• เบื้องหลังความสำเร็จเจรจาภาษีสหรัฐ-จีน : คนเคาะข่าว 12-06-68
    อุษณีย์ เอกอุษณีย์ / อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร
    #คนเคาะข่าว #เจรจาภาษีสหรัฐจีน #สงครามการค้า #ความสำเร็จการเจรจา #Geopolitics #เศรษฐกิจโลก #การค้าโลก #ข่าวต่างประเทศ #thaitimes #วิเคราะห์เศรษฐกิจโลก #สหรัฐจีน #การเมืองโลก #นโยบายการค้า #วิเคราะห์การเมือง #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    เบื้องหลังความสำเร็จเจรจาภาษีสหรัฐ-จีน : คนเคาะข่าว 12-06-68 อุษณีย์ เอกอุษณีย์ / อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร #คนเคาะข่าว #เจรจาภาษีสหรัฐจีน #สงครามการค้า #ความสำเร็จการเจรจา #Geopolitics #เศรษฐกิจโลก #การค้าโลก #ข่าวต่างประเทศ #thaitimes #วิเคราะห์เศรษฐกิจโลก #สหรัฐจีน #การเมืองโลก #นโยบายการค้า #วิเคราะห์การเมือง #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 9 0 รีวิว

  • รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต วิเคราะห์กรณีศาลรัฐบาลกลางสหรัฐตัดสินทรัมป์ไม่มีอำนาจในการกำหนดภาษีศุลกากรทั่วโลกภายใต้กฏหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจได้

    เมื่อวาน 28 พฤษภาคม 2568

    ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯมีคำวินิจฉัยว่าทรัมป์ไม่สามารถใช้อำนาจฉุกเฉินในการกำหนดภาษีศุลกากรทั่วโลกได้

    ศาลรัฐบาลกลางเพิ่งตัดสินว่าทรัมป์ไม่มีอำนาจในการกำหนดภาษีศุลกากรทั่วโลกภายใต้กฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ

    เหตุผลของคำวินิจฉัย

    ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (โดยเฉพาะ US Court of International Trade) ตัดสินว่าทรัมป์ไม่มีอำนาจในการกำหนดภาษีศุลกากรทั่วโลกภายใต้กฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ (International Emergency Economic Powers Act - IEEPA) สาเหตุหลักๆ น่าจะมาจากประเด็นทางกฎหมายดังนี้:

    1 ขอบเขตของอำนาจฉุกเฉิน: ศาลอาจตีความว่ากฎหมาย IEEPA มีขอบเขตการใช้งานที่จำกัด ไม่ได้ให้อำนาจประธานาธิบดีในการกำหนดภาษีศุลกากรในลักษณะที่กว้างขวางและมีผลกระทบในระดับโลกได้ คำว่า "ฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ" อาจถูกตีความว่ามีข้อจำกัดที่ชัดเจน ไม่ได้หมายถึงสถานการณ์ทางการค้าทั่วไป

    2 การจำแนกระหว่างภาษีศุลกากรและมาตรการฉุกเฉินอื่นๆ: ศาลอาจมองว่าการกำหนดภาษีศุลกากรเป็นอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการคลังและนโยบายการค้า ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ภายใต้อำนาจของสภาคองเกรส (ฝ่ายนิติบัญญัติ) มากกว่าอำนาจฉุกเฉินของฝ่ายบริหาร การใช้กฎหมายฉุกเฉินเพื่อข้ามกระบวนการนิติบัญญัติในการเก็บภาษี อาจถูกมองว่าเป็นการละเมิดการแบ่งแยกอำนาจ

    3 การขาดความชอบธรรมของสถานการณ์ฉุกเฉิน: ศาลอาจเห็นว่าสถานการณ์ทางการค้าที่ทรัมป์อ้างว่าเป็น "ภาวะฉุกเฉิน" นั้นไม่เข้าข่ายตามความหมายของกฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ หรือไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนถึงขั้นต้องใช้อำนาจพิเศษ

    4 การปกป้องการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Powers): คำวินิจฉัยนี้เป็นการตอกย้ำหลักการแบ่งแยกอำนาจระหว่างฝ่ายบริหาร (ประธานาธิบดี) และฝ่ายนิติบัญญัติ (สภาคองเกรส) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ศาลมองว่าการเก็บภาษีเป็นอำนาจของสภาคองเกรส และประธานาธิบดีไม่สามารถใช้อำนาจฉุกเฉินมาแทนที่อำนาจดังกล่าวได้

    5 รัฐบาลทรัมป์มีทางเลือกในการอุทธรณ์คำวินิจฉัยนี้ไปยังศาลสูงกว่า เช่น ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลาง หรืออาจถึงศาลฎีกา ซึ่งกระบวนการอุทธรณ์อาจใช้เวลาและผลลัพธ์ก็ไม่แน่นอน

    อย่างไรก็ตาม คำวินิจฉัยนี้ถือเป็นความพ่ายแพ้ทางกฎหมายครั้งสำคัญสำหรับรัฐบาลทรัมป์ และอาจส่งผลให้กลยุทธ์ทางการค้าของสหรัฐฯ ต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากศาลสูงยืนยันคำวินิจฉัยดังกล่าว
    รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต วิเคราะห์กรณีศาลรัฐบาลกลางสหรัฐตัดสินทรัมป์ไม่มีอำนาจในการกำหนดภาษีศุลกากรทั่วโลกภายใต้กฏหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจได้ เมื่อวาน 28 พฤษภาคม 2568 ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯมีคำวินิจฉัยว่าทรัมป์ไม่สามารถใช้อำนาจฉุกเฉินในการกำหนดภาษีศุลกากรทั่วโลกได้ ศาลรัฐบาลกลางเพิ่งตัดสินว่าทรัมป์ไม่มีอำนาจในการกำหนดภาษีศุลกากรทั่วโลกภายใต้กฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ เหตุผลของคำวินิจฉัย ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (โดยเฉพาะ US Court of International Trade) ตัดสินว่าทรัมป์ไม่มีอำนาจในการกำหนดภาษีศุลกากรทั่วโลกภายใต้กฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ (International Emergency Economic Powers Act - IEEPA) สาเหตุหลักๆ น่าจะมาจากประเด็นทางกฎหมายดังนี้: 1 ขอบเขตของอำนาจฉุกเฉิน: ศาลอาจตีความว่ากฎหมาย IEEPA มีขอบเขตการใช้งานที่จำกัด ไม่ได้ให้อำนาจประธานาธิบดีในการกำหนดภาษีศุลกากรในลักษณะที่กว้างขวางและมีผลกระทบในระดับโลกได้ คำว่า "ฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ" อาจถูกตีความว่ามีข้อจำกัดที่ชัดเจน ไม่ได้หมายถึงสถานการณ์ทางการค้าทั่วไป 2 การจำแนกระหว่างภาษีศุลกากรและมาตรการฉุกเฉินอื่นๆ: ศาลอาจมองว่าการกำหนดภาษีศุลกากรเป็นอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการคลังและนโยบายการค้า ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ภายใต้อำนาจของสภาคองเกรส (ฝ่ายนิติบัญญัติ) มากกว่าอำนาจฉุกเฉินของฝ่ายบริหาร การใช้กฎหมายฉุกเฉินเพื่อข้ามกระบวนการนิติบัญญัติในการเก็บภาษี อาจถูกมองว่าเป็นการละเมิดการแบ่งแยกอำนาจ 3 การขาดความชอบธรรมของสถานการณ์ฉุกเฉิน: ศาลอาจเห็นว่าสถานการณ์ทางการค้าที่ทรัมป์อ้างว่าเป็น "ภาวะฉุกเฉิน" นั้นไม่เข้าข่ายตามความหมายของกฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ หรือไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนถึงขั้นต้องใช้อำนาจพิเศษ 4 การปกป้องการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Powers): คำวินิจฉัยนี้เป็นการตอกย้ำหลักการแบ่งแยกอำนาจระหว่างฝ่ายบริหาร (ประธานาธิบดี) และฝ่ายนิติบัญญัติ (สภาคองเกรส) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ศาลมองว่าการเก็บภาษีเป็นอำนาจของสภาคองเกรส และประธานาธิบดีไม่สามารถใช้อำนาจฉุกเฉินมาแทนที่อำนาจดังกล่าวได้ 5 รัฐบาลทรัมป์มีทางเลือกในการอุทธรณ์คำวินิจฉัยนี้ไปยังศาลสูงกว่า เช่น ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลาง หรืออาจถึงศาลฎีกา ซึ่งกระบวนการอุทธรณ์อาจใช้เวลาและผลลัพธ์ก็ไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม คำวินิจฉัยนี้ถือเป็นความพ่ายแพ้ทางกฎหมายครั้งสำคัญสำหรับรัฐบาลทรัมป์ และอาจส่งผลให้กลยุทธ์ทางการค้าของสหรัฐฯ ต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากศาลสูงยืนยันคำวินิจฉัยดังกล่าว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงหลักการและเหตุผลร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ห่วงภาษีสหรัฐฉุดเศรษฐกิจไทย นโยบายการค้าโลกทำไทยแบกความเสี่ยงเพิ่ม แจงรายจ่าย 6 ยุทธศาตร์หลัก ลุยยกระดับแก้ปัญหาน้ำ ปราบโกง กันงบใช้จ่ายฉุกเฉิน 660,000 ล้านบาท ยืนยันใช้งบอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ประเทศเดินหน้าอย่างมั่นคง ดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

    -รัฐบาลใช้เงินเกินตัว
    -ฝากแก้ปัญหาโครงสร้าง
    -แบงก์ต้องร่วมชดใช้
    -7 วัน ป่วยโควิด 6 หมื่นคน
    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงหลักการและเหตุผลร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ห่วงภาษีสหรัฐฉุดเศรษฐกิจไทย นโยบายการค้าโลกทำไทยแบกความเสี่ยงเพิ่ม แจงรายจ่าย 6 ยุทธศาตร์หลัก ลุยยกระดับแก้ปัญหาน้ำ ปราบโกง กันงบใช้จ่ายฉุกเฉิน 660,000 ล้านบาท ยืนยันใช้งบอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ประเทศเดินหน้าอย่างมั่นคง ดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ -รัฐบาลใช้เงินเกินตัว -ฝากแก้ปัญหาโครงสร้าง -แบงก์ต้องร่วมชดใช้ -7 วัน ป่วยโควิด 6 หมื่นคน
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 525 มุมมอง 25 0 รีวิว
  • Samsung SDI ลดราคาหุ้นใหม่ลง 17% ท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีสหรัฐฯ

    Samsung SDI ประกาศลดราคาหุ้นใหม่ลง 17% หลังจากที่ราคาหุ้นของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับ ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยบริษัทได้ปรับราคาหุ้นใหม่สองครั้งตั้งแต่เดือนมีนาคม และล่าสุดกำหนดราคาขายที่ 140,000 วอน ($100.37) ต่อหุ้น ลดลงจากราคาเดิมที่ 169,200 วอน

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการลดราคาหุ้นของ Samsung SDI
    ✅ Samsung SDI ลดราคาหุ้นใหม่ลง 17% จากราคาเดิมที่ประกาศในเดือนมีนาคม
    - ราคาล่าสุดอยู่ที่ 140,000 วอน ($100.37) ต่อหุ้น

    ✅ บริษัทปรับราคาหุ้นใหม่สองครั้งตั้งแต่เดือนมีนาคม
    - ครั้งแรก ลดลงเหลือ 146,200 วอน ก่อนลดลงอีกครั้งเป็น 140,000 วอน

    ✅ แรงกดดันจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลต่อราคาหุ้นของ Samsung SDI
    - นักลงทุนกังวลว่า มาตรการภาษีอาจกระทบต่อยอดขายแบตเตอรี่ของบริษัท

    ✅ Samsung SDI เป็นหนึ่งในผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของโลก
    - มีโรงงานใน ฮังการี, เกาหลีใต้ และจีน

    ✅ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
    - นักลงทุนจับตาดู นโยบายการค้าของสหรัฐฯ และยุโรป

