• เกิดอะไรขึ้น!! สปสช.ค้างจ่าย รพ. "ยอดเป็นพันล้าน" (27/10/68)

    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สปสช #โรงพยาบาล #สาธารณสุข #งบประมาณแผ่นดิน #การเงินการคลัง #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate #ข่าวtiktok
    เกิดอะไรขึ้น!! สปสช.ค้างจ่าย รพ. "ยอดเป็นพันล้าน" (27/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สปสช #โรงพยาบาล #สาธารณสุข #งบประมาณแผ่นดิน #การเงินการคลัง #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Sondhitalk EP316 : ยิวยึดพะงัน - 241068 (Full)

    “มาร์ค อภิสิทธิ์” ยาหมดอายุ
    ยิว ยึด พะงัน
    สปสช. นายหน้าค้าสุขภาพ
    โลกล้อมกัมพูชา

    สมัครสมาชิก membership ความจริงมีหนึ่งเดียว ช่อง SONDHITALK บน YouTube : / @sondhitalk
    • ติดต่อสอบถามได้ที่ Line : @sondhitalk

    https://www.youtube.com/watch?v=Mitj4R_mG6M
    Sondhitalk EP316 : ยิวยึดพะงัน - 241068 (Full) • “มาร์ค อภิสิทธิ์” ยาหมดอายุ ยิว ยึด พะงัน สปสช. นายหน้าค้าสุขภาพ โลกล้อมกัมพูชา • สมัครสมาชิก membership ความจริงมีหนึ่งเดียว ช่อง SONDHITALK บน YouTube : / @sondhitalk • ติดต่อสอบถามได้ที่ Line : @sondhitalk • https://www.youtube.com/watch?v=Mitj4R_mG6M
    Love
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 397 มุมมอง 0 รีวิว
  • สปสช.เร่งจ่ายหนี้ค้าง รพ.ทยอยโอนงบต่อเนื่องล่าสุดรวมแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท เตรียมโอนเพิ่มอีกกว่า 4,800 ล้าน ภายในสัปดาห์หน้า ดันยอดเคลียร์หนี้แตะเกือบ 6,000 ล้านบาท
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000099961

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    สปสช.เร่งจ่ายหนี้ค้าง รพ.ทยอยโอนงบต่อเนื่องล่าสุดรวมแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท เตรียมโอนเพิ่มอีกกว่า 4,800 ล้าน ภายในสัปดาห์หน้า ดันยอดเคลียร์หนี้แตะเกือบ 6,000 ล้านบาท . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000099961 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 299 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลากไส้สปสช. ชักดาบโรงพยาบาล : คนเคาะข่าว 15-10-68

    ร่วมสนทนา
    -พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อํานวยการรพ.มงกุฎวัฒนะ
    -รศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
    ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์

    https://www.youtube.com/watch?v=H_0p3MQvk54
    ลากไส้สปสช. ชักดาบโรงพยาบาล : คนเคาะข่าว 15-10-68 • ร่วมสนทนา -พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อํานวยการรพ.มงกุฎวัฒนะ -รศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์ • https://www.youtube.com/watch?v=H_0p3MQvk54
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • โรงพยาบาลรัฐหลังแอ่น แบกหนี้ ‘สปสช.’ ระเบิดเวลาระบบสาธารณสุข : ข่าวลึกปมลับ 15/10/68
    โรงพยาบาลรัฐหลังแอ่น แบกหนี้ ‘สปสช.’ ระเบิดเวลาระบบสาธารณสุข : ข่าวลึกปมลับ 15/10/68
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ♣ สปสช.สำนักงานสับปลับแห่งชาติ บริหารจัดการงบสุขภาพประชาชนอย่างไรให้เป็นหนี้โรงพยาบาลทั่วประเทศ ยังกล้าของบกลาง 8 พันล้านไปสร้างผลงานให้รัฐบาลชั่วคราวอีก
    #7ดอกจิก
    ♣ สปสช.สำนักงานสับปลับแห่งชาติ บริหารจัดการงบสุขภาพประชาชนอย่างไรให้เป็นหนี้โรงพยาบาลทั่วประเทศ ยังกล้าของบกลาง 8 พันล้านไปสร้างผลงานให้รัฐบาลชั่วคราวอีก #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • บ่อนทำลายหลักประกันสุขภาพของคนไทย ด้วยการปล่อยให้โรงพยาบาลแบกรับภาระค่ารักษาตามสิทธิบัตรทอง ทั้งที่สปสช.ได้รับงบประมาณจากภาษีประชาชน ปี 68 ได้งบ 2.3 แสนล้าน ปี 69 ได้งบ 2.6 แสนล้าน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    บ่อนทำลายหลักประกันสุขภาพของคนไทย ด้วยการปล่อยให้โรงพยาบาลแบกรับภาระค่ารักษาตามสิทธิบัตรทอง ทั้งที่สปสช.ได้รับงบประมาณจากภาษีประชาชน ปี 68 ได้งบ 2.3 แสนล้าน ปี 69 ได้งบ 2.6 แสนล้าน #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรียกร้องสิทธิเกินขอบเขต จนกลายเป็นละเมิดเอาเปรียบคนในสังคมซะแล้ว ผ่าตัดแปลงเพศสำคัญกว่าการรักษามะเร็งซะแล้ว คิงส์จะไปขอผ่าบ้างละ ลดขนาดลงซะหน่อย เดินเหินไม่โทงเทง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ยุบสปสช
    เรียกร้องสิทธิเกินขอบเขต จนกลายเป็นละเมิดเอาเปรียบคนในสังคมซะแล้ว ผ่าตัดแปลงเพศสำคัญกว่าการรักษามะเร็งซะแล้ว คิงส์จะไปขอผ่าบ้างละ ลดขนาดลงซะหน่อย เดินเหินไม่โทงเทง #คิงส์โพธิ์แดง #ยุบสปสช
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ความอีกด้านในช่วงเวลาที่ผ่านมา,การต่อสู้กับภาครัฐที่บัดสบมาตลอดตั้งแต่รัฐบาลที่นำเข้าวัคซีนโควิดที่ไร้งานวิจัยรับรองความปลอดภัยใดๆ,คนเหล่านี้กอดกองเงินกองทองกอดตังอย่างมีความสุขนักโดยเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับการค้่ยาค้าวัคซีนโควิดหรือตัววัคซีนmRNAทุกๆคนที่นำเข้ามาในไทยตลอดสร้างพวกโรงงานเพื่อผลิตวัคซีนที่เป็นmRNAเหมือนกันมาฉีดคนไทยด้วย,คณะแพทย์หมอที่สมคบคิดไม่สำนึกต่อการกระทำชั่วตั้งแต่ต้นต้องถูกกำจัดทันที,ซึ่งปัจจุบันลอยหน้าลอยตาเชิดหน้ามีเกียรติมีศักดิ์ศรีนัก,ไม่ถูกจัดการลงโทษสั่งสอนห่าเหวใดๆเลย.

    ..หมอจุฬา นำทีมผู้ได้รับผลกระทบ วัคซีนโควิด ร้องสภาฯตั้งคณะสอบ หลังพบผู้ป่วยตายเฉียบพลัน
    วันที่ 22 พฤษภาคม 2568 - 11:47 น.
    “หมอจุฬา” พร้อมผู้ได้รับผลกระทบวัคซีนโควิด ร้องสภาฯเปิดเวทีสาธารณะ-ตั้งคณะทำงานสอบ หลังพบผู้ป่วยตายเฉียบพลัน โดยไม่รู้สาเหตุ ชี้ จากผลตรวจAnti spike ค่าสูงกว่า25,000 จาก 0.8 ขณะยุโรป-สหรัฐฯ สอบเรื่องนี้แล้ว ขอ “สธ.” เปิดสัญญาซื้อวัคซีน จี้ “สปสช.” ทบทวนขยายเวลาเยียวยา

    เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่รัฐสภา นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม พร้อมคณะแพทย์และผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด 19  ในนามกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านตัวแทนเพื่อให้เปิดเวทีสาธารณะรับฟังข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อที่จะได้มีข้อมูลในการดูแลรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ และให้ตั้งคณะทำงานเพื่อสอบสวนปัญหาผลกระทบจากวัคซีนโควิด

    โดย นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปี มีผู้ไปฉีดวัคซีนได้รับผลกระทบตามร่างกาย เสียชีวิตโดยไม่รู้สาเหตุจำนวนไม่น้อย จึงเป็นโอกาสที่จะสะท้อนความเห็นของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยอยากให้มีการหามาตรการป้องกันผลกระทบจากการฉีดวัคซีน ซึ่งมีการรวมตัวของอาจารย์จากมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลต่างๆ ช่วงแรกหลังฉีดวัคซีน ผลข้างเคียงค่อนข้างน้อยแต่ต่อมามีผลทางวิชาการ ยืนยันว่าวัคซีนโควิดสร้างปัญหาจริง

    ขณะที่ในยุโรปและสหรัฐฯ มีการสอบสวนกันมากขึ้น ส่วนประเทศไทย มีผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจำนวนมากถูกมองข้ามว่าไม่เกี่ยวกับวัคซีน แม้หลายคนพยายามร้องขอความเป็นธรรม แต่ถูกปิดปากซึ่งข่าวนี้เกิดขึ้นจริงทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยมีการยอมรับจากทำเนียบข่าวว่ามีการปิดข่าวเรื่องนี้ ในช่วงประธานาธิบดีโจไบเดน และขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังตั้งคณะกรรมการตรวจสอบอยู่

    ด้านพ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา แพทย์ชื่อดัง กล่าวว่า มีญาติผู้ป่วย มาขอให้สะกดจิตเนื่องจากภรรยาไม่รู้เป็นอะไรต้องถูกตัดแขนตัดขาทั้งสองข้าง เมื่อดูภาพเห็นเท้าแขนขาดำทั้งสองข้าง แล้ววันนี้ถูกตัดขาด 2 ข้าง ตัดแขน 1 ข้าง และตัดมืออีกข้างหนึ่งออก โดยยังไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร

    ซึ่งเมื่อตรวจค่าเลือดภูมิต้านทานต่อต้านโควิด สูงถึง 14,500 จึงน่าจะเกี่ยวข้อง และเมื่อมาถามหมอหลายคน ได้ข้อสรุปว่าตัวAnti spike ไปอุดที่ไหนก็จะมีปัญหาที่นั่น ยกตัวอย่างมีหมอรุ่นน้องที่เชียงใหม่ล้มเสียชีวิต รวมถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ของอินโดนีเซีย ที่กำลังยืนปราศรัยก็ล้มตึงจากเวที และรองผู้ว่าฯพังงา ซึ่งมีร่างกายแข็งแรงก็เสียชีวิตโดยไม่รู้สาเหตุ

    “เป็นห่วงบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ฉีดวัคซีนถึง 8 เข็มแล้วเป็นสโตรก และยังมีเสียชีวิตเฉียบพลันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีคนที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตจากการฉีดวัคซีนโควิดมาให้หมอรักษา 600 คน ทั้งนี้เห็นว่าน่าจะเกิดจากการฉีดวัคซีน เพราะจากการตรวจคนไข้ที่คลินิก 70 กว่าคน พบค่า Anti spike ระดับกว่า 1,000 สูงสุดถึง 25,000 จากค่าปกติต้อง 0.8 ขณะที่ส่วนตัวเป็นโควิด 2 ครั้ง ไม่เคยฉีดวัคซีน รักษาด้วยสมุนไพร ตรวจพบค่าเพียง 137” พ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าว

    พ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าวด้วยว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยสมุนไพร ถ้าสามารถนำมาใช้รักษาน่าจะช่วยรักษาคนทั้งโลกได้ และจะยังเพิ่มเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยไม่ต้องตั้งเป้าทำวิจัย

    ขณะที่ สามีของผู้ป่วยที่ถูกตัดขาตัดแขน กล่าวว่า ได้ไปขอค่าชดเชย จาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)แต่ไม่ได้รับการชดเชยเพราะเกินเวลา 2 ปีแล้ว

    ด้านแม่ที่ลูกอายุ 23 ปีได้รับผลกระทบ เล่าพร้อมน้ำตาคลอว่า ลูกฉีดวัคซีนโควิด 3 เข็ม จากเคยเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัย วันนี้เป็นผู้ป่วยติดเตียงเดินไม่ได้ หมอบอกว่าเป็นลิ่มเลือดอุดตันก้านสมอง ไม่รู้สาเหตุ รักษาตามอาการ ทั้งที่ก่อนหน้า เล่นกีฬาปกติ ขณะนี้ป่วยมา 2 ปีแล้ว จิตใจไม่ปกติ ต้องหาหมอจิตเวชร่วมด้วย เงินที่เก็บไว้ให้เรียนก็หมดไปกับการรักษาตัว จึงอยากฝากภาครัฐช่วยดูแลเรื่องนี้ด้วย

    ขณะที่ผู้ป่วยอีกราย บอกว่ามีอาการปวดแสบปวดร้อนที่หน้าอก และคันในศีรษะ อย่างรุนแรง ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่หาย แค่บรรเทาเวลากินยา คาดว่ามาจากวัคซันโควิด

