• พรุ่งนี้เริ่มหยุดยาว เลยมาอัพบทความเร็วหน่อย วันนี้คุยกันต่อเรื่องสิบสองภาพวาด ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก แน่นอนว่าความยากในการหาข้อมูลยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องเพราะสิบสองภาพวาดนี้สูญหายไปเกือบหมดแล้ว และอย่างที่ Storyฯ ได้กล่าวไปในบทความก่อนหน้านี้ ตำหนักที่ประทับของแต่ละท่านในละครก็ใช่ว่าจะตรงกันกับในประวัติศาสตร์

    ภาพที่จะเล่าถึงกันในวันนี้เป็นอีกหนึ่งภาพที่หาข้อมูลยาก คือภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ (徐妃直谏图) ซึ่งในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ภาพนี้ถูกพระราชทานให้เสียนเฟยที่ตำหนักเฉิงเฉียนกง แต่อย่างที่เพื่อนเพจอาจพอทราบมาบ้าง เสียนเฟย (ซึ่งต่อมาคือฮองเฮาสกุลอูลาน่าลา) ถูกลบเลือนออกไปจากบันทึกต่างๆ มีบางข้อมูลบอกว่าพระนางประทับที่ตำหนักอี้คุนกง และภาพที่ได้รับพระราชทานมาที่ตำหนักอี้คุนกงคือภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ (昭容评诗图)

    อย่างไรก็ดี เท่าที่ Storyฯ พอจะหาข้อมูลได้ ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้เคยแขวนอยู่ที่เฉิงเฉียนกง วันนี้เราคุยกันเรื่องภาพนี้

    ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ Storyฯ หาไม่พบว่าจริงแล้วหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะภาพที่ใช้ประกอบในละครนั้น จริงๆ แล้วเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นภาพวาดชีวิตสตรีในตระกูลขุนนางของเจียวปิ่งเจินในสมัยต้นราชวงศ์ชิง (รูปประกอบ1) ส่วนภาพที่เกี่ยวกับสวีเฟยที่ Storyฯ แปะมาให้ดูนั้น มีชื่อว่า ‘สวีเฟยถวายฎีกา’ (徐惠上疏 รูปประกอบ2) เป็นผลงานของหวางเจิ้งเผิงสมัยราชวงศ์หยวนจากคอลเลคชั่นเกี่ยวกับพระภรรยาที่มีชื่อเสียงด้านคุณงามความดีในประวัติศาสตร์จีน

    ‘สวีเฟย’ คือใคร? นางคือหนึ่งในพระสนมของฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินหรือถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง (ขออภัยไม่ใช่ราชาศัพท์) นามเดิมว่า ‘สวีฮุ่ย’ (ค.ศ. 627-650) เป็นบุตรีของอดีตขุนนางระดับสูงของราชวงศ์ใต้ พื้นเพเดิมจากหูโจว มลฑลเจ้อเจียง นางเชี่ยวชาญด้านงานอักษรและบทกวี ว่ากันว่านางสามารถเริ่มเขียนบทความยาวๆ และท่องจำหนังสือปรัชญาของขงจื๊อที่ผู้ใหญ่ใช้เรียนได้ตั้งแต่เมื่ออายุเพียงสี่ขวบ ตอนนางอายุแปดขวบได้แต่งบทกลอนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานชั้นเลิศ โด่งดังไปถึงหูขององค์ถังไท่จงในวังหลวง จนทำให้ถูกรับเข้าวังเป็นสนมเมื่อมีอายุเพียงสิบเอ็ดปี (ตอนนั้นฮ่องเต้อายุสี่สิบปี) ด้วยตำแหน่งไฉเหริน ความสามารถด้านต่างๆ ของนางเป็นที่โปรดปรานขององค์ถังไท่จงมาก จึงได้รับการปรับตำแหน่งขึ้นเรื่อยมาจนเป็นถึงชงหรง

    เหตุการณ์ที่กล่าวถึงในภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงปลายรัชสมัยขององค์ถังไท่จง จากที่เคยเป็นฮ่องเต้ที่ใส่ใจทุกข์สุขของประชาชนและผลักดันการฟื้นฟูเศรษฐกิจ พอถึงช่วงปลายรัชสมัยนั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ดูจะใส่ใจทุกข์สุขของประชาชนน้อยลง ประหยัดน้อยลง หาความสำราญส่วนตนมากขึ้น หมดเงินไม่น้อยกับการสร้างพระราชวังใหม่ๆ ไม่หยุดหย่อนเพื่อเป็นที่ระลึกถึงรัชสมัยอันเกรียงไกรของตัวเอง และก่อสงครามใหญ่สองครั้ง ประชาชนเริ่มลำบากยากจน สร้างความกังวลให้กับเหล่าขุนนาง

    สวีเฟยเองแม้อยู่ในวังหลังแต่ใส่ใจเรื่องราวบ้านเมืองและทุกข์สุขของประชาชน ทั้งกังวลทั้งอดรนทนไม่ไหว จึงร่างบทความวิจารณ์ทางการเมืองขึ้นยื่นถวายเป็นฎีกา เนื้อความสรุปโดยคร่าวคือ
    – ขอให้ถังไท่จงอย่าได้ทำตามตัวอย่างกษัตริย์ในอดีตที่ใช้เวลาและทรัพย์สินไปกับการป่าวประกาศคุณงามความดีของตน เพราะเมื่อมีผลงานไม่ต้องโอ้อวด ประชาชนก็สำนึกได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องสร้างพระราชวังหรือวิหารอลังการ ความดีที่ทำก็จะคงอยู่ได้ยาวนานเป็นหมื่นปี
    – สงครามที่ไม่หยุดสิ้น เป็นการสิ้นเปลืองเสบียงอาหารและสร้างความลำบากให้ประชาชน ต้องอดมื้อกินมื้อ ขอองค์ถังไท่จงอย่าได้มัวแต่โหยหาอำนาจจากการขยายอาณาเขตเพิ่มจนสูญเสียไพร่พลคนม้าของตนเองไปโดยไม่รู้ตัว และหลงลืมความเมตตากรุณาอันเป็นคุณสมบัติสำคัญ พร้อมกับยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ทำให้บ้านเมืองต้องล่มจมเพราะความกระหายอำนาจของกษัตริย์
    – การก่อสร้างไม่หยุดหย่อนในสิ่งที่ไม่จำเป็น เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ ไม่ว่าจะเป็นไม้หรือแรงงาน ต้องเกณฑ์คนมาขนหินขนไม้ สร้างความทุกข์ยากให้ประชาชน แรงของคนควรสงวนไว้เพื่อสิ่งที่จำเป็น ให้เขาได้พักบ้าง เมื่อถึงคราวต้องใช้จึงเป็นคนที่บ้านเมืองพึ่งพาได้
    – ของฟุ่มเฟือยเงินทองมุกหยก ล้วนทำให้เมามายได้ดั่งสุรา แม้ล้วนเป็นสิ่งที่ได้รับมาเป็นเครื่องบรรณาการ แต่การนำมาใช้อย่างมากมายกลับกลายเป็นการสร้างความแตกต่างและระยะห่างระหว่างฮ่องเต้กับประชาชน ดังนั้น แทนที่จะหลงระเริงกับของเหล่านี้ มิสู้ทุ่มแรงใจให้กับการเสริมสร้างความรู้และการศึกษาให้กับคน
    ฯลฯ

    บทความของสวีเฟยนี้ยาวมากจน Storyฯ สรุปให้ไม่ได้หมด ฎีกาฉบับนี้มีชื่อเรียกว่า ‘เจี้ยนไท่จงซี่ปิงป้าอี้ซู’ (谏太宗息兵罢役疏 แปลได้ประมาณว่า ฏีกาตำหนิให้ไท่จงหยุดทหารหยุดทัพ) ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นบทวิจารณ์ทางการเมืองโดยสตรีที่หายาก และแม้ว่าเป็นการตำหนิอย่างตรงไปตรงมา แต่สามารถสื่อออกมาได้อย่างมีเหตุผลและแสดงความเคารพนบนอบ บ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญในการใช้ภาษาของนาง และยังเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์สมัยถัง เหตุเพราะองค์ถังไท่จงได้รับฟังอย่างจริงจังและเห็นด้วย ไม่เพียงไม่โกรธแต่ยังยกย่องชื่นชมและให้รางวัลนางอีกด้วย

    ว่ากันว่า ในช่วงบั้นปลายชีวิตขององค์ถังไท่จงนั้น นางคือคนที่เขาโปรดปรานที่สุด ต่อมาเมื่อองค์ถังไท่จงเสียชีวิต นางก็ตรอมใจจนตายตามไปด้วย ขณะนั้นอายุนางเพียงยี่สิบสี่ปี ภายหลังได้รับการอวยยศย้อนหลังจากฮ่องเต้หลี่จื้อ (ถังเกาจง) ให้เป็นเสียนเฟย ผลงานที่สืบทอดมาเป็นวรรณกรรมให้ชนรุ่นหลังศึกษามีมากมายหลายชิ้น นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่ถูกยกย่องด้านความฉลาดและความเชี่ยวชาญด้านงานอักษรของประวัติศาสตร์จีน

    ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ถูกตีความว่าเป็นภาพที่สะท้อนถึงความจงรักภักดีและความตรงไปตรงมา ส่วนป้ายที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงพระราชทานไปพร้อมกับภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ เขียนว่า ‘เต๋อเฉิงโหรวซุ่น’ (德成柔顺) แปลได้ประมาณว่า เปี่ยมด้วยศีลธรรมและความนอบน้อม

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://inmywordz.com/archives/66897
    https://www.duitang.com/blog/?id=1246591620
    https://baike.sogou.com/v74971288.htm

    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html
    https://baike.sogou.com/v74971288.htm
    https://baike.baidu.com/item/徐惠/11444
    https://baike.baidu.com/item/谏太宗息兵罢役疏

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เสียนเฟย #สวีเฟยวิพากษ์ #สวีเฟย #สวีเฟยถวายฎีกา #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    พรุ่งนี้เริ่มหยุดยาว เลยมาอัพบทความเร็วหน่อย วันนี้คุยกันต่อเรื่องสิบสองภาพวาด ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก แน่นอนว่าความยากในการหาข้อมูลยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องเพราะสิบสองภาพวาดนี้สูญหายไปเกือบหมดแล้ว และอย่างที่ Storyฯ ได้กล่าวไปในบทความก่อนหน้านี้ ตำหนักที่ประทับของแต่ละท่านในละครก็ใช่ว่าจะตรงกันกับในประวัติศาสตร์ ภาพที่จะเล่าถึงกันในวันนี้เป็นอีกหนึ่งภาพที่หาข้อมูลยาก คือภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ (徐妃直谏图) ซึ่งในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ภาพนี้ถูกพระราชทานให้เสียนเฟยที่ตำหนักเฉิงเฉียนกง แต่อย่างที่เพื่อนเพจอาจพอทราบมาบ้าง เสียนเฟย (ซึ่งต่อมาคือฮองเฮาสกุลอูลาน่าลา) ถูกลบเลือนออกไปจากบันทึกต่างๆ มีบางข้อมูลบอกว่าพระนางประทับที่ตำหนักอี้คุนกง และภาพที่ได้รับพระราชทานมาที่ตำหนักอี้คุนกงคือภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ (昭容评诗图) อย่างไรก็ดี เท่าที่ Storyฯ พอจะหาข้อมูลได้ ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้เคยแขวนอยู่ที่เฉิงเฉียนกง วันนี้เราคุยกันเรื่องภาพนี้ ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ Storyฯ หาไม่พบว่าจริงแล้วหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะภาพที่ใช้ประกอบในละครนั้น จริงๆ แล้วเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นภาพวาดชีวิตสตรีในตระกูลขุนนางของเจียวปิ่งเจินในสมัยต้นราชวงศ์ชิง (รูปประกอบ1) ส่วนภาพที่เกี่ยวกับสวีเฟยที่ Storyฯ แปะมาให้ดูนั้น มีชื่อว่า ‘สวีเฟยถวายฎีกา’ (徐惠上疏 รูปประกอบ2) เป็นผลงานของหวางเจิ้งเผิงสมัยราชวงศ์หยวนจากคอลเลคชั่นเกี่ยวกับพระภรรยาที่มีชื่อเสียงด้านคุณงามความดีในประวัติศาสตร์จีน ‘สวีเฟย’ คือใคร? นางคือหนึ่งในพระสนมของฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินหรือถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง (ขออภัยไม่ใช่ราชาศัพท์) นามเดิมว่า ‘สวีฮุ่ย’ (ค.ศ. 627-650) เป็นบุตรีของอดีตขุนนางระดับสูงของราชวงศ์ใต้ พื้นเพเดิมจากหูโจว มลฑลเจ้อเจียง นางเชี่ยวชาญด้านงานอักษรและบทกวี ว่ากันว่านางสามารถเริ่มเขียนบทความยาวๆ และท่องจำหนังสือปรัชญาของขงจื๊อที่ผู้ใหญ่ใช้เรียนได้ตั้งแต่เมื่ออายุเพียงสี่ขวบ ตอนนางอายุแปดขวบได้แต่งบทกลอนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานชั้นเลิศ โด่งดังไปถึงหูขององค์ถังไท่จงในวังหลวง จนทำให้ถูกรับเข้าวังเป็นสนมเมื่อมีอายุเพียงสิบเอ็ดปี (ตอนนั้นฮ่องเต้อายุสี่สิบปี) ด้วยตำแหน่งไฉเหริน ความสามารถด้านต่างๆ ของนางเป็นที่โปรดปรานขององค์ถังไท่จงมาก จึงได้รับการปรับตำแหน่งขึ้นเรื่อยมาจนเป็นถึงชงหรง เหตุการณ์ที่กล่าวถึงในภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงปลายรัชสมัยขององค์ถังไท่จง จากที่เคยเป็นฮ่องเต้ที่ใส่ใจทุกข์สุขของประชาชนและผลักดันการฟื้นฟูเศรษฐกิจ พอถึงช่วงปลายรัชสมัยนั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ดูจะใส่ใจทุกข์สุขของประชาชนน้อยลง ประหยัดน้อยลง หาความสำราญส่วนตนมากขึ้น หมดเงินไม่น้อยกับการสร้างพระราชวังใหม่ๆ ไม่หยุดหย่อนเพื่อเป็นที่ระลึกถึงรัชสมัยอันเกรียงไกรของตัวเอง และก่อสงครามใหญ่สองครั้ง ประชาชนเริ่มลำบากยากจน สร้างความกังวลให้กับเหล่าขุนนาง สวีเฟยเองแม้อยู่ในวังหลังแต่ใส่ใจเรื่องราวบ้านเมืองและทุกข์สุขของประชาชน ทั้งกังวลทั้งอดรนทนไม่ไหว จึงร่างบทความวิจารณ์ทางการเมืองขึ้นยื่นถวายเป็นฎีกา เนื้อความสรุปโดยคร่าวคือ – ขอให้ถังไท่จงอย่าได้ทำตามตัวอย่างกษัตริย์ในอดีตที่ใช้เวลาและทรัพย์สินไปกับการป่าวประกาศคุณงามความดีของตน เพราะเมื่อมีผลงานไม่ต้องโอ้อวด ประชาชนก็สำนึกได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องสร้างพระราชวังหรือวิหารอลังการ ความดีที่ทำก็จะคงอยู่ได้ยาวนานเป็นหมื่นปี – สงครามที่ไม่หยุดสิ้น เป็นการสิ้นเปลืองเสบียงอาหารและสร้างความลำบากให้ประชาชน ต้องอดมื้อกินมื้อ ขอองค์ถังไท่จงอย่าได้มัวแต่โหยหาอำนาจจากการขยายอาณาเขตเพิ่มจนสูญเสียไพร่พลคนม้าของตนเองไปโดยไม่รู้ตัว และหลงลืมความเมตตากรุณาอันเป็นคุณสมบัติสำคัญ พร้อมกับยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ทำให้บ้านเมืองต้องล่มจมเพราะความกระหายอำนาจของกษัตริย์ – การก่อสร้างไม่หยุดหย่อนในสิ่งที่ไม่จำเป็น เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ ไม่ว่าจะเป็นไม้หรือแรงงาน ต้องเกณฑ์คนมาขนหินขนไม้ สร้างความทุกข์ยากให้ประชาชน แรงของคนควรสงวนไว้เพื่อสิ่งที่จำเป็น ให้เขาได้พักบ้าง เมื่อถึงคราวต้องใช้จึงเป็นคนที่บ้านเมืองพึ่งพาได้ – ของฟุ่มเฟือยเงินทองมุกหยก ล้วนทำให้เมามายได้ดั่งสุรา แม้ล้วนเป็นสิ่งที่ได้รับมาเป็นเครื่องบรรณาการ แต่การนำมาใช้อย่างมากมายกลับกลายเป็นการสร้างความแตกต่างและระยะห่างระหว่างฮ่องเต้กับประชาชน ดังนั้น แทนที่จะหลงระเริงกับของเหล่านี้ มิสู้ทุ่มแรงใจให้กับการเสริมสร้างความรู้และการศึกษาให้กับคน ฯลฯ บทความของสวีเฟยนี้ยาวมากจน Storyฯ สรุปให้ไม่ได้หมด ฎีกาฉบับนี้มีชื่อเรียกว่า ‘เจี้ยนไท่จงซี่ปิงป้าอี้ซู’ (谏太宗息兵罢役疏 แปลได้ประมาณว่า ฏีกาตำหนิให้ไท่จงหยุดทหารหยุดทัพ) ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นบทวิจารณ์ทางการเมืองโดยสตรีที่หายาก และแม้ว่าเป็นการตำหนิอย่างตรงไปตรงมา แต่สามารถสื่อออกมาได้อย่างมีเหตุผลและแสดงความเคารพนบนอบ บ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญในการใช้ภาษาของนาง และยังเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์สมัยถัง เหตุเพราะองค์ถังไท่จงได้รับฟังอย่างจริงจังและเห็นด้วย ไม่เพียงไม่โกรธแต่ยังยกย่องชื่นชมและให้รางวัลนางอีกด้วย ว่ากันว่า ในช่วงบั้นปลายชีวิตขององค์ถังไท่จงนั้น นางคือคนที่เขาโปรดปรานที่สุด ต่อมาเมื่อองค์ถังไท่จงเสียชีวิต นางก็ตรอมใจจนตายตามไปด้วย ขณะนั้นอายุนางเพียงยี่สิบสี่ปี ภายหลังได้รับการอวยยศย้อนหลังจากฮ่องเต้หลี่จื้อ (ถังเกาจง) ให้เป็นเสียนเฟย ผลงานที่สืบทอดมาเป็นวรรณกรรมให้ชนรุ่นหลังศึกษามีมากมายหลายชิ้น นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่ถูกยกย่องด้านความฉลาดและความเชี่ยวชาญด้านงานอักษรของประวัติศาสตร์จีน ภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ถูกตีความว่าเป็นภาพที่สะท้อนถึงความจงรักภักดีและความตรงไปตรงมา ส่วนป้ายที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงพระราชทานไปพร้อมกับภาพ ‘สวีเฟยวิพากษ์’ นี้ เขียนว่า ‘เต๋อเฉิงโหรวซุ่น’ (德成柔顺) แปลได้ประมาณว่า เปี่ยมด้วยศีลธรรมและความนอบน้อม (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://inmywordz.com/archives/66897 https://www.duitang.com/blog/?id=1246591620 https://baike.sogou.com/v74971288.htm Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html https://baike.sogou.com/v74971288.htm https://baike.baidu.com/item/徐惠/11444 https://baike.baidu.com/item/谏太宗息兵罢役疏 #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เสียนเฟย #สวีเฟยวิพากษ์ #สวีเฟย #สวีเฟยถวายฎีกา #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    INMYWORDZ.COM
    《延禧攻略》最受寵的是令妃,生得最多的是純妃!乾隆為何卻選擇最心狠毒辣嫻妃為繼后?-我們用電影寫日記 - 冒牌生:寫作 • 旅行 • 生活
    而且還是在富察皇后離開後就馬上決定了😱 #延禧攻略 #繼皇后為什麼是她 #皇上考慮的真多 *正文開始 來源:美映椒房 整理:冒牌生 乾隆十三年三月,乾隆皇帝元配富察皇后忍著喪子悲痛,強顏歡笑帶病伺候皇帝和太后東巡,最終病逝於東巡途中。
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลงานวิจัยเกิดโรคมะเร็งของรัสเซีย
    -----
    รัสเซียทำอะไรชอบเปิดเผยให้โลกรู้ทุกอย่างไม่เหมือนอเมริกาที่รู้อะไรเก็บเป็นความลับหมด แล้วมนุษย์บนโลกใบนี้จะเชื่อว่าระบอบการปกครองแบบไหนดีที่สุดของมนุษยชาติ หรือถูกอเมริกาหลอกมาตลอดว่าระบอบเขาดีสุด หรือระบอบรัสเซีย-จีนดีสุดกันแน่ ในท้ายสุดมนุษย์รุ่นต่อๆไปจะอยู่กับระบอบไหนถึงจะมีชีวิตรอดยาวนาน ไม่ใช่ผลาญทรัพย์กรธรรมชาติโลกที่ว่ายุโรปและอเมริกาผลาญจนประเทศตัวเองไม่มีอะไรเหลือ แล้วไปปล้นคนอื่นกินเข้าประเทศตัวเอง


    คนที่เป็นมะเร็งเสียชีวิตเพราะอะไร

    ผลงานวิจัยฯ ของรัสเซีย อ้างว่าเหตุผลการเสียชีวิตมิได้เกิดจากมะเร็ง ยกเว้นความสะเพร่าของผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยทราบว่ามีเซลล์มะเร็ง ให้รีบปฏิบัติ

    1. ขั้นตอนแรกคือ การหยุดน้ำตาลทั้งหมด ถ้าไม่มีน้ำตาล ในร่างกายของคุณจำนวนมาก เซลล์มะเร็ง ก็จะตาย อย่างเป็นธรรมชาติ

    2. ผสมผลไม้ มะนาว ทั้งหมด กับน้ำร้อนสักแก้ว แล้วดื่มมัน ประมาณ 3 เดือน เซลล์มะเร็งจะแพ้ การปฏิบัติดังกล่าวดีกว่าการรักษาด้วยคีโม

    3. ขั้นตอนที่ 3 คือ การดื่มน้ำมันมะพร้าว อินทรีย์ 3 ช้อนโต๊ะ เช้าและกลางคืน เซลล์มะเร็งจะค่อยๆ หายไป ท่านสามารถเลือก 1 ใน 2 วิธีนี้ หลังจากหลีกเลี่ยงน้ำตาล ที่ผ่านมา ความไม่รู้ ไม่ใช่ความผิด ข้อมูลนี้เผยแพร่มานานกว่า 5 ปี ซึ่งปัจจุบันนี้ เพิ่งมาถึงคุณ แต่ที่สำคัญที่สุด มันยังช้ากว่าการที่คุณไม่เคยให้ข้อมูลนี้กับทุกคนรอบตัวคุณเพื่อได้รู้เห็นงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมอสโก รัสเซีย ผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงขอให้ทุกท่านที่ได้รับข้อมูลนี้ กรุณาส่งต่อบทความนี้ให้กับคน ที่ท่านรักอีก 1 คน ผมเชื่อว่าแน่นอน! อย่างน้อย 1 ชีวิต จะได้รับประโยชน์ และจะบันทึกไว้ ส่วน

    ผมได้ทำในส่วนของผมแล้ว หวังว่าท่านจะสามารถช่วยเผยแพร่ โดยการทำส่วนของคุณ กล่าวคือ

    1. การดื่มน้ำมะนาว สามารถป้องกันมะเร็งได้ แต่จำไว้ว่า อย่าผสมน้ำตาล น้ำมะนาวร้อน มีประโยชน์กว่า น้ำมะนาวเย็นๆ

    2. หั่นเป็นแว่น 5 ชิ้น แล้วแช่ด้วยน้ำร้อนสักแก้วทิ้งไว้ 20- 30 นาที แล้วค่อยดื่ม

    3. มันสำปะหลัง นำไปต้ม แต่ต้องต้มด้วย เปิดฝาหม้อวิตามิน B 17 อยู่ในมันสำปะหลัง ที่สามารถปิดเซลล์มะเร็งได้

    บ่อยครั้ง การกินมื้อเย็นสามารถเพิ่มความเป็นไปได้ ของมะเร็งลำไส้ - มะเร็งกระเพาะอาหาร - ผู้หญิง

    อย่าดื่มชาในช่วงมีรอบเดือน และ

    การดื่มน้ำถั่วเหลือง นั้น ไม่ควรเพิ่มน้ำตาล หรือไข่ ในน้ำถั่วเหลือง ไม่กินมะเขือเทศ ตอนท้องว่าง ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว ทุกเช้า ก่อนอาหาร เพื่อป้องกันนิ่ว

    ไม่กินอาหารในช่วง 3 ชั่วโมง ก่อนนอน

    หลีกเลี่ยงสุรา เพราะไม่มีประสิทธิภาพ ทางโภชนาการ แต่สามารถทำให้เกิดโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงได้ อย่ากินขนมปัง ในขณะที่ร้อนจาก เตาอบ หรือเครื่องปิ้งขนมปัง

    ไม่ชาร์จมือถือหรืออุปกรณ์ใดๆ ที่อยู่ข้างๆ ตัวคุณ ในขณะที่คุณหลับ ดื่มน้ำเปล่าวันละ 10 แก้ว ป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ ให้ดื่มน้ำต่อเนื่องระหว่างวัน ลดช่วงกลางคืน และ

    อย่าดื่มกาแฟ มากกว่า 2 แก้วต่อวัน เพราะมันสามารถทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ และมีปัญหาต่อกระเพาะอาหารได้

    กินอาหารที่เลี่ยนได้เล็กน้อย หรือหลีกเลี่ยงมัน เพราะต้องใช้เวลา 5-7 ชั่วโมงในการย่อย ทั้งยังทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย

    หลัง 17:00 น.กินอาหารให้น้อยลง ประการสำคัญอาหาร 6 ชนิด ที่ทำให้คุณมีความสุข ได้แก่ กล้วย, ส้มบาหลี, ผักโขม, ฟักทอง, ลูกพีช อนึ่ง การนอนไม่ถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลให้มีการทำงานของสมองเสื่อมสภาพ พยายามนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะจะทำให้เราอ่อนกว่าวัย อย่าลืม น้ำมะนาวที่ไม่มีน้ำตาล สามารถดูแลสุขภาพของคุณและทำให้คุณรู้สึกสดชื่น

    น้ำมะนาวร้อนฆ่าเซลล์มะเร็ง

    แช่มะนาวชิ้นเท่าๆกัน 5 ชิ้นกับน้ำร้อน ดื่มเป็นประจำทุกวัน anti-oxsidan

    รสชาติขมในน้ำมะนาวร้อนเป็นสารที่ดีที่สุดในการฆ่าเซลล์มะเร็ง

    น้ำมะนาวเย็นประกอบด้วยวิตามินซีเท่านั้น ซึ่งไม่ช่วยป้องกันมะเร็ง น้ำมะนาวร้อนสามารถควบคุมการเติบโตของเนื้องอกมะเร็งได้

    การทดสอบทางคลินิก พิสูจน์แล้วว่า น้ำมะนาวร้อน ทำงานได้ดี เพื่อยับยั้งเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยน้ำมะนาวร้อน จะทำลายเซลล์ที่ชั่วร้าย เท่านั้น แต่ไม่มีผลกระทบต่อเซลล์ที่ดี กรด citric และมะนาว polyphenol ในน้ำมะนาว ช่วยลดความดันสูง และป้องกันการเกิดลิ่มเลือด และป้องกันการแข็งตัวของเลือด ถึงแม้ คุณจะยุ่งแค่ไหน เมื่ออ่านข้อความนี้ของผมแล้ว ช่วยถ่ายทอดให้ผู้อื่นด้วยครับ❤

    การแบ่งปัน ถือเป็นวิทยาทาน ด้วยความปรารถนาดี
    ผศ.ดร.ศ.สำเร็จผล
    #มะเร็ง #โรคมะเร็ง #มะเร็งหายได้
    ผลงานวิจัยเกิดโรคมะเร็งของรัสเซีย ----- รัสเซียทำอะไรชอบเปิดเผยให้โลกรู้ทุกอย่างไม่เหมือนอเมริกาที่รู้อะไรเก็บเป็นความลับหมด แล้วมนุษย์บนโลกใบนี้จะเชื่อว่าระบอบการปกครองแบบไหนดีที่สุดของมนุษยชาติ หรือถูกอเมริกาหลอกมาตลอดว่าระบอบเขาดีสุด หรือระบอบรัสเซีย-จีนดีสุดกันแน่ ในท้ายสุดมนุษย์รุ่นต่อๆไปจะอยู่กับระบอบไหนถึงจะมีชีวิตรอดยาวนาน ไม่ใช่ผลาญทรัพย์กรธรรมชาติโลกที่ว่ายุโรปและอเมริกาผลาญจนประเทศตัวเองไม่มีอะไรเหลือ แล้วไปปล้นคนอื่นกินเข้าประเทศตัวเอง คนที่เป็นมะเร็งเสียชีวิตเพราะอะไร ผลงานวิจัยฯ ของรัสเซีย อ้างว่าเหตุผลการเสียชีวิตมิได้เกิดจากมะเร็ง ยกเว้นความสะเพร่าของผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยทราบว่ามีเซลล์มะเร็ง ให้รีบปฏิบัติ 1. ขั้นตอนแรกคือ การหยุดน้ำตาลทั้งหมด ถ้าไม่มีน้ำตาล ในร่างกายของคุณจำนวนมาก เซลล์มะเร็ง ก็จะตาย อย่างเป็นธรรมชาติ 2. ผสมผลไม้ มะนาว ทั้งหมด กับน้ำร้อนสักแก้ว แล้วดื่มมัน ประมาณ 3 เดือน เซลล์มะเร็งจะแพ้ การปฏิบัติดังกล่าวดีกว่าการรักษาด้วยคีโม 3. ขั้นตอนที่ 3 คือ การดื่มน้ำมันมะพร้าว อินทรีย์ 3 ช้อนโต๊ะ เช้าและกลางคืน เซลล์มะเร็งจะค่อยๆ หายไป ท่านสามารถเลือก 1 ใน 2 วิธีนี้ หลังจากหลีกเลี่ยงน้ำตาล ที่ผ่านมา ความไม่รู้ ไม่ใช่ความผิด ข้อมูลนี้เผยแพร่มานานกว่า 5 ปี ซึ่งปัจจุบันนี้ เพิ่งมาถึงคุณ แต่ที่สำคัญที่สุด มันยังช้ากว่าการที่คุณไม่เคยให้ข้อมูลนี้กับทุกคนรอบตัวคุณเพื่อได้รู้เห็นงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมอสโก รัสเซีย ผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงขอให้ทุกท่านที่ได้รับข้อมูลนี้ กรุณาส่งต่อบทความนี้ให้กับคน ที่ท่านรักอีก 1 คน ผมเชื่อว่าแน่นอน! อย่างน้อย 1 ชีวิต จะได้รับประโยชน์ และจะบันทึกไว้ ส่วน ผมได้ทำในส่วนของผมแล้ว หวังว่าท่านจะสามารถช่วยเผยแพร่ โดยการทำส่วนของคุณ กล่าวคือ 1. การดื่มน้ำมะนาว สามารถป้องกันมะเร็งได้ แต่จำไว้ว่า อย่าผสมน้ำตาล น้ำมะนาวร้อน มีประโยชน์กว่า น้ำมะนาวเย็นๆ 2. หั่นเป็นแว่น 5 ชิ้น แล้วแช่ด้วยน้ำร้อนสักแก้วทิ้งไว้ 20- 30 นาที แล้วค่อยดื่ม 3. มันสำปะหลัง นำไปต้ม แต่ต้องต้มด้วย เปิดฝาหม้อวิตามิน B 17 อยู่ในมันสำปะหลัง ที่สามารถปิดเซลล์มะเร็งได้ บ่อยครั้ง การกินมื้อเย็นสามารถเพิ่มความเป็นไปได้ ของมะเร็งลำไส้ - มะเร็งกระเพาะอาหาร - ผู้หญิง อย่าดื่มชาในช่วงมีรอบเดือน และ การดื่มน้ำถั่วเหลือง นั้น ไม่ควรเพิ่มน้ำตาล หรือไข่ ในน้ำถั่วเหลือง ไม่กินมะเขือเทศ ตอนท้องว่าง ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว ทุกเช้า ก่อนอาหาร เพื่อป้องกันนิ่ว ไม่กินอาหารในช่วง 3 ชั่วโมง ก่อนนอน หลีกเลี่ยงสุรา เพราะไม่มีประสิทธิภาพ ทางโภชนาการ แต่สามารถทำให้เกิดโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงได้ อย่ากินขนมปัง ในขณะที่ร้อนจาก เตาอบ หรือเครื่องปิ้งขนมปัง ไม่ชาร์จมือถือหรืออุปกรณ์ใดๆ ที่อยู่ข้างๆ ตัวคุณ ในขณะที่คุณหลับ ดื่มน้ำเปล่าวันละ 10 แก้ว ป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ ให้ดื่มน้ำต่อเนื่องระหว่างวัน ลดช่วงกลางคืน และ อย่าดื่มกาแฟ มากกว่า 2 แก้วต่อวัน เพราะมันสามารถทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ และมีปัญหาต่อกระเพาะอาหารได้ กินอาหารที่เลี่ยนได้เล็กน้อย หรือหลีกเลี่ยงมัน เพราะต้องใช้เวลา 5-7 ชั่วโมงในการย่อย ทั้งยังทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย หลัง 17:00 น.กินอาหารให้น้อยลง ประการสำคัญอาหาร 6 ชนิด ที่ทำให้คุณมีความสุข ได้แก่ กล้วย, ส้มบาหลี, ผักโขม, ฟักทอง, ลูกพีช อนึ่ง การนอนไม่ถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลให้มีการทำงานของสมองเสื่อมสภาพ พยายามนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะจะทำให้เราอ่อนกว่าวัย อย่าลืม น้ำมะนาวที่ไม่มีน้ำตาล สามารถดูแลสุขภาพของคุณและทำให้คุณรู้สึกสดชื่น น้ำมะนาวร้อนฆ่าเซลล์มะเร็ง แช่มะนาวชิ้นเท่าๆกัน 5 ชิ้นกับน้ำร้อน ดื่มเป็นประจำทุกวัน anti-oxsidan รสชาติขมในน้ำมะนาวร้อนเป็นสารที่ดีที่สุดในการฆ่าเซลล์มะเร็ง น้ำมะนาวเย็นประกอบด้วยวิตามินซีเท่านั้น ซึ่งไม่ช่วยป้องกันมะเร็ง น้ำมะนาวร้อนสามารถควบคุมการเติบโตของเนื้องอกมะเร็งได้ การทดสอบทางคลินิก พิสูจน์แล้วว่า น้ำมะนาวร้อน ทำงานได้ดี เพื่อยับยั้งเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยน้ำมะนาวร้อน จะทำลายเซลล์ที่ชั่วร้าย เท่านั้น แต่ไม่มีผลกระทบต่อเซลล์ที่ดี กรด citric และมะนาว polyphenol ในน้ำมะนาว ช่วยลดความดันสูง และป้องกันการเกิดลิ่มเลือด และป้องกันการแข็งตัวของเลือด ถึงแม้ คุณจะยุ่งแค่ไหน เมื่ออ่านข้อความนี้ของผมแล้ว ช่วยถ่ายทอดให้ผู้อื่นด้วยครับ❤ การแบ่งปัน ถือเป็นวิทยาทาน ด้วยความปรารถนาดี ผศ.ดร.ศ.สำเร็จผล #มะเร็ง #โรคมะเร็ง #มะเร็งหายได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • เป็นเรื่องน่าปวดหัวจริงๆ ครับ สำหรับการสู้กันของอาจารย์และ AI เพื่อที่จะทดสอบลูกศิษย์ว่ามีความรู้จริงๆ หรือเปล่า

    เรื่องนี้เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัย Minnesota ซึ่งนักศึกษาชื่อ Haishan Yang กำลังฟ้องร้องมหาวิทยาลัยหลังจากที่เขาถูกไล่ออกในปีที่แล้ว เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเขียนเรียงความสำหรับการสอบ Yang อายุ 33 ปี เป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาระดับปริญญาเอกที่สอง ขณะกำลังเดินทางไปประเทศโมร็อกโกในช่วงฤดูร้อนปี 2024 เขาได้ทำการสอบที่ต้องเขียนเรียงความ 3 ชิ้นภายในเวลา 8 ชั่วโมง

    ถึงแม้ว่า Yang จะได้รับอนุญาตให้ใช้บันทึก รายงาน และหนังสือได้ แต่เครื่องมือ AI ถูกห้ามใช้ ทุกคณะบัณฑิตที่ตรวจสอบข้อสอบของ Yang แสดงความกังวลว่าเรียงความไม่ใช่ผลงานของเขาเอง พวกเขาชี้ถึงคำตอบที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ได้ถูกสอนในชั้นเรียน รวมทั้งการใช้ตัวย่อที่ไม่ค่อยพบในสาขานี้ แต่ปรากฏในคำตอบที่ถูกสร้างขึ้นโดย ChatGPT เป็นประจำ

    นอกจากนี้ สองคณาจารย์ยังได้นำคำถามเรียงความไปให้ ChatGPT เพื่อเปรียบเทียบกับคำตอบของ Yang พบว่าการจัดรูปแบบ การใช้ภาษา และเนื้อหาเหมือนกันอย่างมาก ซึ่งศาสตราจารย์ Peter Huckfeldt ได้เขียนจดหมายถึงคณะกรรมการการพิจารณาว่า “ผมประหลาดใจในความคล้ายคลึงกันระหว่างสองสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่เป็นไปได้”

    Yang อ้างว่าเหตุนี้เกิดจากการที่ OpenAI ใช้แหล่งข้อมูลเดียวกันกับเขา และกล่าวว่าคณาจารย์อาจแก้ไขคำตอบของ ChatGPT เพื่อให้ดูเหมือนกับคำตอบของเขา นอกจากนี้ยังกล่าวถึงปัญหาวิธีการตรวจสอบการใช้ AI ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือและมีอคติ โดยเฉพาะกับคนที่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแรก

    Yang กล่าวถึงประสบการณ์ของเขาในฐานะผู้ช่วยวิจัยที่ได้รับการตัดการสนับสนุนทางการเงินจากมหาวิทยาลัยเนื่องจากการแสดงความเห็นไม่ดี หลังจากที่เขาโต้แย้งและชนะคดี มหาวิทยาลัย

    ลุงรู้เรื่องปัญหาแบบนี้มานานแล้ว รู้สึกเฉยๆ สำหรับนักเรียนในระดับ ม.ต้น - ป.ตรี แต่นี่มัน ป.เอกเลยนะ Yang คงต้องเข้าใจสิว่าเขาปล่อยผ่านไม่ได้ง่ายๆ ส่วนการพรูฟที่ดีที่สุดในความคิดของลุงคือคือการทดสอบแบบถามตอบปากเปล่านี่แหละ

    https://www.techspot.com/news/106881-university-minnesota-sued-student-who-ai-expulsion-part.html
    เป็นเรื่องน่าปวดหัวจริงๆ ครับ สำหรับการสู้กันของอาจารย์และ AI เพื่อที่จะทดสอบลูกศิษย์ว่ามีความรู้จริงๆ หรือเปล่า เรื่องนี้เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัย Minnesota ซึ่งนักศึกษาชื่อ Haishan Yang กำลังฟ้องร้องมหาวิทยาลัยหลังจากที่เขาถูกไล่ออกในปีที่แล้ว เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเขียนเรียงความสำหรับการสอบ Yang อายุ 33 ปี เป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาระดับปริญญาเอกที่สอง ขณะกำลังเดินทางไปประเทศโมร็อกโกในช่วงฤดูร้อนปี 2024 เขาได้ทำการสอบที่ต้องเขียนเรียงความ 3 ชิ้นภายในเวลา 8 ชั่วโมง ถึงแม้ว่า Yang จะได้รับอนุญาตให้ใช้บันทึก รายงาน และหนังสือได้ แต่เครื่องมือ AI ถูกห้ามใช้ ทุกคณะบัณฑิตที่ตรวจสอบข้อสอบของ Yang แสดงความกังวลว่าเรียงความไม่ใช่ผลงานของเขาเอง พวกเขาชี้ถึงคำตอบที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ได้ถูกสอนในชั้นเรียน รวมทั้งการใช้ตัวย่อที่ไม่ค่อยพบในสาขานี้ แต่ปรากฏในคำตอบที่ถูกสร้างขึ้นโดย ChatGPT เป็นประจำ นอกจากนี้ สองคณาจารย์ยังได้นำคำถามเรียงความไปให้ ChatGPT เพื่อเปรียบเทียบกับคำตอบของ Yang พบว่าการจัดรูปแบบ การใช้ภาษา และเนื้อหาเหมือนกันอย่างมาก ซึ่งศาสตราจารย์ Peter Huckfeldt ได้เขียนจดหมายถึงคณะกรรมการการพิจารณาว่า “ผมประหลาดใจในความคล้ายคลึงกันระหว่างสองสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่เป็นไปได้” Yang อ้างว่าเหตุนี้เกิดจากการที่ OpenAI ใช้แหล่งข้อมูลเดียวกันกับเขา และกล่าวว่าคณาจารย์อาจแก้ไขคำตอบของ ChatGPT เพื่อให้ดูเหมือนกับคำตอบของเขา นอกจากนี้ยังกล่าวถึงปัญหาวิธีการตรวจสอบการใช้ AI ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือและมีอคติ โดยเฉพาะกับคนที่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแรก Yang กล่าวถึงประสบการณ์ของเขาในฐานะผู้ช่วยวิจัยที่ได้รับการตัดการสนับสนุนทางการเงินจากมหาวิทยาลัยเนื่องจากการแสดงความเห็นไม่ดี หลังจากที่เขาโต้แย้งและชนะคดี มหาวิทยาลัย ลุงรู้เรื่องปัญหาแบบนี้มานานแล้ว รู้สึกเฉยๆ สำหรับนักเรียนในระดับ ม.ต้น - ป.ตรี แต่นี่มัน ป.เอกเลยนะ Yang คงต้องเข้าใจสิว่าเขาปล่อยผ่านไม่ได้ง่ายๆ ส่วนการพรูฟที่ดีที่สุดในความคิดของลุงคือคือการทดสอบแบบถามตอบปากเปล่านี่แหละ https://www.techspot.com/news/106881-university-minnesota-sued-student-who-ai-expulsion-part.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    University of Minnesota sued by student who says AI expulsion was part of a conspiracy
    Haishan Yang was working toward his second PhD from the University of Minnesota when he was expelled last year. It's alleged that he used artificial intelligence tools...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • พวกอนุรักษนิยมของเยอรมนีคว้าชัยในศึกเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) แต่เสียงโหวตที่แตกกัน ส่งให้พรรค Alternative for Germany (AfD) พรรคขวาจัด คว้าอันดับ 2 มีผลงานดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา และอาจทำให้ ฟรีดริช แมร์ซ ผู้นำพรรคคอนเซอร์เวทีฟ ประสบความยุ่งยากในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล
    .
    แมร์ซ ผู้ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่งมาก่อน เตรียมก้าวมาเป็นนายกรัฐมนตรีของชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของยุโรป ที่เวลานี้อยู่ในภาวะเปราะบาง มีความแตกแยกในสังคมเกี่ยวกับปัญหาคนเข้ามืองและติดแหง็กอยู่ในประเด็นความมั่นคงท่ามกลางการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียและจีน
    .
    ตามหลังการพังครืนของรัฐบาลผสมของนายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชล์ซ ทาง แมร์ซ วัย 69 ปี รับปากกับกองเชียร์ที่ส่งเสียงดังกึกก้อง ว่ารัฐบาลของเขามีความตั้งใจทำให้เยอรมนีมีตัวตนในยุโรปอีกครั้ง เพื่อที่โลกจะสังเกตเห็นว่าเยอรมนีกำลังถูกปกครองด้วยความน่าเชื่อถืออีกครั้ง "คืนนี้เราจะเฉลิมฉลอง ทว่านับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เราจะเริ่มทำงาน โลกภายนอกรอเราไม่ได้"
    .
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งพันธมิตรอย่าง อีลอน มัสก์ ส่งเสียงสนับสนุนพรรค AfD ซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างศึกหาเสียง แสดงความยินดีต่อชัยชนะของฝ่ายอนุรักษนิยมบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง "แทบเหมือนกับในสหรัฐฯ ประชาชนเยอรมนีเบื่อหน่านกับวาระที่ไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะพลังงานและคนเข้าเมือง ที่ถูกให้ความสำคัญมานานหลายปีเหลือเกิน"
    .
    ผลการเลือกตั้งพบว่ากลุ่มก้อนอนุรักษนิยมพรรค CDU/CSU คว้าคะแนนเสียงไปได้ 28.4% ตามมาด้วยพรรค AfD ที่ได้คะแนนเสียง 20.4% ตามการคาดการณ์ของสำนักข่าว ZDF
    .
    อย่างไรก็ตาม พรรคกระแสหลักทั้งหลายปฏิเสธทำงานร่วมกับ AfD ที่กวาดคะแนนเสียงได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากศึกเลือกตั้งคราวก่อน และมองผลการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น "มือของเรายังคงเปิดกว้างสำหรับการจัดตั้งรัฐบาล" อลิซ ไวเดล ผู้นำพรรค AfD บอกกับผู้สนับสนุน พร้อมระบุ "ครั้งต่อไป เราจะมาเป็นอันดับ 1"
    .
    คาดหมายว่า แมร์ซ กำลังมุ่งหน้าสู่สิ่งที่เชื่อว่าอาจเป็นการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสมที่ยืดเยื้อยาวนาน เนื่องจากไม่ได้ถือครองความได้เปรียบในการเจรจาเท่าไหร่ โดยแม้กลุ่มก้อน CDU/CSU ของเขาจะคว้าคะแนนมาเป็นอันดับ 1 แต่ก็ถือเป็นผลการเลือกตั้งเลวร้ายที่สุดอันดับ 2 ของพวกเขาในยุคหลังสงคราม
    .
    ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า แมร์ซ จะต้องการพรรคร่วมรัฐบาล 1 หรือ 2 พรรค สำหรับรวบรวมเสียงข้างมาก ในขณะที่ชะตากรรมของบรรดาพรรคขนาดเล็กก็ไม่ชัดเจนเช่นกัน การจัดตั้งรัฐบาล 3 พรรคก็ยิ่งอาจทำให้อุ้ยอ้ายกว่าเดิม และอาจบั่นทอนศักยภาพของเยอรมนี ในการแสดงออกถึงความเป็นผู้นำ
    .
    พรรคโซเชียลเดโมแครตส์ (SPD) ของนายกรัฐมตรีโชลซ์ ทำผลงานได้เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้คะแนนโหวตเพียง 16.4% และโชลซ์ ยอมรับว่ามันเป็นผลการเลือกตั้งที่เจ็บปวด อ้างอิงการคาดการณ์ของ ZDF ขณะที่พรรคกรีนส์ได้คะแนนเสียง 12.2% ส่วนพรรคซ้ายจัดอย่าง Die Linke ได้คะแนนเสียงเพียง 8.9% แม้ได้รับแรงสนับสนุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนหนุ่มสาว
    .
    อ้างอิงข้อมูลเอ็กซิตโพล พบว่ามีผู้ออกมาใช้สิทธิใช้เสียงถึง 83% มากที่สุดตั้งแต่ก่อนรวมชาติเยอรมนีในปี 1990 ขณะเดียวกันพบว่าผู้ออกเสียงที่เป็นผู้ชายมีความโน้มเอียงไปทางฝ่ายขวา ส่วนผู้ออกเสียงที่เป็นผู้หญิง ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อพรรคฝ่ายซ้าย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000017982
    ..............
    Sondhi X
    พวกอนุรักษนิยมของเยอรมนีคว้าชัยในศึกเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) แต่เสียงโหวตที่แตกกัน ส่งให้พรรค Alternative for Germany (AfD) พรรคขวาจัด คว้าอันดับ 2 มีผลงานดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา และอาจทำให้ ฟรีดริช แมร์ซ ผู้นำพรรคคอนเซอร์เวทีฟ ประสบความยุ่งยากในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล . แมร์ซ ผู้ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่งมาก่อน เตรียมก้าวมาเป็นนายกรัฐมนตรีของชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของยุโรป ที่เวลานี้อยู่ในภาวะเปราะบาง มีความแตกแยกในสังคมเกี่ยวกับปัญหาคนเข้ามืองและติดแหง็กอยู่ในประเด็นความมั่นคงท่ามกลางการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียและจีน . ตามหลังการพังครืนของรัฐบาลผสมของนายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชล์ซ ทาง แมร์ซ วัย 69 ปี รับปากกับกองเชียร์ที่ส่งเสียงดังกึกก้อง ว่ารัฐบาลของเขามีความตั้งใจทำให้เยอรมนีมีตัวตนในยุโรปอีกครั้ง เพื่อที่โลกจะสังเกตเห็นว่าเยอรมนีกำลังถูกปกครองด้วยความน่าเชื่อถืออีกครั้ง "คืนนี้เราจะเฉลิมฉลอง ทว่านับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เราจะเริ่มทำงาน โลกภายนอกรอเราไม่ได้" . ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งพันธมิตรอย่าง อีลอน มัสก์ ส่งเสียงสนับสนุนพรรค AfD ซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างศึกหาเสียง แสดงความยินดีต่อชัยชนะของฝ่ายอนุรักษนิยมบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง "แทบเหมือนกับในสหรัฐฯ ประชาชนเยอรมนีเบื่อหน่านกับวาระที่ไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะพลังงานและคนเข้าเมือง ที่ถูกให้ความสำคัญมานานหลายปีเหลือเกิน" . ผลการเลือกตั้งพบว่ากลุ่มก้อนอนุรักษนิยมพรรค CDU/CSU คว้าคะแนนเสียงไปได้ 28.4% ตามมาด้วยพรรค AfD ที่ได้คะแนนเสียง 20.4% ตามการคาดการณ์ของสำนักข่าว ZDF . อย่างไรก็ตาม พรรคกระแสหลักทั้งหลายปฏิเสธทำงานร่วมกับ AfD ที่กวาดคะแนนเสียงได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากศึกเลือกตั้งคราวก่อน และมองผลการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น "มือของเรายังคงเปิดกว้างสำหรับการจัดตั้งรัฐบาล" อลิซ ไวเดล ผู้นำพรรค AfD บอกกับผู้สนับสนุน พร้อมระบุ "ครั้งต่อไป เราจะมาเป็นอันดับ 1" . คาดหมายว่า แมร์ซ กำลังมุ่งหน้าสู่สิ่งที่เชื่อว่าอาจเป็นการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสมที่ยืดเยื้อยาวนาน เนื่องจากไม่ได้ถือครองความได้เปรียบในการเจรจาเท่าไหร่ โดยแม้กลุ่มก้อน CDU/CSU ของเขาจะคว้าคะแนนมาเป็นอันดับ 1 แต่ก็ถือเป็นผลการเลือกตั้งเลวร้ายที่สุดอันดับ 2 ของพวกเขาในยุคหลังสงคราม . ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า แมร์ซ จะต้องการพรรคร่วมรัฐบาล 1 หรือ 2 พรรค สำหรับรวบรวมเสียงข้างมาก ในขณะที่ชะตากรรมของบรรดาพรรคขนาดเล็กก็ไม่ชัดเจนเช่นกัน การจัดตั้งรัฐบาล 3 พรรคก็ยิ่งอาจทำให้อุ้ยอ้ายกว่าเดิม และอาจบั่นทอนศักยภาพของเยอรมนี ในการแสดงออกถึงความเป็นผู้นำ . พรรคโซเชียลเดโมแครตส์ (SPD) ของนายกรัฐมตรีโชลซ์ ทำผลงานได้เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้คะแนนโหวตเพียง 16.4% และโชลซ์ ยอมรับว่ามันเป็นผลการเลือกตั้งที่เจ็บปวด อ้างอิงการคาดการณ์ของ ZDF ขณะที่พรรคกรีนส์ได้คะแนนเสียง 12.2% ส่วนพรรคซ้ายจัดอย่าง Die Linke ได้คะแนนเสียงเพียง 8.9% แม้ได้รับแรงสนับสนุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนหนุ่มสาว . อ้างอิงข้อมูลเอ็กซิตโพล พบว่ามีผู้ออกมาใช้สิทธิใช้เสียงถึง 83% มากที่สุดตั้งแต่ก่อนรวมชาติเยอรมนีในปี 1990 ขณะเดียวกันพบว่าผู้ออกเสียงที่เป็นผู้ชายมีความโน้มเอียงไปทางฝ่ายขวา ส่วนผู้ออกเสียงที่เป็นผู้หญิง ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อพรรคฝ่ายซ้าย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000017982 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 937 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥 Level Up Life ครั้งที่ 36 – เปิดโอกาส เปลี่ยนชีวิต! 🚀 💰

    🔥 โอกาสมาแล้ว! ถ้าคุณกำลังมองหา อาชีพที่มั่นคง รายได้ไร้ขีดจำกัด และ ชีวิตที่ดีขึ้น
    เราขอชวนคุณมา เปิดประตูสู่ความสำเร็จ กับธุรกิจที่เปลี่ยนชีวิตคนมานับไม่ถ้วน!

    📅 วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568
    ⏰ เวลา 13.00 - 15.00 น.
    📍 Café Amazon ที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ – หาดใหญ่

    💡 สิ่งที่คุณจะได้รับจากงานนี้:
    ✅ อาชีพที่มั่นคง – ค่าคอมสูงสุด 35% + โบนัสรายเดือน + รายไตรมาส + รายปี
    ✅ อิสรภาพทางการเงิน – รายได้ตามผลงาน ไม่มีเพดาน
    ✅ ทีมที่แข็งแกร่ง – Rabbit Life และ Innovation Group พร้อมสนับสนุน

    ❤️ “อย่าปล่อยให้โอกาสผ่านไป… เพราะความสำเร็จเริ่มต้นจากการตัดสินใจวันนี้!”

    📌 รีบลงทะเบียน ที่นั่งมีจำนวนจำกัด ‼️
    📲 ทักแชทหรือลงทะเบียนที่ 👉 https://line.me/ti/p/Wj9D9J65OC

    #LevelUpLife36 #RabbitLife #InnovationGroup #โอกาสที่คุณเลือกได้ #สร้างอนาคตไปด้วยกัน 🚀🔥
    💥 Level Up Life ครั้งที่ 36 – เปิดโอกาส เปลี่ยนชีวิต! 🚀 💰 🔥 โอกาสมาแล้ว! ถ้าคุณกำลังมองหา อาชีพที่มั่นคง รายได้ไร้ขีดจำกัด และ ชีวิตที่ดีขึ้น เราขอชวนคุณมา เปิดประตูสู่ความสำเร็จ กับธุรกิจที่เปลี่ยนชีวิตคนมานับไม่ถ้วน! 📅 วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ⏰ เวลา 13.00 - 15.00 น. 📍 Café Amazon ที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ – หาดใหญ่ 💡 สิ่งที่คุณจะได้รับจากงานนี้: ✅ อาชีพที่มั่นคง – ค่าคอมสูงสุด 35% + โบนัสรายเดือน + รายไตรมาส + รายปี ✅ อิสรภาพทางการเงิน – รายได้ตามผลงาน ไม่มีเพดาน ✅ ทีมที่แข็งแกร่ง – Rabbit Life และ Innovation Group พร้อมสนับสนุน ❤️ “อย่าปล่อยให้โอกาสผ่านไป… เพราะความสำเร็จเริ่มต้นจากการตัดสินใจวันนี้!” 📌 รีบลงทะเบียน ที่นั่งมีจำนวนจำกัด ‼️ 📲 ทักแชทหรือลงทะเบียนที่ 👉 https://line.me/ti/p/Wj9D9J65OC #LevelUpLife36 #RabbitLife #InnovationGroup #โอกาสที่คุณเลือกได้ #สร้างอนาคตไปด้วยกัน 🚀🔥
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌴 ถ้าใครเรียนเรื่อง ปรัชญาตะวันตก..ซึ่งในสถาบันการศึกษาในไทย จะมีในหลักสูตรปริญญาเอก...แต่ในต่างประเทศ มีตั้งแต่ ป.ตรี...แค่ท่านสามารถหาหนังสือมาอ่านได้..ว่าด้วย ตรรกศาสตร์ของเพลโต....มีเรื่องนึงที่ได้บัญญัติไว้..และถูกพิสูจน์ และอ้างถึงมาต่อเนื่องยาวนาน โดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลกหลายท่าน...เรื่อง โลกสมมุติที่มีอยู่จริง (Form) ...เพลโตอธิบายความว่า โลกที่สมบูรณ์แบบ เคยมีอยู่ ศาสตร์ทุกศาสตร์เคยมีอยู่...แต่อยู่ที่ว่า ใครระลึกได้ หรือ ค้นพบเจอ...เช่น ความงามของสรรพสิ่ง ดนตรี..และอื่นๆ..รวมถึง ศาสตร์ของตัวเลข... อนุมานได้ว่า คนบางคนอาจเกิดและอยู่ในโลก Form มาก่อน..และมีเศษเสี้ยวของความทรงจำ..คิดตัวมา.....จึงอาจพบเจอความสามารถอันนั้นได้ในปัจจุบัน...เช่น เราจะเห็นตัวอย่างว่า คนที่ไม่เคยเล่น ไวโอลินเลย..กลับเล่นเพลง.chopin หรือ อื่นๆได้ในเวลาอันสั้น..
    ...เพลโตนิยามคำว่า ศิลปิน...ไม่ได้แปลว่า ผู้สร้างผลงาน...แต่หมายถึง ผู้ค้นพบ...สิ่งที่มันมีอยู่แล้ว เจอด้วยตนเอง...ด้วยความสามารถของเขา......
    ..ถ้าท่านศึกษาเรื่อง ปรัชญาตะวันตก และตะวันออก..ซึ่งมีมากว่า ร่วม 3000 ปี .ท่านจะเข้าใจว่า หลายสิ่งมันเป็นแบบนี้ แบบนั้น มานานแล้ว...แค่หลายคน...ไม่เข้าใจมัน...
    ...ไม่นับทฤษฏีความเชื่อ แบบ เก๊ๆ ที่ใครไม่รู้บัญญัติขึ้นมา...หาข้อพิสูจน์ก็ไม่ได้...แต่เชื่อกันเหลือเกิน...!! ที่ผู้เขียนเห็นบ่อย คือ เรื่อง ศาสตร์ตัวเลขนี่ละ..
    🌴 ถ้าใครเรียนเรื่อง ปรัชญาตะวันตก..ซึ่งในสถาบันการศึกษาในไทย จะมีในหลักสูตรปริญญาเอก...แต่ในต่างประเทศ มีตั้งแต่ ป.ตรี...แค่ท่านสามารถหาหนังสือมาอ่านได้..ว่าด้วย ตรรกศาสตร์ของเพลโต....มีเรื่องนึงที่ได้บัญญัติไว้..และถูกพิสูจน์ และอ้างถึงมาต่อเนื่องยาวนาน โดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลกหลายท่าน...เรื่อง โลกสมมุติที่มีอยู่จริง (Form) ...เพลโตอธิบายความว่า โลกที่สมบูรณ์แบบ เคยมีอยู่ ศาสตร์ทุกศาสตร์เคยมีอยู่...แต่อยู่ที่ว่า ใครระลึกได้ หรือ ค้นพบเจอ...เช่น ความงามของสรรพสิ่ง ดนตรี..และอื่นๆ..รวมถึง ศาสตร์ของตัวเลข... อนุมานได้ว่า คนบางคนอาจเกิดและอยู่ในโลก Form มาก่อน..และมีเศษเสี้ยวของความทรงจำ..คิดตัวมา.....จึงอาจพบเจอความสามารถอันนั้นได้ในปัจจุบัน...เช่น เราจะเห็นตัวอย่างว่า คนที่ไม่เคยเล่น ไวโอลินเลย..กลับเล่นเพลง.chopin หรือ อื่นๆได้ในเวลาอันสั้น.. ...เพลโตนิยามคำว่า ศิลปิน...ไม่ได้แปลว่า ผู้สร้างผลงาน...แต่หมายถึง ผู้ค้นพบ...สิ่งที่มันมีอยู่แล้ว เจอด้วยตนเอง...ด้วยความสามารถของเขา...... ..ถ้าท่านศึกษาเรื่อง ปรัชญาตะวันตก และตะวันออก..ซึ่งมีมากว่า ร่วม 3000 ปี .ท่านจะเข้าใจว่า หลายสิ่งมันเป็นแบบนี้ แบบนั้น มานานแล้ว...แค่หลายคน...ไม่เข้าใจมัน... ...ไม่นับทฤษฏีความเชื่อ แบบ เก๊ๆ ที่ใครไม่รู้บัญญัติขึ้นมา...หาข้อพิสูจน์ก็ไม่ได้...แต่เชื่อกันเหลือเกิน...!! ที่ผู้เขียนเห็นบ่อย คือ เรื่อง ศาสตร์ตัวเลขนี่ละ..
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ยังไม่พอใจผลงานของอีลอน มัสก์ แม้จะช่วยประหยัดเม็ดเงินของสหรัฐโดยการตัดเงินหน่วยงานที่ไม่จำเป็นออกได้มากมาย โดยต้องการให้มัสก์ดุดันกว่านี้อีก
    ทรัมป์ยังไม่พอใจผลงานของอีลอน มัสก์ แม้จะช่วยประหยัดเม็ดเงินของสหรัฐโดยการตัดเงินหน่วยงานที่ไม่จำเป็นออกได้มากมาย โดยต้องการให้มัสก์ดุดันกว่านี้อีก
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้มาคุยกันต่อถึงสิบสองภาพวาดที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดามเหสี เรียกรวมว่า ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) พร้อมป้ายอักษรอันเป็นตัวแทนของบทกวี ‘กงซวิ่นซือ’ (宫训诗 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+บทกวี) ภาพเหล่านี้ล้วนเป็นภาพฮองเฮา / มเหสี / พระชายาที่มีชื่อในประวัติศาสตร์ว่ามีคุณงามความดี

    สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึงภาพแรกคือภาพ ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ ที่ทรงพระราชทานให้ฮองเฮาเซี่ยวเสียนฉุน (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0Ery63dJM9QctgcUQWchqzEPMugvq12HANhduAUpojWfR2GjQctaJRpxAjBzsD6NWl)

    แต่พอ Storyฯ จะเขียนถึงภาพถัดไปก็เริ่มเกิดความยาก... ปัญหาคือว่า ละครเรื่องนี้แม้อ้างอิงจากเรื่องจริงแต่ตัวละครและชื่อตำหนักที่ประทับได้ถูกปรับเปลี่ยนไปบ้าง และข้อมูลเกี่ยวกับภาพวาดที่ Storyฯ หาเจอจะอิงตามชื่อตำหนัก

    Storyฯ เลยคิดว่า ก่อนจะไปกันต่อ เอาภาพมาให้เพื่อนเพจดูกันก่อนว่าพระราชวังต่างๆ ตั้งอยู่ที่ไหนกันบ้าง (ดูรูปประกอบ3) ซึ่งที่บอกว่าฮองเฮากุมอำนาจหกวังหรือ ‘ลิ่วกง’ แห่งวังหลังนั้น ‘หกวัง’ นั้นจริงๆ หมายถึงสิบสองวังหรือตำหนัก แบ่งเป็นหกตำหนักฝั่งตะวันออกและหกตำหนักตะวันตก ตรงกลางของวังหลังคือพระตำหนักเฉียนชิงกง ซึ่งเป็นที่ประทับและทรงงานของฮ่องเต้ (แต่ตั้งแต่รัชสมัยของยงเจิ้งเป็นต้นมา ฮ่องเต้จะเสด็จไปบรรทมที่พระที่นั่งหยั่งซินแทน) ตำหนักไหนอยู่ตรงไหนดูจากภาพประกอบกันได้เลยนะคะ

    วันนี้คุยกันเรื่องภาพที่สอง คือภาพ ‘ปันจีฉือเหนี่ยน’ (班姬辞辇图 ) แปลได้ว่าประมาณว่า ปันจีผู้งามมารยาท ภาพนี้ในนิยายต้นฉบับของ <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ได้ถูกพระราชทานไปให้เกากุ้ยเฟย (ในนิยายคือฮุ่ยกุ้ยเฟย) ที่พระตำหนักฉู่ซิ่วกง (ในซีรีย์บอกเป็นอีกภาพหนึ่ง) แต่ในเรื่อง <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> เกากุ้ยเฟยประทับที่พระตำหนักเสียนฝูกง ท่ามกลางความสับสนของชื่อภาพและชื่อพระตำหนักนี้ Storyฯ ยึดตามที่มีกล่าวถึงจากข้อมูลที่หาได้ว่า ภาพนี้ถูกแขวนไว้ที่พระตำหนักหย่งโซ่วกง (พระตำหนักของพระนางฮุ่ยเสียนหวงกุ้ยเฟย ผู้ซึ่งว่ากันว่าเป็นต้นแบบของเกากุ้ยเฟยในละคร)

    ภาพ ‘ปันจีฉือเหนี่ยน’ ที่องค์เฉียนหลงทรงให้จัดวาดขึ้นนั้นหน้าตาที่แท้จริงเป็นอย่างไร Storyฯ ก็หาไม่พบ พบแต่ภาพดั้งเดิมของเรื่อง ‘ปันจีฉือเหนี่ยน’ (ดูรูปประกอบ1) ซึ่งเป็นตอนหนึ่งของภาพม้วนยาวที่มีชื่อเรียกว่าภาพ ‘หนีว์สื่อเจิน’ (女史箴图 / ข้าราชสำนักหญิงเตือนสติ ดูรูปประกอบ2) อันเป็นผลงานของกู้ข่ายจือ ซึ่งเดิมมี 12 ตอนแต่สูญหายไปแล้ว ปัจจุบันเหลือเพียงฉบับคัดลอก 9 ตอนสองชุด ชุดหนึ่งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์วังต้องห้าม เป็นภาพที่จัดทำขึ้นสมัยซ่ง และอีกชุดหนึ่งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์บริติช (British Museum) เป็นภาพที่จัดทำในสมัยถัง ภาพทั้งสองมีความยาวเกือบ 3.5 เมตร เป็นภาพที่ถูกยกย่องว่านำเสนอวิถีชีวิตเหล่านางในตำแหน่งต่างๆ ออกมาได้ดี ไม่ว่าจะการวางตัวหรือสีหน้าสีตา

    ทั้งนี้ ภาพเต็ม ‘หนีว์สื่อเจิน’ เป็นภาพที่วาดขึ้นในสมัยราชวงศ์จิ้น โดยมีเนื้อหาเป็นเรื่องเล่าในรัชสมัยฮั่นเฉิงตี้แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (ปี 52-7 ก่อนคริสตกาล) กล่าวถึงเมื่อครั้งฮั่นเฉิงตี้เสด็จประพาสทอดพระเนตรสัตว์สู้กัน โดยมีนางในและพระโอรสตามเสด็จ

    ‘ปันจี’ คือใคร? นางคือพระนางปันเจี๋ยอวี๋ (หมายเหตุ ตำแหน่งเจี๋ยอวี๋นี้ บางคนเคยแปลว่าอัครเทวี บางคนแปลว่าราชเทวี Storyฯ ก็ไม่สันทัดว่าควรเรียกว่าอย่างไรจึงจะถูกต้อง) ชื่อเดิมว่า ‘ปันเถียน’ เริ่มเข้าวังทำหน้าที่เป็นข้าราชสำนักหญิงหรือที่เรียกว่าตำแหน่ง ‘หนีว์สื่อ’ มีหน้าที่ถวายงานด้านอักษรให้แก่ฮองเฮา รวมถึงงานบันทึกผลงานและความผิดของสตรีฝ่ายในและงานด้านพิธีการฝ่ายใน ต่อมาได้เป็นสนมรับใช้ฮั่นเฉิงตี้และสุดท้ายได้รับตำแหน่งเจี๋ยอวี๋ นางถูกจารึกไว้ว่าเป็นกวีและนักอักษรศาสตร์ที่เลื่องชื่อ มีผลงานตกทอดมาจนปัจจุบันหลายชิ้น

    ภาพ ‘ปันจีฉือเหนี่ยน’ นี้เป็นตอนที่สองของภาพ ‘หนีว์สื่อเจิน’ เป็นเรื่องราวสมัยที่พระนางยังเป็นที่โปรดปรานของฮั่นเฉิงตี้ ใจความคือองค์ฮั่นเฉิงตี้ทรงโปรดให้ใช้พระราชรถม้าขนาดใหญ่มากในการประพาสครั้งนี้เพื่อจะได้ให้พระนางปันโดยเสด็จด้วยบนรถ แต่พระนางทรงปฏิเสธ โดยอธิบายว่าแต่ไหนแต่ไรมา คนอื่นๆ ต้องเดินตามเสด็จอยู่ด้านข้างขบวน และในประวัติศาสตร์แม้มีกษัตริย์บางพระองค์ที่ให้พระภรรยาหรือสนมประทับร่วมบนพระราชรถ แต่กษัตริย์เหล่านั้นสุดท้ายล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ทำให้ราชวงศ์ล่มสลาย พระนางทรงไม่ต้องการให้ผู้ใดไปเล่ากันต่อในทางที่ไม่ดีว่าองค์ฮั่นเฉิงตี้มัวเมาในสตรีจนอาจเป็นเหตุให้บ้านเมืองต้องอับจนในอนาคต เหตุการณ์นี้ทำให้พระนางถูกยกย่องว่าเป็นคนที่สงบเสงี่ยมแม้จะได้รับความโปรดปรานจากองค์ฮ่องเต้ วางพระองค์ได้ดี รู้ขนบทำเนียมหน้าที่และรู้ว่าอะไรควรไม่ควร

    ภาพนี้ถูกชื่นชมว่าสามารถบรรยายความรู้สึกหลากหลายออกมาได้ดี ไม่ว่าจะเป็นความไม่พอพระทัยแต่จำยอมขององค์ฮั่นเฉิงตี้หรือการเบือนพักตร์ลอบไม่พอพระทัยของฮองเฮา โดยฉพาะภาพลักษณ์ของปันเจี๋ยอวี๋ในภาพนี้ ดูสูงส่งเรียบร้อย สมกับที่พระนางถูกยกย่องให้เป็นแบบอย่างแห่งสตรีผู้มีจริยวัตรงดงาม

    ส่วนป้ายอักษรที่องค์เฉียนหลงทรงพระราชทานคู่กับป้ายนี้คือ ‘ลิ่งอี๋ซูเต๋อ’ (令仪淑德) แปลได้ประมาณว่า เคารพพิธีการและวางตนให้ดีมีจริยวัตรงดงาม

    ในเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นี้ เกากุ้ยเฟยตีความจากภาพนี้ว่า เฉียนหลงฮ่องเต้ทรงตำหนิที่นางวางองค์ไม่ดีจึงทรงพระราชทานภาพนี้มาเตือนสติ แต่เจียผินปลอบพระนางว่า จริงๆ แล้วภาพทั้งสิบสองสะท้อนถึงคุณสมบัติที่เฉียนหลงฮ่องเต้ทรงคาดหวังจากเหล่ามเหสีและสนมทั้งหมด เพื่อนเพจคิดว่าไงคะ?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.sohu.com/a/242329927_100034915
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/44523682
    https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=5c29a1b9368965f14d877c95
    http://www.obj.cc/thread-69013-1-1.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html
    https://baike.baidu.com/item/女史箴图
    https://baike.baidu.com/item/班姬辞辇/360901

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เกากุ้ยเฟย #ปันจีฉือเหนี่ยน #ปันเจวี๋ยอี๋ #กงซวิ่นถู #หกตำหนักวังหลัง #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    วันนี้มาคุยกันต่อถึงสิบสองภาพวาดที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดามเหสี เรียกรวมว่า ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) พร้อมป้ายอักษรอันเป็นตัวแทนของบทกวี ‘กงซวิ่นซือ’ (宫训诗 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+บทกวี) ภาพเหล่านี้ล้วนเป็นภาพฮองเฮา / มเหสี / พระชายาที่มีชื่อในประวัติศาสตร์ว่ามีคุณงามความดี สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึงภาพแรกคือภาพ ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ ที่ทรงพระราชทานให้ฮองเฮาเซี่ยวเสียนฉุน (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0Ery63dJM9QctgcUQWchqzEPMugvq12HANhduAUpojWfR2GjQctaJRpxAjBzsD6NWl) แต่พอ Storyฯ จะเขียนถึงภาพถัดไปก็เริ่มเกิดความยาก... ปัญหาคือว่า ละครเรื่องนี้แม้อ้างอิงจากเรื่องจริงแต่ตัวละครและชื่อตำหนักที่ประทับได้ถูกปรับเปลี่ยนไปบ้าง และข้อมูลเกี่ยวกับภาพวาดที่ Storyฯ หาเจอจะอิงตามชื่อตำหนัก Storyฯ เลยคิดว่า ก่อนจะไปกันต่อ เอาภาพมาให้เพื่อนเพจดูกันก่อนว่าพระราชวังต่างๆ ตั้งอยู่ที่ไหนกันบ้าง (ดูรูปประกอบ3) ซึ่งที่บอกว่าฮองเฮากุมอำนาจหกวังหรือ ‘ลิ่วกง’ แห่งวังหลังนั้น ‘หกวัง’ นั้นจริงๆ หมายถึงสิบสองวังหรือตำหนัก แบ่งเป็นหกตำหนักฝั่งตะวันออกและหกตำหนักตะวันตก ตรงกลางของวังหลังคือพระตำหนักเฉียนชิงกง ซึ่งเป็นที่ประทับและทรงงานของฮ่องเต้ (แต่ตั้งแต่รัชสมัยของยงเจิ้งเป็นต้นมา ฮ่องเต้จะเสด็จไปบรรทมที่พระที่นั่งหยั่งซินแทน) ตำหนักไหนอยู่ตรงไหนดูจากภาพประกอบกันได้เลยนะคะ วันนี้คุยกันเรื่องภาพที่สอง คือภาพ ‘ปันจีฉือเหนี่ยน’ (班姬辞辇图 ) แปลได้ว่าประมาณว่า ปันจีผู้งามมารยาท ภาพนี้ในนิยายต้นฉบับของ <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ได้ถูกพระราชทานไปให้เกากุ้ยเฟย (ในนิยายคือฮุ่ยกุ้ยเฟย) ที่พระตำหนักฉู่ซิ่วกง (ในซีรีย์บอกเป็นอีกภาพหนึ่ง) แต่ในเรื่อง <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> เกากุ้ยเฟยประทับที่พระตำหนักเสียนฝูกง ท่ามกลางความสับสนของชื่อภาพและชื่อพระตำหนักนี้ Storyฯ ยึดตามที่มีกล่าวถึงจากข้อมูลที่หาได้ว่า ภาพนี้ถูกแขวนไว้ที่พระตำหนักหย่งโซ่วกง (พระตำหนักของพระนางฮุ่ยเสียนหวงกุ้ยเฟย ผู้ซึ่งว่ากันว่าเป็นต้นแบบของเกากุ้ยเฟยในละคร) ภาพ ‘ปันจีฉือเหนี่ยน’ ที่องค์เฉียนหลงทรงให้จัดวาดขึ้นนั้นหน้าตาที่แท้จริงเป็นอย่างไร Storyฯ ก็หาไม่พบ พบแต่ภาพดั้งเดิมของเรื่อง ‘ปันจีฉือเหนี่ยน’ (ดูรูปประกอบ1) ซึ่งเป็นตอนหนึ่งของภาพม้วนยาวที่มีชื่อเรียกว่าภาพ ‘หนีว์สื่อเจิน’ (女史箴图 / ข้าราชสำนักหญิงเตือนสติ ดูรูปประกอบ2) อันเป็นผลงานของกู้ข่ายจือ ซึ่งเดิมมี 12 ตอนแต่สูญหายไปแล้ว ปัจจุบันเหลือเพียงฉบับคัดลอก 9 ตอนสองชุด ชุดหนึ่งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์วังต้องห้าม เป็นภาพที่จัดทำขึ้นสมัยซ่ง และอีกชุดหนึ่งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์บริติช (British Museum) เป็นภาพที่จัดทำในสมัยถัง ภาพทั้งสองมีความยาวเกือบ 3.5 เมตร เป็นภาพที่ถูกยกย่องว่านำเสนอวิถีชีวิตเหล่านางในตำแหน่งต่างๆ ออกมาได้ดี ไม่ว่าจะการวางตัวหรือสีหน้าสีตา ทั้งนี้ ภาพเต็ม ‘หนีว์สื่อเจิน’ เป็นภาพที่วาดขึ้นในสมัยราชวงศ์จิ้น โดยมีเนื้อหาเป็นเรื่องเล่าในรัชสมัยฮั่นเฉิงตี้แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (ปี 52-7 ก่อนคริสตกาล) กล่าวถึงเมื่อครั้งฮั่นเฉิงตี้เสด็จประพาสทอดพระเนตรสัตว์สู้กัน โดยมีนางในและพระโอรสตามเสด็จ ‘ปันจี’ คือใคร? นางคือพระนางปันเจี๋ยอวี๋ (หมายเหตุ ตำแหน่งเจี๋ยอวี๋นี้ บางคนเคยแปลว่าอัครเทวี บางคนแปลว่าราชเทวี Storyฯ ก็ไม่สันทัดว่าควรเรียกว่าอย่างไรจึงจะถูกต้อง) ชื่อเดิมว่า ‘ปันเถียน’ เริ่มเข้าวังทำหน้าที่เป็นข้าราชสำนักหญิงหรือที่เรียกว่าตำแหน่ง ‘หนีว์สื่อ’ มีหน้าที่ถวายงานด้านอักษรให้แก่ฮองเฮา รวมถึงงานบันทึกผลงานและความผิดของสตรีฝ่ายในและงานด้านพิธีการฝ่ายใน ต่อมาได้เป็นสนมรับใช้ฮั่นเฉิงตี้และสุดท้ายได้รับตำแหน่งเจี๋ยอวี๋ นางถูกจารึกไว้ว่าเป็นกวีและนักอักษรศาสตร์ที่เลื่องชื่อ มีผลงานตกทอดมาจนปัจจุบันหลายชิ้น ภาพ ‘ปันจีฉือเหนี่ยน’ นี้เป็นตอนที่สองของภาพ ‘หนีว์สื่อเจิน’ เป็นเรื่องราวสมัยที่พระนางยังเป็นที่โปรดปรานของฮั่นเฉิงตี้ ใจความคือองค์ฮั่นเฉิงตี้ทรงโปรดให้ใช้พระราชรถม้าขนาดใหญ่มากในการประพาสครั้งนี้เพื่อจะได้ให้พระนางปันโดยเสด็จด้วยบนรถ แต่พระนางทรงปฏิเสธ โดยอธิบายว่าแต่ไหนแต่ไรมา คนอื่นๆ ต้องเดินตามเสด็จอยู่ด้านข้างขบวน และในประวัติศาสตร์แม้มีกษัตริย์บางพระองค์ที่ให้พระภรรยาหรือสนมประทับร่วมบนพระราชรถ แต่กษัตริย์เหล่านั้นสุดท้ายล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ทำให้ราชวงศ์ล่มสลาย พระนางทรงไม่ต้องการให้ผู้ใดไปเล่ากันต่อในทางที่ไม่ดีว่าองค์ฮั่นเฉิงตี้มัวเมาในสตรีจนอาจเป็นเหตุให้บ้านเมืองต้องอับจนในอนาคต เหตุการณ์นี้ทำให้พระนางถูกยกย่องว่าเป็นคนที่สงบเสงี่ยมแม้จะได้รับความโปรดปรานจากองค์ฮ่องเต้ วางพระองค์ได้ดี รู้ขนบทำเนียมหน้าที่และรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ภาพนี้ถูกชื่นชมว่าสามารถบรรยายความรู้สึกหลากหลายออกมาได้ดี ไม่ว่าจะเป็นความไม่พอพระทัยแต่จำยอมขององค์ฮั่นเฉิงตี้หรือการเบือนพักตร์ลอบไม่พอพระทัยของฮองเฮา โดยฉพาะภาพลักษณ์ของปันเจี๋ยอวี๋ในภาพนี้ ดูสูงส่งเรียบร้อย สมกับที่พระนางถูกยกย่องให้เป็นแบบอย่างแห่งสตรีผู้มีจริยวัตรงดงาม ส่วนป้ายอักษรที่องค์เฉียนหลงทรงพระราชทานคู่กับป้ายนี้คือ ‘ลิ่งอี๋ซูเต๋อ’ (令仪淑德) แปลได้ประมาณว่า เคารพพิธีการและวางตนให้ดีมีจริยวัตรงดงาม ในเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นี้ เกากุ้ยเฟยตีความจากภาพนี้ว่า เฉียนหลงฮ่องเต้ทรงตำหนิที่นางวางองค์ไม่ดีจึงทรงพระราชทานภาพนี้มาเตือนสติ แต่เจียผินปลอบพระนางว่า จริงๆ แล้วภาพทั้งสิบสองสะท้อนถึงคุณสมบัติที่เฉียนหลงฮ่องเต้ทรงคาดหวังจากเหล่ามเหสีและสนมทั้งหมด เพื่อนเพจคิดว่าไงคะ? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/242329927_100034915 https://zhuanlan.zhihu.com/p/44523682 https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=5c29a1b9368965f14d877c95 http://www.obj.cc/thread-69013-1-1.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html https://baike.baidu.com/item/女史箴图 https://baike.baidu.com/item/班姬辞辇/360901 #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เกากุ้ยเฟย #ปันจีฉือเหนี่ยน #ปันเจวี๋ยอี๋ #กงซวิ่นถู #หกตำหนักวังหลัง #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุยกันเรื่องวังหลังของเฉียนหลงฮ่องเต้มาหลายสัปดาห์ วันนี้ยังคุยกันเรื่องนี้ แต่เปลี่ยนเป็นละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> เป็นเรื่องที่เพื่อนเพจท่านหนึ่งถามถึงเกี่ยวกับเรื่องราวของภาพวาดที่พูดถึงในละคร

    ท่านใดที่ได้เคยดูละครหรืออ่านนิยายเรื่องนี้จะทราบว่า เฉียนหลงฮ่องเต้ทรงพระราชทานรูปภาพทั้งหมดสิบสองภาพให้แก่เหล่าพระมเหสี โดยในเรื่องมีการเล่าถึงความหมายของบางรูปภาพและมีการตีความกันไปต่างๆ นาๆ ว่าองค์เฉียนหลงทรงหมายถึงอะไร ในเรื่องนั้นองค์เฉียนหลงทรงต้องการให้พวกนางไปใช้เวลาไปตีความหมายกันเองจะได้ไม่มีเรื่องราวมากวนพระทัย แต่แน่นอนว่าภาพวาดเหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวของมัน คงต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าเราจะคุยจบทั้ง 12 ภาพวาด อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ

    ภาพทั้งสิบสองภาพนี้ถูกเรียกรวมว่า ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ได้รับการวาดขึ้นคู่กับบทกวีสิบสองบทที่เรียกว่า ‘กงซวิ่นซือ’ (宫训诗 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+บทกวี) ที่ทรงให้เหล่าขุนนางเป็นผู้แต่งและจัดทำเป็นป้ายสี่อักษรที่สื่อถึงบทกวีเต็ม และได้ทรงกำหนดไว้ว่า ในทุกวันที่ 26 เดือน 12 ตามปฏิทินจีน (คือห้าวันก่อนตรุษจีน ซึ่งเป็นช่วงเวลาจัดเตรียมการฉลองวันตรุษ) ทั้งสิบสองตำหนักต้องเอาภาพและป้ายอักษรดังกล่าวออกมาแขวน โดยภาพวาดให้แขวนไว้บนผนังทิศตะวันตก ส่วนป้ายอักษรให้แขวนไว้บนผนังทิศตะวันออก รอจนวันที่ 2 เดือน 2 จึงจะปลดลงได้

    ภาพแรกที่จะคุยกันวันนี้เป็นภาพที่องค์เฉียนหลงพระราชทานให้ฮองเฮา เซี่ยวเสียนฉุนหวงโฮ่วแห่งพระตำหนักฉางชุนกง มีชื่อว่าภาพวาด ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ (太姒诲子/ไท่ซึสอนบุตร)

    ‘ไท่ซึ’ คือใคร? ไท่ซึเป็นชายาเอกในองค์โจวเหวินหวาง อ๋องผู้ปกครองแคว้นโจวในสมัยปลายราชวงศ์ซางระหว่างปี 1110-1050 ก่อนคริสตกาลและเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์โจว (หมายเหตุ คือองค์โจวเหวินหวางผู้ทรงกำหนดเพิ่มสายพิณเส้นที่หกที่มีชื่อว่า เซ่ากง บนพิณโบราณกู่ฉินเพื่อเป็นการระลึกถึงโอรสที่วายชนม์ ซึ่ง Storyฯ เคยเล่าถึงตอนคุยเรื่องชื่อของสายพิณจากละครเรื่อง <ดาราจักรรักลำนำใจ> https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/569581261836837 )

    จากบันทึกโบราณและบทกวีต่างๆ ที่กล่าวถึง ว่ากันว่า ไท่ซึมีรูปโฉมและจริยวัตรงดงามและมีเมตตา เป็นผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นคู่ครองที่เหมาะสมกับโจวเหวินหวางและเป็นมารดาที่ดีแห่งแคว้น (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) นางมีบุตรชายสิบคนให้กับโจวเหวินหวาง ซึ่งเป็นที่กล่าวขานว่านางสั่งสอนบุตรอย่างเข้มงวดจนเป็นคนดีมีความกตัญญูทุกคน

    มีเรื่องราวต่อมาอีกว่า โอรสคนโตของนางและโจวเหวินหวาง นามว่า ป๋ออี้เข่า นั้น ในตำนานว่ากันว่าเป็นบุรุษรูปงาม เชี่ยวชาญด้านพิณ และขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรที่กตัญญูมาก ในสมัยนั้นโจ้วหวางผู้เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซางเพ่งเล็งและระแวงในแคว้นโจว และเพื่อเป็นการปกป้องโจวเหวินหวางและแคว้น ป๋ออี้เข่ายอมจากบ้านเกิดมาเป็นตัวประกันที่ราชสำนักซาง

    โจ้วหวางมีมเหสีที่รักมากชื่อว่าต๋าจี่ ผู้มีความงามอย่างที่หาใครเปรียบได้ยาก ตามตำนานเล่าว่า ต๋าจี่หลงรักป๋ออี้เข่าตั้งแต่แรกพบ เลยใช้ข้ออ้างขอเรียนพิณเพื่อเข้าใกล้ป๋ออี้เข่า แต่เขาไม่มีใจให้นาง นางโกรธแค้นเขามาก จึงสร้างเรื่องว่าถูกเขาลวนลาม ทำให้โจ้วหวางโกรธจนสังหารป๋ออี้เข่าทิ้ง ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจเริ่มคุ้นหูคุ้นตากันบ้างไหมกับชื่อ ‘ต๋าจี่’ นี้ แต่นี่คือเรื่องเล่าในตำนานสงครามเทพ <เฟิงเสิน> และต๋าจี่คือนางงามที่เป็นปีศาจจิ้งจอกจำแลงนั่นเอง

    โจ้วหวางถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นทรราชเพราะมีพฤติกรรมโหดเหี้ยมอำมหิตมากมาย ต๋าจี่กลายเป็นตำนานนางจิ้งจอก เป็นตัวแทนของหญิงงามล่มเมือง และเรื่องราวของป๋ออี้เข่าเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดต่อครอบครัวของโจวเหวินหวางและไท่ซึ และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้โจวเหวินหวางลุกขึ้นเป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์ซางและสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจว ต่อมาบุตรชายคนรองคือโจวอู่หวางก็โค่นล้มราชวงศ์ซางได้สำเร็จ (และในเรื่องชื่อของสายพิณที่ Storyฯ เคยเล่าถึงไปแล้วนั้น โจวอู่หวางคือผู้ที่เสริมสายพิณเส้นที่เจ็ดเข้าไปในพิณโบราณกู่ฉินและตั้งชื่อสายพิณเส้นนั้นว่า เซ่าซาง เพื่อเป็นการรำลึกถึงการล้มราชวงศ์ซางได้สำเร็จ)

    ดูจะเชื่อมโยงตัวละครจากหลากหลายบทความที่ Storyฯ เคยเขียนถึง ลองย้อนกลับไปอ่านบทความเก่าๆ กันนะคะ จะได้ไม่งง

    สรุปว่า ภาพวาด ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ นี้แฝงไว้ซึ่งเรื่องราวความกตัญญูและโศกนาฏกรรมของป๋ออี้เข่า อารมณ์แฝงอาจสอดคล้องกับอารมณ์ที่โศกเศร้าของฮองเฮาเซี่ยวเสียนฉุนที่ต้องสูญเสียพระโอรสไปก่อนเวลาอันควร แต่ยังสะท้อนถึงจริยวัตรของการเป็นมารดาที่สั่งสอนบุตรอย่างดีอีกด้วย ส่วนป้ายอักษรที่มาคู่กับภาพนี้คือ ‘จิ้งซิวเน่ยเจ๋อ’ (敬休内则) มีความหมายประมาณว่า วางตนอย่างสงบและบริหารงานภายในครอบครัวให้เรียบร้อย

    จึงเป็นที่มาของการตีความโดยตัวละครต่างๆ ในเรื่องนี้ว่า ความหมายของรูปภาพนี้คืออยากให้ฮองเฮาเซี่ยวเสียนฉุนเลิกโศกเศร้าแล้วลุกขึ้นมาดูแลวังหลังในฐานะมารดาแห่งแผ่นดิน การตีความแบบนี้ถูกหรือไม่ Storyฯ ก็ไม่แน่ใจ แต่เห็นว่าเรื่องราวจากภาพนี้ก็อ่านเพลินดี เพื่อนเพจเห็นด้วยไหม

    สัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อกับภาพต่อไปค่ะ

    หมายเหตุ อัพเดทเพิ่มเติมวันที่ 22/8/2566 นะคะว่า ภาพวาดที่ Storyฯ แปะมาให้ดูนี้ เป็นผลงานในสมัยองค์คังซีของช่างวาดหลวงเจียวปิ่งเจินเกี่ยวกับไท่ซึค่ะ ภาพจริงของ ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ ซึ่งเป็น 1 ใน 12 กงซวิ่นถูนั้นสูญหายไปแล้ว หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบได้

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://autos.yahoo.com.tw/被催生氣炸-富察皇后吐單身心聲-094507428.html
    https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/太姒
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html
    http://lethe921.blogspot.com/2013/05/blog-post.html
    http://www.chinakongzi.org/baike/RENWU/xianqin/201707/t20170720_139258.htm
    https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/妲己
    https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/伯邑考
    https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/太姒

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ภาพวาดเฉียนหลง #ไท่ซึฮุ่ยจื่อ #ไท่ซึ #โจวเหวินหวาง #โจวอู่หวาง #โจ้วหวาง #ต๋าจี่ #นางจิ้งจอก #เฟิงเสิน
    คุยกันเรื่องวังหลังของเฉียนหลงฮ่องเต้มาหลายสัปดาห์ วันนี้ยังคุยกันเรื่องนี้ แต่เปลี่ยนเป็นละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> เป็นเรื่องที่เพื่อนเพจท่านหนึ่งถามถึงเกี่ยวกับเรื่องราวของภาพวาดที่พูดถึงในละคร ท่านใดที่ได้เคยดูละครหรืออ่านนิยายเรื่องนี้จะทราบว่า เฉียนหลงฮ่องเต้ทรงพระราชทานรูปภาพทั้งหมดสิบสองภาพให้แก่เหล่าพระมเหสี โดยในเรื่องมีการเล่าถึงความหมายของบางรูปภาพและมีการตีความกันไปต่างๆ นาๆ ว่าองค์เฉียนหลงทรงหมายถึงอะไร ในเรื่องนั้นองค์เฉียนหลงทรงต้องการให้พวกนางไปใช้เวลาไปตีความหมายกันเองจะได้ไม่มีเรื่องราวมากวนพระทัย แต่แน่นอนว่าภาพวาดเหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวของมัน คงต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าเราจะคุยจบทั้ง 12 ภาพวาด อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ ภาพทั้งสิบสองภาพนี้ถูกเรียกรวมว่า ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ได้รับการวาดขึ้นคู่กับบทกวีสิบสองบทที่เรียกว่า ‘กงซวิ่นซือ’ (宫训诗 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+บทกวี) ที่ทรงให้เหล่าขุนนางเป็นผู้แต่งและจัดทำเป็นป้ายสี่อักษรที่สื่อถึงบทกวีเต็ม และได้ทรงกำหนดไว้ว่า ในทุกวันที่ 26 เดือน 12 ตามปฏิทินจีน (คือห้าวันก่อนตรุษจีน ซึ่งเป็นช่วงเวลาจัดเตรียมการฉลองวันตรุษ) ทั้งสิบสองตำหนักต้องเอาภาพและป้ายอักษรดังกล่าวออกมาแขวน โดยภาพวาดให้แขวนไว้บนผนังทิศตะวันตก ส่วนป้ายอักษรให้แขวนไว้บนผนังทิศตะวันออก รอจนวันที่ 2 เดือน 2 จึงจะปลดลงได้ ภาพแรกที่จะคุยกันวันนี้เป็นภาพที่องค์เฉียนหลงพระราชทานให้ฮองเฮา เซี่ยวเสียนฉุนหวงโฮ่วแห่งพระตำหนักฉางชุนกง มีชื่อว่าภาพวาด ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ (太姒诲子/ไท่ซึสอนบุตร) ‘ไท่ซึ’ คือใคร? ไท่ซึเป็นชายาเอกในองค์โจวเหวินหวาง อ๋องผู้ปกครองแคว้นโจวในสมัยปลายราชวงศ์ซางระหว่างปี 1110-1050 ก่อนคริสตกาลและเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์โจว (หมายเหตุ คือองค์โจวเหวินหวางผู้ทรงกำหนดเพิ่มสายพิณเส้นที่หกที่มีชื่อว่า เซ่ากง บนพิณโบราณกู่ฉินเพื่อเป็นการระลึกถึงโอรสที่วายชนม์ ซึ่ง Storyฯ เคยเล่าถึงตอนคุยเรื่องชื่อของสายพิณจากละครเรื่อง <ดาราจักรรักลำนำใจ> https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/569581261836837 ) จากบันทึกโบราณและบทกวีต่างๆ ที่กล่าวถึง ว่ากันว่า ไท่ซึมีรูปโฉมและจริยวัตรงดงามและมีเมตตา เป็นผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นคู่ครองที่เหมาะสมกับโจวเหวินหวางและเป็นมารดาที่ดีแห่งแคว้น (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) นางมีบุตรชายสิบคนให้กับโจวเหวินหวาง ซึ่งเป็นที่กล่าวขานว่านางสั่งสอนบุตรอย่างเข้มงวดจนเป็นคนดีมีความกตัญญูทุกคน มีเรื่องราวต่อมาอีกว่า โอรสคนโตของนางและโจวเหวินหวาง นามว่า ป๋ออี้เข่า นั้น ในตำนานว่ากันว่าเป็นบุรุษรูปงาม เชี่ยวชาญด้านพิณ และขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรที่กตัญญูมาก ในสมัยนั้นโจ้วหวางผู้เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซางเพ่งเล็งและระแวงในแคว้นโจว และเพื่อเป็นการปกป้องโจวเหวินหวางและแคว้น ป๋ออี้เข่ายอมจากบ้านเกิดมาเป็นตัวประกันที่ราชสำนักซาง โจ้วหวางมีมเหสีที่รักมากชื่อว่าต๋าจี่ ผู้มีความงามอย่างที่หาใครเปรียบได้ยาก ตามตำนานเล่าว่า ต๋าจี่หลงรักป๋ออี้เข่าตั้งแต่แรกพบ เลยใช้ข้ออ้างขอเรียนพิณเพื่อเข้าใกล้ป๋ออี้เข่า แต่เขาไม่มีใจให้นาง นางโกรธแค้นเขามาก จึงสร้างเรื่องว่าถูกเขาลวนลาม ทำให้โจ้วหวางโกรธจนสังหารป๋ออี้เข่าทิ้ง ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจเริ่มคุ้นหูคุ้นตากันบ้างไหมกับชื่อ ‘ต๋าจี่’ นี้ แต่นี่คือเรื่องเล่าในตำนานสงครามเทพ <เฟิงเสิน> และต๋าจี่คือนางงามที่เป็นปีศาจจิ้งจอกจำแลงนั่นเอง โจ้วหวางถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นทรราชเพราะมีพฤติกรรมโหดเหี้ยมอำมหิตมากมาย ต๋าจี่กลายเป็นตำนานนางจิ้งจอก เป็นตัวแทนของหญิงงามล่มเมือง และเรื่องราวของป๋ออี้เข่าเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดต่อครอบครัวของโจวเหวินหวางและไท่ซึ และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้โจวเหวินหวางลุกขึ้นเป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์ซางและสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจว ต่อมาบุตรชายคนรองคือโจวอู่หวางก็โค่นล้มราชวงศ์ซางได้สำเร็จ (และในเรื่องชื่อของสายพิณที่ Storyฯ เคยเล่าถึงไปแล้วนั้น โจวอู่หวางคือผู้ที่เสริมสายพิณเส้นที่เจ็ดเข้าไปในพิณโบราณกู่ฉินและตั้งชื่อสายพิณเส้นนั้นว่า เซ่าซาง เพื่อเป็นการรำลึกถึงการล้มราชวงศ์ซางได้สำเร็จ) ดูจะเชื่อมโยงตัวละครจากหลากหลายบทความที่ Storyฯ เคยเขียนถึง ลองย้อนกลับไปอ่านบทความเก่าๆ กันนะคะ จะได้ไม่งง สรุปว่า ภาพวาด ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ นี้แฝงไว้ซึ่งเรื่องราวความกตัญญูและโศกนาฏกรรมของป๋ออี้เข่า อารมณ์แฝงอาจสอดคล้องกับอารมณ์ที่โศกเศร้าของฮองเฮาเซี่ยวเสียนฉุนที่ต้องสูญเสียพระโอรสไปก่อนเวลาอันควร แต่ยังสะท้อนถึงจริยวัตรของการเป็นมารดาที่สั่งสอนบุตรอย่างดีอีกด้วย ส่วนป้ายอักษรที่มาคู่กับภาพนี้คือ ‘จิ้งซิวเน่ยเจ๋อ’ (敬休内则) มีความหมายประมาณว่า วางตนอย่างสงบและบริหารงานภายในครอบครัวให้เรียบร้อย จึงเป็นที่มาของการตีความโดยตัวละครต่างๆ ในเรื่องนี้ว่า ความหมายของรูปภาพนี้คืออยากให้ฮองเฮาเซี่ยวเสียนฉุนเลิกโศกเศร้าแล้วลุกขึ้นมาดูแลวังหลังในฐานะมารดาแห่งแผ่นดิน การตีความแบบนี้ถูกหรือไม่ Storyฯ ก็ไม่แน่ใจ แต่เห็นว่าเรื่องราวจากภาพนี้ก็อ่านเพลินดี เพื่อนเพจเห็นด้วยไหม สัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อกับภาพต่อไปค่ะ หมายเหตุ อัพเดทเพิ่มเติมวันที่ 22/8/2566 นะคะว่า ภาพวาดที่ Storyฯ แปะมาให้ดูนี้ เป็นผลงานในสมัยองค์คังซีของช่างวาดหลวงเจียวปิ่งเจินเกี่ยวกับไท่ซึค่ะ ภาพจริงของ ‘ไท่ซึฮุ่ยจื่อ’ ซึ่งเป็น 1 ใน 12 กงซวิ่นถูนั้นสูญหายไปแล้ว หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบได้ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://autos.yahoo.com.tw/被催生氣炸-富察皇后吐單身心聲-094507428.html https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/太姒 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html http://lethe921.blogspot.com/2013/05/blog-post.html http://www.chinakongzi.org/baike/RENWU/xianqin/201707/t20170720_139258.htm https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/妲己 https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/伯邑考 https://zh.m.wikipedia.org/zh-my/太姒 #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ภาพวาดเฉียนหลง #ไท่ซึฮุ่ยจื่อ #ไท่ซึ #โจวเหวินหวาง #โจวอู่หวาง #โจ้วหวาง #ต๋าจี่ #นางจิ้งจอก #เฟิงเสิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 504 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผีบุญยุคนี้ ลอยไปลอยมา สนุกกับการเที่ยว กิน ใช้เงิน แต่ไม่มีผลงาน
    ผีบุญยุคนี้ ลอยไปลอยมา สนุกกับการเที่ยว กิน ใช้เงิน แต่ไม่มีผลงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🪭แม่สื่อสมัยโบราณ 🪭

    สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสู่ขอและ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ และมีการกล่าวถึงการใช้แม่สื่อ แต่เพื่อนเพจคงไม่ได้อรรถรสว่าจริงๆ แล้วการใช้แม่สื่อมีความสำคัญมาก ในบางยุคสมัยอย่างเช่นสมัยถังถึงกับบัญญัติเป็นกฎหมายไว้ว่าการแต่งงานต้องมีแม่สื่อ

    เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า มีหน่วยงานรัฐรับหน้าที่แม่สื่อ?

    ในบันทึกพิธีการโจวหลี่ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ ของสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกมีการระบุไว้ว่า: สำนักงาน ‘เหมยซึ’ (媒氏) มีหน้าที่ดูแลการแต่งงานของประชาชน... ทำทะเบียนบันทึกวันเดือนปีเกิดของทุกคนและจัดให้บุรุษแต่งงานเมื่ออายุสามสิบปีและสตรีเมื่ออายุยี่สิบปี... จัดเทศกาลกลางฤดูใบไม้ผลิหรือที่เรียกว่า ‘จงชุนฮุ่ย’ (仲春会) เพื่อเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะดูตัว...

    ก่อนจะลงลึกเรื่องหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อเหมยซึนี้ เรามาคุยกันเล็กน้อยเรื่องเกณฑ์อายุสมรสที่กล่าวถึงข้างต้น

    พวกเราจะคุ้นเคยว่ากฎหมายกำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำไว้ แต่ในสมัยโบราณมีกำหนดเกณฑ์อายุสูงสุดไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ผู้คนแต่งงานมีลูกสืบสกุล ในความเชื่อของคนโบราณคือการไม่มีบุตรสืบสกุลถือเป็นความอกตัญญูอย่างใหญ่หลวง แต่จริงๆ แล้วในมุมมองของรัฐมันมีเหตุผลด้านการพัฒนาประเทศ อย่าลืมว่าแรกเริ่มเลยเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนโดยเกษตรกรรม เมื่อประชากรน้อยผลผลิตก็น้อยรัฐก็จน อีกทั้งในสมัยโบราณมีศึกสงครามและอายุขัยของคนไม่ยาวเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นทางการจึงพยายามกระตุ้นให้คนแต่งงานและมีลูกหลานกัน จนถึงขั้นกำหนดเป็นกฎหมายบังคับ เพียงแต่เกณฑ์อายุตามกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อย่างเช่นในสมัยฮั่นบุรุษต้องแต่งงานภายในอายุสามสิบปีและสตรีภายในอายุสิบห้าปี หาไม่แล้วต้องถูกปรับด้วยการจ่ายภาษีเพิ่มเป็นห้าเท่า (ในสมัยนั้นจ่ายภาษีเป็นรายหัว ไม่เกี่ยวกับรายได้) และในสมัยราชวงศ์เหนือใต้กำหนดว่าหากสตรีไม่แต่งงานภายในอายุสิบห้าปีพ่อแม่ต้องโทษจำคุก

    แต่ในสมัยโบราณก็มีคนที่ไม่ได้แต่งงานภายในอายุที่กฎหมายที่กำหนด บ้างยืดเวลาออกไปเพราะเหตุผลการไว้ทุกข์ให้พ่อแม่ บ้างมีเหตุผลอื่น แต่ Storyฯ ไม่ได้ไปหาข้อมูลต่อว่าแต่ละยุคสมัยเขามีวิธีหลีกเลี่ยงการแต่งงานกันอย่างไร แต่ที่ชัดเจนก็คือว่า ผู้ที่ถึงเกณฑ์อายุสูงสุดแล้วยังไม่ได้แต่งงานจะมีสำนักงานแม่สื่อมาช่วยจัดการหาคู่ให้ โดยมีความพยายามหว่านล้อมให้เจ้าตัวเห็นชอบและมีตัวเลือกให้ ไม่ใช่นึกจะบังคับแต่งกับใครก็บังคับเลย ประมาณว่าเป็นการบังคับแต่งงานแบบประนีประนอม และนี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อ

    ทีนี้มาเข้าเรื่องหน้าที่แม่สื่อ... สำหรับหน้าที่แม่สื่อนี้ สำนักงานเหมยซึไม่เพียงหาคู่ให้กับผู้ที่ใกล้จะเลยเกณฑ์อายุสูงสุด หากแต่ยังช่วยหาคู่ให้กับผู้ที่ไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่จัดการเรื่องนี้ รวมถึงจัดงานเทศกาลที่บังคับให้หนุ่มสาวออกมาพบปะและดูตัวกัน นอกจากนี้ ยังเป็นธุระดูแลเรื่องพิธีการต่างๆ ให้ถูกต้องเช่นส่งคนไปช่วยสู่ขอ กำหนดวันแต่งงาน ช่วยจัดงานแต่งงาน และดูแลสินสอดให้เหมาะสม ในบางสมัยถึงกับมีหน้าที่จัดสรรเงินจากงบประมาณแผ่นดินหรือหาคณบดีท้องถิ่นมาเป็นผู้อุปถัมภ์เพื่อให้บุรุษที่ยากจนสามารถมีเงินสินสอดไปแต่งเมียได้ และอย่างในสมัยฉินมีหน้าที่จัดสรรที่ดินทำกินให้คู่บ่าวสาวไปตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ อันเกิดขึ้นในการหมั้นหมายและแต่งงาน

    และจากตัวอย่างที่ยกมาจากบันทึกโจวหลี่ จะเห็นว่าหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อมีอีกส่วนหนึ่งคืองานด้านทะเบียน โดยมีหน้าที่บันทึกว่าใครเกิดเมื่อไหร่แต่งงานแล้วหรือยัง หย่าร้างหรือไม่ รวมถึงดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน เช่นการลงโทษตามกฏหมาย (เช่น หลบหนีการแต่งงาน)

    ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่แม่สื่อในงานพิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานมงคลสมรสก็คือคนจากสำนักงานเหมยซึนี่เอง หรือที่เรียกว่า ‘แม่สื่อหลวง’ (官媒) แต่ผู้ที่เป็นแม่สื่อหลวงอาจไม่ใช่ขุนนางทุกคน เพราะเขาจะมีการจ้างคนนอกช่วยทำงาน กล่าวคือคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถมีฝีปากเป็นเลิศคล่องแคล่วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่มีประวัติอาชญากรรม ฯลฯ มาขึ้นทะเบียนเป็นแม่สื่อหลวงที่ต้องออกไปช่วยเจรจาทาบทามสู่ขอ ช่วยทำพิธีการต่างๆ โดยคนเหล่านี้ได้รับค่าจ้างหลวงแต่ไม่ใช่ข้าราชการ และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือในท้องที่นั้นๆ หรือเป็นผู้ที่ผู้อาวุโสเหล่านี้แนะนำมา

    ในยุคที่รุ่งเรืองมากๆ อย่างสมัยซ่งนั้น กิจการแม่สื่อมืออาชีพก็เฟื่องฟูตาม มีทั้งแม่สื่อฝ่ายชายและแม่สื่อฝ่ายหญิง ในสมัยซ่งถึงขนาดมีแบ่งแยกระดับของแม่สื่อ ในบันทึก ‘ตงจิงเมิ่งหัวลู่’ ที่ให้รายละเอียดวิถีชีวิตและธรรมเนียมปฏิบัติของคนสมัยซ่งเหนือได้กล่าวไว้ว่า แม่สื่อขั้นสูงสุดนั้นมีผ้าโพกศีรษะสวมเสื้อนอกสีม่วง ให้บริการเฉพาะขุนนางและครอบครัวขุนนาง

    และต่อมาพัฒนาขึ้นเป็น ‘แม่สื่อเอกชน’ (私媒) แบบมืออาชีพ กล่าวคือได้ค่าจ้างจากครอบครัวบ่าวสาว แต่ก็ต้องขึ้นทะเบียนกับทางการอยู่ดี

    ทำไมแค่ช่วยสู่ขอช่วยจัดงานแต่งยังต้องทำเป็นทางการขนาดนั้น? นั่นเป็นเพราะว่าแม่สื่อมีหน้าที่และความรับผิดได้ตามกฎหมาย เป็นต้นว่า หากแม่สื่อโฆษณาคุณสมบัติของบุรุษสตรีเกินจริงจนเข้าข่ายบิดเบือนหรือหลอกลวงก็จะมีโทษ; แม่สื่อมีหน้าที่ตรวจสอบและสืบข้อมูลประวัติของทั้งสองครอบครัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นการแต่งงานที่เข้าข่ายต้องห้าม (เช่น ข้ามสถานะระหว่างบุคคลธรรมดากับบุคคลในทะเบียนทาส; เป็นพยานสำคัญว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกคนหรือไม่ ตั้งแต่ข้อมูลวันเดือนปีเกิด เอกสารการหมั้นและการรับตัวเจ้าสาว หรือหากรู้เห็นเป็นใจการหนีสมรสก็มีโทษเช่นกัน; เป็นพยานสำคัญว่าสินสอดและสินเดิมเจ้าสาวถูกต้องครบถ้วนตามรายการบัญชีที่ทำ; และอาจเป็นพยานหรือเป็นผู้ช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างครอบครัวบ่าวสาวได้ ฯลฯ

    แม่สื่อเป็นบุรุษหรือสตรีก็ได้ เพียงแต่ในยุคที่กิจการแม่สื่อเฟื่องฟู คนที่นิยมทำหน้าที่นี้เป็นสตรีเสียส่วนใหญ่ และจวบจนสมัยชิงยังมีการกล่าวถึงแม่สื่อหลวง โดยมีตัวอย่างจากบทประพันธ์โบราณชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น) ซึ่งเป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ดังนั้น แม่สื่อหลวงและแม่สื่อเอกชนอยู่คู่กับจีนมาหลายพันปีแล้ว

    และแน่นอนว่า แม่สื่อเอกชนแบบที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการก็มี เช่นอาจมีการเชิญผู้ใหญ่คนรู้จักไปช่วยพูดจาทาบทาม เพื่อนเพจเชื้อสายจีนน่าจะนึกภาพออกเพราะบ้านเราเรียกว่า ‘เถ้าแก่’ แต่เถ้าแก่นี้ไม่ใช่แม่สื่อหลักเพราะตามกระบวนการของกฎหมายต้องมีแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วช่วยดำเนินเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแม่สื่อหลวงหรือแม่สื่อเอกชน ดังนั้นในบริบทนี้ บางครอบครัวอาจใช้เถ้าแก่มาเสริม จึงเกิดเป็นสำนวนที่ว่า ‘ซานเหมยลิ่วพิ่น’ ( 三媒六聘/สามแม่สื่อหกพิธีการแต่งงาน) กล่าวคือแม่สื่อหรือเถ้าแก่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และคนกลางซึ่งมักเป็นแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วนั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://meihuamag.com/牵线说媒,这行当已有五千年历史/
    http://sino.newdu.com/m/view.php?aid=91147
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.sss.net.cn/106001/30036.aspx
    http://www.heyuanxw.com/2014/wenhua_1216/15238.html
    http://iolaw.cssn.cn/xspl/200607/t20060726_4598436.shtml
    http://www.xinfajia.net/2592.html
    https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=795664&remap=gb#%娶妇
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_26937009

    #แม่สื่อ #กวนเหมย #ซือเหมย #เหมยซึ #การแต่งงานจีนโบราณ #สาระจีน
    🪭แม่สื่อสมัยโบราณ 🪭 สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสู่ขอและ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ และมีการกล่าวถึงการใช้แม่สื่อ แต่เพื่อนเพจคงไม่ได้อรรถรสว่าจริงๆ แล้วการใช้แม่สื่อมีความสำคัญมาก ในบางยุคสมัยอย่างเช่นสมัยถังถึงกับบัญญัติเป็นกฎหมายไว้ว่าการแต่งงานต้องมีแม่สื่อ เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า มีหน่วยงานรัฐรับหน้าที่แม่สื่อ? ในบันทึกพิธีการโจวหลี่ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ ของสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกมีการระบุไว้ว่า: สำนักงาน ‘เหมยซึ’ (媒氏) มีหน้าที่ดูแลการแต่งงานของประชาชน... ทำทะเบียนบันทึกวันเดือนปีเกิดของทุกคนและจัดให้บุรุษแต่งงานเมื่ออายุสามสิบปีและสตรีเมื่ออายุยี่สิบปี... จัดเทศกาลกลางฤดูใบไม้ผลิหรือที่เรียกว่า ‘จงชุนฮุ่ย’ (仲春会) เพื่อเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะดูตัว... ก่อนจะลงลึกเรื่องหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อเหมยซึนี้ เรามาคุยกันเล็กน้อยเรื่องเกณฑ์อายุสมรสที่กล่าวถึงข้างต้น พวกเราจะคุ้นเคยว่ากฎหมายกำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำไว้ แต่ในสมัยโบราณมีกำหนดเกณฑ์อายุสูงสุดไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ผู้คนแต่งงานมีลูกสืบสกุล ในความเชื่อของคนโบราณคือการไม่มีบุตรสืบสกุลถือเป็นความอกตัญญูอย่างใหญ่หลวง แต่จริงๆ แล้วในมุมมองของรัฐมันมีเหตุผลด้านการพัฒนาประเทศ อย่าลืมว่าแรกเริ่มเลยเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนโดยเกษตรกรรม เมื่อประชากรน้อยผลผลิตก็น้อยรัฐก็จน อีกทั้งในสมัยโบราณมีศึกสงครามและอายุขัยของคนไม่ยาวเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นทางการจึงพยายามกระตุ้นให้คนแต่งงานและมีลูกหลานกัน จนถึงขั้นกำหนดเป็นกฎหมายบังคับ เพียงแต่เกณฑ์อายุตามกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อย่างเช่นในสมัยฮั่นบุรุษต้องแต่งงานภายในอายุสามสิบปีและสตรีภายในอายุสิบห้าปี หาไม่แล้วต้องถูกปรับด้วยการจ่ายภาษีเพิ่มเป็นห้าเท่า (ในสมัยนั้นจ่ายภาษีเป็นรายหัว ไม่เกี่ยวกับรายได้) และในสมัยราชวงศ์เหนือใต้กำหนดว่าหากสตรีไม่แต่งงานภายในอายุสิบห้าปีพ่อแม่ต้องโทษจำคุก แต่ในสมัยโบราณก็มีคนที่ไม่ได้แต่งงานภายในอายุที่กฎหมายที่กำหนด บ้างยืดเวลาออกไปเพราะเหตุผลการไว้ทุกข์ให้พ่อแม่ บ้างมีเหตุผลอื่น แต่ Storyฯ ไม่ได้ไปหาข้อมูลต่อว่าแต่ละยุคสมัยเขามีวิธีหลีกเลี่ยงการแต่งงานกันอย่างไร แต่ที่ชัดเจนก็คือว่า ผู้ที่ถึงเกณฑ์อายุสูงสุดแล้วยังไม่ได้แต่งงานจะมีสำนักงานแม่สื่อมาช่วยจัดการหาคู่ให้ โดยมีความพยายามหว่านล้อมให้เจ้าตัวเห็นชอบและมีตัวเลือกให้ ไม่ใช่นึกจะบังคับแต่งกับใครก็บังคับเลย ประมาณว่าเป็นการบังคับแต่งงานแบบประนีประนอม และนี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อ ทีนี้มาเข้าเรื่องหน้าที่แม่สื่อ... สำหรับหน้าที่แม่สื่อนี้ สำนักงานเหมยซึไม่เพียงหาคู่ให้กับผู้ที่ใกล้จะเลยเกณฑ์อายุสูงสุด หากแต่ยังช่วยหาคู่ให้กับผู้ที่ไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่จัดการเรื่องนี้ รวมถึงจัดงานเทศกาลที่บังคับให้หนุ่มสาวออกมาพบปะและดูตัวกัน นอกจากนี้ ยังเป็นธุระดูแลเรื่องพิธีการต่างๆ ให้ถูกต้องเช่นส่งคนไปช่วยสู่ขอ กำหนดวันแต่งงาน ช่วยจัดงานแต่งงาน และดูแลสินสอดให้เหมาะสม ในบางสมัยถึงกับมีหน้าที่จัดสรรเงินจากงบประมาณแผ่นดินหรือหาคณบดีท้องถิ่นมาเป็นผู้อุปถัมภ์เพื่อให้บุรุษที่ยากจนสามารถมีเงินสินสอดไปแต่งเมียได้ และอย่างในสมัยฉินมีหน้าที่จัดสรรที่ดินทำกินให้คู่บ่าวสาวไปตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ อันเกิดขึ้นในการหมั้นหมายและแต่งงาน และจากตัวอย่างที่ยกมาจากบันทึกโจวหลี่ จะเห็นว่าหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อมีอีกส่วนหนึ่งคืองานด้านทะเบียน โดยมีหน้าที่บันทึกว่าใครเกิดเมื่อไหร่แต่งงานแล้วหรือยัง หย่าร้างหรือไม่ รวมถึงดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน เช่นการลงโทษตามกฏหมาย (เช่น หลบหนีการแต่งงาน) ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่แม่สื่อในงานพิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานมงคลสมรสก็คือคนจากสำนักงานเหมยซึนี่เอง หรือที่เรียกว่า ‘แม่สื่อหลวง’ (官媒) แต่ผู้ที่เป็นแม่สื่อหลวงอาจไม่ใช่ขุนนางทุกคน เพราะเขาจะมีการจ้างคนนอกช่วยทำงาน กล่าวคือคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถมีฝีปากเป็นเลิศคล่องแคล่วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่มีประวัติอาชญากรรม ฯลฯ มาขึ้นทะเบียนเป็นแม่สื่อหลวงที่ต้องออกไปช่วยเจรจาทาบทามสู่ขอ ช่วยทำพิธีการต่างๆ โดยคนเหล่านี้ได้รับค่าจ้างหลวงแต่ไม่ใช่ข้าราชการ และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือในท้องที่นั้นๆ หรือเป็นผู้ที่ผู้อาวุโสเหล่านี้แนะนำมา ในยุคที่รุ่งเรืองมากๆ อย่างสมัยซ่งนั้น กิจการแม่สื่อมืออาชีพก็เฟื่องฟูตาม มีทั้งแม่สื่อฝ่ายชายและแม่สื่อฝ่ายหญิง ในสมัยซ่งถึงขนาดมีแบ่งแยกระดับของแม่สื่อ ในบันทึก ‘ตงจิงเมิ่งหัวลู่’ ที่ให้รายละเอียดวิถีชีวิตและธรรมเนียมปฏิบัติของคนสมัยซ่งเหนือได้กล่าวไว้ว่า แม่สื่อขั้นสูงสุดนั้นมีผ้าโพกศีรษะสวมเสื้อนอกสีม่วง ให้บริการเฉพาะขุนนางและครอบครัวขุนนาง และต่อมาพัฒนาขึ้นเป็น ‘แม่สื่อเอกชน’ (私媒) แบบมืออาชีพ กล่าวคือได้ค่าจ้างจากครอบครัวบ่าวสาว แต่ก็ต้องขึ้นทะเบียนกับทางการอยู่ดี ทำไมแค่ช่วยสู่ขอช่วยจัดงานแต่งยังต้องทำเป็นทางการขนาดนั้น? นั่นเป็นเพราะว่าแม่สื่อมีหน้าที่และความรับผิดได้ตามกฎหมาย เป็นต้นว่า หากแม่สื่อโฆษณาคุณสมบัติของบุรุษสตรีเกินจริงจนเข้าข่ายบิดเบือนหรือหลอกลวงก็จะมีโทษ; แม่สื่อมีหน้าที่ตรวจสอบและสืบข้อมูลประวัติของทั้งสองครอบครัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นการแต่งงานที่เข้าข่ายต้องห้าม (เช่น ข้ามสถานะระหว่างบุคคลธรรมดากับบุคคลในทะเบียนทาส; เป็นพยานสำคัญว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกคนหรือไม่ ตั้งแต่ข้อมูลวันเดือนปีเกิด เอกสารการหมั้นและการรับตัวเจ้าสาว หรือหากรู้เห็นเป็นใจการหนีสมรสก็มีโทษเช่นกัน; เป็นพยานสำคัญว่าสินสอดและสินเดิมเจ้าสาวถูกต้องครบถ้วนตามรายการบัญชีที่ทำ; และอาจเป็นพยานหรือเป็นผู้ช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างครอบครัวบ่าวสาวได้ ฯลฯ แม่สื่อเป็นบุรุษหรือสตรีก็ได้ เพียงแต่ในยุคที่กิจการแม่สื่อเฟื่องฟู คนที่นิยมทำหน้าที่นี้เป็นสตรีเสียส่วนใหญ่ และจวบจนสมัยชิงยังมีการกล่าวถึงแม่สื่อหลวง โดยมีตัวอย่างจากบทประพันธ์โบราณชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น) ซึ่งเป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ดังนั้น แม่สื่อหลวงและแม่สื่อเอกชนอยู่คู่กับจีนมาหลายพันปีแล้ว และแน่นอนว่า แม่สื่อเอกชนแบบที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการก็มี เช่นอาจมีการเชิญผู้ใหญ่คนรู้จักไปช่วยพูดจาทาบทาม เพื่อนเพจเชื้อสายจีนน่าจะนึกภาพออกเพราะบ้านเราเรียกว่า ‘เถ้าแก่’ แต่เถ้าแก่นี้ไม่ใช่แม่สื่อหลักเพราะตามกระบวนการของกฎหมายต้องมีแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วช่วยดำเนินเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแม่สื่อหลวงหรือแม่สื่อเอกชน ดังนั้นในบริบทนี้ บางครอบครัวอาจใช้เถ้าแก่มาเสริม จึงเกิดเป็นสำนวนที่ว่า ‘ซานเหมยลิ่วพิ่น’ ( 三媒六聘/สามแม่สื่อหกพิธีการแต่งงาน) กล่าวคือแม่สื่อหรือเถ้าแก่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และคนกลางซึ่งมักเป็นแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วนั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://meihuamag.com/牵线说媒,这行当已有五千年历史/ http://sino.newdu.com/m/view.php?aid=91147 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.sss.net.cn/106001/30036.aspx http://www.heyuanxw.com/2014/wenhua_1216/15238.html http://iolaw.cssn.cn/xspl/200607/t20060726_4598436.shtml http://www.xinfajia.net/2592.html https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=795664&remap=gb#%娶妇 https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_26937009 #แม่สื่อ #กวนเหมย #ซือเหมย #เหมยซึ #การแต่งงานจีนโบราณ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 509 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Moore Threads ได้เปิดตัวไดร์เวอร์เวอร์ชัน 290.100 สำหรับกราฟิกการ์ดรุ่น MTT S Series โดยการอัปเดตนี้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพและประสบการณ์การเล่นเกมในหลายเกมสมัยใหม่ จากการทดสอบภายในก่อนการปล่อยออกสู่สาธารณะ ผลลัพธ์ชี้ให้เห็นว่าในเกม Infinity Nikki ซึ่งรองรับเฉพาะ DirectX 12 เฟรมเรทเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากกว่า 40% และในเกม Death Stranding เฟรมเรทเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ที่น่าทึ่งที่สุดคือในเกม A Plague Tale: Requiem เฟรมเรทเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากกว่า 120%

    กราฟิกการ์ด MTT S80 ของ Moore Threads ถึงแม้ว่าจะมาพร้อมกับ PCI Express Gen 5 และมี MUSA cores 4096 หน่วย แต่ก็ยังไม่สามารถเทียบกับคู่แข่งหลักในตลาดได้ในหลายสถานการณ์

    การอัปเดตนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Moore Threads ประกาศเมื่อเดือนกันยายน 2023 ว่าไดร์เวอร์เวอร์ชัน 230.40.0.1 นั้นสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมได้ถึง 40% สำหรับการ์ด MTT S80 และ S70 นอกจากนี้ Moore Threads ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้มีผลงานสูงในด้านการประมวลผลเชิงลึกด้วย DeepSeek's R1 Distill-Qwen-7B distilled model

    https://www.techpowerup.com/332866/moore-threads-claims-120-gaming-performance-improvement-for-mtt-s-series-gpus
    บริษัท Moore Threads ได้เปิดตัวไดร์เวอร์เวอร์ชัน 290.100 สำหรับกราฟิกการ์ดรุ่น MTT S Series โดยการอัปเดตนี้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพและประสบการณ์การเล่นเกมในหลายเกมสมัยใหม่ จากการทดสอบภายในก่อนการปล่อยออกสู่สาธารณะ ผลลัพธ์ชี้ให้เห็นว่าในเกม Infinity Nikki ซึ่งรองรับเฉพาะ DirectX 12 เฟรมเรทเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากกว่า 40% และในเกม Death Stranding เฟรมเรทเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ที่น่าทึ่งที่สุดคือในเกม A Plague Tale: Requiem เฟรมเรทเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากกว่า 120% กราฟิกการ์ด MTT S80 ของ Moore Threads ถึงแม้ว่าจะมาพร้อมกับ PCI Express Gen 5 และมี MUSA cores 4096 หน่วย แต่ก็ยังไม่สามารถเทียบกับคู่แข่งหลักในตลาดได้ในหลายสถานการณ์ การอัปเดตนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Moore Threads ประกาศเมื่อเดือนกันยายน 2023 ว่าไดร์เวอร์เวอร์ชัน 230.40.0.1 นั้นสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมได้ถึง 40% สำหรับการ์ด MTT S80 และ S70 นอกจากนี้ Moore Threads ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้มีผลงานสูงในด้านการประมวลผลเชิงลึกด้วย DeepSeek's R1 Distill-Qwen-7B distilled model https://www.techpowerup.com/332866/moore-threads-claims-120-gaming-performance-improvement-for-mtt-s-series-gpus
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Moore Threads Claims 120% Gaming Performance Improvement for MTT S Series GPUs
    Moore Threads has released version 290.100 of its MTT S Series Windows desktop driver; today's freshly published patch notes describe "performance and experience optimizations" for multiple modern games titles. Press coverage of the Chinese graphics card manufacturer's hardware portfolio has concent...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความอาย: ด่านสำคัญของจิตที่กำหนดเส้นทางกรรม

    "ความอาย" เป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาแต่เกิด เป็นกลไกทางจิตใจที่ช่วยกำกับพฤติกรรม แต่ในขณะเดียวกัน ความอายก็สามารถเป็นทั้งตัวฉุดรั้งและตัวผลักดันให้คนเราเดินไปในเส้นทางกรรมที่แตกต่างกัน


    ---

    🔹 ประเภทของความอายและผลกระทบต่อชีวิต

    1️⃣ ความอายเรื่องรูปลักษณ์: เปลี่ยนไปตามกาลเวลา

    ✅ บางช่วงชีวิต คนเราอาจรู้สึกอายกับหน้าตา รูปร่าง หรือการแต่งกาย

    บางวันไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง

    บางช่วงชีวิตรู้สึกว่าต้องสวย ต้องดูดี เพื่อให้ได้รับการยอมรับ

    แต่เมื่อโตขึ้น โฟกัสจะเปลี่ยนไปจากรูปลักษณ์เป็น “ผลงาน” หรือ “การกระทำ”

    สุดท้ายคนเรามักเลิกสนใจว่าตัวเองดูเป็นอย่างไร และสนใจว่าตัวเอง “เป็นคนอย่างไร” แทน


    💡 ความอายเรื่องรูปลักษณ์จึงเป็นเพียงอารมณ์ชั่วคราว และสามารถเปลี่ยนแปลงได้


    ---

    2️⃣ ความอายเรื่องร่างกาย: สัญชาตญาณ vs. ค่านิยม

    ✅ มนุษย์มีสัญชาตญาณในการปกปิดร่างกายโดยธรรมชาติ

    การไม่เปิดเผยของลับเป็นสัญชาตญาณปกติของมนุษย์

    แต่เมื่อค่านิยมของสังคมเปลี่ยนไป ความรู้สึกอายนี้ก็ถูกลดทอนลง

    เมื่อค่านิยมทางสังคมผลักดันให้ “ความไม่อาย” กลายเป็นแฟชั่น → จิตใจจะหยาบขึ้นโดยไม่รู้ตัว

    และนี่เองคือสาเหตุที่เมื่อค่านิยมเปลี่ยนไป → ศีลธรรมก็เปลี่ยนตาม


    💡 ถ้าสัญชาตญาณการอายที่สุกงอมถูกกดทับ ความหยาบจะเข้ามาแทนที่ และเปิดโอกาสให้บาปกรรมเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น


    ---

    3️⃣ ความอายบาป: เส้นกั้นระหว่างมนุษย์กับอบายภูมิ

    ✅ ความอายต่อบาปเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะมนุษย์มีบุญหนุนนำให้เกิดมา

    ความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นหลังทำสิ่งไม่ดี → เป็นเครื่องยืนยันว่าจิตยังมี “ศีลธรรม” อยู่

    แต่ถ้าครั้งหนึ่งเคยทำบาปแล้วไม่รู้สึกผิด → ครั้งต่อไปจะทำได้ง่ายขึ้น

    ตัวอย่างเช่น:

    ยืมเงินคนอื่นแล้วไม่คืน → ถ้ารู้สึกผิด อาจหาโอกาสคืน

    แต่ถ้าไม่รู้สึกผิด → จะทำอีกได้โดยไม่ลังเล

    และหากทำซ้ำๆ → อาจพัฒนาไปสู่พฤติกรรมทุจริตที่ร้ายแรงขึ้น



    💡 หากชนะความละอายต่อบาปได้ครั้งหนึ่ง → บาปจะเกิดง่ายขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นธรรมชาติของจิต


    ---

    4️⃣ ความอายบุญ: อุปสรรคของการทำดี

    ✅ แปลกแต่จริง: คนเรามักรู้สึกอายเมื่อต้องทำบุญหรือทำความดีต่อหน้าคนอื่น

    เช่น เห็นคนตาบอดกำลังข้ามถนน → อยากช่วยแต่รู้สึกกระดาก

    เห็นคนมอเตอร์ไซค์ล้ม → อยากช่วยพยุงแต่ก็ลังเล

    อยากพูดเรื่องธรรมะ → แต่กลัวเพื่อนล้อ


    💡 ความอายประเภทนี้ ทำให้พลาดโอกาสสร้างบุญไปอย่างน่าเสียดาย

    💭 หากพิจารณาดีๆ จะพบว่าความอายที่แท้จริง คือ "อายต่อการทำดี" ต่างหากที่ควรปล่อยวาง


    ---

    🔹 วิธีบริหารความอายให้เป็นประโยชน์

    ✅ 1️⃣ ความอายเรื่องรูปลักษณ์ → เปลี่ยนโฟกัสจาก “ภายนอก” เป็น “ภายใน”

    ฝึกมองตัวเองจากมุมมองของคุณค่าที่แท้จริง → เช่น เราเป็นคนมีน้ำใจไหม? เราเป็นคนขยันไหม?

    ฝึกมองคนอื่นจากผลงาน มากกว่ารูปลักษณ์


    ✅ 2️⃣ ความอายเรื่องร่างกาย → ตระหนักว่าสังคมอาจมีอิทธิพลต่อจิตใจเรา

    เลือกเสพสื่อที่ไม่บิดเบือนจิตใจให้หยาบลง

    ฝึกสังเกตความรู้สึกตัวเองว่าอะไรคือ “ธรรมชาติของจิต” และอะไรคือ “สิ่งที่สังคมปลูกฝัง”


    ✅ 3️⃣ ความอายบาป → ใช้เป็นตัววัดจิตใจตนเอง

    ถ้าเคยทำผิดแล้วรู้สึกผิด → นั่นคือสัญญาณที่ดี แสดงว่าจิตยังมีศีลธรรม

    หากรู้สึกผิดแต่แก้ไขไม่ได้ทันที → ให้ตั้งใจแก้ไขเมื่อมีโอกาส


    ✅ 4️⃣ ความอายบุญ → ฝึกทำความดีอย่างมั่นใจ

    ถ้าอยากช่วยคน แต่รู้สึกอาย → ให้ลองนึกว่า "ถ้าเราเป็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือล่ะ?"

    ถ้ากลัวคนล้อเรื่องทำดี → ให้ยึดมั่นว่า "ดีคือดี" ไม่จำเป็นต้องอาย



    ---

    🔹 สรุป: บริหารความอายให้ถูกทาง

    💡 ความอายที่ดี → ทำให้เรารู้จักปกป้องศีลธรรม
    💡 ความอายที่ไม่ดี → ทำให้เราพลาดโอกาสทำความดี
    💡 หากฝึกสติให้มากพอ จะสามารถแยกแยะได้ว่า "ความอายแบบไหน ควรรักษา" และ "ความอายแบบไหน ควรปล่อยวาง"

    📌 สุดท้ายแล้ว จิตใจที่พัฒนา คือจิตที่รู้ว่าอะไรควรอาย และอะไรไม่ควรอาย!

    ความอาย: ด่านสำคัญของจิตที่กำหนดเส้นทางกรรม "ความอาย" เป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาแต่เกิด เป็นกลไกทางจิตใจที่ช่วยกำกับพฤติกรรม แต่ในขณะเดียวกัน ความอายก็สามารถเป็นทั้งตัวฉุดรั้งและตัวผลักดันให้คนเราเดินไปในเส้นทางกรรมที่แตกต่างกัน --- 🔹 ประเภทของความอายและผลกระทบต่อชีวิต 1️⃣ ความอายเรื่องรูปลักษณ์: เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ✅ บางช่วงชีวิต คนเราอาจรู้สึกอายกับหน้าตา รูปร่าง หรือการแต่งกาย บางวันไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง บางช่วงชีวิตรู้สึกว่าต้องสวย ต้องดูดี เพื่อให้ได้รับการยอมรับ แต่เมื่อโตขึ้น โฟกัสจะเปลี่ยนไปจากรูปลักษณ์เป็น “ผลงาน” หรือ “การกระทำ” สุดท้ายคนเรามักเลิกสนใจว่าตัวเองดูเป็นอย่างไร และสนใจว่าตัวเอง “เป็นคนอย่างไร” แทน 💡 ความอายเรื่องรูปลักษณ์จึงเป็นเพียงอารมณ์ชั่วคราว และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ --- 2️⃣ ความอายเรื่องร่างกาย: สัญชาตญาณ vs. ค่านิยม ✅ มนุษย์มีสัญชาตญาณในการปกปิดร่างกายโดยธรรมชาติ การไม่เปิดเผยของลับเป็นสัญชาตญาณปกติของมนุษย์ แต่เมื่อค่านิยมของสังคมเปลี่ยนไป ความรู้สึกอายนี้ก็ถูกลดทอนลง เมื่อค่านิยมทางสังคมผลักดันให้ “ความไม่อาย” กลายเป็นแฟชั่น → จิตใจจะหยาบขึ้นโดยไม่รู้ตัว และนี่เองคือสาเหตุที่เมื่อค่านิยมเปลี่ยนไป → ศีลธรรมก็เปลี่ยนตาม 💡 ถ้าสัญชาตญาณการอายที่สุกงอมถูกกดทับ ความหยาบจะเข้ามาแทนที่ และเปิดโอกาสให้บาปกรรมเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น --- 3️⃣ ความอายบาป: เส้นกั้นระหว่างมนุษย์กับอบายภูมิ ✅ ความอายต่อบาปเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะมนุษย์มีบุญหนุนนำให้เกิดมา ความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นหลังทำสิ่งไม่ดี → เป็นเครื่องยืนยันว่าจิตยังมี “ศีลธรรม” อยู่ แต่ถ้าครั้งหนึ่งเคยทำบาปแล้วไม่รู้สึกผิด → ครั้งต่อไปจะทำได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น: ยืมเงินคนอื่นแล้วไม่คืน → ถ้ารู้สึกผิด อาจหาโอกาสคืน แต่ถ้าไม่รู้สึกผิด → จะทำอีกได้โดยไม่ลังเล และหากทำซ้ำๆ → อาจพัฒนาไปสู่พฤติกรรมทุจริตที่ร้ายแรงขึ้น 💡 หากชนะความละอายต่อบาปได้ครั้งหนึ่ง → บาปจะเกิดง่ายขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นธรรมชาติของจิต --- 4️⃣ ความอายบุญ: อุปสรรคของการทำดี ✅ แปลกแต่จริง: คนเรามักรู้สึกอายเมื่อต้องทำบุญหรือทำความดีต่อหน้าคนอื่น เช่น เห็นคนตาบอดกำลังข้ามถนน → อยากช่วยแต่รู้สึกกระดาก เห็นคนมอเตอร์ไซค์ล้ม → อยากช่วยพยุงแต่ก็ลังเล อยากพูดเรื่องธรรมะ → แต่กลัวเพื่อนล้อ 💡 ความอายประเภทนี้ ทำให้พลาดโอกาสสร้างบุญไปอย่างน่าเสียดาย 💭 หากพิจารณาดีๆ จะพบว่าความอายที่แท้จริง คือ "อายต่อการทำดี" ต่างหากที่ควรปล่อยวาง --- 🔹 วิธีบริหารความอายให้เป็นประโยชน์ ✅ 1️⃣ ความอายเรื่องรูปลักษณ์ → เปลี่ยนโฟกัสจาก “ภายนอก” เป็น “ภายใน” ฝึกมองตัวเองจากมุมมองของคุณค่าที่แท้จริง → เช่น เราเป็นคนมีน้ำใจไหม? เราเป็นคนขยันไหม? ฝึกมองคนอื่นจากผลงาน มากกว่ารูปลักษณ์ ✅ 2️⃣ ความอายเรื่องร่างกาย → ตระหนักว่าสังคมอาจมีอิทธิพลต่อจิตใจเรา เลือกเสพสื่อที่ไม่บิดเบือนจิตใจให้หยาบลง ฝึกสังเกตความรู้สึกตัวเองว่าอะไรคือ “ธรรมชาติของจิต” และอะไรคือ “สิ่งที่สังคมปลูกฝัง” ✅ 3️⃣ ความอายบาป → ใช้เป็นตัววัดจิตใจตนเอง ถ้าเคยทำผิดแล้วรู้สึกผิด → นั่นคือสัญญาณที่ดี แสดงว่าจิตยังมีศีลธรรม หากรู้สึกผิดแต่แก้ไขไม่ได้ทันที → ให้ตั้งใจแก้ไขเมื่อมีโอกาส ✅ 4️⃣ ความอายบุญ → ฝึกทำความดีอย่างมั่นใจ ถ้าอยากช่วยคน แต่รู้สึกอาย → ให้ลองนึกว่า "ถ้าเราเป็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือล่ะ?" ถ้ากลัวคนล้อเรื่องทำดี → ให้ยึดมั่นว่า "ดีคือดี" ไม่จำเป็นต้องอาย --- 🔹 สรุป: บริหารความอายให้ถูกทาง 💡 ความอายที่ดี → ทำให้เรารู้จักปกป้องศีลธรรม 💡 ความอายที่ไม่ดี → ทำให้เราพลาดโอกาสทำความดี 💡 หากฝึกสติให้มากพอ จะสามารถแยกแยะได้ว่า "ความอายแบบไหน ควรรักษา" และ "ความอายแบบไหน ควรปล่อยวาง" 📌 สุดท้ายแล้ว จิตใจที่พัฒนา คือจิตที่รู้ว่าอะไรควรอาย และอะไรไม่ควรอาย!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 286 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 เมื่อคุณทำ สิ่งหนึ่งสิ่งใด..ที่น่าสนใจ อละน่าชื่มชม...สิ่งนั้นจะอยู่แค่ชั่วคราว เพื่อรอผลงานชิ้นต่อไป...ถ้ารักษาคุณภาพไว้ได้ ก็เข้า cercle เดิม..คือ คอยดูผลงานชิ้นต่อไป...เข้าใจง่ายๆ สูตรสำเร็จ นักร้องออกเทป ..ชุดแรก ปัง ชุด 2 drop...ชุด 3 แก้ตัว..ถ้าไม่ผ่านอีก การยอมรับน้อย ก็จบตรงนี้...เหมือนหนัง the impossible จึงต้องสร้างสรรค์ต่อเนื่อง..จนมีได้ถึง กลายภาค...การทำแบบเดิม ซ้ำเดิม อีกหน่อยคนก็ชิน..ตามมาด้วยความเบื่อ.....และเลิกติดตามในที่สุด.
    📌 เมื่อคุณทำ สิ่งหนึ่งสิ่งใด..ที่น่าสนใจ อละน่าชื่มชม...สิ่งนั้นจะอยู่แค่ชั่วคราว เพื่อรอผลงานชิ้นต่อไป...ถ้ารักษาคุณภาพไว้ได้ ก็เข้า cercle เดิม..คือ คอยดูผลงานชิ้นต่อไป...เข้าใจง่ายๆ สูตรสำเร็จ นักร้องออกเทป ..ชุดแรก ปัง ชุด 2 drop...ชุด 3 แก้ตัว..ถ้าไม่ผ่านอีก การยอมรับน้อย ก็จบตรงนี้...เหมือนหนัง the impossible จึงต้องสร้างสรรค์ต่อเนื่อง..จนมีได้ถึง กลายภาค...การทำแบบเดิม ซ้ำเดิม อีกหน่อยคนก็ชิน..ตามมาด้วยความเบื่อ.....และเลิกติดตามในที่สุด.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงนี้กระแสหนังภารตะเรื่องหนึ่งแรงมาก เป็นเรื่องราวอิงชีวประวัติของโสเภณีหญิงที่กลายมาเป็นแม่เล้าผู้ทรงอิทธิพลในอินเดีย เห็นว่าฟ้องร้องกันอยู่ว่าเรื่องราวบิดเบือนเพราะเธอไม่ได้เป็นโสเภณีจริง ความจริงเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่หนังเรื่องนี้ทำให้ Storyฯ นึกถึงภาพยนตร์จีนโบราณที่เคยผ่านตาเมื่อนานมาแล้วเรื่องหนึ่งชื่อว่า <หลิ่วหรูซื่อ> (Threads of Time)

    เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวประวัติของนางคณิกานามว่า ‘หลิ่วหรูซื่อ’ นางถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นกวีหญิงที่โดดเด่นในสมัยปลายราชวงศ์หมิง และเป็นสตรีที่รักชาติและต่อต้านการรุกรานจากชาวแมนจูในช่วงผลัดแผ่นดิน ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจคุ้นเคยกับเรื่องของนางกันบ้างหรือไม่? วันนี้เลยมาคุยให้ฟังอย่างย่อ

    หลิ่วหรูซื่อ (ค.ศ. 1618-1664) ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาจากแม่น้ำฉินหวย (ฉินหวยปาเยี่ยน / 秦淮八艳)

    อะไรคือ ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ? ในสมัยปลายราชวงศ์หมิงนั้น สถานสอบราชบันฑิตที่ใหญ่ที่สุดคือเจียงหนานก้งเยวี่ยน (江南贡院) ตั้งอยู่ที่เมืองเจียงหนานริมฝั่งแม่น้ำฉินหวย ในแต่ละปีจะมีบัณฑิตและข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการสอบมาที่นี่ถึงสองสามหมื่นคน จากเมืองเจียงหนานข้ามแม่น้ำฉินหวยมาก็เป็นเมืองหนานจิง (นานกิง) ซึ่งนับว่าเป็นเมืองทางผ่านสำหรับเขาเหล่านี้ ที่นี่จึงกลายเป็นทำเลทองของกิจการหอนางโลม

    เพื่อนเพจอย่าได้คิดว่านางคณิกาเหล่านี้เน้นขายบริการทางเพศแต่อย่างเดียว ในยุคนั้นรายได้เป็นกอบเป็นกำมาจากการขายความบันเทิงทางศิลปะเคล้าสุรา เช่น เล่นดนตรี / เล่นหมากล้อม / โชว์เต้นรำ / แต่งกลอนวาดภาพ หรืออาจทำทั้งหมด มีนางคณิกาจำนวนไม่น้อยที่ขายศิลปะไม่ขายตัวและคนที่ชื่อดังจะต้องมีฝีมือดีเยี่ยม ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่มีการศึกษา ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ทั้งแปดคนนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของนางคณิกาในย่านเมืองหนานจิงนี้นี่เอง

    หลิ่วหรูซื่อมีนามเดิมว่า ‘หยางอ้าย’ ต่อมาเปลี่ยนชื่อตนเองใหม่เป็น ‘อิ่ง’ และมีนามรองว่า ‘หรูซื่อ’ ตามบทกวีจากสมัยซ่ง บ่อยครั้งที่นางแต่งตัวเป็นชายออกไปโต้กลอนกับคนอื่นโดยใช้นามว่า ‘เหอตงจวิน’ นางโด่งดังที่สุดด้านงานอักษรและงานพู่กันจีน (บทกวี คัดพู่กัน และภาพวาด) ผลงานของนางมีมากมายทั้งในนาม ‘หลิ่วหรูซื่อ’ และ ‘เหอตงจวิน’ มีการรวมเล่มผลงานของนางออกจำหน่ายในหลายยุคสมัยจวบจนปัจจุบัน

    นางเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ถูกขายให้กับหอนางโลมเมื่ออายุแปดขวบ แต่แม่เล้ารับเป็นลูกบุญธรรมและได้ฝึกเรียนศิลปะแขนงต่างๆ ในชีวิตนางมีชายสามคนที่มีบทบาทมาก คนแรกคืออดีตเสนาบดีอดีตจอหงวน ที่รับนางเป็นอนุเมื่ออายุเพียง 14 ปี เขาโปรดปรานนางที่สุด ใช้เวลาทั้งวันกับการสอนศิลปะขั้นสูงเหล่านี้ให้กับนาง

    เมื่อเขาตายลงนางถูกขับออกจากเรือนจึงกลับไปอยู่หอนางโลมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีวิชาความรู้ติดตัวจนเป็นที่เลื่องลือ ทำให้นางใช้ชีวิตอยู่กับการคบหาสมาคมกับเหล่าบัณฑิตจนได้มาพบรักกับเฉินจื่อหลง เขาเป็นบัณฑิตที่ต่อมารับราชการไปได้ไกล ทั้งสองอยู่ด้วยกันนานหลายปี แต่สุดท้ายไปไม่รอดแยกย้ายกันไปและนางออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่นางมีผลงานด้านโคลงกลอนและภาพวาดมากมาย

    ต่อมาในวัย 23 ปี นางได้พบและแต่งงานกับอดีตขุนนางอายุกว่า 50 ปีนามว่าเฉียนเชียนอี้เป็นภรรยารอง (แต่ภรรยาคนแรกเสียไปแล้ว) และอยู่ด้วยกันนานกว่า 20 ปี มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ช่วงเวลาที่อยู่กับเฉียนเชียนอี้นี้ เป็นช่วงเวลาที่นางได้รับการยกย่องเรื่องรักชาติ และนางเป็นผู้ผลักดันให้เฉียนเชียนอี้ทำงานต่อต้านแมนจูอย่างลับๆ เพื่อกอบกู้ราชวงศ์หมิง แม้ว่าฉากหน้าจะสวามิภักดิ์รับราชการกับทางการแมนจูไปแล้ว (เรื่องราวของเฉียนเชียนอี้ที่กลับไปกลับมากับการสนับสนุนฝ่ายใดเป็นเรื่องที่ยาว Storyฯ ขอไม่ลงในรายละเอียด) ต่อมาเฉียนเชียนอี้ลาออกไปใช้ชีวิตบั้นปลายในชนบทโดยนางติดตามไปด้วย เมื่อเขาตายลงมีการแย่งทรัพย์สมบัติ นางจึงฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องให้ทางการเอาผิดคนโกงและคืนทรัพย์สินกลับมาให้ลูก

    หลิ่วหรูซื่อไม่เพียงฝากผลงานเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังมากมาย หากแต่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและรักชาติของหลิ่วหรูซื่อถูกสะท้อนออกมาในบทประพันธ์ต่างๆ ของนางด้วยอารมณ์ประมาณว่า “ถ้าฉันเป็นชาย ฉันจะไปสู้เพื่อชาติ” แต่เมื่อเป็นหญิง นางจึงพยายามสนับสนุนกองกำลังกู้ชาติทางการเงินและผลักดันให้สามีของนางสนับสนุนด้วย และนี่คือสาเหตุว่าทำไมเรื่องราวของนางคณิกาธรรมดาคนนี้ยังไม่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html
    https://www.chinanews.com.cn/cul/news/2008/03-10/1186637.shtml
    https://new.qq.com/omn/20191102/20191102A03LG800.html
    https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html
    http://www.360doc.com/content/20/0325/10/60244337_901533310.shtml
    https://kknews.cc/history/ogan4p.html
    https://baike.baidu.com/item/%E7%A7%A6%E6%B7%AE%E5%85%AB%E8%89%B3/384726

    #หลิ่วหรูซือ #เหอตงจวิน #นางคณิกาจีนโบราณ #ฉินหวยปาเยี่ยน #เฉียนเชียนอี้ #เฉินจื่อหลง #กอบกู้หมิง
    ช่วงนี้กระแสหนังภารตะเรื่องหนึ่งแรงมาก เป็นเรื่องราวอิงชีวประวัติของโสเภณีหญิงที่กลายมาเป็นแม่เล้าผู้ทรงอิทธิพลในอินเดีย เห็นว่าฟ้องร้องกันอยู่ว่าเรื่องราวบิดเบือนเพราะเธอไม่ได้เป็นโสเภณีจริง ความจริงเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่หนังเรื่องนี้ทำให้ Storyฯ นึกถึงภาพยนตร์จีนโบราณที่เคยผ่านตาเมื่อนานมาแล้วเรื่องหนึ่งชื่อว่า <หลิ่วหรูซื่อ> (Threads of Time) เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวประวัติของนางคณิกานามว่า ‘หลิ่วหรูซื่อ’ นางถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นกวีหญิงที่โดดเด่นในสมัยปลายราชวงศ์หมิง และเป็นสตรีที่รักชาติและต่อต้านการรุกรานจากชาวแมนจูในช่วงผลัดแผ่นดิน ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจคุ้นเคยกับเรื่องของนางกันบ้างหรือไม่? วันนี้เลยมาคุยให้ฟังอย่างย่อ หลิ่วหรูซื่อ (ค.ศ. 1618-1664) ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาจากแม่น้ำฉินหวย (ฉินหวยปาเยี่ยน / 秦淮八艳) อะไรคือ ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ? ในสมัยปลายราชวงศ์หมิงนั้น สถานสอบราชบันฑิตที่ใหญ่ที่สุดคือเจียงหนานก้งเยวี่ยน (江南贡院) ตั้งอยู่ที่เมืองเจียงหนานริมฝั่งแม่น้ำฉินหวย ในแต่ละปีจะมีบัณฑิตและข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการสอบมาที่นี่ถึงสองสามหมื่นคน จากเมืองเจียงหนานข้ามแม่น้ำฉินหวยมาก็เป็นเมืองหนานจิง (นานกิง) ซึ่งนับว่าเป็นเมืองทางผ่านสำหรับเขาเหล่านี้ ที่นี่จึงกลายเป็นทำเลทองของกิจการหอนางโลม เพื่อนเพจอย่าได้คิดว่านางคณิกาเหล่านี้เน้นขายบริการทางเพศแต่อย่างเดียว ในยุคนั้นรายได้เป็นกอบเป็นกำมาจากการขายความบันเทิงทางศิลปะเคล้าสุรา เช่น เล่นดนตรี / เล่นหมากล้อม / โชว์เต้นรำ / แต่งกลอนวาดภาพ หรืออาจทำทั้งหมด มีนางคณิกาจำนวนไม่น้อยที่ขายศิลปะไม่ขายตัวและคนที่ชื่อดังจะต้องมีฝีมือดีเยี่ยม ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่มีการศึกษา ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ทั้งแปดคนนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของนางคณิกาในย่านเมืองหนานจิงนี้นี่เอง หลิ่วหรูซื่อมีนามเดิมว่า ‘หยางอ้าย’ ต่อมาเปลี่ยนชื่อตนเองใหม่เป็น ‘อิ่ง’ และมีนามรองว่า ‘หรูซื่อ’ ตามบทกวีจากสมัยซ่ง บ่อยครั้งที่นางแต่งตัวเป็นชายออกไปโต้กลอนกับคนอื่นโดยใช้นามว่า ‘เหอตงจวิน’ นางโด่งดังที่สุดด้านงานอักษรและงานพู่กันจีน (บทกวี คัดพู่กัน และภาพวาด) ผลงานของนางมีมากมายทั้งในนาม ‘หลิ่วหรูซื่อ’ และ ‘เหอตงจวิน’ มีการรวมเล่มผลงานของนางออกจำหน่ายในหลายยุคสมัยจวบจนปัจจุบัน นางเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ถูกขายให้กับหอนางโลมเมื่ออายุแปดขวบ แต่แม่เล้ารับเป็นลูกบุญธรรมและได้ฝึกเรียนศิลปะแขนงต่างๆ ในชีวิตนางมีชายสามคนที่มีบทบาทมาก คนแรกคืออดีตเสนาบดีอดีตจอหงวน ที่รับนางเป็นอนุเมื่ออายุเพียง 14 ปี เขาโปรดปรานนางที่สุด ใช้เวลาทั้งวันกับการสอนศิลปะขั้นสูงเหล่านี้ให้กับนาง เมื่อเขาตายลงนางถูกขับออกจากเรือนจึงกลับไปอยู่หอนางโลมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีวิชาความรู้ติดตัวจนเป็นที่เลื่องลือ ทำให้นางใช้ชีวิตอยู่กับการคบหาสมาคมกับเหล่าบัณฑิตจนได้มาพบรักกับเฉินจื่อหลง เขาเป็นบัณฑิตที่ต่อมารับราชการไปได้ไกล ทั้งสองอยู่ด้วยกันนานหลายปี แต่สุดท้ายไปไม่รอดแยกย้ายกันไปและนางออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่นางมีผลงานด้านโคลงกลอนและภาพวาดมากมาย ต่อมาในวัย 23 ปี นางได้พบและแต่งงานกับอดีตขุนนางอายุกว่า 50 ปีนามว่าเฉียนเชียนอี้เป็นภรรยารอง (แต่ภรรยาคนแรกเสียไปแล้ว) และอยู่ด้วยกันนานกว่า 20 ปี มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ช่วงเวลาที่อยู่กับเฉียนเชียนอี้นี้ เป็นช่วงเวลาที่นางได้รับการยกย่องเรื่องรักชาติ และนางเป็นผู้ผลักดันให้เฉียนเชียนอี้ทำงานต่อต้านแมนจูอย่างลับๆ เพื่อกอบกู้ราชวงศ์หมิง แม้ว่าฉากหน้าจะสวามิภักดิ์รับราชการกับทางการแมนจูไปแล้ว (เรื่องราวของเฉียนเชียนอี้ที่กลับไปกลับมากับการสนับสนุนฝ่ายใดเป็นเรื่องที่ยาว Storyฯ ขอไม่ลงในรายละเอียด) ต่อมาเฉียนเชียนอี้ลาออกไปใช้ชีวิตบั้นปลายในชนบทโดยนางติดตามไปด้วย เมื่อเขาตายลงมีการแย่งทรัพย์สมบัติ นางจึงฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องให้ทางการเอาผิดคนโกงและคืนทรัพย์สินกลับมาให้ลูก หลิ่วหรูซื่อไม่เพียงฝากผลงานเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังมากมาย หากแต่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและรักชาติของหลิ่วหรูซื่อถูกสะท้อนออกมาในบทประพันธ์ต่างๆ ของนางด้วยอารมณ์ประมาณว่า “ถ้าฉันเป็นชาย ฉันจะไปสู้เพื่อชาติ” แต่เมื่อเป็นหญิง นางจึงพยายามสนับสนุนกองกำลังกู้ชาติทางการเงินและผลักดันให้สามีของนางสนับสนุนด้วย และนี่คือสาเหตุว่าทำไมเรื่องราวของนางคณิกาธรรมดาคนนี้ยังไม่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html https://www.chinanews.com.cn/cul/news/2008/03-10/1186637.shtml https://new.qq.com/omn/20191102/20191102A03LG800.html https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html http://www.360doc.com/content/20/0325/10/60244337_901533310.shtml https://kknews.cc/history/ogan4p.html https://baike.baidu.com/item/%E7%A7%A6%E6%B7%AE%E5%85%AB%E8%89%B3/384726 #หลิ่วหรูซือ #เหอตงจวิน #นางคณิกาจีนโบราณ #ฉินหวยปาเยี่ยน #เฉียนเชียนอี้ #เฉินจื่อหลง #กอบกู้หมิง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 503 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หลอดเลือดหัวใจตีบ

    ในความเป็นจริงมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากมายและนี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานจากจีน

    การศึกษาวิจัยเชื่อมโยงกรดไหลย้อน(GERD)กับปัจจัยเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจตีบ(Coronary artery disease)

    การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Translational Internal Medicine ( https://doi.org/10.1515/jtim-2024-0017 ) เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับผลกระทบที่กว้างขึ้นของโรคกรดไหลย้อน (GERD) ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยใช้แนวทางการสุ่มแบบเมนเดเลียน (MR) แบบสองทิศทางที่เข้มงวด การวิจัยนี้ให้หลักฐานที่น่าเชื่อถือว่า GERD ซึ่งเป็นภาวะที่โดยทั่วไปถือว่าเป็นโรคของระบบย่อยอาหารซึ่งมีลักษณะคือกรดไหลย้อนและอาการเสียดท้อง อาจส่งผลต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิต โปรไฟล์ไขมัน และความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

    ผลการศึกษาที่ก้าวล้ำครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบของกรดไหลย้อนอาจขยายออกไปนอกระบบย่อยอาหาร และอาจมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพหลอดเลือดและหัวใจ "การวิจัยของเราเน้นย้ำว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเสี่ยงต่อหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้มีมุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับอิทธิพลของกรดไหลย้อน" Qiang Wu จากแผนกอาวุโสด้านโรคหัวใจที่ศูนย์การแพทย์ที่ 6 ของโรงพยาบาล PLA General Hospital ของจีนในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน กล่าว

    การใช้การสุ่มแบบเมนเดเลียนสองทิศทางให้ข้อได้เปรียบเหนือการศึกษาแบบเดิมในการควบคุมปัจจัยที่ทำให้เกิดความสับสนและจัดการกับความสัมพันธ์เชิงสาเหตุย้อนกลับ แนวทางนี้ซึ่งใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อทำการอนุมานเชิงสาเหตุนั้นให้พื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้นสำหรับการทำความเข้าใจว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ทางหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างไร ตัวแปรทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับกรดไหลย้อนถูกใช้เป็นตัวแปรเครื่องมือ ทำให้นักวิจัยสามารถตรวจสอบบทบาทเชิงสาเหตุที่อาจเกิดขึ้นของกรดไหลย้อนในภาวะหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ตามที่ Qiang Su จากแผนกโรคหัวใจที่โรงพยาบาล Jiangbin ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงกล่าว การศึกษานี้ใช้แนวทาง MR สองตัวอย่าง โดยดึงข้อมูลจากการศึกษาความสัมพันธ์ทั่วทั้งจีโนม (GWAS) ที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 600,000 คน รวมถึงผู้ป่วยกรดไหลย้อนที่ได้รับการวินิจฉัย 129,000 ราย ในขณะที่ข้อมูลหลอดเลือดและหัวใจได้มาจากกลุ่มตัวอย่างในยุโรปที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 200,000 คน นักวิจัยเน้นที่ตัวชี้วัดความดันโลหิตที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ความดันชีพจร (PP) และความดันโลหิตแดงเฉลี่ย (MAP)

    การศึกษานี้ใช้เทคนิค MR ขั้นสูงหลายวิธี รวมถึงการวิเคราะห์ Inverse Variance Weighted (IVW) การถดถอย MR Egger และแนวทาง Weighted Median วิธีการเหล่านี้ควบคุมผลกระทบแบบ pleiotropic ซึ่งยีนหนึ่งมีผลต่อลักษณะหลายอย่าง จึงทำให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แนวทางที่เข้มงวดนี้ทำให้ผู้วิจัยสรุปได้ว่า GERD อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด

    ผลการศึกษาวิจัยที่น่าสนใจที่สุดประการหนึ่งคือ GERD มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับความดันโลหิตสูง นักวิจัยพบว่า GERD ที่คาดการณ์ไว้ทางพันธุกรรมมีความเชื่อมโยงกับความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.053, P = 0.036) และความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.100, P < 0.001) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า GERD อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

    จากการศึกษาพบว่ากรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์กับระดับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (LDL) ที่เพิ่มขึ้น (β = 0.093, P < 0.001) และไตรกลีเซอไรด์ (β = 0.153, P < 0.001) ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดที่สูงขึ้น ในทางกลับกัน กรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง (HDL) (β = -0.115, P = 0.002) ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นคอเลสเตอรอล "ดี" ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ

    นอกจากนี้ งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่ากรดไหลย้อนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (หัวใจวาย) และความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราส่วนความน่าจะเป็นของกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันอยู่ที่ 1.272 (95% CI: 1.040 ถึง 1.557, P = 0.019) และสำหรับความดันโลหิตสูงอยู่ที่ 1.357 (95% CI: 1.222 ถึง 1.507, P < 0.001) อย่างไรก็ตาม ไม่พบความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างกรดไหลย้อนและภาวะหัวใจล้มเหลว

    ผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่ากรดไหลย้อนอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ การศึกษาของเราได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวินิจฉัย แต่เนิ่นๆ และกลยุทธ์การป้องกันสำหรับโรคกรดไหลย้อนและโรคหลอดเลือดหัวใจ

    Cr. Santi Manadee
    #หลอดเลือดหัวใจตีบ ในความเป็นจริงมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากมายและนี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานจากจีน การศึกษาวิจัยเชื่อมโยงกรดไหลย้อน(GERD)กับปัจจัยเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจตีบ(Coronary artery disease) การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Translational Internal Medicine ( https://doi.org/10.1515/jtim-2024-0017 ) เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับผลกระทบที่กว้างขึ้นของโรคกรดไหลย้อน (GERD) ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยใช้แนวทางการสุ่มแบบเมนเดเลียน (MR) แบบสองทิศทางที่เข้มงวด การวิจัยนี้ให้หลักฐานที่น่าเชื่อถือว่า GERD ซึ่งเป็นภาวะที่โดยทั่วไปถือว่าเป็นโรคของระบบย่อยอาหารซึ่งมีลักษณะคือกรดไหลย้อนและอาการเสียดท้อง อาจส่งผลต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิต โปรไฟล์ไขมัน และความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ผลการศึกษาที่ก้าวล้ำครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบของกรดไหลย้อนอาจขยายออกไปนอกระบบย่อยอาหาร และอาจมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพหลอดเลือดและหัวใจ "การวิจัยของเราเน้นย้ำว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเสี่ยงต่อหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้มีมุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับอิทธิพลของกรดไหลย้อน" Qiang Wu จากแผนกอาวุโสด้านโรคหัวใจที่ศูนย์การแพทย์ที่ 6 ของโรงพยาบาล PLA General Hospital ของจีนในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน กล่าว การใช้การสุ่มแบบเมนเดเลียนสองทิศทางให้ข้อได้เปรียบเหนือการศึกษาแบบเดิมในการควบคุมปัจจัยที่ทำให้เกิดความสับสนและจัดการกับความสัมพันธ์เชิงสาเหตุย้อนกลับ แนวทางนี้ซึ่งใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อทำการอนุมานเชิงสาเหตุนั้นให้พื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้นสำหรับการทำความเข้าใจว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ทางหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างไร ตัวแปรทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับกรดไหลย้อนถูกใช้เป็นตัวแปรเครื่องมือ ทำให้นักวิจัยสามารถตรวจสอบบทบาทเชิงสาเหตุที่อาจเกิดขึ้นของกรดไหลย้อนในภาวะหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ตามที่ Qiang Su จากแผนกโรคหัวใจที่โรงพยาบาล Jiangbin ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงกล่าว การศึกษานี้ใช้แนวทาง MR สองตัวอย่าง โดยดึงข้อมูลจากการศึกษาความสัมพันธ์ทั่วทั้งจีโนม (GWAS) ที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 600,000 คน รวมถึงผู้ป่วยกรดไหลย้อนที่ได้รับการวินิจฉัย 129,000 ราย ในขณะที่ข้อมูลหลอดเลือดและหัวใจได้มาจากกลุ่มตัวอย่างในยุโรปที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 200,000 คน นักวิจัยเน้นที่ตัวชี้วัดความดันโลหิตที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ความดันชีพจร (PP) และความดันโลหิตแดงเฉลี่ย (MAP) การศึกษานี้ใช้เทคนิค MR ขั้นสูงหลายวิธี รวมถึงการวิเคราะห์ Inverse Variance Weighted (IVW) การถดถอย MR Egger และแนวทาง Weighted Median วิธีการเหล่านี้ควบคุมผลกระทบแบบ pleiotropic ซึ่งยีนหนึ่งมีผลต่อลักษณะหลายอย่าง จึงทำให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แนวทางที่เข้มงวดนี้ทำให้ผู้วิจัยสรุปได้ว่า GERD อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด ผลการศึกษาวิจัยที่น่าสนใจที่สุดประการหนึ่งคือ GERD มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับความดันโลหิตสูง นักวิจัยพบว่า GERD ที่คาดการณ์ไว้ทางพันธุกรรมมีความเชื่อมโยงกับความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.053, P = 0.036) และความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.100, P < 0.001) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า GERD อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง จากการศึกษาพบว่ากรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์กับระดับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (LDL) ที่เพิ่มขึ้น (β = 0.093, P < 0.001) และไตรกลีเซอไรด์ (β = 0.153, P < 0.001) ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดที่สูงขึ้น ในทางกลับกัน กรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง (HDL) (β = -0.115, P = 0.002) ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นคอเลสเตอรอล "ดี" ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้ งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่ากรดไหลย้อนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (หัวใจวาย) และความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราส่วนความน่าจะเป็นของกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันอยู่ที่ 1.272 (95% CI: 1.040 ถึง 1.557, P = 0.019) และสำหรับความดันโลหิตสูงอยู่ที่ 1.357 (95% CI: 1.222 ถึง 1.507, P < 0.001) อย่างไรก็ตาม ไม่พบความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างกรดไหลย้อนและภาวะหัวใจล้มเหลว ผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่ากรดไหลย้อนอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ การศึกษาของเราได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวินิจฉัย แต่เนิ่นๆ และกลยุทธ์การป้องกันสำหรับโรคกรดไหลย้อนและโรคหลอดเลือดหัวใจ Cr. Santi Manadee
    DOI.ORG
    Gastroesophageal reflux disease influences blood pressure components, lipid profile and cardiovascular diseases: Evidence from a Mendelian randomization study
    Background Gastroesophageal reflux disease (GERD) is a prevalent gastrointestinal disorder associated with a range of cardiovascular and metabolic complications. However, the relationship between GERD and blood pressure components, lipid profile, and cardiovascular diseases remains unclear. Methods Leveraging genetic variants associated with GERD as instrumental variables, we performed this Mendelian randomization (MR) analyses. Blood pressure components, lipid profile parameters, as well as cardiovascular diseases were considered as outcomes. Furthermore, we conducted reverse MR analysis to explore the association of these factors with the risk of GERD. Results Our MR analysis discovered a potential causal influence of GERD on blood pressure components, with genetically predicted GERD positively associated with systolic blood pressure (β = 0.053, P = 0.036), diastolic blood pressure (β = 0.100, P < 0.001), and mean arterial pressure (β = 0.106, P < 0.001). Additionally, genetically predicted GERD showed a significant impact on lipid profile, leading to increased genetically predicted levels of low-density lipoprotein (LDL) cholesterol (β = 0.093, P < 0.001), and triglycerides (β = 0.153, P < 0.001), while having a negative effect on high-density lipoprotein (HDL) cholesterol (β = -0.115, P = 0.002). Furthermore, our study indicated a noteworthy causal association between genetically predicted GERD and increased risk of myocardial infarction [odds ratio (OR) = 1.272, P = 0.019)] and hypertension (OR = 1.357, P < 0.001). No significant association was found between GERD and pulse pressure, total cholesterol, heart failure, and atrial fibrillation ( P > 0.05). Reverse MR analysis indicates that blood pressure components, lipid profile, and cardiovascular diseases do not lead to an increased risk of GERD (all P > 0.05). Furthermore, mediation MR analysis reveals that LDL cholesterol (proportion mediated: 19.99%, 95% CI: 4.49% to 35.50%), HDL cholesterol (proportion mediated: 11.71%, 95% CI: 5.23% to 18.19%), and hypertension (proportion mediated: 35.09%, 95% CI: 24.66% to 45.53%) mediated the effect of GERD on myocardial infarction, while other factors did not participate in this pathway. Conclusions This MR study provides evidence supporting a causal relationship between GERD and alterations in blood pressure components, lipid profile, and increased risk of cardiovascular diseases.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปกติจะมาโพสต์อาทิตย์ละครั้ง แต่วันนี้มีควันหลงจากละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> มาแบ่งปันต่อแฟนคลับของใต้เท้าลู่ เป็นเรื่องที่ Storyฯ อ่านเจอโดยบังเอิญ

    ความมีอยู่ว่า
    ... ชายในชุดเขียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของจินเซี่ยขณะนี้ก็คือบุตรชายของลู่ปิ่ง นามว่าลู่อี้ ลู่ปิ่งเป็นจอหงวนบู๊ ส่วนฝีมือของลู่อี้ผู้เป็นลูกนั้น ได้ยินมาว่าสูงส่งไม่เป็นรองผู้เป็นบิดา นับว่าเป็นยอดฝีมือลำดับต้นๆ ของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร...
    - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ
    (หมายเหตุ ละครเรื่อง <ยอดองค์รักษ์เสื้อแพร> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ที่ต้องมาพูดถึงใต้เท้าลู่อี้และบิดาของเขา เป็นเพราะ Storyฯ อ่านเจอมาอย่างเซอร์ไพรส์ว่า ทั้งสองคนนี้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์! ในละครบิดาของลู่อี้ชื่อว่าลู่ถิง แต่ในหนังสือเขาชื่อลู่ปิ่ง

    ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ปรากฏมีผู้บัญชาการสูงสุดขององครักษ์เสื้อแพรที่ชื่อว่าลู่ปิ่งอยู่ในยุคสมัยขององค์หมิงสื้อจง (ค.ศ. 1521-1567) มีบุตรชายคนที่สามนามว่าลู่อี้ ลู่ปิ่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้หกปีก็เสียชีวิตลง ลู่อี้ซึ่งในขณะนั้นรับราชการเป็นองครักษ์เสื้อแพรด้วย จึงขึ้นสืบทอดตำแหน่งนี้แทนผู้เป็นบิดา เนื่องจากพี่ชายสองคนของเขาได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้

    จากเรื่องราวที่บันทึกไว้ ในชีวิตจริงลู่อี้เป็นคนที่รอบรู้และมีผลงานมากมาย ทั้งชีวิตมีภรรยาเดียว (ซึ่งต่างจากข้าราชการระดับสูงทั่วไปในสมัยนั้น) คือบุตรีของเสนาบดีกระทรวงขุนนาง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ในระหว่างที่รับราชการนั้น เคยถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะถูกรื้อฟื้นเรื่องที่บิดาของเขาเคยสมคบคิดกับเหยียนซงซึ่งเป็นขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง เพื่อให้ร้ายขุนนางน้ำดีนามว่าเซี่ยเหยียน ต่อมาเมื่อเปลี่ยนรัชสมัยจึงได้รับการอภัยโทษและคืนยศให้ (เหมือนในละครเล้ย)

    จะเห็นว่าทั้งนิยายและละครคงความเป็น “ลู่อี้” ได้ค่อนข้างครบถ้วนตามประวัติศาสตร์ทีเดียว

    ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยแชร์กันด้วยนะคะ

    Credit รูปภาพจาก: https://j.17qq.com/article/fggpidhdz.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.tspweb.com/key/%E9%94%A6%E8%A1%A3%E5%8D%AB%E9%99%86%E7%BB%8E%E7%9A%84%E5%A6%BB%E5%AD%90%E5%90%B4%E6%B0%8F.html
    https://ld.sogou.com/article/i5630311.htm?ch=lds.pc.art.media.all

    #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #องครักษ์เสื้อแพร #ลู่อี้ #ใต้เท้าลู่ #ราชวงศ์หมิง #StoryfromStory
    ปกติจะมาโพสต์อาทิตย์ละครั้ง แต่วันนี้มีควันหลงจากละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> มาแบ่งปันต่อแฟนคลับของใต้เท้าลู่ เป็นเรื่องที่ Storyฯ อ่านเจอโดยบังเอิญ ความมีอยู่ว่า ... ชายในชุดเขียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของจินเซี่ยขณะนี้ก็คือบุตรชายของลู่ปิ่ง นามว่าลู่อี้ ลู่ปิ่งเป็นจอหงวนบู๊ ส่วนฝีมือของลู่อี้ผู้เป็นลูกนั้น ได้ยินมาว่าสูงส่งไม่เป็นรองผู้เป็นบิดา นับว่าเป็นยอดฝีมือลำดับต้นๆ ของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร... - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ (หมายเหตุ ละครเรื่อง <ยอดองค์รักษ์เสื้อแพร> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ที่ต้องมาพูดถึงใต้เท้าลู่อี้และบิดาของเขา เป็นเพราะ Storyฯ อ่านเจอมาอย่างเซอร์ไพรส์ว่า ทั้งสองคนนี้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์! ในละครบิดาของลู่อี้ชื่อว่าลู่ถิง แต่ในหนังสือเขาชื่อลู่ปิ่ง ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ปรากฏมีผู้บัญชาการสูงสุดขององครักษ์เสื้อแพรที่ชื่อว่าลู่ปิ่งอยู่ในยุคสมัยขององค์หมิงสื้อจง (ค.ศ. 1521-1567) มีบุตรชายคนที่สามนามว่าลู่อี้ ลู่ปิ่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้หกปีก็เสียชีวิตลง ลู่อี้ซึ่งในขณะนั้นรับราชการเป็นองครักษ์เสื้อแพรด้วย จึงขึ้นสืบทอดตำแหน่งนี้แทนผู้เป็นบิดา เนื่องจากพี่ชายสองคนของเขาได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ จากเรื่องราวที่บันทึกไว้ ในชีวิตจริงลู่อี้เป็นคนที่รอบรู้และมีผลงานมากมาย ทั้งชีวิตมีภรรยาเดียว (ซึ่งต่างจากข้าราชการระดับสูงทั่วไปในสมัยนั้น) คือบุตรีของเสนาบดีกระทรวงขุนนาง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ในระหว่างที่รับราชการนั้น เคยถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะถูกรื้อฟื้นเรื่องที่บิดาของเขาเคยสมคบคิดกับเหยียนซงซึ่งเป็นขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง เพื่อให้ร้ายขุนนางน้ำดีนามว่าเซี่ยเหยียน ต่อมาเมื่อเปลี่ยนรัชสมัยจึงได้รับการอภัยโทษและคืนยศให้ (เหมือนในละครเล้ย) จะเห็นว่าทั้งนิยายและละครคงความเป็น “ลู่อี้” ได้ค่อนข้างครบถ้วนตามประวัติศาสตร์ทีเดียว ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยแชร์กันด้วยนะคะ Credit รูปภาพจาก: https://j.17qq.com/article/fggpidhdz.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.tspweb.com/key/%E9%94%A6%E8%A1%A3%E5%8D%AB%E9%99%86%E7%BB%8E%E7%9A%84%E5%A6%BB%E5%AD%90%E5%90%B4%E6%B0%8F.html https://ld.sogou.com/article/i5630311.htm?ch=lds.pc.art.media.all #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #องครักษ์เสื้อแพร #ลู่อี้ #ใต้เท้าลู่ #ราชวงศ์หมิง #StoryfromStory
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 309 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลงานเพลงที่2 ของชาวเราครับฮะ
    Sherry Duck Special #1
    Single : ไม่ใช่ความบังเอิญ
    Artist : Mr. Morgan And Shaw Sherry Duck
    14 กุมภาฯ เวลา 14.00 น. รับชมรับฟังทั่วไทยไกลทั่วโลก
    เพลงรักดีๆอบอุ่นๆ ฝากด้วยนะครับฮะ
    มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    ผลงานเพลงที่2 ของชาวเราครับฮะ Sherry Duck Special #1 Single : ไม่ใช่ความบังเอิญ Artist : Mr. Morgan And Shaw Sherry Duck 14 กุมภาฯ เวลา 14.00 น. รับชมรับฟังทั่วไทยไกลทั่วโลก เพลงรักดีๆอบอุ่นๆ ฝากด้วยนะครับฮะ มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิศวกรรมซอฟต์แวร์ พอล บัตเลอร์ ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการซ่อนข้อความลับภายในอิโมจิและตัวอักษร Unicode โดยใช้เครื่องมือที่เขาคิดค้นขึ้นเอง แนวคิดหลักๆ ที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของเครื่องมือคือความสามารถในการซ่อนไบต์ข้อมูลภายในตัวอักษร Unicode โดยไม่ให้ข้อมูลนั้นถูกแสดงผลบนจอภาพ ซึ่งหมายความว่าคอมพิวเตอร์สามารถเห็นข้อความที่ซ่อนได้ แม้ว่ามนุษย์จะไม่เห็นก็ตาม

    ข้อมูลเหล่านี้ถูกซ่อนไว้ด้วยวิธีการที่ซับซ้อน ซึ่งอาจช่วยให้ผู้ใช้งานซ่อนลิงก์หรือข้อความที่ต้องการปิดบังจากตัวกรองเนื้อหาของมนุษย์ อย่างไรก็ดี การซ่อนโค้ดที่เป็นอันตราย เช่น ไวรัส หรือโปรแกรมที่เป็นอันตรายภายในตัวอักษร Unicode ยังเป็นไปไม่ได้

    พอล บัตเลอร์ ยังกล่าวเสริมว่าความสามารถนี้อาจถูกนำไปใช้ในการตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูลหรือการขโมยผลงานได้ เนื่องจากสามารถใส่ลายน้ำซ่อนอยู่ในข้อความได้ ทำให้ติดตามแหล่งที่มาของข้อมูลได้ง่ายขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/emojis-can-be-hacked-to-hide-data-or-messages-unicode-characters-also-susceptible
    นักวิศวกรรมซอฟต์แวร์ พอล บัตเลอร์ ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการซ่อนข้อความลับภายในอิโมจิและตัวอักษร Unicode โดยใช้เครื่องมือที่เขาคิดค้นขึ้นเอง แนวคิดหลักๆ ที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของเครื่องมือคือความสามารถในการซ่อนไบต์ข้อมูลภายในตัวอักษร Unicode โดยไม่ให้ข้อมูลนั้นถูกแสดงผลบนจอภาพ ซึ่งหมายความว่าคอมพิวเตอร์สามารถเห็นข้อความที่ซ่อนได้ แม้ว่ามนุษย์จะไม่เห็นก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้ถูกซ่อนไว้ด้วยวิธีการที่ซับซ้อน ซึ่งอาจช่วยให้ผู้ใช้งานซ่อนลิงก์หรือข้อความที่ต้องการปิดบังจากตัวกรองเนื้อหาของมนุษย์ อย่างไรก็ดี การซ่อนโค้ดที่เป็นอันตราย เช่น ไวรัส หรือโปรแกรมที่เป็นอันตรายภายในตัวอักษร Unicode ยังเป็นไปไม่ได้ พอล บัตเลอร์ ยังกล่าวเสริมว่าความสามารถนี้อาจถูกนำไปใช้ในการตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูลหรือการขโมยผลงานได้ เนื่องจากสามารถใส่ลายน้ำซ่อนอยู่ในข้อความได้ ทำให้ติดตามแหล่งที่มาของข้อมูลได้ง่ายขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/emojis-can-be-hacked-to-hide-data-or-messages-unicode-characters-also-susceptible
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Emojis can be hacked to hide data or messages, unicode Characters also susceptible
    Though only hidden from humans, computers should have no problem identifying this.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีTikTok@groundcontroltogo &amp;lsquo;ตัวโดนเท&amp;rsquo; ผลงาน (ทดลอง) สุดเก๋ที่จะ มาช่วยแก้ปัญหาไขมันอุดตันในท่อระบายน้ำ ที่เกิดจากร้านรถเข็นขาย อาหารริมทาง เกิดเป็นถังดักไขมันพกพา ที่ใช้วัสดุจากการ DIY สิ่งของใกล้ตัว ไม่ ว่าจะเป็นท่อน้ำ PVC ลังพลาสติกและฟิว เจอร์บอร์ด ผลงานชิ้นนี้ออกแบบโดย ชัช-ชัชวาล สุวรรณสวัสดิ์ สถาปนิกและนักออกแบบจาก Everyday Architect Design Studio หรือว่าร้านพวกเนียบางที ต้องเข็นไปเข็นมา ติ่งเก็บเงียไม่มีที่ถาวรเขา สามารถแวะเข้าไปชม ตัวโดนเท ได้ที่ งาน Bangkok Design Week 2025 ตั้งแต่วันนี้ - 16 ก.พ. 68 ที่เจริญกรุง 32 ข้างไปรษณีย์กลางบางรักGr م To Co+91610106#GroundControlTH #BKKDW202534To #ว่างว่างก็แวะมา
    สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีTikTok@groundcontroltogo &amp;lsquo;ตัวโดนเท&amp;rsquo; ผลงาน (ทดลอง) สุดเก๋ที่จะ มาช่วยแก้ปัญหาไขมันอุดตันในท่อระบายน้ำ ที่เกิดจากร้านรถเข็นขาย อาหารริมทาง เกิดเป็นถังดักไขมันพกพา ที่ใช้วัสดุจากการ DIY สิ่งของใกล้ตัว ไม่ ว่าจะเป็นท่อน้ำ PVC ลังพลาสติกและฟิว เจอร์บอร์ด ผลงานชิ้นนี้ออกแบบโดย ชัช-ชัชวาล สุวรรณสวัสดิ์ สถาปนิกและนักออกแบบจาก Everyday Architect Design Studio หรือว่าร้านพวกเนียบางที ต้องเข็นไปเข็นมา ติ่งเก็บเงียไม่มีที่ถาวรเขา สามารถแวะเข้าไปชม ตัวโดนเท ได้ที่ งาน Bangkok Design Week 2025 ตั้งแต่วันนี้ - 16 ก.พ. 68 ที่เจริญกรุง 32 ข้างไปรษณีย์กลางบางรักGr م To Co+91610106#GroundControlTH #BKKDW202534To #ว่างว่างก็แวะมา
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 308 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • วันนี้หายไปนาน ไม่ได้โพสต์นานแล้ว และตอนนี้พยายามจะโพสต์ในนี้ให้มากขึ้น เนื่องจากเริ่มขายผลงานและประสบการณ์ที่ผ่านมาเพื่อหาเงินในทางเลือกที่ผมมาได้ถูกทางแล้วครับ เดี๋ยวจะพยายามหาเวลามาอัพเดท Resume ครับ
    วันนี้หายไปนาน ไม่ได้โพสต์นานแล้ว และตอนนี้พยายามจะโพสต์ในนี้ให้มากขึ้น เนื่องจากเริ่มขายผลงานและประสบการณ์ที่ผ่านมาเพื่อหาเงินในทางเลือกที่ผมมาได้ถูกทางแล้วครับ เดี๋ยวจะพยายามหาเวลามาอัพเดท Resume ครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรากำลังอยู่ในยุค"รัฐบาลเทา"
    เหล้ายา บ่อนการพนัน อบายมุข
    ทุกอย่าง มอมเมาส่งเสริมเข้าไป
    อย่าคาดหวังกับรัฐบาลสิ้นคิด
    ไร้คุณธรรมศีลธรรม เพราะมีแต่
    ความต่ำตน ผลงานเพื่อชาติประชาชน เป็น 0
    หาแต่ประโยชน์พวกตนมาก่อนชาวบ้านเสมอ

    ผู้นำไร้วุฒิภาวะไร้ความสามารถ
    วงจรอุบาทว์ก็เต็มเมือง
    มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    เรากำลังอยู่ในยุค"รัฐบาลเทา" เหล้ายา บ่อนการพนัน อบายมุข ทุกอย่าง มอมเมาส่งเสริมเข้าไป อย่าคาดหวังกับรัฐบาลสิ้นคิด ไร้คุณธรรมศีลธรรม เพราะมีแต่ ความต่ำตน ผลงานเพื่อชาติประชาชน เป็น 0 หาแต่ประโยชน์พวกตนมาก่อนชาวบ้านเสมอ ผู้นำไร้วุฒิภาวะไร้ความสามารถ วงจรอุบาทว์ก็เต็มเมือง มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    Yay
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงตาเหลือกๆปากเบินๆ
    หล๋อนสาาส เจ้ากี้เจ้าการทำตัวเป็นแม๊
    ลืมส่องกระจกออกจากบ้าน มองมุมไหนมันก็ป๋วยจิต
    สายรายงานมาตามภาพ
    ทุกอย่างพังเพราะอิจีมโนนี่แหละ
    ของแทร่ เห็นมั๊ยทุย พี่คิงส์เคยบอกแล้ว
    มันจะกันทุกคนออก จนเหลือมันคนเดียวนี่แหละ
    พวกส่งแค่กุหลาบ มันนับว่าเป็นตลาดล่าง
    ไม่ได้ต้องการ ก็แค่ติ่งปลายแถว
    เอาผลงานไปได้หน้า กับนายหญิงตามจิตมโนปรุงแต่ง
    เค้าไปเวียดนามแล้ว อิจีมโน
    ตัวสร้างภาพ ตัวปัญหาของประเทศ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    #ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงตาเหลือกๆปากเบินๆ หล๋อนสาาส เจ้ากี้เจ้าการทำตัวเป็นแม๊ ลืมส่องกระจกออกจากบ้าน มองมุมไหนมันก็ป๋วยจิต สายรายงานมาตามภาพ ทุกอย่างพังเพราะอิจีมโนนี่แหละ ของแทร่ เห็นมั๊ยทุย พี่คิงส์เคยบอกแล้ว มันจะกันทุกคนออก จนเหลือมันคนเดียวนี่แหละ พวกส่งแค่กุหลาบ มันนับว่าเป็นตลาดล่าง ไม่ได้ต้องการ ก็แค่ติ่งปลายแถว เอาผลงานไปได้หน้า กับนายหญิงตามจิตมโนปรุงแต่ง เค้าไปเวียดนามแล้ว อิจีมโน ตัวสร้างภาพ ตัวปัญหาของประเทศ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • NFT (Non-Fungible Token) ยังคงมีอยู่ในปี 2025 และยังเป็นที่สนใจในหลายวงการ เช่น ศิลปะ ดนตรี เกม และการลงทุน อย่างไรก็ตาม ความนิยมและมูลค่าของ NFT อาจเปลี่ยนแปลงไปตามตลาดและเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น

    ปัจจัยที่ทำให้ NFT ยังคงมีความสำคัญ:
    1. **ความเป็นเจ้าของดิจิทัล**: NFT ช่วยยืนยันความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างชัดเจน
    2. **การใช้งานในเกมและ Metaverse**: NFT ยังถูกใช้เป็นไอเทมในเกมและโลกเสมือนจริง
    3. **ศิลปะและคอลเลกชัน**: ศิลปินยังคงใช้ NFT เป็นช่องทางสร้างรายได้และแสดงผลงาน

    แต่ก็มีข้อควรพิจารณา:
    1. **ความผันผวนของตลาด**: มูลค่า NFT อาจขึ้นลงตามความต้องการ
    2. **ปัญหาสิ่งแวดล้อม**: การใช้พลังงานของบล็อกเชนยังเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียง
    3. **กฎหมายและกฎระเบียบ**: การควบคุม NFT อาจเข้มงวดขึ้นในอนาคต

    สรุปคือ NFT ยังคงมีบทบาท แต่รูปแบบและการใช้งานอาจปรับตัวตามเทคโนโลยีและความต้องการของตลาด
    NFT (Non-Fungible Token) ยังคงมีอยู่ในปี 2025 และยังเป็นที่สนใจในหลายวงการ เช่น ศิลปะ ดนตรี เกม และการลงทุน อย่างไรก็ตาม ความนิยมและมูลค่าของ NFT อาจเปลี่ยนแปลงไปตามตลาดและเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น ปัจจัยที่ทำให้ NFT ยังคงมีความสำคัญ: 1. **ความเป็นเจ้าของดิจิทัล**: NFT ช่วยยืนยันความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างชัดเจน 2. **การใช้งานในเกมและ Metaverse**: NFT ยังถูกใช้เป็นไอเทมในเกมและโลกเสมือนจริง 3. **ศิลปะและคอลเลกชัน**: ศิลปินยังคงใช้ NFT เป็นช่องทางสร้างรายได้และแสดงผลงาน แต่ก็มีข้อควรพิจารณา: 1. **ความผันผวนของตลาด**: มูลค่า NFT อาจขึ้นลงตามความต้องการ 2. **ปัญหาสิ่งแวดล้อม**: การใช้พลังงานของบล็อกเชนยังเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียง 3. **กฎหมายและกฎระเบียบ**: การควบคุม NFT อาจเข้มงวดขึ้นในอนาคต สรุปคือ NFT ยังคงมีบทบาท แต่รูปแบบและการใช้งานอาจปรับตัวตามเทคโนโลยีและความต้องการของตลาด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • #โพสนี้ขอทำบุญเพื่อเรียกสติคนที่กำลังพลาด
    อรุณสวัสชาวโซเชียลทุกแพลตฟอร์ม
    พี่คิงส์ ติดตามพฤติกรรมของอิป้าจีมโนมานาน
    ซึ่งบางเรื่อง มันก็เกินกว่าที่พี่คิงส์จะคิดจริงๆ
    เราจะรับรู้เรื่องการเชื่อมจิตของอิป้าจีมโนกันมาตลอด
    เพื่อสร้างความสำคัญให้ตัวเอง ทั้งๆตัวเองก็เพิ่งจะเข้ามา
    ในจักรวาลสาวเกาตอนท้ายๆของเรื่องด้วยซ้ำ
    พูดจาเอาที่ครูพักลักจำเขามา เอามาพูดเหมือนตัวเอง
    เป็นดุจผู้เชี่ยวชาญด้านสภาวะจิต แต่ที่จริงตัวเองมีแค่วุฒิม.3
    แต่ก็อย่างว่า ในประเทศไทย คนจิตอ่อนมันเยอะ
    เวลาใครแสดงเก่ง พูดเก่ง ก็จะตกอยู่ในภวังค์ได้ง่ายๆ
    ไม่เหมือนพี่คิงส์ ปากก็หม๋า ปากก็จัด สิ่งที่โพสมันขมมันขื่น
    ถึงจะเป็นความจริง คนจิตอ่อนๆก็จะไม่อยากฟัง
    แต่คำพูดใช้เสียงกระเส่า บางทีก็เคี้ยวเฮี้ยไรไปพูดไป
    แล้วมันพูดได้ทั้งวันทั้งคืนของแทร่ด้วย ยอมใจมัน
    จนทำให้มีคนรู้สึกเคารพรักในตัวมัน โดยไม่รู้ตัวว่า
    ตัวเอง กำลังฟังคนไข๊จิตประสาทกล่อมจนหลง
    ก็จะมีวรรณะเกิด เช่นวรรณะทุย เป็นแค่กองเชียร์ ชื่นชม และปกป้อง
    ถ้าวรรณะสูงอีกหน่อย ก็จะเป็นบ่าวทุยผู้รับใช้ใกล้ชิด
    คนแรกที่พี่คิงส์สงสารมาก คือ ไอ่เป็ด ถึงแม้พฤติกรรม
    ที่ผ่านมา พี่จะจัดหนักไปไม่น้อยก็เหอะ
    และหลายคนก็ยังไม่รู้มาก่อนว่า ทำไม เป็ดถึงถอนตัว
    จากการเป็นมือขวาอิป้าจีมโน
    เรื่องคือ เป็ดมีข่าวว่าจะถูกฟ๊อง ซึ่งสิ่งที่เป็ดทำณ ก่อนหน้านั้น
    ป้าจีมโนมันจะเป็นคนชักใยอยู่ตลอด หลายเพจหลายช่องตต.ที่ปลิว
    ก็ฝีมือเป็ดที่พาพรรคพวกไปถล่มมาทั้งนั้นแหละ หรือการพูดข้อมูลที่มีความสุ่มเสี่ยง อิป้าจีมโน จะไม่พูดเองครับ จะให้สมุนมือขวามือซ้ายไปทำ
    โดยอ้างยายน้องบอกว่าอย่างนั้น อย่างนี้ตลอด และยังเป็นสื่อกลางให้ยายน้องส่งสติ๊กเกอร์เป็นการชื่นชมการกระทำของเป็ดอีก ใจก็ฟูอะดิ
    เป็ดมันก็เชื่อเพราะมันรักสาวเกาของมัน
    แต่พอข่าวมาว่า เป็ดจะโดนฟ๊อง มันเกิดความแปลกๆขึ้น
    คืออิป้าจีมโน มันไม่ปกป้องเลยเฟรี้ย พี่คิงส์ก็ตามดูว่ามันจะแอคชั่นยังไง
    เพราะเวลาที่ใครมีปัญหากับจีมโน จีมโนจะออกมาขู่ฟ่อๆ อย่าดูว่าแล้วสมุนของมันโดน มันจะปกป้องยังไง
    สิ่งที่พี่คิงส์ได้ยินคือ ความแหล๋ และความแถ แบบไม่อายใคร
    ป้าจีมโนมันใช้สำนวนว่า ที่ไม่ช่วยเป็ด เพราะรู้ว่าขึ้น SAN ยังไงเป็ดก็ชนะ
    อิเฮี้ย เมิงจะใช้เหตุผลนี้จริงๆอะดิ
    นั่นแหละ ที่เป็ดมันเริ่มตาสว่างละ ว่าที่อ้างว่ารักสาวเกา หรือที่โยนงานเสี่ยงๆทางกฎหม๋่ายให้มันทำ ไม่ทำเอง ป้าจีมโนก็แค่มองมันเป็นทาสบริวาร เป็นเบี้ย เป็นเครื่องมือ และยังไม่พอ มิหนำซ้ำ อิป้าจีมโน ยังสร้างสถานการณ์ ให้ไอ่เป็ดถูกแบนออกจากกลุ่ม เพียงเพื่อขจัดคนที่เริ่มไม่อยู่ในคอนโทลให้ออกไปห่างๆ
    คนที่สอง คือ นุ DIY ซึ่งนุเอง ก็เป็นคนธรรมดานี่แหละ สำนวนจะต่ำๆหน่อย เพราะเป็นแค่ชายแก่บ้านๆ เมียทิ้ง ลูกเต้าไม่ค่อยรัก ขาดความอบอุ่น แต่ได้สตอรี่ของสาวเกาเป็นพลังในการหล่อเลี้่ยงชีวิตฟันหล๋อๆของนุ
    และนุเอง มันก็ชอบไฝว้กับพี่คิงส์มาเรื่อยๆ แต่พี่เองก็เล่นกับมันได้ซักพัก ก็เริ่มเบื่อ ไม่อยากว่าปมของใคร และรำคาญในความเฉิ่มของนุ
    แต่ยังจำได้ว่า ขณะที่นุกำลังโพสไฝว้กับพี่คิงส์กันไปมา เป็นที่เฮฮาของแฟนคลับนั้น
    อิป้าจีมโนเห็นผลงานของนุ ก็เลยรีบทักไปหานุอย่างเร็ว และนุเองก็ดีใจเกิน แคปและโพสให้เห็นจะๆ ว่าอิป้าจีมโนเข้ามาทักชื่นชม และบอกว่า คนที่จะปราบคิงส์ได้ คงมีนุนี่แหละ เห็นป่ะนี่คือวิธีการลวงใช้ยืมมือคนอื่นทำ
    ป้าจีมโนสอนให้ลุงนุยิงแอด เพื่อเพิ่มยอดคนมองเห็น นุก็โพสบอก
    แถมยังเรียกจีมโนว่า อาจารย์อีกด้วย
    พี่คิงส์คิดว่าหลายคนที่ตามเพจพี่มาตลอดจะเคยเห็นที่พี่คิงส์ได้โพสให้สติกับนุ ว่าอย่าไปเชื่อป้าจีมโน มันให้โพสในสิ่งที่เสี่ยงๆ ก็ตามประสาลุงนะครับ ฟังซะที่ไหน
    นุ เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการยุยงส่งเสริมของอิป้าจีมโน
    จนนุอินไม่สนอะไรในโลกอีกต่อไป สุดท้าย นุโดนฟ๊อง
    แต่อิป้าก็เริ่มมีอาการที่เปลี่ยนไป จากเอ็นดูลุงนุเหมือนน้องรัก
    กลายเป็นเหมือนคนไม่รู้จัก
    ดังนั้น บรรดาสาวก โดยเฉพาะที่ตั้งกลุ่มนกแร๊งเที่ยวไปสืบข๊อมูลส่วนบุคคลชาวบ้าน คุณจะได้รับผลประโยชน์หรือไม่ก็ตาม
    ถ้าคุณยังคงเชื่อจีมโน และทำในสิ่งที่เสี่ยงต่อไป จุดจบก็ไม่พ้นสภาพของทั้งเป็ด และนุแน่นอน มันไม่เคยปกป้องใคร ยกเว้นตัวเอง
    คุณอยากจะทำตัวไร๊คุณค่า เป็นแค่เบี้ย แค่หมากให้คนอย่างอิป้าจีมโน
    เอาไว้เป็นทาส เป็นเครื่องมือต่อไป ก็เป็นการตัดสินใจของคุณ
    พี่คิงส์แค่มาให้สติ ในฐานะเราเป็นคนไทยด้วยกัน แค่นั้นเอง
    ไอ่ฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    #โพสนี้ขอทำบุญเพื่อเรียกสติคนที่กำลังพลาด อรุณสวัสชาวโซเชียลทุกแพลตฟอร์ม พี่คิงส์ ติดตามพฤติกรรมของอิป้าจีมโนมานาน ซึ่งบางเรื่อง มันก็เกินกว่าที่พี่คิงส์จะคิดจริงๆ เราจะรับรู้เรื่องการเชื่อมจิตของอิป้าจีมโนกันมาตลอด เพื่อสร้างความสำคัญให้ตัวเอง ทั้งๆตัวเองก็เพิ่งจะเข้ามา ในจักรวาลสาวเกาตอนท้ายๆของเรื่องด้วยซ้ำ พูดจาเอาที่ครูพักลักจำเขามา เอามาพูดเหมือนตัวเอง เป็นดุจผู้เชี่ยวชาญด้านสภาวะจิต แต่ที่จริงตัวเองมีแค่วุฒิม.3 แต่ก็อย่างว่า ในประเทศไทย คนจิตอ่อนมันเยอะ เวลาใครแสดงเก่ง พูดเก่ง ก็จะตกอยู่ในภวังค์ได้ง่ายๆ ไม่เหมือนพี่คิงส์ ปากก็หม๋า ปากก็จัด สิ่งที่โพสมันขมมันขื่น ถึงจะเป็นความจริง คนจิตอ่อนๆก็จะไม่อยากฟัง แต่คำพูดใช้เสียงกระเส่า บางทีก็เคี้ยวเฮี้ยไรไปพูดไป แล้วมันพูดได้ทั้งวันทั้งคืนของแทร่ด้วย ยอมใจมัน จนทำให้มีคนรู้สึกเคารพรักในตัวมัน โดยไม่รู้ตัวว่า ตัวเอง กำลังฟังคนไข๊จิตประสาทกล่อมจนหลง ก็จะมีวรรณะเกิด เช่นวรรณะทุย เป็นแค่กองเชียร์ ชื่นชม และปกป้อง ถ้าวรรณะสูงอีกหน่อย ก็จะเป็นบ่าวทุยผู้รับใช้ใกล้ชิด คนแรกที่พี่คิงส์สงสารมาก คือ ไอ่เป็ด ถึงแม้พฤติกรรม ที่ผ่านมา พี่จะจัดหนักไปไม่น้อยก็เหอะ และหลายคนก็ยังไม่รู้มาก่อนว่า ทำไม เป็ดถึงถอนตัว จากการเป็นมือขวาอิป้าจีมโน เรื่องคือ เป็ดมีข่าวว่าจะถูกฟ๊อง ซึ่งสิ่งที่เป็ดทำณ ก่อนหน้านั้น ป้าจีมโนมันจะเป็นคนชักใยอยู่ตลอด หลายเพจหลายช่องตต.ที่ปลิว ก็ฝีมือเป็ดที่พาพรรคพวกไปถล่มมาทั้งนั้นแหละ หรือการพูดข้อมูลที่มีความสุ่มเสี่ยง อิป้าจีมโน จะไม่พูดเองครับ จะให้สมุนมือขวามือซ้ายไปทำ โดยอ้างยายน้องบอกว่าอย่างนั้น อย่างนี้ตลอด และยังเป็นสื่อกลางให้ยายน้องส่งสติ๊กเกอร์เป็นการชื่นชมการกระทำของเป็ดอีก ใจก็ฟูอะดิ เป็ดมันก็เชื่อเพราะมันรักสาวเกาของมัน แต่พอข่าวมาว่า เป็ดจะโดนฟ๊อง มันเกิดความแปลกๆขึ้น คืออิป้าจีมโน มันไม่ปกป้องเลยเฟรี้ย พี่คิงส์ก็ตามดูว่ามันจะแอคชั่นยังไง เพราะเวลาที่ใครมีปัญหากับจีมโน จีมโนจะออกมาขู่ฟ่อๆ อย่าดูว่าแล้วสมุนของมันโดน มันจะปกป้องยังไง สิ่งที่พี่คิงส์ได้ยินคือ ความแหล๋ และความแถ แบบไม่อายใคร ป้าจีมโนมันใช้สำนวนว่า ที่ไม่ช่วยเป็ด เพราะรู้ว่าขึ้น SAN ยังไงเป็ดก็ชนะ อิเฮี้ย เมิงจะใช้เหตุผลนี้จริงๆอะดิ นั่นแหละ ที่เป็ดมันเริ่มตาสว่างละ ว่าที่อ้างว่ารักสาวเกา หรือที่โยนงานเสี่ยงๆทางกฎหม๋่ายให้มันทำ ไม่ทำเอง ป้าจีมโนก็แค่มองมันเป็นทาสบริวาร เป็นเบี้ย เป็นเครื่องมือ และยังไม่พอ มิหนำซ้ำ อิป้าจีมโน ยังสร้างสถานการณ์ ให้ไอ่เป็ดถูกแบนออกจากกลุ่ม เพียงเพื่อขจัดคนที่เริ่มไม่อยู่ในคอนโทลให้ออกไปห่างๆ คนที่สอง คือ นุ DIY ซึ่งนุเอง ก็เป็นคนธรรมดานี่แหละ สำนวนจะต่ำๆหน่อย เพราะเป็นแค่ชายแก่บ้านๆ เมียทิ้ง ลูกเต้าไม่ค่อยรัก ขาดความอบอุ่น แต่ได้สตอรี่ของสาวเกาเป็นพลังในการหล่อเลี้่ยงชีวิตฟันหล๋อๆของนุ และนุเอง มันก็ชอบไฝว้กับพี่คิงส์มาเรื่อยๆ แต่พี่เองก็เล่นกับมันได้ซักพัก ก็เริ่มเบื่อ ไม่อยากว่าปมของใคร และรำคาญในความเฉิ่มของนุ แต่ยังจำได้ว่า ขณะที่นุกำลังโพสไฝว้กับพี่คิงส์กันไปมา เป็นที่เฮฮาของแฟนคลับนั้น อิป้าจีมโนเห็นผลงานของนุ ก็เลยรีบทักไปหานุอย่างเร็ว และนุเองก็ดีใจเกิน แคปและโพสให้เห็นจะๆ ว่าอิป้าจีมโนเข้ามาทักชื่นชม และบอกว่า คนที่จะปราบคิงส์ได้ คงมีนุนี่แหละ เห็นป่ะนี่คือวิธีการลวงใช้ยืมมือคนอื่นทำ ป้าจีมโนสอนให้ลุงนุยิงแอด เพื่อเพิ่มยอดคนมองเห็น นุก็โพสบอก แถมยังเรียกจีมโนว่า อาจารย์อีกด้วย พี่คิงส์คิดว่าหลายคนที่ตามเพจพี่มาตลอดจะเคยเห็นที่พี่คิงส์ได้โพสให้สติกับนุ ว่าอย่าไปเชื่อป้าจีมโน มันให้โพสในสิ่งที่เสี่ยงๆ ก็ตามประสาลุงนะครับ ฟังซะที่ไหน นุ เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการยุยงส่งเสริมของอิป้าจีมโน จนนุอินไม่สนอะไรในโลกอีกต่อไป สุดท้าย นุโดนฟ๊อง แต่อิป้าก็เริ่มมีอาการที่เปลี่ยนไป จากเอ็นดูลุงนุเหมือนน้องรัก กลายเป็นเหมือนคนไม่รู้จัก ดังนั้น บรรดาสาวก โดยเฉพาะที่ตั้งกลุ่มนกแร๊งเที่ยวไปสืบข๊อมูลส่วนบุคคลชาวบ้าน คุณจะได้รับผลประโยชน์หรือไม่ก็ตาม ถ้าคุณยังคงเชื่อจีมโน และทำในสิ่งที่เสี่ยงต่อไป จุดจบก็ไม่พ้นสภาพของทั้งเป็ด และนุแน่นอน มันไม่เคยปกป้องใคร ยกเว้นตัวเอง คุณอยากจะทำตัวไร๊คุณค่า เป็นแค่เบี้ย แค่หมากให้คนอย่างอิป้าจีมโน เอาไว้เป็นทาส เป็นเครื่องมือต่อไป ก็เป็นการตัดสินใจของคุณ พี่คิงส์แค่มาให้สติ ในฐานะเราเป็นคนไทยด้วยกัน แค่นั้นเอง ไอ่ฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 380 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts