• อสส.สั่งฟ้องทนายตั้มและพวก ชดใช้คืน 111 ล้าน (30/01/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #สั่งฟ้องทนายตั้มและพวก #ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ #ร่วมกันฟอกเงิน #สมคบกันฟอกเงิน
    อสส.สั่งฟ้องทนายตั้มและพวก ชดใช้คืน 111 ล้าน (30/01/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #สั่งฟ้องทนายตั้มและพวก #ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ #ร่วมกันฟอกเงิน #สมคบกันฟอกเงิน
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 12 1 รีวิว
  • รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยสำนักงานคดีพิเศษ สั่งฟ้องทนายตั้ม ฉ้อโกง-ฟอกเงิน ทั้งสำนวนทำผิดในประเทศและนอกประเทศ รวมทั้งภรรยา พี่สาว และพวก รวมทั้งพนักงานโชว์รูมรถยนต์ รวมผู้ต้องหา 7 ราย พร้อมขอศาลสั่งให้กลุ่มผู้ต้องหาชดใช้เงินคุณอ้อย ทั้งแอปฯ หวยออนไลน์ ส่วนต่างรถเบนซ์ และสแกมเมอร์ทิพย์ รวม 111 ล้านบาท
    .
    วันนี้ (30 ม.ค.) นายกุญช์ฐาน์ ทัดทูน รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนการสอบสวนคดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม จากพนักงานสอบสวนกองปราบปราม จำนวน 2 สำนวน เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2568 และได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานร่วมกันพิจารณา บัดนี้ สำนักงานคดีพิเศษ ได้พิจารณาสำนวนดังกล่าวและมีคำสั่ง ได้แก่ สำนวนที่ 1 (สำนวนที่กระทำความผิดในราชอาณาจักร กรณีการออกแบบโรงแรม) ที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ เศรษฐีชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และ พ.ต.ต.สันติชัย ศรีสวัสดิ์ สารวัตร กก.3 บก.ป. ผู้กล่าวหา กับนายษิทรา และ น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ หรือดาว พี่สาวภรรยานายษิทรา พนักงานอัยการสั่งฟ้อง นายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานฉ้อโกง ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18), 5, 9 วรรคสอง และมาตรา 60 และสั่งฟ้อง น.ส.ปิณฑิรา ผู้ต้องหาที่ 2 ฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18), 5, 9 วรรคสอง และมาตรา 60
    .
    สำนวนที่ 2 น.ส.จตุพร กับพวกรวม 4 คน ผู้กล่าวหา นายษิทรา, นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยานายษิทรา, นายนุวัฒน์ ยงยุทธ กับ น.ส.สารินี นุชนารถ สองสามีภรรยากรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ, น.ส.ปิณฑิรา พี่สาวภรรยานายษิทรา, น.ส.แก้วสวรรค์ สุขผล และ น.ส.วมนันพัทธ์ รามธีรพัฒน์ พนักงานโชว์รูมรถยนต์ รวมผู้ต้องหา 7 ราย เหตุเกิดระหว่างวันที่ 16 ก.พ. 2566 ถึงวันที่ 6 ก.พ. 2567 ในหลายท้องที่ในราชอาณาจักร เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ประเทศจีน และประเทศฝรั่งเศส เกี่ยวพันกัน สำนวนคดีนี้เป็นความผิดที่กระทำนอกราชอาณาจักรไทย ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจการสอบสวนของอัยการสูงสุด โดยอัยการสูงสุดได้มอบหมายให้พนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวน ทำการสอบสวนร่วมกับพนักงานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งอัยการสูงสุด มีคำสั่งดังนี้
    .
    1. สั่งฟ้องนายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานฉ้อโกง (กรณีหลอกให้ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์) ฉ้อโกงโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม (กรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่างในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400) ร่วมกันฉ้อโกง, โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ), สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3, 83, 84, 91, 137, 173, 264, 265, 267, 268, 341, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1), พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60, 
    .
    2. สั่งฟ้องนางปทิตตา ผู้ต้องหาที่ 2 และ น.ส.ปิณฑิรา ผู้ต้องหาที่ 5 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60  
    .
    3. สั่งฟ้องนายนุวัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 3 และ น.ส.สารินี ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานร่วมกันฉ้อโกง โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ), สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 137, 173, 267, 268, 341, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1), พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60,        
    .
    4. สั่งฟ้อง น.ส.แก้วสวรรค์ ผู้ต้องหาที่ 6 และ น.ส.มนันพัทธ์ ผู้ต้องหาที่ 7 ฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 264, 265 
    .
    5. ขอศาลสั่งให้นายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 คืนหรือชดใช้เงิน จำนวน 72,597,764.70 บาท แก่ผู้เสียหาย กรณีหลอกให้ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์ และกรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่างในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 และขอศาลสั่งให้ผู้ต้องหาที่ 1, ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันคืนหรือชดใช้เงินอีก จำนวน 39,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009738
    .........
    Sondhi X
    รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยสำนักงานคดีพิเศษ สั่งฟ้องทนายตั้ม ฉ้อโกง-ฟอกเงิน ทั้งสำนวนทำผิดในประเทศและนอกประเทศ รวมทั้งภรรยา พี่สาว และพวก รวมทั้งพนักงานโชว์รูมรถยนต์ รวมผู้ต้องหา 7 ราย พร้อมขอศาลสั่งให้กลุ่มผู้ต้องหาชดใช้เงินคุณอ้อย ทั้งแอปฯ หวยออนไลน์ ส่วนต่างรถเบนซ์ และสแกมเมอร์ทิพย์ รวม 111 ล้านบาท . วันนี้ (30 ม.ค.) นายกุญช์ฐาน์ ทัดทูน รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนการสอบสวนคดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม จากพนักงานสอบสวนกองปราบปราม จำนวน 2 สำนวน เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2568 และได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานร่วมกันพิจารณา บัดนี้ สำนักงานคดีพิเศษ ได้พิจารณาสำนวนดังกล่าวและมีคำสั่ง ได้แก่ สำนวนที่ 1 (สำนวนที่กระทำความผิดในราชอาณาจักร กรณีการออกแบบโรงแรม) ที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ เศรษฐีชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และ พ.ต.ต.สันติชัย ศรีสวัสดิ์ สารวัตร กก.3 บก.ป. ผู้กล่าวหา กับนายษิทรา และ น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ หรือดาว พี่สาวภรรยานายษิทรา พนักงานอัยการสั่งฟ้อง นายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานฉ้อโกง ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18), 5, 9 วรรคสอง และมาตรา 60 และสั่งฟ้อง น.ส.ปิณฑิรา ผู้ต้องหาที่ 2 ฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18), 5, 9 วรรคสอง และมาตรา 60 . สำนวนที่ 2 น.ส.จตุพร กับพวกรวม 4 คน ผู้กล่าวหา นายษิทรา, นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยานายษิทรา, นายนุวัฒน์ ยงยุทธ กับ น.ส.สารินี นุชนารถ สองสามีภรรยากรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ, น.ส.ปิณฑิรา พี่สาวภรรยานายษิทรา, น.ส.แก้วสวรรค์ สุขผล และ น.ส.วมนันพัทธ์ รามธีรพัฒน์ พนักงานโชว์รูมรถยนต์ รวมผู้ต้องหา 7 ราย เหตุเกิดระหว่างวันที่ 16 ก.พ. 2566 ถึงวันที่ 6 ก.พ. 2567 ในหลายท้องที่ในราชอาณาจักร เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ประเทศจีน และประเทศฝรั่งเศส เกี่ยวพันกัน สำนวนคดีนี้เป็นความผิดที่กระทำนอกราชอาณาจักรไทย ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจการสอบสวนของอัยการสูงสุด โดยอัยการสูงสุดได้มอบหมายให้พนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวน ทำการสอบสวนร่วมกับพนักงานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งอัยการสูงสุด มีคำสั่งดังนี้ . 1. สั่งฟ้องนายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานฉ้อโกง (กรณีหลอกให้ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์) ฉ้อโกงโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม (กรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่างในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400) ร่วมกันฉ้อโกง, โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ), สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3, 83, 84, 91, 137, 173, 264, 265, 267, 268, 341, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1), พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60,  . 2. สั่งฟ้องนางปทิตตา ผู้ต้องหาที่ 2 และ น.ส.ปิณฑิรา ผู้ต้องหาที่ 5 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60   . 3. สั่งฟ้องนายนุวัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 3 และ น.ส.สารินี ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานร่วมกันฉ้อโกง โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ), สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 137, 173, 267, 268, 341, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1), พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60,         . 4. สั่งฟ้อง น.ส.แก้วสวรรค์ ผู้ต้องหาที่ 6 และ น.ส.มนันพัทธ์ ผู้ต้องหาที่ 7 ฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 264, 265  . 5. ขอศาลสั่งให้นายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 คืนหรือชดใช้เงิน จำนวน 72,597,764.70 บาท แก่ผู้เสียหาย กรณีหลอกให้ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์ และกรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่างในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 และขอศาลสั่งให้ผู้ต้องหาที่ 1, ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันคืนหรือชดใช้เงินอีก จำนวน 39,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009738 ......... Sondhi X
    Like
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 1 รีวิว
  • กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งข้อหาเพิ่ม บอสพอล และแจ้งพฤติการณ์เพิ่มเติม สามารถ-แม่ กรณีสมคบและร่วมกันฟอกเงิน จากการโอนและรับเงินโดยใช้บัญชีแม่ อีกด้าน ปปง.มีมติให้ยื่นคำร้องยึดทรัพย์ดิไอคอนฯ 286 ล้าน แต่เพิกถอนอายัด 29 ล้าน ระบุไม่ใช่ทรัพย์สินเอี่ยวกระทำความผิด
    .
    วันนี้ (23 ม.ค.) ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน กองคดีการฟอกเงินทางอาญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เดินทางไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด นายวรัตน์พล วรัตน์วรกุล หรือบอสพอล อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และแจ้งพฤติการณ์เพิ่มเติมกับ นายสามารถ เจนชัยจิตรวณิช อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ และนางวิลาวัลย์ พุทธสัมฤทธิ์ มารดานายสามารถ ในข้อหาสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปี 2542 ตามที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ
    .
    สืบเนื่องจากคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์โอนเงิน และรับโอนเงินที่ได้จากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ปฯ โดยพบเส้นทางการเงินระหว่างนายวรัตน์พล กับนายสามารถ โดยใช้บัญชีของนางวิลาวัลย์ และผู้เกี่ยวข้องอีก 1 ราย ในการรับโอนเงิน ซึ่งเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2567 นายระวี อักษรศิริ ผู้อำนวยการกองคดีการฟอกเงินทางอาญา ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อขออนุมัติหมายจับ และสามารถจับกุมตัวนายสามารถ และนางวิลาวัลย์ดังกล่าว