    ด้านนายแทนคุณ กล่าวเรียกร้องให้ รมว.สาธารณสุข เปิดสัญญาทุกฉบับที่ทำกับเอกชนในการซื้อวัคซีนโควิด และให้ สปสช.ทบทวนการขยายเวลาให้ผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีน โควิดได้รับการเยียวยา... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_5194414
    ..ความอีกด้านในช่วงเวลาที่ผ่านมา,การต่อสู้กับภาครัฐที่บัดสบมาตลอดตั้งแต่รัฐบาลที่นำเข้าวัคซีนโควิดที่ไร้งานวิจัยรับรองความปลอดภัยใดๆ,คนเหล่านี้กอดกองเงินกองทองกอดตังอย่างมีความสุขนักโดยเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับการค้่ยาค้าวัคซีนโควิดหรือตัววัคซีนmRNAทุกๆคนที่นำเข้ามาในไทยตลอดสร้างพวกโรงงานเพื่อผลิตวัคซีนที่เป็นmRNAเหมือนกันมาฉีดคนไทยด้วย,คณะแพทย์หมอที่สมคบคิดไม่สำนึกต่อการกระทำชั่วตั้งแต่ต้นต้องถูกกำจัดทันที,ซึ่งปัจจุบันลอยหน้าลอยตาเชิดหน้ามีเกียรติมีศักดิ์ศรีนัก,ไม่ถูกจัดการลงโทษสั่งสอนห่าเหวใดๆเลย. ..หมอจุฬา นำทีมผู้ได้รับผลกระทบ วัคซีนโควิด ร้องสภาฯตั้งคณะสอบ หลังพบผู้ป่วยตายเฉียบพลัน วันที่ 22 พฤษภาคม 2568 - 11:47 น. “หมอจุฬา” พร้อมผู้ได้รับผลกระทบวัคซีนโควิด ร้องสภาฯเปิดเวทีสาธารณะ-ตั้งคณะทำงานสอบ หลังพบผู้ป่วยตายเฉียบพลัน โดยไม่รู้สาเหตุ ชี้ จากผลตรวจAnti spike ค่าสูงกว่า25,000 จาก 0.8 ขณะยุโรป-สหรัฐฯ สอบเรื่องนี้แล้ว ขอ “สธ.” เปิดสัญญาซื้อวัคซีน จี้ “สปสช.” ทบทวนขยายเวลาเยียวยา เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่รัฐสภา นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม พร้อมคณะแพทย์และผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด 19  ในนามกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านตัวแทนเพื่อให้เปิดเวทีสาธารณะรับฟังข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อที่จะได้มีข้อมูลในการดูแลรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ และให้ตั้งคณะทำงานเพื่อสอบสวนปัญหาผลกระทบจากวัคซีนโควิด โดย นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปี มีผู้ไปฉีดวัคซีนได้รับผลกระทบตามร่างกาย เสียชีวิตโดยไม่รู้สาเหตุจำนวนไม่น้อย จึงเป็นโอกาสที่จะสะท้อนความเห็นของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยอยากให้มีการหามาตรการป้องกันผลกระทบจากการฉีดวัคซีน ซึ่งมีการรวมตัวของอาจารย์จากมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลต่างๆ ช่วงแรกหลังฉีดวัคซีน ผลข้างเคียงค่อนข้างน้อยแต่ต่อมามีผลทางวิชาการ ยืนยันว่าวัคซีนโควิดสร้างปัญหาจริง ขณะที่ในยุโรปและสหรัฐฯ มีการสอบสวนกันมากขึ้น ส่วนประเทศไทย มีผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจำนวนมากถูกมองข้ามว่าไม่เกี่ยวกับวัคซีน แม้หลายคนพยายามร้องขอความเป็นธรรม แต่ถูกปิดปากซึ่งข่าวนี้เกิดขึ้นจริงทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยมีการยอมรับจากทำเนียบข่าวว่ามีการปิดข่าวเรื่องนี้ ในช่วงประธานาธิบดีโจไบเดน และขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังตั้งคณะกรรมการตรวจสอบอยู่ ด้านพ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา แพทย์ชื่อดัง กล่าวว่า มีญาติผู้ป่วย มาขอให้สะกดจิตเนื่องจากภรรยาไม่รู้เป็นอะไรต้องถูกตัดแขนตัดขาทั้งสองข้าง เมื่อดูภาพเห็นเท้าแขนขาดำทั้งสองข้าง แล้ววันนี้ถูกตัดขาด 2 ข้าง ตัดแขน 1 ข้าง และตัดมืออีกข้างหนึ่งออก โดยยังไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร ซึ่งเมื่อตรวจค่าเลือดภูมิต้านทานต่อต้านโควิด สูงถึง 14,500 จึงน่าจะเกี่ยวข้อง และเมื่อมาถามหมอหลายคน ได้ข้อสรุปว่าตัวAnti spike ไปอุดที่ไหนก็จะมีปัญหาที่นั่น ยกตัวอย่างมีหมอรุ่นน้องที่เชียงใหม่ล้มเสียชีวิต รวมถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ของอินโดนีเซีย ที่กำลังยืนปราศรัยก็ล้มตึงจากเวที และรองผู้ว่าฯพังงา ซึ่งมีร่างกายแข็งแรงก็เสียชีวิตโดยไม่รู้สาเหตุ “เป็นห่วงบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ฉีดวัคซีนถึง 8 เข็มแล้วเป็นสโตรก และยังมีเสียชีวิตเฉียบพลันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีคนที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตจากการฉีดวัคซีนโควิดมาให้หมอรักษา 600 คน ทั้งนี้เห็นว่าน่าจะเกิดจากการฉีดวัคซีน เพราะจากการตรวจคนไข้ที่คลินิก 70 กว่าคน พบค่า Anti spike ระดับกว่า 1,000 สูงสุดถึง 25,000 จากค่าปกติต้อง 0.8 ขณะที่ส่วนตัวเป็นโควิด 2 ครั้ง ไม่เคยฉีดวัคซีน รักษาด้วยสมุนไพร ตรวจพบค่าเพียง 137” พ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าว พ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าวด้วยว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยสมุนไพร ถ้าสามารถนำมาใช้รักษาน่าจะช่วยรักษาคนทั้งโลกได้ และจะยังเพิ่มเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยไม่ต้องตั้งเป้าทำวิจัย ขณะที่ สามีของผู้ป่วยที่ถูกตัดขาตัดแขน กล่าวว่า ได้ไปขอค่าชดเชย จาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)แต่ไม่ได้รับการชดเชยเพราะเกินเวลา 2 ปีแล้ว ด้านแม่ที่ลูกอายุ 23 ปีได้รับผลกระทบ เล่าพร้อมน้ำตาคลอว่า ลูกฉีดวัคซีนโควิด 3 เข็ม จากเคยเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัย วันนี้เป็นผู้ป่วยติดเตียงเดินไม่ได้ หมอบอกว่าเป็นลิ่มเลือดอุดตันก้านสมอง ไม่รู้สาเหตุ รักษาตามอาการ ทั้งที่ก่อนหน้า เล่นกีฬาปกติ ขณะนี้ป่วยมา 2 ปีแล้ว จิตใจไม่ปกติ ต้องหาหมอจิตเวชร่วมด้วย เงินที่เก็บไว้ให้เรียนก็หมดไปกับการรักษาตัว จึงอยากฝากภาครัฐช่วยดูแลเรื่องนี้ด้วย ขณะที่ผู้ป่วยอีกราย บอกว่ามีอาการปวดแสบปวดร้อนที่หน้าอก และคันในศีรษะ อย่างรุนแรง ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่หาย แค่บรรเทาเวลากินยา คาดว่ามาจากวัคซันโควิด ด้านนายแทนคุณ กล่าวเรียกร้องให้ รมว.สาธารณสุข เปิดสัญญาทุกฉบับที่ทำกับเอกชนในการซื้อวัคซีนโควิด และให้ สปสช.ทบทวนการขยายเวลาให้ผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีน โควิดได้รับการเยียวยา... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_5194414
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 792 มุมมอง 0 รีวิว
  • นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สว.เตือน อีก 3 ปี ระบบสาธารณสุขจะพัง เหตุมี รพ.รัฐ 218 แห่งเงินบำรุงติดลบ อีก 91 แห่งเหลือไม่ถึง 5 ล้าน แต่เพิ่มสิทธิประโยชน์แบบไม่ดูงบ ส่งยาให้ผู้ป่วยถึงบ้าน ให้คนไปรับยาที่ร้านยาใกล้บ้าน เจาะเลือดถึงที่บ้าน ถึงเวลา สปสช. ต้องพูดความจริง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000048768

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สว.เตือน อีก 3 ปี ระบบสาธารณสุขจะพัง เหตุมี รพ.รัฐ 218 แห่งเงินบำรุงติดลบ อีก 91 แห่งเหลือไม่ถึง 5 ล้าน แต่เพิ่มสิทธิประโยชน์แบบไม่ดูงบ ส่งยาให้ผู้ป่วยถึงบ้าน ให้คนไปรับยาที่ร้านยาใกล้บ้าน เจาะเลือดถึงที่บ้าน ถึงเวลา สปสช. ต้องพูดความจริง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000048768 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 875 มุมมอง 1 รีวิว
  • ปูด ลูกนักการเมืองเบอร์ใหญ่ “ส” เป็นเจ้าของตึก SKYY9 Centre หลัง “เด็ก ปชน.” กัดไม่ปล่อย จี้ถาม สปสช.ทุ่ม 7 พันล้าน ซื้อ แต่ราคาประเมินจริงแค่ 3 พันล้าน เป็นการเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่

    วันนี้ (11 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน และ นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ออกมาตั้งคำถามถึงการลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 Centre ย่านพระราม 9 ด้วยราคา 7 พันล้านบาท แต่มูลค่าจริงเพียง 3 พันล้านบาท ในปี 2565 ของกองทุนประกันสังคม (สปสช.) นั้น เป็นการเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่ เพราะถือเป็นการจงใจลงทุนผิดพลาด พร้อมระบุว่า

    “ใครเป็นเจ้าของ เป็นของนักการเมืองพรรคไหน เกี่ยวข้องกับพรรคที่อยู่ในป่าหรือไม่ น่าสงสัย เพราะท่านอดีต รมว.แรงงาน ก็อยู่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อยากให้ทุกท่านได้ลองหาข้อมูลดู ตึกนี้ปรับปรุงเสร็จปี 2565 ก็พร้อมขายให้กองทุน สปส.เลย”

    แหล่งข่าวระดับสูง เปิดเผยว่า ชื่อผู้ที่ครอบครองกรรมสิทธิ์ของอาคาร SKYY9 Centre ก่อนที่จะมีการขายให้กับกองทุนประกันสังคม ในสมัยที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน คือ บุตรชายของนักการเมือง “ส” ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาล และเป็นบุคคลในตำนานคนหนึ่ง เพราะแว่วว่า เป็นคนๆ เดียวกับที่เคยตกเป็นข่าวดัง ”รัฐมนตรีเบี้ยวไม่จ่ายค่าตัวหญิงบริการ” นั่นเอง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000023472

    #MGROnline #SKYY9Centre #กองทุนประกันสังคม #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
    ปูด ลูกนักการเมืองเบอร์ใหญ่ “ส” เป็นเจ้าของตึก SKYY9 Centre หลัง “เด็ก ปชน.” กัดไม่ปล่อย จี้ถาม สปสช.ทุ่ม 7 พันล้าน ซื้อ แต่ราคาประเมินจริงแค่ 3 พันล้าน เป็นการเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่ • วันนี้ (11 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน และ นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ออกมาตั้งคำถามถึงการลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 Centre ย่านพระราม 9 ด้วยราคา 7 พันล้านบาท แต่มูลค่าจริงเพียง 3 พันล้านบาท ในปี 2565 ของกองทุนประกันสังคม (สปสช.) นั้น เป็นการเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่ เพราะถือเป็นการจงใจลงทุนผิดพลาด พร้อมระบุว่า • “ใครเป็นเจ้าของ เป็นของนักการเมืองพรรคไหน เกี่ยวข้องกับพรรคที่อยู่ในป่าหรือไม่ น่าสงสัย เพราะท่านอดีต รมว.แรงงาน ก็อยู่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อยากให้ทุกท่านได้ลองหาข้อมูลดู ตึกนี้ปรับปรุงเสร็จปี 2565 ก็พร้อมขายให้กองทุน สปส.เลย” • แหล่งข่าวระดับสูง เปิดเผยว่า ชื่อผู้ที่ครอบครองกรรมสิทธิ์ของอาคาร SKYY9 Centre ก่อนที่จะมีการขายให้กับกองทุนประกันสังคม ในสมัยที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน คือ บุตรชายของนักการเมือง “ส” ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาล และเป็นบุคคลในตำนานคนหนึ่ง เพราะแว่วว่า เป็นคนๆ เดียวกับที่เคยตกเป็นข่าวดัง ”รัฐมนตรีเบี้ยวไม่จ่ายค่าตัวหญิงบริการ” นั่นเอง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000023472 • #MGROnline #SKYY9Centre #กองทุนประกันสังคม #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1204 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรียนจบครูมา เลือกสอบอะไรดี? สพฐ. หรือ อปท. ท่ามกลางความเหมือนที่แตกต่าง – สพฐ. ก้าวไกลถึงกระทรวง แต่ อปท. เบิกค่าบ้านได้

    เมื่อต้องเลือกเส้นทางข้าราชการครู เข้าสู่ฤดูกาลสมัครสอบ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นประจำปี 2568 บัณฑิตสายครูหลายคนอาจลังเลใจ ว่าควรเลือกสอบครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หรือจะไปครูผู้ช่วย สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดี?

    สพฐ. ดูมั่นคง มีเส้นทางก้าวหน้าสู่กระทรวง
    อปท. ได้สิทธิ์เบิกค่าเช่าบ้าน เงินเดือนอาจคล่องตัว

    แต่ทั้งสองเส้นทางนี้มีความเหมือน และแตกต่างในหลายมิติ

    ครูผู้ช่วย อปท. กับครูผู้ช่วย สพฐ. เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?
    สถานะทางกฎหมาย
    - ครูผู้ช่วย สพฐ. เป็นข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูฯ ปี 2547
    - ส่วนครูผู้ช่วย อปท. เป็นพนักงานครู หรือก็คือ ข้าราชการส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลท้องถิ่น ปี 2542

    แม้กฎหมายจะต่างกัน แต่โดยหลักการแล้ว ศักดิ์ศรีและสิทธิประโยชน์แทบไม่ต่างกัน

    เงินเดือนและสวัสดิการ
    - ครูผู้ช่วย อปท. ไม่ต้องหัก 3% เข้า กบข. แต่จะมีเงินสมทบ เข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญท้องถิ่น (กบท.)
    - ครูผู้ช่วย สพฐ. ต้องหักเงินเดือน 3% เข้า กบข. ตามระเบียบ

    ข้อได้เปรียบของ อปท. คือได้เงินเดือนเต็มกว่าเล็กน้อย

    ครูผู้ช่วย อปท. เบิกค่าเช่าบ้านได้! สูงสุด 6,000 บาท ต่อเดือน ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ขอแค่ย้ายออกจากพื้นที่บรรจุครั้งแรก และไม่มีบ้านพักของหน่วยงาน

    ส่วนครูผู้ช่วย สพฐ. เบิกไม่ได้! ตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน ถ้าย้ายเองเท่ากับ “ร้องขอ” → หมดสิทธิ์

    ทั้งนี้ อปท. บางแห่ง ก็ไม่อนุญาตให้เบิกค่าเช่าบ้าน เพราะอาจมีผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของ อปท.

    สิทธิ์รักษาพยาบาล ใครดีกว่า?
    ครอบคลุมเหมือนกัน ทั้งบิดา มารดา คู่สมรส และบุตร
    เบิกจ่ายตรงได้ เหมือนกัน

    ต่างกันที่แหล่งเงิน
    - ครูผู้ช่วย อปท. ใช้งบของ สปสช.
    - ครูผู้ช่วย สพฐ. ใช้งบของกรมบัญชีกลาง

    เรื่องนี้แทบไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อผู้รับสิทธิ์

    การเลื่อนเงินเดือนและวิทยฐานะ
    - ครูผู้ช่วย สพฐ. ทำตามกฎของ ก.ค.ศ.
    - ครูผู้ช่วย อปท. ทำตามมาตรฐานของ ก.กลาง และ ก.จังหวัด ซึ่งเนื้อหาแทบไม่ต่างกัน

    ข้อแตกต่าง เกณฑ์ใหม่ของ สพฐ. จะถูกนำมาปรับใช้กับ อปท. ตามหลัง 6 เดือน - 1 ปี อปท.บางแห่งให้โบนัส เช่น อบจ.ชลบุรี

    ถ้าสอบ อปท. ควรเช็กว่า อปท. ที่เลือกบรรจุนั้น มีโบนัสไหม!

    ความคล่องตัวในการย้าย
    - สพฐ. มีโรงเรียนเยอะ ย้ายง่าย
    - อปท. มีโรงเรียนน้อย โอกาสย้ายกลับบ้านน้อยกว่า

    การโอนข้ามสังกัด
    สพฐ. โอนไป อปท. ได้ง่ายกว่า
    อปท. โอนไป สพฐ. ยากมาก!

    ถ้าคิดจะโอนข้ามสังกัด ต้องศึกษาเงื่อนไขให้ดี

    เส้นทางความก้าวหน้า
    ครูผู้ช่วย สพฐ. ก้าวไกลถึงกระทรวง! สามารถไต่เต้าไปได้ถึง ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา รองเลขาธิการ สพฐ. กระทั่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

    ส่วนครูผู้ช่วย อปท. มักไปสุดแค่ ผอ.โรงเรียน อาจเป็น ผอ.กองการศึกษา ได้ แต่ต้องแข่งกับข้าราชการสายอำนวยการ

    ถ้าอยากเติบโตในสายงานการศึกษา สพฐ. มีทางเลือกมากกว่า

    ระบบงานและระเบียบ
    ระบบของ สพฐ.
    โรงเรียนเป็น นิติบุคคลมหาชน
    ต้องทำเรื่องเบิกจ่ายผ่าน เขตพื้นที่การศึกษา
    ระบบระเบียบยังคลุมเครือ

    ระบบของ อปท.
    โรงเรียนเป็น หน่วยงานของ อปท.
    วางฎีกาและเบิกจ่ายที่โรงเรียนได้เอง
    ระเบียบเยอะ ต้องทำงานเอกสารมาก

    ถ้าชอบระบบงานที่ชัดเจน อปท. อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าอยากทำงานแบบอิสระ สพฐ. อาจตอบโจทย์กว่า

    งบประมาณโรงเรียน
    รร. สพฐ. ได้รับงบจากรัฐบาลโดยตรง
    รร. อปท. ได้รับงบจาก อปท. ต้นสังกัด ซึ่งส่วนใหญ่ เงินไม่ขาดแน่นอน แต่ใช้งานยาก เพราะระเบียบเยอะ

    ข้อได้เปรียบของ อปท.
    เงินเหลือใช้ได้ต่อปี ไม่ต้องคืนรัฐ
    ซื้อครุภัณฑ์ได้ง่ายกว่า ไม่ต้องผ่านระบบ CIO

    การเมืองมีผลต่อการทำงานหรือไม่?
    รร. อปท. อยู่ภายใต้การดูแลของ นายก อปท.
    รร. สพฐ. อยู่ภายใต้ เขตพื้นที่การศึกษา และกระทรวง

    ความจริง ทั้งสองสังกัด มีการเมืองในองค์กรเหมือนกัน

    แต่ถ้าอยู่ อปท. มักเจอ "การเมืองท้องถิ่น" มากกว่า

    เลือกสอบอะไรดี?
    ถ้าต้องการความมั่นคง และเส้นทางก้าวหน้าระดับกระทรวง → เลือก สพฐ.
    ถ้าต้องการเงินเดือนเต็ม เบิกค่าเช่าบ้านได้ และมีงบประมาณคล่องตัว → เลือก อปท.

