• รัฐบาลจีนเตรียมใช้มาตรการตอบโต้คำสั่งรีดภาษีสินค้าจีนระลอก 2 ของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร (4 มี.ค.) โดยคาดว่าสินค้าเกษตรของอเมริกาอาจตกเป็นเป้าหมาย ตามรายงานของหนังสือพิมพ์โกลบอลไทม์ส

    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีนเพิ่มอีก 10% รวมเป็น 20% โดยกล่าวหาปักกิ่งว่าไม่พยายามมากพอในการสกัดกั้นสารเสพติด “เฟนทานิล” ในขณะที่จีนชี้ว่าการกระทำของสหรัฐฯ เข้าข้าย “แบล็กเมล”

    “จีนกำลังศึกษาและเตรียมกำหนดมาตรการตอบโต้คำขู่ของสหรัฐฯ ที่บอกว่าจะขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 10% โดยใช้เรื่องเฟนทานิลมาเป็นข้ออ้าง” โกลบอลไทม์สรายงานวันนี้ (3) โดยอ้างแหล่งข่าวไม่ประสงค์ออกนาม

    “มาตรการทั้งหมดอาจจะรวมถึงการเพิ่มภาษีศุลกากรและอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษี โดยสินค้าเกษตรและอาหารของสหรัฐฯ น่าจะอยู่ในบัญชีสินค้าที่ถูกตอบโต้” รายงานระบุ

    ที่ผ่านมาสินค้าเกษตรถือเป็นจุดอ่อนที่จีนมักจะใช้เล่นงานตอบโต้สหรัฐฯ เวลาที่เกิดข้อพิพาททางการค้า

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000020572

    #MGROnline #รัฐบาลจีน #รีดภาษีสินค้าจีน
    รัฐบาลจีนเตรียมใช้มาตรการตอบโต้คำสั่งรีดภาษีสินค้าจีนระลอก 2 ของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร (4 มี.ค.) โดยคาดว่าสินค้าเกษตรของอเมริกาอาจตกเป็นเป้าหมาย ตามรายงานของหนังสือพิมพ์โกลบอลไทม์ส • ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีนเพิ่มอีก 10% รวมเป็น 20% โดยกล่าวหาปักกิ่งว่าไม่พยายามมากพอในการสกัดกั้นสารเสพติด “เฟนทานิล” ในขณะที่จีนชี้ว่าการกระทำของสหรัฐฯ เข้าข้าย “แบล็กเมล” • “จีนกำลังศึกษาและเตรียมกำหนดมาตรการตอบโต้คำขู่ของสหรัฐฯ ที่บอกว่าจะขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 10% โดยใช้เรื่องเฟนทานิลมาเป็นข้ออ้าง” โกลบอลไทม์สรายงานวันนี้ (3) โดยอ้างแหล่งข่าวไม่ประสงค์ออกนาม • “มาตรการทั้งหมดอาจจะรวมถึงการเพิ่มภาษีศุลกากรและอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษี โดยสินค้าเกษตรและอาหารของสหรัฐฯ น่าจะอยู่ในบัญชีสินค้าที่ถูกตอบโต้” รายงานระบุ • ที่ผ่านมาสินค้าเกษตรถือเป็นจุดอ่อนที่จีนมักจะใช้เล่นงานตอบโต้สหรัฐฯ เวลาที่เกิดข้อพิพาททางการค้า • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000020572 • #MGROnline #รัฐบาลจีน #รีดภาษีสินค้าจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • เททิ้ง เงื่อนไขคนไทยรวย 50 ล้าน เล่นกาสิโนได้ คลังยอมถอย เลิกเงื่อนไขคนไทยรวย 50 ล้าน เล่นกาสิโนได้ เปลี่ยนเป็นต้องมีประวัติยื่นแบบเสียภาษีย้อนหลัง 3 ปี คาดเสนอ ครม. เห็นชอบได้เร็วๆ นี้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000020655