    .
    ด้านนายวิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และโฆษกประจำสำนักงาน ปปง. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ซึ่งมีนายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. เป็นกรรมการและเลขานุการ ในช่วงเดือน ธ.ค. 2567 ถึง ม.ค. 2568 มีมติให้พนักงานอัยการยื่นคำร้อง ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ในรายคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ปฯ กับพวก ตามคำสั่งที่ ย.214/2567, ย. 222/2567, ย.223/2567, ย.224/2567 และ ย.225/2567 รวม 103 รายการ มูลค่าประมาณ 286 ล้านบาท และมีมติให้เพิกถอนการยึดอายัดทรัพย์สินจำนวน 40 รายการ มูลค่ารวมประมาณ 29 ล้านบาท เนื่องจากผู้มีส่วนได้เสียสามารถแสดงหลักฐานว่าเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกดำเนินการ ไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000007346
    ...........
    Sondhi X
    กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งข้อหาเพิ่ม บอสพอล และแจ้งพฤติการณ์เพิ่มเติม สามารถ-แม่ กรณีสมคบและร่วมกันฟอกเงิน จากการโอนและรับเงินโดยใช้บัญชีแม่ อีกด้าน ปปง.มีมติให้ยื่นคำร้องยึดทรัพย์ดิไอคอนฯ 286 ล้าน แต่เพิกถอนอายัด 29 ล้าน ระบุไม่ใช่ทรัพย์สินเอี่ยวกระทำความผิด . วันนี้ (23 ม.ค.) ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน กองคดีการฟอกเงินทางอาญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เดินทางไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด นายวรัตน์พล วรัตน์วรกุล หรือบอสพอล อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และแจ้งพฤติการณ์เพิ่มเติมกับ นายสามารถ เจนชัยจิตรวณิช อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ และนางวิลาวัลย์ พุทธสัมฤทธิ์ มารดานายสามารถ ในข้อหาสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปี 2542 ตามที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ . สืบเนื่องจากคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์โอนเงิน และรับโอนเงินที่ได้จากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ปฯ โดยพบเส้นทางการเงินระหว่างนายวรัตน์พล กับนายสามารถ โดยใช้บัญชีของนางวิลาวัลย์ และผู้เกี่ยวข้องอีก 1 ราย ในการรับโอนเงิน ซึ่งเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2567 นายระวี อักษรศิริ ผู้อำนวยการกองคดีการฟอกเงินทางอาญา ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อขออนุมัติหมายจับ และสามารถจับกุมตัวนายสามารถ และนางวิลาวัลย์ดังกล่าว . ด้านนายวิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และโฆษกประจำสำนักงาน ปปง. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ซึ่งมีนายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. เป็นกรรมการและเลขานุการ ในช่วงเดือน ธ.ค. 2567 ถึง ม.ค. 2568 มีมติให้พนักงานอัยการยื่นคำร้อง ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ในรายคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ปฯ กับพวก ตามคำสั่งที่ ย.214/2567, ย. 222/2567, ย.223/2567, ย.224/2567 และ ย.225/2567 รวม 103 รายการ มูลค่าประมาณ 286 ล้านบาท และมีมติให้เพิกถอนการยึดอายัดทรัพย์สินจำนวน 40 รายการ มูลค่ารวมประมาณ 29 ล้านบาท เนื่องจากผู้มีส่วนได้เสียสามารถแสดงหลักฐานว่าเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกดำเนินการ ไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000007346 ........... Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    18
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1556 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส่งสำนวน "ทนายตั้ม-พวก" ฉ้อโกง-ฟอกเงิน 4 คดีให้อัยการแล้ว เคาะสั่งฟ้องต่อศาลก่อนครบฝากขัง
    .
    กองปราบฯ ส่งสำนวนคดีทนายตั้มร่วมฉ้อโกง-ฟอกเงิน ให้อัยการพิเศษสั่งฟ้องต่อศาลก่อนสิ้นเดือนนี้ ครบกำหนดฝากขัง 30 ม.ค.นี้ พบมีผู้ต้องหาเพิ่มอีก 2 คน เป็นพนักงานโชว์รูมปลอมเอกสาร ส่วนคดีพินัยกรรมยังไม่พบทุจริต
    .
    วันนี้ (17 ม.ค.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชเาภิเษก พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ นามพุทธา ผกก.สอบสวน กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พร้อมคณะพนักงานสอบสวน บก.ป. นำสำนวนการสอบสวนที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ผู้เสียหายได้กล่าวหา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี กับพวกรวม 7 คน คดีร่วมกันฉ้อโกง และฟอกเงิน มีสำนวนรวม 9,317 แผ่น พร้อมความเห็นทางสมควรสั่งฟ้องนายษิทรา, นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม, น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ พี่สาวภรรยาของทนายตั้ม, นายนุวัฒน์ ยงยุทธ หรือนุ อายุ 34 ปี คนสนิททนายตั้ม, น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาวของนุ และพนักงานของโชว์รูมรถยนต์ 2 คน ที่ร่วมมือกับทนายตั้มในการปลอมแปลงเอกสาร รวมผู้ต้องหา 7 คน ในคดีฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ไปมอบให้นายณัฐพงษ์ พุฒแก้ว รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคดีพิเศษ เป็นผู้รับสำนวนการสอบสวนไว้พิจารณา
    .
    พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวว่า สำนวนคดีทนายตั้มแบ่งเป็น 2 สำนวน คือ สำนวนที่กระทำความผิดในราชอาณาจักร และกระทำผิดนอกราชอาณาจักร โดยการกระทำผิดนอกราชอาณาจักรมี 3 เรื่อง คือ ฉ้อโกงเกี่ยวกับแพลตฟอร์มสลากออนไลน์ ความเสียหาย 71 ล้านบาทเศษ, คดีกระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ ความเสียหาย 39 ล้านบาทเศษ และสำนวนคดีซื้อรถเบนซ์ จี 400 เพื่อรับประโยชน์จากเงินส่วนต่าง จำนวน 1,530,000 บาท ส่วนการกระทำผิดในราชอาณาจักร คดีการออกแบบโรงแรม ได้ส่วนต่าง 5,500,000 บาท สำหรับการส่งสำนวน 4 เรื่อง มีผู้ต้องหาทั้งหมด 7 คนที่ร่วมกับทนายตั้มทำการฉ้อโกง ฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน
    .
    โดยวันนี้มีผู้ต้องหาที่กระทำความผิดในการปลอมเอกสารที่จะต้องเข้ามาพบกับพนักงานอัยการ โดยมีการแจ้งความเพิ่มมา 2 คน เป็นการปลอมเอกสารเกี่ยวกับการซื้อรถเบนซ์ โดยผู้ต้องหาทั้งสองกระทำผิดในส่วนของการปลอมใบเสร็จการซื้อรถเบนซ์ แต่รายละเอียดอยู่ในสำนวน ไม่ขอเปิดเผย ส่วน น.ส.ปิณฑิรา พี่สาวภรรยาของทนายตั้ม ที่ได้รับการประกันตัวอยู่ในอำนาจการควบคุมของศาล จึงไม่ได้ส่งตัววันนี้ ที่ผ่านมาทางพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนตามที่ทนายตั้มได้ร้องขอให้มีการสอบสวนในพยานหลักฐานเพิ่มเติม ถือว่าเป็นการให้ความเป็นธรรมแก่ตัวผู้ต้องหาแล้ว
    .
    ส่วนคดีพินัยกรรม พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวว่า ยังไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่ามีการทุจริตเข้ามา แต่ถ้าการสืบสวนพบว่ามีพยานหลักฐานเชื่อมโยงการกระทำความผิด ก็จะสอบสวนต่อไป
    .
    ด้านนายณัฐพงษ์ กล่าวว่า หลังจากการรับมอบสำนวนแล้ว ทางพนักงานอัยการจะส่งมอบให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่าย 1 ไปพิจารณาเพื่อตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาให้เสร็จภายในระยะเวลาฝากขังผัดสุดท้าย วันที่ 30 ม.ค.นี้ สำหรับคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรนั้น เมื่อผลการพิจารณาเสร็จสิ้นแล้วจะต้องส่งให้ทางอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาอีกครั้งหนึ่งตามขั้นตอนของกฎหมาย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000005180
    .........
    Sondhi X
    ส่งสำนวน "ทนายตั้ม-พวก" ฉ้อโกง-ฟอกเงิน 4 คดีให้อัยการแล้ว เคาะสั่งฟ้องต่อศาลก่อนครบฝากขัง . กองปราบฯ ส่งสำนวนคดีทนายตั้มร่วมฉ้อโกง-ฟอกเงิน ให้อัยการพิเศษสั่งฟ้องต่อศาลก่อนสิ้นเดือนนี้ ครบกำหนดฝากขัง 30 ม.ค.นี้ พบมีผู้ต้องหาเพิ่มอีก 2 คน เป็นพนักงานโชว์รูมปลอมเอกสาร ส่วนคดีพินัยกรรมยังไม่พบทุจริต . วันนี้ (17 ม.ค.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชเาภิเษก พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ นามพุทธา ผกก.สอบสวน กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พร้อมคณะพนักงานสอบสวน บก.ป. นำสำนวนการสอบสวนที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ผู้เสียหายได้กล่าวหา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี กับพวกรวม 7 คน คดีร่วมกันฉ้อโกง และฟอกเงิน มีสำนวนรวม 9,317 แผ่น พร้อมความเห็นทางสมควรสั่งฟ้องนายษิทรา, นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม, น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ พี่สาวภรรยาของทนายตั้ม, นายนุวัฒน์ ยงยุทธ หรือนุ อายุ 34 ปี คนสนิททนายตั้ม, น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาวของนุ และพนักงานของโชว์รูมรถยนต์ 2 คน ที่ร่วมมือกับทนายตั้มในการปลอมแปลงเอกสาร รวมผู้ต้องหา 7 คน ในคดีฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ไปมอบให้นายณัฐพงษ์ พุฒแก้ว รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคดีพิเศษ เป็นผู้รับสำนวนการสอบสวนไว้พิจารณา . พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวว่า สำนวนคดีทนายตั้มแบ่งเป็น 2 สำนวน คือ สำนวนที่กระทำความผิดในราชอาณาจักร และกระทำผิดนอกราชอาณาจักร โดยการกระทำผิดนอกราชอาณาจักรมี 3 เรื่อง คือ ฉ้อโกงเกี่ยวกับแพลตฟอร์มสลากออนไลน์ ความเสียหาย 71 ล้านบาทเศษ, คดีกระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ ความเสียหาย 39 ล้านบาทเศษ และสำนวนคดีซื้อรถเบนซ์ จี 400 เพื่อรับประโยชน์จากเงินส่วนต่าง จำนวน 1,530,000 บาท ส่วนการกระทำผิดในราชอาณาจักร คดีการออกแบบโรงแรม ได้ส่วนต่าง 5,500,000 บาท สำหรับการส่งสำนวน 4 เรื่อง มีผู้ต้องหาทั้งหมด 7 คนที่ร่วมกับทนายตั้มทำการฉ้อโกง ฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน . โดยวันนี้มีผู้ต้องหาที่กระทำความผิดในการปลอมเอกสารที่จะต้องเข้ามาพบกับพนักงานอัยการ โดยมีการแจ้งความเพิ่มมา 2 คน เป็นการปลอมเอกสารเกี่ยวกับการซื้อรถเบนซ์ โดยผู้ต้องหาทั้งสองกระทำผิดในส่วนของการปลอมใบเสร็จการซื้อรถเบนซ์ แต่รายละเอียดอยู่ในสำนวน ไม่ขอเปิดเผย ส่วน น.ส.ปิณฑิรา พี่สาวภรรยาของทนายตั้ม ที่ได้รับการประกันตัวอยู่ในอำนาจการควบคุมของศาล จึงไม่ได้ส่งตัววันนี้ ที่ผ่านมาทางพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนตามที่ทนายตั้มได้ร้องขอให้มีการสอบสวนในพยานหลักฐานเพิ่มเติม ถือว่าเป็นการให้ความเป็นธรรมแก่ตัวผู้ต้องหาแล้ว . ส่วนคดีพินัยกรรม พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวว่า ยังไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่ามีการทุจริตเข้ามา แต่ถ้าการสืบสวนพบว่ามีพยานหลักฐานเชื่อมโยงการกระทำความผิด ก็จะสอบสวนต่อไป . ด้านนายณัฐพงษ์ กล่าวว่า หลังจากการรับมอบสำนวนแล้ว ทางพนักงานอัยการจะส่งมอบให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่าย 1 ไปพิจารณาเพื่อตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาให้เสร็จภายในระยะเวลาฝากขังผัดสุดท้าย วันที่ 30 ม.ค.นี้ สำหรับคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรนั้น เมื่อผลการพิจารณาเสร็จสิ้นแล้วจะต้องส่งให้ทางอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาอีกครั้งหนึ่งตามขั้นตอนของกฎหมาย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000005180 ......... Sondhi X
    Like
    Love
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1388 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร.อ.ธีรศานต์ ทนายความ เผยหลังเข้าเยี่ยม "สามารถ" ถูกหามส่ง รพ.ราชทัณฑ์ ยังอดอาหาร มีแค่จิบน้ำหวานคุมระดับน้ำตาล เตรียมยื่นอุทธรณ์ประกันตัวอีกครั้ง ขอติด EM

