• 7/11/67

    “ปริศนาจากพระพุทธรูป"

    คงไม่มีใครไม่เคยเห็นพระพุทธรูป แต่คงจะมีน้อยคนที่รู้ว่า ลักษณะของพระพุทธรูปที่เราเห็นกันอยู่บ่อยครั้งนั้น แฝงข้อคิดอันประเสริฐสุดในชีวิตเอาไว้ ถึง 5 ประการ
    คือ

    1. พระเศียรแหลม

    มีคำถามว่า ทำไมพระพุทธรูปจึงมีพระเศียรแหลมในเมื่อพระพุทธเจ้าของเราก็เป็นมนุษย์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คิดเป็นปริศนาธรรม

    พระเศียรแหลมนั้นหมายถึง สติปัญญาที่เฉียบแหลมในการดำเนินชีวิต สอนให้เราใช้ชีวิตและรู้จักแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยสติปัญญาไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์

    ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แล้วความผิดพลาดจะเกิดขึ้นน้อย หรือแม้มันเกิดขึ้น เราก็จะเรียนรู้จากมันได้อย่างรวดเร็ว

    ปัญญาคือ ที่สุดแห่งธรรม หากมีปัญญา ชีวิตจะไม่มีปัญหา เพราะทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาจะกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้พัฒนาจิตใจได้เสมอ

    2. พระกรรณยาน

    หูยานเป็นปริศนาธรรมให้ชาวพุทธเป็นคนหูหนัก คือ มีความหนักแน่นมั่นคง ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่หมั่นคิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาอันแยบคาย แล้วจึงเชื่อในหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่ตัวเองได้นำไปทดสอบแล้ว

    เราต้องเชื่อมั่นในหลักเหตุและผล (Cause & Effect) เชื่อว่าบุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น เชื่อว่าสุดท้าย คน ๆเดียวที่จะสามารถทำให้เราสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลวได้คือ ตัวเราเอง และ ชีวิตเราจะเสื่อมทรามหรือเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอกหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ขึ้นอยู่กับความคิด คำพูด และการกระทำของเราเองฉะนั้น ในการใช้ชีวิต ให้มีความสุขุมเยือกเย็น มีสติ และ มีเหตุผลเข้าไว้ อย่าปล่อยใจไปยึดตามสิ่งที่ได้ยิน เชื่อตามคนอื่น หรือตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นจนเกินไป ลองพิสูจน์สิ่งต่าง ๆด้วยตัวเองเสียก่อนจะเชื่อ ตามหลัก “กาลามสูตร” เพื่อฝึกฝนการเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ดั่งองค์พระพุทธฯ

    3. พระเนตรมองต่ำ

    พระพุทธรูปที่สร้างโดยทั่วไปจะมีพระเนตรมองลงที่พระวรกายของพระองค์ ไม่ได้มองดูหน้าต่าง หรือมองดูประตูพระอุโบสถว่าจะมีใครเข้ามาไหว้บ้าง นี่เป็นปริศนาธรรม

    สอนให้มองตนเองและพิจารณาตนเองเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อนจะไปคอยจับผิดผู้อื่น ตามปกติคนเรามักจะมองเห็นแต่ความผิดพลาดของบุคคลอื่น โดยลืมมองข้อบกพร่องของตนเอง มัวแต่เอาเวลาไปนินทาว่าร้ายและจ้องแต่จะคอยวิจารณ์หรือเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างอย่างเดียว ทำให้สูญเสียโอกาสในการปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ตรัสให้เตือนตนเองว่า

    “อตฺตนา โจทยตฺตาน”

    ซึ่งแปลเป็นกลอนได้ว่า...

    “จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด
    ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
    ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน
    ตนแชเชือนรีบเตือนตนให้พ้นภัย”

    นอกจากนั้น พระเนตรที่มองต่ำคือ การสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อมองฟ้าจนฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือ มัวหลงล่องลอยอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมา ตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด... กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก... เพราะนั่นคือ ดินแดนแห่งสวรรค์ที่แท้จริง”

    4. พระพักตร์อันสงบนิ่ง

    ไม่ว่าใครจะด่าว่าพระพุทธรูปอย่างไร ท่านก็ยังสงบนิ่ง ไม่ว่าน้ำจะท่วม แผ่นดินจะไหว หรือใครจะเตะ ต่อย นินทา หรือทำร้ายพระพุทธรูปมากแค่ไหน ท่านก็นิ่งสงบรับแรงกระทบต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างมั่นคง เบิกบาน และไม่หวั่นไหวไปกับปัญหาทั้งเล็กและใหญ่

    ให้ความรู้สึกเย็นสบายต่อผู้พบเห็นอยู่เสมอ ในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะต้องยอมคนอยู่เสมอ แต่ถ้าเราสามารถฝึกรับแรงกระแทกทุกรูปแบบด้วยความนิ่งสงบได้ เราก็จะสามารถตอบโต้อย่างสร้างสรรค์และทรงพลังยิ่งกว่าเดิม เพราะคนบ้าจะโต้ตอบแบบหน้ามืด และคนโง่จะตอบโต้ตอนที่ตัวเองกำลังโกรธ ส่งผลให้ตัวเองและคนอื่นตกตายไปตามกัน

    หากเรารู้จักนิ่งสงบรับแรงกระแทกต่าง ๆ ในชีวิตได้เหมือนพระพุทธรูป ขั้นตอนต่อไปของการตอบโต้จะเกิดจากสติ เกิดจากปัญญา และเกิดจากพลังอันยิ่งใหญ่ที่มาจากใจที่สงบนิ่ง ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สร้างบาดแผลให้กับคนอื่นหรือตัวเอง

    5. รอยยิ้มของผู้ที่เข้าใจโลก

    สุดท้าย คือปริศนาจากพระโอษฐ์ที่แย้มยิ้มอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่รักสรรพสิ่ง รักโลก และเข้าใจความจริงของโลก...

    ความจริงที่ว่า... ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดาความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรแน่นอน
    ความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรคงทนถาวรความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง

    ความสุขและความทุกข์ เป็นของคู่กันเสมอ ฉะนั้น

    “ผู้ที่เข้าใจความจริง” จะสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่วิ่งตามกระแสโลกจนเหนื่อยเกินไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ เพราะมีสัจธรรมเป็นที่พักพิง

    นอกจากนั้นรอยยิ้มของพระพุทธรูป คือ รอยยิ้มของผู้ที่ถ่อมตัว แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจความยิ่งใหญ่และคุณค่าของความเป็นมนุษย์ รู้ว่าแม้ตัวเองจะเป็นเพียงเศษผงธุลีหนึ่งในจักรวาล แต่ก็เป็นเศษผงธุลีที่สามารถเข้าใจความจริงของจักรวาลได้ จึงทั้งเป็นสิ่งที่พิเศษและไม่พิเศษ ในเวลาเดียวกัน...

    อย่าลืมนะ ว่า ในจิตใจของพวกเราทุกคน มีความเป็นพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ซ่อนอยู่ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะหลายคนอาจไม่ทราบว่า แท้จริงคำว่า “พระพุทธเจ้า” (ผู้ตื่นรู้) ไม่ใช่ “ชื่อ” แต่เป็น “คำนำหน้าชื่อ”

    และในอดีตก็เคยมีพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ โดยองค์ปัจจุบันที่เรารู้จักกันดีมีพระนามว่า

    “โคตมะ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ขับไล่ความมืด (อวิชชา) ด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา”

    ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า
    ไม่ว่าใครก็สามารถไปถึงจุดของความเป็น “พุทธะ” ได้ทั้งนั้น หากคนคนนั้นหมั่นใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีปัญญาอยู่เสมอ

    # ฉะนั้น เมื่อใดที่เราก้มลงกราบพระพุทธรูป นอกจากจะระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็อย่าลืมระลึกถึงปรัชญาที่แฝงไว้ด้วย
    7/11/67 “ปริศนาจากพระพุทธรูป" คงไม่มีใครไม่เคยเห็นพระพุทธรูป แต่คงจะมีน้อยคนที่รู้ว่า ลักษณะของพระพุทธรูปที่เราเห็นกันอยู่บ่อยครั้งนั้น แฝงข้อคิดอันประเสริฐสุดในชีวิตเอาไว้ ถึง 5 ประการ คือ 1. พระเศียรแหลม มีคำถามว่า ทำไมพระพุทธรูปจึงมีพระเศียรแหลมในเมื่อพระพุทธเจ้าของเราก็เป็นมนุษย์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คิดเป็นปริศนาธรรม พระเศียรแหลมนั้นหมายถึง สติปัญญาที่เฉียบแหลมในการดำเนินชีวิต สอนให้เราใช้ชีวิตและรู้จักแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยสติปัญญาไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์ ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แล้วความผิดพลาดจะเกิดขึ้นน้อย หรือแม้มันเกิดขึ้น เราก็จะเรียนรู้จากมันได้อย่างรวดเร็ว ปัญญาคือ ที่สุดแห่งธรรม หากมีปัญญา ชีวิตจะไม่มีปัญหา เพราะทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาจะกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้พัฒนาจิตใจได้เสมอ 2. พระกรรณยาน หูยานเป็นปริศนาธรรมให้ชาวพุทธเป็นคนหูหนัก คือ มีความหนักแน่นมั่นคง ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่หมั่นคิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาอันแยบคาย แล้วจึงเชื่อในหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่ตัวเองได้นำไปทดสอบแล้ว เราต้องเชื่อมั่นในหลักเหตุและผล (Cause & Effect) เชื่อว่าบุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น เชื่อว่าสุดท้าย คน ๆเดียวที่จะสามารถทำให้เราสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลวได้คือ ตัวเราเอง และ ชีวิตเราจะเสื่อมทรามหรือเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอกหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ขึ้นอยู่กับความคิด คำพูด และการกระทำของเราเองฉะนั้น ในการใช้ชีวิต ให้มีความสุขุมเยือกเย็น มีสติ และ มีเหตุผลเข้าไว้ อย่าปล่อยใจไปยึดตามสิ่งที่ได้ยิน เชื่อตามคนอื่น หรือตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นจนเกินไป ลองพิสูจน์สิ่งต่าง ๆด้วยตัวเองเสียก่อนจะเชื่อ ตามหลัก “กาลามสูตร” เพื่อฝึกฝนการเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ดั่งองค์พระพุทธฯ 3. พระเนตรมองต่ำ พระพุทธรูปที่สร้างโดยทั่วไปจะมีพระเนตรมองลงที่พระวรกายของพระองค์ ไม่ได้มองดูหน้าต่าง หรือมองดูประตูพระอุโบสถว่าจะมีใครเข้ามาไหว้บ้าง นี่เป็นปริศนาธรรม สอนให้มองตนเองและพิจารณาตนเองเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อนจะไปคอยจับผิดผู้อื่น ตามปกติคนเรามักจะมองเห็นแต่ความผิดพลาดของบุคคลอื่น โดยลืมมองข้อบกพร่องของตนเอง มัวแต่เอาเวลาไปนินทาว่าร้ายและจ้องแต่จะคอยวิจารณ์หรือเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างอย่างเดียว ทำให้สูญเสียโอกาสในการปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ตรัสให้เตือนตนเองว่า “อตฺตนา โจทยตฺตาน” ซึ่งแปลเป็นกลอนได้ว่า... “จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน ตนแชเชือนรีบเตือนตนให้พ้นภัย” นอกจากนั้น พระเนตรที่มองต่ำคือ การสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อมองฟ้าจนฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือ มัวหลงล่องลอยอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมา ตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด... กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก... เพราะนั่นคือ ดินแดนแห่งสวรรค์ที่แท้จริง” 4. พระพักตร์อันสงบนิ่ง ไม่ว่าใครจะด่าว่าพระพุทธรูปอย่างไร ท่านก็ยังสงบนิ่ง ไม่ว่าน้ำจะท่วม แผ่นดินจะไหว หรือใครจะเตะ ต่อย นินทา หรือทำร้ายพระพุทธรูปมากแค่ไหน ท่านก็นิ่งสงบรับแรงกระทบต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างมั่นคง เบิกบาน และไม่หวั่นไหวไปกับปัญหาทั้งเล็กและใหญ่ ให้ความรู้สึกเย็นสบายต่อผู้พบเห็นอยู่เสมอ ในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะต้องยอมคนอยู่เสมอ แต่ถ้าเราสามารถฝึกรับแรงกระแทกทุกรูปแบบด้วยความนิ่งสงบได้ เราก็จะสามารถตอบโต้อย่างสร้างสรรค์และทรงพลังยิ่งกว่าเดิม เพราะคนบ้าจะโต้ตอบแบบหน้ามืด และคนโง่จะตอบโต้ตอนที่ตัวเองกำลังโกรธ ส่งผลให้ตัวเองและคนอื่นตกตายไปตามกัน หากเรารู้จักนิ่งสงบรับแรงกระแทกต่าง ๆ ในชีวิตได้เหมือนพระพุทธรูป ขั้นตอนต่อไปของการตอบโต้จะเกิดจากสติ เกิดจากปัญญา และเกิดจากพลังอันยิ่งใหญ่ที่มาจากใจที่สงบนิ่ง ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สร้างบาดแผลให้กับคนอื่นหรือตัวเอง 5. รอยยิ้มของผู้ที่เข้าใจโลก สุดท้าย คือปริศนาจากพระโอษฐ์ที่แย้มยิ้มอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่รักสรรพสิ่ง รักโลก และเข้าใจความจริงของโลก... ความจริงที่ว่า... ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดาความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรแน่นอน ความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรคงทนถาวรความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง ความสุขและความทุกข์ เป็นของคู่กันเสมอ ฉะนั้น “ผู้ที่เข้าใจความจริง” จะสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่วิ่งตามกระแสโลกจนเหนื่อยเกินไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ เพราะมีสัจธรรมเป็นที่พักพิง นอกจากนั้นรอยยิ้มของพระพุทธรูป คือ รอยยิ้มของผู้ที่ถ่อมตัว แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจความยิ่งใหญ่และคุณค่าของความเป็นมนุษย์ รู้ว่าแม้ตัวเองจะเป็นเพียงเศษผงธุลีหนึ่งในจักรวาล แต่ก็เป็นเศษผงธุลีที่สามารถเข้าใจความจริงของจักรวาลได้ จึงทั้งเป็นสิ่งที่พิเศษและไม่พิเศษ ในเวลาเดียวกัน... อย่าลืมนะ ว่า ในจิตใจของพวกเราทุกคน มีความเป็นพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ซ่อนอยู่ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะหลายคนอาจไม่ทราบว่า แท้จริงคำว่า “พระพุทธเจ้า” (ผู้ตื่นรู้) ไม่ใช่ “ชื่อ” แต่เป็น “คำนำหน้าชื่อ” และในอดีตก็เคยมีพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ โดยองค์ปัจจุบันที่เรารู้จักกันดีมีพระนามว่า “โคตมะ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ขับไล่ความมืด (อวิชชา) ด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา” ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าใครก็สามารถไปถึงจุดของความเป็น “พุทธะ” ได้ทั้งนั้น หากคนคนนั้นหมั่นใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีปัญญาอยู่เสมอ # ฉะนั้น เมื่อใดที่เราก้มลงกราบพระพุทธรูป นอกจากจะระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็อย่าลืมระลึกถึงปรัชญาที่แฝงไว้ด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • เดทแรกควรจะพาสาวไปที่ไหนดี
    ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ค่อยถนัดเรื่องการเข้าสังคมนะ
    ไม่รู้ว่าควรจะเลือกที่เดทยังไงดี