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/19/samsung-sdi-cuts-pricing-of-new-shares-by-17-amid-tariff-driven-sell-off
    Samsung SDI ลดราคาหุ้นใหม่ลง 17% ท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีสหรัฐฯ Samsung SDI ประกาศลดราคาหุ้นใหม่ลง 17% หลังจากที่ราคาหุ้นของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับ ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยบริษัทได้ปรับราคาหุ้นใหม่สองครั้งตั้งแต่เดือนมีนาคม และล่าสุดกำหนดราคาขายที่ 140,000 วอน ($100.37) ต่อหุ้น ลดลงจากราคาเดิมที่ 169,200 วอน 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการลดราคาหุ้นของ Samsung SDI ✅ Samsung SDI ลดราคาหุ้นใหม่ลง 17% จากราคาเดิมที่ประกาศในเดือนมีนาคม - ราคาล่าสุดอยู่ที่ 140,000 วอน ($100.37) ต่อหุ้น ✅ บริษัทปรับราคาหุ้นใหม่สองครั้งตั้งแต่เดือนมีนาคม - ครั้งแรก ลดลงเหลือ 146,200 วอน ก่อนลดลงอีกครั้งเป็น 140,000 วอน ✅ แรงกดดันจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลต่อราคาหุ้นของ Samsung SDI - นักลงทุนกังวลว่า มาตรการภาษีอาจกระทบต่อยอดขายแบตเตอรี่ของบริษัท ✅ Samsung SDI เป็นหนึ่งในผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของโลก - มีโรงงานใน ฮังการี, เกาหลีใต้ และจีน ✅ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ - นักลงทุนจับตาดู นโยบายการค้าของสหรัฐฯ และยุโรป https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/19/samsung-sdi-cuts-pricing-of-new-shares-by-17-amid-tariff-driven-sell-off
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Samsung SDI cuts pricing of new shares by 17% amid tariff-driven sell-off
    SEOUL (Reuters) -Samsung SDI on Monday slashed the pricing of its new share issue by 17% after its stock declined in a broad market sell-off sparked by concerns over potential U.S. tariffs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 0 รีวิว
  • กนง. มีมติลดดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 1.75% จากผลกระทบจาก tariff ต่อเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูงKey Highlights:กนง. มีมติ 5 ต่อ 2 ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 1.75% ต่อปี โดยเป็นการลดลงต่อเนื่องจากการประชุมครั้งก่อน จากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงจากสถานการณ์นโยบายการค้าสหรัฐฯ กนง. ประเมินผลกระทบเป็น 2 scenario โดย Reference Scenario (Lower Tariffs) คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2025 จะขยายตัวที่ 2.0% ขณะที่ Alternative Scenario (Higher Tariffs) เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวเพียง 1.3% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป กนง. มองว่ามีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย จากราคาพลังงานที่คาดว่าจะต่ำลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกKrungthai COMPASS ประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่ กนง. จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม สู่ระดับ 1.50% ภายในปี 2025 โดยช่วงเวลาของการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับผลของการเจรจากับสหรัฐฯ ในการปรับลดภาษีนำเข้า หลังพ้นกรอบระยะเวลายกเว้นการเก็บภาษี 90 วัน และพัฒนาการโดยรวมของเศรษฐกิจไทย
    กนง. มีมติลดดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 1.75% จากผลกระทบจาก tariff ต่อเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูงKey Highlights:กนง. มีมติ 5 ต่อ 2 ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 1.75% ต่อปี โดยเป็นการลดลงต่อเนื่องจากการประชุมครั้งก่อน จากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงจากสถานการณ์นโยบายการค้าสหรัฐฯ กนง. ประเมินผลกระทบเป็น 2 scenario โดย Reference Scenario (Lower Tariffs) คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2025 จะขยายตัวที่ 2.0% ขณะที่ Alternative Scenario (Higher Tariffs) เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวเพียง 1.3% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป กนง. มองว่ามีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย จากราคาพลังงานที่คาดว่าจะต่ำลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกKrungthai COMPASS ประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่ กนง. จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม สู่ระดับ 1.50% ภายในปี 2025 โดยช่วงเวลาของการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับผลของการเจรจากับสหรัฐฯ ในการปรับลดภาษีนำเข้า หลังพ้นกรอบระยะเวลายกเว้นการเก็บภาษี 90 วัน และพัฒนาการโดยรวมของเศรษฐกิจไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติมีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 จากร้อยละ 2.00 เป็นร้อยละ 1.75 ต่อปี โดยให้มีผลทันที่ พร้อมปรับลด เพราะความเสี่ยงจากนโยบายการค้าโลกและจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง สินเชื่อหดตัว เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง จึงจะพิจารณาปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มและความเสี่ยงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าหากมีความรุ่นแรงกว่าที่คาด ส่งผลให้จีดีพีไทยปี 2668 หดเหลือ1.3 %จากที่ประเมินไว้ 2 %

    นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 30 เมษายน 2568

    คณะกรรมการฯ มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 จากร้อยละ 2.00 เป็นร้อยละ 1.75 ต่อปี โดยให้มีผลทันที ทั้งนี้ 2 เสียง เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000040531

    #MGROnline #คณะกรรมการนโยบายการเงิน #ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
    คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติมีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 จากร้อยละ 2.00 เป็นร้อยละ 1.75 ต่อปี โดยให้มีผลทันที่ พร้อมปรับลด เพราะความเสี่ยงจากนโยบายการค้าโลกและจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง สินเชื่อหดตัว เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง จึงจะพิจารณาปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มและความเสี่ยงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าหากมีความรุ่นแรงกว่าที่คาด ส่งผลให้จีดีพีไทยปี 2668 หดเหลือ1.3 %จากที่ประเมินไว้ 2 % • นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 30 เมษายน 2568 • คณะกรรมการฯ มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 จากร้อยละ 2.00 เป็นร้อยละ 1.75 ต่อปี โดยให้มีผลทันที ทั้งนี้ 2 เสียง เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000040531 • #MGROnline #คณะกรรมการนโยบายการเงิน #ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันอังคาร(29เม.ย.) ผ่อนปรนมาตรการรีดภาษีที่ส่งผลกระทบต่อบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ กระตุ้นมุมมองในแง่บวกอย่างระมัดระวังในภาคอุตสาหกรรมนี้ที่อยู่ในภาวะใจหายใจคว่ำมาตลอด ระหว่างที่เฝ้ารอรายละเอียดต่างๆนานาในนโยบายการค้าของทรัมป์ ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000040311

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันอังคาร(29เม.ย.) ผ่อนปรนมาตรการรีดภาษีที่ส่งผลกระทบต่อบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ กระตุ้นมุมมองในแง่บวกอย่างระมัดระวังในภาคอุตสาหกรรมนี้ที่อยู่ในภาวะใจหายใจคว่ำมาตลอด ระหว่างที่เฝ้ารอรายละเอียดต่างๆนานาในนโยบายการค้าของทรัมป์ ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000040311 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1341 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel กำลังเผชิญกับข้อจำกัดใหม่ในการส่งออกชิป Gaudi AI ไปยังจีน โดยต้องได้รับ ใบอนุญาตส่งออก ตามนโยบายการค้าล่าสุดของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทในตลาดจีน

    ✅ Intel ต้องได้รับใบอนุญาตส่งออกเพื่อขายชิป Gaudi AI ไปยังจีน
    - ข้อจำกัดนี้มีผลกับ ชิปที่มีแบนด์วิดท์ DRAM 1,400 GB/s หรือสูงกว่า
    - Intel เคยมีลูกค้ารายใหญ่ในจีน เช่น ByteDance ซึ่งซื้อชิปของบริษัทเป็นทางเลือกแทน Nvidia

    ✅ ข้อจำกัดนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ AI ของ Intel ในจีน
    - แม้ Intel จะมีธุรกิจในจีนที่เล็กกว่า Nvidia แต่ก็ยังต้องเผชิญกับ กระบวนการทางกฎหมายที่ซับซ้อน
    - Nvidia และ AMD ก็ถูกจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีนเช่นกัน

    ✅ นโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจช่วยให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง
    - จีนอาจหันไปใช้ ชิป Ascend ของ Huawei แทนชิปจากบริษัทสหรัฐฯ
    - ข้อจำกัดนี้อาจกระตุ้นให้จีน เร่งพัฒนาโซลูชัน AI ในประเทศ

    ✅ Intel อาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาตลาดในจีน
    - บริษัทอาจต้อง นำเสนอชิปที่มีสเปคต่ำลง เพื่อให้ผ่านข้อกำหนดการส่งออก
    - หรืออาจต้อง หาทางเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อขอผ่อนปรนข้อจำกัด

    https://wccftech.com/intel-sees-no-leverage-from-the-trump-administration-now-requires-license-to-sell-gaudi-chips-to-china/
    Intel กำลังเผชิญกับข้อจำกัดใหม่ในการส่งออกชิป Gaudi AI ไปยังจีน โดยต้องได้รับ ใบอนุญาตส่งออก ตามนโยบายการค้าล่าสุดของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทในตลาดจีน ✅ Intel ต้องได้รับใบอนุญาตส่งออกเพื่อขายชิป Gaudi AI ไปยังจีน - ข้อจำกัดนี้มีผลกับ ชิปที่มีแบนด์วิดท์ DRAM 1,400 GB/s หรือสูงกว่า - Intel เคยมีลูกค้ารายใหญ่ในจีน เช่น ByteDance ซึ่งซื้อชิปของบริษัทเป็นทางเลือกแทน Nvidia ✅ ข้อจำกัดนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ AI ของ Intel ในจีน - แม้ Intel จะมีธุรกิจในจีนที่เล็กกว่า Nvidia แต่ก็ยังต้องเผชิญกับ กระบวนการทางกฎหมายที่ซับซ้อน - Nvidia และ AMD ก็ถูกจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีนเช่นกัน ✅ นโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจช่วยให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง - จีนอาจหันไปใช้ ชิป Ascend ของ Huawei แทนชิปจากบริษัทสหรัฐฯ - ข้อจำกัดนี้อาจกระตุ้นให้จีน เร่งพัฒนาโซลูชัน AI ในประเทศ ✅ Intel อาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาตลาดในจีน - บริษัทอาจต้อง นำเสนอชิปที่มีสเปคต่ำลง เพื่อให้ผ่านข้อกำหนดการส่งออก - หรืออาจต้อง หาทางเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อขอผ่อนปรนข้อจำกัด https://wccftech.com/intel-sees-no-leverage-from-the-trump-administration-now-requires-license-to-sell-gaudi-chips-to-china/
    WCCFTECH.COM
    Intel Sees No Leverage From the Trump Administration, Now Requires Export License to Sell Gaudi Chips to China
    US chipmaker Intel hasn't seen any exemption at all, as it is reported that the firm would require a license to sell its chips in China.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 383 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia ได้ประกาศย้ายฐานการผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ไปยังสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการผลิตภายในประเทศเพื่อรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

    ✅ การย้ายฐานการผลิตไปยังสหรัฐฯ
    - Nvidia จะผลิตและทดสอบชิป Blackwell และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ในโรงงานที่รัฐแอริโซนาและเท็กซัส
    - โรงงานผลิตครอบคลุมพื้นที่กว่า 1 ล้านตารางฟุต และเริ่มดำเนินการแล้ว
    - คาดว่าจะเริ่มการผลิตจำนวนมากภายใน 12-15 เดือนข้างหน้า

    ✅ ความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่
    - TSMC จะผลิตชิป Blackwell ในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา
    - Foxconn และ Wistron จะดูแลการประกอบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ในรัฐเท็กซัส
    - Amkor และ SPIL จะรับผิดชอบด้านบรรจุภัณฑ์และการทดสอบชิปในแอริโซนา

    ✅ เป้าหมายการลงทุนและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    - Nvidia วางแผนลงทุนสูงถึง 500 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI ภายใน 4 ปีข้างหน้า
    - การผลิตในสหรัฐฯ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานและลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดทางการค้า

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - การย้ายฐานผลิตอาจส่งผลต่อซัพพลายเชนของบริษัทที่พึ่งพาการผลิตในเอเชีย
    - อาจเกิดความท้าทายด้านต้นทุนและการจัดหาวัตถุดิบสำหรับการผลิตในสหรัฐฯ

    ℹ️ ข้อกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์
    - การตัดสินใจของ Nvidia อาจเป็นผลจากแรงกดดันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
    - อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เคยเตือน TSMC ว่าอาจเผชิญภาษีนำเข้าสูงถึง 100% หากไม่ตั้งโรงงานในสหรัฐฯ