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091524 มี.ค. 2568

    #สอบครู #ครูผู้ช่วย #สพฐ #อปท #สอบราชการ #ครูไทย #ข้าราชการครู #เลือกสังกัดไหนดี #ครูบ้านนอก #สอบบรรจุ
    เรียนจบครูมา เลือกสอบอะไรดี? สพฐ. หรือ อปท. 🤔 ท่ามกลางความเหมือนที่แตกต่าง – สพฐ. ก้าวไกลถึงกระทรวง แต่ อปท. เบิกค่าบ้านได้ 🌟 เมื่อต้องเลือกเส้นทางข้าราชการครู เข้าสู่ฤดูกาลสมัครสอบ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นประจำปี 2568 บัณฑิตสายครูหลายคนอาจลังเลใจ ว่าควรเลือกสอบครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หรือจะไปครูผู้ช่วย สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดี? 🔹 สพฐ. ดูมั่นคง มีเส้นทางก้าวหน้าสู่กระทรวง 🔹 อปท. ได้สิทธิ์เบิกค่าเช่าบ้าน เงินเดือนอาจคล่องตัว แต่ทั้งสองเส้นทางนี้มีความเหมือน และแตกต่างในหลายมิติ 🎯 👩‍🏫 ครูผู้ช่วย อปท. กับครูผู้ช่วย สพฐ. เหมือนหรือต่างกันอย่างไร? 🏛️ สถานะทางกฎหมาย - ครูผู้ช่วย สพฐ. เป็นข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูฯ ปี 2547 - ส่วนครูผู้ช่วย อปท. เป็นพนักงานครู หรือก็คือ ข้าราชการส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลท้องถิ่น ปี 2542 แม้กฎหมายจะต่างกัน แต่โดยหลักการแล้ว ศักดิ์ศรีและสิทธิประโยชน์แทบไม่ต่างกัน 💰 เงินเดือนและสวัสดิการ - ครูผู้ช่วย อปท. ไม่ต้องหัก 3% เข้า กบข. แต่จะมีเงินสมทบ เข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญท้องถิ่น (กบท.) - ครูผู้ช่วย สพฐ. ต้องหักเงินเดือน 3% เข้า กบข. ตามระเบียบ ✅ ข้อได้เปรียบของ อปท. คือได้เงินเดือนเต็มกว่าเล็กน้อย 📌 ครูผู้ช่วย อปท. เบิกค่าเช่าบ้านได้! 🏠 สูงสุด 6,000 บาท ต่อเดือน ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ขอแค่ย้ายออกจากพื้นที่บรรจุครั้งแรก และไม่มีบ้านพักของหน่วยงาน ❌ ส่วนครูผู้ช่วย สพฐ. เบิกไม่ได้! ตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน ถ้าย้ายเองเท่ากับ “ร้องขอ” → หมดสิทธิ์ 📌 ทั้งนี้ อปท. บางแห่ง ก็ไม่อนุญาตให้เบิกค่าเช่าบ้าน เพราะอาจมีผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของ อปท. 🏥 สิทธิ์รักษาพยาบาล ใครดีกว่า? ✅ ครอบคลุมเหมือนกัน ทั้งบิดา มารดา คู่สมรส และบุตร ✅ เบิกจ่ายตรงได้ เหมือนกัน 🔹 ต่างกันที่แหล่งเงิน - ครูผู้ช่วย อปท. ใช้งบของ สปสช. - ครูผู้ช่วย สพฐ. ใช้งบของกรมบัญชีกลาง 🚑 เรื่องนี้แทบไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อผู้รับสิทธิ์ 📈 การเลื่อนเงินเดือนและวิทยฐานะ - ครูผู้ช่วย สพฐ. ทำตามกฎของ ก.ค.ศ. - ครูผู้ช่วย อปท. ทำตามมาตรฐานของ ก.กลาง และ ก.จังหวัด ซึ่งเนื้อหาแทบไม่ต่างกัน 📌 ข้อแตกต่าง เกณฑ์ใหม่ของ สพฐ. จะถูกนำมาปรับใช้กับ อปท. ตามหลัง 6 เดือน - 1 ปี อปท.บางแห่งให้โบนัส เช่น อบจ.ชลบุรี 🎯 ถ้าสอบ อปท. ควรเช็กว่า อปท. ที่เลือกบรรจุนั้น มีโบนัสไหม! 📌 ความคล่องตัวในการย้าย - สพฐ. มีโรงเรียนเยอะ ย้ายง่าย - อปท. มีโรงเรียนน้อย โอกาสย้ายกลับบ้านน้อยกว่า 📍 การโอนข้ามสังกัด 🔹 สพฐ. โอนไป อปท. ได้ง่ายกว่า 🔹 อปท. โอนไป สพฐ. ยากมาก! 🚨 ถ้าคิดจะโอนข้ามสังกัด ต้องศึกษาเงื่อนไขให้ดี 🎯 เส้นทางความก้าวหน้า 🏛️ ครูผู้ช่วย สพฐ. ก้าวไกลถึงกระทรวง! สามารถไต่เต้าไปได้ถึง ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา รองเลขาธิการ สพฐ. กระทั่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 🏙️ ส่วนครูผู้ช่วย อปท. มักไปสุดแค่ ผอ.โรงเรียน อาจเป็น ผอ.กองการศึกษา ได้ แต่ต้องแข่งกับข้าราชการสายอำนวยการ 🏆 ถ้าอยากเติบโตในสายงานการศึกษา สพฐ. มีทางเลือกมากกว่า 📚 ระบบงานและระเบียบ 📌 ระบบของ สพฐ. ✔️ โรงเรียนเป็น นิติบุคคลมหาชน ✔️ ต้องทำเรื่องเบิกจ่ายผ่าน เขตพื้นที่การศึกษา ✔️ ระบบระเบียบยังคลุมเครือ 📌 ระบบของ อปท. ✔️ โรงเรียนเป็น หน่วยงานของ อปท. ✔️ วางฎีกาและเบิกจ่ายที่โรงเรียนได้เอง ✔️ ระเบียบเยอะ ต้องทำงานเอกสารมาก 🎯 ถ้าชอบระบบงานที่ชัดเจน อปท. อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าอยากทำงานแบบอิสระ สพฐ. อาจตอบโจทย์กว่า 🏫 งบประมาณโรงเรียน 🔹 รร. สพฐ. ได้รับงบจากรัฐบาลโดยตรง 🔹 รร. อปท. ได้รับงบจาก อปท. ต้นสังกัด ซึ่งส่วนใหญ่ เงินไม่ขาดแน่นอน แต่ใช้งานยาก เพราะระเบียบเยอะ 📌 ข้อได้เปรียบของ อปท. ✔️ เงินเหลือใช้ได้ต่อปี ไม่ต้องคืนรัฐ ✔️ ซื้อครุภัณฑ์ได้ง่ายกว่า ไม่ต้องผ่านระบบ CIO 🏛️ การเมืองมีผลต่อการทำงานหรือไม่? รร. อปท. อยู่ภายใต้การดูแลของ นายก อปท. รร. สพฐ. อยู่ภายใต้ เขตพื้นที่การศึกษา และกระทรวง 📌 ความจริง ทั้งสองสังกัด มีการเมืองในองค์กรเหมือนกัน 🔥 แต่ถ้าอยู่ อปท. มักเจอ "การเมืองท้องถิ่น" มากกว่า 🎯 เลือกสอบอะไรดี? ✅ ถ้าต้องการความมั่นคง และเส้นทางก้าวหน้าระดับกระทรวง → เลือก สพฐ. ✅ ถ้าต้องการเงินเดือนเต็ม เบิกค่าเช่าบ้านได้ และมีงบประมาณคล่องตัว → เลือก อปท. ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091524 มี.ค. 2568 📌 #สอบครู #ครูผู้ช่วย #สพฐ #อปท #สอบราชการ #ครูไทย #ข้าราชการครู #เลือกสังกัดไหนดี #ครูบ้านนอก #สอบบรรจุ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1301 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ทรัมป์' ตัดงบมนุษยธรรม 'ไทย' พร้อมช่วยผู้ลี้ภัย ลั่นต้องไม่มีใครตาย
    .
    การประกาศตัดความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในหลายๆด้านของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ส่งผลกระทบมาถึงโรงพยาบาลผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดนทันที ซึ่งในประเด็นนี้ท่าทีของรัฐบาลไทยยังคงมั่นใจว่าจะยังสามารถให้ความช่วยเหลือได้ตามปกติ
    .
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ระบุว่า ส่วนตัวในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาก่อน การให้ความสำคัญกับด้านมนุษยธรรมไม่มีใครใส่ใจดีเท่ากับประเทศไทย ในการดูแลผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีงบประมาณที่ตั้งเอาไว้ในกรณีที่คนที่ไม่ใช่คนไทยแล้วประสบสภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด สภาวะที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และไม่มีทางเลือกอื่น เราก็ให้การดูแลอย่างเต็มที่
    .
    "สหรัฐอเมริกาจะประกาศอะไรก็เป็นเรื่องของนโยบายเขา แต่ถ้าระบบสาธารณสุขไทยจะไม่มีการปล่อยให้ใครต้องมาเสียชีวิตในประเทศของเรา โดยที่เราสามารถช่วยเหลือเขาได้ ยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศของเรา" นายอนุทิน ระบุ
    .
    ทั้งนี้ นายอนุทิน มั่นใจว่าการให้ความช่วยเหลือของประเทศไทยในเรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบกับประเทศไทยถึงขนาดที่จะมีผู้ลี้ภียทะลักเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมาก เพราะมีการป้องกันชายแดนไว้อยู่แล้ว ถ้าเป็นกรณีเข้ามาเพราะหนีความรุนแรง เราก็จะขีดเส้นว่าเขาสามารถอยู่ได้ในบริเวณที่กำหนด และสถานการณ์เปิดก็จะส่งตัวกลับประเทศ
    .
    ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เปิดเผยว่า ได้มีการพูดคุยกับทางผู้นำมาเลเซียถึงนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ที่เป็นความท้าทายของอาเซียนในการนำเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกัน ว่าจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอาเซียนอย่างไร
    .
    "สิ่งไหนที่เป็นเรื่องของการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ก็จะต้องมีการหารือกันเพื่อแก้ปัญหา" นายภูมิธรรม กล่าว
    ..............
    Sondhi X
    'ทรัมป์' ตัดงบมนุษยธรรม 'ไทย' พร้อมช่วยผู้ลี้ภัย ลั่นต้องไม่มีใครตาย . การประกาศตัดความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในหลายๆด้านของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ส่งผลกระทบมาถึงโรงพยาบาลผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดนทันที ซึ่งในประเด็นนี้ท่าทีของรัฐบาลไทยยังคงมั่นใจว่าจะยังสามารถให้ความช่วยเหลือได้ตามปกติ . นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ระบุว่า ส่วนตัวในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาก่อน การให้ความสำคัญกับด้านมนุษยธรรมไม่มีใครใส่ใจดีเท่ากับประเทศไทย ในการดูแลผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีงบประมาณที่ตั้งเอาไว้ในกรณีที่คนที่ไม่ใช่คนไทยแล้วประสบสภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด สภาวะที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และไม่มีทางเลือกอื่น เราก็ให้การดูแลอย่างเต็มที่ . "สหรัฐอเมริกาจะประกาศอะไรก็เป็นเรื่องของนโยบายเขา แต่ถ้าระบบสาธารณสุขไทยจะไม่มีการปล่อยให้ใครต้องมาเสียชีวิตในประเทศของเรา โดยที่เราสามารถช่วยเหลือเขาได้ ยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศของเรา" นายอนุทิน ระบุ . ทั้งนี้ นายอนุทิน มั่นใจว่าการให้ความช่วยเหลือของประเทศไทยในเรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบกับประเทศไทยถึงขนาดที่จะมีผู้ลี้ภียทะลักเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมาก เพราะมีการป้องกันชายแดนไว้อยู่แล้ว ถ้าเป็นกรณีเข้ามาเพราะหนีความรุนแรง เราก็จะขีดเส้นว่าเขาสามารถอยู่ได้ในบริเวณที่กำหนด และสถานการณ์เปิดก็จะส่งตัวกลับประเทศ . ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เปิดเผยว่า ได้มีการพูดคุยกับทางผู้นำมาเลเซียถึงนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ที่เป็นความท้าทายของอาเซียนในการนำเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกัน ว่าจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอาเซียนอย่างไร . "สิ่งไหนที่เป็นเรื่องของการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ก็จะต้องมีการหารือกันเพื่อแก้ปัญหา" นายภูมิธรรม กล่าว .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Sad
    Love
    16
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2803 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระบวนการบิดเบี้ยวของระบบสุขภาพ
    ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    ⭐️⭐️⭐️
    (ตอนที่ 1)
    ความยั่งยืนของระบบสุขภาพนั้นประกอบไปด้วยความตระหนักของประชาชนในการดูแลตัวเองด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและเพาะบ่ม ตั้งแต่ในครอบครัวในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลต่อเนื่องไปทั้งชีวิต
    การละทิ้งการรักษาตัวเองจะก่อให้เกิดโรคทางสุขภาพมากมายทำให้คนไทย เปราะบางและพร้อมที่จะเกิดโรคต่างๆในระดับความรุนแรงมากกว่าปกติและแม้เมื่อกระทบกับโรคติดเชื้อกลับถึงกับเสียชีวิต อย่างง่ายดาย
    การโหมประโคม การรักษาฟรีได้ทุกโรคโดยไม่บอกความจริงถึงงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด และเพิ่มสิทธิประโยชน์โดยที่ประชาชนไม่ทราบว่าการรักษานั้นไม่ได้ถึงขีดสุดตามที่ควรจะเป็น
    และแม้ว่าจะสามารถรักษาโรคบางอย่างได้ดีเช่นหลอดเลือดหัวใจตันหรือภาวะไตวายซึ่งมีการต่อสู้กันอย่างเนิ่นนานให้เป็นการฟอกเลือดแทนการล้างไตในช่องท้องซึ่งประชาชนและครอบครัวยังไม่พร้อมก่อให้เกิดการติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
    แต่จำนวนผู้ป่วยเหล่านี้ปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณจนแพทย์พยาบาลและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญรับมือไม่ไหว อย่างเช่นประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีการหยุดงานประท้วงของแพทย์ นักศึกษาแพทย์จนกระทั่งถึงลาออก ทั้งนี้เนื่องจากไม่เข้าใจว่าการให้บุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเหล่านี้ยังอยู่ในระบบได้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ใช่เร่งผลิตแพทย์เอาแต่ปริมาณจำนวนและในที่สุดแล้วมีปัญหาเรื่องคุณภาพและผลกระทบก็คือตกอยู่ที่ประชาชนคนป่วยและขาดความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขรวมถึงการฟ้องร้องอย่างรุนแรง

    ประเด็นที่เกี่ยวโยงกัน คือการหาประโยชน์จากระบบสุขภาพกลายเป็นห่วงโซ่ธุรกิจข้ามชาติ ทั้งนี้
    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีอิทธิพลของบริษัทยา วัคซีนและเครื่องมือแพทย์ต่างๆ โยงไปถึง หน่วยงานหลักของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และจนกระทั่งองค์กรหลัก ของโลก และในประเทศตะวันตก ซึ่งระบบสาธารณสุขของไทยยึดถือตามเอาอย่างโดยไม่ผิดเพี้ยน

    การปล่อยออกตลาด ของวัคซีนโควิดในสภาวะฉุกเฉิน แต่กระนั้นก็ต้องมีการศึกษาความปลอดภัยในมนุษย์เป็นขั้นตอนที่หนึ่ง

    ครอบครัวของเด็กหญิงอายุ 12 ปีที่เป็นอาสาสมัครเข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ในการศึกษาในมนุษย์ระยะที่หนึ่งในเรื่องความปลอดภัย ปรากฏว่าหลังเข็มที่หนึ่งมีแต่ไข้เจ็บแขนและหายไป แต่หลังเข็มที่สองเกิดอาการมหาศาลตามต่อ 20 ถึง 30 อาการ ต้องเข้าโรงพยาบาล
    อาสาสมัครเหล่านี้นำไปรายงานใน วารสารนิวอิงแลนด์ วันที่ 27 พฤษภาคม 2021 และสรุปว่าอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนต่างมีอาการเล็กน้อยไม่รุนแรงและกล่าวถึงเด็กหญิงคนนี้ว่าอาการไม่น่าวิตกอะไรและเป็นเพียงปวดท้องเนื่องจากความเครียดทางอารมณ์
    หลังจากนั้นอีกไม่นานข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนและนำไปสู่การศึกษาในมนุษย์อย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีการใช้จริงในกลางปี 2021

    วิดีโอนี้เป็นการบันทึกคำให้การของมารดาของเด็กหญิงที่ได้รับผลกระทบและขณะนี้ ยังต้องนั่งรถเข็นและใส่สายยางให้อาหาร เป็นคำให้การและหลักฐานต่อวุฒิสมาชิกและยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่ได้รับผลกระทบ
    เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตีพิมพ์ในวารสาร ชั้นหนึ่งอันดับโลกมึความบิดเบี้ยว และในบทความตีพิมพ์นี้ นายแพทย์ที่เป็นชื่อแรกคือคนที่รับผิดชอบและดูแลผู้ป่วยรายนี้ด้วยซ้ำ

    กรุณาดูวิดีโอชิ้นนี้ ทั้งนี้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดไม่ได้มีการตัดต่อใดๆ

    https://youtu.be/L2GKPYzL_JQ?si=VKECXgj_GwGoqKzL

    ยาที่ถูกแสนถูกหมดสิทธิบัตรแล้วและถูกห้ามใช้อย่างรุนแรงจากองค์กรสากลต่างๆ รวมทั้งในประเทศไทย
    ในที่สุด FDA สหรัฐ แพ้คดี ต้องถอนข้อความในการห้ามใช้ ยาฆ่าพยาธิ ไอเวอร์เมคติน ในการป้องกัน และรักษาโควิด และที่มีการดูถูกถากถาง และส่งผลให้แพทย์ถูกลงโทษ

    อีกตัวอย่างที่น่ากลัวคือ การถ่ายทอดผ่านรกของวัคซีน COVID-19 mRNA
    หลักฐานจากการวิเคราะห์รก มารดา และเลือดจากสายสะดือหลังการฉีดวัคซีน

    https://www.ajog.org/article/S0002-9378(24)00063-2/fulltext?fbclid=IwAR213l0Ygqu3FCbE-9iXZ6eZUDjwBk6JnfHex9JA1W2CQKokz62WLOj7tpI

    ประเด็นที่ร้ายแรงต่อตามมาก็คือ ผลผลิตของนวัตกรรมซึ่งสามารถเกิดขึ้น อย่างมหัศจรรย์ แบบผิดธรรมชาติ จากวัคซีนโควิด
    นวัตกรรมนี้สามารถสร้างความเสียหายโดยผ่านกลไกหลายระบบ แบบที่พบเห็นกันทั่วไปจากกลไกทางด้านภูมิคุ้มกัน

    แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น คือความสามารถที่จะฝังตัวอยู่ในร่างกายมนุษย์ไปนานเป็นปี และสั่งให้ร่างกายมนุษย์สร้างโปรตีนหนาม เป็นเป้าล่อให้กระบวนการภูมิคุ้มกันของมนุษย์เข้ามาทำลาย ซึ่งก็หมายความว่าทำร้ายตัวเอง

    นอกจากนั้นโปรตีนหนามนี้ เข้าไปสอดแทรกในเนื้อเยื่อที่ลึกลงไป ก่อให้เกิดการอักเสบมีรูพรุนเหมือนฟองน้ำ และต่อมา ชิ้นของเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจะค่อยๆ ทะลักออกมาทางผิวเซลล์ที่ถูกทำลาย

    และในกรณีของหลอดเลือดจะทะลักออกมาในกระแสเลือดโดยโปรตีนนี้ จะเหนี่ยวนำ ให้เกิดโปรตีนบิดเกลียว misfolded protein ลักษณะเป็นอมิลอยด์ ซึ่งไม่สามารถย่อยได้ด้วยเอนไซม์ และค่อยๆ สะสมขึ้นทีละน้อย ลักษณะอาจเป็นก้อนหรือเป็นแท่งหล่อ พบ ขณะมีชีวิตและเมื่อตายแล้ว และไม่จำเป็นต้องเกิดทุกคน
    กลไกจากนวัตกรรมนี้ จนได้ผลิตผล ขั้นสูงสุดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ และ “ถ้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยอมรับว่าเกิดขึ้นได้นั้น” หมายความว่าแพลตฟอร์มของนวัตกรรมนี้ที่จะนำมาใช้สำหรับโรคอื่นทุกชนิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบทุกอย่างในโลกนี้ ต้องถูกระงับ
    เป็นคำอธิบายชัดเจนในการต่อต้าน

    ทั้งนี้ ได้สรุปเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศเยอรมันและเจ้าหน้าที่ในสหรัฐ
    กลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำไม่สามารถนำลงไปตีพิมพ์ในวารสารได้ เพราะได้รับการต่อต้านตั้งแต่ พบหลักฐานใน 15 รายแรกและได้แจ้งให้สมาคม ราชวิทยาลัยของประเทศให้จับตาและทำการศึกษาอย่างจริงจังแต่ได้รับการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง

    ดังนั้น เป็นการเสนองานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดในที่ประชุมนานาชาติ จากการชันสูตรศพและวิเคราะห์เนื้อเยื่อทางกล้องจุลทรรศน์และทางฟิสิกส์จากศพ 100 ราย และจากชิ้นเนื้อจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ 20 ราย
    และข้อมูล ที่สำคัญที่มอบให้สื่อ ยังเป็นรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใน cath lab ที่ไม่ระบุชื่อ anonymous whistle blower ที่โรงพยาบาลในสหรัฐที่ทำการฉีดสีและดูด ลาก ตัด ก้อนที่ปะปนกับลิ่มเลือดตามปกติออกมา ซึ่งได้ทำการรายงานโรงพยาบาลทันทีแต่ได้รับคำสั่งห้ามพูดเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถูกไล่ออก เลยได้ทำการติดต่อโรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐซึ่งก็พบปรากฏการณ์เช่นนี้และทุกแห่งถูกสั่งห้ามพูด

    ทั้งนี้จะมีโรงพยาบาลหลักในสหรัฐซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้
    และสนับสนุนนวัตกรรมนี้ทำการปิดกั้นผลกระทบ เหล่านี้ อย่างสิ้นเชิง

    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/

    https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/

    ⭐️⭐️⭐️
    (ตอนที่ 2)

    ปรากฏการณ์ที่กระทบมนุษย์นั้นเริ่มเห็นหนาตาขึ้น จนปิดไม่มิดและประชาชนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า
    สำหรับคนที่ยังไม่เกิดอาการและไม่เห็นความสำคัญ ของข้อมูลเหล่านี้ต้องไม่ลืมว่าต้องรอถึงอย่างน้อย 10 ปีจึงจะแน่ใจว่าอยู่รอดปลอดภัย

    วัคซีน นวัตกรรมอำมหิตนี้ 1- มันไม่ได้อยู่ที่ต้นแขนเท่านั้น 2- มันเลื้อยเข้ากระแสเลือด 3- มันซึมเข้าไปในเซลล์ทุกแห่งในเนื้อเยื่อและทุกอวัยวะ 4- มันบังคับให้เราสร้างโปรตีนหนามในเซลล์
    5- โปรตีนหนามเป็นพิษต่อเซลล์ 6-โปรตีนหนามยังเป็นเป้าล่อให้ร่างกายพยายามทำลายเลยเกิดการอักเสบในร่างกาย 7- สิ่งที่หลุดรั่วออกมาจากผนังเซลล์และเนื้อเยื่อมีปฏิกิริยาเหนียวนำทำให้เกิดโปรตีนชนิดใหม่เป็นอมิลอยด์โปรตีนเข้าไปในหลอดเลือด 8- มันยังมีสิ่งแปลกปลอมเพราะกระบวนการผลิตมีดีเอ็นเอปนเปื้อนและยังมียีนส์ที่ทำให้มันเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์
    9-คุณสมบัติของอนุภาคนาโนไขมันที่มีขยะอยู่มากและพร้อมที่จะเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์โดยเฉพาะที่พิสูจน์แล้วคือโครโมโซมที่เก้าและสิบสอง และ 10- สิ่งที่ควรทำและต้องทำคือต้องหยุดการฉีดมันเข้าร่างกายมนุษย์

    สมควรแล้วหรือไม่ที่มีเทคโนโลยีนี้นำมาใช้ในโรคชนิดต่างๆที่ทยอยกันออกมา
    สมควรหรือไม่ที่ต้องออกมารับผิดชอบเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและพิการตลอดชีวิต

    หยุด “มัน” เดี๋ยวนี้และเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก “มัน”
    ขั้นตอนที่จะสู้คือการพัฒนาการตรวจจากเลือดเพื่อดูปริมาณของสารผิดปกตินี้ และใช้ยาถอนพิษซึ่งขณะนี้มีหลายตำรับด้วยกันโดยที่ต้องประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัย
    (ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา หมอดื้อ นวตกรรมอำมหิต ตอนหนึ่งและสอง)

    ประเด็นของ ขององค์การอนามัยโลก และยึดโยงลงเกี่ยวข้องกับประเทศไทยในเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วลากมาปัจจุบันและที่คนไทยจะเจออะไรในอนาคต
    Tucker Carlson น่าจะเป็นคนเดียวที่หยิบยก และคนเริ่มหันมาสนใจหลาย ล้านคนแล้ว
    https://youtu.be/4MIESbBnA2k?si=JV-UPUa9oHZkP25Y
    โดยที่ องค์การจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉินและสามารถกำหนดให้ประเทศภาคีต้องปฏิบัติตามทั้งในด้านยาผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้
    ไม่สามารถคิดเองทำเองได้โดยเด็ดขาด และสามารถปิดกั้นข้อมูลที่ไม่สอดคล้องได้อย่างสมบูรณ์ทั้งโลกเป็น เรียลไทม์
    ไทยก็เป็นประเทศหนึ่งในภาคีเครือข่าย เนื้อหา บทกำหนดใหม่นั้น มีการตกแต่งต่อเติม อ่านแล้ว งงงวย สรุปคือ ถ้ายอมตามก็เป็นไปตามนั้น และองค์กรถ้าทำผิดพลาดจะไม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งฟังดูคุ้นๆ ให้ประเทศรับผิดชอบกันเอง

    ควรหรือไม่ควรที่จะมีการถามจุดยืนของประเทศไทย หรือจะทำอย่างที่ทำมาตลอด ฝรั่งว่าดี ถึงจะทำ ถ้ามีคำแนะนำอะไร ของฝรั่งถือว่าดีที่สุด สมาคมราชวิทยาลัยต่างประเทศ ว่าอย่างไรต้องทำตาม ไม่มีใครเคยฉุกคิดว่า ข้อมูลที่ปรากฏผลที่ประมวลมีการตั้งใจที่จะตัดข้อมูลบางส่วนทิ้งที่ทำให้สถิติออกมา ดูดีหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้

    การอ่านวารสารในปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่ผลออกมาดีอย่างผิดธรรมชาติ หรือเลวอย่างไม่น่าเป็นไปได้ จำเป็นต้องหาข้อมูลรอบด้าน totality of evidence สิ่งที่เห็นรอบตัว
    ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทย โดยทางการ แถลงทุกสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ประกาศว่า
    มีคนได้รับผลกระทบของวัคซีนโควิดอย่างรุนแรงทั้งประเทศ และเสียชีวิตมี จำนวนห้ารายเท่านั้น
    ดังนั้นอัตราส่วนคือหนึ่งต่อ 1,000,000 คน
    และข้อร้องเรียนอื่นๆนั้น เมื่อพิจารณา อย่างถี่ถ้วนแล้วว่าพบว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน

    รายงานในวารสารโดยจากคณะกรรมการพิจารณาผลข้างเคียงของวัคซีนในประเทศไทย บอกว่าวัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ มีผลข้างเคียง“น้อยมาก” และ“ไม่รุนแรง”
    ในขณะที่สถาบันในประเทศไทยที่ไม่มีอคติทับซ้อนกลับรายงาน ตรงข้าม

    ประชาชนพยายามที่จะบอกว่าได้มีคำร้องไปแล้วครอบครัวมีคนตายไปแล้วแต่ไม่เข้าเกณฑ์ถูกปัดตกมากมาย หรือที่มีการชดเชย โดย สปสช ไปแล้วก็จะมีการสรุปว่าเป็นตัวเลขที่บรรเทาความเดือดร้อน เท่านั้น ยัง ไม่ได้ พิสูจน์ เกี่ยวข้องกับวัคซีน

    เนื้อหาทางด้านล่างนี้เป็นคำบรรยายตามสูตรของกระทรวงสาธารณสุข อ่านแล้วพิจารณาให้ดี

    ……กองระบาด กรมการแพทย์ไม่ได้มีการปิดบังข้อมูลอะไรเลยเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนมีการตรวจสอบถูกต้องตามระบบของ WHO

    สปสช จ่ายเงินเยียวยา โดยไม่ได้ใช้ฐานข้อมูลและผลสรุปของกองระบาดซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบผลข้างเคียงที่มีความถูกต้องกว่า
    เนื่องจากตอนนั้น รัฐบาลมีความกังวลว่าคนจะไม่ไปฉีดวัคซีน จึงยอมจ่ายค่าเยียวยา ซึ่งหลายๆครั้งไม่มีการตรวจสอบที่ถูกต้องครับ เพื่อให้การเยียวยาเบื้องต้นไปก่อน

    สรุปว่าเมื่อ ทางการ จะทำการอ้างอะไร จะเป็นไปตามเบื้องบนองค์กรสั่ง ใช้กรรมการที่ไม่ได้ประกาศชื่อว่ามีใครบ้าง และถ้าความเป็นจริงปรากฏตรงข้ามดังที่เห็นในปัจจุบัน จะต้องรับผิดชอบ ความผิดในการปกปิดบิดเบือนข้อมูลหรือไม่ และจะถูกลงโทษประการใดหรือไม่?

    ทำให้คนไทยต้องมองดูรอบตัว และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่คนไทยมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้เปิดเผยความเป็นจริงทุกอย่างและได้รับการเยียวยาที่ถูกต้องใช่หรือไม่

    องค์การอนามัยโลก (WHO) สามารถจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉิน และสามารถกำหนดให้ประเทศภาคี “ต้อง” ปฏิบัติตามทั้ง ในด้านยา ผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ก็ด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations หรือ IHR)
    ยิ่งกว่านั้น “ภาวะฉุกเฉิน” นอกจากหมายถึงโรคระบาด WHO ยังสามารถประกาศภาวะอะไรตามแต่ ผอ.WHO จะตัดสินตามใจชอบ เช่น มีการโหมโรงจาก บิลล์ เกตส์ องค์การโลกอื่นๆ รวมถึง World Economic Forum (WEF) ว่า public health emergency (PHE) จะกลายเป็นผู้กำหนดและบริหารระเบียบโลก (New World Order, NWO)

    ทั้งร่าง IHR และ PHE ใหม่กำลังจะประชุมตัวแทนประเทศสมาชิกลงนามรับในเดือน พฤษภาคม 2567 ที่จะมาถึง รัฐบาลไทยจะต้องปฏิเสธทั้ง สอง ฉบับเด็ดขาด หากแม้นรับเพียงอันหนึ่งอันใดก็ตาม ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนไว้ จะหมายถึงการเสียอธิปไตยของประเทศให้แก่ WHO ที่ไม่อาจบิดพริ้วได้

    ฟังคลิปสั้นที่แนบโดยทนายสวิส Phillip Kruse บรรยายถึงอันตราย WHO ถอดความจากงานสัมมนา International COVID Summit ครั้งที่ 5 ด้านล่าง
    https://rumble.com/v4finab-excerpts-from-the-international-covid-summit-5.html?utm_source=substack&utm_medium=email

    สิ่งที่เห็นด้วยตาของทุกคนเป็นความจริงหนึ่งเดียว

    https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/
    https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/

    ขอขอบคุณ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    กระบวนการบิดเบี้ยวของระบบสุขภาพ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ⭐️⭐️⭐️ (ตอนที่ 1) ความยั่งยืนของระบบสุขภาพนั้นประกอบไปด้วยความตระหนักของประชาชนในการดูแลตัวเองด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและเพาะบ่ม ตั้งแต่ในครอบครัวในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลต่อเนื่องไปทั้งชีวิต การละทิ้งการรักษาตัวเองจะก่อให้เกิดโรคทางสุขภาพมากมายทำให้คนไทย เปราะบางและพร้อมที่จะเกิดโรคต่างๆในระดับความรุนแรงมากกว่าปกติและแม้เมื่อกระทบกับโรคติดเชื้อกลับถึงกับเสียชีวิต อย่างง่ายดาย การโหมประโคม การรักษาฟรีได้ทุกโรคโดยไม่บอกความจริงถึงงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด และเพิ่มสิทธิประโยชน์โดยที่ประชาชนไม่ทราบว่าการรักษานั้นไม่ได้ถึงขีดสุดตามที่ควรจะเป็น และแม้ว่าจะสามารถรักษาโรคบางอย่างได้ดีเช่นหลอดเลือดหัวใจตันหรือภาวะไตวายซึ่งมีการต่อสู้กันอย่างเนิ่นนานให้เป็นการฟอกเลือดแทนการล้างไตในช่องท้องซึ่งประชาชนและครอบครัวยังไม่พร้อมก่อให้เกิดการติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่จำนวนผู้ป่วยเหล่านี้ปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณจนแพทย์พยาบาลและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญรับมือไม่ไหว อย่างเช่นประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีการหยุดงานประท้วงของแพทย์ นักศึกษาแพทย์จนกระทั่งถึงลาออก ทั้งนี้เนื่องจากไม่เข้าใจว่าการให้บุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเหล่านี้ยังอยู่ในระบบได้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ใช่เร่งผลิตแพทย์เอาแต่ปริมาณจำนวนและในที่สุดแล้วมีปัญหาเรื่องคุณภาพและผลกระทบก็คือตกอยู่ที่ประชาชนคนป่วยและขาดความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขรวมถึงการฟ้องร้องอย่างรุนแรง ประเด็นที่เกี่ยวโยงกัน คือการหาประโยชน์จากระบบสุขภาพกลายเป็นห่วงโซ่ธุรกิจข้ามชาติ ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีอิทธิพลของบริษัทยา วัคซีนและเครื่องมือแพทย์ต่างๆ โยงไปถึง หน่วยงานหลักของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และจนกระทั่งองค์กรหลัก ของโลก และในประเทศตะวันตก ซึ่งระบบสาธารณสุขของไทยยึดถือตามเอาอย่างโดยไม่ผิดเพี้ยน การปล่อยออกตลาด ของวัคซีนโควิดในสภาวะฉุกเฉิน แต่กระนั้นก็ต้องมีการศึกษาความปลอดภัยในมนุษย์เป็นขั้นตอนที่หนึ่ง ครอบครัวของเด็กหญิงอายุ 12 ปีที่เป็นอาสาสมัครเข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ในการศึกษาในมนุษย์ระยะที่หนึ่งในเรื่องความปลอดภัย ปรากฏว่าหลังเข็มที่หนึ่งมีแต่ไข้เจ็บแขนและหายไป แต่หลังเข็มที่สองเกิดอาการมหาศาลตามต่อ 20 ถึง 30 อาการ ต้องเข้าโรงพยาบาล อาสาสมัครเหล่านี้นำไปรายงานใน วารสารนิวอิงแลนด์ วันที่ 27 พฤษภาคม 2021 และสรุปว่าอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนต่างมีอาการเล็กน้อยไม่รุนแรงและกล่าวถึงเด็กหญิงคนนี้ว่าอาการไม่น่าวิตกอะไรและเป็นเพียงปวดท้องเนื่องจากความเครียดทางอารมณ์ หลังจากนั้นอีกไม่นานข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนและนำไปสู่การศึกษาในมนุษย์อย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีการใช้จริงในกลางปี 2021 วิดีโอนี้เป็นการบันทึกคำให้การของมารดาของเด็กหญิงที่ได้รับผลกระทบและขณะนี้ ยังต้องนั่งรถเข็นและใส่สายยางให้อาหาร เป็นคำให้การและหลักฐานต่อวุฒิสมาชิกและยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่ได้รับผลกระทบ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตีพิมพ์ในวารสาร ชั้นหนึ่งอันดับโลกมึความบิดเบี้ยว และในบทความตีพิมพ์นี้ นายแพทย์ที่เป็นชื่อแรกคือคนที่รับผิดชอบและดูแลผู้ป่วยรายนี้ด้วยซ้ำ กรุณาดูวิดีโอชิ้นนี้ ทั้งนี้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดไม่ได้มีการตัดต่อใดๆ https://youtu.be/L2GKPYzL_JQ?si=VKECXgj_GwGoqKzL ยาที่ถูกแสนถูกหมดสิทธิบัตรแล้วและถูกห้ามใช้อย่างรุนแรงจากองค์กรสากลต่างๆ รวมทั้งในประเทศไทย ในที่สุด FDA สหรัฐ แพ้คดี ต้องถอนข้อความในการห้ามใช้ ยาฆ่าพยาธิ ไอเวอร์เมคติน ในการป้องกัน และรักษาโควิด และที่มีการดูถูกถากถาง และส่งผลให้แพทย์ถูกลงโทษ อีกตัวอย่างที่น่ากลัวคือ การถ่ายทอดผ่านรกของวัคซีน COVID-19 mRNA หลักฐานจากการวิเคราะห์รก มารดา และเลือดจากสายสะดือหลังการฉีดวัคซีน https://www.ajog.org/article/S0002-9378(24)00063-2/fulltext?fbclid=IwAR213l0Ygqu3FCbE-9iXZ6eZUDjwBk6JnfHex9JA1W2CQKokz62WLOj7tpI ประเด็นที่ร้ายแรงต่อตามมาก็คือ ผลผลิตของนวัตกรรมซึ่งสามารถเกิดขึ้น อย่างมหัศจรรย์ แบบผิดธรรมชาติ จากวัคซีนโควิด นวัตกรรมนี้สามารถสร้างความเสียหายโดยผ่านกลไกหลายระบบ แบบที่พบเห็นกันทั่วไปจากกลไกทางด้านภูมิคุ้มกัน แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น คือความสามารถที่จะฝังตัวอยู่ในร่างกายมนุษย์ไปนานเป็นปี และสั่งให้ร่างกายมนุษย์สร้างโปรตีนหนาม เป็นเป้าล่อให้กระบวนการภูมิคุ้มกันของมนุษย์เข้ามาทำลาย ซึ่งก็หมายความว่าทำร้ายตัวเอง นอกจากนั้นโปรตีนหนามนี้ เข้าไปสอดแทรกในเนื้อเยื่อที่ลึกลงไป ก่อให้เกิดการอักเสบมีรูพรุนเหมือนฟองน้ำ และต่อมา ชิ้นของเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจะค่อยๆ ทะลักออกมาทางผิวเซลล์ที่ถูกทำลาย และในกรณีของหลอดเลือดจะทะลักออกมาในกระแสเลือดโดยโปรตีนนี้ จะเหนี่ยวนำ ให้เกิดโปรตีนบิดเกลียว misfolded protein ลักษณะเป็นอมิลอยด์ ซึ่งไม่สามารถย่อยได้ด้วยเอนไซม์ และค่อยๆ สะสมขึ้นทีละน้อย ลักษณะอาจเป็นก้อนหรือเป็นแท่งหล่อ พบ ขณะมีชีวิตและเมื่อตายแล้ว และไม่จำเป็นต้องเกิดทุกคน กลไกจากนวัตกรรมนี้ จนได้ผลิตผล ขั้นสูงสุดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ และ “ถ้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยอมรับว่าเกิดขึ้นได้นั้น” หมายความว่าแพลตฟอร์มของนวัตกรรมนี้ที่จะนำมาใช้สำหรับโรคอื่นทุกชนิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบทุกอย่างในโลกนี้ ต้องถูกระงับ เป็นคำอธิบายชัดเจนในการต่อต้าน ทั้งนี้ ได้สรุปเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศเยอรมันและเจ้าหน้าที่ในสหรัฐ กลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำไม่สามารถนำลงไปตีพิมพ์ในวารสารได้ เพราะได้รับการต่อต้านตั้งแต่ พบหลักฐานใน 15 รายแรกและได้แจ้งให้สมาคม ราชวิทยาลัยของประเทศให้จับตาและทำการศึกษาอย่างจริงจังแต่ได้รับการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ดังนั้น เป็นการเสนองานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดในที่ประชุมนานาชาติ จากการชันสูตรศพและวิเคราะห์เนื้อเยื่อทางกล้องจุลทรรศน์และทางฟิสิกส์จากศพ 100 ราย และจากชิ้นเนื้อจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ 20 ราย และข้อมูล ที่สำคัญที่มอบให้สื่อ ยังเป็นรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใน cath lab ที่ไม่ระบุชื่อ anonymous whistle blower ที่โรงพยาบาลในสหรัฐที่ทำการฉีดสีและดูด ลาก ตัด ก้อนที่ปะปนกับลิ่มเลือดตามปกติออกมา ซึ่งได้ทำการรายงานโรงพยาบาลทันทีแต่ได้รับคำสั่งห้ามพูดเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถูกไล่ออก เลยได้ทำการติดต่อโรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐซึ่งก็พบปรากฏการณ์เช่นนี้และทุกแห่งถูกสั่งห้ามพูด ทั้งนี้จะมีโรงพยาบาลหลักในสหรัฐซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้ และสนับสนุนนวัตกรรมนี้ทำการปิดกั้นผลกระทบ เหล่านี้ อย่างสิ้นเชิง ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข มหาวิทยาลัยรังสิต https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/ https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/ ⭐️⭐️⭐️ (ตอนที่ 2) ปรากฏการณ์ที่กระทบมนุษย์นั้นเริ่มเห็นหนาตาขึ้น จนปิดไม่มิดและประชาชนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า สำหรับคนที่ยังไม่เกิดอาการและไม่เห็นความสำคัญ ของข้อมูลเหล่านี้ต้องไม่ลืมว่าต้องรอถึงอย่างน้อย 10 ปีจึงจะแน่ใจว่าอยู่รอดปลอดภัย วัคซีน นวัตกรรมอำมหิตนี้ 1- มันไม่ได้อยู่ที่ต้นแขนเท่านั้น 2- มันเลื้อยเข้ากระแสเลือด 3- มันซึมเข้าไปในเซลล์ทุกแห่งในเนื้อเยื่อและทุกอวัยวะ 4- มันบังคับให้เราสร้างโปรตีนหนามในเซลล์ 5- โปรตีนหนามเป็นพิษต่อเซลล์ 6-โปรตีนหนามยังเป็นเป้าล่อให้ร่างกายพยายามทำลายเลยเกิดการอักเสบในร่างกาย 7- สิ่งที่หลุดรั่วออกมาจากผนังเซลล์และเนื้อเยื่อมีปฏิกิริยาเหนียวนำทำให้เกิดโปรตีนชนิดใหม่เป็นอมิลอยด์โปรตีนเข้าไปในหลอดเลือด 8- มันยังมีสิ่งแปลกปลอมเพราะกระบวนการผลิตมีดีเอ็นเอปนเปื้อนและยังมียีนส์ที่ทำให้มันเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์ 9-คุณสมบัติของอนุภาคนาโนไขมันที่มีขยะอยู่มากและพร้อมที่จะเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์โดยเฉพาะที่พิสูจน์แล้วคือโครโมโซมที่เก้าและสิบสอง และ 10- สิ่งที่ควรทำและต้องทำคือต้องหยุดการฉีดมันเข้าร่างกายมนุษย์ สมควรแล้วหรือไม่ที่มีเทคโนโลยีนี้นำมาใช้ในโรคชนิดต่างๆที่ทยอยกันออกมา สมควรหรือไม่ที่ต้องออกมารับผิดชอบเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและพิการตลอดชีวิต หยุด “มัน” เดี๋ยวนี้และเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก “มัน” ขั้นตอนที่จะสู้คือการพัฒนาการตรวจจากเลือดเพื่อดูปริมาณของสารผิดปกตินี้ และใช้ยาถอนพิษซึ่งขณะนี้มีหลายตำรับด้วยกันโดยที่ต้องประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัย (ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา หมอดื้อ นวตกรรมอำมหิต ตอนหนึ่งและสอง) ประเด็นของ ขององค์การอนามัยโลก และยึดโยงลงเกี่ยวข้องกับประเทศไทยในเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วลากมาปัจจุบันและที่คนไทยจะเจออะไรในอนาคต Tucker Carlson น่าจะเป็นคนเดียวที่หยิบยก และคนเริ่มหันมาสนใจหลาย ล้านคนแล้ว https://youtu.be/4MIESbBnA2k?si=JV-UPUa9oHZkP25Y โดยที่ องค์การจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉินและสามารถกำหนดให้ประเทศภาคีต้องปฏิบัติตามทั้งในด้านยาผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ไม่สามารถคิดเองทำเองได้โดยเด็ดขาด และสามารถปิดกั้นข้อมูลที่ไม่สอดคล้องได้อย่างสมบูรณ์ทั้งโลกเป็น เรียลไทม์ ไทยก็เป็นประเทศหนึ่งในภาคีเครือข่าย เนื้อหา บทกำหนดใหม่นั้น มีการตกแต่งต่อเติม อ่านแล้ว งงงวย สรุปคือ ถ้ายอมตามก็เป็นไปตามนั้น และองค์กรถ้าทำผิดพลาดจะไม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งฟังดูคุ้นๆ ให้ประเทศรับผิดชอบกันเอง ควรหรือไม่ควรที่จะมีการถามจุดยืนของประเทศไทย หรือจะทำอย่างที่ทำมาตลอด ฝรั่งว่าดี ถึงจะทำ ถ้ามีคำแนะนำอะไร ของฝรั่งถือว่าดีที่สุด สมาคมราชวิทยาลัยต่างประเทศ ว่าอย่างไรต้องทำตาม ไม่มีใครเคยฉุกคิดว่า ข้อมูลที่ปรากฏผลที่ประมวลมีการตั้งใจที่จะตัดข้อมูลบางส่วนทิ้งที่ทำให้สถิติออกมา ดูดีหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้ การอ่านวารสารในปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่ผลออกมาดีอย่างผิดธรรมชาติ หรือเลวอย่างไม่น่าเป็นไปได้ จำเป็นต้องหาข้อมูลรอบด้าน totality of evidence สิ่งที่เห็นรอบตัว ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทย โดยทางการ แถลงทุกสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ประกาศว่า มีคนได้รับผลกระทบของวัคซีนโควิดอย่างรุนแรงทั้งประเทศ และเสียชีวิตมี จำนวนห้ารายเท่านั้น ดังนั้นอัตราส่วนคือหนึ่งต่อ 1,000,000 คน และข้อร้องเรียนอื่นๆนั้น เมื่อพิจารณา อย่างถี่ถ้วนแล้วว่าพบว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน รายงานในวารสารโดยจากคณะกรรมการพิจารณาผลข้างเคียงของวัคซีนในประเทศไทย บอกว่าวัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ มีผลข้างเคียง“น้อยมาก” และ“ไม่รุนแรง” ในขณะที่สถาบันในประเทศไทยที่ไม่มีอคติทับซ้อนกลับรายงาน ตรงข้าม ประชาชนพยายามที่จะบอกว่าได้มีคำร้องไปแล้วครอบครัวมีคนตายไปแล้วแต่ไม่เข้าเกณฑ์ถูกปัดตกมากมาย หรือที่มีการชดเชย โดย สปสช ไปแล้วก็จะมีการสรุปว่าเป็นตัวเลขที่บรรเทาความเดือดร้อน เท่านั้น ยัง ไม่ได้ พิสูจน์ เกี่ยวข้องกับวัคซีน เนื้อหาทางด้านล่างนี้เป็นคำบรรยายตามสูตรของกระทรวงสาธารณสุข อ่านแล้วพิจารณาให้ดี ……กองระบาด กรมการแพทย์ไม่ได้มีการปิดบังข้อมูลอะไรเลยเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนมีการตรวจสอบถูกต้องตามระบบของ WHO สปสช จ่ายเงินเยียวยา โดยไม่ได้ใช้ฐานข้อมูลและผลสรุปของกองระบาดซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบผลข้างเคียงที่มีความถูกต้องกว่า เนื่องจากตอนนั้น รัฐบาลมีความกังวลว่าคนจะไม่ไปฉีดวัคซีน จึงยอมจ่ายค่าเยียวยา ซึ่งหลายๆครั้งไม่มีการตรวจสอบที่ถูกต้องครับ เพื่อให้การเยียวยาเบื้องต้นไปก่อน สรุปว่าเมื่อ ทางการ จะทำการอ้างอะไร จะเป็นไปตามเบื้องบนองค์กรสั่ง ใช้กรรมการที่ไม่ได้ประกาศชื่อว่ามีใครบ้าง และถ้าความเป็นจริงปรากฏตรงข้ามดังที่เห็นในปัจจุบัน จะต้องรับผิดชอบ ความผิดในการปกปิดบิดเบือนข้อมูลหรือไม่ และจะถูกลงโทษประการใดหรือไม่? ทำให้คนไทยต้องมองดูรอบตัว และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่คนไทยมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้เปิดเผยความเป็นจริงทุกอย่างและได้รับการเยียวยาที่ถูกต้องใช่หรือไม่ องค์การอนามัยโลก (WHO) สามารถจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉิน และสามารถกำหนดให้ประเทศภาคี “ต้อง” ปฏิบัติตามทั้ง ในด้านยา ผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ก็ด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations หรือ IHR) ยิ่งกว่านั้น “ภาวะฉุกเฉิน” นอกจากหมายถึงโรคระบาด WHO ยังสามารถประกาศภาวะอะไรตามแต่ ผอ.WHO จะตัดสินตามใจชอบ เช่น มีการโหมโรงจาก บิลล์ เกตส์ องค์การโลกอื่นๆ รวมถึง World Economic Forum (WEF) ว่า public health emergency (PHE) จะกลายเป็นผู้กำหนดและบริหารระเบียบโลก (New World Order, NWO) ทั้งร่าง IHR และ PHE ใหม่กำลังจะประชุมตัวแทนประเทศสมาชิกลงนามรับในเดือน พฤษภาคม 2567 ที่จะมาถึง รัฐบาลไทยจะต้องปฏิเสธทั้ง สอง ฉบับเด็ดขาด หากแม้นรับเพียงอันหนึ่งอันใดก็ตาม ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนไว้ จะหมายถึงการเสียอธิปไตยของประเทศให้แก่ WHO ที่ไม่อาจบิดพริ้วได้ ฟังคลิปสั้นที่แนบโดยทนายสวิส Phillip Kruse บรรยายถึงอันตราย WHO ถอดความจากงานสัมมนา International COVID Summit ครั้งที่ 5 ด้านล่าง https://rumble.com/v4finab-excerpts-from-the-international-covid-summit-5.html?utm_source=substack&utm_medium=email สิ่งที่เห็นด้วยตาของทุกคนเป็นความจริงหนึ่งเดียว https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/ https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/ ขอขอบคุณ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 🙏🙏🙏
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1949 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงการให้บริการสิทธิประโยชน์ทันตกรรมในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) โดย “หน่วยบริการนวัตกรรมคลินิกทันตกรรมเอกชน” ว่า จากข้อมูลการขึ้นทะเบียนหน่วยบริการของ สปสช. ณ วันที่ 6 มกราคม 2568 มีคลินิกทันตกรรมที่ร่วมขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการนวัตกรรมแล้วจำนวน 1,394 แห่ง ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนในการใช้สิทธิบัตรทองเข้ารับบริการอย่างมาก โดยปีงบประมาณ 2567 - 2568 (6 ม.ค. 68) มีผู้เข้ารับบริการจำนวน 368,870 คน เป็นจำนวน 666,664 ครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงการเข้าถึงบริการทันตกรรมในระบบบัตรทองที่เพิ่มขึ้น

    ทั้งนี้ เป็นผลมาจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิบัตรทองได้โดยสะดวก รวดเร็ว และใกล้บ้านได้ ซึ่งแต่เดิมแม้ว่าภายใต้ระบบบัตรทองจะมีชุดสิทธิประโยชน์บริการทันตกรรมที่ครอบคลุมให้กับประชาชนแล้ว ทั้งการสร้างเสริมป้องกัน การรักษา และฟื้นฟูสุขภาพช่องปากและฟัน พร้อมจัดสรรงบประมาณรองรับเบิกจ่ายค่าบริการ แต่ที่ผ่านมาพบว่าการใช้บริการของประชาชนยังมีไม่มาก ด้วยข้อจำกัดที่มีเพียงแต่หน่วยบริการของรัฐเท่านั้นที่ให้บริการทันตกรรมกับผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ทำให้มีคิวรอบริการยาวเหยียด บางแห่งต้องรอคิวข้ามปีกันเลยทีเดียว ขณะที่มีคลินิกทันตกรรมเอกชนกระจายอยู่ทั่วประเทศเกือบ 7,000 แห่ง สามารถให้บริการประชาชนได้เหมือนกัน โดยที่รัฐไม่ต้องลงทุนสร้าง รพ.เพิ่มเติมแต่อย่างใด

    ทพ.อรรถพร กล่าวว่า สปสช. จึงได้ร่วมมือกับทันตแพทยสภา เชิญชวนคลินิกทันตกรรมเอกชน มาร่วมให้บริการทันตกรรมตามแนวทางเน้นการรักษาดูแลต่อเนื่องแบบปฐมภูมิ ทั้งการรักษาและการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากปีละ 3 ครั้ง โดยไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากประชาชน ซึ่งตลอดระยะเวลาของการดำเนินการตามแผนขับเคลื่อน 30 บาทรักษาทุกที่ทั้ง 4 ระยะ ทันตแพทยสภาได้ร่วมกับ สปสช. ชี้แจงและทำความเข้าใจกับคลินิกทันตกรรมเอกชนต่างๆ เพื่อให้ความมั่นใจต่อการเข้าร่วมให้บริการในระบบ ทั้งรายการการให้บริการ การยืนยันตัวตนใช้สิทธิ การเบิกจ่าย และการจัดทำระบบและการเชอมต่อข้อมูลต่างๆ

    นอกจากนี้ยังได้ร่วมลงพื้นที่ไปยังคลินิกทันตกรรมในจังหวัดต่างๆ ที่เข้าร่วม อาทิ คลินิกทันตกรรมกู๊ด ฟ. ฟัน จ.เชียงใหม่ คลินิกทันตกรรม ซี สไมล์พลัส อ.เมือง จ.ลำพูน ไอสมายล์คลินิกทันตกรรม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ และที่ คลินิกทันตกรรมทีสมายล์ จ.น่าน เป็นต้น ไม่เพียงแต่ติดตามการให้บริการผู้ใช้สิทธิบัตรทองตามคุณภาพและมาตรฐานแล้ว ยังได้รับทราบและแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ กับทางผู้ประกอบการคลินิกฯ ทันตแพทย์ และเจ้าหน้าที่คลินิกฯ ที่ให้บริการ รวมถึงการสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้สิทธิบัตรทองที่มารับบริการ ก็ได้รับคำตอบว่ามีความพึงพอใจมาก เพราะได้ใช้สิทธิบัตรทองทำฟัน ใช้เวลาน้อย ไม่ต้องรอคิวนานที่โรงพยาบาลเหมือนแต่ก่อน และไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้มีประชาชนใช้บริการแล้วจำนวนมาก

    ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์บัตรทอง รายการบริการทันตกรรมที่คลินิกทันตกรรม มี 6 รายการ ดังนี้ 1.ตรวจสุขภาพช่องปาก 2.ขูดหินปูน 3.อุดฟัน 4.ถอนฟัน 5.เคลือบหลุมร่องฟัน และ 6.เคลือบฟลูออไรด์ โดยสามารถเข้ารับบริการได้คนละ 3 ครั้งต่อปี หากใช้สิทธิครบแล้วผู้ป่วยสามารถเข้ารับบริการเพิ่มเติมได้ที่โรงพยาบาลตามสิทธิได้ หรือกรณีที่มีภาวะรุนแรงและต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาลก็ส่งต่อไปรับบริการต่อไป
    ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงการให้บริการสิทธิประโยชน์ทันตกรรมในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) โดย “หน่วยบริการนวัตกรรมคลินิกทันตกรรมเอกชน” ว่า จากข้อมูลการขึ้นทะเบียนหน่วยบริการของ สปสช. ณ วันที่ 6 มกราคม 2568 มีคลินิกทันตกรรมที่ร่วมขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการนวัตกรรมแล้วจำนวน 1,394 แห่ง ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนในการใช้สิทธิบัตรทองเข้ารับบริการอย่างมาก โดยปีงบประมาณ 2567 - 2568 (6 ม.ค. 68) มีผู้เข้ารับบริการจำนวน 368,870 คน เป็นจำนวน 666,664 ครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงการเข้าถึงบริการทันตกรรมในระบบบัตรทองที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เป็นผลมาจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิบัตรทองได้โดยสะดวก รวดเร็ว และใกล้บ้านได้ ซึ่งแต่เดิมแม้ว่าภายใต้ระบบบัตรทองจะมีชุดสิทธิประโยชน์บริการทันตกรรมที่ครอบคลุมให้กับประชาชนแล้ว ทั้งการสร้างเสริมป้องกัน การรักษา และฟื้นฟูสุขภาพช่องปากและฟัน พร้อมจัดสรรงบประมาณรองรับเบิกจ่ายค่าบริการ แต่ที่ผ่านมาพบว่าการใช้บริการของประชาชนยังมีไม่มาก ด้วยข้อจำกัดที่มีเพียงแต่หน่วยบริการของรัฐเท่านั้นที่ให้บริการทันตกรรมกับผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ทำให้มีคิวรอบริการยาวเหยียด บางแห่งต้องรอคิวข้ามปีกันเลยทีเดียว ขณะที่มีคลินิกทันตกรรมเอกชนกระจายอยู่ทั่วประเทศเกือบ 7,000 แห่ง สามารถให้บริการประชาชนได้เหมือนกัน โดยที่รัฐไม่ต้องลงทุนสร้าง รพ.เพิ่มเติมแต่อย่างใด ทพ.อรรถพร กล่าวว่า สปสช. จึงได้ร่วมมือกับทันตแพทยสภา เชิญชวนคลินิกทันตกรรมเอกชน มาร่วมให้บริการทันตกรรมตามแนวทางเน้นการรักษาดูแลต่อเนื่องแบบปฐมภูมิ ทั้งการรักษาและการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากปีละ 3 ครั้ง โดยไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากประชาชน ซึ่งตลอดระยะเวลาของการดำเนินการตามแผนขับเคลื่อน 30 บาทรักษาทุกที่ทั้ง 4 ระยะ ทันตแพทยสภาได้ร่วมกับ สปสช. ชี้แจงและทำความเข้าใจกับคลินิกทันตกรรมเอกชนต่างๆ เพื่อให้ความมั่นใจต่อการเข้าร่วมให้บริการในระบบ ทั้งรายการการให้บริการ การยืนยันตัวตนใช้สิทธิ การเบิกจ่าย และการจัดทำระบบและการเชอมต่อข้อมูลต่างๆ นอกจากนี้ยังได้ร่วมลงพื้นที่ไปยังคลินิกทันตกรรมในจังหวัดต่างๆ ที่เข้าร่วม อาทิ คลินิกทันตกรรมกู๊ด ฟ. ฟัน จ.เชียงใหม่ คลินิกทันตกรรม ซี สไมล์พลัส อ.เมือง จ.ลำพูน ไอสมายล์คลินิกทันตกรรม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ และที่ คลินิกทันตกรรมทีสมายล์ จ.น่าน เป็นต้น ไม่เพียงแต่ติดตามการให้บริการผู้ใช้สิทธิบัตรทองตามคุณภาพและมาตรฐานแล้ว ยังได้รับทราบและแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ กับทางผู้ประกอบการคลินิกฯ ทันตแพทย์ และเจ้าหน้าที่คลินิกฯ ที่ให้บริการ รวมถึงการสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้สิทธิบัตรทองที่มารับบริการ ก็ได้รับคำตอบว่ามีความพึงพอใจมาก เพราะได้ใช้สิทธิบัตรทองทำฟัน ใช้เวลาน้อย ไม่ต้องรอคิวนานที่โรงพยาบาลเหมือนแต่ก่อน และไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้มีประชาชนใช้บริการแล้วจำนวนมาก ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์บัตรทอง รายการบริการทันตกรรมที่คลินิกทันตกรรม มี 6 รายการ ดังนี้ 1.ตรวจสุขภาพช่องปาก 2.ขูดหินปูน 3.อุดฟัน 4.ถอนฟัน 5.เคลือบหลุมร่องฟัน และ 6.เคลือบฟลูออไรด์ โดยสามารถเข้ารับบริการได้คนละ 3 ครั้งต่อปี หากใช้สิทธิครบแล้วผู้ป่วยสามารถเข้ารับบริการเพิ่มเติมได้ที่โรงพยาบาลตามสิทธิได้ หรือกรณีที่มีภาวะรุนแรงและต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาลก็ส่งต่อไปรับบริการต่อไป
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 770 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกาศ รับสมัครบุคคลเข้ารับการคัดเลือกเพื่อจ้างและแต่งตั้ง ‘เลขาธิการ สปสช.’รับสมัครตั้งแต่วันที่ 6-20 ม.ค.2568 อัตราเงินเดือนตั้งแต่ 100,000-300,000 บาท

    ที่มา : nbtconnext
    สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกาศ รับสมัครบุคคลเข้ารับการคัดเลือกเพื่อจ้างและแต่งตั้ง ‘เลขาธิการ สปสช.’รับสมัครตั้งแต่วันที่ 6-20 ม.ค.2568 อัตราเงินเดือนตั้งแต่ 100,000-300,000 บาท ที่มา : nbtconnext
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 377 มุมมอง 0 รีวิว
  • โรงเรียนแพทย์แบก มะเร็งรักษาทุกที่

    การประกาศของ 4 โรงพยาบาลใหญ่ ศิริราช รามาธิบดี จุฬาลงกรณ์ และภูมิพล ให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค) ต้องมีหนังสือส่งตัวรับรองค่ารักษาพยาบาลจากหน่วยบริการต้นสังกัดทุกครั้ง ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป เนื่องจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประกาศเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข กรณีผู้ป่วยโรคมะเร็ง ตามโครงการมะเร็งรักษาทุกที่ (Cancer Anywhere)

    โดยรับผิดชอบเฉพาะค่ายาเคมีบําบัด และฮอร์โมนที่ใช้รักษามะเร็ง รังสีที่ใช้รักษามะเร็ง และค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับยาที่ใช้เท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงยาอื่นๆ เช่น ยาความดัน ยาแก้คลื่นไส้ ยาระบาย และไม่รับผิดชอบค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าเอกซเรย์ ค่าตรวจเลือด และไม่ครอบคลุมโรคประจำตัว ภาวะแทรกซ้อน โรคร่วม หรือการรักษาต่อเนื่อง

    ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า ผอ.รพ.ศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่น ระบุว่า จํานวนผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการ Cancer Anywhere เข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลเสียต่อระบบการบริการผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกคน ทุกสิทธิการรักษา และผู้ป่วยโรคอื่นๆ ขณะเดียวกัน สปสช.จ่ายค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลเรียกเก็บต่ำมากๆ และมีจํานวนหนึ่งที่ไม่จ่ายเลย ทําให้โรงพยาบาลต้องแบกรับภาระด้านการเงินไม่ไหว เป็นแบบนี้มา 3 ปี ไม่มีการแก้ไข เคยสัญญาว่าจะจ่ายเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ทําตามสัญญา จำนวนผู้ป่วยที่มารับการรักษาจํานวนมาก ส่งผลกระทบต่อการฝึกอบรมแพทย์ประจําบ้าน แพทย์ต่อยอด และนักศึกษาแพทย์ และไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานการรักษาที่ควรจะเป็นได้ เนื่องจากเกินกําลังในการให้บริการ

    "สปสช. และกระทรวงสาธารณสุขควรเลิกนโยบายนี้ กลับไปเป็นระบบเดิม เพราะส่วนใหญ่ของผู้ป่วยนั้น โรงพยาบาลจังหวัด ศูนย์มะเร็งก็รักษาได้ ถ้าเกินศักยภาพของโรงพยาบาลจังหวัด หรือศูนย์มะเร็ง จึงส่งต่อมารักษาที่โรงเรียนแพทย์ และ สปสช.ควรจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ครบด้วย"

    ขณะที่ชมรมโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลทั่วไป และคณะกรรมการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ สาขาโรคมะเร็ง กระทรวงสาธารณสุข ทำหนังสือส่งถึงเลขาธิการ สปสช.ให้ยกเลิกหลักเกณฑ์ดังกล่าว เพราะสร้างปัญหาให้ทั้งผู้ป่วย ญาติ และสถานบริการ ล่าสุด นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ได้หารือร่วมกับผู้บริหารโรงพยาบาล 5 แห่ง มีมติให้ชะลอการบังคับใช้หลักเกณฑ์ออกไปอีก 3 เดือน แล้วตั้งคณะกรรมการร่วมที่มี นพ.สนั่น วิสุทธิศักดิ์ชัย รอง ผอ.รพ.ศิริราช เป็นประธาน ซึ่งจะประชุมนัดแรกวันที่ 15 ม.ค. 2568

    #Newskit
    โรงเรียนแพทย์แบก มะเร็งรักษาทุกที่ การประกาศของ 4 โรงพยาบาลใหญ่ ศิริราช รามาธิบดี จุฬาลงกรณ์ และภูมิพล ให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค) ต้องมีหนังสือส่งตัวรับรองค่ารักษาพยาบาลจากหน่วยบริการต้นสังกัดทุกครั้ง ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป เนื่องจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประกาศเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข กรณีผู้ป่วยโรคมะเร็ง ตามโครงการมะเร็งรักษาทุกที่ (Cancer Anywhere) โดยรับผิดชอบเฉพาะค่ายาเคมีบําบัด และฮอร์โมนที่ใช้รักษามะเร็ง รังสีที่ใช้รักษามะเร็ง และค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับยาที่ใช้เท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงยาอื่นๆ เช่น ยาความดัน ยาแก้คลื่นไส้ ยาระบาย และไม่รับผิดชอบค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าเอกซเรย์ ค่าตรวจเลือด และไม่ครอบคลุมโรคประจำตัว ภาวะแทรกซ้อน โรคร่วม หรือการรักษาต่อเนื่อง ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า ผอ.รพ.ศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่น ระบุว่า จํานวนผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการ Cancer Anywhere เข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลเสียต่อระบบการบริการผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกคน ทุกสิทธิการรักษา และผู้ป่วยโรคอื่นๆ ขณะเดียวกัน สปสช.จ่ายค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลเรียกเก็บต่ำมากๆ และมีจํานวนหนึ่งที่ไม่จ่ายเลย ทําให้โรงพยาบาลต้องแบกรับภาระด้านการเงินไม่ไหว เป็นแบบนี้มา 3 ปี ไม่มีการแก้ไข เคยสัญญาว่าจะจ่ายเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ทําตามสัญญา จำนวนผู้ป่วยที่มารับการรักษาจํานวนมาก ส่งผลกระทบต่อการฝึกอบรมแพทย์ประจําบ้าน แพทย์ต่อยอด และนักศึกษาแพทย์ และไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานการรักษาที่ควรจะเป็นได้ เนื่องจากเกินกําลังในการให้บริการ "สปสช. และกระทรวงสาธารณสุขควรเลิกนโยบายนี้ กลับไปเป็นระบบเดิม เพราะส่วนใหญ่ของผู้ป่วยนั้น โรงพยาบาลจังหวัด ศูนย์มะเร็งก็รักษาได้ ถ้าเกินศักยภาพของโรงพยาบาลจังหวัด หรือศูนย์มะเร็ง จึงส่งต่อมารักษาที่โรงเรียนแพทย์ และ สปสช.ควรจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ครบด้วย" ขณะที่ชมรมโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลทั่วไป และคณะกรรมการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ สาขาโรคมะเร็ง กระทรวงสาธารณสุข ทำหนังสือส่งถึงเลขาธิการ สปสช.ให้ยกเลิกหลักเกณฑ์ดังกล่าว เพราะสร้างปัญหาให้ทั้งผู้ป่วย ญาติ และสถานบริการ ล่าสุด นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ได้หารือร่วมกับผู้บริหารโรงพยาบาล 5 แห่ง มีมติให้ชะลอการบังคับใช้หลักเกณฑ์ออกไปอีก 3 เดือน แล้วตั้งคณะกรรมการร่วมที่มี นพ.สนั่น วิสุทธิศักดิ์ชัย รอง ผอ.รพ.ศิริราช เป็นประธาน ซึ่งจะประชุมนัดแรกวันที่ 15 ม.ค. 2568 #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1094 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่น สะท้อนภาพโครงการมะเร็งรักษาทุกที่ Cancer Anywhere ทำผู้ป่วยแห่ใช้บริการพุ่ง 830% แทบแบกไม่ไหว แถม สปสช. จ่ายค่ารักษาพยาบาลต่ำมาก บางเคสไม่จ่ายเลย รับภาระด้านการเงินไม่ไหวมาแล้ว 3 ปี จี้กลับไปเป็นระบบเดิม เพราะโรงพยาบาลจังหวัด ศูนย์มะเร็งก็รักษาได้ และควรจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ครบด้วย

    วันนี้ (15 ธ.ค.) จากกรณีที่โรงพยาบาลรัฐ ได้แก่ โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ประกาศให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ต้องมีหนังสือส่งตัวรับรองค่ารักษาพยาบาล จากหน่วยบริการต้นสังกัดตามสิทธิของตนทุกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป เนื่องจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประกาศเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข กรณีผู้ป่วยโรคมะเร็ง ตามโครงการมะเร็งรักษาทุกที่ (Cancer Anywhere) โดยรับผิดชอบเฉพาะค่ายาเคมีบําบัด และฮอร์โมนที่ใช้รักษามะเร็ง รังสีที่ใช้รักษามะเร็ง และค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับยาที่ใช้เท่านั้น โดยไม่ครอบคลุมถึงยาอื่นๆ เช่น ยาความดัน ยาแก้คลื่นไส้ ยาระบาย และไม่รับผิดชอบค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าเอ็กซเรย์ ค่าตรวจเลือด

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000120228

    #MGROnline #ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีนครินทร์ #ขอนแก่น
    ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่น สะท้อนภาพโครงการมะเร็งรักษาทุกที่ Cancer Anywhere ทำผู้ป่วยแห่ใช้บริการพุ่ง 830% แทบแบกไม่ไหว แถม สปสช. จ่ายค่ารักษาพยาบาลต่ำมาก บางเคสไม่จ่ายเลย รับภาระด้านการเงินไม่ไหวมาแล้ว 3 ปี จี้กลับไปเป็นระบบเดิม เพราะโรงพยาบาลจังหวัด ศูนย์มะเร็งก็รักษาได้ และควรจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ครบด้วย • วันนี้ (15 ธ.ค.) จากกรณีที่โรงพยาบาลรัฐ ได้แก่ โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ประกาศให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ต้องมีหนังสือส่งตัวรับรองค่ารักษาพยาบาล จากหน่วยบริการต้นสังกัดตามสิทธิของตนทุกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป เนื่องจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประกาศเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข กรณีผู้ป่วยโรคมะเร็ง ตามโครงการมะเร็งรักษาทุกที่ (Cancer Anywhere) โดยรับผิดชอบเฉพาะค่ายาเคมีบําบัด และฮอร์โมนที่ใช้รักษามะเร็ง รังสีที่ใช้รักษามะเร็ง และค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับยาที่ใช้เท่านั้น โดยไม่ครอบคลุมถึงยาอื่นๆ เช่น ยาความดัน ยาแก้คลื่นไส้ ยาระบาย และไม่รับผิดชอบค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าเอ็กซเรย์ ค่าตรวจเลือด • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000120228 • #MGROnline #ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีนครินทร์ #ขอนแก่น
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1584 มุมมอง 0 รีวิว
  • 7/12/67

    ล้างไตทางช่องท้องด้วยเครื่องอัตโนมัติ (APD) สิทธิประโยชน์ดีๆ จาก 30 บาทรักษาทุกที่

    • สะดวก เพิ่มคุณภาพชีวิต
    • ให้ยืมเครื่องล้างไตไปใช้ที่บ้าน
    • ส่งน้ำยาล้างไตถึงบ้าน
    • จากที่ต้องล้างไต 4 ครั้งต่อวันลดเหลือ 1 ครั้งต่อวัน
    • ทำได้เองที่บ้านขณะนอนหลับ

    เหมาะสำหรับ
    • นักเรียน นักศึกษา วัยทำงาน กลางวันใช้ชีวิตได้ตามปกติ เรียนได้ ทำงานได้ ไม่เป็นภาระผู้ดูแล
    • ผู้สูงอายุ มีเวลาพักผ่อนได้เต็มที่ ลดภาระผู้ดูแล

    ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.nhso.go.th/news/4604

    สอบถาม สายด่วน สปสช. 1330

    7/12/67 ล้างไตทางช่องท้องด้วยเครื่องอัตโนมัติ (APD) สิทธิประโยชน์ดีๆ จาก 30 บาทรักษาทุกที่ • สะดวก เพิ่มคุณภาพชีวิต • ให้ยืมเครื่องล้างไตไปใช้ที่บ้าน • ส่งน้ำยาล้างไตถึงบ้าน • จากที่ต้องล้างไต 4 ครั้งต่อวันลดเหลือ 1 ครั้งต่อวัน • ทำได้เองที่บ้านขณะนอนหลับ เหมาะสำหรับ • นักเรียน นักศึกษา วัยทำงาน กลางวันใช้ชีวิตได้ตามปกติ เรียนได้ ทำงานได้ ไม่เป็นภาระผู้ดูแล • ผู้สูงอายุ มีเวลาพักผ่อนได้เต็มที่ ลดภาระผู้ดูแล ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.nhso.go.th/news/4604 สอบถาม สายด่วน สปสช. 1330
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 548 มุมมอง 6 0 รีวิว
  • สปสช.เปิด 10 อันดับโรค ปี’66 ใช้สิทธิ ‘บัตรทอง’ มากสุด... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
    https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4880259
    สปสช.เปิด 10 อันดับโรค ปี’66 ใช้สิทธิ ‘บัตรทอง’ มากสุด... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4880259
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ กองทุนบัตรทอง 30 บาท ปีงบประมาณ 2566 ได้จัดสรรงบบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว เพื่อดูแลประชากรไทยผู้มีสิทธิจำนวน 47.727 ล้านคน ที่จำนวน 99,760.58 ล้านบาท (ไม่รวมเงินเดือนผู้ให้บริการ) หรือคิดเป็นอัตรา 3,385.98 บาทต่อประชากร ในจำนวนนี้เป็นงบบริการผู้ป่วยนอกที่อัตรา 1,344.40 บาทต่อประชากร และงบผู้ป่วยในที่อัตรา 1,477.01 บาทต่อประชากร

    จากรายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2566 มีจำนวนการรับบริการผู้ป่วยนอกโดยใช้สิทธิบัตรทองทั้งสิ้น 170.39 ล้านครั้ง หรือคิดเป็นอัตราการรับบริการเฉลี่ย 3.63 ครั้งต่อคนต่อปี จากปี 2546 ที่เริ่มต้นกองทุนฯ อยู่ที่จำนวน 111.95 ครั้งต่อคนต่อปี คิดเป็นอัตราเฉลี่ย 2.45 ครั้งต่อคนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 1.18 ครั้งต่อคนต่อปี

    ส่วนการรับบริการผู้ป่วยในมีจำนวนการรับบริการทั้งสิ้น 6.09 ล้านครั้ง หรือคิดเป็นอัตราการรับบริการเฉลี่ย 0.13 ครั้งต่อคนต่อปี จากปี 2546 อยู่ที่ 4.30 ล้านครั้ง คิดเป็นอัตราเฉลี่ย 0.09 ครั้งต่อคนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 0.04 ครั้งต่อคนต่อปี โดยปี 2566 รวมจำนวนวันนอนของผู้ป่วยในทั้งสิ้น 25,617,886 วัน

    การเข้ารับบริการผู้ป่วยนอกจำนวน 170.39 ล้านครั้งนี้ ข้อมูล 10 อันดับแรก เป็นการเข้ารับบริการด้วยโรคความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุสูงเป็นอันดับ 1 หรือที่จำนวน 19,898,178 ครั้ง รองลงมา เป็นภาวะเบาหวานไม่พึ่งอินซูลิน จำนวน 11,309,503 ครั้ง ความผิดปกติของเมตบอลิซึมของไลโปโปรตีนและภาวะไขมันในเลือดอื่น จำนวน 9,811,445 ครั้ง คอหอยส่วนจมูกอักเสบเฉียบพลัน (ไข้หวัด) จำนวน 6,944,943 ครั้ง ไตวายเรื้อรัง จำนวน 5,114,833 ครั้ง ความผิดปกติแบบอื่นของเนื้อเยื่ออ่อน จำนวน 3,303,586 ครั้ง ฟันผุ จำนวน 3,170,446 ครั้ง อาหารไม่ย่อย จำนวน 2,728,596 ครั้ง ความผิดปกติอื่นของกล้ามเนื้อ จำนวน 2,700,975 ครั้ง และเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ จำนวน 2,093,009 ครั้ง (ตามลำดับ)

    ส่วนการเข้ารับบริการผู้ป่วยใน ปีงบประมาณ 2566 มีจำนวน 6.09 ล้านครั้ง จากข้อมูล 10 อันดับแรก พบว่าโรคกระเพาะอาหารกับลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อ มีจำนวนการเข้ารับบริการมากเป็นอับดับแรก จำนวน 244,030 ครั้ง รองลงมาโรคปอดบวม ไม่ระบุเชื้อต้นเหตุ จำนวน 198,616 ครั้ง ต้อกระจกในวัยชรา จำนวน 178,319 ครั้ง ไตวายเรื้อรัง จำนวน 125,689 ครั้ง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังแบบอื่น จำนวน 125,322 ครั้ง หัวใจล้มเหลว จำนวน 121,584 ครั้ง ธาลัสซีเมีย จำนวน 116,719 ครั้ง เนื้อสมองตายเพราะขาดเลือด จำนวน 115,038 ครั้ง เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน 112,472 ครั้ง และความผิดปกติของระบบปัสสาวะ จำนวน 99,650 ครั้ง (ตามลำดับ)

    สำหรับในส่วนของการให้บริการผู้ป่วยในของโรงพยาบาลนั้น สัดส่วนจำนวนครั้งการให้บริการรักษาผู้ป่วยในสูงสุดคือ โรงพยาบาลชุมชน รองลงมาคือโรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ ที่ร้อยละ 41.75, 25.79 และร้อยละ 22.12 (ตามลำดับ) ส่วนสัดส่วนของวันนอนในโรงพยาบาลสูงสุด คือโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ ที่ร้อยละ 31.89, 26.15 และร้อยละ 25.21 (ตามลำดับ) ขณะที่สัดส่วนการใช้ทรัพยากรการรักษาพยาบาล โดยสะท้อนจากผลรวมค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ที่ปรับตามวันนอน (Sum Adj.RW) สูงสุด คือ โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน ที่ร้อยละ 32.95, 27.11 และร้อยละ 23.43 (ตามลำดับ)

    ที่มา : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

    #Thaitimes
    นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ กองทุนบัตรทอง 30 บาท ปีงบประมาณ 2566 ได้จัดสรรงบบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว เพื่อดูแลประชากรไทยผู้มีสิทธิจำนวน 47.727 ล้านคน ที่จำนวน 99,760.58 ล้านบาท (ไม่รวมเงินเดือนผู้ให้บริการ) หรือคิดเป็นอัตรา 3,385.98 บาทต่อประชากร ในจำนวนนี้เป็นงบบริการผู้ป่วยนอกที่อัตรา 1,344.40 บาทต่อประชากร และงบผู้ป่วยในที่อัตรา 1,477.01 บาทต่อประชากร จากรายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2566 มีจำนวนการรับบริการผู้ป่วยนอกโดยใช้สิทธิบัตรทองทั้งสิ้น 170.39 ล้านครั้ง หรือคิดเป็นอัตราการรับบริการเฉลี่ย 3.63 ครั้งต่อคนต่อปี จากปี 2546 ที่เริ่มต้นกองทุนฯ อยู่ที่จำนวน 111.95 ครั้งต่อคนต่อปี คิดเป็นอัตราเฉลี่ย 2.45 ครั้งต่อคนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 1.18 ครั้งต่อคนต่อปี ส่วนการรับบริการผู้ป่วยในมีจำนวนการรับบริการทั้งสิ้น 6.09 ล้านครั้ง หรือคิดเป็นอัตราการรับบริการเฉลี่ย 0.13 ครั้งต่อคนต่อปี จากปี 2546 อยู่ที่ 4.30 ล้านครั้ง คิดเป็นอัตราเฉลี่ย 0.09 ครั้งต่อคนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 0.04 ครั้งต่อคนต่อปี โดยปี 2566 รวมจำนวนวันนอนของผู้ป่วยในทั้งสิ้น 25,617,886 วัน การเข้ารับบริการผู้ป่วยนอกจำนวน 170.39 ล้านครั้งนี้ ข้อมูล 10 อันดับแรก เป็นการเข้ารับบริการด้วยโรคความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุสูงเป็นอันดับ 1 หรือที่จำนวน 19,898,178 ครั้ง รองลงมา เป็นภาวะเบาหวานไม่พึ่งอินซูลิน จำนวน 11,309,503 ครั้ง ความผิดปกติของเมตบอลิซึมของไลโปโปรตีนและภาวะไขมันในเลือดอื่น จำนวน 9,811,445 ครั้ง คอหอยส่วนจมูกอักเสบเฉียบพลัน (ไข้หวัด) จำนวน 6,944,943 ครั้ง ไตวายเรื้อรัง จำนวน 5,114,833 ครั้ง ความผิดปกติแบบอื่นของเนื้อเยื่ออ่อน จำนวน 3,303,586 ครั้ง ฟันผุ จำนวน 3,170,446 ครั้ง อาหารไม่ย่อย จำนวน 2,728,596 ครั้ง ความผิดปกติอื่นของกล้ามเนื้อ จำนวน 2,700,975 ครั้ง และเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ จำนวน 2,093,009 ครั้ง (ตามลำดับ) ส่วนการเข้ารับบริการผู้ป่วยใน ปีงบประมาณ 2566 มีจำนวน 6.09 ล้านครั้ง จากข้อมูล 10 อันดับแรก พบว่าโรคกระเพาะอาหารกับลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อ มีจำนวนการเข้ารับบริการมากเป็นอับดับแรก จำนวน 244,030 ครั้ง รองลงมาโรคปอดบวม ไม่ระบุเชื้อต้นเหตุ จำนวน 198,616 ครั้ง ต้อกระจกในวัยชรา จำนวน 178,319 ครั้ง ไตวายเรื้อรัง จำนวน 125,689 ครั้ง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังแบบอื่น จำนวน 125,322 ครั้ง หัวใจล้มเหลว จำนวน 121,584 ครั้ง ธาลัสซีเมีย จำนวน 116,719 ครั้ง เนื้อสมองตายเพราะขาดเลือด จำนวน 115,038 ครั้ง เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน 112,472 ครั้ง และความผิดปกติของระบบปัสสาวะ จำนวน 99,650 ครั้ง (ตามลำดับ) สำหรับในส่วนของการให้บริการผู้ป่วยในของโรงพยาบาลนั้น สัดส่วนจำนวนครั้งการให้บริการรักษาผู้ป่วยในสูงสุดคือ โรงพยาบาลชุมชน รองลงมาคือโรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ ที่ร้อยละ 41.75, 25.79 และร้อยละ 22.12 (ตามลำดับ) ส่วนสัดส่วนของวันนอนในโรงพยาบาลสูงสุด คือโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ ที่ร้อยละ 31.89, 26.15 และร้อยละ 25.21 (ตามลำดับ) ขณะที่สัดส่วนการใช้ทรัพยากรการรักษาพยาบาล โดยสะท้อนจากผลรวมค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ที่ปรับตามวันนอน (Sum Adj.RW) สูงสุด คือ โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน ที่ร้อยละ 32.95, 27.11 และร้อยละ 23.43 (ตามลำดับ) ที่มา : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ #Thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1140 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทุนฟื้นฟู อบจ.สระบุรี มอบกายอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้คนพิการและผู้มีภาวะพึ่งพิง 8 รายการกว่า 2.9 ล้านบาท สปสช.เขต 4 ร่วมส่งมอบหนุนเป็นตัวอย่างเพิ่มการเข้าถึงบริการ
    https://www.facebook.com/share/p/yKSxQToWEzCRsMQh/
    กองทุนฟื้นฟู อบจ.สระบุรี มอบกายอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้คนพิการและผู้มีภาวะพึ่งพิง 8 รายการกว่า 2.9 ล้านบาท สปสช.เขต 4 ร่วมส่งมอบหนุนเป็นตัวอย่างเพิ่มการเข้าถึงบริการ https://www.facebook.com/share/p/yKSxQToWEzCRsMQh/
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • #วอลเลทกับเรื่องที่พี่คิงส์เชื่อว่าอิ๊งก็อยากบอก
    ข้อมูลที่พี่คิงส์จะแจงจากนี้ไปค้นหารายละเอียดต่อได้ไม่ยาก
    1. วอลเลทจะไม่สำเร็จและจะแจกเป็นเงินสดทั้งเฟส 1 เฟส 2
    2. เฟสแรกต้องแจกให้ได้ก่อนสิ้นเดือน กย.นี้ ไม่งั้นได้คืนคลังทั้งหมด
    3. กรณีเงินสดจะผิดกฏหมายวินัยการเงินการคลังมาตรา 9 ตามมาแน่นอน
    4. งบสำหรับเฟสแรก ได้บีบจากหน่วยงานรัฐที่ต้องชำระคืนธ.พาณิชย์ โดยเฉพาะ ธกส. สามหมื่นกว่าล้าน ขาดสภาพคล่องแน่นอน ซึ่งใช้วิธีจ่ายขั้นต่ำคือเฉพาะดอกเลี้ยงไว้ และยังไม่มีกำหนดคืนต้น เพราะเฟสสองก็ยังขาดเยอะ
    5. แค่เฉพาะบิดหนี้ธ.พาณิชย์ก็ยังไม่พอ ตอนนี้ ไปดึงงบกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินของประเทศมาใช้แจกเฉยเลย ซึ่งถ้ามีเหตุฉุกเฉิน เราจะไม่มีก็อกสำรองและเอาออกไปแล้วก็ไม่รู้จะมีมาคืนตอนไหนด้วย
    6. เฟส 2 ขณะนี้ไม่ว่านักข่าวจะถามนายกอิ๊งหรือคลัง ว่าจะนำงบประมาณจากไหนมาใส่ ก็ในเมื่อเบี้ยวหนี้ธ.พาณิชย์ไปหมดแล้ว ก็ยังหาคำตอบให้ไม่ได้ เพราะจำนวนที่ยังขาดคือ 1.1 แสนล้าน
    7. ปัจจุบันประเทศไทยมีหนี้สูงกว่า gdp 60% ประเทศกำลังจะเข้าสู่ภาวะวิ ก ฤ ต ด้านการเงินการคลัง
    8. ผลกระทบจากการดันทุรัง หางบมาโปะโปรเจคเดียว คือวอทเลท ทำให้ สปสช. หรือบัตรทองที่มีผู้ใช้บริการ 48 ล้านคน เกินครึ่งประเทศ ต้องได้รับผลกระทบ เพราะมีการจ่ายให้กับรพ.ที่รับรองสิทธิ์ล่าช้า แถมยังไปปรับลดค่ารักษาต่อหัวต่ำลงไปอีก ซึ่ง รพ.มากกว่า 91 แห่ง ก็กำลังเข้าสู่ภาวะขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง ซึ่งรมต.ที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็อ้างว่า เดี๋ยวงบปี 68 ก็มา ก็ต้องวนกลับไปที่ข้อก่อนหน้าว่า งบวอลเลทยังขาดอีก 1.1 แสนล้าน แล้วจะเอาที่ไหนมาจ่ายให้รพ.ที่รับสิทธิ์บัตรทอง
    นี่แหละ ความดันทุรัง ที่พี่คิงส์ฯเอง ก็อยากให้นายกอิ๊งพิจารณาใหม่
    ล้มโครงการนี้ไป ไม่จำเป็นต้องรับมรดกนโยบายนี้มา
    ใช้เหตุผลความเป็นจริง ประเทศจะได้เดินหน้าต่อไปได้
    ไม่งั้น กระทบกับคนทั้งประเทศจริงๆ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #วอลเลทกับเรื่องที่พี่คิงส์เชื่อว่าอิ๊งก็อยากบอก ข้อมูลที่พี่คิงส์จะแจงจากนี้ไปค้นหารายละเอียดต่อได้ไม่ยาก 1. วอลเลทจะไม่สำเร็จและจะแจกเป็นเงินสดทั้งเฟส 1 เฟส 2 2. เฟสแรกต้องแจกให้ได้ก่อนสิ้นเดือน กย.นี้ ไม่งั้นได้คืนคลังทั้งหมด 3. กรณีเงินสดจะผิดกฏหมายวินัยการเงินการคลังมาตรา 9 ตามมาแน่นอน 4. งบสำหรับเฟสแรก ได้บีบจากหน่วยงานรัฐที่ต้องชำระคืนธ.พาณิชย์ โดยเฉพาะ ธกส. สามหมื่นกว่าล้าน ขาดสภาพคล่องแน่นอน ซึ่งใช้วิธีจ่ายขั้นต่ำคือเฉพาะดอกเลี้ยงไว้ และยังไม่มีกำหนดคืนต้น เพราะเฟสสองก็ยังขาดเยอะ 5. แค่เฉพาะบิดหนี้ธ.พาณิชย์ก็ยังไม่พอ ตอนนี้ ไปดึงงบกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินของประเทศมาใช้แจกเฉยเลย ซึ่งถ้ามีเหตุฉุกเฉิน เราจะไม่มีก็อกสำรองและเอาออกไปแล้วก็ไม่รู้จะมีมาคืนตอนไหนด้วย 6. เฟส 2 ขณะนี้ไม่ว่านักข่าวจะถามนายกอิ๊งหรือคลัง ว่าจะนำงบประมาณจากไหนมาใส่ ก็ในเมื่อเบี้ยวหนี้ธ.พาณิชย์ไปหมดแล้ว ก็ยังหาคำตอบให้ไม่ได้ เพราะจำนวนที่ยังขาดคือ 1.1 แสนล้าน 7. ปัจจุบันประเทศไทยมีหนี้สูงกว่า gdp 60% ประเทศกำลังจะเข้าสู่ภาวะวิ ก ฤ ต ด้านการเงินการคลัง 8. ผลกระทบจากการดันทุรัง หางบมาโปะโปรเจคเดียว คือวอทเลท ทำให้ สปสช. หรือบัตรทองที่มีผู้ใช้บริการ 48 ล้านคน เกินครึ่งประเทศ ต้องได้รับผลกระทบ เพราะมีการจ่ายให้กับรพ.ที่รับรองสิทธิ์ล่าช้า แถมยังไปปรับลดค่ารักษาต่อหัวต่ำลงไปอีก ซึ่ง รพ.มากกว่า 91 แห่ง ก็กำลังเข้าสู่ภาวะขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง ซึ่งรมต.ที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็อ้างว่า เดี๋ยวงบปี 68 ก็มา ก็ต้องวนกลับไปที่ข้อก่อนหน้าว่า งบวอลเลทยังขาดอีก 1.1 แสนล้าน แล้วจะเอาที่ไหนมาจ่ายให้รพ.ที่รับสิทธิ์บัตรทอง นี่แหละ ความดันทุรัง ที่พี่คิงส์ฯเอง ก็อยากให้นายกอิ๊งพิจารณาใหม่ ล้มโครงการนี้ไป ไม่จำเป็นต้องรับมรดกนโยบายนี้มา ใช้เหตุผลความเป็นจริง ประเทศจะได้เดินหน้าต่อไปได้ ไม่งั้น กระทบกับคนทั้งประเทศจริงๆ #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 833 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เรื่องนี้ขอคุยกันด้วยเหตุและผล
    ตอนนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องรู้คือ
    1. ดิจิตอลวอลเลท ติดขัดทางด้านเทคนิคของระบบเองที่ไม่สามารถใช้งานได้ตามที่วางแผนไว้
    2. วอลเลทจะถูกเปลี่ยนเป็นเงินสดผ่านบัตรคนจน
    3. ต้องแจกให้ทัน 30 กันยายนนี้เท่านั้น
    4. ถ้าไม่ทัน ต้องคืนเงินเข้าคลัง
    5. เงินที่ได้มาก้อนนี้ยังไม่จบ ต้องผูกพันงบปี 2568
    6. ปี 2568 ดูตัวเลข ณ ปัจจุบัน เฉพาะโครงการวอลเลทนี้ ยังขาดอีก 1.1 แสนล้านบาท
    7. ทางออก คือ กู้สถาบันการเงิน หรือ กู้ประชาชนผ่านพันธบัตรหรือสิ่งใกล้เคียง
    ในขณะที่วันนี้ สำหรับปี 67 งบก้อนที่มาจ่ายวอลเลทกับกลุ่มแรก ก็ผลัดผ่อนหนี้ที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานภาครัฐหลายก้อน
    ซึ่งปี 68 ไม่รวมยอดที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานของรัฐเอง บวกลบอย่างไรก็ขาดอีกเป็นแสนล้าน
    นอกจากนั้น โทนี่ยังมีโปรเจคใหม่ๆ ที่ต้องกู้ เช่น แก้ปัญหาน้ำท่วม อีกมากกว่า 9 ล้าน ล้าน การต้องการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นที่ประชาชนในพื้นที่ต่อต้านหนักหน่วง
    เรียนแฟนเพจแบบตรงไปตรงมา
    คนไทยต้องรับผิดชอบหนี้ที่จะเกิด และที่เกิดแล้ว เหมือนกู้โดยโทนี่
    แต่คนไทยคือคนค้ำประกัน เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
    ถ้าวอลเลท เบรคได้ เบรคก่อน ในเมื่อจ่ายเงินสดเงินมันไม่หมุนวนแบบพายุและผิดมาตรา9 เรื่องวินัยการคลัง แล้วเอางบนี้ซัพพอต สปสช. บัตรทองที่กำลังจะล่มสลาย รวมถึงหน่วยงานของรัฐอื่นๆที่กล้ำกลืน บริหารงานแบบขาดงบประมาณ ให้ทุกอย่างรันได้ตามที่ควรจะเป็น
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #เรื่องนี้ขอคุยกันด้วยเหตุและผล ตอนนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องรู้คือ 1. ดิจิตอลวอลเลท ติดขัดทางด้านเทคนิคของระบบเองที่ไม่สามารถใช้งานได้ตามที่วางแผนไว้ 2. วอลเลทจะถูกเปลี่ยนเป็นเงินสดผ่านบัตรคนจน 3. ต้องแจกให้ทัน 30 กันยายนนี้เท่านั้น 4. ถ้าไม่ทัน ต้องคืนเงินเข้าคลัง 5. เงินที่ได้มาก้อนนี้ยังไม่จบ ต้องผูกพันงบปี 2568 6. ปี 2568 ดูตัวเลข ณ ปัจจุบัน เฉพาะโครงการวอลเลทนี้ ยังขาดอีก 1.1 แสนล้านบาท 7. ทางออก คือ กู้สถาบันการเงิน หรือ กู้ประชาชนผ่านพันธบัตรหรือสิ่งใกล้เคียง ในขณะที่วันนี้ สำหรับปี 67 งบก้อนที่มาจ่ายวอลเลทกับกลุ่มแรก ก็ผลัดผ่อนหนี้ที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานภาครัฐหลายก้อน ซึ่งปี 68 ไม่รวมยอดที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานของรัฐเอง บวกลบอย่างไรก็ขาดอีกเป็นแสนล้าน นอกจากนั้น โทนี่ยังมีโปรเจคใหม่ๆ ที่ต้องกู้ เช่น แก้ปัญหาน้ำท่วม อีกมากกว่า 9 ล้าน ล้าน การต้องการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นที่ประชาชนในพื้นที่ต่อต้านหนักหน่วง เรียนแฟนเพจแบบตรงไปตรงมา คนไทยต้องรับผิดชอบหนี้ที่จะเกิด และที่เกิดแล้ว เหมือนกู้โดยโทนี่ แต่คนไทยคือคนค้ำประกัน เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ถ้าวอลเลท เบรคได้ เบรคก่อน ในเมื่อจ่ายเงินสดเงินมันไม่หมุนวนแบบพายุและผิดมาตรา9 เรื่องวินัยการคลัง แล้วเอางบนี้ซัพพอต สปสช. บัตรทองที่กำลังจะล่มสลาย รวมถึงหน่วยงานของรัฐอื่นๆที่กล้ำกลืน บริหารงานแบบขาดงบประมาณ ให้ทุกอย่างรันได้ตามที่ควรจะเป็น #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 887 มุมมอง 0 รีวิว