• ย่อพฤติการณ์ "นุ-สา" แหกตาบิตคอยน์

    คดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ให้เอาผิดกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท หลังโอนคดีไปยังตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อตำรวจและสื่อมวลชนขุดคุ้ยขึ้นมา คดีก็งอกออกมาทั้งการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 และการเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม นำไปสู่การจับกุมนายษิทรา พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2567 โดยระบุพฤติการณ์มีลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ

    มาถึงคดีล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2567 จับกุม นายนุวัฒน์ ยงยุทธ อายุ 34 ปี คนสนิทนายษิทรา และ น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาว ก่อนที่วันต่อมาตำรวจได้นำตัวทั้งคู่ฝากขังต่อศาลอาญา

    ความน่าสนใจอยู่ที่คำร้องขอฝากขังของตำรวจ ระบุพฤติการณ์แห่งคดี โดยได้ย้อนตั้งแต่กรณีเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งเป็นการหลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ กรณีการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ ที่นายษิทราได้ค่าส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท กรณีว่าจ้างบริษัทหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม 9 ล้านบาท แต่นายษิทราว่าจ้างอีกบริษัทหนึ่ง ได้ค่าส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท มาถึงคดีล่าสุด นายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ

    โดยระบุว่า นายนุวัฒน์มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ได้ น.ส.จตุพร จึงให้โอนเงินไปยังอินสตาแกรม เฉินคุณ (ดาราจีน) จากนั้นได้หลอกลวง น.ส.จตุพรว่า นายนุวัฒน์ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของของ น.ส.สารินี โอนเงิน ทำให้กระเป๋าเงินถูกระงับการใช้งาน เสียหาย 39 ล้านบาทโดยได้ร่วมกันส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันไปให้ น.ส.จตุพรดูทางไลน์ ทำให้ น.ส.จตุพรหลงเชื่อ ทั้งที่ความจริงกระเป๋าเงินดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ไม่ได้ถูกระจับแต่อย่างใด

    จากนั้น น.ส.จตุพร ส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เช็ค สั่งจ่าย น.ส.สารินี จำนวน 39 ล้านบาท ก่อนที่นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินีร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีธนาคารของ น.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันเบิกถอนเงินสดออกจากบัญชีของ น.ส.สารินี การกระทำของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี เป็นความผิดฐานฉ้อโกง นำเข้าสู่คอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน

    ในท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปี และมูลค่าความเสียหายสูงมาก เกรงว่าจะหลบหนี และพบว่าก่อนถูกจับกุม ทั้งสองคนมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และเบอร์มือถือ เพื่อให้ยากต่อการติดตามตัว