    วันนี้ (29 พ.ย.) เวลา 10.00 น. ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ร.อ.ธีรศานต์ แก้วสง ทนายความของ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ต้องหาคดีร่วมกันและสมคบกันฟอกเงิน ออกมาเปิดเผยหลังเข้าเยี่ยม นายสามารถ หลังอดอาหารจนป่วยต้องส่งมารักษาตัว ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า วันนี้อาการ นายสามารถ ยังนั่งรถวิลแชร์มีเจ้าหน้าที่ช่วยเข็นรถให้ ออกมาพูดคุยกับตนในห้องทนายความ แต่พบว่ามีอาการน้ำตาลตก ค่าประมาณ 74 ทางพยาบาลได้ให้จิบน้ำหวานบ้างควบคุมระดับน้ำตาลกันอาการช็อค ส่วนอาหารและน้ำยังอดเหมือนเดิม

    ร.อ.ธีรศานต์ กล่าวว่า ตนในฐานะทนายก็อยากให้ส่งรักษาโรงพยาบาลข้างนอกตามสิทธิประกันของ นายสามารถ รวมทั้งในความเป็นจริงไม่อยากให้อดข้าวอดน้ำ ยิ่งสุขภาพแย่ยิ่งทำงานยากขึ้น เมื่อป่วยถึงขั้นเสียชีวิตก็ไม่เป็นผลดีต่อคดี เพราะในปัจจุบันต้องมีชีวิตเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ส่วนคุณแม่ยังไม่มาเยี่ยม แค่ฝากบอกอยากให้กลับมากินข้าวกินน้ำเหมือนเดิม ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลจะมีแพทย์วินิจฉัยอาการป่วยถ้าอาการดีขึ้นก็จะส่งตัวกลับเรือนจำฯ ทันทีเพราะกลัวกระแสกดดัน แต่ตนดูจากอาการอยากให้อยู่โรงพยาบาลก่อน นอกจากนี้ ปัจจุบันหลายคดีความส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการตัดสินจากศาลว่าผิดหรือไม่ผิด และไม่ได้รับการประกันตัวแต่ต้องต่อสู้คดีในเรือนจำ หากเมื่อศาลยกฟ้องแล้ว แต่สิ่งที่สูญเสียแล้วกลับคืนมาไม่ได้ เช่น ครอบครัว บ้าน และการเยียวยาก็ไม่คุ้มค่า