    ℹ️ อนาคตของอุตสาหกรรม AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์
    - Nvidia วางแผนสร้าง "AI factories" หรือศูนย์ข้อมูลเฉพาะสำหรับงาน AI ซึ่งจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในอนาคต
    - บริษัทจะใช้แพลตฟอร์ม Omniverse เพื่อสร้างแบบจำลองดิจิทัลของโรงงาน และใช้หุ่นยนต์ Isaac GR00T ในกระบวนการผลิต

    https://www.techspot.com/news/107542-nvidia-shifts-ai-supercomputer-production-us-first-time.html
    Nvidia ได้ประกาศย้ายฐานการผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ไปยังสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการผลิตภายในประเทศเพื่อรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ✅ การย้ายฐานการผลิตไปยังสหรัฐฯ - Nvidia จะผลิตและทดสอบชิป Blackwell และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ในโรงงานที่รัฐแอริโซนาและเท็กซัส - โรงงานผลิตครอบคลุมพื้นที่กว่า 1 ล้านตารางฟุต และเริ่มดำเนินการแล้ว - คาดว่าจะเริ่มการผลิตจำนวนมากภายใน 12-15 เดือนข้างหน้า ✅ ความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ - TSMC จะผลิตชิป Blackwell ในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา - Foxconn และ Wistron จะดูแลการประกอบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ในรัฐเท็กซัส - Amkor และ SPIL จะรับผิดชอบด้านบรรจุภัณฑ์และการทดสอบชิปในแอริโซนา ✅ เป้าหมายการลงทุนและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม - Nvidia วางแผนลงทุนสูงถึง 500 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI ภายใน 4 ปีข้างหน้า - การผลิตในสหรัฐฯ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานและลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดทางการค้า ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - การย้ายฐานผลิตอาจส่งผลต่อซัพพลายเชนของบริษัทที่พึ่งพาการผลิตในเอเชีย - อาจเกิดความท้าทายด้านต้นทุนและการจัดหาวัตถุดิบสำหรับการผลิตในสหรัฐฯ ℹ️ ข้อกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ - การตัดสินใจของ Nvidia อาจเป็นผลจากแรงกดดันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน - อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เคยเตือน TSMC ว่าอาจเผชิญภาษีนำเข้าสูงถึง 100% หากไม่ตั้งโรงงานในสหรัฐฯ ℹ️ อนาคตของอุตสาหกรรม AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ - Nvidia วางแผนสร้าง "AI factories" หรือศูนย์ข้อมูลเฉพาะสำหรับงาน AI ซึ่งจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในอนาคต - บริษัทจะใช้แพลตฟอร์ม Omniverse เพื่อสร้างแบบจำลองดิจิทัลของโรงงาน และใช้หุ่นยนต์ Isaac GR00T ในกระบวนการผลิต https://www.techspot.com/news/107542-nvidia-shifts-ai-supercomputer-production-us-first-time.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nvidia shifts AI supercomputer production to the US for the first time
    The project spans more than a million square feet of manufacturing space, with operations already underway. Nvidia's Blackwell chips are being produced at TSMC facilities in Phoenix,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 346 มุมมอง 0 รีวิว
  • สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ ตอบโต้สเปนอย่างรุนแรงว่า หากพวกเขาเข้าข้างจีนจะเหมือนปาดคอตัวเอง


    ก่อนหน้านี้ เปโดร ซานเชซ นายกรัฐมนตรีสเปน เสนอให้อียูทบทวนความสัมพันธ์การค้ากับจีน โดยบอกว่าสหภาพยุโรปจะได้ประโยชน์ถ้าคบกับจีน เพราะนโยบายการค้าของสหรัฐไม่มีความแน่นอน และยังทำร้ายพันธมิตรด้วยการประกาศขึ้นภาษียุโรป

    เบสเซนต์ ออกมาตอบโต้สเปนทันที โดยเตือนว่าสหภาพยุโรปจะเหมือนกับปาดคอตัวเองหากหันไปใกล้ชิดจีนแทนที่จะรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐต่อไป

    เบสเซนต์ยังกล่าวอีกว่านโยบายการค้าของจีนมีแต่ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลก และชี้ว่าอียูต้องไม่เลือกข้างผิดในสงครามการค้า
    สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ ตอบโต้สเปนอย่างรุนแรงว่า หากพวกเขาเข้าข้างจีนจะเหมือนปาดคอตัวเอง ก่อนหน้านี้ เปโดร ซานเชซ นายกรัฐมนตรีสเปน เสนอให้อียูทบทวนความสัมพันธ์การค้ากับจีน โดยบอกว่าสหภาพยุโรปจะได้ประโยชน์ถ้าคบกับจีน เพราะนโยบายการค้าของสหรัฐไม่มีความแน่นอน และยังทำร้ายพันธมิตรด้วยการประกาศขึ้นภาษียุโรป เบสเซนต์ ออกมาตอบโต้สเปนทันที โดยเตือนว่าสหภาพยุโรปจะเหมือนกับปาดคอตัวเองหากหันไปใกล้ชิดจีนแทนที่จะรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐต่อไป เบสเซนต์ยังกล่าวอีกว่านโยบายการค้าของจีนมีแต่ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลก และชี้ว่าอียูต้องไม่เลือกข้างผิดในสงครามการค้า
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 379 มุมมอง 24 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันอังคาร(8เม.ย.) ออกมาปกป้องนโยบายการค้าแนวก้าวร้าวของตนเองอีกรอบ อ้างว่าอเมริกาสามารถดูดเงินเข้ามามากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ในแต่ละวัน จากมาตรการรีดภาษีของเขา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000033707

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันอังคาร(8เม.ย.) ออกมาปกป้องนโยบายการค้าแนวก้าวร้าวของตนเองอีกรอบ อ้างว่าอเมริกาสามารถดูดเงินเข้ามามากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ในแต่ละวัน จากมาตรการรีดภาษีของเขา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000033707 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2003 มุมมอง 0 รีวิว
  • Foxconn บริษัทผลิตอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นผู้ประกอบ iPhone รายหลักของ Apple ได้ประกาศรายได้สูงสุดในไตรมาสแรกของปี 2025 ด้วยตัวเลขมหาศาลกว่า 49.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (T$1.64 ล้านล้าน) ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 24.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินค้าด้าน AI และระบบคลาวด์

    ✅ รายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์
    - รายได้ในเดือนมีนาคมทำลายสถิติด้วยการเติบโต 23.4% (T$552.1 พันล้าน)
    - กลุ่มผลิตภัณฑ์คลาวด์และเครือข่ายเติบโตโดดเด่น เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากตลาด AI

    ✅ การเจริญเติบโตในผลิตภัณฑ์ผู้บริโภคอัจฉริยะ
    - รายได้จาก iPhone และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ผู้บริโภคอื่น ๆ มีการเติบโตในระดับคงที่เมื่อเทียบกับปีก่อน

    ✅ ผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ
    - ประธานาธิบดี Donald Trump ได้กำหนดภาษีเพิ่มเติมสูงถึง 54% สำหรับสินค้าจากจีน และ 32% สำหรับสินค้าจากไต้หวัน แม้ Foxconn มีฐานการผลิตในหลายประเทศ แต่ยังคงได้รับผลกระทบในระดับหนึ่ง
    - โรงงานที่ใหญ่ที่สุดของ Foxconn ตั้งอยู่ในเมือง Zhengzhou ประเทศจีน ซึ่งเป็นฐานการผลิต iPhone ระดับโลก

    ✅ การคาดการณ์และคำเตือนของ Foxconn
    - Foxconn คาดว่ารายได้จะเติบโตขึ้นในไตรมาสที่สองนี้ แต่เตือนว่า สถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองโลก ยังมีความไม่แน่นอนที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

    ✅ ความผันผวนในหุ้นเทคโนโลยี
    - แม้หุ้นของ Foxconn เพิ่มขึ้น 76% ในปี 2024 แต่ปีนี้ลดลง 17% อันเนื่องมาจากความกังวลในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/05/foxconn-reports-record-first-quarter-revenue
    Foxconn บริษัทผลิตอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นผู้ประกอบ iPhone รายหลักของ Apple ได้ประกาศรายได้สูงสุดในไตรมาสแรกของปี 2025 ด้วยตัวเลขมหาศาลกว่า 49.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (T$1.64 ล้านล้าน) ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 24.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินค้าด้าน AI และระบบคลาวด์ ✅ รายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ - รายได้ในเดือนมีนาคมทำลายสถิติด้วยการเติบโต 23.4% (T$552.1 พันล้าน) - กลุ่มผลิตภัณฑ์คลาวด์และเครือข่ายเติบโตโดดเด่น เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากตลาด AI ✅ การเจริญเติบโตในผลิตภัณฑ์ผู้บริโภคอัจฉริยะ - รายได้จาก iPhone และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ผู้บริโภคอื่น ๆ มีการเติบโตในระดับคงที่เมื่อเทียบกับปีก่อน ✅ ผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ - ประธานาธิบดี Donald Trump ได้กำหนดภาษีเพิ่มเติมสูงถึง 54% สำหรับสินค้าจากจีน และ 32% สำหรับสินค้าจากไต้หวัน แม้ Foxconn มีฐานการผลิตในหลายประเทศ แต่ยังคงได้รับผลกระทบในระดับหนึ่ง - โรงงานที่ใหญ่ที่สุดของ Foxconn ตั้งอยู่ในเมือง Zhengzhou ประเทศจีน ซึ่งเป็นฐานการผลิต iPhone ระดับโลก ✅ การคาดการณ์และคำเตือนของ Foxconn - Foxconn คาดว่ารายได้จะเติบโตขึ้นในไตรมาสที่สองนี้ แต่เตือนว่า สถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองโลก ยังมีความไม่แน่นอนที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ✅ ความผันผวนในหุ้นเทคโนโลยี - แม้หุ้นของ Foxconn เพิ่มขึ้น 76% ในปี 2024 แต่ปีนี้ลดลง 17% อันเนื่องมาจากความกังวลในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/05/foxconn-reports-record-first-quarter-revenue
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Foxconn reports record Q1 revenue, says it must closely watch global politics
    TAIPEI (Reuters) -Taiwan's Foxconn, the world's largest contract electronics maker, posted its highest first-quarter revenue ever on strong demand for artificial intelligence products but said it would need to closely watch global politics.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 406 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานการณ์ของสงครามการค้าโลกในปัจจุบันยังคงมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยมีทั้งแนวโน้มที่ดีขึ้นและความท้าทายที่ยังคงอยู่ ดังนี้

    ### 1. **แนวโน้มที่ดีขึ้น**
    - **การลดความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน**:
    แม้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะยังไม่สิ้นสุด แต่ทั้งสองฝ่ายเริ่มหันมาเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีเพิ่มเติม เช่น การยกเลิกภาษีบางส่วนในสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การประชุมระดับสูงระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศในช่วงปลายปี 2022-2023 ช่วยฟื้นฟูช่องทางการสื่อสาร แม้จะยังไม่มีการแก้ไขข้อพิพาทหลัก เช่น ปัญหาไต้หวันหรือการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง

    - **ความร่วมมือระดับภูมิภาค**:
    ความตกลงทางการค้าในรูปแบบภูมิภาคขยายตัว เช่น **RCEP** (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค) ในเอเชีย-แปซิฟิก และ **AfCFTA** (เขตการค้าเสรีทวีปแอฟริกา) ซึ่งช่วยกระตุ้นการค้าภายในภูมิภาค แทนการพึ่งพาตลาดโลกเพียงอย่างเดียว

    - **นโยบายการค้าที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม**:
    หลายประเทศเริ่มผนวกเป้าหมายสิ่งแวดล้อมเข้ากับนโยบายการค้า เช่น สหภาพยุโรป推行 **CBAM** (มาตรการปรับคาร์บอนชายแดน) เพื่อส่งเสริมการผลิตที่ยั่งยืน แม้อาจก่อความขัดแย้งใหม่ แต่ก็เป็นโอกาสในการสร้างมาตรฐานสากลร่วมกัน

    ---

    ### 2. **ความท้าทายที่ยังคงอยู่**
    - **การแข่งขันทางเทคโนโลยีและการแยกห่วงโซ่อุปทาน**:
    สหรัฐฯ ยังคงจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง (เช่น ชิปเซมิคอนดักเตอร์) ไปยังจีน ขณะที่จีนพยายามสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีของตนเอง (เช่น การพัฒนาชิปด้วยเทคโนโลยี 7 นาโนเมตรของ Huawei) ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลกแตกออกเป็น "สองขั้ว" (Tech Decoupling)

    - **ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์**:
    สงครามยูเครน-รัสเซียและความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ยังส่งผลต่อความมั่นคงด้านพลังงานและเส้นทางการค้า รวมถึงกระตุ้นให้ประเทศต่างๆ หันมาเก็บกักเสบียงอาหารและทรัพยากร стратеติกมากขึ้น

    - **ความอ่อนแอของระบบพหุภาคี**:
    องค์การการค้าโลก (WTO) ยังไม่สามารถปฏิรูปกลไกระงับข้อพิพาท (Dispute Settlement Body) ได้อย่างเต็มที่ ทำให้ขาดกลไกกลางในการจัดการความขัดแย้งทางการค้า

    ---

    ### 3. **ทิศทางในอนาคต**
    - **เศรษฐกิจโลกอาจแบ่งเป็น "บล็อก"**:
    การค้าโลกกำลังเคลื่อนไปสู่รูปแบบ "friend-shoring" (การผลิตในประเทศพันธมิตร) และ "near-shoring" (การผลิตในประเทศใกล้เคียง) เพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แต่เพิ่มความยืดหยุ่นให้ห่วงโซ่อุปทาน

    - **การค้าดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว**:
    การเติบโตของการค้าอิเล็กทรอนิกส์และมาตรการลดคาร์บอนจะเป็นตัวขับเคลื่อนใหม่ของระบบการค้าโลก แม้อาจก่อให้เกิดข้อพิพาทเรื่องกฎระเบียบระหว่างประเทศ

    ---

    ### สรุป
    สถานการณ์สงครามการค้าโลกมีทั้งพัฒนาการในทางที่ดี เช่น การเจรจาเพื่อลดความขัดแย้งและการขยายความร่วมมือระดับภูมิภาค แต่ก็ยังมีแรงกดดันจากความแข่งขันทางเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ และการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งอาจทำให้การค้าโลกไม่กลับสู่รูปแบบเดิมอีกต่อไป แต่ปรับตัวสู่ระบบที่ "แบ่งกลุ่มแต่เชื่อมโยง" มากขึ้นภายใต้ความไม่แน่นอนสูง
    สถานการณ์ของสงครามการค้าโลกในปัจจุบันยังคงมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยมีทั้งแนวโน้มที่ดีขึ้นและความท้าทายที่ยังคงอยู่ ดังนี้ ### 1. **แนวโน้มที่ดีขึ้น** - **การลดความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน**: แม้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะยังไม่สิ้นสุด แต่ทั้งสองฝ่ายเริ่มหันมาเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีเพิ่มเติม เช่น การยกเลิกภาษีบางส่วนในสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การประชุมระดับสูงระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศในช่วงปลายปี 2022-2023 ช่วยฟื้นฟูช่องทางการสื่อสาร แม้จะยังไม่มีการแก้ไขข้อพิพาทหลัก เช่น ปัญหาไต้หวันหรือการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง - **ความร่วมมือระดับภูมิภาค**: ความตกลงทางการค้าในรูปแบบภูมิภาคขยายตัว เช่น **RCEP** (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค) ในเอเชีย-แปซิฟิก และ **AfCFTA** (เขตการค้าเสรีทวีปแอฟริกา) ซึ่งช่วยกระตุ้นการค้าภายในภูมิภาค แทนการพึ่งพาตลาดโลกเพียงอย่างเดียว - **นโยบายการค้าที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม**: หลายประเทศเริ่มผนวกเป้าหมายสิ่งแวดล้อมเข้ากับนโยบายการค้า เช่น สหภาพยุโรป推行 **CBAM** (มาตรการปรับคาร์บอนชายแดน) เพื่อส่งเสริมการผลิตที่ยั่งยืน แม้อาจก่อความขัดแย้งใหม่ แต่ก็เป็นโอกาสในการสร้างมาตรฐานสากลร่วมกัน --- ### 2. **ความท้าทายที่ยังคงอยู่** - **การแข่งขันทางเทคโนโลยีและการแยกห่วงโซ่อุปทาน**: สหรัฐฯ ยังคงจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง (เช่น ชิปเซมิคอนดักเตอร์) ไปยังจีน ขณะที่จีนพยายามสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีของตนเอง (เช่น การพัฒนาชิปด้วยเทคโนโลยี 7 นาโนเมตรของ Huawei) ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลกแตกออกเป็น "สองขั้ว" (Tech Decoupling) - **ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์**: สงครามยูเครน-รัสเซียและความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ยังส่งผลต่อความมั่นคงด้านพลังงานและเส้นทางการค้า รวมถึงกระตุ้นให้ประเทศต่างๆ หันมาเก็บกักเสบียงอาหารและทรัพยากร стратеติกมากขึ้น - **ความอ่อนแอของระบบพหุภาคี**: องค์การการค้าโลก (WTO) ยังไม่สามารถปฏิรูปกลไกระงับข้อพิพาท (Dispute Settlement Body) ได้อย่างเต็มที่ ทำให้ขาดกลไกกลางในการจัดการความขัดแย้งทางการค้า --- ### 3. **ทิศทางในอนาคต** - **เศรษฐกิจโลกอาจแบ่งเป็น "บล็อก"**: การค้าโลกกำลังเคลื่อนไปสู่รูปแบบ "friend-shoring" (การผลิตในประเทศพันธมิตร) และ "near-shoring" (การผลิตในประเทศใกล้เคียง) เพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แต่เพิ่มความยืดหยุ่นให้ห่วงโซ่อุปทาน - **การค้าดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว**: การเติบโตของการค้าอิเล็กทรอนิกส์และมาตรการลดคาร์บอนจะเป็นตัวขับเคลื่อนใหม่ของระบบการค้าโลก แม้อาจก่อให้เกิดข้อพิพาทเรื่องกฎระเบียบระหว่างประเทศ --- ### สรุป สถานการณ์สงครามการค้าโลกมีทั้งพัฒนาการในทางที่ดี เช่น การเจรจาเพื่อลดความขัดแย้งและการขยายความร่วมมือระดับภูมิภาค แต่ก็ยังมีแรงกดดันจากความแข่งขันทางเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ และการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งอาจทำให้การค้าโลกไม่กลับสู่รูปแบบเดิมอีกต่อไป แต่ปรับตัวสู่ระบบที่ "แบ่งกลุ่มแต่เชื่อมโยง" มากขึ้นภายใต้ความไม่แน่นอนสูง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 680 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้างนอกอ่อนไหว! ข้างในอ่อนแอ! ‘เศรษฐกิจไทย’ : [Biz Talk]

    ‘ปีแห่งความท้าทาย 2568’ หลายสำนักวิจัย ทยอยปรับลดเป้าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย เพราะยังเผชิญหลายปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายการค้าโลก และปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน /แม้การขยายตัวปี68 จะเร่งขึ้นจากปี67 แต่ก็ยังต่ำศักยภาพ /ไม่ง่าย ที่จะเข็นจีดีพีปีนี้ ให้โตตามเป้ารัฐบาล 3.5%
    ข้างนอกอ่อนไหว! ข้างในอ่อนแอ! ‘เศรษฐกิจไทย’ : [Biz Talk] ‘ปีแห่งความท้าทาย 2568’ หลายสำนักวิจัย ทยอยปรับลดเป้าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย เพราะยังเผชิญหลายปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายการค้าโลก และปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน /แม้การขยายตัวปี68 จะเร่งขึ้นจากปี67 แต่ก็ยังต่ำศักยภาพ /ไม่ง่าย ที่จะเข็นจีดีพีปีนี้ ให้โตตามเป้ารัฐบาล 3.5%
    Sad
    Like
    Love
    Haha
    Angry
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1478 มุมมอง 38 0 รีวิว
  • ไม่เอกฉันท์ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ครั้งที่ 1/68 มีมติ 6 ต่อ 1 ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 2.25% เป็น 2.00 % เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ จากปัญหาเชิงโครงสร้าง ,ความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก ย้ำประเมินปัจจัยรอบด้าน ไม่ได้เป็นผลจากแรงกดดันทางการเมือง!
    ไม่เอกฉันท์ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ครั้งที่ 1/68 มีมติ 6 ต่อ 1 ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 2.25% เป็น 2.00 % เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ จากปัญหาเชิงโครงสร้าง ,ความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก ย้ำประเมินปัจจัยรอบด้าน ไม่ได้เป็นผลจากแรงกดดันทางการเมือง!
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1440 มุมมอง 65 0 รีวิว
  • กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 % เหลือ 2 % เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าที่ประมาณไว้ 2.9 % และช่วยลดการตึงตัวของภาวะการเงิน โดยไม่กระทบต่อความเสี่ยงด้านเสถียรภาพ พร้อมประเมินเศรษฐกิจลดลงเหลือ 2.5 % จากภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ รวมทั้งมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก

    นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 % จาก 2.25 % เป็น 2.00 % ต่อปี โดยให้มีผลทันที ทั้งนี้ 1 เสียง เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

    เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ 2.9 % จากภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ รวมทั้งมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก แม้ว่าเศรษฐกิจจะได้รับแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศและการท่องเที่ยว กรรมการส่วนใหญ่เห็นควรให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 % ต่อปีในการประชุมครั้งนี้ เพื่อให้ภาวะการเงินสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งรองรับความเสี่ยงด้านต่ำที่ชัดเจนขึ้น ขณะที่กรรมการ 1 ท่าน เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากให้น้ำหนักมากกว่ากับการรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินเพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นในระยะข้างหน้า

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000019048

    #MGROnline #คณะกรรมการนโยบายการเงิน #กนง.
    กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 % เหลือ 2 % เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าที่ประมาณไว้ 2.9 % และช่วยลดการตึงตัวของภาวะการเงิน โดยไม่กระทบต่อความเสี่ยงด้านเสถียรภาพ พร้อมประเมินเศรษฐกิจลดลงเหลือ 2.5 % จากภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ รวมทั้งมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก • นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 % จาก 2.25 % เป็น 2.00 % ต่อปี โดยให้มีผลทันที ทั้งนี้ 1 เสียง เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย • เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ 2.9 % จากภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ รวมทั้งมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก แม้ว่าเศรษฐกิจจะได้รับแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศและการท่องเที่ยว กรรมการส่วนใหญ่เห็นควรให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 % ต่อปีในการประชุมครั้งนี้ เพื่อให้ภาวะการเงินสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งรองรับความเสี่ยงด้านต่ำที่ชัดเจนขึ้น ขณะที่กรรมการ 1 ท่าน เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากให้น้ำหนักมากกว่ากับการรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินเพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นในระยะข้างหน้า • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000019048 • #MGROnline #คณะกรรมการนโยบายการเงิน #กนง.
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 636 มุมมอง 0 รีวิว
  • กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 % เหลือ 2 % เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าที่ประมาณไว้ 2.9 % และช่วยลดการตึงตัวของภาวะการเงิน โดยไม่กระทบต่อความเสี่ยงด้านเสถียรภาพ พร้อมประเมินเศรษฐกิจลดลงเหลือ 2.5 % จากภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ รวมทั้งมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000019048

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 % เหลือ 2 % เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าที่ประมาณไว้ 2.9 % และช่วยลดการตึงตัวของภาวะการเงิน โดยไม่กระทบต่อความเสี่ยงด้านเสถียรภาพ พร้อมประเมินเศรษฐกิจลดลงเหลือ 2.5 % จากภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ รวมทั้งมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000019048 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Wow
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1123 มุมมอง 0 รีวิว
  • MediaTek บริษัทชิปรายใหญ่จากไต้หวันกำลังดำเนินการประเมินผลกระทบจากการกำหนดอัตราภาษีของสหรัฐอเมริกา ทางบริษัทใช้การจำลองผลกระทบเหล่านี้เพื่อเตรียมความพร้อมต่อสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการค้าและนโยบายการค้าที่กำลังเปลี่ยนแปลง

    Rick Tsai ซีอีโอของ MediaTek กล่าวถึงความไม่แน่นอนของอัตราภาษีและเน้นว่าสถานการณ์ยังคงมีความซับซ้อน เขายังมั่นใจว่าผลกระทบในปี 2025 จะสามารถจัดการได้ แต่ก็ยอมรับว่าสถานการณ์นี้มีความซับซ้อนมาก

    หากสหรัฐกำหนดอัตราภาษีใหม่ MediaTek อาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นเมื่อส่งออกชิปไปยังตลาดอเมริกา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า โซ่อุปทาน และกำไรของบริษัท ทั้งนี้ MediaTek อาจต้องพิจารณาปรับเปลี่ยนโซ่อุปทานและกลยุทธ์การกำหนดราคาเพื่อลดความเสี่ยง

    ในขณะที่บริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายทางการค้า อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากการแข่งขันใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดขึ้นของ DeepSeek บริษัทสตาร์ทอัพจากจีนที่เสนอทางแก้ไขปัญหาปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำ ซึ่งทำให้หุ้นในตลาดเทคโนโลยีทั่วโลกตกลง

    นอกจากนี้ TSMC ผู้ผลิตชิปรายใหญ่จากไต้หวันอีกแห่งกำลังพิจารณาการปรับราคาการผลิตชิปเพิ่มขึ้นถึง 15% เพื่อชดเชยการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากอัตราภาษีสหรัฐฯ ต่อการนำเข้าจากจีน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/mediatek-is-conducting-impact-simulations-to-prepare-for-u-s-tariffs
    MediaTek บริษัทชิปรายใหญ่จากไต้หวันกำลังดำเนินการประเมินผลกระทบจากการกำหนดอัตราภาษีของสหรัฐอเมริกา ทางบริษัทใช้การจำลองผลกระทบเหล่านี้เพื่อเตรียมความพร้อมต่อสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการค้าและนโยบายการค้าที่กำลังเปลี่ยนแปลง Rick Tsai ซีอีโอของ MediaTek กล่าวถึงความไม่แน่นอนของอัตราภาษีและเน้นว่าสถานการณ์ยังคงมีความซับซ้อน เขายังมั่นใจว่าผลกระทบในปี 2025 จะสามารถจัดการได้ แต่ก็ยอมรับว่าสถานการณ์นี้มีความซับซ้อนมาก หากสหรัฐกำหนดอัตราภาษีใหม่ MediaTek อาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นเมื่อส่งออกชิปไปยังตลาดอเมริกา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า โซ่อุปทาน และกำไรของบริษัท ทั้งนี้ MediaTek อาจต้องพิจารณาปรับเปลี่ยนโซ่อุปทานและกลยุทธ์การกำหนดราคาเพื่อลดความเสี่ยง ในขณะที่บริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายทางการค้า อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากการแข่งขันใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดขึ้นของ DeepSeek บริษัทสตาร์ทอัพจากจีนที่เสนอทางแก้ไขปัญหาปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำ ซึ่งทำให้หุ้นในตลาดเทคโนโลยีทั่วโลกตกลง นอกจากนี้ TSMC ผู้ผลิตชิปรายใหญ่จากไต้หวันอีกแห่งกำลังพิจารณาการปรับราคาการผลิตชิปเพิ่มขึ้นถึง 15% เพื่อชดเชยการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากอัตราภาษีสหรัฐฯ ต่อการนำเข้าจากจีน https://www.tomshardware.com/tech-industry/mediatek-is-conducting-impact-simulations-to-prepare-for-u-s-tariffs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 383 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Trump ได้ประกาศแผนการในการเข้าครอบครองตำแหน่งที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' (Gulf of Mexico) เป็น 'อ่าวอเมริกา' (Gulf of America), การประกาศจะเข้ายึดคืนคลองปานามา..., การประกาศจะเข้ายึดครองเกาะกรีนแลนด์ และการเรียกร้องให้ประเทศแคนาดาลดสถานะตนเองลงมาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา หรือ แม้แต่การประกาศโครงการส่งนักบินอวกาศสหรัฐฯ ไปปักธงชาติสหรัฐฯ บนดาวอังคาร"
    .
    "ในมุมมองทางภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งที่ Trump พยายามจะทำให้เกิดขึ้นอีกครั้งคือการสร้างจักรวรรดินิยมสหรัฐอเมริกาที่มีการเชื่อมโยงสองมหาสมุทรเป็นแกนกลางตามทฤษฎีสมุททานุภาพ (Sea Power) ซึ่งมีใจความสำคัญคือ 'ประเทศที่จะเป็นมหาอำนาจต้องสามารถควบคุมทะเลและมหาสมุทรได้ ดังนั้นการควบคุม Oceans Gateways ซึ่งเชื่อมสองมหาสมุทรเข้าด้วยกันจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และการจะทำสิ่งนั้นได้ความสำคัญอันดับแรกคือการขยายแสนยานุภาพให้กับกองทัพเรือ'”
    .
    "แนวคิดสมุททานุภาพได้รับการนำเสนอโดยอัลเฟรด ธาเยอร์ มาฮาน (Alfred Thayer Mahan) ผ่านการตีพิมพ์หนังสือ 'The Influence of Sea Power upon History 1660-1783' ในปี 1890 ซึ่งทำให้ Mahan ได้รับการขนานนามว่า 'นักยุทธศาสตร์อเมริกันที่มีความสำคัญมากที่สุดในศตวรรษที่ 19' เพราะในที่สุดทฤษฎีสมุททานุภาพก็กลายเป็นยุทธศาสตร์หลักของวิลเลียม แมกคินลีย์ (William McKinley) ประธานาธิบดีคนที่ 25 ของสหรัฐฯ ที่ดำรงตำแหน่งในช่วงปี 1897-1901"
    .
    "McKinley คือประธานาธิบดีที่นำพาสหรัฐฯ ขึ้นสู่ความเป็นจักรวรรดินิยมโดยการเข้ายึดครอง และ/หรือรับการส่งมอบดินแดนอาณานิคมจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นฮาวาย, กวม, ปวยร์โตรีโก, ฟิลิปปินส์ หรือแม้แต่คิวบา ที่แม้จะได้รับเอกราชจากสเปนแต่ก็ต้องยอมรับสถานะการเป็นดินแดนในอารักขาของสหรัฐฯ"
    .
    "McKinley ถือเป็นบุคคลสำคัญที่วางแนวนโยบายการขยายแสนยานุภาพของกองทัพเรือสหรัฐฯ ขนานใหญ่ การวางตำแหน่งทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์เพื่อสร้างฐานทัพเรือไม่ใช่แค่ตามพรมแดนชายฝั่งสหรัฐฯ เท่านั้น หากแต่เป็นการปักหมุดทั่วทั้งโลก ทั้งยังริเริ่มแนวคิดในการเชื่อมสองฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกสู่มหาสมุทรแอนแลนติกผ่านการขุดคลองปานามา โดยการวางแผนทางการเงินเพื่อจัดสรรเงินทุนมหาศาลสำหรับสหรัฐฯ ในการขยายแสนยานุภาพ และการจ่ายเพื่อสนับสนุนความริเริ่มเหล่านี้ก็ล้วนมาจากการที่ McKinley ใช้นโยบายการค้าแบบปกป้องคุ้มกัน สร้างกำแพงภาษี"
    .
    "นั่นทำให้ McKinley คนนี้กลายเป็นไอดอลหรือบุคคลต้นแบบที่ Trump ได้กล่าวถึงในหลายวาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสุนทรพจน์หลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่งที่เขาชื่นชม McKinley อย่างยิ่งว่าเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่"
    .
    ปิติ ศรีแสงนาม เปิดมุมมองยุทธศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์โลกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ที่ได้แรงบันดาลใจจากอดีตประธานาธิบดี William McKinley
    .
    อ่านได้ที่ https://www.the101.world/amidst-the-two-oceans-1/
    .
    ภาพประกอบ: พิรุฬพร นามมูลน้อย
    "Trump ได้ประกาศแผนการในการเข้าครอบครองตำแหน่งที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' (Gulf of Mexico) เป็น 'อ่าวอเมริกา' (Gulf of America), การประกาศจะเข้ายึดคืนคลองปานามา..., การประกาศจะเข้ายึดครองเกาะกรีนแลนด์ และการเรียกร้องให้ประเทศแคนาดาลดสถานะตนเองลงมาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา หรือ แม้แต่การประกาศโครงการส่งนักบินอวกาศสหรัฐฯ ไปปักธงชาติสหรัฐฯ บนดาวอังคาร" . "ในมุมมองทางภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งที่ Trump พยายามจะทำให้เกิดขึ้นอีกครั้งคือการสร้างจักรวรรดินิยมสหรัฐอเมริกาที่มีการเชื่อมโยงสองมหาสมุทรเป็นแกนกลางตามทฤษฎีสมุททานุภาพ (Sea Power) ซึ่งมีใจความสำคัญคือ 'ประเทศที่จะเป็นมหาอำนาจต้องสามารถควบคุมทะเลและมหาสมุทรได้ ดังนั้นการควบคุม Oceans Gateways ซึ่งเชื่อมสองมหาสมุทรเข้าด้วยกันจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และการจะทำสิ่งนั้นได้ความสำคัญอันดับแรกคือการขยายแสนยานุภาพให้กับกองทัพเรือ'” . "แนวคิดสมุททานุภาพได้รับการนำเสนอโดยอัลเฟรด ธาเยอร์ มาฮาน (Alfred Thayer Mahan) ผ่านการตีพิมพ์หนังสือ 'The Influence of Sea Power upon History 1660-1783' ในปี 1890 ซึ่งทำให้ Mahan ได้รับการขนานนามว่า 'นักยุทธศาสตร์อเมริกันที่มีความสำคัญมากที่สุดในศตวรรษที่ 19' เพราะในที่สุดทฤษฎีสมุททานุภาพก็กลายเป็นยุทธศาสตร์หลักของวิลเลียม แมกคินลีย์ (William McKinley) ประธานาธิบดีคนที่ 25 ของสหรัฐฯ ที่ดำรงตำแหน่งในช่วงปี 1897-1901" . "McKinley คือประธานาธิบดีที่นำพาสหรัฐฯ ขึ้นสู่ความเป็นจักรวรรดินิยมโดยการเข้ายึดครอง และ/หรือรับการส่งมอบดินแดนอาณานิคมจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นฮาวาย, กวม, ปวยร์โตรีโก, ฟิลิปปินส์ หรือแม้แต่คิวบา ที่แม้จะได้รับเอกราชจากสเปนแต่ก็ต้องยอมรับสถานะการเป็นดินแดนในอารักขาของสหรัฐฯ" . "McKinley ถือเป็นบุคคลสำคัญที่วางแนวนโยบายการขยายแสนยานุภาพของกองทัพเรือสหรัฐฯ ขนานใหญ่ การวางตำแหน่งทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์เพื่อสร้างฐานทัพเรือไม่ใช่แค่ตามพรมแดนชายฝั่งสหรัฐฯ เท่านั้น หากแต่เป็นการปักหมุดทั่วทั้งโลก ทั้งยังริเริ่มแนวคิดในการเชื่อมสองฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกสู่มหาสมุทรแอนแลนติกผ่านการขุดคลองปานามา โดยการวางแผนทางการเงินเพื่อจัดสรรเงินทุนมหาศาลสำหรับสหรัฐฯ ในการขยายแสนยานุภาพ และการจ่ายเพื่อสนับสนุนความริเริ่มเหล่านี้ก็ล้วนมาจากการที่ McKinley ใช้นโยบายการค้าแบบปกป้องคุ้มกัน สร้างกำแพงภาษี" . "นั่นทำให้ McKinley คนนี้กลายเป็นไอดอลหรือบุคคลต้นแบบที่ Trump ได้กล่าวถึงในหลายวาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสุนทรพจน์หลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่งที่เขาชื่นชม McKinley อย่างยิ่งว่าเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่" . ปิติ ศรีแสงนาม เปิดมุมมองยุทธศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์โลกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ที่ได้แรงบันดาลใจจากอดีตประธานาธิบดี William McKinley . อ่านได้ที่ https://www.the101.world/amidst-the-two-oceans-1/ . ภาพประกอบ: พิรุฬพร นามมูลน้อย
    WWW.THE101.WORLD
    Amidst the Two Oceans ตอนที่ 1: ว่าด้วยบุคคลต้นแบบของ Donald Trump
    ปิติ ศรีแสงนาม เปิดมุมมองยุทธศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์โลกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ที่ได้แรงบันดาลใจจากอดีตประธานาธิบดีคนหนึ่ง
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 829 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ลงนามคำสั่งรีดภาษีศุลากรสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนเมื่อวันเสาร์ (1 ก.พ.) และถูกทั้งสามชาติประกาศตอบโต้ทันควัน ขณะที่พวกนักวิเคราะห์แสดงความกังวล มาตรการครั้งนี้มีแนวโน้มทำให้อัตราเงินเฟ้อของอเมริกายิ่งเลวร้ายลง ทำลายความไว้ใจของประชาชนจำนวนมากที่โหวตให้ทรัมป์จากการหาเสียงจะทำให้ราคาสินค้าถูกลง รวมทั้งยังมีความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอีกด้วย
    .
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์บนโซเชียลมีเดียของตนในวันเสาร์ (1) ว่า มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรเช่นนี้มีความจำเป็นเพื่อปกป้องคนอเมริกัน และกดดันให้แคนาดา เม็กซิโก ตลอดจนจีน ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการควบคุมการผลิตและการส่งออกสารเสพติด “เฟนทานิล” ผิดกฎหมาย ซึ่งมีปลายทางอยู่ที่สหรัฐฯ รวมทั้งเป็นการเพิ่มแรงบีบให้แคนาดาและเม็กซิโกลดจำนวนผู้อาศัยดินแดนของพวกเขาลักลอบเดินทางเข้าสู่อเมริกา
    .
    ในคำสั่งฝ่ายบริหารที่เขาลงนามครั้งนี้ ซึ่งทรัมป์อ้างอำนาจตามรัฐบัญญัติให้อำนาจทางเศรษฐกิจแก่ประธานาธิบดีในกรณีฉุกเฉินระหว่างประเทศ กำหนดให้จัดเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้าทั้งหมดจากจีนสูงขึ้นอีก 10% ขณะที่สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะถูกเก็บเพิ่มในอัตรา 25% ยกเว้นเฉพาะพวกสินค้าพลังงานที่นำเข้าจากแคนาดา ซึ่งรวมถึงน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้า ให้ขึ้นภาษี 10%
    .
    อย่างไรก็ตาม มีเสียงแสดงความกังวลขึ้นในสหรัฐฯ ว่า หากบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรเป็นเวลานาน อาจทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อของอเมริกาเลวร้ายลง ซึ่งคุกคามความไว้วางใจของผู้มีสิทธิออกเสียงจำนวนมากที่ลงคะแนนเลือกทรัมป์เพื่อให้จัดการทำให้ราคาของชำ น้ำมันเบนซิน บ้าน รถ และสินค้าอื่นๆ ถูกลงตามที่หาเสียงไว้ ไม่เพียงเท่านั้นยังอาจเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมอีกด้วย
    .
    นอกจากนั้น คำสั่งของทรัมป์ครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงการให้สหรัฐฯ ใช้กลไกขึ้นภาษีขึ้นไปอีกเพื่อเล่นงานการตอบโต้เอาคืนของประเทศอื่นๆ จึงทำให้เห็นกันว่าเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดการสะดุดติดขัดทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงมากขึ้น
    .
    ยิ่งกว่านั้น ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ยังส่งสัญญาณว่า คำสั่งในวันเสาร์เป็นแค่หมัดแรกในการจัดการความขัดแย้งทางการค้า แถมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขายังประกาศว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรเอากับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปด้วย รวมทั้งเพิ่มภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจำพวกเซมิคอนดักเตอร์ เหล็กกล้า อะลูมิเนียม น้ำมัน และก๊าซ
    .
    หลังประกาศของทรัมป์ ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดว์ ของแคนาดา แถลงในวันเสาร์ว่า การดำเนินการเช่นนี้ของทำเนียบขาวทำให้สองประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านกันและมีนโยบายไปในแนวทางเดียวกันมาแต่ไหนแต่ไร เกิดความแตกแยกแทนที่จะสามัคคีกัน พร้อมประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรอัตรา 25% กับสินค้านำเข้าจากอเมริกามูลค่า 155,000 ล้านดอลลาร์ ที่รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และผลไม้ ตลอดจนถึงเรียกร้องให้คนแคนาดาใช้สินค้าและบริการในประเทศแทนที่จะซื้อของอเมริกา
    .
    ทรูโดว์เสริมว่า คนแคนาดาจำนวนมากรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง เนื่องจากที่ผ่านมา กองกำลังแคนาดาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับอเมริกาในอัฟกานิสถาน รวมทั้งช่วยเหลือสหรัฐฯ ในการจัดการวิกฤตต่างๆ ตั้งแต่ไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย จนถึงเฮอร์ริเคนแคทรินา
    .
    ขณะที่ประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบาม ของเม็กซิโก โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ปฏิเสธการใส่ร้ายของทำเนียบขาวที่ว่า รัฐบาลเม็กซิโกร่วมมือกับองค์การอาชญากรรม รวมทั้งคัดค้านเจตนารมณ์ของสหรัฐฯ ในการแทรกแซงดินแดนเม็กซิโก ก่อนสำทับว่า ได้สั่งให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจดำเนินการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเม็กซิโก
    .
    ผู้นำเม็กซิโกยังเหน็บทรัมป์ว่า ถ้ารัฐบาลและหน่วยงานของอเมริกาต้องการจัดการปัญหาการใช้เฟนทานิลอย่างจริงจังแล้ว ก็ควรต่อสู้กับการขายยาตามท้องถนนในเมืองใหญ่ๆ ของอเมริกา รวมถึงการฟอกเงิน
    .
    ด้านกระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุในวันอาทิตย์ (2) ว่า รัฐบาลจีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านความเคลื่อนไหวนี้ รวมทั้งจะดำเนินมาตรการตอบโต้ที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศ และสำทับว่า จีนเริ่มควบคุมยาที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลในรูปสารที่ต้องควบคุมตั้งแต่ปี 2019 และร่วมกับอเมริกาในการต่อต้านสารเสพติด พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ แก้ไขการดำเนินการที่ผิดพลาดครั้งนี้
    .
    นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์จีนยังเตรียมฟ้องร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับแนวทางปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ของอเมริกา
    .
    มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร (4 ) ท่ามกลางความคิดเห็นที่ว่ามันอาจบ่อนทำลายการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยงานวิเคราะห์ชิ้นใหม่ของห้องปฏิบัติการงบประมาณ มหาวิทยาลัยเยล ระบุว่า มาตรการนี้อาจส่งผลให้ชาวอเมริกันแต่ละครัวเรือนสูญเสียรายได้เฉลี่ย 1,170 ดอลลาร์ เศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อสูงขึ้น และสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงหากประเทศอื่นๆ ตอบโต้
    .
    วุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์ จากพรรคเดโมแครตก็ เตือนว่า มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์อาจทำให้ค่าครองชีพคนอเมริกันพุ่งขึ้น
    .
    เกรเกอรี ดาโก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ อีวาย ชี้ว่า ต้นทุนสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นจะบ่อนทำลายการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนของภาคธุรกิจ และยังคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 0.7% ในไตรมาสแรกก่อนลดลงอย่างช้าๆ นอกจากนั้นนโยบายการค้าที่ไร้ความแน่นอนมากขึ้นจะทำให้ตลาดการเงินผันผวนหนักขึ้น
    .
    อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้สนับสนุนทรัมป์พยายามผ่อนคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ โดยบางคนบอกว่า แผนลดภาษีและผ่อนคลายกฎระเบียบที่ทรัมป์กำลังจะนำมาใช้จะช่วยกระตุ้นการเติบโตเป็นการชดเชย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010777
    ..................
    Sondhi X
    ทรัมป์ลงนามคำสั่งรีดภาษีศุลากรสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนเมื่อวันเสาร์ (1 ก.พ.) และถูกทั้งสามชาติประกาศตอบโต้ทันควัน ขณะที่พวกนักวิเคราะห์แสดงความกังวล มาตรการครั้งนี้มีแนวโน้มทำให้อัตราเงินเฟ้อของอเมริกายิ่งเลวร้ายลง ทำลายความไว้ใจของประชาชนจำนวนมากที่โหวตให้ทรัมป์จากการหาเสียงจะทำให้ราคาสินค้าถูกลง รวมทั้งยังมีความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอีกด้วย . ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์บนโซเชียลมีเดียของตนในวันเสาร์ (1) ว่า มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรเช่นนี้มีความจำเป็นเพื่อปกป้องคนอเมริกัน และกดดันให้แคนาดา เม็กซิโก ตลอดจนจีน ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการควบคุมการผลิตและการส่งออกสารเสพติด “เฟนทานิล” ผิดกฎหมาย ซึ่งมีปลายทางอยู่ที่สหรัฐฯ รวมทั้งเป็นการเพิ่มแรงบีบให้แคนาดาและเม็กซิโกลดจำนวนผู้อาศัยดินแดนของพวกเขาลักลอบเดินทางเข้าสู่อเมริกา . ในคำสั่งฝ่ายบริหารที่เขาลงนามครั้งนี้ ซึ่งทรัมป์อ้างอำนาจตามรัฐบัญญัติให้อำนาจทางเศรษฐกิจแก่ประธานาธิบดีในกรณีฉุกเฉินระหว่างประเทศ กำหนดให้จัดเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้าทั้งหมดจากจีนสูงขึ้นอีก 10% ขณะที่สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะถูกเก็บเพิ่มในอัตรา 25% ยกเว้นเฉพาะพวกสินค้าพลังงานที่นำเข้าจากแคนาดา ซึ่งรวมถึงน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้า ให้ขึ้นภาษี 10% . อย่างไรก็ตาม มีเสียงแสดงความกังวลขึ้นในสหรัฐฯ ว่า หากบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรเป็นเวลานาน อาจทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อของอเมริกาเลวร้ายลง ซึ่งคุกคามความไว้วางใจของผู้มีสิทธิออกเสียงจำนวนมากที่ลงคะแนนเลือกทรัมป์เพื่อให้จัดการทำให้ราคาของชำ น้ำมันเบนซิน บ้าน รถ และสินค้าอื่นๆ ถูกลงตามที่หาเสียงไว้ ไม่เพียงเท่านั้นยังอาจเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมอีกด้วย . นอกจากนั้น คำสั่งของทรัมป์ครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงการให้สหรัฐฯ ใช้กลไกขึ้นภาษีขึ้นไปอีกเพื่อเล่นงานการตอบโต้เอาคืนของประเทศอื่นๆ จึงทำให้เห็นกันว่าเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดการสะดุดติดขัดทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงมากขึ้น . ยิ่งกว่านั้น ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ยังส่งสัญญาณว่า คำสั่งในวันเสาร์เป็นแค่หมัดแรกในการจัดการความขัดแย้งทางการค้า แถมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขายังประกาศว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรเอากับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปด้วย รวมทั้งเพิ่มภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจำพวกเซมิคอนดักเตอร์ เหล็กกล้า อะลูมิเนียม น้ำมัน และก๊าซ . หลังประกาศของทรัมป์ ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดว์ ของแคนาดา แถลงในวันเสาร์ว่า การดำเนินการเช่นนี้ของทำเนียบขาวทำให้สองประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านกันและมีนโยบายไปในแนวทางเดียวกันมาแต่ไหนแต่ไร เกิดความแตกแยกแทนที่จะสามัคคีกัน พร้อมประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรอัตรา 25% กับสินค้านำเข้าจากอเมริกามูลค่า 155,000 ล้านดอลลาร์ ที่รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และผลไม้ ตลอดจนถึงเรียกร้องให้คนแคนาดาใช้สินค้าและบริการในประเทศแทนที่จะซื้อของอเมริกา . ทรูโดว์เสริมว่า คนแคนาดาจำนวนมากรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง เนื่องจากที่ผ่านมา กองกำลังแคนาดาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับอเมริกาในอัฟกานิสถาน รวมทั้งช่วยเหลือสหรัฐฯ ในการจัดการวิกฤตต่างๆ ตั้งแต่ไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย จนถึงเฮอร์ริเคนแคทรินา . ขณะที่ประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบาม ของเม็กซิโก โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ปฏิเสธการใส่ร้ายของทำเนียบขาวที่ว่า รัฐบาลเม็กซิโกร่วมมือกับองค์การอาชญากรรม รวมทั้งคัดค้านเจตนารมณ์ของสหรัฐฯ ในการแทรกแซงดินแดนเม็กซิโก ก่อนสำทับว่า ได้สั่งให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจดำเนินการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเม็กซิโก . ผู้นำเม็กซิโกยังเหน็บทรัมป์ว่า ถ้ารัฐบาลและหน่วยงานของอเมริกาต้องการจัดการปัญหาการใช้เฟนทานิลอย่างจริงจังแล้ว ก็ควรต่อสู้กับการขายยาตามท้องถนนในเมืองใหญ่ๆ ของอเมริกา รวมถึงการฟอกเงิน . ด้านกระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุในวันอาทิตย์ (2) ว่า รัฐบาลจีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านความเคลื่อนไหวนี้ รวมทั้งจะดำเนินมาตรการตอบโต้ที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศ และสำทับว่า จีนเริ่มควบคุมยาที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลในรูปสารที่ต้องควบคุมตั้งแต่ปี 2019 และร่วมกับอเมริกาในการต่อต้านสารเสพติด พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ แก้ไขการดำเนินการที่ผิดพลาดครั้งนี้ . นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์จีนยังเตรียมฟ้องร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับแนวทางปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ของอเมริกา . มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร (4 ) ท่ามกลางความคิดเห็นที่ว่ามันอาจบ่อนทำลายการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยงานวิเคราะห์ชิ้นใหม่ของห้องปฏิบัติการงบประมาณ มหาวิทยาลัยเยล ระบุว่า มาตรการนี้อาจส่งผลให้ชาวอเมริกันแต่ละครัวเรือนสูญเสียรายได้เฉลี่ย 1,170 ดอลลาร์ เศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อสูงขึ้น และสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงหากประเทศอื่นๆ ตอบโต้ . วุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์ จากพรรคเดโมแครตก็ เตือนว่า มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์อาจทำให้ค่าครองชีพคนอเมริกันพุ่งขึ้น . เกรเกอรี ดาโก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ อีวาย ชี้ว่า ต้นทุนสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นจะบ่อนทำลายการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนของภาคธุรกิจ และยังคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 0.7% ในไตรมาสแรกก่อนลดลงอย่างช้าๆ นอกจากนั้นนโยบายการค้าที่ไร้ความแน่นอนมากขึ้นจะทำให้ตลาดการเงินผันผวนหนักขึ้น . อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้สนับสนุนทรัมป์พยายามผ่อนคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ โดยบางคนบอกว่า แผนลดภาษีและผ่อนคลายกฎระเบียบที่ทรัมป์กำลังจะนำมาใช้จะช่วยกระตุ้นการเติบโตเป็นการชดเชย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010777 .................. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1874 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามยกเลิกคำสั่งไบเดนแล้ว 78 ฉบับ เผยเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าแคนาดา-เม็กซิโก 1 กุมภาพันธ์นี้

    บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานความเคลื่อนไหววันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หลังเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 ว่า ทรัมป์ยังดำเนินแผนการอันทะเยอทะยานของเขาต่อไป โดยลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก

    บลูมเบิร์กระบุว่า ณ เวลาประมาณ 19.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ (ช้ากว่าไทย 12 ชั่วโมง) โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งในนั้นเป็นการเพิกถอนคำสั่งหรือแผนริเริ่มต่าง ๆ ในยุคของประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) ถึง 78 ฉบับ ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากที่สนามกีฬาแคปิตอลวัน (Capital One Arena)

    บรรดาคำสั่งที่ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งของไบเดนนั้น รวมถึงการถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement), คำสั่งให้ทุกกระทรวงจัดการกับภาวะเงินเฟ้อ, การดำเนินการเรียกพนักงานของรัฐบาลกลางกลับเข้าทำงาน และคำสั่งคืนเสรีภาพในการพูดและป้องกันไม่ให้รัฐบาลเซ็นเซอร์เสรีภาพในการพูดในอนาคต

    ต่อจากนั้นทรัมป์ย้ายไปที่ห้องทำงานรูปไข่ (The Oval Office) ในทำเนียบขาว แล้วลงนามคำสั่งต่อไป ซึ่งคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับแรกที่ทรัมป์ลงนามในห้องทำงานรูปไข่ คือการอภัยโทษให้กับผู้คนจำนวน 1,500 คน ที่ได้รับโทษจากการปิดล้อมอาคารรัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021

    จากนั้นในเวลาประมาณ 19.50 น. บลูมเบิร์กรายงานว่า ทรัมป์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามถึงเรื่องภาษีศุลกากรว่า “เราคิดอัตราภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะอยู่ที่ 25% ผมคิดว่าเราจะดำเนินการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์”

    ในเวลาเดียวกัน ทรัมป์กล่าวถึงจีนว่า จะประชุมและโทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ของจีน

    นอกจากนั้น ทรัมป์กล่าวว่าประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ต้องใช้จ่ายงบประมาณ 5% ของจีดีพี สำหรับการป้องกันประเทศ

    ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ทำเนียบขาว (The White House) หรือสำนักงานประธานาธิบดีสหหรัฐ พบว่า ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมากที่จะส่งผลกระทบต่อต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น

    -ถอนสหรัฐออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ยุติรายจ่ายที่เป็นภาระและไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการเจรจาข้อตกลงว่าด้วยโรคระบาด (Pandemic Agreement) และการแปรญัตติกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations)

    -ประกาศใช้นโยบายการค้าที่ให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก (America First Trade Policy) หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องกำหนดนโยบายการค้าที่ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ แก้ไขการค้าที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล โดยใช้มาตรการที่เหมาะสม อย่างเช่น ภาษีศุลกากร

    -ปรับโครงสร้างโครงการรับผู้ลี้ภัยของสหรัฐ (USRAP) ใหม่ และระงับการรับผู้ลี้ภัยผ่าน USRAP จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าการเข้าสู่สหรัฐอเมริกาของผู้ลี้ภัยจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ

    -ยกเลิกการให้สถานะพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด เด็กที่เกิดในสหรัฐอเมริกาแต่เกิดจากพ่อและแม่ที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน จะไม่ได้สถานะพลเมืองโดยกำเนิดอีกต่อไป

    -เพิ่มการรักษาความปลอดภัยชายแดน โดยสร้างกำแพงและสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ที่มีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่และการใช้เทคโนโลยี เพื่อขัดขวางและป้องกันการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย และดำเนินการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยมีกระบวนการคุมขังระหว่างรอส่งตัวออกจากประเทศ

    -ลดการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ โดยจะหยุดให้ความช่วยเหลือต่างประเทศที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐ 90 วันเพื่อประเมินประสิทธิภาพโครงการและความสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐว่าควรได้รับการช่วยเหลือต่อไปหรือไม่

    ​ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
    โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามยกเลิกคำสั่งไบเดนแล้ว 78 ฉบับ เผยเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าแคนาดา-เม็กซิโก 1 กุมภาพันธ์นี้ บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานความเคลื่อนไหววันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หลังเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 ว่า ทรัมป์ยังดำเนินแผนการอันทะเยอทะยานของเขาต่อไป โดยลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก บลูมเบิร์กระบุว่า ณ เวลาประมาณ 19.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ (ช้ากว่าไทย 12 ชั่วโมง) โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งในนั้นเป็นการเพิกถอนคำสั่งหรือแผนริเริ่มต่าง ๆ ในยุคของประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) ถึง 78 ฉบับ ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากที่สนามกีฬาแคปิตอลวัน (Capital One Arena) บรรดาคำสั่งที่ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งของไบเดนนั้น รวมถึงการถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement), คำสั่งให้ทุกกระทรวงจัดการกับภาวะเงินเฟ้อ, การดำเนินการเรียกพนักงานของรัฐบาลกลางกลับเข้าทำงาน และคำสั่งคืนเสรีภาพในการพูดและป้องกันไม่ให้รัฐบาลเซ็นเซอร์เสรีภาพในการพูดในอนาคต ต่อจากนั้นทรัมป์ย้ายไปที่ห้องทำงานรูปไข่ (The Oval Office) ในทำเนียบขาว แล้วลงนามคำสั่งต่อไป ซึ่งคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับแรกที่ทรัมป์ลงนามในห้องทำงานรูปไข่ คือการอภัยโทษให้กับผู้คนจำนวน 1,500 คน ที่ได้รับโทษจากการปิดล้อมอาคารรัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 จากนั้นในเวลาประมาณ 19.50 น. บลูมเบิร์กรายงานว่า ทรัมป์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามถึงเรื่องภาษีศุลกากรว่า “เราคิดอัตราภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะอยู่ที่ 25% ผมคิดว่าเราจะดำเนินการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์” ในเวลาเดียวกัน ทรัมป์กล่าวถึงจีนว่า จะประชุมและโทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ของจีน นอกจากนั้น ทรัมป์กล่าวว่าประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ต้องใช้จ่ายงบประมาณ 5% ของจีดีพี สำหรับการป้องกันประเทศ ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ทำเนียบขาว (The White House) หรือสำนักงานประธานาธิบดีสหหรัฐ พบว่า ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมากที่จะส่งผลกระทบต่อต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น -ถอนสหรัฐออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ยุติรายจ่ายที่เป็นภาระและไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการเจรจาข้อตกลงว่าด้วยโรคระบาด (Pandemic Agreement) และการแปรญัตติกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations) -ประกาศใช้นโยบายการค้าที่ให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก (America First Trade Policy) หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องกำหนดนโยบายการค้าที่ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ แก้ไขการค้าที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล โดยใช้มาตรการที่เหมาะสม อย่างเช่น ภาษีศุลกากร -ปรับโครงสร้างโครงการรับผู้ลี้ภัยของสหรัฐ (USRAP) ใหม่ และระงับการรับผู้ลี้ภัยผ่าน USRAP จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าการเข้าสู่สหรัฐอเมริกาของผู้ลี้ภัยจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ -ยกเลิกการให้สถานะพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด เด็กที่เกิดในสหรัฐอเมริกาแต่เกิดจากพ่อและแม่ที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน จะไม่ได้สถานะพลเมืองโดยกำเนิดอีกต่อไป -เพิ่มการรักษาความปลอดภัยชายแดน โดยสร้างกำแพงและสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ที่มีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่และการใช้เทคโนโลยี เพื่อขัดขวางและป้องกันการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย และดำเนินการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยมีกระบวนการคุมขังระหว่างรอส่งตัวออกจากประเทศ -ลดการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ โดยจะหยุดให้ความช่วยเหลือต่างประเทศที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐ 90 วันเพื่อประเมินประสิทธิภาพโครงการและความสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐว่าควรได้รับการช่วยเหลือต่อไปหรือไม่ ​ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 705 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ กำชัยชนะเหนือ กมลา แฮร์ริส อย่างง่ายดายและเด็ดขาดเกินคาดหมายในวันพุธ (6 พ.ย.) หลังกวาดคะแนนจากรัฐสมรภูมิสำคัญ และได้กลับสู่ทำเนียบขาวสมัยที่สองที่มีแนวโน้มสร้างแรงกระเพื่อมทั่วโลก นอกจากนั้น พรรครีพับลิกันของเขายังสามารถชิงอำนาจการควบคุมวุฒิสภาจากเดโมแครตได้สำเร็จ
    .
    ถึงแม้ผลสำรวจจากหลายสำนักก่อนหน้าการเลือกตั้งซึ่งจัดขึ้นในวันอังคาร (5) ต่างระบุว่า การแข่งขันครั้งนี้จะคู่คี่สูสีกันมากและอาจต้องรอนานหลายวันกว่าจะรู้ผล แต่กลายเป็นว่า พวกสื่อยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ สามารถประกาศอย่างเป็นเสียงเอกฉันท์ชนิดไม่มีเจ้าไหนแตกแถวตั้งแต่ในวันพุธ (6) ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ วัย 78 ปี เป็นผู้ชนะ หลังจากอดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้สามารถกวาดคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) เกิน 270 คะแนนซึ่งเป็นเกณฑ์สำหรับผู้ชนะ และได้เป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47
    .
    วิสคอนซิน ซึ่งเป็น 1 ใน 7 รัฐสมรภูมิที่ผู้ออกเสียงไม่ได้แสดงความนิยมในผู้สมัครคนไหนหรือพรรคใหญ่พรรคใดอย่างชัดเจน จึงถูกมองว่าจะเป็นตัวชี้ขาดผู้มีชัยในการเลือกตั้งคราวนี้ ได้กลายเป็นรัฐตัดสินไปจริงๆ โดยหลังจากฟ็อกซ์นิวส์ เป็นสื่อยักษ์ใหญ่เจ้าแรกที่คาดการณ์ว่าทรัมป์ชนะในรัฐนี้ แล้วจึงประกาศว่าเขาได้เสียงคณะผู้เลือกตั้งเกิน 270 เสียงและเป็นผู้ชนะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไปแล้ว ถัดจากนั้นอีกหลายชั่วโมงต่อมา สื่อยักษ์ใหญ่อื่นๆ ได้แก่ เอบีซี ซีบีเอส เอ็นบีซี ซีเอ็นเอ็น เอพี ก็เดินมาในรอยทางเดียวกัน กล่าวคือ ทยอยประกาศคาดการณ์ว่าทรัมป์ได้วิสคอนซินซึ่งมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 10 เสียงไป และทำให้เป็นผู้ชนะโดยรวม ถึงแม้ในทางเป็นจริงแล้วยังมีอีกหลายรัฐที่นับคะแนนยังไม่ทันเสร็จสิ้นก็ตามที
    .
    ไม่เพียงชนะด้วยเสียงคณะผู้เลือกตั้ง ในครั้งนี้ทรัมป์ยังได้คะแนนป็อปปูลาร์โหวต หรือเสียงโหวตจากผู้ออกเสียงทั่วประเทศ นำหน้าแฮร์ริสถึงประมาณ 5 ล้านคะแนน แตกต่างจากตอนที่เขาชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสมัยแรกในปี 2016 ซึ่งเขามีชัยด้านเสียงคณะผู้เลือกตั้ง แต่แพ้ป็อปปูลาร์โหวตให้แก่คู่แข่งคือ ฮิลลารี คลินตัน เกือบ 3 ล้านคะแนน
    .
    นอกจากนั้นแล้ว พรรครีพับลิกันของทรัมป์ ยังเข้ายึดวุฒิสภามาจากเดโมแครตได้สำเร็จ โดยชิงที่นั่งซึ่งเดิมเป็นของเดโมแครตมาได้ 2 ที่นั่ง ทำให้พวกเขาเวลานี้เป็นฝ่ายที่มีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ขณะที่ในสภาผู้แทนราษฎรที่ชุดที่แล้วรีพับลิกันครองเสียงข้างมากเกินครึ่งเพียงเล็กน้อยนั้น ยังไม่มีพรรคใดทำท่าชนะอย่างแน่นอนชัดเจน และต้องรอผลการนับคะแนนอย่างละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้
    .
    แฮร์ริสที่ถูกเปลี่ยนตัวเข้าแทนที่ โจ ไบเดน และมีเวลาในการรณรงค์หาเสียงเพียง 15 สัปดาห์เท่านั้น ทำไม่สำเร็จในการระดมเสียงสนับสนุนให้มากพอเพื่อยับยั้งทรัมป์ โดยเฉพาะในการคลายความกังวลของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งที่สำคัญที่สุดคือภาวะเงินเฟ้อ และปัญหาผู้อพยพ มิหนำซ้ำผู้ออกเสียงส่วนใหญ่ยังไม่สนใจคำเตือนของแคนดิเดตจากพรรคเดโมแครตผู้นี้ที่ว่า ทรัมป์ต้องการอำนาจแบบไม่มีการตรวจสอบและเป็นตัวอันตรายสำหรับประชาธิปไตย ทำให้ประเด็นหลักในการหาเสียงของแฮร์ริสคือ การสร้างความเป็นเอกภาพและสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง สุดท้ายยังไม่เพียงพอให้เธอสามารถสร้างประวัติศาสตร์ในการเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯ อีกทั้งเป็นหญิงผิวดำและเชื้อสายเอเชียใต้คนแรกด้วย
    .
    จากโพลสำเร็จของรอยเตอร์/อิปซอสส์ บ่งชี้ว่าพวกผู้มีสิทธิเลือกตั้งมองว่า เรื่องงานและเศรษฐกิจเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของอเมริกา โดยคนอเมริกันจำนวนมากไม่พอใจปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น ถึงแม้ภาวะเศรษฐกิจด้านอื่นๆ อยู่ในอาการที่ดี ไม่ว่าจะเป็นราคาหุ้นพุ่งทำสถิติ ค่าแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอัตราว่างงานต่ำ ทั้งนี้นอกจากคนเหล่านั้นมองว่า เรื่องเงินเฟ้อเป็นความผิดของคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่ยังบอกว่า ไว้ใจทรัมป์มากกว่าแฮร์ริสในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
    .
    กลุ่มฮิสปานิกหรือกลุ่มคนพูดภาษาสเปน ที่เดิมทีเป็นฐานเสียงของเดโมแครต รวมทั้งครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อรุนแรงที่สุด กลายเป็นตัวช่วยส่งให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ นอกเหนือจากฐานเสียงที่จงรักภักดีเหนียวแน่นกับพวกเขาซึ่งได้แก่กลุ่มคนผิวขาวที่เรียนไม่ถึงระดับมหาวิทยาลัย
    .
    ชัยชนะครั้งนี้เกิดขึ้นมา ถึงแม้ว่า ทรัมป์มีคะแนนนิยมต่ำต่อเนื่อง เคยผ่านกระบวนการถูกพิจารณาถอดถอนถึง 2 ครั้ง ถูกอดีตหัวหน้าคณะทำงานในทำเนียบขาวของตนเองระบุว่าเป็น “ฟาสซิสต์” ถูกฟ้องร้องคดีอาญา 4 คดี และถูกตัดสินว่าผิดในคดีแพ่งจากการล่วงละเมิดทางเพศและการหมิ่นประมาท ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเขาถูกคณะลูกขุนในนิวยอร์กตัดสินว่า กระทำผิดในการปลอมแปลงข้อมูลธุรกิจเพื่อปกปิดการจ่ายเงินปิดปากดาราหนังปลุกใจเสือป่า
    .
    ด้วยวัย 78 ปี ทรัมป์กำลังจะสร้างสถิติใหม่ในการเป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุด
    .
    ชัยชนะของทรัมป์ยังมีนัยสำคัญต่อนโยบายการค้า ผู้อพยพ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของอเมริกา และสงครามในยูเครน
    .
    นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า ข้อเสนอขึ้นภาษีศุลกากรอย่างแรงของทรัมป์มีแนวโน้มจุดชนวนสงครามการค้ารุนแรงขึ้นกับจีน ตลอดจนกับพวกประเทศพันธมิตรของอเมริกา นอกจากนั้นเขายังให้สัญญาเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายครั้งใหญ่
    .
    ท่ามกลางเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของผู้สนับสนุนที่ไปรวมตัวติดตามดูการนับคะแนนอยู่ที่รัฐฟลอริดา ทรัมป์ขึ้นเวทีพร้อมเมลาเนีย ภรรยา และลูกๆ และประกาศว่า นี่คือชัยชนะอันงดงามสำหรับคนอเมริกัน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ตนทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
    .
    เขายังกล่าวถึงการรอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหารสองครั้งระหว่างช่วงหาเสียงว่า หลายคนบอกว่าพระเจ้าปกป้องเขา
    .
    นอกจากครอบครัวทรัมป์ วุฒิสมาชิก เจดี. แวนซ์ คู่หูในตำแหน่งรองประธานาธิบดี และบรรดาผู้นำพรรครีพับลิกันแล้ว งานนี้ยังมี อีลอน มัสก์ นักธุรกิจและมหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลกที่อัดฉีดแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ราว 120 ล้านดอลลาร์ เข้าร่วมฉลองด้วย โดยทรัมป์ยกย่องนายใหญ่เอ็กซ์และเทสลาผู้นี้เป็น “ดาวดวงใหม่” และก่อนหน้านี้ยังประกาศว่า จะแต่งตั้งมัสก์เป็นประธานคณะกรรมาธิการตรวจสอบประสิทธิภาพของรัฐบาล
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000107148
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ กำชัยชนะเหนือ กมลา แฮร์ริส อย่างง่ายดายและเด็ดขาดเกินคาดหมายในวันพุธ (6 พ.ย.) หลังกวาดคะแนนจากรัฐสมรภูมิสำคัญ และได้กลับสู่ทำเนียบขาวสมัยที่สองที่มีแนวโน้มสร้างแรงกระเพื่อมทั่วโลก นอกจากนั้น พรรครีพับลิกันของเขายังสามารถชิงอำนาจการควบคุมวุฒิสภาจากเดโมแครตได้สำเร็จ . ถึงแม้ผลสำรวจจากหลายสำนักก่อนหน้าการเลือกตั้งซึ่งจัดขึ้นในวันอังคาร (5) ต่างระบุว่า การแข่งขันครั้งนี้จะคู่คี่สูสีกันมากและอาจต้องรอนานหลายวันกว่าจะรู้ผล แต่กลายเป็นว่า พวกสื่อยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ สามารถประกาศอย่างเป็นเสียงเอกฉันท์ชนิดไม่มีเจ้าไหนแตกแถวตั้งแต่ในวันพุธ (6) ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ วัย 78 ปี เป็นผู้ชนะ หลังจากอดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้สามารถกวาดคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) เกิน 270 คะแนนซึ่งเป็นเกณฑ์สำหรับผู้ชนะ และได้เป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 . วิสคอนซิน ซึ่งเป็น 1 ใน 7 รัฐสมรภูมิที่ผู้ออกเสียงไม่ได้แสดงความนิยมในผู้สมัครคนไหนหรือพรรคใหญ่พรรคใดอย่างชัดเจน จึงถูกมองว่าจะเป็นตัวชี้ขาดผู้มีชัยในการเลือกตั้งคราวนี้ ได้กลายเป็นรัฐตัดสินไปจริงๆ โดยหลังจากฟ็อกซ์นิวส์ เป็นสื่อยักษ์ใหญ่เจ้าแรกที่คาดการณ์ว่าทรัมป์ชนะในรัฐนี้ แล้วจึงประกาศว่าเขาได้เสียงคณะผู้เลือกตั้งเกิน 270 เสียงและเป็นผู้ชนะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไปแล้ว ถัดจากนั้นอีกหลายชั่วโมงต่อมา สื่อยักษ์ใหญ่อื่นๆ ได้แก่ เอบีซี ซีบีเอส เอ็นบีซี ซีเอ็นเอ็น เอพี ก็เดินมาในรอยทางเดียวกัน กล่าวคือ ทยอยประกาศคาดการณ์ว่าทรัมป์ได้วิสคอนซินซึ่งมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 10 เสียงไป และทำให้เป็นผู้ชนะโดยรวม ถึงแม้ในทางเป็นจริงแล้วยังมีอีกหลายรัฐที่นับคะแนนยังไม่ทันเสร็จสิ้นก็ตามที . ไม่เพียงชนะด้วยเสียงคณะผู้เลือกตั้ง ในครั้งนี้ทรัมป์ยังได้คะแนนป็อปปูลาร์โหวต หรือเสียงโหวตจากผู้ออกเสียงทั่วประเทศ นำหน้าแฮร์ริสถึงประมาณ 5 ล้านคะแนน แตกต่างจากตอนที่เขาชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสมัยแรกในปี 2016 ซึ่งเขามีชัยด้านเสียงคณะผู้เลือกตั้ง แต่แพ้ป็อปปูลาร์โหวตให้แก่คู่แข่งคือ ฮิลลารี คลินตัน เกือบ 3 ล้านคะแนน . นอกจากนั้นแล้ว พรรครีพับลิกันของทรัมป์ ยังเข้ายึดวุฒิสภามาจากเดโมแครตได้สำเร็จ โดยชิงที่นั่งซึ่งเดิมเป็นของเดโมแครตมาได้ 2 ที่นั่ง ทำให้พวกเขาเวลานี้เป็นฝ่ายที่มีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ขณะที่ในสภาผู้แทนราษฎรที่ชุดที่แล้วรีพับลิกันครองเสียงข้างมากเกินครึ่งเพียงเล็กน้อยนั้น ยังไม่มีพรรคใดทำท่าชนะอย่างแน่นอนชัดเจน และต้องรอผลการนับคะแนนอย่างละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้ . แฮร์ริสที่ถูกเปลี่ยนตัวเข้าแทนที่ โจ ไบเดน และมีเวลาในการรณรงค์หาเสียงเพียง 15 สัปดาห์เท่านั้น ทำไม่สำเร็จในการระดมเสียงสนับสนุนให้มากพอเพื่อยับยั้งทรัมป์ โดยเฉพาะในการคลายความกังวลของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งที่สำคัญที่สุดคือภาวะเงินเฟ้อ และปัญหาผู้อพยพ มิหนำซ้ำผู้ออกเสียงส่วนใหญ่ยังไม่สนใจคำเตือนของแคนดิเดตจากพรรคเดโมแครตผู้นี้ที่ว่า ทรัมป์ต้องการอำนาจแบบไม่มีการตรวจสอบและเป็นตัวอันตรายสำหรับประชาธิปไตย ทำให้ประเด็นหลักในการหาเสียงของแฮร์ริสคือ การสร้างความเป็นเอกภาพและสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง สุดท้ายยังไม่เพียงพอให้เธอสามารถสร้างประวัติศาสตร์ในการเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯ อีกทั้งเป็นหญิงผิวดำและเชื้อสายเอเชียใต้คนแรกด้วย . จากโพลสำเร็จของรอยเตอร์/อิปซอสส์ บ่งชี้ว่าพวกผู้มีสิทธิเลือกตั้งมองว่า เรื่องงานและเศรษฐกิจเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของอเมริกา โดยคนอเมริกันจำนวนมากไม่พอใจปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น ถึงแม้ภาวะเศรษฐกิจด้านอื่นๆ อยู่ในอาการที่ดี ไม่ว่าจะเป็นราคาหุ้นพุ่งทำสถิติ ค่าแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอัตราว่างงานต่ำ ทั้งนี้นอกจากคนเหล่านั้นมองว่า เรื่องเงินเฟ้อเป็นความผิดของคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่ยังบอกว่า ไว้ใจทรัมป์มากกว่าแฮร์ริสในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ . กลุ่มฮิสปานิกหรือกลุ่มคนพูดภาษาสเปน ที่เดิมทีเป็นฐานเสียงของเดโมแครต รวมทั้งครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อรุนแรงที่สุด กลายเป็นตัวช่วยส่งให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ นอกเหนือจากฐานเสียงที่จงรักภักดีเหนียวแน่นกับพวกเขาซึ่งได้แก่กลุ่มคนผิวขาวที่เรียนไม่ถึงระดับมหาวิทยาลัย . ชัยชนะครั้งนี้เกิดขึ้นมา ถึงแม้ว่า ทรัมป์มีคะแนนนิยมต่ำต่อเนื่อง เคยผ่านกระบวนการถูกพิจารณาถอดถอนถึง 2 ครั้ง ถูกอดีตหัวหน้าคณะทำงานในทำเนียบขาวของตนเองระบุว่าเป็น “ฟาสซิสต์” ถูกฟ้องร้องคดีอาญา 4 คดี และถูกตัดสินว่าผิดในคดีแพ่งจากการล่วงละเมิดทางเพศและการหมิ่นประมาท ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเขาถูกคณะลูกขุนในนิวยอร์กตัดสินว่า กระทำผิดในการปลอมแปลงข้อมูลธุรกิจเพื่อปกปิดการจ่ายเงินปิดปากดาราหนังปลุกใจเสือป่า . ด้วยวัย 78 ปี ทรัมป์กำลังจะสร้างสถิติใหม่ในการเป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุด . ชัยชนะของทรัมป์ยังมีนัยสำคัญต่อนโยบายการค้า ผู้อพยพ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของอเมริกา และสงครามในยูเครน . นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า ข้อเสนอขึ้นภาษีศุลกากรอย่างแรงของทรัมป์มีแนวโน้มจุดชนวนสงครามการค้ารุนแรงขึ้นกับจีน ตลอดจนกับพวกประเทศพันธมิตรของอเมริกา นอกจากนั้นเขายังให้สัญญาเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายครั้งใหญ่ . ท่ามกลางเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของผู้สนับสนุนที่ไปรวมตัวติดตามดูการนับคะแนนอยู่ที่รัฐฟลอริดา ทรัมป์ขึ้นเวทีพร้อมเมลาเนีย ภรรยา และลูกๆ และประกาศว่า นี่คือชัยชนะอันงดงามสำหรับคนอเมริกัน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ตนทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง . เขายังกล่าวถึงการรอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหารสองครั้งระหว่างช่วงหาเสียงว่า หลายคนบอกว่าพระเจ้าปกป้องเขา . นอกจากครอบครัวทรัมป์ วุฒิสมาชิก เจดี. แวนซ์ คู่หูในตำแหน่งรองประธานาธิบดี และบรรดาผู้นำพรรครีพับลิกันแล้ว งานนี้ยังมี อีลอน มัสก์ นักธุรกิจและมหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลกที่อัดฉีดแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ราว 120 ล้านดอลลาร์ เข้าร่วมฉลองด้วย โดยทรัมป์ยกย่องนายใหญ่เอ็กซ์และเทสลาผู้นี้เป็น “ดาวดวงใหม่” และก่อนหน้านี้ยังประกาศว่า จะแต่งตั้งมัสก์เป็นประธานคณะกรรมาธิการตรวจสอบประสิทธิภาพของรัฐบาล . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000107148 .............. Sondhi X
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2050 มุมมอง 0 รีวิว