    #Newskit
    ย่อพฤติการณ์ "นุ-สา" แหกตาบิตคอยน์ คดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ให้เอาผิดกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท หลังโอนคดีไปยังตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อตำรวจและสื่อมวลชนขุดคุ้ยขึ้นมา คดีก็งอกออกมาทั้งการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 และการเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม นำไปสู่การจับกุมนายษิทรา พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2567 โดยระบุพฤติการณ์มีลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ มาถึงคดีล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2567 จับกุม นายนุวัฒน์ ยงยุทธ อายุ 34 ปี คนสนิทนายษิทรา และ น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาว ก่อนที่วันต่อมาตำรวจได้นำตัวทั้งคู่ฝากขังต่อศาลอาญา ความน่าสนใจอยู่ที่คำร้องขอฝากขังของตำรวจ ระบุพฤติการณ์แห่งคดี โดยได้ย้อนตั้งแต่กรณีเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งเป็นการหลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ กรณีการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ ที่นายษิทราได้ค่าส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท กรณีว่าจ้างบริษัทหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม 9 ล้านบาท แต่นายษิทราว่าจ้างอีกบริษัทหนึ่ง ได้ค่าส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท มาถึงคดีล่าสุด นายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ โดยระบุว่า นายนุวัฒน์มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ได้ น.ส.จตุพร จึงให้โอนเงินไปยังอินสตาแกรม เฉินคุณ (ดาราจีน) จากนั้นได้หลอกลวง น.ส.จตุพรว่า นายนุวัฒน์ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของของ น.ส.สารินี โอนเงิน ทำให้กระเป๋าเงินถูกระงับการใช้งาน เสียหาย 39 ล้านบาทโดยได้ร่วมกันส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันไปให้ น.ส.จตุพรดูทางไลน์ ทำให้ น.ส.จตุพรหลงเชื่อ ทั้งที่ความจริงกระเป๋าเงินดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ไม่ได้ถูกระจับแต่อย่างใด จากนั้น น.ส.จตุพร ส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เช็ค สั่งจ่าย น.ส.สารินี จำนวน 39 ล้านบาท ก่อนที่นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินีร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีธนาคารของ น.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันเบิกถอนเงินสดออกจากบัญชีของ น.ส.สารินี การกระทำของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี เป็นความผิดฐานฉ้อโกง นำเข้าสู่คอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน ในท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปี และมูลค่าความเสียหายสูงมาก เกรงว่าจะหลบหนี และพบว่าก่อนถูกจับกุม ทั้งสองคนมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และเบอร์มือถือ เพื่อให้ยากต่อการติดตามตัว #Newskit
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 451 มุมมอง 0 รีวิว
  • อัยการสูงสุดชี้ขาดฟ้อง 4 ผู้ต้องหาผิดสมคบฟอกเงินคดีพัวพันเว็บพนัน เครือข่าย ‘มินนี่’ ตามความเห็นแย้ง ผบ.ตร. ส่วนคดีที่ ‘บิ๊กโจ๊ก’ และตัว "มินนี่" ตกเป็นผู้ต้องหา สำนวนคดียังอยู่ ป.ป.ช.ไม่คืบหน้าวันนี้ (13 พ.ย.) นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองกำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ได้ส่งสำนวนสอบสวนคดีที่ 724/2566 คดีระหว่าง พ.ต.ท.มนต์ชัย บุญเลิศ กล่าวหา นายณัฐวัตร พิมพ์สวัสดิ์ กับพวกรวม 61 คน ผู้ต้องหา ฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน อันขัดต่อบทแห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน มายังสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 เพื่อพิจารณาดำเนินการโดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 4 - 7, 15 - 19, 27, 31 – 32, 38 – 39, 44, 49 – 51, 53, 55 และที่ 59 รวม 21 คน และมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ยังไม่ได้ตัวมา รวม 20 คน คือ ผู้ต้องหาที่ 28, 30, 33 – 36, 40 – 43, 45 – 48, 52, 54, 56 – 58, ที่ 60 ตามข้อกล่าวหาและมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 8 –11 รวม 4 คน (ผู้ต้องหาที่ 9 และ 10 หลบหนี) ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงินต่อมา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 8 - 11 และส่งสำนวนมายังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1อัยการสูงสุด พิจารณาแล้วมีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง ผู้ต้องหาที่ 8 และผู้ต้องหาที่ 11 และชี้ขาดควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 9 และผู้ต้องหาที่ 10 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 9, 60 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 มาตรา 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ตามความเห็นแย้งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมทั้งแจ้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจัดการให้ได้ตัวผู้ต้องหาที่ 9 และ 10 มาดำเนินคดีภายในอายุความ 15 ปี นับแต่วันกระทำความผิดผู้ต้องหาที่ 1 - 3, ที่ 12 - 14, ที่ 20 - 26 และที่ 61 รวม 14 คน สำนวนอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงาน ป.ป.ช. และผู้ต้องหาที่ 29 และ 37 อีก 2 คน เป็นเยาวชน ส่วนผลความคืบหน้าทางคดีเป็นประการใด สำนักงานอัยการสูงสุดจะแจ้งให้ทราบต่อไปผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับ ผู้ต้องหาที่ 1 - 3, ที่ 12 - 14, ที่ 20 - 26 และ ที่ 61 รวม 14 คน ซึ่งมี พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล เเละ น.ส.ธันยนันท์ หรือสุชานันท์ หรือ "มินนี่" รวมอยู่ด้วยนั้นเป็นกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่ง ป.ป.ช.ขอสำนวนคืนจากอัยการไป ขณะนี้ยังไม่ปรากฎความคืบหน้า
    อัยการสูงสุดชี้ขาดฟ้อง 4 ผู้ต้องหาผิดสมคบฟอกเงินคดีพัวพันเว็บพนัน เครือข่าย ‘มินนี่’ ตามความเห็นแย้ง ผบ.ตร. ส่วนคดีที่ ‘บิ๊กโจ๊ก’ และตัว "มินนี่" ตกเป็นผู้ต้องหา สำนวนคดียังอยู่ ป.ป.ช.ไม่คืบหน้าวันนี้ (13 พ.ย.) นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองกำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ได้ส่งสำนวนสอบสวนคดีที่ 724/2566 คดีระหว่าง พ.ต.ท.มนต์ชัย บุญเลิศ กล่าวหา นายณัฐวัตร พิมพ์สวัสดิ์ กับพวกรวม 61 คน ผู้ต้องหา ฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน อันขัดต่อบทแห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน มายังสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 เพื่อพิจารณาดำเนินการโดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 4 - 7, 15 - 19, 27, 31 – 32, 38 – 39, 44, 49 – 51, 53, 55 และที่ 59 รวม 21 คน และมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ยังไม่ได้ตัวมา รวม 20 คน คือ ผู้ต้องหาที่ 28, 30, 33 – 36, 40 – 43, 45 – 48, 52, 54, 56 – 58, ที่ 60 ตามข้อกล่าวหาและมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 8 –11 รวม 4 คน (ผู้ต้องหาที่ 9 และ 10 หลบหนี) ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงินต่อมา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 8 - 11 และส่งสำนวนมายังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1อัยการสูงสุด พิจารณาแล้วมีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง ผู้ต้องหาที่ 8 และผู้ต้องหาที่ 11 และชี้ขาดควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 9 และผู้ต้องหาที่ 10 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 9, 60 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 มาตรา 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ตามความเห็นแย้งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมทั้งแจ้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจัดการให้ได้ตัวผู้ต้องหาที่ 9 และ 10 มาดำเนินคดีภายในอายุความ 15 ปี นับแต่วันกระทำความผิดผู้ต้องหาที่ 1 - 3, ที่ 12 - 14, ที่ 20 - 26 และที่ 61 รวม 14 คน สำนวนอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงาน ป.ป.ช. และผู้ต้องหาที่ 29 และ 37 อีก 2 คน เป็นเยาวชน ส่วนผลความคืบหน้าทางคดีเป็นประการใด สำนักงานอัยการสูงสุดจะแจ้งให้ทราบต่อไปผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับ ผู้ต้องหาที่ 1 - 3, ที่ 12 - 14, ที่ 20 - 26 และ ที่ 61 รวม 14 คน ซึ่งมี พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล เเละ น.ส.ธันยนันท์ หรือสุชานันท์ หรือ "มินนี่" รวมอยู่ด้วยนั้นเป็นกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่ง ป.ป.ช.ขอสำนวนคืนจากอัยการไป ขณะนี้ยังไม่ปรากฎความคืบหน้า
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • CIB แถลงคุมตัว นุ-สารินี แจ้ง3ข้อหา มีทนายเกี่ยวข้อง (12/11/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #คดี39ล้าน #ร่วมกันฟอกเงิน #โอนเงินทิพย์ #คริปโตทิพย์
    CIB แถลงคุมตัว นุ-สารินี แจ้ง3ข้อหา มีทนายเกี่ยวข้อง (12/11/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #คดี39ล้าน #ร่วมกันฟอกเงิน #โอนเงินทิพย์ #คริปโตทิพย์
    Like
    18
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1241 มุมมอง 321 0 รีวิว
  • เรือนจำแจงความปลอดภัยทนายตั้ม ปมคนจองกฐินเยอะ (11/11/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #คู่กรณีทนายตั้ม #คดีฉ้อโกง #ร่วมกันฟอกเงิน
    เรือนจำแจงความปลอดภัยทนายตั้ม ปมคนจองกฐินเยอะ (11/11/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #คู่กรณีทนายตั้ม #คดีฉ้อโกง #ร่วมกันฟอกเงิน
    Like
    Haha
    6
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 761 มุมมอง 324 0 รีวิว
  • คดีทนายตั้ม ไม่ได้มีแค่คุณอ้อย

    กรณีที่ตำรวจกองปราบปรามจับกุมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ตามหมายจับของศาลอาญาในข้อหาฉ้อโกง ฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและข้อหาสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน

    คำร้องฝากขัง ระบุพฤติการณ์หลอกลวง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ผู้เสียหาย โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้คุณอ้อยหลงเชื่อส่งมอบเงินให้ต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่ 1. หลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าต้องจ่ายค่าจ้างเขียนโปรแกรม 2 ล้านยูโร หรือกว่า 71 ล้านบาท 2. การจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 หลอกลวงว่าซื้อรถในราคา 12.93 ล้านบาท ทั้งที่ราคาเพียง 11.4 ล้านบาท คิดเป็นส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท

    และ 3. หลอกลวงว่าได้ว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม มีค่าเขียนแบบ 9 ล้านบาท ทั้งที่ไปว่าจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบเพียง 3.5 ล้านบาท ผู้เสียหายโอนเงินให้บริษัทแห่งหนึ่ง ก่อนถอนเงินไปมอบให้ ได้ส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท ทั้ง 3 กรณีความเสียหายรวมกว่า 78 ล้านบาท

    ยังมีผู้เสียหายที่ชื่อ "เตอร์" โปรแกรมเมอร์ และ "มี่" ภรรยา ซึ่ง อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กล่าวว่า นายษิทราว่าจ้างให้เขียนโปรแกรมลอตเตอรีออนไลน์ "นาคี" จำนวน 20 ล้านบาท แต่ให้เขียนสัญญาอีกฉบับ ระบุจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร อ้างว่าเป็นค่าซื้อสลาก ปรากฎว่าถึงกำหนดชำระเงิน 15 ก.พ. 2566 ไม่มีเงินเข้า แต่ไม่รู้ว่าสัญญาอีกฉบับ คุณอ้อยโอนเงินให้นายษิทราไปแล้ว 2 ล้านยูโร เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566

    ต่อมานายษิทราบอกว่าอย่าเพิ่งไปไหน จะให้ก่อสร้างโรงแรม แต่ต้องเขียนแบบก่อน จึงทำใบเสนอราคา 9 ล้านบาท คุณอ้อยโอนเงินไปที่บริษัทของเตอร์และมี่ ก่อนส่งมอบเงินสดให้นายษิทรา ปรากฎว่าไม่ได้งาน เพราะนายษิทราจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบในราคา 3.5 ล้านบาท ก่อนชักจูงให้ก่อสร้าง แต่คุณอ้อยพบความผิดปกติจึงยกเลิก นายษิทราสั่งให้เดินหน้า ภายหลังคุณอ้อยขอบอกเลิกสัญญา 2 ครั้ง นายษิทรากลับเสนอให้เตอร์และมี่ยื่นโนติสเรียกค่าเสียหาย 30 ล้านบาท ซึ่งเตอร์และมี่ให้การกับตำรวจในฐานะผู้เสียหายแล้ว

    อย่างไรก็ตาม ยังมีกรณีเงิน 39 ล้านบาท ซึ่งมี "นุ" คนสนิทนายษิทรา และ "สาริณี" ภรรยาที่อ้างว่าถูกสแกมเมอร์หลอก และรับแคชเชียร์เช็คจากคุณอ้อย อยู่ในระหว่างการสืบสวนของตำรวจ

    #Newskit
    คดีทนายตั้ม ไม่ได้มีแค่คุณอ้อย กรณีที่ตำรวจกองปราบปรามจับกุมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ตามหมายจับของศาลอาญาในข้อหาฉ้อโกง ฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและข้อหาสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน คำร้องฝากขัง ระบุพฤติการณ์หลอกลวง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ผู้เสียหาย โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้คุณอ้อยหลงเชื่อส่งมอบเงินให้ต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่ 1. หลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าต้องจ่ายค่าจ้างเขียนโปรแกรม 2 ล้านยูโร หรือกว่า 71 ล้านบาท 2. การจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 หลอกลวงว่าซื้อรถในราคา 12.93 ล้านบาท ทั้งที่ราคาเพียง 11.4 ล้านบาท คิดเป็นส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท และ 3. หลอกลวงว่าได้ว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม มีค่าเขียนแบบ 9 ล้านบาท ทั้งที่ไปว่าจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบเพียง 3.5 ล้านบาท ผู้เสียหายโอนเงินให้บริษัทแห่งหนึ่ง ก่อนถอนเงินไปมอบให้ ได้ส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท ทั้ง 3 กรณีความเสียหายรวมกว่า 78 ล้านบาท ยังมีผู้เสียหายที่ชื่อ "เตอร์" โปรแกรมเมอร์ และ "มี่" ภรรยา ซึ่ง อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กล่าวว่า นายษิทราว่าจ้างให้เขียนโปรแกรมลอตเตอรีออนไลน์ "นาคี" จำนวน 20 ล้านบาท แต่ให้เขียนสัญญาอีกฉบับ ระบุจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร อ้างว่าเป็นค่าซื้อสลาก ปรากฎว่าถึงกำหนดชำระเงิน 15 ก.พ. 2566 ไม่มีเงินเข้า แต่ไม่รู้ว่าสัญญาอีกฉบับ คุณอ้อยโอนเงินให้นายษิทราไปแล้ว 2 ล้านยูโร เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566 ต่อมานายษิทราบอกว่าอย่าเพิ่งไปไหน จะให้ก่อสร้างโรงแรม แต่ต้องเขียนแบบก่อน จึงทำใบเสนอราคา 9 ล้านบาท คุณอ้อยโอนเงินไปที่บริษัทของเตอร์และมี่ ก่อนส่งมอบเงินสดให้นายษิทรา ปรากฎว่าไม่ได้งาน เพราะนายษิทราจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบในราคา 3.5 ล้านบาท ก่อนชักจูงให้ก่อสร้าง แต่คุณอ้อยพบความผิดปกติจึงยกเลิก นายษิทราสั่งให้เดินหน้า ภายหลังคุณอ้อยขอบอกเลิกสัญญา 2 ครั้ง นายษิทรากลับเสนอให้เตอร์และมี่ยื่นโนติสเรียกค่าเสียหาย 30 ล้านบาท ซึ่งเตอร์และมี่ให้การกับตำรวจในฐานะผู้เสียหายแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีกรณีเงิน 39 ล้านบาท ซึ่งมี "นุ" คนสนิทนายษิทรา และ "สาริณี" ภรรยาที่อ้างว่าถูกสแกมเมอร์หลอก และรับแคชเชียร์เช็คจากคุณอ้อย อยู่ในระหว่างการสืบสวนของตำรวจ #Newskit
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 451 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขนลุก! อัยการชี้ "ทนายตั้ม" เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่โดนแจ้งข้อหานี้! (10/11/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ฟอกเงิน #ร่วมกันฟอกเงิน #หมายจับทนายตั้ม #ฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ
    ขนลุก! อัยการชี้ "ทนายตั้ม" เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่โดนแจ้งข้อหานี้! (10/11/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ฟอกเงิน #ร่วมกันฟอกเงิน #หมายจับทนายตั้ม #ฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ
    Like
    Haha
    Love
    Angry
    24
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1199 มุมมอง 782 0 รีวิว
  • รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผย “ทนายตั้ม-ภรรยา” ทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ คุมแดนกักโรค 5 วัน มื้อเย็นต้อนรับ คุกชาย "ข้าวสวย-ไก่ต้มขมิ้น-ไข่ต้ม" ส่วนคุกหญิง “ข้าวสวย-หลนปลาร้า/ผักสด-ผัดพริกแกงผักบุ้งลูกชิ้น“

    จากกรณีศาลอาญา รัชดาภิเษก ฝากขังผัดแรก โดยชั้นพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวชั่วคราว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในคดีฉ้อโกงเงินของ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย ตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ฉ้อโกง , ฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ก่อนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวส่งฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง

    วันนี้ (8 พ.ย.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผอ.กองทัณฑวิทยา รักษาราชการแทนผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผยว่า ขั้นตอนหลังเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม และ นางปทิตตา มายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและทัณฑสถานหญิงกลาง ทั้งคู่ต้องทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ อาทิ ตรวจสุขภาพร่างกาย พิมพ์ลายนิ้วมือ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการอยู่แดนกักโรค 5 วันตามมาตรการป้องกันโควิด-19 และจะมีการปฐมนิเทศอีก 1 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ในแดนกักโรคตามเดิม แต่มีการแบ่งโซนออกจากกัน ก่อนจะพิจารณาส่งผู้ต้องหาไปควบคุมต่อยังแดนปกติภายในเรือนจำ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000107789

