• ร.อ.อิบราฮิม ตราโอเร่ ประธานาธิบดีเปลี่ยนผ่านแห่งบูร์กินาฟาโซ ประเทศในแอฟริกา ปฎิเสธ MBS มกุฎราชกุมารซาอุฯ ที่เสนอจะสร้างมัสยิด 200 แห่งให้บูร์กินาฟาโซ บอกว่าประเทศเค้ามีมัสยิดเพียงพอแล้ว แล้วขอให้ซาอุฯลงทุนในโครงการที่จะสร้างประโยชน์แก่ชาวบูร์กินาฟาโซโดยตรงแทน อย่าง โรงเรียน โรงพยาบาล โครงการที่จะสร้างงานให้แก่ชาวบูร์กินาฟาโซ ฯลฯ
    .
    ร.อ.อิบราฮิม ตราโอเร่ ปัจจุบันอายุ 37 ปี ขึ้นเป็นผู้นำฯจากการยึดอำนาจจาก ปธน.รักษาการ พ.ท.Paul-Henri Sandaogo Damiba ในปี 2022 (ที่ก็ไปยึดอำนาจจากผู้นำฯคนก่อน)
    หลังจากนั้นก็นำบูร์กินาฟาโซถอยห่างจากฝรั่งเศสอดีตเจ้าอาณานิคม ยึดเหมืองทองกลับมาเป็นของรัฐ ระงับการส่งออก"unrefined gold"ไปยังยุโรป

    ยกเลิกข้อตกลงทางทหารและเชิญทหารฝรั่งเศสออกไป ถอนตัวจากกลุ่ม ECOWAS ที่ใช้สกุลเงิน CFA Franc โดยมีเป้ามหายที่จะเลิกใช้ CFA Franc ฯลฯ

    หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ฝรั่งเศสยังมีอิทธิพลและบทบาทในแอฟริกาสูงมาก ความขัดแย้งภายในหลายประเทศในทวีปแอฟฟริกาก็มีฝรั่งเศสเป็นผู้เข้าไปสนับสนุนคู่ขัดแย้งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

    หลายประเทศในแอฟริกาใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการหรือภาษาที่สอง กลุ่มประเทศในแอฟริกากลางและตะวันตกสิบกว่าประเทศ ใช้สกุลเงินกลางที่เรียกว่า CFA Franc ซึ่งควบคุมโดยฝรั่งเศส มีธนาคารกลางฝรั่งเศสเป็นผู้พิมพ์ธนบัติที่ใช้หมุนเวียน ทุนสำรองระหว่างประเทศราวๆครึ่งนึงของประเทศเหล่านี้จึงฝากไว้กับฝรั่งเศส
    .
    ผู้กองตราโอเร่เป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมสูงมากโดยเฉพาะกับคนในวัยหนุ่มสาวทั้งในประเทศและในทวีปแอฟฟริกา
    เค้ามีนโยบายนำประเทศพึ่งพาตัวเอง(self sufficient) พยายามนำประเทศปลดแอกจากอิทธิพลตะวันตก ฯลฯ
    ปฎิเสธเงินกู้จาก IMF และ ธนาคารโลก โดยบอกว่า ไม่ต้องการให้ประเทศเป็นทาสทางการเงินขององค์กรเหล่านี้ บูร์กินาฟาโซสามารถพัฒนาได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินกู้ที่มาพร้อมเงื่อนไขจากทางตะวันตก
    เค้าบอกว่าโครงสร้างฯที่เป็นอยู่มีปัญหา ทรัพยากรของแอฟฟริกาถูกผ่องถ่ายไปยังทวีปอื่นโดยได้รับค่าตอบแทนอย่างไม่เป็นธรรมมานานแล้ว ฯลฯ
    .
    อย่างไรก็ตามผู้นำบูร์กินาฟาโซที่ยังกินเงินเดือนทหารยศร้อยเอกมาจนถึงตอนนี้ แค่ในระยะสองปีกว่าที่ผ่านมาเคยถูกพยายามลอบสังหารมาแล้วหลายครั้ง ตัวเลขสูงหน่อยก็ 16 ครั้ง ..... แล้วก็เคยมีข่าวว่าบริษัทใหญ่ๆของต่างประเทศไปจนถึงระดับรัฐบาลต่างประเทศพยายามติดสินบนเค้า แต่โดนตะเพิดหมดเลย


    https://web.facebook.com/SiriuS.is.A.Star/posts/pfbid0VDcG4SWpyvfaLPv7HqEaamAS6Nryssc8GjFUrg7jzXoAs1vu8vK53q83xnFQbjy9l
    ร.อ.อิบราฮิม ตราโอเร่ ประธานาธิบดีเปลี่ยนผ่านแห่งบูร์กินาฟาโซ ประเทศในแอฟริกา ปฎิเสธ MBS มกุฎราชกุมารซาอุฯ ที่เสนอจะสร้างมัสยิด 200 แห่งให้บูร์กินาฟาโซ บอกว่าประเทศเค้ามีมัสยิดเพียงพอแล้ว แล้วขอให้ซาอุฯลงทุนในโครงการที่จะสร้างประโยชน์แก่ชาวบูร์กินาฟาโซโดยตรงแทน อย่าง โรงเรียน โรงพยาบาล โครงการที่จะสร้างงานให้แก่ชาวบูร์กินาฟาโซ ฯลฯ . ร.อ.อิบราฮิม ตราโอเร่ ปัจจุบันอายุ 37 ปี ขึ้นเป็นผู้นำฯจากการยึดอำนาจจาก ปธน.รักษาการ พ.ท.Paul-Henri Sandaogo Damiba ในปี 2022 (ที่ก็ไปยึดอำนาจจากผู้นำฯคนก่อน) หลังจากนั้นก็นำบูร์กินาฟาโซถอยห่างจากฝรั่งเศสอดีตเจ้าอาณานิคม ยึดเหมืองทองกลับมาเป็นของรัฐ ระงับการส่งออก"unrefined gold"ไปยังยุโรป ยกเลิกข้อตกลงทางทหารและเชิญทหารฝรั่งเศสออกไป ถอนตัวจากกลุ่ม ECOWAS ที่ใช้สกุลเงิน CFA Franc โดยมีเป้ามหายที่จะเลิกใช้ CFA Franc ฯลฯ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ฝรั่งเศสยังมีอิทธิพลและบทบาทในแอฟริกาสูงมาก ความขัดแย้งภายในหลายประเทศในทวีปแอฟฟริกาก็มีฝรั่งเศสเป็นผู้เข้าไปสนับสนุนคู่ขัดแย้งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หลายประเทศในแอฟริกาใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการหรือภาษาที่สอง กลุ่มประเทศในแอฟริกากลางและตะวันตกสิบกว่าประเทศ ใช้สกุลเงินกลางที่เรียกว่า CFA Franc ซึ่งควบคุมโดยฝรั่งเศส มีธนาคารกลางฝรั่งเศสเป็นผู้พิมพ์ธนบัติที่ใช้หมุนเวียน ทุนสำรองระหว่างประเทศราวๆครึ่งนึงของประเทศเหล่านี้จึงฝากไว้กับฝรั่งเศส . ผู้กองตราโอเร่เป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมสูงมากโดยเฉพาะกับคนในวัยหนุ่มสาวทั้งในประเทศและในทวีปแอฟฟริกา เค้ามีนโยบายนำประเทศพึ่งพาตัวเอง(self sufficient) พยายามนำประเทศปลดแอกจากอิทธิพลตะวันตก ฯลฯ ปฎิเสธเงินกู้จาก IMF และ ธนาคารโลก โดยบอกว่า ไม่ต้องการให้ประเทศเป็นทาสทางการเงินขององค์กรเหล่านี้ บูร์กินาฟาโซสามารถพัฒนาได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินกู้ที่มาพร้อมเงื่อนไขจากทางตะวันตก เค้าบอกว่าโครงสร้างฯที่เป็นอยู่มีปัญหา ทรัพยากรของแอฟฟริกาถูกผ่องถ่ายไปยังทวีปอื่นโดยได้รับค่าตอบแทนอย่างไม่เป็นธรรมมานานแล้ว ฯลฯ . อย่างไรก็ตามผู้นำบูร์กินาฟาโซที่ยังกินเงินเดือนทหารยศร้อยเอกมาจนถึงตอนนี้ แค่ในระยะสองปีกว่าที่ผ่านมาเคยถูกพยายามลอบสังหารมาแล้วหลายครั้ง ตัวเลขสูงหน่อยก็ 16 ครั้ง ..... แล้วก็เคยมีข่าวว่าบริษัทใหญ่ๆของต่างประเทศไปจนถึงระดับรัฐบาลต่างประเทศพยายามติดสินบนเค้า แต่โดนตะเพิดหมดเลย https://web.facebook.com/SiriuS.is.A.Star/posts/pfbid0VDcG4SWpyvfaLPv7HqEaamAS6Nryssc8GjFUrg7jzXoAs1vu8vK53q83xnFQbjy9l
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 286 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม้วันเวลาจะผ่านไปกว่า 32 ปีแล้วก็ตาม แต่คดี เพชรซาอุฯ ก็ยังถูกกลับเอามาเล่าขานกันอีกครั้ง
    .
    ตำนานเครื่องเพชรที่ถูกพูดถึงมากเรื่องหนึ่งในสังคมไทยโดย คดี เพชรซาอุฯ นั้นเกิดขึ้นครั้งแรกเกิดปี พ.ศ. 2532 นายเกรียงไกร เตชะโม่ง คนงานทำความสะอาดในพระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด ได้โจรกรรมเพชร ทอง และอัญมณี ที่ถูกวางไว้อย่างไม่เป็นที่เป็นทาง จากพระราชวัง โดยอาศัยช่วงเวลาที่เจ้าชายแปรพระราชฐานไปต่างประเทศ แอบนำถุงกระสอบขนาดใหญ่เข้าไปในพระราชวัง ซ่อนตัวอยู่ภายในพระราชวังจนถึงเวลากลางคืน แล้วจึงทำการขโมยเครื่องเพชรใส่ถุงกระสอบแล้วโยนถุงกระสอบลงมาออกนอกกำแพงพระราชวัง จากนั้นนำส่งประเทศไทยโดยการส่งปะปนมากับเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัว ทำให้ ยากจะตรวจสอบได้
    .
    แต่สุดท้าย นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ได้ถูก ตำรวจจับกุมได้ในเวลาต่อมา โดย ชุดจับกุมของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ และยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา พร้อมช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการตามเพชรทั้งหมดกลับคืนอีกด้วย
    .
    ---------------
    ไม่เคยมี "เพชรสีน้ำเงินมาแต่แรก"
    ---------------
    .
    อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มมี "คดีเพชรซาอุ" มีการพูดถึง เครื่องเพชร ชุดหนึ่ง คือ "เพชรสีน้ำเงิน"( เครื่องเพชรบลูไดมอนด์) ซึ่งแท้จริงแล้วมีปรากฎแต่ในการนำเสนอข่าวภายในประเทศไทยเท่านั้น ที่แม้แต่ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผช.อตร. เจ้าของคดี ยังถามถามสื่อมวลชนเองว่า "ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ตนไม่เคยได้ยิน หรือเห็นมาก่อนเลย" จากนั้นก็มีการไปเอารูปภริยาอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น พล.ต.อ. แสวง ธีระสวัสดิ์ ภาพใน น.ส.พ. ฉบับหนึ่ง ผู้หญิงสวมสร้อยคอที่มีจี้เป็นอัญมณีสีน้ำเงินล้อมเพชรและทอง ปรากฏตัวในงานเลี้ยงงานหนึ่ง ใช้ชื่อ "งานเลี้ยงบลูไดมอนด์" แล้วก็ลือกันตามมาว่าเป็นเพชรบลูไดมอนด์ของเจ้าฟ้าชายไฟซาล เรื่องราวนี้ดังไปถึงหู ทางการของประเทศซาอุฯ เลยส่งสายสืบลับของซาอุฯมาตรวจสอบเพิ่มเติม จนพบว่า ในความเป็นจริงแล้วเพชรบลูไดมอนด์ ในข่าวเป็นเพียง วัตถุที่ทำด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่นำมาประดิษฐ์เข้าคู่กับเพชรและทอง เท่านั้น คดีเพชรบลูไดมอนด์จึงจบไป...
    .
    ส่วน นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยได้สารภาพว่า ได้แบ่งเครื่องเพชรให้กับเพื่อนที่มีส่วนรู้เห็นโดยไม่ได้แยกแยะ ชนิดสี ประเภทใดๆก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย โดยแยกทองและหินออกจากกัน เนื่องจาก นาย เกรียงไกร ทราบมูลค่าของทองดีแต่ไม่ทราบมูลของเพชรพลอยที่ประดับ หินบางส่วนถูกทุบให้แตกเพื่อแยกประเภทคร่าวๆตามความเข้าใจว่าเพชรเป็นของแข็ง หากไม่แตกก็จะเก็บเอาไว้ขายนั้นเอง จากนั้นจึงนำไปขายให้พ่อค้าเพชรและทองตามลำดับ
    .
    ในช่วงเวลาระหว่างการดำเนินคดี นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยในคดีลักเพชรของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบคือ (สิงเหนือ ) พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ออกติดตามเครื่องเพชรคืนให้แก่รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย โดยตามหาและส่งคืนกลับไปทั้งหมด ผลงานของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศในครั้งนั้นสร้างชื่อเสียงมากจนได้รับการยกย่องจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ให้เป็นแขกพิเศษ
    .
    อย่างไรก็ตามมีประเด็นต่อมา คือการส่งคืนเครื่องเพชรจำนวนมากในครั้งนั้นกลับไม่ครบ-และบางส่วนปลอม เลยมีการรื้อคดีกลับมาตรวจสอบอีกครั้ง จากคำให้การของนายเกรียงไกร ที่บอกว่า ได้โจรกรรมเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล แล้วนำเข้ามาขายในประเทศไทย โดยขายให้ นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ จึงพุ่งเป้าไปที่ นายสันติ เพื่อตามทวงคืน เครื่องเพชรส่วนที่เหลือ แต่นายสันติ ได้ปฎิเสธ พล.ต.ท.ชลอจึงจับลูกและภารยาของนายสันติ เป็นตัวประกันเพื่อบีบบังคับให้ นายสันติบอกที่ซ่อนของเพชรที่เหลือ แต่ก็ไม่เป็นผล ...ประจวบกับเหตุการณ์เวลานั้นมีการคุกคามตัวประกัน จึงมีการสังหารตัวประกันแล้วจัดฉากให้เป็นอุบัติเหตุ แต่ในภายหลัง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศถูกจับกุมในคดี สังหาร ครอบครัว ศรีธนะขัณฑ์ เลยได้รับโทษประหารชีวิต ...(ซึ่งปัจจุบัน ได้รับการปล่อยตัวหลังจากที่จำคุกมาได้ 19ปี)
    .
    เมื่อมีการพยายามพูดถึง เพชรบลูไดมอนด์และเพชรที่เหลือจากซาอุฯ อีกครั้ง มีการตรวจสอบ ย้อนกลับซ้ำอีกครั้ง จึงพบว่า ทางซาอุฯไม่สามารถระบุรูปลักษณ์ของ เพชรบลูไดมอนด์ และไม่มีใครทั้ง นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ,นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ทางการไทย ต่างไม่เคยพบเห็นเพชรบลูไดมอนด์ เลยจึงได้ข้อสรุปว่าเพชรบลูไดมอนด์ ไม่เคยอยู่ในประเทศไทย
    .
    เรื่องราว เพชรซาอุฯ มีข้อเท็จจริงแต่เพียงเท่านี้...
    .
    ------------------------
    กำเนิดข่าวลือเพชรซาอุรอบที่สอง
    ------------------------
    .
    อย่างไรก็ตาม ในปี2551 ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง มีการยกเรื่อง เพชรสีน้ำเงิน เอาขึ้นมาอีกครั้ง บนเวทีสนามหลวง เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2551
    .
    ทั้งบนเวที และ ในลักษณะข่าวลือ โดยบนเวทีชุมนุมนั้นจะปรากฎ ภาพ แหวนเพชรสีน้ำเงินถูกสวมอยู่ในอุ้งเท้าไดโนเสาร์ ซึ่งในการชุมนุมครั้งนั้น มี หนึ่งในผู้ปราศรัย คือ(เสือใต้) พล.ต.อ สล้าง บุนนาค นายตำรวจยุคเดียวกับ (สิงเหนือ)พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ
    .
    ส่วนข่าวลือและภาพที่ถูกแชร์กันใส่สังคมออนไลน์ในช่วงปี 2553 คือภาพ เพชรสีน้ำเงิน หน้าต่างๆกันออกไปทั้งแบบที่เป็นแหวนเพชร และ สร้อยคอ โดยมีการระบุในข่าวลือว่าเป็น เพชรบลูไดมอนด์จากคดีเพชรซาอุฯ โดยมีการนำเอาภาพของสมเด็จพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่9 ทรงพระศอประดับอัญมณีสีฟ้าในการแชร์พร้อมเรื่องราวข่าวเท็จเกี่ยวกับการขโมยเพชรสีน้ำเงินจากราชวงศ์ซาอุฯ จนกลายเป็นข่าวลือให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแยบยล
    .
    ในความเป็นจริงแล้วไม่เคยมีใครเคยเห็น เพชรบลูไดมอนด์ ว่าอยู่ในสภาพแหวนหรือสอยคอ และมีจำนวนกี่เม็ดกันแน่
    .
    หากพิจารณาภาพเพชรสีน้ำเงินที่เผยแพร่ในช่วงนี้ก็จะพบว่าเป็นเพียงการนำภาพ เครื่องเพชรที่มีลักษณะใกล้เคียงมาตัดต่อพร้อมประกอบกับเรื่องราวข่าวลือเท่านั้น โดยภาพที่ปรากฏประจำคือ Hope Diamond ของฝรั่งเศส ทั้งนี้ Hope Diamond มีประวัติน่าสนใจมาก เพราะ เป็นเพชรสีน้ำเงินที่ถูกตัดออกมาจาก เพชรเม็ดยักของ ราชวงศ์ฝรั่งเศส ที่ชื่อว่า French Blue (Le bleu de France) ตั้งแต่สมัยปฎิวัติฝรั่งเศส โดยแหล่งกำเนิดของ French Blue (Le bleu de France) นั้นมาจากเหมืองในเมืองกอลคอนดา (Golconda) ในประเทศอินเดีย ตั้งแต่ ปี 1664
    .
    แต่ด้วยประวัติของผู้ครอบครองเพชรสีน้ำเงิน ที่ล้วนเป็นคนใหญ่คนโต และเสียชีวิตฉับพลันจึงทำให้กลายเป็นตำนานเพชรต้องสาป ซึ่งปัจจุบัน เพชรเม็ดนี้ อยู่ในพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน
    .
    ส่วนอีกภาพที่นิยมแชร์พร้อมกับข่าวลือคำสาปเพชรซาอุฯ คือภาพของ "Heart of the Ocean" หรือในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า "Le Cœur de la Mer" เพชรสีน้ำเงินรูปทรงหัวใจ เป็นเครืองประดับที่สวยงามมาก แต่น่าเสียดายว่า แท้จริงแล้ว"Heart of the Ocean"เป็นเพชรที่เกิดมาจาก การจินตนาการของผู้กำกับภาพยนต์ ไททานิค โดย "Heart of the Ocean" นั้นถูกจินตนาการขึ้นโดยอ้างอิง ประวัติ Hope Diamond ของฝรั่งเศส และถูกจินตนาการไปถึงการเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุการจมเรือในภาพยนตร์ไททานิค
    .
    ส่วนภาพสำคัญและมักถูกตกเป็นเป้าโจมตีของข่าวเท็จก็คือภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน(ไม่ใช่เพชร) เป็นภาพตั้งแต่ ปี 2500 ขณะทรงเยือนสหรัฐอเมริกา ซึ่งพระศอไพลินสีน้ำเงินนั้นเป็นมรดกตกทอดมาจากสมเด็จพระพันปีหลวง
    .
    และ แน่นอนว่า ภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน เป็นภาพที่เกิดขึ้นก่อน คดีเพชรซาอุฯ ถึง 32 ปี
    .
    ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ เพชรบลูไดมอนด์ จากคดีเพชรซาอุฯปี 2532 จะย้อน เวลาไปปรากฎในปี 2500 ได้โดยเด็ดขาด
    ---------------------------------
    แหล่งข้อมูล
    - https://www.git.or.th/g20130410.html
    - http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=3585&read=true&count=true
    - https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/posts/1591058431203175?
    - https://www.facebook.com/boraannaanma/photos/a.1721168658137287/2367376280183185/?type=3&theater
    - https://th.wikipedia.org/wiki/เพชรโฮป
    - https://www.facebook.com/726502237386172/posts/3507440415958993/
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Website : http://www.thailandvision.co
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision
    แม้วันเวลาจะผ่านไปกว่า 32 ปีแล้วก็ตาม แต่คดี เพชรซาอุฯ ก็ยังถูกกลับเอามาเล่าขานกันอีกครั้ง . ตำนานเครื่องเพชรที่ถูกพูดถึงมากเรื่องหนึ่งในสังคมไทยโดย คดี เพชรซาอุฯ นั้นเกิดขึ้นครั้งแรกเกิดปี พ.ศ. 2532 นายเกรียงไกร เตชะโม่ง คนงานทำความสะอาดในพระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด ได้โจรกรรมเพชร ทอง และอัญมณี ที่ถูกวางไว้อย่างไม่เป็นที่เป็นทาง จากพระราชวัง โดยอาศัยช่วงเวลาที่เจ้าชายแปรพระราชฐานไปต่างประเทศ แอบนำถุงกระสอบขนาดใหญ่เข้าไปในพระราชวัง ซ่อนตัวอยู่ภายในพระราชวังจนถึงเวลากลางคืน แล้วจึงทำการขโมยเครื่องเพชรใส่ถุงกระสอบแล้วโยนถุงกระสอบลงมาออกนอกกำแพงพระราชวัง จากนั้นนำส่งประเทศไทยโดยการส่งปะปนมากับเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัว ทำให้ ยากจะตรวจสอบได้ . แต่สุดท้าย นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ได้ถูก ตำรวจจับกุมได้ในเวลาต่อมา โดย ชุดจับกุมของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ และยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา พร้อมช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการตามเพชรทั้งหมดกลับคืนอีกด้วย . --------------- ไม่เคยมี "เพชรสีน้ำเงินมาแต่แรก" --------------- . อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มมี "คดีเพชรซาอุ" มีการพูดถึง เครื่องเพชร ชุดหนึ่ง คือ "เพชรสีน้ำเงิน"( เครื่องเพชรบลูไดมอนด์) ซึ่งแท้จริงแล้วมีปรากฎแต่ในการนำเสนอข่าวภายในประเทศไทยเท่านั้น ที่แม้แต่ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผช.อตร. เจ้าของคดี ยังถามถามสื่อมวลชนเองว่า "ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ตนไม่เคยได้ยิน หรือเห็นมาก่อนเลย" จากนั้นก็มีการไปเอารูปภริยาอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น พล.ต.อ. แสวง ธีระสวัสดิ์ ภาพใน น.ส.พ. ฉบับหนึ่ง ผู้หญิงสวมสร้อยคอที่มีจี้เป็นอัญมณีสีน้ำเงินล้อมเพชรและทอง ปรากฏตัวในงานเลี้ยงงานหนึ่ง ใช้ชื่อ "งานเลี้ยงบลูไดมอนด์" แล้วก็ลือกันตามมาว่าเป็นเพชรบลูไดมอนด์ของเจ้าฟ้าชายไฟซาล เรื่องราวนี้ดังไปถึงหู ทางการของประเทศซาอุฯ เลยส่งสายสืบลับของซาอุฯมาตรวจสอบเพิ่มเติม จนพบว่า ในความเป็นจริงแล้วเพชรบลูไดมอนด์ ในข่าวเป็นเพียง วัตถุที่ทำด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่นำมาประดิษฐ์เข้าคู่กับเพชรและทอง เท่านั้น คดีเพชรบลูไดมอนด์จึงจบไป... . ส่วน นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยได้สารภาพว่า ได้แบ่งเครื่องเพชรให้กับเพื่อนที่มีส่วนรู้เห็นโดยไม่ได้แยกแยะ ชนิดสี ประเภทใดๆก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย โดยแยกทองและหินออกจากกัน เนื่องจาก นาย เกรียงไกร ทราบมูลค่าของทองดีแต่ไม่ทราบมูลของเพชรพลอยที่ประดับ หินบางส่วนถูกทุบให้แตกเพื่อแยกประเภทคร่าวๆตามความเข้าใจว่าเพชรเป็นของแข็ง หากไม่แตกก็จะเก็บเอาไว้ขายนั้นเอง จากนั้นจึงนำไปขายให้พ่อค้าเพชรและทองตามลำดับ . ในช่วงเวลาระหว่างการดำเนินคดี นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยในคดีลักเพชรของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบคือ (สิงเหนือ ) พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ออกติดตามเครื่องเพชรคืนให้แก่รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย โดยตามหาและส่งคืนกลับไปทั้งหมด ผลงานของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศในครั้งนั้นสร้างชื่อเสียงมากจนได้รับการยกย่องจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ให้เป็นแขกพิเศษ . อย่างไรก็ตามมีประเด็นต่อมา คือการส่งคืนเครื่องเพชรจำนวนมากในครั้งนั้นกลับไม่ครบ-และบางส่วนปลอม เลยมีการรื้อคดีกลับมาตรวจสอบอีกครั้ง จากคำให้การของนายเกรียงไกร ที่บอกว่า ได้โจรกรรมเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล แล้วนำเข้ามาขายในประเทศไทย โดยขายให้ นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ จึงพุ่งเป้าไปที่ นายสันติ เพื่อตามทวงคืน เครื่องเพชรส่วนที่เหลือ แต่นายสันติ ได้ปฎิเสธ พล.ต.ท.ชลอจึงจับลูกและภารยาของนายสันติ เป็นตัวประกันเพื่อบีบบังคับให้ นายสันติบอกที่ซ่อนของเพชรที่เหลือ แต่ก็ไม่เป็นผล ...ประจวบกับเหตุการณ์เวลานั้นมีการคุกคามตัวประกัน จึงมีการสังหารตัวประกันแล้วจัดฉากให้เป็นอุบัติเหตุ แต่ในภายหลัง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศถูกจับกุมในคดี สังหาร ครอบครัว ศรีธนะขัณฑ์ เลยได้รับโทษประหารชีวิต ...(ซึ่งปัจจุบัน ได้รับการปล่อยตัวหลังจากที่จำคุกมาได้ 19ปี) . เมื่อมีการพยายามพูดถึง เพชรบลูไดมอนด์และเพชรที่เหลือจากซาอุฯ อีกครั้ง มีการตรวจสอบ ย้อนกลับซ้ำอีกครั้ง จึงพบว่า ทางซาอุฯไม่สามารถระบุรูปลักษณ์ของ เพชรบลูไดมอนด์ และไม่มีใครทั้ง นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ,นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ทางการไทย ต่างไม่เคยพบเห็นเพชรบลูไดมอนด์ เลยจึงได้ข้อสรุปว่าเพชรบลูไดมอนด์ ไม่เคยอยู่ในประเทศไทย . เรื่องราว เพชรซาอุฯ มีข้อเท็จจริงแต่เพียงเท่านี้... . ------------------------ กำเนิดข่าวลือเพชรซาอุรอบที่สอง ------------------------ . อย่างไรก็ตาม ในปี2551 ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง มีการยกเรื่อง เพชรสีน้ำเงิน เอาขึ้นมาอีกครั้ง บนเวทีสนามหลวง เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2551 . ทั้งบนเวที และ ในลักษณะข่าวลือ โดยบนเวทีชุมนุมนั้นจะปรากฎ ภาพ แหวนเพชรสีน้ำเงินถูกสวมอยู่ในอุ้งเท้าไดโนเสาร์ ซึ่งในการชุมนุมครั้งนั้น มี หนึ่งในผู้ปราศรัย คือ(เสือใต้) พล.ต.อ สล้าง บุนนาค นายตำรวจยุคเดียวกับ (สิงเหนือ)พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ . ส่วนข่าวลือและภาพที่ถูกแชร์กันใส่สังคมออนไลน์ในช่วงปี 2553 คือภาพ เพชรสีน้ำเงิน หน้าต่างๆกันออกไปทั้งแบบที่เป็นแหวนเพชร และ สร้อยคอ โดยมีการระบุในข่าวลือว่าเป็น เพชรบลูไดมอนด์จากคดีเพชรซาอุฯ โดยมีการนำเอาภาพของสมเด็จพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่9 ทรงพระศอประดับอัญมณีสีฟ้าในการแชร์พร้อมเรื่องราวข่าวเท็จเกี่ยวกับการขโมยเพชรสีน้ำเงินจากราชวงศ์ซาอุฯ จนกลายเป็นข่าวลือให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแยบยล . ในความเป็นจริงแล้วไม่เคยมีใครเคยเห็น เพชรบลูไดมอนด์ ว่าอยู่ในสภาพแหวนหรือสอยคอ และมีจำนวนกี่เม็ดกันแน่ . หากพิจารณาภาพเพชรสีน้ำเงินที่เผยแพร่ในช่วงนี้ก็จะพบว่าเป็นเพียงการนำภาพ เครื่องเพชรที่มีลักษณะใกล้เคียงมาตัดต่อพร้อมประกอบกับเรื่องราวข่าวลือเท่านั้น โดยภาพที่ปรากฏประจำคือ Hope Diamond ของฝรั่งเศส ทั้งนี้ Hope Diamond มีประวัติน่าสนใจมาก เพราะ เป็นเพชรสีน้ำเงินที่ถูกตัดออกมาจาก เพชรเม็ดยักของ ราชวงศ์ฝรั่งเศส ที่ชื่อว่า French Blue (Le bleu de France) ตั้งแต่สมัยปฎิวัติฝรั่งเศส โดยแหล่งกำเนิดของ French Blue (Le bleu de France) นั้นมาจากเหมืองในเมืองกอลคอนดา (Golconda) ในประเทศอินเดีย ตั้งแต่ ปี 1664 . แต่ด้วยประวัติของผู้ครอบครองเพชรสีน้ำเงิน ที่ล้วนเป็นคนใหญ่คนโต และเสียชีวิตฉับพลันจึงทำให้กลายเป็นตำนานเพชรต้องสาป ซึ่งปัจจุบัน เพชรเม็ดนี้ อยู่ในพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน . ส่วนอีกภาพที่นิยมแชร์พร้อมกับข่าวลือคำสาปเพชรซาอุฯ คือภาพของ "Heart of the Ocean" หรือในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า "Le Cœur de la Mer" เพชรสีน้ำเงินรูปทรงหัวใจ เป็นเครืองประดับที่สวยงามมาก แต่น่าเสียดายว่า แท้จริงแล้ว"Heart of the Ocean"เป็นเพชรที่เกิดมาจาก การจินตนาการของผู้กำกับภาพยนต์ ไททานิค โดย "Heart of the Ocean" นั้นถูกจินตนาการขึ้นโดยอ้างอิง ประวัติ Hope Diamond ของฝรั่งเศส และถูกจินตนาการไปถึงการเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุการจมเรือในภาพยนตร์ไททานิค . ส่วนภาพสำคัญและมักถูกตกเป็นเป้าโจมตีของข่าวเท็จก็คือภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน(ไม่ใช่เพชร) เป็นภาพตั้งแต่ ปี 2500 ขณะทรงเยือนสหรัฐอเมริกา ซึ่งพระศอไพลินสีน้ำเงินนั้นเป็นมรดกตกทอดมาจากสมเด็จพระพันปีหลวง . และ แน่นอนว่า ภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน เป็นภาพที่เกิดขึ้นก่อน คดีเพชรซาอุฯ ถึง 32 ปี . ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ เพชรบลูไดมอนด์ จากคดีเพชรซาอุฯปี 2532 จะย้อน เวลาไปปรากฎในปี 2500 ได้โดยเด็ดขาด --------------------------------- แหล่งข้อมูล - https://www.git.or.th/g20130410.html - http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=3585&read=true&count=true - https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/posts/1591058431203175? - https://www.facebook.com/boraannaanma/photos/a.1721168658137287/2367376280183185/?type=3&theater - https://th.wikipedia.org/wiki/เพชรโฮป - https://www.facebook.com/726502237386172/posts/3507440415958993/ ------------------------------- ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่ Website : http://www.thailandvision.co Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 398 มุมมอง 0 รีวิว
  • มิใช่ “บลูไดมอนด์” ของซาอุฯ ตามคำกล่าวเท็จใส่ร้าย

    วันนี้ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๓ ครบรอบ ๓๑ ปีเหตุการณ์ “โจรกรรมเครื่องเพชรราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย” เกิดขึ้นในปี ๒๕๓๒ แล้ววันนี้แอดมินเห็นคนบางกลุ่มกำลังพยายามบิดเบือนความจริงในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ นานาว่า เพชรที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงสวมใส่ คือ “เพชรสีน้ำเงิน” หรือที่เรารู้จักในชื่อ “Blue Diamond” เป็นเพชรที่ถูกขโมยมาจากประเทศซาอุดิอารเบีย ซึ่งไม่เป็นความจริงตามคำกล่าวเท็จใส่ร้ายแต่ประกาศใด

    ตามพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงสวมสร้อยพระศอเป็น “สร้อยพระศอไพลินสีน้ำเงิน (Blue Sapphire)” ไม่ใช่ “เพชรสีน้ำเงิน (Blue Diamond)” ตามที่คนบางกลุ่มกำลังพยายามบิดเบือนกล่าวหาพระองค์

    “สร้อยพระศอไพลินสีน้ำเงิน (Blue Sapphire)” องค์นี้ ประดับเพชรโดยไพลินสีน้ำเงินเม็ดนี้มีขนาด ๑๐๙.๕๗ กะรัต จี้ไพลินสีน้ำเงินองค์นี้ เป็นฝีมือการออกแบบและประดิษฐ์จากบริษัทอัญมณี Van Cleef & Arpels จากประเทศฝรั่งเศส เมื่อประมาณปี ๒๕๐๖

    ซึ่งพระองค์ทรงสวมสร้อยพระศอไพลินสีน้ำเงินองค์นี้ มานานกว่า ๕๐ ปีแล้ว และทรงสวมในหลาย ๆ โอกาสอีกด้วย เช่น ในปี ๒๕๑๑ ทรงสวมสร้อยพระศอนี้ ในโอกาสที่สมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งอิหร่าน เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๙ มกราคม ๒๕๑๑ (พระฉายาลักษณ์บนขวา) หรือในปี ๒๕๓๔ ทรงสวมสร้อยพระศอนี้ ในโอกาสที่สมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๖-๓๐ กันยายน ๒๕๓๔ (พระฉายาลักษณ์ล่างกลาง)

    และเหตุการณ์ “โจรกรรมเครื่องเพชรราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย” เกิดขึ้นในปี ๒๕๓๒ แต่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงสวมสร้อยพระศอไพลินสีน้ำเงิน มานาน ๕๐ ปีแล้ว ตั้งแต่ปี ๒๕๑๐ เรื่อยมา จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระสร้อยศอนี้ จะเป็นเครื่องประดับที่ถูกโจรกรรมมาจากประเทศซาอุดีอาระเบีย ในปี ๒๕๓๒

    และในคดีโจรกรรมเครื่องเพชรนั้น ได้จบไปนานแล้ว ในยุคนั้น นายโมฮัมหมัด ซาอิด โคจา ได้แสดงความขอบคุณทางการไทยอย่างสุดซึ้ง แม้จะยังไม่ได้เพชรคืนทุกชิ้นก็ตาม แต่ได้มาเพียงเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว แต่สิ่งที่ซาอุดิอาระเบียโกรธทางการไทยอย่างมากจนลดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยลง มาจากสาเหตุเรื่องการอุ้มฆ่านักธุรกิจซาอุดิอาระเบีย ต่างหาก

    และราชวงศ์จักรี มีเครื่องประดับที่เป็นเพชรมากมาย ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวงแล้ว หรือแม้แต่ในอดีต ตามบันทึกในหนังสือ “ความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ” ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสนั้นเสด็จเยือนแคนาดา เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๑๐ และเสด็จไปในงานเลี้ยงรับรองสำคัญ ซึ่งในงานจะมีบุคคลสำคัญในวงการราชการและธุรกิจ คืนนั้นพระองค์ได้โดยในหนังสือเล่มดังกล่าวมีการระบุความตอนหนึ่งว่า

    “...คืนนั้น ข้าพเจ้าได้สวมสร้อยพระศอเพชร ซึ่งเป็นของเก่าของสมเด็จพระพันปีหลวง…”

    หมายเหตุ “สมเด็จพระพันปีหลวง” ในบทความนี้ หมายถึง สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

    ในบันทึกยังบอกอีกว่า สร้อยพระศอเพชรเส้นนี้เอง ทำให้เกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่งในงานนั้น เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นเมื่อแขกคนสำคัญคนหนึ่งถามหม่อมเจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต ซึ่งทำหน้าที่นางสนองพระโอษฐ์ แล้วไปในงานวันนั้นด้วยว่า

    “...เอ้อ…สร้อยพระศอที่พระราชินีของท่านทรงอยู่นั้น คงเพิ่งซื้อใหม่จากปารีสกระมัง...”

    หม่อมเจ้าวิภาวดี ทรงตอบว่า

    “...เอ๊ะ ! นี่ท่านไม่รู้หรอกหรือ ว่าเมืองไทยของฉันมีอายุกว่า ๗๐๐-๘๐๐ ปีแล้ว พระราชวงศ์จักรีก็มีมาตั้งเกือบสองศตวรรษ เราจึงมีเครื่องเพชรประจำพระราชวงศ์บ้าง ไม่เห็นจะต้องซื้อของใหม่ราคาแพงมาใช้เลย...”

    จากบันทึกในหนังสือ “ความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ” ของพระองค์ ทำให้เห็นได้ว่า เครื่องเพชรที่พระองค์ประดับอยู่ หลาย ๆ ชิ้น ตลอดการเดินทางนั้น ล้วนเป็น เครื่องเพชรประจำพระราชวงศ์ทั้งนั้น รวมถึงสร้อยพระศอไพลินสีน้ำเงิน นั้นก็เช่นกัน

    สุดท้ายนี้ แอดมินหวังว่าท่านที่ไปฟังเขาเล่ามาว่าแบบนั้นแบบนี้ อยากให้เข้าใจเสียใหม่ และหลังจากนี้ ก็หวังอีกว่าคงไม่มีใครจะกล่าวเท็จใส่ร้ายพระองค์อีก

    Cr. เพจ โบราณนานมา
    มิใช่ “บลูไดมอนด์” ของซาอุฯ ตามคำกล่าวเท็จใส่ร้าย วันนี้ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๓ ครบรอบ ๓๑ ปีเหตุการณ์ “โจรกรรมเครื่องเพชรราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย” เกิดขึ้นในปี ๒๕๓๒ แล้ววันนี้แอดมินเห็นคนบางกลุ่มกำลังพยายามบิดเบือนความจริงในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ นานาว่า เพชรที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงสวมใส่ คือ “เพชรสีน้ำเงิน” หรือที่เรารู้จักในชื่อ “Blue Diamond” เป็นเพชรที่ถูกขโมยมาจากประเทศซาอุดิอารเบีย ซึ่งไม่เป็นความจริงตามคำกล่าวเท็จใส่ร้ายแต่ประกาศใด ตามพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงสวมสร้อยพระศอเป็น “สร้อยพระศอไพลินสีน้ำเงิน (Blue Sapphire)” ไม่ใช่ “เพชรสีน้ำเงิน (Blue Diamond)” ตามที่คนบางกลุ่มกำลังพยายามบิดเบือนกล่าวหาพระองค์ “สร้อยพระศอไพลินสีน้ำเงิน (Blue Sapphire)” องค์นี้ ประดับเพชรโดยไพลินสีน้ำเงินเม็ดนี้มีขนาด ๑๐๙.๕๗ กะรัต จี้ไพลินสีน้ำเงินองค์นี้ เป็นฝีมือการออกแบบและประดิษฐ์จากบริษัทอัญมณี Van Cleef & Arpels จากประเทศฝรั่งเศส เมื่อประมาณปี ๒๕๐๖ ซึ่งพระองค์ทรงสวมสร้อยพระศอไพลินสีน้ำเงินองค์นี้ มานานกว่า ๕๐ ปีแล้ว และทรงสวมในหลาย ๆ โอกาสอีกด้วย เช่น ในปี ๒๕๑๑ ทรงสวมสร้อยพระศอนี้ ในโอกาสที่สมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งอิหร่าน เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๙ มกราคม ๒๕๑๑ (พระฉายาลักษณ์บนขวา) หรือในปี ๒๕๓๔ ทรงสวมสร้อยพระศอนี้ ในโอกาสที่สมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๖-๓๐ กันยายน ๒๕๓๔ (พระฉายาลักษณ์ล่างกลาง) และเหตุการณ์ “โจรกรรมเครื่องเพชรราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย” เกิดขึ้นในปี ๒๕๓๒ แต่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงสวมสร้อยพระศอไพลินสีน้ำเงิน มานาน ๕๐ ปีแล้ว ตั้งแต่ปี ๒๕๑๐ เรื่อยมา จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระสร้อยศอนี้ จะเป็นเครื่องประดับที่ถูกโจรกรรมมาจากประเทศซาอุดีอาระเบีย ในปี ๒๕๓๒ และในคดีโจรกรรมเครื่องเพชรนั้น ได้จบไปนานแล้ว ในยุคนั้น นายโมฮัมหมัด ซาอิด โคจา ได้แสดงความขอบคุณทางการไทยอย่างสุดซึ้ง แม้จะยังไม่ได้เพชรคืนทุกชิ้นก็ตาม แต่ได้มาเพียงเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว แต่สิ่งที่ซาอุดิอาระเบียโกรธทางการไทยอย่างมากจนลดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยลง มาจากสาเหตุเรื่องการอุ้มฆ่านักธุรกิจซาอุดิอาระเบีย ต่างหาก และราชวงศ์จักรี มีเครื่องประดับที่เป็นเพชรมากมาย ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวงแล้ว หรือแม้แต่ในอดีต ตามบันทึกในหนังสือ “ความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ” ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสนั้นเสด็จเยือนแคนาดา เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๑๐ และเสด็จไปในงานเลี้ยงรับรองสำคัญ ซึ่งในงานจะมีบุคคลสำคัญในวงการราชการและธุรกิจ คืนนั้นพระองค์ได้โดยในหนังสือเล่มดังกล่าวมีการระบุความตอนหนึ่งว่า “...คืนนั้น ข้าพเจ้าได้สวมสร้อยพระศอเพชร ซึ่งเป็นของเก่าของสมเด็จพระพันปีหลวง…” หมายเหตุ “สมเด็จพระพันปีหลวง” ในบทความนี้ หมายถึง สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในบันทึกยังบอกอีกว่า สร้อยพระศอเพชรเส้นนี้เอง ทำให้เกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่งในงานนั้น เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นเมื่อแขกคนสำคัญคนหนึ่งถามหม่อมเจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต ซึ่งทำหน้าที่นางสนองพระโอษฐ์ แล้วไปในงานวันนั้นด้วยว่า “...เอ้อ…สร้อยพระศอที่พระราชินีของท่านทรงอยู่นั้น คงเพิ่งซื้อใหม่จากปารีสกระมัง...” หม่อมเจ้าวิภาวดี ทรงตอบว่า “...เอ๊ะ ! นี่ท่านไม่รู้หรอกหรือ ว่าเมืองไทยของฉันมีอายุกว่า ๗๐๐-๘๐๐ ปีแล้ว พระราชวงศ์จักรีก็มีมาตั้งเกือบสองศตวรรษ เราจึงมีเครื่องเพชรประจำพระราชวงศ์บ้าง ไม่เห็นจะต้องซื้อของใหม่ราคาแพงมาใช้เลย...” จากบันทึกในหนังสือ “ความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ” ของพระองค์ ทำให้เห็นได้ว่า เครื่องเพชรที่พระองค์ประดับอยู่ หลาย ๆ ชิ้น ตลอดการเดินทางนั้น ล้วนเป็น เครื่องเพชรประจำพระราชวงศ์ทั้งนั้น รวมถึงสร้อยพระศอไพลินสีน้ำเงิน นั้นก็เช่นกัน สุดท้ายนี้ แอดมินหวังว่าท่านที่ไปฟังเขาเล่ามาว่าแบบนั้นแบบนี้ อยากให้เข้าใจเสียใหม่ และหลังจากนี้ ก็หวังอีกว่าคงไม่มีใครจะกล่าวเท็จใส่ร้ายพระองค์อีก Cr. เพจ โบราณนานมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฝรั่งเศสแจ้งให้พลเมืองของตนทุกคนออกจากอิหร่านทันที
    ฝรั่งเศสแจ้งให้พลเมืองของตนทุกคนออกจากอิหร่านทันที
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## สรุป ประเด็นเกี่ยวข้องกับ สงครามยูเครน ##
    ..
    ..
    อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ระดมพลเตรียมส่งทหารเข้าไปใน ยูเครน
    .
    ขณะที่ อิตาลี ไม่เห็นด้วย และ สนับสนุนแนวทางการเจรจาของ ทรัมป์
    .
    แน่นอนว่า ยูโรป อีกหลายประเทศ สนับสนุน การรวมตัวจัดตั้งกองกำลังขึ้นเพื่อจัดการ รัสเซีย หลัง อเมริกา มีท่าที ละทิ้ง NATO
    .
    ทรัมป์ คือ พ่อค้า เขาคำนวณถึงผลได้ผลเสีย เขามีเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ดังนั้นกิจกรรมใดที่สิ้นเปลื้องทรัพยากรโดยใช่เหตุ ทรัมป์ จะตัดออกทั้งหมด
    .
    เช่น งบประมาณสนับสนุน USAID และ NED กระทั่ง VOA เพราะองค์กรเหล่านี้ ใช้เงินจำนวนมหาศาล
    .
    เช่น
    .
    USAID ใช้เงินหลายหมื่นล้านในปีที่แล้ว สนับสนุน กลุ่มบุคคลในประเทศอื่น เพื่อแทรกซึม แทรกแซง กิจการภายใน และ การเมืองภายในประเทศอื่น
    .
    รวมไปถึง NED และ CIA ก็เช่นกัน
    .
    ส่วน VOA เป็น สถานีข่าว Propaganda สำหรับ โฆษณาชวนเชื่อ สร้างข่าวเท็จใส่ร้ายศัตรูของ อเมริกา และ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ของ อเมริกา
    .
    รวม 3-4 องค์กรนี้ ใช้งบปาเข้าไปเป็นแสนล้านดอลลาร์
    .
    กระทั่งมาถึง องค์กร NATO ที่ อเมริกา ใช้งบประมาณ แบกไว้ เกิน 60% ของสมาชิก NATO ทั้งหมด
    .
    ทรัมป์ พูดไม่ผิด ทำไม อเมริกา ต้องแบก NATO เพราะเพื่อปัญหา "ขี้ขึ้นสมองของยุโรป" ถ้า ยุโรป กลัว รัสเซีย จะรุกราน ก็จ่ายเงินเองสิ
    .
    ก่อนหน้านี้ อเมริกา ปกครองโดย พวกซ้ายจัด จึงแสร้งทำตัวราวกับเป็นนักบุญ (แต่ทำชั่วทุกวัน)
    .
    และ แน่นอนว่าต้องการวางตัวเป็นพี่ใหญ่ เป็นนักเลงคุมตรอก และ ต้องการควบคุมโลก และ เขียนระเบียบโลก ที่เอาเปรียบคนอื่นเสมอมาตลอดไป
    .
    อเมริกา จึงเป็นประเทศเดียวที่ใช้งบประมาณทางการทหาร เป็นอันดับ 1 ซึ่งมากกว่า อันดับ 2-7 รวมกัน
    .
    เพราะเหตุนี้ ทรัมป์ มองว่า เป็นเหตุผลให้ถ่วง อเมริกา ไม่สามารถพัฒนาประเทศได้เลย กระทั่งถูก จีน หายใจรดต้นคอ และ แซงไปในหลายด้านแล้ว
    .
    ขณะเดียวกันกับที่ ทรัมป์ ขอเจรจาหยุดยิง 30 วัน ในยูเครน ปูติน เองก็ไม่ได้โง่ เขารู้ว่า ยูโรปกำลังทำอะไร ฝรั่งเศส กับ อังกฤษ ห้าวเป้ง ปากดีขนาดไหน
    .
    ปูติน มีประสบการณ์ ก่อนหน้านี้ ที่เคยโดน อเมริกา และ ยุโรป รวมหัวกันหลอกเขา ในสนธิสัญญากรุงมินสก์
    .
    ซึ่ง แองเกลลา เมอร์เคิล ยอมรับเองกับปากว่า "เราหลอกรัสเซีย"
    .
    หลอกในที่นี้คือ หลอกให้ รัสเซีย เซ็นสัญญากรุงมินสก์ ให้หยุดยิงกัน ระหว่างประชาชนในแคว้นดอนบาส กับ พวกนีโอนาซี ยื้อเวลา ให้พวก นีโอนาซี และ ยูเครน สะสมกำลังรบกระทั่ง ยูเครน พร้อมจะรบกับ รัสเซีย (แต่ รัสเซีย ดันบุกก่อน)
    .
    ทั้งหมดมันส่อ มีแสดงชัดว่า ยุโรป เองนั่นแหล่ะ ที่ต้องการจัดการ รัสเซีย และ อเมริกา ก็ใช้ประโยชน์จากความ ประสาทแดก ขี้ขึ้นสมอง ของ ยุโรป ในการหาประโยชน์...
    .
    ปูติน ไม่ได้โง่ครับ เขาไม่ได้ต้องการครอบครอง ยูเครน ทั่งหมด รัสเซีย พูดมานานแล้วว่า ต้องการให้ ยูเครน เป็น บัฟเฟอร์สเตท เป็นรัฐที่เป็นกลาง ไม่ฝั่กใฝ่ฝ่ายใด
    .
    และ ยูเครน ก็กว้างใหญ่เกินไป ที่ รัสเซีย จะใช้ทหารเข้าไปยึดครองพื้นที่ทั้งหมด ปูติน คือ อดีตสายลับ KGB ความฉลาดนั้นไม่ต้องสงสัย ฉลาดกว่าผู้ปกครองหลายประเทศเยอะ
    .
    รัสเซีย ไม่ได้เป็นภัยของใครเลย ขณะเดียวกัน ในยุคใหม่ที่ ปูติน ปกครองรัสเซีย รัสเซีย เริ่มกลับมามีที่ยืนในเวทีโลก ทำการค้า และ ส่งน้ำมัน ก๊าซ และ ธัญพืชให้ยูโรป
    .
    ยูโรป เองต่างหากที่มีจิตใต้สำนึก หวาดระแวงจนถึงขั้น ขี้ขึ้นสมอง และ อเมริกา ก็ไม่ต้องการให้ รัสเซีย แข็งแรงขึ้น จึงสามารถใช้ประโยชน์จากการนี้เสมอมา...
    .
    สรุป ปูนติน น่าจะต้องการ การหยุดยิงถาวร พร้อมแพ็กเกจเพิ่มเติม เช่น ห้าม ยูเครน เข้า NATO ชั่วกาลปาวสาน ยกเลิกการคว่ำบาตรทางการค้า ต้องคืนทรัพสินของรัสเซียที่ยึดไป รับรอง ไครเมียร์ และ แคว้นที่รัสเซียยึดครองได้แล้ว เป็นแผ่นดินของรัสเซีย ห้ามมีทหาร NATO ใน ยูเครน
    ## สรุป ประเด็นเกี่ยวข้องกับ สงครามยูเครน ## .. .. อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ระดมพลเตรียมส่งทหารเข้าไปใน ยูเครน . ขณะที่ อิตาลี ไม่เห็นด้วย และ สนับสนุนแนวทางการเจรจาของ ทรัมป์ . แน่นอนว่า ยูโรป อีกหลายประเทศ สนับสนุน การรวมตัวจัดตั้งกองกำลังขึ้นเพื่อจัดการ รัสเซีย หลัง อเมริกา มีท่าที ละทิ้ง NATO . ทรัมป์ คือ พ่อค้า เขาคำนวณถึงผลได้ผลเสีย เขามีเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ดังนั้นกิจกรรมใดที่สิ้นเปลื้องทรัพยากรโดยใช่เหตุ ทรัมป์ จะตัดออกทั้งหมด . เช่น งบประมาณสนับสนุน USAID และ NED กระทั่ง VOA เพราะองค์กรเหล่านี้ ใช้เงินจำนวนมหาศาล . เช่น . USAID ใช้เงินหลายหมื่นล้านในปีที่แล้ว สนับสนุน กลุ่มบุคคลในประเทศอื่น เพื่อแทรกซึม แทรกแซง กิจการภายใน และ การเมืองภายในประเทศอื่น . รวมไปถึง NED และ CIA ก็เช่นกัน . ส่วน VOA เป็น สถานีข่าว Propaganda สำหรับ โฆษณาชวนเชื่อ สร้างข่าวเท็จใส่ร้ายศัตรูของ อเมริกา และ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ของ อเมริกา . รวม 3-4 องค์กรนี้ ใช้งบปาเข้าไปเป็นแสนล้านดอลลาร์ . กระทั่งมาถึง องค์กร NATO ที่ อเมริกา ใช้งบประมาณ แบกไว้ เกิน 60% ของสมาชิก NATO ทั้งหมด . ทรัมป์ พูดไม่ผิด ทำไม อเมริกา ต้องแบก NATO เพราะเพื่อปัญหา "ขี้ขึ้นสมองของยุโรป" ถ้า ยุโรป กลัว รัสเซีย จะรุกราน ก็จ่ายเงินเองสิ . ก่อนหน้านี้ อเมริกา ปกครองโดย พวกซ้ายจัด จึงแสร้งทำตัวราวกับเป็นนักบุญ (แต่ทำชั่วทุกวัน) . และ แน่นอนว่าต้องการวางตัวเป็นพี่ใหญ่ เป็นนักเลงคุมตรอก และ ต้องการควบคุมโลก และ เขียนระเบียบโลก ที่เอาเปรียบคนอื่นเสมอมาตลอดไป . อเมริกา จึงเป็นประเทศเดียวที่ใช้งบประมาณทางการทหาร เป็นอันดับ 1 ซึ่งมากกว่า อันดับ 2-7 รวมกัน . เพราะเหตุนี้ ทรัมป์ มองว่า เป็นเหตุผลให้ถ่วง อเมริกา ไม่สามารถพัฒนาประเทศได้เลย กระทั่งถูก จีน หายใจรดต้นคอ และ แซงไปในหลายด้านแล้ว . ขณะเดียวกันกับที่ ทรัมป์ ขอเจรจาหยุดยิง 30 วัน ในยูเครน ปูติน เองก็ไม่ได้โง่ เขารู้ว่า ยูโรปกำลังทำอะไร ฝรั่งเศส กับ อังกฤษ ห้าวเป้ง ปากดีขนาดไหน . ปูติน มีประสบการณ์ ก่อนหน้านี้ ที่เคยโดน อเมริกา และ ยุโรป รวมหัวกันหลอกเขา ในสนธิสัญญากรุงมินสก์ . ซึ่ง แองเกลลา เมอร์เคิล ยอมรับเองกับปากว่า "เราหลอกรัสเซีย" . หลอกในที่นี้คือ หลอกให้ รัสเซีย เซ็นสัญญากรุงมินสก์ ให้หยุดยิงกัน ระหว่างประชาชนในแคว้นดอนบาส กับ พวกนีโอนาซี ยื้อเวลา ให้พวก นีโอนาซี และ ยูเครน สะสมกำลังรบกระทั่ง ยูเครน พร้อมจะรบกับ รัสเซีย (แต่ รัสเซีย ดันบุกก่อน) . ทั้งหมดมันส่อ มีแสดงชัดว่า ยุโรป เองนั่นแหล่ะ ที่ต้องการจัดการ รัสเซีย และ อเมริกา ก็ใช้ประโยชน์จากความ ประสาทแดก ขี้ขึ้นสมอง ของ ยุโรป ในการหาประโยชน์... . ปูติน ไม่ได้โง่ครับ เขาไม่ได้ต้องการครอบครอง ยูเครน ทั่งหมด รัสเซีย พูดมานานแล้วว่า ต้องการให้ ยูเครน เป็น บัฟเฟอร์สเตท เป็นรัฐที่เป็นกลาง ไม่ฝั่กใฝ่ฝ่ายใด . และ ยูเครน ก็กว้างใหญ่เกินไป ที่ รัสเซีย จะใช้ทหารเข้าไปยึดครองพื้นที่ทั้งหมด ปูติน คือ อดีตสายลับ KGB ความฉลาดนั้นไม่ต้องสงสัย ฉลาดกว่าผู้ปกครองหลายประเทศเยอะ . รัสเซีย ไม่ได้เป็นภัยของใครเลย ขณะเดียวกัน ในยุคใหม่ที่ ปูติน ปกครองรัสเซีย รัสเซีย เริ่มกลับมามีที่ยืนในเวทีโลก ทำการค้า และ ส่งน้ำมัน ก๊าซ และ ธัญพืชให้ยูโรป . ยูโรป เองต่างหากที่มีจิตใต้สำนึก หวาดระแวงจนถึงขั้น ขี้ขึ้นสมอง และ อเมริกา ก็ไม่ต้องการให้ รัสเซีย แข็งแรงขึ้น จึงสามารถใช้ประโยชน์จากการนี้เสมอมา... . สรุป ปูนติน น่าจะต้องการ การหยุดยิงถาวร พร้อมแพ็กเกจเพิ่มเติม เช่น ห้าม ยูเครน เข้า NATO ชั่วกาลปาวสาน ยกเลิกการคว่ำบาตรทางการค้า ต้องคืนทรัพสินของรัสเซียที่ยึดไป รับรอง ไครเมียร์ และ แคว้นที่รัสเซียยึดครองได้แล้ว เป็นแผ่นดินของรัสเซีย ห้ามมีทหาร NATO ใน ยูเครน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'จอร์เจีย เมโลนี' นายกรัฐมนตรีอิตาลี ปฏิเสธแนวคิดประจำการทหารในยูเครน หลังฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรเสนอส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ารับประกันข้อตกลงหยุดยิงระหว่างเคียฟกับมอสโก ครั้งที่ทั้ง 2 ฝ่ายบรรลุข้อตกลงกันได้แล้ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000026099
    'จอร์เจีย เมโลนี' นายกรัฐมนตรีอิตาลี ปฏิเสธแนวคิดประจำการทหารในยูเครน หลังฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรเสนอส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ารับประกันข้อตกลงหยุดยิงระหว่างเคียฟกับมอสโก ครั้งที่ทั้ง 2 ฝ่ายบรรลุข้อตกลงกันได้แล้ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000026099
    Like
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2025 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ หนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสเผย ชาวฝรั่งเศส 86% สนับสนุนการเกณฑ์ทหาร โดย 53% เห็นควรใช้การเกณฑ์ทหารภาคบังคับ ขณะที่นักการเมืองไทยเรา อุตริลดกำลังพล ลดงบประมาณ โดยไม่ดูบริบทความจัดแย้งโลก และในภูมิภาค เพียงเพราะต้องการสาวแค้นการปฏิวัติ
    #7ดอกจิก
    ♣ หนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสเผย ชาวฝรั่งเศส 86% สนับสนุนการเกณฑ์ทหาร โดย 53% เห็นควรใช้การเกณฑ์ทหารภาคบังคับ ขณะที่นักการเมืองไทยเรา อุตริลดกำลังพล ลดงบประมาณ โดยไม่ดูบริบทความจัดแย้งโลก และในภูมิภาค เพียงเพราะต้องการสาวแค้นการปฏิวัติ #7ดอกจิก
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ถึงแม้ว่าโลกเกมจะเต็มไปด้วยความสนุกสนานและความหลากหลายของผู้เล่น แต่ในมุมของผู้หญิงที่ทำงานในอุตสาหกรรมนี้ ยังมีปัญหาใหญ่ที่ต้องเผชิญ ผู้หญิงหลายคนเล่าถึงประสบการณ์ที่ถูกล่วงละเมิดหรือไม่ได้รับความเคารพในที่ทำงาน ตัวเลขของผู้หญิงในสายเทคโนโลยียังต่ำมาก แม้จะมีความพยายามเปลี่ยนแปลง เช่น บริษัทใหญ่อย่าง Ubisoft ได้ลงมือปรับปรุงระบบภายใน แต่วิกฤตเศรษฐกิจกลับทำให้ปัญหาใหม่เกิดขึ้น เช่น การลดตำแหน่งงานและการลดงบประมาณสนับสนุนด้านความหลากหลาย เรื่องนี้ยังเป็นความท้าทายใหญ่ที่ต้องแก้ไขต่อไป

    สถิติที่น่าตกใจ:
    - มีการเติบโตของจำนวนผู้หญิงในวงการเกมในฝรั่งเศสจาก 15% ในปี 2018 เป็น 24% ในปี 2023 แต่ในตำแหน่งงานด้านเทคนิค เช่น การออกแบบและเขียนโค้ด ยังคงมีผู้หญิงน้อยกว่า 10%.

    การดำเนินการของบริษัทใหญ่:
    - Ubisoft มีการปรับปรุงด้านทรัพยากรบุคคลและตั้งทีมดูแลพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ขณะที่อดีตผู้บริหารบางรายถูกไล่ออกและอยู่ระหว่างรอการพิจารณาคดี

    ความกังวลในยุคเศรษฐกิจไม่มั่นคง:
    - ปัญหาเศรษฐกิจทำให้บริษัทเกมหลายแห่งลดจำนวนงาน และผู้หญิงที่อยู่ในตำแหน่งล่าง ๆ ขององค์กรมักได้รับผลกระทบก่อน
    - การลดทรัพยากรสำหรับความหลากหลายและความเท่าเทียมกัน (Diversity, Equity, Inclusion: DEI) กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจถอยหลังไปสู่ปัญหาเดิม

    ผลกระทบทางวัฒนธรรม:
    - ผู้หญิงหลายคนไม่กล้าเปิดเผยปัญหาเพราะกลัวเสียชื่อเสียงหรือถูกแบล็กลิสต์ในวงการที่เล็กและเชื่อมโยงกันมาก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/18/games-industry-still-a-hostile-environment-for-many-women
    "ถึงแม้ว่าโลกเกมจะเต็มไปด้วยความสนุกสนานและความหลากหลายของผู้เล่น แต่ในมุมของผู้หญิงที่ทำงานในอุตสาหกรรมนี้ ยังมีปัญหาใหญ่ที่ต้องเผชิญ ผู้หญิงหลายคนเล่าถึงประสบการณ์ที่ถูกล่วงละเมิดหรือไม่ได้รับความเคารพในที่ทำงาน ตัวเลขของผู้หญิงในสายเทคโนโลยียังต่ำมาก แม้จะมีความพยายามเปลี่ยนแปลง เช่น บริษัทใหญ่อย่าง Ubisoft ได้ลงมือปรับปรุงระบบภายใน แต่วิกฤตเศรษฐกิจกลับทำให้ปัญหาใหม่เกิดขึ้น เช่น การลดตำแหน่งงานและการลดงบประมาณสนับสนุนด้านความหลากหลาย เรื่องนี้ยังเป็นความท้าทายใหญ่ที่ต้องแก้ไขต่อไป สถิติที่น่าตกใจ: - มีการเติบโตของจำนวนผู้หญิงในวงการเกมในฝรั่งเศสจาก 15% ในปี 2018 เป็น 24% ในปี 2023 แต่ในตำแหน่งงานด้านเทคนิค เช่น การออกแบบและเขียนโค้ด ยังคงมีผู้หญิงน้อยกว่า 10%. การดำเนินการของบริษัทใหญ่: - Ubisoft มีการปรับปรุงด้านทรัพยากรบุคคลและตั้งทีมดูแลพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ขณะที่อดีตผู้บริหารบางรายถูกไล่ออกและอยู่ระหว่างรอการพิจารณาคดี ความกังวลในยุคเศรษฐกิจไม่มั่นคง: - ปัญหาเศรษฐกิจทำให้บริษัทเกมหลายแห่งลดจำนวนงาน และผู้หญิงที่อยู่ในตำแหน่งล่าง ๆ ขององค์กรมักได้รับผลกระทบก่อน - การลดทรัพยากรสำหรับความหลากหลายและความเท่าเทียมกัน (Diversity, Equity, Inclusion: DEI) กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจถอยหลังไปสู่ปัญหาเดิม ผลกระทบทางวัฒนธรรม: - ผู้หญิงหลายคนไม่กล้าเปิดเผยปัญหาเพราะกลัวเสียชื่อเสียงหรือถูกแบล็กลิสต์ในวงการที่เล็กและเชื่อมโยงกันมาก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/18/games-industry-still-a-hostile-environment-for-many-women
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Games industry still a hostile environment for many women
    Five years on from a first wave of harassment scandals that rocked the world of gaming, multiple women working in the industry tell AFP they have seen or experienced sexism in the workplace, fearing economic hardship in the sector will lead to backsliding.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความสัมพันธ์สหรัฐฯ กับชาติยุโรปดูจะราวฉานยิ่งขึ้น หลังจาก ราฟาเอล กลุกส์มันน์ นักการเมืองฝรั่งเศสจากพรรคฝ่ายกลางซ้าย Place Publique และสมาชิกรัฐสภายุโรป (European Parliament) กล่าวในการประชุมพรรคว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ควรคืนเทพีเสรีภาพให้ฝรั่งเศส เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นตัวแทนของเสรีภาพอีกต่อไป

    เทพีเสรีภาพ เป็นของขวัญจากฝรั่งเศสที่มอบให้แก่สหรัฐฯ เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี การประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯถูกส่งถึงท่าเรือในนครนิวยอร์กเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 1886

    ออกแบบโดยชาวฝรั่งเศสชื่อ ออกุสต์ บาร์โธลดี โดยที่ปารีสก็มีรูปปั้นจำลองของเทพีเสรีภาพ แต่มีขนาดเล็กกว่า ตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ริมแม่น้ำแซน

    สำหรับกลุกส์มันน์นั้น เป็นนัการเมืองฝรั่งเศสที่แสดงท่าทีปกป้องยูเครนอย่างแข็งขันมาโดยตลอดในการทำสงครามกับรัสเซีย และได้วิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดี สหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างรุนแรง เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการช่วยเหลือยูเครน
    ความสัมพันธ์สหรัฐฯ กับชาติยุโรปดูจะราวฉานยิ่งขึ้น หลังจาก ราฟาเอล กลุกส์มันน์ นักการเมืองฝรั่งเศสจากพรรคฝ่ายกลางซ้าย Place Publique และสมาชิกรัฐสภายุโรป (European Parliament) กล่าวในการประชุมพรรคว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ควรคืนเทพีเสรีภาพให้ฝรั่งเศส เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นตัวแทนของเสรีภาพอีกต่อไป เทพีเสรีภาพ เป็นของขวัญจากฝรั่งเศสที่มอบให้แก่สหรัฐฯ เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี การประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯถูกส่งถึงท่าเรือในนครนิวยอร์กเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 1886 ออกแบบโดยชาวฝรั่งเศสชื่อ ออกุสต์ บาร์โธลดี โดยที่ปารีสก็มีรูปปั้นจำลองของเทพีเสรีภาพ แต่มีขนาดเล็กกว่า ตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ริมแม่น้ำแซน สำหรับกลุกส์มันน์นั้น เป็นนัการเมืองฝรั่งเศสที่แสดงท่าทีปกป้องยูเครนอย่างแข็งขันมาโดยตลอดในการทำสงครามกับรัสเซีย และได้วิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดี สหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างรุนแรง เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการช่วยเหลือยูเครน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 286 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมดเวเดฟ กล่าวถึงนาโต้ว่า “ยอมรับเถอะ พวกคุณต้องการสงคราม”

    ดมิทรี เมดเวเดฟกล่าวถึงฝรั่งเศสและอังกฤษว่าทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นด้วยการเป็นตัวตั้งตัวตีพยายามให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่เคียฟ ทั้งที่รัสเซียคัดค้านกองกำลังนาโต้ในยูเครนอย่างชัดเจน

    “มาครงและสตาร์เมอร์ทำเหมือนแกล้งโง่… ยอมรับมาเถอะว่าการที่พวกคุณต้องการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่พวกนีโอนาซีในเคียฟ นั่นหมายถึงต้องการให้เกิดสงครามรัสเซียกับนาโต้” รองประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งรัสเซียกล่าว

    นอกจากนี้ เมดเวเดฟยังแนะนำให้ปารีสและลอนดอนไปคุยกับทรัมป์ก่อนตัดสินใจกันเองซึ่งอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าครั้งใหญ่โดยไม่ม่สหรัฐร่วมด้วย

    ขณะเดียวกัน มีรายงานจากหนังสือพิมพ์ The Times ของอังกฤษว่า อังกฤษเตรียมส่งทหาร 10,000 นายไปยูเครนภายใต้ภารกิจรักษาสันติภาพระยะยาว โดยไม่มีแผนการถอนทหารที่ชัดเจน

    โดยที่กองกำลังทหารอังกฤษจะประจำการอยู่ในอยู่เครนตราบเท่าที่จำเป็น โดยไม่กำหนดระยะเวลา ซึ่งจะทำหน้าที่ "รักษาข้อตกลงสันติภาพ" และ "ปกป้องยูเครนจากภัยคุกคามจากรัสเซีย"

    แนวคิดของอังกฤษที่ส่งกองกำลังหลายพันนายโดยไม่กำหนดระยะเวลา ทำให้เกิดคำถามว่านี่เป็นการ "ปกป้องหรือเข้ายึดครอง"
    เมดเวเดฟ กล่าวถึงนาโต้ว่า “ยอมรับเถอะ พวกคุณต้องการสงคราม” ดมิทรี เมดเวเดฟกล่าวถึงฝรั่งเศสและอังกฤษว่าทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นด้วยการเป็นตัวตั้งตัวตีพยายามให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่เคียฟ ทั้งที่รัสเซียคัดค้านกองกำลังนาโต้ในยูเครนอย่างชัดเจน “มาครงและสตาร์เมอร์ทำเหมือนแกล้งโง่… ยอมรับมาเถอะว่าการที่พวกคุณต้องการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่พวกนีโอนาซีในเคียฟ นั่นหมายถึงต้องการให้เกิดสงครามรัสเซียกับนาโต้” รองประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งรัสเซียกล่าว นอกจากนี้ เมดเวเดฟยังแนะนำให้ปารีสและลอนดอนไปคุยกับทรัมป์ก่อนตัดสินใจกันเองซึ่งอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าครั้งใหญ่โดยไม่ม่สหรัฐร่วมด้วย ขณะเดียวกัน มีรายงานจากหนังสือพิมพ์ The Times ของอังกฤษว่า อังกฤษเตรียมส่งทหาร 10,000 นายไปยูเครนภายใต้ภารกิจรักษาสันติภาพระยะยาว โดยไม่มีแผนการถอนทหารที่ชัดเจน โดยที่กองกำลังทหารอังกฤษจะประจำการอยู่ในอยู่เครนตราบเท่าที่จำเป็น โดยไม่กำหนดระยะเวลา ซึ่งจะทำหน้าที่ "รักษาข้อตกลงสันติภาพ" และ "ปกป้องยูเครนจากภัยคุกคามจากรัสเซีย" แนวคิดของอังกฤษที่ส่งกองกำลังหลายพันนายโดยไม่กำหนดระยะเวลา ทำให้เกิดคำถามว่านี่เป็นการ "ปกป้องหรือเข้ายึดครอง"
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 325 มุมมอง 0 รีวิว
  • ราฟาเอล กลุคสมันน์ สมาชิกรัฐสภายุโรปจากฝรั่งเศส เรียกร้องให้สหรัฐฯ ส่งคืนรูปปั้นเทพีเสรีภาพ อ้างว่านโยบายที่เปลี่ยนไปเมื่อเร็วๆ นี้ภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สวนทางกับค่านิยมพื้นฐานที่มีรูปปั้นดังกล่าวเป็นตัวแทน

    รูปปั้นเทพีเสรีภาพ ออกแบบโดยประติมากรชาวฝรั่งเศส เฟรเดอริก ออกุสต์ บาร์โธลดี และสร้างโดยกุสตาฟ ไอเฟล เป็นของขวัญที่ฝรั่งเศสมอบให้แก่สหรัฐฯ ในวาระเฉลิมฉลองครบรอบหนึ่งศตวรรษ การประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1876 และนับตั้งแต่ปี 1886 เป็นต้นมา มันยื่นตระหง่านในอ่าวนิวยอร์ก ในฐานะเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพและเป็นดวงประทีปสำหรับคนเข้าเมืองที่กำลังเสาะหาชีวิตที่ดีกว่าเดิม

    กลุคสมันน์ สมาชิกรัฐสภายุโรป หัวซ้ายกลางและเป็นผู้สนับสนุนยูเครนตัวยง แสดงความไม่พอใจต่อนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ ในนั้นรวมถึงการผลักดันเป็นคนกลางสันติภาพระหว่างมอสโกกับเคียฟ กล่าวหาอเมริกาเลือกยืนหยัดเคียงข้างเผด็จการ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000025325

    #MGROnline #สมาชิกรัฐสภายุโรปจากฝรั่งเศส #รูปปั้นเทพีเสรีภาพ
    ราฟาเอล กลุคสมันน์ สมาชิกรัฐสภายุโรปจากฝรั่งเศส เรียกร้องให้สหรัฐฯ ส่งคืนรูปปั้นเทพีเสรีภาพ อ้างว่านโยบายที่เปลี่ยนไปเมื่อเร็วๆ นี้ภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สวนทางกับค่านิยมพื้นฐานที่มีรูปปั้นดังกล่าวเป็นตัวแทน • รูปปั้นเทพีเสรีภาพ ออกแบบโดยประติมากรชาวฝรั่งเศส เฟรเดอริก ออกุสต์ บาร์โธลดี และสร้างโดยกุสตาฟ ไอเฟล เป็นของขวัญที่ฝรั่งเศสมอบให้แก่สหรัฐฯ ในวาระเฉลิมฉลองครบรอบหนึ่งศตวรรษ การประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1876 และนับตั้งแต่ปี 1886 เป็นต้นมา มันยื่นตระหง่านในอ่าวนิวยอร์ก ในฐานะเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพและเป็นดวงประทีปสำหรับคนเข้าเมืองที่กำลังเสาะหาชีวิตที่ดีกว่าเดิม • กลุคสมันน์ สมาชิกรัฐสภายุโรป หัวซ้ายกลางและเป็นผู้สนับสนุนยูเครนตัวยง แสดงความไม่พอใจต่อนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ ในนั้นรวมถึงการผลักดันเป็นคนกลางสันติภาพระหว่างมอสโกกับเคียฟ กล่าวหาอเมริกาเลือกยืนหยัดเคียงข้างเผด็จการ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000025325 • #MGROnline #สมาชิกรัฐสภายุโรปจากฝรั่งเศส #รูปปั้นเทพีเสรีภาพ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 292 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาครงกล่าวกับหนังสือพิมพ์เลอปารีเซียน(Le Parisien)ว่า ยุโรปสามารถส่งทหารไปยูเครนได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากรัสเซีย และแผนการของฝรั่งเศส-อังกฤษก็เป็นที่สนใจของหลายประเทศอยู่แล้ว

    "เป้าหมายไม่ใช่การส่งทหารจำนวนมาก แต่ส่งทหารเพียงไม่กี่พันนายไปฝึกที่เคียฟ โอเดสซา และลวิฟ การสนับสนุนของเราคือยูเครนเป็นเอกราช และปูตินไม่มีสิทธิ์พูด" เขากล่าวเน้นย้ำ
    มาครงกล่าวกับหนังสือพิมพ์เลอปารีเซียน(Le Parisien)ว่า ยุโรปสามารถส่งทหารไปยูเครนได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากรัสเซีย และแผนการของฝรั่งเศส-อังกฤษก็เป็นที่สนใจของหลายประเทศอยู่แล้ว "เป้าหมายไม่ใช่การส่งทหารจำนวนมาก แต่ส่งทหารเพียงไม่กี่พันนายไปฝึกที่เคียฟ โอเดสซา และลวิฟ การสนับสนุนของเราคือยูเครนเป็นเอกราช และปูตินไม่มีสิทธิ์พูด" เขากล่าวเน้นย้ำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • พาเวล ดูรอฟ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Telegram ได้รับอนุญาตจากทางการฝรั่งเศสให้เดินทางออกจากประเทศเป็นการชั่วคราว หลังจากที่เขาถูกตรวจสอบเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการกระทำความผิดทางอาญาบนแพลตฟอร์ม Telegram โดยเหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างฝรั่งเศสและรัสเซีย และก่อให้เกิดข้อถกเถียงเรื่องเสรีภาพในการพูดและการบังคับใช้กฎหมายบนโลกอินเทอร์เน็ต

    ดูรอฟถูกจับกุมในเดือนสิงหาคมปีที่แล้วที่สนามบินใกล้ปารีส และถูกจำกัดให้อยู่ในฝรั่งเศสระหว่างกระบวนการสอบสวน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเขาได้รับอนุญาตจากผู้พิพากษาให้เดินทางออกนอกประเทศได้เป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์ โดยเขาคาดว่าจะเดินทางไปยังดูไบ ทางอัยการฝรั่งเศสระบุว่าดูรอฟถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินแพลตฟอร์มที่ใช้สำหรับการกระทำผิด เช่น การค้ายาเสพติดและการฟอกเงิน ซึ่งเขายังต้องวางเงินประกันเป็นจำนวน 5 ล้านยูโร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/16/telegram039s-durov-allowed-to-leave-france-amid-probe-afp-reports
    พาเวล ดูรอฟ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Telegram ได้รับอนุญาตจากทางการฝรั่งเศสให้เดินทางออกจากประเทศเป็นการชั่วคราว หลังจากที่เขาถูกตรวจสอบเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการกระทำความผิดทางอาญาบนแพลตฟอร์ม Telegram โดยเหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างฝรั่งเศสและรัสเซีย และก่อให้เกิดข้อถกเถียงเรื่องเสรีภาพในการพูดและการบังคับใช้กฎหมายบนโลกอินเทอร์เน็ต ดูรอฟถูกจับกุมในเดือนสิงหาคมปีที่แล้วที่สนามบินใกล้ปารีส และถูกจำกัดให้อยู่ในฝรั่งเศสระหว่างกระบวนการสอบสวน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเขาได้รับอนุญาตจากผู้พิพากษาให้เดินทางออกนอกประเทศได้เป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์ โดยเขาคาดว่าจะเดินทางไปยังดูไบ ทางอัยการฝรั่งเศสระบุว่าดูรอฟถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินแพลตฟอร์มที่ใช้สำหรับการกระทำผิด เช่น การค้ายาเสพติดและการฟอกเงิน ซึ่งเขายังต้องวางเงินประกันเป็นจำนวน 5 ล้านยูโร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/16/telegram039s-durov-allowed-to-leave-france-amid-probe-afp-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Telegram's Durov allowed to leave France amid probe, AFP reports
    PARIS (Reuters) - French authorities have allowed Pavel Durov, the Russian-born founder and CEO of Telegram, to leave France temporarily in a loosening of his obligations under a probe into criminal activities on the messaging app, the French news agency AFP reported on Saturday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย้อนดูท่าทางของเซเลนสกีที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดียูเครน ขณะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดนอร์มังดี ในปารีส ประเทศฝรั่งเศส ธันวาคม 2019

    ท่าทางของเซเลนสกี อดีตดาวตลก ที่เพิ่งชนะเลือกตั้งเมื่อช่วงต้นปี 2019 หลายฝ่ายมองว่าไม่ให้เกียรติและกำลังดูหมิ่นประธานาธิบดีปูติน ขณะที่เขากำลังพูดถึงความสำคัญในการปฏิบัติตามข้อตกลงมินสค์ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยลดความขัดแย้งในแคว้นดอนบาสของยูเครนที่ยืดเยื้อมานานกว่า 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2014 หลังจากภูมิภาคโดเนตส์ก (Donetsk) และลูฮันส์ก (Luhansk) ทำสงครามแยกตัวเป็นเอกราชจากยูเครน ไม่นานหลังจากรัสเซียผนวกแหลมไครเมียของยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน

    แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ข้อตกลงมินสค์ที่ออกมาจากการประชุมครั้งนั้น ไม่เคยมีไว้เพื่อปฏิบัติตามเลย แม้แต่นางอังเกลา แมร์เคิล อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ก็ยอมรับในเวลาต่อมาว่าข้อตกลงนี้ถูกจัดฉากขึ้นมาเพื่อหลอกรัสเซีย และเพื่อซื้อเวลาและอาวุธให้ยูเครนได้เตรียมตัวก่อนทำสงครามจริงจัง
    ย้อนดูท่าทางของเซเลนสกีที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดียูเครน ขณะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดนอร์มังดี ในปารีส ประเทศฝรั่งเศส ธันวาคม 2019 ท่าทางของเซเลนสกี อดีตดาวตลก ที่เพิ่งชนะเลือกตั้งเมื่อช่วงต้นปี 2019 หลายฝ่ายมองว่าไม่ให้เกียรติและกำลังดูหมิ่นประธานาธิบดีปูติน ขณะที่เขากำลังพูดถึงความสำคัญในการปฏิบัติตามข้อตกลงมินสค์ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยลดความขัดแย้งในแคว้นดอนบาสของยูเครนที่ยืดเยื้อมานานกว่า 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2014 หลังจากภูมิภาคโดเนตส์ก (Donetsk) และลูฮันส์ก (Luhansk) ทำสงครามแยกตัวเป็นเอกราชจากยูเครน ไม่นานหลังจากรัสเซียผนวกแหลมไครเมียของยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ข้อตกลงมินสค์ที่ออกมาจากการประชุมครั้งนั้น ไม่เคยมีไว้เพื่อปฏิบัติตามเลย แม้แต่นางอังเกลา แมร์เคิล อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ก็ยอมรับในเวลาต่อมาว่าข้อตกลงนี้ถูกจัดฉากขึ้นมาเพื่อหลอกรัสเซีย และเพื่อซื้อเวลาและอาวุธให้ยูเครนได้เตรียมตัวก่อนทำสงครามจริงจัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • 20 ปี สิ้น “สาวสองพันปี” เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ ✨ เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น 🟣 ผู้นำเทรนด์ม่วงหัวจรดเท้า สาวเปรี้ยวแห่งยุค

    ย้อนตำนานเจ้าแม่ตัดริบบิ้น เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ หญิงสาวผู้เปลี่ยนทุกเวที ให้กลายเป็นรันเวย์แฟชั่นสีม่วง ตลอด 69 ปีเต็มของชีวิต ตัวแทนความเปรี้ยว และกล้าฉีกกฎยุคสมัยอย่างแท้จริง

    เสน่ห์ที่ไม่มีวันลบเลือน วงสังคมไฮโซไทย 🌟 ถ้าจะกล่าวถึงผู้หญิง ที่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองจางหาย จากความสนใจของผู้คน ชื่อของ “เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่” หรือที่เรียกขานกันว่า "เจ้าป้า" ต้องโผล่มาในใจคนรุ่นเก่าและใหม่เสมอ 🟣 เจ้าป้าคือ "สาวสองพันปี" ตำนานแฟชั่นม่วง ที่กลายเป็นไอคอนของความเปรี้ยว ความมั่นใจ และความโดดเด่นเหนือใคร ✨

    ตลอด 69 ปีของชีวิต เจ้ากอแก้วได้สร้างตำนานในหลายบท ทั้งในฐานะลูกหลานเจ้านายฝ่ายเหนือแห่งเชียงใหม่ 🏯 นักเรียนที่มีการศึกษาระดับสากล 📚 ผู้นำแฟชั่นที่ไม่กลัวคำครหา 👜 และ "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ ที่ไม่เคยปล่อยให้เวทีไหนเงียบเหงา ❤️

    👑 เชื้อสายเจ้านายฝ่ายเหนือ อดีตผู้ครองนครเชียงใหม่ เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 ในตระกูล "ณ เชียงใหม่" อันทรงเกียรติ เป็นธิดาคนสุดท้องของเจ้ากาวิละวงศ์ กับเจ้าศิริประกาย ณ เชียงใหม่ 🌸 เป็นหลานสาวของเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย

    ชื่อที่มีความหมาย และเรื่องราวที่น่าจดจำ เมื่อแรกเกิด ได้รับพระราชทานชื่อ "ประกายกาวิล" จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐกาลที่ 7 ต่อมาเมื่อหม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา ขอเป็นแม่อุปถัมภ์ ได้ไปที่เชียงใหม่ และไปเฝ้าเจ้าตาขอให้ตั้งชื่อหลานสาวว่า “กอบแก้ว” แต่ตัว บ.ใบไม้หายไป จึงกลายเป็น “กอแก้ว” 🎉

    ✈️ เจ้ากอแก้วได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา ที่โรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย กรุงเทพฯ ก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่อ ที่ประเทศอังกฤษ 🇬🇧 และฝรั่งเศส 🇫🇷

    - Raven's Croft ในอีสต์บอร์น
    - Southampton Technical College
    - เรียนพิมพ์ดีดและเลขานุการที่ Pitman College กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
    - ฝึกมารยาทและการเข้าสังคมที่ Lucy Clayton
    - เรียนภาษาและมารยาททางสังคมที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส🇫🇷

    ภายหลัง เจ้ากอแก้วสามารถใช้ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่ว ✍️

    เจ้ากอแก้ว เจ้าแม่แฟชั่นแห่งยุคที่ไม่เคยตกเทรนด์ 💄👠 สีม่วง เอกลักษณ์ที่กลายเป็นตำนาน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ทศวรรษ สีม่วงก็ยังเป็นสีประจำตัวของเจ้าป้าคนนี้ 🔮 เจ้าป้าย้อมผมเป็นสีม่วงเข้ม ฟูฟ่องตั้งแต่รากจรดปลาย และเลือกเครื่องแต่งกายทุกชิ้น ตั้งแต่หมวก 🧢 เสื้อผ้า 👗 กระเป๋า 👜 รองเท้า 👠 ไปจนถึงต่างหู 💎 ให้เป็นสีม่วงตั้งแต่หัวจรดเท้า

    เจ้าป้าเคยกล่าวขำๆ ว่า... “ทีแรกเลย ป้าต้องการสีเปลือกมังคุด แต่ไม่รู้ว่าช่างเขาผสมยังไง ผสมไปผสมมามันก็กลายเป็นสีนี้ไปได้ พอออกมาอย่างนี้เราก็เออ สวยดีแฮะ ก็เลยเอาสีนี้ก็สีนี้แหละชอบ” 😄

    ตำนานการตัดริบบิ้นที่ไม่มีใครเทียบ เจ้าป้าได้รับฉายา "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ เพราะการปรากฏตัวที่งานเปิดตัวต่างๆ มักนำมาซึ่งโชคลาภ และความสำเร็จแก่เจ้าของกิจการ 🏢 เคยสร้างสถิติตัดริบบิ้น 8 งานในวันเดียว! เจ้าป้ามีเทคนิคเฉพาะในการ "จรดกรรไกร" ให้นักข่าวถ่ายภาพได้มุมเป๊ะทุกครั้ง 📸

    ความเปรี้ยวที่เหนือกาลเวลา 🕶 เจ้ากอแก้วเริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุ 14 ปี 🚬 ใส่เสื้อเกาะอกตั้งแต่อายุ 20 ปี 👗 และชอบดื่มไวน์ 🍷 พร้อมแต่งหน้าเข้ม ตั้งแต่ยุคที่ผู้หญิงไทยยังนิยมเรียบร้อย เจ้าป้าไม่เคยกลัวคำวิจารณ์ แต่กลับเห็นว่าเป็นสีสันของชีวิต 🖌️

    ถ้อยคำอมตะของสาวสองพันปี "คนมอง ก็อยากมองเอง ช่วยอะไรไม่ได้ เราบังคับเขาไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเห็นเราตลก เอาเราไปล้อเลียนก็เถอะ แต่เราถือว่าเขาให้เกียรติเรา" 🌟

    ❤️ เจ้ากอแก้วสมรสครั้งแรกกับ พลตำรวจโท ทิพย์ อัศวรักษ์ มีบุตรชาย 1 คน คือ ทินกร อัศวรักษ์ หรือกุ๊กกี้ ต่อมาหย่าขาดกัน และใช้ชีวิตคู่กับเรืออากาศเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช อีก 6 ปี ก่อนลงเอยกับเอดิลเบอร์โต้ โรเมโร ชาวฟิลิปปินส์ แม้ไม่มีบุตรร่วมกัน แต่ก็มีช่วงเวลาคู่ชีวิตที่มีค่า 💞

    ผลงานและหน้าที่การงานที่น่าประทับใจ 💼
    - บริษัท CTO. Lines
    - เลขานุการและมัคคุเทศก์ บริษัทซีต้า แทรเวล
    - ประชาสัมพันธ์โรงแรมชวลิต หรือแอมบาสซาเดอร์ในปัจจุบัน
    - ประชาสัมพันธ์ ศูนย์บริหารร่างกายโจแอนดรูว์
    - ที่ปรึกษาการตลาด บริษัทเดอะมอลล์กรุ๊ป

    💐 เจ้ากอแก้วประกายกาวิลเสียชีวิต เมื่อช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เวลา 10.30 น. ด้วยวัย 69 ปี สิ้นสุดตำนาน "สาวสองพันปี" ณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานหีบทองทึบ และรับพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ที่วัดธาตุทอง ✨ พิธีพระราชทานเพลิงศพ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2548

    ตำนานที่ยังคงอยู่ในใจผู้คน 🕊️ 20 ปีผ่านไป ชื่อของเจ้ากอแก้วประกายกาวิล ยังไม่จางหาย เจ้าป้าคือแรงบันดาลใจ ให้คนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง 💜

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131110 มี.ค. 2568

    #เจ้ากอแก้วประกายกาวิล #สาวสองพันปี #เจ้าแม่ตัดริบบิ้น #แฟชั่นสีม่วง #ไฮโซเชียงใหม่ #ตำนานสังคมไทย #สาวเปรี้ยวแห่งยุค #กอแก้วประกายกาวิล #ChiangMaiLegend #PurpleIcon
    20 ปี สิ้น “สาวสองพันปี” เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ ✨ เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น 🟣 ผู้นำเทรนด์ม่วงหัวจรดเท้า สาวเปรี้ยวแห่งยุค ย้อนตำนานเจ้าแม่ตัดริบบิ้น เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ หญิงสาวผู้เปลี่ยนทุกเวที ให้กลายเป็นรันเวย์แฟชั่นสีม่วง ตลอด 69 ปีเต็มของชีวิต ตัวแทนความเปรี้ยว และกล้าฉีกกฎยุคสมัยอย่างแท้จริง เสน่ห์ที่ไม่มีวันลบเลือน วงสังคมไฮโซไทย 🌟 ถ้าจะกล่าวถึงผู้หญิง ที่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองจางหาย จากความสนใจของผู้คน ชื่อของ “เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่” หรือที่เรียกขานกันว่า "เจ้าป้า" ต้องโผล่มาในใจคนรุ่นเก่าและใหม่เสมอ 🟣 เจ้าป้าคือ "สาวสองพันปี" ตำนานแฟชั่นม่วง ที่กลายเป็นไอคอนของความเปรี้ยว ความมั่นใจ และความโดดเด่นเหนือใคร ✨ ตลอด 69 ปีของชีวิต เจ้ากอแก้วได้สร้างตำนานในหลายบท ทั้งในฐานะลูกหลานเจ้านายฝ่ายเหนือแห่งเชียงใหม่ 🏯 นักเรียนที่มีการศึกษาระดับสากล 📚 ผู้นำแฟชั่นที่ไม่กลัวคำครหา 👜 และ "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ ที่ไม่เคยปล่อยให้เวทีไหนเงียบเหงา ❤️ 👑 เชื้อสายเจ้านายฝ่ายเหนือ อดีตผู้ครองนครเชียงใหม่ เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 ในตระกูล "ณ เชียงใหม่" อันทรงเกียรติ เป็นธิดาคนสุดท้องของเจ้ากาวิละวงศ์ กับเจ้าศิริประกาย ณ เชียงใหม่ 🌸 เป็นหลานสาวของเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย ชื่อที่มีความหมาย และเรื่องราวที่น่าจดจำ เมื่อแรกเกิด ได้รับพระราชทานชื่อ "ประกายกาวิล" จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐกาลที่ 7 ต่อมาเมื่อหม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา ขอเป็นแม่อุปถัมภ์ ได้ไปที่เชียงใหม่ และไปเฝ้าเจ้าตาขอให้ตั้งชื่อหลานสาวว่า “กอบแก้ว” แต่ตัว บ.ใบไม้หายไป จึงกลายเป็น “กอแก้ว” 🎉 ✈️ เจ้ากอแก้วได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา ที่โรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย กรุงเทพฯ ก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่อ ที่ประเทศอังกฤษ 🇬🇧 และฝรั่งเศส 🇫🇷 - Raven's Croft ในอีสต์บอร์น - Southampton Technical College - เรียนพิมพ์ดีดและเลขานุการที่ Pitman College กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ - ฝึกมารยาทและการเข้าสังคมที่ Lucy Clayton - เรียนภาษาและมารยาททางสังคมที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส🇫🇷 ภายหลัง เจ้ากอแก้วสามารถใช้ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่ว ✍️ เจ้ากอแก้ว เจ้าแม่แฟชั่นแห่งยุคที่ไม่เคยตกเทรนด์ 💄👠 สีม่วง เอกลักษณ์ที่กลายเป็นตำนาน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ทศวรรษ สีม่วงก็ยังเป็นสีประจำตัวของเจ้าป้าคนนี้ 🔮 เจ้าป้าย้อมผมเป็นสีม่วงเข้ม ฟูฟ่องตั้งแต่รากจรดปลาย และเลือกเครื่องแต่งกายทุกชิ้น ตั้งแต่หมวก 🧢 เสื้อผ้า 👗 กระเป๋า 👜 รองเท้า 👠 ไปจนถึงต่างหู 💎 ให้เป็นสีม่วงตั้งแต่หัวจรดเท้า เจ้าป้าเคยกล่าวขำๆ ว่า... “ทีแรกเลย ป้าต้องการสีเปลือกมังคุด แต่ไม่รู้ว่าช่างเขาผสมยังไง ผสมไปผสมมามันก็กลายเป็นสีนี้ไปได้ พอออกมาอย่างนี้เราก็เออ สวยดีแฮะ ก็เลยเอาสีนี้ก็สีนี้แหละชอบ” 😄 ตำนานการตัดริบบิ้นที่ไม่มีใครเทียบ เจ้าป้าได้รับฉายา "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ เพราะการปรากฏตัวที่งานเปิดตัวต่างๆ มักนำมาซึ่งโชคลาภ และความสำเร็จแก่เจ้าของกิจการ 🏢 เคยสร้างสถิติตัดริบบิ้น 8 งานในวันเดียว! เจ้าป้ามีเทคนิคเฉพาะในการ "จรดกรรไกร" ให้นักข่าวถ่ายภาพได้มุมเป๊ะทุกครั้ง 📸 ความเปรี้ยวที่เหนือกาลเวลา 🕶 เจ้ากอแก้วเริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุ 14 ปี 🚬 ใส่เสื้อเกาะอกตั้งแต่อายุ 20 ปี 👗 และชอบดื่มไวน์ 🍷 พร้อมแต่งหน้าเข้ม ตั้งแต่ยุคที่ผู้หญิงไทยยังนิยมเรียบร้อย เจ้าป้าไม่เคยกลัวคำวิจารณ์ แต่กลับเห็นว่าเป็นสีสันของชีวิต 🖌️ ถ้อยคำอมตะของสาวสองพันปี "คนมอง ก็อยากมองเอง ช่วยอะไรไม่ได้ เราบังคับเขาไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเห็นเราตลก เอาเราไปล้อเลียนก็เถอะ แต่เราถือว่าเขาให้เกียรติเรา" 🌟 ❤️ เจ้ากอแก้วสมรสครั้งแรกกับ พลตำรวจโท ทิพย์ อัศวรักษ์ มีบุตรชาย 1 คน คือ ทินกร อัศวรักษ์ หรือกุ๊กกี้ ต่อมาหย่าขาดกัน และใช้ชีวิตคู่กับเรืออากาศเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช อีก 6 ปี ก่อนลงเอยกับเอดิลเบอร์โต้ โรเมโร ชาวฟิลิปปินส์ แม้ไม่มีบุตรร่วมกัน แต่ก็มีช่วงเวลาคู่ชีวิตที่มีค่า 💞 ผลงานและหน้าที่การงานที่น่าประทับใจ 💼 - บริษัท CTO. Lines - เลขานุการและมัคคุเทศก์ บริษัทซีต้า แทรเวล - ประชาสัมพันธ์โรงแรมชวลิต หรือแอมบาสซาเดอร์ในปัจจุบัน - ประชาสัมพันธ์ ศูนย์บริหารร่างกายโจแอนดรูว์ - ที่ปรึกษาการตลาด บริษัทเดอะมอลล์กรุ๊ป 💐 เจ้ากอแก้วประกายกาวิลเสียชีวิต เมื่อช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เวลา 10.30 น. ด้วยวัย 69 ปี สิ้นสุดตำนาน "สาวสองพันปี" ณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานหีบทองทึบ และรับพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ที่วัดธาตุทอง ✨ พิธีพระราชทานเพลิงศพ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 ตำนานที่ยังคงอยู่ในใจผู้คน 🕊️ 20 ปีผ่านไป ชื่อของเจ้ากอแก้วประกายกาวิล ยังไม่จางหาย เจ้าป้าคือแรงบันดาลใจ ให้คนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง 💜 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131110 มี.ค. 2568 #เจ้ากอแก้วประกายกาวิล #สาวสองพันปี #เจ้าแม่ตัดริบบิ้น #แฟชั่นสีม่วง #ไฮโซเชียงใหม่ #ตำนานสังคมไทย #สาวเปรี้ยวแห่งยุค #กอแก้วประกายกาวิล #ChiangMaiLegend #PurpleIcon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 668 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานการณ์ของบริษัทเทคโนโลยีสตาร์ทอัพในประเทศฝรั่งเศสดูไม่สู้ดีนัก พวกเขากำลังเผชิญปัญหาอัตราการล้มละลายที่เพิ่มขึ้น สถานการณ์นี้อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของฝรั่งเศสในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีในยุโรปและหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจประเทศ

    ในช่วงเริ่มแรก รัฐบาลของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง มีนโยบายสนับสนุนสตาร์ทอัพและผลักดันให้ฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของยุโรป เช่น การสร้างศูนย์ Station F ในปารีส และการจัดประชุมสุดยอด AI ระดับโลก อย่างไรก็ตาม ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาทำให้บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้เจอกับข้อจำกัดในการเข้าถึงเงินทุน รายงานจาก ScaleX Invest ระบุว่า 10.4% ของบริษัทเทคโนโลยีที่ได้รับการวิเคราะห์อยู่ในความเสี่ยงสูงที่จะล้มละลาย

    ที่น่าสนใจคือ บริษัทที่ล้มละลายไม่ใช่เพียงแค่สตาร์ทอัพเริ่มต้น แต่รวมถึงบริษัทที่ได้รับเงินทุนสูงถึง 32.5 ล้านยูโร ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าสภาพเศรษฐกิจและตลาดเงินทุนที่ตึงตัวมีผลกระทบแม้แต่กับบริษัทที่มีศักยภาพ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/11/french-tech-start-up-bankruptcies-are-increasing-survey-finds
    สถานการณ์ของบริษัทเทคโนโลยีสตาร์ทอัพในประเทศฝรั่งเศสดูไม่สู้ดีนัก พวกเขากำลังเผชิญปัญหาอัตราการล้มละลายที่เพิ่มขึ้น สถานการณ์นี้อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของฝรั่งเศสในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีในยุโรปและหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจประเทศ ในช่วงเริ่มแรก รัฐบาลของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง มีนโยบายสนับสนุนสตาร์ทอัพและผลักดันให้ฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของยุโรป เช่น การสร้างศูนย์ Station F ในปารีส และการจัดประชุมสุดยอด AI ระดับโลก อย่างไรก็ตาม ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาทำให้บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้เจอกับข้อจำกัดในการเข้าถึงเงินทุน รายงานจาก ScaleX Invest ระบุว่า 10.4% ของบริษัทเทคโนโลยีที่ได้รับการวิเคราะห์อยู่ในความเสี่ยงสูงที่จะล้มละลาย ที่น่าสนใจคือ บริษัทที่ล้มละลายไม่ใช่เพียงแค่สตาร์ทอัพเริ่มต้น แต่รวมถึงบริษัทที่ได้รับเงินทุนสูงถึง 32.5 ล้านยูโร ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าสภาพเศรษฐกิจและตลาดเงินทุนที่ตึงตัวมีผลกระทบแม้แต่กับบริษัทที่มีศักยภาพ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/11/french-tech-start-up-bankruptcies-are-increasing-survey-finds
    WWW.THESTAR.COM.MY
    French tech start-up bankruptcies are increasing, survey finds
    PARIS (Reuters) - Bankruptcies in France's tech start-up sector are increasing, according to a survey published on Tuesday whose findings could undermine President Emmanuel Macron's image of Paris as a leading European tech hub and key driver of the French economy.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเดินทางของชาวยิวในประวัติ ศาสตร์ตลอดหนึ่งพันปีที่ผ่านมา

    1080 – การขับไล่จากฝรั่งเศส
    1098 – การขับไล่จากสาธารณรัฐเช็ก
    1113 – การขับไล่จากเคียฟรุส (วลาดิมีร์ โมโนมัค)
    1113 – การสังหารหมู่ชาวยิวในเคียฟ
    1147 – การขับไล่จากฝรั่งเศส
    1171 – การขับไล่จากอิตาลี
    1188 – การขับไล่จากอังกฤษ
    1198 – การขับไล่จากอังกฤษ
    1290 – การขับไล่จากอังกฤษ
    1298 – การขับไล่จากสวิตเซอร์แลนด์ (ชาวยิว 100 คนถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ)
    1306 – การขับไล่จากฝรั่งเศส (3,000 คนถูกเผาทั้งเป็น)
    1360 – การขับไล่จากฮังการี 1391 - การขับไล่ออกจากสเปน (ประหารชีวิต 30,000 คน เผาทั้งเป็น 5,000 คน)
    1394 - การขับไล่ออกจากฝรั่งเศส
    1407 - การขับไล่ออกจากโปแลนด์
    1492 - การขับไล่ออกจากสเปน (กฎหมายห้ามชาวยิวเข้าประเทศตลอดไป)
    1492 - การขับไล่ออกจากซิซิลี
    1495 - การขับไล่ออกจากลิทัวเนียและเคียฟ
    1496 - การขับไล่ออกจากโปรตุเกส
    1510 - การขับไล่ออกจากอังกฤษ
    1516 - การขับไล่ออกจากโปรตุเกส
    1516 - กฎหมายในซิซิลีอนุญาตให้ชาวยิวอาศัยอยู่ในเกตโตเท่านั้น
    1541 - การขับไล่ออกจากออสเตรีย
    1555 - การขับไล่ออกจากโปรตุเกส
    1555 - กฎหมายที่ออกในกรุงโรมอนุญาตให้ชาวยิวอาศัยอยู่ในเกตโตเท่านั้น 1567 – การขับไล่จากอิตาลี
    1570 – การขับไล่จากเยอรมนี (บรันเดนเบิร์ก)
    1580 – การขับไล่จากโนฟโกรอด (อีวานผู้โหดร้าย)
    1592 – การขับไล่จากฝรั่งเศส
    1616 – การขับไล่จากสวิตเซอร์แลนด์
    1629 – การขับไล่จากสเปนและโปรตุเกส (ฟิลิปที่ 4)
    1634 – การขับไล่จากสวิตเซอร์แลนด์
    1655 – การขับไล่จากสวิตเซอร์แลนด์
    1660 – การขับไล่จากเคียฟ
    1701 – การขับไล่ออกจากสวิตเซอร์แลนด์อย่างสมบูรณ์ (พระราชกฤษฎีกาของฟิลิปที่ 5)
    1806 – คำขาดของนโปเลียน บาดาร์จา
    1828 – การขับไล่จากเคียฟ
    1933 – การขับไล่จากเยอรมนีและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

    **ลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์สั้นๆ นี้ เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับชาวยิวในช่วงพันปีที่ผ่านมาและระบุว่าชาวยิวไม่ได้รับการยอมจำนนจากผู้คนทั่วโลก

    มีเพียงชาวอิสลามที่ต้องทนกับความชั่วร้ายของพวกเขาเท่านั้นที่ยอมทน และไม่เคยขับไล่พวกเขา

    *และพวกเขาตอบแทนชาวมุสลิม*

    *เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1948 ดินแดนของชาวมุสลิมในปาเลสไตน์ถูกยึดครองโดยกลุ่มไซออนิสต์

    จริงๆๆมีอีกเพียบ มันยาวเกินถ้าจะรวบรวม เอาเป็นว่าใครสนใจก็พิมพ์คำนี้ เเล้วค้นหามาแปลดูครับ ถ้าระบุปีด้วยยิ่งดี
    jews historically for the past thousand years expulsion
    การเดินทางของชาวยิวในประวัติ ศาสตร์ตลอดหนึ่งพันปีที่ผ่านมา 1080 – การขับไล่จากฝรั่งเศส 1098 – การขับไล่จากสาธารณรัฐเช็ก 1113 – การขับไล่จากเคียฟรุส (วลาดิมีร์ โมโนมัค) 1113 – การสังหารหมู่ชาวยิวในเคียฟ 1147 – การขับไล่จากฝรั่งเศส 1171 – การขับไล่จากอิตาลี 1188 – การขับไล่จากอังกฤษ 1198 – การขับไล่จากอังกฤษ 1290 – การขับไล่จากอังกฤษ 1298 – การขับไล่จากสวิตเซอร์แลนด์ (ชาวยิว 100 คนถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ) 1306 – การขับไล่จากฝรั่งเศส (3,000 คนถูกเผาทั้งเป็น) 1360 – การขับไล่จากฮังการี 1391 - การขับไล่ออกจากสเปน (ประหารชีวิต 30,000 คน เผาทั้งเป็น 5,000 คน) 1394 - การขับไล่ออกจากฝรั่งเศส 1407 - การขับไล่ออกจากโปแลนด์ 1492 - การขับไล่ออกจากสเปน (กฎหมายห้ามชาวยิวเข้าประเทศตลอดไป) 1492 - การขับไล่ออกจากซิซิลี 1495 - การขับไล่ออกจากลิทัวเนียและเคียฟ 1496 - การขับไล่ออกจากโปรตุเกส 1510 - การขับไล่ออกจากอังกฤษ 1516 - การขับไล่ออกจากโปรตุเกส 1516 - กฎหมายในซิซิลีอนุญาตให้ชาวยิวอาศัยอยู่ในเกตโตเท่านั้น 1541 - การขับไล่ออกจากออสเตรีย 1555 - การขับไล่ออกจากโปรตุเกส 1555 - กฎหมายที่ออกในกรุงโรมอนุญาตให้ชาวยิวอาศัยอยู่ในเกตโตเท่านั้น 1567 – การขับไล่จากอิตาลี 1570 – การขับไล่จากเยอรมนี (บรันเดนเบิร์ก) 1580 – การขับไล่จากโนฟโกรอด (อีวานผู้โหดร้าย) 1592 – การขับไล่จากฝรั่งเศส 1616 – การขับไล่จากสวิตเซอร์แลนด์ 1629 – การขับไล่จากสเปนและโปรตุเกส (ฟิลิปที่ 4) 1634 – การขับไล่จากสวิตเซอร์แลนด์ 1655 – การขับไล่จากสวิตเซอร์แลนด์ 1660 – การขับไล่จากเคียฟ 1701 – การขับไล่ออกจากสวิตเซอร์แลนด์อย่างสมบูรณ์ (พระราชกฤษฎีกาของฟิลิปที่ 5) 1806 – คำขาดของนโปเลียน บาดาร์จา 1828 – การขับไล่จากเคียฟ 1933 – การขับไล่จากเยอรมนีและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ **ลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์สั้นๆ นี้ เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับชาวยิวในช่วงพันปีที่ผ่านมาและระบุว่าชาวยิวไม่ได้รับการยอมจำนนจากผู้คนทั่วโลก มีเพียงชาวอิสลามที่ต้องทนกับความชั่วร้ายของพวกเขาเท่านั้นที่ยอมทน และไม่เคยขับไล่พวกเขา *และพวกเขาตอบแทนชาวมุสลิม* *เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1948 ดินแดนของชาวมุสลิมในปาเลสไตน์ถูกยึดครองโดยกลุ่มไซออนิสต์ จริงๆๆมีอีกเพียบ มันยาวเกินถ้าจะรวบรวม เอาเป็นว่าใครสนใจก็พิมพ์คำนี้ เเล้วค้นหามาแปลดูครับ ถ้าระบุปีด้วยยิ่งดี jews historically for the past thousand years expulsion
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 343 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ส่งหนังสือขอโทษประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับศึกวิวาทะอื้อฉาวในทำเนียบขาว จากการเปิดเผยของ สตีฟ วิตคอฟฟ์ ทูตพิเศษด้านตะวันออกกลางของสหรัฐฯ ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากผู้นำอเมริกาสั่งระงับความช่วยเหลือด้านการทหารและแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับเคียฟ
    .
    วิตคอฟฟ์ เปิดเผยในเรื่องนี้ในวันจันทร์(10มี.ค.) ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ ก่อนหน้าการประชุมกันระหว่างคณะผู้แทนสหรัฐฯกับคณะผู้แทนยูเครน ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในซาอุดีอาระเบียในสัปดาห์นี้ โดยวอชิงตันคาดหมายว่าจะมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม และหวังลงนามในข้อตกลงแร่อันสำคัญกับเคียฟ
    .
    "เซเลนสกี ส่งหนังสือถึงประธานาธิบดี เขาขอโทษต่อเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห้องทำงานรูปไข่" วิตคอฟฟ์เน้นย้ำ "ผมคิดว่ามันเป็นก้าวย่างที่สำคัญและมีการพูดคุยหารือกันมากมายระหว่างคณะทำงานของเรากับคณะทำงานยูเครน รวมไปถึงจากยุโรป ซึ่งเกี่ยวข้องกับการหารือนี้เช่นกัน"
    .
    ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ เผยว่าได้รับหนังสือที่สำคัญจากเซเลนสกีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เน้นว่าเคียฟแสดงถึงความพร้อม "ที่จะเข้าสู่โต๊ะเจรจาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีสหรัฐฯไม่ได้พาดพิงว่าเนื้อหาในจดหมายดังกล่าว มีถ้อยคำขอโทษเกี่ยวกับการโต้เถียงอันอื้อฉาวในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว
    .
    เซเลนสกี พูดเสียงดังแข่งกับ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ระหว่างพบปะพูดคุยกันที่ทำเนียบขาวเมื่อปลายเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐฯกล่าวหาผู้นำยูเครนขาดความเคารพ ไม่สำนึกบุญคุณความช่วยเหลือของสหรัฐฯในอดีตที่ผ่านมาและลังเลที่แสวงหาสันติภาพกับรัสเซีย ยิ่งไปกว่านั้นยัง "กำลังเดิมพันด้วยสงครามโลกครั้งที่ 3"
    .
    ประธานาธิบดียูเครนถูกไล่ออกจากทำเนียบขาว ก่อนหน้าการประชุมแบบลับๆจะเริ่มขึ้น
    .
    ศึกโต้เถียงกันในห้องทำงานรูปไข่ ทำให้ข้อตกลงแร่แรร์เอิร์ธของยูเครน ต้องล่าช้าออกไป และกระตุ้นให้สหรัฐฯระงับความช่วยเหลือด้านการทหารที่มอบแก่เคียฟ ตามด้วยระงับแบ่งปันข้อมูลข่าวกรอง
    .
    แม้ดูเหมือนจะเลือกขอโทษทรัมป์แบบลับๆ แต่ต่อหน้าสาธารณะแล้ว เซเลนสกี ยังคงแสดงท่าทีแข็งขืน บอกเพียงว่ารู้สึกเสียใจต่อความโกลาหลในทำเนียบขาว และเสียใจที่การพบปะพูดคุยที่ไม่เป็นไปตามแผน
    .
    มิคาอิล โพโดยัค ที่ปรึกษาประธานาธิบดียูเครน ได้ตอกย้ำท่าทีดังกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บอกว่า "เซเลนสกี มีสิทธิ์อย่างเต็มที่ทั้งในรูปแบบและเนื้อหาสาระที่เขาพยายามสื่อสารถ่ายทอดถึงคู่หูอเมริกาของเขา เกี่ยวกับแนวคิดหลักๆ ที่ว่าจะไม่มีอะไรประสบผลสำเร็จหากปราศจากการบีบบังคับรัสเซีย" เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนฝรั่งเศสในวันศุกร์(7มี.ค.) "เราจะไม่ขอโทษ สำหรับการทึกทักเอาเองว่ามันเป็นความผิดพลาด ทั้งที่มันไม่ได้เกิดขึ้น"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023258
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ส่งหนังสือขอโทษประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับศึกวิวาทะอื้อฉาวในทำเนียบขาว จากการเปิดเผยของ สตีฟ วิตคอฟฟ์ ทูตพิเศษด้านตะวันออกกลางของสหรัฐฯ ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากผู้นำอเมริกาสั่งระงับความช่วยเหลือด้านการทหารและแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับเคียฟ . วิตคอฟฟ์ เปิดเผยในเรื่องนี้ในวันจันทร์(10มี.ค.) ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ ก่อนหน้าการประชุมกันระหว่างคณะผู้แทนสหรัฐฯกับคณะผู้แทนยูเครน ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในซาอุดีอาระเบียในสัปดาห์นี้ โดยวอชิงตันคาดหมายว่าจะมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม และหวังลงนามในข้อตกลงแร่อันสำคัญกับเคียฟ . "เซเลนสกี ส่งหนังสือถึงประธานาธิบดี เขาขอโทษต่อเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห้องทำงานรูปไข่" วิตคอฟฟ์เน้นย้ำ "ผมคิดว่ามันเป็นก้าวย่างที่สำคัญและมีการพูดคุยหารือกันมากมายระหว่างคณะทำงานของเรากับคณะทำงานยูเครน รวมไปถึงจากยุโรป ซึ่งเกี่ยวข้องกับการหารือนี้เช่นกัน" . ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ เผยว่าได้รับหนังสือที่สำคัญจากเซเลนสกีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เน้นว่าเคียฟแสดงถึงความพร้อม "ที่จะเข้าสู่โต๊ะเจรจาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีสหรัฐฯไม่ได้พาดพิงว่าเนื้อหาในจดหมายดังกล่าว มีถ้อยคำขอโทษเกี่ยวกับการโต้เถียงอันอื้อฉาวในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว . เซเลนสกี พูดเสียงดังแข่งกับ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ระหว่างพบปะพูดคุยกันที่ทำเนียบขาวเมื่อปลายเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐฯกล่าวหาผู้นำยูเครนขาดความเคารพ ไม่สำนึกบุญคุณความช่วยเหลือของสหรัฐฯในอดีตที่ผ่านมาและลังเลที่แสวงหาสันติภาพกับรัสเซีย ยิ่งไปกว่านั้นยัง "กำลังเดิมพันด้วยสงครามโลกครั้งที่ 3" . ประธานาธิบดียูเครนถูกไล่ออกจากทำเนียบขาว ก่อนหน้าการประชุมแบบลับๆจะเริ่มขึ้น . ศึกโต้เถียงกันในห้องทำงานรูปไข่ ทำให้ข้อตกลงแร่แรร์เอิร์ธของยูเครน ต้องล่าช้าออกไป และกระตุ้นให้สหรัฐฯระงับความช่วยเหลือด้านการทหารที่มอบแก่เคียฟ ตามด้วยระงับแบ่งปันข้อมูลข่าวกรอง . แม้ดูเหมือนจะเลือกขอโทษทรัมป์แบบลับๆ แต่ต่อหน้าสาธารณะแล้ว เซเลนสกี ยังคงแสดงท่าทีแข็งขืน บอกเพียงว่ารู้สึกเสียใจต่อความโกลาหลในทำเนียบขาว และเสียใจที่การพบปะพูดคุยที่ไม่เป็นไปตามแผน . มิคาอิล โพโดยัค ที่ปรึกษาประธานาธิบดียูเครน ได้ตอกย้ำท่าทีดังกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บอกว่า "เซเลนสกี มีสิทธิ์อย่างเต็มที่ทั้งในรูปแบบและเนื้อหาสาระที่เขาพยายามสื่อสารถ่ายทอดถึงคู่หูอเมริกาของเขา เกี่ยวกับแนวคิดหลักๆ ที่ว่าจะไม่มีอะไรประสบผลสำเร็จหากปราศจากการบีบบังคับรัสเซีย" เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนฝรั่งเศสในวันศุกร์(7มี.ค.) "เราจะไม่ขอโทษ สำหรับการทึกทักเอาเองว่ามันเป็นความผิดพลาด ทั้งที่มันไม่ได้เกิดขึ้น" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023258 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2011 มุมมอง 0 รีวิว
  • อเมริกาเล็งใช้การประชุมกับคณะเจรจายูเครนในซาอุดีอาระเบียที่กำหนดจัดขึ้นวันอังคาร (11 มี.ค.) เพื่อวัดใจว่า เคียฟยินยอมพร้อมใจสละดินแดนให้รัสเซียเพื่อยุติสงคราม และจริงจังกับการปรับปรุงความสัมพันธ์กับคณะบริหารของทรัมป์หรือไม่ ขณะที่ทั้งทรัมป์และเซเลนสกี้ต่างแสดงความเห็นแง่ดีว่า การหารือจะมีความคืบหน้าและมีผลลัพธ์ที่ดี
    .
    มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ออกเดินทางไปยังเมืองเจดดาห์ของซาอุดีอาระเบียเมื่อวันอาทิตย์ (9 มี.ค.) เพื่อหารือกับคณะเจ้าหน้าที่ยูเครนที่นำโดยอันเดร เยมาร์ค หัวหน้าคณะทำงานของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ รวมถึงอันดรี ซีบิกา รัฐมนตรีต่างประเทศ, รัสเทม ยูเมรอฟ รัฐมนตรีกลาโหม และพาฟโล ปาลิซา ผู้บัญชาการทหาร
    .
    คณะเจ้าหน้าที่ของอเมริกายังประกอบด้วยไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษดูแลเรื่องตะวันออกกลางของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
    .
    เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของสหรัฐฯ เผยว่า วอชิงตันต้องการใช้โอกาสนี้พิจารณาว่า ยูเครนต้องการเพียงสันติภาพที่เป็นธรรมหรือสันติภาพที่เป็นจริง สนใจแค่พรมแดนเดิมในปี 2014 หรือพรมแดนในปี 2022 หรืออีกนัยหนึ่งคือยูเครนพร้อมประนีประนอมด้วยการยกดินแดนบางส่วนให้รัสเซียเพื่อแลกกับการยุติสงครามหรือไม่
    .
    ขณะเดียวกัน ไบรอัน ฮิวจ์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา แถลงว่า เซเลนสกี้มีความคืบหน้าในการฟื้นคืนความสัมพันธ์วอชิงตัน-เคียฟ หลังจากปะทะคารมกับทรัมป์ระหว่างเยือนทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ และสำทับว่า อเมริกาเฝ้ารอว่า จะเห็นการดำเนินการที่ดีเพิ่มเติมซึ่งจะนำไปสู่การยุติสงครามโหดร้ายในยูเครน
    .
    ด้านทรัมป์แสดงความเห็นแง่ดีว่า การหารือที่เจดดาห์จะมีความคืบหน้าอย่างมาก
    .
    วิตคอฟฟ์ซึ่งเป็นผู้จัดการการเจรจา เผยว่า เป้าหมายคือ การบรรลุกรอบโครงข้อตกลงสันติภาพและข้อตกลงหยุดยิงเบื้องต้น
    .
    ทั้งนี้ เซเลนสกี้ต้องการให้มการหยุดยิงทางอากาศและทะเล ตลอดจนถึงการแลกเปลี่ยนนักโทษ เพื่อทดสอบความมุ่งมั่นในการยุติสงครามของรัสเซีย ขณะที่มอสโกคัดค้านแนวคิดข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวที่อังกฤษและฝรั่งเศสเสนอ เนื่องจากเห็นว่า เป็นการซื้อเวลาของเคียฟเพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพยูเครนล่มสลาย
    .
    ทางฝ่ายเซเลนสกี้กล่าวเมื่อคืนวันอาทิตย์ก่อนออกเดินทางไปซาอุดีอาระเบีย ว่า เขาหวังว่า การเจรจาระหว่างทีมเจ้าหน้าที่ยูเครนกับอเมริกาจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ทั้งในด้านความคืบหน้าเกี่ยวกับสันติภาพและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของอเมริกา ทั้งนี้ ประธานาธิบดียูเครนมีกำหนดการเข้าพบมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ของซาอุดีอาระเบีย ในวันจันทร์ (10 ) แต่การเจรจากับทีมของสหรัฐฯในวันอังคารนั้น ตามรายงานข่าวบอกว่าเป็นภารกิจของทีมเจรจาฝ่ายยูเครน
    .
    เซเลนสกี้เสริมว่า ยูเครนพร้อมลงนามข้อตกลงแร่ธาตุกับอเมริกา ซึ่งจะมีการจัดตั้งกองทุนร่วมจากการขายแร่ธาตุของยูเครน ขณะที่วอชิงตันระบุว่า ข้อตกลงนี้มีความสำคัญต่อการที่อเมริกาจะให้การสนับสนุนเคียฟต่อไป
    .
    อย่างไรก็ดี ขณะที่การสนับสนุนของอเมริกายังไร้ความแน่นอน เซเลนสกี้ได้เรียกร้องให้พวกพันธมิตรยุโรปเพิ่มการสนับสนุนตนเอง ขณะที่เคียฟเพลี่ยงพล้ำในสนามรบมากขึ้นและกำลังถูกบดขยี้หนักให้ล่าถอยออกจากแคว้นคูร์สก์ของรัสเซีย
    .
    สำหรับมุมมองของพันธมิตรยุโรปเกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพนั้น มีการเตือนว่า ยูเครนควรทำข้อตกลงกับรัสเซียภายใต้จุดยืนที่แข็งแกร่งเท่านั้น อีกทั้งไม่ควรรีบร้อนเจรจากับผู้รุกราน
    .
    ทั้งนี้ เซเลนสกี้ระบุว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ไม่ต้องการสันติภาพ อีกทั้งบอกว่ารัสเซียยังจะโจมตีประเทศยุโรปอื่นๆ ต่อไปอีก ถ้าที่สุดแล้วไม่มีผลลัพธ์ชัดเจนว่า รัสเซียพ่ายแพ้ในการรุกรานยูเครน
    .
    ในทางกลับกัน วอชิงตันพยายามบีบทุกทางให้เคียฟยอมเจรจายุติสงครามกับรัสเซีย โดยล่าสุดถึงขั้นที่สหรัฐฯระงับการให้ความช่วยเหลือทางทหารและการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรอง รวมทั้งการเข้าถึงภาพถ่ายดาวเทียมแก่ยูเครน โดยไม่ฟังเสียงพวกโปรยูเครนที่อ้างว่า ความเคลื่อนไหวนี้เสี่ยงทำให้สงครามยืดเยื้อออกไป เนื่องจากรัสเซียจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและมีแนวโน้มลดลงในการยอมยุติศึก และยอมทำข้อตกลงสันติภาพแบบเท่าเทียมกับยูเครน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023235
    ..............
    Sondhi X
    อเมริกาเล็งใช้การประชุมกับคณะเจรจายูเครนในซาอุดีอาระเบียที่กำหนดจัดขึ้นวันอังคาร (11 มี.ค.) เพื่อวัดใจว่า เคียฟยินยอมพร้อมใจสละดินแดนให้รัสเซียเพื่อยุติสงคราม และจริงจังกับการปรับปรุงความสัมพันธ์กับคณะบริหารของทรัมป์หรือไม่ ขณะที่ทั้งทรัมป์และเซเลนสกี้ต่างแสดงความเห็นแง่ดีว่า การหารือจะมีความคืบหน้าและมีผลลัพธ์ที่ดี . มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ออกเดินทางไปยังเมืองเจดดาห์ของซาอุดีอาระเบียเมื่อวันอาทิตย์ (9 มี.ค.) เพื่อหารือกับคณะเจ้าหน้าที่ยูเครนที่นำโดยอันเดร เยมาร์ค หัวหน้าคณะทำงานของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ รวมถึงอันดรี ซีบิกา รัฐมนตรีต่างประเทศ, รัสเทม ยูเมรอฟ รัฐมนตรีกลาโหม และพาฟโล ปาลิซา ผู้บัญชาการทหาร . คณะเจ้าหน้าที่ของอเมริกายังประกอบด้วยไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษดูแลเรื่องตะวันออกกลางของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ . เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของสหรัฐฯ เผยว่า วอชิงตันต้องการใช้โอกาสนี้พิจารณาว่า ยูเครนต้องการเพียงสันติภาพที่เป็นธรรมหรือสันติภาพที่เป็นจริง สนใจแค่พรมแดนเดิมในปี 2014 หรือพรมแดนในปี 2022 หรืออีกนัยหนึ่งคือยูเครนพร้อมประนีประนอมด้วยการยกดินแดนบางส่วนให้รัสเซียเพื่อแลกกับการยุติสงครามหรือไม่ . ขณะเดียวกัน ไบรอัน ฮิวจ์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา แถลงว่า เซเลนสกี้มีความคืบหน้าในการฟื้นคืนความสัมพันธ์วอชิงตัน-เคียฟ หลังจากปะทะคารมกับทรัมป์ระหว่างเยือนทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ และสำทับว่า อเมริกาเฝ้ารอว่า จะเห็นการดำเนินการที่ดีเพิ่มเติมซึ่งจะนำไปสู่การยุติสงครามโหดร้ายในยูเครน . ด้านทรัมป์แสดงความเห็นแง่ดีว่า การหารือที่เจดดาห์จะมีความคืบหน้าอย่างมาก . วิตคอฟฟ์ซึ่งเป็นผู้จัดการการเจรจา เผยว่า เป้าหมายคือ การบรรลุกรอบโครงข้อตกลงสันติภาพและข้อตกลงหยุดยิงเบื้องต้น . ทั้งนี้ เซเลนสกี้ต้องการให้มการหยุดยิงทางอากาศและทะเล ตลอดจนถึงการแลกเปลี่ยนนักโทษ เพื่อทดสอบความมุ่งมั่นในการยุติสงครามของรัสเซีย ขณะที่มอสโกคัดค้านแนวคิดข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวที่อังกฤษและฝรั่งเศสเสนอ เนื่องจากเห็นว่า เป็นการซื้อเวลาของเคียฟเพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพยูเครนล่มสลาย . ทางฝ่ายเซเลนสกี้กล่าวเมื่อคืนวันอาทิตย์ก่อนออกเดินทางไปซาอุดีอาระเบีย ว่า เขาหวังว่า การเจรจาระหว่างทีมเจ้าหน้าที่ยูเครนกับอเมริกาจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ทั้งในด้านความคืบหน้าเกี่ยวกับสันติภาพและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของอเมริกา ทั้งนี้ ประธานาธิบดียูเครนมีกำหนดการเข้าพบมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ของซาอุดีอาระเบีย ในวันจันทร์ (10 ) แต่การเจรจากับทีมของสหรัฐฯในวันอังคารนั้น ตามรายงานข่าวบอกว่าเป็นภารกิจของทีมเจรจาฝ่ายยูเครน . เซเลนสกี้เสริมว่า ยูเครนพร้อมลงนามข้อตกลงแร่ธาตุกับอเมริกา ซึ่งจะมีการจัดตั้งกองทุนร่วมจากการขายแร่ธาตุของยูเครน ขณะที่วอชิงตันระบุว่า ข้อตกลงนี้มีความสำคัญต่อการที่อเมริกาจะให้การสนับสนุนเคียฟต่อไป . อย่างไรก็ดี ขณะที่การสนับสนุนของอเมริกายังไร้ความแน่นอน เซเลนสกี้ได้เรียกร้องให้พวกพันธมิตรยุโรปเพิ่มการสนับสนุนตนเอง ขณะที่เคียฟเพลี่ยงพล้ำในสนามรบมากขึ้นและกำลังถูกบดขยี้หนักให้ล่าถอยออกจากแคว้นคูร์สก์ของรัสเซีย . สำหรับมุมมองของพันธมิตรยุโรปเกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพนั้น มีการเตือนว่า ยูเครนควรทำข้อตกลงกับรัสเซียภายใต้จุดยืนที่แข็งแกร่งเท่านั้น อีกทั้งไม่ควรรีบร้อนเจรจากับผู้รุกราน . ทั้งนี้ เซเลนสกี้ระบุว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ไม่ต้องการสันติภาพ อีกทั้งบอกว่ารัสเซียยังจะโจมตีประเทศยุโรปอื่นๆ ต่อไปอีก ถ้าที่สุดแล้วไม่มีผลลัพธ์ชัดเจนว่า รัสเซียพ่ายแพ้ในการรุกรานยูเครน . ในทางกลับกัน วอชิงตันพยายามบีบทุกทางให้เคียฟยอมเจรจายุติสงครามกับรัสเซีย โดยล่าสุดถึงขั้นที่สหรัฐฯระงับการให้ความช่วยเหลือทางทหารและการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรอง รวมทั้งการเข้าถึงภาพถ่ายดาวเทียมแก่ยูเครน โดยไม่ฟังเสียงพวกโปรยูเครนที่อ้างว่า ความเคลื่อนไหวนี้เสี่ยงทำให้สงครามยืดเยื้อออกไป เนื่องจากรัสเซียจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและมีแนวโน้มลดลงในการยอมยุติศึก และยอมทำข้อตกลงสันติภาพแบบเท่าเทียมกับยูเครน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023235 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1312 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระบบป้องกันขีปนาวุธ SAMP/T ของฝรั่งเศส-อิตาลี ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพและล้มเหลวในยูเครน

    ระบบป้องขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศ SAMP/T ของฝรั่งเศส-อิตาลี ซึ่งถูกส่งมาเพื่อปกป้องยูเครนจากภัยคุกคามทางอากาศจากรัสเซีย ประสบปัญหาด้านการปฏิบัติงานที่ร้ายแรงนับตั้งแต่มีการใช้งาน

    1. ความผิดพลาดของซอฟต์แวร์: มีรายงานว่าระบบนี้ประสบปัญหาทางเทคนิคที่ทำให้ไม่สามารถสกัดกั้นขีปนาวุธของรัสเซียได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    2. ขีปนาวุธ Aster ไม่เพียงพอ: ยูเครนใช้ขีปนาวุธ Aster ซึ่งเป็นอาวุธหลักของระบบนี้จนหมดอย่างรวดเร็ว ทำให้แทบไม่ได้ใช้ในการปกป้องภัยคุกคามเลย

    3. ความมั่นใจด้านประสิทธิภาพ: เมื่อเปรียบเทียบกับระบบ Patriot ที่สหรัฐฯ จัดหาให้ ซึ่งสามารถสกัดกั้นขีปนาวุธของรัสเซียได้สำเร็จ ระบบ SAMP/T กลับมีประสิทธิภาพต่ำกว่ามาตรฐาน ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของระบบในการทำสงครามที่มีความรุนแรงสูง

    โฆษกของ Eurosam ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่อยู่เบื้องหลังระบบ SAMP/T ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อกังวลด้านประสิทธิภาพเหล่านี้

    WSJ - รายงาน
    ระบบป้องกันขีปนาวุธ SAMP/T ของฝรั่งเศส-อิตาลี ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพและล้มเหลวในยูเครน ระบบป้องขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศ SAMP/T ของฝรั่งเศส-อิตาลี ซึ่งถูกส่งมาเพื่อปกป้องยูเครนจากภัยคุกคามทางอากาศจากรัสเซีย ประสบปัญหาด้านการปฏิบัติงานที่ร้ายแรงนับตั้งแต่มีการใช้งาน 1. ความผิดพลาดของซอฟต์แวร์: มีรายงานว่าระบบนี้ประสบปัญหาทางเทคนิคที่ทำให้ไม่สามารถสกัดกั้นขีปนาวุธของรัสเซียได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. ขีปนาวุธ Aster ไม่เพียงพอ: ยูเครนใช้ขีปนาวุธ Aster ซึ่งเป็นอาวุธหลักของระบบนี้จนหมดอย่างรวดเร็ว ทำให้แทบไม่ได้ใช้ในการปกป้องภัยคุกคามเลย 3. ความมั่นใจด้านประสิทธิภาพ: เมื่อเปรียบเทียบกับระบบ Patriot ที่สหรัฐฯ จัดหาให้ ซึ่งสามารถสกัดกั้นขีปนาวุธของรัสเซียได้สำเร็จ ระบบ SAMP/T กลับมีประสิทธิภาพต่ำกว่ามาตรฐาน ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของระบบในการทำสงครามที่มีความรุนแรงสูง โฆษกของ Eurosam ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่อยู่เบื้องหลังระบบ SAMP/T ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อกังวลด้านประสิทธิภาพเหล่านี้ WSJ - รายงาน
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ไม่ได้จริงใจอะไร แค่อยากต่อต้านอเมริกา โดยใช้กาซาเป็นเบี้ย"

    ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลีและสหราชอาณาจักร ประกาศว่าพวกเขาพร้อมหนุนแผนการจากโลกอาหรับ สำหรับการฟื้นฟูฉนวนกาซา ที่น่าจะใช้เงินราวๆ 53,000 ล้านดอลลาร์ โดยไม่จำเป็นต้องบังคับอพยพชาวปาเลสไตน์ออกจากดินแดนของพวกเขาตามความตองการของทรัมป์
    "ไม่ได้จริงใจอะไร แค่อยากต่อต้านอเมริกา โดยใช้กาซาเป็นเบี้ย" ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลีและสหราชอาณาจักร ประกาศว่าพวกเขาพร้อมหนุนแผนการจากโลกอาหรับ สำหรับการฟื้นฟูฉนวนกาซา ที่น่าจะใช้เงินราวๆ 53,000 ล้านดอลลาร์ โดยไม่จำเป็นต้องบังคับอพยพชาวปาเลสไตน์ออกจากดินแดนของพวกเขาตามความตองการของทรัมป์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากฐานข้อมูล Carbon Majors รายงานล่าสุดเปิดเผยว่าในปี 2023 การปล่อยมลพิษจากบริษัทน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ของโลกเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่งผลกระทบต่อโลกร้อนอย่างมหาศาล ที่น่ากังวลยิ่งขึ้นคือ กว่า 50% ของการปล่อยมลพิษทั้งหมดมาจากบริษัทเพียง 36 แห่ง โดยเฉพาะบริษัทที่มีรัฐบาลเป็นเจ้าของ

    บริษัทที่ปล่อยมลพิษสูงสุดในปี 2023
    บริษัทของรัฐ:
    - Aramco (ซาอุดิอาระเบีย)
    - Coal India (อินเดีย)
    - CHN Energy (จีน)
    - NIOC (อิหร่าน)
    - Jinneng Group (จีน)

    บริษัทเอกชน:
    - ExxonMobil (สหรัฐฯ)
    - Chevron (สหรัฐฯ)
    - Shell (สหราชอาณาจักร)
    - TotalEnergies (ฝรั่งเศส)
    - BP (สหราชอาณาจักร)

    บริษัทของรัฐในกลุ่ม Top 20 มีส่วนปล่อย CO2 ถึง 52% ของการปล่อยมลพิษจากอุตสาหกรรมทั่วโลก ขณะที่บริษัทจากจีนเพียงประเทศเดียวปล่อย CO2 ถึง 23% ของการปล่อยมลพิษที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงฟอสซิลและปูนซีเมนต์

    นอกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลแล้ว อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ยังมีการปล่อยมลพิษเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2023 โดยบริษัทที่มียอดปล่อยมลพิษสูงสุดได้แก่ Holcim Group, Heidelberg Materials, UltraTech Cement และ CRH

    ฐานข้อมูล Carbon Majors ไม่เพียงแต่ใช้ติดตามข้อมูลการปล่อยก๊าซ แต่ยังเป็นหลักฐานสำคัญในกรณีทางกฎหมาย เช่น การผลักดันกฎหมาย Climate Superfund ในรัฐ Vermont และ New York รวมถึงการประเมินผลกระทบของบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    ข้อมูลล่าสุดจาก International Energy Agency ชี้ว่าโครงการพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เริ่มขึ้นหลังปี 2021 ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของการลดปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050 หากเราต้องการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C การปล่อยก๊าซต้องลดลง 45% ภายในปี 2030

    https://www.techspot.com/news/107070-36-companies-account-50-global-co2-emissions-report.html
    จากฐานข้อมูล Carbon Majors รายงานล่าสุดเปิดเผยว่าในปี 2023 การปล่อยมลพิษจากบริษัทน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ของโลกเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่งผลกระทบต่อโลกร้อนอย่างมหาศาล ที่น่ากังวลยิ่งขึ้นคือ กว่า 50% ของการปล่อยมลพิษทั้งหมดมาจากบริษัทเพียง 36 แห่ง โดยเฉพาะบริษัทที่มีรัฐบาลเป็นเจ้าของ บริษัทที่ปล่อยมลพิษสูงสุดในปี 2023 บริษัทของรัฐ: - Aramco (ซาอุดิอาระเบีย) - Coal India (อินเดีย) - CHN Energy (จีน) - NIOC (อิหร่าน) - Jinneng Group (จีน) บริษัทเอกชน: - ExxonMobil (สหรัฐฯ) - Chevron (สหรัฐฯ) - Shell (สหราชอาณาจักร) - TotalEnergies (ฝรั่งเศส) - BP (สหราชอาณาจักร) บริษัทของรัฐในกลุ่ม Top 20 มีส่วนปล่อย CO2 ถึง 52% ของการปล่อยมลพิษจากอุตสาหกรรมทั่วโลก ขณะที่บริษัทจากจีนเพียงประเทศเดียวปล่อย CO2 ถึง 23% ของการปล่อยมลพิษที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงฟอสซิลและปูนซีเมนต์ นอกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลแล้ว อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ยังมีการปล่อยมลพิษเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2023 โดยบริษัทที่มียอดปล่อยมลพิษสูงสุดได้แก่ Holcim Group, Heidelberg Materials, UltraTech Cement และ CRH ฐานข้อมูล Carbon Majors ไม่เพียงแต่ใช้ติดตามข้อมูลการปล่อยก๊าซ แต่ยังเป็นหลักฐานสำคัญในกรณีทางกฎหมาย เช่น การผลักดันกฎหมาย Climate Superfund ในรัฐ Vermont และ New York รวมถึงการประเมินผลกระทบของบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ข้อมูลล่าสุดจาก International Energy Agency ชี้ว่าโครงการพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เริ่มขึ้นหลังปี 2021 ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของการลดปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050 หากเราต้องการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C การปล่อยก๊าซต้องลดลง 45% ภายในปี 2030 https://www.techspot.com/news/107070-36-companies-account-50-global-co2-emissions-report.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Just 36 companies account for 50% of global CO2 emissions, report reveals
    The data indicates that over 50 percent of these emissions can be attributed to just 36 high-emitting companies, with state-owned enterprises playing a significant role.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 279 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพอากาศยูเครนรายงาน รัสเซียใช้อาวุธรวม 261 รายการ สามารถสกัดกั้นได้ 134 รายการ และอาวุธของรัสเซียสูญหายโดยไปไม่ถึงเป้าหมายอีก 96 รายการ
    ขณะที่มีรายงานวัดแรงสั่นสะเทือนได้ 2.6 2.6 ริกเตอร์ ระหว่างการโจมตีของรัสเซียที่โรงเก็บก๊าซแห่งหนึ่งในเขตเตอร์โนปิล (Ternopil):

    กองทัพอากาศยูเครนรายงานตรวจพบการโจมตีทางอากาศของรัสเซียจำนวนรวมทั้งสิ้น 261 เป้าหมาย ประกอบไปด้วยขีปนาวุธ 67 ลูก ในประเภทต่างๆ และโดรนโจมตีอีก 194 ลำ แบ่งเป็น:
    ขีปนาวุธร่อน Kh-101/Kh-55 จำนวน 35 ลูก
    ขีปนาวุธร่อน Kalibr จำนวน 8 ลูก
    ขีปนาวุธ Iskander-M/KN-23 จำนวน 3 ลูก
    ขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานนำวิถี S-300 จำนวน 4 ลูก
    ขีปนาวุธนำวิถีอากาศสู่พื้น Kh-59/69 จำนวน 8 ลูก
    โดรนโจมตี Shahed จำนวน 194 ลำ

    กองทัพอากาศยูเครน รายงานการสกัดกั้นด้วยขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน อุปกรณ์สงครามอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งเครื่องบิน F-16 และ Mirage-2000 (ฝรั่งเศส)
    ณ เวลา 10.00 น. ยืนยันการทำลายเป้าหมายรวม 134 เป้าหมาย ประกอบด้วย:
    ขีปนาวุธร่อน Kh-101/Kh-55cm จำนวน 25 ลูก
    ขีปนาวุธร่อน Kalibr จำนวน 8 ลูก
    ขีปนาวุธนำวิถีอากาศสู่อากาศ Kh-59/69 จำนวน 1 ลูก
    โดรนโจมตี Shahed จำนวน 100 ลำ

    นอกจากนี้ กองทัพอากาศยูเครนยังรายงานเพิ่มเติมว่า ขีปนาวุธของรัสเซียมากถึง 10 ลูก และโดรนอีก 86 ลำ ไม่สามารถโจมตีเป้าหมายยูเครนได้ (ไม่รวมอยู่ในการสกัดกั้นของยูเครน อาจจะเกิดจากความผิดพลาดของการทำงานของขีปนาวุธเอง)

    ข้อมูลเพิ่มเติมจากสื่อในพื้นที่:
    มีรายงานกองทัพรัสเซียโจมตีด้วยขีปนาวุธไปที่โรงเก็บก๊าซแห่งหนึ่งในเขตเตอร์โนปิล (Ternopil) จากแรงระเบิด ทำให้เครื่องมือวัดแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวสามารถวัดขนาดได้ 2.6 ริกเตอร์
    กองทัพอากาศยูเครนรายงาน รัสเซียใช้อาวุธรวม 261 รายการ สามารถสกัดกั้นได้ 134 รายการ และอาวุธของรัสเซียสูญหายโดยไปไม่ถึงเป้าหมายอีก 96 รายการ ขณะที่มีรายงานวัดแรงสั่นสะเทือนได้ 2.6 2.6 ริกเตอร์ ระหว่างการโจมตีของรัสเซียที่โรงเก็บก๊าซแห่งหนึ่งในเขตเตอร์โนปิล (Ternopil): กองทัพอากาศยูเครนรายงานตรวจพบการโจมตีทางอากาศของรัสเซียจำนวนรวมทั้งสิ้น 261 เป้าหมาย ประกอบไปด้วยขีปนาวุธ 67 ลูก ในประเภทต่างๆ และโดรนโจมตีอีก 194 ลำ แบ่งเป็น: ขีปนาวุธร่อน Kh-101/Kh-55 จำนวน 35 ลูก ขีปนาวุธร่อน Kalibr จำนวน 8 ลูก ขีปนาวุธ Iskander-M/KN-23 จำนวน 3 ลูก ขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานนำวิถี S-300 จำนวน 4 ลูก ขีปนาวุธนำวิถีอากาศสู่พื้น Kh-59/69 จำนวน 8 ลูก โดรนโจมตี Shahed จำนวน 194 ลำ กองทัพอากาศยูเครน รายงานการสกัดกั้นด้วยขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน อุปกรณ์สงครามอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งเครื่องบิน F-16 และ Mirage-2000 (ฝรั่งเศส) ณ เวลา 10.00 น. ยืนยันการทำลายเป้าหมายรวม 134 เป้าหมาย ประกอบด้วย: ขีปนาวุธร่อน Kh-101/Kh-55cm จำนวน 25 ลูก ขีปนาวุธร่อน Kalibr จำนวน 8 ลูก ขีปนาวุธนำวิถีอากาศสู่อากาศ Kh-59/69 จำนวน 1 ลูก โดรนโจมตี Shahed จำนวน 100 ลำ นอกจากนี้ กองทัพอากาศยูเครนยังรายงานเพิ่มเติมว่า ขีปนาวุธของรัสเซียมากถึง 10 ลูก และโดรนอีก 86 ลำ ไม่สามารถโจมตีเป้าหมายยูเครนได้ (ไม่รวมอยู่ในการสกัดกั้นของยูเครน อาจจะเกิดจากความผิดพลาดของการทำงานของขีปนาวุธเอง) ข้อมูลเพิ่มเติมจากสื่อในพื้นที่: มีรายงานกองทัพรัสเซียโจมตีด้วยขีปนาวุธไปที่โรงเก็บก๊าซแห่งหนึ่งในเขตเตอร์โนปิล (Ternopil) จากแรงระเบิด ทำให้เครื่องมือวัดแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวสามารถวัดขนาดได้ 2.6 ริกเตอร์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • การโจมตีครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2025 จากกองทัพรัสเซีย เพื่อเป็นการตอบโต้คำประกาศของประธานาธิบดีมาครงแห่งฝรั่งเศส ที่ต้องการปกป้องยูเครนและยุโรปด้วยนิวเคลียร์

    รัสเซียต้องการแสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครปกป้องยูเครนได้ นอกจากการเจรจายุติสงครามเท่านั้น

    ภาพประกอบจาก Ternopil หลังการโจมตีด้วยขีปนาวุธของรัสเซีย
    การโจมตีครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2025 จากกองทัพรัสเซีย เพื่อเป็นการตอบโต้คำประกาศของประธานาธิบดีมาครงแห่งฝรั่งเศส ที่ต้องการปกป้องยูเครนและยุโรปด้วยนิวเคลียร์ รัสเซียต้องการแสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครปกป้องยูเครนได้ นอกจากการเจรจายุติสงครามเท่านั้น ภาพประกอบจาก Ternopil หลังการโจมตีด้วยขีปนาวุธของรัสเซีย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย ออกมาตอบโต้ หลังประธานาธิบดีฝรั่งเศสเสนอแนวคิดให้ประเทศยุโรป อยู่ภายใต้การคุ้มครองของอาวุธนิวเคลียร์ฝรั่งเศส "ถือเป็นคำพูดที่เป็นภัยคุกคามต่อรัสเซีย"

    ลาฟรอฟ ยังกล่าวอีกว่า 'คนที่มีความคิดทุกคน จะรู้ดีว่ารัสเซียไม่เคยต้องการทำสงครามกับยุโรป'
    เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย ออกมาตอบโต้ หลังประธานาธิบดีฝรั่งเศสเสนอแนวคิดให้ประเทศยุโรป อยู่ภายใต้การคุ้มครองของอาวุธนิวเคลียร์ฝรั่งเศส "ถือเป็นคำพูดที่เป็นภัยคุกคามต่อรัสเซีย" ลาฟรอฟ ยังกล่าวอีกว่า 'คนที่มีความคิดทุกคน จะรู้ดีว่ารัสเซียไม่เคยต้องการทำสงครามกับยุโรป'
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 354 มุมมอง 17 0 รีวิว
Pages Boosts