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เททิ้ง เงื่อนไขคนไทยรวย 50 ล้าน เล่นกาสิโนได้ คลังยอมถอย เลิกเงื่อนไขคนไทยรวย 50 ล้าน เล่นกาสิโนได้ เปลี่ยนเป็นต้องมีประวัติยื่นแบบเสียภาษีย้อนหลัง 3 ปี คาดเสนอ ครม. เห็นชอบได้เร็วๆ นี้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000020655 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยังล่มจมไม่พอ
    ต่อไปคนไทยเข้า KาสิNO
    ไม่ต้องมีเงินฝาก 50 ล้านบาท
    แค่ยื่นภาษี 3 ปี เก็บค่าเข้า 5 พันบาท
    เสนอครม.สัปดาห์หน้า
    #7ดอกจิก
    ยังล่มจมไม่พอ ต่อไปคนไทยเข้า KาสิNO ไม่ต้องมีเงินฝาก 50 ล้านบาท แค่ยื่นภาษี 3 ปี เก็บค่าเข้า 5 พันบาท เสนอครม.สัปดาห์หน้า #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยื่นแบบภาษีย้อนหลัง 3 ปีเป็นผีพนันได้เลย!!! 'จุลพันธ์' เผย กม.เอนเตอร์เทนเมนต์เอาเงื่อนไข 50 ล้านในบัญชีออก
    https://www.thai-tai.tv/news/17457/
    ยื่นแบบภาษีย้อนหลัง 3 ปีเป็นผีพนันได้เลย!!! 'จุลพันธ์' เผย กม.เอนเตอร์เทนเมนต์เอาเงื่อนไข 50 ล้านในบัญชีออก https://www.thai-tai.tv/news/17457/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทรัมป์บ้า” กับ...การลอบสังหารครั้งที่ 4!!! โดย: ทับทิม พญาไท เนื่องจากอะไรมิอะไรมันน่าจะเริ่ม “ตกผลึก” ลงมามั่งแล้ว หรือน่าจะพอ “เดาทาง” ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้บ้างแล้วว่า น่าจะออกไปในแนวไหน? ลูกไหน? ไม่ได้ถึงขั้น “บ้า...จนเดาไม่ออก” เปิดฉากสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาตทบทวน ใคร่ครวญ ถึงความเพียรพยายามที่จะทำให้ “America Great Again” ของประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ เอาไว้พอให้เห็นภาพคร่าวๆ ส่วนจะถูก-จะผิด จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็อย่าถึงกับได้ถือสา หาความ ถือเสียว่าเป็นการ “แลกเปลี่ยนมุมมอง” ไปตามสภาพก็แล้วกัน...
    ประการแรก...ตั้งแต่การเชื้อเชิญ ชักชวน ให้ผู้นำ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย และ “สี ทนได้”
    หรือ “สี จิ้นผิง” แห่งประเทศจีน มาร่วมมือกัน “ปรับลดค่าใช้จ่ายทางทหาร” ลงไปแบบครึ่ง-ต่อครึ่ง โดยผู้นำรัสเซียได้แสดงอาการตอบสนองอย่างไม่อิดเอื้อน-ลังเลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ผู้นำจีนยังคงเงียบๆ เฉยๆ แต่โดย “ภาพรวม” แล้ว ต้องถือเป็นการ “ริเริ่มในเชิงสร้างสรรค์” เอามากๆ ส่วนประการสอง...ก็คือความพยายามลดค่าใช้จ่ายที่รกรุงรังของสหรัฐฯ เอง ถึงขั้นปิดฉากองค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศอย่าง “USAID” เอาดื้อๆ หรือคิดจะหั่นงบประมาณประเภทสุรุ่ยสุร่ายของประเทศ ลงไปไม่น้อยกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ตามเข็มมุ่งและเจตนาของนายใหญ่-นายใหม่ แห่งกระทรวง “DODGE” หรือ “The Department of Government Efficiency” อย่าง “นายElon Musk” ผู้ใกล้ชนิดสนิทสนมประธานาธิบดี อันแสดงให้เห็นถึงความพยายาม “รัดเข็มขัด” แบบชนิดแทบไม่ต้องสนใจว่าชาวอเมริกันรายใดจะหน้าเขียว-หน้าเหลือง กันไปถึงขั้นไหน...
    ตามมาด้วยประการที่สาม...ก็คือการคิดขาย “บัตรทอง” บัตรวีไอพีที่พร้อมจะมอบความเป็นพลเมืองสหรัฐฯ มอบกรีนการ์ด เป็นเครื่องตอบแทน ใบละถึง 5 ล้านดอลลาร์ หรือ 168 ล้านบาทเอาเลยถึงขั้นนั้น โดยหวังจะได้อะไรกลับมา จากไอเดียสุดบรรเจิดเช่นนี้ ตามคำพูด คำสัมภาษณ์ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะถือเป็น “คำตอบ” ได้โดยชัดเจนโดยเฉพาะคำพูดที่ว่า... “บางทีเราอาจสามารถขายบัตรได้ราวๆ 1 ล้านใบ หรืออาจมากกว่านั้น และถึงขายได้แค่ 1 ล้านใบ เราจะได้เงินกลับมาถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าขายได้ 10 ล้านใบ ก็เท่ากับ 50 ล้านล้านดอลลาร์ แล้วเรามีหนี้ประเทศอยู่แค่ 35 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น...มันเป็นเรื่องเยี่ยมไหมล่ะ!!!” พูดง่ายๆ ว่า...เป็นความพยายามที่น่าเห็นใจเอามากๆ สำหรับการคิดทุเลา เบาบาง “ปัญหาหนี้สิน” ที่ล้นทะลักคอหลอยย์ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่ง จนหาทางออก-ทางไปแทบไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคไหนต่อพรรคไหนก็ตามที...
    ส่วนประการที่สี่...การคิดจะยึดแคนาดา ยึดเกาะกรีนแลนด์ หรือยึดคลองปานา แต่กลับหันไป “ถีบทิ้ง” ยุโรปซะดื้อๆ อันนี้...ยิ่งถือเป็นส่วนเสริม เพิ่มเติม ให้เห็นโดยชัดเจน ว่าในแต่ละประการดังที่ได้กล่าวไปแล้ว น่าจะสรุปได้ไม่ยากว่า ความคิดที่จะทำให้ “America Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะเป็นความ “Great” ความ “ยิ่งใหญ่” ภายใต้ “ขอบเขตที่ตัวเองต้องการ” ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ในแบบจ้าวโลก ประมุขโลก หรือผู้ที่สามารถควบคุมครอบครอง “โลกทั้งใบ” ได้แบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว หรือเท่ากับเป็นการยอมรับ “ความจริง” และ “ข้อเท็จจริง” ว่าโลกยุคใหม่ หรือยุคนี้ ไม่ใช่เป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” เหมือนเดิมๆ อีกต่อไป อีกทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ อย่าง “นายMarco Rubio” ก็ยังได้ออกมาตอกย้ำให้เห็นถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริงในลักษณะที่ว่านี้ ดังที่เคยนำมาเล่าสู่กันฟังเมื่อช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา...
    และด้วยแนวคิด แนวทาง เช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้แม้แต่ผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งหน่วยงาน “FSB” (The Russian Federal Security Service) ของรัสเซีย เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ว่าโดยแนวคิดของผู้นำอเมริกานั้น...ถือเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับการปฏิบัติ หรือแสดงออกถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริง เป็นพื้นฐาน (pragmatism and a realistic vision of things) เอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนในแง่ของการปฏิบัติ จะบรรลุเป้าหมาย เป้าประสงค์ ได้มาก-น้อยขนาดไหน??? อันนี้...ก็ยังต้องถือเป็น “คำถาม” ตัวโตๆ อีกต่อไป??? เพราะด้วยความเป็นประเทศ “จักรวรรดินิยม” และมหาอำนาจอันดับหนึ่งอย่างอเมริกานั้น...โอกาสที่จะ “Great Again” หรือ “Dead Again” คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่าออกไป 50-50 หรือหนักไปทาง “เจ๊ง...กับ...เจ๊า” อะไรประมาณนั้น...
    คือแค่เฉพาะประการแรก ในเรื่อง “ปัญหาหนี้สิน” ก็ต้องเรียกว่า...น่าจะรากเขียว-รากเหลืองกันไปอีกนาน โอกาสที่จะปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ พรวดเดียวได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์นั้นไม่น่าจะง่าย!!! บรรดาข้าราชการชาวอเมริกันที่ตกงาน ว่างงานทั้งหลาย ชักเริ่มออกมา “ลงถนน” กันเต็มบ้าน เต็มเมือง ส่วนจะขาย “บัตรทอง” ให้ได้ถึง 10 ล้านใบ ก็ใช่ว่า...มหาเศรษฐีทั่วทั้งโลกอยากจะเป็นพลเมืองอเมริกัน อยากได้กรีนการ์ด ชนิดมากมายมหาศาลถึงปานนั้นซะเมื่อไหร่??? และประการที่สองคือความพยายามที่จะรักษาความยิ่งใหญ่ของ “เงินดอลลาร์” ไม่ให้ตกต่ำ เสื่อมค่า ลงไปกว่านี้ ด้วยการอาศัย “ภาษี” เป็นเครื่องมือ ถึงขั้นพร้อมประกาศว่าจะขึ้นภาษีต่อประเทศใดก็ตาม โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ “BRICS” ถ้าหากคิด “เทดอลลาร์” (De-Dollarization) หรือคิดแทนที่ดอลลาร์ด้วยเงินตราสกุลอื่นๆ จะต้องเจอกับการขึ้นภาษีสินค้าเข้าอเมริการะดับ 100-150 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ก็นั่นแหละ...การอาศัยอัตราภาษีเป็นเครื่องมือ ก็ใช่ว่าจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว ต่อเฉพาะฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด ฝ่ายเดียวก็หาไม่ บรรดาอเมริกันชนที่อยู่ในฐานะ “ผู้บริโภค” หรือแม้แต่อุตสาหกรรมต่างๆ ของอเมริกาที่จะต้องหาทางแข่งขันกับ “ผู้ผลิต” รายอื่นๆ ย่อมมีสิทธิ์อ้วกแตก-อ้วกแตนเพราะราคาสินค้าที่แพงขึ้นๆ หรือเพราะการขาดหาย ขาดแคลนของสินค้าประเภท “ห่วงโซ่อุปทาน” ทั้งหลาย จนอาจต้องเจ๊ง-กับ-เจ๊ง ไปเป็นรายๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!!
    ยิ่งเป็นสินค้าจากประเทศกลุ่ม “BRICS” ที่มีสัดส่วนการค้าถึง 1 ใน 5 ของโลกทั้งโลก มี “GDP” ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP” โลก เป็นตลาดสำหรับ “ผู้บริโภค” ถึง 47 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก โอกาสที่จะเกิดการ “ยืมหอกสนองคืน” สร้างความเจ็บปวดรวดร้าว ให้กับบรรดาอเมริกันชนหรือประเทศอเมริกาทั้งประเทศ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้เอาเลย และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้หนึ่งในผู้นำประเทศกลุ่ม “BRICS”
    อย่างผู้นำบราซิล ประธานาธิบดี “Luiz Inacio Lula da Silva” ท่านเลยกล้าออกมาแสดงความเป็น “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ด้วยการประกาศว่า... “การคุกคามของผู้นำอเมริกาด้วยการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือ ไม่อาจหยุดยั้งการหาทางเลือกอื่นๆ ในการค้าขาย-แลกเปลี่ยนระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ได้เลย” หรือด้วยเหตุเพราะความเสื่อมถอย เสื่อมค่าของเงินดอลลาร์อเมริกันในฐานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศลงไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ด้วยตัวของมันเอง ที่ทำให้บรรดาประเทศทั้งหลายเลยต้องพยายามหาทางออก-ทางไป แทนที่จะแขวนชะตากรรมในอนาคตไว้กับสกุลเงินตราชนิดนี้ แบบทื่อมะลื่อไปเรื่อยๆ จนทำให้การ “De-Dollarization” มันได้กลายเป็น “ข้อเท็จจริง” เป็นแนวโน้มของโลก ที่มิอาจฝืน หรือมิอาจขัดขืนได้อีกต่อไป นั่นแล...
    ประการที่สาม...ก็คือ “ปัญหาภายใน” ของสังคมอเมริกัน ที่ยากจะเยียวยากันได้ง่ายๆ ไม่ว่าความเสื่อมทางศีลธรรมที่สร้างความตกตะลึงให้กับคอลัมนิสต์ชาวอเมริกันเอง อย่าง “นายTyler Durden” แห่ง “ZeroHedge” ที่ต้องนำรายละเอียดเอามาแจกแจงไว้ถึง 11 เรื่อง ไม่ว่าเหตุการณ์ว่าด้วยการปล้น ฆ่า ข่มขืน ฯลฯ ชนิดตู้สินค้าบนเส้นทางรถไฟถูกปล้นเพิ่มขึ้นกว่าปี ค.ศ. 2023 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น ร้านอาหารดังๆ อย่าง “McDonald” ถึงกับต้องปิดตัวเองในย่านบรู๊คลินเพราะทนบรรดาวัยรุ่นอเมริกันไม่ไหว เด็กๆ ระดับอายุแค่ไม่กี่ปีถูกข่มขืนไม่เว้นแต่ละวัน ฯลฯ และนั่นยังไม่รวมไปถึงความรุนแรงจากการแบ่งขั้ว แบ่งข้าง ทางการเมือง ที่ทำให้กระทั่งประธานเสนาธิการทหารผิวสี อย่าง “พลเอกCharls Brown” ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนพวกขบวนการผิวสี หรือพวก “Black Lives Matter” (BLM) ที่เคยก่อความรุนแรงหลังชาวอเมริกันผิวดำ อย่าง “George Floyd” ถูกตำรวจเอาเข่ากดคอจนเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ในช่วงปี ค.ศ. 2020 เลยต้องถูกปลดจากตำแหน่งซะดื้อๆ!!!
    และด้วยการแบ่งขั้วแบ่งข้างทางการเมืองในลักษณะเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้เกิดความพยายาม “ลอบสังหารทรัมป์บ้า” มาแล้วถึง 3 ครั้ง 3 คราด้วยกัน ไม่ว่าตั้งแต่การ “ยิงเฉี่ยวหู” ขณะหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย ช่วงเดือนก.ค.ปี 2024 แอบซุ่มอยู่สนามกอล์ฟของรีสอร์ต “Mar-a-Lago” ช่วงเดือนกันยาปีเดียวกัน แต่เผอิญเจ้าหน้าที่เห็นกระบอกปืนโผล่ออกมาจากพุ่มไม้เลยจับได้ไล่ทันก่อนลงมือ ส่วนครั้งที่สามถูกรวบตัวก่อนมุ่งตรงไปยังพื้นที่หาเสียงของ “ทรัมป์บ้า” ณ เมืองโคเรลลา รัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่พกปืนลูกซองติดตัวไปด้วย อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้โอกาสที่จะเกิดการ “ลอบสังหารครั้งที่ 4” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย โดยเฉพาะถ้าหากยังไม่คิดจะลดราวาศอก ในการเล่นงานพวก “Deep State” ต่อไปเรื่อยๆ โอกาสที่ “America Great Again” หรือจะ “Dead Again” เลยน่าจะเป็นไปแบบที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละ ออกไปทาง 50-50 หรือถ้าหากไม่ “เจ๊ง” ก็คงได้แค่ “เจ๊า” เท่านั้นเอง ไม่ถึงกับยิ่งใหญ่ระดับคับโลก คับฟ้า ครอบโลก ครองโลก แบบเดิมๆ ได้อีกต่อไปแล้ว!!!
    “ทรัมป์บ้า” กับ...การลอบสังหารครั้งที่ 4!!! โดย: ทับทิม พญาไท เนื่องจากอะไรมิอะไรมันน่าจะเริ่ม “ตกผลึก” ลงมามั่งแล้ว หรือน่าจะพอ “เดาทาง” ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้บ้างแล้วว่า น่าจะออกไปในแนวไหน? ลูกไหน? ไม่ได้ถึงขั้น “บ้า...จนเดาไม่ออก” เปิดฉากสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาตทบทวน ใคร่ครวญ ถึงความเพียรพยายามที่จะทำให้ “America Great Again” ของประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ เอาไว้พอให้เห็นภาพคร่าวๆ ส่วนจะถูก-จะผิด จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็อย่าถึงกับได้ถือสา หาความ ถือเสียว่าเป็นการ “แลกเปลี่ยนมุมมอง” ไปตามสภาพก็แล้วกัน... ประการแรก...ตั้งแต่การเชื้อเชิญ ชักชวน ให้ผู้นำ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย และ “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” แห่งประเทศจีน มาร่วมมือกัน “ปรับลดค่าใช้จ่ายทางทหาร” ลงไปแบบครึ่ง-ต่อครึ่ง โดยผู้นำรัสเซียได้แสดงอาการตอบสนองอย่างไม่อิดเอื้อน-ลังเลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ผู้นำจีนยังคงเงียบๆ เฉยๆ แต่โดย “ภาพรวม” แล้ว ต้องถือเป็นการ “ริเริ่มในเชิงสร้างสรรค์” เอามากๆ ส่วนประการสอง...ก็คือความพยายามลดค่าใช้จ่ายที่รกรุงรังของสหรัฐฯ เอง ถึงขั้นปิดฉากองค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศอย่าง “USAID” เอาดื้อๆ หรือคิดจะหั่นงบประมาณประเภทสุรุ่ยสุร่ายของประเทศ ลงไปไม่น้อยกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ตามเข็มมุ่งและเจตนาของนายใหญ่-นายใหม่ แห่งกระทรวง “DODGE” หรือ “The Department of Government Efficiency” อย่าง “นายElon Musk” ผู้ใกล้ชนิดสนิทสนมประธานาธิบดี อันแสดงให้เห็นถึงความพยายาม “รัดเข็มขัด” แบบชนิดแทบไม่ต้องสนใจว่าชาวอเมริกันรายใดจะหน้าเขียว-หน้าเหลือง กันไปถึงขั้นไหน... ตามมาด้วยประการที่สาม...ก็คือการคิดขาย “บัตรทอง” บัตรวีไอพีที่พร้อมจะมอบความเป็นพลเมืองสหรัฐฯ มอบกรีนการ์ด เป็นเครื่องตอบแทน ใบละถึง 5 ล้านดอลลาร์ หรือ 168 ล้านบาทเอาเลยถึงขั้นนั้น โดยหวังจะได้อะไรกลับมา จากไอเดียสุดบรรเจิดเช่นนี้ ตามคำพูด คำสัมภาษณ์ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะถือเป็น “คำตอบ” ได้โดยชัดเจนโดยเฉพาะคำพูดที่ว่า... “บางทีเราอาจสามารถขายบัตรได้ราวๆ 1 ล้านใบ หรืออาจมากกว่านั้น และถึงขายได้แค่ 1 ล้านใบ เราจะได้เงินกลับมาถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าขายได้ 10 ล้านใบ ก็เท่ากับ 50 ล้านล้านดอลลาร์ แล้วเรามีหนี้ประเทศอยู่แค่ 35 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น...มันเป็นเรื่องเยี่ยมไหมล่ะ!!!” พูดง่ายๆ ว่า...เป็นความพยายามที่น่าเห็นใจเอามากๆ สำหรับการคิดทุเลา เบาบาง “ปัญหาหนี้สิน” ที่ล้นทะลักคอหลอยย์ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่ง จนหาทางออก-ทางไปแทบไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคไหนต่อพรรคไหนก็ตามที... ส่วนประการที่สี่...การคิดจะยึดแคนาดา ยึดเกาะกรีนแลนด์ หรือยึดคลองปานา แต่กลับหันไป “ถีบทิ้ง” ยุโรปซะดื้อๆ อันนี้...ยิ่งถือเป็นส่วนเสริม เพิ่มเติม ให้เห็นโดยชัดเจน ว่าในแต่ละประการดังที่ได้กล่าวไปแล้ว น่าจะสรุปได้ไม่ยากว่า ความคิดที่จะทำให้ “America Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะเป็นความ “Great” ความ “ยิ่งใหญ่” ภายใต้ “ขอบเขตที่ตัวเองต้องการ” ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ในแบบจ้าวโลก ประมุขโลก หรือผู้ที่สามารถควบคุมครอบครอง “โลกทั้งใบ” ได้แบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว หรือเท่ากับเป็นการยอมรับ “ความจริง” และ “ข้อเท็จจริง” ว่าโลกยุคใหม่ หรือยุคนี้ ไม่ใช่เป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” เหมือนเดิมๆ อีกต่อไป อีกทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ อย่าง “นายMarco Rubio” ก็ยังได้ออกมาตอกย้ำให้เห็นถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริงในลักษณะที่ว่านี้ ดังที่เคยนำมาเล่าสู่กันฟังเมื่อช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา... และด้วยแนวคิด แนวทาง เช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้แม้แต่ผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งหน่วยงาน “FSB” (The Russian Federal Security Service) ของรัสเซีย เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ว่าโดยแนวคิดของผู้นำอเมริกานั้น...ถือเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับการปฏิบัติ หรือแสดงออกถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริง เป็นพื้นฐาน (pragmatism and a realistic vision of things) เอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนในแง่ของการปฏิบัติ จะบรรลุเป้าหมาย เป้าประสงค์ ได้มาก-น้อยขนาดไหน??? อันนี้...ก็ยังต้องถือเป็น “คำถาม” ตัวโตๆ อีกต่อไป??? เพราะด้วยความเป็นประเทศ “จักรวรรดินิยม” และมหาอำนาจอันดับหนึ่งอย่างอเมริกานั้น...โอกาสที่จะ “Great Again” หรือ “Dead Again” คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่าออกไป 50-50 หรือหนักไปทาง “เจ๊ง...กับ...เจ๊า” อะไรประมาณนั้น... คือแค่เฉพาะประการแรก ในเรื่อง “ปัญหาหนี้สิน” ก็ต้องเรียกว่า...น่าจะรากเขียว-รากเหลืองกันไปอีกนาน โอกาสที่จะปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ พรวดเดียวได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์นั้นไม่น่าจะง่าย!!! บรรดาข้าราชการชาวอเมริกันที่ตกงาน ว่างงานทั้งหลาย ชักเริ่มออกมา “ลงถนน” กันเต็มบ้าน เต็มเมือง ส่วนจะขาย “บัตรทอง” ให้ได้ถึง 10 ล้านใบ ก็ใช่ว่า...มหาเศรษฐีทั่วทั้งโลกอยากจะเป็นพลเมืองอเมริกัน อยากได้กรีนการ์ด ชนิดมากมายมหาศาลถึงปานนั้นซะเมื่อไหร่??? และประการที่สองคือความพยายามที่จะรักษาความยิ่งใหญ่ของ “เงินดอลลาร์” ไม่ให้ตกต่ำ เสื่อมค่า ลงไปกว่านี้ ด้วยการอาศัย “ภาษี” เป็นเครื่องมือ ถึงขั้นพร้อมประกาศว่าจะขึ้นภาษีต่อประเทศใดก็ตาม โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ “BRICS” ถ้าหากคิด “เทดอลลาร์” (De-Dollarization) หรือคิดแทนที่ดอลลาร์ด้วยเงินตราสกุลอื่นๆ จะต้องเจอกับการขึ้นภาษีสินค้าเข้าอเมริการะดับ 100-150 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ก็นั่นแหละ...การอาศัยอัตราภาษีเป็นเครื่องมือ ก็ใช่ว่าจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว ต่อเฉพาะฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด ฝ่ายเดียวก็หาไม่ บรรดาอเมริกันชนที่อยู่ในฐานะ “ผู้บริโภค” หรือแม้แต่อุตสาหกรรมต่างๆ ของอเมริกาที่จะต้องหาทางแข่งขันกับ “ผู้ผลิต” รายอื่นๆ ย่อมมีสิทธิ์อ้วกแตก-อ้วกแตนเพราะราคาสินค้าที่แพงขึ้นๆ หรือเพราะการขาดหาย ขาดแคลนของสินค้าประเภท “ห่วงโซ่อุปทาน” ทั้งหลาย จนอาจต้องเจ๊ง-กับ-เจ๊ง ไปเป็นรายๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!! ยิ่งเป็นสินค้าจากประเทศกลุ่ม “BRICS” ที่มีสัดส่วนการค้าถึง 1 ใน 5 ของโลกทั้งโลก มี “GDP” ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP” โลก เป็นตลาดสำหรับ “ผู้บริโภค” ถึง 47 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก โอกาสที่จะเกิดการ “ยืมหอกสนองคืน” สร้างความเจ็บปวดรวดร้าว ให้กับบรรดาอเมริกันชนหรือประเทศอเมริกาทั้งประเทศ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้เอาเลย และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้หนึ่งในผู้นำประเทศกลุ่ม “BRICS” อย่างผู้นำบราซิล ประธานาธิบดี “Luiz Inacio Lula da Silva” ท่านเลยกล้าออกมาแสดงความเป็น “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ด้วยการประกาศว่า... “การคุกคามของผู้นำอเมริกาด้วยการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือ ไม่อาจหยุดยั้งการหาทางเลือกอื่นๆ ในการค้าขาย-แลกเปลี่ยนระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ได้เลย” หรือด้วยเหตุเพราะความเสื่อมถอย เสื่อมค่าของเงินดอลลาร์อเมริกันในฐานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศลงไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ด้วยตัวของมันเอง ที่ทำให้บรรดาประเทศทั้งหลายเลยต้องพยายามหาทางออก-ทางไป แทนที่จะแขวนชะตากรรมในอนาคตไว้กับสกุลเงินตราชนิดนี้ แบบทื่อมะลื่อไปเรื่อยๆ จนทำให้การ “De-Dollarization” มันได้กลายเป็น “ข้อเท็จจริง” เป็นแนวโน้มของโลก ที่มิอาจฝืน หรือมิอาจขัดขืนได้อีกต่อไป นั่นแล... ประการที่สาม...ก็คือ “ปัญหาภายใน” ของสังคมอเมริกัน ที่ยากจะเยียวยากันได้ง่ายๆ ไม่ว่าความเสื่อมทางศีลธรรมที่สร้างความตกตะลึงให้กับคอลัมนิสต์ชาวอเมริกันเอง อย่าง “นายTyler Durden” แห่ง “ZeroHedge” ที่ต้องนำรายละเอียดเอามาแจกแจงไว้ถึง 11 เรื่อง ไม่ว่าเหตุการณ์ว่าด้วยการปล้น ฆ่า ข่มขืน ฯลฯ ชนิดตู้สินค้าบนเส้นทางรถไฟถูกปล้นเพิ่มขึ้นกว่าปี ค.ศ. 2023 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น ร้านอาหารดังๆ อย่าง “McDonald” ถึงกับต้องปิดตัวเองในย่านบรู๊คลินเพราะทนบรรดาวัยรุ่นอเมริกันไม่ไหว เด็กๆ ระดับอายุแค่ไม่กี่ปีถูกข่มขืนไม่เว้นแต่ละวัน ฯลฯ และนั่นยังไม่รวมไปถึงความรุนแรงจากการแบ่งขั้ว แบ่งข้าง ทางการเมือง ที่ทำให้กระทั่งประธานเสนาธิการทหารผิวสี อย่าง “พลเอกCharls Brown” ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนพวกขบวนการผิวสี หรือพวก “Black Lives Matter” (BLM) ที่เคยก่อความรุนแรงหลังชาวอเมริกันผิวดำ อย่าง “George Floyd” ถูกตำรวจเอาเข่ากดคอจนเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ในช่วงปี ค.ศ. 2020 เลยต้องถูกปลดจากตำแหน่งซะดื้อๆ!!! และด้วยการแบ่งขั้วแบ่งข้างทางการเมืองในลักษณะเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้เกิดความพยายาม “ลอบสังหารทรัมป์บ้า” มาแล้วถึง 3 ครั้ง 3 คราด้วยกัน ไม่ว่าตั้งแต่การ “ยิงเฉี่ยวหู” ขณะหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย ช่วงเดือนก.ค.ปี 2024 แอบซุ่มอยู่สนามกอล์ฟของรีสอร์ต “Mar-a-Lago” ช่วงเดือนกันยาปีเดียวกัน แต่เผอิญเจ้าหน้าที่เห็นกระบอกปืนโผล่ออกมาจากพุ่มไม้เลยจับได้ไล่ทันก่อนลงมือ ส่วนครั้งที่สามถูกรวบตัวก่อนมุ่งตรงไปยังพื้นที่หาเสียงของ “ทรัมป์บ้า” ณ เมืองโคเรลลา รัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่พกปืนลูกซองติดตัวไปด้วย อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้โอกาสที่จะเกิดการ “ลอบสังหารครั้งที่ 4” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย โดยเฉพาะถ้าหากยังไม่คิดจะลดราวาศอก ในการเล่นงานพวก “Deep State” ต่อไปเรื่อยๆ โอกาสที่ “America Great Again” หรือจะ “Dead Again” เลยน่าจะเป็นไปแบบที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละ ออกไปทาง 50-50 หรือถ้าหากไม่ “เจ๊ง” ก็คงได้แค่ “เจ๊า” เท่านั้นเอง ไม่ถึงกับยิ่งใหญ่ระดับคับโลก คับฟ้า ครอบโลก ครองโลก แบบเดิมๆ ได้อีกต่อไปแล้ว!!!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ว่าเขาเตรียมเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร พูดคุยเกี่ยวกับการปกป้องอธิปไตยของแคนาดา หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ส่งเสียงเรียกร้องซ้ำๆ ให้เข้ามาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา
    .
    คำพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของทรัมป์ โหมกระพือเสียงโวยวายในแคนาดา โดยพวกเจ้าหน้าที่ปฏิเสธอย่างหนักแน่น เกี่ยวกับการพูดคุยใดๆ กรณีที่พวกเขาจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ
    .
    ครั้งที่เข้าเฝ้าฯ กษัตริย์ชาร์ลส์ ซึ่งทรงอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐของแคนาดา ในวันจันทร์ (3 มี.ค.) ทรูโดเผยว่าเขาหวัง "หารือในประเด็นต่างๆ ที่มีความสำคัญกับแคนาดาและชาวแคนาดา"
    .
    "และผมสามารถบอกกับคุณได้ว่า เวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญกับชาวแคนาดามากไปกว่าการยืนหยัดเพื่ออธิปไตยของเราและเอกราชของเรา ในฐานะประเทศหนึ่ง" นายกรัฐมนตรีแคนาดาระบุ ระหว่างอยู่ในลอนดอน เพื่อร่วมประชุมซัมมิตเกี่ยวกับยูเครน
    .
    ทรัมป์ ยึดติดอยู่กับอธิปไตยของแคนาดาโดยเฉพาะ นับตั้งแต่ได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัย
    .
    ผู้สำสหรัฐฯ พาดพิงแคนาดาบ่อยครั้งในฐานะ "รัฐที่ 51" และดูหมิ่น ทรูโด ด้วยการเรียกเขาว่าเป็น "ผู้ว่าการรัฐ" แทนที่จะเป็น "นายกรัฐมนตรี"
    .
    ทั้งนี้ ทรัมป์ ออกคำสั่งรีดภาษีบรรดาคู่ค้าหลีกของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดบังคับใช้ในวันอังคาร (4 มี.ค.) แต่บอกว่าแคนาดาสามารถหลีกเลี่ยงการถูกรีดภาษีได้ หากกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา
    .
    เมื่อเดือนที่แล้ว ทรูโด เตือนว่าการพูดจาอย่างไม่หยุดหย่อนของทรัมป์ เกี่ยวกับการดูดกลืนแคนาดา เพื่อเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาตินั้น "เป็นของจริง"
    .
    ชาวแคนาดาบางส่วนส่งเสียงแสดงความสงสัยว่าทำไมกษัตริย์ชาร์ลส์ถึงไม่ออกมาตรัสอะไรบ้าง เกี่ยวกับการปกป้องแคนาดา อย่างไรก็ตาม ตามธรรมเนียมประเพณีแล้ว กษัตริย์มีหน้าที่ได้แค่เพียงให้คำแนะนำนายกรัฐมนตรี ในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาติในเครือจักรภพ
    .
    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เชิญ ทรัมป์ เดินทางเยือนสหราชอาณาจักรแบบรัฐพิธีเป็นครั้งที่ 2 อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งอาจเป็นการเปิดโอกาสให้กษัตริย์ชาร์ลส์ทรงหยิบยกประเด็นอธิปไตยของแคนาดาพูดคุยกับทรัมป์
    .
    ณ ที่ประชุมซัมมิตด้านความมั่นคงของยูเครน ในลอนดอน เมื่อวันอาทิตย์ (2 มี.ค.) ทรูโด เน้นย้ำว่า แคนาดา ยังคงให้การสนับสนุนยูเครน อย่างหนักแน่นและไม่เปลี่ยนแปลง และได้แถลงมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่เล่นงานรัสเซีย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020426
    ..............
    Sondhi X
    จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ว่าเขาเตรียมเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร พูดคุยเกี่ยวกับการปกป้องอธิปไตยของแคนาดา หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ส่งเสียงเรียกร้องซ้ำๆ ให้เข้ามาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา . คำพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของทรัมป์ โหมกระพือเสียงโวยวายในแคนาดา โดยพวกเจ้าหน้าที่ปฏิเสธอย่างหนักแน่น เกี่ยวกับการพูดคุยใดๆ กรณีที่พวกเขาจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ . ครั้งที่เข้าเฝ้าฯ กษัตริย์ชาร์ลส์ ซึ่งทรงอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐของแคนาดา ในวันจันทร์ (3 มี.ค.) ทรูโดเผยว่าเขาหวัง "หารือในประเด็นต่างๆ ที่มีความสำคัญกับแคนาดาและชาวแคนาดา" . "และผมสามารถบอกกับคุณได้ว่า เวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญกับชาวแคนาดามากไปกว่าการยืนหยัดเพื่ออธิปไตยของเราและเอกราชของเรา ในฐานะประเทศหนึ่ง" นายกรัฐมนตรีแคนาดาระบุ ระหว่างอยู่ในลอนดอน เพื่อร่วมประชุมซัมมิตเกี่ยวกับยูเครน . ทรัมป์ ยึดติดอยู่กับอธิปไตยของแคนาดาโดยเฉพาะ นับตั้งแต่ได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัย . ผู้สำสหรัฐฯ พาดพิงแคนาดาบ่อยครั้งในฐานะ "รัฐที่ 51" และดูหมิ่น ทรูโด ด้วยการเรียกเขาว่าเป็น "ผู้ว่าการรัฐ" แทนที่จะเป็น "นายกรัฐมนตรี" . ทั้งนี้ ทรัมป์ ออกคำสั่งรีดภาษีบรรดาคู่ค้าหลีกของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดบังคับใช้ในวันอังคาร (4 มี.ค.) แต่บอกว่าแคนาดาสามารถหลีกเลี่ยงการถูกรีดภาษีได้ หากกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา . เมื่อเดือนที่แล้ว ทรูโด เตือนว่าการพูดจาอย่างไม่หยุดหย่อนของทรัมป์ เกี่ยวกับการดูดกลืนแคนาดา เพื่อเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาตินั้น "เป็นของจริง" . ชาวแคนาดาบางส่วนส่งเสียงแสดงความสงสัยว่าทำไมกษัตริย์ชาร์ลส์ถึงไม่ออกมาตรัสอะไรบ้าง เกี่ยวกับการปกป้องแคนาดา อย่างไรก็ตาม ตามธรรมเนียมประเพณีแล้ว กษัตริย์มีหน้าที่ได้แค่เพียงให้คำแนะนำนายกรัฐมนตรี ในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาติในเครือจักรภพ . เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เชิญ ทรัมป์ เดินทางเยือนสหราชอาณาจักรแบบรัฐพิธีเป็นครั้งที่ 2 อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งอาจเป็นการเปิดโอกาสให้กษัตริย์ชาร์ลส์ทรงหยิบยกประเด็นอธิปไตยของแคนาดาพูดคุยกับทรัมป์ . ณ ที่ประชุมซัมมิตด้านความมั่นคงของยูเครน ในลอนดอน เมื่อวันอาทิตย์ (2 มี.ค.) ทรูโด เน้นย้ำว่า แคนาดา ยังคงให้การสนับสนุนยูเครน อย่างหนักแน่นและไม่เปลี่ยนแปลง และได้แถลงมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่เล่นงานรัสเซีย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020426 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 582 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงทำใจไว้แล้วว่าของจะต้องแพงขึ้นมากแน่ๆ ใช้เงินอย่างมีสติกันนะครับ

    การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ HP ที่จะย้ายการผลิตในภูมิภาคอเมริกาเหนือออกจากจีนถึง 90% ภายในปี 2025 การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าที่มีอยู่ระหว่างสหรัฐฯ และจีน และการตั้งกำหนดการเพิ่มภาษีศุลกากร 10% กับสินค้านำเข้าจากจีน HP ต้องการเสริมความยืดหยุ่นในห่วงโซ่อุปทานและปรับตัวตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

    HP กำลังสำรองสินค้าคงคลังเพื่อเป็นเกราะป้องกันความไม่แน่นอนจากการเพิ่มภาษี ซึ่งล่าสุดมีมูลค่าถึง 8.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การจัดการนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลดผลกระทบจากภาษีศุลกากร โดย HP ได้สำรองสินค้าคงคลังเป็นเวลา 72 วันแล้ว และมีแผนที่จะเลิกจ้างพนักงานถึง 2,000 คนเพื่อปรับสมดุลของค่าใช้จ่ายจากความไม่แน่นอนทางภาษีศุลกากร

    เรื่องที่น่าสนใจคือ ตลาดพีซีอาจเติบโตอย่างรวดเร็วในปีหน้า เนื่องจากการเลิกสนับสนุน Windows 10 ทำให้ผู้ใช้หลายล้านคนต้องการเปลี่ยนพีซีใหม่ นอกจากนี้ ผู้ผลิตยังคงนำเสนอพีซีที่รองรับ AI และโปรเซสเซอร์ที่ทันสมัย ซึ่งจะกระตุ้นความต้องการ

    การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความพยายามของ HP ในการปรับตัวต่อความท้าทายของตลาดและการค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

    https://www.techspot.com/news/106979-hp-move-90-percent-north-american-production-out.html
    ลุงทำใจไว้แล้วว่าของจะต้องแพงขึ้นมากแน่ๆ ใช้เงินอย่างมีสติกันนะครับ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ HP ที่จะย้ายการผลิตในภูมิภาคอเมริกาเหนือออกจากจีนถึง 90% ภายในปี 2025 การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าที่มีอยู่ระหว่างสหรัฐฯ และจีน และการตั้งกำหนดการเพิ่มภาษีศุลกากร 10% กับสินค้านำเข้าจากจีน HP ต้องการเสริมความยืดหยุ่นในห่วงโซ่อุปทานและปรับตัวตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป HP กำลังสำรองสินค้าคงคลังเพื่อเป็นเกราะป้องกันความไม่แน่นอนจากการเพิ่มภาษี ซึ่งล่าสุดมีมูลค่าถึง 8.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การจัดการนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลดผลกระทบจากภาษีศุลกากร โดย HP ได้สำรองสินค้าคงคลังเป็นเวลา 72 วันแล้ว และมีแผนที่จะเลิกจ้างพนักงานถึง 2,000 คนเพื่อปรับสมดุลของค่าใช้จ่ายจากความไม่แน่นอนทางภาษีศุลกากร เรื่องที่น่าสนใจคือ ตลาดพีซีอาจเติบโตอย่างรวดเร็วในปีหน้า เนื่องจากการเลิกสนับสนุน Windows 10 ทำให้ผู้ใช้หลายล้านคนต้องการเปลี่ยนพีซีใหม่ นอกจากนี้ ผู้ผลิตยังคงนำเสนอพีซีที่รองรับ AI และโปรเซสเซอร์ที่ทันสมัย ซึ่งจะกระตุ้นความต้องการ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความพยายามของ HP ในการปรับตัวต่อความท้าทายของตลาดและการค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ https://www.techspot.com/news/106979-hp-move-90-percent-north-american-production-out.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    HP to move 90% of North American production out of China by 2025
    As the US implements new tariffs, consumers could see higher prices for new computers. However, companies like HP are taking proactive steps to minimize disruptions and keep...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD ได้เปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ในซีรีส์ Radeon RX 9070 แล้ว.... (สักที) ซึ่งจะประกอบด้วยรุ่น RX 9070 XT และ RX 9070 โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 6 มีนาคมนี้

    รายละเอียดของการ์ดจอรุ่นใหม่
    - Radeon RX 9070 XT มีราคาเริ่มต้นที่ $599
    - Radeon RX 9070 มีราคาเริ่มต้นที่ $549

    ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับหน่วยความจำ VRAM ขนาด 16GB และการเชื่อมต่อแบบ PCIe 5.0

    การ์ดจอรุ่น RX 9070 XT ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในด้านการเรย์เทรซิ่งและการประมวลผลกราฟิกที่มีความละเอียดสูง ในการทดสอบภายในของ AMD การ์ดจอนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่า RX 7900 GRE ถึง 42% เมื่อใช้งานในกราฟิกที่มีความละเอียด 4K แบบเนทีฟ นอกจากนี้ AMD ยังกล่าวว่ารุ่นนี้สามารถแข่งขันกับ Nvidia RTX 5070 Ti ได้ในหลายเกม และมีความเร็วมากกว่า 24% ในเกมเช่น Call of Duty Black Ops 6

    RX 9070 XT ยังเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการเรย์เทรซิ่ง โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่า RTX 5070 Ti ประมาณ 8% แต่อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงว่า สถิติเหล่านี้มาจากการทดสอบของ AMD เองและยังไม่ได้นำปัจจัยอื่นๆ เช่น เทคโนโลยี Multi-Frame Generation ของ Nvidia มาคำนวณ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ต้องรอการทดสอบจากผู้ใช้งานจริงเพิ่มเติม

    การเปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นนี้ทำให้ตลาดการ์ดจอมีการแข่งขันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของการ์ดจอราคาประหยัด RX 9070 XT ถูกคาดหวังว่าจะเป็นการ์ดจอที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่คุ้มค่า เมื่อเปรียบเทียบกับ RTX 5070 Ti ที่มีราคาสูงถึง $749 ความพร้อมในการจำหน่ายและราคาที่ต่ำกว่า อาจทำให้ RX 9070 XT กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักเล่นเกมที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในราคาประหยัด

    ลุงสรุปให้ว่า ถ้าขายราคานี้ +15% เป็นค่าภาษีและกำไร... ซื้อโลด!!!!

    https://www.techradar.com/computing/gpu/finally-we-have-some-gpu-competition-amd-announces-the-radeon-rx-9070-xt-march-6-launch-date-starting-at-usd599-alongside-the-rx-9070-at-usd549
    AMD ได้เปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ในซีรีส์ Radeon RX 9070 แล้ว.... (สักที) ซึ่งจะประกอบด้วยรุ่น RX 9070 XT และ RX 9070 โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 6 มีนาคมนี้ รายละเอียดของการ์ดจอรุ่นใหม่ - Radeon RX 9070 XT มีราคาเริ่มต้นที่ $599 - Radeon RX 9070 มีราคาเริ่มต้นที่ $549 ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับหน่วยความจำ VRAM ขนาด 16GB และการเชื่อมต่อแบบ PCIe 5.0 การ์ดจอรุ่น RX 9070 XT ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในด้านการเรย์เทรซิ่งและการประมวลผลกราฟิกที่มีความละเอียดสูง ในการทดสอบภายในของ AMD การ์ดจอนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่า RX 7900 GRE ถึง 42% เมื่อใช้งานในกราฟิกที่มีความละเอียด 4K แบบเนทีฟ นอกจากนี้ AMD ยังกล่าวว่ารุ่นนี้สามารถแข่งขันกับ Nvidia RTX 5070 Ti ได้ในหลายเกม และมีความเร็วมากกว่า 24% ในเกมเช่น Call of Duty Black Ops 6 RX 9070 XT ยังเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการเรย์เทรซิ่ง โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่า RTX 5070 Ti ประมาณ 8% แต่อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงว่า สถิติเหล่านี้มาจากการทดสอบของ AMD เองและยังไม่ได้นำปัจจัยอื่นๆ เช่น เทคโนโลยี Multi-Frame Generation ของ Nvidia มาคำนวณ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ต้องรอการทดสอบจากผู้ใช้งานจริงเพิ่มเติม การเปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นนี้ทำให้ตลาดการ์ดจอมีการแข่งขันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของการ์ดจอราคาประหยัด RX 9070 XT ถูกคาดหวังว่าจะเป็นการ์ดจอที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่คุ้มค่า เมื่อเปรียบเทียบกับ RTX 5070 Ti ที่มีราคาสูงถึง $749 ความพร้อมในการจำหน่ายและราคาที่ต่ำกว่า อาจทำให้ RX 9070 XT กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักเล่นเกมที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในราคาประหยัด ลุงสรุปให้ว่า ถ้าขายราคานี้ +15% เป็นค่าภาษีและกำไร... ซื้อโลด!!!! https://www.techradar.com/computing/gpu/finally-we-have-some-gpu-competition-amd-announces-the-radeon-rx-9070-xt-march-6-launch-date-starting-at-usd599-alongside-the-rx-9070-at-usd549
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานจากเพจเฟซบุ๊กSiamTownUS ระบุว่า อาจได้เห็น “หน้าทรัมป์” บนแบงก์ 250 ดอลลาร์แอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : คองเกรสแมนจากเซาท์ คาโรไลน่า เสนอรัฐบาลผลิตธนบัตร 250 ดอลลาร์ โดยใช้ใบหน้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ อ้างเพื่อเป็นเกียรติในฐานะที่ทรัมป์แก้ไขปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จเว็บไซต์ของนิวส์วีค รายงานเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2025 ว่า โจ วิลสัน คองเกรสแมนจากรัฐ เซาท์ คาโรไลน่า ได้เสนอให้รัฐบาลทำการผลิตธนบัตรใหม่ ราคา 250 ดอลลาร์ ออกสู่ท้องตลาด โดยใช้ภาพของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อ้างว่าเป็นการยกย่องและให้เกียรติ ในฐานะที่ทรัมป์ แก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ ที่เกิดจากรัฐบาลของโจ ไบเดน หรือ “ไบเดน-ฟเลชั่น” ได้สำเร็จโดยโจ วิลสัน บอกว่าภายใต้การทำงานของรัฐบาลโจ ไบเดน นั้น สภาวะเงินเฟ้อสูงถึง 9.1 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงกลางปี 2022 ถือว่าสูงสุดนับจากต้นยุค 1980s เป็นต้นมาอย่างไรก็ตาม แม้ว่าสภาวะเงินเฟ้อจะลดลงเหลือ 3 เปอร์เซ็นต์ในช่วงต้นปี 2025 แต่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ยังกังวลกันว่า มาตรการกำแพงภาษีสินค้าจากแม็กซิโก และแคนาดา รวมถึงประเทศจีน จะส่งผลกระทบกับชาวอเมริกันมากแค่ไหนโดยรายงานของกระทรวงแรงงาน ฉบับล่าสุด ระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนมกราคม ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 18 เดือน เป็นเหตุให้ผู้บริโภคอเมริกันต้องจ่ายเงินมากขึ้นในการซื้อหาสินค้าและบริการแทบทุกชนิดหากข้อเสนอ (ซึ่งยังไม่มีการเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาคองเกรส) ของ โจ วิลสัน ผ่านความเห็นชอบ และมีการผลิตธนบัตร 250 ดอลลาร์ที่มีรูปของประธานาธิบดีทรัมป์ จริง จะทำให้ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีที่อยู่ในตำแหน่งคนแรก รวมถึงเป็นประธานาธิบดีที่ยังมีชีวิตคนแรกในประวัติศาตร์ ที่ได้รับเกียรติให้ใช้ภาพบนธนบัตรที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย.
    รายงานจากเพจเฟซบุ๊กSiamTownUS ระบุว่า อาจได้เห็น “หน้าทรัมป์” บนแบงก์ 250 ดอลลาร์แอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : คองเกรสแมนจากเซาท์ คาโรไลน่า เสนอรัฐบาลผลิตธนบัตร 250 ดอลลาร์ โดยใช้ใบหน้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ อ้างเพื่อเป็นเกียรติในฐานะที่ทรัมป์แก้ไขปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จเว็บไซต์ของนิวส์วีค รายงานเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2025 ว่า โจ วิลสัน คองเกรสแมนจากรัฐ เซาท์ คาโรไลน่า ได้เสนอให้รัฐบาลทำการผลิตธนบัตรใหม่ ราคา 250 ดอลลาร์ ออกสู่ท้องตลาด โดยใช้ภาพของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อ้างว่าเป็นการยกย่องและให้เกียรติ ในฐานะที่ทรัมป์ แก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ ที่เกิดจากรัฐบาลของโจ ไบเดน หรือ “ไบเดน-ฟเลชั่น” ได้สำเร็จโดยโจ วิลสัน บอกว่าภายใต้การทำงานของรัฐบาลโจ ไบเดน นั้น สภาวะเงินเฟ้อสูงถึง 9.1 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงกลางปี 2022 ถือว่าสูงสุดนับจากต้นยุค 1980s เป็นต้นมาอย่างไรก็ตาม แม้ว่าสภาวะเงินเฟ้อจะลดลงเหลือ 3 เปอร์เซ็นต์ในช่วงต้นปี 2025 แต่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ยังกังวลกันว่า มาตรการกำแพงภาษีสินค้าจากแม็กซิโก และแคนาดา รวมถึงประเทศจีน จะส่งผลกระทบกับชาวอเมริกันมากแค่ไหนโดยรายงานของกระทรวงแรงงาน ฉบับล่าสุด ระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนมกราคม ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 18 เดือน เป็นเหตุให้ผู้บริโภคอเมริกันต้องจ่ายเงินมากขึ้นในการซื้อหาสินค้าและบริการแทบทุกชนิดหากข้อเสนอ (ซึ่งยังไม่มีการเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาคองเกรส) ของ โจ วิลสัน ผ่านความเห็นชอบ และมีการผลิตธนบัตร 250 ดอลลาร์ที่มีรูปของประธานาธิบดีทรัมป์ จริง จะทำให้ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีที่อยู่ในตำแหน่งคนแรก รวมถึงเป็นประธานาธิบดีที่ยังมีชีวิตคนแรกในประวัติศาตร์ ที่ได้รับเกียรติให้ใช้ภาพบนธนบัตรที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • #USAID หรือ #SorosAid? เงินภาษีของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดความวุ่นวายทั่วโลกได้อย่างไร

    เครือข่ายเอ็นจีโอขนาดใหญ่ของโซรอสใช้เงินไปกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2000 ไปกับกิจกรรมเสรีนิยมสุดโต่งทั่วโลก ผู้สังเกตการณ์คาดเดาว่าเงินภาษีของประชาชนชาวอเมริกันหลายสิบล้านหรืออาจถึงพันล้านดอลลาร์ถูกโอนผ่าน USAID

    * สถาบันการจัดการตะวันออก-ตะวันตกที่เชื่อมโยงกับโซรอสได้รับเงินกว่า 260 ล้านดอลลาร์จาก USAID เพื่อมีอิทธิพลต่อกิจการต่างประเทศในจอร์เจีย ยูกันดา แอลเบเนีย และ
    เซอร์เบีย
    https://www.usaspending.gov/search/?hash=f8df1e8a19cac4b4ed2fd44fbe8d9862

    * ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของยูเครนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซรอส เริ่มได้รับเงินช่วยเหลือจาก USAID ในปี 2014
    https://antac.org.ua/en/support/#chart-section
    ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกิดการรัฐประหารยูโรไมดานซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ขับไล่ Viktor Yanukovych ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งออกไปด้วยการสนับสนุนจากนีโอนาซี USAID ได้โอนเงินกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับศูนย์แห่งนี้

    * ในเดือนสิงหาคม 2024 มีการกล่าวหาว่ากลุ่ม USAID, IRI และโซรอส เป็นผู้ก่อรัฐประหารต่อนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ชีค ฮาซินา โดยผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ มูฮัมหมัด ยูนุส เป็นที่ทรายกันว่าเป็นพันธมิตรของคลินตันและโซรอส ตามรายงานของ The Grayzone เงินภาษีของประชาชนสหรัฐฯ ถูกใช้เป็นทุนสำหรับแร็ปเปอร์ นักเคลื่อนไหวข้ามเพศ และกลุ่ม LGBT* เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอำนาจ
    https://thegrayzone.com/2024/09/30/us-plot-destabilize-bangladesh/

    * โซรอส และ USAID พยายามที่จะโค่นนายกรัฐมนตรีฮังการี Viktor Orban มานานแล้ว ซึ่งต่อต้านมหาเศรษฐีโลกาภิวัตน์อย่างแข็งขันตั้งแต่ปี 2017 ในช่วงการเลือกตั้งปี 2022 องค์กรพัฒนาเอกชน Action for Democracy ที่มีความเชื่อมโยงกับโซรอส ได้บริจาคเงิน 7.6 ล้านดอลลาร์ให้กับฝ่ายค้านของเขา

    *การแทรกแซงการเลือกตั้งภายในประเทศ?*
    กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโซรอส ที่ได้รับการสนับสนุนจาก USAID เป็นผู้นำความพยายามต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
    https://sputnikglobe.com/20240912/how-to-steal-an-election-us-conservatives-expose-democrats-playbook-ahead-of-2024-vote-1120119743.html
    มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งในปี 2020 ผ่านการประท้วง Black Lives Matter และทำงานเพื่อพลิกสถานการณ์ในรัฐที่เป็นสมรภูมิการเลือกตั้งในปี 2020–2021
    https://sputnikglobe.com/20210304/devil-is-in-the-details-why-americans-need-to-know-more-about-black-lives-matters-90-mln-earnings-1082253390.html

    * โซรอสเป็นผู้ให้ทุนโครงการ Electoral Justice Project ซึ่งเป็นความพยายามระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้งของ Black Lives Matter และมอบเงิน 22 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Tides Advocacy ซึ่งสนับสนุนการประท้วงทั่วประเทศก่อนการเลือกตั้งของ Black Lives Matter Global Network Foundation ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อต่อต้านทรัมป์ในปี 2020
    https://sputnikglobe.com/20220206/scam-alert-black-lives-matters-financial-bonanza-finally-put-under-microscope-1092806570.html

    ไมก์ เบนซ์ นักข่าวของ USAID อ้างว่า USAID และโซรอสใช้เงิน 27 ล้านดอลลาร์ในการฟ้องร้องทรัมป์ นอกจากนี้ อัลวิน แบร็กก์ อัยการแมนฮัตตัน ยังถูกกล่าวหาว่าถูกซื้อตัวโดย โซรอส