    #MGROnline #ทนายตั้ม #กรมราชทัณฑ์
    รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผย “ทนายตั้ม-ภรรยา” ทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ คุมแดนกักโรค 5 วัน มื้อเย็นต้อนรับ คุกชาย "ข้าวสวย-ไก่ต้มขมิ้น-ไข่ต้ม" ส่วนคุกหญิง “ข้าวสวย-หลนปลาร้า/ผักสด-ผัดพริกแกงผักบุ้งลูกชิ้น“ • จากกรณีศาลอาญา รัชดาภิเษก ฝากขังผัดแรก โดยชั้นพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวชั่วคราว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในคดีฉ้อโกงเงินของ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย ตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ฉ้อโกง , ฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ก่อนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวส่งฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง • วันนี้ (8 พ.ย.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผอ.กองทัณฑวิทยา รักษาราชการแทนผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผยว่า ขั้นตอนหลังเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม และ นางปทิตตา มายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและทัณฑสถานหญิงกลาง ทั้งคู่ต้องทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ อาทิ ตรวจสุขภาพร่างกาย พิมพ์ลายนิ้วมือ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการอยู่แดนกักโรค 5 วันตามมาตรการป้องกันโควิด-19 และจะมีการปฐมนิเทศอีก 1 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ในแดนกักโรคตามเดิม แต่มีการแบ่งโซนออกจากกัน ก่อนจะพิจารณาส่งผู้ต้องหาไปควบคุมต่อยังแดนปกติภายในเรือนจำ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000107789 • #MGROnline #ทนายตั้ม #กรมราชทัณฑ์
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผย “ทนายตั้ม-ภรรยา” ทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ คุมแดนกักโรค 5 วัน มื้อเย็นต้อนรับ คุกชาย "ข้าวสวย-ไก่ต้มขมิ้น-ไข่ต้ม" ส่วนคุกหญิง “ข้าวสวย-หลนปลาร้า/ผักสด-ผัดพริกแกงผักบุ้งลูกชิ้น“
    .
    จากกรณีศาลอาญา รัชดาภิเษก ฝากขังผัดแรก โดยชั้นพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวชั่วคราว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในคดีฉ้อโกงเงินของ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย ตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ฉ้อโกง , ฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ก่อนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวส่งฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง
    .
    วันนี้ (8 พ.ย.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผอ.กองทัณฑวิทยา รักษาราชการแทนผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผยว่า ขั้นตอนหลังเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม และ นางปทิตตา มายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและทัณฑสถานหญิงกลาง ทั้งคู่ต้องทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ อาทิ ตรวจสุขภาพร่างกาย พิมพ์ลายนิ้วมือ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการอยู่แดนกักโรค 5 วันตามมาตรการป้องกันโควิด-19 และจะมีการปฐมนิเทศอีก 1 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ในแดนกักโรคตามเดิม แต่มีการแบ่งโซนออกจากกัน ก่อนจะพิจารณาส่งผู้ต้องหาไปควบคุมต่อยังแดนปกติภายในเรือนจำ
    .
    นางกนกวรรณ เผยอีกว่า ส่วนเรื่องความกังวล นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม หากครบกำหนดอยู่แดนกักโรคแล้วจะต้องย้ายส่งต่อแดนใดนั้น เพราะอาจเจอคู่กรณีเป็นกลุ่ม 18 บอสดิไอคอน ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์พิจารณาตามความเหมาะสม และขณะนี้กลุ่มบอสชาย 11 คน ได้แยกแดนเป็นที่เรียบร้อย อยู่แดนละ 2-3 คนกระจายกันไป แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ นอกจากนี้ ยังต้องตรวจสอบคู่กรณีของ นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม ในคดีอื่นๆ ด้วยเพื่อความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม เมนูอาหารมื้อเย็นในวันนี้ (8 พ.ย.) เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นข้าวสวย ไก่ต้มขมิ้น และไข่ต้ม ส่วนทัณฑสถานหญิงกลาง เป็นข้าวสวย หลนปลาร้า/ผักสด และ ผัดพริกแกงผักบุ้งลูกชิ้น
    ..............
    Sondhi X
    รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผย “ทนายตั้ม-ภรรยา” ทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ คุมแดนกักโรค 5 วัน มื้อเย็นต้อนรับ คุกชาย "ข้าวสวย-ไก่ต้มขมิ้น-ไข่ต้ม" ส่วนคุกหญิง “ข้าวสวย-หลนปลาร้า/ผักสด-ผัดพริกแกงผักบุ้งลูกชิ้น“ . จากกรณีศาลอาญา รัชดาภิเษก ฝากขังผัดแรก โดยชั้นพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวชั่วคราว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในคดีฉ้อโกงเงินของ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย ตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ฉ้อโกง , ฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ก่อนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวส่งฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง . วันนี้ (8 พ.ย.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผอ.กองทัณฑวิทยา รักษาราชการแทนผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผยว่า ขั้นตอนหลังเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม และ นางปทิตตา มายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและทัณฑสถานหญิงกลาง ทั้งคู่ต้องทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ อาทิ ตรวจสุขภาพร่างกาย พิมพ์ลายนิ้วมือ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการอยู่แดนกักโรค 5 วันตามมาตรการป้องกันโควิด-19 และจะมีการปฐมนิเทศอีก 1 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ในแดนกักโรคตามเดิม แต่มีการแบ่งโซนออกจากกัน ก่อนจะพิจารณาส่งผู้ต้องหาไปควบคุมต่อยังแดนปกติภายในเรือนจำ . นางกนกวรรณ เผยอีกว่า ส่วนเรื่องความกังวล นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม หากครบกำหนดอยู่แดนกักโรคแล้วจะต้องย้ายส่งต่อแดนใดนั้น เพราะอาจเจอคู่กรณีเป็นกลุ่ม 18 บอสดิไอคอน ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์พิจารณาตามความเหมาะสม และขณะนี้กลุ่มบอสชาย 11 คน ได้แยกแดนเป็นที่เรียบร้อย อยู่แดนละ 2-3 คนกระจายกันไป แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ นอกจากนี้ ยังต้องตรวจสอบคู่กรณีของ นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม ในคดีอื่นๆ ด้วยเพื่อความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม เมนูอาหารมื้อเย็นในวันนี้ (8 พ.ย.) เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นข้าวสวย ไก่ต้มขมิ้น และไข่ต้ม ส่วนทัณฑสถานหญิงกลาง เป็นข้าวสวย หลนปลาร้า/ผักสด และ ผัดพริกแกงผักบุ้งลูกชิ้น .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    Angry
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 775 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลไม่ให้ประกันภรรยาทนายตั้ม พบย้ายทรัพย์ออกจากตู้เซฟ เปลี่ยนมือถือก่อนหนีไปเขมร
    .
    เปิดพฤติการณ์ทนายตั้มหลอกคุณอ้อยลงทุนหวยออนไลน์ ฟันส่วนต่างรถเบนซ์-เขียนแบบบ้าน ส่วนภรรยาใกล้ชิดย่อมรู้ทุกการกระทำ เผยก่อนถูกจับมีข่มขู่พยาน ด้อยค่าตำรวจ เปลี่ยนมือถือ ย้ายทรัพย์ออกจากเซฟ ก่อนขับรถไปชายแดน หวั่นหากปล่อยตัวเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ด้านศาลไม่อนุญาตให้ประกันภรรยา แม้ทนายความยื่นประกัน 5 แสน ขอติดกำไลอีเอ็ม
    .
    วันนี้ (8 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.40 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิด ฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1
    .
    คำร้องระบุว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 1 ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมายต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ส่งมอบเงินให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่
    .
    1.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2,000,000 ยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 คิดเป็นเงินไทย จำนวน 71,067,764.70 บาท
    .
    2. ผู้เสียหายได้มอบหมายให้ผู้ต้องหาที่ 1 หาซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท
    .
    3. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ต้องหาที่ 1 ได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท
    .
    การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และจากการสืบสวนสอบสวนพบผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ดังนี้
    .
    1. หลังจากผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายจำนวน 71 ล้านบาทเศษ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้โอนเงินจำนวน 71 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของตนเองไปยังบัญชีอื่นของตนเองอีก 2 ทอด เพื่อชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ต้องหาที่ 2
    .
    2. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับมอบเงินสดของผู้เสียหายที่หลอกลวงเป็นค่าเขียนแบบโรงแรมจำนวน 9,000,000 บาทได้แบ่งเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท ไปมอบให้แก่พี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 ก่อนพี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 นำไปเข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง
    .
    ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
    .
    ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจาก ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดีและเป็นผู้ที่สังคมให้ความเชื่อถือ แต่กลับมีการกระทำผิดหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกัน ในลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นบุคคลใกล้ชิดและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ย่อมรู้เห็นการกระทำผิดและร่วมกระทำความผิดฟอกเงินกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ดังนี้
    .
    ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ให้พยานบุคคลที่สำคัญในคดีให้การต่อพนักงานสอบสวนในลักษณะปกปิดข้อเท็จจริงการกระทำความผิดของตนผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์สำคัญบางประการ ทำให้พยานเกิดความเกรงกลัวภายในอันตรายที่จะเกิดกับพยานหรือตัวครอบครัวเพื่อไม่ให้พยานมาให้การหรือไม่ให้การข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อคดี ผู้ต้องหาที่ 1 มีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้เสียหายและพยานบุคคลที่มาให้การต่อพนักงานสอบสวนเกิดความไม่มั่นใจและไม่ไว้วางใจการทำงานของพนักงานสอบสวน
    .
    จากการสืบสวนพบว่าก่อนที่จะมาจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และบุคคลใกล้ชิดมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ใช้อยู่ประจำได้ปิดสัญญาณไป และขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์มือถือผู้ต้องหาที่ 1 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องหาที่ 2 ส่วนโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 2 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวผู้ต้องหาที่ 2 การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ทำให้ยากแก่การติดต่อหรือติดตามตัวและค้นหาพยานหลักฐานในโทรศัพท์ ทั้งนี้ จากการตรวจค้นหาพยานหลักฐานที่บ้านพักผู้ต้องหาที่ 1- 2 พบว่าภายในบ้านมีตู้นิรภัยขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ติดตั้งหลบซ่อน ทำให้ยากต่อการมองเห็นจากบุคคลภายนอก เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นเปิดตู้นิรภัยดังกล่าว พบว่ามีร่องรอยผ่านการเก็บทรัพย์สินแล้ว จึงไม่พบทรัพย์สินมีค่าใดๆ อยู่ภายในตู้ดังกล่าว น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1 -2 ได้ร่วมกันยักย้ายทรัพย์สินออกไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจค้น
    .
    และขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมขณะผู้ต้องหาที่ 1 -2 ขับรถยนต์อยู่บริเวณถนนสายกบินทร์บุรี-ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าไปทางชายแดนประเทศกัมพูชาและพบกระเป๋าเดินทางภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ต้องหาที่ 1- 2 มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ
    .
    ประกอบกับคดีที่ผู้ต้องหาที่ 1 -2 ถูกตั้งข้อหาจับกุมมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปีในคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้กระทำความผิดฉ้อโกงและได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายจำนวนทั้งสิ้น 78,097,764.70 บาท ซึ่งเป็นความเสียหายมูลค่าสูง จากเหตุผลดังกล่าว หากผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1-2 น่าจะหลบหนีเข้าไปยุ่งหรือพยานหลักฐาน และจะเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูงและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องการผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย
    .
    ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังตามคำร้อง
    .
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทนายของผู้ต้องหาที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอประกัน พร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท รวมทั้งยื่นเงื่อนไขให้ศาล ติดกำไลอีเอ็ม รวมทั้งห้ามออกนอกประเทศ และมารายงานตัวตามนัดทุกครั้ง ล่าสุด ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว
    ..............
    Sondhi X
    ศาลไม่ให้ประกันภรรยาทนายตั้ม พบย้ายทรัพย์ออกจากตู้เซฟ เปลี่ยนมือถือก่อนหนีไปเขมร . เปิดพฤติการณ์ทนายตั้มหลอกคุณอ้อยลงทุนหวยออนไลน์ ฟันส่วนต่างรถเบนซ์-เขียนแบบบ้าน ส่วนภรรยาใกล้ชิดย่อมรู้ทุกการกระทำ เผยก่อนถูกจับมีข่มขู่พยาน ด้อยค่าตำรวจ เปลี่ยนมือถือ ย้ายทรัพย์ออกจากเซฟ ก่อนขับรถไปชายแดน หวั่นหากปล่อยตัวเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ด้านศาลไม่อนุญาตให้ประกันภรรยา แม้ทนายความยื่นประกัน 5 แสน ขอติดกำไลอีเอ็ม . วันนี้ (8 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.40 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิด ฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1 . คำร้องระบุว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 1 ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมายต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ส่งมอบเงินให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่ . 1.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2,000,000 ยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 คิดเป็นเงินไทย จำนวน 71,067,764.70 บาท . 2. ผู้เสียหายได้มอบหมายให้ผู้ต้องหาที่ 1 หาซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท . 3. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ต้องหาที่ 1 ได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท . การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และจากการสืบสวนสอบสวนพบผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ดังนี้ . 1. หลังจากผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายจำนวน 71 ล้านบาทเศษ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้โอนเงินจำนวน 71 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของตนเองไปยังบัญชีอื่นของตนเองอีก 2 ทอด เพื่อชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ต้องหาที่ 2 . 2. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับมอบเงินสดของผู้เสียหายที่หลอกลวงเป็นค่าเขียนแบบโรงแรมจำนวน 9,000,000 บาทได้แบ่งเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท ไปมอบให้แก่พี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 ก่อนพี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 นำไปเข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง . ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา . ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจาก ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดีและเป็นผู้ที่สังคมให้ความเชื่อถือ แต่กลับมีการกระทำผิดหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกัน ในลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นบุคคลใกล้ชิดและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ย่อมรู้เห็นการกระทำผิดและร่วมกระทำความผิดฟอกเงินกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ดังนี้ . ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ให้พยานบุคคลที่สำคัญในคดีให้การต่อพนักงานสอบสวนในลักษณะปกปิดข้อเท็จจริงการกระทำความผิดของตนผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์สำคัญบางประการ ทำให้พยานเกิดความเกรงกลัวภายในอันตรายที่จะเกิดกับพยานหรือตัวครอบครัวเพื่อไม่ให้พยานมาให้การหรือไม่ให้การข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อคดี ผู้ต้องหาที่ 1 มีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้เสียหายและพยานบุคคลที่มาให้การต่อพนักงานสอบสวนเกิดความไม่มั่นใจและไม่ไว้วางใจการทำงานของพนักงานสอบสวน . จากการสืบสวนพบว่าก่อนที่จะมาจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และบุคคลใกล้ชิดมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ใช้อยู่ประจำได้ปิดสัญญาณไป และขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์มือถือผู้ต้องหาที่ 1 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องหาที่ 2 ส่วนโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 2 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวผู้ต้องหาที่ 2 การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ทำให้ยากแก่การติดต่อหรือติดตามตัวและค้นหาพยานหลักฐานในโทรศัพท์ ทั้งนี้ จากการตรวจค้นหาพยานหลักฐานที่บ้านพักผู้ต้องหาที่ 1- 2 พบว่าภายในบ้านมีตู้นิรภัยขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ติดตั้งหลบซ่อน ทำให้ยากต่อการมองเห็นจากบุคคลภายนอก เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นเปิดตู้นิรภัยดังกล่าว พบว่ามีร่องรอยผ่านการเก็บทรัพย์สินแล้ว จึงไม่พบทรัพย์สินมีค่าใดๆ อยู่ภายในตู้ดังกล่าว น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1 -2 ได้ร่วมกันยักย้ายทรัพย์สินออกไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจค้น . และขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมขณะผู้ต้องหาที่ 1 -2 ขับรถยนต์อยู่บริเวณถนนสายกบินทร์บุรี-ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าไปทางชายแดนประเทศกัมพูชาและพบกระเป๋าเดินทางภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ต้องหาที่ 1- 2 มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ . ประกอบกับคดีที่ผู้ต้องหาที่ 1 -2 ถูกตั้งข้อหาจับกุมมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปีในคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้กระทำความผิดฉ้อโกงและได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายจำนวนทั้งสิ้น 78,097,764.70 บาท ซึ่งเป็นความเสียหายมูลค่าสูง จากเหตุผลดังกล่าว หากผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1-2 น่าจะหลบหนีเข้าไปยุ่งหรือพยานหลักฐาน และจะเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูงและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องการผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย . ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังตามคำร้อง . ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทนายของผู้ต้องหาที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอประกัน พร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท รวมทั้งยื่นเงื่อนไขให้ศาล ติดกำไลอีเอ็ม รวมทั้งห้ามออกนอกประเทศ และมารายงานตัวตามนัดทุกครั้ง ล่าสุด ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 761 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อคืน “ทนายตั้ม” นอนซังเต
    หลังกองปราบสอบ 11 ชม.
    .
    ตำรวจกองปราบคุมตัวทนายตั้มเข้าห้องขัง หลังสอบมาราธอน 11 ชั่วโมง
    .
    จากกรณีตำรวจกองปราบติดตามจับกุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกง , ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิด ฐานฟอกเงิน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ได้ที่ ต.แสนภูดาษ อ.บ้านโพธิ์ ฉะเชิงเทรา เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา ก่อนควบคุมตัวมาสอบปากคำ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)
    .
    ล่าสุดเมื่อเวลา 00.20 น.วันที่ 8 พ.ย.ที่อาคารกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายหลังการสอบปากคำกว่า 11 ชั่วโมง พนักงานสอบสวนร่วมกันควบคุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด (สวมเสื้อเชิ๊ตเเขสั้นสีขาว กางเกงยีน) พร้อมนางปทิตตา ฯ (เสื้อยืดสีดำ) สองสามีภรรยา ลงจากห้องสอบสวน เพื่อนำตัวเข้าห้องขังที่บริเวณชั้น 1 บก.ป.
    .
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าที่ทนายตั้ม จะลงมาห้องขัง ได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ว่า "ยังมีนักข่าวเฝ้าอยู่หรือไม่" เนื่องจากไม่อยากเจอสื่อมวลชน โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบจึงขอความร่วมมือกับสื่อมวลชนให้ออกมาเฝ้าสังเกตุการณ์ด้านนอกอาคารแทน กระทั่งผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าควบคุมตัวทนายตั้ม เดินลงจากห้องสอบสวน โดยทนายตั้ม มีสีหน้าอิฐโรย และพยายามเหลือบมองสื่อมวลชน รวมถึงนางปทิตตา ก็ได้เดินก้มหน้า ก่อนทั้งสองจะถูกนำตัวเข้าห้องขังไปทันที .
    .
    ด้าน นาย สายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของทนายตั้ม เปิดเผยว่าทนายตั้มไม่เครียดกับการถูกดำเนินคดี พร้อมทั้งยังเตรียมตัวถูกจับกุมจากตำรวจมาเป็นเวลานานถึง 5 วัน โดยใส่สูทแต่งตัวรอให้ถูกจับกุมอยู่ที่บ้านตลอดเวลา กระทั่งวันนี้เห็นว่ายังไม่มีการออกหมายจับจึงเดินทางไปทำบุญที่วัดในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี ซึ่งมีความบริสุทธิ์ใจสังเกตได้จากการแต่งตัวและเสื้อผ้า ที่ทั้งสองคนวางแผนว่าจะไปนอนทำวัตรเย็นที่วัดและเดินทางกลับบ้าน ไม่ได้จะเดินทางหนีออกไปยังชายแดนอย่างที่ทุกคนตั้งข้อสังเกต แต่ยอมรับว่าภรรยาของทนายสิทธามีอาการเครียด เนื่องจากเป็นผู้หญิงและไม่คิดว่าจะต้องถูกดำเนินคดีเข้าเรือนจำ
    .
    ส่วนแนวทางการต่อสู้คดี ยืนยันว่าตนเองและทนายตั้มได้เตรียมพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารหลักฐานสัญญาไว้อย่างละเอียดแล้ว และเชื่อว่าจะสามารถนำไปต่อสู้คดีในชั้นศาลได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและการตีความกฎหมาย นอกจากนี้จะหารือกับญาติของลูกความทั้งสองคนว่าจะเตรียมหลักทรัพย์ในการประกันตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนไว้อย่างไร
    ..............
    Sondhi X
    เมื่อคืน “ทนายตั้ม” นอนซังเต หลังกองปราบสอบ 11 ชม. . ตำรวจกองปราบคุมตัวทนายตั้มเข้าห้องขัง หลังสอบมาราธอน 11 ชั่วโมง . จากกรณีตำรวจกองปราบติดตามจับกุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกง , ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิด ฐานฟอกเงิน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ได้ที่ ต.แสนภูดาษ อ.บ้านโพธิ์ ฉะเชิงเทรา เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา ก่อนควบคุมตัวมาสอบปากคำ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) . ล่าสุดเมื่อเวลา 00.20 น.วันที่ 8 พ.ย.ที่อาคารกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายหลังการสอบปากคำกว่า 11 ชั่วโมง พนักงานสอบสวนร่วมกันควบคุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด (สวมเสื้อเชิ๊ตเเขสั้นสีขาว กางเกงยีน) พร้อมนางปทิตตา ฯ (เสื้อยืดสีดำ) สองสามีภรรยา ลงจากห้องสอบสวน เพื่อนำตัวเข้าห้องขังที่บริเวณชั้น 1 บก.ป. . ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าที่ทนายตั้ม จะลงมาห้องขัง ได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ว่า "ยังมีนักข่าวเฝ้าอยู่หรือไม่" เนื่องจากไม่อยากเจอสื่อมวลชน โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบจึงขอความร่วมมือกับสื่อมวลชนให้ออกมาเฝ้าสังเกตุการณ์ด้านนอกอาคารแทน กระทั่งผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าควบคุมตัวทนายตั้ม เดินลงจากห้องสอบสวน โดยทนายตั้ม มีสีหน้าอิฐโรย และพยายามเหลือบมองสื่อมวลชน รวมถึงนางปทิตตา ก็ได้เดินก้มหน้า ก่อนทั้งสองจะถูกนำตัวเข้าห้องขังไปทันที . . ด้าน นาย สายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของทนายตั้ม เปิดเผยว่าทนายตั้มไม่เครียดกับการถูกดำเนินคดี พร้อมทั้งยังเตรียมตัวถูกจับกุมจากตำรวจมาเป็นเวลานานถึง 5 วัน โดยใส่สูทแต่งตัวรอให้ถูกจับกุมอยู่ที่บ้านตลอดเวลา กระทั่งวันนี้เห็นว่ายังไม่มีการออกหมายจับจึงเดินทางไปทำบุญที่วัดในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี ซึ่งมีความบริสุทธิ์ใจสังเกตได้จากการแต่งตัวและเสื้อผ้า ที่ทั้งสองคนวางแผนว่าจะไปนอนทำวัตรเย็นที่วัดและเดินทางกลับบ้าน ไม่ได้จะเดินทางหนีออกไปยังชายแดนอย่างที่ทุกคนตั้งข้อสังเกต แต่ยอมรับว่าภรรยาของทนายสิทธามีอาการเครียด เนื่องจากเป็นผู้หญิงและไม่คิดว่าจะต้องถูกดำเนินคดีเข้าเรือนจำ . ส่วนแนวทางการต่อสู้คดี ยืนยันว่าตนเองและทนายตั้มได้เตรียมพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารหลักฐานสัญญาไว้อย่างละเอียดแล้ว และเชื่อว่าจะสามารถนำไปต่อสู้คดีในชั้นศาลได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและการตีความกฎหมาย นอกจากนี้จะหารือกับญาติของลูกความทั้งสองคนว่าจะเตรียมหลักทรัพย์ในการประกันตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนไว้อย่างไร .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Wow
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 635 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่างกล้า ! "ทนายตั้ม" เสนอ 20 ล้าน ฟาดหัว "บิ๊กตำรวจ" ให้ช่วยเป่าคดี
    (07/11/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ษิทราเบี้ยบังเกิด #เจ๊อ้อย #มาดามอ้อย #ฉ้อโกง #จับทนายตั้ม #ฟอกเงิน #ร่วมกันฟอกเงิน
    ช่างกล้า ! "ทนายตั้ม" เสนอ 20 ล้าน ฟาดหัว "บิ๊กตำรวจ" ให้ช่วยเป่าคดี (07/11/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ษิทราเบี้ยบังเกิด #เจ๊อ้อย #มาดามอ้อย #ฉ้อโกง #จับทนายตั้ม #ฟอกเงิน #ร่วมกันฟอกเงิน
    Like
    Haha
    Wow
    Yay
    Sad
    37
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1508 มุมมอง 1326 0 รีวิว
  • ตำรวจกองปราบคุมตัว "ทนายตั้ม" พร้อมภรรยามาสอบสวน ค้นรถพบกระเป๋าเดินทาง-เครื่องนอน ด้านเจ้าตัวปัดตอบสื่อดื่มเยี่ยว 71 แก้ววันไหน

    วันนี้ (7 พ.ย.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ควบคุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.2567 ข้อหา "ฉ้อโกง , ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบฟอกเงิน" และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย. 2567 ข้อหา "ร่วมกันฟอกเงิน" มาสอบสวนที่กองปราบปราม ภายหลังจับกุมทั้งคู่ได้ขณะขับรถยนตร์หรูยี่ห้อ PORSCHE รุ่น Cayenne ทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร ใน อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา

    โดยทนายตั้มมีสีหน้าเรียบเฉย ส่วนทางด้านภรรยาปกปิดใบหน้า ด้วยแว่นกันแดดสีดำและแมสก์ อย่างไรก็ตามระหว่างที่คุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามว่า มีอะไรอยากจะพูดหรือไม่, จะดื่มเยี่ยว(ปัสสาวะ) 71 แก้ววันไหน, กังวลหรือไม่ แต่ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ไม่ตอบคำถามใด ๆ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปยังตัวอาคารเพื่อสอบปากคำตามกระบวนการกฎหมาย

    ทั้งนี้ในการควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 รายมาสอบปากคำ ก็ได้มีการยึดรถยนตร์หรูยี่ห้อ PORSCHE รุ่น Cayenne ซึ่งภายในรถพบกระเป๋าเดินทาง พร้อมเครื่องนอน และเอกสาร 1 ซอง อยู่ด้านหลังรถ

    เบื้องต้นในชั้นพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย เนื่องจากคดีดังกล่าวมีอัตราโทษสูง

    ทั้งนี้สืบเนื่องจากน.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือพี่อ้อย เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ นายษิทธา หลังก่อเหตุหลอกลงทุนสลากออนไลน์ 71 ล้านบาท ,อ้างสแกมเมอร์ 39 ล้าน ,ซื้อรถเบนซ์ 13 ล้าน และจ้างออกแบบโรงแรมอีก 9 ล้านบาท ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ขอหมายจับศาลอาญารัชดาฯ จนศาลออกหมายจับเมื่อช่วงเช้ากระทั่งพบว่าทนายตั้มและภรรยาได้ขับรถPORSCHE ออกจากบ้านพัก เบื้องต้นรายงานว่าจะไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งใน จ.สระแก้ว จึงนำกำลังจับกุมได้ดังกล่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000107298

    #MGROnline #ทนายตั้ม
    ตำรวจกองปราบคุมตัว "ทนายตั้ม" พร้อมภรรยามาสอบสวน ค้นรถพบกระเป๋าเดินทาง-เครื่องนอน ด้านเจ้าตัวปัดตอบสื่อดื่มเยี่ยว 71 แก้ววันไหน • วันนี้ (7 พ.ย.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ควบคุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.2567 ข้อหา "ฉ้อโกง , ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบฟอกเงิน" และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย. 2567 ข้อหา "ร่วมกันฟอกเงิน" มาสอบสวนที่กองปราบปราม ภายหลังจับกุมทั้งคู่ได้ขณะขับรถยนตร์หรูยี่ห้อ PORSCHE รุ่น Cayenne ทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร ใน อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา • โดยทนายตั้มมีสีหน้าเรียบเฉย ส่วนทางด้านภรรยาปกปิดใบหน้า ด้วยแว่นกันแดดสีดำและแมสก์ อย่างไรก็ตามระหว่างที่คุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามว่า มีอะไรอยากจะพูดหรือไม่, จะดื่มเยี่ยว(ปัสสาวะ) 71 แก้ววันไหน, กังวลหรือไม่ แต่ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ไม่ตอบคำถามใด ๆ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปยังตัวอาคารเพื่อสอบปากคำตามกระบวนการกฎหมาย • ทั้งนี้ในการควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 รายมาสอบปากคำ ก็ได้มีการยึดรถยนตร์หรูยี่ห้อ PORSCHE รุ่น Cayenne ซึ่งภายในรถพบกระเป๋าเดินทาง พร้อมเครื่องนอน และเอกสาร 1 ซอง อยู่ด้านหลังรถ • เบื้องต้นในชั้นพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย เนื่องจากคดีดังกล่าวมีอัตราโทษสูง • ทั้งนี้สืบเนื่องจากน.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือพี่อ้อย เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ นายษิทธา หลังก่อเหตุหลอกลงทุนสลากออนไลน์ 71 ล้านบาท ,อ้างสแกมเมอร์ 39 ล้าน ,ซื้อรถเบนซ์ 13 ล้าน และจ้างออกแบบโรงแรมอีก 9 ล้านบาท ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ขอหมายจับศาลอาญารัชดาฯ จนศาลออกหมายจับเมื่อช่วงเช้ากระทั่งพบว่าทนายตั้มและภรรยาได้ขับรถPORSCHE ออกจากบ้านพัก เบื้องต้นรายงานว่าจะไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งใน จ.สระแก้ว จึงนำกำลังจับกุมได้ดังกล่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000107298 • #MGROnline #ทนายตั้ม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจสอบสวนกลาง รวบ "ทนายตั้ม" พร้อมภรรยา ขณะขับปอร์เช่กลางถนน หลังพบพากันขยับหลบหนีไปพื้นที่ อ.พนมสารคาม แจ้งข้อหาหนักฐานฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน หิ้วตัวเข้ากองปราบเค้นสอบ

    วันนี้ (7 พ.ย.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์ุเพ็ชร์ ผบ.ตร.และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ 238/2567 นำพยานและหลักฐาน ไปยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ในข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน

    นอกจากนี้ยัง ยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา "ทนายตั้ม" ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน จากคดีที่มาดามอ้อย เข้าแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม รวบตัวเอาไว้ได้ขณะพากัน ขับขี่รถเก๋งปอร์เช่รุ่น Cayenne สีน้ำตาลทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออกผ่านอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะนำตัวทั้ง 2 ราย เข้าไปสอบปากคำดำเนินคดีที่กอง

    #MGROnline #ทนายตั้ม #ทนายตั้มโดนจับ
    ตำรวจสอบสวนกลาง รวบ "ทนายตั้ม" พร้อมภรรยา ขณะขับปอร์เช่กลางถนน หลังพบพากันขยับหลบหนีไปพื้นที่ อ.พนมสารคาม แจ้งข้อหาหนักฐานฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน หิ้วตัวเข้ากองปราบเค้นสอบ • วันนี้ (7 พ.ย.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์ุเพ็ชร์ ผบ.ตร.และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ 238/2567 นำพยานและหลักฐาน ไปยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ในข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน • นอกจากนี้ยัง ยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา "ทนายตั้ม" ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน จากคดีที่มาดามอ้อย เข้าแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม รวบตัวเอาไว้ได้ขณะพากัน ขับขี่รถเก๋งปอร์เช่รุ่น Cayenne สีน้ำตาลทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออกผ่านอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะนำตัวทั้ง 2 ราย เข้าไปสอบปากคำดำเนินคดีที่กอง • #MGROnline #ทนายตั้ม #ทนายตั้มโดนจับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว

  • จ่อจับล็อต2โกงเงิน "เจ้อ้อย" ค้นบ้านหรูทนายตั้ม (07/11/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง#ฉ้อโกง #จับทนายตั้ม #ฟอกเงิน #ร่วมกันฟอกเงิน #ค้นบ้านทนายตั้ม #ทนายหรือโจร
    จ่อจับล็อต2โกงเงิน "เจ้อ้อย" ค้นบ้านหรูทนายตั้ม (07/11/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง#ฉ้อโกง #จับทนายตั้ม #ฟอกเงิน #ร่วมกันฟอกเงิน #ค้นบ้านทนายตั้ม #ทนายหรือโจร
    Like
    Love
    21
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1259 มุมมอง 524 0 รีวิว

  • คลิป!นาทีรวบตัว! ทนายตั้มและเมีย คาแยกไฟแดง (07/11/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ษิทราเบี้ยบังเกิด #เจ๊อ้อย #มาดามอ้อย #ฉ้อโกง #จับทนายตั้ม #ฟอกเงิน #ร่วมกันฟอกเงิน
    คลิป!นาทีรวบตัว! ทนายตั้มและเมีย คาแยกไฟแดง (07/11/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ษิทราเบี้ยบังเกิด #เจ๊อ้อย #มาดามอ้อย #ฉ้อโกง #จับทนายตั้ม #ฟอกเงิน #ร่วมกันฟอกเงิน
    Like
    Wow
    Haha
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1260 มุมมอง 351 0 รีวิว
  • ทนายตั้ม ถูกจับพร้อมภรรยา ใกล้แยกพนมสารคาม ฉะเชิงเทรา ฝั่งขาออกจากกรุงเทพ
    ตร.กองปราบตั้งข้อหาหนัก ฉ้อโกง , ฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน
    ทนายตั้ม ถูกจับพร้อมภรรยา ใกล้แยกพนมสารคาม ฉะเชิงเทรา ฝั่งขาออกจากกรุงเทพ ตร.กองปราบตั้งข้อหาหนัก ฉ้อโกง , ฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจสอบสวนกลาง รวบทนายตั้มพร้อมภรรยา แจ้งข้อหาหนักหลังพบพากันขยับหลบหนีไปในพื้นที่พนมสารคาม ฐาน ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน หิ้วตัวเข้ากองปราบเค้นสอบ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000107225

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ตำรวจสอบสวนกลาง รวบทนายตั้มพร้อมภรรยา แจ้งข้อหาหนักหลังพบพากันขยับหลบหนีไปในพื้นที่พนมสารคาม ฐาน ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน หิ้วตัวเข้ากองปราบเค้นสอบ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000107225 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Yay
    12
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2024 มุมมอง 0 รีวิว

  • จับแล้ว "ทนายตั้ม-เมีย" !ตำรวจตั้ง 3 ข้อหาหนัก “ฉ้อโกง-ฟอกเงิน-ร่วมกันฟอกเงิน”

    7 พฤศจิกายน 2567-รายงานข่าวSondhiX ระบุว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ 238/2567 นำพยานและหลักฐาน ไปยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5337/2567 ลง วันที่ 7 พ.ย. 67 เพื่อให้จับกุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ในข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน
    .
    นอกจากนี้ยัง ยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา "ทนายตั้ม" ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน จากคดีที่มาดามอ้อย เข้าแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม รวบตัวเอาไว้ได้ขณะพากัน ขับขี่รถเก๋งปอร์เช่รุ่น Cayenne สีน้ำตาลทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออกผ่านอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะนำตัวทั้ง 2 ราย เข้าไปสอบปากคำดำเนินคดีที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในช่วงเย็นต่อไป

    ที่มา Sondhi X

    #Thaitimes
    จับแล้ว "ทนายตั้ม-เมีย" !ตำรวจตั้ง 3 ข้อหาหนัก “ฉ้อโกง-ฟอกเงิน-ร่วมกันฟอกเงิน” 7 พฤศจิกายน 2567-รายงานข่าวSondhiX ระบุว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ 238/2567 นำพยานและหลักฐาน ไปยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5337/2567 ลง วันที่ 7 พ.ย. 67 เพื่อให้จับกุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ในข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน . นอกจากนี้ยัง ยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา "ทนายตั้ม" ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน จากคดีที่มาดามอ้อย เข้าแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม รวบตัวเอาไว้ได้ขณะพากัน ขับขี่รถเก๋งปอร์เช่รุ่น Cayenne สีน้ำตาลทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออกผ่านอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะนำตัวทั้ง 2 ราย เข้าไปสอบปากคำดำเนินคดีที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในช่วงเย็นต่อไป ที่มา Sondhi X #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 536 มุมมอง 0 รีวิว