• น้อมกราบอนุโมทามิภะวันตุเมสาธุๆๆๆๆๆๆกับทุกบุญกิริยาของทุกรูปทุกนามทุกจิตในวันนี้ค่ะ

    กฤษณ์จรัส วัทฒโก
    เอเฮร่า ลูกแก้วไอยคุปต์63 โทร.089-2466495
    Line : 0920929299 พลัมเฮร่า 6363
    TikTok : พลัมเฮร่า
    #บันทึกบุญ
    #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์

    *6363 รหัสลัภ
    น้อมกราบอนุโมทามิภะวันตุเมสาธุๆๆๆๆๆๆกับทุกบุญกิริยาของทุกรูปทุกนามทุกจิตในวันนี้ค่ะ กฤษณ์จรัส วัทฒโก เอเฮร่า ลูกแก้วไอยคุปต์63 โทร.089-2466495 Line : 0920929299 พลัมเฮร่า 6363 TikTok : พลัมเฮร่า #บันทึกบุญ #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์ *6363 รหัสลัภ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • บุญกิริยาทุกชนิด ทุกประเภทของฉัน
    ตั้งแต่ต้นอดีตชาติจนถึงปัจจุบันและตลอดไปจนกว่าจะถึงพระนิพพาน
    *ผู้ใดต้องการส่วนบุญ..ฉันขอแผ่ไปไม่มีประมาณ...ให้ท่านจงได้รับและรับได้ตลอดเวลาและตลอดไปเถิด...
    #อนุโมทามิภะวันตุเมสาธุๆๆๆๆๆค่ะ
    #บันทึกบุญ

    กฤษณ์จรัส วัทฒโก
    เอเฮร่า ลูกแก้วไอยคุปต์63
    Line : 0920929299 พลัมเฮร่า6363
    TikTok : พลัมเฮร่า
    โทร.089-2466495
    #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์

    *6363 รหัสลัภ
    บุญกิริยาทุกชนิด ทุกประเภทของฉัน ตั้งแต่ต้นอดีตชาติจนถึงปัจจุบันและตลอดไปจนกว่าจะถึงพระนิพพาน *ผู้ใดต้องการส่วนบุญ..ฉันขอแผ่ไปไม่มีประมาณ...ให้ท่านจงได้รับและรับได้ตลอดเวลาและตลอดไปเถิด... #อนุโมทามิภะวันตุเมสาธุๆๆๆๆๆค่ะ #บันทึกบุญ กฤษณ์จรัส วัทฒโก เอเฮร่า ลูกแก้วไอยคุปต์63 Line : 0920929299 พลัมเฮร่า6363 TikTok : พลัมเฮร่า โทร.089-2466495 #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์ *6363 รหัสลัภ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🪭แม่สื่อสมัยโบราณ 🪭

    สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสู่ขอและ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ และมีการกล่าวถึงการใช้แม่สื่อ แต่เพื่อนเพจคงไม่ได้อรรถรสว่าจริงๆ แล้วการใช้แม่สื่อมีความสำคัญมาก ในบางยุคสมัยอย่างเช่นสมัยถังถึงกับบัญญัติเป็นกฎหมายไว้ว่าการแต่งงานต้องมีแม่สื่อ

    เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า มีหน่วยงานรัฐรับหน้าที่แม่สื่อ?

    ในบันทึกพิธีการโจวหลี่ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ ของสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกมีการระบุไว้ว่า: สำนักงาน ‘เหมยซึ’ (媒氏) มีหน้าที่ดูแลการแต่งงานของประชาชน... ทำทะเบียนบันทึกวันเดือนปีเกิดของทุกคนและจัดให้บุรุษแต่งงานเมื่ออายุสามสิบปีและสตรีเมื่ออายุยี่สิบปี... จัดเทศกาลกลางฤดูใบไม้ผลิหรือที่เรียกว่า ‘จงชุนฮุ่ย’ (仲春会) เพื่อเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะดูตัว...

    ก่อนจะลงลึกเรื่องหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อเหมยซึนี้ เรามาคุยกันเล็กน้อยเรื่องเกณฑ์อายุสมรสที่กล่าวถึงข้างต้น

    พวกเราจะคุ้นเคยว่ากฎหมายกำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำไว้ แต่ในสมัยโบราณมีกำหนดเกณฑ์อายุสูงสุดไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ผู้คนแต่งงานมีลูกสืบสกุล ในความเชื่อของคนโบราณคือการไม่มีบุตรสืบสกุลถือเป็นความอกตัญญูอย่างใหญ่หลวง แต่จริงๆ แล้วในมุมมองของรัฐมันมีเหตุผลด้านการพัฒนาประเทศ อย่าลืมว่าแรกเริ่มเลยเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนโดยเกษตรกรรม เมื่อประชากรน้อยผลผลิตก็น้อยรัฐก็จน อีกทั้งในสมัยโบราณมีศึกสงครามและอายุขัยของคนไม่ยาวเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นทางการจึงพยายามกระตุ้นให้คนแต่งงานและมีลูกหลานกัน จนถึงขั้นกำหนดเป็นกฎหมายบังคับ เพียงแต่เกณฑ์อายุตามกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อย่างเช่นในสมัยฮั่นบุรุษต้องแต่งงานภายในอายุสามสิบปีและสตรีภายในอายุสิบห้าปี หาไม่แล้วต้องถูกปรับด้วยการจ่ายภาษีเพิ่มเป็นห้าเท่า (ในสมัยนั้นจ่ายภาษีเป็นรายหัว ไม่เกี่ยวกับรายได้) และในสมัยราชวงศ์เหนือใต้กำหนดว่าหากสตรีไม่แต่งงานภายในอายุสิบห้าปีพ่อแม่ต้องโทษจำคุก

    แต่ในสมัยโบราณก็มีคนที่ไม่ได้แต่งงานภายในอายุที่กฎหมายที่กำหนด บ้างยืดเวลาออกไปเพราะเหตุผลการไว้ทุกข์ให้พ่อแม่ บ้างมีเหตุผลอื่น แต่ Storyฯ ไม่ได้ไปหาข้อมูลต่อว่าแต่ละยุคสมัยเขามีวิธีหลีกเลี่ยงการแต่งงานกันอย่างไร แต่ที่ชัดเจนก็คือว่า ผู้ที่ถึงเกณฑ์อายุสูงสุดแล้วยังไม่ได้แต่งงานจะมีสำนักงานแม่สื่อมาช่วยจัดการหาคู่ให้ โดยมีความพยายามหว่านล้อมให้เจ้าตัวเห็นชอบและมีตัวเลือกให้ ไม่ใช่นึกจะบังคับแต่งกับใครก็บังคับเลย ประมาณว่าเป็นการบังคับแต่งงานแบบประนีประนอม และนี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อ

    ทีนี้มาเข้าเรื่องหน้าที่แม่สื่อ... สำหรับหน้าที่แม่สื่อนี้ สำนักงานเหมยซึไม่เพียงหาคู่ให้กับผู้ที่ใกล้จะเลยเกณฑ์อายุสูงสุด หากแต่ยังช่วยหาคู่ให้กับผู้ที่ไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่จัดการเรื่องนี้ รวมถึงจัดงานเทศกาลที่บังคับให้หนุ่มสาวออกมาพบปะและดูตัวกัน นอกจากนี้ ยังเป็นธุระดูแลเรื่องพิธีการต่างๆ ให้ถูกต้องเช่นส่งคนไปช่วยสู่ขอ กำหนดวันแต่งงาน ช่วยจัดงานแต่งงาน และดูแลสินสอดให้เหมาะสม ในบางสมัยถึงกับมีหน้าที่จัดสรรเงินจากงบประมาณแผ่นดินหรือหาคณบดีท้องถิ่นมาเป็นผู้อุปถัมภ์เพื่อให้บุรุษที่ยากจนสามารถมีเงินสินสอดไปแต่งเมียได้ และอย่างในสมัยฉินมีหน้าที่จัดสรรที่ดินทำกินให้คู่บ่าวสาวไปตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ อันเกิดขึ้นในการหมั้นหมายและแต่งงาน

    และจากตัวอย่างที่ยกมาจากบันทึกโจวหลี่ จะเห็นว่าหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อมีอีกส่วนหนึ่งคืองานด้านทะเบียน โดยมีหน้าที่บันทึกว่าใครเกิดเมื่อไหร่แต่งงานแล้วหรือยัง หย่าร้างหรือไม่ รวมถึงดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน เช่นการลงโทษตามกฏหมาย (เช่น หลบหนีการแต่งงาน)

    ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่แม่สื่อในงานพิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานมงคลสมรสก็คือคนจากสำนักงานเหมยซึนี่เอง หรือที่เรียกว่า ‘แม่สื่อหลวง’ (官媒) แต่ผู้ที่เป็นแม่สื่อหลวงอาจไม่ใช่ขุนนางทุกคน เพราะเขาจะมีการจ้างคนนอกช่วยทำงาน กล่าวคือคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถมีฝีปากเป็นเลิศคล่องแคล่วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่มีประวัติอาชญากรรม ฯลฯ มาขึ้นทะเบียนเป็นแม่สื่อหลวงที่ต้องออกไปช่วยเจรจาทาบทามสู่ขอ ช่วยทำพิธีการต่างๆ โดยคนเหล่านี้ได้รับค่าจ้างหลวงแต่ไม่ใช่ข้าราชการ และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือในท้องที่นั้นๆ หรือเป็นผู้ที่ผู้อาวุโสเหล่านี้แนะนำมา

    ในยุคที่รุ่งเรืองมากๆ อย่างสมัยซ่งนั้น กิจการแม่สื่อมืออาชีพก็เฟื่องฟูตาม มีทั้งแม่สื่อฝ่ายชายและแม่สื่อฝ่ายหญิง ในสมัยซ่งถึงขนาดมีแบ่งแยกระดับของแม่สื่อ ในบันทึก ‘ตงจิงเมิ่งหัวลู่’ ที่ให้รายละเอียดวิถีชีวิตและธรรมเนียมปฏิบัติของคนสมัยซ่งเหนือได้กล่าวไว้ว่า แม่สื่อขั้นสูงสุดนั้นมีผ้าโพกศีรษะสวมเสื้อนอกสีม่วง ให้บริการเฉพาะขุนนางและครอบครัวขุนนาง

    และต่อมาพัฒนาขึ้นเป็น ‘แม่สื่อเอกชน’ (私媒) แบบมืออาชีพ กล่าวคือได้ค่าจ้างจากครอบครัวบ่าวสาว แต่ก็ต้องขึ้นทะเบียนกับทางการอยู่ดี

    ทำไมแค่ช่วยสู่ขอช่วยจัดงานแต่งยังต้องทำเป็นทางการขนาดนั้น? นั่นเป็นเพราะว่าแม่สื่อมีหน้าที่และความรับผิดได้ตามกฎหมาย เป็นต้นว่า หากแม่สื่อโฆษณาคุณสมบัติของบุรุษสตรีเกินจริงจนเข้าข่ายบิดเบือนหรือหลอกลวงก็จะมีโทษ; แม่สื่อมีหน้าที่ตรวจสอบและสืบข้อมูลประวัติของทั้งสองครอบครัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นการแต่งงานที่เข้าข่ายต้องห้าม (เช่น ข้ามสถานะระหว่างบุคคลธรรมดากับบุคคลในทะเบียนทาส; เป็นพยานสำคัญว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกคนหรือไม่ ตั้งแต่ข้อมูลวันเดือนปีเกิด เอกสารการหมั้นและการรับตัวเจ้าสาว หรือหากรู้เห็นเป็นใจการหนีสมรสก็มีโทษเช่นกัน; เป็นพยานสำคัญว่าสินสอดและสินเดิมเจ้าสาวถูกต้องครบถ้วนตามรายการบัญชีที่ทำ; และอาจเป็นพยานหรือเป็นผู้ช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างครอบครัวบ่าวสาวได้ ฯลฯ

    แม่สื่อเป็นบุรุษหรือสตรีก็ได้ เพียงแต่ในยุคที่กิจการแม่สื่อเฟื่องฟู คนที่นิยมทำหน้าที่นี้เป็นสตรีเสียส่วนใหญ่ และจวบจนสมัยชิงยังมีการกล่าวถึงแม่สื่อหลวง โดยมีตัวอย่างจากบทประพันธ์โบราณชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น) ซึ่งเป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ดังนั้น แม่สื่อหลวงและแม่สื่อเอกชนอยู่คู่กับจีนมาหลายพันปีแล้ว

    และแน่นอนว่า แม่สื่อเอกชนแบบที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการก็มี เช่นอาจมีการเชิญผู้ใหญ่คนรู้จักไปช่วยพูดจาทาบทาม เพื่อนเพจเชื้อสายจีนน่าจะนึกภาพออกเพราะบ้านเราเรียกว่า ‘เถ้าแก่’ แต่เถ้าแก่นี้ไม่ใช่แม่สื่อหลักเพราะตามกระบวนการของกฎหมายต้องมีแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วช่วยดำเนินเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแม่สื่อหลวงหรือแม่สื่อเอกชน ดังนั้นในบริบทนี้ บางครอบครัวอาจใช้เถ้าแก่มาเสริม จึงเกิดเป็นสำนวนที่ว่า ‘ซานเหมยลิ่วพิ่น’ ( 三媒六聘/สามแม่สื่อหกพิธีการแต่งงาน) กล่าวคือแม่สื่อหรือเถ้าแก่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และคนกลางซึ่งมักเป็นแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วนั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://meihuamag.com/牵线说媒,这行当已有五千年历史/
    http://sino.newdu.com/m/view.php?aid=91147
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.sss.net.cn/106001/30036.aspx
    http://www.heyuanxw.com/2014/wenhua_1216/15238.html
    http://iolaw.cssn.cn/xspl/200607/t20060726_4598436.shtml
    http://www.xinfajia.net/2592.html
    https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=795664&remap=gb#%娶妇
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_26937009

    #แม่สื่อ #กวนเหมย #ซือเหมย #เหมยซึ #การแต่งงานจีนโบราณ #สาระจีน
    🪭แม่สื่อสมัยโบราณ 🪭 สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสู่ขอและ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ และมีการกล่าวถึงการใช้แม่สื่อ แต่เพื่อนเพจคงไม่ได้อรรถรสว่าจริงๆ แล้วการใช้แม่สื่อมีความสำคัญมาก ในบางยุคสมัยอย่างเช่นสมัยถังถึงกับบัญญัติเป็นกฎหมายไว้ว่าการแต่งงานต้องมีแม่สื่อ เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า มีหน่วยงานรัฐรับหน้าที่แม่สื่อ? ในบันทึกพิธีการโจวหลี่ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ ของสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกมีการระบุไว้ว่า: สำนักงาน ‘เหมยซึ’ (媒氏) มีหน้าที่ดูแลการแต่งงานของประชาชน... ทำทะเบียนบันทึกวันเดือนปีเกิดของทุกคนและจัดให้บุรุษแต่งงานเมื่ออายุสามสิบปีและสตรีเมื่ออายุยี่สิบปี... จัดเทศกาลกลางฤดูใบไม้ผลิหรือที่เรียกว่า ‘จงชุนฮุ่ย’ (仲春会) เพื่อเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะดูตัว... ก่อนจะลงลึกเรื่องหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อเหมยซึนี้ เรามาคุยกันเล็กน้อยเรื่องเกณฑ์อายุสมรสที่กล่าวถึงข้างต้น พวกเราจะคุ้นเคยว่ากฎหมายกำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำไว้ แต่ในสมัยโบราณมีกำหนดเกณฑ์อายุสูงสุดไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ผู้คนแต่งงานมีลูกสืบสกุล ในความเชื่อของคนโบราณคือการไม่มีบุตรสืบสกุลถือเป็นความอกตัญญูอย่างใหญ่หลวง แต่จริงๆ แล้วในมุมมองของรัฐมันมีเหตุผลด้านการพัฒนาประเทศ อย่าลืมว่าแรกเริ่มเลยเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนโดยเกษตรกรรม เมื่อประชากรน้อยผลผลิตก็น้อยรัฐก็จน อีกทั้งในสมัยโบราณมีศึกสงครามและอายุขัยของคนไม่ยาวเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นทางการจึงพยายามกระตุ้นให้คนแต่งงานและมีลูกหลานกัน จนถึงขั้นกำหนดเป็นกฎหมายบังคับ เพียงแต่เกณฑ์อายุตามกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อย่างเช่นในสมัยฮั่นบุรุษต้องแต่งงานภายในอายุสามสิบปีและสตรีภายในอายุสิบห้าปี หาไม่แล้วต้องถูกปรับด้วยการจ่ายภาษีเพิ่มเป็นห้าเท่า (ในสมัยนั้นจ่ายภาษีเป็นรายหัว ไม่เกี่ยวกับรายได้) และในสมัยราชวงศ์เหนือใต้กำหนดว่าหากสตรีไม่แต่งงานภายในอายุสิบห้าปีพ่อแม่ต้องโทษจำคุก แต่ในสมัยโบราณก็มีคนที่ไม่ได้แต่งงานภายในอายุที่กฎหมายที่กำหนด บ้างยืดเวลาออกไปเพราะเหตุผลการไว้ทุกข์ให้พ่อแม่ บ้างมีเหตุผลอื่น แต่ Storyฯ ไม่ได้ไปหาข้อมูลต่อว่าแต่ละยุคสมัยเขามีวิธีหลีกเลี่ยงการแต่งงานกันอย่างไร แต่ที่ชัดเจนก็คือว่า ผู้ที่ถึงเกณฑ์อายุสูงสุดแล้วยังไม่ได้แต่งงานจะมีสำนักงานแม่สื่อมาช่วยจัดการหาคู่ให้ โดยมีความพยายามหว่านล้อมให้เจ้าตัวเห็นชอบและมีตัวเลือกให้ ไม่ใช่นึกจะบังคับแต่งกับใครก็บังคับเลย ประมาณว่าเป็นการบังคับแต่งงานแบบประนีประนอม และนี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อ ทีนี้มาเข้าเรื่องหน้าที่แม่สื่อ... สำหรับหน้าที่แม่สื่อนี้ สำนักงานเหมยซึไม่เพียงหาคู่ให้กับผู้ที่ใกล้จะเลยเกณฑ์อายุสูงสุด หากแต่ยังช่วยหาคู่ให้กับผู้ที่ไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่จัดการเรื่องนี้ รวมถึงจัดงานเทศกาลที่บังคับให้หนุ่มสาวออกมาพบปะและดูตัวกัน นอกจากนี้ ยังเป็นธุระดูแลเรื่องพิธีการต่างๆ ให้ถูกต้องเช่นส่งคนไปช่วยสู่ขอ กำหนดวันแต่งงาน ช่วยจัดงานแต่งงาน และดูแลสินสอดให้เหมาะสม ในบางสมัยถึงกับมีหน้าที่จัดสรรเงินจากงบประมาณแผ่นดินหรือหาคณบดีท้องถิ่นมาเป็นผู้อุปถัมภ์เพื่อให้บุรุษที่ยากจนสามารถมีเงินสินสอดไปแต่งเมียได้ และอย่างในสมัยฉินมีหน้าที่จัดสรรที่ดินทำกินให้คู่บ่าวสาวไปตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ อันเกิดขึ้นในการหมั้นหมายและแต่งงาน และจากตัวอย่างที่ยกมาจากบันทึกโจวหลี่ จะเห็นว่าหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อมีอีกส่วนหนึ่งคืองานด้านทะเบียน โดยมีหน้าที่บันทึกว่าใครเกิดเมื่อไหร่แต่งงานแล้วหรือยัง หย่าร้างหรือไม่ รวมถึงดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน เช่นการลงโทษตามกฏหมาย (เช่น หลบหนีการแต่งงาน) ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่แม่สื่อในงานพิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานมงคลสมรสก็คือคนจากสำนักงานเหมยซึนี่เอง หรือที่เรียกว่า ‘แม่สื่อหลวง’ (官媒) แต่ผู้ที่เป็นแม่สื่อหลวงอาจไม่ใช่ขุนนางทุกคน เพราะเขาจะมีการจ้างคนนอกช่วยทำงาน กล่าวคือคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถมีฝีปากเป็นเลิศคล่องแคล่วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่มีประวัติอาชญากรรม ฯลฯ มาขึ้นทะเบียนเป็นแม่สื่อหลวงที่ต้องออกไปช่วยเจรจาทาบทามสู่ขอ ช่วยทำพิธีการต่างๆ โดยคนเหล่านี้ได้รับค่าจ้างหลวงแต่ไม่ใช่ข้าราชการ และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือในท้องที่นั้นๆ หรือเป็นผู้ที่ผู้อาวุโสเหล่านี้แนะนำมา ในยุคที่รุ่งเรืองมากๆ อย่างสมัยซ่งนั้น กิจการแม่สื่อมืออาชีพก็เฟื่องฟูตาม มีทั้งแม่สื่อฝ่ายชายและแม่สื่อฝ่ายหญิง ในสมัยซ่งถึงขนาดมีแบ่งแยกระดับของแม่สื่อ ในบันทึก ‘ตงจิงเมิ่งหัวลู่’ ที่ให้รายละเอียดวิถีชีวิตและธรรมเนียมปฏิบัติของคนสมัยซ่งเหนือได้กล่าวไว้ว่า แม่สื่อขั้นสูงสุดนั้นมีผ้าโพกศีรษะสวมเสื้อนอกสีม่วง ให้บริการเฉพาะขุนนางและครอบครัวขุนนาง และต่อมาพัฒนาขึ้นเป็น ‘แม่สื่อเอกชน’ (私媒) แบบมืออาชีพ กล่าวคือได้ค่าจ้างจากครอบครัวบ่าวสาว แต่ก็ต้องขึ้นทะเบียนกับทางการอยู่ดี ทำไมแค่ช่วยสู่ขอช่วยจัดงานแต่งยังต้องทำเป็นทางการขนาดนั้น? นั่นเป็นเพราะว่าแม่สื่อมีหน้าที่และความรับผิดได้ตามกฎหมาย เป็นต้นว่า หากแม่สื่อโฆษณาคุณสมบัติของบุรุษสตรีเกินจริงจนเข้าข่ายบิดเบือนหรือหลอกลวงก็จะมีโทษ; แม่สื่อมีหน้าที่ตรวจสอบและสืบข้อมูลประวัติของทั้งสองครอบครัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นการแต่งงานที่เข้าข่ายต้องห้าม (เช่น ข้ามสถานะระหว่างบุคคลธรรมดากับบุคคลในทะเบียนทาส; เป็นพยานสำคัญว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกคนหรือไม่ ตั้งแต่ข้อมูลวันเดือนปีเกิด เอกสารการหมั้นและการรับตัวเจ้าสาว หรือหากรู้เห็นเป็นใจการหนีสมรสก็มีโทษเช่นกัน; เป็นพยานสำคัญว่าสินสอดและสินเดิมเจ้าสาวถูกต้องครบถ้วนตามรายการบัญชีที่ทำ; และอาจเป็นพยานหรือเป็นผู้ช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างครอบครัวบ่าวสาวได้ ฯลฯ แม่สื่อเป็นบุรุษหรือสตรีก็ได้ เพียงแต่ในยุคที่กิจการแม่สื่อเฟื่องฟู คนที่นิยมทำหน้าที่นี้เป็นสตรีเสียส่วนใหญ่ และจวบจนสมัยชิงยังมีการกล่าวถึงแม่สื่อหลวง โดยมีตัวอย่างจากบทประพันธ์โบราณชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น) ซึ่งเป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ดังนั้น แม่สื่อหลวงและแม่สื่อเอกชนอยู่คู่กับจีนมาหลายพันปีแล้ว และแน่นอนว่า แม่สื่อเอกชนแบบที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการก็มี เช่นอาจมีการเชิญผู้ใหญ่คนรู้จักไปช่วยพูดจาทาบทาม เพื่อนเพจเชื้อสายจีนน่าจะนึกภาพออกเพราะบ้านเราเรียกว่า ‘เถ้าแก่’ แต่เถ้าแก่นี้ไม่ใช่แม่สื่อหลักเพราะตามกระบวนการของกฎหมายต้องมีแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วช่วยดำเนินเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแม่สื่อหลวงหรือแม่สื่อเอกชน ดังนั้นในบริบทนี้ บางครอบครัวอาจใช้เถ้าแก่มาเสริม จึงเกิดเป็นสำนวนที่ว่า ‘ซานเหมยลิ่วพิ่น’ ( 三媒六聘/สามแม่สื่อหกพิธีการแต่งงาน) กล่าวคือแม่สื่อหรือเถ้าแก่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และคนกลางซึ่งมักเป็นแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วนั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://meihuamag.com/牵线说媒,这行当已有五千年历史/ http://sino.newdu.com/m/view.php?aid=91147 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.sss.net.cn/106001/30036.aspx http://www.heyuanxw.com/2014/wenhua_1216/15238.html http://iolaw.cssn.cn/xspl/200607/t20060726_4598436.shtml http://www.xinfajia.net/2592.html https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=795664&remap=gb#%娶妇 https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_26937009 #แม่สื่อ #กวนเหมย #ซือเหมย #เหมยซึ #การแต่งงานจีนโบราณ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • น้อมกราบอนุโมทามิภะวันตุเมสาธุๆๆๆๆๆๆกับทุกบุญกิริยาของทุกรูปทุกนามทุกจิตในวันนี้ค่ะ

    กฤษณ์จรัส วัทฒโก
    เอเฮร่า ลูกแก้วไอยคุปต์63 โทร.089-2466495
    Line : 0920929299 พลัมเฮร่า 6363
    TikTok : พลัมเฮร่า
    #บันทึกบุญ
    #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์

    *6363 รหัสลัภ
    น้อมกราบอนุโมทามิภะวันตุเมสาธุๆๆๆๆๆๆกับทุกบุญกิริยาของทุกรูปทุกนามทุกจิตในวันนี้ค่ะ กฤษณ์จรัส วัทฒโก เอเฮร่า ลูกแก้วไอยคุปต์63 โทร.089-2466495 Line : 0920929299 พลัมเฮร่า 6363 TikTok : พลัมเฮร่า #บันทึกบุญ #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์ *6363 รหัสลัภ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • บุญกิริยาทุกชนิด ทุกประเภทของฉัน
    ตั้งแต่ต้นอดีตชาติจนถึงปัจจุบันและตลอดไปจนกว่าจะถึงพระนิพพาน
    *ผู้ใดต้องการส่วนบุญ..ฉันขอแผ่ไปไม่มีประมาณ...ให้ท่านจงได้รับและรับได้ตลอดเวลาและตลอดไปเถิด...
    #อนุโมทามิภะวันตุเมสาธุๆๆๆๆๆค่ะ
    #บันทึกบุญ

    กฤษณ์จรัส วัทฒโก
    เอเฮร่า ลูกแก้วไอยคุปต์63
    Line : 0920929299 พลัมเฮร่า6363
    TikTok : พลัมเฮร่า
    โทร.089-2466495
    #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์

    *6363 รหัสลัภ
    บุญกิริยาทุกชนิด ทุกประเภทของฉัน ตั้งแต่ต้นอดีตชาติจนถึงปัจจุบันและตลอดไปจนกว่าจะถึงพระนิพพาน *ผู้ใดต้องการส่วนบุญ..ฉันขอแผ่ไปไม่มีประมาณ...ให้ท่านจงได้รับและรับได้ตลอดเวลาและตลอดไปเถิด... #อนุโมทามิภะวันตุเมสาธุๆๆๆๆๆค่ะ #บันทึกบุญ กฤษณ์จรัส วัทฒโก เอเฮร่า ลูกแก้วไอยคุปต์63 Line : 0920929299 พลัมเฮร่า6363 TikTok : พลัมเฮร่า โทร.089-2466495 #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์ *6363 รหัสลัภ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม่ฮ่องสอน - เปิดบันทึกอดีตปลัดอำเภอฯ ที่สมัครใจบรรจุใหม่ที่ปาย..40 ปีก่อน จนถึงวันนี้ ชุมชนท่องเที่ยวบนดอยสูงหลากชาติพันธุ์ ทั้งไต-คนเมือง-อดีตทหารกองพล 93 รวมถึงกะเหรี่ยง ม้ง ลีซอ ลาหู่หรือมูเซอร์ ว้า ฝรั่งแห่เข้ามานาน ก่อนยิวนิยมมาพักผ่อนระหว่างพักรบปาเลสไตน์ จากหลักร้อยเป็นหลักพัน จนมาอยู่อาศัย-ทำมาหากิน ตั้งโบสถ์ กระทั่งปายมีทั้งยิว-อิสลาม

    พันธุ์ชัย วัฒนชัย อดีตปลัดอำเภอปาย แม่ฮ่องสอน เมื่อ 40 กว่าปีก่อน (2522-2525) ได้เล่าเรื่องเมืองปายที่สัมผัสสมัยที่บรรจุเป็นข้าราชการใหม่ ว่า ชาวบ้านมีทั้งชาวไตหรือไทใหญ่ มีจำนวนมากที่สุด, รองมา ก็คนเมืองหรือไตยวน, จีนฮ่อหรือจีนยูนนาน (เช่นอดีตทหารกองพล 93 ของเจียงไคเช็กและลูกหลาน ที่เคยสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน นับถืออิสลาม และลัทธิขงจื๊อ เต๋า พุทธ), กลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย เช่น ปกาเกอะญอหรือกะเหรี่ยง ม้ง ลีซอ ลาหู่หรือมูเซอร์ ลัวะหรือว้า (ชนเผ่าดั้งเดิมของล้านนา ถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษสายหนึ่งของเจ้าผู้ครองนครในล้านนาก็ว่าได้ เช่นเชื้อสายเจ้าเจ็ดตน จากลำปาง หรือราชวงศ์ทิพย์จักร) และชาวไทยภาคกลาง

    สมัยนั้นจะมีฝรั่งมาเที่ยวบ้าง ขึ้นดอย หาฝิ่นสูบ เที่ยวชมธรรมชาติ ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าถนนก่อนเข้าปาย ขึ้นดอย มีที่หนึ่ง เรียกว่า กิ่วแหม่ม หมายถึงคนขับรถรับจ้างข่มขืนแหม่มฝรั่งตรงกิ่วนั้น กิ่วแปลว่าช่องเขาแคบๆ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000016798

    #MGROnline #แม่ฮ่องสอน #อดีตปลัดอำเภอฯ #ปาย #ชุมชนท่องเที่ยว #ดอยสูง #หลากชาติพันธุ์
    แม่ฮ่องสอน - เปิดบันทึกอดีตปลัดอำเภอฯ ที่สมัครใจบรรจุใหม่ที่ปาย..40 ปีก่อน จนถึงวันนี้ ชุมชนท่องเที่ยวบนดอยสูงหลากชาติพันธุ์ ทั้งไต-คนเมือง-อดีตทหารกองพล 93 รวมถึงกะเหรี่ยง ม้ง ลีซอ ลาหู่หรือมูเซอร์ ว้า ฝรั่งแห่เข้ามานาน ก่อนยิวนิยมมาพักผ่อนระหว่างพักรบปาเลสไตน์ จากหลักร้อยเป็นหลักพัน จนมาอยู่อาศัย-ทำมาหากิน ตั้งโบสถ์ กระทั่งปายมีทั้งยิว-อิสลาม • พันธุ์ชัย วัฒนชัย อดีตปลัดอำเภอปาย แม่ฮ่องสอน เมื่อ 40 กว่าปีก่อน (2522-2525) ได้เล่าเรื่องเมืองปายที่สัมผัสสมัยที่บรรจุเป็นข้าราชการใหม่ ว่า ชาวบ้านมีทั้งชาวไตหรือไทใหญ่ มีจำนวนมากที่สุด, รองมา ก็คนเมืองหรือไตยวน, จีนฮ่อหรือจีนยูนนาน (เช่นอดีตทหารกองพล 93 ของเจียงไคเช็กและลูกหลาน ที่เคยสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน นับถืออิสลาม และลัทธิขงจื๊อ เต๋า พุทธ), กลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย เช่น ปกาเกอะญอหรือกะเหรี่ยง ม้ง ลีซอ ลาหู่หรือมูเซอร์ ลัวะหรือว้า (ชนเผ่าดั้งเดิมของล้านนา ถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษสายหนึ่งของเจ้าผู้ครองนครในล้านนาก็ว่าได้ เช่นเชื้อสายเจ้าเจ็ดตน จากลำปาง หรือราชวงศ์ทิพย์จักร) และชาวไทยภาคกลาง • สมัยนั้นจะมีฝรั่งมาเที่ยวบ้าง ขึ้นดอย หาฝิ่นสูบ เที่ยวชมธรรมชาติ ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าถนนก่อนเข้าปาย ขึ้นดอย มีที่หนึ่ง เรียกว่า กิ่วแหม่ม หมายถึงคนขับรถรับจ้างข่มขืนแหม่มฝรั่งตรงกิ่วนั้น กิ่วแปลว่าช่องเขาแคบๆ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000016798 • #MGROnline #แม่ฮ่องสอน #อดีตปลัดอำเภอฯ #ปาย #ชุมชนท่องเที่ยว #ดอยสูง #หลากชาติพันธุ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • 18 ปี คณะแพทย์ศิริราช 61 คน ผ่าแยกร่าง “วัน-วาด” แฝดสยาม หัวใจ-ตับ ติดกันสำเร็จ รอดทั้งคู่ ครั้งแรกของโลก

    🔬 การแพทย์ไทยสร้างประวัติศาสตร์ ผ่าแยกแฝดสยามสำเร็จ เป็นครั้งแรกของโลก

    ย้อนกลับไปเมื่อ 18 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 คณะแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช จำนวน 61 คน ได้สร้างปรากฏการณ์สำคัญ ในวงการแพทย์ระดับโลก ด้วยการผ่าตัดแยกร่างฝาแฝดสยาม ที่มีหัวใจและตับติดกัน ซึ่งเป็นเคสที่ยาก และมีความเสี่ยงสูงสุด ทารกทั้งสองคนคือ

    👶 ด.ญ.ปานตะวัน ธิเย็นใจ หรือน้องวัน แฝดผู้พี่
    👶 ด.ญ.ปานวาด ธิเย็นใจ หรือน้องวาด แฝดผู้น้อง

    ทั้งคู่เป็นบุตรสาวของ น.ส.อุษา ธิเย็นใจ และนายถาวร วิบุลกุล เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2549 ด้วยวิธีผ่าคลอด ขณะอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ โดยมีน้ำหนักแรกคลอดรวมกัน 3,570 กรัม หลังคลอดพบว่า ทั้งคู่ มีร่างกายติดกัน บริเวณช่วงหน้าท้อง ซึ่งเมื่อตรวจอย่างละเอียดพบว่า มีตับติดกันเป็นบริเวณกว้าง และที่สำคัญที่สุดคือ หัวใจของทั้งสองดวงเชื่อมต่อกัน ทำให้มีความเสี่ยงสูงมาก ในการผ่าตัด

    นี่คือเรื่องราวของ "วัน-วาด" และปาฏิหาริย์ของวงการแพทย์ไทย ที่ได้รับการบันทึกว่า เป็นเคสแรกของโลก ที่ผ่าแยกฝาแฝด ที่มีหัวใจติดกัน และรอดชีวิตทั้งคู่ ✨

    👩‍⚕️ ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการตัดสินใจครั้งสำคัญ
    การผ่าตัดในครั้งนี้ ต้องอาศัยทีมแพทย์จากหลากหลายสาขา โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน อาทิ

    ✅ ศ.พญ.อังกาบ ปราการรัตน์ หัวหน้าภาควิชาวิสัญญีวิทยา
    ✅ รศ.นพ.สมชาย ศรียศชาติ ศัลยแพทย์หัวใจ
    ✅ ผศ.นพ.มนตรี กิจมณี ศัลยแพทย์ตกแต่ง
    ✅ ผศ.นพ.มงคล เลาหเพ็ญแสง กุมารศัลยแพทย์

    💡 ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่
    👉 ทารกมีหัวใจเชื่อมต่อกัน ทำให้ต้องตรวจสอบว่า หัวใจของทั้งคู่ สามารถทำงานแยกจากกัน ได้หรือไม่
    👉 ต้องปิดรอยเชื่อมต่อ ของหัวใจชั่วคราว เพื่อดูผลกระทบก่อนการผ่าตัด
    👉 ต้องแยกตับ ที่ติดกันเป็นบริเวณกว้าง และหลีกเลี่ยงการเสียเลือด ให้มากที่สุด

    📅 หลังจากวางแผนกันอย่างละเอียด การผ่าตัดถูกกำหนดขึ้น ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2550 ขณะที่ทารกมีอายุ 8 เดือน และมีน้ำหนักรวมกัน 10.9 กิโลกรัม

    🔪 ขั้นตอนการผ่าตัด 12 ชั่วโมง ที่ต้องแข่งกับเวลา
    💉 เริ่มต้นด้วยการวางยาสลบ
    ทีมวิสัญญีแพทย์แบ่งเป็น 2 ทีม เพื่อดูแลเด็กแต่ละคนอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความผิดพลาด ที่อาจเกิดขึ้น

    ❤️ ขั้นตอนที่ 1 แยกหัวใจ
    👉 ใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง เพราะต้องค่อยๆ ตัดแยกหัวใจออกจากกัน โดยไม่ให้เกิดอันตราย ต่อการไหลเวียนโลหิต

    🩺 ขั้นตอนที่ 2 แยกตับ
    👉 ใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง ทีมแพทย์ต้องใช้เทคนิคพิเศษ ในการผ่าตัด เพื่อให้เลือดออกน้อยที่สุด

    🛏 ขั้นตอนที่ 3 เย็บซ่อมแซมอวัยวะ และผนังหน้าท้อง
    👉 แฝดพี่ "ปานตะวัน" มีโอกาสรอดสูงกว่า แต่แฝดน้อง "ปานวาด" ต้องได้รับการดูแลเรื่องหัวใจ เป็นพิเศษ

    ⚠️ ความเสี่ยงที่สูงที่สุด
    การผ่าตัดครั้งนี้ มีความเสี่ยงว่า อาจมีเด็กเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต แต่ทีมแพทย์สามารถทำได้สำเร็จ และน้องวัน-วาด มีชีวิตรอดทั้งคู่ 🎉

    👶 ปัจจุบัน "วัน-วาด" ใช้ชีวิตอย่างไร?
    หลังจากผ่านไป 18 ปี นับจากการผ่าตัดแยกร่าง ปัจจุบันทั้งคู่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง 💖 แม้ว่าต้องมีการติดตามอาการของน้องวาด เนื่องจากมีปัญหาหัวใจอยู่บ้าง แต่ทั้งคู่สามารถใช้ชีวิต ได้ใกล้เคียงกับเด็กปกติ

    คุณแม่ น.ส.อุษา กล่าวว่า
    🗣 "ตอนแรกเสียใจ ที่ลูกเกิดมาไม่ปกติ แต่ตอนนี้รู้สึกดีใจที่สุด ที่ทั้งคู่มีชีวิตรอด อยากขอบคุณทีมแพทย์ทุกท่าน ที่ช่วยชีวิตลูกของฉันไว้"

    🔍 แฝดสยาม คืออะไร?
    🔸 แฝดสยาม หรือ Siamese Twins คือแฝดที่เกิดจาก ไข่ใบเดียวกัน แต่มีความผิดปกติ ในการแบ่งตัวของเอ็มบริโอ ทำให้ร่างกายของทั้งคู่ ติดกันในระดับต่างๆ

    🔹 ประเภทของแฝดสยาม
    ✅ แฝดที่มีอวัยวะภายในติดกัน เช่น หัวใจ ตับ ลำไส้
    ✅ แฝดที่มีอวัยวะภายนอกติดกัน เช่น แขน ขา หรือส่วนอื่นของร่างกาย

    แฝดสยามที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกก็คือ อิน-จัน ฝาแฝดชาวไทย ที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่า "Siamese Twins" 👥

    🏥 "ศิริราช" ศูนย์กลางความก้าวหน้า ทางการแพทย์ของไทย
    โรงพยาบาลศิริราช เป็นสถานที่ ที่ให้กำเนิดนวัตกรรม ทางการแพทย์ระดับโลก โดยเฉพาะในเรื่องของ
    การผ่าตัดฝาแฝดสยาม ทีมแพทย์ของศิริราช ไม่เพียงแค่ช่วยเหลือเด็กไทย แต่ยังสามารถนำความรู้นี้ไปช่วยเหลือผู้ป่วยทั่วโลก 🌏

    ✅ เป็นเคสแรกของโลก ที่สามารถแยกแฝดหัวใจติดกัน และรอดชีวิตทั้งคู่
    ✅ เป็นก้าวสำคัญของการแพทย์ไทย ที่ได้รับการยอมรับ ในระดับนานาชาติ

    💬 ปาฏิหาริย์ทางการแพทย์ของไทย
    🎯 คณะแพทย์ศิริราช สร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการผ่าตัดแยกแฝดสยาม ที่หัวใจและตับติดกัน ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก
    🎯 "วัน-วาด" มีชีวิตรอดทั้งคู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก
    🎯 เป็นหลักฐานว่าแพทย์ไทย มีความสามารถเทียบเท่าระดับโลก

    👩‍⚕️✨ นี่คือความภาคภูมิใจ ของวงการแพทย์ไทย และเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับแพทย์รุ่นใหม่ทั่วโลก 💖