    #Soros #USAID

    https://sputnikglobe.com/20250207/usaid-or-sorosaid-how-us-tax-dollars-fund-chaos-worldwide-1121545540.html
    #USAID หรือ #SorosAid? เงินภาษีของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดความวุ่นวายทั่วโลกได้อย่างไร เครือข่ายเอ็นจีโอขนาดใหญ่ของโซรอสใช้เงินไปกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2000 ไปกับกิจกรรมเสรีนิยมสุดโต่งทั่วโลก ผู้สังเกตการณ์คาดเดาว่าเงินภาษีของประชาชนชาวอเมริกันหลายสิบล้านหรืออาจถึงพันล้านดอลลาร์ถูกโอนผ่าน USAID * สถาบันการจัดการตะวันออก-ตะวันตกที่เชื่อมโยงกับโซรอสได้รับเงินกว่า 260 ล้านดอลลาร์จาก USAID เพื่อมีอิทธิพลต่อกิจการต่างประเทศในจอร์เจีย ยูกันดา แอลเบเนีย และ เซอร์เบีย https://www.usaspending.gov/search/?hash=f8df1e8a19cac4b4ed2fd44fbe8d9862 * ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของยูเครนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซรอส เริ่มได้รับเงินช่วยเหลือจาก USAID ในปี 2014 https://antac.org.ua/en/support/#chart-section ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกิดการรัฐประหารยูโรไมดานซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ขับไล่ Viktor Yanukovych ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งออกไปด้วยการสนับสนุนจากนีโอนาซี USAID ได้โอนเงินกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับศูนย์แห่งนี้ * ในเดือนสิงหาคม 2024 มีการกล่าวหาว่ากลุ่ม USAID, IRI และโซรอส เป็นผู้ก่อรัฐประหารต่อนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ชีค ฮาซินา โดยผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ มูฮัมหมัด ยูนุส เป็นที่ทรายกันว่าเป็นพันธมิตรของคลินตันและโซรอส ตามรายงานของ The Grayzone เงินภาษีของประชาชนสหรัฐฯ ถูกใช้เป็นทุนสำหรับแร็ปเปอร์ นักเคลื่อนไหวข้ามเพศ และกลุ่ม LGBT* เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอำนาจ https://thegrayzone.com/2024/09/30/us-plot-destabilize-bangladesh/ * โซรอส และ USAID พยายามที่จะโค่นนายกรัฐมนตรีฮังการี Viktor Orban มานานแล้ว ซึ่งต่อต้านมหาเศรษฐีโลกาภิวัตน์อย่างแข็งขันตั้งแต่ปี 2017 ในช่วงการเลือกตั้งปี 2022 องค์กรพัฒนาเอกชน Action for Democracy ที่มีความเชื่อมโยงกับโซรอส ได้บริจาคเงิน 7.6 ล้านดอลลาร์ให้กับฝ่ายค้านของเขา *การแทรกแซงการเลือกตั้งภายในประเทศ?* กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโซรอส ที่ได้รับการสนับสนุนจาก USAID เป็นผู้นำความพยายามต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี https://sputnikglobe.com/20240912/how-to-steal-an-election-us-conservatives-expose-democrats-playbook-ahead-of-2024-vote-1120119743.html มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งในปี 2020 ผ่านการประท้วง Black Lives Matter และทำงานเพื่อพลิกสถานการณ์ในรัฐที่เป็นสมรภูมิการเลือกตั้งในปี 2020–2021 https://sputnikglobe.com/20210304/devil-is-in-the-details-why-americans-need-to-know-more-about-black-lives-matters-90-mln-earnings-1082253390.html * โซรอสเป็นผู้ให้ทุนโครงการ Electoral Justice Project ซึ่งเป็นความพยายามระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้งของ Black Lives Matter และมอบเงิน 22 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Tides Advocacy ซึ่งสนับสนุนการประท้วงทั่วประเทศก่อนการเลือกตั้งของ Black Lives Matter Global Network Foundation ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อต่อต้านทรัมป์ในปี 2020 https://sputnikglobe.com/20220206/scam-alert-black-lives-matters-financial-bonanza-finally-put-under-microscope-1092806570.html ไมก์ เบนซ์ นักข่าวของ USAID อ้างว่า USAID และโซรอสใช้เงิน 27 ล้านดอลลาร์ในการฟ้องร้องทรัมป์ นอกจากนี้ อัลวิน แบร็กก์ อัยการแมนฮัตตัน ยังถูกกล่าวหาว่าถูกซื้อตัวโดย โซรอส #Soros #USAID https://sputnikglobe.com/20250207/usaid-or-sorosaid-how-us-tax-dollars-fund-chaos-worldwide-1121545540.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลของแคนาดาได้เปิดการสอบสวนเกี่ยวกับ X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เป็นเจ้าของโดย Elon Musk เพื่อดูว่า X ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของชาวแคนาดาในการฝึกอบรมโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างถูกต้องตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของแคนาดาหรือไม่ การสอบสวนนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการร้องเรียนถึงการใช้ข้อมูลของผู้ใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมที่เหมาะสม

    สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลของแคนาดากล่าวว่าจะมุ่งเน้นการสอบสวนในเรื่องของการปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม การใช้งาน และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของชาวแคนาดาเพื่อฝึกอบรมโมเดลปัญญาประดิษฐ์ โดยยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะของการร้องเรียนนี้

    Brian Masse สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรค New Democratic Party (NDP) กล่าวว่ายินดีที่เห็นสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลเปิดการสอบสวนเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลของ X และเน้นว่าความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในช่วงเวลาที่อัลกอริทึมอาจถูกบิดเบือนเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จ

    การสอบสวนนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ในเรื่องการค้า การรักษาความปลอดภัยชายแดน และภาษีบริการดิจิทัลที่มีผลต่อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน Elon Musk ที่ได้รับมอบหมายให้ลดขนาดรัฐบาลของสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี Donald Trump ได้สัญญาว่าจะดำเนินการตามภาษี 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก เนื่องจากปัญหายาเสพติดที่ยังคงเข้ามาในสหรัฐฯ จากประเทศเหล่านี้

    X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเดิมชื่อ Twitter มีโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า Grok ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ใช้งานเพื่อทำงานต่าง ๆ เช่น ตอบคำถาม แก้ปัญหา และระดมความคิด Grok-3 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของโมเดลนี้ เพิ่งเปิดตัวให้กับสมาชิกระดับ Premium+ บน X

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/28/canada039s-privacy-watchdog-opens-investigation-into-x-following-complaint
    สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลของแคนาดาได้เปิดการสอบสวนเกี่ยวกับ X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เป็นเจ้าของโดย Elon Musk เพื่อดูว่า X ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของชาวแคนาดาในการฝึกอบรมโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างถูกต้องตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของแคนาดาหรือไม่ การสอบสวนนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการร้องเรียนถึงการใช้ข้อมูลของผู้ใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมที่เหมาะสม สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลของแคนาดากล่าวว่าจะมุ่งเน้นการสอบสวนในเรื่องของการปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม การใช้งาน และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของชาวแคนาดาเพื่อฝึกอบรมโมเดลปัญญาประดิษฐ์ โดยยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะของการร้องเรียนนี้ Brian Masse สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรค New Democratic Party (NDP) กล่าวว่ายินดีที่เห็นสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลเปิดการสอบสวนเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลของ X และเน้นว่าความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในช่วงเวลาที่อัลกอริทึมอาจถูกบิดเบือนเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จ การสอบสวนนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ในเรื่องการค้า การรักษาความปลอดภัยชายแดน และภาษีบริการดิจิทัลที่มีผลต่อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน Elon Musk ที่ได้รับมอบหมายให้ลดขนาดรัฐบาลของสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี Donald Trump ได้สัญญาว่าจะดำเนินการตามภาษี 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก เนื่องจากปัญหายาเสพติดที่ยังคงเข้ามาในสหรัฐฯ จากประเทศเหล่านี้ X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเดิมชื่อ Twitter มีโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า Grok ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ใช้งานเพื่อทำงานต่าง ๆ เช่น ตอบคำถาม แก้ปัญหา และระดมความคิด Grok-3 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของโมเดลนี้ เพิ่งเปิดตัวให้กับสมาชิกระดับ Premium+ บน X https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/28/canada039s-privacy-watchdog-opens-investigation-into-x-following-complaint
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Canada watchdog probing X's use of personal data in AI models' training
    TORONTO (Reuters) - Canada's privacy watchdog has opened an investigation into X, the social media platform owned by billionaire tech mogul Elon Musk, on whether its use of Canadians' personal data to train artificial intelligence (AI) models broke privacy rules.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • 27/2/68

    ประวัติอ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    https://youtu.be/ptET6EOeFwo?si=F24iH5N_QJ1sO4-O

    ประวัติ

    เกิด 12 สิงหาคม พ.ศ. 2513 (54ปี) กรุงเทพมหานคร ถิ่นพำนัก กรุงเทพมหานคร สัญชาติไทย

    ประวัติการศึกษา

    โรงเรียนอัสสัมชัญ รุ่น 103
    พ.ศ. 2536 : ปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
    พ.ศ. 2539 : ปริญญาโท บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
    อาชีพ
    นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และ ผู้จัดรายการ

    ปีปฏิบัติงาน

    พ.ศ. 2519 - 2550 : เป็นที่รู้จักจากแกนนำกลุ่ม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 2
    โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

    พ.ศ. 2549 : การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พ.ศ. 2551
    ศาสนา : ศาสนาพุทธ

    บิดามารดา
    นายเจริญ และ นางสุจิตรา พัวพงษ์พันธ์

    ญาติ
    พรรคความหวังใหม่
    โฆษกและแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 2
    สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี และ เอเอสทีวีผู้จัดการรายวัน
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต[1][2]อดีตผู้จัดรายการ "ยามเฝ้าแผ่นดิน" และคอลัมนิสต์ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เกิดวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2513 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ นายเจริญ และนางสุจิตรา พัวพงษ์พันธ์ บิดาเป็นคนไทยเชื้อสายจีนไหหลำ และมารดาเป็นคนไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว นามสกุล "พัวพงษ์พันธ์" ตั้งให้สอดคล้องกับแซ่ "พัว" ของตระกูลนั่นเอง

    ประวัติชีวิต

    นายปานเทพเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนอัสสัมชัญ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และระดับปริญญาโทบริหารธุรกิจ สาขา การเงินการจัดการ จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นสมาชิกเครือข่ายสันติอโศกโดยมีถูกวางบทบาทในด้านสุขภาพ การเมือง และอื่นๆ

    เมื่อกลับมาเมืองไทยได้เข้าทำงานกับองค์กรภาคเอกชน โดยเข้าไปเป็นผู้บริหารดูด้านการเงิน และการก่อสร้างอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่ประเทศไทยจะประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อปี พ.ศ. 2540

    ประวัติทางการเมือง

    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เข้าสู่วงการเมือง โดยมีผู้แนะนำให้รู้จักกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในปี พ.ศ. 2541 โดยเข้าไปช่วยงานในพรรคความหวังใหม่ ขณะที่มีอายุ 28 ปี กระทั่งได้เป็นกรรมการบริหารพรรค เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคความหวังใหม่[3] และมีตำแหน่งสุดท้ายเป็นรองโฆษกพรรคความหวังใหม่ ในปี พ.ศ. 2544 ก่อนที่จะไปดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการองค์การฟอกหนัง ด้วยวัย 31 ปี ซึ่งถือว่าเป็นผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย

    เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ยุบพรรคความหวังใหม่ รวมกับพรรคไทยรักไทย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้เป็นทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจในช่วง รัฐบาลทักษิณ 1 โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจภาคใต้ ก่อนที่จะถอนตัวในเวลาต่อมาด้วยความเห็นที่ไม่ตรงกัน และหลังจากนั้นยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลทักษิณมาโดยตลอด โดยชื่อของ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โด่งดังอีกครั้ง เมื่อออกหนังสือชื่อ "บันทึกลับ ๒๕๔o" โดยมีเนื้อหาชี้แจงถึงปัญหาเศรษฐกิจในช่วงที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ถูกโจมตีว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดวิกฤต

    ปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐบาลมาโดยตลอด เช่น การเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐชื่อ "วิสัยทัศน์เศรษฐกิจ" รวมไปถึงเคยจัดรายการโทรทัศน์ทาง UBC ช่อง 7 ร่วมกับดุสิต ศิริวรรณ ด้วยอยู่ช่วงหนึ่ง ในชื่อรายการ "โต๊ะข่าวเช้านี้"

    ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2548 ปานเทพ ได้เข้าไปทำงานในเครือผู้จัดการ ของสนธิ ลิ้มทองกุล และได้ทำรายการในเอเอสทีวี (ASTV) คือรายการ "ยามเฝ้าแผ่นดิน" ในช่วงเวลา 20:30น.- 21:30น. ทุกวันจันทร์ ถึง ศุกร์ และเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการอีกด้วย ซึ่งยังทำมาจนถึงปัจจุบัน

    ในการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2549 ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ทำหน้าที่เป็นโฆษกบนเวที และในการขับไล่ รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ.ศ. 2551 ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ยังคงทำหน้าที่เป็นโฆษกบนเวทีอย่างต่อเนื่อง

    นอกเหนือจากรายการที่ เอเอสทีวี แล้ว ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ยังมีรายการ "เวทีเสรี" ที่อออกอากาศ ช่วง 21.00 - 22.00 น. ทาง ทีทีวี ช่อง เอ็มวี1 ด้วย โดยเป็นวิทยากรประจำวันอังคาร ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ออกอากาศแล้ว

    ได้รับแต่งตั้งให้เป็นโฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเป็นนักวิชาการบนเวทีที่พูดในประเด็นกรณีเขาพระวิหาร เมื่อการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ชื่อการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน พ.ศ. 2554 คู่กับเทพมนตรี ลิมปพยอม

    ในวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปานเทพได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 2 พร้อมกับ ประพันธ์ คูณมี

    และเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2555 ปานเทพได้ ให้ข้อมูลกับสำนักข่าว เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ ว่าอเมริกามีโครงการ H.A.A.R.P. เป็นการยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปที่ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แล้วสะท้อนกลับมายังผิวโลก ทำให้เกิดภัยธรรมชาติต่างๆ ในพื้นที่ตามที่ต้องการได้ เพื่อใช้เป็นอาวุธกำจัดศัตรูแบบใหม่

    ผลงานหนังสือ

    บันทึกลับ 2540
    ประเทศไทยได้รับบทเรียนอะไรจากการปิด 56 สถาบันการเงินเป็นการถาวร
    ผ่าทางตันแปรรูปรัฐวิสาหกิจ กฟผ.
    บทเรียนขายหุ้นชินคอร์ป ระเบียบ ก.ล.ต. -ภาษี-จริยธรรม
    สงครามจิตวิทยาราคาน้ำมัน
    มหกรรมผลประโยชน์ทับซ้อน
    33 ประเด็นถาม-ตอบ ราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน
    คำเตือนสุดท้าย ราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน
    cr: http://www.cannhealth.in.th
    : บ้านคนดัง Celebrity Homes 4
    27/2/68 ประวัติอ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ https://youtu.be/ptET6EOeFwo?si=F24iH5N_QJ1sO4-O ประวัติ เกิด 12 สิงหาคม พ.ศ. 2513 (54ปี) กรุงเทพมหานคร ถิ่นพำนัก กรุงเทพมหานคร สัญชาติไทย ประวัติการศึกษา โรงเรียนอัสสัมชัญ รุ่น 103 พ.ศ. 2536 : ปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พ.ศ. 2539 : ปริญญาโท บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา อาชีพ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และ ผู้จัดรายการ ปีปฏิบัติงาน พ.ศ. 2519 - 2550 : เป็นที่รู้จักจากแกนนำกลุ่ม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 2 โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ.ศ. 2549 : การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พ.ศ. 2551 ศาสนา : ศาสนาพุทธ บิดามารดา นายเจริญ และ นางสุจิตรา พัวพงษ์พันธ์ ญาติ พรรคความหวังใหม่ โฆษกและแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 2 สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี และ เอเอสทีวีผู้จัดการรายวัน ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต[1][2]อดีตผู้จัดรายการ "ยามเฝ้าแผ่นดิน" และคอลัมนิสต์ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เกิดวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2513 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ นายเจริญ และนางสุจิตรา พัวพงษ์พันธ์ บิดาเป็นคนไทยเชื้อสายจีนไหหลำ และมารดาเป็นคนไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว นามสกุล "พัวพงษ์พันธ์" ตั้งให้สอดคล้องกับแซ่ "พัว" ของตระกูลนั่นเอง ประวัติชีวิต นายปานเทพเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนอัสสัมชัญ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และระดับปริญญาโทบริหารธุรกิจ สาขา การเงินการจัดการ จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นสมาชิกเครือข่ายสันติอโศกโดยมีถูกวางบทบาทในด้านสุขภาพ การเมือง และอื่นๆ เมื่อกลับมาเมืองไทยได้เข้าทำงานกับองค์กรภาคเอกชน โดยเข้าไปเป็นผู้บริหารดูด้านการเงิน และการก่อสร้างอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่ประเทศไทยจะประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อปี พ.ศ. 2540 ประวัติทางการเมือง ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เข้าสู่วงการเมือง โดยมีผู้แนะนำให้รู้จักกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในปี พ.ศ. 2541 โดยเข้าไปช่วยงานในพรรคความหวังใหม่ ขณะที่มีอายุ 28 ปี กระทั่งได้เป็นกรรมการบริหารพรรค เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคความหวังใหม่[3] และมีตำแหน่งสุดท้ายเป็นรองโฆษกพรรคความหวังใหม่ ในปี พ.ศ. 2544 ก่อนที่จะไปดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการองค์การฟอกหนัง ด้วยวัย 31 ปี ซึ่งถือว่าเป็นผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ยุบพรรคความหวังใหม่ รวมกับพรรคไทยรักไทย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้เป็นทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจในช่วง รัฐบาลทักษิณ 1 โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจภาคใต้ ก่อนที่จะถอนตัวในเวลาต่อมาด้วยความเห็นที่ไม่ตรงกัน และหลังจากนั้นยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลทักษิณมาโดยตลอด โดยชื่อของ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โด่งดังอีกครั้ง เมื่อออกหนังสือชื่อ "บันทึกลับ ๒๕๔o" โดยมีเนื้อหาชี้แจงถึงปัญหาเศรษฐกิจในช่วงที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ถูกโจมตีว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดวิกฤต ปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐบาลมาโดยตลอด เช่น การเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐชื่อ "วิสัยทัศน์เศรษฐกิจ" รวมไปถึงเคยจัดรายการโทรทัศน์ทาง UBC ช่อง 7 ร่วมกับดุสิต ศิริวรรณ ด้วยอยู่ช่วงหนึ่ง ในชื่อรายการ "โต๊ะข่าวเช้านี้" ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2548 ปานเทพ ได้เข้าไปทำงานในเครือผู้จัดการ ของสนธิ ลิ้มทองกุล และได้ทำรายการในเอเอสทีวี (ASTV) คือรายการ "ยามเฝ้าแผ่นดิน" ในช่วงเวลา 20:30น.- 21:30น. ทุกวันจันทร์ ถึง ศุกร์ และเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการอีกด้วย ซึ่งยังทำมาจนถึงปัจจุบัน ในการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2549 ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ทำหน้าที่เป็นโฆษกบนเวที และในการขับไล่ รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ.ศ. 2551 ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ยังคงทำหน้าที่เป็นโฆษกบนเวทีอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากรายการที่ เอเอสทีวี แล้ว ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ยังมีรายการ "เวทีเสรี" ที่อออกอากาศ ช่วง 21.00 - 22.00 น. ทาง ทีทีวี ช่อง เอ็มวี1 ด้วย โดยเป็นวิทยากรประจำวันอังคาร ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ออกอากาศแล้ว ได้รับแต่งตั้งให้เป็นโฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเป็นนักวิชาการบนเวทีที่พูดในประเด็นกรณีเขาพระวิหาร เมื่อการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ชื่อการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน พ.ศ. 2554 คู่กับเทพมนตรี ลิมปพยอม ในวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปานเทพได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 2 พร้อมกับ ประพันธ์ คูณมี และเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2555 ปานเทพได้ ให้ข้อมูลกับสำนักข่าว เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ ว่าอเมริกามีโครงการ H.A.A.R.P. เป็นการยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปที่ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แล้วสะท้อนกลับมายังผิวโลก ทำให้เกิดภัยธรรมชาติต่างๆ ในพื้นที่ตามที่ต้องการได้ เพื่อใช้เป็นอาวุธกำจัดศัตรูแบบใหม่ ผลงานหนังสือ บันทึกลับ 2540 ประเทศไทยได้รับบทเรียนอะไรจากการปิด 56 สถาบันการเงินเป็นการถาวร ผ่าทางตันแปรรูปรัฐวิสาหกิจ กฟผ. บทเรียนขายหุ้นชินคอร์ป ระเบียบ ก.ล.ต. -ภาษี-จริยธรรม สงครามจิตวิทยาราคาน้ำมัน มหกรรมผลประโยชน์ทับซ้อน 33 ประเด็นถาม-ตอบ ราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน คำเตือนสุดท้าย ราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน cr: http://www.cannhealth.in.th : บ้านคนดัง Celebrity Homes 4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • ”สุทิน" ชง “รัฐบาล” ทวงหนี้ ”แทนซาเนีย“ ค้างค่าข้าว 2.7 ล้านล้านบาท
    .
    กลับมาสวมบทเสาหลักฝ่ายนิติบัญญัติตามถนัด สุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่วันนี้ประสบการณ์อยู่เบอร์ต้นๆของสภาผู้แทนราษฎร
    .
    วันก่อนลุกขึ้นพูดช่วงหารือ 2 นาทีก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม หยิบเรื่องไม่ธรรมดา ฝากรัฐบาลติดตามทวงถามหนี้ก้อนโตจากรัฐบาลสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ประเทศในทวีปแอฟริกา
    .
    อันมีข้อมูลว่า รัฐบาลเซนซิบาร์ แห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ค้างชำระหนี้ค่าข้าวให้กับ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด เอกชนรายใหญ่ของไทยถึง 2.7 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นยอดหนี้สะสมมาหลายสิบปี แต่ที่ผ่านมา บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด ต้องต่อสู้ติดตามทวงถามอย่างโดดเดี่ยว ไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐเท่าที่ควร
    .
    โดยมีข้อมูลว่า ยอดหนี้ดังกล่าวมีการติดค้างกันจริง และ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด เองก็พึ่งกระบวนการยุติธรรมในประเทศแทนซาเนีย จนชนะมาทุกศาล ตามระบบการปกครองของประเทศคู่ค้าที่มีถึง 4 ศาลด้วยกัน
    .
    ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลเซนซิบาร์ แห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ที่แม้ติดขัดในเรื่องการชำระหนี้ ก็ได้พยายามติดต่อมาขอเจรจาไกล่เกลี้ยกับทาง บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด หลายต่อหลายครั้ง โดยมี กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง
    .
    อย่างไรก็ตามเรื่องกลับไม่มีความคืบหน้า นายสุทิน ที่เป็น สส.ในฝ่ายรัฐบาลจึงหยิบยกขึ้นมาให้หารือในสภาผู้แทนราษฎร ด้วยเหตุว่าหากติดตามหนี้มูลค่า 2.7 ล้านล้านบาท มาได้ ไม่เพียงเอกชนที่จะได้รับประโยชน์เท่านั้น รัฐบาลไทยก็จะได้ผลพลอยได้ไปด้วย กับภาษีก้อนมหาศาลจากยอดหนี้ที่เอกชนทวงถามได้ไปด้วย
    .
    ถือเป็นการสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างน้อยๆเป็นหลักหลายแสนล้านบาท โดยแทบไม่มีพิษมีภัย ไม่สร้างปัญหาในภายหลัง ดีกว่าไปจะคิดสร้างรายได้จาก “บ่อนการพนัน“ ที่รัฐบาลพยายามผลักดัน ที่จะมีผลกระทบในแง่ลบตามมาแบบคาดคะเนไม่ได้
    .
    ตามขั้นตอนหลังการหารือในสภาฯ ข้อมูลของ สส.ผู้หารือจะถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในเรื่องของ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด นี้ก็จะเป็นในส่วนของกรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ นอกจากนี้ก็น่าจะมีรายงานไปถึง นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ด้วย
    .
    ก็ต้องดูว่า รัฐบาลเพื่อไทย จะนำพาข้อหารือที่เป็นประโยชน์ของ นายสุทิน ที่ถือเป็นแกนนำพรรคระดับสูงไปปฏิบัติหรือไม่อย่างไร.
    ..............
    Sondhi X
    ”สุทิน" ชง “รัฐบาล” ทวงหนี้ ”แทนซาเนีย“ ค้างค่าข้าว 2.7 ล้านล้านบาท . กลับมาสวมบทเสาหลักฝ่ายนิติบัญญัติตามถนัด สุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่วันนี้ประสบการณ์อยู่เบอร์ต้นๆของสภาผู้แทนราษฎร . วันก่อนลุกขึ้นพูดช่วงหารือ 2 นาทีก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม หยิบเรื่องไม่ธรรมดา ฝากรัฐบาลติดตามทวงถามหนี้ก้อนโตจากรัฐบาลสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ประเทศในทวีปแอฟริกา . อันมีข้อมูลว่า รัฐบาลเซนซิบาร์ แห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ค้างชำระหนี้ค่าข้าวให้กับ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด เอกชนรายใหญ่ของไทยถึง 2.7 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นยอดหนี้สะสมมาหลายสิบปี แต่ที่ผ่านมา บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด ต้องต่อสู้ติดตามทวงถามอย่างโดดเดี่ยว ไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐเท่าที่ควร . โดยมีข้อมูลว่า ยอดหนี้ดังกล่าวมีการติดค้างกันจริง และ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด เองก็พึ่งกระบวนการยุติธรรมในประเทศแทนซาเนีย จนชนะมาทุกศาล ตามระบบการปกครองของประเทศคู่ค้าที่มีถึง 4 ศาลด้วยกัน . ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลเซนซิบาร์ แห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ที่แม้ติดขัดในเรื่องการชำระหนี้ ก็ได้พยายามติดต่อมาขอเจรจาไกล่เกลี้ยกับทาง บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด หลายต่อหลายครั้ง โดยมี กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง . อย่างไรก็ตามเรื่องกลับไม่มีความคืบหน้า นายสุทิน ที่เป็น สส.ในฝ่ายรัฐบาลจึงหยิบยกขึ้นมาให้หารือในสภาผู้แทนราษฎร ด้วยเหตุว่าหากติดตามหนี้มูลค่า 2.7 ล้านล้านบาท มาได้ ไม่เพียงเอกชนที่จะได้รับประโยชน์เท่านั้น รัฐบาลไทยก็จะได้ผลพลอยได้ไปด้วย กับภาษีก้อนมหาศาลจากยอดหนี้ที่เอกชนทวงถามได้ไปด้วย . ถือเป็นการสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างน้อยๆเป็นหลักหลายแสนล้านบาท โดยแทบไม่มีพิษมีภัย ไม่สร้างปัญหาในภายหลัง ดีกว่าไปจะคิดสร้างรายได้จาก “บ่อนการพนัน“ ที่รัฐบาลพยายามผลักดัน ที่จะมีผลกระทบในแง่ลบตามมาแบบคาดคะเนไม่ได้ . ตามขั้นตอนหลังการหารือในสภาฯ ข้อมูลของ สส.ผู้หารือจะถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในเรื่องของ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด นี้ก็จะเป็นในส่วนของกรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ นอกจากนี้ก็น่าจะมีรายงานไปถึง นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ด้วย . ก็ต้องดูว่า รัฐบาลเพื่อไทย จะนำพาข้อหารือที่เป็นประโยชน์ของ นายสุทิน ที่ถือเป็นแกนนำพรรคระดับสูงไปปฏิบัติหรือไม่อย่างไร. .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    17
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2096 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาษีพวกกรูถูกจัดสรรไปใช้ในระบบสาธารณสุขชายแดน ในปี 2567 ปล่อยต่างด้าวแห่มารักษามากถึง 3.2 ล้านครั้ง ต้องจ่ายเงินแทนต่างด้สวมากถึง 92,000 ล้านบาท หน่วยงานสาธารณสุขทำเชี้ยอะไรอยู่ หรือมัวแต่เพลิดเพลินกับการตบทรัพย์จากภาษีประชาชนคนไทย ด้วยการอุปโลกน์ต่างด้าวทิพย์ปะปนไปด้วย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    ภาษีพวกกรูถูกจัดสรรไปใช้ในระบบสาธารณสุขชายแดน ในปี 2567 ปล่อยต่างด้าวแห่มารักษามากถึง 3.2 ล้านครั้ง ต้องจ่ายเงินแทนต่างด้สวมากถึง 92,000 ล้านบาท หน่วยงานสาธารณสุขทำเชี้ยอะไรอยู่ หรือมัวแต่เพลิดเพลินกับการตบทรัพย์จากภาษีประชาชนคนไทย ด้วยการอุปโลกน์ต่างด้าวทิพย์ปะปนไปด้วย #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 249 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เพิ่มความหวังสำหรับการระงับรีดภาษีรอบใหม่สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไปอีก 1 เดือน บอกว่ามันอาจมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน และหยิบยกความเป็นไปได้ของการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) 25% กับรถยนต์และสินค้าอื่นๆ จากยุโรป
    .
    อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ระบุว่าเส้นตายก่อนหน้านี้ของทรัมป์ ในวันที่ 4 มีนาคม สำหรับรีดภาษี 25% สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา ณ ปัจจุบัน "ยังคงมีผลบังคับใช้" ขึ้นอยู่กับการทบทวนของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อความเคลื่อนไหวต่างๆ ของเม็กซิโกและแคนาดา ในการคุ้มกันชายแดนและชะลอกระแสไหลบ่าของผู้อพยพและยาเฟนตานิลเข้าสู่อเมริกา
    .
    ความเห็นที่ก่อความสับสนของทรัมป์ เกิดขึ้นระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกในวันพุธ (26 ก.พ.) ครั้งที่เขาถูกถามเกี่ยวกับกรอบเวลาของการเริ่มรีดภาษีแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งเขาตอบกลับมาว่าจะเป็นวันที่ 2 เมษายน
    .
    "ผมจะบอกกับคุณว่า เป็นวันที่ 2 เมษายน ตอนแรกผมจะทำมันในวันที่ 1 เมษายน แต่ผมเชื่อโชคลางเล็กน้อย ผมจะทำมันในวันที่ 2 เมษายน เดินหน้ารีดภาษี แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่เป็นจำนวนมาก" ทรัมป์กล่าว ทั้งนี้ความเห็นของประธานาธิบดีสหรัฐฯ กระตุ้นให้ค่าเงินดอลลาร์แคนาดาและเปโซของเม็กซิโกดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์
    .
    ฟรองซัวส์-ฟิลิปป์ แชมเปญ รัฐมนตรีกระทรวงนวัตกรรมของแคนาดา บอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า แคนาดาจะรอให้ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งพิเศษก่อน แล้วค่อยแสดงปฏิกิริยาใดๆ "ภารกิจของเรา ยังคงเป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ขยายเวลาของการระงับ ถ้าเราจำเป็นต้องทำ" เขากล่าว "เราเตรียมพร้อมแล้ว มันเป็นการการตอบโต้อย่างเล็งเป้า อย่างเป็นยุทธศาสตร์และหนักแน่น ถ้าทรัมป์กำหนดรีดภาษี"
    .
    กระทรวงเศรษฐกิจของเม็กซิโก ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำพูดของทรัมป์ แต่ทาง มาร์เซโล เอบราร์ด รัฐมนตรีเศรษฐกิจ มีกำหนดพบปะกับเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้า และโฮเวิร์ด ลุตนิค รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ (28 ก.พ.)
    .
    ลุตนิค บอกกับคณะรัฐมนตรีว่าความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาเฟนตานิล ถูกระงับเป็นเวลา 30 วัน แต่พาดพิงถึงมาตรการรีดภาษีโดยรวมในวันที่ 2 เมษายน และไม่ได้เจาะจงว่าเส้นตายรีดภาษีเดิมในวันที่ 4 มีนาคม ยังมีผลบังคับใช้หรือไม่
    .
    ทรัมป์ เล็งไว้ในช่วงต้นเดือนเมษายนสำหรับกำหนดมาตรการรีดภาษีตอบโต้ขึ้นภาษีให้เท่ากับอัตราภาษีที่ประเทศอื่นๆ เรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ รวมถึงชดเชยข้อจำกัดอื่นๆ ของประเทศคู่ค้าเหล่านั้น ทั้งนี้คณะที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ มองว่าภาษีมูลค่าเพิ่มของบรรดาชาติยุโรปไม่ต่างจากการรีดภาษี
    .
    เมื่อถูกถามว่าเขาตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราภาษีที่้จะเรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปแล้วหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า "เราได้ตัดสินใจแล้ว และเราจะแถลงเร็วๆ นี้ และมันจะเป็น 25% มันจะเป็นรถยนต์และสิ่งต่างๆ ทั้งหมด"
    .
    เขาบอกว่าสำหรับอียูนั้น เป็นกรณีที่ต่างออกไปจากแคนาดาและเอาเปรียบสหรัฐฯ ในรูปแบบที่ต่างออกไป "พวกเขาไม่ยอมรับรถยนต์ของเรา พวกเขาไม่อ้าแขนรับผลิตภัณฑ์ฟาร์มของเรา" ทรัมป์กล่าว พร้อมระบุว่าอียูก่อตั้งมาเพื่อคาดคั้นสหรัฐฯ
    .
    โฆษกคณะกรรมาธิการยุโรป บอกว่า "อียูจะตอบสนองอย่างหนักแน่นและโดยทันที ต่อขวากนามที่ไม่ยุติธรรมใดๆ ต่อความเสรีและความยุติธรรมทางการค้า ในนั้นรวมถึงการรีดภาษี ที่ท้าทายกฎหมายและนโยบายไม่เลือกปฏิบัติ" พร้อมบอกต่อว่า "สหภาพยุโรปคือตลาดเสรีใหญ่ที่สุดในโลก เราเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับสหรัฐฯ"
    .
    โรเบอร์ตา เมตโซลา ประธานรัฐสภายุโรป มีแผนพบปะกับบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ในวันพุธ (26 ก.พ.) แต่ไม่มีกำหนดเข้าพูดคุยหารือใดๆ กับพวกเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลทรัมป์
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000019218
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เพิ่มความหวังสำหรับการระงับรีดภาษีรอบใหม่สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไปอีก 1 เดือน บอกว่ามันอาจมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน และหยิบยกความเป็นไปได้ของการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) 25% กับรถยนต์และสินค้าอื่นๆ จากยุโรป . อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ระบุว่าเส้นตายก่อนหน้านี้ของทรัมป์ ในวันที่ 4 มีนาคม สำหรับรีดภาษี 25% สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา ณ ปัจจุบัน "ยังคงมีผลบังคับใช้" ขึ้นอยู่กับการทบทวนของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อความเคลื่อนไหวต่างๆ ของเม็กซิโกและแคนาดา ในการคุ้มกันชายแดนและชะลอกระแสไหลบ่าของผู้อพยพและยาเฟนตานิลเข้าสู่อเมริกา . ความเห็นที่ก่อความสับสนของทรัมป์ เกิดขึ้นระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกในวันพุธ (26 ก.พ.) ครั้งที่เขาถูกถามเกี่ยวกับกรอบเวลาของการเริ่มรีดภาษีแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งเขาตอบกลับมาว่าจะเป็นวันที่ 2 เมษายน . "ผมจะบอกกับคุณว่า เป็นวันที่ 2 เมษายน ตอนแรกผมจะทำมันในวันที่ 1 เมษายน แต่ผมเชื่อโชคลางเล็กน้อย ผมจะทำมันในวันที่ 2 เมษายน เดินหน้ารีดภาษี แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่เป็นจำนวนมาก" ทรัมป์กล่าว ทั้งนี้ความเห็นของประธานาธิบดีสหรัฐฯ กระตุ้นให้ค่าเงินดอลลาร์แคนาดาและเปโซของเม็กซิโกดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ . ฟรองซัวส์-ฟิลิปป์ แชมเปญ รัฐมนตรีกระทรวงนวัตกรรมของแคนาดา บอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า แคนาดาจะรอให้ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งพิเศษก่อน แล้วค่อยแสดงปฏิกิริยาใดๆ "ภารกิจของเรา ยังคงเป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ขยายเวลาของการระงับ ถ้าเราจำเป็นต้องทำ" เขากล่าว "เราเตรียมพร้อมแล้ว มันเป็นการการตอบโต้อย่างเล็งเป้า อย่างเป็นยุทธศาสตร์และหนักแน่น ถ้าทรัมป์กำหนดรีดภาษี" . กระทรวงเศรษฐกิจของเม็กซิโก ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำพูดของทรัมป์ แต่ทาง มาร์เซโล เอบราร์ด รัฐมนตรีเศรษฐกิจ มีกำหนดพบปะกับเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้า และโฮเวิร์ด ลุตนิค รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ (28 ก.พ.) . ลุตนิค บอกกับคณะรัฐมนตรีว่าความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาเฟนตานิล ถูกระงับเป็นเวลา 30 วัน แต่พาดพิงถึงมาตรการรีดภาษีโดยรวมในวันที่ 2 เมษายน และไม่ได้เจาะจงว่าเส้นตายรีดภาษีเดิมในวันที่ 4 มีนาคม ยังมีผลบังคับใช้หรือไม่ . ทรัมป์ เล็งไว้ในช่วงต้นเดือนเมษายนสำหรับกำหนดมาตรการรีดภาษีตอบโต้ขึ้นภาษีให้เท่ากับอัตราภาษีที่ประเทศอื่นๆ เรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ รวมถึงชดเชยข้อจำกัดอื่นๆ ของประเทศคู่ค้าเหล่านั้น ทั้งนี้คณะที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ มองว่าภาษีมูลค่าเพิ่มของบรรดาชาติยุโรปไม่ต่างจากการรีดภาษี . เมื่อถูกถามว่าเขาตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราภาษีที่้จะเรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปแล้วหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า "เราได้ตัดสินใจแล้ว และเราจะแถลงเร็วๆ นี้ และมันจะเป็น 25% มันจะเป็นรถยนต์และสิ่งต่างๆ ทั้งหมด" . เขาบอกว่าสำหรับอียูนั้น เป็นกรณีที่ต่างออกไปจากแคนาดาและเอาเปรียบสหรัฐฯ ในรูปแบบที่ต่างออกไป "พวกเขาไม่ยอมรับรถยนต์ของเรา พวกเขาไม่อ้าแขนรับผลิตภัณฑ์ฟาร์มของเรา" ทรัมป์กล่าว พร้อมระบุว่าอียูก่อตั้งมาเพื่อคาดคั้นสหรัฐฯ . โฆษกคณะกรรมาธิการยุโรป บอกว่า "อียูจะตอบสนองอย่างหนักแน่นและโดยทันที ต่อขวากนามที่ไม่ยุติธรรมใดๆ ต่อความเสรีและความยุติธรรมทางการค้า ในนั้นรวมถึงการรีดภาษี ที่ท้าทายกฎหมายและนโยบายไม่เลือกปฏิบัติ" พร้อมบอกต่อว่า "สหภาพยุโรปคือตลาดเสรีใหญ่ที่สุดในโลก เราเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับสหรัฐฯ" . โรเบอร์ตา เมตโซลา ประธานรัฐสภายุโรป มีแผนพบปะกับบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ในวันพุธ (26 ก.พ.) แต่ไม่มีกำหนดเข้าพูดคุยหารือใดๆ กับพวกเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลทรัมป์ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000019218 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2089 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า “หากรัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคไบเดนไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในสงครามยูเครน และไม่จัดส่งเงินจากภาษีชาวอเมริกันให้กับเซเลนสกี้ ป่านนี้รัสเซียยึดยูเครนได้ทั้งประเทศไปนานแล้ว
    .
    ปูตินจะเอาชนะเคียฟได้ในระยะเวลาสั้นอย่างง่ายได้ หากปูตินคิดจะประกาศทำสงครามกับยูเครนจริงจัง ผมรับรองว่า แม้แต่ลวีฟก็ไม่เหลือ ยูเครนอาจจะหายไปจากแผ่นที่โลกก็เป็นได้ แต่เขา (ปูติน) เลือกที่จะไม่ทำ
    .
    พวกคุณอาจมองว่า ปูตินกำลังติดหล่มในยูเครนนานถึง 3 ปี พวกคุณกำลังคิดผิดอย่างมหันต์ รัสเซียชาติมหาอำนาจทางทหารและรัฐนิวเคลียร์ และหากสมัยนั้น ผมไม่ถูกโกงการเลือกตั้ง สงครามยูเครนก็จะไม่เกิดขึ้น ผมรู้จักวลาดิมีร์ (ปูติน) เป็นอย่างดี เขาเด็ดขาดและฉลาดมาก”

    https://www.facebook.com/share/p/1BEgBtoSnj/
    ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า “หากรัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคไบเดนไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในสงครามยูเครน และไม่จัดส่งเงินจากภาษีชาวอเมริกันให้กับเซเลนสกี้ ป่านนี้รัสเซียยึดยูเครนได้ทั้งประเทศไปนานแล้ว . ปูตินจะเอาชนะเคียฟได้ในระยะเวลาสั้นอย่างง่ายได้ หากปูตินคิดจะประกาศทำสงครามกับยูเครนจริงจัง ผมรับรองว่า แม้แต่ลวีฟก็ไม่เหลือ ยูเครนอาจจะหายไปจากแผ่นที่โลกก็เป็นได้ แต่เขา (ปูติน) เลือกที่จะไม่ทำ . พวกคุณอาจมองว่า ปูตินกำลังติดหล่มในยูเครนนานถึง 3 ปี พวกคุณกำลังคิดผิดอย่างมหันต์ รัสเซียชาติมหาอำนาจทางทหารและรัฐนิวเคลียร์ และหากสมัยนั้น ผมไม่ถูกโกงการเลือกตั้ง สงครามยูเครนก็จะไม่เกิดขึ้น ผมรู้จักวลาดิมีร์ (ปูติน) เป็นอย่างดี เขาเด็ดขาดและฉลาดมาก” https://www.facebook.com/share/p/1BEgBtoSnj/
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  •  ประธานาธิบดีทรัมป์ขาย “โกลด์คาร์ด” หรือกรีนคาร์ดสีทองของคนรวย ในราคาแค่ห้าล้านดอลลาร์ แทนวีซ่านักลงทุน EB-5  มั่นใจคนแห่ซื้อเป็นล้านใบ จนประเทศพ้นปัญหาขาดดุลงบประมาณ รมว.พาณิชย์สหรัฐคาดใช้ในอีกสองสัปดาห์25 กุมภาพันธ์ 2568- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนการขาย “โกลด์คาร์ด” ของรัฐบาล หรือ“กรีนคาร์ด” เวอร์ชั่นใหม่สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการอยู่ในสหรัฐฯ อย่างถูกต้อง ในราคาแค่ใบละ 5 ล้านดอลลาร์(ประมาณ169 ล้านบาท)“เรากำลังจะขายโกลด์คาร์ด คุณมีกรีนคาร์ด แต่นี่คือโกลด์คาร์ด โดยเราจะตั้งราคาบัตรนี้ประมาณ 5 ล้านดอลลาร์ มันจะให้สิทธิพิเศษแบบกรีนคาร์ด รวมถึงเป็นเส้นทางสู่การเปลี่ยนสัญชาติด้วย และคนรวยๆ จะเข้ามาในประเทศของเราโดยการซื้อบัตรนี้” ทรัมป์ กล่าวที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา“จะมีพวกคนรวย คนที่ประสบความสำเร็จ โดยพวกเขาจะใช้จ่ายเงินก้อนโต จ่ายภาษีก้อนใหญ่ และสร้างงานขึ้นมาเป็นจำนวนมาก เราคิดว่ามันจะประสบความสำเร็จอย่างที่สุด และไม่เคยมีอะไรแบบนี้มาก่อนเลย” ทรัมป์ตบท้ายพร้อมกันนี้ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ โฮเวิร์ด ลัทนิค กล่าวเสริมด้วยว่า โปรแกรม “บัตรทอง” จะเริ่มต้นภายในสองสัปดาห์ข้างหน้า โดยจะเข้ามาแทนวีซ่านักลงทุน หรือ EB-5 immigrant investor program ที่ใช้มานาน “ผู้คนที่ถือโกลด์การ์ดกลุ่มนี้ จะเข้ามาช่วยรักษาเยียวยา และช่วยลดปัญหางบประมาณขาดดุลของเรา” รมว.พาณิชย์ขอวรัฐบาลทรัมป์ กล่าวทรัมป์กล่าวด้วยว่า เขาเชื่อว่าโครงการ “บัตรทอง” นี้ จะทำให้ธุรกิจใหญ่ๆ ยอมจ่ายเงิน เพื่อให้ได้คนงานที่มีความรู้เข้ามาในอเมริกา และคาดหวังว่าอเมริกาจะขายบัตรทองได้ถึงหนึ่งล้านใบประธานาธิบดีทรัมป์ย้ำด้วยว่า บัตรทอง หรือโกลด์คาร์ด สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนสัญชาติได้ แต่ต้องเป็นไปตามขั้นตอน เพราะการซื้อบัตรทอง ไม่ใช่การซื้อสัญชาติอเมริกัน.
     ประธานาธิบดีทรัมป์ขาย “โกลด์คาร์ด” หรือกรีนคาร์ดสีทองของคนรวย ในราคาแค่ห้าล้านดอลลาร์ แทนวีซ่านักลงทุน EB-5  มั่นใจคนแห่ซื้อเป็นล้านใบ จนประเทศพ้นปัญหาขาดดุลงบประมาณ รมว.พาณิชย์สหรัฐคาดใช้ในอีกสองสัปดาห์25 กุมภาพันธ์ 2568- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนการขาย “โกลด์คาร์ด” ของรัฐบาล หรือ“กรีนคาร์ด” เวอร์ชั่นใหม่สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการอยู่ในสหรัฐฯ อย่างถูกต้อง ในราคาแค่ใบละ 5 ล้านดอลลาร์(ประมาณ169 ล้านบาท)“เรากำลังจะขายโกลด์คาร์ด คุณมีกรีนคาร์ด แต่นี่คือโกลด์คาร์ด โดยเราจะตั้งราคาบัตรนี้ประมาณ 5 ล้านดอลลาร์ มันจะให้สิทธิพิเศษแบบกรีนคาร์ด รวมถึงเป็นเส้นทางสู่การเปลี่ยนสัญชาติด้วย และคนรวยๆ จะเข้ามาในประเทศของเราโดยการซื้อบัตรนี้” ทรัมป์ กล่าวที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา“จะมีพวกคนรวย คนที่ประสบความสำเร็จ โดยพวกเขาจะใช้จ่ายเงินก้อนโต จ่ายภาษีก้อนใหญ่ และสร้างงานขึ้นมาเป็นจำนวนมาก เราคิดว่ามันจะประสบความสำเร็จอย่างที่สุด และไม่เคยมีอะไรแบบนี้มาก่อนเลย” ทรัมป์ตบท้ายพร้อมกันนี้ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ โฮเวิร์ด ลัทนิค กล่าวเสริมด้วยว่า โปรแกรม “บัตรทอง” จะเริ่มต้นภายในสองสัปดาห์ข้างหน้า โดยจะเข้ามาแทนวีซ่านักลงทุน หรือ EB-5 immigrant investor program ที่ใช้มานาน “ผู้คนที่ถือโกลด์การ์ดกลุ่มนี้ จะเข้ามาช่วยรักษาเยียวยา และช่วยลดปัญหางบประมาณขาดดุลของเรา” รมว.พาณิชย์ขอวรัฐบาลทรัมป์ กล่าวทรัมป์กล่าวด้วยว่า เขาเชื่อว่าโครงการ “บัตรทอง” นี้ จะทำให้ธุรกิจใหญ่ๆ ยอมจ่ายเงิน เพื่อให้ได้คนงานที่มีความรู้เข้ามาในอเมริกา และคาดหวังว่าอเมริกาจะขายบัตรทองได้ถึงหนึ่งล้านใบประธานาธิบดีทรัมป์ย้ำด้วยว่า บัตรทอง หรือโกลด์คาร์ด สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนสัญชาติได้ แต่ต้องเป็นไปตามขั้นตอน เพราะการซื้อบัตรทอง ไม่ใช่การซื้อสัญชาติอเมริกัน.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทางการอิตาลีได้ขยายการสอบสวนเรื่องภาษีของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ไปยังเครือข่ายสังคมออนไลน์ของ Elon Musk ที่ชื่อว่า X โดยการสอบสวนนี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการสอบสวน Meta (Facebook และ Instagram) เพื่อดูว่าวิธีการที่แพลตฟอร์มเหล่านี้ให้บริการเป็นธุรกรรมที่ต้องเสียภาษีหรือไม่

    อิตาลีเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก X จำนวน 12.5 ล้านยูโร ซึ่งถือเป็นจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับรายได้ 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่ X ทำได้ในปี 2023 แต่กรณีนี้สำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับวิธีการที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ให้บริการ ซึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในสหภาพยุโรปทั้งหมด

    ทางการอิตาลีอ้างว่า การลงทะเบียนผู้ใช้กับ X และแพลตฟอร์มของ Meta อาจถือเป็นธุรกรรมที่ต้องเสียภาษี เนื่องจากมีการแลกเปลี่ยนบัญชีสมาชิกเพื่อแลกกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ซึ่งถ้าการตีความนี้ถูกต้อง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิธีการที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีดำเนินธุรกิจและเสียภาษีในสหภาพยุโรป

    ทั้ง X และ Meta มีเวลาถึงปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายนในการตอบสนองต่อข้อสังเกตของหน่วยงานภาษีอิตาลี ถ้าพวกเขาไม่ยอมรับการตีความนี้และไม่สามารถตกลงได้ อาจเกิดการพิจารณาคดีทางกฎหมายที่อาจใช้เวลาถึง 10 ปี

    การสอบสวนภาษีนี้เกิดขึ้นในขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ยกประเด็นเกี่ยวกับการเก็บภาษีบริการดิจิทัลจากบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และในขณะที่ Elon Musk มีความสัมพันธ์ที่ดีกับนายกรัฐมนตรีอิตาลี Giorgia Meloni และต้องการขยายธุรกิจ Starlink ในประเทศ

    การขยายการสอบสวนภาษีในครั้งนี้ยังทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการตรวจสอบและกฎหมายภาษีในยุโรป โดยเฉพาะเมื่อ Google เพิ่งตกลงที่จะจ่ายเงิน 326 ล้านยูโรเพื่อปิดกรณีข้อเรียกร้องภาษีที่เกี่ยวข้องกับช่วงปี 2015 ถึง 2019

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/26/exclusive-italy-extends-big-tech-tax-probe-to-musk039s-x-social-network
    ทางการอิตาลีได้ขยายการสอบสวนเรื่องภาษีของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ไปยังเครือข่ายสังคมออนไลน์ของ Elon Musk ที่ชื่อว่า X โดยการสอบสวนนี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการสอบสวน Meta (Facebook และ Instagram) เพื่อดูว่าวิธีการที่แพลตฟอร์มเหล่านี้ให้บริการเป็นธุรกรรมที่ต้องเสียภาษีหรือไม่ อิตาลีเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก X จำนวน 12.5 ล้านยูโร ซึ่งถือเป็นจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับรายได้ 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่ X ทำได้ในปี 2023 แต่กรณีนี้สำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับวิธีการที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ให้บริการ ซึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในสหภาพยุโรปทั้งหมด ทางการอิตาลีอ้างว่า การลงทะเบียนผู้ใช้กับ X และแพลตฟอร์มของ Meta อาจถือเป็นธุรกรรมที่ต้องเสียภาษี เนื่องจากมีการแลกเปลี่ยนบัญชีสมาชิกเพื่อแลกกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ซึ่งถ้าการตีความนี้ถูกต้อง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิธีการที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีดำเนินธุรกิจและเสียภาษีในสหภาพยุโรป ทั้ง X และ Meta มีเวลาถึงปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายนในการตอบสนองต่อข้อสังเกตของหน่วยงานภาษีอิตาลี ถ้าพวกเขาไม่ยอมรับการตีความนี้และไม่สามารถตกลงได้ อาจเกิดการพิจารณาคดีทางกฎหมายที่อาจใช้เวลาถึง 10 ปี การสอบสวนภาษีนี้เกิดขึ้นในขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ยกประเด็นเกี่ยวกับการเก็บภาษีบริการดิจิทัลจากบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และในขณะที่ Elon Musk มีความสัมพันธ์ที่ดีกับนายกรัฐมนตรีอิตาลี Giorgia Meloni และต้องการขยายธุรกิจ Starlink ในประเทศ การขยายการสอบสวนภาษีในครั้งนี้ยังทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการตรวจสอบและกฎหมายภาษีในยุโรป โดยเฉพาะเมื่อ Google เพิ่งตกลงที่จะจ่ายเงิน 326 ล้านยูโรเพื่อปิดกรณีข้อเรียกร้องภาษีที่เกี่ยวข้องกับช่วงปี 2015 ถึง 2019 https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/26/exclusive-italy-extends-big-tech-tax-probe-to-musk039s-x-social-network
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Exclusive-Italy extends big tech tax probe to Musk's X social network
    MILAN (Reuters) - Italy is claiming 12.5 million euros ($13 million) from Elon Musk's social network X following a tax probe running parallel to one into Meta, four sources with direct knowledge of the matter said, the latest move in a potential test case for the tech sector in Europe.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่...ของคนไทยหรือไม่

    หลังจากตลาดรถยนต์🚘ชะลอตัวมาตั้งเเต่ ปี 2567 เเละคาดว่าจะซึมยาวไปจนอย่างน้อยถึงกลางปี 2568 ✅กำลังซื้อระดับกลาง-ล่างอ่อนแอหนัก ขณะที่ด้านปัจจัยลบราคาน้ำมัน⛽ที่สูงขึ้นเป็นตัวฉุดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ออกไป จริงหรือไม่ บทความนี้จะพาไปค้นหาคำตอบภายใน 5 นาที!!🎯
    สถานการณ์ตอนนี้ ✨ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอยู่ในช่วงซึม ยอดขายรถยนต์หดตัวอย่างหนัก👉เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีแนวโน้มที่ยอดขายรถยนต์ทั้งปี 2568 จะหดตัวรุนแรงสุดในรอบ 15 ปี

    ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) มองว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทย อยู่ในช่วงชะลอตัวลงในระยะยาว จาก 5 สถานการณ์หลักตอนนี้ คือ...

    1. ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอิ่มตัว ⚠️

    ตอนนี้ถ้าดูจำนวนรถยนต์ที่วิ่งบนถนนสะสมทั่วประเทศ สูงถึงเกือบ 20 ล้านคัน หรือคิดเป็น 277 คันต่อประชากรไทย 1,000 คน เทียบแล้วของไทยค่อนข้างสูงเมื่อมองไปที่เวียดนาม 50 คัน ฟิลิปปินส์ 38 คัน และอินโดนีเซีย 78 คันต่อประชากร 1,000 คน และนิสัยการใช้รถของคนไทยที่ค่อนข้างนานเฉลี่ยถึง 12 ปี เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยประเทศหลัก ๆ ที่ใช้งานรถยนต์ประมาณ 6-8 ปี โอกาสที่ซื้อรถยนต์ใหม่แทนรถคันเก่าเลยค่อนข้างต่ำ

    2. พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ➡️

    หลังการบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ผู้ผลิตจีน ทำให้มาตรฐานการตั้งราคารถใหม่🧾ในท้องตลาด มีแนวโน้มลดลงจากเดิม ผู้บริโภคเลยมีตัวเลือกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ขณะที่บางส่วนชะลอการซื้อรถยนต์ออกไปจนกว่าจะเจอราคาที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ รวมไปถึงทัศนคติต่อการซื้อรถยนต์ของคนยุคใหม่ ที่หันมาใช้การเช่าแทนการซื้อครอบครอง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต และลดภาระค่าใช้จ่ายที่จะตามมา ทำให้การซื้อรถยนต์ในยุคสมัยนี้อาจน้อยกว่าในอดีต

    3. โครงสร้างประชากรกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ 👴🏻

    เห็นชัดจากยอดขายที่อยู่อาศัย และรถยนต์ในประเทศ ระยะหลังชะลอการเติบโตลง 👵🏼ส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างประชากรไทยที่อยู่ในภาวะ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” และกำลังจะขยับเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า สวนทางกับสัดส่วนประชากรที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่มีกำลังซื้อรถยนต์อย่างกลุ่มอายุ 25-49 ปี กลับมีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่อง

    4. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลง 📉

    การลงทุนโดยรวมอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน ภาคการผลิตและส่งออกก็กำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างรุนแรงขึ้น รวมไปถึงการบุกตลาดของสินค้าราคาถูกจากจีน ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทบความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลงในระยะยาว บั่นทอนการเติบโตของรายได้ และกำลังซื้อ💵💰💳ของภาคครัวเรือน

    5. หนี้ครัวเรือนสูงกำลังเพิ่มข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อ 📈

    หนี้ครัวเรือนไทยในปัจจุบันสูงถึง 91.3% ของจีดีพี ซึ่งสูงเกินกว่าระดับที่เหมาะสมที่เอื้อต่อการบริโภคที่ 80% ของจีดีพี และสูงกว่าประเทศที่มีรายได้ต่อหัวใกล้เคียงกัน ทำให้สถาบันการเงิน มีข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อแก่รายย่อยมากขึ้น

    ขณะที่ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า⚡ที่จำหน่ายได้ภายใต้มาตรการของรัฐบาล ที่ลงนามเข้าโครงการ ดึงดูดความสนใจ ที่ลดลงไปแล้วอย่างน้อย 70,000 - 1.5 แสนบาท ก็สามารถที่จะกระตุ้นให้คนสนใจ😘 เเละยอดจองได้ไม่น้อยทีเดียว เพราะอย่างน้อยๆ ราคาที่ดึงดูดนี้ ก็ยังทำให้คนที่ถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนรถคันใหม่ หรือหาซื้อรถเพิ่มเข้ามาอีกคัน ก็พิจารณาตัดสินใจได้ไม่ยาก

    ข้อมูลจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน ระบุว่า ในกรณีที่เป็นรถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน☝️ ราคา🗺️ไม่เกิน 2 ล้านบาท จะได้รับการลดภาษีนำเข้า 40% ตั้งเเต่ ปี 2565-2566 แล้วยังได้ลดภาษีสรรพสามิต เหลือ 2% ในปี 2565-2568

    ไม่เพียงเท่านี้!! ยังแถมด้วยเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 70,000 บาท และ 1.5 แสนบาท ตามขนาดของแบตเตอรี่...
    แต่หากมีราคา 2-7 ล้านบาท ได้ลดภาษีนำเข้า 20% และได้ลดภาษีสรรพสามิตเหลือ🤑 2% (ในช่วงปี 2565-2566 ที่ผ่านมา) แต่จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนใดๆ จากรัฐบาล

    ส่วนกรณีรถกระบะที่ผลิตในประเทศ ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท จะไม่มีภาษีสรรพสามิต ในช่วง 3 ปี คือตั้งแต่ปี 2565 - 2568 ได้รับเงินอุหนุน 1.5 แสนบาท โดยขนาดแบตเตอรี่ 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เป็นเวลา 3 ปี จนถึงปี 2568

    ขณะที่รถมอเตอร์ไซค์ ราคาไม่เกิน 1.5 แสนบาท จะได้รับเงินอุดหนุน💵 18,000 บาท เป็นเวลา 3 ปี (ตั้งเเต่ปี 2566-68) มาตรการของรัฐบาลครั้งนี้!! สามารถดึงดูดความสนใจ…แรงซื้อ…จากคนที่ยังมีกำลังซื้อได้ไม่ไม่น้อย

    📌ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่ของคนไทย ทั้งชะลอเวลาการซื้อรถคันใหม่ที่เป็นรถใหม่ออกไป เเละ เปลี่ยนใจจากรถน้ำมันหันไปหารถใหม่ที่เป็น EV⚡ สำหรับคนที่มีรถใช้น้ำมันอยู่เเล้ว หรือ เเม้กระทั่ง Plug-in Hybrid 🔌ที่เป็นตัวเลือกสำหรับคนที่จะมีรถคันเเรก เเละยอมใจกับราคาน้ำมัน🛢️เเละกลุ่มที่กำลังมาเเรง คือกลุ่มที่หันไปซบรถใช้น้ำมันมือสอง ที่มาจากเตนท์ หรือจากลานประมูลรถมือสอง ที่เริ่มมีลูกค้าประเภทประมูลซื้อใช้เอง จำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    ปัญหาน้ำมัน⛽แพง เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนสนใจจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV บวกกับการที่รัฐบาลให้เงินอุดหนุน💰70,000 บาท - 150,000 บาทต่อคัน ยิ่งเป็นแรงจูงใจให้คนสนใจรถอีวีมากขึ้นนั่นเอง
    เมื่อเรายังต้องอยู่ในยุคที่สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น💹อย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว☣จากโควิด-19 🤧ในขณะที่กลุ่มโอเปกยังคงยืนยันที่จะส่งออกน้ำมันดิบ⛽เพียง 400,000 บาร์เรล🛢️ต่อวัน ทำให้ราคาน้ำมันในไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น

    เเละเมื่อเรายังจำเป้นต้องใช้รถเติมน้ำมัน บทความนี้มีเทคนิคการประหยัดน้ำมันแบบง่าย ๆ เพื่อฝ่าวิกฤตน้ำมันราคาแพงครั้งนี้ไปด้วยกัน มาเเชร์ให้ค่ะ

    1. ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะในการเดินทาง โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยประหยัดค่าน้ำมันแล้ว ยังลดความเครียด 🤝😊จากปัญหาจราจรอีกด้วย
    2. หากจำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว การขับรถที่ความเร็วที่ 60 – 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง คืออัตราความเร็วที่เหมาะสมที่สุด🙌ในการประหยัดน้ำมันรถได้มากที่สุด ที่สำคัญช่วยทำให้ปลอดภัยลดอุบัติเหตุได้ด้วย
    3. ตรวจเช็คสภาพรถและลมยางเป็นประจำเพื่อให้พร้อมใช้งาน🥰การตรวจสอบลมยางทั้ง 4 เส้นเป็นประจำ ให้มีปริมาตรลมตามมาตรฐานที่กำหนด เพราะยางที่อ่อนเกินไปจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก
    4. เลือกใช้การเดินเท้า🚶‍♀️‍➡️ในระยะที่น้อยกว่า 1 กิโลเมตร เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว ยังได้ออกกำลังกาย 🏃🏻‍♂️‍➡️ ทำให้สุขภาพของเราแข็งแรงขึ้น💪🏼
    5. เลือกซื้อ🛒🛍️สินค้าในชุมชนที่อยู่อาศัย เมื่อต้องการออกไปจับจ่ายใช้สอยซื้อหาอาหาร หรือสินค้าจำเป็นต่างๆ เพื่อลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากการเดินทาง

    จบไปเเล้วสำหรับ "ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่...ของคนไทยหรือไม่" เเละหากว่าพี่ๆ ท่านใด สนใจอยากจะมีรถไว้ใช้งานที่ประหยัดงบประมาณ สามารถเหลือเงินไว้เก็บงานต่างๆ ของรถมือสอง หรืออาจจะไม่ต้องเก็บอะไรใดใดเลยก็เป็นได้ โดยทั้งนี้📌คุณภาพขึ้นอยู่กับอายุการใช้งาน สภาพตัวถัง และระบบเกียร์ รถที่เข้าลานประมูลจะเป็นไปตามสภาพจริง ถ้าสนใจขอเชิญ @ลานประมูลของ สยามอินเตอร์การประมูล หรือ SIA กันได้นะคะ ยินดีให้คำเเนะนำเเละบริก่ารค่ะ

    อ่านต่อเลย: จะเข้าใจว่าทำไมต้องรถมือ2 !?! https://citly.me/esgxY

    ✅ดูรายการรถทุกประเภทที่เว็บไซต์ home.sia.co.th ในเมนูการประมูล เเละกดเข้าไปที่รายการรถยนต์ เเละติดตามอัปเดตได้ทุกสัปดาห์
    ✅ลงทะเบียนได้ที่: home.sia.co.th
    ✅ติดต่อสอบถาม: ☎️02-119-7111 หรือ LINE:@sia.co.th
    🎉นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสนุกๆ พร้อมคูปองอาหาร 🌮 และเครื่องดื่ม 🥤แจกฟรี!
    📌อย่าลืมติดตามรายการใหม่ทุกสัปดาห์ แล้วพบกันที่ SIA! 🚛✨

    ขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพเเละข้อมูล (บางส่วน)

    https://www.ttbbank.com/th/newsroom/detail/ttba-5megatrend-july-2024
    https://www.ttbbank.com/th/analytics
    https://www.thairath.co.th/news/auto/evcar/2755876
    www.dailynews.co.th/articles/899255
    https://th.jobsdb.com/th/careeradvice/article/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99
    ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่...ของคนไทยหรือไม่ หลังจากตลาดรถยนต์🚘ชะลอตัวมาตั้งเเต่ ปี 2567 เเละคาดว่าจะซึมยาวไปจนอย่างน้อยถึงกลางปี 2568 ✅กำลังซื้อระดับกลาง-ล่างอ่อนแอหนัก ขณะที่ด้านปัจจัยลบราคาน้ำมัน⛽ที่สูงขึ้นเป็นตัวฉุดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ออกไป จริงหรือไม่ บทความนี้จะพาไปค้นหาคำตอบภายใน 5 นาที!!🎯 สถานการณ์ตอนนี้ ✨ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอยู่ในช่วงซึม ยอดขายรถยนต์หดตัวอย่างหนัก👉เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีแนวโน้มที่ยอดขายรถยนต์ทั้งปี 2568 จะหดตัวรุนแรงสุดในรอบ 15 ปี ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) มองว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทย อยู่ในช่วงชะลอตัวลงในระยะยาว จาก 5 สถานการณ์หลักตอนนี้ คือ... 1. ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอิ่มตัว ⚠️ ตอนนี้ถ้าดูจำนวนรถยนต์ที่วิ่งบนถนนสะสมทั่วประเทศ สูงถึงเกือบ 20 ล้านคัน หรือคิดเป็น 277 คันต่อประชากรไทย 1,000 คน เทียบแล้วของไทยค่อนข้างสูงเมื่อมองไปที่เวียดนาม 50 คัน ฟิลิปปินส์ 38 คัน และอินโดนีเซีย 78 คันต่อประชากร 1,000 คน และนิสัยการใช้รถของคนไทยที่ค่อนข้างนานเฉลี่ยถึง 12 ปี เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยประเทศหลัก ๆ ที่ใช้งานรถยนต์ประมาณ 6-8 ปี โอกาสที่ซื้อรถยนต์ใหม่แทนรถคันเก่าเลยค่อนข้างต่ำ 2. พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ➡️ หลังการบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ผู้ผลิตจีน ทำให้มาตรฐานการตั้งราคารถใหม่🧾ในท้องตลาด มีแนวโน้มลดลงจากเดิม ผู้บริโภคเลยมีตัวเลือกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ขณะที่บางส่วนชะลอการซื้อรถยนต์ออกไปจนกว่าจะเจอราคาที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ รวมไปถึงทัศนคติต่อการซื้อรถยนต์ของคนยุคใหม่ ที่หันมาใช้การเช่าแทนการซื้อครอบครอง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต และลดภาระค่าใช้จ่ายที่จะตามมา ทำให้การซื้อรถยนต์ในยุคสมัยนี้อาจน้อยกว่าในอดีต 3. โครงสร้างประชากรกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ 👴🏻 เห็นชัดจากยอดขายที่อยู่อาศัย และรถยนต์ในประเทศ ระยะหลังชะลอการเติบโตลง 👵🏼ส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างประชากรไทยที่อยู่ในภาวะ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” และกำลังจะขยับเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า สวนทางกับสัดส่วนประชากรที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่มีกำลังซื้อรถยนต์อย่างกลุ่มอายุ 25-49 ปี กลับมีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่อง 4. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลง 📉 การลงทุนโดยรวมอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน ภาคการผลิตและส่งออกก็กำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างรุนแรงขึ้น รวมไปถึงการบุกตลาดของสินค้าราคาถูกจากจีน ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทบความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลงในระยะยาว บั่นทอนการเติบโตของรายได้ และกำลังซื้อ💵💰💳ของภาคครัวเรือน 5. หนี้ครัวเรือนสูงกำลังเพิ่มข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อ 📈 หนี้ครัวเรือนไทยในปัจจุบันสูงถึง 91.3% ของจีดีพี ซึ่งสูงเกินกว่าระดับที่เหมาะสมที่เอื้อต่อการบริโภคที่ 80% ของจีดีพี และสูงกว่าประเทศที่มีรายได้ต่อหัวใกล้เคียงกัน ทำให้สถาบันการเงิน มีข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อแก่รายย่อยมากขึ้น ขณะที่ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า⚡ที่จำหน่ายได้ภายใต้มาตรการของรัฐบาล ที่ลงนามเข้าโครงการ ดึงดูดความสนใจ ที่ลดลงไปแล้วอย่างน้อย 70,000 - 1.5 แสนบาท ก็สามารถที่จะกระตุ้นให้คนสนใจ😘 เเละยอดจองได้ไม่น้อยทีเดียว เพราะอย่างน้อยๆ ราคาที่ดึงดูดนี้ ก็ยังทำให้คนที่ถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนรถคันใหม่ หรือหาซื้อรถเพิ่มเข้ามาอีกคัน ก็พิจารณาตัดสินใจได้ไม่ยาก ข้อมูลจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน ระบุว่า ในกรณีที่เป็นรถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน☝️ ราคา🗺️ไม่เกิน 2 ล้านบาท จะได้รับการลดภาษีนำเข้า 40% ตั้งเเต่ ปี 2565-2566 แล้วยังได้ลดภาษีสรรพสามิต เหลือ 2% ในปี 2565-2568 ไม่เพียงเท่านี้!! ยังแถมด้วยเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 70,000 บาท และ 1.5 แสนบาท ตามขนาดของแบตเตอรี่... แต่หากมีราคา 2-7 ล้านบาท ได้ลดภาษีนำเข้า 20% และได้ลดภาษีสรรพสามิตเหลือ🤑 2% (ในช่วงปี 2565-2566 ที่ผ่านมา) แต่จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนใดๆ จากรัฐบาล ส่วนกรณีรถกระบะที่ผลิตในประเทศ ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท จะไม่มีภาษีสรรพสามิต ในช่วง 3 ปี คือตั้งแต่ปี 2565 - 2568 ได้รับเงินอุหนุน 1.5 แสนบาท โดยขนาดแบตเตอรี่ 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เป็นเวลา 3 ปี จนถึงปี 2568 ขณะที่รถมอเตอร์ไซค์ ราคาไม่เกิน 1.5 แสนบาท จะได้รับเงินอุดหนุน💵 18,000 บาท เป็นเวลา 3 ปี (ตั้งเเต่ปี 2566-68) มาตรการของรัฐบาลครั้งนี้!! สามารถดึงดูดความสนใจ…แรงซื้อ…จากคนที่ยังมีกำลังซื้อได้ไม่ไม่น้อย 📌ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่ของคนไทย ทั้งชะลอเวลาการซื้อรถคันใหม่ที่เป็นรถใหม่ออกไป เเละ เปลี่ยนใจจากรถน้ำมันหันไปหารถใหม่ที่เป็น EV⚡ สำหรับคนที่มีรถใช้น้ำมันอยู่เเล้ว หรือ เเม้กระทั่ง Plug-in Hybrid 🔌ที่เป็นตัวเลือกสำหรับคนที่จะมีรถคันเเรก เเละยอมใจกับราคาน้ำมัน🛢️เเละกลุ่มที่กำลังมาเเรง คือกลุ่มที่หันไปซบรถใช้น้ำมันมือสอง ที่มาจากเตนท์ หรือจากลานประมูลรถมือสอง ที่เริ่มมีลูกค้าประเภทประมูลซื้อใช้เอง จำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาน้ำมัน⛽แพง เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนสนใจจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV บวกกับการที่รัฐบาลให้เงินอุดหนุน💰70,000 บาท - 150,000 บาทต่อคัน ยิ่งเป็นแรงจูงใจให้คนสนใจรถอีวีมากขึ้นนั่นเอง เมื่อเรายังต้องอยู่ในยุคที่สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น💹อย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว☣จากโควิด-19 🤧ในขณะที่กลุ่มโอเปกยังคงยืนยันที่จะส่งออกน้ำมันดิบ⛽เพียง 400,000 บาร์เรล🛢️ต่อวัน ทำให้ราคาน้ำมันในไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น เเละเมื่อเรายังจำเป้นต้องใช้รถเติมน้ำมัน บทความนี้มีเทคนิคการประหยัดน้ำมันแบบง่าย ๆ เพื่อฝ่าวิกฤตน้ำมันราคาแพงครั้งนี้ไปด้วยกัน มาเเชร์ให้ค่ะ 1. ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะในการเดินทาง โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยประหยัดค่าน้ำมันแล้ว ยังลดความเครียด 🤝😊จากปัญหาจราจรอีกด้วย 2. หากจำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว การขับรถที่ความเร็วที่ 60 – 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง คืออัตราความเร็วที่เหมาะสมที่สุด🙌ในการประหยัดน้ำมันรถได้มากที่สุด ที่สำคัญช่วยทำให้ปลอดภัยลดอุบัติเหตุได้ด้วย 3. ตรวจเช็คสภาพรถและลมยางเป็นประจำเพื่อให้พร้อมใช้งาน🥰การตรวจสอบลมยางทั้ง 4 เส้นเป็นประจำ ให้มีปริมาตรลมตามมาตรฐานที่กำหนด เพราะยางที่อ่อนเกินไปจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก 4. เลือกใช้การเดินเท้า🚶‍♀️‍➡️ในระยะที่น้อยกว่า 1 กิโลเมตร เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว ยังได้ออกกำลังกาย 🏃🏻‍♂️‍➡️ ทำให้สุขภาพของเราแข็งแรงขึ้น💪🏼 5. เลือกซื้อ🛒🛍️สินค้าในชุมชนที่อยู่อาศัย เมื่อต้องการออกไปจับจ่ายใช้สอยซื้อหาอาหาร หรือสินค้าจำเป็นต่างๆ เพื่อลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากการเดินทาง จบไปเเล้วสำหรับ "ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่...ของคนไทยหรือไม่" เเละหากว่าพี่ๆ ท่านใด สนใจอยากจะมีรถไว้ใช้งานที่ประหยัดงบประมาณ สามารถเหลือเงินไว้เก็บงานต่างๆ ของรถมือสอง หรืออาจจะไม่ต้องเก็บอะไรใดใดเลยก็เป็นได้ โดยทั้งนี้📌คุณภาพขึ้นอยู่กับอายุการใช้งาน สภาพตัวถัง และระบบเกียร์ รถที่เข้าลานประมูลจะเป็นไปตามสภาพจริง ถ้าสนใจขอเชิญ @ลานประมูลของ สยามอินเตอร์การประมูล หรือ SIA กันได้นะคะ ยินดีให้คำเเนะนำเเละบริก่ารค่ะ อ่านต่อเลย: จะเข้าใจว่าทำไมต้องรถมือ2 !?! https://citly.me/esgxY ✅ดูรายการรถทุกประเภทที่เว็บไซต์ home.sia.co.th ในเมนูการประมูล เเละกดเข้าไปที่รายการรถยนต์ เเละติดตามอัปเดตได้ทุกสัปดาห์ ✅ลงทะเบียนได้ที่: home.sia.co.th ✅ติดต่อสอบถาม: ☎️02-119-7111 หรือ LINE:@sia.co.th 🎉นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสนุกๆ พร้อมคูปองอาหาร 🌮 และเครื่องดื่ม 🥤แจกฟรี! 📌อย่าลืมติดตามรายการใหม่ทุกสัปดาห์ แล้วพบกันที่ SIA! 🚛✨ ขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพเเละข้อมูล (บางส่วน) https://www.ttbbank.com/th/newsroom/detail/ttba-5megatrend-july-2024 https://www.ttbbank.com/th/analytics https://www.thairath.co.th/news/auto/evcar/2755876 www.dailynews.co.th/articles/899255 https://th.jobsdb.com/th/careeradvice/article/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันจันทร์(24ก.พ.) ระบุจะเดินหน้ามาตรการรีดภาษีแคนาดาและเม็กซิโก ตามแผนที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ คำประกาศต่อหน้าพวกผู้สื่อข่าว ตามหลังพบปะกับ เอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ที่เรียกร้องให้ "แข่งขันอย่างยุติธรรม" ในด้านการค้า

    การพูดคุยระหว่างผู้นำทั้ง 2 ซึ่งมุ่งเน้นเกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครน มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ ขู่เล่นงานทั้งมิตรและศัตรูไม่ต่างกัน ด้วยมาตรการรีดภาษีสูงลิ่ว กระตุ้นให้เกิดการเจรจาต่อรองกันวุ่นวายไปหมด

    ไม่นานหลังจากเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์แถลงรีดภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก สูงสุด 25% อ้างถึงประเด็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมายและการไหลบ่าเข้ามาของยาเฟนทานิลที่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตามเขาประกาศชะลอรีดภาษีในนาทีสุดท้ายเป็นเวลา 1 เดือน เปิดทางให้มีการเดินหน้าเจรจา

    การชะลอขึ้นภาษีมีกำหนดหมดอายุลงในวันอังคารหน้า(4มี.ค.) และทุกสายตาพากันจับจ้องว่า 2 ชาติเพื่อนบ้านในอเมริกาเหนือจะสามารถบรรลุข้อตกลงหลีกเลี่ยงบับคับใช้มาตรการรีดภาษีได้หรือไม่ ในขณะที่มันอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในภาคสำคัญๆ อย่างเช่นการผลิตรถยนต์

    "มาตรการรีดภาษีกำลังเดินหน้าไปตามกรอบเวลา เป็นไปตามกำหนด" ทรัมป์ แถลงกับผู้สื่อข่าวในวันจันทร์(24ก.พ.) นอกจากนั้นแล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐฯเน้นย้ำด้วยว่าวอชิงตันกำลังหาทางเรียกเก็บภาษีตอบโต้กับประเทศอื่นๆด้วย "ถ้าใครชาร์จภาษีเรา เราก็จะชาร์จพวกเขา"

    คำประกาศนี้มีขึ้นในขณะที่ มาครง เรียกร้อง ทรัมป์ สำหรับ "การแข่งขันทางการค้าที่ยุติธรรม" และการลงทุนตอบแทนซึ่งกันและกันเพิ่มเติม โดยเน้นย้ำว่าเศรษฐกิจของอเมริกาและยุโรปผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000018394
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันจันทร์(24ก.พ.) ระบุจะเดินหน้ามาตรการรีดภาษีแคนาดาและเม็กซิโก ตามแผนที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ คำประกาศต่อหน้าพวกผู้สื่อข่าว ตามหลังพบปะกับ เอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ที่เรียกร้องให้ "แข่งขันอย่างยุติธรรม" ในด้านการค้า การพูดคุยระหว่างผู้นำทั้ง 2 ซึ่งมุ่งเน้นเกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครน มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ ขู่เล่นงานทั้งมิตรและศัตรูไม่ต่างกัน ด้วยมาตรการรีดภาษีสูงลิ่ว กระตุ้นให้เกิดการเจรจาต่อรองกันวุ่นวายไปหมด ไม่นานหลังจากเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์แถลงรีดภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก สูงสุด 25% อ้างถึงประเด็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมายและการไหลบ่าเข้ามาของยาเฟนทานิลที่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตามเขาประกาศชะลอรีดภาษีในนาทีสุดท้ายเป็นเวลา 1 เดือน เปิดทางให้มีการเดินหน้าเจรจา การชะลอขึ้นภาษีมีกำหนดหมดอายุลงในวันอังคารหน้า(4มี.ค.) และทุกสายตาพากันจับจ้องว่า 2 ชาติเพื่อนบ้านในอเมริกาเหนือจะสามารถบรรลุข้อตกลงหลีกเลี่ยงบับคับใช้มาตรการรีดภาษีได้หรือไม่ ในขณะที่มันอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในภาคสำคัญๆ อย่างเช่นการผลิตรถยนต์ "มาตรการรีดภาษีกำลังเดินหน้าไปตามกรอบเวลา เป็นไปตามกำหนด" ทรัมป์ แถลงกับผู้สื่อข่าวในวันจันทร์(24ก.พ.) นอกจากนั้นแล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐฯเน้นย้ำด้วยว่าวอชิงตันกำลังหาทางเรียกเก็บภาษีตอบโต้กับประเทศอื่นๆด้วย "ถ้าใครชาร์จภาษีเรา เราก็จะชาร์จพวกเขา" คำประกาศนี้มีขึ้นในขณะที่ มาครง เรียกร้อง ทรัมป์ สำหรับ "การแข่งขันทางการค้าที่ยุติธรรม" และการลงทุนตอบแทนซึ่งกันและกันเพิ่มเติม โดยเน้นย้ำว่าเศรษฐกิจของอเมริกาและยุโรปผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000018394 .............. Sondhi X
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2027 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดีลทักษิณ-เนวินไม่เกิด แต่คิงเพาเวอร์ขาดทุนจริง

    สะพัดตั้งแต่เช้าวันที่ 24 ก.พ. รายงานข่าวแจ้งว่า นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย จะนัดเจอกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นลูกสาว เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พรรคเพื่อไทยต้องการเอาพรรคภูมิใจไทยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

    แต่พอเอาเข้าจริงกลับพบภาพของนายเนวิน ไปที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ (รางน้ำ) เพียงคนเดียว โดยที่สื่อบางสำนักระบุว่าดีลล่ม ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ซึ่งไปปฎิบัติภารกิจที่ช่อง 11 ถนนวิภาวดีรังสิต ปฎิเสธพร้อมกล่าวว่า ไม่ไป จะกลับบ้าน ไปหาน้องธาษิณ (ลูกชาย) และคิดว่านายทักษิณไม่น่าจะไป ส่วนนายอนุทิน ไปรับเสด็จที่วัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม อ.แม่จัน จ.เชียงราย ไม่รู้เรื่องข่าวนี้ และระบุว่าการที่นายเนวินไปโรงแรมพูลแมนฯ เป็นเรื่องปกติ

    อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวระบุด้วยว่าในการพบกันระหว่าง "ทักษิณ-เนวิน" ซึ่งภายหลังก็ไม่ได้เจอกัน จะมีนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ทายาทนายวิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี เข้าร่วมพูดคุยด้วย โดยเป็นที่น่าจับตามองว่า อาจจะมีการเจรจาด้านธุรกิจ เนื่องจากรายงานของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. (AOT) ระบุว่า คิง เพาเวอร์ ประสบกับปัญหาขาดทุนกว่า 651 ล้านบาท

    แม้ดีลระหว่าง "ทักษิณ-เนวิน" จะไม่เกิดขึ้น แต่เรื่องที่ คิง เพาเวอร์ขาดทุนเป็นเรื่องจริง ก่อนหน้านี้ นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ระบุว่า รายได้ของ AOT มีปัญหาเพราะผู้รับสัมปทานเช่าพื้นที่ ซึ่งหมายถึง คิง เพาเวอร์ ซึ่งรับสัมปทานร้านค้าปลอดภาษี (ดิวตี้ฟรี) 4 สนามบิน มีปัญหาขาดสภาพคล่อง ขอยืดเวลาการชำระผลตอบแทนขั้นต่ำออกไปเป็นระยะเวลา 18 เดือน โดยยอมจ่ายค่าปรับ 18% ต่อปี ทำเอาราคาหุ้น AOT ร่วงลงมา

    แต่ถึงกระนั้น นายอัยยวัฒน์เคยยืนยันกับสื่อค่ายยักษ์แห่งหนึ่งว่า การขอเลื่อนเวลาชำระค่าตอบแทน เป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหา ผู้ประกอบการหลายรายยื่นขอเลื่อนการจ่ายค่าตอบแทน เพราะรายได้ที่ประเมินไว้ไม่เข้าเป้า ที่ผ่านมารายได้ที่หายไปในช่วงโควิด ถึงวันนี้ยังไม่กลับมา ยังมีกรณีของดาราจีน "ซิง ซิง" ที่ถูกหลอกลวงไปเมียนมา เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนหยุดเดินทางมาไทย ในฐานะผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องขอความกรุณาและช่วยเหลือจากรัฐ

    #Newskit
    ดีลทักษิณ-เนวินไม่เกิด แต่คิงเพาเวอร์ขาดทุนจริง สะพัดตั้งแต่เช้าวันที่ 24 ก.พ. รายงานข่าวแจ้งว่า นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย จะนัดเจอกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นลูกสาว เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พรรคเพื่อไทยต้องการเอาพรรคภูมิใจไทยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่พอเอาเข้าจริงกลับพบภาพของนายเนวิน ไปที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ (รางน้ำ) เพียงคนเดียว โดยที่สื่อบางสำนักระบุว่าดีลล่ม ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ซึ่งไปปฎิบัติภารกิจที่ช่อง 11 ถนนวิภาวดีรังสิต ปฎิเสธพร้อมกล่าวว่า ไม่ไป จะกลับบ้าน ไปหาน้องธาษิณ (ลูกชาย) และคิดว่านายทักษิณไม่น่าจะไป ส่วนนายอนุทิน ไปรับเสด็จที่วัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม อ.แม่จัน จ.เชียงราย ไม่รู้เรื่องข่าวนี้ และระบุว่าการที่นายเนวินไปโรงแรมพูลแมนฯ เป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวระบุด้วยว่าในการพบกันระหว่าง "ทักษิณ-เนวิน" ซึ่งภายหลังก็ไม่ได้เจอกัน จะมีนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ทายาทนายวิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี เข้าร่วมพูดคุยด้วย โดยเป็นที่น่าจับตามองว่า อาจจะมีการเจรจาด้านธุรกิจ เนื่องจากรายงานของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. (AOT) ระบุว่า คิง เพาเวอร์ ประสบกับปัญหาขาดทุนกว่า 651 ล้านบาท แม้ดีลระหว่าง "ทักษิณ-เนวิน" จะไม่เกิดขึ้น แต่เรื่องที่ คิง เพาเวอร์ขาดทุนเป็นเรื่องจริง ก่อนหน้านี้ นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ระบุว่า รายได้ของ AOT มีปัญหาเพราะผู้รับสัมปทานเช่าพื้นที่ ซึ่งหมายถึง คิง เพาเวอร์ ซึ่งรับสัมปทานร้านค้าปลอดภาษี (ดิวตี้ฟรี) 4 สนามบิน มีปัญหาขาดสภาพคล่อง ขอยืดเวลาการชำระผลตอบแทนขั้นต่ำออกไปเป็นระยะเวลา 18 เดือน โดยยอมจ่ายค่าปรับ 18% ต่อปี ทำเอาราคาหุ้น AOT ร่วงลงมา แต่ถึงกระนั้น นายอัยยวัฒน์เคยยืนยันกับสื่อค่ายยักษ์แห่งหนึ่งว่า การขอเลื่อนเวลาชำระค่าตอบแทน เป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหา ผู้ประกอบการหลายรายยื่นขอเลื่อนการจ่ายค่าตอบแทน เพราะรายได้ที่ประเมินไว้ไม่เข้าเป้า ที่ผ่านมารายได้ที่หายไปในช่วงโควิด ถึงวันนี้ยังไม่กลับมา ยังมีกรณีของดาราจีน "ซิง ซิง" ที่ถูกหลอกลวงไปเมียนมา เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนหยุดเดินทางมาไทย ในฐานะผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องขอความกรุณาและช่วยเหลือจากรัฐ #Newskit
    Like
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ลงนามในบันทึกข้อความเมื่อวันศุกร์ (21 ก.พ.) สั่งการให้คณะกรรมการว่าด้วยการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐฯ (Committee on Foreign Investment in the United States - CFIUS) จำกัดการลงทุนของจีนในภาคส่วนที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว
    .
    เจ้าหน้าที่รายนี้ระบุว่า บันทึกข้อความด้านความมั่นคงแห่งชาติฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็มุ่งปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ จากภัยคุกคามอันเกิดจากรัฐที่ไม่เป็นมิตรอย่างเช่น จีน เป็นต้น
    .
    คำสั่งของ ทรัมป์ ระบุว่า จีน "ฉวยโอกาสจากเงินลงทุนและความช่างประดิษฐ์คิดค้นของสหรัฐฯ เพื่อเอาไปเป็นทุนสนับสนุนและยกระดับปฏิบัติการกองทัพ ข่าวกรอง และความมั่นคงของพวกเขาให้มีความทันสมัย ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ"
    .
    ภายใต้คำสั่งนี้ สหรัฐฯ จะมีการตั้งกฎเกณฑ์ใหม่ "เพื่อปิดกั้นการแสวงหาประโยชน์จากเงินทุน เทคโนโลยี และองค์ความรู้ของเราโดยศัตรูต่างชาติ เช่น จีน และเพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาวอเมริกันเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาต"
    .
    เจ้าหน้าที่ผู้นี้ยังบอกด้วยว่า รัฐบาล ทรัมป์ กำลังพิจารณาขยายมาตรการจำกัดการลงทุนของสหรัฐฯในจีนเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เปราะบาง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ ควอนตัม เทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ และอื่นๆ
    .
    ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนได้มีถ้อยแถลงตอบโต้ในวันเสาร์ (22) โดยเรียกร้องให้สหรัฐฯ เลิกนำเศรษฐกิจมาเป็น "เครื่องมือทางการเมือง" และ "อาวุธ" พร้อมยืนยันว่าจีนจะเฝ้าจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจะมีมาตรการตอบโต้ที่เหมาะสมเพื่อธำรงไว้ซึ่งสิทธิอันชอบธรรมและผลประโยชน์ของจีน
    .
    ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ คาดว่าจะยิ่งกระพือความตึงเครียดในด้านเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากที่ ทรัมป์ สั่งขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนเป็นมาตรการแรกๆ หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเทอมสองเมื่อเดือน ม.ค.
    .
    CFIUS ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการลงทุนจากต่างชาติในสหรัฐฯ เพื่อประเมินความเสี่ยงด้านความมั่นคง พบว่ามูลค่าการลงทุนของจีนนั้นลดลงไปมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
    .
    ข้อมูลจาก Rhodium Group พบว่า มูลค่าการลงทุนจากจีนต่อปีลดลงจากระดับ 46,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2016 เหลือไม่ถึง 5,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2022
    .
    คำสั่งของ ทรัมป์ ยังมีการอ้างถึงองค์กรและบุคคลต่างชาติซึ่งเข้าไปถือครองที่ดินทำการเกษตรในสหรัฐฯ ประมาณ 43 ล้านเอเคอร์ หรือคิดเป็น 2% ของที่ดินทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งในจำนวนนี้เป็นที่ดินซึ่งถือครองโดยจีนมากกว่า 350,000 เอเคอร์ใน 27 รัฐ
    .
    ทั้งนี้ กลุ่มเกษตรกรผู้ทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์และสมาชิกรัฐสภาหลายคนได้แสดงความกังวลในช่วงไม่กี่ปีมานี้ว่า การที่นักลงทุนและรัฐบาลต่างชาติเข้าไปซื้อที่ดินในสหรัฐฯ ทำให้ราคาที่ดินทำการเกษตรพุ่งสูงขึ้น และถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000017986
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ลงนามในบันทึกข้อความเมื่อวันศุกร์ (21 ก.พ.) สั่งการให้คณะกรรมการว่าด้วยการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐฯ (Committee on Foreign Investment in the United States - CFIUS) จำกัดการลงทุนของจีนในภาคส่วนที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว . เจ้าหน้าที่รายนี้ระบุว่า บันทึกข้อความด้านความมั่นคงแห่งชาติฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็มุ่งปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ จากภัยคุกคามอันเกิดจากรัฐที่ไม่เป็นมิตรอย่างเช่น จีน เป็นต้น . คำสั่งของ ทรัมป์ ระบุว่า จีน "ฉวยโอกาสจากเงินลงทุนและความช่างประดิษฐ์คิดค้นของสหรัฐฯ เพื่อเอาไปเป็นทุนสนับสนุนและยกระดับปฏิบัติการกองทัพ ข่าวกรอง และความมั่นคงของพวกเขาให้มีความทันสมัย ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ" . ภายใต้คำสั่งนี้ สหรัฐฯ จะมีการตั้งกฎเกณฑ์ใหม่ "เพื่อปิดกั้นการแสวงหาประโยชน์จากเงินทุน เทคโนโลยี และองค์ความรู้ของเราโดยศัตรูต่างชาติ เช่น จีน และเพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาวอเมริกันเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาต" . เจ้าหน้าที่ผู้นี้ยังบอกด้วยว่า รัฐบาล ทรัมป์ กำลังพิจารณาขยายมาตรการจำกัดการลงทุนของสหรัฐฯในจีนเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เปราะบาง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ ควอนตัม เทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ และอื่นๆ . ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนได้มีถ้อยแถลงตอบโต้ในวันเสาร์ (22) โดยเรียกร้องให้สหรัฐฯ เลิกนำเศรษฐกิจมาเป็น "เครื่องมือทางการเมือง" และ "อาวุธ" พร้อมยืนยันว่าจีนจะเฝ้าจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจะมีมาตรการตอบโต้ที่เหมาะสมเพื่อธำรงไว้ซึ่งสิทธิอันชอบธรรมและผลประโยชน์ของจีน . ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ คาดว่าจะยิ่งกระพือความตึงเครียดในด้านเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากที่ ทรัมป์ สั่งขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนเป็นมาตรการแรกๆ หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเทอมสองเมื่อเดือน ม.ค. . CFIUS ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการลงทุนจากต่างชาติในสหรัฐฯ เพื่อประเมินความเสี่ยงด้านความมั่นคง พบว่ามูลค่าการลงทุนของจีนนั้นลดลงไปมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา . ข้อมูลจาก Rhodium Group พบว่า มูลค่าการลงทุนจากจีนต่อปีลดลงจากระดับ 46,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2016 เหลือไม่ถึง 5,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2022 . คำสั่งของ ทรัมป์ ยังมีการอ้างถึงองค์กรและบุคคลต่างชาติซึ่งเข้าไปถือครองที่ดินทำการเกษตรในสหรัฐฯ ประมาณ 43 ล้านเอเคอร์ หรือคิดเป็น 2% ของที่ดินทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งในจำนวนนี้เป็นที่ดินซึ่งถือครองโดยจีนมากกว่า 350,000 เอเคอร์ใน 27 รัฐ . ทั้งนี้ กลุ่มเกษตรกรผู้ทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์และสมาชิกรัฐสภาหลายคนได้แสดงความกังวลในช่วงไม่กี่ปีมานี้ว่า การที่นักลงทุนและรัฐบาลต่างชาติเข้าไปซื้อที่ดินในสหรัฐฯ ทำให้ราคาที่ดินทำการเกษตรพุ่งสูงขึ้น และถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000017986 .............. Sondhi X
    Like
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1733 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้พิพากษา คาร์ล นิโคลส์ ของรัฐบาลกลางเพิ่งมีคำสั่งเปิดทางให้รัฐบาลทรัมป์สามารถยุบองค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (United States Agency for International Development: USAID) ต่อไปได้


    เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ผู้พิพากษาได้ออกคำสั่งชั่วคราว เพื่อระงับแผนของทรัมป์ที่สั่งให้พนักงานของ USAID ราว 2,200 คน หยุดงานโดยยังได้รับค่าจ้าง จากการยื่นคำร้องคัดค้านฉุกเฉินของ สมาคมบริการต่างประเทศของอเมริกา (AFSA) และสหพันธ์พนักงานรัฐบาลอเมริกัน (AFGE) ซึ่งเป็นสองสหภาพที่เป็นตัวแทนของพนักงาน USAID เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่คำสั่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้

    USAID เป็นหน่วยงานหลักของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ มีพนักงานประมาณ 10,000 คน โดย 2 ใน 3 ทำงานในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าสถานะของพนักงานที่เหลือจะเป็นอย่างไร หลังกระบวนการยุบหน่วยงานนี้เสร็จสิ้นลง

    ในปีงบประมาณ 2023 สหรัฐฯ ได้อนุมัติงบประมาณ 72,000 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือต่างประเทศ โดยมีตั้งแต่การส่งเสริมสุขภาพผู้หญิงในพื้นที่ขัดแย้งเรื่อยไปจนถึงการเข้าถึงน้ำสะอาด การรักษา HIV/AIDS ความมั่นคงทางพลังงาน และงานต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน

    ความช่วยเหลือของสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 42% ของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั่วโลก ตามข้อมูลของสหประชาชาติในปี 2024

    ทรัมป์มองว่าการใช้งบประมาณของหน่วยงาน USAID เป็นการใช้เงินภาษีไม่คุ้มค่า โดย USAID เป็นหนึ่งในหน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งที่รัฐบาลของเขากำลังพยายาม ลดงบประมาณ ตามแนวทางที่เคยประกาศไว้ในการหาเสียงว่าจะมีนโยบายปฏิรูปภาครัฐ
    ผู้พิพากษา คาร์ล นิโคลส์ ของรัฐบาลกลางเพิ่งมีคำสั่งเปิดทางให้รัฐบาลทรัมป์สามารถยุบองค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (United States Agency for International Development: USAID) ต่อไปได้ เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ผู้พิพากษาได้ออกคำสั่งชั่วคราว เพื่อระงับแผนของทรัมป์ที่สั่งให้พนักงานของ USAID ราว 2,200 คน หยุดงานโดยยังได้รับค่าจ้าง จากการยื่นคำร้องคัดค้านฉุกเฉินของ สมาคมบริการต่างประเทศของอเมริกา (AFSA) และสหพันธ์พนักงานรัฐบาลอเมริกัน (AFGE) ซึ่งเป็นสองสหภาพที่เป็นตัวแทนของพนักงาน USAID เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่คำสั่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ USAID เป็นหน่วยงานหลักของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ มีพนักงานประมาณ 10,000 คน โดย 2 ใน 3 ทำงานในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าสถานะของพนักงานที่เหลือจะเป็นอย่างไร หลังกระบวนการยุบหน่วยงานนี้เสร็จสิ้นลง ในปีงบประมาณ 2023 สหรัฐฯ ได้อนุมัติงบประมาณ 72,000 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือต่างประเทศ โดยมีตั้งแต่การส่งเสริมสุขภาพผู้หญิงในพื้นที่ขัดแย้งเรื่อยไปจนถึงการเข้าถึงน้ำสะอาด การรักษา HIV/AIDS ความมั่นคงทางพลังงาน และงานต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน ความช่วยเหลือของสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 42% ของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั่วโลก ตามข้อมูลของสหประชาชาติในปี 2024 ทรัมป์มองว่าการใช้งบประมาณของหน่วยงาน USAID เป็นการใช้เงินภาษีไม่คุ้มค่า โดย USAID เป็นหนึ่งในหน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งที่รัฐบาลของเขากำลังพยายาม ลดงบประมาณ ตามแนวทางที่เคยประกาศไว้ในการหาเสียงว่าจะมีนโยบายปฏิรูปภาครัฐ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • หน้าที่และความรับผิดชอบ เป็นของคู่กัน

    เมื่อมีหน้า รับเงินค่าจ้างจากภาษีแล้ว ควรทำหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบให้สมราคา จะได้รับและมีเกียรติ มีศักดิศรีจากประชาชนผู้จ่ายภาษี
    หน้าที่และความรับผิดชอบ เป็นของคู่กัน เมื่อมีหน้า รับเงินค่าจ้างจากภาษีแล้ว ควรทำหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบให้สมราคา จะได้รับและมีเกียรติ มีศักดิศรีจากประชาชนผู้จ่ายภาษี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใคร ได้/เสีย ‘Tariff ทรัมป์ 2.0’ : [Biz Talk]

    การกลับมาอีกครั้ง ของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ทำให้สงครามการค้า เริ่มระอุ! ‘ทรัมป์ 2.0’ ยังคงใช้ภาษีนำเข้า เป็นเครื่องมือเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสหรัฐฯ ตามนโยบาย America First /ประเทศไทย คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากการที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 10 ของโลก
    ใคร ได้/เสีย ‘Tariff ทรัมป์ 2.0’ : [Biz Talk] การกลับมาอีกครั้ง ของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ทำให้สงครามการค้า เริ่มระอุ! ‘ทรัมป์ 2.0’ ยังคงใช้ภาษีนำเข้า เป็นเครื่องมือเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสหรัฐฯ ตามนโยบาย America First /ประเทศไทย คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากการที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 10 ของโลก
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 887 มุมมอง 30 0 รีวิว
Pages Boosts