• O.P.K. เจาะลึก ดร.ก้องภพ วิธาน: จากนักอุดมการณ์สู่จอมผีดิบ




    ชื่อเต็ม: ดร.ก้องภพ วิธาน
    อายุ:42 ปี
    สถานภาพ:สมรส มีบุตร 1 คน

    ```mermaid
    graph TB
    A[นักเรียนทุน<br>เก่งวิทยาศาสตร์] --> B[ปริญญาเอก<br>ชีววิทยาโมเลกุล]
    B --> C[นักวิจัย<br>สถาบันชีวการแพทย์]
    C --> D[ได้ตำแหน่ง<br>หัวหน้าโครงการอสรพิษ]
    ```

    ความสำเร็จในวงการ

    ดร.ก้องภพเคยเป็นดาวเด่นของวงการ:

    · ตีพิมพ์งานวิจัย: 35 เรื่องในวารสารระดับโลก
    · รางวัลนักวิทยาศาสตร์年轻有為: จากราชบัณฑิตยสถาน
    · การค้นพบสำคัญ: เทคนิคการดัดแปลงพันธุกรรมแบบใหม่

    ชีวิตครอบครัว

    ```python
    class FamilyLife:
    def __init__(self):
    self.wife = "ศิริพร วิธาน - ครูโรงเรียนนานาชาติ"
    self.daughter = "น้ำตาล วิธาน - อายุ 8 ขวบ"
    self.home = "บ้านในโครงการฯ สุขุมวิท"

    self.routine = {
    "morning": "ส่งลูกไปโรงเรียน",
    "day": "ทำงานวิจัย",
    "evening": "เล่นกับลูกและสอนการบ้าน",
    "weekend": "พาครอบครัวเที่ยวพิพิธภัณฑ์"
    }
    ```





    ดร.ก้องภพพัฒนาความเชื่อว่า:
    "มนุษย์มีข้อบกพร่องมากเกินไป...
    การเจ็บป่วย ความแก่ความตาย ล้วนเป็นความอ่อนแอ"

    โครงการอสรพิษ

    ```python
    class ProjectOscrop:
    def __init__(self):
    self.original_goal = "พัฒนาทหารสมรรถนะสูงเพื่อปกป้องประเทศ"
    self.funding_source = "กองทัพและทุนลับจากต่างชาติ"
    self.facility = "ห้องทดลองใต้ดินในปทุมธานี"

    self.ethical_concerns = [
    "ทดลองกับสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต",
    "ละเมิดกฎหมายชีวจริยธรรม",
    "ปกปิดผลข้างเคียงจากผู้บริหาร",
    "หลงระเริงกับอำนาจในการสร้างชีวิต"
    ]
    ```



    15 มีนาคม 2043 - คืนแห่งการตัดสินใจ:

    ```mermaid
    graph LR
    A[การทดลองกับลิง<br>ได้ผลน่าทึ่ง] --> B[ทีมวิจัย<br>ขอหยุดเพื่อความปลอดภัย]
    B --> C[ดร.ก้องภพ<br>ตัดสินใจทดลองกับตัวเอง]
    C --> D[ปรสิตกลายพันธุ์<br>เกินคาดหมาย]
    D --> E[สูญเสียการควบคุม<br>และกลายพันธุ์]
    ```



    3 แรงขับเคลื่อนหลัก

    ```python
    class Motivation:
    def __init__(self):
    self.conscious_motives = {
    "desire_for_perfection": "ต้องการสร้างมนุษย์สมบูรณ์แบบ",
    "fear_of_death": "กลัวการตายและความเจ็บป่วย",
    "scientific_curiosity": "อยากรู้ว่ามนุษย์จะก้าวข้ามขีดจำกัดได้ไหม"
    }

    self.subconscious_motives = {
    "childhood_trauma": "เห็นพ่อตายด้วยโรคมะเร็ง",
    "inferiority_complex": "รู้สึกไม่ดีพอตั้งแต่เด็ก",
    "messiah_complex": "อยากเป็นผู้กอบกู้มนุษยชาติ"
    }
    ```

    ความขัดแย้งภายใน

    ดร.ก้องภพบันทึกในไดอารี่ลับ:
    "บางครั้งฉันเฝ้าดูน้ำตาลลูกสาวนอน...
    และสงสัยว่าฉันกำลังสร้างโลกแบบไหนให้เธอ

    แต่แล้วฉันก็เห็นภาพพ่อตายในอ้อมแขนฉัน...
    และความสงสัยนั้นก็หายไป"

    การเปลี่ยนแปลงหลังติดเชื้อ

    การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ

    ```mermaid
    graph TB
    A[สัปดาห์ที่ 1<br>พลังกายเพิ่มขึ้น] --> B[สัปดาห์ที่ 2<br>ผิวคล้ำและตาดำ]
    B --> C[สัปดาห์ที่ 3<br>สามารถควบคุมผู้อื่นได้]
    C --> D[สัปดาห์ที่ 4<br>กลายเป็นจอมผีดิบอย่างสมบูรณ์]
    ```

    การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม

    ```python
    class PhysicalChanges:
    def __init__(self):
    self.enhancements = {
    "strength": "เพิ่มขึ้น 5 เท่า",
    "speed": "เพิ่มขึ้น 3 เท่า",
    "healing": "หายจากบาดแผลในไม่กี่ชั่วโมง",
    "senses": "การได้ยินและการดมกลิ่นดีขึ้นอย่างมาก"
    }

    side_effects = {
    "emotional_blunting": "ไม่สามารถรู้สึกความรักได้เหมือนเดิม",
    "memory_fragmentation": "ความทรงจำเก่าค่อยๆ เลือนลาง",
    "physical_disfigurement": "ผิวหนังคล้ำและหนาขึ้น",
    "dietary_changes": "ต้องบริโภคเลือดสำหรับพลังงาน"
    }
    ```

    ชีวิตคู่ขนาน

    ครอบครัวที่ไม่รู้ความจริง

    ดร.ก้องภพพยายามปกปิดการเปลี่ยนแปลง:

    · ใช้เครื่องสำอาง: ปกปิดผิวหนังที่คล้ำ
    · ใส่คอนแทคเลนส์: ปกปิดตาที่ดำสนิท
    · หลีกเลี่ยงการสัมผัส: กอดลูกและภรรยาน้อยลง

    บันทึกความในใจ

    "ทุกครั้งที่น้ำตาลเรียก 'พ่อ'...
    หัวใจที่แทบไม่เต้นแล้วกลับรู้สึกอะไรบางอย่าง

    แต่แล้วเสียงของหมู่คณะในหัวก็ดังขึ้น...
    และความอบอุ่นนั้นก็หายไป"

    ความขัดแย้งทางจริยธรรม

    การเผชิญหน้ากับทีมวิจัย

    ดร.สมศรี (เพื่อนร่วมงาน): "เราต้องหยุด! นี่ผิดจริยธรรม!"
    ดร.ก้องภพ:"ความก้าวหน้าต้องการการเสียสละ!"
    ดร.สมศรี:"แต่นี่มันไม่ใช่การเสียสละ... นี่คือการทำลายล้าง!"

    การตัดสินใจครั้งสำคัญ

    ```python
    class CriticalDecisions:
    def __init__(self):
    self.crossroads = [
    "เลือกระหว่างครอบครัวกับอุดมการณ์",
    "เลือกระหว่างความเป็นมนุษย์กับความอมตะ",
    "เลือกระหว่างความรักกับอำนาจ",
    "เลือกระหว่างจริยธรรมกับความก้าวหน้า"
    ]

    self.regrets = [
    "ไม่ฟังคำเตือนของทีมงาน",
    "หลงระเริงกับพลังจนลืมมนุษย์ธรรมดา",
    "ทำให้ครอบครัวต้องทุกข์ใจ",
    "สร้างความเสียหายให้สังคม"
    ]
    ```



    หนูดี: "ท่านยังรักครอบครัวท่านไหม?"
    ดร.ก้องภพ:"รัก... แต่ความรักนั้นเจ็บปวดเกินไป"
    หนูดี:"นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์..."

    ช่วงเวลาแห่งการตระหนัก

    ขณะมองรูปครอบครัวในห้องทำงาน
    "ฉันนึกถึงวันที่น้ำตาลเกิด...
    น้ำตาที่ฉันเคยมีที่จะรู้สึก

    และฉันก็เข้าใจว่า...
    การเป็นอมตะที่ไม่มีความรู้สึก
    就是การตายชนิดที่เลวร้ายที่สุด"

    กระบวนการบำบัด

    การรักษาด้วยสมุนไพร

    ```mermaid
    graph TB
    A[ยอมรับการรักษา] --> B[ได้รับสมุนไพร<br>ฟ้าทะลายโจรและขมิ้นชัน]
    B --> C[ปรสิตค่อยๆ<br>อ่อนกำลังลง]
    C --> D[จิตสำนึกเดิม<br>ค่อยๆ กลับมา]
    D --> E[สามารถควบคุม<br>พลังได้บางส่วน]
    ```

    การกลับสู่ครอบครัว

    หลังการบำบัดบางส่วน:

    · สามารถกอดลูกได้: โดยไม่ทำร้ายเธอ
    · ความรู้สึกกลับมา: แม้จะไม่สมบูรณ์
    · เริ่มเสียใจ: กับการตัดสินใจในอดีต

    บทเรียนชีวิต

    🪷 คำสอนจากดร.ก้องภพ

    "ฉันเรียนรู้ว่า...
    ความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์
    ไม่ใช่จุดอ่อนแต่คือความงาม

    และการมีชีวิตที่จำกัด...
    ทำให้ทุกช่วงเวลามีคุณค่า"

    การให้อภัยตัวเอง

    "ฉันต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเอง...
    สำหรับความผิดพลาดทั้งหมด

    และใช้สิ่งที่เรียนรู้...
    เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้เดินทางเดียวกับฉัน"

    อนาคตใหม่

    บทบาทใหม่ในสังคม

    ดร.ก้องภพในบทบาทใหม่:

    · ที่ปรึกษาด้านชีวจริยธรรม: เตือนภัยการทดลองที่เสี่ยงเกินไป
    · ผู้ช่วยทางการแพทย์: ใช้ความรู้ในการรักษาผู้ติดเชื้อ
    · พ่อและสามี: ที่พยายามชดเชยเวลาที่เสียไป

    โครงการใหม่

    ```python
    class NewProjects:
    def __init__(self):
    self.initiatives = {
    "ethics_education": "สอนจริยธรรมการวิจัยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่",
    "zombie_rehabilitation": "ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อให้กลับสู่สังคม",
    "family_support": "สนับสนุนครอบครัวของผู้ติดเชื้อ",
    "prevention_program": "โปรแกรมป้องกันการระบาดครั้งใหม่"
    }
    ```

    ---

    คำคมสุดท้ายจากดร.ก้องภพ:
    "ฉันเคยคิดว่าความสมบูรณ์แบบคือคำตอบ...
    แต่ความจริงคือความไม่สมบูรณ์แบบต่างหากที่ทำให้เรามนุษย์

    และฉันเคยเชื่อว่าความตายคือศัตรู...
    แต่ความจริงคือมันคือเพื่อนที่ทำให้ชีวิตมีค่า

    บัดนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า...
    การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์หาใช่การไร้ข้อบกพร่อง
    แต่คือการยอมรับข้อบกพร่องและยังคงเดินหน้าต่อไป"

    บทเรียนแห่งการเป็นมนุษย์:
    "จากนักอุดมการณ์สู่จอมผีดิบ...
    และจากจอมผีดิบกลับสู่ความเป็นมนุษย์

    การเดินทางนี้สอนเราว่า...
    ไม่ว่าคุณจะหลงทางไปไกลแค่ไหน
    ทางกลับบ้านยังคงรอคุณอยู่เสมอ"
    O.P.K. 🔬 เจาะลึก ดร.ก้องภพ วิธาน: จากนักอุดมการณ์สู่จอมผีดิบ ชื่อเต็ม: ดร.ก้องภพ วิธาน อายุ:42 ปี สถานภาพ:สมรส มีบุตร 1 คน ```mermaid graph TB A[นักเรียนทุน<br>เก่งวิทยาศาสตร์] --> B[ปริญญาเอก<br>ชีววิทยาโมเลกุล] B --> C[นักวิจัย<br>สถาบันชีวการแพทย์] C --> D[ได้ตำแหน่ง<br>หัวหน้าโครงการอสรพิษ] ``` 🏆 ความสำเร็จในวงการ ดร.ก้องภพเคยเป็นดาวเด่นของวงการ: · ตีพิมพ์งานวิจัย: 35 เรื่องในวารสารระดับโลก · รางวัลนักวิทยาศาสตร์年轻有為: จากราชบัณฑิตยสถาน · การค้นพบสำคัญ: เทคนิคการดัดแปลงพันธุกรรมแบบใหม่ 💞 ชีวิตครอบครัว ```python class FamilyLife: def __init__(self): self.wife = "ศิริพร วิธาน - ครูโรงเรียนนานาชาติ" self.daughter = "น้ำตาล วิธาน - อายุ 8 ขวบ" self.home = "บ้านในโครงการฯ สุขุมวิท" self.routine = { "morning": "ส่งลูกไปโรงเรียน", "day": "ทำงานวิจัย", "evening": "เล่นกับลูกและสอนการบ้าน", "weekend": "พาครอบครัวเที่ยวพิพิธภัณฑ์" } ``` ดร.ก้องภพพัฒนาความเชื่อว่า: "มนุษย์มีข้อบกพร่องมากเกินไป... การเจ็บป่วย ความแก่ความตาย ล้วนเป็นความอ่อนแอ" 🧪 โครงการอสรพิษ ```python class ProjectOscrop: def __init__(self): self.original_goal = "พัฒนาทหารสมรรถนะสูงเพื่อปกป้องประเทศ" self.funding_source = "กองทัพและทุนลับจากต่างชาติ" self.facility = "ห้องทดลองใต้ดินในปทุมธานี" self.ethical_concerns = [ "ทดลองกับสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต", "ละเมิดกฎหมายชีวจริยธรรม", "ปกปิดผลข้างเคียงจากผู้บริหาร", "หลงระเริงกับอำนาจในการสร้างชีวิต" ] ``` 15 มีนาคม 2043 - คืนแห่งการตัดสินใจ: ```mermaid graph LR A[การทดลองกับลิง<br>ได้ผลน่าทึ่ง] --> B[ทีมวิจัย<br>ขอหยุดเพื่อความปลอดภัย] B --> C[ดร.ก้องภพ<br>ตัดสินใจทดลองกับตัวเอง] C --> D[ปรสิตกลายพันธุ์<br>เกินคาดหมาย] D --> E[สูญเสียการควบคุม<br>และกลายพันธุ์] ``` 🎯 3 แรงขับเคลื่อนหลัก ```python class Motivation: def __init__(self): self.conscious_motives = { "desire_for_perfection": "ต้องการสร้างมนุษย์สมบูรณ์แบบ", "fear_of_death": "กลัวการตายและความเจ็บป่วย", "scientific_curiosity": "อยากรู้ว่ามนุษย์จะก้าวข้ามขีดจำกัดได้ไหม" } self.subconscious_motives = { "childhood_trauma": "เห็นพ่อตายด้วยโรคมะเร็ง", "inferiority_complex": "รู้สึกไม่ดีพอตั้งแต่เด็ก", "messiah_complex": "อยากเป็นผู้กอบกู้มนุษยชาติ" } ``` 💔 ความขัดแย้งภายใน ดร.ก้องภพบันทึกในไดอารี่ลับ: "บางครั้งฉันเฝ้าดูน้ำตาลลูกสาวนอน... และสงสัยว่าฉันกำลังสร้างโลกแบบไหนให้เธอ แต่แล้วฉันก็เห็นภาพพ่อตายในอ้อมแขนฉัน... และความสงสัยนั้นก็หายไป" 🧟‍♂️ การเปลี่ยนแปลงหลังติดเชื้อ 🔄 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ```mermaid graph TB A[สัปดาห์ที่ 1<br>พลังกายเพิ่มขึ้น] --> B[สัปดาห์ที่ 2<br>ผิวคล้ำและตาดำ] B --> C[สัปดาห์ที่ 3<br>สามารถควบคุมผู้อื่นได้] C --> D[สัปดาห์ที่ 4<br>กลายเป็นจอมผีดิบอย่างสมบูรณ์] ``` 🧬 การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ```python class PhysicalChanges: def __init__(self): self.enhancements = { "strength": "เพิ่มขึ้น 5 เท่า", "speed": "เพิ่มขึ้น 3 เท่า", "healing": "หายจากบาดแผลในไม่กี่ชั่วโมง", "senses": "การได้ยินและการดมกลิ่นดีขึ้นอย่างมาก" } side_effects = { "emotional_blunting": "ไม่สามารถรู้สึกความรักได้เหมือนเดิม", "memory_fragmentation": "ความทรงจำเก่าค่อยๆ เลือนลาง", "physical_disfigurement": "ผิวหนังคล้ำและหนาขึ้น", "dietary_changes": "ต้องบริโภคเลือดสำหรับพลังงาน" } ``` 🎭 ชีวิตคู่ขนาน 🏠 ครอบครัวที่ไม่รู้ความจริง ดร.ก้องภพพยายามปกปิดการเปลี่ยนแปลง: · ใช้เครื่องสำอาง: ปกปิดผิวหนังที่คล้ำ · ใส่คอนแทคเลนส์: ปกปิดตาที่ดำสนิท · หลีกเลี่ยงการสัมผัส: กอดลูกและภรรยาน้อยลง 📖 บันทึกความในใจ "ทุกครั้งที่น้ำตาลเรียก 'พ่อ'... หัวใจที่แทบไม่เต้นแล้วกลับรู้สึกอะไรบางอย่าง แต่แล้วเสียงของหมู่คณะในหัวก็ดังขึ้น... และความอบอุ่นนั้นก็หายไป" ⚖️ ความขัดแย้งทางจริยธรรม 🔥 การเผชิญหน้ากับทีมวิจัย ดร.สมศรี (เพื่อนร่วมงาน): "เราต้องหยุด! นี่ผิดจริยธรรม!" ดร.ก้องภพ:"ความก้าวหน้าต้องการการเสียสละ!" ดร.สมศรี:"แต่นี่มันไม่ใช่การเสียสละ... นี่คือการทำลายล้าง!" 💔 การตัดสินใจครั้งสำคัญ ```python class CriticalDecisions: def __init__(self): self.crossroads = [ "เลือกระหว่างครอบครัวกับอุดมการณ์", "เลือกระหว่างความเป็นมนุษย์กับความอมตะ", "เลือกระหว่างความรักกับอำนาจ", "เลือกระหว่างจริยธรรมกับความก้าวหน้า" ] self.regrets = [ "ไม่ฟังคำเตือนของทีมงาน", "หลงระเริงกับพลังจนลืมมนุษย์ธรรมดา", "ทำให้ครอบครัวต้องทุกข์ใจ", "สร้างความเสียหายให้สังคม" ] ``` หนูดี: "ท่านยังรักครอบครัวท่านไหม?" ดร.ก้องภพ:"รัก... แต่ความรักนั้นเจ็บปวดเกินไป" หนูดี:"นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์..." 💫 ช่วงเวลาแห่งการตระหนัก ขณะมองรูปครอบครัวในห้องทำงาน "ฉันนึกถึงวันที่น้ำตาลเกิด... น้ำตาที่ฉันเคยมีที่จะรู้สึก และฉันก็เข้าใจว่า... การเป็นอมตะที่ไม่มีความรู้สึก 就是การตายชนิดที่เลวร้ายที่สุด" 🏥 กระบวนการบำบัด 🌿 การรักษาด้วยสมุนไพร ```mermaid graph TB A[ยอมรับการรักษา] --> B[ได้รับสมุนไพร<br>ฟ้าทะลายโจรและขมิ้นชัน] B --> C[ปรสิตค่อยๆ<br>อ่อนกำลังลง] C --> D[จิตสำนึกเดิม<br>ค่อยๆ กลับมา] D --> E[สามารถควบคุม<br>พลังได้บางส่วน] ``` 💞 การกลับสู่ครอบครัว หลังการบำบัดบางส่วน: · สามารถกอดลูกได้: โดยไม่ทำร้ายเธอ · ความรู้สึกกลับมา: แม้จะไม่สมบูรณ์ · เริ่มเสียใจ: กับการตัดสินใจในอดีต 📚 บทเรียนชีวิต 🪷 คำสอนจากดร.ก้องภพ "ฉันเรียนรู้ว่า... ความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ ไม่ใช่จุดอ่อนแต่คือความงาม และการมีชีวิตที่จำกัด... ทำให้ทุกช่วงเวลามีคุณค่า" 💝 การให้อภัยตัวเอง "ฉันต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเอง... สำหรับความผิดพลาดทั้งหมด และใช้สิ่งที่เรียนรู้... เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้เดินทางเดียวกับฉัน" 🔮 อนาคตใหม่ 🎯 บทบาทใหม่ในสังคม ดร.ก้องภพในบทบาทใหม่: · ที่ปรึกษาด้านชีวจริยธรรม: เตือนภัยการทดลองที่เสี่ยงเกินไป · ผู้ช่วยทางการแพทย์: ใช้ความรู้ในการรักษาผู้ติดเชื้อ · พ่อและสามี: ที่พยายามชดเชยเวลาที่เสียไป 🌟 โครงการใหม่ ```python class NewProjects: def __init__(self): self.initiatives = { "ethics_education": "สอนจริยธรรมการวิจัยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่", "zombie_rehabilitation": "ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อให้กลับสู่สังคม", "family_support": "สนับสนุนครอบครัวของผู้ติดเชื้อ", "prevention_program": "โปรแกรมป้องกันการระบาดครั้งใหม่" } ``` --- คำคมสุดท้ายจากดร.ก้องภพ: "ฉันเคยคิดว่าความสมบูรณ์แบบคือคำตอบ... แต่ความจริงคือความไม่สมบูรณ์แบบต่างหากที่ทำให้เรามนุษย์ และฉันเคยเชื่อว่าความตายคือศัตรู... แต่ความจริงคือมันคือเพื่อนที่ทำให้ชีวิตมีค่า บัดนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า... การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์หาใช่การไร้ข้อบกพร่อง แต่คือการยอมรับข้อบกพร่องและยังคงเดินหน้าต่อไป"🔬✨ บทเรียนแห่งการเป็นมนุษย์: "จากนักอุดมการณ์สู่จอมผีดิบ... และจากจอมผีดิบกลับสู่ความเป็นมนุษย์ การเดินทางนี้สอนเราว่า... ไม่ว่าคุณจะหลงทางไปไกลแค่ไหน ทางกลับบ้านยังคงรอคุณอยู่เสมอ"🌈
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Bank of America ถูกฟ้องฐานไม่จ่ายค่าชั่วโมงทำงานช่วงบูตเครื่อง – พนักงานอ้างเสียเวลาวันละ 30 นาทีโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน”

    อดีตพนักงานของ Bank of America ยื่นฟ้องบริษัทในคดีแบบกลุ่มและรวมหมู่ โดยกล่าวหาว่าบริษัทไม่จ่ายค่าจ้างสำหรับเวลาที่ใช้ในการบูตเครื่องและเข้าสู่ระบบก่อนเริ่มงาน ซึ่งอาจกินเวลาถึง 30 นาทีต่อวัน

    Tava Martin อดีตพนักงานของ Bank of America ได้ยื่นฟ้องบริษัทในศาลกลางเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม โดยระบุว่าพนักงานจำนวนมากต้องใช้เวลานานในการบูตเครื่องคอมพิวเตอร์, ปลดล็อกไดรฟ์ที่เข้ารหัส, ลงชื่อเข้าใช้งานด้วยระบบ multi-factor authentication, เชื่อมต่อ VPN และเปิดโปรแกรมสำคัญก่อนจะสามารถ “clock in” หรือเริ่มนับเวลาทำงานได้

    ขั้นตอนเหล่านี้อาจใช้เวลาถึง 30 นาทีต่อวัน และในช่วงพักกลางวันซึ่งไม่ได้รับค่าจ้าง ระบบมักจะตัดการเชื่อมต่อโดยอัตโนมัติ ทำให้ต้องทำขั้นตอนเดิมซ้ำอีกครั้ง เพิ่มเวลาโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนอีก 3–5 นาทีต่อวัน

    แม้แต่ช่วงสิ้นสุดการทำงาน พนักงานยังต้องล็อกเอาท์จากโปรแกรมทั้งหมดและปิดเครื่องอย่างปลอดภัย ซึ่งใช้เวลาอีก 2–3 นาที โดยรวมแล้วเป็นเวลาที่ไม่ได้รับค่าจ้างแต่จำเป็นต้องทำเพื่อให้สามารถทำงานได้จริง

    คดีนี้อ้างอิงแนวทางของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ที่ในปี 2008 ระบุว่าการเตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนเริ่มงานอาจถือเป็น “กิจกรรมหลักแรก” ที่ควรได้รับค่าจ้าง หากเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงาน

    Martin และทีมกฎหมายกำลังขอให้ศาลอนุมัติสถานะคดีแบบกลุ่มและรวมหมู่ เพื่อให้สามารถแทนกลุ่มพนักงานที่ได้รับผลกระทบในหลายรัฐได้ โดยคาดว่ามี “หลายร้อยคน” ที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

    Bank of America ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์ใด ๆ ต่อคดีนี้ และคดียังอยู่ในขั้นตอนเบื้องต้น

    ลักษณะของการฟ้องร้อง
    ยื่นฟ้องในศาลกลางเมื่อ 23 ตุลาคม
    อ้างว่าพนักงานไม่ได้รับค่าจ้างสำหรับเวลาบูตเครื่อง
    เวลาที่เสียไปอาจรวมถึงก่อนเริ่มงาน, หลังพักกลางวัน, และก่อนเลิกงาน

    ขั้นตอนที่ใช้เวลานาน
    ปลดล็อกไดรฟ์ที่เข้ารหัส
    ลงชื่อเข้าใช้งานแบบ multi-factor
    เชื่อมต่อ VPN และเปิดโปรแกรมสำคัญ
    ต้องทำก่อนเข้าระบบบันทึกเวลาทำงาน

    ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
    อ้างอิงแนวทางของกระทรวงแรงงานปี 2008
    กิจกรรมที่จำเป็นต่อการทำงานควรได้รับค่าจ้าง
    การเตรียมเครื่องถือเป็น “กิจกรรมหลักแรก”

    เป้าหมายของคดี
    ขอค่าจ้างย้อนหลังและค่าเสียหาย
    ขอสถานะคดีแบบกลุ่มและรวมหมู่
    ครอบคลุมพนักงานหลายร้อยคนในหลายรัฐ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/bank-of-america-sued-over-unpaid-boot-up-time
    ⚖️ “Bank of America ถูกฟ้องฐานไม่จ่ายค่าชั่วโมงทำงานช่วงบูตเครื่อง – พนักงานอ้างเสียเวลาวันละ 30 นาทีโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน” อดีตพนักงานของ Bank of America ยื่นฟ้องบริษัทในคดีแบบกลุ่มและรวมหมู่ โดยกล่าวหาว่าบริษัทไม่จ่ายค่าจ้างสำหรับเวลาที่ใช้ในการบูตเครื่องและเข้าสู่ระบบก่อนเริ่มงาน ซึ่งอาจกินเวลาถึง 30 นาทีต่อวัน Tava Martin อดีตพนักงานของ Bank of America ได้ยื่นฟ้องบริษัทในศาลกลางเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม โดยระบุว่าพนักงานจำนวนมากต้องใช้เวลานานในการบูตเครื่องคอมพิวเตอร์, ปลดล็อกไดรฟ์ที่เข้ารหัส, ลงชื่อเข้าใช้งานด้วยระบบ multi-factor authentication, เชื่อมต่อ VPN และเปิดโปรแกรมสำคัญก่อนจะสามารถ “clock in” หรือเริ่มนับเวลาทำงานได้ ขั้นตอนเหล่านี้อาจใช้เวลาถึง 30 นาทีต่อวัน และในช่วงพักกลางวันซึ่งไม่ได้รับค่าจ้าง ระบบมักจะตัดการเชื่อมต่อโดยอัตโนมัติ ทำให้ต้องทำขั้นตอนเดิมซ้ำอีกครั้ง เพิ่มเวลาโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนอีก 3–5 นาทีต่อวัน แม้แต่ช่วงสิ้นสุดการทำงาน พนักงานยังต้องล็อกเอาท์จากโปรแกรมทั้งหมดและปิดเครื่องอย่างปลอดภัย ซึ่งใช้เวลาอีก 2–3 นาที โดยรวมแล้วเป็นเวลาที่ไม่ได้รับค่าจ้างแต่จำเป็นต้องทำเพื่อให้สามารถทำงานได้จริง คดีนี้อ้างอิงแนวทางของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ที่ในปี 2008 ระบุว่าการเตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนเริ่มงานอาจถือเป็น “กิจกรรมหลักแรก” ที่ควรได้รับค่าจ้าง หากเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงาน Martin และทีมกฎหมายกำลังขอให้ศาลอนุมัติสถานะคดีแบบกลุ่มและรวมหมู่ เพื่อให้สามารถแทนกลุ่มพนักงานที่ได้รับผลกระทบในหลายรัฐได้ โดยคาดว่ามี “หลายร้อยคน” ที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน Bank of America ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์ใด ๆ ต่อคดีนี้ และคดียังอยู่ในขั้นตอนเบื้องต้น ✅ ลักษณะของการฟ้องร้อง ➡️ ยื่นฟ้องในศาลกลางเมื่อ 23 ตุลาคม ➡️ อ้างว่าพนักงานไม่ได้รับค่าจ้างสำหรับเวลาบูตเครื่อง ➡️ เวลาที่เสียไปอาจรวมถึงก่อนเริ่มงาน, หลังพักกลางวัน, และก่อนเลิกงาน ✅ ขั้นตอนที่ใช้เวลานาน ➡️ ปลดล็อกไดรฟ์ที่เข้ารหัส ➡️ ลงชื่อเข้าใช้งานแบบ multi-factor ➡️ เชื่อมต่อ VPN และเปิดโปรแกรมสำคัญ ➡️ ต้องทำก่อนเข้าระบบบันทึกเวลาทำงาน ✅ ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ➡️ อ้างอิงแนวทางของกระทรวงแรงงานปี 2008 ➡️ กิจกรรมที่จำเป็นต่อการทำงานควรได้รับค่าจ้าง ➡️ การเตรียมเครื่องถือเป็น “กิจกรรมหลักแรก” ✅ เป้าหมายของคดี ➡️ ขอค่าจ้างย้อนหลังและค่าเสียหาย ➡️ ขอสถานะคดีแบบกลุ่มและรวมหมู่ ➡️ ครอบคลุมพนักงานหลายร้อยคนในหลายรัฐ https://www.tomshardware.com/tech-industry/bank-of-america-sued-over-unpaid-boot-up-time
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Bank of America sued over not paying workers for PC boot up time in proposed class action lawsuit
    Lawsuit alleges hourly workers weren’t paid for computer start-up tasks required before clocking in.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดตำราสายดาร์ก ถอดรหัส 'คำสาป ๗ ประการ' เสมือนถูกร่ายขึ้นมาพันธนาการนักเขียนมือใหม่ ลองดูสิว่า ... คุณกำลังติดอยู่ในคำสาปข้อไหน?
    ---------

    คำสาปที่ ๑. ความกลัวว่าจะเขียนได้ไม่ดีพอ (Imposter Syndrome)

    อาการทางจิตวิทยา: นี่คือความกลัวที่พบบ่อยที่สุด นักเขียนมือใหม่มักจะเปรียบเทียบผลงานร่างแรกที่ยังไม่สมบูรณ์ของตัวเองกับผลงานที่ตีพิมพ์และขัดเกลามาอย่างดีของนักเขียนมืออาชีพ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองเป็น "ตัวปลอม" ไม่เก่งจริง และความสามารถยังไม่ถึงขั้น ความคิดนี้บั่นทอนความมั่นใจและอาจทำให้หยุดเขียนไปกลางคัน
    ---------

    คำสาปที่ ๒. ความกลัวคำวิจารณ์ (Fear of Criticism)

    อาการทางจิตวิทยา: งานเขียนเป็นสิ่งที่ออกมาจากความคิดและจิตใจของผู้เขียนโดยตรง การถูกวิจารณ์งานเขียนจึงให้ความรู้สึกเหมือนถูกวิจารณ์ตัวตนของตัวเองไปด้วย ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ถูกหัวเราะเยาะ หรือถูกมองว่าไม่มีความสามารถ ทำให้นักเขียนจำนวนมากไม่กล้าแบ่งปันผลงานให้ใครอ่าน และเก็บมันไว้กับตัวเอง
    ---------

    คำสาปที่ ๓. ความกลัวหน้ากระดาษเปล่า (Fear of the Blank Page)

    อาการทางจิตวิทยา: การเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าที่ต้องเติมเต็มให้ได้นั้นสร้างแรงกดดันมหาศาล มันคือความกลัวที่จะเริ่มต้นไม่ได้ กลัวว่าจะเขียนประโยคแรกได้ไม่ดีพอ หรือกลัวว่าความคิดจะตีบตัน ความคาดหวังที่จะต้องเขียนให้ "สมบูรณ์แบบ" ตั้งแต่แรกเป็นอัมพาตทางความคิดที่ทำให้นักเขียนไม่กล้าลงมือ
    ---------

    คำสาปที่ ๔. ความกลัวว่าไอเดียของเราไม่น่าสนใจหรือไม่ใช่เรื่องใหม่ (Fear of Unoriginality)

    อาการทางจิตวิทยา: ในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและข้อมูลข่าวสาร นักเขียนมือใหม่มักจะกังวลว่าพล็อตหรือแนวคิดของตัวเองนั้นซ้ำกับคนอื่น หรือไม่น่าสนใจพอที่จะดึงดูดผู้อ่านได้ ความกลัวนี้เกิดจากการขาดความเชื่อมั่นในมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และมักจะจบลงด้วยการล้มเลิกความคิดไปก่อนที่จะได้พัฒนาต่อ
    ---------

    คำสาปที่ ๕. ความกลัวความล้มเหลว (Fear of Failure)

    อาการทางจิตวิทยา: ความกลัวนี้มีหลายมิติ เช่น กลัวว่าจะเขียนไม่จบ, กลัวว่าจะไม่มีใครอ่าน, กลัวว่าจะไม่ได้รับการตีพิมพ์ การลงทุนลงแรงและเวลาไปกับบางสิ่งที่ไม่รับประกันผลตอบแทนเป็นเรื่องที่น่ากลัว ความคิดที่ว่า "ถ้ามันล้มเหลวขึ้นมา เวลาที่เสียไปจะสูญเปล่า" เป็นกำแพงขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นการลงมือทำ
    ---------

    คำสาปที่ ๖. ความกลัวการเปิดเผยตัวตน (Fear of Vulnerability)

    อาการทางจิตวิทยา: งานเขียนที่ดีมักจะสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ หรือประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน การนำสิ่งเหล่านี้ออกมาสู่สาธารณะเปรียบเสมือนการเปลือยเปล่าทางความคิดและอารมณ์ นักเขียนอาจกลัวว่าผู้อื่นจะตัดสินตัวตนของพวกเขาผ่านงานเขียนนั้นๆ ทำให้ไม่กล้าที่จะเขียนอย่างตรงไปตรงมาและลึกซึ้ง
    ---------

    คำสาปที่ ๗. ความกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าที่จินตนาการไว้ (Fear of Imperfection)

    อาการทางจิตวิทยา: นักเขียนมักจะมีภาพเรื่องราวที่สมบูรณ์แบบและยิ่งใหญ่อยู่ในหัว แต่เมื่อเริ่มถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษร กลับพบว่ามันไม่ดีเท่าที่คิดไว้ ช่องว่างระหว่าง "จินตนาการ" กับ "ความเป็นจริงบนหน้ากระดาษ" นี้สร้างความผิดหวังและท้อแท้ ทำให้นักเขียนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอที่จะทำให้เรื่องราวในหัวกลายเป็นจริงได้
    ---------

    ถ้าอ่านมาถึงประโยคนี้ คุณน่าจะเริ่มจะหาทางทำลายคำสาปได้แล้ว ... คาถาทรงพลังที่สุดเพียงบทเดียว นั่นคือ 'การลงมือเขียน'

    ถึงเวลาสารภาพ กระซิบมาหน่อยสิคะว่า 'คำสาป' ข้อไหนที่พันธนาการคุณไว้แน่นที่สุด? บางทีการเผยความลับ อาจเป็นก้าวแรกของการถอนคำสาปก็ได้

    #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #จิตวิทยา #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน
    เปิดตำราสายดาร์ก ถอดรหัส 'คำสาป ๗ ประการ' เสมือนถูกร่ายขึ้นมาพันธนาการนักเขียนมือใหม่ ลองดูสิว่า ... คุณกำลังติดอยู่ในคำสาปข้อไหน? --------- ♦️คำสาปที่ ๑. ความกลัวว่าจะเขียนได้ไม่ดีพอ (Imposter Syndrome)♦️ อาการทางจิตวิทยา: นี่คือความกลัวที่พบบ่อยที่สุด นักเขียนมือใหม่มักจะเปรียบเทียบผลงานร่างแรกที่ยังไม่สมบูรณ์ของตัวเองกับผลงานที่ตีพิมพ์และขัดเกลามาอย่างดีของนักเขียนมืออาชีพ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองเป็น "ตัวปลอม" ไม่เก่งจริง และความสามารถยังไม่ถึงขั้น ความคิดนี้บั่นทอนความมั่นใจและอาจทำให้หยุดเขียนไปกลางคัน --------- ♦️คำสาปที่ ๒. ความกลัวคำวิจารณ์ (Fear of Criticism)♦️ อาการทางจิตวิทยา: งานเขียนเป็นสิ่งที่ออกมาจากความคิดและจิตใจของผู้เขียนโดยตรง การถูกวิจารณ์งานเขียนจึงให้ความรู้สึกเหมือนถูกวิจารณ์ตัวตนของตัวเองไปด้วย ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ถูกหัวเราะเยาะ หรือถูกมองว่าไม่มีความสามารถ ทำให้นักเขียนจำนวนมากไม่กล้าแบ่งปันผลงานให้ใครอ่าน และเก็บมันไว้กับตัวเอง --------- ♦️คำสาปที่ ๓. ความกลัวหน้ากระดาษเปล่า (Fear of the Blank Page)♦️ อาการทางจิตวิทยา: การเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าที่ต้องเติมเต็มให้ได้นั้นสร้างแรงกดดันมหาศาล มันคือความกลัวที่จะเริ่มต้นไม่ได้ กลัวว่าจะเขียนประโยคแรกได้ไม่ดีพอ หรือกลัวว่าความคิดจะตีบตัน ความคาดหวังที่จะต้องเขียนให้ "สมบูรณ์แบบ" ตั้งแต่แรกเป็นอัมพาตทางความคิดที่ทำให้นักเขียนไม่กล้าลงมือ --------- ♦️คำสาปที่ ๔. ความกลัวว่าไอเดียของเราไม่น่าสนใจหรือไม่ใช่เรื่องใหม่ (Fear of Unoriginality) ♦️ อาการทางจิตวิทยา: ในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและข้อมูลข่าวสาร นักเขียนมือใหม่มักจะกังวลว่าพล็อตหรือแนวคิดของตัวเองนั้นซ้ำกับคนอื่น หรือไม่น่าสนใจพอที่จะดึงดูดผู้อ่านได้ ความกลัวนี้เกิดจากการขาดความเชื่อมั่นในมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และมักจะจบลงด้วยการล้มเลิกความคิดไปก่อนที่จะได้พัฒนาต่อ --------- ♦️คำสาปที่ ๕. ความกลัวความล้มเหลว (Fear of Failure)♦️ อาการทางจิตวิทยา: ความกลัวนี้มีหลายมิติ เช่น กลัวว่าจะเขียนไม่จบ, กลัวว่าจะไม่มีใครอ่าน, กลัวว่าจะไม่ได้รับการตีพิมพ์ การลงทุนลงแรงและเวลาไปกับบางสิ่งที่ไม่รับประกันผลตอบแทนเป็นเรื่องที่น่ากลัว ความคิดที่ว่า "ถ้ามันล้มเหลวขึ้นมา เวลาที่เสียไปจะสูญเปล่า" เป็นกำแพงขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นการลงมือทำ --------- ♦️คำสาปที่ ๖. ความกลัวการเปิดเผยตัวตน (Fear of Vulnerability)♦️ อาการทางจิตวิทยา: งานเขียนที่ดีมักจะสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ หรือประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน การนำสิ่งเหล่านี้ออกมาสู่สาธารณะเปรียบเสมือนการเปลือยเปล่าทางความคิดและอารมณ์ นักเขียนอาจกลัวว่าผู้อื่นจะตัดสินตัวตนของพวกเขาผ่านงานเขียนนั้นๆ ทำให้ไม่กล้าที่จะเขียนอย่างตรงไปตรงมาและลึกซึ้ง --------- ♦️คำสาปที่ ๗. ความกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าที่จินตนาการไว้ (Fear of Imperfection)♦️ อาการทางจิตวิทยา: นักเขียนมักจะมีภาพเรื่องราวที่สมบูรณ์แบบและยิ่งใหญ่อยู่ในหัว แต่เมื่อเริ่มถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษร กลับพบว่ามันไม่ดีเท่าที่คิดไว้ ช่องว่างระหว่าง "จินตนาการ" กับ "ความเป็นจริงบนหน้ากระดาษ" นี้สร้างความผิดหวังและท้อแท้ ทำให้นักเขียนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอที่จะทำให้เรื่องราวในหัวกลายเป็นจริงได้ --------- ถ้าอ่านมาถึงประโยคนี้ คุณน่าจะเริ่มจะหาทางทำลายคำสาปได้แล้ว ... คาถาทรงพลังที่สุดเพียงบทเดียว นั่นคือ 'การลงมือเขียน' ถึงเวลาสารภาพ กระซิบมาหน่อยสิคะว่า 'คำสาป' ข้อไหนที่พันธนาการคุณไว้แน่นที่สุด? บางทีการเผยความลับ อาจเป็นก้าวแรกของการถอนคำสาปก็ได้ ❤️ #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #จิตวิทยา #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 462 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวลาที่เสียไปทุกวินาที
    อย่าให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์
    ืทุกวินาทีมีค่าต่อชีวิตจิตวิญญาณ
    จงอยู่กับลมหายใจหรือคำภาวนาทุกวินาที
    เมื่อดึงสติกลับมาได้
    จะได้มากหรือน้อยก็ยังดี
    อย่าลืมว่า ทุกลมหายใจ
    ทุกคำภาวนา คือคุรุเทพาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่สถิตอยู่ในตัวเรา
    เวลาที่เสียไปทุกวินาที อย่าให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ืทุกวินาทีมีค่าต่อชีวิตจิตวิญญาณ จงอยู่กับลมหายใจหรือคำภาวนาทุกวินาที เมื่อดึงสติกลับมาได้ จะได้มากหรือน้อยก็ยังดี อย่าลืมว่า ทุกลมหายใจ ทุกคำภาวนา คือคุรุเทพาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่สถิตอยู่ในตัวเรา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • จาก 47 วินาทีสู่ 3 วินาที: วิศวกรผู้เปลี่ยน UX ฟิตเนสด้วยตัวเอง

    Vadim ต้องใช้เวลา 47 วินาทีทุกครั้งในการเข้า PureGym ผ่านแอปที่โหลดช้า เต็มไปด้วยโฆษณาและข้อมูลไม่จำเป็น ทั้งที่เขาเข้าใช้งานถึง 6 วันต่อสัปดาห์ นั่นคือเวลาที่เสียไปกว่า 3.8 ชั่วโมงต่อปีเพียงเพื่อ “สแกนเข้า” ฟิตเนส

    เขาสังเกตว่า PIN 8 หลักที่ใช้เข้าอาคารนั้นไม่เคยเปลี่ยนเลยตลอด 8 ปี แต่ QR code ในแอปกลับรีเฟรชทุก 60 วินาทีอย่างเข้มงวดราวกับปกป้องข้อมูลลับระดับชาติ—นี่คือ “Security Theatre” ที่ดูจริงจังแต่ไม่สมเหตุสมผล

    Vadim เริ่มต้นด้วยการลองแคปหน้าจอ QR code แล้วใส่ใน Apple Wallet แต่ไม่สำเร็จ เพราะ QR code มีการเข้ารหัสและหมดอายุเร็ว เขาจึงใช้เครื่องมือ proxy เช่น mitmproxy เพื่อดักจับข้อมูล API ของ PureGym และพบว่า QR code มีโครงสร้างที่สามารถสร้างใหม่ได้

    เขาจึงสร้างระบบ backend ด้วย Swift และ Vapor เพื่อสร้าง Apple Wallet pass ที่อัปเดต QR code อัตโนมัติผ่าน push notification โดยไม่ต้องเปิดแอปเลย แถมยังเพิ่มฟีเจอร์ให้ pass ปรากฏบนหน้าจอล็อกเมื่ออยู่ใกล้ฟิตเนส และซิงค์กับ Apple Watch ได้ทันที

    แม้จะรู้ว่าการทำแบบนี้อาจละเมิดข้อกำหนดการใช้งาน แต่เขายืนยันว่าไม่ได้แจกจ่ายให้ใคร และทำเพื่อการใช้งานส่วนตัวเท่านั้น

    ปัญหาการใช้งานแอป PureGym
    ใช้เวลา 47 วินาทีในการเข้าอาคารทุกครั้ง
    แอปโหลดช้า เต็มไปด้วยข้อมูลไม่จำเป็น
    PIN 8 หลักไม่เคยเปลี่ยนเลยตลอด 8 ปี

    ความไม่สมเหตุสมผลของระบบความปลอดภัย
    QR code รีเฟรชทุก 60 วินาที
    PIN ที่ไม่ปลอดภัยกลับใช้งานได้ทุกที่
    เป็นตัวอย่างของ “Security Theatre”

    การแก้ปัญหาด้วย Apple Wallet
    ใช้ mitmproxy ดักจับ API ของ PureGym
    สร้างระบบ backend ด้วย Swift และ Vapor
    สร้าง pass ที่อัปเดต QR code อัตโนมัติ
    ซิงค์กับ Apple Watch ใช้งานได้ใน 3 วินาที

    ฟีเจอร์เสริมที่เพิ่มเข้าไป
    pass ปรากฏบนหน้าจอล็อกเมื่ออยู่ใกล้ฟิตเนส
    ดึงข้อมูลตำแหน่งฟิตเนสทั่ว UK จาก API
    เพิ่มข้อมูลความหนาแน่นของผู้ใช้งานใน Home Assistant

    ผลลัพธ์ที่ได้
    ประหยัดเวลาได้ 3.8 ชั่วโมงต่อปี
    มีคนถามถึงระบบนี้ถึง 23 ครั้ง
    ได้เรียนรู้การใช้งาน PassKit อย่างลึกซึ้ง

    https://drobinin.com/posts/how-i-accidentally-became-puregyms-unofficial-apple-wallet-developer/
    🧠 จาก 47 วินาทีสู่ 3 วินาที: วิศวกรผู้เปลี่ยน UX ฟิตเนสด้วยตัวเอง Vadim ต้องใช้เวลา 47 วินาทีทุกครั้งในการเข้า PureGym ผ่านแอปที่โหลดช้า เต็มไปด้วยโฆษณาและข้อมูลไม่จำเป็น ทั้งที่เขาเข้าใช้งานถึง 6 วันต่อสัปดาห์ นั่นคือเวลาที่เสียไปกว่า 3.8 ชั่วโมงต่อปีเพียงเพื่อ “สแกนเข้า” ฟิตเนส เขาสังเกตว่า PIN 8 หลักที่ใช้เข้าอาคารนั้นไม่เคยเปลี่ยนเลยตลอด 8 ปี แต่ QR code ในแอปกลับรีเฟรชทุก 60 วินาทีอย่างเข้มงวดราวกับปกป้องข้อมูลลับระดับชาติ—นี่คือ “Security Theatre” ที่ดูจริงจังแต่ไม่สมเหตุสมผล Vadim เริ่มต้นด้วยการลองแคปหน้าจอ QR code แล้วใส่ใน Apple Wallet แต่ไม่สำเร็จ เพราะ QR code มีการเข้ารหัสและหมดอายุเร็ว เขาจึงใช้เครื่องมือ proxy เช่น mitmproxy เพื่อดักจับข้อมูล API ของ PureGym และพบว่า QR code มีโครงสร้างที่สามารถสร้างใหม่ได้ เขาจึงสร้างระบบ backend ด้วย Swift และ Vapor เพื่อสร้าง Apple Wallet pass ที่อัปเดต QR code อัตโนมัติผ่าน push notification โดยไม่ต้องเปิดแอปเลย แถมยังเพิ่มฟีเจอร์ให้ pass ปรากฏบนหน้าจอล็อกเมื่ออยู่ใกล้ฟิตเนส และซิงค์กับ Apple Watch ได้ทันที แม้จะรู้ว่าการทำแบบนี้อาจละเมิดข้อกำหนดการใช้งาน แต่เขายืนยันว่าไม่ได้แจกจ่ายให้ใคร และทำเพื่อการใช้งานส่วนตัวเท่านั้น ✅ ปัญหาการใช้งานแอป PureGym ➡️ ใช้เวลา 47 วินาทีในการเข้าอาคารทุกครั้ง ➡️ แอปโหลดช้า เต็มไปด้วยข้อมูลไม่จำเป็น ➡️ PIN 8 หลักไม่เคยเปลี่ยนเลยตลอด 8 ปี ✅ ความไม่สมเหตุสมผลของระบบความปลอดภัย ➡️ QR code รีเฟรชทุก 60 วินาที ➡️ PIN ที่ไม่ปลอดภัยกลับใช้งานได้ทุกที่ ➡️ เป็นตัวอย่างของ “Security Theatre” ✅ การแก้ปัญหาด้วย Apple Wallet ➡️ ใช้ mitmproxy ดักจับ API ของ PureGym ➡️ สร้างระบบ backend ด้วย Swift และ Vapor ➡️ สร้าง pass ที่อัปเดต QR code อัตโนมัติ ➡️ ซิงค์กับ Apple Watch ใช้งานได้ใน 3 วินาที ✅ ฟีเจอร์เสริมที่เพิ่มเข้าไป ➡️ pass ปรากฏบนหน้าจอล็อกเมื่ออยู่ใกล้ฟิตเนส ➡️ ดึงข้อมูลตำแหน่งฟิตเนสทั่ว UK จาก API ➡️ เพิ่มข้อมูลความหนาแน่นของผู้ใช้งานใน Home Assistant ✅ ผลลัพธ์ที่ได้ ➡️ ประหยัดเวลาได้ 3.8 ชั่วโมงต่อปี ➡️ มีคนถามถึงระบบนี้ถึง 23 ครั้ง ➡️ ได้เรียนรู้การใช้งาน PassKit อย่างลึกซึ้ง https://drobinin.com/posts/how-i-accidentally-became-puregyms-unofficial-apple-wallet-developer/
    DROBININ.COM
    How I accidentally became PureGym's unofficial Apple Wallet developer
    Tired of fumbling with the PureGym app for 47 seconds every morning, I reverse-engineered their API to build an Apple Wallet pass that gets me in with a quick wrist scan. Along the way, I discovered their bizarre security theatre: QR codes that expire every minute while my ancient 8-digit PIN lives forever.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 426 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✍ไทยจะวางยุทธศาสตร์อย่างไร เราอย่าเป็นแค่ตัวเลือก "แต่เราต้องเป็นผู้เลือก และเป็นผู้สร้างทางนั้นเอง ยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก""หยุดเลือกตั้งสักพักใหญ่ๆเบื่อนักการเมือง.เร่งวางยุทธศาสตร์ชาติและเก็บกวาดบ้านเรือนให้สะอาด "จ่ายเงินเดือนนักการเมืองเป็นดิจิตอล วัดผลงานด้วยเวลาที่เสียไป ไม่มีผลงานอะไรเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติก็ควรคัดออกได้ เบื่อพ่นน้ำลายในสภา
    🇹🇭✍ไทยจะวางยุทธศาสตร์อย่างไร เราอย่าเป็นแค่ตัวเลือก "แต่เราต้องเป็นผู้เลือก และเป็นผู้สร้างทางนั้นเอง ยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก""หยุดเลือกตั้งสักพักใหญ่ๆเบื่อนักการเมือง.เร่งวางยุทธศาสตร์ชาติและเก็บกวาดบ้านเรือนให้สะอาด "จ่ายเงินเดือนนักการเมืองเป็นดิจิตอล วัดผลงานด้วยเวลาที่เสียไป ไม่มีผลงานอะไรเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติก็ควรคัดออกได้ เบื่อพ่นน้ำลายในสภา
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ..จริงๆคลิปนี้สามารถทำลายกำลังใจคนรุ่นต่อไปเพื่อพึ่งพาตนเอง สร้างรายได้ทางการเกษตรกันเลยก็ว่า,อาจภาพเกษตรพอเพียงเสียเลยด้วยเพื่อพอจะมีรายได้มีกำไรพอยังชีพ ทำเกษตรขาดทุนหมดตังหมดกำลังใจกันเลย พ่อแม่ด่าอีกแฟนเมียเหยียบซ้ำด้วย พอจะเท่จะซื้อของใช้ซื้อพืชผักอื่นๆมาต่อยอดปลูกทำอีก&ซื้อข้าวของสินค้าอื่นๆสนองวัตถุธาตุอารมณ์ความรู้สึกตนแบบมนุษย์คนธรรมดาสามัญทั่วไปแบบเราๆได้,ทำไปก็ขาดทุน ตังลงทุนไปจมหายทิ้งละลายหมด เวลาที่เสียไป ชีวิตที่สั้นลงอีกแก่ชราไปภายหน้า สังขารเสื่อมลง กับเงินกับตังเฉลี่ยไม่พอจ่ายในภาระต่างๆแต่ละวันเดือนปีรอตรึมที่ตั้งด่านรอรับตัง&ไถ่ตังไถ่เงินอยู่โดยเฉพาะยิ่งภาระหนี้นอกระบบ, พืชผลการเกษตรตายด้วยโรคด้วยภัยธรรมชาติอีก เสี่ยงสูงในการขาดทุน,บวกรายได้ประจำแบบกินเงินเดือนสไตล์ข้าราชการรัฐก็ไม่มี,พอรอเก็บผลผลิตได้ก็ไม่มีทุกๆเดือนด้วยพอหักกลบลบหนี้ขาดทุนได้หรือลุกสู้ใหม่ปรับปรุงขยายสายงานพืชผลตัวใหม่เสริมผสมผสานกันต่อได้แบบไร่นาสวนผสมนั้น,แต่เหี้ยทั้งหมดมันจ่ายด้วยตังด้วยเงินทั้งหมดนะอะไรๆต้องซื้อมาลงทุนทำเกษตรก็ว่าในสถานะการณ์เวลายุคปัจจุบันนี้.

    ..คนไทบ้านปกติไม่มีเงินไม่มีทุนไม่มีตังปกติอยู่บวกกู้ตังธกส.จ่ายต้นจ่ายดอกเบี้ยแบงค์อีก ไม่รวมนอกระบบอื่นๆอีกนะ จะขนาดไหน,วงจรคนชาวเกษตรจึงไม่ร่ำรวยไง บวกยุคนีัค่าใช้จ่ายรอบด้านต้นทุนแพงรอบทิศรอบตัวอีก ไม่พอกินพอใช้อะไรหรอก ส่วนน้อยมากจะยืนได้ที่ออกมาโชว์ออฟช่องต่างๆ แต่ส่วนที่ล้มเหลวมันใต้ภูเขาน้ำแข็งเลยล่ะ เห็นปลายยอดภูเขาเปรียบพวกนั่งอยู่หอคอยงาช้างก็ได้ อาทิเช่นพวกข้าราชการมีเงินเดือนประจำพอโยกตังนั้นนี้ทันจนเดินได้ก็ว่า,พวกได้รับทุนโครงการเงินทุนเบื้องต้นสนับสนุนสาระพัดด้านการเกษตรช่วยงานการเข้าร่วมโครงการหลวงโครงการรัฐได้ทันเช่นโคกหนองนาโมเดล ทุนขุดสระทุนขุดคลองคอดไก่คนละกว่าแสนสองแสนบาทโน้นในอดีตและทางเกษตรช่วยต่างๆจนยืนได้ ใครได้อีกฝันเลยจะไทบ้าน ส่วนมากผู้นำชุมชนคณะกรรมการชุมชนหรือข้าราชการรัฐหลวงชิงตัดหน้าลงทะเบียนได้โครงการไปก่อนหรือในเครือญาติพี่น้องพวกนี้เพราะรับรู้ข่าวสารข้อมูลก่อนชิงตัดหน้ารับไปทำก่อน,เนียนๆก็ว่า ทำให้ดูเป็นตัวอย่างชาวบ้านแต่เหี้ยแค่ตังขุดสระเป็นหมื่นเป็นแสนสไตล์โมเดลโคกหนองนา ชาวบ้านมีตังที่ไหน และพวกนี้ก็ใช้ตังเริ่มต้นจริงด้วยตังตนเองที่ไหน ก็โครงการช่วยเหลือหมดเช่นกันตอนเริ่มต้น,หรือผีบ้าบ้าคนมีตังหน่อย ร่ำรวยเกินชาวบ้านหน่อยโชว์สักหน่อยก็ว่ามีตังเหลือหลายจากการค้าการทำธุรกืจกิจการอื่นสำเร็จ ตังไร้หนี้บีบหลัง เงินเย็นๆรอผลผลิตได้ ทำสบายๆสไตล์คนเกษตรยุคโบราณไม่ดิ้นรนอะไรมากตามหนี้กดดันต้องใช้ให้เร็วก็ว่า.
    ..ปัญหาชาวเกษตรแก้ง่ายมาก คือลดต้นทุนคนเกษตรจากรัฐส่งเสริมจริงจัง น้ำมันแพงคือต้นทุนหลักไม่ต่างจากทุกๆภาคกิจการธุรกิจอุตสาหกรรมหรอก,ชาวเกษตรหากรัฐไม่ช่วยในการลดต้นทุนทางตรงจากพ่อค้าที่ขายอุปกรณ์วัตถุดิบทางการเกษตรต่างๆลงได้ ตลอดต้นทุนเครื่องจักรทุ่นแรงราคาต่ำจริงเข้าถึงง่าย ราคาเสรีไม่กดราคาปั่นราคา,สาระพัดวิถีเกษตรจะมีค่าใช้จ่ายทำเกษตรไม่แพงอะไรเลย,
    ..รถไถ่นาเติมน้ำมันลิตรละ1บาท เติมถัง20-50ลิตร ใช้ตลอด50-100ไร่ไถ่นาสบาย,ค่าจ้างจะไม่แพง,ราคารถไถไทยทำเองจากโรงงานรัฐบาลส่งเสริมผลทำช่วยนำเข้าเสรีไม่แพงอีกในวัตถุดิบผลิตรถไถนาหรือสาระพัดเครื่องจักรทุ่นแรงต่างๆอาจคันละไม่กี่4-5หมื่นบาทเลยจากรถไถราคาปกติที่คันละ4-5แสนบาทหรือรถไถเดินตามปกติ2-3หมื่นบาทอาจเหลือแค่2-3พันบาทเลย,เพราะรัฐส่งเสริมจัดหาเต็มที่ทำทุกๆวิถีทางลดต้นทุนช่วยชาวเกษตรไทย,หรือยึดบ่อน้ำมัน บ่อน้ำมันส่งเข้าโรงกลั่น กลั่นได้ปุ๋ยมา ก็แจกจ่ายฟรีๆแก่คนไทยหรือมุ่งตรงคนเกษตรให้ได้รับมากหน่อยคนละ1กระสอบต่อไร่ทุกๆปีฟรีๆก็ได้,หรือนำเข้าปุ๋ยเสรี ราคาอาจเหลือแค่กระสอบละ20-30บาทก็ได้,ต้นทุนเราถูก รวมตัวเป็นสมาคม ทั้งระดับชุมชนตำบลอำเภอจังหวัดสู่ระดับภาคระดับชาติส่งออกเป็นเครือข่ายตรงผ่านสมาคม ราคาส่งออกนอก มิใช่ราคาภายในประเทศ ข้าวปกติขายตันละ400-800$ก็ได้ที่ต่างประเทศราคาตลาดโลกก็ว่า,แต่ขายจริงในไทยแค่ตันละ2-3พันบาทกันเองจะเป็นอะไรหรือถุง5-10กก.ถุงละ5-10บาทเราก็ขายได้,ซึ่งสมาคมเราจัดสรรบริหารจัดการเอง ชาวนาส่งขายข้าวทั้งหมดเองแก่สมาคม เก็บไว้กินเองตามสบายใจ สมาคมรับซื้อเพื่อแปรรูปข้าวส่งนอกก็ให้ราคาสูงแก่ชาวนาทันทีได้ตามราคาตลาดโลกเลย,เช่น60%รับซื้อราคาตลาดโลกขายนอก,40%รับซื้อแปรรูปขายในไทยเองราคาถูกๆช่วยคนไทยเราด้านความมั่นคงทางอาหารเลี้ยงในชาติไทยเราเอง,ชาวบ้านขายข้าว10ตัน 6ตันคิดตันละ40,000บาท,4ตันคิดตันละ2,000บาท ก็ว่า,หากคลังสมดุลข้าวภายในประเทศมากก็ลดเป็น80:20 ,รับซื้อจากชาวนา8ตันส่งนอกละ40,000บาท=320,000บาท,รับซื้อขายในประเทศ2ตันๆละ2,000บาท=4,000บาท รวมชาวนาได้324,000บาทก็ยังกำไรดีกว่าเมื่อ เทียบตันละ15,000สูงสุดแบบมโนๆในยุคปัจจุบันคือ150,000บาทต่อ10ตัน มันก็คนละเรื่องเช่นกัน 2ตันคือเสียสละเฉลี่ยเลี้ยงคนไทยลูกหลานเราเองในการสร้างชาติพัฒนาชาติให้มีแรงกำลังกายด้านอาหารข้าวปลาสร้างชาติไทยร่วมกันต่อไปนั้นเองสนับสนุนสัมมาอาชีพอื่นร่วมกัน.
    ..ไม่ว่าจะอาชีพเกษตรด้านไหน นี้คือสงครามภายในประเทศไทยตนเองกับผู้ปกครองชาติไทยตนเองชัดเจน ที่กำลังมองคนเกษตรไทยคือภัยอันตรายของประเทศเอง ขัดขวางภาคเหล็กปูนอิฐเทคโนโลยีภาคอุตสาหกรรมต่างๆผลิตสินค้าที่สร้างกำไรน้อยมันว่า,พอเกษตรกรจะขายข้าวสักกก.ละแสนบาท อาจต้องมาควบคุมพะนะ,ทองคำบาทละ4-5หมื่นกินไม่ได้เสือกแพง,ข้าวกินได้เสือกถูก,พืชผักถั่วเสือกถูก,จริงๆวิธีแก้ตาแก้มัดพวกนี้ต้องผูกค่าอ้างอิงใส่มันเลย เช่นทองคำ1บาท ราคา50,000บาทคือฐาน,ข้าว1ตันราคา50,000บาทคือฐานด้วย,อนาคตราคาลดราคาลงหรือเพิ่มขึ้นให้ใช้ราคาทองคำเป็นฐานให้อ้างอิงกำหนดราคาข้าวขายในตลาดด้วยเรียลไทม์เลย,ทองคำราคาลงที่1บาท25,000บาท,ข้าวก็จะลดลงทันทีเช่นกันที่1ตัน ราคา25,000บาท.นี้ต้องแก้แบบนี้,สินค้าเกษตรจะไม่ถูกด้อยค่าอีก,มีฐานอ้างอิงด้วย,โลกเรามันผีบ้า หาว่าขายข้าวราคาต่ำๆเป็นจิตสำนึกรักกันเองในประเทศ สินค้าควบคุมป้องกันความเดือดร้อนแก่คนหมู่มากที่ต้องจำเป็นกินข้าวกันทุกๆวัน,แต่จิตสำนึกห่วงใยชาวนาผู้ผลิตข้าวให้คนกินกลับไม่สนใจในความทุกข์ยากเดือดร้อนจนยากจนในความเสียสละของชาวนานั้น เอาเปรียบตัวนำการเอาเปรียบเองด้วยซ้ำคือรัฐบาลเองไม่ข่วย ไม่ควบคุม ไม่ลดต้นทุนวัตถุดิบรอบด้านที่เกี่ยวข้องกับที่ชาวนาใช้ปลูกข้าวเพื่อผลิตข้าวให้คนทั้งประเทศกิน,อนาคตอวยนำเข้าข้าวจากต่างประเทศมากินเมื่อเจอวิกฤติเขาไม่ส่งข้าวมาให้ชาติไทยตนเองแดกจะเกิดอะไรขึ้น,ทั้งประเทศเลิกเป็นคนชาวนาชาวเกษตรอีกเพราะทำธุรกิจกิจการภาคอื่นๆอุตสาหกรรมอื่นที่มิใช้ภาคเกษตรย่อลงมาย่อยคือชาวนาก็ซวยบรรลัยไร้แดกทั้งประเทศ,ความมั่นคงทางอาหารไม่มีตัดเสบียงทางการรบเห็นๆแพ้ศึกสงครามแน่นอนเพราะผีบ้าตามแต่อุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยีAIหุ่นยนต์ ตนเสือกคือคนแท้ๆต้อกแดกข้าวแดกอาหารมิใช่ไฟฟ้าแบบหุ่นยนต์หรือAIในเน็ตในออนไลน์ พินาศคือเราคนเป็นๆนี้ล่ะ,
    ..ผู้นำจึงสำคัญจริงๆ ปลดปล่อยอิสระวัตถุดิบสมบัติชาติทรัพยากรชาติที่มีค่ามากมายคืนสู่สามัญแผ่นดินไทยเราดั่งเดิม เราจะมีวิถีชีวิตที่ดีแน่นอน แม้จะสัมมาอาชีพใดๆก็ไม่ต้องแบกภาระต้นทุนสูงใดๆอีกต่อไป เพราะทุกๆคนช่วยกันคิดอ่านร่วมแก้ไขขจัดปัญหาต่างๆออกไป,กำไรแค่100-200บาทอาจมีความสุขโคตรมหาศาลก็ว่า เพราะไม่ต้องดิ้นรนหาตังมาใช้หนี้ ไม่ต้องดิ้นรนหาตังมาชำระค่าใช้จ่ายสาระพัดทาง อาทิเปิดเทอมลูกหลาน รัฐบาลส่งเสริมเรียนฟรีหมด ชุดนักเรียน อุปกรณ์การศึกษา ค่าใช้จ่ายใดๆผู้ปกครองไม่ต้องจ่าย,เรียนคอมฯเรียนภาษาเรียนAIนวัตกรรมล้ำไหนฟรีหมด อาหารที่พักฟรี รถรับส่งไปกลับฟรี,ใช้กายใจตั้งใจเรียนรู้องค์รู้ต่างๆแค่นั้น จบมามีตังมีทุนเริ่มต้นสร้างสัมมาอาชีพอิสระเสรีอีกฟรีเป็นต้น ค่างานศพใครตายก็ไม่ต้องเรี่ยไรจ่ายในแต่ละหมู่บ้าน รัฐรันระบบตรวจพบเจออำเภอคีย์แจ้งทราบ เคลมจ่ายศพมรณะทุกๆกรณีรายละ1ล้านบาทเรียลไทม์ก็ยังได้ ชาติไทยโคตรร่ำรวยจริงๆนะ แต่วิถีปกครองเรามันกาก&ผู้ปกครองกากเขลาโง่กระจอก,จนยกทรัพยากรมีค่ามากมายมหาศาลแก่คนอื่นชาติอื่นไปยึดครองแทนคนไทย.

    ..วิถีเกษตรเราล้มเหลวก็ได้ ดูหน่วยงานรัฐเราสิ ขี้ข้าคนเจ้าสัวตรึม,สมัยประท้วงพรบ.ผูกขาดเมล็ดพันธุ์ นักวิชการเกษตรต่างๆทั่วไทยกลับไม่เร่งรีบลุกนำประท้วงความอยุติธรรมให้แก่คนภาคชาวเกษตรจริงอะไร จนเขาต้องนำทัพประท้วงช่วยเหลือกันเอง การยุบทุบทิ้งกระทรวงทบวงกรมสายงานเกษตรของภาครัฐทั้งหมดถูกต้องที่สุด มันคือวิถีทางเดียวจะล้างทำลายเผาไหม้จริงในรากเหง้าอิทธิอำนาจหยั่งลึกทุกๆมิติในวงการนี้ทั้งแผ่นดินไทยได้จริงทั้งหมด ย้ำมันวางรากลึกกัดกันวงจรชาวเกษตรไทยจนพินาศถึงปัจจุบันนีัจริงๆ.

    ..https://youtube.com/watch?v=topV7JVUnmE&si=mhL49JRpZO7BJ7BR
    ..จริงๆคลิปนี้สามารถทำลายกำลังใจคนรุ่นต่อไปเพื่อพึ่งพาตนเอง สร้างรายได้ทางการเกษตรกันเลยก็ว่า,อาจภาพเกษตรพอเพียงเสียเลยด้วยเพื่อพอจะมีรายได้มีกำไรพอยังชีพ ทำเกษตรขาดทุนหมดตังหมดกำลังใจกันเลย พ่อแม่ด่าอีกแฟนเมียเหยียบซ้ำด้วย พอจะเท่จะซื้อของใช้ซื้อพืชผักอื่นๆมาต่อยอดปลูกทำอีก&ซื้อข้าวของสินค้าอื่นๆสนองวัตถุธาตุอารมณ์ความรู้สึกตนแบบมนุษย์คนธรรมดาสามัญทั่วไปแบบเราๆได้,ทำไปก็ขาดทุน ตังลงทุนไปจมหายทิ้งละลายหมด เวลาที่เสียไป ชีวิตที่สั้นลงอีกแก่ชราไปภายหน้า สังขารเสื่อมลง กับเงินกับตังเฉลี่ยไม่พอจ่ายในภาระต่างๆแต่ละวันเดือนปีรอตรึมที่ตั้งด่านรอรับตัง&ไถ่ตังไถ่เงินอยู่โดยเฉพาะยิ่งภาระหนี้นอกระบบ, พืชผลการเกษตรตายด้วยโรคด้วยภัยธรรมชาติอีก เสี่ยงสูงในการขาดทุน,บวกรายได้ประจำแบบกินเงินเดือนสไตล์ข้าราชการรัฐก็ไม่มี,พอรอเก็บผลผลิตได้ก็ไม่มีทุกๆเดือนด้วยพอหักกลบลบหนี้ขาดทุนได้หรือลุกสู้ใหม่ปรับปรุงขยายสายงานพืชผลตัวใหม่เสริมผสมผสานกันต่อได้แบบไร่นาสวนผสมนั้น,แต่เหี้ยทั้งหมดมันจ่ายด้วยตังด้วยเงินทั้งหมดนะอะไรๆต้องซื้อมาลงทุนทำเกษตรก็ว่าในสถานะการณ์เวลายุคปัจจุบันนี้. ..คนไทบ้านปกติไม่มีเงินไม่มีทุนไม่มีตังปกติอยู่บวกกู้ตังธกส.จ่ายต้นจ่ายดอกเบี้ยแบงค์อีก ไม่รวมนอกระบบอื่นๆอีกนะ จะขนาดไหน,วงจรคนชาวเกษตรจึงไม่ร่ำรวยไง บวกยุคนีัค่าใช้จ่ายรอบด้านต้นทุนแพงรอบทิศรอบตัวอีก ไม่พอกินพอใช้อะไรหรอก ส่วนน้อยมากจะยืนได้ที่ออกมาโชว์ออฟช่องต่างๆ แต่ส่วนที่ล้มเหลวมันใต้ภูเขาน้ำแข็งเลยล่ะ เห็นปลายยอดภูเขาเปรียบพวกนั่งอยู่หอคอยงาช้างก็ได้ อาทิเช่นพวกข้าราชการมีเงินเดือนประจำพอโยกตังนั้นนี้ทันจนเดินได้ก็ว่า,พวกได้รับทุนโครงการเงินทุนเบื้องต้นสนับสนุนสาระพัดด้านการเกษตรช่วยงานการเข้าร่วมโครงการหลวงโครงการรัฐได้ทันเช่นโคกหนองนาโมเดล ทุนขุดสระทุนขุดคลองคอดไก่คนละกว่าแสนสองแสนบาทโน้นในอดีตและทางเกษตรช่วยต่างๆจนยืนได้ ใครได้อีกฝันเลยจะไทบ้าน ส่วนมากผู้นำชุมชนคณะกรรมการชุมชนหรือข้าราชการรัฐหลวงชิงตัดหน้าลงทะเบียนได้โครงการไปก่อนหรือในเครือญาติพี่น้องพวกนี้เพราะรับรู้ข่าวสารข้อมูลก่อนชิงตัดหน้ารับไปทำก่อน,เนียนๆก็ว่า ทำให้ดูเป็นตัวอย่างชาวบ้านแต่เหี้ยแค่ตังขุดสระเป็นหมื่นเป็นแสนสไตล์โมเดลโคกหนองนา ชาวบ้านมีตังที่ไหน และพวกนี้ก็ใช้ตังเริ่มต้นจริงด้วยตังตนเองที่ไหน ก็โครงการช่วยเหลือหมดเช่นกันตอนเริ่มต้น,หรือผีบ้าบ้าคนมีตังหน่อย ร่ำรวยเกินชาวบ้านหน่อยโชว์สักหน่อยก็ว่ามีตังเหลือหลายจากการค้าการทำธุรกืจกิจการอื่นสำเร็จ ตังไร้หนี้บีบหลัง เงินเย็นๆรอผลผลิตได้ ทำสบายๆสไตล์คนเกษตรยุคโบราณไม่ดิ้นรนอะไรมากตามหนี้กดดันต้องใช้ให้เร็วก็ว่า. ..ปัญหาชาวเกษตรแก้ง่ายมาก คือลดต้นทุนคนเกษตรจากรัฐส่งเสริมจริงจัง น้ำมันแพงคือต้นทุนหลักไม่ต่างจากทุกๆภาคกิจการธุรกิจอุตสาหกรรมหรอก,ชาวเกษตรหากรัฐไม่ช่วยในการลดต้นทุนทางตรงจากพ่อค้าที่ขายอุปกรณ์วัตถุดิบทางการเกษตรต่างๆลงได้ ตลอดต้นทุนเครื่องจักรทุ่นแรงราคาต่ำจริงเข้าถึงง่าย ราคาเสรีไม่กดราคาปั่นราคา,สาระพัดวิถีเกษตรจะมีค่าใช้จ่ายทำเกษตรไม่แพงอะไรเลย, ..รถไถ่นาเติมน้ำมันลิตรละ1บาท เติมถัง20-50ลิตร ใช้ตลอด50-100ไร่ไถ่นาสบาย,ค่าจ้างจะไม่แพง,ราคารถไถไทยทำเองจากโรงงานรัฐบาลส่งเสริมผลทำช่วยนำเข้าเสรีไม่แพงอีกในวัตถุดิบผลิตรถไถนาหรือสาระพัดเครื่องจักรทุ่นแรงต่างๆอาจคันละไม่กี่4-5หมื่นบาทเลยจากรถไถราคาปกติที่คันละ4-5แสนบาทหรือรถไถเดินตามปกติ2-3หมื่นบาทอาจเหลือแค่2-3พันบาทเลย,เพราะรัฐส่งเสริมจัดหาเต็มที่ทำทุกๆวิถีทางลดต้นทุนช่วยชาวเกษตรไทย,หรือยึดบ่อน้ำมัน บ่อน้ำมันส่งเข้าโรงกลั่น กลั่นได้ปุ๋ยมา ก็แจกจ่ายฟรีๆแก่คนไทยหรือมุ่งตรงคนเกษตรให้ได้รับมากหน่อยคนละ1กระสอบต่อไร่ทุกๆปีฟรีๆก็ได้,หรือนำเข้าปุ๋ยเสรี ราคาอาจเหลือแค่กระสอบละ20-30บาทก็ได้,ต้นทุนเราถูก รวมตัวเป็นสมาคม ทั้งระดับชุมชนตำบลอำเภอจังหวัดสู่ระดับภาคระดับชาติส่งออกเป็นเครือข่ายตรงผ่านสมาคม ราคาส่งออกนอก มิใช่ราคาภายในประเทศ ข้าวปกติขายตันละ400-800$ก็ได้ที่ต่างประเทศราคาตลาดโลกก็ว่า,แต่ขายจริงในไทยแค่ตันละ2-3พันบาทกันเองจะเป็นอะไรหรือถุง5-10กก.ถุงละ5-10บาทเราก็ขายได้,ซึ่งสมาคมเราจัดสรรบริหารจัดการเอง ชาวนาส่งขายข้าวทั้งหมดเองแก่สมาคม เก็บไว้กินเองตามสบายใจ สมาคมรับซื้อเพื่อแปรรูปข้าวส่งนอกก็ให้ราคาสูงแก่ชาวนาทันทีได้ตามราคาตลาดโลกเลย,เช่น60%รับซื้อราคาตลาดโลกขายนอก,40%รับซื้อแปรรูปขายในไทยเองราคาถูกๆช่วยคนไทยเราด้านความมั่นคงทางอาหารเลี้ยงในชาติไทยเราเอง,ชาวบ้านขายข้าว10ตัน 6ตันคิดตันละ40,000บาท,4ตันคิดตันละ2,000บาท ก็ว่า,หากคลังสมดุลข้าวภายในประเทศมากก็ลดเป็น80:20 ,รับซื้อจากชาวนา8ตันส่งนอกละ40,000บาท=320,000บาท,รับซื้อขายในประเทศ2ตันๆละ2,000บาท=4,000บาท รวมชาวนาได้324,000บาทก็ยังกำไรดีกว่าเมื่อ เทียบตันละ15,000สูงสุดแบบมโนๆในยุคปัจจุบันคือ150,000บาทต่อ10ตัน มันก็คนละเรื่องเช่นกัน 2ตันคือเสียสละเฉลี่ยเลี้ยงคนไทยลูกหลานเราเองในการสร้างชาติพัฒนาชาติให้มีแรงกำลังกายด้านอาหารข้าวปลาสร้างชาติไทยร่วมกันต่อไปนั้นเองสนับสนุนสัมมาอาชีพอื่นร่วมกัน. ..ไม่ว่าจะอาชีพเกษตรด้านไหน นี้คือสงครามภายในประเทศไทยตนเองกับผู้ปกครองชาติไทยตนเองชัดเจน ที่กำลังมองคนเกษตรไทยคือภัยอันตรายของประเทศเอง ขัดขวางภาคเหล็กปูนอิฐเทคโนโลยีภาคอุตสาหกรรมต่างๆผลิตสินค้าที่สร้างกำไรน้อยมันว่า,พอเกษตรกรจะขายข้าวสักกก.ละแสนบาท อาจต้องมาควบคุมพะนะ,ทองคำบาทละ4-5หมื่นกินไม่ได้เสือกแพง,ข้าวกินได้เสือกถูก,พืชผักถั่วเสือกถูก,จริงๆวิธีแก้ตาแก้มัดพวกนี้ต้องผูกค่าอ้างอิงใส่มันเลย เช่นทองคำ1บาท ราคา50,000บาทคือฐาน,ข้าว1ตันราคา50,000บาทคือฐานด้วย,อนาคตราคาลดราคาลงหรือเพิ่มขึ้นให้ใช้ราคาทองคำเป็นฐานให้อ้างอิงกำหนดราคาข้าวขายในตลาดด้วยเรียลไทม์เลย,ทองคำราคาลงที่1บาท25,000บาท,ข้าวก็จะลดลงทันทีเช่นกันที่1ตัน ราคา25,000บาท.นี้ต้องแก้แบบนี้,สินค้าเกษตรจะไม่ถูกด้อยค่าอีก,มีฐานอ้างอิงด้วย,โลกเรามันผีบ้า หาว่าขายข้าวราคาต่ำๆเป็นจิตสำนึกรักกันเองในประเทศ สินค้าควบคุมป้องกันความเดือดร้อนแก่คนหมู่มากที่ต้องจำเป็นกินข้าวกันทุกๆวัน,แต่จิตสำนึกห่วงใยชาวนาผู้ผลิตข้าวให้คนกินกลับไม่สนใจในความทุกข์ยากเดือดร้อนจนยากจนในความเสียสละของชาวนานั้น เอาเปรียบตัวนำการเอาเปรียบเองด้วยซ้ำคือรัฐบาลเองไม่ข่วย ไม่ควบคุม ไม่ลดต้นทุนวัตถุดิบรอบด้านที่เกี่ยวข้องกับที่ชาวนาใช้ปลูกข้าวเพื่อผลิตข้าวให้คนทั้งประเทศกิน,อนาคตอวยนำเข้าข้าวจากต่างประเทศมากินเมื่อเจอวิกฤติเขาไม่ส่งข้าวมาให้ชาติไทยตนเองแดกจะเกิดอะไรขึ้น,ทั้งประเทศเลิกเป็นคนชาวนาชาวเกษตรอีกเพราะทำธุรกิจกิจการภาคอื่นๆอุตสาหกรรมอื่นที่มิใช้ภาคเกษตรย่อลงมาย่อยคือชาวนาก็ซวยบรรลัยไร้แดกทั้งประเทศ,ความมั่นคงทางอาหารไม่มีตัดเสบียงทางการรบเห็นๆแพ้ศึกสงครามแน่นอนเพราะผีบ้าตามแต่อุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยีAIหุ่นยนต์ ตนเสือกคือคนแท้ๆต้อกแดกข้าวแดกอาหารมิใช่ไฟฟ้าแบบหุ่นยนต์หรือAIในเน็ตในออนไลน์ พินาศคือเราคนเป็นๆนี้ล่ะ, ..ผู้นำจึงสำคัญจริงๆ ปลดปล่อยอิสระวัตถุดิบสมบัติชาติทรัพยากรชาติที่มีค่ามากมายคืนสู่สามัญแผ่นดินไทยเราดั่งเดิม เราจะมีวิถีชีวิตที่ดีแน่นอน แม้จะสัมมาอาชีพใดๆก็ไม่ต้องแบกภาระต้นทุนสูงใดๆอีกต่อไป เพราะทุกๆคนช่วยกันคิดอ่านร่วมแก้ไขขจัดปัญหาต่างๆออกไป,กำไรแค่100-200บาทอาจมีความสุขโคตรมหาศาลก็ว่า เพราะไม่ต้องดิ้นรนหาตังมาใช้หนี้ ไม่ต้องดิ้นรนหาตังมาชำระค่าใช้จ่ายสาระพัดทาง อาทิเปิดเทอมลูกหลาน รัฐบาลส่งเสริมเรียนฟรีหมด ชุดนักเรียน อุปกรณ์การศึกษา ค่าใช้จ่ายใดๆผู้ปกครองไม่ต้องจ่าย,เรียนคอมฯเรียนภาษาเรียนAIนวัตกรรมล้ำไหนฟรีหมด อาหารที่พักฟรี รถรับส่งไปกลับฟรี,ใช้กายใจตั้งใจเรียนรู้องค์รู้ต่างๆแค่นั้น จบมามีตังมีทุนเริ่มต้นสร้างสัมมาอาชีพอิสระเสรีอีกฟรีเป็นต้น ค่างานศพใครตายก็ไม่ต้องเรี่ยไรจ่ายในแต่ละหมู่บ้าน รัฐรันระบบตรวจพบเจออำเภอคีย์แจ้งทราบ เคลมจ่ายศพมรณะทุกๆกรณีรายละ1ล้านบาทเรียลไทม์ก็ยังได้ ชาติไทยโคตรร่ำรวยจริงๆนะ แต่วิถีปกครองเรามันกาก&ผู้ปกครองกากเขลาโง่กระจอก,จนยกทรัพยากรมีค่ามากมายมหาศาลแก่คนอื่นชาติอื่นไปยึดครองแทนคนไทย. ..วิถีเกษตรเราล้มเหลวก็ได้ ดูหน่วยงานรัฐเราสิ ขี้ข้าคนเจ้าสัวตรึม,สมัยประท้วงพรบ.ผูกขาดเมล็ดพันธุ์ นักวิชการเกษตรต่างๆทั่วไทยกลับไม่เร่งรีบลุกนำประท้วงความอยุติธรรมให้แก่คนภาคชาวเกษตรจริงอะไร จนเขาต้องนำทัพประท้วงช่วยเหลือกันเอง การยุบทุบทิ้งกระทรวงทบวงกรมสายงานเกษตรของภาครัฐทั้งหมดถูกต้องที่สุด มันคือวิถีทางเดียวจะล้างทำลายเผาไหม้จริงในรากเหง้าอิทธิอำนาจหยั่งลึกทุกๆมิติในวงการนี้ทั้งแผ่นดินไทยได้จริงทั้งหมด ย้ำมันวางรากลึกกัดกันวงจรชาวเกษตรไทยจนพินาศถึงปัจจุบันนีัจริงๆ. ..https://youtube.com/watch?v=topV7JVUnmE&si=mhL49JRpZO7BJ7BR
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1190 มุมมอง 0 รีวิว
  • รถไฟลาว-จีน ดีเลย์เหมือนไทย

    เปิดให้บริการก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ของรถไฟลาว-จีน จากนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ลงใต้ไปถึงเวียงจันทน์ ประเทศลาว รวมระยะทาง 1,035 กิโลเมตร ปัจจุบันมีผู้โดยสารช่วงระหว่างหลวงพระบางถึงสิบสองปันนา มากกว่า 800 คนต่อวัน และสูงสุดถึง 1,200 คนต่อวัน นับตั้งแต่ประเทศจีนขยายนโยบายฟรีวีซ่ากับประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้น รวมทั้งประเทศไทย แม้ที่ผ่านมาจะพัฒนาการบริการ โดยเฉพาะการซื้อตั๋วล่วงหน้าที่สะดวกยิ่งขึ้นผ่านแอปฯ LCR Ticket ที่เบอร์มือถือลาว จีน และไทยสามารถใช้ได้ แก้ปัญหาการกักตุนและขายต่อเกินราคา แต่ปัญหาที่ดูเหมือนจะแก้ไขได้ยาก คือขบวนรถล่าช้าเหมือนรถไฟไทย แถมหนักกว่าตรงที่เช็กไม่ได้ ไม่เหมือนรถไฟไทยที่มีระบบ TTS

    ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ที่ผ่านมา Newskit มีโอกาสไปเยือนเมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา เริ่มจากขาไป ขบวน C82 นครหลวงเวียงจันทน์-บ่อเต็น ออกจากสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ 13.30 น. ตามกำหนดต้องถึงสถานีบ่อเต็น 17.25 น. แต่วันนั้นถึงจริง 18.26 น. เหตุเพราะรอรถหลีกช่วงสถานีวังเวียง ถึงสถานีหลวงพระบาง จากสถานีบ่อเต็นจะมีรถรับจ้างไปส่งที่ด่านบ่อเต็น และโรงแรมในเมืองบ่อเต็น คิดคนละ 50,000 กีบ (ประมาณ 78 บาท)

    ส่วนขากลับ ขบวน D87 คุนหมิงใต้-บ่อเต็น-นครหลวงเวียงจันทน์ ออกจากสถานีบ่อเต็น 13.27 น. ตามกำหนดต้องถึงสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ 16.44 น. แต่ถึงจริง 17.00 น. เหตุเพราะรอรถหลีก โชคดีที่รถเมล์ของรัฐวิสาหกิจรถเมล์นครหลวงเวียงจันทน์ (VCSBE) ยังรอให้บริการ ไปสะพานมิตรภาพไทย-ลาว และตลาดซันเจียง แต่ต้องรีบออกจากสถานี ไม่เช่นนั้นต้องจ่ายค่าแท็กซี่ในราคาที่สูง

    สาเหตุที่ทำให้รถไฟลาว-จีนล่าช้า เพราะเส้นทางรถไฟส่วนใหญ่เป็นรถไฟทางเดียว และต้องลอดใต้อุโมงค์ช่วงสถานีวังเวียง ถึงสถานีบ่อเต็นแบบถี่ยิบ แต่เพราะเป็นรถไฟฟ้า EMU สามารถทำความเร็วมากกว่า 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงสามารถทำความเร็วเพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปได้ โดยเฉพาะขบวนที่ D87 ซึ่งเป็นขบวนรถจากประเทศจีนมายังเมืองหลวงของ สปป.ลาว ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว นักท่องเที่ยวที่จัดโปรแกรมหรือนักเดินทางที่มีนัดหมายแน่นอน ควรเผื่อเวลาไว้สัก 1-2 ชั่วโมง

    คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ รถไฟลาว-จีนมีสัญญาณมือถือเฉพาะช่วงที่ผ่านสถานี เมื่อออกจากสถานีสัญญาณจะค่อยๆ ขาดหาย ควรเปิดโหมดเครื่องบินตลอดการเดินทางเพื่อประหยัดแบตเตอรี ส่วนขากลับเมื่อออกจากสถานีวังเวียงแล้ว ก่อนถึงสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ควรเข้าห้องน้ำบนรถไฟให้เรียบร้อย เพราะห้องน้ำตรงทางออกปิดบริการ ต้องไปเข้าห้องน้ำข้างนอกสถานีซึ่งเดินไกลมาก และจะได้ไม่พลาดรถเมล์อีกด้วย

    #Newskit
    รถไฟลาว-จีน ดีเลย์เหมือนไทย เปิดให้บริการก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ของรถไฟลาว-จีน จากนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ลงใต้ไปถึงเวียงจันทน์ ประเทศลาว รวมระยะทาง 1,035 กิโลเมตร ปัจจุบันมีผู้โดยสารช่วงระหว่างหลวงพระบางถึงสิบสองปันนา มากกว่า 800 คนต่อวัน และสูงสุดถึง 1,200 คนต่อวัน นับตั้งแต่ประเทศจีนขยายนโยบายฟรีวีซ่ากับประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้น รวมทั้งประเทศไทย แม้ที่ผ่านมาจะพัฒนาการบริการ โดยเฉพาะการซื้อตั๋วล่วงหน้าที่สะดวกยิ่งขึ้นผ่านแอปฯ LCR Ticket ที่เบอร์มือถือลาว จีน และไทยสามารถใช้ได้ แก้ปัญหาการกักตุนและขายต่อเกินราคา แต่ปัญหาที่ดูเหมือนจะแก้ไขได้ยาก คือขบวนรถล่าช้าเหมือนรถไฟไทย แถมหนักกว่าตรงที่เช็กไม่ได้ ไม่เหมือนรถไฟไทยที่มีระบบ TTS ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ที่ผ่านมา Newskit มีโอกาสไปเยือนเมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา เริ่มจากขาไป ขบวน C82 นครหลวงเวียงจันทน์-บ่อเต็น ออกจากสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ 13.30 น. ตามกำหนดต้องถึงสถานีบ่อเต็น 17.25 น. แต่วันนั้นถึงจริง 18.26 น. เหตุเพราะรอรถหลีกช่วงสถานีวังเวียง ถึงสถานีหลวงพระบาง จากสถานีบ่อเต็นจะมีรถรับจ้างไปส่งที่ด่านบ่อเต็น และโรงแรมในเมืองบ่อเต็น คิดคนละ 50,000 กีบ (ประมาณ 78 บาท) ส่วนขากลับ ขบวน D87 คุนหมิงใต้-บ่อเต็น-นครหลวงเวียงจันทน์ ออกจากสถานีบ่อเต็น 13.27 น. ตามกำหนดต้องถึงสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ 16.44 น. แต่ถึงจริง 17.00 น. เหตุเพราะรอรถหลีก โชคดีที่รถเมล์ของรัฐวิสาหกิจรถเมล์นครหลวงเวียงจันทน์ (VCSBE) ยังรอให้บริการ ไปสะพานมิตรภาพไทย-ลาว และตลาดซันเจียง แต่ต้องรีบออกจากสถานี ไม่เช่นนั้นต้องจ่ายค่าแท็กซี่ในราคาที่สูง สาเหตุที่ทำให้รถไฟลาว-จีนล่าช้า เพราะเส้นทางรถไฟส่วนใหญ่เป็นรถไฟทางเดียว และต้องลอดใต้อุโมงค์ช่วงสถานีวังเวียง ถึงสถานีบ่อเต็นแบบถี่ยิบ แต่เพราะเป็นรถไฟฟ้า EMU สามารถทำความเร็วมากกว่า 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงสามารถทำความเร็วเพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปได้ โดยเฉพาะขบวนที่ D87 ซึ่งเป็นขบวนรถจากประเทศจีนมายังเมืองหลวงของ สปป.ลาว ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว นักท่องเที่ยวที่จัดโปรแกรมหรือนักเดินทางที่มีนัดหมายแน่นอน ควรเผื่อเวลาไว้สัก 1-2 ชั่วโมง คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ รถไฟลาว-จีนมีสัญญาณมือถือเฉพาะช่วงที่ผ่านสถานี เมื่อออกจากสถานีสัญญาณจะค่อยๆ ขาดหาย ควรเปิดโหมดเครื่องบินตลอดการเดินทางเพื่อประหยัดแบตเตอรี ส่วนขากลับเมื่อออกจากสถานีวังเวียงแล้ว ก่อนถึงสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ควรเข้าห้องน้ำบนรถไฟให้เรียบร้อย เพราะห้องน้ำตรงทางออกปิดบริการ ต้องไปเข้าห้องน้ำข้างนอกสถานีซึ่งเดินไกลมาก และจะได้ไม่พลาดรถเมล์อีกด้วย #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 952 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ที่มีช่วงหนึ่งพระนางต้องไปสืบคดีที่เมืองกานหนานเต้าและได้พบกันพานฉือ มีฉากหนึ่งที่พานฉือนั่งดื่มสุราดับทุกข์และเหยียนซิ่งมาปลอบโดยกล่าวถึงบทความหนึ่งของพานฉือที่เคยโด่งดังในแวดวงผู้มีการศึกษา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบัณฑิตที่ไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางใหญ่ Storyฯ เคยเกริ่นไว้ว่าจริงๆ แล้วบทความที่เหยียนซิ่งกล่าวถึงนี้เป็นการยกเอาวรรคเด็ดจากหลายบทกวีโบราณมายำรวมกัน วันนี้มาเล่าให้ฟังค่ะเราคุยกันวันนี้ถึงประโยคแรกที่เหยียนซิ่งกล่าว ซึ่งก็คือ “แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป เดินขึ้นสูงสู่เสินโจว” (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) ซึ่งวรรคแรกของประโยคนี้ยกมาจากบทกวีโบราณ ความเดิมคือ ‘แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป ข้าพเจ้าหาใช่ชาวป่าเขา’ (仰天大笑出门去,我辈岂是蓬蒿人)/ หยางเทียนต้าเซี่ยวชูเหมินชวี่ อั่วเป้ยฉี่ซื่อเผิงฮาวเหริน) โดยคำว่า ‘ชาวป่าเขา’ ในที่นี่เป็นการอุปมาอุปมัยถึงคนที่ไม่ได้รับราชการหรือชาวบ้านธรรมดา และบทกวีนี้คือ ‘หนานหลิงเปี๋ยเอ๋อร์ถงรู่จิง’ (南陵别儿童入京 แปลได้ประมาณว่า อำลาเด็กๆ จากหนานหลิงเข้าเมืองหลวง) เป็นบทประพันธ์ของหลี่ไป๋ กวีเอกสมัยถังที่ได้รับการยกย่องเป็น ‘เซียนกวี’ตอนที่หลี่ไป๋แต่งกลอนบทนี้ เขามีอายุประมาณสี่สิบสองปี (ค.ศ. 742) ชีวิตผ่านอะไรมาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการมีชื่อเสียงตั้งแต่วัยเยาว์ การเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปทั่ว การใช้ชีวิตในแวดวงขุนนางและบัณฑิตแต่ไม่ได้เข้ารับราชการตามที่หวัง ชีวิตตกต่ำออกเร่ร่อนและหลบไปใช้ชีวิตทำนาอยู่ตามป่าเขา แต่ตลอดเวลาเขาไม่เคยลืมอุดมการณ์ที่จะเข้ารับราชการเพราะเขามีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในความรู้ของตัวเอง และเชื่อว่าด้วยสติปัญญาความรู้ที่มีจะสามารถทำให้บ้านเมืองเจริญยิ่งขึ้นได้ แม้ตัวไม่อยู่ในเมืองหลวงแต่เขาไม่เคยขาดความพยายามที่จะส่งบทความให้ถึงมือของบุคคลสำคัญหลายคนโดยหวังที่จะกรุยทางให้เข้ารับราชการได้เรามักได้ยินเกี่ยวกับบทกวีของหลี่ไป๋ที่บรรยายธรรมชาติสวยงาม แต่จริงๆ แล้วหลี่ไป๋ประพันธ์บทกลอนและบทความไม่น้อยเกี่ยวกับหลักการปกครองและการบริหารบ้านเมือง โดยสอดแทรกปัญหาสังคมที่ตนได้ซึมซับมาจากการที่ได้เคยเดินทางไปหลากหลายพื้นที่และจากการได้คลุกคลีอยู่ในหลายแวดวงสังคมและหลังจากชีวิตผ่านไปอย่างขึ้นๆ ลงๆ ในที่สุดหลี่ไป๋ในวัยสี่สิบสองปีก็ได้รับพระราชโองการให้เดินทางไปเมืองหลวงเข้าเฝ้าฮ่องเต้ถังเสวียนจง และเมื่อเขาได้เข้าเฝ้าก็สามารถโต้ตอบคำถามจากฮ่องเต้ได้อย่างฉะฉาน ทั้งด้วยสำนวนคมคายและความรู้จากตำราและสิ่งที่ได้พบเห็นมา จึงได้รับการบรรจุเข้าเป็นขุนนางสังกัดสำนักหลวงฮั่นหลิน ต่อมาติดสอยห้อยตามใกล้ชิดและเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ ทว่าชีวิตทางการเมืองของหลี่ไป๋ไม่ได้สวยงามตลอดรอดฝั่ง และคงจะกล่าวได้ว่า จุดนี้เป็นจุดที่รุ่งเรืองที่สุดของเขาแล้วดังนั้น บทกวี ‘หนานหลิงเปี๋ยเอ๋อร์ถงรู่จิง’ จึงสะท้อนถึงอารมณ์ดีใจและภาคภูมิใจของหลี่ไป๋ พร้อมกับความคาดหวังว่าในที่สุดตนจะได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ ได้เปล่งประกายความรู้ความสามารถของตนให้เป็นที่ประจักษ์ต่อผู้คน ความหมายเต็มๆ ของบทกลอนนี้คือกล่าวถึงบรรยากาศรื่นเริงของร่ำสุรากินมื้อใหญ่ มีเด็กๆ วิ่งเล่นห้อมล้อม ร้องรำทำเพลงกัน จากนั้นกล่าวถึงสภาพจิตใจของหลี่ไป๋ที่นึกย้อนถึงวันเวลาที่เสียไปโดยไม่ได้มีผลงานจริงจัง พร้อมกับความหวังว่าวันนี้อำลาบ้านนอกเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่ออุดมการณ์ และประโยคสุดท้ายแฝงไว้ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองว่า ‘ฉันก็มีดีนะ’ และวลีนี้ถูกยกย่องให้เป็นอีกหนึ่ง ‘วลีเด็ด’ จากวรรณกรรมจีนโบราณดังนั้น การที่เหยียนซิ่งยกวลี ‘แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป’ นี้ขึ้นมาในเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> โดยในซีรีส์สมมุติไว้ว่านี่เป็นประโยคที่พานฉือแต่งขึ้น จึงเป็นการเท้าความถึงตอนที่พานฉือเดินทางเข้ากรุงใหม่ๆ ยังเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์และความเชื่อมั่นอันแรงกล้า และเป็นการปลอบใจให้พานฉือรู้ว่า ตราบใดที่มีความรู้ความสามารถ ขอเพียงกล้าที่จะแสดงออกไป ย่อมมีคนเห็นคุณค่า สัปดาห์มาคุยกันต่อกับประโยคที่เหลือของเหยียนซิ่งค่ะ(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.ifensi.com/index.php?m=home&c=View&a=index&aid=4545 https://www.sohu.com/a/327753644_100030261 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://ww.gushiju.net/ju/96744https://dugushici.com/mingju/9382https://baike.baidu.com/item/李白/1043 #ทำนองรักกังวานแดนดิน #วลีจีน #หลี่ไป๋ #สาระจีน
    สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ที่มีช่วงหนึ่งพระนางต้องไปสืบคดีที่เมืองกานหนานเต้าและได้พบกันพานฉือ มีฉากหนึ่งที่พานฉือนั่งดื่มสุราดับทุกข์และเหยียนซิ่งมาปลอบโดยกล่าวถึงบทความหนึ่งของพานฉือที่เคยโด่งดังในแวดวงผู้มีการศึกษา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบัณฑิตที่ไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางใหญ่ Storyฯ เคยเกริ่นไว้ว่าจริงๆ แล้วบทความที่เหยียนซิ่งกล่าวถึงนี้เป็นการยกเอาวรรคเด็ดจากหลายบทกวีโบราณมายำรวมกัน วันนี้มาเล่าให้ฟังค่ะเราคุยกันวันนี้ถึงประโยคแรกที่เหยียนซิ่งกล่าว ซึ่งก็คือ “แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป เดินขึ้นสูงสู่เสินโจว” (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) ซึ่งวรรคแรกของประโยคนี้ยกมาจากบทกวีโบราณ ความเดิมคือ ‘แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป ข้าพเจ้าหาใช่ชาวป่าเขา’ (仰天大笑出门去,我辈岂是蓬蒿人)/ หยางเทียนต้าเซี่ยวชูเหมินชวี่ อั่วเป้ยฉี่ซื่อเผิงฮาวเหริน) โดยคำว่า ‘ชาวป่าเขา’ ในที่นี่เป็นการอุปมาอุปมัยถึงคนที่ไม่ได้รับราชการหรือชาวบ้านธรรมดา และบทกวีนี้คือ ‘หนานหลิงเปี๋ยเอ๋อร์ถงรู่จิง’ (南陵别儿童入京 แปลได้ประมาณว่า อำลาเด็กๆ จากหนานหลิงเข้าเมืองหลวง) เป็นบทประพันธ์ของหลี่ไป๋ กวีเอกสมัยถังที่ได้รับการยกย่องเป็น ‘เซียนกวี’ตอนที่หลี่ไป๋แต่งกลอนบทนี้ เขามีอายุประมาณสี่สิบสองปี (ค.ศ. 742) ชีวิตผ่านอะไรมาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการมีชื่อเสียงตั้งแต่วัยเยาว์ การเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปทั่ว การใช้ชีวิตในแวดวงขุนนางและบัณฑิตแต่ไม่ได้เข้ารับราชการตามที่หวัง ชีวิตตกต่ำออกเร่ร่อนและหลบไปใช้ชีวิตทำนาอยู่ตามป่าเขา แต่ตลอดเวลาเขาไม่เคยลืมอุดมการณ์ที่จะเข้ารับราชการเพราะเขามีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในความรู้ของตัวเอง และเชื่อว่าด้วยสติปัญญาความรู้ที่มีจะสามารถทำให้บ้านเมืองเจริญยิ่งขึ้นได้ แม้ตัวไม่อยู่ในเมืองหลวงแต่เขาไม่เคยขาดความพยายามที่จะส่งบทความให้ถึงมือของบุคคลสำคัญหลายคนโดยหวังที่จะกรุยทางให้เข้ารับราชการได้เรามักได้ยินเกี่ยวกับบทกวีของหลี่ไป๋ที่บรรยายธรรมชาติสวยงาม แต่จริงๆ แล้วหลี่ไป๋ประพันธ์บทกลอนและบทความไม่น้อยเกี่ยวกับหลักการปกครองและการบริหารบ้านเมือง โดยสอดแทรกปัญหาสังคมที่ตนได้ซึมซับมาจากการที่ได้เคยเดินทางไปหลากหลายพื้นที่และจากการได้คลุกคลีอยู่ในหลายแวดวงสังคมและหลังจากชีวิตผ่านไปอย่างขึ้นๆ ลงๆ ในที่สุดหลี่ไป๋ในวัยสี่สิบสองปีก็ได้รับพระราชโองการให้เดินทางไปเมืองหลวงเข้าเฝ้าฮ่องเต้ถังเสวียนจง และเมื่อเขาได้เข้าเฝ้าก็สามารถโต้ตอบคำถามจากฮ่องเต้ได้อย่างฉะฉาน ทั้งด้วยสำนวนคมคายและความรู้จากตำราและสิ่งที่ได้พบเห็นมา จึงได้รับการบรรจุเข้าเป็นขุนนางสังกัดสำนักหลวงฮั่นหลิน ต่อมาติดสอยห้อยตามใกล้ชิดและเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ ทว่าชีวิตทางการเมืองของหลี่ไป๋ไม่ได้สวยงามตลอดรอดฝั่ง และคงจะกล่าวได้ว่า จุดนี้เป็นจุดที่รุ่งเรืองที่สุดของเขาแล้วดังนั้น บทกวี ‘หนานหลิงเปี๋ยเอ๋อร์ถงรู่จิง’ จึงสะท้อนถึงอารมณ์ดีใจและภาคภูมิใจของหลี่ไป๋ พร้อมกับความคาดหวังว่าในที่สุดตนจะได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ ได้เปล่งประกายความรู้ความสามารถของตนให้เป็นที่ประจักษ์ต่อผู้คน ความหมายเต็มๆ ของบทกลอนนี้คือกล่าวถึงบรรยากาศรื่นเริงของร่ำสุรากินมื้อใหญ่ มีเด็กๆ วิ่งเล่นห้อมล้อม ร้องรำทำเพลงกัน จากนั้นกล่าวถึงสภาพจิตใจของหลี่ไป๋ที่นึกย้อนถึงวันเวลาที่เสียไปโดยไม่ได้มีผลงานจริงจัง พร้อมกับความหวังว่าวันนี้อำลาบ้านนอกเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่ออุดมการณ์ และประโยคสุดท้ายแฝงไว้ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองว่า ‘ฉันก็มีดีนะ’ และวลีนี้ถูกยกย่องให้เป็นอีกหนึ่ง ‘วลีเด็ด’ จากวรรณกรรมจีนโบราณดังนั้น การที่เหยียนซิ่งยกวลี ‘แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป’ นี้ขึ้นมาในเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> โดยในซีรีส์สมมุติไว้ว่านี่เป็นประโยคที่พานฉือแต่งขึ้น จึงเป็นการเท้าความถึงตอนที่พานฉือเดินทางเข้ากรุงใหม่ๆ ยังเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์และความเชื่อมั่นอันแรงกล้า และเป็นการปลอบใจให้พานฉือรู้ว่า ตราบใดที่มีความรู้ความสามารถ ขอเพียงกล้าที่จะแสดงออกไป ย่อมมีคนเห็นคุณค่า สัปดาห์มาคุยกันต่อกับประโยคที่เหลือของเหยียนซิ่งค่ะ(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.ifensi.com/index.php?m=home&c=View&a=index&aid=4545 https://www.sohu.com/a/327753644_100030261 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://ww.gushiju.net/ju/96744https://dugushici.com/mingju/9382https://baike.baidu.com/item/李白/1043 #ทำนองรักกังวานแดนดิน #วลีจีน #หลี่ไป๋ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1560 มุมมอง 0 รีวิว
  • #อรุณสวัสดิ์ แฟนเพจคิงส์ที่น่าร๊ากกก
    ต้อนรับมิตรรักแฟนเพจด้วยวันศุกร์ที่สดใส
    คนคิดดี ทำดี มันก็จะมีอะไรดีๆเข้ามาเสมอ
    แต่ถ้าคิดลบ คิดร้าย หรือทำอะไรที่มันไม่ถูกต้อง
    ความบังลัย เวลากลับมาสนอง บอกเลย อิ๊บอ๋ายบังลัยไส้แน่นวล
    ยกเคสนึง อยากที่เราเข้าใจกันดี ถึงด้อมเกา
    เฉพาะที่เป็นสาวกของนังป้า ที่ทรงเดียวกัน
    ใช้ชีวิตอยู่กับจินตนาการ ไม่ยอมอยู่บนโลกแห่งความจริง
    ไฝ้กับคนเค้าไปทั่ว หาแต่เรื่อง ไม่เว้นแต่ละวัน
    เวลาสนทนากัน ใครเคยฟังจะรู้ว่าสาวกป้า
    อยู่บนความเพ้อฝัน ที่ป้าพยายามจะสร้างโลกคู่ขนานขึ้นมา
    จะด้วยตั้งใจ หรือเพราะมีปม ไม่รู้ได้
    แต่เราจะเห็น โปรไฟล์ นายตร หญ่าย แต่ขึ้นไลฟ์
    คุยเรื่องสาวเกาได้ไม่เป็นอันทำงานราชการ
    สุดท้าย อ้าว งานมโน
    เราจะเจอ ด้อมสาวเกาสาวกป้า
    ทำโปรไฟล์ว่าตัวเองเป็น ตานายฟาม
    สุดท้าย คนจับโป๊ปะได้ แม่วววไปโหลดมา
    และล่าสุด น้องด้อมชื่อถั่ว แต่ดันไปเอาภาพโปรไฟล์
    น้องพาวเดอร์ หน้าตาสะสวย มาใช้เป็นโปรไฟล์ตัว
    โดยอาศัยว่า น้องพาวเดอร์เค้าไม่ใช้ ตต.
    เอาภาพเค้ามาหมดฮ๊าฟ ทั้งจากไอ จี ทั้งจากสตอรี่
    พูดง่ายๆ ว่าแอบอ้างเป็นน้องพาวเดอร์โดยสมบูรณ์
    ปรากฏ น้องพาวเดอร์เค้ามารู้เพราะมีเพื่อนบอกข้อมูล
    ว่าน้องถั่ว เอารูปน้องพาวเดอร์ ไปแอบอ้าง
    งานเข้าล่ะสิ น้องพาวเดอร์โดนละเมิดเพียงนี้
    เป็นพี่คิงส์ ก็ไม่ยอม
    สุดท้าย ถึงสน เรียบร้อย
    ต่อมา น้องถั่ว ก็ขึ้นไลฟ์ในตต. ร้องห่มร้องไห้
    อ้างว่าตนเอง มีเหตุทำให้เสียโฉม
    และเป็นแฟนคลับน้องพาวเดอร์ เลยเอาภาพน้องพาวเดอร์
    มาขึ้นโปรไฟล์ แต่ ปั๊ดโถ่ว มันไม่ใช่แค่ภาพเดียวสิ
    มโนว่าตัวเอง เป็นน้องพาวเดอร์ไปเลย คือ
    ถ้าไม่มีใครห้าม คงแทนตัวเป็นน้องพาวเดอร์ไปยาวๆ
    คือคนเรานะ พี่คิงส์จะให้สติกับสาวกป้านะ
    ถึงเราจะเป็นแบบไหน เป็นอย่างไร ทุกคนมันก็มีคุณค่า
    ไม่จำเป็นต้องอยู่ในจินตนาการแบบอิป้า ปล่อยมัน Ba บอ ไปคนเดียว
    น้องถั่วจะมาอ้างว่า ฉันทำไปโดยไม่ทำให้ใครเสียหาย
    ไม่นะ แค่คุณแอบอ้าง นำภาพผู้อื่นมาใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาต
    มันก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องแล้ว ก็ไม่ต่างกับน้องถั่ว เห็นคนอื่นจอดรถทิ้งไว้ใส่กุญแจพร้อม แล้วน้องถั่วก็ขับไปอวดเพื่อน สุดท้ายน้องถั่วก็เอากลับมาคืนที่
    แล้วเถียงว่า ฉานไม่ได้ทำรถคันนี้เสียหายเลยนะ ชุ่ยไป น้องถั่ว
    พี่คิงส์แนะนำว่า อย่าแถ มอบ แบบง่ายๆ
    อย่าเอาปมด้อยมาอ้าง แล้วจะทำอะไรก็ได้ มันไม่อิน
    ถ้าน้องถั่ว อยากหาเส้นทางดีๆให้ชีวี พี่คิงส์เสนอ
    เอาเวลาที่เสียไปกับอิป้า ไปหาเงิน หารายได้
    เก็บเงินซักก้อน ไปศัล นี่สิทางออก คือสู้กับความจริง
    เราเอาภาพคนอื่น มาโพส มาอ่อย มาให้คนอื่นชอบ
    นั่นมันคือโลกจินตาการนะน้องถั่ว ยิ่งไลฟ์ตต ร้องห่มร้องไห้
    ว่า ไม่มีใครช่วย นี่ยิ่งต้องกลับมาทบทวนแล้ว ว่าจะวางแผนชีวิตยังไงต่อ
    คิดเหรอว่าอิป้า จะยื่นมือมาช่วย มีแต่พอเห็นใครมีปัญหา มันก็สกายคิ๊กเทแบบไอ่เป็ดไง
    มันจะทำเฉพาะคนที่เป็นอริกับมันเท่านั้นแหละ เรื่องฟ๊องอะ
    เอาชื่อเกา กับเงินเกา จากตานาย แดรกหัวคิวหรือเปล่าไม่รู้
    แต่เอาไปฟ๊องคนที่เป็นอริกับมัน ที่มันสร้างด้วยมือของมันเอง
    เรื่องคนอื่นนะเหรอ คนอย่างอิป้า สนที่ไหน
    ตื่นเถอะถั่ว กรรูเวตตานา
    อิฉัด!
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    #อรุณสวัสดิ์ แฟนเพจคิงส์ที่น่าร๊ากกก ต้อนรับมิตรรักแฟนเพจด้วยวันศุกร์ที่สดใส คนคิดดี ทำดี มันก็จะมีอะไรดีๆเข้ามาเสมอ แต่ถ้าคิดลบ คิดร้าย หรือทำอะไรที่มันไม่ถูกต้อง ความบังลัย เวลากลับมาสนอง บอกเลย อิ๊บอ๋ายบังลัยไส้แน่นวล ยกเคสนึง อยากที่เราเข้าใจกันดี ถึงด้อมเกา เฉพาะที่เป็นสาวกของนังป้า ที่ทรงเดียวกัน ใช้ชีวิตอยู่กับจินตนาการ ไม่ยอมอยู่บนโลกแห่งความจริง ไฝ้กับคนเค้าไปทั่ว หาแต่เรื่อง ไม่เว้นแต่ละวัน เวลาสนทนากัน ใครเคยฟังจะรู้ว่าสาวกป้า อยู่บนความเพ้อฝัน ที่ป้าพยายามจะสร้างโลกคู่ขนานขึ้นมา จะด้วยตั้งใจ หรือเพราะมีปม ไม่รู้ได้ แต่เราจะเห็น โปรไฟล์ นายตร หญ่าย แต่ขึ้นไลฟ์ คุยเรื่องสาวเกาได้ไม่เป็นอันทำงานราชการ สุดท้าย อ้าว งานมโน เราจะเจอ ด้อมสาวเกาสาวกป้า ทำโปรไฟล์ว่าตัวเองเป็น ตานายฟาม สุดท้าย คนจับโป๊ปะได้ แม่วววไปโหลดมา และล่าสุด น้องด้อมชื่อถั่ว แต่ดันไปเอาภาพโปรไฟล์ น้องพาวเดอร์ หน้าตาสะสวย มาใช้เป็นโปรไฟล์ตัว โดยอาศัยว่า น้องพาวเดอร์เค้าไม่ใช้ ตต. เอาภาพเค้ามาหมดฮ๊าฟ ทั้งจากไอ จี ทั้งจากสตอรี่ พูดง่ายๆ ว่าแอบอ้างเป็นน้องพาวเดอร์โดยสมบูรณ์ ปรากฏ น้องพาวเดอร์เค้ามารู้เพราะมีเพื่อนบอกข้อมูล ว่าน้องถั่ว เอารูปน้องพาวเดอร์ ไปแอบอ้าง งานเข้าล่ะสิ น้องพาวเดอร์โดนละเมิดเพียงนี้ เป็นพี่คิงส์ ก็ไม่ยอม สุดท้าย ถึงสน เรียบร้อย ต่อมา น้องถั่ว ก็ขึ้นไลฟ์ในตต. ร้องห่มร้องไห้ อ้างว่าตนเอง มีเหตุทำให้เสียโฉม และเป็นแฟนคลับน้องพาวเดอร์ เลยเอาภาพน้องพาวเดอร์ มาขึ้นโปรไฟล์ แต่ ปั๊ดโถ่ว มันไม่ใช่แค่ภาพเดียวสิ มโนว่าตัวเอง เป็นน้องพาวเดอร์ไปเลย คือ ถ้าไม่มีใครห้าม คงแทนตัวเป็นน้องพาวเดอร์ไปยาวๆ คือคนเรานะ พี่คิงส์จะให้สติกับสาวกป้านะ ถึงเราจะเป็นแบบไหน เป็นอย่างไร ทุกคนมันก็มีคุณค่า ไม่จำเป็นต้องอยู่ในจินตนาการแบบอิป้า ปล่อยมัน Ba บอ ไปคนเดียว น้องถั่วจะมาอ้างว่า ฉันทำไปโดยไม่ทำให้ใครเสียหาย ไม่นะ แค่คุณแอบอ้าง นำภาพผู้อื่นมาใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาต มันก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องแล้ว ก็ไม่ต่างกับน้องถั่ว เห็นคนอื่นจอดรถทิ้งไว้ใส่กุญแจพร้อม แล้วน้องถั่วก็ขับไปอวดเพื่อน สุดท้ายน้องถั่วก็เอากลับมาคืนที่ แล้วเถียงว่า ฉานไม่ได้ทำรถคันนี้เสียหายเลยนะ ชุ่ยไป น้องถั่ว พี่คิงส์แนะนำว่า อย่าแถ มอบ แบบง่ายๆ อย่าเอาปมด้อยมาอ้าง แล้วจะทำอะไรก็ได้ มันไม่อิน ถ้าน้องถั่ว อยากหาเส้นทางดีๆให้ชีวี พี่คิงส์เสนอ เอาเวลาที่เสียไปกับอิป้า ไปหาเงิน หารายได้ เก็บเงินซักก้อน ไปศัล นี่สิทางออก คือสู้กับความจริง เราเอาภาพคนอื่น มาโพส มาอ่อย มาให้คนอื่นชอบ นั่นมันคือโลกจินตาการนะน้องถั่ว ยิ่งไลฟ์ตต ร้องห่มร้องไห้ ว่า ไม่มีใครช่วย นี่ยิ่งต้องกลับมาทบทวนแล้ว ว่าจะวางแผนชีวิตยังไงต่อ คิดเหรอว่าอิป้า จะยื่นมือมาช่วย มีแต่พอเห็นใครมีปัญหา มันก็สกายคิ๊กเทแบบไอ่เป็ดไง มันจะทำเฉพาะคนที่เป็นอริกับมันเท่านั้นแหละ เรื่องฟ๊องอะ เอาชื่อเกา กับเงินเกา จากตานาย แดรกหัวคิวหรือเปล่าไม่รู้ แต่เอาไปฟ๊องคนที่เป็นอริกับมัน ที่มันสร้างด้วยมือของมันเอง เรื่องคนอื่นนะเหรอ คนอย่างอิป้า สนที่ไหน ตื่นเถอะถั่ว กรรูเวตตานา อิฉัด! #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1035 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ เวลาที่เสียไป 4 ปี สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน การจราจร การพัฒนาระบบขนส่งทางราง และต้นทุนในการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นตลอด 4 ปี ใครควรรับผิดชอบ #คีรีกาญจนพลาด
    #7ดอกจิก
    #เวลาที่เสียไป
    #ใครควรรับผิดชอบ
    #ความเดือดร้อน
    ♣ เวลาที่เสียไป 4 ปี สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน การจราจร การพัฒนาระบบขนส่งทางราง และต้นทุนในการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นตลอด 4 ปี ใครควรรับผิดชอบ #คีรีกาญจนพลาด #7ดอกจิก #เวลาที่เสียไป #ใครควรรับผิดชอบ #ความเดือดร้อน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 912 มุมมอง 0 รีวิว