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 2009271 ก.พ. 2568

    📌 #แฝดสยาม #ผ่าตัดแฝด #ศิริราช #วันวาด #ข่าวดังในอดีต #การแพทย์ไทย #นวัตกรรมการแพทย์ #SiameseTwins #แพทย์ไทย #ประวัติศาสตร์การแพทย์
    18 ปี คณะแพทย์ศิริราช 61 คน ผ่าแยกร่าง “วัน-วาด” แฝดสยาม หัวใจ-ตับ ติดกันสำเร็จ รอดทั้งคู่ ครั้งแรกของโลก 🔬 การแพทย์ไทยสร้างประวัติศาสตร์ ผ่าแยกแฝดสยามสำเร็จ เป็นครั้งแรกของโลก ย้อนกลับไปเมื่อ 18 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 คณะแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช จำนวน 61 คน ได้สร้างปรากฏการณ์สำคัญ ในวงการแพทย์ระดับโลก ด้วยการผ่าตัดแยกร่างฝาแฝดสยาม ที่มีหัวใจและตับติดกัน ซึ่งเป็นเคสที่ยาก และมีความเสี่ยงสูงสุด ทารกทั้งสองคนคือ 👶 ด.ญ.ปานตะวัน ธิเย็นใจ หรือน้องวัน แฝดผู้พี่ 👶 ด.ญ.ปานวาด ธิเย็นใจ หรือน้องวาด แฝดผู้น้อง ทั้งคู่เป็นบุตรสาวของ น.ส.อุษา ธิเย็นใจ และนายถาวร วิบุลกุล เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2549 ด้วยวิธีผ่าคลอด ขณะอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ โดยมีน้ำหนักแรกคลอดรวมกัน 3,570 กรัม หลังคลอดพบว่า ทั้งคู่ มีร่างกายติดกัน บริเวณช่วงหน้าท้อง ซึ่งเมื่อตรวจอย่างละเอียดพบว่า มีตับติดกันเป็นบริเวณกว้าง และที่สำคัญที่สุดคือ หัวใจของทั้งสองดวงเชื่อมต่อกัน ทำให้มีความเสี่ยงสูงมาก ในการผ่าตัด นี่คือเรื่องราวของ "วัน-วาด" และปาฏิหาริย์ของวงการแพทย์ไทย ที่ได้รับการบันทึกว่า เป็นเคสแรกของโลก ที่ผ่าแยกฝาแฝด ที่มีหัวใจติดกัน และรอดชีวิตทั้งคู่ ✨ 👩‍⚕️ ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการตัดสินใจครั้งสำคัญ การผ่าตัดในครั้งนี้ ต้องอาศัยทีมแพทย์จากหลากหลายสาขา โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน อาทิ ✅ ศ.พญ.อังกาบ ปราการรัตน์ หัวหน้าภาควิชาวิสัญญีวิทยา ✅ รศ.นพ.สมชาย ศรียศชาติ ศัลยแพทย์หัวใจ ✅ ผศ.นพ.มนตรี กิจมณี ศัลยแพทย์ตกแต่ง ✅ ผศ.นพ.มงคล เลาหเพ็ญแสง กุมารศัลยแพทย์ 💡 ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ 👉 ทารกมีหัวใจเชื่อมต่อกัน ทำให้ต้องตรวจสอบว่า หัวใจของทั้งคู่ สามารถทำงานแยกจากกัน ได้หรือไม่ 👉 ต้องปิดรอยเชื่อมต่อ ของหัวใจชั่วคราว เพื่อดูผลกระทบก่อนการผ่าตัด 👉 ต้องแยกตับ ที่ติดกันเป็นบริเวณกว้าง และหลีกเลี่ยงการเสียเลือด ให้มากที่สุด 📅 หลังจากวางแผนกันอย่างละเอียด การผ่าตัดถูกกำหนดขึ้น ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2550 ขณะที่ทารกมีอายุ 8 เดือน และมีน้ำหนักรวมกัน 10.9 กิโลกรัม 🔪 ขั้นตอนการผ่าตัด 12 ชั่วโมง ที่ต้องแข่งกับเวลา 💉 เริ่มต้นด้วยการวางยาสลบ ทีมวิสัญญีแพทย์แบ่งเป็น 2 ทีม เพื่อดูแลเด็กแต่ละคนอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความผิดพลาด ที่อาจเกิดขึ้น ❤️ ขั้นตอนที่ 1 แยกหัวใจ 👉 ใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง เพราะต้องค่อยๆ ตัดแยกหัวใจออกจากกัน โดยไม่ให้เกิดอันตราย ต่อการไหลเวียนโลหิต 🩺 ขั้นตอนที่ 2 แยกตับ 👉 ใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง ทีมแพทย์ต้องใช้เทคนิคพิเศษ ในการผ่าตัด เพื่อให้เลือดออกน้อยที่สุด 🛏 ขั้นตอนที่ 3 เย็บซ่อมแซมอวัยวะ และผนังหน้าท้อง 👉 แฝดพี่ "ปานตะวัน" มีโอกาสรอดสูงกว่า แต่แฝดน้อง "ปานวาด" ต้องได้รับการดูแลเรื่องหัวใจ เป็นพิเศษ ⚠️ ความเสี่ยงที่สูงที่สุด การผ่าตัดครั้งนี้ มีความเสี่ยงว่า อาจมีเด็กเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต แต่ทีมแพทย์สามารถทำได้สำเร็จ และน้องวัน-วาด มีชีวิตรอดทั้งคู่ 🎉 👶 ปัจจุบัน "วัน-วาด" ใช้ชีวิตอย่างไร? หลังจากผ่านไป 18 ปี นับจากการผ่าตัดแยกร่าง ปัจจุบันทั้งคู่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง 💖 แม้ว่าต้องมีการติดตามอาการของน้องวาด เนื่องจากมีปัญหาหัวใจอยู่บ้าง แต่ทั้งคู่สามารถใช้ชีวิต ได้ใกล้เคียงกับเด็กปกติ คุณแม่ น.ส.อุษา กล่าวว่า 🗣 "ตอนแรกเสียใจ ที่ลูกเกิดมาไม่ปกติ แต่ตอนนี้รู้สึกดีใจที่สุด ที่ทั้งคู่มีชีวิตรอด อยากขอบคุณทีมแพทย์ทุกท่าน ที่ช่วยชีวิตลูกของฉันไว้" 🔍 แฝดสยาม คืออะไร? 🔸 แฝดสยาม หรือ Siamese Twins คือแฝดที่เกิดจาก ไข่ใบเดียวกัน แต่มีความผิดปกติ ในการแบ่งตัวของเอ็มบริโอ ทำให้ร่างกายของทั้งคู่ ติดกันในระดับต่างๆ 🔹 ประเภทของแฝดสยาม ✅ แฝดที่มีอวัยวะภายในติดกัน เช่น หัวใจ ตับ ลำไส้ ✅ แฝดที่มีอวัยวะภายนอกติดกัน เช่น แขน ขา หรือส่วนอื่นของร่างกาย แฝดสยามที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกก็คือ อิน-จัน ฝาแฝดชาวไทย ที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่า "Siamese Twins" 👥 🏥 "ศิริราช" ศูนย์กลางความก้าวหน้า ทางการแพทย์ของไทย โรงพยาบาลศิริราช เป็นสถานที่ ที่ให้กำเนิดนวัตกรรม ทางการแพทย์ระดับโลก โดยเฉพาะในเรื่องของ การผ่าตัดฝาแฝดสยาม ทีมแพทย์ของศิริราช ไม่เพียงแค่ช่วยเหลือเด็กไทย แต่ยังสามารถนำความรู้นี้ไปช่วยเหลือผู้ป่วยทั่วโลก 🌏 ✅ เป็นเคสแรกของโลก ที่สามารถแยกแฝดหัวใจติดกัน และรอดชีวิตทั้งคู่ ✅ เป็นก้าวสำคัญของการแพทย์ไทย ที่ได้รับการยอมรับ ในระดับนานาชาติ 💬 ปาฏิหาริย์ทางการแพทย์ของไทย 🎯 คณะแพทย์ศิริราช สร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการผ่าตัดแยกแฝดสยาม ที่หัวใจและตับติดกัน ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก 🎯 "วัน-วาด" มีชีวิตรอดทั้งคู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก 🎯 เป็นหลักฐานว่าแพทย์ไทย มีความสามารถเทียบเท่าระดับโลก 👩‍⚕️✨ นี่คือความภาคภูมิใจ ของวงการแพทย์ไทย และเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับแพทย์รุ่นใหม่ทั่วโลก 💖 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 2009271 ก.พ. 2568 📌 #แฝดสยาม #ผ่าตัดแฝด #ศิริราช #วันวาด #ข่าวดังในอดีต #การแพทย์ไทย #นวัตกรรมการแพทย์ #SiameseTwins #แพทย์ไทย #ประวัติศาสตร์การแพทย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2028 โดยโครงการนี้มีมูลค่ารวมสูงถึง 35 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และจะสร้างงานได้ถึง 10,000 ตำแหน่ง

    ศูนย์ข้อมูลนี้จะถูกสร้างขึ้นในจังหวัด Jeollanam-do และจะมีความจุ 3GW ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดที่สำคัญในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ โดยคาดว่าจะเพิ่มความจุของศูนย์ข้อมูลแบบ hyper-scale ถึงสามเท่าจากที่มีในปัจจุบัน เช่นของ Microsoft, Google และ Amazon

    โครงการนี้ได้รับการก่อตั้งโดยทายาทของบริษัท LG Electronics Brian Koo และ Dr. Amin Badr-El-Din โดยมีการลงนามบันทึกความเข้าใจกับผู้ว่าราชการจังหวัด Jeollanam-do เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี

    แม้ว่าโครงการนี้จะต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย เช่น การใช้พลังงานและน้ำเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่โครงการนี้สามารถยกระดับเกาหลีใต้ให้เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก และสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจให้กับภูมิภาคนี้

    นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบกับโครงการของ Meta ในสหรัฐฯ ที่มีมูลค่า 10 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่จะสร้างงานโดยตรงเพียง 500 ตำแหน่งเท่านั้น ซึ่งโครงการของเกาหลีใต้มีการคาดการณ์ว่าจะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมากมาย

    https://www.techradar.com/pro/security/worlds-largest-mega-data-center-planned-for-south-korea-in-usd35bn-project
    ข่าวนี้เล่าถึงการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2028 โดยโครงการนี้มีมูลค่ารวมสูงถึง 35 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และจะสร้างงานได้ถึง 10,000 ตำแหน่ง ศูนย์ข้อมูลนี้จะถูกสร้างขึ้นในจังหวัด Jeollanam-do และจะมีความจุ 3GW ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดที่สำคัญในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ โดยคาดว่าจะเพิ่มความจุของศูนย์ข้อมูลแบบ hyper-scale ถึงสามเท่าจากที่มีในปัจจุบัน เช่นของ Microsoft, Google และ Amazon โครงการนี้ได้รับการก่อตั้งโดยทายาทของบริษัท LG Electronics Brian Koo และ Dr. Amin Badr-El-Din โดยมีการลงนามบันทึกความเข้าใจกับผู้ว่าราชการจังหวัด Jeollanam-do เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี แม้ว่าโครงการนี้จะต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย เช่น การใช้พลังงานและน้ำเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่โครงการนี้สามารถยกระดับเกาหลีใต้ให้เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก และสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจให้กับภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบกับโครงการของ Meta ในสหรัฐฯ ที่มีมูลค่า 10 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่จะสร้างงานโดยตรงเพียง 500 ตำแหน่งเท่านั้น ซึ่งโครงการของเกาหลีใต้มีการคาดการณ์ว่าจะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมากมาย https://www.techradar.com/pro/security/worlds-largest-mega-data-center-planned-for-south-korea-in-usd35bn-project
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498
    วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต

    หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า

    “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8”

    ————

    "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด"


    ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด

    เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน

    สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่

    1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้:

    “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489

    ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้

    แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น

    บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย

    ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498”

    ................

    2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต

    ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว

    ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ

    แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น

    ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’”

    ..................

    3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้:

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’”

    ----------

    ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม

    จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว

    ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย

    ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า)

    ………

    ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย

    —————-

    ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้:


    “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา

    น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ

    น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต

    ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย

    ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย)

    มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.”

    (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย)

    ------------

    จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

    พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ

    แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…”

    ……….

    ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย

    จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

    ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ

    ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn
    ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498 วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8” ———— "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด" ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่ 1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้: “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้ แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498” ................ 2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้ “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’” .................. 3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้: “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’” ---------- ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า) ……… ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย —————- ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้: “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย) มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.” (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย) ------------ จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…” ………. ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์สหรัฐฯกำลังพยายาม "สร้างความพึงพอใจ" แก่รัสเซีย ในการเจรจาเกี่ยวกับยูเครน และเตือนถึงความอ่อนแอทางทหารของยุโรป
    .
    ในปฏิกิริยาที่มีต่อท่าทีของพวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่แสดงความคิดเห็นต่างๆ ไปในทิศทางประนีประนอมกับรัสเซีย ทางเซเลนสกีกล่าวว่า "เวลานี้ สหรัฐฯ กำลังพูดในสิ่งต่างๆ ที่เป็นผลดีกับปูตินมากๆ เพราะพวกเขาอยากสร้างความพึงพอใจแก่เขา" ผู้นำยูเครนระบุ ระหว่างการให้สัมภาษณ์ที่บันทึกเทปเอาไว้ ในเมืองมิวนิกเมื่อวันเสาร์ (15 ก.พ.)
    .
    "พวกต้องการพบปะกันอย่างเร่งด่วนและมีชัยอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่พวกเขาอยากได้ก็แค่ข้อตกลงหยุดยิง ไม่ใช่ชัยชนะ" เซเลนสกีกล่าว
    .
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สร้างความตกตะลึงแก่บรรดาพันธมิตร ด้วยการเปิดเผยว่าเขาได้พูดคุยโดยตรงกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เกี่ยวกับกระบวนการเดินหน้ายุติสงครามในยูเครนอย่างรวดเร็ว
    .
    ขณะเดียวกัน พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ก็ดูเหมือนจะตัดความเป็นไปได้ที่ยูเครนจะเข้าร่วมเป็นรัฐสมาชิกนาโต หรือทวงคืนดินแดนทั้งหมดที่สูญเสียไปตั้งแต่ปี 2014
    .
    ในแนวโน้มของข้อตกลงใดๆ ในอนาคต เซเลนสกีบอกว่า "เราจะไม่ลงนามสิ่งใดเพียงเพื่อได้รับเสียงชื่นชม และขอเน้นย้ำว่าชะตากรรมของประเทศของเราสำหรับหลายชั่วอายุคนกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง" เขากล่าว พร้อมปฏิเสธความคิดยอมสละดินแดนของยูเครนที่ถูกรัสเซียยึดไป "เราจะทวงคืนมันทั้งหมด"
    .
    คำกล่าวนี้ของเซเลนสกี เป็นเทปบันทึกการสัมภาษณ์ซึ่งมีขึ้นระหว่างการประชุมความมั่นคงที่เมืองมิวนิก เป็นเวลา 3 วัน สิ้นสุดในวันอาทิตย์ (16 ก.พ.) ก่อนหน้านี้พวกผู้ยุโรปจะจัดประชุมหารือฉุกเฉินในกรุงปารีส เพื่อระดมวิธีรับมืออเมริกา หลังจากตลอดสัปดาห์ที่แล้วคณะบริหารทรัมป์เดินเกมรุกทางการทูตที่ดูเหมือนอ้าแขนรับรัสเซียและเมินเฉยทอดทิ้งพันธมิตรเก่าแก่อย่างยุโรป และเวลานี้ยังอยู่ระหว่างการพูดคุย
    .
    ประธานาธิบดียูเครนเตือนว่ายุโรปจะอยู่ในสถานะอ่อนแอ หากไม่อาจพึ่งพิงร่มเงาความมั่นคงของสหรัฐฯ "แม้มีการยกระดับความพร้อมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในแง่ของความเข้มแข็งทางทหาร จำนวนของกำลังพลสู้รบ กองเรือ กองทัพอากาศและโดรน แต่ผมคิดโดยสัตย์จริงว่า ณ วันนี้ ยุโรปนั้นอ่อนแอ"
    .
    เซเลนสกี อ้างว่า ยูเครน มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และ "ปูตินไม่สามารถรุกรานยึดครองเรา ในหนทางที่เขาต้องการ" อย่างไรก็ตามเขาเตือนว่า "ยูเครนจะไม่อาจได้รับชัยชนะหากปราศจากแรงสนับสนุนจากอเมริกา"
    .
    ผู้นำยูเครนเผยด้วยว่าเขาและทรัมป์ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับการประจำการทหารต่างชาติ เพื่อพิทักษ์ข้อตกลงหยุดยิงใดๆ ในอนาคต "ผมบอกกับเขาไปว่า อเมริกาควรเป็นส่วนหนึ่งในสิ่งนี้ เพราะไม่เช่นนั้น เราอาจสูญเสียความเป็นหนึ่งเดียวกัน"
    .
    ณ ที่ประชุมบรรดาผู้สนับสนุนเคียฟในบรัสเซลส์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เฮกเซธ ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงเกี่ยวกับความเป็นไปได้ใดๆ ที่สหรัฐฯ จะประจำการทหารในยูเครน
    .
    เมื่อถามว่าเขาจะยอมสละตำแหน่งประธานาธิบดีหรือไม่ ถ้ามันมีความจำเป็นเพื่อข้อตกลงหนึ่งๆ เซเลนสกี บอกว่า "เพื่อสันติภาพแล้ว ผมพร้อมทำในทุกอย่าง" เขากล่าว "ถ้าพรุ่งนี้ยูเครนได้รับการตอบรับเข้าร่วมอียูและนาโต ถ้าทหารรัสเซียถอนทหารและเราได้รับคำรับประกันความมั่นคง ผมคงไม่ต้องการอะไรที่มากไปกว่านี้อีกแล้ว"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015976
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์สหรัฐฯกำลังพยายาม "สร้างความพึงพอใจ" แก่รัสเซีย ในการเจรจาเกี่ยวกับยูเครน และเตือนถึงความอ่อนแอทางทหารของยุโรป . ในปฏิกิริยาที่มีต่อท่าทีของพวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่แสดงความคิดเห็นต่างๆ ไปในทิศทางประนีประนอมกับรัสเซีย ทางเซเลนสกีกล่าวว่า "เวลานี้ สหรัฐฯ กำลังพูดในสิ่งต่างๆ ที่เป็นผลดีกับปูตินมากๆ เพราะพวกเขาอยากสร้างความพึงพอใจแก่เขา" ผู้นำยูเครนระบุ ระหว่างการให้สัมภาษณ์ที่บันทึกเทปเอาไว้ ในเมืองมิวนิกเมื่อวันเสาร์ (15 ก.พ.) . "พวกต้องการพบปะกันอย่างเร่งด่วนและมีชัยอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่พวกเขาอยากได้ก็แค่ข้อตกลงหยุดยิง ไม่ใช่ชัยชนะ" เซเลนสกีกล่าว . ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สร้างความตกตะลึงแก่บรรดาพันธมิตร ด้วยการเปิดเผยว่าเขาได้พูดคุยโดยตรงกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เกี่ยวกับกระบวนการเดินหน้ายุติสงครามในยูเครนอย่างรวดเร็ว . ขณะเดียวกัน พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ก็ดูเหมือนจะตัดความเป็นไปได้ที่ยูเครนจะเข้าร่วมเป็นรัฐสมาชิกนาโต หรือทวงคืนดินแดนทั้งหมดที่สูญเสียไปตั้งแต่ปี 2014 . ในแนวโน้มของข้อตกลงใดๆ ในอนาคต เซเลนสกีบอกว่า "เราจะไม่ลงนามสิ่งใดเพียงเพื่อได้รับเสียงชื่นชม และขอเน้นย้ำว่าชะตากรรมของประเทศของเราสำหรับหลายชั่วอายุคนกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง" เขากล่าว พร้อมปฏิเสธความคิดยอมสละดินแดนของยูเครนที่ถูกรัสเซียยึดไป "เราจะทวงคืนมันทั้งหมด" . คำกล่าวนี้ของเซเลนสกี เป็นเทปบันทึกการสัมภาษณ์ซึ่งมีขึ้นระหว่างการประชุมความมั่นคงที่เมืองมิวนิก เป็นเวลา 3 วัน สิ้นสุดในวันอาทิตย์ (16 ก.พ.) ก่อนหน้านี้พวกผู้ยุโรปจะจัดประชุมหารือฉุกเฉินในกรุงปารีส เพื่อระดมวิธีรับมืออเมริกา หลังจากตลอดสัปดาห์ที่แล้วคณะบริหารทรัมป์เดินเกมรุกทางการทูตที่ดูเหมือนอ้าแขนรับรัสเซียและเมินเฉยทอดทิ้งพันธมิตรเก่าแก่อย่างยุโรป และเวลานี้ยังอยู่ระหว่างการพูดคุย . ประธานาธิบดียูเครนเตือนว่ายุโรปจะอยู่ในสถานะอ่อนแอ หากไม่อาจพึ่งพิงร่มเงาความมั่นคงของสหรัฐฯ "แม้มีการยกระดับความพร้อมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในแง่ของความเข้มแข็งทางทหาร จำนวนของกำลังพลสู้รบ กองเรือ กองทัพอากาศและโดรน แต่ผมคิดโดยสัตย์จริงว่า ณ วันนี้ ยุโรปนั้นอ่อนแอ" . เซเลนสกี อ้างว่า ยูเครน มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และ "ปูตินไม่สามารถรุกรานยึดครองเรา ในหนทางที่เขาต้องการ" อย่างไรก็ตามเขาเตือนว่า "ยูเครนจะไม่อาจได้รับชัยชนะหากปราศจากแรงสนับสนุนจากอเมริกา" . ผู้นำยูเครนเผยด้วยว่าเขาและทรัมป์ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับการประจำการทหารต่างชาติ เพื่อพิทักษ์ข้อตกลงหยุดยิงใดๆ ในอนาคต "ผมบอกกับเขาไปว่า อเมริกาควรเป็นส่วนหนึ่งในสิ่งนี้ เพราะไม่เช่นนั้น เราอาจสูญเสียความเป็นหนึ่งเดียวกัน" . ณ ที่ประชุมบรรดาผู้สนับสนุนเคียฟในบรัสเซลส์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เฮกเซธ ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงเกี่ยวกับความเป็นไปได้ใดๆ ที่สหรัฐฯ จะประจำการทหารในยูเครน . เมื่อถามว่าเขาจะยอมสละตำแหน่งประธานาธิบดีหรือไม่ ถ้ามันมีความจำเป็นเพื่อข้อตกลงหนึ่งๆ เซเลนสกี บอกว่า "เพื่อสันติภาพแล้ว ผมพร้อมทำในทุกอย่าง" เขากล่าว "ถ้าพรุ่งนี้ยูเครนได้รับการตอบรับเข้าร่วมอียูและนาโต ถ้าทหารรัสเซียถอนทหารและเราได้รับคำรับประกันความมั่นคง ผมคงไม่ต้องการอะไรที่มากไปกว่านี้อีกแล้ว" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015976 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1348 มุมมอง 1 รีวิว
  • ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ได้สร้างชิป CMOS (complementary metal-oxide semiconductor) เพื่อบันทึกกิจกรรมไฟฟ้าของเซลล์ประสาทในสมองหนู โดยชิปนี้มีแผงอิเล็กโทรดไมโครโฮล 4,096 ช่อง ซึ่งทำให้สามารถบันทึกข้อมูลจากเซลล์ประสาทมากกว่า 2,000 เซลล์ และเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทได้มากถึง 70,000 การเชื่อมต่อ