    ก่อนที่คุณจะคิดพาเธอไปไหนนะ

    ในมุมมองของแพนด้าเอง เวลาที่จะเลือกที่เดทโดยเฉพาะครั้งแรกนะครับ
    ในภาพรวม แพนด้าจะให้น้ำหนักส่วนใหญ่อยู่ที่ตัวเองเป็นหลักครับ

    ซึ่งวันนี้แพนด้ามี 2 ที่นะครับ ที่ฟันธงเลยว่า คุณควรจะพาเธอไป

    ที่แรกนะ จำไว้ มันคือ ที่ๆ ทำให้ตัวคุณเองมีพลัง
    สมมุติ ถ้าคุณพาเธอไปร้านหรูๆ เลยนะ
    บรรยาศดูดี อบอวนไปด้วยกลิ่นอายความโรแมนติก
    แต่ตัวจริงของคุณเองอะ ดันไม่คุ้นเคยกับอะไรแบบนั้นเลยอะครับ
    ถ้าถ้าดันเผลอทำอะไรเงอะๆ งะๆ เปิ่นๆ โก๊ะๆ มันทำให้เธออายขึ้นมา
    เน่าเลยนะน่ะ.. พังนะ..
    เลือกที่ดูดีอะใช่ และมันต้องให้คุณดูเฉิดฉายได้ด้วย

    ที่ๆ 2 คือ.. ที่คุณควรพาเธอไปเดท คือ ที่ๆ น่าจดจำ
    เวลาพูดถึงการไปเดท คุณคิดว่าคนทั่วๆ ไปจะไปเดทกันที่ไหนกัน
    โรงหนัง ร้านอาหาร ร้านกาแฟ วนๆ ประมาณนี้ป่ะ..
    มันคือของเหมือนๆ กันน่ะ ไม่ได้มีความแตกต่าง ไม่ได้น่าจดจำอะไรเลย
    ลองชวนเค้าไปทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง
    วงเล็บ.. ถ้าคุณคุ้นเคยด้วยจะยิ่งดี
    มันจะช่วยทำคุณดูโดดเด่นกว่าคนอื่นครับ

    ซึ่งนี่ไม่ใช่กฎเกณฑ์ทั้งหมดนะครับ
    ทั้งนี้ทั้งนั้นนะ มันต้องดูกาลเทศะ ความเหมาะสมอย่างอื่นประกอบด้วยนะ

    อย่างที่แพนด้าบอกครับ คุณควรให้น้ำหนักอยู่ที่ตัวเอง
    เพราะคุณต้องการโดดเด่นในสายตาเธอ

    ถึงแม้เราจะอยู่ในโลกยุคเท่าเทียม แต่สัญชาติญาณก็ยังทำให้ผู้หญิง
    ถูกดึดดูดด้วยความเป็นผู้นำของผู้ชายอยู่ดี

    -

    เทคนิคพวกนี้ พี่แพนด้าได้มาจากเล่มนี้ครับ
    “คู่มือชนะใจคน พบ 100 ครั้ง เป็นที่รัก 100 ครั้ง”
    เหมาะกับคนที่ไม่เข้าใจเกมของการเข้าสังคมอะ
    ไม่ค่อยถนัดเรื่องพวกนี้ รืแม้แต่แบบ..
    ไปมาเยอะนะ แต่คุยแล้วหาย คุยแล้วหาย ไม่ success อยู่ดี

    คนเขียนแต่ก่อนเค้าก็ทรงนี้แหละครับ
    จนเค้าพัฒนาตัวเอง จนประสบความสำเร็จในการสร้างสัมพันธ์
    เบิกบาน มีความสุข หลุดจากโลกอึดอัดๆ เหงาๆ แบบหลายๆ คนน่ะ
    แล้วก็มาเขียนเล่มนี้ล่ะคับ

    พิกัดสินค้า จิ้มไอคอนตระกร้าที่หน้าจอครับ

    ———

    หนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร
    จริงๆ แล้วถ้าคุณเป็นคนที่งงมากเลยอะ เบลอๆ แบล๊งค์ๆ ไม่เข้าใจการเข้าสังคม
    เช่น การจะไปเดทกับสาว
    เราควรจะโฟกัสไปที่อะไร

    อะไรคือ Key Success กันแน่ ที่จะสร้างความประทับใจให้อีกฝั่งนึงได้

    การสร้างความประทับใจน
    ที่ไม่ได้แปลว่า คุณต้องพยายามไปท่อง พยายามจำ หรือพยายามพูด พยายามทำอะไรให้เค้าประทับใจ

    แต่มันคือการที่คุณรู้สึกมั่นใจ รู้ว่าอะไรให้พลังคุณ..เวลาที่ไปถึงหน้างานแล้ว และคุณรู้ว่าจุดที่เค้าจะจดจำคุณน่ะคืออะไร

    คุณไม่จำเป็นต้องกลัว และ!! คุณไม่จำเป็นต้องมีบทสนทนาตลอดเวลาขนาดนั้น
    เห้ย มนุษย์ มนุษย์นคนนึง เค้าไม่ได้อยากฟังตลอดเวลา เค้าไม่ได้อยากคุยตลอดเวลา
    เป็นคุณๆ เอามั้ยอะ มีแฟนที่พูดไม่หยุดตั้งแต่เช้ายันเย็น

    พิกัดหนังสือ = https://s.shopee.co.th/sGlhvEjU

    #ความรัก
    #ความรักความสัมพันธ์
    #จิตวิทยาความรัก
    #จีบสาว
    #สอนจีบสาว
    #แพนด้าบางรัก
    เดทแรกควรจะพาสาวไปที่ไหนดี ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ค่อยถนัดเรื่องการเข้าสังคมนะ ไม่รู้ว่าควรจะเลือกที่เดทยังไงดี ก่อนที่คุณจะคิดพาเธอไปไหนนะ ในมุมมองของแพนด้าเอง เวลาที่จะเลือกที่เดทโดยเฉพาะครั้งแรกนะครับ ในภาพรวม แพนด้าจะให้น้ำหนักส่วนใหญ่อยู่ที่ตัวเองเป็นหลักครับ ซึ่งวันนี้แพนด้ามี 2 ที่นะครับ ที่ฟันธงเลยว่า คุณควรจะพาเธอไป ที่แรกนะ จำไว้ มันคือ ที่ๆ ทำให้ตัวคุณเองมีพลัง สมมุติ ถ้าคุณพาเธอไปร้านหรูๆ เลยนะ บรรยาศดูดี อบอวนไปด้วยกลิ่นอายความโรแมนติก แต่ตัวจริงของคุณเองอะ ดันไม่คุ้นเคยกับอะไรแบบนั้นเลยอะครับ ถ้าถ้าดันเผลอทำอะไรเงอะๆ งะๆ เปิ่นๆ โก๊ะๆ มันทำให้เธออายขึ้นมา เน่าเลยนะน่ะ.. พังนะ.. เลือกที่ดูดีอะใช่ และมันต้องให้คุณดูเฉิดฉายได้ด้วย ที่ๆ 2 คือ.. ที่คุณควรพาเธอไปเดท คือ ที่ๆ น่าจดจำ เวลาพูดถึงการไปเดท คุณคิดว่าคนทั่วๆ ไปจะไปเดทกันที่ไหนกัน โรงหนัง ร้านอาหาร ร้านกาแฟ วนๆ ประมาณนี้ป่ะ.. มันคือของเหมือนๆ กันน่ะ ไม่ได้มีความแตกต่าง ไม่ได้น่าจดจำอะไรเลย ลองชวนเค้าไปทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง วงเล็บ.. ถ้าคุณคุ้นเคยด้วยจะยิ่งดี มันจะช่วยทำคุณดูโดดเด่นกว่าคนอื่นครับ ซึ่งนี่ไม่ใช่กฎเกณฑ์ทั้งหมดนะครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นนะ มันต้องดูกาลเทศะ ความเหมาะสมอย่างอื่นประกอบด้วยนะ อย่างที่แพนด้าบอกครับ คุณควรให้น้ำหนักอยู่ที่ตัวเอง เพราะคุณต้องการโดดเด่นในสายตาเธอ ถึงแม้เราจะอยู่ในโลกยุคเท่าเทียม แต่สัญชาติญาณก็ยังทำให้ผู้หญิง ถูกดึดดูดด้วยความเป็นผู้นำของผู้ชายอยู่ดี - เทคนิคพวกนี้ พี่แพนด้าได้มาจากเล่มนี้ครับ “คู่มือชนะใจคน พบ 100 ครั้ง เป็นที่รัก 100 ครั้ง” เหมาะกับคนที่ไม่เข้าใจเกมของการเข้าสังคมอะ ไม่ค่อยถนัดเรื่องพวกนี้ รืแม้แต่แบบ.. ไปมาเยอะนะ แต่คุยแล้วหาย คุยแล้วหาย ไม่ success อยู่ดี คนเขียนแต่ก่อนเค้าก็ทรงนี้แหละครับ จนเค้าพัฒนาตัวเอง จนประสบความสำเร็จในการสร้างสัมพันธ์ เบิกบาน มีความสุข หลุดจากโลกอึดอัดๆ เหงาๆ แบบหลายๆ คนน่ะ แล้วก็มาเขียนเล่มนี้ล่ะคับ พิกัดสินค้า จิ้มไอคอนตระกร้าที่หน้าจอครับ ——— หนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร จริงๆ แล้วถ้าคุณเป็นคนที่งงมากเลยอะ เบลอๆ แบล๊งค์ๆ ไม่เข้าใจการเข้าสังคม เช่น การจะไปเดทกับสาว เราควรจะโฟกัสไปที่อะไร อะไรคือ Key Success กันแน่ ที่จะสร้างความประทับใจให้อีกฝั่งนึงได้ การสร้างความประทับใจน ที่ไม่ได้แปลว่า คุณต้องพยายามไปท่อง พยายามจำ หรือพยายามพูด พยายามทำอะไรให้เค้าประทับใจ แต่มันคือการที่คุณรู้สึกมั่นใจ รู้ว่าอะไรให้พลังคุณ..เวลาที่ไปถึงหน้างานแล้ว และคุณรู้ว่าจุดที่เค้าจะจดจำคุณน่ะคืออะไร คุณไม่จำเป็นต้องกลัว และ!! คุณไม่จำเป็นต้องมีบทสนทนาตลอดเวลาขนาดนั้น เห้ย มนุษย์ มนุษย์นคนนึง เค้าไม่ได้อยากฟังตลอดเวลา เค้าไม่ได้อยากคุยตลอดเวลา เป็นคุณๆ เอามั้ยอะ มีแฟนที่พูดไม่หยุดตั้งแต่เช้ายันเย็น พิกัดหนังสือ = https://s.shopee.co.th/sGlhvEjU #ความรัก #ความรักความสัมพันธ์ #จิตวิทยาความรัก #จีบสาว #สอนจีบสาว #แพนด้าบางรัก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎻 แนวทางการฝึกซ้อมไวโอลินของ Hilary Hahn: การพัฒนาทักษะผ่านความมุ่งมั่นและวินัย

    Hilary Hahn เป็นหนึ่งในนักไวโอลินที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับมากที่สุดในยุคปัจจุบัน เธอมีชื่อเสียงในด้านเทคนิคที่ไร้ที่ติ ความสามารถในการตีความผลงานดนตรีอย่างลึกซึ้ง และความทุ่มเทให้กับดนตรีตั้งแต่อายุยังน้อย การฝึกซ้อมไวโอลินของเธอเป็นที่สนใจของนักดนตรีและผู้ที่ชื่นชอบดนตรีคลาสสิกทั่วโลก

    ✅ 1. การฝึกฝนที่มีวินัยและต่อเนื่อง : ตั้งแต่อายุเพียง 4 ขวบ Hilary Hahn เริ่มต้นเรียนไวโอลิน และได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หนึ่งในคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้เธอโดดเด่นคือความสม่ำเสมอในการฝึกซ้อม เธอฝึกซ้อมไวโอลินอย่างต่อเนื่องหลายชั่วโมงต่อวัน โดยเน้นที่การพัฒนาเทคนิค การควบคุมจังหวะ และการตีความดนตรีอย่างลึกซึ้ง

    การฝึกซ้อมของ Hilary ไม่ได้เน้นที่ปริมาณเวลาเพียงอย่างเดียว แต่เน้นที่คุณภาพและการตั้งเป้าหมายในการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในทุก ๆ วัน ซึ่งการมีวินัยนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักไวโอลินที่ต้องการประสบความสำเร็จ

    ✅ 2. ความใส่ใจในรายละเอียด : สิ่งที่ทำให้ Hilary Hahn แตกต่างจากนักไวโอลินทั่วไปคือความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกครั้งที่เธอฝึกซ้อม เธอให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุกส่วนของการเล่นไวโอลิน ตั้งแต่การจับโบว์ การควบคุมการเล่นโน้ต ไปจนถึงการสื่อสารอารมณ์และความรู้สึกของเพลง เธอเชื่อว่าการใส่ใจในทุกรายละเอียดจะช่วยสร้างผลงานที่มีความสมบูรณ์แบบและสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังได้

    ✅ 3. การฝึกเทคนิคพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอ : ถึงแม้ Hilary Hahn จะเป็นนักไวโอลินระดับโลก แต่เธอยังคงฝึกซ้อมเทคนิคพื้นฐานอยู่เสมอ เช่น การบรรเลงสายเปล่า (open strings) การฝึกซ้อมสเกล (scales) และการฝึกซ้อมเสียงสั้นและเสียงยาว (staccato/legato) เธอเชื่อว่าการมีพื้นฐานที่แข็งแรงจะช่วยสนับสนุนให้เธอสามารถเล่นเพลงที่ซับซ้อนและท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ✅ 4. การตั้งเป้าหมายในการฝึก : ในการฝึกซ้อมแต่ละครั้ง Hilary Hahn มักจะตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาส่วนที่ต้องปรับปรุง เช่น การเล่นโน้ตที่ซับซ้อน การปรับปรุงการตีความในเพลงหนึ่ง ๆ หรือการทำความเข้าใจอารมณ์ของเพลง เธอเชื่อว่าการตั้งเป้าหมายช่วยให้การฝึกซ้อมมีประสิทธิภาพและมุ่งเน้นในการแก้ปัญหาที่แท้จริง

    ✅ 5. การใช้ความคิดสร้างสรรค์และการตีความส่วนตัว : Hilary Hahn ไม่ได้เป็นเพียงนักไวโอลินที่เล่นได้อย่างไร้ที่ติ แต่เธอยังมีความคิดสร้างสรรค์ในการตีความเพลงแต่ละบทอย่างเป็นเอกลักษณ์ เธอเชื่อว่าเพลงไม่ใช่เพียงแค่การเล่นโน้ตตามที่เขียนไว้ แต่เป็นการสื่อสารความรู้สึกและเรื่องราวของผู้ประพันธ์เพลงไปยังผู้ฟัง การฝึกฝนด้านการตีความนี้ช่วยให้การแสดงของเธอมีความน่าประทับใจและเป็นที่จดจำ

    ✅ 6. การทำงานร่วมกับนักดนตรีคนอื่น : Hilary Hahn ยังให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับนักดนตรีคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงร่วมกับวงออเคสตร้า หรือการเล่นดนตรีแบบกลุ่มเล็ก ๆ เธอเชื่อว่าการทำงานร่วมกันช่วยพัฒนาทักษะในการฟังและการปรับตัวให้เข้ากับสไตล์การเล่นของคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับนักไวโอลินที่ต้องการเป็นนักดนตรีที่มีความสมบูรณ์แบบ

    ✅ 7. การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง : ถึงแม้ว่า Hilary Hahn จะประสบความสำเร็จอย่างสูงแล้ว แต่เธอยังคงมองหาวิธีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ หรือการสำรวจเพลงใหม่ที่ท้าทายมากขึ้น เธอเชื่อว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด และความมุ่งมั่นในการพัฒนาตัวเองนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธออยู่ในจุดสูงสุดของวงการดนตรีคลาสสิกมาอย่างยาวนาน

    📍บทสรุป

    แนวทางการฝึกไวโอลินของ Hilary Hahn สะท้อนถึงความมุ่งมั่น วินัย และความใส่ใจในรายละเอียด การฝึกซ้อมที่มีเป้าหมายและคุณภาพช่วยให้เธอกลายเป็นนักไวโอลินที่ประสบความสำเร็จระดับโลก สำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะไวโอลิน การนำแนวทางเหล่านี้มาใช้ในการฝึกฝนจะช่วยให้คุณก้าวไปสู่ความสำเร็จในการเป็นนักดนตรีที่ยอดเยี่ยมได้เช่นกัน

    ---------

    🎻 Hilary Hahn’s Violin Practice Approach: Skill Development Through Dedication and Discipline

    Hilary Hahn is one of the most successful and respected violinists of the modern era. She is renowned for her flawless technique, deep musical interpretation, and commitment to music from an early age. Her violin practice regimen has drawn interest from musicians and classical music enthusiasts worldwide.

    ✅ 1. Discipline and Consistency in Practice:
    Hilary Hahn began learning the violin at the age of four and has undergone rigorous training ever since. One of the key traits that set her apart is the consistency of her practice. She dedicates several hours each day to practicing the violin, focusing on developing technique, controlling rhythm, and interpreting music deeply.

    Her practice is not just about the number of hours spent but also about quality and setting goals to improve daily. This discipline is crucial for any violinist striving for success.

    ✅ 2. Attention to Detail:
    What differentiates Hilary Hahn from other violinists is her meticulous attention to detail. In every practice session, she focuses on refining every aspect of her playing, from bow grip to note execution, to conveying the emotion and feeling of the music. She believes that paying attention to these details results in a flawless performance and leaves a lasting impression on the audience.

    ✅ 3. Regular Practice of Basic Techniques:
    Although Hilary Hahn is a world-class violinist, she still consistently practices basic techniques such as open strings, scales, and staccato/legato exercises. She believes that a strong foundation allows her to play complex and challenging pieces more effectively.

    ✅ 4. Goal Setting in Practice:
    During each practice session, Hilary Hahn sets clear goals, whether it’s improving difficult passages, refining her interpretation of a piece, or understanding the emotional tone of the music. She believes that setting goals helps make practice sessions more efficient and focused on solving real issues.

    ✅ 5. Creativity and Personal Interpretation:
    Hilary Hahn is not only a technically flawless violinist but also highly creative in her interpretation of each piece. She believes that music is not just about playing the notes as written but about communicating the composer’s emotions and story to the audience. Her focus on interpretation adds depth and memorability to her performances.

    ✅ 6. Collaboration with Other Musicians:
    Hilary Hahn values working with other musicians, whether performing with orchestras or in small chamber groups. She believes that collaboration helps develop listening skills and adaptability to different playing styles, which is essential for any violinist aiming to become a well-rounded musician.

    ✅ 7. Continuous Improvement:
    Despite her great success, Hilary Hahn continually seeks ways to improve herself. She is always learning new techniques and exploring new, more challenging pieces. She believes that learning is a never-ending journey, and this commitment to self-improvement has kept her at the pinnacle of the classical music world for many years.

    📍Conclusion:
    Hilary Hahn’s approach to violin practice reflects her dedication, discipline, and attention to detail. Her goal-oriented and high-quality practice has made her one of the world’s leading violinists. For those aspiring to improve their violin skills, adopting these approaches can help guide you toward becoming an exceptional musician.
    🎻 แนวทางการฝึกซ้อมไวโอลินของ Hilary Hahn: การพัฒนาทักษะผ่านความมุ่งมั่นและวินัย Hilary Hahn เป็นหนึ่งในนักไวโอลินที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับมากที่สุดในยุคปัจจุบัน เธอมีชื่อเสียงในด้านเทคนิคที่ไร้ที่ติ ความสามารถในการตีความผลงานดนตรีอย่างลึกซึ้ง และความทุ่มเทให้กับดนตรีตั้งแต่อายุยังน้อย การฝึกซ้อมไวโอลินของเธอเป็นที่สนใจของนักดนตรีและผู้ที่ชื่นชอบดนตรีคลาสสิกทั่วโลก ✅ 1. การฝึกฝนที่มีวินัยและต่อเนื่อง : ตั้งแต่อายุเพียง 4 ขวบ Hilary Hahn เริ่มต้นเรียนไวโอลิน และได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หนึ่งในคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้เธอโดดเด่นคือความสม่ำเสมอในการฝึกซ้อม เธอฝึกซ้อมไวโอลินอย่างต่อเนื่องหลายชั่วโมงต่อวัน โดยเน้นที่การพัฒนาเทคนิค การควบคุมจังหวะ และการตีความดนตรีอย่างลึกซึ้ง การฝึกซ้อมของ Hilary ไม่ได้เน้นที่ปริมาณเวลาเพียงอย่างเดียว แต่เน้นที่คุณภาพและการตั้งเป้าหมายในการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในทุก ๆ วัน ซึ่งการมีวินัยนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักไวโอลินที่ต้องการประสบความสำเร็จ ✅ 2. ความใส่ใจในรายละเอียด : สิ่งที่ทำให้ Hilary Hahn แตกต่างจากนักไวโอลินทั่วไปคือความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกครั้งที่เธอฝึกซ้อม เธอให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุกส่วนของการเล่นไวโอลิน ตั้งแต่การจับโบว์ การควบคุมการเล่นโน้ต ไปจนถึงการสื่อสารอารมณ์และความรู้สึกของเพลง เธอเชื่อว่าการใส่ใจในทุกรายละเอียดจะช่วยสร้างผลงานที่มีความสมบูรณ์แบบและสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังได้ ✅ 3. การฝึกเทคนิคพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอ : ถึงแม้ Hilary Hahn จะเป็นนักไวโอลินระดับโลก แต่เธอยังคงฝึกซ้อมเทคนิคพื้นฐานอยู่เสมอ เช่น การบรรเลงสายเปล่า (open strings) การฝึกซ้อมสเกล (scales) และการฝึกซ้อมเสียงสั้นและเสียงยาว (staccato/legato) เธอเชื่อว่าการมีพื้นฐานที่แข็งแรงจะช่วยสนับสนุนให้เธอสามารถเล่นเพลงที่ซับซ้อนและท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ 4. การตั้งเป้าหมายในการฝึก : ในการฝึกซ้อมแต่ละครั้ง Hilary Hahn มักจะตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาส่วนที่ต้องปรับปรุง เช่น การเล่นโน้ตที่ซับซ้อน การปรับปรุงการตีความในเพลงหนึ่ง ๆ หรือการทำความเข้าใจอารมณ์ของเพลง เธอเชื่อว่าการตั้งเป้าหมายช่วยให้การฝึกซ้อมมีประสิทธิภาพและมุ่งเน้นในการแก้ปัญหาที่แท้จริง ✅ 5. การใช้ความคิดสร้างสรรค์และการตีความส่วนตัว : Hilary Hahn ไม่ได้เป็นเพียงนักไวโอลินที่เล่นได้อย่างไร้ที่ติ แต่เธอยังมีความคิดสร้างสรรค์ในการตีความเพลงแต่ละบทอย่างเป็นเอกลักษณ์ เธอเชื่อว่าเพลงไม่ใช่เพียงแค่การเล่นโน้ตตามที่เขียนไว้ แต่เป็นการสื่อสารความรู้สึกและเรื่องราวของผู้ประพันธ์เพลงไปยังผู้ฟัง การฝึกฝนด้านการตีความนี้ช่วยให้การแสดงของเธอมีความน่าประทับใจและเป็นที่จดจำ ✅ 6. การทำงานร่วมกับนักดนตรีคนอื่น : Hilary Hahn ยังให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับนักดนตรีคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงร่วมกับวงออเคสตร้า หรือการเล่นดนตรีแบบกลุ่มเล็ก ๆ เธอเชื่อว่าการทำงานร่วมกันช่วยพัฒนาทักษะในการฟังและการปรับตัวให้เข้ากับสไตล์การเล่นของคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับนักไวโอลินที่ต้องการเป็นนักดนตรีที่มีความสมบูรณ์แบบ ✅ 7. การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง : ถึงแม้ว่า Hilary Hahn จะประสบความสำเร็จอย่างสูงแล้ว แต่เธอยังคงมองหาวิธีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ หรือการสำรวจเพลงใหม่ที่ท้าทายมากขึ้น เธอเชื่อว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด และความมุ่งมั่นในการพัฒนาตัวเองนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธออยู่ในจุดสูงสุดของวงการดนตรีคลาสสิกมาอย่างยาวนาน 📍บทสรุป แนวทางการฝึกไวโอลินของ Hilary Hahn สะท้อนถึงความมุ่งมั่น วินัย และความใส่ใจในรายละเอียด การฝึกซ้อมที่มีเป้าหมายและคุณภาพช่วยให้เธอกลายเป็นนักไวโอลินที่ประสบความสำเร็จระดับโลก สำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะไวโอลิน การนำแนวทางเหล่านี้มาใช้ในการฝึกฝนจะช่วยให้คุณก้าวไปสู่ความสำเร็จในการเป็นนักดนตรีที่ยอดเยี่ยมได้เช่นกัน --------- 🎻 Hilary Hahn’s Violin Practice Approach: Skill Development Through Dedication and Discipline Hilary Hahn is one of the most successful and respected violinists of the modern era. She is renowned for her flawless technique, deep musical interpretation, and commitment to music from an early age. Her violin practice regimen has drawn interest from musicians and classical music enthusiasts worldwide. ✅ 1. Discipline and Consistency in Practice: Hilary Hahn began learning the violin at the age of four and has undergone rigorous training ever since. One of the key traits that set her apart is the consistency of her practice. She dedicates several hours each day to practicing the violin, focusing on developing technique, controlling rhythm, and interpreting music deeply. Her practice is not just about the number of hours spent but also about quality and setting goals to improve daily. This discipline is crucial for any violinist striving for success. ✅ 2. Attention to Detail: What differentiates Hilary Hahn from other violinists is her meticulous attention to detail. In every practice session, she focuses on refining every aspect of her playing, from bow grip to note execution, to conveying the emotion and feeling of the music. She believes that paying attention to these details results in a flawless performance and leaves a lasting impression on the audience. ✅ 3. Regular Practice of Basic Techniques: Although Hilary Hahn is a world-class violinist, she still consistently practices basic techniques such as open strings, scales, and staccato/legato exercises. She believes that a strong foundation allows her to play complex and challenging pieces more effectively. ✅ 4. Goal Setting in Practice: During each practice session, Hilary Hahn sets clear goals, whether it’s improving difficult passages, refining her interpretation of a piece, or understanding the emotional tone of the music. She believes that setting goals helps make practice sessions more efficient and focused on solving real issues. ✅ 5. Creativity and Personal Interpretation: Hilary Hahn is not only a technically flawless violinist but also highly creative in her interpretation of each piece. She believes that music is not just about playing the notes as written but about communicating the composer’s emotions and story to the audience. Her focus on interpretation adds depth and memorability to her performances. ✅ 6. Collaboration with Other Musicians: Hilary Hahn values working with other musicians, whether performing with orchestras or in small chamber groups. She believes that collaboration helps develop listening skills and adaptability to different playing styles, which is essential for any violinist aiming to become a well-rounded musician. ✅ 7. Continuous Improvement: Despite her great success, Hilary Hahn continually seeks ways to improve herself. She is always learning new techniques and exploring new, more challenging pieces. She believes that learning is a never-ending journey, and this commitment to self-improvement has kept her at the pinnacle of the classical music world for many years. 📍Conclusion: Hilary Hahn’s approach to violin practice reflects her dedication, discipline, and attention to detail. Her goal-oriented and high-quality practice has made her one of the world’s leading violinists. For those aspiring to improve their violin skills, adopting these approaches can help guide you toward becoming an exceptional musician.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2024.04.13-15 📸 พิธีกรงานสงกรานต์ขอนแก่น 2024 เวทีแข่งขัน Cover Dance

    ความใฝ่ฝันที่ผมฝันมาตั้งแต่สมัยเรียน มันได้เกิดขึ้นจริง ๆ แล้ว และนี่คือการเริ่มต้นการทำหน้าที่ในฐานะ "พิธีกร" อย่างเป็นทางการครั้งแรกในชีวิต แถมเป็นงานใหญ่ระดับจังหวัดด้วย เพราะนี่คืองานสงกรานต์ถนนข้าวเหนียว จ.ขอนแก่น ในส่วนของเวทีสภาวัฒนธรรม ซึ่งผมรับผิดชอบในการดำเนินงานแข่งขันเต้น Cover Dance ตลอดทั้ง 3 วัน และแน่นอน ขึ้นชื่อว่าครั้งแรก ความผิดพลาดบนเวทีต้องมีอยู่แล้ว ผมเองก็รู้ตัวดี ทั้งตื่นเต้น พูดผิดไปบ้าง ขึ้นผิดคิวก็เกิดขึ้นแล้ว 555 แต่ผมก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ จนสามารถดำเนินงานได้อย่างลื่นไหลและสวยงามทั้ง 3 วัน
    นี่คือประสบการณ์ครั้งใหญ่ที่ผมได้รับ ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการเป็นพิธีกรในครั้งแรกนี้ ผมรู้สึกดีใจและสนุกสนานมาก เห็นทุกคนมีความสุขและสนุกไปกับผม ผมเองก็มีความสุขมากเช่นกันครับ
    และที่ขาดไม่ได้ ต้องขอขอบคุณ "ครูปริม สุจิตรา เขตสมุทร" Infinity dance studio Khonkaen รวมถึง พี่ ๆ น้อง ๆ และทีมงานทุกคน ที่ไว้ใจผมและให้โอกาสผมได้มาลองทำสิ่งใหม่ ๆ บนเวทีแห่งนี้ ผมน้อมรับทุกคำติชมจากทุกคน และจะนำไปปรับใช้ พัฒนาตัวเองให้เก่งยิ่งขึ้นต่อไป และเมื่อโอกาสครั้งต่อไปนั้นได้มาถึง ผมก็พร้อมทำอย่างเต็มที่เช่นกัน
    ขอบคุณคร้าบบบ 🙏😊
    MC.M-KK ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ววว🎉
    2024.04.13-15 📸 พิธีกรงานสงกรานต์ขอนแก่น 2024 เวทีแข่งขัน Cover Dance ความใฝ่ฝันที่ผมฝันมาตั้งแต่สมัยเรียน มันได้เกิดขึ้นจริง ๆ แล้ว และนี่คือการเริ่มต้นการทำหน้าที่ในฐานะ "พิธีกร" อย่างเป็นทางการครั้งแรกในชีวิต แถมเป็นงานใหญ่ระดับจังหวัดด้วย เพราะนี่คืองานสงกรานต์ถนนข้าวเหนียว จ.ขอนแก่น ในส่วนของเวทีสภาวัฒนธรรม ซึ่งผมรับผิดชอบในการดำเนินงานแข่งขันเต้น Cover Dance ตลอดทั้ง 3 วัน และแน่นอน ขึ้นชื่อว่าครั้งแรก ความผิดพลาดบนเวทีต้องมีอยู่แล้ว ผมเองก็รู้ตัวดี ทั้งตื่นเต้น พูดผิดไปบ้าง ขึ้นผิดคิวก็เกิดขึ้นแล้ว 555 แต่ผมก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ จนสามารถดำเนินงานได้อย่างลื่นไหลและสวยงามทั้ง 3 วัน นี่คือประสบการณ์ครั้งใหญ่ที่ผมได้รับ ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการเป็นพิธีกรในครั้งแรกนี้ ผมรู้สึกดีใจและสนุกสนานมาก เห็นทุกคนมีความสุขและสนุกไปกับผม ผมเองก็มีความสุขมากเช่นกันครับ และที่ขาดไม่ได้ ต้องขอขอบคุณ "ครูปริม สุจิตรา เขตสมุทร" Infinity dance studio Khonkaen รวมถึง พี่ ๆ น้อง ๆ และทีมงานทุกคน ที่ไว้ใจผมและให้โอกาสผมได้มาลองทำสิ่งใหม่ ๆ บนเวทีแห่งนี้ ผมน้อมรับทุกคำติชมจากทุกคน และจะนำไปปรับใช้ พัฒนาตัวเองให้เก่งยิ่งขึ้นต่อไป และเมื่อโอกาสครั้งต่อไปนั้นได้มาถึง ผมก็พร้อมทำอย่างเต็มที่เช่นกัน ขอบคุณคร้าบบบ 🙏😊 MC.M-KK ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ววว🎉
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลสำรวจในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าคนจ้างงานส่วนใหญ่ ไม่อยากรับคนวัย Gen Z เข้าทำงาน หรือหากรับเข้าทำงานแล้วก็ถูกไล่ออกหลังจากทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน โดยให้เหตุผลว่า Gen Z ทำงานไม่เป็น ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ตั้งใจทำงาน คิดอะไรเองไม่เป็น มีปัญหาด้านการสื่อสาร และไร้มารยาทในที่ทำงาน

    บริษัทในสหรัฐฯ 1 ใน 7 เปิดเผยว่าอาจจะต้องหยุดรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานตั้งแต่ปีหน้า ขณะที่บางบริษัทบอกว่านักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานควรเข้าคอร์สอบรมเรื่องมารยาทในออฟฟิศและการพูดคุยกับผู้อื่นก่อนที่จะเริ่มงาน

    New York Post ลงบทความเรื่อง Gen Z can’t cope with life or hold down a job ซึ่งแปลว่า Gen Z รับมือกับชีวิตหรือทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ เผยสาเหตุหลักที่ทำให้ คน Gen Z ทั่วโลกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะสภาพสังคมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากคนยุคก่อน เราจะเห็นว่าพ่อแม่ยุคใหม่เลี้ยงดูลูกแบบประคบประหงม ไม่เคยสอนลูกให้รู้จักความลำบาก หรือความรับผิดชอบใดๆ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความผิดหวัง เราจะเห็นว่าการแข่งขันกีฬา หรือการแข่งขันดนตรีสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ จะต้องมีรางวัลให้เด็กทุกคนที่เข้าร่วม เพื่อไม่ให้เด็กที่แพ้การแข่งขันต้องเสียใจ แต่การทำแบบนี้ ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้เรื่องแพ้ชนะ และไม่เคยเรียนรู้เรื่องความผิดหวัง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ที่ซึ่งบางครั้งเราก็เป็นผู้ชนะ บางครั้งเราก็เป็นผู้แพ้ เด็กทุกคนควรจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ชนะที่ดีและเป็นผู้แพ้ที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก หากไม่เคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน พอโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจอกับความผิดหวัง ก็จะรับมือทางอารมณ์ไม่ทัน

    การที่ Gen Z เติบโตมากับโลกดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ที่ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นผ่านหน้าจอด้วยการส่งข้อความตลอดเวลา ทำให้คนรุ่นนี้ไม่มีทักษะการพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้า หลายคนไม่กล้าหรืออึดอัดที่จะต้องพูดคุยกับคนอื่น เลือกคำพูดไม่ถูก จับใจความไม่ได้ ใช้คำพูดห้วนๆ สีหน้านิ่งเฉย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทในการพูดคุยกับผู้อื่น เรื่องนี้ทำให่คน Gen Z จำนวนมาก มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นในที่ทำงาน

    ตอกย้ำด้วยค่านิยมของ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเองเป็นอันดับแรก ถ้าหากพวกเขาเจอกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ พวกเขาก็จะไม่ทนทำงานต่อ หรือหากเจอกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่สบายใจเพียงนิดเดียว ก็จะปิดหูไม่ทนฟังอีกต่อไป ตรงนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง และทำให้คน Gen Z ทำงานที่ไหนก็ไม่ได้

    ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคน Gen Z เป็นคนอุปนิสัยแบบนี้โดยสายเลือด แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมให้เด็กรุ่นใหม่ได้เจอกับโลกของการทำงาน ไม่เคยสอนให้เด็กรู้จักเรื่องความผิดหวัง ความรับผิดชอบ และความไม่แน่นอนของชีวิต ในบางครั้งเราต้องย้ำเตือนให้เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้คุณค่าของความพยายาม การทำงานหนัก และชีวิตนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดหวังที่ทุกคนต้องฟันฝ่าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้
    —————
    TNNWorldNews
    ผลสำรวจในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าคนจ้างงานส่วนใหญ่ ไม่อยากรับคนวัย Gen Z เข้าทำงาน หรือหากรับเข้าทำงานแล้วก็ถูกไล่ออกหลังจากทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน โดยให้เหตุผลว่า Gen Z ทำงานไม่เป็น ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ตั้งใจทำงาน คิดอะไรเองไม่เป็น มีปัญหาด้านการสื่อสาร และไร้มารยาทในที่ทำงาน บริษัทในสหรัฐฯ 1 ใน 7 เปิดเผยว่าอาจจะต้องหยุดรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานตั้งแต่ปีหน้า ขณะที่บางบริษัทบอกว่านักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานควรเข้าคอร์สอบรมเรื่องมารยาทในออฟฟิศและการพูดคุยกับผู้อื่นก่อนที่จะเริ่มงาน New York Post ลงบทความเรื่อง Gen Z can’t cope with life or hold down a job ซึ่งแปลว่า Gen Z รับมือกับชีวิตหรือทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ เผยสาเหตุหลักที่ทำให้ คน Gen Z ทั่วโลกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะสภาพสังคมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากคนยุคก่อน เราจะเห็นว่าพ่อแม่ยุคใหม่เลี้ยงดูลูกแบบประคบประหงม ไม่เคยสอนลูกให้รู้จักความลำบาก หรือความรับผิดชอบใดๆ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความผิดหวัง เราจะเห็นว่าการแข่งขันกีฬา หรือการแข่งขันดนตรีสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ จะต้องมีรางวัลให้เด็กทุกคนที่เข้าร่วม เพื่อไม่ให้เด็กที่แพ้การแข่งขันต้องเสียใจ แต่การทำแบบนี้ ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้เรื่องแพ้ชนะ และไม่เคยเรียนรู้เรื่องความผิดหวัง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ที่ซึ่งบางครั้งเราก็เป็นผู้ชนะ บางครั้งเราก็เป็นผู้แพ้ เด็กทุกคนควรจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ชนะที่ดีและเป็นผู้แพ้ที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก หากไม่เคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน พอโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจอกับความผิดหวัง ก็จะรับมือทางอารมณ์ไม่ทัน การที่ Gen Z เติบโตมากับโลกดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ที่ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นผ่านหน้าจอด้วยการส่งข้อความตลอดเวลา ทำให้คนรุ่นนี้ไม่มีทักษะการพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้า หลายคนไม่กล้าหรืออึดอัดที่จะต้องพูดคุยกับคนอื่น เลือกคำพูดไม่ถูก จับใจความไม่ได้ ใช้คำพูดห้วนๆ สีหน้านิ่งเฉย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทในการพูดคุยกับผู้อื่น เรื่องนี้ทำให่คน Gen Z จำนวนมาก มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นในที่ทำงาน ตอกย้ำด้วยค่านิยมของ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเองเป็นอันดับแรก ถ้าหากพวกเขาเจอกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ พวกเขาก็จะไม่ทนทำงานต่อ หรือหากเจอกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่สบายใจเพียงนิดเดียว ก็จะปิดหูไม่ทนฟังอีกต่อไป ตรงนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง และทำให้คน Gen Z ทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคน Gen Z เป็นคนอุปนิสัยแบบนี้โดยสายเลือด แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมให้เด็กรุ่นใหม่ได้เจอกับโลกของการทำงาน ไม่เคยสอนให้เด็กรู้จักเรื่องความผิดหวัง ความรับผิดชอบ และความไม่แน่นอนของชีวิต ในบางครั้งเราต้องย้ำเตือนให้เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้คุณค่าของความพยายาม การทำงานหนัก และชีวิตนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดหวังที่ทุกคนต้องฟันฝ่าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้ ————— TNNWorldNews
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลสำรวจในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าคนจ้างงานส่วนใหญ่ ไม่อยากรับคนวัย Gen Z เข้าทำงาน หรือหากรับเข้าทำงานแล้วก็ถูกไล่ออกหลังจากทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน โดยให้เหตุผลว่า Gen Z ทำงานไม่เป็น ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ตั้งใจทำงาน คิดอะไรเองไม่เป็น มีปัญหาด้านการสื่อสาร และไร้มารยาทในที่ทำงาน

    บริษัทในสหรัฐฯ 1 ใน 7 เปิดเผยว่าอาจจะต้องหยุดรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานตั้งแต่ปีหน้า ขณะที่บางบริษัทบอกว่านักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานควรเข้าคอร์สอบรมเรื่องมารยาทในออฟฟิศและการพูดคุยกับผู้อื่นก่อนที่จะเริ่มงาน

    New York Post ลงบทความเรื่อง Gen Z can’t cope with life or hold down a job ซึ่งแปลว่า Gen Z รับมือกับชีวิตหรือทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ เผยสาเหตุหลักที่ทำให้ คน Gen Z ทั่วโลกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะสภาพสังคมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากคนยุคก่อน เราจะเห็นว่าพ่อแม่ยุคใหม่เลี้ยงดูลูกแบบประคบประหงม ไม่เคยสอนลูกให้รู้จักความลำบาก หรือความรับผิดชอบใดๆ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความผิดหวัง เราจะเห็นว่าการแข่งขันกีฬา หรือการแข่งขันดนตรีสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ จะต้องมีรางวัลให้เด็กทุกคนที่เข้าร่วม เพื่อไม่ให้เด็กที่แพ้การแข่งขันต้องเสียใจ แต่การทำแบบนี้ ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้เรื่องแพ้ชนะ และไม่เคยเรียนรู้เรื่องความผิดหวัง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ที่ซึ่งบางครั้งเราก็เป็นผู้ชนะ บางครั้งเราก็เป็นผู้แพ้ เด็กทุกคนควรจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ชนะที่ดีและเป็นผู้แพ้ที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก หากไม่เคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน พอโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจอกับความผิดหวัง ก็จะรับมือทางอารมณ์ไม่ทัน

    การที่ Gen Z เติบโตมากับโลกดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ที่ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นผ่านหน้าจอด้วยการส่งข้อความตลอดเวลา ทำให้คนรุ่นนี้ไม่มีทักษะการพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้า หลายคนไม่กล้าหรืออึดอัดที่จะต้องพูดคุยกับคนอื่น เลือกคำพูดไม่ถูก จับใจความไม่ได้ ใช้คำพูดห้วนๆ สีหน้านิ่งเฉย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทในการพูดคุยกับผู้อื่น เรื่องนี้ทำให่คน Gen Z จำนวนมาก มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นในที่ทำงาน

    ตอกย้ำด้วยค่านิยมของ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเองเป็นอันดับแรก ถ้าหากพวกเขาเจอกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ พวกเขาก็จะไม่ทนทำงานต่อ หรือหากเจอกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่สบายใจเพียงนิดเดียว ก็จะปิดหูไม่ทนฟังอีกต่อไป ตรงนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง และทำให้คน Gen Z ทำงานที่ไหนก็ไม่ได้

    ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคน Gen Z เป็นคนอุปนิสัยแบบนี้โดยสายเลือด แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมให้เด็กรุ่นใหม่ได้เจอกับโลกของการทำงาน ไม่เคยสอนให้เด็กรู้จักเรื่องความผิดหวัง ความรับผิดชอบ และความไม่แน่นอนของชีวิต ในบางครั้งเราต้องย้ำเตือนให้เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้คุณค่าของความพยายาม การทำงานหนัก และชีวิตนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดหวังที่ทุกคนต้องฟันฝ่าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้
    —————
    ภาพ: Reuters
    TNNWorldNews
    ผลสำรวจในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าคนจ้างงานส่วนใหญ่ ไม่อยากรับคนวัย Gen Z เข้าทำงาน หรือหากรับเข้าทำงานแล้วก็ถูกไล่ออกหลังจากทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน โดยให้เหตุผลว่า Gen Z ทำงานไม่เป็น ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ตั้งใจทำงาน คิดอะไรเองไม่เป็น มีปัญหาด้านการสื่อสาร และไร้มารยาทในที่ทำงาน บริษัทในสหรัฐฯ 1 ใน 7 เปิดเผยว่าอาจจะต้องหยุดรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานตั้งแต่ปีหน้า ขณะที่บางบริษัทบอกว่านักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานควรเข้าคอร์สอบรมเรื่องมารยาทในออฟฟิศและการพูดคุยกับผู้อื่นก่อนที่จะเริ่มงาน New York Post ลงบทความเรื่อง Gen Z can’t cope with life or hold down a job ซึ่งแปลว่า Gen Z รับมือกับชีวิตหรือทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ เผยสาเหตุหลักที่ทำให้ คน Gen Z ทั่วโลกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะสภาพสังคมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากคนยุคก่อน เราจะเห็นว่าพ่อแม่ยุคใหม่เลี้ยงดูลูกแบบประคบประหงม ไม่เคยสอนลูกให้รู้จักความลำบาก หรือความรับผิดชอบใดๆ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความผิดหวัง เราจะเห็นว่าการแข่งขันกีฬา หรือการแข่งขันดนตรีสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ จะต้องมีรางวัลให้เด็กทุกคนที่เข้าร่วม เพื่อไม่ให้เด็กที่แพ้การแข่งขันต้องเสียใจ แต่การทำแบบนี้ ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้เรื่องแพ้ชนะ และไม่เคยเรียนรู้เรื่องความผิดหวัง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ที่ซึ่งบางครั้งเราก็เป็นผู้ชนะ บางครั้งเราก็เป็นผู้แพ้ เด็กทุกคนควรจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ชนะที่ดีและเป็นผู้แพ้ที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก หากไม่เคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน พอโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจอกับความผิดหวัง ก็จะรับมือทางอารมณ์ไม่ทัน การที่ Gen Z เติบโตมากับโลกดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ที่ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นผ่านหน้าจอด้วยการส่งข้อความตลอดเวลา ทำให้คนรุ่นนี้ไม่มีทักษะการพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้า หลายคนไม่กล้าหรืออึดอัดที่จะต้องพูดคุยกับคนอื่น เลือกคำพูดไม่ถูก จับใจความไม่ได้ ใช้คำพูดห้วนๆ สีหน้านิ่งเฉย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทในการพูดคุยกับผู้อื่น เรื่องนี้ทำให่คน Gen Z จำนวนมาก มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นในที่ทำงาน ตอกย้ำด้วยค่านิยมของ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเองเป็นอันดับแรก ถ้าหากพวกเขาเจอกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ พวกเขาก็จะไม่ทนทำงานต่อ หรือหากเจอกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่สบายใจเพียงนิดเดียว ก็จะปิดหูไม่ทนฟังอีกต่อไป ตรงนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง และทำให้คน Gen Z ทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคน Gen Z เป็นคนอุปนิสัยแบบนี้โดยสายเลือด แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมให้เด็กรุ่นใหม่ได้เจอกับโลกของการทำงาน ไม่เคยสอนให้เด็กรู้จักเรื่องความผิดหวัง ความรับผิดชอบ และความไม่แน่นอนของชีวิต ในบางครั้งเราต้องย้ำเตือนให้เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้คุณค่าของความพยายาม การทำงานหนัก และชีวิตนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดหวังที่ทุกคนต้องฟันฝ่าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้ ————— ภาพ: Reuters TNNWorldNews
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชีวิตจะมีคู่หรือเป็นโสดนั้น ไม่มีคำตอบตายตัวว่าดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และเป้าหมายของแต่ละคน บางคนในวัยหนุ่มสาวอาจโหยหาคู่ชีวิตเพื่อเติมเต็มความเหงา แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับรู้สึกว่าการมีคู่ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นตามที่คาดหวัง ในขณะที่บางคนอาจไม่เคยคิดอยากมีคู่ แต่เมื่ออายุล่วงเลยไปก็พบความสุขและความสมดุลในชีวิตคู่

    สิ่งสำคัญไม่ใช่การถกเถียงว่าเป็นโสดหรือมีคู่ดีกว่ากัน แต่เป็นการเข้าใจว่าแต่ละคนมีเหตุปัจจัยและเส้นทางชีวิตต่างกัน การจะมีความสุขหรือไม่ขึ้นอยู่กับการสร้างเหตุปัจจัยที่เหมาะสมกับตัวเองและการร่วมกันพัฒนาความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นคู่รักหรือชีวิตเดี่ยว การพัฒนาตัวเองและตั้งคำถามกับตัวเองถึงสิ่งที่ต้องการจากชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ

    คู่รักที่มีความสุขไม่ใช่เพียงอยู่ร่วมกันไปวันๆ แต่พวกเขาร่วมกันพัฒนาความสัมพันธ์ หมั่นพูดคุยและหาวิธีสร้างความสุข ลดความทุกข์ในชีวิตประจำวัน การเงยหน้ามองกันแทนการจ้องมือถือ คุยกันถึงสิ่งดีๆ ที่จะทำร่วมกัน เป็นการสร้างความสุขที่แท้จริง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด

    ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะโสดหรือมีคู่ สิ่งสำคัญคือการเข้าใจว่าเราสร้างเหตุปัจจัยอะไรให้กับชีวิตของตัวเอง และเราเรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ของเราเองบ้าง
    ชีวิตจะมีคู่หรือเป็นโสดนั้น ไม่มีคำตอบตายตัวว่าดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และเป้าหมายของแต่ละคน บางคนในวัยหนุ่มสาวอาจโหยหาคู่ชีวิตเพื่อเติมเต็มความเหงา แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับรู้สึกว่าการมีคู่ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นตามที่คาดหวัง ในขณะที่บางคนอาจไม่เคยคิดอยากมีคู่ แต่เมื่ออายุล่วงเลยไปก็พบความสุขและความสมดุลในชีวิตคู่ สิ่งสำคัญไม่ใช่การถกเถียงว่าเป็นโสดหรือมีคู่ดีกว่ากัน แต่เป็นการเข้าใจว่าแต่ละคนมีเหตุปัจจัยและเส้นทางชีวิตต่างกัน การจะมีความสุขหรือไม่ขึ้นอยู่กับการสร้างเหตุปัจจัยที่เหมาะสมกับตัวเองและการร่วมกันพัฒนาความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นคู่รักหรือชีวิตเดี่ยว การพัฒนาตัวเองและตั้งคำถามกับตัวเองถึงสิ่งที่ต้องการจากชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ คู่รักที่มีความสุขไม่ใช่เพียงอยู่ร่วมกันไปวันๆ แต่พวกเขาร่วมกันพัฒนาความสัมพันธ์ หมั่นพูดคุยและหาวิธีสร้างความสุข ลดความทุกข์ในชีวิตประจำวัน การเงยหน้ามองกันแทนการจ้องมือถือ คุยกันถึงสิ่งดีๆ ที่จะทำร่วมกัน เป็นการสร้างความสุขที่แท้จริง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะโสดหรือมีคู่ สิ่งสำคัญคือการเข้าใจว่าเราสร้างเหตุปัจจัยอะไรให้กับชีวิตของตัวเอง และเราเรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ของเราเองบ้าง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีหลายครั้งที่เห็นโพสต์ของเด็กรุ่นใหม่หลายคน ส่วนใหญ่น่าจะเป็นวัยรุ่นวันเรียน หรือวัยทำงานได้ไม่นาน มักถามเกี่ยวกับให้ช่วยแนะนำหนังสือแนวการพัฒนาตัวเอง จิตวิทยาการดำเนินชีวิต การบริหารอะไรเหล่านั้น ซึ่งผู้ที่มาแนะนำก็มักจะแนะเล่มที่ตนเคยอ่านแล้วชอบ โดยมากหรือเรียกได้ว่าเกิน 90 % ก็จะเป็นหนังสือจากทางฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นแนวฮาวทู ก็อาจจะดีในระดับหนึ่ง แต่โดยพื้นฐานแล้วคือแนวคิดของทางตะวันตกนั้นอิงอยู่กับระบบธุรกิจทุนนิยม ปลาใหญ่กินปลาเล็ก และเขาก็ไม่ได้มองว่าสิ่งนั้นคือความไม่ดี มองว่าคือความยุติธรรมที่ให้แข่งขันกันโดยเสรี

    แต่แท้จริงแล้ว ส่วนตัวเห็นว่าทุนนิยมนั้นพาโลกและพลเมืองชาวมนุษย์ไปผิดทางมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว และปัจจุบันเริ่มส่งผลชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าได้ทำลายหลายสิ่งหลายอย่าง รวมทั้งจิตใจให้ตกต่ำลง จึงมองว่าหากเราศึกษาทัศนจากผู้รู้ที่เป็นปราชญ์หรือบัณฑิต ที่ไม่ได้หมายรวมเฉพาะว่าจำต้องเรียนจบสูงมากจากสถาบันมีชื่อเสียงเฉพาะด้าน หรือมีตำแหน่งสถานะทางสังคมเป็นดอกเตอร์ ศาสตราจารย์ นักวิชาการอะไรเยอะแยะยืดยาว

    ขอเพียงเป็นผู้มีประสบการณ์ เข้าใจในเรื่องทางโลกและทางธรรมอยู่บ้าง คือมีความสมดุลในสองด้าน อีกทั้งมองโลกอย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง หาใช่มองโลกในแง่ใดแง่หนึ่งเพียงแง่เดียว เช่นคนมองโลกแง่บวกก็มองสิ่งใดบวกไปหมด หรือคนมองโลกแง่ลบก็เห็นอะไรเป็นลบไปหมด ซึ่งนั้นผิดธรรมชาติและผิดไปจากความจริง นี่ก็น่าสนใจพอที่จะลองเรียนรู้ถึงความคิดของคนคนนั้นแล้ว

    ซึ่งที่ผ่านมามีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งไม่หนามาก ร้อยกว่าหน้า อ่านไม่ถึงครึ่งวันก็จบ แต่ต้องอ่านแล้วไตร่ตรอง พิจารณาตามอย่างลึกซึ้ง แล้วจะพบขุมทรัพย์อันมีค่า ที่ไม่ด้อยกว่าหนังสือแนวพัฒนาตนเอง จิตวิทยาการดำเนินชีวิต หรือการบริหารของนักเขียน นักคิดมีชื่อฝั่งตะวันตก ที่มียอดขายดิบขายดีมายาวนานเลยแม้แต่น้อย แถมยังเป็นแนวคิดเชิงปรัชญา ที่ได้มาจากการตกผลึกของการทำงานหลายสิบปีที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ บวกกับทัศนคติที่ดีงามในแนวทางความเชื่ออย่างคนฝั่งตะวันออกทางแถบประเทศที่นับถือพุทธโดยเฉพาะ น่าจะเหมาะสมกับคนไทยด้วยกันอย่างมาก

    นอกเหนือไปจากความรู้ความสามารถที่สั่งสมมา ผู้เขียนยังเป็นผู้หนึ่งซึ่งดำเนินชีวิตในหลักที่ตรงข้ามกับทุนนิยม คือมองเห็นความสำคัญของอะไรที่ดูเหมือนเป็นสิ่งเล็ก ๆ คนตัวน้อย ๆ ในสังคม แม้นเล่มนี้จะไม่ได้พูดอะไรที่เป็นศัพท์แสงวิชาการเข้าใจยาก หรือหมวดธรรมในหลักศาสนาเลย แต่เมื่อผู้อ่านค่อย ๆ ซึมซับเนื้อหาผ่านตัวอักษรเหล่านั้น ที่กลั่นกรองออกมาจากการปฏิบัติจริงในชีวิตของผู้เขียน กลับทำให้รู้สึกได้ว่าลึก ๆ แล้วเจ้าของคำแนะนำคนนี้ เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในหลักธรรมทางศาสนาที่ตนยึดถือไม่ธรรมดา และสามารถนำมาปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันและการทำงานได้อย่างกลมกลืนเป็นอย่างดี

    ผมอ่านครั้งแรกหลังจบระดับอุดมศึกษาหมาด ๆ ซึ่งก็ตรงกับปีที่หนังสือตีพิมพ์ครั้งแรก คือ พ.ศ.2542 ได้รับแจกจากอาจารย์ประจำคณะที่เคารพรักท่านหนึ่ง ประทับใจตั้งแต่หน้าปก และยิ่งได้อ่านเนื้อใน ความประทับใจยิ่งเพิ่มพูนเท่าทวี ปัจจุบันไม่แน่ใจว่าตีพิมพ์ครั้งสุดท้ายครั้งที่เท่าใดและปี พ.ศ.ไหน แต่น่าจะเกินสิบครั้ง จัดพิมพ์โดยกองทุนวุฒิธรรม จัดจำหน่ายโดยเคล็ดไทย กับราคาในยุคนั้นแค่เล่มละ 60 บาท

    เมื่อหยิบมาเปิดอ่านคราใด ก็ให้พลังใจในการดำเนินชีวิต อ่านแล้วอยากทำอะไรดี ๆ ไม่ใช่แค่ต่อตนเองหรือครอบครัว แต่อยากทำตนให้เป็นหน่วยเล็ก ๆ หน่วยหนึ่งที่ดีเพื่อประโยชน์กับสังคม กับโลกนี้บ้าง

    ช่างเป็นหนังสือที่มีชื่อทรงพลังยิ่งนัก อ่านแล้วพบว่า ชื่อนี้เหมาะสมจริง ๆ

    #แรงดลใจแห่งชีวิต

    โดย #โสภณสุภาพงษ์

    #บทความ
    #ข้อคิด
    #แง่คิด
    #thaitimes
    #การพัฒนาตนเอง
    #หนังสือ
    #แนะนำหนังสือ
    #ฮาวทู

    มีหลายครั้งที่เห็นโพสต์ของเด็กรุ่นใหม่หลายคน ส่วนใหญ่น่าจะเป็นวัยรุ่นวันเรียน หรือวัยทำงานได้ไม่นาน มักถามเกี่ยวกับให้ช่วยแนะนำหนังสือแนวการพัฒนาตัวเอง จิตวิทยาการดำเนินชีวิต การบริหารอะไรเหล่านั้น ซึ่งผู้ที่มาแนะนำก็มักจะแนะเล่มที่ตนเคยอ่านแล้วชอบ โดยมากหรือเรียกได้ว่าเกิน 90 % ก็จะเป็นหนังสือจากทางฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นแนวฮาวทู ก็อาจจะดีในระดับหนึ่ง แต่โดยพื้นฐานแล้วคือแนวคิดของทางตะวันตกนั้นอิงอยู่กับระบบธุรกิจทุนนิยม ปลาใหญ่กินปลาเล็ก และเขาก็ไม่ได้มองว่าสิ่งนั้นคือความไม่ดี มองว่าคือความยุติธรรมที่ให้แข่งขันกันโดยเสรี แต่แท้จริงแล้ว ส่วนตัวเห็นว่าทุนนิยมนั้นพาโลกและพลเมืองชาวมนุษย์ไปผิดทางมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว และปัจจุบันเริ่มส่งผลชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าได้ทำลายหลายสิ่งหลายอย่าง รวมทั้งจิตใจให้ตกต่ำลง จึงมองว่าหากเราศึกษาทัศนจากผู้รู้ที่เป็นปราชญ์หรือบัณฑิต ที่ไม่ได้หมายรวมเฉพาะว่าจำต้องเรียนจบสูงมากจากสถาบันมีชื่อเสียงเฉพาะด้าน หรือมีตำแหน่งสถานะทางสังคมเป็นดอกเตอร์ ศาสตราจารย์ นักวิชาการอะไรเยอะแยะยืดยาว ขอเพียงเป็นผู้มีประสบการณ์ เข้าใจในเรื่องทางโลกและทางธรรมอยู่บ้าง คือมีความสมดุลในสองด้าน อีกทั้งมองโลกอย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง หาใช่มองโลกในแง่ใดแง่หนึ่งเพียงแง่เดียว เช่นคนมองโลกแง่บวกก็มองสิ่งใดบวกไปหมด หรือคนมองโลกแง่ลบก็เห็นอะไรเป็นลบไปหมด ซึ่งนั้นผิดธรรมชาติและผิดไปจากความจริง นี่ก็น่าสนใจพอที่จะลองเรียนรู้ถึงความคิดของคนคนนั้นแล้ว ซึ่งที่ผ่านมามีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งไม่หนามาก ร้อยกว่าหน้า อ่านไม่ถึงครึ่งวันก็จบ แต่ต้องอ่านแล้วไตร่ตรอง พิจารณาตามอย่างลึกซึ้ง แล้วจะพบขุมทรัพย์อันมีค่า ที่ไม่ด้อยกว่าหนังสือแนวพัฒนาตนเอง จิตวิทยาการดำเนินชีวิต หรือการบริหารของนักเขียน นักคิดมีชื่อฝั่งตะวันตก ที่มียอดขายดิบขายดีมายาวนานเลยแม้แต่น้อย แถมยังเป็นแนวคิดเชิงปรัชญา ที่ได้มาจากการตกผลึกของการทำงานหลายสิบปีที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ บวกกับทัศนคติที่ดีงามในแนวทางความเชื่ออย่างคนฝั่งตะวันออกทางแถบประเทศที่นับถือพุทธโดยเฉพาะ น่าจะเหมาะสมกับคนไทยด้วยกันอย่างมาก นอกเหนือไปจากความรู้ความสามารถที่สั่งสมมา ผู้เขียนยังเป็นผู้หนึ่งซึ่งดำเนินชีวิตในหลักที่ตรงข้ามกับทุนนิยม คือมองเห็นความสำคัญของอะไรที่ดูเหมือนเป็นสิ่งเล็ก ๆ คนตัวน้อย ๆ ในสังคม แม้นเล่มนี้จะไม่ได้พูดอะไรที่เป็นศัพท์แสงวิชาการเข้าใจยาก หรือหมวดธรรมในหลักศาสนาเลย แต่เมื่อผู้อ่านค่อย ๆ ซึมซับเนื้อหาผ่านตัวอักษรเหล่านั้น ที่กลั่นกรองออกมาจากการปฏิบัติจริงในชีวิตของผู้เขียน กลับทำให้รู้สึกได้ว่าลึก ๆ แล้วเจ้าของคำแนะนำคนนี้ เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในหลักธรรมทางศาสนาที่ตนยึดถือไม่ธรรมดา และสามารถนำมาปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันและการทำงานได้อย่างกลมกลืนเป็นอย่างดี ผมอ่านครั้งแรกหลังจบระดับอุดมศึกษาหมาด ๆ ซึ่งก็ตรงกับปีที่หนังสือตีพิมพ์ครั้งแรก คือ พ.ศ.2542 ได้รับแจกจากอาจารย์ประจำคณะที่เคารพรักท่านหนึ่ง ประทับใจตั้งแต่หน้าปก และยิ่งได้อ่านเนื้อใน ความประทับใจยิ่งเพิ่มพูนเท่าทวี ปัจจุบันไม่แน่ใจว่าตีพิมพ์ครั้งสุดท้ายครั้งที่เท่าใดและปี พ.ศ.ไหน แต่น่าจะเกินสิบครั้ง จัดพิมพ์โดยกองทุนวุฒิธรรม จัดจำหน่ายโดยเคล็ดไทย กับราคาในยุคนั้นแค่เล่มละ 60 บาท เมื่อหยิบมาเปิดอ่านคราใด ก็ให้พลังใจในการดำเนินชีวิต อ่านแล้วอยากทำอะไรดี ๆ ไม่ใช่แค่ต่อตนเองหรือครอบครัว แต่อยากทำตนให้เป็นหน่วยเล็ก ๆ หน่วยหนึ่งที่ดีเพื่อประโยชน์กับสังคม กับโลกนี้บ้าง ช่างเป็นหนังสือที่มีชื่อทรงพลังยิ่งนัก อ่านแล้วพบว่า ชื่อนี้เหมาะสมจริง ๆ #แรงดลใจแห่งชีวิต โดย #โสภณสุภาพงษ์ #บทความ #ข้อคิด #แง่คิด #thaitimes #การพัฒนาตนเอง #หนังสือ #แนะนำหนังสือ #ฮาวทู
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 910 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥มีท่านนึงอินบอกซ์เข้ามาถามแอดมินว่า
    ตอนนี้กำลังศึกษาการลงทุนในตลาดหุ้น และ
    มีวิธีการไหน ที่จะทำให้เราได้กำไรเร็วๆ หรือรวยเร็วๆมั้ย?

    🚩แอดมิน : กำลังคิดถึงตัวเองช่วงเข้ามาตลาดหุ้นใหม่ๆ
    และ ใจเราอยากจะได้เงินเร็วๆ รวยเร็วๆ โดยลืมนึก
    ถึงจุดสำคัญจุดนึงไป คือ การสร้างภูมิต้านทาน
    ของเราในตลาดหุ้นให้แข็งแรงเสียก่อน
    การสร้างภูมิต้านทานในที่นี้หมายถึง การเรียนรู้ และสะสม
    ประสบการณ์ให้มากๆ เรียนรู้ทุกจุด โดยเฉพาะความผิดพลาด
    เพื่อไม่ให้ทำซ้ำ และพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ จากวันเป็นสัปดาห์
    เป็นเดือน เป็นปี เป็นหลายปี ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ อย่าหยุดเรียนรู้
    และพัฒนาตัวเอง

    🚩แอดมินเชื่อว่า ถ้าเราสร้างภูมิต้านทานที่แข็งแรงดีแล้ว
    รวมทั้งการพัฒนาตัวเองไปตลอด และไม่หยุดนิ่ง
    สะสมองค์ความรู้ จนเกิดเป็น ทักษะ และความเชี่ยวชาญ
    เมื่อนั้นเราจะยืนระยะในตลาดหุ้นได้นานขึ้น และมีผลตอบแทน
    คือ Passive income หรือ กระแสเงินสดเข้ามาต่อเนื่อง
    หรือ ได้กำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่มากขึ้นได้

    🚩ดังนั้น อดทน เรียนรู้ พัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
    อย่าใจร้อน รีบรวย มากไป โดยเฉพาะลงทุนกับสิ่ง
    ที่เราไม่รู้จริง เพราะจะทำให้เรา ยืนระยะในตลาด
    ได้ไม่นาน และขาดทุนมากครับ

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้น #SET
    #thaitimes

    🔥🔥มีท่านนึงอินบอกซ์เข้ามาถามแอดมินว่า ตอนนี้กำลังศึกษาการลงทุนในตลาดหุ้น และ มีวิธีการไหน ที่จะทำให้เราได้กำไรเร็วๆ หรือรวยเร็วๆมั้ย? 🚩แอดมิน : กำลังคิดถึงตัวเองช่วงเข้ามาตลาดหุ้นใหม่ๆ และ ใจเราอยากจะได้เงินเร็วๆ รวยเร็วๆ โดยลืมนึก ถึงจุดสำคัญจุดนึงไป คือ การสร้างภูมิต้านทาน ของเราในตลาดหุ้นให้แข็งแรงเสียก่อน การสร้างภูมิต้านทานในที่นี้หมายถึง การเรียนรู้ และสะสม ประสบการณ์ให้มากๆ เรียนรู้ทุกจุด โดยเฉพาะความผิดพลาด เพื่อไม่ให้ทำซ้ำ และพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ จากวันเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี เป็นหลายปี ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ อย่าหยุดเรียนรู้ และพัฒนาตัวเอง 🚩แอดมินเชื่อว่า ถ้าเราสร้างภูมิต้านทานที่แข็งแรงดีแล้ว รวมทั้งการพัฒนาตัวเองไปตลอด และไม่หยุดนิ่ง สะสมองค์ความรู้ จนเกิดเป็น ทักษะ และความเชี่ยวชาญ เมื่อนั้นเราจะยืนระยะในตลาดหุ้นได้นานขึ้น และมีผลตอบแทน คือ Passive income หรือ กระแสเงินสดเข้ามาต่อเนื่อง หรือ ได้กำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่มากขึ้นได้ 🚩ดังนั้น อดทน เรียนรู้ พัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ อย่าใจร้อน รีบรวย มากไป โดยเฉพาะลงทุนกับสิ่ง ที่เราไม่รู้จริง เพราะจะทำให้เรา ยืนระยะในตลาด ได้ไม่นาน และขาดทุนมากครับ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้น #SET #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1231 มุมมอง 0 รีวิว
  • โกโกริโกะ season 2

    วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่เมืองไกล
    ต้องยากลำบากไป จึงจะได้สินค้ามา
    จงตั้งเอากายเจ้า เป็นสำเภาอันโสภา
    ความเพียรเป็นโยธา แขนซ้ายขวาเป็นเสาใบ ....

    ป๊าไม่ได้เป็นพ่อสมบูรณ์แบบเรียกได้ว่าไม่เก่งเลย แต่แม่กับป๊าก็ภูมิใจที่ได้สร้างโอกาสให้หนูได้ใช้ชีวิตเพื่อการพัฒนาตัวเอง อย่างที่แม่ชอบพูดว่าการส่งหนูไปเรียน เป็นหลักสูตรที่สร้างให้หนูโตขึ้นอย่างเร่งรัด ให้แข็งแกร่งทั้งด้านทักษะการใช้ชีวิตและด้านจิตใจ จาก season1 ปีที่ผ่านมา ทำให้ป๊ามั่นใจว่าตอนนี้หนูมีความแข็งแกร่งพอที่จะอยู่ได้ทุกที่บนโลกใบนี้ ขอให้ลูกมีความสุข มีกำลังกายและกำลังใจที่เข้มแข็ง เป็นคนดี เติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ สำหรับ ครอบครัว ประเทศชาติ รวมถึงเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของโลก บินไปให้ไกลเลยลูก บินไปให้สูงๆ แล้วบินกลับมาให้แม่นก พ่อนก ได้ชื้่นใจ ประเทศชาติรอหนูอยู่นะจ๊ะ

    ❤️แม่กับป๊าภูมิใจในตัวลูกมากก❤️ 14-09-2567
    โกโกริโกะ season 2 วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่เมืองไกล ต้องยากลำบากไป จึงจะได้สินค้ามา จงตั้งเอากายเจ้า เป็นสำเภาอันโสภา ความเพียรเป็นโยธา แขนซ้ายขวาเป็นเสาใบ .... ป๊าไม่ได้เป็นพ่อสมบูรณ์แบบเรียกได้ว่าไม่เก่งเลย แต่แม่กับป๊าก็ภูมิใจที่ได้สร้างโอกาสให้หนูได้ใช้ชีวิตเพื่อการพัฒนาตัวเอง อย่างที่แม่ชอบพูดว่าการส่งหนูไปเรียน เป็นหลักสูตรที่สร้างให้หนูโตขึ้นอย่างเร่งรัด ให้แข็งแกร่งทั้งด้านทักษะการใช้ชีวิตและด้านจิตใจ จาก season1 ปีที่ผ่านมา ทำให้ป๊ามั่นใจว่าตอนนี้หนูมีความแข็งแกร่งพอที่จะอยู่ได้ทุกที่บนโลกใบนี้ ขอให้ลูกมีความสุข มีกำลังกายและกำลังใจที่เข้มแข็ง เป็นคนดี เติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ สำหรับ ครอบครัว ประเทศชาติ รวมถึงเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของโลก บินไปให้ไกลเลยลูก บินไปให้สูงๆ แล้วบินกลับมาให้แม่นก พ่อนก ได้ชื้่นใจ ประเทศชาติรอหนูอยู่นะจ๊ะ ❤️แม่กับป๊าภูมิใจในตัวลูกมากก❤️ 14-09-2567
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความโปรดักท์ทีฟ 🏆
    หลายๆคนเริ่มให้ความสนใจกับสิ่งนี้ เพราะทำให้รู้สึกว่าใช้เวลาได้คุ้มค่า
    ในขณะที่อีกหลายๆคนรู้สึกว่า ทำไมเราต้องขยันขนาดนั้น? แค่เห็นก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว

    รู้หรือไม่ว่า ร่างกายของมนุษย์นั้นสำคัญไฉน
    หากสิ่งใดที่ไม่ได้ใช้งาน สิ่งนั้นจะยิ่งเสื่อมสภาพ
    ในขณะที่ยิ่งใช้ยิ่งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อร่างกาย หรือสมอง
    ..แน่นอนว่าทุกอย่างมากไปหรือน้อยไปย่อมไม่ดี ทุกอย่างต้องอยู่บนความสมดุล

    วิธีโปรดักท์ทีฟง่ายๆประจำวันคือการทำลิสต์ขึ้นมา เขียนสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ณ วันๆหนึ่่ง
    เมื่อทำเสร็จก็ลิสต์เป็นข้อๆว่าทำเรียบร้อยแล้ว
    สิ่งนี้ทำแล้วจะได้อะไร?

    -คุณจะมีความรับผิดชอบมากขึ้น เพราะคุณไม่หลงลืมสิ่งสำคัญที่ต้องทำ
    -คุณใกล้ชิดคนในครอบครัวมากขึ้น เพราะคุณจดจำวันสำคัญของครอบครัวได้
    -คุณจะรู้สึกว่าตัวของคุณนั้นมีคุณค่า เพราะคุณได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าแล้ว
    -คุณจะรู้สึกชินกับการได้รับความสำเร็จ เพราะ "ชัยชนะเล็กๆ สู่ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต"

    ลองทำติดต่อกันสัก21วัน ปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมของไลฟ์สไตล์คุณ
    แล้วคุณจะรู้ว่า แค่ทำตามลิสต์ ชีวิตก็สดชื่นแล้ว ^^

    ถอดบทเรียนจากหนังสือ | ที่จริงวันนี้ก็ดีนะ

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #พัฒนาตัวเอง #ที่จริงวันนี้ก็ดีนะ #Thaitimes
    ความโปรดักท์ทีฟ 🏆 หลายๆคนเริ่มให้ความสนใจกับสิ่งนี้ เพราะทำให้รู้สึกว่าใช้เวลาได้คุ้มค่า ในขณะที่อีกหลายๆคนรู้สึกว่า ทำไมเราต้องขยันขนาดนั้น? แค่เห็นก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว รู้หรือไม่ว่า ร่างกายของมนุษย์นั้นสำคัญไฉน หากสิ่งใดที่ไม่ได้ใช้งาน สิ่งนั้นจะยิ่งเสื่อมสภาพ ในขณะที่ยิ่งใช้ยิ่งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อร่างกาย หรือสมอง ..แน่นอนว่าทุกอย่างมากไปหรือน้อยไปย่อมไม่ดี ทุกอย่างต้องอยู่บนความสมดุล วิธีโปรดักท์ทีฟง่ายๆประจำวันคือการทำลิสต์ขึ้นมา เขียนสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ณ วันๆหนึ่่ง เมื่อทำเสร็จก็ลิสต์เป็นข้อๆว่าทำเรียบร้อยแล้ว สิ่งนี้ทำแล้วจะได้อะไร? -คุณจะมีความรับผิดชอบมากขึ้น เพราะคุณไม่หลงลืมสิ่งสำคัญที่ต้องทำ -คุณใกล้ชิดคนในครอบครัวมากขึ้น เพราะคุณจดจำวันสำคัญของครอบครัวได้ -คุณจะรู้สึกว่าตัวของคุณนั้นมีคุณค่า เพราะคุณได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าแล้ว -คุณจะรู้สึกชินกับการได้รับความสำเร็จ เพราะ "ชัยชนะเล็กๆ สู่ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต" ลองทำติดต่อกันสัก21วัน ปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมของไลฟ์สไตล์คุณ แล้วคุณจะรู้ว่า แค่ทำตามลิสต์ ชีวิตก็สดชื่นแล้ว ^^ ถอดบทเรียนจากหนังสือ | ที่จริงวันนี้ก็ดีนะ #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #พัฒนาตัวเอง #ที่จริงวันนี้ก็ดีนะ #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 602 มุมมอง 0 รีวิว
  • ท้อสักกี่ครั้งก็ไม่เป็นไร ขอแค่ทุกครั้งที่ล้ม คุณสามารถลุกขึ้นมามองแสงอาทิตย์ได้ก็พอ

    กี่เรื่องแล้วที่เราวางแผนอย่างดี คำนวณปัจจัยเสี่ยงไปตั้งเท่าไหร่
    'ทั้งๆที่ฉันตั้งใจขนาดนั้น ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นกับฉันนะ?'

    ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับเรื่องที่เราทุ่มเท
    จนหลายครั้งเราอยากจะยกธงขาวยอมแพ้

    หรือเราจะลองมานั่งใจเย็นๆ สูดหายใจเขาลึกๆ
    ตัดขาดตัวเองกับโลกภายนอกและคนอื่นที่บีบคั้นคุณ สักหน่อย
    แล้วมานั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นดีๆอีกครั้ง

    ...ฉันเคยผ่านเรื่องราวประมาณนี้มาได้แล้ว และฉันจะผ่านมันไปอีกครั้ง
    ...หากเรื่องราวครั้งนี้ฉันผ่านไปได้ ฉันจะแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน
    ...วันหนึ่งหากฉันผ่านไปได้ เรื่องราวหนักหนาในวันนี้มันจะเป็นเรื่องเล็กมากๆจนเล่าไปและหัวเราะไป
    ...วันนี้ฉันยังหายใจอยู่ หันไปรอบข้างฉันยังมีบางสิ่งและบางคนเหลืออยู่
    ...ฉันจะผ่านไปได้

    หากวันที่คุณรู้สึกขมขื่น กำลังใจย่อมเป็นสิ่งที่คุณอยากได้รับมากที่สุด
    อยากให้มีคนมาพูดคำดีๆกับคุณ
    อยากให้มีมืออุ่นๆยื่นมาดึงคุณขึ้นจากหลุม
    อยากมีพลังวิเศษพาคุณวาร์ปข้ามผ่านช่วงเวลาแย่ๆไปให้ได้ในทันที

    ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริงแต่เราก็ต้องยอมรับว่า "คนทุกคนต่างก็มีธุระของตัวเอง" เราต้องใจดีกับตัวเองให้มากๆ เพราะคนอื่นไม่ได้มาว่างใจดีกับเราตลอดเวลา

    หากเรายอมรับความจริงข้อนี้ได้ มุมมองของคุณจะเปลี่ยนไป คุณจะมีเลนส์แว่นที่ไว้มองโลกอันใหม่
    -ปัญหาก็แค่ปัญหาหนึ่งเท่านั้น ฉันจะไม่ใส่ความรู้สึกเพิ่มเข้าไปจนมันปะทุ
    -ปัญหาเต็ม10คะแนน ฉันจะค่อยๆแก้ไปทีละคะแนนจนกระทั่งมันเหลือ0
    -ภายในจิตใจของฉัน ฉันจะให้กำลังใจตัวเอง ฉันจะไม่ซ้ำเติมตัวเอง และฉันเชื่อว่าฉันจะทำได้
    -ฉันจะขอบคุณทุกสิ่งที่ดีงามในชีวิตไม่ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหน
    -ฉันจะผ่านมันไปได้

    ถอดบทเรียนจากหนังสือ | ที่จริงวันนี้ก็ดีนะ

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #พัฒนาตัวเอง #ที่จริงวันนี้ก็ดีนะ #Thaitimes
    ท้อสักกี่ครั้งก็ไม่เป็นไร ขอแค่ทุกครั้งที่ล้ม คุณสามารถลุกขึ้นมามองแสงอาทิตย์ได้ก็พอ กี่เรื่องแล้วที่เราวางแผนอย่างดี คำนวณปัจจัยเสี่ยงไปตั้งเท่าไหร่ 'ทั้งๆที่ฉันตั้งใจขนาดนั้น ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นกับฉันนะ?' ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับเรื่องที่เราทุ่มเท จนหลายครั้งเราอยากจะยกธงขาวยอมแพ้ หรือเราจะลองมานั่งใจเย็นๆ สูดหายใจเขาลึกๆ ตัดขาดตัวเองกับโลกภายนอกและคนอื่นที่บีบคั้นคุณ สักหน่อย แล้วมานั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นดีๆอีกครั้ง ...ฉันเคยผ่านเรื่องราวประมาณนี้มาได้แล้ว และฉันจะผ่านมันไปอีกครั้ง ...หากเรื่องราวครั้งนี้ฉันผ่านไปได้ ฉันจะแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน ...วันหนึ่งหากฉันผ่านไปได้ เรื่องราวหนักหนาในวันนี้มันจะเป็นเรื่องเล็กมากๆจนเล่าไปและหัวเราะไป ...วันนี้ฉันยังหายใจอยู่ หันไปรอบข้างฉันยังมีบางสิ่งและบางคนเหลืออยู่ ...ฉันจะผ่านไปได้ หากวันที่คุณรู้สึกขมขื่น กำลังใจย่อมเป็นสิ่งที่คุณอยากได้รับมากที่สุด อยากให้มีคนมาพูดคำดีๆกับคุณ อยากให้มีมืออุ่นๆยื่นมาดึงคุณขึ้นจากหลุม อยากมีพลังวิเศษพาคุณวาร์ปข้ามผ่านช่วงเวลาแย่ๆไปให้ได้ในทันที ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริงแต่เราก็ต้องยอมรับว่า "คนทุกคนต่างก็มีธุระของตัวเอง" เราต้องใจดีกับตัวเองให้มากๆ เพราะคนอื่นไม่ได้มาว่างใจดีกับเราตลอดเวลา หากเรายอมรับความจริงข้อนี้ได้ มุมมองของคุณจะเปลี่ยนไป คุณจะมีเลนส์แว่นที่ไว้มองโลกอันใหม่ -ปัญหาก็แค่ปัญหาหนึ่งเท่านั้น ฉันจะไม่ใส่ความรู้สึกเพิ่มเข้าไปจนมันปะทุ -ปัญหาเต็ม10คะแนน ฉันจะค่อยๆแก้ไปทีละคะแนนจนกระทั่งมันเหลือ0 -ภายในจิตใจของฉัน ฉันจะให้กำลังใจตัวเอง ฉันจะไม่ซ้ำเติมตัวเอง และฉันเชื่อว่าฉันจะทำได้ -ฉันจะขอบคุณทุกสิ่งที่ดีงามในชีวิตไม่ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหน -ฉันจะผ่านมันไปได้ ถอดบทเรียนจากหนังสือ | ที่จริงวันนี้ก็ดีนะ #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #พัฒนาตัวเอง #ที่จริงวันนี้ก็ดีนะ #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 614 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ก้าวผ่านความกลัวให้ได้ แล้วเราจะพบว่าเรามีความสามารถทำอะไรได้มากมายกว่าที่เราเคยคาดคิด”

    ประโยคสั้นๆแต่ทัชใจ จากหนังสือ:ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดาว

    หลายๆครั้งที่อุปสรรคที่ฉุดรั้งเราจากความก้าวหน้าในชีวิต ที่ทำให้เราพลาดโอกาสดีๆในหลายๆอย่าง

    ก็คือความ..กลัว

    -ความกลัวสิ่งที่ไม่คาดคิด
    -กลัวสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน
    -กลัวคนอื่นจะไม่รัก
    -กลัวความผิดหวัง ฯลฯ

    แต่อย่าลืมนะคะว่า “ทุกๆอย่างต้องมีครั้งแรกเสมอ”

    ก้าวข้ามผ่านความกลัวให้ได้ แล้วคุณจะพบกับเรื่องดีๆในชีวิตอีกหลายเรื่องแน่นอนค่ะ ^^

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #จิตวิทยาพัฒนาตัวเอง #คิดมาก #ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดาว
    “ก้าวผ่านความกลัวให้ได้ แล้วเราจะพบว่าเรามีความสามารถทำอะไรได้มากมายกว่าที่เราเคยคาดคิด” ประโยคสั้นๆแต่ทัชใจ จากหนังสือ:ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดาว หลายๆครั้งที่อุปสรรคที่ฉุดรั้งเราจากความก้าวหน้าในชีวิต ที่ทำให้เราพลาดโอกาสดีๆในหลายๆอย่าง ก็คือความ..กลัว -ความกลัวสิ่งที่ไม่คาดคิด -กลัวสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน -กลัวคนอื่นจะไม่รัก -กลัวความผิดหวัง ฯลฯ แต่อย่าลืมนะคะว่า “ทุกๆอย่างต้องมีครั้งแรกเสมอ” ก้าวข้ามผ่านความกลัวให้ได้ แล้วคุณจะพบกับเรื่องดีๆในชีวิตอีกหลายเรื่องแน่นอนค่ะ ^^ #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #จิตวิทยาพัฒนาตัวเอง #คิดมาก #ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดาว
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 375 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่มนี้ดีมาก ⭐ หากคุณรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอ่อนไหวง่าย เมื่อรู้สึกอินกับอะไรก็มักจะน้ำตาคลอ,

    สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของคนที่พวยพุ่ง , มักจะเลี่ยงไม่ได้กับการสังเกตุสีหน้าคนและอะไรเล็กๆน้อยๆ ,

    ไม่ต้องคิดมากนะคะ คุณไม่ได้แปลกอะไร สิ่งนั้นเรียกว่า ไฮลี่ เซ็นซิทีฟ เพอร์เซิลค่ะ คือบุคลิกที่หวั่นไหวง่าย

    จริงๆบุคลิกนี้มีประโยชน์มากเลยนะคะ เนื่องจากในอดีตมนุษย์จำเป็นต้องแบ่งหน้าที่กันในการให้เผ่าพันธุ์ดำรงอยู่รอด

    ก็จะมีคนที่กล้าลองอะไรใหม่ๆเพื่อให้เผ่าพันธุ์วิวัฒนาการ และอีกกลุ่มคือคนที่มีความระแวดระวังมากกว่าคนกลุ่มแรก
    เพราะต้องมีการระวังภัยคุกคาม ความอันตราย พิษจากพืช ฯลฯ จนทำให้สิ่งนี้สืบต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบันค่ะ

    อย่างไรก็ตาม การที่คุณได้อ่านเล่มนี้ แอดมินมั่นใจว่าคุณจะรู้สึกเหมือนกับมีเพื่อนที่เข้าใจคุณเพิ่มมาอีกคนนึงแน่นอนค่ะ

    หนังสือนี้มีชื่อที่โดนใจมากๆว่า "คิดมากไปทำไมอีก 100 ปีก็ตายกันหมดแล้ว"

    อย่าลืมซื้อมาอ่านกันนะคะ ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ ^^

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #รักตัวเอง #จิตวิทยาและการพัฒนาตัวเอง
    เล่มนี้ดีมาก ⭐ หากคุณรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอ่อนไหวง่าย เมื่อรู้สึกอินกับอะไรก็มักจะน้ำตาคลอ, สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของคนที่พวยพุ่ง , มักจะเลี่ยงไม่ได้กับการสังเกตุสีหน้าคนและอะไรเล็กๆน้อยๆ , ไม่ต้องคิดมากนะคะ คุณไม่ได้แปลกอะไร สิ่งนั้นเรียกว่า ไฮลี่ เซ็นซิทีฟ เพอร์เซิลค่ะ คือบุคลิกที่หวั่นไหวง่าย จริงๆบุคลิกนี้มีประโยชน์มากเลยนะคะ เนื่องจากในอดีตมนุษย์จำเป็นต้องแบ่งหน้าที่กันในการให้เผ่าพันธุ์ดำรงอยู่รอด ก็จะมีคนที่กล้าลองอะไรใหม่ๆเพื่อให้เผ่าพันธุ์วิวัฒนาการ และอีกกลุ่มคือคนที่มีความระแวดระวังมากกว่าคนกลุ่มแรก เพราะต้องมีการระวังภัยคุกคาม ความอันตราย พิษจากพืช ฯลฯ จนทำให้สิ่งนี้สืบต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบันค่ะ อย่างไรก็ตาม การที่คุณได้อ่านเล่มนี้ แอดมินมั่นใจว่าคุณจะรู้สึกเหมือนกับมีเพื่อนที่เข้าใจคุณเพิ่มมาอีกคนนึงแน่นอนค่ะ หนังสือนี้มีชื่อที่โดนใจมากๆว่า "คิดมากไปทำไมอีก 100 ปีก็ตายกันหมดแล้ว" อย่าลืมซื้อมาอ่านกันนะคะ ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ ^^ #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #รักตัวเอง #จิตวิทยาและการพัฒนาตัวเอง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 417 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวัสดีค่ะ⭐ โพสแรกของเพจนี้เลย ขอแนะนำหนังสือที่เหมาะสำหรับคนที่อยากเริ่มหันมารักตัวเองนะคะ

    ในโลกที่วุ่นวายแห่งนี้หากเราสนใจและแคร์ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามา เราอาจเป็นบ้าได้

    หากวันนึงเกิดรู้สึกเหนื่อย ไม่ไหว อยากหันหลังให้กับโลกใบนี้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร เพราะการได้กลับมาอยู่กับตัวเองเงียบๆ ก็เป็นอย่างหนึ่งที่เราสามารถทำเพื่อตัวเองได้ เป็นการได้คลายความเหนื่อยล้า จากสิ่งที่ต้องเจอในแต่ละวัน

    หากคุณอยากพบกับสิ่งมีค่าที่เรียกว่าตัวเอง อย่าลืมไปซื้อเล่มนี้มาอ่านกันนะคะ
    หนังสือชื่อว่า ''โทษที วันนี้ชีวิตฉันสำคัญที่สุด"

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #รักตัวเอง #จิตวิทยาและการพัฒนาตัวเอง
    สวัสดีค่ะ⭐ โพสแรกของเพจนี้เลย ขอแนะนำหนังสือที่เหมาะสำหรับคนที่อยากเริ่มหันมารักตัวเองนะคะ ในโลกที่วุ่นวายแห่งนี้หากเราสนใจและแคร์ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามา เราอาจเป็นบ้าได้ หากวันนึงเกิดรู้สึกเหนื่อย ไม่ไหว อยากหันหลังให้กับโลกใบนี้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร เพราะการได้กลับมาอยู่กับตัวเองเงียบๆ ก็เป็นอย่างหนึ่งที่เราสามารถทำเพื่อตัวเองได้ เป็นการได้คลายความเหนื่อยล้า จากสิ่งที่ต้องเจอในแต่ละวัน หากคุณอยากพบกับสิ่งมีค่าที่เรียกว่าตัวเอง อย่าลืมไปซื้อเล่มนี้มาอ่านกันนะคะ หนังสือชื่อว่า ''โทษที วันนี้ชีวิตฉันสำคัญที่สุด" #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #รักตัวเอง #จิตวิทยาและการพัฒนาตัวเอง
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 377 มุมมอง 0 รีวิว