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000114883

    #MGROnline #สามารถ
    ร.อ.ธีรศานต์ ทนายความ เผยหลังเข้าเยี่ยม "สามารถ" ถูกหามส่ง รพ.ราชทัณฑ์ ยังอดอาหาร มีแค่จิบน้ำหวานคุมระดับน้ำตาล เตรียมยื่นอุทธรณ์ประกันตัวอีกครั้ง ขอติด EM • วันนี้ (29 พ.ย.) เวลา 10.00 น. ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ร.อ.ธีรศานต์ แก้วสง ทนายความของ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ต้องหาคดีร่วมกันและสมคบกันฟอกเงิน ออกมาเปิดเผยหลังเข้าเยี่ยม นายสามารถ หลังอดอาหารจนป่วยต้องส่งมารักษาตัว ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า วันนี้อาการ นายสามารถ ยังนั่งรถวิลแชร์มีเจ้าหน้าที่ช่วยเข็นรถให้ ออกมาพูดคุยกับตนในห้องทนายความ แต่พบว่ามีอาการน้ำตาลตก ค่าประมาณ 74 ทางพยาบาลได้ให้จิบน้ำหวานบ้างควบคุมระดับน้ำตาลกันอาการช็อค ส่วนอาหารและน้ำยังอดเหมือนเดิม • ร.อ.ธีรศานต์ กล่าวว่า ตนในฐานะทนายก็อยากให้ส่งรักษาโรงพยาบาลข้างนอกตามสิทธิประกันของ นายสามารถ รวมทั้งในความเป็นจริงไม่อยากให้อดข้าวอดน้ำ ยิ่งสุขภาพแย่ยิ่งทำงานยากขึ้น เมื่อป่วยถึงขั้นเสียชีวิตก็ไม่เป็นผลดีต่อคดี เพราะในปัจจุบันต้องมีชีวิตเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ส่วนคุณแม่ยังไม่มาเยี่ยม แค่ฝากบอกอยากให้กลับมากินข้าวกินน้ำเหมือนเดิม ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลจะมีแพทย์วินิจฉัยอาการป่วยถ้าอาการดีขึ้นก็จะส่งตัวกลับเรือนจำฯ ทันทีเพราะกลัวกระแสกดดัน แต่ตนดูจากอาการอยากให้อยู่โรงพยาบาลก่อน นอกจากนี้ ปัจจุบันหลายคดีความส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการตัดสินจากศาลว่าผิดหรือไม่ผิด และไม่ได้รับการประกันตัวแต่ต้องต่อสู้คดีในเรือนจำ หากเมื่อศาลยกฟ้องแล้ว แต่สิ่งที่สูญเสียแล้วกลับคืนมาไม่ได้ เช่น ครอบครัว บ้าน และการเยียวยาก็ไม่คุ้มค่า • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000114883 • #MGROnline #สามารถ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 374 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อธิบดีดีเอสไอ” นัดประชุมคืบหน้าคดีดิไอคอน ชี้แจง “สามารถ” อ้างไม่ได้รับความเป็นธรรม ยันคดีร่วมกัน-สมคบกันฟอกเงิน อัตราโทษเกิน 3 ปี ขอศาลออกหมายจับได้

    วันนี้ (28 พ.ย.) เวลา 09.30 น. ณ ห้องรับรองกรมสอบสวนคดีพิเศษ ชั้น 2 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (อาคารเอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยกรณี นายสามารถ เจนชัยจิตรวณิช อดีตรองโฆษกพรรค พปชร. ถูกแจ้งข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน “ดิไอคอน” ซึ่งเจ้าตัวอ้างไม่ได้รับความเป็นธรรมเนื่องจากไม่ออกหมายเรียก แต่ถูกออกหมายจับเลย ว่า คดีดังกล่าวนั้นมีอัตราโทษร้ายแรงเกิน 3 ปี พนักงานสอบสวนจึงสามารถขออำนาจศาลออกหมายจับได้

    พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่ว่าอาจพบพยานหลักฐานเท็จ จัดทำโดยผู้มีความรู้ด้านกฎหมายเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหานั้น หากดีเอสไอพิสูจน์ได้ว่าเป็นการทำพยานหลักฐานเท็จ ก็มีความผิดทางอาญา แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่าพยานเอกสารที่พบขณะเข้าค้นบ้านที่เกี่ยวข้องกับนายสามารถเป็นพยานเท็จหรือไม่ เพียงแต่น่าเชื่อว่า พยานเอกสารที่ตรวจพบน่าจะเป็นการทำเอกสารขึ้นมา

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลาประมาณ 10.00 น. พ.ต.ต.ยุทธนา จะมีการการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีฟอกเงินของนายสามารถ รวมทั้งคดี “ดิไอคอน” และจะมีให้สัมภาษณ์หลังประชุมอีกครั้ง

    #MGROnline #อธิบดีดีเอสไอ #สามารถ #ไม่ได้รับความเป็นธรรม #ฟอกเงิน
    “อธิบดีดีเอสไอ” นัดประชุมคืบหน้าคดีดิไอคอน ชี้แจง “สามารถ” อ้างไม่ได้รับความเป็นธรรม ยันคดีร่วมกัน-สมคบกันฟอกเงิน อัตราโทษเกิน 3 ปี ขอศาลออกหมายจับได้ • วันนี้ (28 พ.ย.) เวลา 09.30 น. ณ ห้องรับรองกรมสอบสวนคดีพิเศษ ชั้น 2 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (อาคารเอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยกรณี นายสามารถ เจนชัยจิตรวณิช อดีตรองโฆษกพรรค พปชร. ถูกแจ้งข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน “ดิไอคอน” ซึ่งเจ้าตัวอ้างไม่ได้รับความเป็นธรรมเนื่องจากไม่ออกหมายเรียก แต่ถูกออกหมายจับเลย ว่า คดีดังกล่าวนั้นมีอัตราโทษร้ายแรงเกิน 3 ปี พนักงานสอบสวนจึงสามารถขออำนาจศาลออกหมายจับได้ • พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่ว่าอาจพบพยานหลักฐานเท็จ จัดทำโดยผู้มีความรู้ด้านกฎหมายเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหานั้น หากดีเอสไอพิสูจน์ได้ว่าเป็นการทำพยานหลักฐานเท็จ ก็มีความผิดทางอาญา แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่าพยานเอกสารที่พบขณะเข้าค้นบ้านที่เกี่ยวข้องกับนายสามารถเป็นพยานเท็จหรือไม่ เพียงแต่น่าเชื่อว่า พยานเอกสารที่ตรวจพบน่าจะเป็นการทำเอกสารขึ้นมา • ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลาประมาณ 10.00 น. พ.ต.ต.ยุทธนา จะมีการการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีฟอกเงินของนายสามารถ รวมทั้งคดี “ดิไอคอน” และจะมีให้สัมภาษณ์หลังประชุมอีกครั้ง • #MGROnline #อธิบดีดีเอสไอ #สามารถ #ไม่ได้รับความเป็นธรรม #ฟอกเงิน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 384 มุมมอง 0 รีวิว
  • อธิบดีดีเอสไอ เผย "แม่สามารถ" ยื่นจดหมายให้นักข่าวมีจุดประสงค์อะไร ช่วงสอบสวนเปิดโอกาสแก้ข้อกล่าวหาแต่ไม่ชี้แจง ส่วน "สามารถ" อำนาจฝากขัง 7 ผัด 84 วัน

    จากกรณี นางวิลาวัลย์ พุทธสัมฤทธิ์ มารดาของนายสามารถ เจนชัยจิตรวณิช ได้ยื่นกระดาษ "บันทึกแจ้งคำสั่งไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราว" โดยด้านหลังเขียนด้วยลายมือตัวเองขอความเป็นธรรม 8 ข้อ ให้ผู้สื่อข่าวตรงทางลงบันไดอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระหว่างถูกพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ควบคุมตัวส่งฝากขังศาลอาญา รัชดา ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน "ดิไอคอน" เมื่อช่วงเที่ยง วานนี้ (26 พ.ย.)

    วันนี้ (27 พ.ย.) พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยกรณีดังกล่าว ว่า สำหรับใบบันทึกแจ้งคำสั่งไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราวได้ให้แม่นายสามารถ เซ็นชื่อท้ายเอกสาร ระบุวันที่ 25 พ.ย.67 เวลา 10.56 น. ก่อนนำตัวไปส่งศาลฝากขังศาล วันที่ 26 พ.ย. ส่วนจะมีเวลาเขียน 8 ข้อด้านหลังได้อย่างไรนั้น อยู่ระหว่างตรวจสอบ ซึ่งปากกาและใบบันทึกคำสั่งฯ ที่แม่นายสามารถเขียนส่งให้นักข่าวนั้น พนักงานสอบสวนไม่ได้มีระเบียบเคร่งครัดในการยึดอุปกรณ์ใดๆ เพียงแค่มีความผิดปกติ ทำไมไม่ให้การในขณะที่มีการสอบสวน หรือต้องการจะจุดประเด็นอะไรหรือไม่ และดีเอสไอให้สิทธิ์ขอพบปรึกษาทนายความได้หรือเจ็บป่วยก็รักษาพยาบาลได้เช่นกัน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000114066

    #MGROnline #อธิบดีดีเอสไอ #แม่สามารถ
    อธิบดีดีเอสไอ เผย "แม่สามารถ" ยื่นจดหมายให้นักข่าวมีจุดประสงค์อะไร ช่วงสอบสวนเปิดโอกาสแก้ข้อกล่าวหาแต่ไม่ชี้แจง ส่วน "สามารถ" อำนาจฝากขัง 7 ผัด 84 วัน • จากกรณี นางวิลาวัลย์ พุทธสัมฤทธิ์ มารดาของนายสามารถ เจนชัยจิตรวณิช ได้ยื่นกระดาษ "บันทึกแจ้งคำสั่งไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราว" โดยด้านหลังเขียนด้วยลายมือตัวเองขอความเป็นธรรม 8 ข้อ ให้ผู้สื่อข่าวตรงทางลงบันไดอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระหว่างถูกพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ควบคุมตัวส่งฝากขังศาลอาญา รัชดา ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน "ดิไอคอน" เมื่อช่วงเที่ยง วานนี้ (26 พ.ย.) • วันนี้ (27 พ.ย.) พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยกรณีดังกล่าว ว่า สำหรับใบบันทึกแจ้งคำสั่งไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราวได้ให้แม่นายสามารถ เซ็นชื่อท้ายเอกสาร ระบุวันที่ 25 พ.ย.67 เวลา 10.56 น. ก่อนนำตัวไปส่งศาลฝากขังศาล วันที่ 26 พ.ย. ส่วนจะมีเวลาเขียน 8 ข้อด้านหลังได้อย่างไรนั้น อยู่ระหว่างตรวจสอบ ซึ่งปากกาและใบบันทึกคำสั่งฯ ที่แม่นายสามารถเขียนส่งให้นักข่าวนั้น พนักงานสอบสวนไม่ได้มีระเบียบเคร่งครัดในการยึดอุปกรณ์ใดๆ เพียงแค่มีความผิดปกติ ทำไมไม่ให้การในขณะที่มีการสอบสวน หรือต้องการจะจุดประเด็นอะไรหรือไม่ และดีเอสไอให้สิทธิ์ขอพบปรึกษาทนายความได้หรือเจ็บป่วยก็รักษาพยาบาลได้เช่นกัน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000114066 • #MGROnline #อธิบดีดีเอสไอ #แม่สามารถ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 344 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าหน้าที่ดีเอสไอคุมตัว ‘สามารถ” พร้อมแม่ ฝากขังศาลอาญา คดีร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน‘ดิไอคอน’ พร้อมยื่นค้านประกัน หลังพบพฤติการณ์ยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน เจ้าตัวตะโกนลั่น ไม่ได้รับความเป็นธรรม อ้างเงิน "บอสพอล" โอนมาทำบุญ

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000113654

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เจ้าหน้าที่ดีเอสไอคุมตัว ‘สามารถ” พร้อมแม่ ฝากขังศาลอาญา คดีร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน‘ดิไอคอน’ พร้อมยื่นค้านประกัน หลังพบพฤติการณ์ยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน เจ้าตัวตะโกนลั่น ไม่ได้รับความเป็นธรรม อ้างเงิน "บอสพอล" โอนมาทำบุญ อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000113654 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1214 มุมมอง 0 รีวิว
  • อธิบดีดีเอสไอเผยเข้าค้นเป้าหมาย 2 จุด จับกุมสองแม่ลูก “วิลาวัลย์-สามารถ” พัวพันฟอกเงินดิไอคอน ยึดรถตู้อัลพาร์ด 1 คัน พร้อมเอกสารบัญชีการเงิน พบมีเงินผ่านเข้าบัญชีแม่กว่า 100 ล้านจากหลายแหล่ง เร่งขยายผล ส่วน "บอสพอล" โอนเข้า 2.5 ล้านบาท อ้างทำบุญ จริงหรือไม่ตรวจสอบได้อยู่แล้ว

    วันนี้ (25 พ.ย.) เวลา 14.00 น. ณ อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยผลการปฏิบัติการตรวจค้นเป้าหมาย 2 จุด คือ บ้านพักของ นายสามารถ เจนชัยจิตรวณิช ภายในโครงการบ้านหรูแห่งหนึ่งบนถนนราชพฤกษ์ ส่วนจุดที่ 2 คอนโดมิเนียม พื้นที่เขตราชเทวี กรุงเทพฯ พร้อมจับกุม นางวิลาวัลย์ พุทธสัมฤทธิ์ อายุ 62 ปี แม่ของนายสามารถ ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ในคดีพิเศษที่ 115/2567 (คดีฟอกเงินทางอาญา กรณี บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด)

    พ.ต.ต.ยุทธนา เปิดเผยว่า จากการปฏิบัติการของดีเอสไอสามารถตรวจยึดสิ่งของที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ โดยคดีพิเศษที่ 115/2567 ขอศาลออกหมายจับทั้ง 3 บุคคล ประกอบด้วย 1.นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล 2.นายสามารถ เจนชัยจิตรวณิช และ 3.นางนางวิลาวัลย์ พุทธสัมฤทธิ์ สืบเนื่องมาจากมีการรวบรวมพยานหลักฐานพบว่ามีการเงินระดมของบรรดาสมาชิกไปยังบัญชีของ บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ก่อนโอนต่อไปยังบุคคลในหมายจับหลายทอด ดังนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวนี้ คือ การโอนหรือรับโอนเงิน เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพทรัพย์สิน หรือเพื่อปกปิดอำพรางซุกซ่อนลักษณะแท้จริงของการได้มาซึ่งทรัพย์สิน จึงเข้าข่ายความผิดอาญาฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000113340

    #MGROnline #อธิบดีดีเอสไอ #ดีเอสไอ #สามารถเจนชัยจิตรวณิช #ดิไอคอน #ดิไอคอนกรุ๊ป #TheiConGroup #บอสพอล
    อธิบดีดีเอสไอเผยเข้าค้นเป้าหมาย 2 จุด จับกุมสองแม่ลูก “วิลาวัลย์-สามารถ” พัวพันฟอกเงินดิไอคอน ยึดรถตู้อัลพาร์ด 1 คัน พร้อมเอกสารบัญชีการเงิน พบมีเงินผ่านเข้าบัญชีแม่กว่า 100 ล้านจากหลายแหล่ง เร่งขยายผล ส่วน "บอสพอล" โอนเข้า 2.5 ล้านบาท อ้างทำบุญ จริงหรือไม่ตรวจสอบได้อยู่แล้ว • วันนี้ (25 พ.ย.) เวลา 14.00 น. ณ อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยผลการปฏิบัติการตรวจค้นเป้าหมาย 2 จุด คือ บ้านพักของ นายสามารถ เจนชัยจิตรวณิช ภายในโครงการบ้านหรูแห่งหนึ่งบนถนนราชพฤกษ์ ส่วนจุดที่ 2 คอนโดมิเนียม พื้นที่เขตราชเทวี กรุงเทพฯ พร้อมจับกุม นางวิลาวัลย์ พุทธสัมฤทธิ์ อายุ 62 ปี แม่ของนายสามารถ ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ในคดีพิเศษที่ 115/2567 (คดีฟอกเงินทางอาญา กรณี บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด) • พ.ต.ต.ยุทธนา เปิดเผยว่า จากการปฏิบัติการของดีเอสไอสามารถตรวจยึดสิ่งของที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ โดยคดีพิเศษที่ 115/2567 ขอศาลออกหมายจับทั้ง 3 บุคคล ประกอบด้วย 1.นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล 2.นายสามารถ เจนชัยจิตรวณิช และ 3.นางนางวิลาวัลย์ พุทธสัมฤทธิ์ สืบเนื่องมาจากมีการรวบรวมพยานหลักฐานพบว่ามีการเงินระดมของบรรดาสมาชิกไปยังบัญชีของ บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ก่อนโอนต่อไปยังบุคคลในหมายจับหลายทอด ดังนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวนี้ คือ การโอนหรือรับโอนเงิน เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพทรัพย์สิน หรือเพื่อปกปิดอำพรางซุกซ่อนลักษณะแท้จริงของการได้มาซึ่งทรัพย์สิน จึงเข้าข่ายความผิดอาญาฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000113340 • #MGROnline #อธิบดีดีเอสไอ #ดีเอสไอ #สามารถเจนชัยจิตรวณิช #ดิไอคอน #ดิไอคอนกรุ๊ป #TheiConGroup #บอสพอล
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 711 มุมมอง 0 รีวิว
  • รอง ผบช.ก.เผย"สามารถ"ใช้บัญชีม้ารับโอนเงินนับร้อยล้าน กองปราบบุกสอบบอสดิไอคอนในเรือนจำ เตรียมพิจารณาขอหมายเรียก-หมายจับ "ฟิล์ม รัฐภูมิ"

    วันนี้ (25 พ.ย. ) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.กล่าวถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ จับกุม นายสามารถ เจนชัยจิตวนิช อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ และมารดาในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า มีเงินเข้าบัญชี นายสามารถ รวมกว่า 110 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีเงิน 3 ล้านบาท ที่มาจาก “ดิไอคอน” ผ่านบัญชีม้า ซึ่งเป็นบัญชีที่ นายสามารถดูแล และในบางส่วนถูกโอนไปยังบัญชีของมารดา ก่อนเงินจำนวนดังกล่าวจะส่งต่อกลับมายังบัญชี นายสามารถ อีกครั้ง

    พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่านอกจากนี้ ยังตรวจพบเส้นเงินใหม่มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ที่มาจากบุคคล 9-10 ราย ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบที่มาของเงินดังกล่าว เนื่องจากมีการโอนเงินผ่านบัญชีอื่นหลายขั้นตอนก่อนจะถึงปลายทางที่บัญชี นายสามารถ เบื้องต้นเชื่อว่าเงินเหล่านี้อาจมีที่มาจากแหล่งเงินสีเทา แต่ยังคงต้องมีการสืบสวนเพิ่มเติม

    "ในช่วงปีใหม่นี้ผมเตรียมมอบกุญแจมือเป็นของขวัญให้บรรดา อินฟลูเอนเซอร์ นักร้อง คนดัง และผู้ดูแลเพจโซเชียลต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี โดยจะส่งทุกคนไปพักห้องวีไอพีในเรือนจำ หากพบพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงถึงการกระทำความผิดก็จะดำเนินคดีอย่างแน่นอน"

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000113316

    #MGROnline #สามารถ #บัญชีม้า #ฟิล์มรัฐภูมิ
    รอง ผบช.ก.เผย"สามารถ"ใช้บัญชีม้ารับโอนเงินนับร้อยล้าน กองปราบบุกสอบบอสดิไอคอนในเรือนจำ เตรียมพิจารณาขอหมายเรียก-หมายจับ "ฟิล์ม รัฐภูมิ" • วันนี้ (25 พ.ย. ) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.กล่าวถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ จับกุม นายสามารถ เจนชัยจิตวนิช อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ และมารดาในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า มีเงินเข้าบัญชี นายสามารถ รวมกว่า 110 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีเงิน 3 ล้านบาท ที่มาจาก “ดิไอคอน” ผ่านบัญชีม้า ซึ่งเป็นบัญชีที่ นายสามารถดูแล และในบางส่วนถูกโอนไปยังบัญชีของมารดา ก่อนเงินจำนวนดังกล่าวจะส่งต่อกลับมายังบัญชี นายสามารถ อีกครั้ง • พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่านอกจากนี้ ยังตรวจพบเส้นเงินใหม่มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ที่มาจากบุคคล 9-10 ราย ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบที่มาของเงินดังกล่าว เนื่องจากมีการโอนเงินผ่านบัญชีอื่นหลายขั้นตอนก่อนจะถึงปลายทางที่บัญชี นายสามารถ เบื้องต้นเชื่อว่าเงินเหล่านี้อาจมีที่มาจากแหล่งเงินสีเทา แต่ยังคงต้องมีการสืบสวนเพิ่มเติม • "ในช่วงปีใหม่นี้ผมเตรียมมอบกุญแจมือเป็นของขวัญให้บรรดา อินฟลูเอนเซอร์ นักร้อง คนดัง และผู้ดูแลเพจโซเชียลต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี โดยจะส่งทุกคนไปพักห้องวีไอพีในเรือนจำ หากพบพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงถึงการกระทำความผิดก็จะดำเนินคดีอย่างแน่นอน" • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000113316 • #MGROnline #สามารถ #บัญชีม้า #ฟิล์มรัฐภูมิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 608 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลอาญาอนุมัติหมายจับ “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” ฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน เซ่นคลิปเสียงตบมรัพย์ “บอสพอล ดิไอคอน”

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000113092

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ศาลอาญาอนุมัติหมายจับ “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” ฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน เซ่นคลิปเสียงตบมรัพย์ “บอสพอล ดิไอคอน” อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000113092 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    23
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1203 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย่อพฤติการณ์ "นุ-สา" แหกตาบิตคอยน์

    คดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ให้เอาผิดกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท หลังโอนคดีไปยังตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อตำรวจและสื่อมวลชนขุดคุ้ยขึ้นมา คดีก็งอกออกมาทั้งการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 และการเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม นำไปสู่การจับกุมนายษิทรา พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2567 โดยระบุพฤติการณ์มีลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ

    มาถึงคดีล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2567 จับกุม นายนุวัฒน์ ยงยุทธ อายุ 34 ปี คนสนิทนายษิทรา และ น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาว ก่อนที่วันต่อมาตำรวจได้นำตัวทั้งคู่ฝากขังต่อศาลอาญา

    ความน่าสนใจอยู่ที่คำร้องขอฝากขังของตำรวจ ระบุพฤติการณ์แห่งคดี โดยได้ย้อนตั้งแต่กรณีเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งเป็นการหลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ กรณีการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ ที่นายษิทราได้ค่าส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท กรณีว่าจ้างบริษัทหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม 9 ล้านบาท แต่นายษิทราว่าจ้างอีกบริษัทหนึ่ง ได้ค่าส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท มาถึงคดีล่าสุด นายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ

    โดยระบุว่า นายนุวัฒน์มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ได้ น.ส.จตุพร จึงให้โอนเงินไปยังอินสตาแกรม เฉินคุณ (ดาราจีน) จากนั้นได้หลอกลวง น.ส.จตุพรว่า นายนุวัฒน์ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของของ น.ส.สารินี โอนเงิน ทำให้กระเป๋าเงินถูกระงับการใช้งาน เสียหาย 39 ล้านบาทโดยได้ร่วมกันส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันไปให้ น.ส.จตุพรดูทางไลน์ ทำให้ น.ส.จตุพรหลงเชื่อ ทั้งที่ความจริงกระเป๋าเงินดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ไม่ได้ถูกระจับแต่อย่างใด

    จากนั้น น.ส.จตุพร ส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เช็ค สั่งจ่าย น.ส.สารินี จำนวน 39 ล้านบาท ก่อนที่นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินีร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีธนาคารของ น.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันเบิกถอนเงินสดออกจากบัญชีของ น.ส.สารินี การกระทำของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี เป็นความผิดฐานฉ้อโกง นำเข้าสู่คอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน

    ในท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปี และมูลค่าความเสียหายสูงมาก เกรงว่าจะหลบหนี และพบว่าก่อนถูกจับกุม ทั้งสองคนมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และเบอร์มือถือ เพื่อให้ยากต่อการติดตามตัว

    #Newskit
    ย่อพฤติการณ์ "นุ-สา" แหกตาบิตคอยน์ คดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ให้เอาผิดกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท หลังโอนคดีไปยังตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อตำรวจและสื่อมวลชนขุดคุ้ยขึ้นมา คดีก็งอกออกมาทั้งการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 และการเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม นำไปสู่การจับกุมนายษิทรา พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2567 โดยระบุพฤติการณ์มีลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ มาถึงคดีล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2567 จับกุม นายนุวัฒน์ ยงยุทธ อายุ 34 ปี คนสนิทนายษิทรา และ น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาว ก่อนที่วันต่อมาตำรวจได้นำตัวทั้งคู่ฝากขังต่อศาลอาญา ความน่าสนใจอยู่ที่คำร้องขอฝากขังของตำรวจ ระบุพฤติการณ์แห่งคดี โดยได้ย้อนตั้งแต่กรณีเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งเป็นการหลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ กรณีการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ ที่นายษิทราได้ค่าส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท กรณีว่าจ้างบริษัทหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม 9 ล้านบาท แต่นายษิทราว่าจ้างอีกบริษัทหนึ่ง ได้ค่าส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท มาถึงคดีล่าสุด นายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ โดยระบุว่า นายนุวัฒน์มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ได้ น.ส.จตุพร จึงให้โอนเงินไปยังอินสตาแกรม เฉินคุณ (ดาราจีน) จากนั้นได้หลอกลวง น.ส.จตุพรว่า นายนุวัฒน์ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของของ น.ส.สารินี โอนเงิน ทำให้กระเป๋าเงินถูกระงับการใช้งาน เสียหาย 39 ล้านบาทโดยได้ร่วมกันส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันไปให้ น.ส.จตุพรดูทางไลน์ ทำให้ น.ส.จตุพรหลงเชื่อ ทั้งที่ความจริงกระเป๋าเงินดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ไม่ได้ถูกระจับแต่อย่างใด จากนั้น น.ส.จตุพร ส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เช็ค สั่งจ่าย น.ส.สารินี จำนวน 39 ล้านบาท ก่อนที่นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินีร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีธนาคารของ น.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันเบิกถอนเงินสดออกจากบัญชีของ น.ส.สารินี การกระทำของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี เป็นความผิดฐานฉ้อโกง นำเข้าสู่คอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน ในท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปี และมูลค่าความเสียหายสูงมาก เกรงว่าจะหลบหนี และพบว่าก่อนถูกจับกุม ทั้งสองคนมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และเบอร์มือถือ เพื่อให้ยากต่อการติดตามตัว #Newskit
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1082 มุมมอง 0 รีวิว
  • โปรดเกล้าฯ ให้ “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์” ออกจากราชการไว้ก่อน อยู่ในกระบวนการรอตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มารับสนองพระบรมราชโองการ

    15 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวNews1ระบุว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก ออกจากราชการไว้ก่อน ส่งมาที่สำนักงานนายกรัฐมนตรี เพื่อรอนายกรัฐมนตรีคนใหม่ รับสนองพระบรมราชโองการ

    สืบเนื่องจาก ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รรท.ผบ.ตร. มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 178/ 2567 ลงวันที่ 18 เม.ย. 2567 กรณีต้องคดีอาญา เกี่ยวเนื่องกับเว็บพนันออนไลน์ BNK Master ในข้อหาฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน

    ต่อมา วันที่ 26 มิ.ย. 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) มีมติเอกฉันท์ 12 ต่อ 0 เห็นว่า คำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ออกจากราชการไว้ก่อน ถูกต้องแล้ว ต่อมา พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ยื่นอุทธรณ์ ต่อ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร.

    กระทั่ง วันที่ 5 ส.ค. 2567 ก.พ.ค.ตร. มีมติว่า คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เม.ย. 2567 เป็นคำสั่งที่ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ ที่กฎหมาย และ กฎ ก.ตร. กำหนด และเป็นการใช้ดุลยพินิจที่เหมาะสม จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

    จากนั้นจึงเป็นกระบวนการนำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน

    #Thaitimes
    โปรดเกล้าฯ ให้ “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์” ออกจากราชการไว้ก่อน อยู่ในกระบวนการรอตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มารับสนองพระบรมราชโองการ 15 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวNews1ระบุว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก ออกจากราชการไว้ก่อน ส่งมาที่สำนักงานนายกรัฐมนตรี เพื่อรอนายกรัฐมนตรีคนใหม่ รับสนองพระบรมราชโองการ สืบเนื่องจาก ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รรท.ผบ.ตร. มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 178/ 2567 ลงวันที่ 18 เม.ย. 2567 กรณีต้องคดีอาญา เกี่ยวเนื่องกับเว็บพนันออนไลน์ BNK Master ในข้อหาฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ต่อมา วันที่ 26 มิ.ย. 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) มีมติเอกฉันท์ 12 ต่อ 0 เห็นว่า คำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ออกจากราชการไว้ก่อน ถูกต้องแล้ว ต่อมา พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ยื่นอุทธรณ์ ต่อ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร. กระทั่ง วันที่ 5 ส.ค. 2567 ก.พ.ค.ตร. มีมติว่า คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เม.ย. 2567 เป็นคำสั่งที่ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ ที่กฎหมาย และ กฎ ก.ตร. กำหนด และเป็นการใช้ดุลยพินิจที่เหมาะสม จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว จากนั้นจึงเป็นกระบวนการนำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน #Thaitimes
    ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี โปรดเกล้าฯ “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์” พ้นตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. ตั้งแต่ 18 เม.ย. 2567
    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000075151

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 670 มุมมอง 0 รีวิว