    ชิปนี้สามารถวัดความแรงของสัญญาณและลักษณะของสัญญาณที่ถูกส่งผ่านระหว่างการเชื่อมต่อ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าใหญ่ในงานวิจัยประสาทวิทยา เนื่องจากการใช้อิเล็กตรอนไมโครสโคปในปัจจุบันสามารถมองเห็นการเชื่อมต่อประสาท แต่ไม่สามารถบันทึกสัญญาณที่ส่งผ่านได้ และการใช้เทคนิคแบบ patch-clamp electrode จะทำได้เพียงบันทึกสัญญาณจากเซลล์จำนวนน้อยเท่านั้น

    สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือการใช้ชิปนี้ช่วยให้สามารถศึกษาการทำงานของเซลล์ประสาทจำนวนมาก และเข้าใจกระบวนการทางจิตที่ซับซ้อน เช่น การคิดและการเรียนรู้ นักวิจัยกล่าวว่าแต่ละไมโครโฮลในชิปนี้เหมือนกับการใช้ patch-clamp electrode และการเพิ่มจำนวนไมโครโฮลกว่า 4,000 ช่องในชิปเดียว ทำให้สามารถตรวจสอบเซลล์ประสาทจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ทีมวิจัยได้ทำการบันทึกข้อมูลจากเซลล์ประสาทหนูมากกว่า 3,600 เซลล์ โดยมีอัตราความสำเร็จเกือบ 90% จากนั้นทีมได้บันทึกการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทได้มากกว่า 70,000 การเชื่อมต่อ ซึ่งมากกว่าสถิติเดิมถึง 200 เท่า

    แม้จะมีความก้าวหน้านี้ แต่ทีมวิจัยยังคงมีความท้าทายในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากที่ได้รับ และกำลังพัฒนาชิปรุ่นใหม่ที่สามารถใช้งานในสมองจริง หากประสบความสำเร็จ เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ในการฝึก AI และสร้างชิปที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และยังสามารถใช้ในการวิจัยด้านสุขภาพจิต เพื่อเข้าใจการทำงานของการเชื่อมต่อประสาทและผลกระทบต่อการรับรู้ของจิตใจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/harvard-team-built-a-cmos-chip-to-map-70-000-synaptic-connections-between-2-000-rat-neurons
    ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ได้สร้างชิป CMOS (complementary metal-oxide semiconductor) เพื่อบันทึกกิจกรรมไฟฟ้าของเซลล์ประสาทในสมองหนู โดยชิปนี้มีแผงอิเล็กโทรดไมโครโฮล 4,096 ช่อง ซึ่งทำให้สามารถบันทึกข้อมูลจากเซลล์ประสาทมากกว่า 2,000 เซลล์ และเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทได้มากถึง 70,000 การเชื่อมต่อ ชิปนี้สามารถวัดความแรงของสัญญาณและลักษณะของสัญญาณที่ถูกส่งผ่านระหว่างการเชื่อมต่อ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าใหญ่ในงานวิจัยประสาทวิทยา เนื่องจากการใช้อิเล็กตรอนไมโครสโคปในปัจจุบันสามารถมองเห็นการเชื่อมต่อประสาท แต่ไม่สามารถบันทึกสัญญาณที่ส่งผ่านได้ และการใช้เทคนิคแบบ patch-clamp electrode จะทำได้เพียงบันทึกสัญญาณจากเซลล์จำนวนน้อยเท่านั้น สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือการใช้ชิปนี้ช่วยให้สามารถศึกษาการทำงานของเซลล์ประสาทจำนวนมาก และเข้าใจกระบวนการทางจิตที่ซับซ้อน เช่น การคิดและการเรียนรู้ นักวิจัยกล่าวว่าแต่ละไมโครโฮลในชิปนี้เหมือนกับการใช้ patch-clamp electrode และการเพิ่มจำนวนไมโครโฮลกว่า 4,000 ช่องในชิปเดียว ทำให้สามารถตรวจสอบเซลล์ประสาทจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมวิจัยได้ทำการบันทึกข้อมูลจากเซลล์ประสาทหนูมากกว่า 3,600 เซลล์ โดยมีอัตราความสำเร็จเกือบ 90% จากนั้นทีมได้บันทึกการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทได้มากกว่า 70,000 การเชื่อมต่อ ซึ่งมากกว่าสถิติเดิมถึง 200 เท่า แม้จะมีความก้าวหน้านี้ แต่ทีมวิจัยยังคงมีความท้าทายในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากที่ได้รับ และกำลังพัฒนาชิปรุ่นใหม่ที่สามารถใช้งานในสมองจริง หากประสบความสำเร็จ เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ในการฝึก AI และสร้างชิปที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และยังสามารถใช้ในการวิจัยด้านสุขภาพจิต เพื่อเข้าใจการทำงานของการเชื่อมต่อประสาทและผลกระทบต่อการรับรู้ของจิตใจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/harvard-team-built-a-cmos-chip-to-map-70-000-synaptic-connections-between-2-000-rat-neurons
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Harvard team built a CMOS chip to map 70,000 synaptic connections between 2,000 rat neurons
    Research aims to understand large-scale neural networks via a leap in neuronal recording.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้พูดถึงการใช้เทคโนโลยีแชทบอท AI ที่ช่วยจดบันทึกในการประชุม ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงอย่างมากในเรื่องของประสิทธิภาพและความเป็นส่วนตัว โดยมีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft และ Google รวมถึงสตาร์ทอัพหลายแห่งที่พัฒนาเครื่องมือดิจิทัลนี้เพื่อใช้ฟังการประชุม บันทึกการสนทนา และสรุปประเด็นสำคัญ

    แม้ว่าจะมีการกล่าวถึงว่าเครื่องมือนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ดี แต่ก็มีข้อกังวลหลายประการเกี่ยวกับความเหมาะสมในการใช้งานและการละเมิดความเป็นส่วนตัว Gokul Rajaram, ผู้ร่วมก่อตั้ง Marathon Management Partners ในซานฟรานซิสโก กล่าวว่าเขามักจะใช้ AI ในการจดบันทึกมากถึง 80% ของการประชุม แต่เขาก็มีความกังวลเกี่ยวกับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น และการที่ AI จดบันทึกจะเป็นการบันทึกเสียงด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการละเมิดความเป็นส่วนตัว

    Margaret Mitchell, หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ด้านจริยธรรมของบริษัท Hugging Face, ได้เน้นย้ำถึงข้อควรระวังในการใช้แชทบอท AI ในการจดบันทึก โดยแนะนำให้แจ้งให้ผู้เข้าร่วมประชุมทราบและให้สิทธิ์ในการปฏิเสธหากไม่ต้องการให้บันทึก เธอยังชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของเทคโนโลยีนี้ในการตีความความหมายที่ไม่ได้ใช้คำพูด และการแปลสารที่ไม่เข้าใจง่าย เช่น การเสียดสีหรือการหยอกล้อ

    AI แชทบอทนี้ยังไม่สามารถรับรู้สัญญาณที่ไม่ใช่เสียง เช่น การแสดงออกทางใบหน้า การใช้ท่าทาง หรือภาษากายได้ ทำให้เกิดความเสี่ยงในการตีความผิด นอกจากนี้ การที่เราใช้ AI ในการจดบันทึกอาจทำให้เกิดการพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไปและลดความเป็นธรรมชาติในการสนทนา

    สำหรับบริษัทที่พัฒนาเครื่องมือ AI เหล่านี้ นอกจากจะได้ประโยชน์ในด้านการตลาดและรายได้แล้ว ยังได้ข้อมูลสำหรับการฝึกฝน AI เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เริ่มมีความสำคัญมากขึ้นเนื่องจากข้อท้าทายทางกฎหมายและข้อจำกัดในการใช้ข้อมูล

    อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่การใช้ AI จดบันทึกอาจลดทอนความเป็นมนุษย์ในการประชุม เช่น การสนทนานอกเรื่องเล็กน้อยที่มักเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์ และการที่พนักงานระมัดระวังคำพูดเกินไปอาจทำให้การสื่อสารเปิดกว้างลดลง

    https://www.techspot.com/news/106785-ai-notetakers-changing-meetings-but-not-everyone-board.html
    ข่าวนี้พูดถึงการใช้เทคโนโลยีแชทบอท AI ที่ช่วยจดบันทึกในการประชุม ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงอย่างมากในเรื่องของประสิทธิภาพและความเป็นส่วนตัว โดยมีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft และ Google รวมถึงสตาร์ทอัพหลายแห่งที่พัฒนาเครื่องมือดิจิทัลนี้เพื่อใช้ฟังการประชุม บันทึกการสนทนา และสรุปประเด็นสำคัญ แม้ว่าจะมีการกล่าวถึงว่าเครื่องมือนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ดี แต่ก็มีข้อกังวลหลายประการเกี่ยวกับความเหมาะสมในการใช้งานและการละเมิดความเป็นส่วนตัว Gokul Rajaram, ผู้ร่วมก่อตั้ง Marathon Management Partners ในซานฟรานซิสโก กล่าวว่าเขามักจะใช้ AI ในการจดบันทึกมากถึง 80% ของการประชุม แต่เขาก็มีความกังวลเกี่ยวกับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น และการที่ AI จดบันทึกจะเป็นการบันทึกเสียงด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการละเมิดความเป็นส่วนตัว Margaret Mitchell, หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ด้านจริยธรรมของบริษัท Hugging Face, ได้เน้นย้ำถึงข้อควรระวังในการใช้แชทบอท AI ในการจดบันทึก โดยแนะนำให้แจ้งให้ผู้เข้าร่วมประชุมทราบและให้สิทธิ์ในการปฏิเสธหากไม่ต้องการให้บันทึก เธอยังชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของเทคโนโลยีนี้ในการตีความความหมายที่ไม่ได้ใช้คำพูด และการแปลสารที่ไม่เข้าใจง่าย เช่น การเสียดสีหรือการหยอกล้อ AI แชทบอทนี้ยังไม่สามารถรับรู้สัญญาณที่ไม่ใช่เสียง เช่น การแสดงออกทางใบหน้า การใช้ท่าทาง หรือภาษากายได้ ทำให้เกิดความเสี่ยงในการตีความผิด นอกจากนี้ การที่เราใช้ AI ในการจดบันทึกอาจทำให้เกิดการพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไปและลดความเป็นธรรมชาติในการสนทนา สำหรับบริษัทที่พัฒนาเครื่องมือ AI เหล่านี้ นอกจากจะได้ประโยชน์ในด้านการตลาดและรายได้แล้ว ยังได้ข้อมูลสำหรับการฝึกฝน AI เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เริ่มมีความสำคัญมากขึ้นเนื่องจากข้อท้าทายทางกฎหมายและข้อจำกัดในการใช้ข้อมูล อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่การใช้ AI จดบันทึกอาจลดทอนความเป็นมนุษย์ในการประชุม เช่น การสนทนานอกเรื่องเล็กน้อยที่มักเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์ และการที่พนักงานระมัดระวังคำพูดเกินไปอาจทำให้การสื่อสารเปิดกว้างลดลง https://www.techspot.com/news/106785-ai-notetakers-changing-meetings-but-not-everyone-board.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AI notetakers are changing meetings, but not everyone is on board
    While touted as a leap forward in efficiency, these AI notetakers are raising eyebrows and sparking debates about etiquette, privacy, and the very nature of workplace communication.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชายชาวอิสราเอลรายหนึ่งที่อาศัยอยู่ในไมอามี รัฐฟลอริดา ถูกตั้งข้อหาพยายามฆ่าหลังจากยิงนักท่องเที่ยว 2 ราย ซึ่งเป็นชาวอิสราเอลด้วยกัน โดยเข้าใจผิดคิดว่าทั้งสองคือชาวปาเลสไตน์

    มอร์เดไค บราฟแมน (Mordechai Brafman) ผู้ต้องหาชาวอิสราเอล วัย 28 ปี อาศัยอยู่ในไมอามี รัฐฟลอริดา ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงใส่นักท่องเที่ยวพ่อลูกชาวอิสราเอล 2 ราย รวม 17 นัด จนได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยคิดว่าทั้งสองคือชาวปาเลสไตน์

    บราฟแมน เป็นหนึ่งในอิสราเอลหัวรุนแรงที่อาศัยอยู่ในไมอามีบีช ยอมรับกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า “เขาสังหารชาวปาเลสไตน์ 2 คน”

    เจ้าหน้าที่ตำรวจ รายงานว่า จากกล้องวิดีโอวงจรปิดที่บันทึกภาพไว้ เผยให้เห็นภาพรถของบราฟแมนที่กำลังวิ่งอยู่ และจอดตรงหน้ารถของเหยื่อ จากนั้นบราฟแมนก็เดินออกมาจากรถ ยืนอยู่ใกล้ฝั่งคนขับ และเริ่มยิงไปที่รถของเหยื่อทันทีในขณะที่เหยื่อทั้งสองยังอยู่ในรถ

    จากรายงานของสื่อระบุว่า บราฟแมนไม่ได้เตรียมตัวในการก่อเหตุมาก่อนล่วงหน้า เขาเห็นคนขับซึ่งเข้าใจว่าเป็นชาวปาเลสไตน์สองคนจึงขับรถตามและยิงใส่ทันที และคิดว่าทั้งคู่เสียชีวิตแล้ว

    แต่สิ่งที่น่าตลกคือ เหยื่อที่ถูกยิงในครั้งนี้ โพสต์ข้อความว่าเขาถูกทำร้ายจากกลุ่มผู้ต้อต้านชาวยิว และลงท้ายด้วยการโทษชาวอาหรับ แต่เมื่อเขารู้ความจริงว่าเป็นชาวอิสราเอลด้วยกัน เหยื่อรายนี้ก็ลบโพสต์ทิ้งไป

    เหตุการณ์ครั้งนี้บ่งบอกได้เป็นอย่างดีถึงผลจากการป้อนข้อมูลความเกลียดชังและการปลูกฝังลัทธิต่อต้านชาวปาเลสไตน์ที่ฝังรากลึกในอิสราเอลและชุมชนที่สนับสนุนอิสราเอลในสหรัฐฯ
    ชายชาวอิสราเอลรายหนึ่งที่อาศัยอยู่ในไมอามี รัฐฟลอริดา ถูกตั้งข้อหาพยายามฆ่าหลังจากยิงนักท่องเที่ยว 2 ราย ซึ่งเป็นชาวอิสราเอลด้วยกัน โดยเข้าใจผิดคิดว่าทั้งสองคือชาวปาเลสไตน์ มอร์เดไค บราฟแมน (Mordechai Brafman) ผู้ต้องหาชาวอิสราเอล วัย 28 ปี อาศัยอยู่ในไมอามี รัฐฟลอริดา ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงใส่นักท่องเที่ยวพ่อลูกชาวอิสราเอล 2 ราย รวม 17 นัด จนได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยคิดว่าทั้งสองคือชาวปาเลสไตน์ บราฟแมน เป็นหนึ่งในอิสราเอลหัวรุนแรงที่อาศัยอยู่ในไมอามีบีช ยอมรับกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า “เขาสังหารชาวปาเลสไตน์ 2 คน” เจ้าหน้าที่ตำรวจ รายงานว่า จากกล้องวิดีโอวงจรปิดที่บันทึกภาพไว้ เผยให้เห็นภาพรถของบราฟแมนที่กำลังวิ่งอยู่ และจอดตรงหน้ารถของเหยื่อ จากนั้นบราฟแมนก็เดินออกมาจากรถ ยืนอยู่ใกล้ฝั่งคนขับ และเริ่มยิงไปที่รถของเหยื่อทันทีในขณะที่เหยื่อทั้งสองยังอยู่ในรถ จากรายงานของสื่อระบุว่า บราฟแมนไม่ได้เตรียมตัวในการก่อเหตุมาก่อนล่วงหน้า เขาเห็นคนขับซึ่งเข้าใจว่าเป็นชาวปาเลสไตน์สองคนจึงขับรถตามและยิงใส่ทันที และคิดว่าทั้งคู่เสียชีวิตแล้ว แต่สิ่งที่น่าตลกคือ เหยื่อที่ถูกยิงในครั้งนี้ โพสต์ข้อความว่าเขาถูกทำร้ายจากกลุ่มผู้ต้อต้านชาวยิว และลงท้ายด้วยการโทษชาวอาหรับ แต่เมื่อเขารู้ความจริงว่าเป็นชาวอิสราเอลด้วยกัน เหยื่อรายนี้ก็ลบโพสต์ทิ้งไป เหตุการณ์ครั้งนี้บ่งบอกได้เป็นอย่างดีถึงผลจากการป้อนข้อมูลความเกลียดชังและการปลูกฝังลัทธิต่อต้านชาวปาเลสไตน์ที่ฝังรากลึกในอิสราเอลและชุมชนที่สนับสนุนอิสราเอลในสหรัฐฯ
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ดีเอสไอ” ใช้เครื่องเลเซอร์สแกนนิ่ง สแกน ภูมิประเทศบริเวณวัดค้างคาวนำไปประมวลผลเป็นภาพ 3 มิติเทียบเคียงข้อมูลจำลองเหตุการณ์วันเกิดเหตุ เทียบ GPS เรือ-โทรศัพท์ พบจอดเรือ บริเวณวัดค้างคาว กว่า 1 ชั่วโมง

    วันนี้ (17 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 9.30 น. พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม พร้อมคณะพนักงานสอบสวน พาตัวแทนสื่อมวลชนลงเรือสปีดโบ๊ท โดยวันนี้ได้มีการเตรียมเรือ ที่จะใช้ในการตรวจสอบจุดต่างๆ ตลอดลำน้ำเจ้าพระยาทั้งหมด 5 ลำ

    โดยเรือทั้งหมดเคลื่อนตัวออกจากท่าเรือบ้านเรือเล็ก มุ่งหน้าทางทิศใต้ ลอดใต้สะพานมหาเจษฎาบดินทรนุสรณ์ ผ่านสะพานพระราม 5 มุ่งหน้าไปจุดแรกที่เจ้าหน้าที่จะเริ่มทำการสแกนพื้นที่ คือ บริเวณท่าทรายใกล้เคียงกับ บริษัท พูนพิพัฒน์ จำกัด โดยจุดนี้ได้นำโดรนบินสำรวจสแกนเหนือลำน้ำเจ้าพระยา เพื่อนำภาพมุมสูงไปประกอบประมวลเป็นภาพสามมิติเส้นทางที่เรือลำเกิดเหตุแล่น ตามข้อมูล GPS เรือ

    จากนั้นเรือได้และมุ่งหน้าต่อไปทางทิศใต้ลอดใต้สะพาน พระราม 7 มาจอดบริเวณกลางลำน้ำเจ้าพระยา บริเวณซอยจรัญสนิทวงศ์ 92 ตรงข้ามกับหน้าอาคารรัฐสภา โดยบริเวณจุดนี้เจ้าหน้าที่ได้จอดให้คณะพนักงานสอบสวนและสื่อมวลชนบันทึกภาพและใช้เครื่องมือสแกนบริเวณโดยรอบพื้นที่รวมถึงสแกนหาวัตถุใต้ผิวแม่น้ำเจ้าพระยา โดยบริเวณจุดนี้เรือชะลอความเร็วเพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ได้ใช้เครื่องมือที่เตรียมมาสแกน ทั้งทางอากาศและทางน้ำ รวมถึงมาจำลองตามคำกล่าวอ้างที่มีภาพถ่ายปรากฏอยู่ในโทรศัพท์ของแตงโม (นิดา) โดยบริเวณจุดที่ตรงกับปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 92 เรือลำของนายแพทย์ธวัชชัยให้ความสนใจ และใช้เวลาลอยลำอยู่ตรงจุดนี้ประมาณ 15 นาที ส่วนทางคณะพนักงานสอบสวนกลุ่มสอบสวนคดีพิเศษได้นำเรือลอยลำสำรวจตามจุดต่างๆ ล่วงหน้า ทั้งหมด 8 จุดตามที่แจ้งกับสื่อมวลชนไว้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000015736

    #MGROnline #ดีเอสไอ
    “ดีเอสไอ” ใช้เครื่องเลเซอร์สแกนนิ่ง สแกน ภูมิประเทศบริเวณวัดค้างคาวนำไปประมวลผลเป็นภาพ 3 มิติเทียบเคียงข้อมูลจำลองเหตุการณ์วันเกิดเหตุ เทียบ GPS เรือ-โทรศัพท์ พบจอดเรือ บริเวณวัดค้างคาว กว่า 1 ชั่วโมง • วันนี้ (17 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 9.30 น. พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม พร้อมคณะพนักงานสอบสวน พาตัวแทนสื่อมวลชนลงเรือสปีดโบ๊ท โดยวันนี้ได้มีการเตรียมเรือ ที่จะใช้ในการตรวจสอบจุดต่างๆ ตลอดลำน้ำเจ้าพระยาทั้งหมด 5 ลำ • โดยเรือทั้งหมดเคลื่อนตัวออกจากท่าเรือบ้านเรือเล็ก มุ่งหน้าทางทิศใต้ ลอดใต้สะพานมหาเจษฎาบดินทรนุสรณ์ ผ่านสะพานพระราม 5 มุ่งหน้าไปจุดแรกที่เจ้าหน้าที่จะเริ่มทำการสแกนพื้นที่ คือ บริเวณท่าทรายใกล้เคียงกับ บริษัท พูนพิพัฒน์ จำกัด โดยจุดนี้ได้นำโดรนบินสำรวจสแกนเหนือลำน้ำเจ้าพระยา เพื่อนำภาพมุมสูงไปประกอบประมวลเป็นภาพสามมิติเส้นทางที่เรือลำเกิดเหตุแล่น ตามข้อมูล GPS เรือ • จากนั้นเรือได้และมุ่งหน้าต่อไปทางทิศใต้ลอดใต้สะพาน พระราม 7 มาจอดบริเวณกลางลำน้ำเจ้าพระยา บริเวณซอยจรัญสนิทวงศ์ 92 ตรงข้ามกับหน้าอาคารรัฐสภา โดยบริเวณจุดนี้เจ้าหน้าที่ได้จอดให้คณะพนักงานสอบสวนและสื่อมวลชนบันทึกภาพและใช้เครื่องมือสแกนบริเวณโดยรอบพื้นที่รวมถึงสแกนหาวัตถุใต้ผิวแม่น้ำเจ้าพระยา โดยบริเวณจุดนี้เรือชะลอความเร็วเพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ได้ใช้เครื่องมือที่เตรียมมาสแกน ทั้งทางอากาศและทางน้ำ รวมถึงมาจำลองตามคำกล่าวอ้างที่มีภาพถ่ายปรากฏอยู่ในโทรศัพท์ของแตงโม (นิดา) โดยบริเวณจุดที่ตรงกับปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 92 เรือลำของนายแพทย์ธวัชชัยให้ความสนใจ และใช้เวลาลอยลำอยู่ตรงจุดนี้ประมาณ 15 นาที ส่วนทางคณะพนักงานสอบสวนกลุ่มสอบสวนคดีพิเศษได้นำเรือลอยลำสำรวจตามจุดต่างๆ ล่วงหน้า ทั้งหมด 8 จุดตามที่แจ้งกับสื่อมวลชนไว้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000015736 • #MGROnline #ดีเอสไอ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • กาญจนบุรี - “ครูปรีชา” โต้เจ้าของบ้านเช่า พร้อมเตรียมฟ้องกลับ เผยไม่เคยผิดสัญญาเช่า

    จากกรณีนางพิมลวรรณสาวเจ้าของบ้านเช่าร้องคำสั่งของกาญจนบุรีไม่จำเป็นนายปรีชาเสมอครวญหรือ “ครูปรีชา” ควบคุมในบ้านเดือนสุดท้ายแถมไม่ใส่ไฟจนตามปกติออกก็ปล่อยบ้านไปที่โทรมบ่อขุดน้ำไม่ยอมลบข้าวของในบ้านและวอนรับผิดชอบอีกครั้งได้แนะนำข่าวไปแล้วนั้น

    ล่าสุดครูปรีชาพบว่าความเชื่อดังกล่าวนั้นเช่าเพียงอย่างเดียวกับนางพิมลวรรณ จริงแต่ตนเองไม่ได้ขโมยเอาคุณสมบัตินางพิมลวรรณนี้จะกล่าวถึงสภาพคุณสมบัติของสภาพบ้านที่มักจะพิสูจน์โทรมนั้นเองที่มีความสำคัญอย่างต่อเนื่องมาอย่างต่อเนื่องแต่ต้องอยู่อีกครั้งหนึ่งที่บ้านเพื่อสนับสนุนโทรมกล่าวถึง

    ส่วนไม่ยอมถมบ่อปลานั้นก็คือนางพิมลนำร่องมาบันทึกประตูบ้านที่สามารถดำเนินการใดๆ ได้เสมอ ยืนยันอีกว่าการดำเนินการทำผิดพลาดประการใดๆ และหากนางพิมลวรรณจะแจ้งความดำเนินคดีกับตัวเองก็พร้อมต่อสู้คดีในชั้นศาลและจะทำการกลับนางพิมลวรรณด้วย

    #MGROnline #ครูปรีชา #ฟ้องกลับ #ผิดสัญญาเช่า
    กาญจนบุรี - “ครูปรีชา” โต้เจ้าของบ้านเช่า พร้อมเตรียมฟ้องกลับ เผยไม่เคยผิดสัญญาเช่า • จากกรณีนางพิมลวรรณสาวเจ้าของบ้านเช่าร้องคำสั่งของกาญจนบุรีไม่จำเป็นนายปรีชาเสมอครวญหรือ “ครูปรีชา” ควบคุมในบ้านเดือนสุดท้ายแถมไม่ใส่ไฟจนตามปกติออกก็ปล่อยบ้านไปที่โทรมบ่อขุดน้ำไม่ยอมลบข้าวของในบ้านและวอนรับผิดชอบอีกครั้งได้แนะนำข่าวไปแล้วนั้น • ล่าสุดครูปรีชาพบว่าความเชื่อดังกล่าวนั้นเช่าเพียงอย่างเดียวกับนางพิมลวรรณ จริงแต่ตนเองไม่ได้ขโมยเอาคุณสมบัตินางพิมลวรรณนี้จะกล่าวถึงสภาพคุณสมบัติของสภาพบ้านที่มักจะพิสูจน์โทรมนั้นเองที่มีความสำคัญอย่างต่อเนื่องมาอย่างต่อเนื่องแต่ต้องอยู่อีกครั้งหนึ่งที่บ้านเพื่อสนับสนุนโทรมกล่าวถึง • ส่วนไม่ยอมถมบ่อปลานั้นก็คือนางพิมลนำร่องมาบันทึกประตูบ้านที่สามารถดำเนินการใดๆ ได้เสมอ ยืนยันอีกว่าการดำเนินการทำผิดพลาดประการใดๆ และหากนางพิมลวรรณจะแจ้งความดำเนินคดีกับตัวเองก็พร้อมต่อสู้คดีในชั้นศาลและจะทำการกลับนางพิมลวรรณด้วย • #MGROnline #ครูปรีชา #ฟ้องกลับ #ผิดสัญญาเช่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทยมี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก คิดเป็นราว 45% ของ GDP ไทย: รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนเศรษฐกิจกับ GDP ประเทศ ข้อมูลจาก KKP Research บอกว่า ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ของไทยมีขนาดใหญ่ประมาณ 45% ของ GDP ประเทศ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก

    ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมไปถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ผิดกฎหมายด้วย ส่วนใหญ่มักไม่ได้มีการเสียภาษี ไม่ต้องมีการบันทึกบัญชี ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน ทำให้แรงงานมักไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ได้ด้วย

    จริงๆ แล้ว ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ และมีความสำคัญกับประเทศกำลังพัฒนา เพราะสามารถช่วยสร้างงาน-สร้างรายได้ ช่วยให้การเริ่มธุรกิจง่ายและยืดหยุ่นกว่า ถ้าพูดถึงเศรษฐกิจนอกระบบใกล้ตัวก็อย่างเช่นการทำเกษตร หาบเร่ แผงลอย ไปจนถึงการทำธุรกิจขนาดเล็กๆ ในครอบครัวหรือมีจำนวนลูกจ้างไม่กี่คน

    แต่ปัญหาที่เกิดจาก ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ก็มีมากมาย ทั้งเพิ่มโอกาสให้แรงงานถูกเอารัดเอาเปรียบ ธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก ธุรกิจที่อยู่ในระบบถูกเอาเปรียบ รัฐบาลเก็บภาษีได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือหนักๆ อาจกลายเป็นต้นตอของการทุจริตคอร์รัปชัน และในบางกรณีที่เป็นธุรกิจผิดกฎหมายก็อาจจะนำไปสู่การฟอกเงินหรืออาชญากรรมอื่นๆ ขึ้นมาอีก

    ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับขนาดของ ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ในแต่ละประเทศด้วยว่าเหมาะสมไหม

    ถ้าดูจากสถิติจะเห็นว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีเศรษฐกิจนอกระบบในสัดส่วนที่ต่ำมาก เพราะสามารถเคลื่อนย้ายเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาไว้ในระบบได้สำเร็จ ส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตของคนในชาติโดยรวม

    แต่อย่างประเทศไทยที่มีเศรษฐกิจนอกระบบมากราวๆ 45% ของ GDP เป็นอันดับ 8 ของโลกนั้น ถือว่ามีเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่มาก สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก และสูงกว่าเกือบทุกประเทศในเอเชีย

    โดยเมื่อคำนวณจาก GDP ไทยที่มีมูลค่าราวๆ 18 ล้านล้านบาทแล้ว จะพบว่าเศรษฐกิจนอกระบบไทยน่าจะมีมูลค่ามากถึง 8.1 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว

    ขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบที่ใหญ่เกินไป นำมาสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจในไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เกิดจากแรงงานนอกระบบที่มีมากถึง 50% ของแรงงานทั้งหมดไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้จน นำไปสู่การกู้นอกระบบสร้างวรจรหนี้ไม่รู้จบ ขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำ

    หรือปัญหาหลีกเลี่ยงภาษีของธุรกิจมากกว่า 2.4 ล้านรายในไทย ที่ทำให้รัฐเสียรายได้ภาษีจำนวนมหาศาล ขณะที่ธุรกิจเองก็เข้าถึงแหล่งเงินทุนไม่ได้เช่นกัน ข้อเสนอของภาคธุรกิจในระยะหลังจึงอยากให้รัฐบาลไทยนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาในระบบด้วยนโยบายที่เหมาะสมโดยเร็ว

    โดย Sirarom Techasriamornrat

    Source: Brandinside
    https://brandinside.asia/thailand-informal-economy-rank-8-in-the-world/
    ไทยมี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก คิดเป็นราว 45% ของ GDP ไทย: รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนเศรษฐกิจกับ GDP ประเทศ ข้อมูลจาก KKP Research บอกว่า ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ของไทยมีขนาดใหญ่ประมาณ 45% ของ GDP ประเทศ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมไปถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ผิดกฎหมายด้วย ส่วนใหญ่มักไม่ได้มีการเสียภาษี ไม่ต้องมีการบันทึกบัญชี ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน ทำให้แรงงานมักไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ได้ด้วย จริงๆ แล้ว ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ และมีความสำคัญกับประเทศกำลังพัฒนา เพราะสามารถช่วยสร้างงาน-สร้างรายได้ ช่วยให้การเริ่มธุรกิจง่ายและยืดหยุ่นกว่า ถ้าพูดถึงเศรษฐกิจนอกระบบใกล้ตัวก็อย่างเช่นการทำเกษตร หาบเร่ แผงลอย ไปจนถึงการทำธุรกิจขนาดเล็กๆ ในครอบครัวหรือมีจำนวนลูกจ้างไม่กี่คน แต่ปัญหาที่เกิดจาก ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ก็มีมากมาย ทั้งเพิ่มโอกาสให้แรงงานถูกเอารัดเอาเปรียบ ธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก ธุรกิจที่อยู่ในระบบถูกเอาเปรียบ รัฐบาลเก็บภาษีได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือหนักๆ อาจกลายเป็นต้นตอของการทุจริตคอร์รัปชัน และในบางกรณีที่เป็นธุรกิจผิดกฎหมายก็อาจจะนำไปสู่การฟอกเงินหรืออาชญากรรมอื่นๆ ขึ้นมาอีก ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับขนาดของ ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ในแต่ละประเทศด้วยว่าเหมาะสมไหม ถ้าดูจากสถิติจะเห็นว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีเศรษฐกิจนอกระบบในสัดส่วนที่ต่ำมาก เพราะสามารถเคลื่อนย้ายเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาไว้ในระบบได้สำเร็จ ส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตของคนในชาติโดยรวม แต่อย่างประเทศไทยที่มีเศรษฐกิจนอกระบบมากราวๆ 45% ของ GDP เป็นอันดับ 8 ของโลกนั้น ถือว่ามีเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่มาก สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก และสูงกว่าเกือบทุกประเทศในเอเชีย โดยเมื่อคำนวณจาก GDP ไทยที่มีมูลค่าราวๆ 18 ล้านล้านบาทแล้ว จะพบว่าเศรษฐกิจนอกระบบไทยน่าจะมีมูลค่ามากถึง 8.1 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว ขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบที่ใหญ่เกินไป นำมาสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจในไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เกิดจากแรงงานนอกระบบที่มีมากถึง 50% ของแรงงานทั้งหมดไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้จน นำไปสู่การกู้นอกระบบสร้างวรจรหนี้ไม่รู้จบ ขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำ หรือปัญหาหลีกเลี่ยงภาษีของธุรกิจมากกว่า 2.4 ล้านรายในไทย ที่ทำให้รัฐเสียรายได้ภาษีจำนวนมหาศาล ขณะที่ธุรกิจเองก็เข้าถึงแหล่งเงินทุนไม่ได้เช่นกัน ข้อเสนอของภาคธุรกิจในระยะหลังจึงอยากให้รัฐบาลไทยนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาในระบบด้วยนโยบายที่เหมาะสมโดยเร็ว โดย Sirarom Techasriamornrat Source: Brandinside https://brandinside.asia/thailand-informal-economy-rank-8-in-the-world/
    BRANDINSIDE.ASIA
    ไทยมี 'เศรษฐกิจนอกระบบ' ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก
    รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มี 'เศรษฐกิจนอกระบบ' ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนเศรษฐกิจกับ GDP ประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • Financial Times เปิดเผยแผนการณ์สำคัญของรัฐบาลทรัมป์ในการประเมินราคาทองคำสำรองสหรัฐฯ 8,133.46 ตันใหม่ จากปัจจุบันที่บันทึกบัญชีเพียง 42.22 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นราคาตลาดที่ 2,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งจะสร้างเม็ดเงินใหม่ 800,00 ล้านดอลลาร์เข้าสู่บัญชีกระทรวงการคลังผ่านข้อตกลงซื้อคืน
    Financial Times เปิดเผยแผนการณ์สำคัญของรัฐบาลทรัมป์ในการประเมินราคาทองคำสำรองสหรัฐฯ 8,133.46 ตันใหม่ จากปัจจุบันที่บันทึกบัญชีเพียง 42.22 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นราคาตลาดที่ 2,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งจะสร้างเม็ดเงินใหม่ 800,00 ล้านดอลลาร์เข้าสู่บัญชีกระทรวงการคลังผ่านข้อตกลงซื้อคืน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อไม่นานมานี้ Optera Data บริษัทที่ก่อตั้งโดย Geoff Macleod-Smith ได้เปิดตัวเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่น่าทึ่ง โดยพวกเขาได้พัฒนาดิสก์เก็บข้อมูลที่มีความสามารถในการเก็บข้อมูลได้ถึง 10 เทราไบต์ต่อดิสก์ โดยมีต้นทุนเพียง $1 ต่อเทราไบต์ เทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาโดยทีมวิจัยที่นำโดย Dr. Nicolas Riesen แห่งมหาวิทยาลัยเซาท์ออสเตรเลีย พวกเขาใช้วิธีการปรับแต่งสมบัติการเรืองแสงของอนุภาคนาโนในพื้นที่บันทึกข้อมูล เพื่อเก็บข้อมูลแบบหลายบิต คล้ายกับเทคโนโลยี NAND flash

    ดิสก์เก็บข้อมูลของ Optera Data ใช้อนุภาคนาโนที่ทำจากผลึกซิลิคอนคาร์ไบด์ที่มีวานาเดียม เพื่อเปลี่ยนแปลงสมบัติการเรืองแสงของแสงเมื่อสัมผัสกับเลเซอร์ ซึ่งทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างหนาแน่นและใช้พลังงานต่ำ นอกจากนี้ เทคโนโลยีนี้ยังเหมาะสำหรับศูนย์ข้อมูลที่ต้องการลดการใช้พลังงานและลดต้นทุนการเก็บข้อมูล

    Optera Data ตั้งเป้าหมายที่จะผลิตดิสก์ขนาด 1 เทราไบต์ในระยะสั้น และขยายไปยังขนาด 10 เทราไบต์ในอนาคต ซึ่งจะทำให้การเก็บข้อมูลแบบออปติคอลนี้มีราคาถูกกว่าวิธีการเก็บข้อมูลอื่น ๆ อย่างมาก

    https://www.techradar.com/pro/forget-about-blu-ray-fluo-ray-discs-may-well-be-the-future-of-optical-data-storage-with-10tb-capacities-for-usd1
    เมื่อไม่นานมานี้ Optera Data บริษัทที่ก่อตั้งโดย Geoff Macleod-Smith ได้เปิดตัวเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่น่าทึ่ง โดยพวกเขาได้พัฒนาดิสก์เก็บข้อมูลที่มีความสามารถในการเก็บข้อมูลได้ถึง 10 เทราไบต์ต่อดิสก์ โดยมีต้นทุนเพียง $1 ต่อเทราไบต์ เทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาโดยทีมวิจัยที่นำโดย Dr. Nicolas Riesen แห่งมหาวิทยาลัยเซาท์ออสเตรเลีย พวกเขาใช้วิธีการปรับแต่งสมบัติการเรืองแสงของอนุภาคนาโนในพื้นที่บันทึกข้อมูล เพื่อเก็บข้อมูลแบบหลายบิต คล้ายกับเทคโนโลยี NAND flash ดิสก์เก็บข้อมูลของ Optera Data ใช้อนุภาคนาโนที่ทำจากผลึกซิลิคอนคาร์ไบด์ที่มีวานาเดียม เพื่อเปลี่ยนแปลงสมบัติการเรืองแสงของแสงเมื่อสัมผัสกับเลเซอร์ ซึ่งทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างหนาแน่นและใช้พลังงานต่ำ นอกจากนี้ เทคโนโลยีนี้ยังเหมาะสำหรับศูนย์ข้อมูลที่ต้องการลดการใช้พลังงานและลดต้นทุนการเก็บข้อมูล Optera Data ตั้งเป้าหมายที่จะผลิตดิสก์ขนาด 1 เทราไบต์ในระยะสั้น และขยายไปยังขนาด 10 เทราไบต์ในอนาคต ซึ่งจะทำให้การเก็บข้อมูลแบบออปติคอลนี้มีราคาถูกกว่าวิธีการเก็บข้อมูลอื่น ๆ อย่างมาก https://www.techradar.com/pro/forget-about-blu-ray-fluo-ray-discs-may-well-be-the-future-of-optical-data-storage-with-10tb-capacities-for-usd1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI (ปัญญาประดิษฐ์) มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติวงการการรักษาพยาบาลของมนุษย์โลกในหลายด้าน ตั้งแต่การช่วยวินิจฉัยโรคไปจนถึงการพัฒนายาใหม่ ๆ และการปรับปรุงการดูแลผู้ป่วย นี่คือบางส่วนของบทบาทที่ AI มีต่อการรักษาพยาบาล:

    ### 1. **การวินิจฉัยโรค**
    - AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น ภาพเอ็กซ์เรย์, CT scan, MRI และผลตรวจเลือด ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
    - ตัวอย่างเช่น AI ช่วยวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมจากภาพแมมโมแกรมได้ดีกว่าแพทย์ในบางกรณี
    - AI ยังช่วยระบุโรคตา เช่น เบาหวานขึ้นจอตา จากภาพถ่ายจอประสาทตา

    ### 2. **การพัฒนายาและวัคซีน**
    - AI ช่วยเร่งกระบวนการค้นหายาใหม่ ๆ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลทางเคมีและชีวภาพจำนวนมาก
    - ในช่วงการระบาดของ COVID-19 AI ช่วยนักวิจัยในการพัฒนาวัคซีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

    ### 3. **การดูแลผู้ป่วย**
    - AI ช่วยติดตามอาการผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ผ่านอุปกรณ์สวมใส่ (wearable devices) เช่น นาฬิกาอัจฉริยะ
    - ระบบ AI สามารถเตือนแพทย์หรือพยาบาลเมื่อผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ

    ### 4. **การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์**
    - หุ่นยนต์ผ่าตัดที่ใช้ AI ช่วยให้การผ่าตัดมีความแม่นยำสูง ลดความเสี่ยงและเวลาในการฟื้นตัวของผู้ป่วย
    - ตัวอย่างเช่น หุ่นยนต์ da Vinci ที่ใช้ในการผ่าตัดมะเร็ง

    ### 5. **การจัดการข้อมูลทางการแพทย์**
    - AI ช่วยจัดระเบียบและวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยจำนวนมาก ทำให้แพทย์สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น
    - ระบบ AI ยังช่วยลดข้อผิดพลาดในการบันทึกข้อมูลทางการแพทย์

    ### 6. **การให้คำปรึกษาและบริการสุขภาพทางไกล**
    - แชทบอทที่ใช้ AI สามารถให้คำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ และแนะนำให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์เมื่อจำเป็น
    - เทคโนโลยี Telemedicine ที่ใช้ AI ช่วยให้ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้น

    ### 7. **การพยากรณ์โรค**
    - AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์การแพร่ระบาดของโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือ COVID-19
    - ระบบ AI ยังช่วยคาดการณ์ความเสี่ยงในการเกิดโรคในผู้ป่วยแต่ละคน

    ### 8. **การปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงพยาบาล**
    - AI ช่วยจัดการทรัพยากรในโรงพยาบาล เช่น การจัดตารางการทำงานของแพทย์และพยาบาล
    - ระบบ AI ยังช่วยลดเวลารอคอยและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ

    ### 9. **การวิจัยทางการแพทย์**
    - AI ช่วยนักวิจัยในการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกและงานวิจัยต่าง ๆ
    - เทคโนโลยี Machine Learning ช่วยค้นพบรูปแบบใหม่ ๆ ในข้อมูลทางการแพทย์ที่มนุษย์อาจมองไม่เห็น

    ### 10. **การดูแลสุขภาพส่วนบุคคล**
    - AI ช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล (Personalized Medicine)
    - ระบบ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อแนะนำการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน

    ### ความท้าทายและข้อควรระวัง
    แม้ AI จะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีข้อท้าทาย เช่น:
    - **ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล**: ข้อมูลสุขภาพเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อน จึงต้องมีการปกป้องอย่างเคร่งครัด
    - **ความน่าเชื่อถือ**: AI ต้องได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลที่มีคุณภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการวินิจฉัยผิดพลาด
    - **จริยธรรม**: การใช้ AI ในการตัดสินใจทางการแพทย์ต้องคำนึงถึงจริยธรรมและความรับผิดชอบ

    AI กำลังเปลี่ยนแปลงการรักษาพยาบาลอย่างรวดเร็ว และในอนาคตคาดว่าจะมีบทบาทมากขึ้นในการช่วยชีวิตและยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์โลก
    AI (ปัญญาประดิษฐ์) มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติวงการการรักษาพยาบาลของมนุษย์โลกในหลายด้าน ตั้งแต่การช่วยวินิจฉัยโรคไปจนถึงการพัฒนายาใหม่ ๆ และการปรับปรุงการดูแลผู้ป่วย นี่คือบางส่วนของบทบาทที่ AI มีต่อการรักษาพยาบาล: ### 1. **การวินิจฉัยโรค** - AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น ภาพเอ็กซ์เรย์, CT scan, MRI และผลตรวจเลือด ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ - ตัวอย่างเช่น AI ช่วยวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมจากภาพแมมโมแกรมได้ดีกว่าแพทย์ในบางกรณี - AI ยังช่วยระบุโรคตา เช่น เบาหวานขึ้นจอตา จากภาพถ่ายจอประสาทตา ### 2. **การพัฒนายาและวัคซีน** - AI ช่วยเร่งกระบวนการค้นหายาใหม่ ๆ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลทางเคมีและชีวภาพจำนวนมาก - ในช่วงการระบาดของ COVID-19 AI ช่วยนักวิจัยในการพัฒนาวัคซีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ### 3. **การดูแลผู้ป่วย** - AI ช่วยติดตามอาการผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ผ่านอุปกรณ์สวมใส่ (wearable devices) เช่น นาฬิกาอัจฉริยะ - ระบบ AI สามารถเตือนแพทย์หรือพยาบาลเมื่อผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ ### 4. **การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์** - หุ่นยนต์ผ่าตัดที่ใช้ AI ช่วยให้การผ่าตัดมีความแม่นยำสูง ลดความเสี่ยงและเวลาในการฟื้นตัวของผู้ป่วย - ตัวอย่างเช่น หุ่นยนต์ da Vinci ที่ใช้ในการผ่าตัดมะเร็ง ### 5. **การจัดการข้อมูลทางการแพทย์** - AI ช่วยจัดระเบียบและวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยจำนวนมาก ทำให้แพทย์สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น - ระบบ AI ยังช่วยลดข้อผิดพลาดในการบันทึกข้อมูลทางการแพทย์ ### 6. **การให้คำปรึกษาและบริการสุขภาพทางไกล** - แชทบอทที่ใช้ AI สามารถให้คำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ และแนะนำให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์เมื่อจำเป็น - เทคโนโลยี Telemedicine ที่ใช้ AI ช่วยให้ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้น ### 7. **การพยากรณ์โรค** - AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์การแพร่ระบาดของโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือ COVID-19 - ระบบ AI ยังช่วยคาดการณ์ความเสี่ยงในการเกิดโรคในผู้ป่วยแต่ละคน ### 8. **การปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงพยาบาล** - AI ช่วยจัดการทรัพยากรในโรงพยาบาล เช่น การจัดตารางการทำงานของแพทย์และพยาบาล - ระบบ AI ยังช่วยลดเวลารอคอยและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ ### 9. **การวิจัยทางการแพทย์** - AI ช่วยนักวิจัยในการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกและงานวิจัยต่าง ๆ - เทคโนโลยี Machine Learning ช่วยค้นพบรูปแบบใหม่ ๆ ในข้อมูลทางการแพทย์ที่มนุษย์อาจมองไม่เห็น ### 10. **การดูแลสุขภาพส่วนบุคคล** - AI ช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล (Personalized Medicine) - ระบบ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อแนะนำการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน ### ความท้าทายและข้อควรระวัง แม้ AI จะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีข้อท้าทาย เช่น: - **ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล**: ข้อมูลสุขภาพเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อน จึงต้องมีการปกป้องอย่างเคร่งครัด - **ความน่าเชื่อถือ**: AI ต้องได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลที่มีคุณภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการวินิจฉัยผิดพลาด - **จริยธรรม**: การใช้ AI ในการตัดสินใจทางการแพทย์ต้องคำนึงถึงจริยธรรมและความรับผิดชอบ AI กำลังเปลี่ยนแปลงการรักษาพยาบาลอย่างรวดเร็ว และในอนาคตคาดว่าจะมีบทบาทมากขึ้นในการช่วยชีวิตและยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์โลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • พาสปอร์ตรถไฟไทย นักเดินทางของมันต้องมี

    หลังจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้จัดทำตราประทับของแต่ละสถานี พร้อมข้อความ "ตรวจสอบความถูกต้อง" ประทับบนตั๋วโดยสาร เพื่อยืนยันว่าตั๋วโดยสารที่ซื้อจากสถานีรถไฟนั้นๆ ได้รับการตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อยแล้ว โดยพบว่าแต่ละสถานีออกแบบโดยนำเอกลักษณ์ ศิลปะ วัฒนธรรม และสถานที่สำคัญในพื้นที่ของแต่ละสถานีมาเป็นลวดลายบนตราประทับดังกล่าว ทำให้เริ่มมีผู้โดยสารนิยมสะสมตราประทับของแต่ละสถานี เพื่อบันทึกความทรงจำในการเดินทางด้วยรถไฟ

    ก่อนหน้านี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จัดทำหนังสือเดินทางท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ (Passport to Thailand National Park) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ 156 แห่งทั่วประเทศ มีรางวัลแก่ผู้ที่สะสมตราประทับครบทุกแห่ง ด้วยการให้สิทธิ์เข้าอุทยานแห่งชาติฟรี 1 ปี และพักฟรี 2 ครั้ง แต่เนื่องจากอินฟลูเอนเซอร์ดัง "พี่จอง คัลเลน" นำหนังสือเดินทางท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติมาโชว์ในคลิป ทำให้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างมาก

    มาถึงการเดินทางด้วยรถไฟ เมื่อมีนักท่องเที่ยวและนักเดินทางสนใจตราประทับของแต่ละสถานี จึงเริ่มมีผู้สะสมตราประทับ และเริ่มมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับรถไฟจัดทำหนังสือเดินทางขึ้น

    เริ่มจากพิพิธภัณฑ์รถไฟไทย โดยมูลนิธิรถไฟไทย จัดทำหนังสือเดินทางรถไฟไทย (Thailand Railway Passport) ปกสีน้ำตาล คล้ายหนังสือเดินทางประเทศไทย จำหน่ายในราคาเล่มละ 120 บาท ซื้อได้ที่พิพิธภัณฑ์รถไฟไทย ด้านหน้าสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) เปิดทำการ วันอังคาร-วันเสาร์ เวลา 10.00-18.00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ซึ่งที่ผ่านมามีผู้สนใจสั่งซื้อจำนวนมากนับพันเล่ม จึงทำให้ต้องมีการลงชื่อสั่งจองล่วงหน้า และจำกัดการซื้อเฉพาะวอล์กอินจากต่างจังหวัดคนละ 1 เล่ม

    ด้านบุรฉัตรมูลนิธิ และฝ่ายปฏิบัติการเดินรถ ร.ฟ.ท. ได้จัดทำหนังสือเดินทางการรถไฟแห่งประเทศไทย (Thailand Railway Passport) ลวดลายประเทศไทย ธงชาติ ปกสีครีม จำหน่ายในราคาเล่มละ 100 บาท ซื้อได้ที่ฝ่ายปฏิบัติการเดินรถ หรือศูนย์ประชาสัมพันธ์ ตึกบัญชาการรถไฟ การรถไฟแห่งประเทศไทย ตรงข้ามโรงเรียนเทพศิรินทร์ หรือสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ บริเวณห้องจำหน่ายตั๋ว และต่างจังหวัดติดต่อได้ที่สถานีรถไฟต่างๆ ทั่วประเทศ

    สิ่งที่ต้องระวังสำหรับนักท่องเที่ยวและนักเดินทาง หากเผลอนำตราประทับของสถานีรถไฟ ประทับลงในหนังสือเดินทาง "ฉบับจริง" ที่ยังไม่หมดอายุ หรือยังไม่ได้ยกเลิกใช้งาน ถือว่า "หนังสือเดินทางชำรุด" ต้องทำเล่มใหม่ ไม่เช่นนั้นอาจถูกประเทศหรือดินแดนปลายทางปฎิเสธเข้าประเทศ

    #Newskit
    พาสปอร์ตรถไฟไทย นักเดินทางของมันต้องมี หลังจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้จัดทำตราประทับของแต่ละสถานี พร้อมข้อความ "ตรวจสอบความถูกต้อง" ประทับบนตั๋วโดยสาร เพื่อยืนยันว่าตั๋วโดยสารที่ซื้อจากสถานีรถไฟนั้นๆ ได้รับการตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อยแล้ว โดยพบว่าแต่ละสถานีออกแบบโดยนำเอกลักษณ์ ศิลปะ วัฒนธรรม และสถานที่สำคัญในพื้นที่ของแต่ละสถานีมาเป็นลวดลายบนตราประทับดังกล่าว ทำให้เริ่มมีผู้โดยสารนิยมสะสมตราประทับของแต่ละสถานี เพื่อบันทึกความทรงจำในการเดินทางด้วยรถไฟ ก่อนหน้านี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จัดทำหนังสือเดินทางท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ (Passport to Thailand National Park) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ 156 แห่งทั่วประเทศ มีรางวัลแก่ผู้ที่สะสมตราประทับครบทุกแห่ง ด้วยการให้สิทธิ์เข้าอุทยานแห่งชาติฟรี 1 ปี และพักฟรี 2 ครั้ง แต่เนื่องจากอินฟลูเอนเซอร์ดัง "พี่จอง คัลเลน" นำหนังสือเดินทางท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติมาโชว์ในคลิป ทำให้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างมาก มาถึงการเดินทางด้วยรถไฟ เมื่อมีนักท่องเที่ยวและนักเดินทางสนใจตราประทับของแต่ละสถานี จึงเริ่มมีผู้สะสมตราประทับ และเริ่มมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับรถไฟจัดทำหนังสือเดินทางขึ้น เริ่มจากพิพิธภัณฑ์รถไฟไทย โดยมูลนิธิรถไฟไทย จัดทำหนังสือเดินทางรถไฟไทย (Thailand Railway Passport) ปกสีน้ำตาล คล้ายหนังสือเดินทางประเทศไทย จำหน่ายในราคาเล่มละ 120 บาท ซื้อได้ที่พิพิธภัณฑ์รถไฟไทย ด้านหน้าสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) เปิดทำการ วันอังคาร-วันเสาร์ เวลา 10.00-18.00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ซึ่งที่ผ่านมามีผู้สนใจสั่งซื้อจำนวนมากนับพันเล่ม จึงทำให้ต้องมีการลงชื่อสั่งจองล่วงหน้า และจำกัดการซื้อเฉพาะวอล์กอินจากต่างจังหวัดคนละ 1 เล่ม ด้านบุรฉัตรมูลนิธิ และฝ่ายปฏิบัติการเดินรถ ร.ฟ.ท. ได้จัดทำหนังสือเดินทางการรถไฟแห่งประเทศไทย (Thailand Railway Passport) ลวดลายประเทศไทย ธงชาติ ปกสีครีม จำหน่ายในราคาเล่มละ 100 บาท ซื้อได้ที่ฝ่ายปฏิบัติการเดินรถ หรือศูนย์ประชาสัมพันธ์ ตึกบัญชาการรถไฟ การรถไฟแห่งประเทศไทย ตรงข้ามโรงเรียนเทพศิรินทร์ หรือสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ บริเวณห้องจำหน่ายตั๋ว และต่างจังหวัดติดต่อได้ที่สถานีรถไฟต่างๆ ทั่วประเทศ สิ่งที่ต้องระวังสำหรับนักท่องเที่ยวและนักเดินทาง หากเผลอนำตราประทับของสถานีรถไฟ ประทับลงในหนังสือเดินทาง "ฉบับจริง" ที่ยังไม่หมดอายุ หรือยังไม่ได้ยกเลิกใช้งาน ถือว่า "หนังสือเดินทางชำรุด" ต้องทำเล่มใหม่ ไม่เช่นนั้นอาจถูกประเทศหรือดินแดนปลายทางปฎิเสธเข้าประเทศ #Newskit
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปกติจะมาโพสต์อาทิตย์ละครั้ง แต่วันนี้มีควันหลงจากละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> มาแบ่งปันต่อแฟนคลับของใต้เท้าลู่ เป็นเรื่องที่ Storyฯ อ่านเจอโดยบังเอิญ

    ความมีอยู่ว่า
    ... ชายในชุดเขียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของจินเซี่ยขณะนี้ก็คือบุตรชายของลู่ปิ่ง นามว่าลู่อี้ ลู่ปิ่งเป็นจอหงวนบู๊ ส่วนฝีมือของลู่อี้ผู้เป็นลูกนั้น ได้ยินมาว่าสูงส่งไม่เป็นรองผู้เป็นบิดา นับว่าเป็นยอดฝีมือลำดับต้นๆ ของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร...
    - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ
    (หมายเหตุ ละครเรื่อง <ยอดองค์รักษ์เสื้อแพร> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ที่ต้องมาพูดถึงใต้เท้าลู่อี้และบิดาของเขา เป็นเพราะ Storyฯ อ่านเจอมาอย่างเซอร์ไพรส์ว่า ทั้งสองคนนี้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์! ในละครบิดาของลู่อี้ชื่อว่าลู่ถิง แต่ในหนังสือเขาชื่อลู่ปิ่ง

    ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ปรากฏมีผู้บัญชาการสูงสุดขององครักษ์เสื้อแพรที่ชื่อว่าลู่ปิ่งอยู่ในยุคสมัยขององค์หมิงสื้อจง (ค.ศ. 1521-1567) มีบุตรชายคนที่สามนามว่าลู่อี้ ลู่ปิ่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้หกปีก็เสียชีวิตลง ลู่อี้ซึ่งในขณะนั้นรับราชการเป็นองครักษ์เสื้อแพรด้วย จึงขึ้นสืบทอดตำแหน่งนี้แทนผู้เป็นบิดา เนื่องจากพี่ชายสองคนของเขาได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้

    จากเรื่องราวที่บันทึกไว้ ในชีวิตจริงลู่อี้เป็นคนที่รอบรู้และมีผลงานมากมาย ทั้งชีวิตมีภรรยาเดียว (ซึ่งต่างจากข้าราชการระดับสูงทั่วไปในสมัยนั้น) คือบุตรีของเสนาบดีกระทรวงขุนนาง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ในระหว่างที่รับราชการนั้น เคยถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะถูกรื้อฟื้นเรื่องที่บิดาของเขาเคยสมคบคิดกับเหยียนซงซึ่งเป็นขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง เพื่อให้ร้ายขุนนางน้ำดีนามว่าเซี่ยเหยียน ต่อมาเมื่อเปลี่ยนรัชสมัยจึงได้รับการอภัยโทษและคืนยศให้ (เหมือนในละครเล้ย)

    จะเห็นว่าทั้งนิยายและละครคงความเป็น “ลู่อี้” ได้ค่อนข้างครบถ้วนตามประวัติศาสตร์ทีเดียว

    ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยแชร์กันด้วยนะคะ

    Credit รูปภาพจาก: https://j.17qq.com/article/fggpidhdz.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.tspweb.com/key/%E9%94%A6%E8%A1%A3%E5%8D%AB%E9%99%86%E7%BB%8E%E7%9A%84%E5%A6%BB%E5%AD%90%E5%90%B4%E6%B0%8F.html
    https://ld.sogou.com/article/i5630311.htm?ch=lds.pc.art.media.all

    #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #องครักษ์เสื้อแพร #ลู่อี้ #ใต้เท้าลู่ #ราชวงศ์หมิง #StoryfromStory
    ปกติจะมาโพสต์อาทิตย์ละครั้ง แต่วันนี้มีควันหลงจากละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> มาแบ่งปันต่อแฟนคลับของใต้เท้าลู่ เป็นเรื่องที่ Storyฯ อ่านเจอโดยบังเอิญ ความมีอยู่ว่า ... ชายในชุดเขียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของจินเซี่ยขณะนี้ก็คือบุตรชายของลู่ปิ่ง นามว่าลู่อี้ ลู่ปิ่งเป็นจอหงวนบู๊ ส่วนฝีมือของลู่อี้ผู้เป็นลูกนั้น ได้ยินมาว่าสูงส่งไม่เป็นรองผู้เป็นบิดา นับว่าเป็นยอดฝีมือลำดับต้นๆ ของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร... - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ (หมายเหตุ ละครเรื่อง <ยอดองค์รักษ์เสื้อแพร> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ที่ต้องมาพูดถึงใต้เท้าลู่อี้และบิดาของเขา เป็นเพราะ Storyฯ อ่านเจอมาอย่างเซอร์ไพรส์ว่า ทั้งสองคนนี้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์! ในละครบิดาของลู่อี้ชื่อว่าลู่ถิง แต่ในหนังสือเขาชื่อลู่ปิ่ง ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ปรากฏมีผู้บัญชาการสูงสุดขององครักษ์เสื้อแพรที่ชื่อว่าลู่ปิ่งอยู่ในยุคสมัยขององค์หมิงสื้อจง (ค.ศ. 1521-1567) มีบุตรชายคนที่สามนามว่าลู่อี้ ลู่ปิ่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้หกปีก็เสียชีวิตลง ลู่อี้ซึ่งในขณะนั้นรับราชการเป็นองครักษ์เสื้อแพรด้วย จึงขึ้นสืบทอดตำแหน่งนี้แทนผู้เป็นบิดา เนื่องจากพี่ชายสองคนของเขาได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ จากเรื่องราวที่บันทึกไว้ ในชีวิตจริงลู่อี้เป็นคนที่รอบรู้และมีผลงานมากมาย ทั้งชีวิตมีภรรยาเดียว (ซึ่งต่างจากข้าราชการระดับสูงทั่วไปในสมัยนั้น) คือบุตรีของเสนาบดีกระทรวงขุนนาง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ในระหว่างที่รับราชการนั้น เคยถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะถูกรื้อฟื้นเรื่องที่บิดาของเขาเคยสมคบคิดกับเหยียนซงซึ่งเป็นขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง เพื่อให้ร้ายขุนนางน้ำดีนามว่าเซี่ยเหยียน ต่อมาเมื่อเปลี่ยนรัชสมัยจึงได้รับการอภัยโทษและคืนยศให้ (เหมือนในละครเล้ย) จะเห็นว่าทั้งนิยายและละครคงความเป็น “ลู่อี้” ได้ค่อนข้างครบถ้วนตามประวัติศาสตร์ทีเดียว ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยแชร์กันด้วยนะคะ Credit รูปภาพจาก: https://j.17qq.com/article/fggpidhdz.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.tspweb.com/key/%E9%94%A6%E8%A1%A3%E5%8D%AB%E9%99%86%E7%BB%8E%E7%9A%84%E5%A6%BB%E5%AD%90%E5%90%B4%E6%B0%8F.html https://ld.sogou.com/article/i5630311.htm?ch=lds.pc.art.media.all #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #องครักษ์เสื้อแพร #ลู่อี้ #ใต้เท้าลู่ #ราชวงศ์หมิง #StoryfromStory
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในการเปิดตัว Android 16 Beta 2 ที่กำลังถูกทดลองใช้บนอุปกรณ์ Pixel บางรุ่น Google ได้เผยถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น โหมดกล้องใหม่ เคล็ดลับการใช้ Google Wallet และอื่นๆ อีกมากมาย โดยมีข่าวว่าจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้

    ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจมีดังนี้:
    1) โหมดกล้องใหม่: Android 16 มีโหมดการตั้งค่าแสงอัตโนมัติแบบไฮบริดที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุม ISO และเวลาเปิดรับแสงได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่โทรศัพท์จัดการการตั้งค่าแสง โหมดนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงระหว่างโหมดอัตโนมัติและโหมดการตั้งค่าแบบแมนนวลที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

    2) รองรับ Ultra HDR: เพิ่มการรองรับภาพ Ultra HDR และ API ใหม่ที่ช่วยให้แอปพลิเคชันของบุคคลที่สามสามารถตรวจจับโหมดกลางคืนและเปลี่ยนไปใช้ได้โดยอัตโนมัติ

    3) การบีบอัดวิดีโอขั้นสูง: เพิ่มการรองรับโค้ดวีดีโอ Advanced Professional Video รวมถึงการควบคุมอุณหภูมิสีและความหนาแน่นของสีที่แม่นยำสำหรับการบันทึกวิดีโอ

    4) ทางลัดใหม่สำหรับ Google Wallet: เพิ่มทางลัดที่สะดวกในการเปิด Google Wallet ด้วยการกดปุ่มพาวเวอร์สองครั้ง ซึ่งจะเปิดกล้องตามค่าเริ่มต้นบนโทรศัพท์ Android ส่วนใหญ่ การใช้งานทางลัดนี้จะช่วยให้การชำระเงินด้วยโทรศัพท์ทำได้สะดวกยิ่งขึ้น

    5) การปรับขนาดแอปพลิเคชัน: ปรับปรุงการปรับขนาดแอปพลิเคชันเพื่อให้เข้ากับหน้าจอขนาดใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น เช่น แท็บเล็ตหรือโทรศัพท์พับ

    6) การแจ้งเตือนสด: เพิ่มการแจ้งเตือนสดที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามเหตุการณ์และกิจกรรมต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ โดยการแจ้งเตือนนี้จะมีความสำคัญมากกว่าการแจ้งเตือนอื่นๆ และจะปรากฏที่หน้าจอล็อก

    7) Gemini Extensions: ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ Google Assistant เข้าถึงและใช้แอปพลิเคชันอื่นๆ บนโทรศัพท์ได้ ซึ่งช่วยให้การทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้น

    นักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไปต่างรอคอยการเปิดตัว Android 16 อย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าจะนำประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นและความสามารถใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นมากมาย

    https://www.techradar.com/phones/android/android-16-will-bring-these-5-upgrades-to-your-phone-including-one-i-cant-wait-to-try-out
    ในการเปิดตัว Android 16 Beta 2 ที่กำลังถูกทดลองใช้บนอุปกรณ์ Pixel บางรุ่น Google ได้เผยถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น โหมดกล้องใหม่ เคล็ดลับการใช้ Google Wallet และอื่นๆ อีกมากมาย โดยมีข่าวว่าจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้ ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจมีดังนี้: 1) โหมดกล้องใหม่: Android 16 มีโหมดการตั้งค่าแสงอัตโนมัติแบบไฮบริดที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุม ISO และเวลาเปิดรับแสงได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่โทรศัพท์จัดการการตั้งค่าแสง โหมดนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงระหว่างโหมดอัตโนมัติและโหมดการตั้งค่าแบบแมนนวลที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน 2) รองรับ Ultra HDR: เพิ่มการรองรับภาพ Ultra HDR และ API ใหม่ที่ช่วยให้แอปพลิเคชันของบุคคลที่สามสามารถตรวจจับโหมดกลางคืนและเปลี่ยนไปใช้ได้โดยอัตโนมัติ 3) การบีบอัดวิดีโอขั้นสูง: เพิ่มการรองรับโค้ดวีดีโอ Advanced Professional Video รวมถึงการควบคุมอุณหภูมิสีและความหนาแน่นของสีที่แม่นยำสำหรับการบันทึกวิดีโอ 4) ทางลัดใหม่สำหรับ Google Wallet: เพิ่มทางลัดที่สะดวกในการเปิด Google Wallet ด้วยการกดปุ่มพาวเวอร์สองครั้ง ซึ่งจะเปิดกล้องตามค่าเริ่มต้นบนโทรศัพท์ Android ส่วนใหญ่ การใช้งานทางลัดนี้จะช่วยให้การชำระเงินด้วยโทรศัพท์ทำได้สะดวกยิ่งขึ้น 5) การปรับขนาดแอปพลิเคชัน: ปรับปรุงการปรับขนาดแอปพลิเคชันเพื่อให้เข้ากับหน้าจอขนาดใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น เช่น แท็บเล็ตหรือโทรศัพท์พับ 6) การแจ้งเตือนสด: เพิ่มการแจ้งเตือนสดที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามเหตุการณ์และกิจกรรมต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ โดยการแจ้งเตือนนี้จะมีความสำคัญมากกว่าการแจ้งเตือนอื่นๆ และจะปรากฏที่หน้าจอล็อก 7) Gemini Extensions: ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ Google Assistant เข้าถึงและใช้แอปพลิเคชันอื่นๆ บนโทรศัพท์ได้ ซึ่งช่วยให้การทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้น นักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไปต่างรอคอยการเปิดตัว Android 16 อย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าจะนำประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นและความสามารถใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นมากมาย https://www.techradar.com/phones/android/android-16-will-bring-these-5-upgrades-to-your-phone-including-one-i-cant-wait-to-try-out
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมลิงค์โพสต์ปักหมุดในเพจ อาการหลังรับวัคซีนต่างๆ 2/2
    โพสต์ก่อนหน้า https://thaitimes.co/posts/176807

    ✍️ลิ่มเลือดอุด เส้นเลือดใหญ่สมอง ทนเหนียวไม่สลายง่าย
    https://www.facebook.com/share/p/1DB8koNsQR/
    ✍️สัญญาลับ ระหว่างบริษัทยา กับสาธารณสุข จะเปิดกี่โมง?
    https://www.tiktok.com/@atapolhuawei/video/7470014421348224273
    ✍️สิทธิตามรัฐธรรมนูญมนการปฏิเสธ ยาพิษ ใครมาละเมิดสิทธิเรา เขาทำผิดกฎหมาย!!!
    หมอที่ละเมิดสิทธิ คนไข้ ผิดทั้งกฎหมายและผิดจรรยาบรรณ
    https://www.tiktok.com/@atapolhuawei/video/7470012540508966145
    ✍️ทำไมคนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อ ให้เขาหลอก
    https://www.facebook.com/share/p/15DQhXzYsw/
    ✍️ภาพคำเตือนจากคุณหมออรรถพลเมื่อ2564
    https://www.facebook.com/share/p/1B9HvXUNEH/
    ✍️คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีหน้าที่แค่ รับเงินเดือน กับ แถลงข่าว เท่านั้น?
    https://www.facebook.com/share/p/1B8Uq1mkno/
    https://www.facebook.com/share/p/1Bx3uc2qUV/
    ✍️บันทึกไว้เป็นหลักฐาน รายนามแพทย์ที่แนะนำให้เด็กฉีด mRNA transfection injection ยีนเทอราพี ที่หลอกว่าเป็นวัคซีน
    https://www.facebook.com/share/p/1BiWmY28ZR/

    เพจ อาการหลังรับวัคซีนต่างๆ
    อัพเดท 14 กุมภาพันธ์ 2568
    รวมลิงค์โพสต์ปักหมุดในเพจ อาการหลังรับวัคซีนต่างๆ 2/2 โพสต์ก่อนหน้า https://thaitimes.co/posts/176807 ✍️ลิ่มเลือดอุด เส้นเลือดใหญ่สมอง ทนเหนียวไม่สลายง่าย https://www.facebook.com/share/p/1DB8koNsQR/ ✍️สัญญาลับ ระหว่างบริษัทยา กับสาธารณสุข จะเปิดกี่โมง? https://www.tiktok.com/@atapolhuawei/video/7470014421348224273 ✍️สิทธิตามรัฐธรรมนูญมนการปฏิเสธ ยาพิษ ใครมาละเมิดสิทธิเรา เขาทำผิดกฎหมาย!!! หมอที่ละเมิดสิทธิ คนไข้ ผิดทั้งกฎหมายและผิดจรรยาบรรณ https://www.tiktok.com/@atapolhuawei/video/7470012540508966145 ✍️ทำไมคนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อ ให้เขาหลอก https://www.facebook.com/share/p/15DQhXzYsw/ ✍️ภาพคำเตือนจากคุณหมออรรถพลเมื่อ2564 https://www.facebook.com/share/p/1B9HvXUNEH/ ✍️คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีหน้าที่แค่ รับเงินเดือน กับ แถลงข่าว เท่านั้น? https://www.facebook.com/share/p/1B8Uq1mkno/ https://www.facebook.com/share/p/1Bx3uc2qUV/ ✍️บันทึกไว้เป็นหลักฐาน รายนามแพทย์ที่แนะนำให้เด็กฉีด mRNA transfection injection ยีนเทอราพี ที่หลอกว่าเป็นวัคซีน https://www.facebook.com/share/p/1BiWmY28ZR/ เพจ อาการหลังรับวัคซีนต่างๆ อัพเดท 14 กุมภาพันธ์ 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🪭สามหนังสือหกพิธีการ 🪭

    สวัสดีค่ะ Storyฯ ขอต้อนรับวันแห่งความรักด้วยบทความเกี่ยวกับการแต่งงาน

    เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ซ่อนรักชายาลับ> คงได้ผ่านตาฉากที่ว่าหลิ่วเหมียนถางได้รับการสู่ขอจากบุตรชายตระกูลซู ที่หอบสินสอดมาไว้ให้ที่เรือนสกุลเฉียวพร้อมเจรจาสู่ขอ และหลิ่วเหมียนถางบอกให้ตาของนางรีบคืนสินสอดนั้นไป โดยบอกว่า “ตามกฎหมายของต้าฉี ต้องมีการเขียนหนังสือก่อนแล้วจึงให้สินสอด การหมั้นหมายจำเป็นต้องให้ทั้งสองฝ่ายลงนามในหนังสือสมรส ไม่เช่นนั้นก็ถือเป็นการบังคับแต่งงาน”
    (หมายเหตุ คำแปลจากซับไทย)

    เพื่อนเพจหลายท่านน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ (三书六礼) มาบ้าง เพราะมีบทความภาษาไทยหลายบทความที่กล่าวถึง แต่อาจไม่ค่อยกระจ่างว่าสามหนังสือที่ว่านี้มันอยู่ในขั้นตอนใดของหกพิธีการ จึงเป็นที่มาของความ ‘เอ๊ะ’ ของ Storyฯ ว่าต้องมีการเขียนหนังสือก่อนให้สินสอดตามที่กล่าวมาในเรื่อง <ซ่อนรักชายาลับ> นี้อย่างไร วันนี้เลยมาลงรายละเอียดให้ฟัง

    ก่อนอื่นขออธิบายโดยย่อว่า ขั้นตอนการแต่งงานในจีนโบราณแบ่งได้เป็นสามช่วง ช่วงแรกคือก่อนพิธีมงคลสมรส ช่วงสองคือพิธีมงคลสมรสและเข้าหอและช่วงสามคือหลังเข้าหอ เรื่อง ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ เป็นขั้นตอนปฏิบัติในช่วงแรก ครอบคลุมขั้นตอนการทาบทามสู่ขอ การหมั้นหมายและการรับตัวเจ้าสาว โดยถูกกำหนดไว้แต่โบราณในบันทึกหลี่จี้ ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก

    ขั้นตอนตามสามหนังสือหกพิธีการก็คือ เริ่มจากให้แม่สื่อไปทาบทาม (พิธีการสู่ขอ ‘น่าไฉ่’/纳采) ถ้าฝ่ายหญิงเห็นดีเห็นงามด้วย ก็แลกเปลี่ยนเวลาตกฟากวันเดือนปีเกิดของว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวโดยบันทึกอย่างละเอียดลงในเอกสารเรียกว่า ‘เกิงเถี่ย’ (庚帖) หรือในสมัยซ่งเรียกว่า ‘เฉาเถี่ยจือ’ (草帖子) นี่คือพิธีการที่สอง (พิธีการสอบถาม ‘เวิ่นหมิง’/问名) ซึ่งในช่วงสองพิธีการนี้ ในทางปฏิบัติจะมีโอกาสให้ผู้ใหญ่ฝ่ายชายฝ่ายหญิงได้เจอหน้าค่าตาพูดคุยกัน สอบถามประวัติตระกูลเพราะในสมัยโบราณการแต่งงานถือเป็นการผูกสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวไม่ใช่เรื่องระหว่างเจ้าบ่าวเจ้าสาวเพียงสองคน รวมถึงสอบถามชัดเจนว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นลูกภรรยาเอกหรืออนุภรรยา และอาจเปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่ได้พบเห็นว่าที่คู่สมรสของอีกฝ่ายได้ (เช่น บุรุษมาเยือนทำความเคารพผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง หรือสตรีผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงมาเจอหน้าว่าที่เจ้าสาว) อันนี้แล้วแต่จะจัดนัดหมายกัน ถ้าไม่แฮปปี้กันก็จะไม่มีการแลกเปลี่ยนวันเวลาเกิดกัน

    จากนั้นฝ่ายชายก็นำวันเวลาเกิดดังกล่าวไปดูดวงสมพงษ์ นับเป็นพิธีการที่สาม (พีธีการดูดวงสมพงษ์ ‘น่าจี๋’/纳吉) แล้วแจ้งผลไปยังฝ่ายหญิง ถ้าคู่บ่าวสาวดวงสมพงษ์กันก็จะเริ่มเจรจาเตรียมการหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ จนนำมาถึงพิธีการที่สี่ซึ่งก็คือฝ่ายชายนำสินสอดมามอบให้ฝ่ายหญิง (พิธีการมอบสินสอดและหมั้นหมาย ‘น่าเจิง’/纳征) ซึ่งในช่วงสองพิธีการนี้มีสอง ‘หนังสือ’ ที่เกี่ยวข้อง คือ ‘หนังสือหมั้น’ (พิ่นซู/聘书หรือในสมัยซ่งเรียกว่า ซี่เถี่ยจือ/细帖子) และ ‘หนังสือสินสอด’ (หลี่ซู/礼书) โดยหนังสือหมั้นคือเอกสารที่บุรุษระบุคำมั่นสัญญาที่จะแต่งสตรี และหนังสือสินสอดคือเอกสารแจกแจงรายการสินทรัพย์ที่ฝ่ายชายมอบให้ฝ่ายหญิงเป็นสินสอดทั้งหมด

    คำถาม ณ จุดนี้คือ หนังสือฉบับไหนให้เมื่อไหร่และใครเป็นคนให้?

    ธรรมเนียมปฏิบัติจริงแตกต่างไปตามยุคสมัย และ ‘น่าเจิง’ จริงแล้วหมายรวมว่าได้ดำเนินการสองเรื่องแล้วเสร็จ คือการส่งมอบสินสอด (น่า) และการยืนยันความประสงค์ที่จะแต่งงาน (เจิง) ดังนั้น ขั้นตอนที่รวบยอดที่สุดคือคุยกันนอกรอบแล้วฝ่ายชายเดินทางมาหาฝ่ายหญิงเพื่อทำการส่งมอบสินสอดและหลักฐานการหมั้นพร้อมด้วยสองหนังสือดังกล่าวในคราวเดียวกัน

    แต่ในหลายครั้งก็จัดทำสองเรื่องนี้แยกกัน โดยส่งมอบหนังสือหมั้นทันทีที่ตกลงหมั้นซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อตรวจดวงสมพงษ์แล้วเสร็จได้ผลเป็นที่พอใจ ในบางยุคสมัยแบ่งออกเป็นหนังสือแสดงเจตจำนงจากฝ่ายชายที่จะแต่งงาน ตามด้วยหนังสือตอบรับยินดีที่จะแต่งงานจากฝ่ายหญิง ใช้รวมกันเป็นหนังสือหมั้น ตัวอย่างเอกสารโบราณจากสมัยถังเป็นเช่นนี้ จากนั้นค่อยมีการนำส่งสินสอดและหนังสือสินสอดในภายหลัง

    เมื่อได้รับสินสอดจากฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงก็ต้องมีของขวัญตอบแทน ซึ่งแน่นอนว่ามีรายละเอียดเพิ่มเติมว่าแต่ละขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้น (ไม่ว่าจะเป็นของขวัญ ของตอบแทนหรือสินสอด) ควรประกอบด้วยของอะไรบ้างแต่ Storyฯ ขอไม่ลงรายละเอียด

    เมื่อผ่านทั้งสี่ขั้นตอนข้างต้นแล้ว ก็เป็นขั้นตอนที่ห้า คือฝ่ายชายหาฤกษ์แต่งและหารือ/แจ้งกับฝ่ายหญิง (พิธีการแจ้งฤกษ์ ‘ฉิ่งชี’/请期) เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วต่างฝ่ายต่างเตรียมการงานแต่ง และสุดท้ายคือฝ่ายชายมารับตัวเจ้าสาวไปบ้านฝ่ายชายเพื่อกราบไหว้ฟ้าดิน (พิธีการรับตัวเจ้าสาว ‘ชินอิ๋ง’/ 亲迎) โดยฝ่ายเจ้าบ่าวจะมอบ ‘หนังสือรับตัวเจ้าสาว’ (อิ๋งซู/迎书) ให้แก่ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวเมื่อมาถึงบ้านเจ้าสาวเพื่อรับตัวเจ้าสาว

    และนี่คือสามหนังสือหกพิธีการ แน่นอนว่าพิธีการเหล่านี้ถูกย่อลงไปตามการเวลา ในสมัยซ่งลดเหลือเพียงสามพิธีการคือ สู่ขอ (‘น่าไฉ่’ มอบหนังสือ เฉ๋าเถี่ยจือ) หมั้นหมาย (‘น่าเจิง’ มอบหนังสือซี่เถี่ยจือ) และรับตัว (‘อิ๋งชิน’ มอบหนังสืออิ๋งซู) แต่ในทางปฏิบัติยังคงรวมกิจกรรมทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว

    นอกจากนี้ ในหลายนิยายและซีรีส์มักกล่าวถึงหนังสือที่เป็นหลักฐานการสมรสหรือที่เรียกว่า ‘หนังสือสมรส’ (ฮุนซู/婚书) แต่... ในสมัยโบราณไม่มีทะเบียนสมรสที่ออกโดยทางการแม้ว่าจะมีการไปรายงานและลงทะเบียนกับที่ว่าการท้องถิ่นเพื่อยืนยันการแต่งงานระหว่างชายหญิง จึงเป็นที่ข้องใจอีกว่า แล้วหนังสือฮุนซูที่ว่านี้คืออะไร? เรามาทำความเข้าใจมันจากกฎหมายที่เกี่ยวกับการยกเลิกการแต่งงานในสมัยถังกันค่ะ

    กฎหมายสมัยถังระบุว่า ผู้ที่ได้รายงานและขึ้นทะเบียนหนังสือสมรส (ฮุนซู) ต่อทางการแล้วและฝ่ายหนึ่งยกเลิกการแต่งงานโดยอีกฝ่ายไม่ยินยอมหรือรับรู้ก็จะมีบทลงโทษ ทั้งนี้ หากไม่มีหนังสือยืนยันความประสงค์แต่งงานแต่มีการรับสินสอดให้ถือเสมือนว่ามีการให้คำมั่นที่จะแต่งงานแล้วด้วยเช่นกัน สรุปบทลงโทษได้ดังนี้
    - ฝ่ายหญิงยกเลิกการแต่งงาน ให้โบยหกสิบครั้งและยังต้องแต่งงานตามเดิม
    - ฝ่ายหญิงยกเลิกเพื่อไปแต่งงานกับคนอื่นแต่ยังแต่งไม่สำเร็จ ให้โบยหนึ่งร้อยครั้ง และยังต้องแต่งงานกับคู่หมั้นเดิม แต่ถ้าคู่หมั้นเดิมไม่ต้องการแต่งด้วยแล้ว ฝ่ายหญิงต้องคืนสินสอดให้กับคู่หมั้นเดิมจึงจะไปแต่งงานกับผู้อื่นได้
    - ฝ่ายหญิงยกเลิกเพื่อไปแต่งงานกับคนอื่นและได้แต่งไปเรียบร้อยแล้ว ให้โบยหนึ่งร้อยครั้ง ทำงานหนักหนึ่งปีครึ่ง การแต่งงานเป็นโมฆะและฝ่ายหญิงต้องกลับมาแต่งกับคู่หมั้นเดิม แต่ถ้าคู่หมั้นเดิมไม่ต้องการแต่งด้วยแล้ว ฝ่ายหญิงต้องคืนสินสอดให้กับคู่หมั้นเดิมจึงจะอยู่กับสามีที่แต่งงานกันไปแล้วได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
    - ฝ่ายชายยกเลิกการแต่งงาน ไม่มีการลงทัณฑ์แต่ให้สละสิทธิ์ในสินสอดที่มอบให้ฝ่ายหญิงไปแล้ว

    ฟังดูเหมือนบทลงทัณฑ์เอนเอียงและให้โทษกับฝ่ายหญิงมากกว่า แต่นั่นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโกหกปอกลอกทรัพย์สินสอด ทั้งนี้ บทลงทัณฑ์ข้างต้นไม่เพียงใช้กับคู่บ่าวสาว หากแต่หมายรวมถึงผู้ใหญ่ฝ่ายนั้นด้วยเพราะถือว่าพิธีการต่างๆ ของการแต่งงานต้องดำเนินการผ่านผู้ใหญ่ และมีเหตุการณ์ที่อนุโลมให้ยกเลิกการแต่งงานได้เช่นในกรณีอีกฝ่ายถูกพิพากษาเป็นนักโทษ ฯลฯ

    กฎหมายว่าด้วยเรื่องยกเลิกการแต่งงานและบทลงโทษเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยแต่ยังอยู่ภายใต้กรอบแนวทางคล้ายคลึงกัน และจากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เราจะเห็นได้ว่าหนังสือสมรสก็คือหนังสือที่แสดงเจตนารมณ์ที่จะแต่งงานโดยยังไม่ได้มีการรับส่งตัวเจ้าสาว เปรียบได้เป็นหนังสือหมั้นนั่นเอง ซึ่งในบางยุคสมัยจะหมายรวมการตอบรับโดยฝ่ายเจ้าสาวด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจะเคยผ่านตาว่าบุรุษอาจเรียกคู่หมั้นว่า ‘ภรรยาที่ยังไม่แต่งข้ามเรือนมา’ ทั้งนี้ เป็นเพราะการหมั้นในสมัยโบราณมีความหนักแน่นเสมือนแต่งงานกันแล้ว และเมื่อผ่านการหมั้นแล้ว ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายสามารถเรียกซึ่งกันและกันว่า ‘ชิ่นเจีย’ (亲家) ได้เลย ซึ่งเป็นศัพท์ที่ใช้เรียกพ่อแม่ของเขย-สะใภ้

    และบทความที่กล่าวมาข้างต้นจึงอธิบายบริบทของสังคมใน <ซ่อนรักชายาลับ> ที่ระบุว่าต้องมีการทำหนังสือสมรสร่วมกันก่อนแล้วค่อยมอบสินสอดได้จึงจะถูกต้อง และหากรับสินสอดโดยไม่มีการทำหนังสือหมั้นก็ถือได้ว่าต้องแต่งงานเหมือนกัน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.cosmopolitan.com/tw/entertainment/movies/g62051067/are-you-the-one-ending/
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://bjgy.bjcourt.gov.cn/article/detail/2020/12/id/5676081.shtml
    https://www.gmw.cn/guoxue/2018-04/11/content_28279045.htm
    https://www.gz.gov.cn/zlgz/whgz/content/post_8071815.html
    https://www.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4F126BD3881FD42A2C.aspx
    https://newspaper.jcrb.com/2023/20230607/20230607_007/20230607_007_3.htm

    #ซ่อนรักชายาลับ #สามหนังสือหกพิธีการ #ซานซูลิ่วหลี่ #หนังสือแต่งงาน #การถอนหมั้น #สาระจีน
    🪭สามหนังสือหกพิธีการ 🪭 สวัสดีค่ะ Storyฯ ขอต้อนรับวันแห่งความรักด้วยบทความเกี่ยวกับการแต่งงาน เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ซ่อนรักชายาลับ> คงได้ผ่านตาฉากที่ว่าหลิ่วเหมียนถางได้รับการสู่ขอจากบุตรชายตระกูลซู ที่หอบสินสอดมาไว้ให้ที่เรือนสกุลเฉียวพร้อมเจรจาสู่ขอ และหลิ่วเหมียนถางบอกให้ตาของนางรีบคืนสินสอดนั้นไป โดยบอกว่า “ตามกฎหมายของต้าฉี ต้องมีการเขียนหนังสือก่อนแล้วจึงให้สินสอด การหมั้นหมายจำเป็นต้องให้ทั้งสองฝ่ายลงนามในหนังสือสมรส ไม่เช่นนั้นก็ถือเป็นการบังคับแต่งงาน” (หมายเหตุ คำแปลจากซับไทย) เพื่อนเพจหลายท่านน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ (三书六礼) มาบ้าง เพราะมีบทความภาษาไทยหลายบทความที่กล่าวถึง แต่อาจไม่ค่อยกระจ่างว่าสามหนังสือที่ว่านี้มันอยู่ในขั้นตอนใดของหกพิธีการ จึงเป็นที่มาของความ ‘เอ๊ะ’ ของ Storyฯ ว่าต้องมีการเขียนหนังสือก่อนให้สินสอดตามที่กล่าวมาในเรื่อง <ซ่อนรักชายาลับ> นี้อย่างไร วันนี้เลยมาลงรายละเอียดให้ฟัง ก่อนอื่นขออธิบายโดยย่อว่า ขั้นตอนการแต่งงานในจีนโบราณแบ่งได้เป็นสามช่วง ช่วงแรกคือก่อนพิธีมงคลสมรส ช่วงสองคือพิธีมงคลสมรสและเข้าหอและช่วงสามคือหลังเข้าหอ เรื่อง ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ เป็นขั้นตอนปฏิบัติในช่วงแรก ครอบคลุมขั้นตอนการทาบทามสู่ขอ การหมั้นหมายและการรับตัวเจ้าสาว โดยถูกกำหนดไว้แต่โบราณในบันทึกหลี่จี้ ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก ขั้นตอนตามสามหนังสือหกพิธีการก็คือ เริ่มจากให้แม่สื่อไปทาบทาม (พิธีการสู่ขอ ‘น่าไฉ่’/纳采) ถ้าฝ่ายหญิงเห็นดีเห็นงามด้วย ก็แลกเปลี่ยนเวลาตกฟากวันเดือนปีเกิดของว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวโดยบันทึกอย่างละเอียดลงในเอกสารเรียกว่า ‘เกิงเถี่ย’ (庚帖) หรือในสมัยซ่งเรียกว่า ‘เฉาเถี่ยจือ’ (草帖子) นี่คือพิธีการที่สอง (พิธีการสอบถาม ‘เวิ่นหมิง’/问名) ซึ่งในช่วงสองพิธีการนี้ ในทางปฏิบัติจะมีโอกาสให้ผู้ใหญ่ฝ่ายชายฝ่ายหญิงได้เจอหน้าค่าตาพูดคุยกัน สอบถามประวัติตระกูลเพราะในสมัยโบราณการแต่งงานถือเป็นการผูกสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวไม่ใช่เรื่องระหว่างเจ้าบ่าวเจ้าสาวเพียงสองคน รวมถึงสอบถามชัดเจนว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นลูกภรรยาเอกหรืออนุภรรยา และอาจเปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่ได้พบเห็นว่าที่คู่สมรสของอีกฝ่ายได้ (เช่น บุรุษมาเยือนทำความเคารพผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง หรือสตรีผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงมาเจอหน้าว่าที่เจ้าสาว) อันนี้แล้วแต่จะจัดนัดหมายกัน ถ้าไม่แฮปปี้กันก็จะไม่มีการแลกเปลี่ยนวันเวลาเกิดกัน จากนั้นฝ่ายชายก็นำวันเวลาเกิดดังกล่าวไปดูดวงสมพงษ์ นับเป็นพิธีการที่สาม (พีธีการดูดวงสมพงษ์ ‘น่าจี๋’/纳吉) แล้วแจ้งผลไปยังฝ่ายหญิง ถ้าคู่บ่าวสาวดวงสมพงษ์กันก็จะเริ่มเจรจาเตรียมการหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ จนนำมาถึงพิธีการที่สี่ซึ่งก็คือฝ่ายชายนำสินสอดมามอบให้ฝ่ายหญิง (พิธีการมอบสินสอดและหมั้นหมาย ‘น่าเจิง’/纳征) ซึ่งในช่วงสองพิธีการนี้มีสอง ‘หนังสือ’ ที่เกี่ยวข้อง คือ ‘หนังสือหมั้น’ (พิ่นซู/聘书หรือในสมัยซ่งเรียกว่า ซี่เถี่ยจือ/细帖子) และ ‘หนังสือสินสอด’ (หลี่ซู/礼书) โดยหนังสือหมั้นคือเอกสารที่บุรุษระบุคำมั่นสัญญาที่จะแต่งสตรี และหนังสือสินสอดคือเอกสารแจกแจงรายการสินทรัพย์ที่ฝ่ายชายมอบให้ฝ่ายหญิงเป็นสินสอดทั้งหมด คำถาม ณ จุดนี้คือ หนังสือฉบับไหนให้เมื่อไหร่และใครเป็นคนให้? ธรรมเนียมปฏิบัติจริงแตกต่างไปตามยุคสมัย และ ‘น่าเจิง’ จริงแล้วหมายรวมว่าได้ดำเนินการสองเรื่องแล้วเสร็จ คือการส่งมอบสินสอด (น่า) และการยืนยันความประสงค์ที่จะแต่งงาน (เจิง) ดังนั้น ขั้นตอนที่รวบยอดที่สุดคือคุยกันนอกรอบแล้วฝ่ายชายเดินทางมาหาฝ่ายหญิงเพื่อทำการส่งมอบสินสอดและหลักฐานการหมั้นพร้อมด้วยสองหนังสือดังกล่าวในคราวเดียวกัน แต่ในหลายครั้งก็จัดทำสองเรื่องนี้แยกกัน โดยส่งมอบหนังสือหมั้นทันทีที่ตกลงหมั้นซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อตรวจดวงสมพงษ์แล้วเสร็จได้ผลเป็นที่พอใจ ในบางยุคสมัยแบ่งออกเป็นหนังสือแสดงเจตจำนงจากฝ่ายชายที่จะแต่งงาน ตามด้วยหนังสือตอบรับยินดีที่จะแต่งงานจากฝ่ายหญิง ใช้รวมกันเป็นหนังสือหมั้น ตัวอย่างเอกสารโบราณจากสมัยถังเป็นเช่นนี้ จากนั้นค่อยมีการนำส่งสินสอดและหนังสือสินสอดในภายหลัง เมื่อได้รับสินสอดจากฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงก็ต้องมีของขวัญตอบแทน ซึ่งแน่นอนว่ามีรายละเอียดเพิ่มเติมว่าแต่ละขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้น (ไม่ว่าจะเป็นของขวัญ ของตอบแทนหรือสินสอด) ควรประกอบด้วยของอะไรบ้างแต่ Storyฯ ขอไม่ลงรายละเอียด เมื่อผ่านทั้งสี่ขั้นตอนข้างต้นแล้ว ก็เป็นขั้นตอนที่ห้า คือฝ่ายชายหาฤกษ์แต่งและหารือ/แจ้งกับฝ่ายหญิง (พิธีการแจ้งฤกษ์ ‘ฉิ่งชี’/请期) เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วต่างฝ่ายต่างเตรียมการงานแต่ง และสุดท้ายคือฝ่ายชายมารับตัวเจ้าสาวไปบ้านฝ่ายชายเพื่อกราบไหว้ฟ้าดิน (พิธีการรับตัวเจ้าสาว ‘ชินอิ๋ง’/ 亲迎) โดยฝ่ายเจ้าบ่าวจะมอบ ‘หนังสือรับตัวเจ้าสาว’ (อิ๋งซู/迎书) ให้แก่ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวเมื่อมาถึงบ้านเจ้าสาวเพื่อรับตัวเจ้าสาว และนี่คือสามหนังสือหกพิธีการ แน่นอนว่าพิธีการเหล่านี้ถูกย่อลงไปตามการเวลา ในสมัยซ่งลดเหลือเพียงสามพิธีการคือ สู่ขอ (‘น่าไฉ่’ มอบหนังสือ เฉ๋าเถี่ยจือ) หมั้นหมาย (‘น่าเจิง’ มอบหนังสือซี่เถี่ยจือ) และรับตัว (‘อิ๋งชิน’ มอบหนังสืออิ๋งซู) แต่ในทางปฏิบัติยังคงรวมกิจกรรมทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว นอกจากนี้ ในหลายนิยายและซีรีส์มักกล่าวถึงหนังสือที่เป็นหลักฐานการสมรสหรือที่เรียกว่า ‘หนังสือสมรส’ (ฮุนซู/婚书) แต่... ในสมัยโบราณไม่มีทะเบียนสมรสที่ออกโดยทางการแม้ว่าจะมีการไปรายงานและลงทะเบียนกับที่ว่าการท้องถิ่นเพื่อยืนยันการแต่งงานระหว่างชายหญิง จึงเป็นที่ข้องใจอีกว่า แล้วหนังสือฮุนซูที่ว่านี้คืออะไร? เรามาทำความเข้าใจมันจากกฎหมายที่เกี่ยวกับการยกเลิกการแต่งงานในสมัยถังกันค่ะ กฎหมายสมัยถังระบุว่า ผู้ที่ได้รายงานและขึ้นทะเบียนหนังสือสมรส (ฮุนซู) ต่อทางการแล้วและฝ่ายหนึ่งยกเลิกการแต่งงานโดยอีกฝ่ายไม่ยินยอมหรือรับรู้ก็จะมีบทลงโทษ ทั้งนี้ หากไม่มีหนังสือยืนยันความประสงค์แต่งงานแต่มีการรับสินสอดให้ถือเสมือนว่ามีการให้คำมั่นที่จะแต่งงานแล้วด้วยเช่นกัน สรุปบทลงโทษได้ดังนี้ - ฝ่ายหญิงยกเลิกการแต่งงาน ให้โบยหกสิบครั้งและยังต้องแต่งงานตามเดิม - ฝ่ายหญิงยกเลิกเพื่อไปแต่งงานกับคนอื่นแต่ยังแต่งไม่สำเร็จ ให้โบยหนึ่งร้อยครั้ง และยังต้องแต่งงานกับคู่หมั้นเดิม แต่ถ้าคู่หมั้นเดิมไม่ต้องการแต่งด้วยแล้ว ฝ่ายหญิงต้องคืนสินสอดให้กับคู่หมั้นเดิมจึงจะไปแต่งงานกับผู้อื่นได้ - ฝ่ายหญิงยกเลิกเพื่อไปแต่งงานกับคนอื่นและได้แต่งไปเรียบร้อยแล้ว ให้โบยหนึ่งร้อยครั้ง ทำงานหนักหนึ่งปีครึ่ง การแต่งงานเป็นโมฆะและฝ่ายหญิงต้องกลับมาแต่งกับคู่หมั้นเดิม แต่ถ้าคู่หมั้นเดิมไม่ต้องการแต่งด้วยแล้ว ฝ่ายหญิงต้องคืนสินสอดให้กับคู่หมั้นเดิมจึงจะอยู่กับสามีที่แต่งงานกันไปแล้วได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย - ฝ่ายชายยกเลิกการแต่งงาน ไม่มีการลงทัณฑ์แต่ให้สละสิทธิ์ในสินสอดที่มอบให้ฝ่ายหญิงไปแล้ว ฟังดูเหมือนบทลงทัณฑ์เอนเอียงและให้โทษกับฝ่ายหญิงมากกว่า แต่นั่นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโกหกปอกลอกทรัพย์สินสอด ทั้งนี้ บทลงทัณฑ์ข้างต้นไม่เพียงใช้กับคู่บ่าวสาว หากแต่หมายรวมถึงผู้ใหญ่ฝ่ายนั้นด้วยเพราะถือว่าพิธีการต่างๆ ของการแต่งงานต้องดำเนินการผ่านผู้ใหญ่ และมีเหตุการณ์ที่อนุโลมให้ยกเลิกการแต่งงานได้เช่นในกรณีอีกฝ่ายถูกพิพากษาเป็นนักโทษ ฯลฯ กฎหมายว่าด้วยเรื่องยกเลิกการแต่งงานและบทลงโทษเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยแต่ยังอยู่ภายใต้กรอบแนวทางคล้ายคลึงกัน และจากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เราจะเห็นได้ว่าหนังสือสมรสก็คือหนังสือที่แสดงเจตนารมณ์ที่จะแต่งงานโดยยังไม่ได้มีการรับส่งตัวเจ้าสาว เปรียบได้เป็นหนังสือหมั้นนั่นเอง ซึ่งในบางยุคสมัยจะหมายรวมการตอบรับโดยฝ่ายเจ้าสาวด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจะเคยผ่านตาว่าบุรุษอาจเรียกคู่หมั้นว่า ‘ภรรยาที่ยังไม่แต่งข้ามเรือนมา’ ทั้งนี้ เป็นเพราะการหมั้นในสมัยโบราณมีความหนักแน่นเสมือนแต่งงานกันแล้ว และเมื่อผ่านการหมั้นแล้ว ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายสามารถเรียกซึ่งกันและกันว่า ‘ชิ่นเจีย’ (亲家) ได้เลย ซึ่งเป็นศัพท์ที่ใช้เรียกพ่อแม่ของเขย-สะใภ้ และบทความที่กล่าวมาข้างต้นจึงอธิบายบริบทของสังคมใน <ซ่อนรักชายาลับ> ที่ระบุว่าต้องมีการทำหนังสือสมรสร่วมกันก่อนแล้วค่อยมอบสินสอดได้จึงจะถูกต้อง และหากรับสินสอดโดยไม่มีการทำหนังสือหมั้นก็ถือได้ว่าต้องแต่งงานเหมือนกัน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.cosmopolitan.com/tw/entertainment/movies/g62051067/are-you-the-one-ending/ Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://bjgy.bjcourt.gov.cn/article/detail/2020/12/id/5676081.shtml https://www.gmw.cn/guoxue/2018-04/11/content_28279045.htm https://www.gz.gov.cn/zlgz/whgz/content/post_8071815.html https://www.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4F126BD3881FD42A2C.aspx https://newspaper.jcrb.com/2023/20230607/20230607_007/20230607_007_3.htm #ซ่อนรักชายาลับ #สามหนังสือหกพิธีการ #ซานซูลิ่วหลี่ #หนังสือแต่งงาน #การถอนหมั้น #สาระจีน
    WWW.COSMOPOLITAN.COM
    陸劇《柳舟記》結局!崔眠夫婦歸隱江湖,張晚意願當王楚然的小嬌夫!帝后CP先婚後愛好嗑,敲碗番外篇
    《柳舟記》劇情從頭到尾都在線!而且除了崔眠夫婦好嗑,帝后CP也很讓人愛啊~
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✨ เก็บทุกความทรงจำให้มีชีวิต ด้วยโฟโต้บุ๊คสุดหรู! ✨

    📸 โฟโต้บุ๊คขนาด 20x20 ซม.
    ความหนา 40 หน้า
    เพียง 790 บาท

    💖 บันทึกทุกช่วงเวลาสำคัญ ด้วยคุณภาพระดับพรีเมียม!
    ✅ กระดาษค็อกเทลเคลือบมุก เงางามหรูหรา เห็นเลื่อมมุกเมื่อกระทบแสง
    ✅ ปกหนา 250 แกรม ภาพในเล่ม 128 แกรม คงทน สวยงาม
    ✅ พิมพ์ระบบ UV สีสด คมชัด ไม่ซีดจางนานกว่า 5 ปี

    📚 ทำไมต้องมีโฟโต้บุ๊ค?
    📍 เก็บภาพความทรงจำอย่างเป็นระเบียบ ไม่ต้องเลื่อนหาในมือถือ 📱
    📍 แสดงภาพถ่ายอย่างมีสไตล์ ดูดี มีเอกลักษณ์ 💎
    📍 แบ่งปันเรื่องราวให้คนพิเศษ มอบเป็นของขวัญก็เก๋ 🎁
    📍 เก็บได้นาน คงทน ปลอดภัย มากกว่าภาพดิจิทัลที่อาจสูญหาย ☁️

    🎨 ฟรี! รีทัชภาพ & ออกแบบ
    ⏳ ออกแบบภายใน 2-3 วัน
    ⏳ ผลิต 3-5 วัน

    📦 ไม่มีขั้นต่ำ สั่งทำตามจำนวนที่ต้องการ

    📲 สั่งเลย!
    💬 Line OA : @ai5corp
    📞 โทร : 06 1596 0545

    #โฟโต้บุ๊ค #PhotoBook #เก็บความทรงจำ #ของขวัญสุดพิเศษ #พิมพ์โฟโต้บุ๊ค
    ✨ เก็บทุกความทรงจำให้มีชีวิต ด้วยโฟโต้บุ๊คสุดหรู! ✨ 📸 โฟโต้บุ๊คขนาด 20x20 ซม. ความหนา 40 หน้า เพียง 790 บาท 💖 บันทึกทุกช่วงเวลาสำคัญ ด้วยคุณภาพระดับพรีเมียม! ✅ กระดาษค็อกเทลเคลือบมุก เงางามหรูหรา เห็นเลื่อมมุกเมื่อกระทบแสง ✅ ปกหนา 250 แกรม ภาพในเล่ม 128 แกรม คงทน สวยงาม ✅ พิมพ์ระบบ UV สีสด คมชัด ไม่ซีดจางนานกว่า 5 ปี 📚 ทำไมต้องมีโฟโต้บุ๊ค? 📍 เก็บภาพความทรงจำอย่างเป็นระเบียบ ไม่ต้องเลื่อนหาในมือถือ 📱 📍 แสดงภาพถ่ายอย่างมีสไตล์ ดูดี มีเอกลักษณ์ 💎 📍 แบ่งปันเรื่องราวให้คนพิเศษ มอบเป็นของขวัญก็เก๋ 🎁 📍 เก็บได้นาน คงทน ปลอดภัย มากกว่าภาพดิจิทัลที่อาจสูญหาย ☁️ 🎨 ฟรี! รีทัชภาพ & ออกแบบ ⏳ ออกแบบภายใน 2-3 วัน ⏳ ผลิต 3-5 วัน 📦 ไม่มีขั้นต่ำ สั่งทำตามจำนวนที่ต้องการ 📲 สั่งเลย! 💬 Line OA : @ai5corp 📞 โทร : 06 1596 0545 #โฟโต้บุ๊ค #PhotoBook #เก็บความทรงจำ #ของขวัญสุดพิเศษ #พิมพ์โฟโต้บุ๊ค
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts