• “ธีระชัย” เปิดหลักฐาน กัมพูชาลากเส้นในทะเล ผิดทั้งสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ที่ระบุถึงการเล็งยอดเขาบนเกาะกูดสำหรับแบ่งเขตบนแผ่นดินเท่านั้น และผิดอนุสัญญาเจนีวา 1958 ที่ห้ามมิให้อ้างเหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์ในการประกาศเขตไหล่ทวีป MOU2544 จึงส่อผิดกฎหมายไปด้วย

    4 พฤศจิกายน 2567-นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala - - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ในหัวข้อด่วน! กัมพูชาไม่อาจอ้างสนธิสัญญาฯ มีรายละเอียดดังนี้

    อาจารย์พนัส ทัศนียานนท์ อดีตอัยการและอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กรุณาส่งข้อมูลแจ้งผม ทำให้ผมเห็นว่ากัมพูชาไม่อาจอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907

    อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วย “ไหล่ทวีป” 1958 ไม่มีการรับรองสิทธิทางประวัติศาสตร์ รับรองไว้เฉพาะกรณีของ “ทะเลอาณาเขต”

    เว็บไซต์ของกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ระบุว่า
    [“ทะเลอาณาเขต” (territorial sea) มีความกว้างไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล โดยวัดจากเส้นฐานออกไป
    รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตย (sovereignty) เหนือทะเลอาณาเขต

    “ไหล่ทวีป” (continental shelf) หมายถึง พื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินของบริเวณใต้ทะเล ซึ่งขยายเลยทะเลอาณาเขตออกไปตามธรรมชาติของดินแดนจนถึงริมนอกของขอบทวีป หรือจนถึงระยะ 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต…

    ในบริเวณไหล่ทวีป รัฐชายฝั่งสามารถใช้สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติบน ไหล่ทวีป]

    ดังนั้น พื้นที่ในอ่าวไทย บริเวณที่ระบุอ้างกันว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ดังปรากฏใน MOU44 นั้น จึงไม่ใช่พื้นที่ “ทะเลอาณาเขต” ที่ครอบคลุมความกว้างเพียง 12 ไมล์ทะเล

    แต่เป็นพื้นที่ “ไหล่ทวีป” ที่ครอบคลุมความกว้างถึง 200 ไมล์ทะเล และเป็นอาณาเขตสำหรับพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียม

    รูป 1-4 ในประกาศ เรื่อง ใช้อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ซึ่งมีพระบรมราชโองการโดยล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 รับสนองฯ โดย จอมพล ถนอม กิตติขจร เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2512 ในหัวข้อ ทะเลอาณาเขต ข้อ 12 ข้อย่อย 1 อนุญาตให้ยกเว้นได้สำหรับ “เหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์”

    รูป 5-6 กฤษฎีกาของรัฐบาลกัมพูชา ที่ลากเส้น “ไหล่ทวีป” พาดผ่านเกาะกูดนั้น ระบุชัดเจนว่า เป็นการประกาศพื้นที่ Plateau Continental ซึ่งแปลว่า ไหล่ทวีป และมิใช่อ้างอิงอนุสัญญากรุงเจนีวา 1958 อย่างเดียว แต่อ้างอิงสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ค.ศ. 1907 ประกอบด้วย

    “ สาเหตุที่กัมพูชาอ้างอิงสนธิสัญญาฯ เพื่อลากเส้นผ่านเกาะกูดนั้น เป็นเพราะสนธิสัญญาฯ มีเอกสารแนบที่ระบุข้อความ “ตั้งแต่ชายทะเลที่ตรงข้ามจากยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดเป็นหลัก” จึงได้ลากเส้นจากชายทะเลผ่านยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดไปทางทิศตะวันตกกินแดนเข้ามาในอ่าวไทย

    ** ผิดกฎหมายกระทงที่หนึ่ง
    การกระทำดังกล่าวผิดกฏหมายกระทงที่หนึ่ง เพราะเนื้อความในสนธิสัญญาฯ บรรยายถึงการแบ่งเขตแดนบนแผ่นดิน มิได้เกี่ยวข้องกับการแบ่งเขตแดนในทะเล จึงเป็นการอ้างอิงสนธิสัญญาฯ ที่บิดเบือน

    อีกทั้งเกาะกูดอยู่ห่างชายฝั่ง 44 ไมล์ทะเล จึงอยู่นอก “ทะเลอาณาเขต” อยู่แล้วด้วย

    ** ผิดกฎหมายกระทงที่สอง
    การกำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปพาดผ่านเกาะกูดโดยอ้างสนธิสัญญาฯ เป็น “เหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์” นั้น ก็เป็นการบิดเบือน เอาข้อยกเว้นในเรื่องของ “ทะเลอาณาเขต” มาใช้กับเรื่องของ “ไหล่ทวีป”

    สรุปแล้ว กฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา ขัดกับอนุสัญญากรุงเจนีวา 1958 โดยสิ้นเชิง

    เป็นการอ้างผิดมาตราอย่างจัง!

    และการที่รัฐบาลไทยในสมัยของอดีตนายกทักษิณ ไปทำ MOU44 โดยไม่ได้คำนึงถึงประเด็นนี้ ผมมีความเห็นว่า อาจเป็นการผิดกฎหมาย

    กัมพูชาจะลากเส้นที่ไม่ตรงกับอนุสัญญากรุงเจนีวา อย่างไรก็ได้ ถ้าไทยไม่รับ ข้ออ้างดังกล่าวก็จะค้างอยู่ในอากาศ แต่การที่รัฐบาลไทยไปรับรู้เส้นที่ไม่ตรงกับอนุสัญญากรุงเจนีวา เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง

    จึงขอขอบคุณอาจารย์พนัส ทัศนียานนท์ เป็นอย่างยิ่ง ที่ได้กรุณาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชน”

    ที่มา News1
    https://news1live.com/detail/9670000106288?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2E5ivC8YLJ80XZFnfxkqNzQw-E48lM3Ly7iYy_GAtAVxhcMf3h4UJzl_o_aem_oBxuft0VBnaCm-WW-Z_8rw

    #Thaitimes
    “ธีระชัย” เปิดหลักฐาน กัมพูชาลากเส้นในทะเล ผิดทั้งสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ที่ระบุถึงการเล็งยอดเขาบนเกาะกูดสำหรับแบ่งเขตบนแผ่นดินเท่านั้น และผิดอนุสัญญาเจนีวา 1958 ที่ห้ามมิให้อ้างเหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์ในการประกาศเขตไหล่ทวีป MOU2544 จึงส่อผิดกฎหมายไปด้วย 4 พฤศจิกายน 2567-นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala - - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ในหัวข้อด่วน! กัมพูชาไม่อาจอ้างสนธิสัญญาฯ มีรายละเอียดดังนี้ อาจารย์พนัส ทัศนียานนท์ อดีตอัยการและอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กรุณาส่งข้อมูลแจ้งผม ทำให้ผมเห็นว่ากัมพูชาไม่อาจอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วย “ไหล่ทวีป” 1958 ไม่มีการรับรองสิทธิทางประวัติศาสตร์ รับรองไว้เฉพาะกรณีของ “ทะเลอาณาเขต” เว็บไซต์ของกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ระบุว่า [“ทะเลอาณาเขต” (territorial sea) มีความกว้างไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล โดยวัดจากเส้นฐานออกไป รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตย (sovereignty) เหนือทะเลอาณาเขต “ไหล่ทวีป” (continental shelf) หมายถึง พื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินของบริเวณใต้ทะเล ซึ่งขยายเลยทะเลอาณาเขตออกไปตามธรรมชาติของดินแดนจนถึงริมนอกของขอบทวีป หรือจนถึงระยะ 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต… ในบริเวณไหล่ทวีป รัฐชายฝั่งสามารถใช้สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติบน ไหล่ทวีป] ดังนั้น พื้นที่ในอ่าวไทย บริเวณที่ระบุอ้างกันว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ดังปรากฏใน MOU44 นั้น จึงไม่ใช่พื้นที่ “ทะเลอาณาเขต” ที่ครอบคลุมความกว้างเพียง 12 ไมล์ทะเล แต่เป็นพื้นที่ “ไหล่ทวีป” ที่ครอบคลุมความกว้างถึง 200 ไมล์ทะเล และเป็นอาณาเขตสำหรับพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียม รูป 1-4 ในประกาศ เรื่อง ใช้อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ซึ่งมีพระบรมราชโองการโดยล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 รับสนองฯ โดย จอมพล ถนอม กิตติขจร เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2512 ในหัวข้อ ทะเลอาณาเขต ข้อ 12 ข้อย่อย 1 อนุญาตให้ยกเว้นได้สำหรับ “เหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์” รูป 5-6 กฤษฎีกาของรัฐบาลกัมพูชา ที่ลากเส้น “ไหล่ทวีป” พาดผ่านเกาะกูดนั้น ระบุชัดเจนว่า เป็นการประกาศพื้นที่ Plateau Continental ซึ่งแปลว่า ไหล่ทวีป และมิใช่อ้างอิงอนุสัญญากรุงเจนีวา 1958 อย่างเดียว แต่อ้างอิงสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ค.ศ. 1907 ประกอบด้วย “ สาเหตุที่กัมพูชาอ้างอิงสนธิสัญญาฯ เพื่อลากเส้นผ่านเกาะกูดนั้น เป็นเพราะสนธิสัญญาฯ มีเอกสารแนบที่ระบุข้อความ “ตั้งแต่ชายทะเลที่ตรงข้ามจากยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดเป็นหลัก” จึงได้ลากเส้นจากชายทะเลผ่านยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดไปทางทิศตะวันตกกินแดนเข้ามาในอ่าวไทย ** ผิดกฎหมายกระทงที่หนึ่ง การกระทำดังกล่าวผิดกฏหมายกระทงที่หนึ่ง เพราะเนื้อความในสนธิสัญญาฯ บรรยายถึงการแบ่งเขตแดนบนแผ่นดิน มิได้เกี่ยวข้องกับการแบ่งเขตแดนในทะเล จึงเป็นการอ้างอิงสนธิสัญญาฯ ที่บิดเบือน อีกทั้งเกาะกูดอยู่ห่างชายฝั่ง 44 ไมล์ทะเล จึงอยู่นอก “ทะเลอาณาเขต” อยู่แล้วด้วย ** ผิดกฎหมายกระทงที่สอง การกำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปพาดผ่านเกาะกูดโดยอ้างสนธิสัญญาฯ เป็น “เหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์” นั้น ก็เป็นการบิดเบือน เอาข้อยกเว้นในเรื่องของ “ทะเลอาณาเขต” มาใช้กับเรื่องของ “ไหล่ทวีป” สรุปแล้ว กฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา ขัดกับอนุสัญญากรุงเจนีวา 1958 โดยสิ้นเชิง เป็นการอ้างผิดมาตราอย่างจัง! และการที่รัฐบาลไทยในสมัยของอดีตนายกทักษิณ ไปทำ MOU44 โดยไม่ได้คำนึงถึงประเด็นนี้ ผมมีความเห็นว่า อาจเป็นการผิดกฎหมาย กัมพูชาจะลากเส้นที่ไม่ตรงกับอนุสัญญากรุงเจนีวา อย่างไรก็ได้ ถ้าไทยไม่รับ ข้ออ้างดังกล่าวก็จะค้างอยู่ในอากาศ แต่การที่รัฐบาลไทยไปรับรู้เส้นที่ไม่ตรงกับอนุสัญญากรุงเจนีวา เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จึงขอขอบคุณอาจารย์พนัส ทัศนียานนท์ เป็นอย่างยิ่ง ที่ได้กรุณาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชน” ที่มา News1 https://news1live.com/detail/9670000106288?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2E5ivC8YLJ80XZFnfxkqNzQw-E48lM3Ly7iYy_GAtAVxhcMf3h4UJzl_o_aem_oBxuft0VBnaCm-WW-Z_8rw #Thaitimes
    NEWS1LIVE.COM
    “ธีระชัย” เปิดข้อมูล กัมพูชาลากเส้นในทะเลผิดหลักสากล 2 เด้ง MOU44 ส่อผิดไปด้วย
    “ธีระชัย” เปิดหลักฐาน กัมพูชาลากเส้นในทะเล ผิดทั้งสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ที่ระบุถึงการเล็งยอดเขาบนเกาะกูดสำหรับแบ่งเขตบนแผ่นดินเท่านั้น และผิดอนุสัญญาเจนีวา 1958 ที่ห้ามมิให้อ้างเหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์ในการประกาศเขตไหล่ทวีป
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 522 มุมมอง 0 รีวิว
  • องุ่นพิษ 'ไชน์มัสแคท' สารเคมีเกิน 50 ชนิด เสี่ยงอันตรายล้างยาก
    .
    เป็นข่าวที่สะเทือนประชาชนผู้บริโภคพอสมควร ภายหลังเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ร่วมกับนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สุ่มตรวจองุ่นไชน์มัสแคท 24 ตัวอย่าง ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล พบสารเคมีเกษตรตกค้างเกินค่ามาตรฐานมากถึงร้อยละ 95.8 โดยปัจจจุบันองุ่นพันธุ์นี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย
    .
    ทั้งนี้ การเก็บตัวอย่างองุ่นไชน์มัสแคทมีทั้งหมดทั้งหมด 24 ตัวอย่าง จาก 15 สถานที่จำหน่ายในพื้นที่ กทม. และปริมณฑลข้อค้นพบสำคัญของการเฝ้าระวังสารพิษตกค้างในองุ่นไชน์มัสแคท โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ร้อยละ 95.8 ของตัวอย่างองุ่นไชน์มัสแคทหรือ 23 จาก 24 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้างเกินค่าที่กฎหมายกำหนด เช่น สารคลอร์ไพริฟอสซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 2. พบสารพิษตกค้างทั้งหมด 50 ชนิด โดยเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 จำนวน 26 ชนิด เช่น Chlorpyrifos และ Endrin aldehyde และเป็นสารที่อยู่นอกบัญชีวัตถุอันตรายมากถึง 22 ชนิด 4. จากสารพิษตกค้าง 50 ชนิด มีสารประเภทดูดซึม (Systemic pesticide) 37 ชนิด หรือคิดเป็น 74% ของสารพิษตกค้าง โดยสารกลุ่มนี้มีโอกาสตกค้างอยู่ในเนื้อเยื่อขององุ่น ซึ่งการล้างสารกลุ่มนี้ออกจากเนื้อเยื่อพืชคงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย
    .
    ดังนั้น เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) และนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มีข้อเสนอว่า ห้างโมเดิร์นเทรดและผู้จำหน่ายองุ่นไชน์มัสแคท ควรจัดเก็บออกจากชั้นวาง แถลงมาตรการที่ชัดเจนกับซัพพลายเออร์และแหล่งผลิตที่มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน เช่น ผู้ประกอบการต้องยกเลิกการนำเข้าจากซัพพลายเออร์และแหล่งผลิตนั้นเมื่อมีการกระทำผิดซ้ำอีก ผู้ประกอบการนำเข้า ห้างโมเดิร์นเทรดและผู้จำหน่ายต้องระบุแหล่งที่มา/ประเทศต้นทางของสินค้านำเข้า เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้เมื่อเกิดปัญหา
    ขณะที่ กระทรวงสาธารณสุข ควรใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎระเบียบและกฎหมายที่มีอยู่กำหนดผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายต้องติดฉลากแสดงที่มาและประเทศต้นทาง เพิ่มมาตรการในการรับประกันคุณภาพความปลอดภัย และ สร้างระบบ Rapid Alert System ที่ตอบสนองต่อสถานการณ์แบบนี้อย่างรวดเร็ว เช่น การแจ้งให้ทราบ การเรียกคืน การทำลายสินค้า ทันทีที่ตรวจพบ รวมทั้งการเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจวิเคราะห์จากประเทศต้นทางหรือแหล่งผลิตที่พบว่ามีความเสี่ยงสูง
    .
    ที่สำคัญ รัฐบาลควรกำหนดเป้าหมายความปลอดภัยของผักผลไม้ โดยในปี 2573 ผักผลไม้ที่จำหน่ายในประเทศไทย มีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน ไม่เกิน 5% และกำหนดเป้าหมายและงบประมาณในการพัฒนาระบบเฝ้าระวังเพื่อยกระดับความปลอดภัยทางอาหาร โดยในปี 2571 ประเทศไทยมีระบบ Rapid Alert System เพื่อให้เกิดการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนเร่งด่วนที่มีประสิทธิภาพ เท่าทันต่อสถานการณ์ และมีกลไกการเชื่อมต่อข้อมูลและติดตามการจัดการปัญหาตลอดห่วงโซ่
    ............
    Sondhi X
    องุ่นพิษ 'ไชน์มัสแคท' สารเคมีเกิน 50 ชนิด เสี่ยงอันตรายล้างยาก . เป็นข่าวที่สะเทือนประชาชนผู้บริโภคพอสมควร ภายหลังเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ร่วมกับนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สุ่มตรวจองุ่นไชน์มัสแคท 24 ตัวอย่าง ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล พบสารเคมีเกษตรตกค้างเกินค่ามาตรฐานมากถึงร้อยละ 95.8 โดยปัจจจุบันองุ่นพันธุ์นี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย . ทั้งนี้ การเก็บตัวอย่างองุ่นไชน์มัสแคทมีทั้งหมดทั้งหมด 24 ตัวอย่าง จาก 15 สถานที่จำหน่ายในพื้นที่ กทม. และปริมณฑลข้อค้นพบสำคัญของการเฝ้าระวังสารพิษตกค้างในองุ่นไชน์มัสแคท โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ร้อยละ 95.8 ของตัวอย่างองุ่นไชน์มัสแคทหรือ 23 จาก 24 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้างเกินค่าที่กฎหมายกำหนด เช่น สารคลอร์ไพริฟอสซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 2. พบสารพิษตกค้างทั้งหมด 50 ชนิด โดยเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 จำนวน 26 ชนิด เช่น Chlorpyrifos และ Endrin aldehyde และเป็นสารที่อยู่นอกบัญชีวัตถุอันตรายมากถึง 22 ชนิด 4. จากสารพิษตกค้าง 50 ชนิด มีสารประเภทดูดซึม (Systemic pesticide) 37 ชนิด หรือคิดเป็น 74% ของสารพิษตกค้าง โดยสารกลุ่มนี้มีโอกาสตกค้างอยู่ในเนื้อเยื่อขององุ่น ซึ่งการล้างสารกลุ่มนี้ออกจากเนื้อเยื่อพืชคงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย . ดังนั้น เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) และนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มีข้อเสนอว่า ห้างโมเดิร์นเทรดและผู้จำหน่ายองุ่นไชน์มัสแคท ควรจัดเก็บออกจากชั้นวาง แถลงมาตรการที่ชัดเจนกับซัพพลายเออร์และแหล่งผลิตที่มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน เช่น ผู้ประกอบการต้องยกเลิกการนำเข้าจากซัพพลายเออร์และแหล่งผลิตนั้นเมื่อมีการกระทำผิดซ้ำอีก ผู้ประกอบการนำเข้า ห้างโมเดิร์นเทรดและผู้จำหน่ายต้องระบุแหล่งที่มา/ประเทศต้นทางของสินค้านำเข้า เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้เมื่อเกิดปัญหา ขณะที่ กระทรวงสาธารณสุข ควรใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎระเบียบและกฎหมายที่มีอยู่กำหนดผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายต้องติดฉลากแสดงที่มาและประเทศต้นทาง เพิ่มมาตรการในการรับประกันคุณภาพความปลอดภัย และ สร้างระบบ Rapid Alert System ที่ตอบสนองต่อสถานการณ์แบบนี้อย่างรวดเร็ว เช่น การแจ้งให้ทราบ การเรียกคืน การทำลายสินค้า ทันทีที่ตรวจพบ รวมทั้งการเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจวิเคราะห์จากประเทศต้นทางหรือแหล่งผลิตที่พบว่ามีความเสี่ยงสูง . ที่สำคัญ รัฐบาลควรกำหนดเป้าหมายความปลอดภัยของผักผลไม้ โดยในปี 2573 ผักผลไม้ที่จำหน่ายในประเทศไทย มีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน ไม่เกิน 5% และกำหนดเป้าหมายและงบประมาณในการพัฒนาระบบเฝ้าระวังเพื่อยกระดับความปลอดภัยทางอาหาร โดยในปี 2571 ประเทศไทยมีระบบ Rapid Alert System เพื่อให้เกิดการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนเร่งด่วนที่มีประสิทธิภาพ เท่าทันต่อสถานการณ์ และมีกลไกการเชื่อมต่อข้อมูลและติดตามการจัดการปัญหาตลอดห่วงโซ่ ............ Sondhi X
    Like
    Angry
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 932 มุมมอง 1 รีวิว
  • หยุดฝ่าฝืนพระบรมราชโองการ หยุดละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาเขตทะเลไทย / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    การที่รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกำลัง “เร่งรัด” เจรจาด้านผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ค.ศ. 2001 หรือที่เรียกว่า “MOU 2544” นั้น อาจสุ่มเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมายของประเทศไทย ฝ่าฝืนพระบรมราชโองการ และอาจทำให้ประเทศชาติและประชาชนอาจจะสูญเสียผลประโยชน์ตามมาได้ด้วย

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ได้ทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2516 โดยมีจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการนั้น ได้ทำให้เห็นว่า พื้นที่ทางทะเลซึ่งกำลังมีการเจรจาผลประโยชน์ระหว่างไทยและกัมพูชาตาม MOU 2544 อยู่ในขณะนี้มี จำนวน 26,000 ตารางกิโลเมตร อยู่ในเขตไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทยฝ่ายเดียวตามกฎหมายสากลทั้งสิ้น ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาดังที่พยายามเจรจากันอยู่ในขณะนี้ ดังมีรายละเอียดดังนี้

    ประการแรก พระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ไม่สามารถลบล้างด้วยข้อตกลงหรือการเจรจากันเองของนักการเมืองหรือข้าราชการได้

    หากมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นต้องเป็นไปโดยเงื่อนไขที่กำหนดโดย “พระบรมราชโองการ” เท่านั้น

    ประการที่สอง พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นั้น ได้ระบุวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนว่าเพื่อใช้ “สิทธิอธิปไตยของประเทศไทย” จึงต้องตระหนักว่าพระบรมราชโองการประกาศฉบับนี้มี 3 คำสำคัญประกอบกัน คือ “สิทธิ” , “อธิปไตย” ตลอดจนคำว่า ”ของประเทศไทย“

    ดังนั้นพระบรมราชโองการประกาศฉบับนี้ไม่ใช่เรื่อง “อธิปไตย“ของประเทศไทยแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องรวมถึง “สิทธิ”ของประเทศไทย ไม่ใช่ “อธิปไตย” ของชาติอื่นและไม่ใช่“สิทธิ”ของชาติอื่นมาผสมปะปนได้

    โดยมีข้อความระบุเฉพาะถึงขอบเขตอย่างชัดเจนด้วยว่า “การใช้สิทธิอธิปไตยของประเทศไทย”นั้นเพื่อใช้ “ในการสำรวจและการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ“ ในอ่าวไทย

    ภายใต้พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 มีสาระสำคัญในเรื่อง “สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย“ ดังนั้นทรัพยากรธรรมชาติภายใต้การประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทยย่อมต้องเป็นของราชอาณาจักรไทยเพียงประเทศเดียวเท่านั้น

    ดังนั้นผู้สำรวจ ผู้รับสัมปทาน หรือมีผู้แสวงหาผลประโยชน์ในทรัพยากรในอ่าวไทยจะต้องทำสัญญากับอธิปไตยได้เพียงรัฐเดียวเท่านั้นคือ ”ประเทศไทย“

    การบิดเบือนให้ “สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย” ที่เดิมต้องลงนามโดยรัฐบาลประเทศไทยเพียงรัฐเดียว ให้กลายเป็นสิทธิในการสำรวจและแสวงหาผลประโยชน์ทางพลังงานที่ต้องลงนามโดยรัฐบาล 2 ประเทศ คือประเทศไทยร่วมกับประเทศกัมพูชานั้น ย่อมเท่ากับว่ารัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยได้สละ “สิทธิ” และ “อธิปไตย” ในการอนุญาตสำรวจและแสวงหาผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยฝ่ายเดียว

    การกระทำดังที่กล่าวมานี้อาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายและฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งที่ได้ทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516

    ประการที่สาม พระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศตามกฎหมายสากลเท่านั้น ปรากฏเป็นข้อความเป็นหลักการว่า

    “ยึดถือมูลฐานแห่งสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศ อันเป็นที่ยอมรับนับถือกันทั่วไป ตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 และประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้แล้ว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2511“

    ทั้งนี้ บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 นั้น ต่อมาได้ถูกรับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ด้วย

    ประกอบกับจุดเริ่มต้นของประเทศไทยในการแบ่งแยกระหว่างราชอาณาจักรไทย กับราชอาณาจักรกัมพูชา ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ข้อ 2 นั้น ได้ระบุอย่างชัดแจ้งว่า “เกาะกูดเป็นของสยาม” อย่างแน่นอนความว่า

    “รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้ายและเมืองตราด กับเกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงลงไป จนถึงเกาะกูดนั้น ให้แก่กรุงสยาม ตามกำหนดเขตร์แดนดังว่าไว้ ในข้อ 2 ของสัญญาว่าด้วยปักปันเขตร์แดนดังกล่าวมาแล้ว“

    นอกจากนั้นยังมีหลักฐานเป็น “แผนที่” แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาที่ได้กำหนดแผนที่แสดง “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 และพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาซึ่งได้ประกาศกำหนดแผนที่แสดง “เส้นทะเลอาณาเขต”ของกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2515 โดยมีข้อความด้านซ้ายแผนที่ภาพเกาะกูดเป็นภาษาอังกฤษคำว่า “Koh Kut” โดยมีวงเล็บอยู่ด้านล่างกำกับด้วยคำว่า “สยาม” เป็นภาษาอังกฤษว่า ”(SIAM)“ ทั้ง 2 ฉบับ ย่อมเป็นการยืนยันโดยราชอาณาจักรกัมพูชาว่า “เกาะกูด” เป็นของสยามประเทศอย่างแน่นอน

    เมื่อเกาะกูดเป็นของสยามประเทศ สยามประเทศจึงย่อมต้องมี ”ทะเลอาณาเขต“ จากเส้นฐานของเกาะกูดไปอีก 12 ไมล์ทะเล และมี ”เขตทะเลต่อเนื่อง“จากเส้นฐานของเกาะกูด 24 ไมล์ทะเล “รอบเกาะกูด” ตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ซึ่งต่อมาหลักการนี้ได้ถูกรับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ด้วย

    อย่างไรก็ตาม “เกาะกูด” ของสยาม และ “เกาะกง” ของกัมพูชา คือเกาะที่มีดินแดนยื่นออกมาในทะเลใกล้ที่สุดจากหลักเขตที่ 73 บนแผ่นดิน ซึ่งเป็นหลักเขตสุดท้ายทางทิศใต้ร่วมกันระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ที่บ้านหาดเล็ก ตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่จังหวัดตราด

    ดังนั้นพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 จึงได้ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 จึงปรากฏแผนที่การลากเส้นเขตไหล่ทวีปตาม ”กฎหมายสากล“ คือ เริ่มลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดและเกาะกง

    การลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดและเกาะกงนั้น ก็เป็นการดำเนินไปตามกฎหมายสากลด้วยทั้งสิ้น คือบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ซึ่งต่อมาได้ถูกรับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ด้วย

    ดังนั้นพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาได้กำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 มาประชิดเกาะกูดด้านตะวันตก แล้วอ้อมเกาะกูดไปด้านล่างแล้ววกกลับมาเป็นรูปตัว U แล้วลากเส้นต่อเนื่องไปยังทิศตะวันออกของเกาะกูดลึกเข้าไปในอ่าวไทยก็ดี หรือพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาฝ่ายเดียวซึ่งกำหนดแผนที่แสดงการลาก “เส้นทะเลอาณาเขต” ของกัมพูชาจากหลักเขตที่ 73 ประชิดด้านทิศตะวันตกของเกาะกูด ฉบับเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2515 ก็ดี ล้วนเป็นแผนที่กำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลที่ “ละเมิดสิทธิและละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย“ทั้งสิ้น และยังไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล และไม่เป็นไปตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ด้วยเพราะมีผลตามมาดังนี้

    1.ละเมิด ทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด

    2.ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด

    3.ละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทยที่มีการแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดกับเกาะกงจากหลักเขตที่ 73

    ดังนั้นหากราชอาณาจักรไทยยินยอมหรือรับรู้ โดยไม่ปฏิเสธการลากเส้นที่ละเมิดทะเลอาณาเขตรอบเกาะกูด ไม่ปฏิเสธการลากเส้นที่ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่องรอบเกาะกูด และไม่ปฏิเสธการลากเส้นที่ละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะทางพื้นที่ด้านทิศทะวันตกเส้นแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดและเกาะกง ย่อมเป็นการสุ่มเสี่ยงที่ราชอาณาจักรไทยจะสูญเสียสิทธิและอธิปไตยทะเลอาณาเขตรอบเกาะกูด สุ่มเสี่ยงสูญเสียสิทธิและอธิปไตยเขตทะเลต่อเนื่อง สุ่่มเสี่ยงสูญเสียพื้นที่ทะเลในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ

    เมื่อสละกฎหมายทะเลสากลรอบเกาะกูดทั้งหมด ก็จะส่งผลทำให้เกิดความสุ่่มเสี่ยงที่จะเกิดข้อพิพาท “ดินแดนเกาะกูด” ในฐานะที่ราชอาณาจักรไทย “นิ่งเฉย” ต่อการละเมิดพื้นที่ทะเลอาณาเขต ละเมิดพื้นที่ทะเลต่อเนื่อง และการละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะรอบเกาะกูด มีความสุ่มเสี่ยงที่รัฐบาลกัมพูชาอาจอ้างกฎหมายปิดปากให้เกาะกูดตกเป็นของกัมพูชาในอนาคตได้ ดังที่ราชอาณาจักรไทยได้เคยสูญเสียปราสาทพระวิหารและสูญเสียพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารโดยศาลโลกเมื่อปี พ.ศ. 2505 มาแล้ว

    ดังนั้นหากยังฝ่าฝืนดำเนินการ MOU 2544 ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการตกลงใดๆที่อยู่นอกเหนือแผนที่ตามประกาศภายใต้พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 อาจสุ่มเสี่ยงว่าเป็นการดำเนินที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และไม่เป็นการยึดถือตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ด้วย

    ประการที่สี่ พื้นที่ทับซ้อนสามารถเจรจาแบ่งผลประโยชน์ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายสากลเท่านั้น ไม่ใช่ทำตามอำเภอใจ

    พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นั้นได้ “เปิดช่องให้มีการเจรจาตกลงกันได้”

    แต่จะต้องยึดถือมูลฐานจาก บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 เท่านั้น และต้องไม่ใช้เงื่อนไขอื่นในการตกลงกันความว่า

    “สำหรับสิทธิอธิปไตยในส่วนที่เป็นทะเลอาณาเขตซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตใกล้เคียงอันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้นจะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน โดยยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958“

    เพราะตามบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 สามารถเกิดพื้นที่ทับซ้อนกันได้ จึงอาจเกิดพื้นที่ลักษณะอ้างสิทธิทับซ้อนกันได้จริงดังที่ได้เกิดขึ้นกับพื้นที่การพัฒนาร่วมระหว่างไทย-มาเลเซีย

    แต่เมื่อ MOU 2544 ไทย-กัมพูชา แตกต่างจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เพราะ MOU 2544 ระหว่างไทย-กัมพูชา ได้เกิดพื้นที่โดยรับรู้เส้นไหล่ทวีปอ้างสิทธิของราชอาณาจักรกัมพูชาที่กำหนดเขตไหล่ทวีปที่ลากเส้น ”ละเมิด“ สิทธิและอธิปไตยทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด และละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทยที่มีการแบ่งครึ่งมุมจากหลักเขตที่ 73 เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาจึงย่อมไม่มีทางเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ได้เลย

    หากจะมีพื้นที่ทับซ้อนในทางเทคนิกก็ต้องเป็นไปตามมูลฐานของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 เท่านั้น จึงจะสามารถเริ่มเจรจาได้ ซึ่งแปลว่าก็ต้องมีความใกล้เคียงกับแผนที่แนบท้ายพระบรมราชโองการทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยฉบับเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เท่านั้น

    ดังนั้นการเจรจาตกลงกันระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ลากเส้นโดยไม่ยึดถือตามมูลฐานของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 หรือทำให้ฝ่ายไทยสูญเสียสิทธิและอธิปไตยเกินกว่าพระบรมราชโองการย่อมกระทำไม่ได้

    และหากรัฐบาลยังฝ่าฝืนดำเนินต่อไป ก็ย่อมมีความเสี่ยงว่าจะเป็นการกระทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง เพราะเป็นการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการของในหลวงรัชกาลที่ 9 ยินยอมให้มีการละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาเขตทะเลไทย

    ด้วยจิตคารวะ
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    23 ตุลาคม 2567

    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1079446800215686/?

    #Thaitimes
    หยุดฝ่าฝืนพระบรมราชโองการ หยุดละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาเขตทะเลไทย / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ การที่รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกำลัง “เร่งรัด” เจรจาด้านผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ค.ศ. 2001 หรือที่เรียกว่า “MOU 2544” นั้น อาจสุ่มเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมายของประเทศไทย ฝ่าฝืนพระบรมราชโองการ และอาจทำให้ประเทศชาติและประชาชนอาจจะสูญเสียผลประโยชน์ตามมาได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ได้ทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2516 โดยมีจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการนั้น ได้ทำให้เห็นว่า พื้นที่ทางทะเลซึ่งกำลังมีการเจรจาผลประโยชน์ระหว่างไทยและกัมพูชาตาม MOU 2544 อยู่ในขณะนี้มี จำนวน 26,000 ตารางกิโลเมตร อยู่ในเขตไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทยฝ่ายเดียวตามกฎหมายสากลทั้งสิ้น ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาดังที่พยายามเจรจากันอยู่ในขณะนี้ ดังมีรายละเอียดดังนี้ ประการแรก พระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ไม่สามารถลบล้างด้วยข้อตกลงหรือการเจรจากันเองของนักการเมืองหรือข้าราชการได้ หากมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นต้องเป็นไปโดยเงื่อนไขที่กำหนดโดย “พระบรมราชโองการ” เท่านั้น ประการที่สอง พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นั้น ได้ระบุวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนว่าเพื่อใช้ “สิทธิอธิปไตยของประเทศไทย” จึงต้องตระหนักว่าพระบรมราชโองการประกาศฉบับนี้มี 3 คำสำคัญประกอบกัน คือ “สิทธิ” , “อธิปไตย” ตลอดจนคำว่า ”ของประเทศไทย“ ดังนั้นพระบรมราชโองการประกาศฉบับนี้ไม่ใช่เรื่อง “อธิปไตย“ของประเทศไทยแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องรวมถึง “สิทธิ”ของประเทศไทย ไม่ใช่ “อธิปไตย” ของชาติอื่นและไม่ใช่“สิทธิ”ของชาติอื่นมาผสมปะปนได้ โดยมีข้อความระบุเฉพาะถึงขอบเขตอย่างชัดเจนด้วยว่า “การใช้สิทธิอธิปไตยของประเทศไทย”นั้นเพื่อใช้ “ในการสำรวจและการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ“ ในอ่าวไทย ภายใต้พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 มีสาระสำคัญในเรื่อง “สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย“ ดังนั้นทรัพยากรธรรมชาติภายใต้การประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทยย่อมต้องเป็นของราชอาณาจักรไทยเพียงประเทศเดียวเท่านั้น ดังนั้นผู้สำรวจ ผู้รับสัมปทาน หรือมีผู้แสวงหาผลประโยชน์ในทรัพยากรในอ่าวไทยจะต้องทำสัญญากับอธิปไตยได้เพียงรัฐเดียวเท่านั้นคือ ”ประเทศไทย“ การบิดเบือนให้ “สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย” ที่เดิมต้องลงนามโดยรัฐบาลประเทศไทยเพียงรัฐเดียว ให้กลายเป็นสิทธิในการสำรวจและแสวงหาผลประโยชน์ทางพลังงานที่ต้องลงนามโดยรัฐบาล 2 ประเทศ คือประเทศไทยร่วมกับประเทศกัมพูชานั้น ย่อมเท่ากับว่ารัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยได้สละ “สิทธิ” และ “อธิปไตย” ในการอนุญาตสำรวจและแสวงหาผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยฝ่ายเดียว การกระทำดังที่กล่าวมานี้อาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายและฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งที่ได้ทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ประการที่สาม พระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศตามกฎหมายสากลเท่านั้น ปรากฏเป็นข้อความเป็นหลักการว่า “ยึดถือมูลฐานแห่งสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศ อันเป็นที่ยอมรับนับถือกันทั่วไป ตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 และประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้แล้ว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2511“ ทั้งนี้ บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 นั้น ต่อมาได้ถูกรับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ด้วย ประกอบกับจุดเริ่มต้นของประเทศไทยในการแบ่งแยกระหว่างราชอาณาจักรไทย กับราชอาณาจักรกัมพูชา ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ข้อ 2 นั้น ได้ระบุอย่างชัดแจ้งว่า “เกาะกูดเป็นของสยาม” อย่างแน่นอนความว่า “รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้ายและเมืองตราด กับเกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงลงไป จนถึงเกาะกูดนั้น ให้แก่กรุงสยาม ตามกำหนดเขตร์แดนดังว่าไว้ ในข้อ 2 ของสัญญาว่าด้วยปักปันเขตร์แดนดังกล่าวมาแล้ว“ นอกจากนั้นยังมีหลักฐานเป็น “แผนที่” แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาที่ได้กำหนดแผนที่แสดง “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 และพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาซึ่งได้ประกาศกำหนดแผนที่แสดง “เส้นทะเลอาณาเขต”ของกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2515 โดยมีข้อความด้านซ้ายแผนที่ภาพเกาะกูดเป็นภาษาอังกฤษคำว่า “Koh Kut” โดยมีวงเล็บอยู่ด้านล่างกำกับด้วยคำว่า “สยาม” เป็นภาษาอังกฤษว่า ”(SIAM)“ ทั้ง 2 ฉบับ ย่อมเป็นการยืนยันโดยราชอาณาจักรกัมพูชาว่า “เกาะกูด” เป็นของสยามประเทศอย่างแน่นอน เมื่อเกาะกูดเป็นของสยามประเทศ สยามประเทศจึงย่อมต้องมี ”ทะเลอาณาเขต“ จากเส้นฐานของเกาะกูดไปอีก 12 ไมล์ทะเล และมี ”เขตทะเลต่อเนื่อง“จากเส้นฐานของเกาะกูด 24 ไมล์ทะเล “รอบเกาะกูด” ตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ซึ่งต่อมาหลักการนี้ได้ถูกรับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ด้วย อย่างไรก็ตาม “เกาะกูด” ของสยาม และ “เกาะกง” ของกัมพูชา คือเกาะที่มีดินแดนยื่นออกมาในทะเลใกล้ที่สุดจากหลักเขตที่ 73 บนแผ่นดิน ซึ่งเป็นหลักเขตสุดท้ายทางทิศใต้ร่วมกันระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ที่บ้านหาดเล็ก ตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่จังหวัดตราด ดังนั้นพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 จึงได้ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 จึงปรากฏแผนที่การลากเส้นเขตไหล่ทวีปตาม ”กฎหมายสากล“ คือ เริ่มลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดและเกาะกง การลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดและเกาะกงนั้น ก็เป็นการดำเนินไปตามกฎหมายสากลด้วยทั้งสิ้น คือบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ซึ่งต่อมาได้ถูกรับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ด้วย ดังนั้นพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาได้กำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 มาประชิดเกาะกูดด้านตะวันตก แล้วอ้อมเกาะกูดไปด้านล่างแล้ววกกลับมาเป็นรูปตัว U แล้วลากเส้นต่อเนื่องไปยังทิศตะวันออกของเกาะกูดลึกเข้าไปในอ่าวไทยก็ดี หรือพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาฝ่ายเดียวซึ่งกำหนดแผนที่แสดงการลาก “เส้นทะเลอาณาเขต” ของกัมพูชาจากหลักเขตที่ 73 ประชิดด้านทิศตะวันตกของเกาะกูด ฉบับเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2515 ก็ดี ล้วนเป็นแผนที่กำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลที่ “ละเมิดสิทธิและละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย“ทั้งสิ้น และยังไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล และไม่เป็นไปตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ด้วยเพราะมีผลตามมาดังนี้ 1.ละเมิด ทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด 2.ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด 3.ละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทยที่มีการแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดกับเกาะกงจากหลักเขตที่ 73 ดังนั้นหากราชอาณาจักรไทยยินยอมหรือรับรู้ โดยไม่ปฏิเสธการลากเส้นที่ละเมิดทะเลอาณาเขตรอบเกาะกูด ไม่ปฏิเสธการลากเส้นที่ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่องรอบเกาะกูด และไม่ปฏิเสธการลากเส้นที่ละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะทางพื้นที่ด้านทิศทะวันตกเส้นแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดและเกาะกง ย่อมเป็นการสุ่มเสี่ยงที่ราชอาณาจักรไทยจะสูญเสียสิทธิและอธิปไตยทะเลอาณาเขตรอบเกาะกูด สุ่มเสี่ยงสูญเสียสิทธิและอธิปไตยเขตทะเลต่อเนื่อง สุ่่มเสี่ยงสูญเสียพื้นที่ทะเลในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ เมื่อสละกฎหมายทะเลสากลรอบเกาะกูดทั้งหมด ก็จะส่งผลทำให้เกิดความสุ่่มเสี่ยงที่จะเกิดข้อพิพาท “ดินแดนเกาะกูด” ในฐานะที่ราชอาณาจักรไทย “นิ่งเฉย” ต่อการละเมิดพื้นที่ทะเลอาณาเขต ละเมิดพื้นที่ทะเลต่อเนื่อง และการละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะรอบเกาะกูด มีความสุ่มเสี่ยงที่รัฐบาลกัมพูชาอาจอ้างกฎหมายปิดปากให้เกาะกูดตกเป็นของกัมพูชาในอนาคตได้ ดังที่ราชอาณาจักรไทยได้เคยสูญเสียปราสาทพระวิหารและสูญเสียพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารโดยศาลโลกเมื่อปี พ.ศ. 2505 มาแล้ว ดังนั้นหากยังฝ่าฝืนดำเนินการ MOU 2544 ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการตกลงใดๆที่อยู่นอกเหนือแผนที่ตามประกาศภายใต้พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 อาจสุ่มเสี่ยงว่าเป็นการดำเนินที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และไม่เป็นการยึดถือตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ด้วย ประการที่สี่ พื้นที่ทับซ้อนสามารถเจรจาแบ่งผลประโยชน์ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายสากลเท่านั้น ไม่ใช่ทำตามอำเภอใจ พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นั้นได้ “เปิดช่องให้มีการเจรจาตกลงกันได้” แต่จะต้องยึดถือมูลฐานจาก บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 เท่านั้น และต้องไม่ใช้เงื่อนไขอื่นในการตกลงกันความว่า “สำหรับสิทธิอธิปไตยในส่วนที่เป็นทะเลอาณาเขตซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตใกล้เคียงอันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้นจะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน โดยยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958“ เพราะตามบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 สามารถเกิดพื้นที่ทับซ้อนกันได้ จึงอาจเกิดพื้นที่ลักษณะอ้างสิทธิทับซ้อนกันได้จริงดังที่ได้เกิดขึ้นกับพื้นที่การพัฒนาร่วมระหว่างไทย-มาเลเซีย แต่เมื่อ MOU 2544 ไทย-กัมพูชา แตกต่างจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เพราะ MOU 2544 ระหว่างไทย-กัมพูชา ได้เกิดพื้นที่โดยรับรู้เส้นไหล่ทวีปอ้างสิทธิของราชอาณาจักรกัมพูชาที่กำหนดเขตไหล่ทวีปที่ลากเส้น ”ละเมิด“ สิทธิและอธิปไตยทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด และละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทยที่มีการแบ่งครึ่งมุมจากหลักเขตที่ 73 เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาจึงย่อมไม่มีทางเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ได้เลย หากจะมีพื้นที่ทับซ้อนในทางเทคนิกก็ต้องเป็นไปตามมูลฐานของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 เท่านั้น จึงจะสามารถเริ่มเจรจาได้ ซึ่งแปลว่าก็ต้องมีความใกล้เคียงกับแผนที่แนบท้ายพระบรมราชโองการทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยฉบับเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เท่านั้น ดังนั้นการเจรจาตกลงกันระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ลากเส้นโดยไม่ยึดถือตามมูลฐานของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 หรือทำให้ฝ่ายไทยสูญเสียสิทธิและอธิปไตยเกินกว่าพระบรมราชโองการย่อมกระทำไม่ได้ และหากรัฐบาลยังฝ่าฝืนดำเนินต่อไป ก็ย่อมมีความเสี่ยงว่าจะเป็นการกระทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง เพราะเป็นการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการของในหลวงรัชกาลที่ 9 ยินยอมให้มีการละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาเขตทะเลไทย ด้วยจิตคารวะ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 23 ตุลาคม 2567 https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1079446800215686/? #Thaitimes
    Like
    17
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 736 มุมมอง 0 รีวิว
  • สะเทือนใจ...เปิดรายชื่อครู-นักเรียนเสียชีวิต รถบัสทัศนศึษาไฟไหม้ ยอดรวม 23 ราย ไฟลวกเจ็บสาหัสอีก 3 ราย
    .
    วันนี้( 1 ต.ค.)เปิดรายชื่อนักเรียน-ครู โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม เสียชีวิตเหตุรถบัสทัศนศึกษาไฟไหม้ทั้งคัน ยอดรวม นักเรียน 20 ราย ครูประจำรถบัสคันเกิดเหตุ 3 ราย บาดเจ็บสาหัสถูกไฟลวก 3 ราย รายละเอียดดังนี้
    .
    รถบัสคันที่ 2 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ด.ช.ธีระพงศ์ ,ด.ญ.ปฏิณญา ,ด.ญ.อัจรา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด.ช.ณัฐพงศ์ ,ด.ช.พัสกร ,ด.ช.พีรภัทร ,ด.ช.องอาจ ,ด.ช.อาชวิน, ด.ญ.ฐิติมา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ด.ช.ชาคริต ,ด.ช.ณัฐพัชร์ ,ด.ช.ชนกฤต ,ด.ช.บวรศักดิ์ , ด.ช.ฤตรวัช ด.ช.พีรฉัตร มัธยมศึกษาปีที่ 2 ด.ช.สิริณัฎฐ์ ,ด.ช.กฤษดา มันธยมศึกษาปีที่ 3 ด.ญ.ปาณชินทร์ ,ด.ญ.พิมพ์ชนก ,ด.ญ.สุนิชา
    .
    ครูประจำรถบัสคันที่ 2 น.ส.พิมพ์ทอง สมบัติ(ครูจอย) ,ศรัญญา หอมเกสร (ครูมิ้ม) ,น.ส.กนกวรรณ ศรีพร(ครูสาวน้อย)
    .
    ส่วนที่ได้รับบาดเจ็บนำส่งโรงพยาบาลแพทย์รังสิต นักเรียน 3 ราย
    .
    1.ด.ญ.อารดา จิรายุ อายุ 7 ปี เรียนชั้น ป.2 (ใส่ท่อช่วยหายใจ) 2.ด.ญ.พิมพ์ธาดา พิมพ์ไพทูร อายุ 9 ปี เรียนชั้น ป.3 มีผลไหม้ตามร่างกาย 10% 3.ด.ญ.นฤพร รัตนเกาสันต์ อายุ 14 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีแผลไหม้ตามร่างกาย 20%
    ................
    Sondhi X
    สะเทือนใจ...เปิดรายชื่อครู-นักเรียนเสียชีวิต รถบัสทัศนศึษาไฟไหม้ ยอดรวม 23 ราย ไฟลวกเจ็บสาหัสอีก 3 ราย . วันนี้( 1 ต.ค.)เปิดรายชื่อนักเรียน-ครู โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม เสียชีวิตเหตุรถบัสทัศนศึกษาไฟไหม้ทั้งคัน ยอดรวม นักเรียน 20 ราย ครูประจำรถบัสคันเกิดเหตุ 3 ราย บาดเจ็บสาหัสถูกไฟลวก 3 ราย รายละเอียดดังนี้ . รถบัสคันที่ 2 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ด.ช.ธีระพงศ์ ,ด.ญ.ปฏิณญา ,ด.ญ.อัจรา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด.ช.ณัฐพงศ์ ,ด.ช.พัสกร ,ด.ช.พีรภัทร ,ด.ช.องอาจ ,ด.ช.อาชวิน, ด.ญ.ฐิติมา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ด.ช.ชาคริต ,ด.ช.ณัฐพัชร์ ,ด.ช.ชนกฤต ,ด.ช.บวรศักดิ์ , ด.ช.ฤตรวัช ด.ช.พีรฉัตร มัธยมศึกษาปีที่ 2 ด.ช.สิริณัฎฐ์ ,ด.ช.กฤษดา มันธยมศึกษาปีที่ 3 ด.ญ.ปาณชินทร์ ,ด.ญ.พิมพ์ชนก ,ด.ญ.สุนิชา . ครูประจำรถบัสคันที่ 2 น.ส.พิมพ์ทอง สมบัติ(ครูจอย) ,ศรัญญา หอมเกสร (ครูมิ้ม) ,น.ส.กนกวรรณ ศรีพร(ครูสาวน้อย) . ส่วนที่ได้รับบาดเจ็บนำส่งโรงพยาบาลแพทย์รังสิต นักเรียน 3 ราย . 1.ด.ญ.อารดา จิรายุ อายุ 7 ปี เรียนชั้น ป.2 (ใส่ท่อช่วยหายใจ) 2.ด.ญ.พิมพ์ธาดา พิมพ์ไพทูร อายุ 9 ปี เรียนชั้น ป.3 มีผลไหม้ตามร่างกาย 10% 3.ด.ญ.นฤพร รัตนเกาสันต์ อายุ 14 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีแผลไหม้ตามร่างกาย 20% ................ Sondhi X
    Sad
    Like
    Angry
    16
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 912 มุมมอง 1 รีวิว
  • #หนักกว่าเคสน้องไนท์ก็คือโจมณทนี
    #เปิดเส้นทางสู่การเป็นนักต้มที่นี่ที่แรกที่เดียว
    หากเราเปรียบเทียบกับเคสน้องไนท์
    ที่ถึงจุดสิ้นสุดไปแล้วนั้น กรณีไนท์
    แม่น้องอาศัยศรัทธา และความเป็นผู้วิเศษ
    อุปโลกไนท์ เป็นพระพุทธเจ้าอนาคามี
    แต่ไม่มีการเรียกเก็บลักษณะเป็นคอส
    ยกเว้นกรณีมีการจัดอีเวนท์ที่ผู้จัดจะเป็นผู้รับเงิน
    แต่โจมณฑนี เปิดเป็นโรงเรียนอย่างเอิกเริก
    โดยมีรายละเอียดดังนี้
    -------------------------------------------------
    ยิ่งขุด ยิ่งอึ้ง กับบุคคลที่ทุยศรัทธา
    ภาพลักษณ์ของโจ มณฑนี ในสายตาของกลุ่มผู้คลั่งไคล้
    กามิจ กาฝาก สก็อยกิมจิ คือบุคคลที่ทุยศรัทธา
    จะป.ตรี ดร. ก็นั่งฟังสิ่งที่โจ บรรยายกันสลอน
    ยิ่งฟังยิ่งน่านับถือ ยิ่งฟังยิ่งน่าศรัทธา
    โดยหารู้ไม่ สามสี่ชม.ต่อวันที่นั่งฟัง
    คุณกำลังเจอนักต้มมืออาชีพ ที่รอดตัวมานาน
    นั่นคือพฤติกรรมเหิมเกริมต่อกฏบ้านกฏเมือง
    สร้างโรงเรียนเถี่อน สร้างหลักสูตรเถี่ยน
    มีการแอบอ้าง ตั้งสถานศึกษาโดยไม่ได้ขออนุญาต
    มีการแอบอ้าง การสร้างหลักสูตรโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นกัน
    ซ้ำยังมีการเรียกรับค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว
    โดยอาศัยความศรัทธาที่บิดเบือน
    โดย โจ มณฑนี มีวุฒิการศึกษาเพียงม.ต้น
    จึงไม่สามารถจะเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตเปิด
    สถานศึกษาจากกระทรวงศึกษาธิการได้
    นอกจากนั้น หลักสูตรที่ต้มพวกจิตอ่อน
    ล้วนไม่มีอยู่ในสารบบของกระทรวงศึกษา
    และนี่คือสิ่งที่โจทำไปโดยขาดความรู้
    ขาดความเข้าใจ เพราะการเรียนในระบบ วุฒิเพียงม.ต้นเท่านั้น
    รวมถึง ค่าเรียนที่เรียกรับผลประโยชน์
    ถึงหลักหมื่นถึงสองหมื่นกว่า ซึ่งเป็นรายได้
    ที่มหาศาล ทั้งๆที่ตนเ่อง แอบอ้างเป็นผู้เชี่ยวชาญ
    ให้คำปรึกษาด้านการเงิน ทำให้มีคนที่พลาดเชื่อ
    เข้ามา เพราะโจมณฑนี สร้างความเข้าใจผิด
    เพราะตัวโจเอง ไม่ได้จบแม้กระทั้ง ม.6 แม้บิดา
    จะพาไปเรียนสายอาชีพ คือปวช.1 โจก็ไม่เรียนให้สำเร็จ
    ไม่เคยคำนึงถึงความห่วงใยของบุพการี
    ส่งผลให้อาศัยเพียงแค่การเป็นคนที่ครูพักลักจำ
    รู้อย่างนู้นนิด อย่างนี้หน่อย ต่างประเทศยังไม่เคยไป
    แต่ก็อ้างตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา แค่ไปเรียนคอส
    ภาษาอังกฤษในประเทศระยะสั้น เพียงแค่นั้นเอง
    ดังนั้น พฤติการมิฉฉ๋าชีพนี้ มีความชัดเจนมาก
    ไม่ต่างอะไรกับพวกเข้าทรง ที่เคยออกโหนกระแส
    ที่อ้างว่าตนเองมีพลังจิต หยั่งรู้ฟ้าดิน เราคนไทย
    ต่างได้เห็นและต่างแสดงความขบขัน
    แต่มันไม่ขำตรงที่ โจ วุฒิม.ต้น ยังคงเรียกแรงศรัทธา
    จากผู้งายงม และเข้าไปอยู่ในเครือข่ายการฟอก เงินดาร์ค
    รับงานเอเจนซี่ของเกาหลี โดยหนึ่งในแผนคือ
    การให้ร้ายแน๊กชาลี ดาราหนุ่มของไทย
    แบน โปรดักไทยที่ให้แน๊กชาลีเป็นพลีเซ็นเตอร์
    ด้วยกระบวนการไอโอ ยุซผี และเทรนทิพย์
    ที่ไม่ใช่วิถีทางของสุจริตชน
    จึงเรียนถึงหน่วยงานที่มมีส่วนเกี่ยวข้อง
    เพราะหากยังปล่อยให้โจมณฑนี ที่มีพฤติกรรม
    ที่เป็นโจน พัฒนาไปสู่กลุ่มฟอกข้ามชาติ
    จะเกิดความเสียหายกับคนไทยและประเทศ
    #สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    #ปปง
    #DSi
    ต้องรวมพลังส่งข้อมูลให้กับหน่อยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสำนักพุทธ ทนายอนันตชัย กระทรวงศึกษาธิการ ดีเอสไอ สนช และปปง
    เพื่อชาติ เพื่อความถูกต้อง เพื่อประชาชนไทย
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #หนักกว่าเคสน้องไนท์ก็คือโจมณทนี #เปิดเส้นทางสู่การเป็นนักต้มที่นี่ที่แรกที่เดียว หากเราเปรียบเทียบกับเคสน้องไนท์ ที่ถึงจุดสิ้นสุดไปแล้วนั้น กรณีไนท์ แม่น้องอาศัยศรัทธา และความเป็นผู้วิเศษ อุปโลกไนท์ เป็นพระพุทธเจ้าอนาคามี แต่ไม่มีการเรียกเก็บลักษณะเป็นคอส ยกเว้นกรณีมีการจัดอีเวนท์ที่ผู้จัดจะเป็นผู้รับเงิน แต่โจมณฑนี เปิดเป็นโรงเรียนอย่างเอิกเริก โดยมีรายละเอียดดังนี้ ------------------------------------------------- ยิ่งขุด ยิ่งอึ้ง กับบุคคลที่ทุยศรัทธา ภาพลักษณ์ของโจ มณฑนี ในสายตาของกลุ่มผู้คลั่งไคล้ กามิจ กาฝาก สก็อยกิมจิ คือบุคคลที่ทุยศรัทธา จะป.ตรี ดร. ก็นั่งฟังสิ่งที่โจ บรรยายกันสลอน ยิ่งฟังยิ่งน่านับถือ ยิ่งฟังยิ่งน่าศรัทธา โดยหารู้ไม่ สามสี่ชม.ต่อวันที่นั่งฟัง คุณกำลังเจอนักต้มมืออาชีพ ที่รอดตัวมานาน นั่นคือพฤติกรรมเหิมเกริมต่อกฏบ้านกฏเมือง สร้างโรงเรียนเถี่อน สร้างหลักสูตรเถี่ยน มีการแอบอ้าง ตั้งสถานศึกษาโดยไม่ได้ขออนุญาต มีการแอบอ้าง การสร้างหลักสูตรโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นกัน ซ้ำยังมีการเรียกรับค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว โดยอาศัยความศรัทธาที่บิดเบือน โดย โจ มณฑนี มีวุฒิการศึกษาเพียงม.ต้น จึงไม่สามารถจะเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตเปิด สถานศึกษาจากกระทรวงศึกษาธิการได้ นอกจากนั้น หลักสูตรที่ต้มพวกจิตอ่อน ล้วนไม่มีอยู่ในสารบบของกระทรวงศึกษา และนี่คือสิ่งที่โจทำไปโดยขาดความรู้ ขาดความเข้าใจ เพราะการเรียนในระบบ วุฒิเพียงม.ต้นเท่านั้น รวมถึง ค่าเรียนที่เรียกรับผลประโยชน์ ถึงหลักหมื่นถึงสองหมื่นกว่า ซึ่งเป็นรายได้ ที่มหาศาล ทั้งๆที่ตนเ่อง แอบอ้างเป็นผู้เชี่ยวชาญ ให้คำปรึกษาด้านการเงิน ทำให้มีคนที่พลาดเชื่อ เข้ามา เพราะโจมณฑนี สร้างความเข้าใจผิด เพราะตัวโจเอง ไม่ได้จบแม้กระทั้ง ม.6 แม้บิดา จะพาไปเรียนสายอาชีพ คือปวช.1 โจก็ไม่เรียนให้สำเร็จ ไม่เคยคำนึงถึงความห่วงใยของบุพการี ส่งผลให้อาศัยเพียงแค่การเป็นคนที่ครูพักลักจำ รู้อย่างนู้นนิด อย่างนี้หน่อย ต่างประเทศยังไม่เคยไป แต่ก็อ้างตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา แค่ไปเรียนคอส ภาษาอังกฤษในประเทศระยะสั้น เพียงแค่นั้นเอง ดังนั้น พฤติการมิฉฉ๋าชีพนี้ มีความชัดเจนมาก ไม่ต่างอะไรกับพวกเข้าทรง ที่เคยออกโหนกระแส ที่อ้างว่าตนเองมีพลังจิต หยั่งรู้ฟ้าดิน เราคนไทย ต่างได้เห็นและต่างแสดงความขบขัน แต่มันไม่ขำตรงที่ โจ วุฒิม.ต้น ยังคงเรียกแรงศรัทธา จากผู้งายงม และเข้าไปอยู่ในเครือข่ายการฟอก เงินดาร์ค รับงานเอเจนซี่ของเกาหลี โดยหนึ่งในแผนคือ การให้ร้ายแน๊กชาลี ดาราหนุ่มของไทย แบน โปรดักไทยที่ให้แน๊กชาลีเป็นพลีเซ็นเตอร์ ด้วยกระบวนการไอโอ ยุซผี และเทรนทิพย์ ที่ไม่ใช่วิถีทางของสุจริตชน จึงเรียนถึงหน่วยงานที่มมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะหากยังปล่อยให้โจมณฑนี ที่มีพฤติกรรม ที่เป็นโจน พัฒนาไปสู่กลุ่มฟอกข้ามชาติ จะเกิดความเสียหายกับคนไทยและประเทศ #สำนักงานตำรวจแห่งชาติ #ปปง #DSi ต้องรวมพลังส่งข้อมูลให้กับหน่อยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสำนักพุทธ ทนายอนันตชัย กระทรวงศึกษาธิการ ดีเอสไอ สนช และปปง เพื่อชาติ เพื่อความถูกต้อง เพื่อประชาชนไทย #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Sad
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1103 มุมมอง 0 รีวิว
  • #คิงส์นี้ใช่มั๊ยที่กำลังตามหา
    รายละเอียดดังนี้
    กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชันแนล (อังกฤษ: King Power International Group) เป็นบริษัทด้านธุรกิจค้าปลีกสินค้าปลอดอากรของไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2532 โดยวิชัย ศรีวัฒนประภา ใช้ชื่อเดิมว่า บริษัท ดาวน์ทาวน์ ดี.เอฟ.เอส (ไทยแลนด์) จำกัด ได้ร่วมทุนกับ ททท. เปิดดำเนินกิจการร้านค้าปลอดอากรในเมืองเป็นรายแรกในประเทศไทย ณ อาคารมหาทุนพลาซ่า ถนนเพลินจิต ต่อมาในปี พ.ศ. 2536–2549 ได้รับสัมปทานจากการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ปัจจุบันคือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)) เข้าบริหารร้านค้าปลอดภาษี ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต และหาดใหญ่ ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท คิง เพาเวอร์ แท็กซ์ฟรี จำกัด และในปี พ.ศ. 2549 ได้เข้ามาดำเนินการสินค้าปลอดอากร ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552 บริษัทได้รับพระราชทานตราตั้งห้างครุฑ ตั้งอยู่ที่สำนักงานใหญ่ ถนนรางน้ำ เขตราชเทวี
    ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวจะพยายามหามาให้อีกนะครับ
    รักทุกค๊นนน
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์นี้ใช่มั๊ยที่กำลังตามหา รายละเอียดดังนี้ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชันแนล (อังกฤษ: King Power International Group) เป็นบริษัทด้านธุรกิจค้าปลีกสินค้าปลอดอากรของไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2532 โดยวิชัย ศรีวัฒนประภา ใช้ชื่อเดิมว่า บริษัท ดาวน์ทาวน์ ดี.เอฟ.เอส (ไทยแลนด์) จำกัด ได้ร่วมทุนกับ ททท. เปิดดำเนินกิจการร้านค้าปลอดอากรในเมืองเป็นรายแรกในประเทศไทย ณ อาคารมหาทุนพลาซ่า ถนนเพลินจิต ต่อมาในปี พ.ศ. 2536–2549 ได้รับสัมปทานจากการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ปัจจุบันคือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)) เข้าบริหารร้านค้าปลอดภาษี ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต และหาดใหญ่ ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท คิง เพาเวอร์ แท็กซ์ฟรี จำกัด และในปี พ.ศ. 2549 ได้เข้ามาดำเนินการสินค้าปลอดอากร ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552 บริษัทได้รับพระราชทานตราตั้งห้างครุฑ ตั้งอยู่ที่สำนักงานใหญ่ ถนนรางน้ำ เขตราชเทวี ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวจะพยายามหามาให้อีกนะครับ รักทุกค๊นนน #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    Love
    12
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 566 มุมมอง 0 รีวิว
  • #จีนตื่นตัวพีเคฟอกขาว
    รายละเอียดดังนี้ บอกเลย ละเอียดยิบจริงๆ
    ---------------------------------------------
    นักร้องอินเทอร์เน็ตหวังมี่เหียน (王冕) ถูกจับกุมเนื่องจากใช้การให้รางวัลในถ่ายทอดสดเพื่อฟ-อ-กเ-งิ-นเกือบ 100 ล้านหยวน โดยเขาเคยร้องเพลงที่โด่งดัง "勉为其难" (Mianweiqinan)
    เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม สถานีข่าว CCTV รายงานเกี่ยวกับคดี-ฟ-อ-ก-เงินผ่านการให้รางวัลในถ่ายทอดสด ซึ่งเป็นค-ดีแรกในประเทศที่จั-บกุ-มได้ โดยมีผู้ต้องสงสัย 21 คน รวมถึง 4 คนที่เป็นนักร้องชื่อดังในแพลตฟอร์ม
    ตามรายงานของ CCTV เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ตำรวจได้สื-บส-ว-นค-ดีต้มการระดมทุน และพบว่าทรัพย์สินที่ถูกเก็บมานั้นถูกใช้ในการให้รางวัลในถ่ายทอดสด โดยมีเงินที่เกี่ยวข้องเกือบ 100 ล้านหยวน ผู้ต้องสงสัยในค-ดีห-ล-อ-ก-ล-ว-งได้ติดต่อกับนักร้องออนไลน์คนหนึ่งและเสนอให้ใช้การให้รางวัลในถ่ายทอดสดเพื่อฟ-อ-ก-เ-งิ-น
    นักร้องที่เกี่ยวข้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ได้รับคือเงินจากการห-ล-อ-ก-ล-ว-ง และหวังมี่เหียนยังเคยขอให้มีส่วนร่วมในการฟอกเพื่อให้ได้ตำแหน่งในอันดับประจำปี
    แม้ว่าสถานีข่าวจะไม่ได้เปิดเผยชื่อของผู้ต้องสงสัยทั้งหมด แต่จากคลิปที่เผยแพร่ ผู้คนในโลกออนไลน์ได้ระบุถึงผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับได้รวมถึงหวังมี่เหียน
    ปัจจุบัน-ตำร-ว-จได้จั-บ-กุ-มผู้ต้องสงสัย 4 คน รวมถึงนักร้องออนไลน์ และเจ้าหน้าที่ในสตูดิโอของนักร้องที่รู้ว่าเป็นการฟอกแต่ยังคงทำเงินจากการกระทำนี้
    ก่อนหน้านี้มีข่าวลือเกี่ยวกับปัญหาของหวังมี่เหียน และบัญชีโซเชียลมีเดียของเขาได้หยุดอัปเดตมาหลายเดือน โดยโพสต์สุดท้ายของเขาคือเมื่อวันที่ 25 มกราคม ที่ผ่านมา
    หวังมี่เหียนเคยเขียนเกี่ยวกับความรู้สึกของเขาที่ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว แต่เป็นชายวัย 39 ปี เขาเขียนว่า "เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชีวิตในช่วงที่สับสนที่สุดคือช่วงที่ยังไม่แก่แต่ไม่ใช่หนุ่มแล้ว" อาจเป็นไปได้ว่าเขาไม่คาดคิดว่าตนเองจะถู-กจั-บในไม่ช้านี้
    หลังจากที่ข่าวถูกเผยแพร่ ผู้คนได้ไปที่บัญชีโซเชียลมีเดียของหวังมี่เหียนและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้
    หวังมี่เหียนเริ่มต้นเส้นทางการถ่ายทอดสดออนไลน์ตั้งแต่ปี 2012 และมีผลงานในภาพยนตร์และเพลงหลายเพลง โดยเพลง "勉为其难" ทำให้เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ แต่เขากลับเลือกเส้นทางที่ผิดและทำให้โอกาสที่ดีในชีวิตของเขาสูญเสียไป
    -------------------------------
    ข้อมูลอ้างอิงเดี๋ยวเอาไว้ใต้โพส
    สรุป
    อเมริกา ไต้หวัน ตุรกี จีน อีกไม่นาน ก็ไทย รอติดตาม
    โจ มณฑานี รอรับกรรมนะ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #จีนตื่นตัวพีเคฟอกขาว รายละเอียดดังนี้ บอกเลย ละเอียดยิบจริงๆ --------------------------------------------- นักร้องอินเทอร์เน็ตหวังมี่เหียน (王冕) ถูกจับกุมเนื่องจากใช้การให้รางวัลในถ่ายทอดสดเพื่อฟ-อ-กเ-งิ-นเกือบ 100 ล้านหยวน โดยเขาเคยร้องเพลงที่โด่งดัง "勉为其难" (Mianweiqinan) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม สถานีข่าว CCTV รายงานเกี่ยวกับคดี-ฟ-อ-ก-เงินผ่านการให้รางวัลในถ่ายทอดสด ซึ่งเป็นค-ดีแรกในประเทศที่จั-บกุ-มได้ โดยมีผู้ต้องสงสัย 21 คน รวมถึง 4 คนที่เป็นนักร้องชื่อดังในแพลตฟอร์ม ตามรายงานของ CCTV เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ตำรวจได้สื-บส-ว-นค-ดีต้มการระดมทุน และพบว่าทรัพย์สินที่ถูกเก็บมานั้นถูกใช้ในการให้รางวัลในถ่ายทอดสด โดยมีเงินที่เกี่ยวข้องเกือบ 100 ล้านหยวน ผู้ต้องสงสัยในค-ดีห-ล-อ-ก-ล-ว-งได้ติดต่อกับนักร้องออนไลน์คนหนึ่งและเสนอให้ใช้การให้รางวัลในถ่ายทอดสดเพื่อฟ-อ-ก-เ-งิ-น นักร้องที่เกี่ยวข้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ได้รับคือเงินจากการห-ล-อ-ก-ล-ว-ง และหวังมี่เหียนยังเคยขอให้มีส่วนร่วมในการฟอกเพื่อให้ได้ตำแหน่งในอันดับประจำปี แม้ว่าสถานีข่าวจะไม่ได้เปิดเผยชื่อของผู้ต้องสงสัยทั้งหมด แต่จากคลิปที่เผยแพร่ ผู้คนในโลกออนไลน์ได้ระบุถึงผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับได้รวมถึงหวังมี่เหียน ปัจจุบัน-ตำร-ว-จได้จั-บ-กุ-มผู้ต้องสงสัย 4 คน รวมถึงนักร้องออนไลน์ และเจ้าหน้าที่ในสตูดิโอของนักร้องที่รู้ว่าเป็นการฟอกแต่ยังคงทำเงินจากการกระทำนี้ ก่อนหน้านี้มีข่าวลือเกี่ยวกับปัญหาของหวังมี่เหียน และบัญชีโซเชียลมีเดียของเขาได้หยุดอัปเดตมาหลายเดือน โดยโพสต์สุดท้ายของเขาคือเมื่อวันที่ 25 มกราคม ที่ผ่านมา หวังมี่เหียนเคยเขียนเกี่ยวกับความรู้สึกของเขาที่ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว แต่เป็นชายวัย 39 ปี เขาเขียนว่า "เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชีวิตในช่วงที่สับสนที่สุดคือช่วงที่ยังไม่แก่แต่ไม่ใช่หนุ่มแล้ว" อาจเป็นไปได้ว่าเขาไม่คาดคิดว่าตนเองจะถู-กจั-บในไม่ช้านี้ หลังจากที่ข่าวถูกเผยแพร่ ผู้คนได้ไปที่บัญชีโซเชียลมีเดียของหวังมี่เหียนและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้ หวังมี่เหียนเริ่มต้นเส้นทางการถ่ายทอดสดออนไลน์ตั้งแต่ปี 2012 และมีผลงานในภาพยนตร์และเพลงหลายเพลง โดยเพลง "勉为其难" ทำให้เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ แต่เขากลับเลือกเส้นทางที่ผิดและทำให้โอกาสที่ดีในชีวิตของเขาสูญเสียไป ------------------------------- ข้อมูลอ้างอิงเดี๋ยวเอาไว้ใต้โพส สรุป อเมริกา ไต้หวัน ตุรกี จีน อีกไม่นาน ก็ไทย รอติดตาม โจ มณฑานี รอรับกรรมนะ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2215 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ไต้หวันก็เผชิญกับสถานการณ์เดียวกันกับประเทศไทย
    แต่มีการดำเนินการทางก-ฏ-ห-ม-า-ย-แล้ว
    รายละเอียดดังนี้
    ------------------------------------
    "มีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งในไต้หวัน ได้ใช้ Sh..p..e หาลูกค้าเพื่อทำธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินใต้ดินที่ผิ-ด-ก-ฎ-ห-ม-า-ยระหว่างไต้หวันและจีน โดยพวกเขาเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรมนี้ วิธีการคือ เมื่อลูกค้าสั่งซื้อและชำระเงินด้วยเงินดอลลาร์ไต้หวัน คู่สามีภรรยานี้จะเติม "เหรียญ D-o--u-y-i-n" ให้กับลูกค้าตามเรทแลกเปลี่ยนที่ตกลงกันไว้ ในระยะเวลา 3 ปี พวกเขาฟอกรวมมูลค่าสูงถึง 170 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน ศ-า-ลชั้นต้นได้ตั-ดสิ-นให้สามีรับโทษจำ 7 ปีครึ่ง และภรรยา 4 ปี ทั้งสองสามารถอุทธรณ์ได้ โดยคดีนี้ถือเป็นกรณีแรกในไต้หวันที่มีการใช้เหรียญ D-o--u-y-i-n ในการฟอกและถูกตั-ด-สิ-น-ล-งโ-ท-ษ
    ใน D-o--u-y-i-n (TT) ผู้ใช้ไม่เพียงแค่สามารถดูวิดีโอ แต่ยังสามารถชมการถ่ายทอดสดได้
    #หากใช้เงินเติมเหรียญก็สามารถแลกเป็นของขวัญเสมือนจริงได้ เช่น "ส่งดอกไม้ ส่งรถสปอร์ต" เพื่อสนับสนุนผู้ที่ถ่ายทอดสดและมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบอื่น
    ผู้ถ่ายทอดสดประเภทการดูดวง Abby อธิบายว่า "ผู้ชมอาจรู้สึกว่าฉันพูดได้แม่นยำ จึงมีความรู้สึกพิเศษ และส่งของขวัญเสมือนจริงได้ เหรียญเสมือนนี้สามารถใช้ในการ #ให้ของขวัญหรือถอนออกมาเป็นเงินสดได้"
    #การให้ของขวัญในห้องถ่ายทอดสดไม่เพียงแต่สนับสนุนผู้ถ่ายทอดสด
    #แต่ยังสามารถเปลี่ยนเป็นรายได้จริงได้
    อย่างไรก็ตาม มีการเปิดเผยกรณีแรกที่มีการใช้D-o--u-y-i-nในการฟ-อ-ก-โดยผู้กระทำความผิดถูกตั-ด-สิ-น-ล-ง-โท-ษ-จา-ก-ศ-า-ล
    เมื่อค้นหาคำว่า "บริการจัดซื้อ สอนการเติมเงิน" จะพบข้อมูลมากมาย คู่สามีภรรยาที่มีนามสกุล Yuan ได้ใช้ Sh..p..e โฆษณาในลักษณะนี้ และให้บริการแลกเปลี่ยนเงินให้กับลูกค้าที่ต้องการเปลี่ยนเงินหยวน โดยให้ลูกค้าสั่งซื้อและจ่ายเงินด้วยดอลลาร์ไต้หวัน จากนั้นจะทำการเติมเหรียญ D-o--u-y-i-n ในบัญชี D-o--u-y-i-n ของลูกค้า หรือเติมคะแนนในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์เช่น W-e-C-h-a-t หรือ A-l-i-p-a-y ตามเรทที่ตกลงกัน
    ศ-า-ลได้ตัดสินว่าทั้งคู่มีการดำเนินธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินใ--ต้-ดิ-น โดยในระยะเวลา 3 ปี ฟอกรวมมูลค่า 170 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน และค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บก็เกิน 3.31 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน
    ประธานแผนกอ-า-ญ-าศ-าล-สู-งสุ-ดนิวไทเป Chen Zhengwei กล่าวว่าผู้ใช้เหรียญ D-o--u-y-i-n สามารถใช้ในการสนับสนุนผู้ถ่ายทอดสดได้ แม้ว่าจะไม่ใช่สกุลเงินที่ถูกกฎหมาย แต่การแลกเปลี่ยนเหรียญ D-o--u-y-i-nเป็นเงินหยวนนั้นไม่มีความแตกต่างจากการแลกเงินดอลลาร์ไต้หวันเป็นเงินหยวนในรูปแบบปกติ
    แม้ว่าสามีจะแก้ต่างว่าเป็นเพียงการทำธุรกรรมปกติ และภรรยาก็กล่าวว่าไม่ทราบเรื่อง แต่-ศา-ลไม่ให้ความเชื่อถือ และตัดสินว่าการกระทำของทั้งคู่ได้ทำให้ทรัพย์สินของประชาชนถูกโอนออกไป โดยศ-า-ลชั้นต้นตั-ด-สิ-นให้สามี 7 ปีครึ่ง และภรรยา 4 ปี
    -------------------------------------------------
    เมกา ตุรกี ไต้หวัน เดี๋ยวเปิดของจีน
    ส่วนไทย เร็วๆนี้
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ไต้หวันก็เผชิญกับสถานการณ์เดียวกันกับประเทศไทย แต่มีการดำเนินการทางก-ฏ-ห-ม-า-ย-แล้ว รายละเอียดดังนี้ ------------------------------------ "มีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งในไต้หวัน ได้ใช้ Sh..p..e หาลูกค้าเพื่อทำธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินใต้ดินที่ผิ-ด-ก-ฎ-ห-ม-า-ยระหว่างไต้หวันและจีน โดยพวกเขาเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรมนี้ วิธีการคือ เมื่อลูกค้าสั่งซื้อและชำระเงินด้วยเงินดอลลาร์ไต้หวัน คู่สามีภรรยานี้จะเติม "เหรียญ D-o--u-y-i-n" ให้กับลูกค้าตามเรทแลกเปลี่ยนที่ตกลงกันไว้ ในระยะเวลา 3 ปี พวกเขาฟอกรวมมูลค่าสูงถึง 170 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน ศ-า-ลชั้นต้นได้ตั-ดสิ-นให้สามีรับโทษจำ 7 ปีครึ่ง และภรรยา 4 ปี ทั้งสองสามารถอุทธรณ์ได้ โดยคดีนี้ถือเป็นกรณีแรกในไต้หวันที่มีการใช้เหรียญ D-o--u-y-i-n ในการฟอกและถูกตั-ด-สิ-น-ล-งโ-ท-ษ ใน D-o--u-y-i-n (TT) ผู้ใช้ไม่เพียงแค่สามารถดูวิดีโอ แต่ยังสามารถชมการถ่ายทอดสดได้ #หากใช้เงินเติมเหรียญก็สามารถแลกเป็นของขวัญเสมือนจริงได้ เช่น "ส่งดอกไม้ ส่งรถสปอร์ต" เพื่อสนับสนุนผู้ที่ถ่ายทอดสดและมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบอื่น ผู้ถ่ายทอดสดประเภทการดูดวง Abby อธิบายว่า "ผู้ชมอาจรู้สึกว่าฉันพูดได้แม่นยำ จึงมีความรู้สึกพิเศษ และส่งของขวัญเสมือนจริงได้ เหรียญเสมือนนี้สามารถใช้ในการ #ให้ของขวัญหรือถอนออกมาเป็นเงินสดได้" #การให้ของขวัญในห้องถ่ายทอดสดไม่เพียงแต่สนับสนุนผู้ถ่ายทอดสด #แต่ยังสามารถเปลี่ยนเป็นรายได้จริงได้ อย่างไรก็ตาม มีการเปิดเผยกรณีแรกที่มีการใช้D-o--u-y-i-nในการฟ-อ-ก-โดยผู้กระทำความผิดถูกตั-ด-สิ-น-ล-ง-โท-ษ-จา-ก-ศ-า-ล เมื่อค้นหาคำว่า "บริการจัดซื้อ สอนการเติมเงิน" จะพบข้อมูลมากมาย คู่สามีภรรยาที่มีนามสกุล Yuan ได้ใช้ Sh..p..e โฆษณาในลักษณะนี้ และให้บริการแลกเปลี่ยนเงินให้กับลูกค้าที่ต้องการเปลี่ยนเงินหยวน โดยให้ลูกค้าสั่งซื้อและจ่ายเงินด้วยดอลลาร์ไต้หวัน จากนั้นจะทำการเติมเหรียญ D-o--u-y-i-n ในบัญชี D-o--u-y-i-n ของลูกค้า หรือเติมคะแนนในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์เช่น W-e-C-h-a-t หรือ A-l-i-p-a-y ตามเรทที่ตกลงกัน ศ-า-ลได้ตัดสินว่าทั้งคู่มีการดำเนินธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินใ--ต้-ดิ-น โดยในระยะเวลา 3 ปี ฟอกรวมมูลค่า 170 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน และค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บก็เกิน 3.31 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน ประธานแผนกอ-า-ญ-าศ-าล-สู-งสุ-ดนิวไทเป Chen Zhengwei กล่าวว่าผู้ใช้เหรียญ D-o--u-y-i-n สามารถใช้ในการสนับสนุนผู้ถ่ายทอดสดได้ แม้ว่าจะไม่ใช่สกุลเงินที่ถูกกฎหมาย แต่การแลกเปลี่ยนเหรียญ D-o--u-y-i-nเป็นเงินหยวนนั้นไม่มีความแตกต่างจากการแลกเงินดอลลาร์ไต้หวันเป็นเงินหยวนในรูปแบบปกติ แม้ว่าสามีจะแก้ต่างว่าเป็นเพียงการทำธุรกรรมปกติ และภรรยาก็กล่าวว่าไม่ทราบเรื่อง แต่-ศา-ลไม่ให้ความเชื่อถือ และตัดสินว่าการกระทำของทั้งคู่ได้ทำให้ทรัพย์สินของประชาชนถูกโอนออกไป โดยศ-า-ลชั้นต้นตั-ด-สิ-นให้สามี 7 ปีครึ่ง และภรรยา 4 ปี ------------------------------------------------- เมกา ตุรกี ไต้หวัน เดี๋ยวเปิดของจีน ส่วนไทย เร็วๆนี้ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1486 มุมมอง 1 รีวิว
  • #บทพิสูจน์ความจริงบนเพจคิงส์โพธิ์แดง
    เพจคิงส์โพธิ์แดงคือเพจแรกที่ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลสำคัญ
    เกี่ยวกับ กามิน เอเจนซี่ ขบวนการกลุ่มเงินดาร์คที่ใช้ตต.และการพีเค
    ในการซักอบรีดเงินดาร์คให้ขาวสะอาด เป็น อชญก ข้ามชาติ
    โดยมีคนไทย นำโดย โจมณฑานี ร่วมมือกับจีกามิน และเอเจน ที่เป็นบริษัทของกลุ่มทุนดาร์ค สร้างขบวนการสร้างกระแส
    แต่ดาราชายของไทย คือแน๊กชาลี ได้รับการชี้ชวนจากเอเจนซี่ แต่กลับปฏิเสธ เพราะไม่อยากทำให้คนไทยได้รับความเสียหาย
    แม้ชาลี จะไม่ทราบลึกถึงขนาดว่า พีเค บิ๊กแม็ต เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มทุนดาร์คก็ตาม แต่เพียงแค่การพีเค ต้องทำให้แฟนคลับ ต้องทุ่มเงินเพียงเพื่อให้ตนเองชนะ แน๊กทำไม่ได้ ต่อให้ได้รับผลประโยชน์มากแค่ไหน ก็ไม่เอา
    -จุดนี้คือจุดสำคัญ ที่ทำให้เอเจน กามิน และโจ มองเห็นแล้วว่า ต่อไป แน๊กจะเป็นตัวปัญหาของขบวนการ โจ ในฐานะผู้ดูแลกระแสโซเชียล จึงวางแผนสร้างสตอรี่ ให้แฟนคลับเข้าใจผิดว่า แน๊ก มีปัญหา ด้านจิต เพื่อดิ-ส-เ-ค-ร-ดิ-ต ดาราชาย หากมีการเปิดเผยข้อมูลในอนาคต จะได้ไม่มีคนเชื่อ ซึ่งกระบวนการนี้ทำมานานหลายเดือน จึงได้เห็นปรากฏการทัวร์ลงชาลีมากมาย และอวยกามินอย่างประหลาด
    -ในขณะที่แน๊กชาลี ไม่ยอม พีเค ลักษณะบิ๊กแม๊ต แต่กามิน และเอเจนซี่ รวมถึงโจ กลับปฏิบัติการ จัดบิ๊กแม็ตหลายครั้งและถี่มาก เพื่อสอดไส้เงินดาร์คเข้าระบบ ให้สมดุลกับยอดการเข้าชม โดยแทบไม่ต้องซื้อสติ๊กเกอร์ของขวัญเลยด้วยซ้ำ จากเงินดาร์ค เป็นเหรียญ จากเหรียญเป็นเงินที่มีการตกแต่งบัญชี ว่าได้มาจากค่าของขวัญและนำไปเสียภ-า-ษี-เพื่อให้เงินดาร์คสะอาด
    -เรื่องที่เล่ามานี้ เป็นสิ่งที่เพจคิงส์โพธิ์แดง ได้ทำการเปิดเผยมาก่อนหน้านี้ แต่ โจ มณฑานี กลับให้ขบวนการทั้งยูซผี และกองกำลังที่เป็นลูทีน ว่าเพจคิงส์นำเสนอสิ่งที่มโน วิเคราะห์มั่ว สารพัดตามแบบฉบับโจ และไอโอของกลุ่มเงินดาร์ค-
    -ในที่สุด โมเดลนี้ การซักอบรีดเงินดาร์คให้ขาว ก็ได้ไปถึงทั้งฝั่งยุโรป และตะวันออกกลาง นั่นคือสหรัฐ และตุรกี และได้มีการดำเนินคดีอย่างจริงจัง
    พร้อมเผยแพร่ข้อมูลนี้ สู่ชาวโลก
    -เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ชัดเจนว่า ข้อมูลที่คิงส์โพธิ์แดงให้นั้น เป็นความจริง
    ---------------------------------------------------------
    โดย ทางตุรกี จากตุรกีนิวส์ มีรายละเอียดดังนี้
    "สรุปข่าวย่อ ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีความกังวลเกี่ยวกับกิจกรรมการฟ-อ-ก-เ-งิ-นบน T..t โดยเฉพาะผ่านฟีเจอร์การถ่ายทอดสดและ
    #การให้ของขวัญทางดิจิทัลในประเทศตุรกี
    #เจ้าหน้าที่พบว่ามีการโอนเงินจำนวนมากผ่านแพลตฟอร์มนี้
    #โดยบางส่วนถูกสงสัยว่ามีความเชื่อมโยงกับกิจกรรมทางอาญา
    #รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินให้กับกลุ่มก่อการร้าย
    #ระบบของขวัญดิจิทัลของ T..t
    #ช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งของขวัญเสมือนจริง
    #ซึ่งผู้สร้างเนื้อหาสามารถแลกเป็นเงินจริงได้
    #ทำให้เกิดช่องโหว่ที่อาจใช้สำหรับการฟอกเงิน
    กรณีที่มีชื่อเสียงในตุรกี พบว่า การสืบสวนเกี่ยวกับอินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดีย รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่าง Dilan และ Engin Polat เผยให้เห็นการโอนเงินจำนวนมากผ่าน T..t ซึ่งมักถูกปลอมแปลงว่าเป็นธุรกรรมทางธุรกิจที่ถูกต้อง อินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้ถูกกล่าวหาว่าใช้ระบบการเงินของ T..t เพื่อฟอกเงินผิดกฎหมาย โดยการจำลองการขายสินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าสูงและซื้อสินค้าหรูหรา เช่น อสังหาริมทรัพย์และเครื่องประดับ ปัญหานี้ทำให้ T..tต้องเพิ่มมาตรการควบคุมการเงินที่เข้มงวดขึ้น แต่แพลตฟอร์มยังคงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
    นอกจากนี้ ธนาคาร HSBC ยังได้ปิดบัญชีที่เกี่ยวข้องT..t เนื่องจากไม่สามารถควบคุมการทำธุรกรรมทางการเงินได้เพียงพอ ซึ่งทำให้หน่วยงานกำกับดูแลในตุรกีและไอร์แลนด์เกิดความกังวลมากขึ้น"
    ส่วนฝั่งสหรัฐ
    ก็ได้เปิดเผยข้อมูลยืนยันเช่นกัน ว่าขบวนการ อชญก ข้ามชาติ
    ใช้ ตต. และการพีเค ในการฟอกจริง
    มีรายละเอียดดังนี้
    "ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในรัฐยูทาห์ มีการดำเนินการทางกฎหมายต่อ T.. .. T.. ... เกี่ยวกับฟีเจอร์ T.. .. T.. .. LIVE (pk) ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นช่องทางในการทำกิจกรรมผิ..กฎห..าย เช่น ก..รค้า..นุษย์ การขาย..าเ..พติ.. และการฟ-อ-ก-เ-งิ-น ผ่านการใช้สกุลเงินดิจิทัลในแอป ในเดือนมิถุนายน 2024 อัยการสูงสุดของรัฐยูทาห์ได้ยื่นฟ้-อ-ง T..T.. โดยอ้างว่าแพลตฟอร์มนี้ใช้กลวิธีเพื่อห..อกล..งผู้ใช้ให้ทำธุรกรรมผ่านแอป ซึ่งส่งผลให้เกิดการฟ-อ-ก-เ-งิ-น และ T..T..k ยังได้รับประโยชน์จากการเก็บค่าคอมมิ..ชั่นจำนวนมากจากแต่ละธุรกรรมอีกด้วย​"
    ข้อมูลทั้งหมดให้ไปดูในโพสที่พี่คิงส์แยกให้ ทั้งของสหรัฐและตุรกีมีลงไว้ใต้โพสครบถ้วน แหล่งอ้างอิงต่างๆ
    ----------------------------------------------------------
    ดังนั้น คิงส์โพธิ์แดงขอยืนหยัดในการนำเสนอข้อมูลที่เป็นความจริง
    ซึ่งหลายเรื่อง ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
    และในหลายๆประเด็น ก็มีข้อมูลที่สามารถยืนยันได้
    และเมื่อขบวนการเหล่านี้ มีจริง
    โจ และกองทัพไอโอ ก็มีอยู่จริง
    และทุกเรื่องที่เพจคิงส์โพธิ์แดงนำเสนอ
    ล้วนมีที่มาจากความเป็นจริง
    แล้วท่านจะรู้ว่า เพจคิงส์โพธิ์แดง
    กำลังต่อสู้กับอะไร
    ใครพร้อมไปให้สุดกับเพจคิงส์บ้าง ยกมือขึ้น
    แล้วลุยไปด้วยกันครับ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #บทพิสูจน์ความจริงบนเพจคิงส์โพธิ์แดง เพจคิงส์โพธิ์แดงคือเพจแรกที่ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลสำคัญ เกี่ยวกับ กามิน เอเจนซี่ ขบวนการกลุ่มเงินดาร์คที่ใช้ตต.และการพีเค ในการซักอบรีดเงินดาร์คให้ขาวสะอาด เป็น อชญก ข้ามชาติ โดยมีคนไทย นำโดย โจมณฑานี ร่วมมือกับจีกามิน และเอเจน ที่เป็นบริษัทของกลุ่มทุนดาร์ค สร้างขบวนการสร้างกระแส แต่ดาราชายของไทย คือแน๊กชาลี ได้รับการชี้ชวนจากเอเจนซี่ แต่กลับปฏิเสธ เพราะไม่อยากทำให้คนไทยได้รับความเสียหาย แม้ชาลี จะไม่ทราบลึกถึงขนาดว่า พีเค บิ๊กแม็ต เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มทุนดาร์คก็ตาม แต่เพียงแค่การพีเค ต้องทำให้แฟนคลับ ต้องทุ่มเงินเพียงเพื่อให้ตนเองชนะ แน๊กทำไม่ได้ ต่อให้ได้รับผลประโยชน์มากแค่ไหน ก็ไม่เอา -จุดนี้คือจุดสำคัญ ที่ทำให้เอเจน กามิน และโจ มองเห็นแล้วว่า ต่อไป แน๊กจะเป็นตัวปัญหาของขบวนการ โจ ในฐานะผู้ดูแลกระแสโซเชียล จึงวางแผนสร้างสตอรี่ ให้แฟนคลับเข้าใจผิดว่า แน๊ก มีปัญหา ด้านจิต เพื่อดิ-ส-เ-ค-ร-ดิ-ต ดาราชาย หากมีการเปิดเผยข้อมูลในอนาคต จะได้ไม่มีคนเชื่อ ซึ่งกระบวนการนี้ทำมานานหลายเดือน จึงได้เห็นปรากฏการทัวร์ลงชาลีมากมาย และอวยกามินอย่างประหลาด -ในขณะที่แน๊กชาลี ไม่ยอม พีเค ลักษณะบิ๊กแม๊ต แต่กามิน และเอเจนซี่ รวมถึงโจ กลับปฏิบัติการ จัดบิ๊กแม็ตหลายครั้งและถี่มาก เพื่อสอดไส้เงินดาร์คเข้าระบบ ให้สมดุลกับยอดการเข้าชม โดยแทบไม่ต้องซื้อสติ๊กเกอร์ของขวัญเลยด้วยซ้ำ จากเงินดาร์ค เป็นเหรียญ จากเหรียญเป็นเงินที่มีการตกแต่งบัญชี ว่าได้มาจากค่าของขวัญและนำไปเสียภ-า-ษี-เพื่อให้เงินดาร์คสะอาด -เรื่องที่เล่ามานี้ เป็นสิ่งที่เพจคิงส์โพธิ์แดง ได้ทำการเปิดเผยมาก่อนหน้านี้ แต่ โจ มณฑานี กลับให้ขบวนการทั้งยูซผี และกองกำลังที่เป็นลูทีน ว่าเพจคิงส์นำเสนอสิ่งที่มโน วิเคราะห์มั่ว สารพัดตามแบบฉบับโจ และไอโอของกลุ่มเงินดาร์ค- -ในที่สุด โมเดลนี้ การซักอบรีดเงินดาร์คให้ขาว ก็ได้ไปถึงทั้งฝั่งยุโรป และตะวันออกกลาง นั่นคือสหรัฐ และตุรกี และได้มีการดำเนินคดีอย่างจริงจัง พร้อมเผยแพร่ข้อมูลนี้ สู่ชาวโลก -เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ชัดเจนว่า ข้อมูลที่คิงส์โพธิ์แดงให้นั้น เป็นความจริง --------------------------------------------------------- โดย ทางตุรกี จากตุรกีนิวส์ มีรายละเอียดดังนี้ "สรุปข่าวย่อ ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีความกังวลเกี่ยวกับกิจกรรมการฟ-อ-ก-เ-งิ-นบน T..t โดยเฉพาะผ่านฟีเจอร์การถ่ายทอดสดและ #การให้ของขวัญทางดิจิทัลในประเทศตุรกี #เจ้าหน้าที่พบว่ามีการโอนเงินจำนวนมากผ่านแพลตฟอร์มนี้ #โดยบางส่วนถูกสงสัยว่ามีความเชื่อมโยงกับกิจกรรมทางอาญา #รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินให้กับกลุ่มก่อการร้าย #ระบบของขวัญดิจิทัลของ T..t #ช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งของขวัญเสมือนจริง #ซึ่งผู้สร้างเนื้อหาสามารถแลกเป็นเงินจริงได้ #ทำให้เกิดช่องโหว่ที่อาจใช้สำหรับการฟอกเงิน กรณีที่มีชื่อเสียงในตุรกี พบว่า การสืบสวนเกี่ยวกับอินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดีย รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่าง Dilan และ Engin Polat เผยให้เห็นการโอนเงินจำนวนมากผ่าน T..t ซึ่งมักถูกปลอมแปลงว่าเป็นธุรกรรมทางธุรกิจที่ถูกต้อง อินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้ถูกกล่าวหาว่าใช้ระบบการเงินของ T..t เพื่อฟอกเงินผิดกฎหมาย โดยการจำลองการขายสินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าสูงและซื้อสินค้าหรูหรา เช่น อสังหาริมทรัพย์และเครื่องประดับ ปัญหานี้ทำให้ T..tต้องเพิ่มมาตรการควบคุมการเงินที่เข้มงวดขึ้น แต่แพลตฟอร์มยังคงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ธนาคาร HSBC ยังได้ปิดบัญชีที่เกี่ยวข้องT..t เนื่องจากไม่สามารถควบคุมการทำธุรกรรมทางการเงินได้เพียงพอ ซึ่งทำให้หน่วยงานกำกับดูแลในตุรกีและไอร์แลนด์เกิดความกังวลมากขึ้น" ส่วนฝั่งสหรัฐ ก็ได้เปิดเผยข้อมูลยืนยันเช่นกัน ว่าขบวนการ อชญก ข้ามชาติ ใช้ ตต. และการพีเค ในการฟอกจริง มีรายละเอียดดังนี้ "ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในรัฐยูทาห์ มีการดำเนินการทางกฎหมายต่อ T.. .. T.. ... เกี่ยวกับฟีเจอร์ T.. .. T.. .. LIVE (pk) ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นช่องทางในการทำกิจกรรมผิ..กฎห..าย เช่น ก..รค้า..นุษย์ การขาย..าเ..พติ.. และการฟ-อ-ก-เ-งิ-น ผ่านการใช้สกุลเงินดิจิทัลในแอป ในเดือนมิถุนายน 2024 อัยการสูงสุดของรัฐยูทาห์ได้ยื่นฟ้-อ-ง T..T.. โดยอ้างว่าแพลตฟอร์มนี้ใช้กลวิธีเพื่อห..อกล..งผู้ใช้ให้ทำธุรกรรมผ่านแอป ซึ่งส่งผลให้เกิดการฟ-อ-ก-เ-งิ-น และ T..T..k ยังได้รับประโยชน์จากการเก็บค่าคอมมิ..ชั่นจำนวนมากจากแต่ละธุรกรรมอีกด้วย​" ข้อมูลทั้งหมดให้ไปดูในโพสที่พี่คิงส์แยกให้ ทั้งของสหรัฐและตุรกีมีลงไว้ใต้โพสครบถ้วน แหล่งอ้างอิงต่างๆ ---------------------------------------------------------- ดังนั้น คิงส์โพธิ์แดงขอยืนหยัดในการนำเสนอข้อมูลที่เป็นความจริง ซึ่งหลายเรื่อง ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ และในหลายๆประเด็น ก็มีข้อมูลที่สามารถยืนยันได้ และเมื่อขบวนการเหล่านี้ มีจริง โจ และกองทัพไอโอ ก็มีอยู่จริง และทุกเรื่องที่เพจคิงส์โพธิ์แดงนำเสนอ ล้วนมีที่มาจากความเป็นจริง แล้วท่านจะรู้ว่า เพจคิงส์โพธิ์แดง กำลังต่อสู้กับอะไร ใครพร้อมไปให้สุดกับเพจคิงส์บ้าง ยกมือขึ้น แล้วลุยไปด้วยกันครับ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Love
    Haha
    Yay
    16
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3217 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ตุรกีจัดการแล้วมาแนวเดียวกับกามินและเอเจนซี่
    #รายละเอียดดังนี้
    "สรุปข่าวย่อ ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีความกังวลเกี่ยวกับกิจกรรมการฟ-อ-ก-เ-งิ-นบน T..t โดยเฉพาะผ่านฟีเจอร์การถ่ายทอดสดและ
    #การให้ของขวัญทางดิจิทัลในประเทศตุรกี
    #เจ้าหน้าที่พบว่ามีการโอนเงินจำนวนมากผ่านแพลตฟอร์มนี้
    #โดยบางส่วนถูกสงสัยว่ามีความเชื่อมโยงกับกิจกรรมทางอาญา
    #รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินให้กับกลุ่มก่อการร้าย
    #ระบบของขวัญดิจิทัลของ T..t
    #ช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งของขวัญเสมือนจริง
    #ซึ่งผู้สร้างเนื้อหาสามารถแลกเป็นเงินจริงได้
    #ทำให้เกิดช่องโหว่ที่อาจใช้สำหรับการฟอกเงิน
    กรณีที่มีชื่อเสียงในตุรกี พบว่า การสืบสวนเกี่ยวกับอินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดีย รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่าง Dilan และ Engin Polat เผยให้เห็นการโอนเงินจำนวนมากผ่าน T..t ซึ่งมักถูกปลอมแปลงว่าเป็นธุรกรรมทางธุรกิจที่ถูกต้อง อินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้ถูกกล่าวหาว่าใช้ระบบการเงินของ T..t เพื่อฟอกเงินผิดกฎหมาย โดยการจำลองการขายสินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าสูงและซื้อสินค้าหรูหรา เช่น อสังหาริมทรัพย์และเครื่องประดับ ปัญหานี้ทำให้ T..tต้องเพิ่มมาตรการควบคุมการเงินที่เข้มงวดขึ้น แต่แพลตฟอร์มยังคงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
    นอกจากนี้ ธนาคาร HSBC ยังได้ปิดบัญชีที่เกี่ยวข้องT..t เนื่องจากไม่สามารถควบคุมการทำธุรกรรมทางการเงินได้เพียงพอ ซึ่งทำให้หน่วยงานกำกับดูแลในตุรกีและไอร์แลนด์เกิดความกังวลมากขึ้น
    รายละเอียดอื่นๆใต้โพส
    -------------------------
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ตุรกีจัดการแล้วมาแนวเดียวกับกามินและเอเจนซี่ #รายละเอียดดังนี้ "สรุปข่าวย่อ ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีความกังวลเกี่ยวกับกิจกรรมการฟ-อ-ก-เ-งิ-นบน T..t โดยเฉพาะผ่านฟีเจอร์การถ่ายทอดสดและ #การให้ของขวัญทางดิจิทัลในประเทศตุรกี #เจ้าหน้าที่พบว่ามีการโอนเงินจำนวนมากผ่านแพลตฟอร์มนี้ #โดยบางส่วนถูกสงสัยว่ามีความเชื่อมโยงกับกิจกรรมทางอาญา #รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินให้กับกลุ่มก่อการร้าย #ระบบของขวัญดิจิทัลของ T..t #ช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งของขวัญเสมือนจริง #ซึ่งผู้สร้างเนื้อหาสามารถแลกเป็นเงินจริงได้ #ทำให้เกิดช่องโหว่ที่อาจใช้สำหรับการฟอกเงิน กรณีที่มีชื่อเสียงในตุรกี พบว่า การสืบสวนเกี่ยวกับอินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดีย รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่าง Dilan และ Engin Polat เผยให้เห็นการโอนเงินจำนวนมากผ่าน T..t ซึ่งมักถูกปลอมแปลงว่าเป็นธุรกรรมทางธุรกิจที่ถูกต้อง อินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้ถูกกล่าวหาว่าใช้ระบบการเงินของ T..t เพื่อฟอกเงินผิดกฎหมาย โดยการจำลองการขายสินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าสูงและซื้อสินค้าหรูหรา เช่น อสังหาริมทรัพย์และเครื่องประดับ ปัญหานี้ทำให้ T..tต้องเพิ่มมาตรการควบคุมการเงินที่เข้มงวดขึ้น แต่แพลตฟอร์มยังคงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ธนาคาร HSBC ยังได้ปิดบัญชีที่เกี่ยวข้องT..t เนื่องจากไม่สามารถควบคุมการทำธุรกรรมทางการเงินได้เพียงพอ ซึ่งทำให้หน่วยงานกำกับดูแลในตุรกีและไอร์แลนด์เกิดความกังวลมากขึ้น รายละเอียดอื่นๆใต้โพส ------------------------- #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    Yay
    Wow
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2930 มุมมอง 0 รีวิว