนมา ว่ากันว่า ยังมีถ้อยคำที่ฟังดูเหมือนยกให้บัณฑิตสูงส่งกว่าซึ่งไม่เข้าหูฮ่องเต้ที่มีพื้นเพเป็นลูกชาวนา สุดท้ายฮ่องเต้โกรธจัดเลยสั่งให้โบยก้นต่อหน้าข้าราชสำนักในท้องพระโรง ในบันทึกไม่ได้เขียนไว้ว่าโบยไปกี่ครั้ง ต่อมาภายหลังองค์หมิงไท่จู่ไตร่ตรองทบทวนเห็นว่าบางข้อเสนอของฎีกานั้นน่าสนใจจึงเอาไปใช้ จึงกลายเป็นว่าความผิดที่ทำให้หรูไท่ซู่ถูกถิงจ้างไม่ใช่เป็นเพราะสาระ แต่เป็นเพราะเขียนยาวเกินไปทำให้สิ้นเปลืองเวลาของฮ่องเต้ เนื้อหาที่เขียนได้ภายในห้าร้อยอักษรกลับเขียนยาวถึงหมื่นอักษร และเพราะเหตุการณ์นี้องค์หมิงไท่จู่จึงให้มีการกำหนดรูปแบบของการเขียนฎีกาขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหานี้อีก การโบยเพื่อสร้างความอัปยศเป็นการแสดงอำนาจของฮ่องเต้เมื่อถูกหมิ่นหรือขัดใจโดยขุนนาง แต่กลับกลายเป็นวัฒนธรรมที่ขุนนางมองว่าการถูกถิงจ้างนี้เป็นการแสดงความกล้าหาญและเป็นสิ่งที่ควรทำ ต่อมาการถิงจ้างจึงเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นจนถึงขั้นตายได้ แน่นอนว่าการสั่งโบยได้เลยโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการไต่สวนพิพากษาตามกฎหมายก็กลายเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จที่ฮ่องเต้ใช้ควบคุมขุนนางไม่ให้กระด้างกระเดื่อง จะตีเมื่อไหร่ ตีกี่ครั้ง ตีหนักตีเบา ล้วนแล้วแต่ฮ่องเต้จะกำหนดเอง ถิงจ้างกลายเป็นภาพที่เห็นบ่อยในราชสำนักเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางราชวงศ์หมิง สถานที่ลงทัณฑ์เปลี่ยนจากในท้องพระโรงมาเป็นริมทางเดินเข้าวังด้านประตูอู่เหมิน ซึ่งก็คือประตูด้านหน้าของวัง และถิงจ้างทวีความรุนแรงมากขึ้นในรัชสมัยของฮ่องเต้หมิงอู่จง (ฮ่องเต้องค์ที่สิบเอ็ด) เมื่อมีการเปลี่ยนกฎไม่ให้วางเบาะรองและผู้ถูกโบยห้ามใส่กางเกง ตลอดการครองราชย์สิบหกปีขององค์หมิงอู่จงนั้น มีคนถูกถิงจ้างทั้งสิ้นกว่าหนึ่งร้อยคน ตายสิบเอ็ดคน และนี่เป็นรัชสมัยที่เริ่มใช้ถิงจ้างกับคนจากสำนักผู้ตรวจการ ในรายละเอียดมีเรื่องการใช้อำนาจเกินควรของกลุ่มขันที แต่ Storyฯ ขอไม่เล่าเพราะเรื่องยาวและออกนอกประเด็นเหตุการณ์ถิงจ้างที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์จีนเกิดขึ้นในรัชสมัยของฮ่องเต้หมิงซื่อจง (ฮ่องเต้องค์ที่ สิบสอง) เมื่อปีค.ศ. 1525 เพราะเป็นการโบยพร้อมกันถึงหนึ่งร้อยสามสิบสี่คน มีคนตายในระหว่างโบยสิบเจ็ดคน (หมายเหตุ เรื่องจำนวนคนแตกต่างกันในหลายบทความ แต่ตัวเลขนี้ Storyฯ ใช้ตามเอกสารของพิพิธภัณฑ์วังต้องห้าม)เรื่องมีอยู่ว่าฮ่องเต้หมิงซื่อจงไม่ใช่ลูกของฮ่องเต้องค์ก่อนคือฮ่องเต้หมิงอู่จง หากแต่มีศักดิ์เป็นหลานลุง ตามธรรมเนียมเมื่อหมิงซื่อจงขึ้นครองราชย์แล้วก็ต้องรับฮ่องเต้หมิงอู่จงเป็นพ่อ ส่วนพ่อแม่ตัวเองก็ต้องกลายเป็นน้าและน้าสะใภ้ นี่คือธรรมเนียมปฏิบัติ แต่องค์หมิงซื่อจงไม่ยอม ยืนยันจะคงไว้ว่าฮ่องเต้หมิงอู่จงเป็นลุง ขุนนางสองร้อยสามสิบคนคุกเข่าอ้อนวอนอยู่หน้าประตูพระที่นั่งเพื่อหวังจะบีบให้ฮ่องเต้เปลี่ยนใจ สุดท้ายขุนนางขั้นที่ห้าขึ้นไปโดนปลด ที่เหลือโดนโบยหมู่และเนรเทศ ในการถิงจ้างสมัยหมิงนั้น ผู้ที่มีหน้าที่โบยคือขันทีหรือองครักษ์เสื้อแพร ว่ากันว่าจริงจังถึงขนาดฝึกซ้อมโบยโดยใช้หุ่นฟางยัดไส้แผ่นกระเบื้องแล้วห่อด้วยกระดาษ ต้องฝึกจนสามารถตีให้กระเบื้องข้างในแตกละเอียดได้โดยที่กระดาษหุ้มข้างนอกไม่ขาด! ที่ต้องฝึกเพราะคำสั่งโบยมีสองแบบคือ ‘ตีอย่างใส่ใจ’ (用心打) และ ‘ตีอย่างจริงจัง’ (着实打) ซึ่งแบบแรกคือไม่ให้เจ็บมากและแบบหลังคือจัดเต็ม และเนื่องจากมันต้องใช้แรงมาก จะมีการเปลี่ยนคนโบยทุกๆ ห้าครั้งจากที่ Storyฯ อ่านเจอมา ไม้ที่ใช้โบยนั้นทำจากไม้เนื้อแข็งอย่างไม้เกาลัด หน้าตาของมันมีสองแบบ แบบแรกคือไม้พลองที่มีปลายแบนหน้าตาเหมือนไม้พาย แบบที่สองฟังดูโหดร้ายคือเป็นไม้พลองที่มีปลายหุ้มด้วยแผ่นเหล็กบากเป็นรอยตะปุ่มตะป่ำ เป็นที่มาว่าทำไมคนจึงถูกโบยจนเนื้อก้นเละเหวอะหวะได้ ว่ากันว่าถูกโบยสิบพลองก็ทำต้องพักติดเตียงเป็นแรมเดือนแล้ว(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://reading.udn.com/read/story/7046/7952824https://www.163.com/dy/article/J2USN6TV0517QCSB.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://www.dpm.org.cn/Uploads/pdf/1942/T00017_00.pdf https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_1800722 https://www.hunantoday.cn/news/xhn/202310/18872283.html https://www.sohu.com/a/771696490_121165427 https://www.sohu.com/a/773532850_121921623 https://www.163.com/dy/article/G86EPNJQ0528NB1M.html #หาญท้าชะตาฟ้า #ถิงจ้าง #โบยตี #ลงทัณฑ์พระราชทาน #จูหยวนจาง
    ถิงจ้าง - การโบยพระราชทานสวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดู <หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร ภาค 2> คงจำได้ถึงเรื่องราวตอนที่ผู้ตรวจการล่ายหมิงเฉิงร้องเรียนฮ่องเต้ว่าประพฤติตนไม่ถูกต้อง (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความนี้) ฮ่องเต้เลย ‘ตกรางวัล’ ให้เป็นการลงทัณฑ์ด้วยการโบยพร้อมกับคำพูดที่ว่า ยอมเสื่อมเสียชื่อเสียงของตนเองเพื่อให้ผู้ตรวจการล่ายมีชื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ การลงทัณฑ์ด้วยการโบยตีเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยจากหลายซีรีส์และนิยายจีน การลงทัณฑ์นี้ทั่วไปเรียกว่า ‘จ้างสิง’ (杖刑) เป็นวิธีการลงทัณฑ์ที่ถูกบัญญัติเข้าไปในกฎหมาย เพียงแต่รูปแบบและรายละเอียดอาจแตกต่างกันไปตามยุคสมัย แต่ที่วันนี้จะคุยถึงคือการโบยที่เรียกว่า ‘ถิงจ้าง’ (廷杖) ซึ่งเป็นกรณีที่เราเห็นในเรื่อง <หาญชะตาฯ 2> ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น ‘จ้าง’ แปลว่าตีด้วยไม้ ส่วน ‘ถิง’ หมายถึงส่วนของพระราชวังที่ฮ่องเต้ใช้ทรงงานและประชุมกับขุนนางหรือหมายถึงราชสำนัก ดังนั้น ‘ถิงจ้าง’ จึงเป็นศัพท์เฉพาะที่ใช้หมายถึงการโบยขุนนางระดับสูงหน้าพระที่นั่งและเป็นคำสั่งของฮ่องเต้เท่านั้น การลงทัณฑ์ด้วยการโบยตามคำสั่งของฮ่องเต้มีมาตั้งแต่สมัยฮั่น แต่จากสมัยฮั่นจนถึงสมัยหยวนเกิดกรณีอย่างนี้น้อยมาก มันไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัวและไม่ใช่บทลงโทษตามกฎหมาย หากแต่เป็นอำนาจของฮ่องเต้ที่จะเลือกใช้ได้ตามความต้องการและสั่งลงทัณฑ์ได้เลยโดยไม่ผ่านขั้นตอนพิจารณาความผิดตามกฎหมาย ต่อมาในสมัยหมิงมีการถิงจ้างหน้าพระที่นั่งบ่อยมากโดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของราชวงศ์และมีการกำหนดกฎเกณฑ์อย่างชัดเจน จริงๆ แล้วแรกเริ่มเลย การถิงจ้างในสมัยหมิงไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อลงโทษสถานหนัก หากแต่เป็นการสร้างความอัปยศอดสูให้แก่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เพราะว่าหลักปฏิบัติแต่ไหนแต่ไรมาคือไม่ลงทัณฑ์ขุนนาง หากจะลงทัณฑ์จะปลดออกจากตำแหน่งก่อน ดังนั้น การที่ขุนนางถูกถกชุดชั้นนอกออกแล้วโบยก้นอีกทั้งทำต่อหน้าขุนนางด้วยกันนั้นจึงเป็นเรื่องอัปยศมาก ซึ่งเหตุการณ์แรกเกิดขึ้นในรัชสมัยขององค์หมิงไท่จู่ (จูหยวนจาง) เป็นช่วงตอนที่เพิ่งครองราชย์ได้สักแปดปี (ค.ศ. 1376) เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องของขุนนางจากกระทรวงราชทัณฑ์นามว่าหรูไท่ซู่ เขาถวายฎีกาฉบับหนึ่งยาวถึงหมื่นกว่าอักษรร้องเรียนการขาดแคลนข้าราชการที่มีคุณภาพ ซึ่งยาวจนองค์หมิงไท่จู่ต้องให้คนอ่านให้ฟัง ฟังๆ ไปก็รู้สึกว่าน้ำเยอะเนื้อน้อย ถ้อยคำที่ใช้ก็ยิ่งฟังไม่เข้าหู อุตส่าห์เรียกให้หรู่ไท่ซู่มานั่งคุยให้ฟัง แต่ก็ทนไม่ได้กับการพูดวกไปวนมา ว่ากันว่า ยังมีถ้อยคำที่ฟังดูเหมือนยกให้บัณฑิตสูงส่งกว่าซึ่งไม่เข้าหูฮ่องเต้ที่มีพื้นเพเป็นลูกชาวนา สุดท้ายฮ่องเต้โกรธจัดเลยสั่งให้โบยก้นต่อหน้าข้าราชสำนักในท้องพระโรง ในบันทึกไม่ได้เขียนไว้ว่าโบยไปกี่ครั้ง ต่อมาภายหลังองค์หมิงไท่จู่ไตร่ตรองทบทวนเห็นว่าบางข้อเสนอของฎีกานั้นน่าสนใจจึงเอาไปใช้ จึงกลายเป็นว่าความผิดที่ทำให้หรูไท่ซู่ถูกถิงจ้างไม่ใช่เป็นเพราะสาระ แต่เป็นเพราะเขียนยาวเกินไปทำให้สิ้นเปลืองเวลาของฮ่องเต้ เนื้อหาที่เขียนได้ภายในห้าร้อยอักษรกลับเขียนยาวถึงหมื่นอักษร และเพราะเหตุการณ์นี้องค์หมิงไท่จู่จึงให้มีการกำหนดรูปแบบของการเขียนฎีกาขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหานี้อีก การโบยเพื่อสร้างความอัปยศเป็นการแสดงอำนาจของฮ่องเต้เมื่อถูกหมิ่นหรือขัดใจโดยขุนนาง แต่กลับกลายเป็นวัฒนธรรมที่ขุนนางมองว่าการถูกถิงจ้างนี้เป็นการแสดงความกล้าหาญและเป็นสิ่งที่ควรทำ ต่อมาการถิงจ้างจึงเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นจนถึงขั้นตายได้ แน่นอนว่าการสั่งโบยได้เลยโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการไต่สวนพิพากษาตามกฎหมายก็กลายเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จที่ฮ่องเต้ใช้ควบคุมขุนนางไม่ให้กระด้างกระเดื่อง จะตีเมื่อไหร่ ตีกี่ครั้ง ตีหนักตีเบา ล้วนแล้วแต่ฮ่องเต้จะกำหนดเอง ถิงจ้างกลายเป็นภาพที่เห็นบ่อยในราชสำนักเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางราชวงศ์หมิง สถานที่ลงทัณฑ์เปลี่ยนจากในท้องพระโรงมาเป็นริมทางเดินเข้าวังด้านประตูอู่เหมิน ซึ่งก็คือประตูด้านหน้าของวัง และถิงจ้างทวีความรุนแรงมากขึ้นในรัชสมัยของฮ่องเต้หมิงอู่จง (ฮ่องเต้องค์ที่สิบเอ็ด) เมื่อมีการเปลี่ยนกฎไม่ให้วางเบาะรองและผู้ถูกโบยห้ามใส่กางเกง ตลอดการครองราชย์สิบหกปีขององค์หมิงอู่จงนั้น มีคนถูกถิงจ้างทั้งสิ้นกว่าหนึ่งร้อยคน ตายสิบเอ็ดคน และนี่เป็นรัชสมัยที่เริ่มใช้ถิงจ้างกับคนจากสำนักผู้ตรวจการ ในรายละเอียดมีเรื่องการใช้อำนาจเกินควรของกลุ่มขันที แต่ Storyฯ ขอไม่เล่าเพราะเรื่องยาวและออกนอกประเด็นเหตุการณ์ถิงจ้างที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์จีนเกิดขึ้นในรัชสมัยของฮ่องเต้หมิงซื่อจง (ฮ่องเต้องค์ที่ สิบสอง) เมื่อปีค.ศ. 1525 เพราะเป็นการโบยพร้อมกันถึงหนึ่งร้อยสามสิบสี่คน มีคนตายในระหว่างโบยสิบเจ็ดคน (หมายเหตุ เรื่องจำนวนคนแตกต่างกันในหลายบทความ แต่ตัวเลขนี้ Storyฯ ใช้ตามเอกสารของพิพิธภัณฑ์วังต้องห้าม)เรื่องมีอยู่ว่าฮ่องเต้หมิงซื่อจงไม่ใช่ลูกของฮ่องเต้องค์ก่อนคือฮ่องเต้หมิงอู่จง หากแต่มีศักดิ์เป็นหลานลุง ตามธรรมเนียมเมื่อหมิงซื่อจงขึ้นครองราชย์แล้วก็ต้องรับฮ่องเต้หมิงอู่จงเป็นพ่อ ส่วนพ่อแม่ตัวเองก็ต้องกลายเป็นน้าและน้าสะใภ้ นี่คือธรรมเนียมปฏิบัติ แต่องค์หมิงซื่อจงไม่ยอม ยืนยันจะคงไว้ว่าฮ่องเต้หมิงอู่จงเป็นลุง ขุนนางสองร้อยสามสิบคนคุกเข่าอ้อนวอนอยู่หน้าประตูพระที่นั่งเพื่อหวังจะบีบให้ฮ่องเต้เปลี่ยนใจ สุดท้ายขุนนางขั้นที่ห้าขึ้นไปโดนปลด ที่เหลือโดนโบยหมู่และเนรเทศ ในการถิงจ้างสมัยหมิงนั้น ผู้ที่มีหน้าที่โบยคือขันทีหรือองครักษ์เสื้อแพร ว่ากันว่าจริงจังถึงขนาดฝึกซ้อมโบยโดยใช้หุ่นฟางยัดไส้แผ่นกระเบื้องแล้วห่อด้วยกระดาษ ต้องฝึกจนสามารถตีให้กระเบื้องข้างในแตกละเอียดได้โดยที่กระดาษหุ้มข้างนอกไม่ขาด! ที่ต้องฝึกเพราะคำสั่งโบยมีสองแบบคือ ‘ตีอย่างใส่ใจ’ (用心打) และ ‘ตีอย่างจริงจัง’ (着实打) ซึ่งแบบแรกคือไม่ให้เจ็บมากและแบบหลังคือจัดเต็ม และเนื่องจากมันต้องใช้แรงมาก จะมีการเปลี่ยนคนโบยทุกๆ ห้าครั้งจากที่ Storyฯ อ่านเจอมา ไม้ที่ใช้โบยนั้นทำจากไม้เนื้อแข็งอย่างไม้เกาลัด หน้าตาของมันมีสองแบบ แบบแรกคือไม้พลองที่มีปลายแบนหน้าตาเหมือนไม้พาย แบบที่สองฟังดูโหดร้ายคือเป็นไม้พลองที่มีปลายหุ้มด้วยแผ่นเหล็กบากเป็นรอยตะปุ่มตะป่ำ เป็นที่มาว่าทำไมคนจึงถูกโบยจนเนื้อก้นเละเหวอะหวะได้ ว่ากันว่าถูกโบยสิบพลองก็ทำต้องพักติดเตียงเป็นแรมเดือนแล้ว(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://reading.udn.com/read/story/7046/7952824https://www.163.com/dy/article/J2USN6TV0517QCSB.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://www.dpm.org.cn/Uploads/pdf/1942/T00017_00.pdf https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_1800722 https://www.hunantoday.cn/news/xhn/202310/18872283.html https://www.sohu.com/a/771696490_121165427 https://www.sohu.com/a/773532850_121921623 https://www.163.com/dy/article/G86EPNJQ0528NB1M.html #หาญท้าชะตาฟ้า #ถิงจ้าง #โบยตี #ลงทัณฑ์พระราชทาน #จูหยวนจาง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 546 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทรัมป์” ย้ำเดินหน้าแผนรีดภาษีศุลกากร เนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ ส่งสัญญาณอาจใช้ตำแหน่ง “ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย” ของตัวเอง ล้างแค้นศัตรูทางการเมือง นอกจากนั้น ยังขู่ถอนตัวจากนาโต และเตือนยูเครนเตรียมพร้อมถูก “ตัด” ความช่วยเหลือสำหรับการทำศึกกับรัสเซีย
    .
    ระหว่างให้สัมภาษณ์รายการ “มีต เดอะ เพรสส์ วิธ คริสเตน เวลเกอร์” ของเครือข่ายโทรทัศน์เอ็นบีซีที่บันทึกเทปเมื่อวันศุกร์ (6 ธ.ค.) และออกอากาศในวันอาทิตย์ (8 ) โดยถือเป็นการให้สัมภาษณ์ทางทีวีครั้งแรกนับจากการเลือกตั้งนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอีก 6 สัปดาห์ข้างหน้า ย้ำคำขู่นำอเมริกาถอนตัวจากองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ถ้าชาติสมาชิกไม่รับผิดชอบต้นทุนการปกป้องตนเองอย่างเหมาะสม
    .
    ทรัมป์เสริมว่า ยูเครนควรเตรียมตัวที่จะได้รับความช่วยเหลือจากอเมริกาในการต่อต้านการรุกรานของรัสเซียลดน้อยลง รวมทั้งยังเรียกร้องการหยุดยิงทันที
    .
    เกี่ยวกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินนั้น แรกทีเดียวทรัมป์บอกว่า ไม่ได้คุยกับผู้นำรัสเซียตั้งแต่วันเลือกตั้งเมื่อเดือนที่แล้ว ก่อนเปลี่ยนมาใช้คำว่า ช่วงหลังมานี้ไม่ได้คุยกับปูตินเลย และเมื่อถูกจี้ถามหนักเข้า เขาก็บอกเพียงว่า ไม่ต้องการทำอะไรที่อาจเป็นการขัดขวางการเจรจา
    .
    เขายังย้ำคำสัญญาระหว่างหาเสียงเรื่องการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้า ซึ่งรวมถึงสินค้าของพวกคู่ค้าสำคัญอย่างแคนาดา เม็กซิโก และจีน และสำทับว่า การใช้มาตรการภาษีศุลกากรอย่างเหมาะสมจะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างยิ่ง และเขาจะใช้เครื่องมือนี้นอกเหนือจากความุ่งหมายในทางเศรษฐกิจด้วย
    .
    สำหรับข้อสงสัยว่า ภาษีดังกล่าวจะทำให้คนอเมริกันต้องจ่ายแพงขึ้นหรือไม่นั้น ทรัมป์ตอบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า ไม่สามารถรับประกันอะไรได้ ทั้งที่ตอนหาเสียงเคยโฆษณาว่า หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี จะแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งก็คือปัญหาข้าวของแพง
    .
    เนรเทศครั้งใหญ่
    .
    ว่าที่ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ยังบอกว่า จะเดินหน้าสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า เป็นการเนรเทศคนเข้าเมืองผิดกฎหมายครั้งใหญ่ในอเมริกา รวมทั้งอาจใช้อำนาจฝ่ายบริหารเพื่อยุติการได้เป็นพลเมืองอเมริกัน โดยอาศัย “สิทธิโดยกำเนิด” ถึงแม้เขายอมรับว่า เรื่องนี้อาจหมายถึงต้องหาทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งรับรองสิทธินี้สำหรับทุกคนที่เกิดในอเมริกา
    .
    ทรัมป์บอกว่า จะทำงานร่วมกับเดโมแครตเกี่ยวกับพวก “ดรีมเมอร์” หรือคนที่เติบโตในอเมริกาหลังจากเดินทางเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายขณะเป็นเด็ก และช่วงหลายปีมานี้ได้รับการคุ้มครองจากการถูกเนรเทศ กระนั้น เขาชี้ว่า แม้แต่ “พลเมืองอเมริกัน” ก็อาจถูกเนรเทศได้ถ้ามีสมาชิกครอบครัวที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เพราะทางเดียวที่จะไม่ทำให้ครอบครัวแตกแยกคือ การเนรเทศออกจากอเมริกาทั้งครอบครัว
    .
    ชำระแค้นศัตรูทางการเมือง
    .
    ทรัมป์ที่ถูกรัฐสภาไต่สวนเพื่อถอดถอนถึง 2 ครั้ง และถูกตั้งข้อหาคดีอาญาจากการพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ยังคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 รวมถึงขู่ว่า สมาชิกรัฐสภาที่สอบสวนตนเรื่องม็อบบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021 ต่างหากที่ควรเข้าคุก ส่วนพวกผู้สนับสนุนตนที่ถูกจับจากคดีดังกล่าวจะได้รับการอภัยโทษ “อย่างรวดเร็วมาก”
    .
    เมื่อถูกถามว่า แคช พาเทล ที่ได้รับเสนอชื่อจากทรัมป์ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) สหรัฐฯ จะสนองตอบคำขู่ตามล่าศัตรูทางการเมืองของเขาหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า เขาคิดว่า พาเทลมีหน้าที่ในการจัดการนักการเมืองที่ทุจริตคดโกง
    .
    ทรัมป์ยังบอกว่า ตนมีอำนาจสูงสุดในฐานะ “ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย” ในการดำเนินคดีกับศัตรูในประเทศ แต่ “ไม่สนใจ” จะใช้อำนาจนั้น และจะมุ่งทำงานเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและหยุดยั้งการลักลอบเข้าเมืองมากกว่า
    .
    อย่างไรก็ตาม สมาชิกชั้นนำของพรรคเดโมแครตต่างกังวลกับคำขู่ดังกล่าว กระทั่งมีรายงานว่า โจ ไบเดน ที่กำลังจะอำลาตำแหน่งประธานาธิบดี กำลังพิจารณาประกาศอภัยโทษล่วงหน้าเพื่อปกป้องสมาชิกสำคัญในคณะบริหารของตน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118427
    ..............
    Sondhi X
    “ทรัมป์” ย้ำเดินหน้าแผนรีดภาษีศุลกากร เนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ ส่งสัญญาณอาจใช้ตำแหน่ง “ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย” ของตัวเอง ล้างแค้นศัตรูทางการเมือง นอกจากนั้น ยังขู่ถอนตัวจากนาโต และเตือนยูเครนเตรียมพร้อมถูก “ตัด” ความช่วยเหลือสำหรับการทำศึกกับรัสเซีย . ระหว่างให้สัมภาษณ์รายการ “มีต เดอะ เพรสส์ วิธ คริสเตน เวลเกอร์” ของเครือข่ายโทรทัศน์เอ็นบีซีที่บันทึกเทปเมื่อวันศุกร์ (6 ธ.ค.) และออกอากาศในวันอาทิตย์ (8 ) โดยถือเป็นการให้สัมภาษณ์ทางทีวีครั้งแรกนับจากการเลือกตั้งนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอีก 6 สัปดาห์ข้างหน้า ย้ำคำขู่นำอเมริกาถอนตัวจากองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ถ้าชาติสมาชิกไม่รับผิดชอบต้นทุนการปกป้องตนเองอย่างเหมาะสม . ทรัมป์เสริมว่า ยูเครนควรเตรียมตัวที่จะได้รับความช่วยเหลือจากอเมริกาในการต่อต้านการรุกรานของรัสเซียลดน้อยลง รวมทั้งยังเรียกร้องการหยุดยิงทันที . เกี่ยวกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินนั้น แรกทีเดียวทรัมป์บอกว่า ไม่ได้คุยกับผู้นำรัสเซียตั้งแต่วันเลือกตั้งเมื่อเดือนที่แล้ว ก่อนเปลี่ยนมาใช้คำว่า ช่วงหลังมานี้ไม่ได้คุยกับปูตินเลย และเมื่อถูกจี้ถามหนักเข้า เขาก็บอกเพียงว่า ไม่ต้องการทำอะไรที่อาจเป็นการขัดขวางการเจรจา . เขายังย้ำคำสัญญาระหว่างหาเสียงเรื่องการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้า ซึ่งรวมถึงสินค้าของพวกคู่ค้าสำคัญอย่างแคนาดา เม็กซิโก และจีน และสำทับว่า การใช้มาตรการภาษีศุลกากรอย่างเหมาะสมจะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างยิ่ง และเขาจะใช้เครื่องมือนี้นอกเหนือจากความุ่งหมายในทางเศรษฐกิจด้วย . สำหรับข้อสงสัยว่า ภาษีดังกล่าวจะทำให้คนอเมริกันต้องจ่ายแพงขึ้นหรือไม่นั้น ทรัมป์ตอบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า ไม่สามารถรับประกันอะไรได้ ทั้งที่ตอนหาเสียงเคยโฆษณาว่า หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี จะแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งก็คือปัญหาข้าวของแพง . เนรเทศครั้งใหญ่ . ว่าที่ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ยังบอกว่า จะเดินหน้าสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า เป็นการเนรเทศคนเข้าเมืองผิดกฎหมายครั้งใหญ่ในอเมริกา รวมทั้งอาจใช้อำนาจฝ่ายบริหารเพื่อยุติการได้เป็นพลเมืองอเมริกัน โดยอาศัย “สิทธิโดยกำเนิด” ถึงแม้เขายอมรับว่า เรื่องนี้อาจหมายถึงต้องหาทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งรับรองสิทธินี้สำหรับทุกคนที่เกิดในอเมริกา . ทรัมป์บอกว่า จะทำงานร่วมกับเดโมแครตเกี่ยวกับพวก “ดรีมเมอร์” หรือคนที่เติบโตในอเมริกาหลังจากเดินทางเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายขณะเป็นเด็ก และช่วงหลายปีมานี้ได้รับการคุ้มครองจากการถูกเนรเทศ กระนั้น เขาชี้ว่า แม้แต่ “พลเมืองอเมริกัน” ก็อาจถูกเนรเทศได้ถ้ามีสมาชิกครอบครัวที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เพราะทางเดียวที่จะไม่ทำให้ครอบครัวแตกแยกคือ การเนรเทศออกจากอเมริกาทั้งครอบครัว . ชำระแค้นศัตรูทางการเมือง . ทรัมป์ที่ถูกรัฐสภาไต่สวนเพื่อถอดถอนถึง 2 ครั้ง และถูกตั้งข้อหาคดีอาญาจากการพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ยังคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 รวมถึงขู่ว่า สมาชิกรัฐสภาที่สอบสวนตนเรื่องม็อบบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021 ต่างหากที่ควรเข้าคุก ส่วนพวกผู้สนับสนุนตนที่ถูกจับจากคดีดังกล่าวจะได้รับการอภัยโทษ “อย่างรวดเร็วมาก” . เมื่อถูกถามว่า แคช พาเทล ที่ได้รับเสนอชื่อจากทรัมป์ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) สหรัฐฯ จะสนองตอบคำขู่ตามล่าศัตรูทางการเมืองของเขาหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า เขาคิดว่า พาเทลมีหน้าที่ในการจัดการนักการเมืองที่ทุจริตคดโกง . ทรัมป์ยังบอกว่า ตนมีอำนาจสูงสุดในฐานะ “ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย” ในการดำเนินคดีกับศัตรูในประเทศ แต่ “ไม่สนใจ” จะใช้อำนาจนั้น และจะมุ่งทำงานเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและหยุดยั้งการลักลอบเข้าเมืองมากกว่า . อย่างไรก็ตาม สมาชิกชั้นนำของพรรคเดโมแครตต่างกังวลกับคำขู่ดังกล่าว กระทั่งมีรายงานว่า โจ ไบเดน ที่กำลังจะอำลาตำแหน่งประธานาธิบดี กำลังพิจารณาประกาศอภัยโทษล่วงหน้าเพื่อปกป้องสมาชิกสำคัญในคณะบริหารของตน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118427 .............. Sondhi X
    Haha
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 767 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เอ็ม อภิดิศร์" ส่งทนายฟ้องหมิ่นประมาท ดาราสาว หลังศาลยกฟ้องคดีกล่าวหาละเมิดทางเพศเรียกค่าเสียหาย 5 ล้าน ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง 3 ก.พ.ปีหน้า

    เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา นายอภิดิศร์ หรือเอ็ม อินทุลักษณ์ อายุ 36 ปี นักธุรกิจและเป็นหลานชายอดีต รมว.ต่างประเทศที่ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง คดีถูกกล่าวหาละเมิดทางเพศ นักแสดงหญิง ส่งผู้รับมอบอำนาจเดินทางไปยื่นฟ้องอดีตนักแสดงสาว ชื่อย่อ ณ. ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาท

    คำฟ้องสรุปว่า โจทก์เคยเป็นซีอีโอและประธานบริษัท Aphi Enterpriseซึ่งประกอบธุรกิจหลายอย่าง โดยเฉพาะธุรกิจนำเข้าศิลปินเกาหลีมาจัดคอนเสิร์ตในประเทศไทย รวมถึงการติดต่อธุรกิจอื่นๆ เกี่ยวกับประเทศเกาหลีใต้ และธุรกิจนำเข้าที่จอดรถเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมัน

    จำเลยเป็นนักแสดงอิสระ ซึ่งได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับโจทก์
    ในฐานความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราและอื่น ๆ จนกระทั้งศาลนี้ ได้มีคำพิพากษา ยกฟ้องโจทกในคดีนี้ ไม่มีความผิดข้อ 2 เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2565 จนถึงปัจจุบัน จำเลยนี้ได้กระทำความผิดอาญา อันเป็นความผิดหลายกรรมด้วย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000117549

    #MGROnline #เอ็มอภิดิศร์ #หลานอดีตรมต #ดาราสาว #ศาล #ยกฟ้อง
    "เอ็ม อภิดิศร์" ส่งทนายฟ้องหมิ่นประมาท ดาราสาว หลังศาลยกฟ้องคดีกล่าวหาละเมิดทางเพศเรียกค่าเสียหาย 5 ล้าน ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง 3 ก.พ.ปีหน้า • เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา นายอภิดิศร์ หรือเอ็ม อินทุลักษณ์ อายุ 36 ปี นักธุรกิจและเป็นหลานชายอดีต รมว.ต่างประเทศที่ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง คดีถูกกล่าวหาละเมิดทางเพศ นักแสดงหญิง ส่งผู้รับมอบอำนาจเดินทางไปยื่นฟ้องอดีตนักแสดงสาว ชื่อย่อ ณ. ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาท • คำฟ้องสรุปว่า โจทก์เคยเป็นซีอีโอและประธานบริษัท Aphi Enterpriseซึ่งประกอบธุรกิจหลายอย่าง โดยเฉพาะธุรกิจนำเข้าศิลปินเกาหลีมาจัดคอนเสิร์ตในประเทศไทย รวมถึงการติดต่อธุรกิจอื่นๆ เกี่ยวกับประเทศเกาหลีใต้ และธุรกิจนำเข้าที่จอดรถเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมัน • จำเลยเป็นนักแสดงอิสระ ซึ่งได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับโจทก์ ในฐานความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราและอื่น ๆ จนกระทั้งศาลนี้ ได้มีคำพิพากษา ยกฟ้องโจทกในคดีนี้ ไม่มีความผิดข้อ 2 เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2565 จนถึงปัจจุบัน จำเลยนี้ได้กระทำความผิดอาญา อันเป็นความผิดหลายกรรมด้วย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000117549 • #MGROnline #เอ็มอภิดิศร์ #หลานอดีตรมต #ดาราสาว #ศาล #ยกฟ้อง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 379 มุมมอง 0 รีวิว
  • กฤษณะพงศ์ บุก ป.ป.ช.ขอเปลี่ยนตัวคณะทำงานคดี บิ๊กโจ๊กเก็บส่วยคาราโอเกะ เผยพร้อมเป็นพยานให้การด้วยตนเอง

    จากกรณี พ.ต.ท.มนต์ชัย บุญเลิศ รองผู้กำกับการวิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.สอท.) ได้ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คือ นายสมบัติ ธรธรรม อดีตอนุกรรมการกลั่นกรองเรื่องกล่าวหา ประจำสำนักการไต่สวนทุจริตภาครัฐ 1 และ 2, นายจัตุรงค์ พานิชเจริญ เจ้าหน้าที่ไต่สวน สำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐวิสาหกิจ 2 และ นางสาวอารยา งามล้วน เจ้าหน้าที่สำนัก ตรวจสอบทรัพย์สินภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ 3 ในความผิดฐาน "เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และมีข้าราชการตำรวจระดับสูงร่วมกันกระทำความผิดฐาน "สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐกระทำความผิด” โดยกองบังคับการกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ได้ส่งเรื่องให้สำนักงานสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรับเรื่องไว้ดำเนินการแล้วนั้น

    ความคืบหน้าเมื่อเวลา 16.00 น. วันนี้ (6 ธ.ค.) พ.ต.อ.กฤษณะพงศ์ กัญจน์ชัยกิจ รองผู้บังคับการกองร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ เตรียมเอกสารเดินทางไปที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จังหวัดนนทบุรี เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และประสงค์ให้การเป็นพยานปากสำคัญในคดีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีต รอง ผบ.ตร.กับพวกถูกกล่าวหาเรื่องเรียกรับเงินจากส่วยร้านคาราโอเกะ ตั้งแต่ในสมัยดำรงค์ตำแหน่งเป็นผู้กำกับการกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) โดย พ.ต.อ.กฤษณะพงศ์ ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนเพื่อขอให้เปลี่ยนตัวจาก นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ ที่เป็นหัวหน้าคณะซึ่งมี นายสมบัติ ธรธรรม เป็นอนุกรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000117536

    #MGROnline #บิ๊กโจ๊ก #เก็บส่วย #คาราโอเกะ
    กฤษณะพงศ์ บุก ป.ป.ช.ขอเปลี่ยนตัวคณะทำงานคดี บิ๊กโจ๊กเก็บส่วยคาราโอเกะ เผยพร้อมเป็นพยานให้การด้วยตนเอง • จากกรณี พ.ต.ท.มนต์ชัย บุญเลิศ รองผู้กำกับการวิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.สอท.) ได้ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คือ นายสมบัติ ธรธรรม อดีตอนุกรรมการกลั่นกรองเรื่องกล่าวหา ประจำสำนักการไต่สวนทุจริตภาครัฐ 1 และ 2, นายจัตุรงค์ พานิชเจริญ เจ้าหน้าที่ไต่สวน สำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐวิสาหกิจ 2 และ นางสาวอารยา งามล้วน เจ้าหน้าที่สำนัก ตรวจสอบทรัพย์สินภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ 3 ในความผิดฐาน "เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และมีข้าราชการตำรวจระดับสูงร่วมกันกระทำความผิดฐาน "สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐกระทำความผิด” โดยกองบังคับการกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ได้ส่งเรื่องให้สำนักงานสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรับเรื่องไว้ดำเนินการแล้วนั้น • ความคืบหน้าเมื่อเวลา 16.00 น. วันนี้ (6 ธ.ค.) พ.ต.อ.กฤษณะพงศ์ กัญจน์ชัยกิจ รองผู้บังคับการกองร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ เตรียมเอกสารเดินทางไปที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จังหวัดนนทบุรี เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และประสงค์ให้การเป็นพยานปากสำคัญในคดีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีต รอง ผบ.ตร.กับพวกถูกกล่าวหาเรื่องเรียกรับเงินจากส่วยร้านคาราโอเกะ ตั้งแต่ในสมัยดำรงค์ตำแหน่งเป็นผู้กำกับการกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) โดย พ.ต.อ.กฤษณะพงศ์ ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนเพื่อขอให้เปลี่ยนตัวจาก นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ ที่เป็นหัวหน้าคณะซึ่งมี นายสมบัติ ธรธรรม เป็นอนุกรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000117536 • #MGROnline #บิ๊กโจ๊ก #เก็บส่วย #คาราโอเกะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 324 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วิทยา” แจงสำนวนไต่สวนคดี “ทักษิณ” ป่วยทิพย์ ใช้อภิสิทธิ์นอนรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ชั้น 14 ยังไม่ถึงมือ ป.ป.ช. ยังอยู่ในขั้นตรวจสอบกลั่นกรอง กำลังเร่งทำ ยันสกัดไม่ได้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000117027

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “วิทยา” แจงสำนวนไต่สวนคดี “ทักษิณ” ป่วยทิพย์ ใช้อภิสิทธิ์นอนรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ชั้น 14 ยังไม่ถึงมือ ป.ป.ช. ยังอยู่ในขั้นตรวจสอบกลั่นกรอง กำลังเร่งทำ ยันสกัดไม่ได้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000117027 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Haha
    Sad
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 993 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts