• จีนกำลังเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โดยดึงดูดนักวิจัยจากต่างประเทศ ล่าสุด Lee Young-hee นักวิจัยชาวเกาหลีใต้ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยวัสดุควอนตัมที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหูเป่ย หลังจากไม่สามารถหาตำแหน่งที่เหมาะสมในเกาหลีใต้

    ศูนย์วิจัยนี้มุ่งเน้นไปที่ วัสดุใหม่, พลังงานใหม่, ออปโตอิเล็กทรอนิกส์, เทคโนโลยีสารสนเทศ และชีวการแพทย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาอุตสาหกรรมในมณฑลหูเป่ย

    การแต่งตั้ง Lee Young-hee เป็นหนึ่งในหลายกรณีที่จีน ดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านเซมิคอนดักเตอร์ แม้ว่าการวิจัยของเขาอาจไม่ได้ส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดปัจจุบัน แต่มีแนวโน้มจะมีบทบาทสำคัญในทศวรรษหน้า

    ✅ Lee Young-hee ได้รับตำแหน่งหัวหน้าศูนย์วิจัยวัสดุควอนตัม
    - ศูนย์วิจัยตั้งอยู่ที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหูเป่ย
    - มุ่งเน้นไปที่ วัสดุใหม่, พลังงานใหม่, ออปโตอิเล็กทรอนิกส์, เทคโนโลยีสารสนเทศ และชีวการแพทย์

    ✅ เหตุผลที่ Lee Young-hee ย้ายไปจีน
    - ไม่สามารถหาตำแหน่งที่เหมาะสมในเกาหลีใต้หลังเกษียณ
    - เคยเสนอแผนวิจัยให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ของเกาหลีใต้ แต่ไม่ได้รับการตอบรับ

    ✅ แนวโน้มของจีนในการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ
    - มีรายงานว่าจีน ดึงดูดวิศวกรจาก Apple และ TSMC ด้วยข้อเสนอเงินเดือนสูง
    - Huawei เคยเสนอเงินเดือน สามเท่า ให้กับพนักงาน TSMC เพื่อดึงดูดให้ย้ายไปทำงานในจีน

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - การวิจัยวัสดุควอนตัมอาจมีบทบาทสำคัญในทศวรรษหน้า
    - อาจช่วยให้จีนลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

    https://wccftech.com/china-appoints-south-korean-semiconductor-research-for-quantum-materials-research/
    จีนกำลังเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โดยดึงดูดนักวิจัยจากต่างประเทศ ล่าสุด Lee Young-hee นักวิจัยชาวเกาหลีใต้ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยวัสดุควอนตัมที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหูเป่ย หลังจากไม่สามารถหาตำแหน่งที่เหมาะสมในเกาหลีใต้ ศูนย์วิจัยนี้มุ่งเน้นไปที่ วัสดุใหม่, พลังงานใหม่, ออปโตอิเล็กทรอนิกส์, เทคโนโลยีสารสนเทศ และชีวการแพทย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาอุตสาหกรรมในมณฑลหูเป่ย การแต่งตั้ง Lee Young-hee เป็นหนึ่งในหลายกรณีที่จีน ดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านเซมิคอนดักเตอร์ แม้ว่าการวิจัยของเขาอาจไม่ได้ส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดปัจจุบัน แต่มีแนวโน้มจะมีบทบาทสำคัญในทศวรรษหน้า ✅ Lee Young-hee ได้รับตำแหน่งหัวหน้าศูนย์วิจัยวัสดุควอนตัม - ศูนย์วิจัยตั้งอยู่ที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหูเป่ย - มุ่งเน้นไปที่ วัสดุใหม่, พลังงานใหม่, ออปโตอิเล็กทรอนิกส์, เทคโนโลยีสารสนเทศ และชีวการแพทย์ ✅ เหตุผลที่ Lee Young-hee ย้ายไปจีน - ไม่สามารถหาตำแหน่งที่เหมาะสมในเกาหลีใต้หลังเกษียณ - เคยเสนอแผนวิจัยให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ของเกาหลีใต้ แต่ไม่ได้รับการตอบรับ ✅ แนวโน้มของจีนในการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ - มีรายงานว่าจีน ดึงดูดวิศวกรจาก Apple และ TSMC ด้วยข้อเสนอเงินเดือนสูง - Huawei เคยเสนอเงินเดือน สามเท่า ให้กับพนักงาน TSMC เพื่อดึงดูดให้ย้ายไปทำงานในจีน ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - การวิจัยวัสดุควอนตัมอาจมีบทบาทสำคัญในทศวรรษหน้า - อาจช่วยให้จีนลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ https://wccftech.com/china-appoints-south-korean-semiconductor-research-for-quantum-materials-research/
    WCCFTECH.COM
    China Has Recruited South Korean Semiconductor Researcher And Appointed Him Head Of Quantum Materials Research After He Was Unable To Find A Suitable Position In His Home Country
    After being unable to find a suitable research position in his home country, a South Korean semiconductor expert has been recruited by China
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้เปรียบเทียบแอปพลิเคชันการจัดการการเงินส่วนบุคคลระหว่าง Monarch Money และ Quicken (รวมถึง Simplifi by Quicken) โดยเน้นถึงความแตกต่างในด้านฟีเจอร์ การใช้งาน และกลุ่มเป้าหมาย

    Monarch Money เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์การจัดการการเงินที่ทันสมัยและเรียบง่าย โดยเน้นการตั้งเป้าหมายและการทำงานร่วมกัน ขณะที่ Quicken เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่มีพอร์ตการเงินซับซ้อน เช่น การติดตามการลงทุนหรือการจัดการทรัพย์สินให้เช่า

    ✅ Monarch Money: ทันสมัยและเน้นเป้าหมาย
    - การตั้งเป้าหมายที่ปรับแต่งได้: ช่วยให้ผู้ใช้สร้างเป้าหมายการออมและหนี้สินได้ไม่จำกัด
    - การติดตามมูลค่าสุทธิ: มีกราฟแบบโต้ตอบที่แสดงการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าสุทธิ
    - การทำงานร่วมกัน: รองรับการจัดการการเงินร่วมกันในครอบครัวหรือคู่รัก
    - ราคา: $14.99/เดือน หรือ $99.99/ปี พร้อมรหัสส่วนลด MONARCHVIP ลด 50%

    ✅ Quicken: สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการรายละเอียด
    - การจัดการการลงทุนขั้นสูง: ติดตามพอร์ตโฟลิโอ กำไรจากการลงทุน และการคาดการณ์การเกษียณ
    - เครื่องมือสำหรับธุรกิจและทรัพย์สินให้เช่า: ช่วยจัดการรายได้ ค่าใช้จ่าย และผู้เช่า
    - การใช้งานแบบออฟไลน์: รองรับการใช้งานโดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    - ราคา: Simplifi $71.88/ปี, Quicken Classic $35.99–$93.59/ปี

    ✅ การเปรียบเทียบฟีเจอร์
    - Monarch: อินเทอร์เฟซทันสมัย ง่ายต่อการใช้งาน เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
    - Quicken: มีฟีเจอร์ที่ซับซ้อน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการจัดการการเงินเชิงลึก

    https://computercity.com/software/apps/monarch-vs-quicken
    บทความนี้เปรียบเทียบแอปพลิเคชันการจัดการการเงินส่วนบุคคลระหว่าง Monarch Money และ Quicken (รวมถึง Simplifi by Quicken) โดยเน้นถึงความแตกต่างในด้านฟีเจอร์ การใช้งาน และกลุ่มเป้าหมาย Monarch Money เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์การจัดการการเงินที่ทันสมัยและเรียบง่าย โดยเน้นการตั้งเป้าหมายและการทำงานร่วมกัน ขณะที่ Quicken เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่มีพอร์ตการเงินซับซ้อน เช่น การติดตามการลงทุนหรือการจัดการทรัพย์สินให้เช่า ✅ Monarch Money: ทันสมัยและเน้นเป้าหมาย - การตั้งเป้าหมายที่ปรับแต่งได้: ช่วยให้ผู้ใช้สร้างเป้าหมายการออมและหนี้สินได้ไม่จำกัด - การติดตามมูลค่าสุทธิ: มีกราฟแบบโต้ตอบที่แสดงการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าสุทธิ - การทำงานร่วมกัน: รองรับการจัดการการเงินร่วมกันในครอบครัวหรือคู่รัก - ราคา: $14.99/เดือน หรือ $99.99/ปี พร้อมรหัสส่วนลด MONARCHVIP ลด 50% ✅ Quicken: สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการรายละเอียด - การจัดการการลงทุนขั้นสูง: ติดตามพอร์ตโฟลิโอ กำไรจากการลงทุน และการคาดการณ์การเกษียณ - เครื่องมือสำหรับธุรกิจและทรัพย์สินให้เช่า: ช่วยจัดการรายได้ ค่าใช้จ่าย และผู้เช่า - การใช้งานแบบออฟไลน์: รองรับการใช้งานโดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต - ราคา: Simplifi $71.88/ปี, Quicken Classic $35.99–$93.59/ปี ✅ การเปรียบเทียบฟีเจอร์ - Monarch: อินเทอร์เฟซทันสมัย ง่ายต่อการใช้งาน เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น - Quicken: มีฟีเจอร์ที่ซับซ้อน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการจัดการการเงินเชิงลึก https://computercity.com/software/apps/monarch-vs-quicken
    COMPUTERCITY.COM
    Monarch vs Quicken: Which Personal Finance App Is Best for You?
    Choosing between Monarch Money and Quicken (including Simplifi by Quicken) comes down to what kind of financial life you lead—and what kind of control you
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • จับพิรุธ สตง. ลากอดีตผู้ว่าเกษียณ 8 ปี มาแก้ตัวแทน เพราะเจ้าหน้าที่สตง.อับอาย ไม่กล้าออกทำงานตรวจเงินใคร
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    จับพิรุธ สตง. ลากอดีตผู้ว่าเกษียณ 8 ปี มาแก้ตัวแทน เพราะเจ้าหน้าที่สตง.อับอาย ไม่กล้าออกทำงานตรวจเงินใคร #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • ..ต่อเรื่องปั่นข่าวไปเรื่อยจนถึงเวลาปัจจุบันก็ยังไม่จบสิ้นหรือทำให้จบจริง,วันนั้นวันนี้เลื่อนเวลาตลอด ,สงครามข่าวลวงข่าวโกหกจริงๆ รับส่งกันสนุกทั้งคนปล่อย ทั้งคนต่อยอดเขียนงานข่าวในแต่ละมุก,แต่สุดท้ายผลงานก็เลื่อน&เลื่อน ไม่จบสิ้นดั่งที่อ้างเลย,เป็นเพียงขยายข่าวตามน้ำตามสถานะเวลาที่ก่อเกิดเรื่องในข่าว.

    ..Q CLOCK สิ้นสุดในวันอังคารที่ 20 พฤษภาคม 2025 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ KLAUS SCHWAB ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของฟอรัมเศรษฐกิจโลก (WEF) ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้บริหาร

    การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสมัยของ WEF ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกของกลุ่ม CABAL ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1971 เพื่อควบคุมวาระการประชุมระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับอุตสาหกรรม

    ซึ่งตรงกับช่วงที่ SCHWAB ลาออก JAMIE DIMON ซีอีโอของ JPMORGAN CHASE ได้ประกาศเกษียณอายุ และประธาน FDIC ก็ลาออกเช่นกัน

    พัฒนาการเหล่านี้ — ร่วมกับการแนะนำร่างกฎหมาย “ยุติการบังคับใช้เฟด” และการผ่านร่างกฎหมายบล็อคเชน — ส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลกกลับสู่ประชาชน
    ..ต่อเรื่องปั่นข่าวไปเรื่อยจนถึงเวลาปัจจุบันก็ยังไม่จบสิ้นหรือทำให้จบจริง,วันนั้นวันนี้เลื่อนเวลาตลอด ,สงครามข่าวลวงข่าวโกหกจริงๆ รับส่งกันสนุกทั้งคนปล่อย ทั้งคนต่อยอดเขียนงานข่าวในแต่ละมุก,แต่สุดท้ายผลงานก็เลื่อน&เลื่อน ไม่จบสิ้นดั่งที่อ้างเลย,เป็นเพียงขยายข่าวตามน้ำตามสถานะเวลาที่ก่อเกิดเรื่องในข่าว. ..Q CLOCK สิ้นสุดในวันอังคารที่ 20 พฤษภาคม 2025 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ KLAUS SCHWAB ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของฟอรัมเศรษฐกิจโลก (WEF) ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้บริหาร การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสมัยของ WEF ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกของกลุ่ม CABAL ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1971 เพื่อควบคุมวาระการประชุมระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับอุตสาหกรรม ซึ่งตรงกับช่วงที่ SCHWAB ลาออก JAMIE DIMON ซีอีโอของ JPMORGAN CHASE ได้ประกาศเกษียณอายุ และประธาน FDIC ก็ลาออกเช่นกัน พัฒนาการเหล่านี้ — ร่วมกับการแนะนำร่างกฎหมาย “ยุติการบังคับใช้เฟด” และการผ่านร่างกฎหมายบล็อคเชน — ส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลกกลับสู่ประชาชน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ ได้แสดงความเห็นในพอดแคสต์ "People by WTF" ว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในสายงานแพทย์และครู ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมานานในหลายประเทศทั่วโลก โดยเขาเชื่อว่า AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานต่างๆ และเปลี่ยนแปลงลักษณะการทำงานในอนาคต

    ✅ AI จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในสายงานแพทย์และครู
    - เกตส์ระบุว่า AI จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคและลดภาระงานที่ซ้ำซ้อน เช่น การจัดการเอกสาร
    - ตัวอย่างเช่น สตาร์ทอัพด้าน AI อย่าง Suki และ Zephyr AI ได้พัฒนาเครื่องมือที่ช่วยลดภาระงานในโรงพยาบาล

    ✅ AI จะเปลี่ยนแปลงลักษณะการทำงานในสายงานอื่นๆ
    - เกตส์เชื่อว่า AI และหุ่นยนต์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานก่อสร้างและงานบริการ
    - บริษัทเทคโนโลยี เช่น Nvidia กำลังลงทุนในหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานในคลังสินค้าและทำความสะอาด

    ✅ AI อาจช่วยให้คนทำงานน้อยลงและเกษียณเร็วขึ้น
    - เกตส์กล่าวว่า AI อาจช่วยลดชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ และทำให้คนมีเวลาว่างมากขึ้น
    - เขาอ้างถึงนักเศรษฐศาสตร์ John Maynard Keynes ที่เคยคาดการณ์ว่าเทคโนโลยีจะลดชั่วโมงการทำงานลง

    ✅ AI จะช่วยเพิ่มผลิตภาพในอุตสาหกรรมต่างๆ
    - การศึกษาของ McKinsey ระบุว่า AI อาจเพิ่มผลิตภาพในอุตสาหกรรมการแพทย์และเภสัชกรรมได้ถึง $370 พันล้าน

    https://www.techspot.com/news/107603-bill-gates-ai-end-doctor-teacher-shortages-transform.html
    บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ ได้แสดงความเห็นในพอดแคสต์ "People by WTF" ว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในสายงานแพทย์และครู ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมานานในหลายประเทศทั่วโลก โดยเขาเชื่อว่า AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานต่างๆ และเปลี่ยนแปลงลักษณะการทำงานในอนาคต ✅ AI จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในสายงานแพทย์และครู - เกตส์ระบุว่า AI จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคและลดภาระงานที่ซ้ำซ้อน เช่น การจัดการเอกสาร - ตัวอย่างเช่น สตาร์ทอัพด้าน AI อย่าง Suki และ Zephyr AI ได้พัฒนาเครื่องมือที่ช่วยลดภาระงานในโรงพยาบาล ✅ AI จะเปลี่ยนแปลงลักษณะการทำงานในสายงานอื่นๆ - เกตส์เชื่อว่า AI และหุ่นยนต์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานก่อสร้างและงานบริการ - บริษัทเทคโนโลยี เช่น Nvidia กำลังลงทุนในหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานในคลังสินค้าและทำความสะอาด ✅ AI อาจช่วยให้คนทำงานน้อยลงและเกษียณเร็วขึ้น - เกตส์กล่าวว่า AI อาจช่วยลดชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ และทำให้คนมีเวลาว่างมากขึ้น - เขาอ้างถึงนักเศรษฐศาสตร์ John Maynard Keynes ที่เคยคาดการณ์ว่าเทคโนโลยีจะลดชั่วโมงการทำงานลง ✅ AI จะช่วยเพิ่มผลิตภาพในอุตสาหกรรมต่างๆ - การศึกษาของ McKinsey ระบุว่า AI อาจเพิ่มผลิตภาพในอุตสาหกรรมการแพทย์และเภสัชกรรมได้ถึง $370 พันล้าน https://www.techspot.com/news/107603-bill-gates-ai-end-doctor-teacher-shortages-transform.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Bill Gates says AI will end doctor and teacher shortages, transform the future of work
    "AI will come in and provide medical IQ, and there won't be a shortage," Gates said, pointing to nations like India and those across Africa where the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 11 การทำให้ “เงินทำงานรับใช้”
    .
    เมื่อพูดถึงเรื่องการหาเงินและการใช้เงิน คนจำนวนไม่น้อยเห็นว่าเป็นเรื่อง “หญ้าปากคอก” ที่ไม่ต้องเรียนรู้ก็ได้ อย่างไรก็ดี “หญ้าปากคอก”นี้ ได้กลายเป็น “หนามยอกอก” ที่ทิ่มแทงคนหลายคน จนบางคนต้องล้มตายจากไปทั้งที่ยังมีลมหายใจอยู่ ดังที่ได้เห็นกันอยู่เนืองๆ การมีฐานะมั่นคงจากการใช้แรงงานของตนเองตลอดชีวิต ถึงแม้จะเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นศิลปะที่มีหลักการบางอย่างเป็นตัวกำกับ การเข้าใจหลักการดังกล่าวจะช่วยให้ไม่เกิดสภาวะที่ทุ่มเททำงานหารายได้อย่างหนัก แต่ในบั้นปลายชีวิตก็ยังหาความมั่นคงทางการเงินไม่ได้
    .
    มนุษย์มีแนวโน้มโดยธรรมชาติที่จะใช้จ่ายเงินที่หามาได้อย่างตามใจตนเอง เพราะถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนการทำงานที่เหน็ดเหนื่อย จนละเลยที่จะเก็บเงินบางส่วนไว้ เพื่อทำให้งอกเงยสำหรับอนาคตที่สุขสบายยิ่งขึ้น หลายคนลืมคิดไปว่าถ้าใช้เงินที่หามาได้ไปทั้งหมด ความสุขที่ได้รับก็จะจบอยู่เพียงแค่นั้น ไม่มีอนาคตที่ว่าทำงานเท่าเดิม แต่ได้รับผลตอบแทนมากขึ้น ไม่มีอนาคตของความมั่นคงทางการเงินซึ่งจะอำนวยให้เกิดความมั่นคงในชีวิตไปด้วย และไม่มีอนาคตที่จะมีชีวิตสุขสบายเมื่อพ้นวัยทำงานไปแล้ว
    .
    ถ้าใครเลือกเส้นทาง “สุขวันนี้และจบแค่นี้” ก็จำต้องยอมรับผลที่เกิดมา แต่ถ้าใครเลือกเส้นทาง “ไม่สุขวันนี้เต็มที่ แต่จะสุขยาวกว่านี้ไปในอนาคต” ก็จำเป็นต้องมีเงินเหลือจากการใช้จ่ายเก็บไว้เป็นเงินออม หรือจะให้ดีกว่านั้นก็คือกันส่วนหนึ่งของรายได้ไว้แต่แรกก่อนใช้จ่าย เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของรายได้ก่อนหักภาษี
    .
    เงินออมเป็น “ต้นน้ำ” สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการมีความมั่นคงในด้านการเงินต่อไปในอนาคต เงินออมเกิดขึ้นได้เพราะเจ้าของรายได้มีความมัธยัสถ์ กล่าวคือใช้จ่ายเฉพาะในเรื่องที่จำเป็น ไม่สุรุ่ยสุร่ายใช้จ่ายเงินอย่างเขลาในเรื่องต่างๆ ความมัธยัสถ์เป็นแผนหนึ่งของการดำเนินชีวิตที่มิได้ทำให้ใครเดือดร้อน และมิใช่การเอารัดเอาเปรียบคนอื่น การขาดความมัธยัสถ์ต่างหากที่จะทำให้ตนเองเดือดร้อน และอาจทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไปด้วย เพราะอาจถูกรบกวนขอเงิน หรือขอยืมเงินเพราะตนเองมีเงินใช้ไม่พอ
    .
    ความมัธยัสถ์โยงใยกับการมีวินัยบังคับใจตนเอง และการมุ่งมั่นมีเป้าหมายในชีวิต ทำให้เกิดสภาวการณ์ที่สำคัญของชีวิต นั่นคือ “การอยู่กินต่ำกว่าฐานะ” ซึ่งนำไปสู่การมีเงินเหลือเพื่อเก็บออมนั่นเอง ผู้ที่อยู่กินตามฐานะของรายได้ หมายถึงการไม่มีเงินออม และผู้ที่อยู่กินเกินฐานะหมายถึง ใช้จ่ายเงินเกินรายได้ที่ตนเองมี นั่นก็คือต้องหยิบยืมส่วนที่ขาดไปจากผู้อื่น ซึ่งก็คือการเป็นหนี้นั่นเอง
    .
    เมื่ออยู่กินต่ำกว่าฐานะอย่างสม่ำเสมอก็จะเกิดเงินออมขึ้นอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน เงินออมจะสะสมเป็นเงินก้อน และเมื่อเอาไปลงทุนอย่างชาญฉลาดก็จะเกิดผลตอบแทนเป็นรายได้เพิ่มเติมจากรายได้ที่ได้รับจากการทำงานอยู่แล้ว ถ้าหากผลตอบแทนลักษณะนี้พอกพูนกันมากขึ้น ถึงแม้จะทำงานน้อยลงหรือไม่ได้ทำงานเลย อันเนื่งมาจากความเจ็บป่วยหรือพ้นวัยทำงานแล้ว ก็จะยังคงมีรายได้อยู่เช่นเดิม
    .
    ความมั่งคั่งเป็นผลพวงของ “การออกลูกออกหลาน” ของเงินตอบแทนจากการออมขั้นแรก กล่าวคือ เมื่อได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนครั้งแรกก็นำไปลงทุนต่อ และเมื่อได้รับผลตอบแทนอีกก็ลงทุนต่อไปอีกขั้นหนึ่งต่อไปเรื่อยๆ จนสมทบพอกพูนเป็นความมั่งคั่ง
    .
    การกระทำเช่นนี้ ซึ่งเริ่มจากการมีเงินออมเป็นเบื้องต้นจนถึงการเพิ่มพูนความมั่งคั่ง คือ การให้ “เงินทำงานรับใช้” นั่นเอง
    .
    ในชีวิตของผู้คน ทุกคนมีทั้งวัยทำงานที่หารายได้คล่องมือจากการออกแรงทำงาน และมีวัยพ้นทำงานที่ไม่มีรายได้จากการออกแรงทำงาน ดังนั้นการวางแผนการเงินเพื่อให้ “เงินทำงานรับใช้” ตั้งแต่อยู่ในวัยทำงานจนสามารถหารายได้เป็นกอบเป็นกำเผื่อไปถึงวัยที่ไม่อาจหารยได้ได้เต็มที่จากการทำงานจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
    .
    ตลอดชีวิตการทำงานซึ่งมีเวลา 30 ปีเศษๆ ถ้าบุคคลในช่วงวัยทำงานใช้จ่ายเงินอย่างขาดการวางแผนให้ “เงินทำงานรับใช้” แล้ว เมื่อถึงวัยเกษียณอายุ คุณภาพชีวิตที่ได้รับก็จะไม่เหมือนเดิม หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าจะไม่ร่ำรวยตลอดชีวิตอย่างแน่นอน อย่างนี้เรียกว่า “รวยในวันนี้ เพื่อจนในวันข้างหน้า”
    .
    ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ตระหนักดีถึงการร่ำรวยตลอดชีวิต จะวางแผนให้เงินทำงานรับใช้เป็นอย่างดี โดยมีการดำเนินชีวิตพื้นฐานแบบ “อยู่กินต่ำกว่าฐานะ” การกระทำเช่นนี้ก็คือ “ยอมจนวันนี้ เพื่อร่ำรวยตลอดชีวิต” นั่นเอง
    .
    การยอมสละการบริโภคในปัจจุบันไปบ้าง เพื่อให้มีอนาคตทางการเงินที่มั่นคง และสามารถดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพสม่ำเสมอไปจนตลอดชีวิต คือ การมีวิสัยทัศน์
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 11 การทำให้ “เงินทำงานรับใช้” . เมื่อพูดถึงเรื่องการหาเงินและการใช้เงิน คนจำนวนไม่น้อยเห็นว่าเป็นเรื่อง “หญ้าปากคอก” ที่ไม่ต้องเรียนรู้ก็ได้ อย่างไรก็ดี “หญ้าปากคอก”นี้ ได้กลายเป็น “หนามยอกอก” ที่ทิ่มแทงคนหลายคน จนบางคนต้องล้มตายจากไปทั้งที่ยังมีลมหายใจอยู่ ดังที่ได้เห็นกันอยู่เนืองๆ การมีฐานะมั่นคงจากการใช้แรงงานของตนเองตลอดชีวิต ถึงแม้จะเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นศิลปะที่มีหลักการบางอย่างเป็นตัวกำกับ การเข้าใจหลักการดังกล่าวจะช่วยให้ไม่เกิดสภาวะที่ทุ่มเททำงานหารายได้อย่างหนัก แต่ในบั้นปลายชีวิตก็ยังหาความมั่นคงทางการเงินไม่ได้ . มนุษย์มีแนวโน้มโดยธรรมชาติที่จะใช้จ่ายเงินที่หามาได้อย่างตามใจตนเอง เพราะถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนการทำงานที่เหน็ดเหนื่อย จนละเลยที่จะเก็บเงินบางส่วนไว้ เพื่อทำให้งอกเงยสำหรับอนาคตที่สุขสบายยิ่งขึ้น หลายคนลืมคิดไปว่าถ้าใช้เงินที่หามาได้ไปทั้งหมด ความสุขที่ได้รับก็จะจบอยู่เพียงแค่นั้น ไม่มีอนาคตที่ว่าทำงานเท่าเดิม แต่ได้รับผลตอบแทนมากขึ้น ไม่มีอนาคตของความมั่นคงทางการเงินซึ่งจะอำนวยให้เกิดความมั่นคงในชีวิตไปด้วย และไม่มีอนาคตที่จะมีชีวิตสุขสบายเมื่อพ้นวัยทำงานไปแล้ว . ถ้าใครเลือกเส้นทาง “สุขวันนี้และจบแค่นี้” ก็จำต้องยอมรับผลที่เกิดมา แต่ถ้าใครเลือกเส้นทาง “ไม่สุขวันนี้เต็มที่ แต่จะสุขยาวกว่านี้ไปในอนาคต” ก็จำเป็นต้องมีเงินเหลือจากการใช้จ่ายเก็บไว้เป็นเงินออม หรือจะให้ดีกว่านั้นก็คือกันส่วนหนึ่งของรายได้ไว้แต่แรกก่อนใช้จ่าย เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของรายได้ก่อนหักภาษี . เงินออมเป็น “ต้นน้ำ” สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการมีความมั่นคงในด้านการเงินต่อไปในอนาคต เงินออมเกิดขึ้นได้เพราะเจ้าของรายได้มีความมัธยัสถ์ กล่าวคือใช้จ่ายเฉพาะในเรื่องที่จำเป็น ไม่สุรุ่ยสุร่ายใช้จ่ายเงินอย่างเขลาในเรื่องต่างๆ ความมัธยัสถ์เป็นแผนหนึ่งของการดำเนินชีวิตที่มิได้ทำให้ใครเดือดร้อน และมิใช่การเอารัดเอาเปรียบคนอื่น การขาดความมัธยัสถ์ต่างหากที่จะทำให้ตนเองเดือดร้อน และอาจทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไปด้วย เพราะอาจถูกรบกวนขอเงิน หรือขอยืมเงินเพราะตนเองมีเงินใช้ไม่พอ . ความมัธยัสถ์โยงใยกับการมีวินัยบังคับใจตนเอง และการมุ่งมั่นมีเป้าหมายในชีวิต ทำให้เกิดสภาวการณ์ที่สำคัญของชีวิต นั่นคือ “การอยู่กินต่ำกว่าฐานะ” ซึ่งนำไปสู่การมีเงินเหลือเพื่อเก็บออมนั่นเอง ผู้ที่อยู่กินตามฐานะของรายได้ หมายถึงการไม่มีเงินออม และผู้ที่อยู่กินเกินฐานะหมายถึง ใช้จ่ายเงินเกินรายได้ที่ตนเองมี นั่นก็คือต้องหยิบยืมส่วนที่ขาดไปจากผู้อื่น ซึ่งก็คือการเป็นหนี้นั่นเอง . เมื่ออยู่กินต่ำกว่าฐานะอย่างสม่ำเสมอก็จะเกิดเงินออมขึ้นอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน เงินออมจะสะสมเป็นเงินก้อน และเมื่อเอาไปลงทุนอย่างชาญฉลาดก็จะเกิดผลตอบแทนเป็นรายได้เพิ่มเติมจากรายได้ที่ได้รับจากการทำงานอยู่แล้ว ถ้าหากผลตอบแทนลักษณะนี้พอกพูนกันมากขึ้น ถึงแม้จะทำงานน้อยลงหรือไม่ได้ทำงานเลย อันเนื่งมาจากความเจ็บป่วยหรือพ้นวัยทำงานแล้ว ก็จะยังคงมีรายได้อยู่เช่นเดิม . ความมั่งคั่งเป็นผลพวงของ “การออกลูกออกหลาน” ของเงินตอบแทนจากการออมขั้นแรก กล่าวคือ เมื่อได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนครั้งแรกก็นำไปลงทุนต่อ และเมื่อได้รับผลตอบแทนอีกก็ลงทุนต่อไปอีกขั้นหนึ่งต่อไปเรื่อยๆ จนสมทบพอกพูนเป็นความมั่งคั่ง . การกระทำเช่นนี้ ซึ่งเริ่มจากการมีเงินออมเป็นเบื้องต้นจนถึงการเพิ่มพูนความมั่งคั่ง คือ การให้ “เงินทำงานรับใช้” นั่นเอง . ในชีวิตของผู้คน ทุกคนมีทั้งวัยทำงานที่หารายได้คล่องมือจากการออกแรงทำงาน และมีวัยพ้นทำงานที่ไม่มีรายได้จากการออกแรงทำงาน ดังนั้นการวางแผนการเงินเพื่อให้ “เงินทำงานรับใช้” ตั้งแต่อยู่ในวัยทำงานจนสามารถหารายได้เป็นกอบเป็นกำเผื่อไปถึงวัยที่ไม่อาจหารยได้ได้เต็มที่จากการทำงานจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง . ตลอดชีวิตการทำงานซึ่งมีเวลา 30 ปีเศษๆ ถ้าบุคคลในช่วงวัยทำงานใช้จ่ายเงินอย่างขาดการวางแผนให้ “เงินทำงานรับใช้” แล้ว เมื่อถึงวัยเกษียณอายุ คุณภาพชีวิตที่ได้รับก็จะไม่เหมือนเดิม หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าจะไม่ร่ำรวยตลอดชีวิตอย่างแน่นอน อย่างนี้เรียกว่า “รวยในวันนี้ เพื่อจนในวันข้างหน้า” . ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ตระหนักดีถึงการร่ำรวยตลอดชีวิต จะวางแผนให้เงินทำงานรับใช้เป็นอย่างดี โดยมีการดำเนินชีวิตพื้นฐานแบบ “อยู่กินต่ำกว่าฐานะ” การกระทำเช่นนี้ก็คือ “ยอมจนวันนี้ เพื่อร่ำรวยตลอดชีวิต” นั่นเอง . การยอมสละการบริโภคในปัจจุบันไปบ้าง เพื่อให้มีอนาคตทางการเงินที่มั่นคง และสามารถดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพสม่ำเสมอไปจนตลอดชีวิต คือ การมีวิสัยทัศน์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 9 ทางเลือกในการลงทุนและความเสี่ยง (2)
    .
    1.ฝากเงินกับธนาคาร มีความเสี่ยงน้อยที่สุด
    2.ซื้อตราสารหนี้ ซางหมายถึงสัญญาที่ออกโดยกิจการหนึ่งเพื่อกู้เงินจากผู้อื่น ถ้ารัฐบาลเป็นผู้กู้ ตราสารหรือสัญญานี้เรียกว่าตั๋วเงินคลัง หรือพันธบัตรรัฐบาล แต่ถ้าเป็นเอกชน จะเรียกว่าตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน หรือหุ้นกู้ การลงทุนซื้อตราสารหนี้มีความเสี่ยงต่ำกว่า โดยเปรียบเทียบ เพราะผลตอบแทนอยู่ในรูปของดอกเบี้ยที่จ่ายให้เงินกู้ซึ่งแตกต่างจากผลตอบแทนในรูปเงินปันผลจากหุ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการประกอบการ
    .
    3.ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวม หมายถึงการร่วมทุนกับนักลงทุนรายย่อยอื่นๆ เพื่อลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และ/หรือ ตลาดตราสารหนี้ โดยมีบริษัทจัดการกองทุนตามกฏหมายเป็นผู้รับผิดชอบเป็นการเฉพาะ เนื่องจากมีความรอบรู้เป็นพิเศษในเรื่องการลงทุนในหลักทรัพย์เหล่านี้
    .
    กองทุนแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ (1) กองทุนปิด ซึ่งมีมูลค่ากองทุน (เงินลงทุนร่วมกันครั้งแรก) แน่นอน มีอายุเวลาไถ่ถอนเมื่อครบกำหนดเวลาลงทุนชัดเจน หากผู้บริหารกองทุนมีความสามารถเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นและมีเงินปันผลดี หน่วยลงทุนนั้นก็จะมีราคาสูงกว่าตอนซื้อครั้งแรก
    .
    (2) กองทุนเปิด ไม่กำหนดระยะเวลาไถ่ถอนที่แน่นอน หากผู้ซื้อหน่วยลงทุนต้องการถอนการลงทุนเมื่อใดก็สามารถขายคืนให้บริษัทผู้จัดการกองทุนได้ โดยจะคำนวนราคาซื้อคืนตามมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนในขณะนั้น ทางการกำหนดให้บริษัทผู้จัดการกองทุนรายงานตัวเลขแสดงสินทรัพย์สุทธิของกองทุนที่เรียกว่า NAV ( Net Asset Value ) เป็นประจำทุกเดือน เพื่อรายงานว่ามูลค่าสุทธิของแต่ละหน่วยลงทุนนั้นมัมูลค่าเท่าใด เพื่อเป็นข้อมูลเปรียบเทียบกับกองทุนอื่นๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ถือหุ้นกองทุนรวมกองหนึ่งกองใด สามารถตัดสินใจได้ว่าจะขายหรือถือไว้ต่อไป
    .
    4.ซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่เรียกว่า กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF ( Retirement Mutual Fund ) เป็นกองทุนรวมชนิดพิเศษ เพื่อส่งเสริมการออมเพื่อวัยเกษียณ เงินที่ซื้อกองทุนนี้สามารถใช้เป็นค่าลดหย่อนของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยไม่เกินร้อยละ 15 ของรายได้ทั้งปี แต่ต้องไม่เกิน 300,000 บาท ผู้ซื้อต้องซื้อติดต่อจนถึงอายุ 55 ปี หรือซื้อต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปี ในกรณีที่มีอายุ 55 ปี ขึ่นไปจึงจะสามารถถอนเงินที่ซื้อกองทุนรวมไว้ทั้งหมดออกไปได้โดยไม่เสียภาษี
    .
    5.ซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนที่เรียกว่า LTF ( Long Term Equity Fund ) หรือกองทุนหุ้นระยะยาว ซึ่งเป็นกองทุนรวมชนิดพิเศษอีกกองทุนหนึ่ง เพื่อส่งเสริมการลงทุนตลาดหุ้นระยะยาว มีเงื่อนไขคล้ายกับ RMF กล่าวคือ ซื้อได้ไม่เกินร้อยละ 15 ของรายได้ทั้งปี แต่ไม่เกิน 300,000 บาท เงินที่ซื้อกองทุนสามารถนำไปหักเป็นค่าลดหย่อนของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผู้ลงทุนต้องซื้อติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี จึงจะสามารถถอนเงินที่ซื้อกองทุนรวมนี้ไว้ทั้งหมดออกไปได้โดยไม่เสียภาษี
    .
    ผู้มีรายได้สามารถใช้สิทธิทางภาษีในการลดหย่อนภาษีของทั้ง RMF และ LMF กล่าวคือ ลดหย่อนได้สูงสุดด้วยการซื้อกองทุน RMF และ LMF อย่างละร้อยละ 15 ของรายได้ทั้งปี โดยไม่เกินกองทุนละ 300,000 บาท รวมแล้วเป็นค่าลดหย่อนสูงสุด 600,000 บาทต่อปี
    .
    อนึ่ง ยอดเงินลดหย่อนสูงสุด 300,000 บาท ของ RMF ต้องรวมเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ลูกจ้างและนายจ้างจ่ายรวมกันในแต่ละปีด้วย ผู้ซื้อกองทุน RMF สามารถเลือกกองทุนรวมประเภทซื้อหุ้นอย่างเดียว (เสี่ยงที่สุด) หรือซื้อตราสารหนี้อย่างเดียว (เสี่ยงน้อยที่สุด) หรือซื้อปนกันทั้งหั้นและตราสารหนี้ (ความเสี่ยงอยู่ระหว่างสองประเภทกองทุนข้างต้น) ก็ได้
    .
    LTF โดยทั่วไปมีความเสี่ยงสูงกว่า RMF (ยกเว้นกองทุนที่ซื้อหุ้นอย่างเดียว) เนื่องจากเป็นกองทุนที่ซื้อหุ้นอย่างเดียว การลงทุนใน RMF และ LTF น่าสนใจเพราะเงินที่ซื้อกองทุนเป็นค่าลดหย่อนภาษี และยอดเงินนี้ก็เป็นการลงทุนอย่างหนึ่งที่ผู้รู้ช่วยเลือกลงทุนให้ นอกจากนี้เมื่อครบกำหนด ก็ยังสามารถถอนออกมาได้โดยไม่เสียภาษีอีกด้วย
    .
    6.ซื้อหุ้นโดยตรง ซึงหมายถึงการเข้าร่วมลงทุนหรือร่วมเป็นเจ้าของบริษัทนั้นๆ หากบริษัทประสบผลสำเร็จก็ได้ส่วนแบ่งกำไรในรูปของเงินปันผล และมีโอกาสได้ส่วนต่างของราคาหุ้น ทั้งจากหุ้นที่ซื้อไปและหุ้นออกใหม่ที่ขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในราคาต่ำกว่าตลาด
    .
    7.ซื้อที่อยู่อาศัยไว้สำหรับเช่า ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโด อพาร์ตเมนต์ หรือหอพักที่ตั้งอยู่ในทำเลดี มีผู้เช่าแน่นอน โดยใช้เงินออมเป็นเงินดาวน์ และใช้ค่าเช่าและบางส่วนของรายได้ประจำเป็นเงินผ่อนชำระเงินกู้นั้น การให้เช่าข้ามช่วงเวลาที่ยาวจนครบกำหนดเวลากู้ ก็จะได้อสังหาริมทรัพย์มาเป็นสมบัติของครอบครัว ในอนาคตลูกก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากค่าเช่าและมูลค่าของที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นได้
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 9 ทางเลือกในการลงทุนและความเสี่ยง (2) . 1.ฝากเงินกับธนาคาร มีความเสี่ยงน้อยที่สุด 2.ซื้อตราสารหนี้ ซางหมายถึงสัญญาที่ออกโดยกิจการหนึ่งเพื่อกู้เงินจากผู้อื่น ถ้ารัฐบาลเป็นผู้กู้ ตราสารหรือสัญญานี้เรียกว่าตั๋วเงินคลัง หรือพันธบัตรรัฐบาล แต่ถ้าเป็นเอกชน จะเรียกว่าตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน หรือหุ้นกู้ การลงทุนซื้อตราสารหนี้มีความเสี่ยงต่ำกว่า โดยเปรียบเทียบ เพราะผลตอบแทนอยู่ในรูปของดอกเบี้ยที่จ่ายให้เงินกู้ซึ่งแตกต่างจากผลตอบแทนในรูปเงินปันผลจากหุ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการประกอบการ . 3.ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวม หมายถึงการร่วมทุนกับนักลงทุนรายย่อยอื่นๆ เพื่อลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และ/หรือ ตลาดตราสารหนี้ โดยมีบริษัทจัดการกองทุนตามกฏหมายเป็นผู้รับผิดชอบเป็นการเฉพาะ เนื่องจากมีความรอบรู้เป็นพิเศษในเรื่องการลงทุนในหลักทรัพย์เหล่านี้ . กองทุนแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ (1) กองทุนปิด ซึ่งมีมูลค่ากองทุน (เงินลงทุนร่วมกันครั้งแรก) แน่นอน มีอายุเวลาไถ่ถอนเมื่อครบกำหนดเวลาลงทุนชัดเจน หากผู้บริหารกองทุนมีความสามารถเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นและมีเงินปันผลดี หน่วยลงทุนนั้นก็จะมีราคาสูงกว่าตอนซื้อครั้งแรก . (2) กองทุนเปิด ไม่กำหนดระยะเวลาไถ่ถอนที่แน่นอน หากผู้ซื้อหน่วยลงทุนต้องการถอนการลงทุนเมื่อใดก็สามารถขายคืนให้บริษัทผู้จัดการกองทุนได้ โดยจะคำนวนราคาซื้อคืนตามมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนในขณะนั้น ทางการกำหนดให้บริษัทผู้จัดการกองทุนรายงานตัวเลขแสดงสินทรัพย์สุทธิของกองทุนที่เรียกว่า NAV ( Net Asset Value ) เป็นประจำทุกเดือน เพื่อรายงานว่ามูลค่าสุทธิของแต่ละหน่วยลงทุนนั้นมัมูลค่าเท่าใด เพื่อเป็นข้อมูลเปรียบเทียบกับกองทุนอื่นๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ถือหุ้นกองทุนรวมกองหนึ่งกองใด สามารถตัดสินใจได้ว่าจะขายหรือถือไว้ต่อไป . 4.ซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่เรียกว่า กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF ( Retirement Mutual Fund ) เป็นกองทุนรวมชนิดพิเศษ เพื่อส่งเสริมการออมเพื่อวัยเกษียณ เงินที่ซื้อกองทุนนี้สามารถใช้เป็นค่าลดหย่อนของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยไม่เกินร้อยละ 15 ของรายได้ทั้งปี แต่ต้องไม่เกิน 300,000 บาท ผู้ซื้อต้องซื้อติดต่อจนถึงอายุ 55 ปี หรือซื้อต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปี ในกรณีที่มีอายุ 55 ปี ขึ่นไปจึงจะสามารถถอนเงินที่ซื้อกองทุนรวมไว้ทั้งหมดออกไปได้โดยไม่เสียภาษี . 5.ซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนที่เรียกว่า LTF ( Long Term Equity Fund ) หรือกองทุนหุ้นระยะยาว ซึ่งเป็นกองทุนรวมชนิดพิเศษอีกกองทุนหนึ่ง เพื่อส่งเสริมการลงทุนตลาดหุ้นระยะยาว มีเงื่อนไขคล้ายกับ RMF กล่าวคือ ซื้อได้ไม่เกินร้อยละ 15 ของรายได้ทั้งปี แต่ไม่เกิน 300,000 บาท เงินที่ซื้อกองทุนสามารถนำไปหักเป็นค่าลดหย่อนของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผู้ลงทุนต้องซื้อติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี จึงจะสามารถถอนเงินที่ซื้อกองทุนรวมนี้ไว้ทั้งหมดออกไปได้โดยไม่เสียภาษี . ผู้มีรายได้สามารถใช้สิทธิทางภาษีในการลดหย่อนภาษีของทั้ง RMF และ LMF กล่าวคือ ลดหย่อนได้สูงสุดด้วยการซื้อกองทุน RMF และ LMF อย่างละร้อยละ 15 ของรายได้ทั้งปี โดยไม่เกินกองทุนละ 300,000 บาท รวมแล้วเป็นค่าลดหย่อนสูงสุด 600,000 บาทต่อปี . อนึ่ง ยอดเงินลดหย่อนสูงสุด 300,000 บาท ของ RMF ต้องรวมเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ลูกจ้างและนายจ้างจ่ายรวมกันในแต่ละปีด้วย ผู้ซื้อกองทุน RMF สามารถเลือกกองทุนรวมประเภทซื้อหุ้นอย่างเดียว (เสี่ยงที่สุด) หรือซื้อตราสารหนี้อย่างเดียว (เสี่ยงน้อยที่สุด) หรือซื้อปนกันทั้งหั้นและตราสารหนี้ (ความเสี่ยงอยู่ระหว่างสองประเภทกองทุนข้างต้น) ก็ได้ . LTF โดยทั่วไปมีความเสี่ยงสูงกว่า RMF (ยกเว้นกองทุนที่ซื้อหุ้นอย่างเดียว) เนื่องจากเป็นกองทุนที่ซื้อหุ้นอย่างเดียว การลงทุนใน RMF และ LTF น่าสนใจเพราะเงินที่ซื้อกองทุนเป็นค่าลดหย่อนภาษี และยอดเงินนี้ก็เป็นการลงทุนอย่างหนึ่งที่ผู้รู้ช่วยเลือกลงทุนให้ นอกจากนี้เมื่อครบกำหนด ก็ยังสามารถถอนออกมาได้โดยไม่เสียภาษีอีกด้วย . 6.ซื้อหุ้นโดยตรง ซึงหมายถึงการเข้าร่วมลงทุนหรือร่วมเป็นเจ้าของบริษัทนั้นๆ หากบริษัทประสบผลสำเร็จก็ได้ส่วนแบ่งกำไรในรูปของเงินปันผล และมีโอกาสได้ส่วนต่างของราคาหุ้น ทั้งจากหุ้นที่ซื้อไปและหุ้นออกใหม่ที่ขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในราคาต่ำกว่าตลาด . 7.ซื้อที่อยู่อาศัยไว้สำหรับเช่า ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโด อพาร์ตเมนต์ หรือหอพักที่ตั้งอยู่ในทำเลดี มีผู้เช่าแน่นอน โดยใช้เงินออมเป็นเงินดาวน์ และใช้ค่าเช่าและบางส่วนของรายได้ประจำเป็นเงินผ่อนชำระเงินกู้นั้น การให้เช่าข้ามช่วงเวลาที่ยาวจนครบกำหนดเวลากู้ ก็จะได้อสังหาริมทรัพย์มาเป็นสมบัติของครอบครัว ในอนาคตลูกก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากค่าเช่าและมูลค่าของที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 483 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจาก Argonne National Laboratory ได้พัฒนา PRO-AID ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ช่วยตรวจสอบและบริหารจัดการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ✅ PRO-AID: ระบบ AI สำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
    - ใช้ AI ในการตรวจสอบสถานะของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเรียลไทม์
    - สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและแจ้งเตือนปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
    - ช่วยให้โรงไฟฟ้าสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานได้

    ✅ การนำ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมนิวเคลียร์
    - PRO-AID สามารถช่วยออกแบบและปรับปรุงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งใหม่และเก่า
    - ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางคณิตศาสตร์เพื่อให้เห็นภาพรวมของการทำงานของโรงไฟฟ้า

    ✅ ผลกระทบต่อบุคลากรในอุตสาหกรรม
    - ระบบสามารถช่วยลดภาระงานของพนักงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ต้องตรวจสอบข้อมูลจำนวนมาก
    - อาจช่วยลดความจำเป็นในการจ้างงานใหม่เมื่อพนักงานเกษียณ

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ความเสี่ยงของการใช้ AI ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
    - แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลอย่างเข้มงวด
    - อาจเกิดข้อผิดพลาดหากระบบ AI ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

    ℹ️ ผลกระทบต่อแรงงานในอุตสาหกรรม
    - การนำ AI มาใช้แทนพนักงานบางตำแหน่ง อาจส่งผลต่อการจ้างงานในอนาคต
    - ต้องมีการวางแผนเพื่อให้พนักงานสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่

    ℹ️ แนวโน้มการพัฒนา AI ในอุตสาหกรรมพลังงาน
    - อาจมีการนำ AI มาใช้ในโรงไฟฟ้าประเภทอื่น เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
    - เทคโนโลยี AI อาจช่วยให้การบริหารจัดการพลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/government-funded-ai-tool-developed-to-help-monitor-and-manage-nuclear-reactors
    นักวิจัยจาก Argonne National Laboratory ได้พัฒนา PRO-AID ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ช่วยตรวจสอบและบริหารจัดการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ PRO-AID: ระบบ AI สำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ - ใช้ AI ในการตรวจสอบสถานะของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเรียลไทม์ - สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและแจ้งเตือนปัญหาที่อาจเกิดขึ้น - ช่วยให้โรงไฟฟ้าสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานได้ ✅ การนำ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ - PRO-AID สามารถช่วยออกแบบและปรับปรุงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งใหม่และเก่า - ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางคณิตศาสตร์เพื่อให้เห็นภาพรวมของการทำงานของโรงไฟฟ้า ✅ ผลกระทบต่อบุคลากรในอุตสาหกรรม - ระบบสามารถช่วยลดภาระงานของพนักงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ต้องตรวจสอบข้อมูลจำนวนมาก - อาจช่วยลดความจำเป็นในการจ้างงานใหม่เมื่อพนักงานเกษียณ ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ความเสี่ยงของการใช้ AI ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ - แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลอย่างเข้มงวด - อาจเกิดข้อผิดพลาดหากระบบ AI ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ℹ️ ผลกระทบต่อแรงงานในอุตสาหกรรม - การนำ AI มาใช้แทนพนักงานบางตำแหน่ง อาจส่งผลต่อการจ้างงานในอนาคต - ต้องมีการวางแผนเพื่อให้พนักงานสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ℹ️ แนวโน้มการพัฒนา AI ในอุตสาหกรรมพลังงาน - อาจมีการนำ AI มาใช้ในโรงไฟฟ้าประเภทอื่น เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน - เทคโนโลยี AI อาจช่วยให้การบริหารจัดการพลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/government-funded-ai-tool-developed-to-help-monitor-and-manage-nuclear-reactors
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันสงกรานต์แต่ถึงเขามาเปลี่ยนผมตามที่เขาต้องการ ผมได้แค่ทนฟังและช่างมัน เดินทางส่วนตัวสบายใจกว่าเยอะ ใครจะด่าอะไรก็ช่างเขา เขาอยากไล่ผมผมก็พร้อมไป แต่ขอตั้งรกรากที่บางแสนดีกว่า บางทีถ้าได้รับราชการจริงๆแต่ไม่ต้องรอเกษียณ ทำไป 5-10 ปี ลาออก ไม่รับบำนาญ แต่บำนาญเราหาเองได้ เพราะตอนจัดสรรบำนาญก็ไม่แฟร์กับคนเกษียณ แต่ชีวิตที่เหลือของผมไม่มีวันเกษียณไปจากวงการนักพัฒนาเกมส์ครับ
    วันสงกรานต์แต่ถึงเขามาเปลี่ยนผมตามที่เขาต้องการ ผมได้แค่ทนฟังและช่างมัน เดินทางส่วนตัวสบายใจกว่าเยอะ ใครจะด่าอะไรก็ช่างเขา เขาอยากไล่ผมผมก็พร้อมไป แต่ขอตั้งรกรากที่บางแสนดีกว่า บางทีถ้าได้รับราชการจริงๆแต่ไม่ต้องรอเกษียณ ทำไป 5-10 ปี ลาออก ไม่รับบำนาญ แต่บำนาญเราหาเองได้ เพราะตอนจัดสรรบำนาญก็ไม่แฟร์กับคนเกษียณ แต่ชีวิตที่เหลือของผมไม่มีวันเกษียณไปจากวงการนักพัฒนาเกมส์ครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจเมืองปากน้ำโพขอศาลออกหมายจับล่าแล้ว.. “ต้นกล้า” แก๊งเก๋งแดง-กระบะ ซิ่งแข่งท้านรกชน “ครูแม็ก” ครูเกษียณอายุ 82 ร่างขาดเสียชีวิตขณะยืนรอใส่บาตรหน้าบ้าน เผย ตร.พบยาเสพติดในรถด้วย ส่วนคู่หูถูกส่งฝากขัง-ค้านประกันด้วย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000035099

    #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ตำรวจเมืองปากน้ำโพขอศาลออกหมายจับล่าแล้ว.. “ต้นกล้า” แก๊งเก๋งแดง-กระบะ ซิ่งแข่งท้านรกชน “ครูแม็ก” ครูเกษียณอายุ 82 ร่างขาดเสียชีวิตขณะยืนรอใส่บาตรหน้าบ้าน เผย ตร.พบยาเสพติดในรถด้วย ส่วนคู่หูถูกส่งฝากขัง-ค้านประกันด้วย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000035099 #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 810 มุมมอง 0 รีวิว
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 4 คนบริสุทธิ์ด้วยการงาน
    .
    งานไม่เคยทำร้ายหรือฆ่าใคร ยิ่งทำงานหลากหลายลักษณะที่ท้าทายความสามารถ รวมทั้งยิ่งทำงานหนัก ที่ก่อให้เกิดประโยชน์เพียงใด ก็ยิ่งทำให้บุคคลนั้นมีประสบการณ์และมีศักยภาพที่สูงขึ้นเพียงนั้น ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญอย่างหนึ่งนอกเหนือจากการมีความรู้ความสามารถในงานเป็นอย่างดี พร้อมทั้งใส่ใจหาความรู้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็คือ การมีเป้าหมายในชีวิต มีความบากบั่นมานะ พยายามให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ชัดเจนอย่างเด็ดเดี่ยวและมีคุณธรรม ซึ่งการมีวินัยบังคับตนเองเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งในการเดินทางสู่ความสำเร็จ
    .
    ชีวิตการทำงานของมนุษย์นั้นไม่ยาวนานนัก สูงสุดไม่เกิน 30ปีเศษ ก็ถึงวัยเกษียณ หากตลอดอายุการทำงานนั้นมิได้มีการวางแผนด้านรายได้และการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ และรัดกุมแล้ว เงินทองที่หามาได้ก็จะหมดไปอย่างไม่มีความหมายนัก กล่าวคือ มีความสุขสบายในช่วงวัยทำงาน แต่เมื่อพ้นช่วงเวลานี้ไปแล้ว ก็ขาดรายได้ที่จะทำให้สามารถรักษาระดับความสุขและสะดวกสบายไว้ดังเดิมได้ ลักษณะเช่นนี้เรียกได้ว่า มีความสุขเพียงครึ่งเดียวของช่วงเวลา นั่นคือ สุขในวัยทำงานและทุกข์ในวัยพ้นทำงาน คำถามสำคัญก็คือ ทำอย่างไรบุคคลหนึ่งที่ทำงานมาตลอดชีวิต จะมีความสุขอันเกิดจากความมั่นคงทางการเงินไปตลอด มีมาตราฐานการครองชีพในระดับที่น่าพอใจอย่างคงที่ แม้จะพ้นจากวัยทำงานแล้วก็ตาม
    .
    การบรรลุคุณภาพชีวิตที่น่าพึงปรารถนาดังกล่าว เจ้าของรายได้ต้องเป็นผู้รับผิดชอบเองในเบื้องแรก ไม่อาจหวังพึ่งภาครัฐ หรือนายจ้าง เพราะไม่อาจวางใจได้ว่าตนเองจะได้รับความมั่นคงในชีวิตสมดังใจหวังได้ เจ้าของรายได้จะต้องเป็นที่พึ่งของตนเองด้วยการวางแผน การหารายได้ การใช้จ่าย และการออม เพราะการออมจะนำไปสู่การลงทุน และการเกิดของรายได้ทั้งในวัยทำงานและวันพ้นทำงานโดยไม่ต้องออกแรงทำงาน
    .
    เงินออม เป็นฐานสำคัญของการเป็นมิตรของเงิน และเงินออมของบุคคลจะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะมีสิ่งที่เรียกว่า ความมัธยัสถ์ ซึ่งหมายถึง การใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวัง ไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่ใช้จ่ายอย่างโง่เขลาเบาปัญญา ในสิ่งที่ไม่ควรจ่าย เช่น เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ ตามแฟชั่น ทั้งๆที่ไม่จำเป็น
    .
    เงินออมของบุคคลใดๆ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรายจ่ายต่ำกว่ารายได้ และรายจ่ายจะต่ำกว่ารายได้ก็ต่อเมื่อมีความมัธยัสถ์เป็นอุปนิสัย การมัธยัสถ์มิใช่การเอาเปรียบหรือเห็นแก่ตัว หากเป็นแบบแผนหนึ่งของการดำรงชีวิตซึ่งใครก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ การที่บางคนชอบใช้เงินสิ้นเปลืองสุรุ่ยสุร่าย ซื้อของต่างๆโดยมิได้คำนึงถึงประโยชน์ของการใช้สอย ก็เป็นแบบแผนหนึ่งของการดำรงชีพ คนมัธยัสถ์ที่ใจกว้างรู้จักการให้อย่างมีความหมาย อาจมีจำนวนมากกว่าคนสุรุ่ยสุร่ายที่ใจแคบและไม่รู้จักการให้ก็เป็นได้
    .
    พฤติกรรมโดยรวมของบุคคลที่จะทำให้เงินเป็นมิตร ก็คือ “กินอยู่ต่ำกว่าฐานะ” หรือดังคำโบราณที่ว่า “จงมีเกินใช้ แต่อย่าใช้เกินมี” กล่าวคือ ไม่ว่าจะสามารถอยู่กินในระดับที่คนมีรายได้ขนาดเดียวกันอยู่กินได้อย่างไร ก็จงอยู่กินต่ำกว่าระดับนั้นเสมอ พฤติกรรมเช่นนี้จะทำให้มีเงินออม และมีโอกาสให้ “เงินทำงานรับใช้”
    .
    สำหรับความเป็นศัตรูของเงินนั้น หมายถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่เจ้าของเงิน อันเนื่องมาจากพฤติกรรมการใช้จ่าย ปรากฏการณ์ดังกล่าวมีข้อสังเกตหลายประการดังต่อไปนี้
    .
    ประการแรก : คือความปรารถนาที่จะบริโภคอย่างทันด่วนของผู้บริโภคโดยทั่วไป เป็นพฤติกรรมที่ทำให้ยินดีกู้ยืมจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูง เพียงเพื่อให้ได้สิ่งของที่ต้องใจ
    ประการที่สอง : การกู้ยืมเกิดขึ้นเพราะ ไม่มีเงินสดเพียงพอที่จะจับจ่าย ณ เวลานั้น จึงต้องกู้ยืม ซึ่งก็คือการนำรายได้ในอนาคตของตนมาใช้โดยต้องจ่ายต้นทุนสูง ต้นเหตุของการกู้ยืมส่วนใหญ่ก็มาจากรายจ่ายสูงกว่ารายได้ และเมือนั้นเงินก็กลายเป็นศัตรูตัวร้าย เพราะดอกเบี้ยจะทำงานตลอดเวลา และคอยทิ่มแทงเจ้าของไม่ว่าในยามหลับหรือตื่น
    .
    ต้นทุนของการกู้ยืมนั้นสูง ตัวอย่างเช่น กู้เงิน 100,000 บาท จ่ายดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 9 ต่อปี ถ้ากู้เงินโดยไม่ชำระอย่างใดทั้งสิ้น ภายในเวลา 8 ปี ยอดเงินต้นและดอกเบี้ยรวมกัน จะเพิ่มอีกประมาณหนึ่งเท่าตัวเป็น 200,000 บาท และหากยังไม่ชำระอีก ในเวลา 8 ปีต่อมา ยอดเงินนี้ก็จะสูงขึ้นอีกเป็น 400,000 บาท หรือประมาณ 4 เท่าตัว ของเงินต้นในเวลา 16 ปี
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 4 คนบริสุทธิ์ด้วยการงาน . งานไม่เคยทำร้ายหรือฆ่าใคร ยิ่งทำงานหลากหลายลักษณะที่ท้าทายความสามารถ รวมทั้งยิ่งทำงานหนัก ที่ก่อให้เกิดประโยชน์เพียงใด ก็ยิ่งทำให้บุคคลนั้นมีประสบการณ์และมีศักยภาพที่สูงขึ้นเพียงนั้น ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญอย่างหนึ่งนอกเหนือจากการมีความรู้ความสามารถในงานเป็นอย่างดี พร้อมทั้งใส่ใจหาความรู้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็คือ การมีเป้าหมายในชีวิต มีความบากบั่นมานะ พยายามให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ชัดเจนอย่างเด็ดเดี่ยวและมีคุณธรรม ซึ่งการมีวินัยบังคับตนเองเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งในการเดินทางสู่ความสำเร็จ . ชีวิตการทำงานของมนุษย์นั้นไม่ยาวนานนัก สูงสุดไม่เกิน 30ปีเศษ ก็ถึงวัยเกษียณ หากตลอดอายุการทำงานนั้นมิได้มีการวางแผนด้านรายได้และการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ และรัดกุมแล้ว เงินทองที่หามาได้ก็จะหมดไปอย่างไม่มีความหมายนัก กล่าวคือ มีความสุขสบายในช่วงวัยทำงาน แต่เมื่อพ้นช่วงเวลานี้ไปแล้ว ก็ขาดรายได้ที่จะทำให้สามารถรักษาระดับความสุขและสะดวกสบายไว้ดังเดิมได้ ลักษณะเช่นนี้เรียกได้ว่า มีความสุขเพียงครึ่งเดียวของช่วงเวลา นั่นคือ สุขในวัยทำงานและทุกข์ในวัยพ้นทำงาน คำถามสำคัญก็คือ ทำอย่างไรบุคคลหนึ่งที่ทำงานมาตลอดชีวิต จะมีความสุขอันเกิดจากความมั่นคงทางการเงินไปตลอด มีมาตราฐานการครองชีพในระดับที่น่าพอใจอย่างคงที่ แม้จะพ้นจากวัยทำงานแล้วก็ตาม . การบรรลุคุณภาพชีวิตที่น่าพึงปรารถนาดังกล่าว เจ้าของรายได้ต้องเป็นผู้รับผิดชอบเองในเบื้องแรก ไม่อาจหวังพึ่งภาครัฐ หรือนายจ้าง เพราะไม่อาจวางใจได้ว่าตนเองจะได้รับความมั่นคงในชีวิตสมดังใจหวังได้ เจ้าของรายได้จะต้องเป็นที่พึ่งของตนเองด้วยการวางแผน การหารายได้ การใช้จ่าย และการออม เพราะการออมจะนำไปสู่การลงทุน และการเกิดของรายได้ทั้งในวัยทำงานและวันพ้นทำงานโดยไม่ต้องออกแรงทำงาน . เงินออม เป็นฐานสำคัญของการเป็นมิตรของเงิน และเงินออมของบุคคลจะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะมีสิ่งที่เรียกว่า ความมัธยัสถ์ ซึ่งหมายถึง การใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวัง ไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่ใช้จ่ายอย่างโง่เขลาเบาปัญญา ในสิ่งที่ไม่ควรจ่าย เช่น เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ ตามแฟชั่น ทั้งๆที่ไม่จำเป็น . เงินออมของบุคคลใดๆ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรายจ่ายต่ำกว่ารายได้ และรายจ่ายจะต่ำกว่ารายได้ก็ต่อเมื่อมีความมัธยัสถ์เป็นอุปนิสัย การมัธยัสถ์มิใช่การเอาเปรียบหรือเห็นแก่ตัว หากเป็นแบบแผนหนึ่งของการดำรงชีวิตซึ่งใครก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ การที่บางคนชอบใช้เงินสิ้นเปลืองสุรุ่ยสุร่าย ซื้อของต่างๆโดยมิได้คำนึงถึงประโยชน์ของการใช้สอย ก็เป็นแบบแผนหนึ่งของการดำรงชีพ คนมัธยัสถ์ที่ใจกว้างรู้จักการให้อย่างมีความหมาย อาจมีจำนวนมากกว่าคนสุรุ่ยสุร่ายที่ใจแคบและไม่รู้จักการให้ก็เป็นได้ . พฤติกรรมโดยรวมของบุคคลที่จะทำให้เงินเป็นมิตร ก็คือ “กินอยู่ต่ำกว่าฐานะ” หรือดังคำโบราณที่ว่า “จงมีเกินใช้ แต่อย่าใช้เกินมี” กล่าวคือ ไม่ว่าจะสามารถอยู่กินในระดับที่คนมีรายได้ขนาดเดียวกันอยู่กินได้อย่างไร ก็จงอยู่กินต่ำกว่าระดับนั้นเสมอ พฤติกรรมเช่นนี้จะทำให้มีเงินออม และมีโอกาสให้ “เงินทำงานรับใช้” . สำหรับความเป็นศัตรูของเงินนั้น หมายถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่เจ้าของเงิน อันเนื่องมาจากพฤติกรรมการใช้จ่าย ปรากฏการณ์ดังกล่าวมีข้อสังเกตหลายประการดังต่อไปนี้ . ประการแรก : คือความปรารถนาที่จะบริโภคอย่างทันด่วนของผู้บริโภคโดยทั่วไป เป็นพฤติกรรมที่ทำให้ยินดีกู้ยืมจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูง เพียงเพื่อให้ได้สิ่งของที่ต้องใจ ประการที่สอง : การกู้ยืมเกิดขึ้นเพราะ ไม่มีเงินสดเพียงพอที่จะจับจ่าย ณ เวลานั้น จึงต้องกู้ยืม ซึ่งก็คือการนำรายได้ในอนาคตของตนมาใช้โดยต้องจ่ายต้นทุนสูง ต้นเหตุของการกู้ยืมส่วนใหญ่ก็มาจากรายจ่ายสูงกว่ารายได้ และเมือนั้นเงินก็กลายเป็นศัตรูตัวร้าย เพราะดอกเบี้ยจะทำงานตลอดเวลา และคอยทิ่มแทงเจ้าของไม่ว่าในยามหลับหรือตื่น . ต้นทุนของการกู้ยืมนั้นสูง ตัวอย่างเช่น กู้เงิน 100,000 บาท จ่ายดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 9 ต่อปี ถ้ากู้เงินโดยไม่ชำระอย่างใดทั้งสิ้น ภายในเวลา 8 ปี ยอดเงินต้นและดอกเบี้ยรวมกัน จะเพิ่มอีกประมาณหนึ่งเท่าตัวเป็น 200,000 บาท และหากยังไม่ชำระอีก ในเวลา 8 ปีต่อมา ยอดเงินนี้ก็จะสูงขึ้นอีกเป็น 400,000 บาท หรือประมาณ 4 เท่าตัว ของเงินต้นในเวลา 16 ปี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 340 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปรับพอร์ตเกษียณอย่างไรเพื่อรับมือเศรษฐกิจโลกถดถอย ?
    ปรับพอร์ตเกษียณอย่างไรเพื่อรับมือเศรษฐกิจโลกถดถอย ?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 1 รีวิว
  • 120 ปี สิ้น “ฮัปมาสเตน” กัปตันบุช จากนายทหารเรือรบอังกฤษ สู่พลเรือเอกพระยาวิสูตรสาครดิฐ ข้าราชการต้นแบบแห่งสยาม

    📌 จากนายทหารเรือชาวอังกฤษผู้บังคับการเรือรบ สู่ข้าราชการไทยผู้จงรักภักดี "กัปตันจอห์น บุช" หรือ พลเรือเอก พระยาวิสูตรสาครดิฐ มีบทบาทสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์สยาม ทั้งในราชสำนักและกิจการท่าเรือ ครบร 120 ปี แห่งการจากไป ย้อนรอยชีวิตของ “กัปตันบุช” ที่กลายเป็นตำนานแห่งเจริญกรุง

    🧭 เมื่อกัปตันฝรั่ง กลายเป็นข้าราชการไทย หากเอ่ยถึง “ตรอกกัปตันบุช” หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า ชื่อซอยเล็ก ๆ นี้ แท้จริงแล้วตั้งขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ แด่ชายชาวอังกฤษคนหนึ่ง ที่อุทิศชีวิตกว่า 40 ปี ให้กับราชสำนักไทย และราชการกรมเจ้าท่า "พลเรือเอก พระยาวิสูตรสาครดิฐ" หรือที่รู้จักกันในนาม "กัปตันบุช" (Captain John Bush) หรือ “ฮัปมาสเตน” ในเสียงคนไทยสมัยก่อน 🕊️

    ⚓ กัปตัน จอห์น บุช (John Bush) คือทหารเรือชาวอังกฤษ ที่เข้ารับราชการในราชสำนักไทย ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เริ่มต้นจากการเป็นกัปตันเรือรบอังกฤษ ที่เทียบท่าในกรุงเทพฯ ก่อนจะได้รับการชักชวนจาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ให้มาเป็นข้าราชการกรมเจ้าท่า

    ต่อมาได้รับตำแหน่ง "ฮัปมาสเตน" (Harbour Master) หรือนายท่าเรือ ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญ ในยุคที่สยามเปิดประเทศตามสนธิสัญญาเบาว์ริง (Bowring Treaty) ปี พ.ศ. 2398 โดยมีภารกิจจัดระเบียบเรือพาณิชย์ต่างชาติ ที่หลั่งไหลเข้าสยาม

    กัปตันบุชมีชื่อเสียงอย่างมากในยุคนั้น และในที่สุด ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระยาวิสูตรสาครดิฐ" พร้อมยศ "พลเรือเอก" ถือเป็นชาวต่างชาติไม่กี่คน ที่ได้รับเกียรติสูงเช่นนี้จากสยาม

    🇹🇭 กัปตันฝรั่งผู้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดของกัปตันบุช คือการทำหน้าที่ บังคับการเรือพระที่นั่ง ในการเสด็จประพาสของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 🌍 อาทิ เสด็จสิงคโปร์และอินเดีย พ.ศ. 2413–2414 🚢 เสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่หว้ากอ และเสด็จพระราชดำเนินไปพระราชวังบางปะอิน

    📜 เรื่องราวเหล่านี้ ไม่เพียงสะท้อนความไว้วางพระราชหฤทัย ที่ทั้งสองพระองค์มีต่อกัปตันบุช แต่ยังแสดงถึงการบุกเบิกยุคใหม่ของการเดินเรือ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในยุคนั้น

    🚢 อู่เรือบางกอกด็อค Bangkok Dock จุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมเดินเรือไทย นอกจากบทบาทราชการแล้ว กัปตันบุชยังเป็นนักธุรกิจผู้มีวิสัยทัศน์ โดยในปี พ.ศ. 2408 ได้ก่อตั้ง อู่เรือบางกอกด็อค (Bangkok Dock) ขึ้น ซึ่งกลายเป็นอู่ซ่อมเรือที่ใหญ่ และทันสมัยที่สุดในกรุงเทพฯ ยุคนั้น

    อู่แห่งนี้สามารถรองรับการซ่อมเรือ จากทั้งงานหลวงและเอกชน ไม่ต้องส่งเรือไปซ่อมถึงสิงคโปร์อีกต่อไป! 🤝💼

    ✨ “กัปตันบุชคือผู้วางรากฐาน ด้านพาณิชย์นาวีของไทยในยุคใหม่” คำกล่าวจากพิธีเปิดอนุสาวรีย์ที่กรมเจ้าท่า

    📚 ตำนานฮัปมาสเตน และการอ่านชื่อแบบไทย กัปตันบุชได้รับสมญานามว่า “ฮัปมาสเตน” จากคำว่า Harbour Master ที่คนไทยเรียกเพี้ยนตามสำเนียงโบราณ เช่นเดียวกับชื่อ “กัปตันบุด” ที่คนไทยใช้เรียกแทน “Captain Bush” ซึ่งสะท้อนถึงความกลมกลืนในวัฒนธรรมไทย 🎭

    💬 “กับตันบุด” คำนี้ติดปากชาวบ้านจนปัจจุบัน แม้จะไม่มีใครรู้ว่าเป็นใครโดยละเอียด

    🕯️ จุดเปลี่ยนชีวิต...จากวีรบุรุษสู่บทเรียนราคาแพง ถึงแม้กัปตันบุชจะมีบทบาทสำคัญยิ่งในราชสำนัก แต่ก็ประสบกับเหตุการณ์ที่ทำให้บทบาทลดลง นั่นคือเหตุการณ์ เรือพระที่นั่งเวสาตรี เกยหินที่ปากแม่น้ำกลัง พ.ศ. 2433

    เหตุการณ์นี้ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงไม่โปรด ให้กัปตันบุชบังคับเรืออีกต่อไป แม้กัปตันบุชจะเขียนรายงานชี้แจงว่า ไม่ใช่ความผิดของตนก็ตาม 📄

    แม้จะกลายเป็นความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้ลบล้างคุณูปการอันใหญ่หลวงในอดีต 🙏

    🏠 ชีวิตช่วงบั้นปลาย การจากไปในสยาม หลังเกษียณ กัปตันบุชใช้ชีวิตอย่างสงบ ที่บ้านริมทะเลในอ่างศิลา จังหวัดชลบุรีต้อนรับนักเรียนและแขกต่างชาติอย่างอบอุ่น จนกลายเป็นที่รักของชาวบ้านท้องถิ่น 🏖️

    📅 กัปตันบุชเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2448 ขณะมีอายุ 86 ปี หลังจากใช้ชีวิตเกือบทั้งชีวิต ในราชอาณาจักรสยาม โดยมีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ที่สุสานโปรเตสแตนต์ ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ

    🏛️ อนุสรณ์และเกียรติประวัติที่คงอยู่ วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557 กรมเจ้าท่าได้จัดพิธีเปิดอนุสาวรีย์ พระยาวิสูตรสาครดิฐ อย่างเป็นทางการ เพื่อรำลึกถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ 🕯️

    ✨ “ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของอดีต แต่เป็นรากฐานของอนาคต” คำกล่าวของอธิบดีกรมเจ้าท่า

    📚 "กัปตันบุช" ตำนานที่ไม่ควรถูกลืม ไม่ใช่เพียงแค่กัปตันฝรั่งที่มีตรอกตั้งชื่อตาม แต่คือผู้บุกเบิกท่าเรือ พัฒนาอุตสาหกรรมเดินเรือ และรับราชการอย่างภักดีต่อราชวงศ์ไทย เป็นแบบอย่างของความซื่อสัตย์ วิสัยทัศน์ และการผสานวัฒนธรรมอย่างกลมกลืน

    🎖️ คุณูปการของกัปตันบุช ควรค่าแก่การเรียนรู้ ไม่ใช่เพียงเพื่อจดจำ แต่เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ให้คนไทยทุกยุคทุกสมัย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 031057 เม.ย. 2568

    📲#กัปตันบุช #ประวัติศาสตร์ไทย #บุคคลสำคัญสยาม #อู่กรุงเทพ #เจ้าท่า #เรือพระที่นั่ง #ข้าราชการอังกฤษในไทย #ฮัปมาสเตน #ตรอกกัปตันบุช #CaptainBush
    120 ปี สิ้น “ฮัปมาสเตน” กัปตันบุช จากนายทหารเรือรบอังกฤษ สู่พลเรือเอกพระยาวิสูตรสาครดิฐ ข้าราชการต้นแบบแห่งสยาม 📌 จากนายทหารเรือชาวอังกฤษผู้บังคับการเรือรบ สู่ข้าราชการไทยผู้จงรักภักดี "กัปตันจอห์น บุช" หรือ พลเรือเอก พระยาวิสูตรสาครดิฐ มีบทบาทสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์สยาม ทั้งในราชสำนักและกิจการท่าเรือ ครบร 120 ปี แห่งการจากไป ย้อนรอยชีวิตของ “กัปตันบุช” ที่กลายเป็นตำนานแห่งเจริญกรุง 🧭 เมื่อกัปตันฝรั่ง กลายเป็นข้าราชการไทย หากเอ่ยถึง “ตรอกกัปตันบุช” หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า ชื่อซอยเล็ก ๆ นี้ แท้จริงแล้วตั้งขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ แด่ชายชาวอังกฤษคนหนึ่ง ที่อุทิศชีวิตกว่า 40 ปี ให้กับราชสำนักไทย และราชการกรมเจ้าท่า "พลเรือเอก พระยาวิสูตรสาครดิฐ" หรือที่รู้จักกันในนาม "กัปตันบุช" (Captain John Bush) หรือ “ฮัปมาสเตน” ในเสียงคนไทยสมัยก่อน 🕊️ ⚓ กัปตัน จอห์น บุช (John Bush) คือทหารเรือชาวอังกฤษ ที่เข้ารับราชการในราชสำนักไทย ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เริ่มต้นจากการเป็นกัปตันเรือรบอังกฤษ ที่เทียบท่าในกรุงเทพฯ ก่อนจะได้รับการชักชวนจาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ให้มาเป็นข้าราชการกรมเจ้าท่า ต่อมาได้รับตำแหน่ง "ฮัปมาสเตน" (Harbour Master) หรือนายท่าเรือ ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญ ในยุคที่สยามเปิดประเทศตามสนธิสัญญาเบาว์ริง (Bowring Treaty) ปี พ.ศ. 2398 โดยมีภารกิจจัดระเบียบเรือพาณิชย์ต่างชาติ ที่หลั่งไหลเข้าสยาม กัปตันบุชมีชื่อเสียงอย่างมากในยุคนั้น และในที่สุด ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระยาวิสูตรสาครดิฐ" พร้อมยศ "พลเรือเอก" ถือเป็นชาวต่างชาติไม่กี่คน ที่ได้รับเกียรติสูงเช่นนี้จากสยาม 🇹🇭 กัปตันฝรั่งผู้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดของกัปตันบุช คือการทำหน้าที่ บังคับการเรือพระที่นั่ง ในการเสด็จประพาสของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 🌍 อาทิ เสด็จสิงคโปร์และอินเดีย พ.ศ. 2413–2414 🚢 เสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่หว้ากอ และเสด็จพระราชดำเนินไปพระราชวังบางปะอิน 📜 เรื่องราวเหล่านี้ ไม่เพียงสะท้อนความไว้วางพระราชหฤทัย ที่ทั้งสองพระองค์มีต่อกัปตันบุช แต่ยังแสดงถึงการบุกเบิกยุคใหม่ของการเดินเรือ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในยุคนั้น 🚢 อู่เรือบางกอกด็อค Bangkok Dock จุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมเดินเรือไทย นอกจากบทบาทราชการแล้ว กัปตันบุชยังเป็นนักธุรกิจผู้มีวิสัยทัศน์ โดยในปี พ.ศ. 2408 ได้ก่อตั้ง อู่เรือบางกอกด็อค (Bangkok Dock) ขึ้น ซึ่งกลายเป็นอู่ซ่อมเรือที่ใหญ่ และทันสมัยที่สุดในกรุงเทพฯ ยุคนั้น อู่แห่งนี้สามารถรองรับการซ่อมเรือ จากทั้งงานหลวงและเอกชน ไม่ต้องส่งเรือไปซ่อมถึงสิงคโปร์อีกต่อไป! 🤝💼 ✨ “กัปตันบุชคือผู้วางรากฐาน ด้านพาณิชย์นาวีของไทยในยุคใหม่” คำกล่าวจากพิธีเปิดอนุสาวรีย์ที่กรมเจ้าท่า 📚 ตำนานฮัปมาสเตน และการอ่านชื่อแบบไทย กัปตันบุชได้รับสมญานามว่า “ฮัปมาสเตน” จากคำว่า Harbour Master ที่คนไทยเรียกเพี้ยนตามสำเนียงโบราณ เช่นเดียวกับชื่อ “กัปตันบุด” ที่คนไทยใช้เรียกแทน “Captain Bush” ซึ่งสะท้อนถึงความกลมกลืนในวัฒนธรรมไทย 🎭 💬 “กับตันบุด” คำนี้ติดปากชาวบ้านจนปัจจุบัน แม้จะไม่มีใครรู้ว่าเป็นใครโดยละเอียด 🕯️ จุดเปลี่ยนชีวิต...จากวีรบุรุษสู่บทเรียนราคาแพง ถึงแม้กัปตันบุชจะมีบทบาทสำคัญยิ่งในราชสำนัก แต่ก็ประสบกับเหตุการณ์ที่ทำให้บทบาทลดลง นั่นคือเหตุการณ์ เรือพระที่นั่งเวสาตรี เกยหินที่ปากแม่น้ำกลัง พ.ศ. 2433 เหตุการณ์นี้ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงไม่โปรด ให้กัปตันบุชบังคับเรืออีกต่อไป แม้กัปตันบุชจะเขียนรายงานชี้แจงว่า ไม่ใช่ความผิดของตนก็ตาม 📄 แม้จะกลายเป็นความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้ลบล้างคุณูปการอันใหญ่หลวงในอดีต 🙏 🏠 ชีวิตช่วงบั้นปลาย การจากไปในสยาม หลังเกษียณ กัปตันบุชใช้ชีวิตอย่างสงบ ที่บ้านริมทะเลในอ่างศิลา จังหวัดชลบุรีต้อนรับนักเรียนและแขกต่างชาติอย่างอบอุ่น จนกลายเป็นที่รักของชาวบ้านท้องถิ่น 🏖️ 📅 กัปตันบุชเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2448 ขณะมีอายุ 86 ปี หลังจากใช้ชีวิตเกือบทั้งชีวิต ในราชอาณาจักรสยาม โดยมีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ที่สุสานโปรเตสแตนต์ ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ 🏛️ อนุสรณ์และเกียรติประวัติที่คงอยู่ วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557 กรมเจ้าท่าได้จัดพิธีเปิดอนุสาวรีย์ พระยาวิสูตรสาครดิฐ อย่างเป็นทางการ เพื่อรำลึกถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ 🕯️ ✨ “ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของอดีต แต่เป็นรากฐานของอนาคต” คำกล่าวของอธิบดีกรมเจ้าท่า 📚 "กัปตันบุช" ตำนานที่ไม่ควรถูกลืม ไม่ใช่เพียงแค่กัปตันฝรั่งที่มีตรอกตั้งชื่อตาม แต่คือผู้บุกเบิกท่าเรือ พัฒนาอุตสาหกรรมเดินเรือ และรับราชการอย่างภักดีต่อราชวงศ์ไทย เป็นแบบอย่างของความซื่อสัตย์ วิสัยทัศน์ และการผสานวัฒนธรรมอย่างกลมกลืน 🎖️ คุณูปการของกัปตันบุช ควรค่าแก่การเรียนรู้ ไม่ใช่เพียงเพื่อจดจำ แต่เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ให้คนไทยทุกยุคทุกสมัย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 031057 เม.ย. 2568 📲#กัปตันบุช #ประวัติศาสตร์ไทย #บุคคลสำคัญสยาม #อู่กรุงเทพ #เจ้าท่า #เรือพระที่นั่ง #ข้าราชการอังกฤษในไทย #ฮัปมาสเตน #ตรอกกัปตันบุช #CaptainBush
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 777 มุมมอง 0 รีวิว
  • สภาฯถกร่างกม.กอช.เปิดทางหวยเกษียณ “เผ่าภูมิ” แจงหลักการเล่นหวยไม่ถูกแต่มีเงินออมดีกว่าถูกหวยกินเงินหาย
    https://www.thai-tai.tv/news/17988/
    สภาฯถกร่างกม.กอช.เปิดทางหวยเกษียณ “เผ่าภูมิ” แจงหลักการเล่นหวยไม่ถูกแต่มีเงินออมดีกว่าถูกหวยกินเงินหาย https://www.thai-tai.tv/news/17988/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวยก่อนแก่ / แก่ก่อนรวย ‘หวยเกษียณ’ : [Biz Talk]

    ‘ซื้อหวย เงินไม่หาย ทุกบาทกลายเป็นเงินออม’ อายุ 15 ปีขึ้นไป ซื้อ ‘หวยเกษียณ’ ได้ทุกคนทุกกลุ่ม ทั้งข้าราชการ-พนักงานออฟฟิศ -คนสูงวัย /กระทรวงการคลัง เร่งผลักดันร่างแก้ไขกฎหมาย กอช.เข้าสภาฯ นำความชอบลุ้นโชคของคนไทย มาสร้างการออมมิติใหม่ ‘ซื้อมาก ได้ลุ้นมาก มีเงินล้านยามแก่’
    รวยก่อนแก่ / แก่ก่อนรวย ‘หวยเกษียณ’ : [Biz Talk] ‘ซื้อหวย เงินไม่หาย ทุกบาทกลายเป็นเงินออม’ อายุ 15 ปีขึ้นไป ซื้อ ‘หวยเกษียณ’ ได้ทุกคนทุกกลุ่ม ทั้งข้าราชการ-พนักงานออฟฟิศ -คนสูงวัย /กระทรวงการคลัง เร่งผลักดันร่างแก้ไขกฎหมาย กอช.เข้าสภาฯ นำความชอบลุ้นโชคของคนไทย มาสร้างการออมมิติใหม่ ‘ซื้อมาก ได้ลุ้นมาก มีเงินล้านยามแก่’
    Like
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 849 มุมมอง 30 0 รีวิว
  • เมื่อแอดมินแนะนำลูกค้า ทานอย่างไรให้เห็นผลลัพธ์ ในการลดไขมันและ ฟื้นฟูระบบเผาผลาญ 😋😘#เทรนด์วันนี้ #สแลช #slash #แจงถั่วชัวร์ป้าบ #สาระอารมณ์ดีแฮปปี้ทุกวัน #ลดไขมัน #ลดน้ำหนัก #ฟื้นฟูระบบเผาผลาญ #วัยเกษียณ #happyandhealthy #ugoyourhealth #simplyugo
    เมื่อแอดมินแนะนำลูกค้า ทานอย่างไรให้เห็นผลลัพธ์ ในการลดไขมันและ ฟื้นฟูระบบเผาผลาญ 😋😘#เทรนด์วันนี้ #สแลช #slash #แจงถั่วชัวร์ป้าบ #สาระอารมณ์ดีแฮปปี้ทุกวัน #ลดไขมัน #ลดน้ำหนัก #ฟื้นฟูระบบเผาผลาญ #วัยเกษียณ #happyandhealthy #ugoyourhealth #simplyugo
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 582 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • ข้าราชการ-มนุษย์เงินเดือน เปิดทางซื้อหวยเกษียณได้

    การออกสลากขูดดิจิทัลของกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ในโครงการสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ หรือ "หวยเกษียณ" ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีขณะนั้นมอบหมายให้กระทรวงการคลัง ศึกษาแนวทางส่งเสริมการออมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ และเพิ่มแรงจูงใจให้กลุ่มแรงงานนอกระบบที่ยังไม่มีการออมให้เกิดความมั่นคงทางการเงินในวัยเกษียณ ก่อนที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหลักการเมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา

    ล่าสุด นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยเมื่อวันที่ 13 มี.ค. ว่า ร่างแก้ไข พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ ที่รวมโครงการหวยเกษียณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่างเสร็จแล้ว โดยมีกระทรวงการคลังและ กอช. ร่วมพิจารณา โดยจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ภายในเดือน มี.ค. ถือเป็นนวัตกรรมการออมมิติใหม่ของรัฐบาลที่ถูกกฎหมาย เงินไม่หาย ทุกบาทกลายเป็นเงินออมยามเกษียณ ถูกรางวัลได้เงินเลย ซื้อมากได้ลุ้นมาก มีเงินออมมากมีเงินล้านยามแก่

    ทั้งนี้ มีการปรับแก้เงื่อนไขใหม่ จากเดิมกลุ่มเป้าหมายคือสมาชิก กอช.อายุ 15-60 ปี ผู้ประกันตนมาตรา 40 (1) ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และแรงงานนอกระบบอายุไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ แต่เงื่อนไขใหม่คือ บุคคลสัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป สามารถซื้อหวยเกษียณได้ทุกคน ไม่จำกัดอายุสูงสุด แต่ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ถือครองเงินออมที่ซื้อสลากได้ไม่เกิน 5 ปี เช่น ซื้อหวยเกษียณตอนอายุ 63 ปี เงินที่ซื้อทั้งหมดจะได้รับคืนเมื่ออายุ 68 ปี

    นอกจากนี้ มนุษย์เงินเดือนที่เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 ที่ลาออกจากงานประจำแล้วส่งต่อเพื่อสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ สามารถซื้อได้ รวมทั้งข้าราชการหรือสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ก็ซื้อได้ และถือครองเงินออมไว้ถึงอายุ 60 ปี แต่จะได้คืนเฉพาะเงินต้นและผลตอบแทนจากการลงทุนของ กอช.เท่านั้น ไม่ได้รับเงินสมทบจากรัฐบาลในแต่ละปีที่ออม

    สำหรับหวยเกษียณ จะเปิดขายงวดละ 50 ล้านใบ ใช้งบประมาณปีละ 760 ล้านบาท เฉลี่ยสัปดาห์ละ 15 ล้านบาท ออกรางวัลทุกวันศุกร์ 17.00 น. รวม 52 สัปดาห์ โดยมีรางวัลใหญ่ 1 ล้านบาท 5 รางวัล และ 1,000 บาท 10,000 รางวัล ซึ่งปีแรกจะของบประมาณทำระบบเทคโนโลยี 20 ล้านบาท ระบบสมาชิก บุคลากร ระบบงานเพิ่มเติม 30 ล้านบาท ตั้งเป้าดึงเงินออมเข้า กอช. ได้ 13,000 ล้านบาทต่อปี

    ณ วันที่ 31 ธ.ค.2567 กอช.มีสมาชิกรวม 2,711,765 คน มูลค่าสินทรัพย์ 14,547.85 ล้านบาท โดย 3 อันดับแรกลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลมากที่สุด 41.59% รองลงมาคือเงินสด เงินฝากธนาคาร 24.20% และตราสารหนี้ 14.45%

    #Newskit
    ข้าราชการ-มนุษย์เงินเดือน เปิดทางซื้อหวยเกษียณได้ การออกสลากขูดดิจิทัลของกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ในโครงการสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ หรือ "หวยเกษียณ" ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีขณะนั้นมอบหมายให้กระทรวงการคลัง ศึกษาแนวทางส่งเสริมการออมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ และเพิ่มแรงจูงใจให้กลุ่มแรงงานนอกระบบที่ยังไม่มีการออมให้เกิดความมั่นคงทางการเงินในวัยเกษียณ ก่อนที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหลักการเมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา ล่าสุด นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยเมื่อวันที่ 13 มี.ค. ว่า ร่างแก้ไข พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ ที่รวมโครงการหวยเกษียณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่างเสร็จแล้ว โดยมีกระทรวงการคลังและ กอช. ร่วมพิจารณา โดยจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ภายในเดือน มี.ค. ถือเป็นนวัตกรรมการออมมิติใหม่ของรัฐบาลที่ถูกกฎหมาย เงินไม่หาย ทุกบาทกลายเป็นเงินออมยามเกษียณ ถูกรางวัลได้เงินเลย ซื้อมากได้ลุ้นมาก มีเงินออมมากมีเงินล้านยามแก่ ทั้งนี้ มีการปรับแก้เงื่อนไขใหม่ จากเดิมกลุ่มเป้าหมายคือสมาชิก กอช.อายุ 15-60 ปี ผู้ประกันตนมาตรา 40 (1) ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และแรงงานนอกระบบอายุไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ แต่เงื่อนไขใหม่คือ บุคคลสัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป สามารถซื้อหวยเกษียณได้ทุกคน ไม่จำกัดอายุสูงสุด แต่ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ถือครองเงินออมที่ซื้อสลากได้ไม่เกิน 5 ปี เช่น ซื้อหวยเกษียณตอนอายุ 63 ปี เงินที่ซื้อทั้งหมดจะได้รับคืนเมื่ออายุ 68 ปี นอกจากนี้ มนุษย์เงินเดือนที่เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 ที่ลาออกจากงานประจำแล้วส่งต่อเพื่อสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ สามารถซื้อได้ รวมทั้งข้าราชการหรือสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ก็ซื้อได้ และถือครองเงินออมไว้ถึงอายุ 60 ปี แต่จะได้คืนเฉพาะเงินต้นและผลตอบแทนจากการลงทุนของ กอช.เท่านั้น ไม่ได้รับเงินสมทบจากรัฐบาลในแต่ละปีที่ออม สำหรับหวยเกษียณ จะเปิดขายงวดละ 50 ล้านใบ ใช้งบประมาณปีละ 760 ล้านบาท เฉลี่ยสัปดาห์ละ 15 ล้านบาท ออกรางวัลทุกวันศุกร์ 17.00 น. รวม 52 สัปดาห์ โดยมีรางวัลใหญ่ 1 ล้านบาท 5 รางวัล และ 1,000 บาท 10,000 รางวัล ซึ่งปีแรกจะของบประมาณทำระบบเทคโนโลยี 20 ล้านบาท ระบบสมาชิก บุคลากร ระบบงานเพิ่มเติม 30 ล้านบาท ตั้งเป้าดึงเงินออมเข้า กอช. ได้ 13,000 ล้านบาทต่อปี ณ วันที่ 31 ธ.ค.2567 กอช.มีสมาชิกรวม 2,711,765 คน มูลค่าสินทรัพย์ 14,547.85 ล้านบาท โดย 3 อันดับแรกลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลมากที่สุด 41.59% รองลงมาคือเงินสด เงินฝากธนาคาร 24.20% และตราสารหนี้ 14.45% #Newskit
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 872 มุมมอง 0 รีวิว
  • “หวยเกษียณ” ซื้อได้ทุกกลุ่ม อายุ 15 ปีซื้อได้ “เผ่าภูมิ” ดันเข้าสภาฯเดือนนี้ เงินไม่หาย ทุกบาทเป็นเงินออม
    https://www.thai-tai.tv/news/17629/
    “หวยเกษียณ” ซื้อได้ทุกกลุ่ม อายุ 15 ปีซื้อได้ “เผ่าภูมิ” ดันเข้าสภาฯเดือนนี้ เงินไม่หาย ทุกบาทเป็นเงินออม https://www.thai-tai.tv/news/17629/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • 15 ปี สิ้น “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ผู้กำกับนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด ตำนานย้ายยากเย็น เซ่นสลับบัญชี โชคร้ายตายก่อนขึ้นรองผู้การ

    🚔 “คงอยากจะขอยศพันตำรวจเอกให้ผม ตอนที่ผมตายแล้ว” คำพูดที่ยังคงก้องในหัวใจคนไทยหลายคน… 🕊️

    🌿 ตำนานที่ยังไม่ลืม ผ่านมากว่า 15 ปี แล้ว... แต่เรื่องราวของ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา ภ.จว.ยะลา ยังถูกเล่าขานในฐานะ “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินปลายด้ามขวาน 🗡️ แม้จะแลกด้วยความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และสุดท้าย... ชีวิต

    👮‍♂️ “สมเพียร เอกสมญา” หรือชื่อเล่นว่า “เนี้ยบ” เกิดเมื่อปี 2493 ในครอบครัวยากจนที่จังหวัดสงขลา ชีวิตในวัยเด็กเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องช่วยพ่อแม่กรีดยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่ความยากจน ไม่สามารถปิดกั้นความฝันได้ 🎓

    หลังเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 สมเพียรตัดสินใจเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนต่อ และก้าวขึ้นสู่การเป็นนักเรียนตำรวจ ต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก “แซ่เจ่ง” เป็น “เอกสมญา” เพื่อเข้ารับราชการในยุคนั้น

    จุดเริ่มต้นของนักรบแดนใต้ ปี 2513 สมเพียรเริ่มต้นอาชีพตำรวจที่ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ภ.จว.ยะลา ในช่วงเวลาที่ภาคใต้ร้อนระอุ จากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) และกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน

    ชีวิตของสมเพียร ไม่ใช่แค่การจับผู้ร้ายทั่วไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามกองโจร และการลอบสังหารเกือบทุกวัน 😔

    🔥 วีรกรรมและตำนาน “ขาเหล็ก” เหตุการณ์ปะทะที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ปี 2519 ขณะที่ครองยศ "จ่าสิบตำรวจ" ได้เข้าปะทะกับขบวนการก่อการไม่สงบ ที่จับตำรวจและครอบครัวเป็นตัวประกัน บนเขาเจาะปันตัง เหตุการณ์นั้นทำให้ จ่าเพียรเกือบเสียขาข้างซ้าย ต้องใส่เหล็กดามขามาตลอดชีวิต จนได้ฉายาว่า “จ่าเพียร ขาเหล็ก” 🦿

    🦾 “ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา

    🦅 ปฏิบัติการ “ยูงทอง” ชุดปฏิบัติการปราบปราม กลุ่มก่อการไม่สงบในบันนังสตา มีชื่อเสียงอย่างมากภาย ใต้การนำของจ่าเพียร เคยนำทีมเข้าปะทะกองกำลังกว่า 30 คน ในปี 2526 แม้ตัวเองจะโดนยิงที่ต้นขาขวา แต่ยังสู้ไม่ถอย ✊

    🏡 ความฝันสุดท้ายของจ่าเพียร อยากกลับบ้าน...แค่ใช้ชีวิตกับครอบครัว ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พ.ต.อ.สมเพียร ยื่นเรื่องขอย้ายกลับไปอยู่ สภ.กันตัง จ.ตรัง บ้านเกิดของภรรยา เพื่อใช้ชีวิตเงียบสงบช่วง 18 เดือนก่อนเกษียณ แต่การโยกย้ายกลับไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีชื่อติดในโผโยกย้ายตั้งแต่แรก แต่ในขั้นตอนสุดท้าย กลับถูกสับเปลี่ยนชื่อ สลับบัญชี เพื่อหลีกทางให้คนของนักการเมือง 🍃

    จ่าเพียรไม่ยอมรับโผอัปยศ จึงเดินทางจากชายแดนใต้สู่กรุงเทพฯ ไปทวงถามความเป็นธรรม ถึงทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับคำปลอบใจว่า จะเยียวยาโดยให้ขึ้นตำแหน่ง "รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด" ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ

    💬 “ไม่มีการแต่งตั้งตำรวจครั้งไหนที่แย่เท่าครั้งนี้อีกแล้ว” แม้ว่าจ่าเพยีจะพูดด้วยน้ำตา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

    💔 วันแห่งความสูญเสีย ปฏิบัติการสุดท้ายที่บ้านทับช้าง ในเช้าวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553 จ่าเพียร พร้อมด้วยลูกน้อง 4 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย นั่งรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้าไฮลักซ์วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา และอส.คนสนิท อีก 1 นาย ออกลาดตระเวนในพื้นที่บ้านทับช้าง แต่ถูกกลุ่มก่อการไม่สงบ กดระเบิด และกราดยิงด้วยอาวุธสงครามอย่างหนัก จ่าเพียรได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย และอีก 1 นายเสียชีวิต 🔫

    ⚰️ อายุ 59 ปี สิ้นสุดเส้นทางของนักรบผู้ภักดีต่อหน้าที่ บทเรียนชีวิตและความจริงที่เจ็บปวด การต่อสู้ของจ่าเพียร ไม่ใช่แค่ศึกในสนามรบ แต่ยังเป็นศึกในระบบราชการที่ซับซ้อน และมีปัญหาเรื่องอุปถัมภ์ จ่าเพียรไม่ได้รับโอกาสเลื่อนยศหรือโยกย้าย จนกว่าจะเสียชีวิตแล้ว ถึงได้เลื่อนยศ 7 ขั้น เป็น "พลตำรวจเอก" 🕊️

    ⚖️ ระบบที่ควรตอบแทนคนทุ่มเท กลับถูกแทนที่ด้วยสายสัมพันธ์และอำนาจ มรดกและแรงบันดาลใจ
    หลังจากการเสียชีวิตของจ่าเพียร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวจำนวน 3 ล้านบาท และรับผิดชอบการศึกษาของลูก จนจบปริญญาตรี แต่สิ่งที่จ่าเพียรทิ้งไว้ไม่ใช่แค่เงินทอง

    ❤️ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่ทุ่มเท และไม่ยอมแพ้ต่ออุปถัมภ์

    🗣️ คำพูดสุดท้ายที่ยังตราตรึง "ผมไม่ได้อยากย้ายเพื่อความก้าวหน้า แต่อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ผมทำงานมา 40 ปี แทบไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย"

    ❓ คำถามที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปี แต่เรื่องราวของจ่าเพียร ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาระบบราชการไทย หลายคนยังสงสัยว่า…

    - ทำไมตำรวจน้ำดี ต้องตายก่อนจึงได้รับการยกย่อง?
    - ทำไมระบบโยกย้าย ถึงเต็มไปด้วยข้อครหา?
    - ใครจะปกป้องผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ไม่มีเส้นสาย?

    🤝 เสียงจากคนในพื้นที่ “จ่าเพียรกลับมาแล้ว” ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน

    🕊️ “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รู้จักจ่าเพียรในฐานะคนที่ไม่เคยทิ้งพื้นที่”

    🌳 "คนที่เคยเป็นเยาวชนไม่มีอนาคต กลายมาเป็นอาสาสมัครในทีมของจ่าเพียร ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่น"

    🕯️ ตำนานที่ไม่ควรจางหาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ชื่อ "สมเพียร เอกสมญา" ไม่ได้ตายเพราะกระสุนหรือระเบิด แต่เพราะระบบที่ล้มเหลวในการดูแลคนดี 💐

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121155 มี.ค. 2568

    #จ่าเพียรขาเหล็ก #ฮีโร่แดนใต้ #ผู้กำกับนักสู้ #สมเพียรเอกสมญา #ชายแดนใต้ #นักรบแห่งบูโด #ตำรวจไทย #ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ #วีรบุรุษแดนใต้ #ระบบอุปถัมภ์

    15 ปี สิ้น “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ผู้กำกับนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด ตำนานย้ายยากเย็น เซ่นสลับบัญชี โชคร้ายตายก่อนขึ้นรองผู้การ 🚔 “คงอยากจะขอยศพันตำรวจเอกให้ผม ตอนที่ผมตายแล้ว” คำพูดที่ยังคงก้องในหัวใจคนไทยหลายคน… 🕊️ 🌿 ตำนานที่ยังไม่ลืม ผ่านมากว่า 15 ปี แล้ว... แต่เรื่องราวของ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา ภ.จว.ยะลา ยังถูกเล่าขานในฐานะ “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินปลายด้ามขวาน 🗡️ แม้จะแลกด้วยความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และสุดท้าย... ชีวิต 👮‍♂️ “สมเพียร เอกสมญา” หรือชื่อเล่นว่า “เนี้ยบ” เกิดเมื่อปี 2493 ในครอบครัวยากจนที่จังหวัดสงขลา ชีวิตในวัยเด็กเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องช่วยพ่อแม่กรีดยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่ความยากจน ไม่สามารถปิดกั้นความฝันได้ 🎓 หลังเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 สมเพียรตัดสินใจเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนต่อ และก้าวขึ้นสู่การเป็นนักเรียนตำรวจ ต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก “แซ่เจ่ง” เป็น “เอกสมญา” เพื่อเข้ารับราชการในยุคนั้น จุดเริ่มต้นของนักรบแดนใต้ ปี 2513 สมเพียรเริ่มต้นอาชีพตำรวจที่ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ภ.จว.ยะลา ในช่วงเวลาที่ภาคใต้ร้อนระอุ จากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) และกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน ชีวิตของสมเพียร ไม่ใช่แค่การจับผู้ร้ายทั่วไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามกองโจร และการลอบสังหารเกือบทุกวัน 😔 🔥 วีรกรรมและตำนาน “ขาเหล็ก” เหตุการณ์ปะทะที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ปี 2519 ขณะที่ครองยศ "จ่าสิบตำรวจ" ได้เข้าปะทะกับขบวนการก่อการไม่สงบ ที่จับตำรวจและครอบครัวเป็นตัวประกัน บนเขาเจาะปันตัง เหตุการณ์นั้นทำให้ จ่าเพียรเกือบเสียขาข้างซ้าย ต้องใส่เหล็กดามขามาตลอดชีวิต จนได้ฉายาว่า “จ่าเพียร ขาเหล็ก” 🦿 🦾 “ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา 🦅 ปฏิบัติการ “ยูงทอง” ชุดปฏิบัติการปราบปราม กลุ่มก่อการไม่สงบในบันนังสตา มีชื่อเสียงอย่างมากภาย ใต้การนำของจ่าเพียร เคยนำทีมเข้าปะทะกองกำลังกว่า 30 คน ในปี 2526 แม้ตัวเองจะโดนยิงที่ต้นขาขวา แต่ยังสู้ไม่ถอย ✊ 🏡 ความฝันสุดท้ายของจ่าเพียร อยากกลับบ้าน...แค่ใช้ชีวิตกับครอบครัว ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พ.ต.อ.สมเพียร ยื่นเรื่องขอย้ายกลับไปอยู่ สภ.กันตัง จ.ตรัง บ้านเกิดของภรรยา เพื่อใช้ชีวิตเงียบสงบช่วง 18 เดือนก่อนเกษียณ แต่การโยกย้ายกลับไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีชื่อติดในโผโยกย้ายตั้งแต่แรก แต่ในขั้นตอนสุดท้าย กลับถูกสับเปลี่ยนชื่อ สลับบัญชี เพื่อหลีกทางให้คนของนักการเมือง 🍃 จ่าเพียรไม่ยอมรับโผอัปยศ จึงเดินทางจากชายแดนใต้สู่กรุงเทพฯ ไปทวงถามความเป็นธรรม ถึงทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับคำปลอบใจว่า จะเยียวยาโดยให้ขึ้นตำแหน่ง "รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด" ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ 💬 “ไม่มีการแต่งตั้งตำรวจครั้งไหนที่แย่เท่าครั้งนี้อีกแล้ว” แม้ว่าจ่าเพยีจะพูดด้วยน้ำตา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 💔 วันแห่งความสูญเสีย ปฏิบัติการสุดท้ายที่บ้านทับช้าง ในเช้าวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553 จ่าเพียร พร้อมด้วยลูกน้อง 4 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย นั่งรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้าไฮลักซ์วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา และอส.คนสนิท อีก 1 นาย ออกลาดตระเวนในพื้นที่บ้านทับช้าง แต่ถูกกลุ่มก่อการไม่สงบ กดระเบิด และกราดยิงด้วยอาวุธสงครามอย่างหนัก จ่าเพียรได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย และอีก 1 นายเสียชีวิต 🔫 ⚰️ อายุ 59 ปี สิ้นสุดเส้นทางของนักรบผู้ภักดีต่อหน้าที่ บทเรียนชีวิตและความจริงที่เจ็บปวด การต่อสู้ของจ่าเพียร ไม่ใช่แค่ศึกในสนามรบ แต่ยังเป็นศึกในระบบราชการที่ซับซ้อน และมีปัญหาเรื่องอุปถัมภ์ จ่าเพียรไม่ได้รับโอกาสเลื่อนยศหรือโยกย้าย จนกว่าจะเสียชีวิตแล้ว ถึงได้เลื่อนยศ 7 ขั้น เป็น "พลตำรวจเอก" 🕊️ ⚖️ ระบบที่ควรตอบแทนคนทุ่มเท กลับถูกแทนที่ด้วยสายสัมพันธ์และอำนาจ มรดกและแรงบันดาลใจ หลังจากการเสียชีวิตของจ่าเพียร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวจำนวน 3 ล้านบาท และรับผิดชอบการศึกษาของลูก จนจบปริญญาตรี แต่สิ่งที่จ่าเพียรทิ้งไว้ไม่ใช่แค่เงินทอง ❤️ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่ทุ่มเท และไม่ยอมแพ้ต่ออุปถัมภ์ 🗣️ คำพูดสุดท้ายที่ยังตราตรึง "ผมไม่ได้อยากย้ายเพื่อความก้าวหน้า แต่อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ผมทำงานมา 40 ปี แทบไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย" ❓ คำถามที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปี แต่เรื่องราวของจ่าเพียร ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาระบบราชการไทย หลายคนยังสงสัยว่า… - ทำไมตำรวจน้ำดี ต้องตายก่อนจึงได้รับการยกย่อง? - ทำไมระบบโยกย้าย ถึงเต็มไปด้วยข้อครหา? - ใครจะปกป้องผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ไม่มีเส้นสาย? 🤝 เสียงจากคนในพื้นที่ “จ่าเพียรกลับมาแล้ว” ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน 🕊️ “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รู้จักจ่าเพียรในฐานะคนที่ไม่เคยทิ้งพื้นที่” 🌳 "คนที่เคยเป็นเยาวชนไม่มีอนาคต กลายมาเป็นอาสาสมัครในทีมของจ่าเพียร ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่น" 🕯️ ตำนานที่ไม่ควรจางหาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ชื่อ "สมเพียร เอกสมญา" ไม่ได้ตายเพราะกระสุนหรือระเบิด แต่เพราะระบบที่ล้มเหลวในการดูแลคนดี 💐 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121155 มี.ค. 2568 #จ่าเพียรขาเหล็ก #ฮีโร่แดนใต้ #ผู้กำกับนักสู้ #สมเพียรเอกสมญา #ชายแดนใต้ #นักรบแห่งบูโด #ตำรวจไทย #ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ #วีรบุรุษแดนใต้ #ระบบอุปถัมภ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1373 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ประกันสังคม' ลดกระแส เตรียมปรับสูตรบำนาญ เยียวยาคนทำงานเกษียณ
    .
    ชั่วโมงนี้คงไม่มีหน่วยงานไหนมีรถทัวร์ไปลงมากเท่ากับสำนักงานประกันสังคม ภายหลังมีกระแสเรียกร้องให้มีการปรับสูตรคำนวณบำนาญชราภาพให้กับผู้ประกันตนใหม่ โดยเฉพาะผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ซึ่งได้รับบำนาญน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ในเรื่องนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยืนยันกลางที่ประชุมวุฒิสภาว่า เตรียมจะมีการกำหนดแนวทางในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวเร็วๆนี้
    .
    ทั้งนี้ การประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม นายชูชีพ เอื้อการณ์ สมาชิกวุฒิสภา ได้ตั้งกระทู้ถามเรื่อง เรื่องผลกระทบการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ หากไม่ทันค่าของชีพที่สูงขึ้น และแนวทางลดค่าของชีพของประชาชน การดูแล SME ทั้งระยะสั้นระยะยาว โดยนายพิพัฒน์ ตอบชี้แจงตอนหนึ่งระบุว่า จะหารือกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย ในหลายประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับเอสเอ็มอี (SME) ควรจะดูแลอย่างไร ขณะเดียวกันนอกจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแล้วจะต้องดูแล 13 อาชีพ ให้ได้รับการอัพสกิล รีสกิลยกระดับฝีมือแรงงาน เว้นกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่นอกเหนืออำนาจตามกฎหมาย แต่ก็จะพยามดูแลให้ได้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับสูตรคำนวณดูแลเยียวยา ของผู้ทำงานประกันตนมาตรา 33 และ มาตรา 39
    .
    "กระทรวงแรงงานได้คิดว่าเมื่อผู้ใช้แรงงานได้เกษียณอายุไปจะทำอย่างไร ขณะนี้อยู่ในช่วงของการทำประชาพิจารณ์คาดว่าน่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนมี.ค.นี้ ว่าหากเกษียณอายุ 60 ปีไปแล้ว ยังมีอายุอีก 20 ถึง30 ปี เงินในส่วนนั้นจะทำอย่างไรให้สามารถยังชีพอยู่ได้หากไม่มีบุตรหลานคอยดูแล หากยืดอายุกองทุนประกันสังคมได้ จากนั้นจะคิดสูตรว่า ในแต่ละปีการประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 จะมีการขยายสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนได้อย่างไร หากอีก2 ปีข้างหน้ามีการเดินสู่เป้าหมายที่ชัดเจน จะพิจารณาต่อว่ากองทุนประกันสังคมจะให้เงินสำหรับสงเคราะห์ผู้เกษียณอายุเพิ่มขึ้นจำนวนเท่าไหร่เพื่อยังชีพ" นายพิพัฒน์ ระบุ
    .
    ขณะที่ นางสาวรักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. พรรคประชาชน ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับปัญหาการบริหารกองทุนประกันสังคมโดยเฉพาะเรื่องการลงทุนที่ขาดธรรมาภิบาล โดยการใช้เงินกองทุนประกันสังคมจำนวน 2.6 ล้านล้านบาท ที่ไม่โปร่งใสโดยเฉพาะการลงทุนที่อาจจะไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เช่น การซื้ออาคารย่านพระราม 9 มูลค่า 7,000 ล้านบาทในขณะที่ราคาช่วงประเมินปี 2565 อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท โดยปีแรกมีอัตราการเช่าเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น และปัจจุบันก็มีผู้เช่าไม่ถึงครึ่ง
    .
    ด้าน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชี้แจงว่า รัฐมนตรีไม่มีสิทธิเข้าไปยุ่งเกี่ยวแม้กระทั่งรับรู้ ไม่มีสิทธิไปแต่งตั้งบอร์ดต่างๆ จนเมื่อเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม พิจารณาเสร็จแล้ว ตนถึงจะมีสิทธิลงนามแต่งตั้งเท่านั้น ราคาดังกล่าวเป็นราคาประเมินตอนวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 แล้วคนที่ซื้อมาลงทุน มีการรีโนเวทอย่างไร ส่วนตัวไม่ทราบ เนื่องจากการซื้อขายนั้นจะใช้การประเมินโดยบริษัทที่มีใบอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์เป็นผู้ประเมิน
    ............
    Sondhi X
    'ประกันสังคม' ลดกระแส เตรียมปรับสูตรบำนาญ เยียวยาคนทำงานเกษียณ . ชั่วโมงนี้คงไม่มีหน่วยงานไหนมีรถทัวร์ไปลงมากเท่ากับสำนักงานประกันสังคม ภายหลังมีกระแสเรียกร้องให้มีการปรับสูตรคำนวณบำนาญชราภาพให้กับผู้ประกันตนใหม่ โดยเฉพาะผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ซึ่งได้รับบำนาญน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ในเรื่องนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยืนยันกลางที่ประชุมวุฒิสภาว่า เตรียมจะมีการกำหนดแนวทางในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวเร็วๆนี้ . ทั้งนี้ การประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม นายชูชีพ เอื้อการณ์ สมาชิกวุฒิสภา ได้ตั้งกระทู้ถามเรื่อง เรื่องผลกระทบการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ หากไม่ทันค่าของชีพที่สูงขึ้น และแนวทางลดค่าของชีพของประชาชน การดูแล SME ทั้งระยะสั้นระยะยาว โดยนายพิพัฒน์ ตอบชี้แจงตอนหนึ่งระบุว่า จะหารือกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย ในหลายประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับเอสเอ็มอี (SME) ควรจะดูแลอย่างไร ขณะเดียวกันนอกจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแล้วจะต้องดูแล 13 อาชีพ ให้ได้รับการอัพสกิล รีสกิลยกระดับฝีมือแรงงาน เว้นกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่นอกเหนืออำนาจตามกฎหมาย แต่ก็จะพยามดูแลให้ได้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับสูตรคำนวณดูแลเยียวยา ของผู้ทำงานประกันตนมาตรา 33 และ มาตรา 39 . "กระทรวงแรงงานได้คิดว่าเมื่อผู้ใช้แรงงานได้เกษียณอายุไปจะทำอย่างไร ขณะนี้อยู่ในช่วงของการทำประชาพิจารณ์คาดว่าน่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนมี.ค.นี้ ว่าหากเกษียณอายุ 60 ปีไปแล้ว ยังมีอายุอีก 20 ถึง30 ปี เงินในส่วนนั้นจะทำอย่างไรให้สามารถยังชีพอยู่ได้หากไม่มีบุตรหลานคอยดูแล หากยืดอายุกองทุนประกันสังคมได้ จากนั้นจะคิดสูตรว่า ในแต่ละปีการประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 จะมีการขยายสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนได้อย่างไร หากอีก2 ปีข้างหน้ามีการเดินสู่เป้าหมายที่ชัดเจน จะพิจารณาต่อว่ากองทุนประกันสังคมจะให้เงินสำหรับสงเคราะห์ผู้เกษียณอายุเพิ่มขึ้นจำนวนเท่าไหร่เพื่อยังชีพ" นายพิพัฒน์ ระบุ . ขณะที่ นางสาวรักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. พรรคประชาชน ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับปัญหาการบริหารกองทุนประกันสังคมโดยเฉพาะเรื่องการลงทุนที่ขาดธรรมาภิบาล โดยการใช้เงินกองทุนประกันสังคมจำนวน 2.6 ล้านล้านบาท ที่ไม่โปร่งใสโดยเฉพาะการลงทุนที่อาจจะไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เช่น การซื้ออาคารย่านพระราม 9 มูลค่า 7,000 ล้านบาทในขณะที่ราคาช่วงประเมินปี 2565 อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท โดยปีแรกมีอัตราการเช่าเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น และปัจจุบันก็มีผู้เช่าไม่ถึงครึ่ง . ด้าน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชี้แจงว่า รัฐมนตรีไม่มีสิทธิเข้าไปยุ่งเกี่ยวแม้กระทั่งรับรู้ ไม่มีสิทธิไปแต่งตั้งบอร์ดต่างๆ จนเมื่อเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม พิจารณาเสร็จแล้ว ตนถึงจะมีสิทธิลงนามแต่งตั้งเท่านั้น ราคาดังกล่าวเป็นราคาประเมินตอนวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 แล้วคนที่ซื้อมาลงทุน มีการรีโนเวทอย่างไร ส่วนตัวไม่ทราบ เนื่องจากการซื้อขายนั้นจะใช้การประเมินโดยบริษัทที่มีใบอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์เป็นผู้ประเมิน ............ Sondhi X
    Like
    Love
    Sad
    Angry
    12
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2684 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊กPaisan Apacnews ของ ไพสันต์พรหมน้อย 8 มีนาคม 2568“คาสิโนเหรอ...ผมสั่งรื้อมาแล้ว โดย นาวิน ขันธหิรัญเมื่อปี 2541กระทรวงได้ย้ายผมจากนครพนมมาเป็นผู้ว่าสระแก้ว ขณะนั้นปอยเปตในฝั่งเขมรกำลังบูมการก่อสร้างเมืองขนานใหญ่มีการสร้างEntertainment Complexขนาดใหญ่ที่มีCasinoอยู่ด้วยทุกแห่งและมีนักการเมืองใหญ่ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเขมรเป็นหุ้นส่วนและมีนายซ๊ก อาน มหาเศรษฐีชาวเขมรเป็นผู้ประสานงานเมื่อสร้างเสร็จก็มีการเชิญผู้ใหญ่ฝั่งไทยไปเยี่ยมชมและประชาสัมพันธ์ว่าสร้างขึ้น มาเพื่อรับแขกชาวไทยเป็นหลัก เพื่อเห็นแก่สัมพันธภาพผมก็ไปร่วมชมความเจริญของเพื่อนบ้าน เดินชมไปมาไปพบว่าคาสิโนแห่งหนึ่งปลูกล้ำคลองพรมแดนเข้ามาในเขตไทย ผมจึงเรียกผู้จัดการมาแจ้งให้ทราบว่าคุณสร้างคาสิโนรุกแผ่นดินไทยแล้วยื่นคำขาดให้รื้อถอนออกไป ผู้จัดการเถึยงคอเป็นเอ็นแล้วยืนยันว่าไม่มีใครรื้อได้เพราะเจ้าของใหญ่มากอยู่ในพนมเปญ ผมไม่อยากเถียงกับผู้จัดการจึงตัดบทไปว่า...ไม่เป็นไรถ้าไม่รื้อผมจะปิดพรมแดนไม่ให้คนไทยข้ามมา(ผู้ว่าสามารถเสนอรัฐบาลปิดพรมแดนได้) จากนั้นผมก็เดินทางกลับเช้าวันรุ่งขึ้น11.00น.หน้าห้องได้เข้ามารายงานว่า นายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกฮุนเซนขอเข้าพบอะไรจะรวดเร็วขนาดนั้น ผมพูดเรื่องปิดพรมแดนไม่ถึง24ชั่วโมงประธานที่ปรึกษานายกเขมรก็ถึงตัวผมแล้วถึงตรงนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของสถานบริการครบวงจรที่ปอยเปตฝั่งเขมร แล้วฝั่งไทยล่ะ ประเดี๋ยวตัวละครจะค่อยๆโผล่ออกมาเองครับผมออกไปเชิญนายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกด้วยตัวเองแล้วทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรีแล้วเชิญเข้ามานั่งเจรจากันในห้องนายจุม คาดาล เล่าให้ผมฟังว่าเมื่อวานนี้เมื่อทราบข่าวว่าคาสิโนแห่งหนึ่งสร้างล้ำเข้าไปในแผ่นดินไทยท่านนายกได้สั่งการให้ผมไปดูข้อเท็จจริงและแก้ปัญหาโดยด่วน เช้านี้ผมเลยใช้ฮ.บินจากพนมเปญมาดูข้อเท็จจริงที่หน้างานพบว่าเป็นไปตามที่ท่านผู้ว่าทักท้วงจริงผมจึงนัดรถแบคโฮลเข้าพื้นที่เพื่อทำการรื้อถอนคาสิโนในส่วนที่ล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทยและขอเชิญท่านผู้ว่าไปชี้ว่าจะให้รื้อเข้าไปแค่ไหน บ่ายวันนั้นผมและนายจุม คาดาล จึงไปควบคุมการรื้อคาสิโนเป็นที่เรียบร้อย ผมทวงแผ่นดินไทยกลับมาได้ด้วยศิลปของนักปกครองโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อและชีวิต ซึ่งน่าจะได้รับคำชมเชยแต่มันไม่เป็นเช่นนั้นครับไม่ถึงเดือนต่อมาก็มีคำสั่งย้ายผมจากสระแก้วไปสมุทรสงครามซึ่งเป็นจังหวัดเล็กกว่าในสายตาของชาวมหาดไทยถือว่าเป็นการลงโทษผมจึงถามผู้บังคับบัญชาว่าย้ายผมทำไมครับท่านตอบว่าคุณไม่รู้หรือว่าคาสิโนนี้เป็นของใคร ท่านขอให้ย้ายคุณเป็นผู้ตรวจด้วยซ้ำ แต่ทางกระทรวงทักท้วงไว้ว่าคุณไม่ได้มีความผิดอะไร แถมยังรักษาแผ่นดินไว้ให้คนไทย เอาแค่ย้ายออกจากสระแก้วและให้ลงจังหวัดเล็กลงก็น่าจะเพียงพอสำหรับผมย้ายไปจังหวัดไหนก็ทำงานได้ทั้งนั้นจังหวัดเล็กลงยิ่งทำงานง่ายขึ้นเมื่อไปรับงานที่สมุทรสงครามผมก็ทำงานอย่างมีความสุข แต่มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านข้องใจไม่หายว่าทำไมผมถูกย้ายลงจังหวัดเล็กลง ทั้งๆที่ผมไม่เคยบอกท่าน ท่านผู้นั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ………………………..ถึงตอนนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่านักการเมืองใหญ่ที่เป็นหุ้นส่วนสถานบันเทิงครบวงจรในปอยเปตนั้นคือใครถ้านึกไม่ออกผมจะบอกให้เจ้าพ่อวังน้ำเย็นไงครับและเป็นคนที่สั่งย้ายผมด้วย ..ถามว่าก่อนสั่งผมรู้ไหมว่าคาสิโนแห่งนี้เป็นของสองผู้ยิ่งใหญ่คู่นี้รู้ครับวันที่ผมสั่งผู้จัดการให้รื้ิอคาสิโนแกตกใจปากคอสั่นและยืนยีนว่ารื้อไม่ได้เป็นอันขาดเพราะเป็นของผู้ใหญ่ในพนมเปญ ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จึงตัดบทไม่เจรจาด้วยส่วนเจ้าพ่อรู้สึกเสียฟอร์มที่คุ้มครองคาสิโนไม่ได้โดยเฉพาะกับฮุนเซนทางเดียวที่พอจะกู้หน้าได้คือเตะโด่งผู้ว่าไปให้พ้นหูพ้นตาเสียจะได้ไม่มายุ่งกับสถานบันเทิงของท่านอีกสะใจจริงๆนาวินใช้ชีวิตได้ผาดโผนน่าสนุกรื้อคาสิโนของนายกบ้าง ของเจ้าพ่อบ้างปัจจุบันรัฐบาลไทยกำลังจะสร้างสถานบันเทิงครบวงจรตามอย่างเขมร ผมอาจจะต้องออกมาช่วยพี่น้องชาวไทยรื้อคาสิโนในเมืองไทยอีกครั้งก็ได้ครับก่อนจบภาคแรกไปผมโปรยทิ้งไว้ว่า มีผู้ใหญ้ท่านหนึ่งข้องใจไม่หายว่าผมถูกย้ายเพราะอะไรท่านนั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์เพื่อนๆคงสงสัยว่าท่านมาเกี่ยวข้องกับผมได้อย่างไรจึงขอย้อนอดีตเล็กน้อย..เมื่อปี 2530กรมย้ายผมมาเป็นนายอำเภอสามพรานโดยอธิบดีดำรง สุนทรศาลทูล เลือกเอามาเองเพราะว่าบ้านอธิบดีอยู่สามพราน เมื่อมารับงานก็พบว่าพลเอกเปรม..รัฐบุรุษท่านตีกอล์ฟอยู่ที่สนามสามพรานทุกอาทิตย์ผมเป็นเจ้าของพื้นที่จึงไปต้อนรับท่าน ปรากฏว่าท่านถูกใจอะไรไม่ทราบชวนผมไปตีกอล์ฟก๊วนเดียวกับท่าน ซึ่งปกติจะไม่มีใครมีโอกาสเข้าร่วมก๊วนเลย ท่านจะตีอยู่กับหมอประสบ รัตนากร เพื่อนท่านและนายทหารคนสนิทเท่านั้นในก๊วนไม่มีการพนันเล่นเพื่อออกกำลังกายเฉยๆ ผมเล่นก๊อล์ฟกับท่านรัฐบุรุษเป็นเวลาหลายปีจนสนิทกันเหมือนญาติผู้ใหญ่ผมได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่านครพนมท่านก็เดินทางไปเยี่ยมผม พอผมถูกย้ายมาสมุทรสงครามท่านก็มาอีกและบอกผู้ติดตามทั้งหลายว่าขอคุยกับท่านผู้ว่าเป็นการส่วนตัวดังภาพ...ทันทีที่อยู่กันสองต่อสองท่านก็ยิงคำถามใส่ผมทันที ...ผู้ว่าถูกย้ายเพราะไร ผมไปสั่งรื้อคาสิโนของนายกเขมรและนักการเมืองไทยที่ปลูกล้ำพรมแดนไทยครับ.,..ผมตอบ ...เอางั้นเลยเหรอ แล้วใครสั่งย้ายนักการเมืองไทยครับเขาคงเสียหน้า ท่านพยักหน้ารับทราบและดูยิ้มแย้มขี้น จากนั้นผมก็ส่งท่านขึ้นรถกลับพรัอมทั้งผมถอนหายใจใหญ่โล่งอกที่ไม่ได้ทำให้ท่านรัฐบุรุษผิดหวังท่านเป็นคนสะอาดมากนะครับและจะไม่ยอมให้คนสีเทาเข้ามาใกล้ตัว………………………..ขอคารวะคุณนาวิน ขันธหิรัญ อดีตผู้ว่าสระแก้วที่หาญกล้าทำให้ 2 มหามาเฟียทั้งไทยและเขมรยอมรื้อคาสิโนเขมรที่รุกล้ำพรมแดนไทย สุดยอดจริง ๆ ขอให้ท่านนำการรื้อในไทยอีกนะ ถ้ามาเฟียคนเดิมของเขมรและคนใหม่ไทยในก๊วนเก่าลงมือสร้างขึ้นอีก เท่าที่รวบรวมได้คุณนาวินเป็นผู้ว่าฯจ.นครพนม,จ.สระแก้ว จ.สมุทรสงคราม และเกษียณอายุราชการวันที่ 1 ตุลาคม 2547จากผู้ว่าฯจ.นครปฐม (นักปกครอง 10 ) เพราะอายุครบ 60 ปี ปัจจุบันท่านจะมีอายุ 80 ปีเศษ( บรรยายภาพ - เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2556 นายนาวิน ขันธหิรัญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้เกียรติมาบรรยายพิเศษให้แก่นักศึกษาหลักสูตรปลัดอำเภอ รุ่นที่ 201 รุ่นที่ 202 และรุ่นที่ 203 ในหัวข้อ "ประสบการณ์นักปกครองในการแก้ไขปัญหายาเสพติด" ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 4 อาคารสำนักอธิการ วิทยาลัยการปกครอง)”
    รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊กPaisan Apacnews ของ ไพสันต์พรหมน้อย 8 มีนาคม 2568“คาสิโนเหรอ...ผมสั่งรื้อมาแล้ว โดย นาวิน ขันธหิรัญเมื่อปี 2541กระทรวงได้ย้ายผมจากนครพนมมาเป็นผู้ว่าสระแก้ว ขณะนั้นปอยเปตในฝั่งเขมรกำลังบูมการก่อสร้างเมืองขนานใหญ่มีการสร้างEntertainment Complexขนาดใหญ่ที่มีCasinoอยู่ด้วยทุกแห่งและมีนักการเมืองใหญ่ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเขมรเป็นหุ้นส่วนและมีนายซ๊ก อาน มหาเศรษฐีชาวเขมรเป็นผู้ประสานงานเมื่อสร้างเสร็จก็มีการเชิญผู้ใหญ่ฝั่งไทยไปเยี่ยมชมและประชาสัมพันธ์ว่าสร้างขึ้น มาเพื่อรับแขกชาวไทยเป็นหลัก เพื่อเห็นแก่สัมพันธภาพผมก็ไปร่วมชมความเจริญของเพื่อนบ้าน เดินชมไปมาไปพบว่าคาสิโนแห่งหนึ่งปลูกล้ำคลองพรมแดนเข้ามาในเขตไทย ผมจึงเรียกผู้จัดการมาแจ้งให้ทราบว่าคุณสร้างคาสิโนรุกแผ่นดินไทยแล้วยื่นคำขาดให้รื้อถอนออกไป ผู้จัดการเถึยงคอเป็นเอ็นแล้วยืนยันว่าไม่มีใครรื้อได้เพราะเจ้าของใหญ่มากอยู่ในพนมเปญ ผมไม่อยากเถียงกับผู้จัดการจึงตัดบทไปว่า...ไม่เป็นไรถ้าไม่รื้อผมจะปิดพรมแดนไม่ให้คนไทยข้ามมา(ผู้ว่าสามารถเสนอรัฐบาลปิดพรมแดนได้) จากนั้นผมก็เดินทางกลับเช้าวันรุ่งขึ้น11.00น.หน้าห้องได้เข้ามารายงานว่า นายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกฮุนเซนขอเข้าพบอะไรจะรวดเร็วขนาดนั้น ผมพูดเรื่องปิดพรมแดนไม่ถึง24ชั่วโมงประธานที่ปรึกษานายกเขมรก็ถึงตัวผมแล้วถึงตรงนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของสถานบริการครบวงจรที่ปอยเปตฝั่งเขมร แล้วฝั่งไทยล่ะ ประเดี๋ยวตัวละครจะค่อยๆโผล่ออกมาเองครับผมออกไปเชิญนายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกด้วยตัวเองแล้วทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรีแล้วเชิญเข้ามานั่งเจรจากันในห้องนายจุม คาดาล เล่าให้ผมฟังว่าเมื่อวานนี้เมื่อทราบข่าวว่าคาสิโนแห่งหนึ่งสร้างล้ำเข้าไปในแผ่นดินไทยท่านนายกได้สั่งการให้ผมไปดูข้อเท็จจริงและแก้ปัญหาโดยด่วน เช้านี้ผมเลยใช้ฮ.บินจากพนมเปญมาดูข้อเท็จจริงที่หน้างานพบว่าเป็นไปตามที่ท่านผู้ว่าทักท้วงจริงผมจึงนัดรถแบคโฮลเข้าพื้นที่เพื่อทำการรื้อถอนคาสิโนในส่วนที่ล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทยและขอเชิญท่านผู้ว่าไปชี้ว่าจะให้รื้อเข้าไปแค่ไหน บ่ายวันนั้นผมและนายจุม คาดาล จึงไปควบคุมการรื้อคาสิโนเป็นที่เรียบร้อย ผมทวงแผ่นดินไทยกลับมาได้ด้วยศิลปของนักปกครองโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อและชีวิต ซึ่งน่าจะได้รับคำชมเชยแต่มันไม่เป็นเช่นนั้นครับไม่ถึงเดือนต่อมาก็มีคำสั่งย้ายผมจากสระแก้วไปสมุทรสงครามซึ่งเป็นจังหวัดเล็กกว่าในสายตาของชาวมหาดไทยถือว่าเป็นการลงโทษผมจึงถามผู้บังคับบัญชาว่าย้ายผมทำไมครับท่านตอบว่าคุณไม่รู้หรือว่าคาสิโนนี้เป็นของใคร ท่านขอให้ย้ายคุณเป็นผู้ตรวจด้วยซ้ำ แต่ทางกระทรวงทักท้วงไว้ว่าคุณไม่ได้มีความผิดอะไร แถมยังรักษาแผ่นดินไว้ให้คนไทย เอาแค่ย้ายออกจากสระแก้วและให้ลงจังหวัดเล็กลงก็น่าจะเพียงพอสำหรับผมย้ายไปจังหวัดไหนก็ทำงานได้ทั้งนั้นจังหวัดเล็กลงยิ่งทำงานง่ายขึ้นเมื่อไปรับงานที่สมุทรสงครามผมก็ทำงานอย่างมีความสุข แต่มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านข้องใจไม่หายว่าทำไมผมถูกย้ายลงจังหวัดเล็กลง ทั้งๆที่ผมไม่เคยบอกท่าน ท่านผู้นั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ………………………..ถึงตอนนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่านักการเมืองใหญ่ที่เป็นหุ้นส่วนสถานบันเทิงครบวงจรในปอยเปตนั้นคือใครถ้านึกไม่ออกผมจะบอกให้เจ้าพ่อวังน้ำเย็นไงครับและเป็นคนที่สั่งย้ายผมด้วย ..ถามว่าก่อนสั่งผมรู้ไหมว่าคาสิโนแห่งนี้เป็นของสองผู้ยิ่งใหญ่คู่นี้รู้ครับวันที่ผมสั่งผู้จัดการให้รื้ิอคาสิโนแกตกใจปากคอสั่นและยืนยีนว่ารื้อไม่ได้เป็นอันขาดเพราะเป็นของผู้ใหญ่ในพนมเปญ ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จึงตัดบทไม่เจรจาด้วยส่วนเจ้าพ่อรู้สึกเสียฟอร์มที่คุ้มครองคาสิโนไม่ได้โดยเฉพาะกับฮุนเซนทางเดียวที่พอจะกู้หน้าได้คือเตะโด่งผู้ว่าไปให้พ้นหูพ้นตาเสียจะได้ไม่มายุ่งกับสถานบันเทิงของท่านอีกสะใจจริงๆนาวินใช้ชีวิตได้ผาดโผนน่าสนุกรื้อคาสิโนของนายกบ้าง ของเจ้าพ่อบ้างปัจจุบันรัฐบาลไทยกำลังจะสร้างสถานบันเทิงครบวงจรตามอย่างเขมร ผมอาจจะต้องออกมาช่วยพี่น้องชาวไทยรื้อคาสิโนในเมืองไทยอีกครั้งก็ได้ครับก่อนจบภาคแรกไปผมโปรยทิ้งไว้ว่า มีผู้ใหญ้ท่านหนึ่งข้องใจไม่หายว่าผมถูกย้ายเพราะอะไรท่านนั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์เพื่อนๆคงสงสัยว่าท่านมาเกี่ยวข้องกับผมได้อย่างไรจึงขอย้อนอดีตเล็กน้อย..เมื่อปี 2530กรมย้ายผมมาเป็นนายอำเภอสามพรานโดยอธิบดีดำรง สุนทรศาลทูล เลือกเอามาเองเพราะว่าบ้านอธิบดีอยู่สามพราน เมื่อมารับงานก็พบว่าพลเอกเปรม..รัฐบุรุษท่านตีกอล์ฟอยู่ที่สนามสามพรานทุกอาทิตย์ผมเป็นเจ้าของพื้นที่จึงไปต้อนรับท่าน ปรากฏว่าท่านถูกใจอะไรไม่ทราบชวนผมไปตีกอล์ฟก๊วนเดียวกับท่าน ซึ่งปกติจะไม่มีใครมีโอกาสเข้าร่วมก๊วนเลย ท่านจะตีอยู่กับหมอประสบ รัตนากร เพื่อนท่านและนายทหารคนสนิทเท่านั้นในก๊วนไม่มีการพนันเล่นเพื่อออกกำลังกายเฉยๆ ผมเล่นก๊อล์ฟกับท่านรัฐบุรุษเป็นเวลาหลายปีจนสนิทกันเหมือนญาติผู้ใหญ่ผมได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่านครพนมท่านก็เดินทางไปเยี่ยมผม พอผมถูกย้ายมาสมุทรสงครามท่านก็มาอีกและบอกผู้ติดตามทั้งหลายว่าขอคุยกับท่านผู้ว่าเป็นการส่วนตัวดังภาพ...ทันทีที่อยู่กันสองต่อสองท่านก็ยิงคำถามใส่ผมทันที ...ผู้ว่าถูกย้ายเพราะไร ผมไปสั่งรื้อคาสิโนของนายกเขมรและนักการเมืองไทยที่ปลูกล้ำพรมแดนไทยครับ.,..ผมตอบ ...เอางั้นเลยเหรอ แล้วใครสั่งย้ายนักการเมืองไทยครับเขาคงเสียหน้า ท่านพยักหน้ารับทราบและดูยิ้มแย้มขี้น จากนั้นผมก็ส่งท่านขึ้นรถกลับพรัอมทั้งผมถอนหายใจใหญ่โล่งอกที่ไม่ได้ทำให้ท่านรัฐบุรุษผิดหวังท่านเป็นคนสะอาดมากนะครับและจะไม่ยอมให้คนสีเทาเข้ามาใกล้ตัว………………………..ขอคารวะคุณนาวิน ขันธหิรัญ อดีตผู้ว่าสระแก้วที่หาญกล้าทำให้ 2 มหามาเฟียทั้งไทยและเขมรยอมรื้อคาสิโนเขมรที่รุกล้ำพรมแดนไทย สุดยอดจริง ๆ ขอให้ท่านนำการรื้อในไทยอีกนะ ถ้ามาเฟียคนเดิมของเขมรและคนใหม่ไทยในก๊วนเก่าลงมือสร้างขึ้นอีก เท่าที่รวบรวมได้คุณนาวินเป็นผู้ว่าฯจ.นครพนม,จ.สระแก้ว จ.สมุทรสงคราม และเกษียณอายุราชการวันที่ 1 ตุลาคม 2547จากผู้ว่าฯจ.นครปฐม (นักปกครอง 10 ) เพราะอายุครบ 60 ปี ปัจจุบันท่านจะมีอายุ 80 ปีเศษ( บรรยายภาพ - เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2556 นายนาวิน ขันธหิรัญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้เกียรติมาบรรยายพิเศษให้แก่นักศึกษาหลักสูตรปลัดอำเภอ รุ่นที่ 201 รุ่นที่ 202 และรุ่นที่ 203 ในหัวข้อ "ประสบการณ์นักปกครองในการแก้ไขปัญหายาเสพติด" ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 4 อาคารสำนักอธิการ วิทยาลัยการปกครอง)”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1063 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พิพัฒน์” ชง ครม. นำแรงงานต่างด้าว เข้าระบบประกันสังคม ม.33 เกษียณมีบำนาญ รักษาพยาบาลได้ตามสิทธิ
    https://www.thai-tai.tv/news/17543/
    “พิพัฒน์” ชง ครม. นำแรงงานต่างด้าว เข้าระบบประกันสังคม ม.33 เกษียณมีบำนาญ รักษาพยาบาลได้ตามสิทธิ https://www.thai-tai.tv/news/17543/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • อายุ 71 ปี ข้าราชการบำนาญ
    ตำแหน่งก่อนเกษียณ
    รองผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ
    วช.พระนคร
    อายุ 71 ปี ข้าราชการบำนาญ ตำแหน่งก่อนเกษียณ รองผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ วช.พระนคร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปมร้อน ข่าวลึก : ปลุก “พลังเงียบ” เลือก ก.อ.หักโพย “ขาใหญ่อัยการ” คุมกำเนิด “ทายาทอสูร”
    .
    งวดเข้ามาทุกขณะ อีเวนท์ใหญ่ปีนี้ของ สำนักงานอัยการสูงสุด ที่จะมีการเลือกตั้ง ประธาน และคณะกรรมการอัยการ หรือ “ก.อ.” ชุดใหม่ โดยเริ่มจากการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่กำลังจะหมดวาระดำรงตำแหน่ง 2 ปีตามกฎหมายกำหนด
    .
    โดยในส่วนของการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” นั้นได้เริ่มดำเนินการเปิดรับสมัคร และทาบทามมาแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 กระทั่งได้ผู้สมัครรวม 26 ราย ที่จะช่วงชิง 8 เก้าอี้ ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมกับประธาน ก.อ. 1 คน ที่กำหนดว่า ปัจจุบันไม่ใช่ข้าราชการอัยการและมีคุณสมบัติตามกฎหมายมาจากการเลือกตั้งของพนักงานอัยการทั่วประเทศ และอัยการสูงสุดเป็นรองประธาน ก.อ.โดยตำแหน่ง ทั้งให้รวมรองอัยการสูงสุดตั้งแต่อาวุโสอันดับ 1-5 เป็น ก.อ.โดยตำแหน่งเช่นเดียวกัน รวมเป็น 15 คน ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฉบับปัจจุบัน
    .
    สำหรับการลงคะแนนเลือกตั้ง 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒินั้น จะเป็นการเลือกของอัยการทั่วประเทศ แบ่งเป็นกลุ่มอัยการชั้น 5 ขึ้นไป จำนวน 4 คนที่ได้คะแนนสูงสุด ซึ่งครั้งนี้มีผู้สมัคร 13 คน, กลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ จำนวน 2 คน ที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 9 คน และกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ จำนวน 2 คนที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 4 คน
    .
    โดยขณะนี้มีการทยอยลงคะแนน ก่อนจะมีการปิดผนึกลงคะแนนกันเพื่อส่งเข้าส่วนกลางในวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2568 และกำหนดนับคะแนนในวันรุ่งขึ้น อังคารที่ 12 มีนาคม 2568
    .
    สำหรับ 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิที่เปิดให้อัยการทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการลงคะแนนถือเป็นจุดชี้ขาดความเป็นไปขององค์การอัยการ ด้วยที่ผ่านมาหลังใช้ระบบนี้ ก็มักถูก “ขาใหญ่อัยการ” ทั้งอดีต-ปัจจุบัน วางเส้นสายไลน์อำนาจผ่านการเลือกตั้ง ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อสืบทอดอำนาจ สร้างอิทธิพลของตัวเองและพวกพ้อง ส่งคนของตัวเองเข้ามาเสนอตัวเป็นแคนดิเดต
    .
    ตลอดจนมีปฏิบัติการล็อบบี้ในทางลับให้อัยการผู้น้อยทั่วประเทศลงคะแนนให้ลงคะแนนเลือกผู้สมัครตาม “โพย” โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้ความสามารถ หรือคุณงามความดีใดๆ เพียงแค่ต้องตรงสเปก “กดปุ่ม” สั่งการได้เท่านั้น
    .
    โดยทำกันในรูปแบบขบวนการที่หวังเข้าฮุบอำนาจของที่ประชุม ก.อ. ซึ่งมี “พระเดช-พระคุณ” กับข้าราชการอัยการทุกระดับ ทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ, การพิจารณาดำเนินการทางวินัย และการสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการอัยการที่กระทำผิดระเบียบ รวมทั้งการพิจารณาออกระเบียบบริหารงานบุคคลอัตรากำลังข้าราชการฝ่ายอัยการ
    .
    โดยเฉพาะอำนาจในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการอัยการ ที่รวมไปถึงตำแหน่ง “อัยการสูงสุด” ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ก.อ. ก่อนส่งให้ วุฒิสภา ให้ความเห็นชอบอีกครั้ง และนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในลำดับถัดไปด้วย
    .
    ครั้งนี้ก็เช่นกันในจำนวนอัยการชั้น 5 ขึ้นไปที่สมัครเข้ามา 13 รายนั้น คนในวงการก็มองออกว่า ใครเป็นใคร ใครเด็กใคร และใครเป็นตัวเต็งที่ “ขาใหญ่” ส่งเข้าประกวด
    .
    ตรงนี้เองที่ต้องถามใจอัยการทั่วประเทศที่เป็น “โหวตเตอร์” ว่ายังจะยอมตกเป็นเครื่องมือปั้น “ทายาทอสูร” เหมือนที่ผ่านๆมาอีกหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า การปล่อยให้มีการสืบทอดอำนาจผ่านที่ประชุม ก.อ.เช่นนี้ นับวันจะทำให้ ”อัยการ“ ถลำเข้าสู่ “วงจรอุบาทว์” จนมีส่วนสำคัญในการฉุดภาพลักษณ์องค์กรทนายแผ่นดินให้ตกต่ำอย่างเช่นในปัจจุบัน
    .
    การเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่อัยการผู้รักในองค์กรจะร่วมกันปลุก “พลังเงียบ” ยกระดับมาตรฐานการเลือกบุคคล ขึ้นมางัดง้างกับ “ขาใหญ่” ตัดตอนคุมกำเนิด “ทายาทอสูร” ผ่านการลงคะแนนเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยคำนึงถึงความรู้ความสามารถ วิสัยทัศน์ ผลงาน หรือคุณธรรมความดี ของแคนดิเดตเป็นสำคัญ
    .
    โดยขณะนี้ในหมู่พลังเงียบก็มีการกล่าวขวัญถึงแคนดิเดต ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ดูจะมีความเหมาะสม และเป็นความหวังในการเข้าไปต่อกรโค่นล้มวงจร “ขั้วอำนาจเก่า”
    .
    โดยในกลุ่มที่เป็นข้าราชการอัยการตั้งแต่ชั้น 5 ขึ้นไป 4 คน คือ ชัยนันท์ งามขจรกุลกิจ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ, ณรงค์ ศรีระสันต์ รองอธิบดีอัยการภาค 9, ต่อศักดิ์ บูรณะเรืองโรจน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการ และ น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุด
    .
    รวมกับ 2 แคนดิเดตจากกลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ ได้แก่ ชนิญญา ชัยสุวรรณ อดีตอธิบดีอัยการคดียาเสพติด และ อภิชาต อาสภวิริยะ อดีตอธิบดีอัยการคดีศาลสูง
    .
    และอีก 2 แคนดิเดตจากกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ คือ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และ รศ.ดร.เจษฏ์ โทณะวณิก ประธานคณะนิติศาสตร์วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย
    .
    ซึ่งหาก “พลังเงียบ” สามัคคียึดโยงผลประโยชน์องค์กรกันอย่างเข้มแข็ง ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกอบกู้ศรัทธาองค์กรอัยการให้กลับมาเป็นที่ยอมรับน่าเชื่อถือได้อีกครั้ง.
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://news1live.com/detail/9680000021277
    .
    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes

    ปมร้อน ข่าวลึก : ปลุก “พลังเงียบ” เลือก ก.อ.หักโพย “ขาใหญ่อัยการ” คุมกำเนิด “ทายาทอสูร” . งวดเข้ามาทุกขณะ อีเวนท์ใหญ่ปีนี้ของ สำนักงานอัยการสูงสุด ที่จะมีการเลือกตั้ง ประธาน และคณะกรรมการอัยการ หรือ “ก.อ.” ชุดใหม่ โดยเริ่มจากการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่กำลังจะหมดวาระดำรงตำแหน่ง 2 ปีตามกฎหมายกำหนด . โดยในส่วนของการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” นั้นได้เริ่มดำเนินการเปิดรับสมัคร และทาบทามมาแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 กระทั่งได้ผู้สมัครรวม 26 ราย ที่จะช่วงชิง 8 เก้าอี้ ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมกับประธาน ก.อ. 1 คน ที่กำหนดว่า ปัจจุบันไม่ใช่ข้าราชการอัยการและมีคุณสมบัติตามกฎหมายมาจากการเลือกตั้งของพนักงานอัยการทั่วประเทศ และอัยการสูงสุดเป็นรองประธาน ก.อ.โดยตำแหน่ง ทั้งให้รวมรองอัยการสูงสุดตั้งแต่อาวุโสอันดับ 1-5 เป็น ก.อ.โดยตำแหน่งเช่นเดียวกัน รวมเป็น 15 คน ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฉบับปัจจุบัน . สำหรับการลงคะแนนเลือกตั้ง 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒินั้น จะเป็นการเลือกของอัยการทั่วประเทศ แบ่งเป็นกลุ่มอัยการชั้น 5 ขึ้นไป จำนวน 4 คนที่ได้คะแนนสูงสุด ซึ่งครั้งนี้มีผู้สมัคร 13 คน, กลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ จำนวน 2 คน ที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 9 คน และกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ จำนวน 2 คนที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 4 คน . โดยขณะนี้มีการทยอยลงคะแนน ก่อนจะมีการปิดผนึกลงคะแนนกันเพื่อส่งเข้าส่วนกลางในวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2568 และกำหนดนับคะแนนในวันรุ่งขึ้น อังคารที่ 12 มีนาคม 2568 . สำหรับ 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิที่เปิดให้อัยการทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการลงคะแนนถือเป็นจุดชี้ขาดความเป็นไปขององค์การอัยการ ด้วยที่ผ่านมาหลังใช้ระบบนี้ ก็มักถูก “ขาใหญ่อัยการ” ทั้งอดีต-ปัจจุบัน วางเส้นสายไลน์อำนาจผ่านการเลือกตั้ง ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อสืบทอดอำนาจ สร้างอิทธิพลของตัวเองและพวกพ้อง ส่งคนของตัวเองเข้ามาเสนอตัวเป็นแคนดิเดต . ตลอดจนมีปฏิบัติการล็อบบี้ในทางลับให้อัยการผู้น้อยทั่วประเทศลงคะแนนให้ลงคะแนนเลือกผู้สมัครตาม “โพย” โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้ความสามารถ หรือคุณงามความดีใดๆ เพียงแค่ต้องตรงสเปก “กดปุ่ม” สั่งการได้เท่านั้น . โดยทำกันในรูปแบบขบวนการที่หวังเข้าฮุบอำนาจของที่ประชุม ก.อ. ซึ่งมี “พระเดช-พระคุณ” กับข้าราชการอัยการทุกระดับ ทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ, การพิจารณาดำเนินการทางวินัย และการสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการอัยการที่กระทำผิดระเบียบ รวมทั้งการพิจารณาออกระเบียบบริหารงานบุคคลอัตรากำลังข้าราชการฝ่ายอัยการ . โดยเฉพาะอำนาจในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการอัยการ ที่รวมไปถึงตำแหน่ง “อัยการสูงสุด” ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ก.อ. ก่อนส่งให้ วุฒิสภา ให้ความเห็นชอบอีกครั้ง และนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในลำดับถัดไปด้วย . ครั้งนี้ก็เช่นกันในจำนวนอัยการชั้น 5 ขึ้นไปที่สมัครเข้ามา 13 รายนั้น คนในวงการก็มองออกว่า ใครเป็นใคร ใครเด็กใคร และใครเป็นตัวเต็งที่ “ขาใหญ่” ส่งเข้าประกวด . ตรงนี้เองที่ต้องถามใจอัยการทั่วประเทศที่เป็น “โหวตเตอร์” ว่ายังจะยอมตกเป็นเครื่องมือปั้น “ทายาทอสูร” เหมือนที่ผ่านๆมาอีกหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า การปล่อยให้มีการสืบทอดอำนาจผ่านที่ประชุม ก.อ.เช่นนี้ นับวันจะทำให้ ”อัยการ“ ถลำเข้าสู่ “วงจรอุบาทว์” จนมีส่วนสำคัญในการฉุดภาพลักษณ์องค์กรทนายแผ่นดินให้ตกต่ำอย่างเช่นในปัจจุบัน . การเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่อัยการผู้รักในองค์กรจะร่วมกันปลุก “พลังเงียบ” ยกระดับมาตรฐานการเลือกบุคคล ขึ้นมางัดง้างกับ “ขาใหญ่” ตัดตอนคุมกำเนิด “ทายาทอสูร” ผ่านการลงคะแนนเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยคำนึงถึงความรู้ความสามารถ วิสัยทัศน์ ผลงาน หรือคุณธรรมความดี ของแคนดิเดตเป็นสำคัญ . โดยขณะนี้ในหมู่พลังเงียบก็มีการกล่าวขวัญถึงแคนดิเดต ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ดูจะมีความเหมาะสม และเป็นความหวังในการเข้าไปต่อกรโค่นล้มวงจร “ขั้วอำนาจเก่า” . โดยในกลุ่มที่เป็นข้าราชการอัยการตั้งแต่ชั้น 5 ขึ้นไป 4 คน คือ ชัยนันท์ งามขจรกุลกิจ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ, ณรงค์ ศรีระสันต์ รองอธิบดีอัยการภาค 9, ต่อศักดิ์ บูรณะเรืองโรจน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการ และ น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุด . รวมกับ 2 แคนดิเดตจากกลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ ได้แก่ ชนิญญา ชัยสุวรรณ อดีตอธิบดีอัยการคดียาเสพติด และ อภิชาต อาสภวิริยะ อดีตอธิบดีอัยการคดีศาลสูง . และอีก 2 แคนดิเดตจากกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ คือ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และ รศ.ดร.เจษฏ์ โทณะวณิก ประธานคณะนิติศาสตร์วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย . ซึ่งหาก “พลังเงียบ” สามัคคียึดโยงผลประโยชน์องค์กรกันอย่างเข้มแข็ง ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกอบกู้ศรัทธาองค์กรอัยการให้กลับมาเป็นที่ยอมรับน่าเชื่อถือได้อีกครั้ง. . อ่านเพิ่มเติม..https://news1live.com/detail/9680000021277 . #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1274 มุมมอง 0 รีวิว