• 2/3/68

    กินวิถีญี่ปุ่น 3 อาหาร "ต้านมะเร็ง" แถมยืดอายุยืน ไทยมีครบทุกอย่าง และราคาถูกกว่าด้วย!

    จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า อายุขัยเฉลี่ยของชาวญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 84.3 ปี ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก ไม่เพียงแต่ได้รับการสนับสนุนจากระบบการแพทย์ที่ทันสมัย และการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ต่ยังรวมถึงการรับประทานอาหารที่มีหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง

    ในขณะเดียวกัน การศึกษาหลายชิ้นพบว่า มะเร็งเป็นโรคที่มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการรับประทานอาหาร ตามข้อมูลจากสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (AICR) ระบุว่า ประมาณ 30–50% ของเคสมะเร็ง สามารถป้องกันได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีสุขภาพดีขึ้น แล้วคนญี่ปุ่นมักกินอะไร เพื่อปกป้องสุขภาพและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง?

    3 เมนูต้านมะเร็ง ที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบ อุดมไปด้วยสารอาหาร!

    1.กระเทียม: ยารักษามะเร็งจากธรรมชาติ
    คนญี่ปุ่นมักใส่กระเทียมเข้าไปในอาหารประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการปรุงซุป ผัดผัก ไปจนถึงการทำน้ำจิ้ม ขณะเดียวกัน กระเทียมนั้นเป็นหนึ่งในอาหารต้านมะเร็งชั้นนำที่คนญี่ปุ่นบริโภคทุกวัน

    ตามการวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NCI) กระเทียมมีสารออร์แกโนซัลเฟอร์ ซึ่งสามารถกระตุ้นเอนไซม์กำจัดสารพิษในตับได้ จึงช่วยกำจัดสารก่อมะเร็งออกจากร่างกายได้

    นอกจากนี้ กระเทียมยังยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่เกิดจากไนไตรต์ที่พบในอาหารแปรรูปอีกด้วย และยังมีอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยทำลายเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย โดยการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition แสดงให้เห็นว่าผู้ที่บริโภคกระเทียมเป็นประจำ มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง 30–50% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานกระเทียม

    2.ชาเขียว: เคล็ดลับอายุยืนของคนญี่ปุ่น
    ในญี่ปุ่น ชาเขียวไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมเท่านั้น แต่ยังถูกมองว่าเป็นยาสำหรับการปกป้องสุขภาพด้วย ตามการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Cancer Epidemiology, Biomarkers & Prevention ผู้ที่ดื่มชาเขียว 5 แก้วต่อวัน หรือมากกว่านั้น มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งน้อยกว่าผู้ที่ดื่มน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

    ชาเขียวมีสารคาเทชินและอีจีซีจี (Epigallocatechin gallate) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
    โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก
    มะเร็งปอด
    และมะเร็งกระเพาะอาหาร,
    ป้องกันการสร้างเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงก้อนมะเร็ง ซึ่งช่วยยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง, ขับสารพิษและปกป้องตับ เนื่องจากความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายในร่างกาย

    ไม่เพียงเท่านั้น แอล-ธีอะนีน (L-theanine) ในชาเขียวยังช่วยลดความเครียดและปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ ชาวญี่ปุ่นหลายคนจึงมีนิสัยดื่มชาเขียวทุกวัน และบางคนยังสร้างสรรค์มัทฉะ - ผงชาเขียวบริสุทธิ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าชาเขียวปกติหลายเท่า

    3.กล้วยที่มีจุดดำ:
    ซูเปอร์ฟู้ดเสริมภูมิคุ้มกัน
    ชาวญี่ปุ่นมีนิสัยที่ค่อนข้างพิเศษ คือพวกเขาชอบกินกล้วยที่มีจุดดำบนเปลือก แทนที่จะกินสุกสีเหลืองธรรมดาเหมือนประเทศอื่นๆ

    จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยโตเกียว พบว่ากล้วยที่สุกจนมีจุดดำจะมีสาร TNF (Tumor Necrosis Factor) ในปริมาณสูง ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้โจมตีเซลล์มะเร็ง

    ประโยชน์ของกล้วยที่มีจุดดำคือ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสามารถระบุและทำลายเซลล์มะเร็งได้เร็วขึ้น,
    มีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก
    ปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ,
    ช่วยในการย่อยอาหาร
    ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ลดความเสี่ยงของการอักเสบและมะเร็งลำไส้ใหญ่ และจากการศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีอาหารญี่ปุ่นยังพบว่า กล้วยที่มีจุดดำช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว เสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้มากกว่ากล้วยที่ยังไม่สุกถึง 8 เท่า

    ท้ายที่สุด วิธีการรับประทานอาหารของชาวญี่ปุ่นเป็นหลักฐานชัดเจนว่า อาหารสามารถมีบทบาทสำคัญในการป้องกันมะเร็งและยืดอายุขัย แทนที่จะไปมองหา "ซูเปอร์ฟู้ด" ที่มีราคาสูง พวกเขาเลือกอาหารที่ใกล้ตัวและให้คุณค่าทางสุขภาพสูง!
    cr:sanook
    2/3/68 กินวิถีญี่ปุ่น 3 อาหาร "ต้านมะเร็ง" แถมยืดอายุยืน ไทยมีครบทุกอย่าง และราคาถูกกว่าด้วย! จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า อายุขัยเฉลี่ยของชาวญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 84.3 ปี ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก ไม่เพียงแต่ได้รับการสนับสนุนจากระบบการแพทย์ที่ทันสมัย และการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ต่ยังรวมถึงการรับประทานอาหารที่มีหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ในขณะเดียวกัน การศึกษาหลายชิ้นพบว่า มะเร็งเป็นโรคที่มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการรับประทานอาหาร ตามข้อมูลจากสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (AICR) ระบุว่า ประมาณ 30–50% ของเคสมะเร็ง สามารถป้องกันได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีสุขภาพดีขึ้น แล้วคนญี่ปุ่นมักกินอะไร เพื่อปกป้องสุขภาพและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง? 3 เมนูต้านมะเร็ง ที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบ อุดมไปด้วยสารอาหาร! 1.กระเทียม: ยารักษามะเร็งจากธรรมชาติ คนญี่ปุ่นมักใส่กระเทียมเข้าไปในอาหารประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการปรุงซุป ผัดผัก ไปจนถึงการทำน้ำจิ้ม ขณะเดียวกัน กระเทียมนั้นเป็นหนึ่งในอาหารต้านมะเร็งชั้นนำที่คนญี่ปุ่นบริโภคทุกวัน ตามการวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NCI) กระเทียมมีสารออร์แกโนซัลเฟอร์ ซึ่งสามารถกระตุ้นเอนไซม์กำจัดสารพิษในตับได้ จึงช่วยกำจัดสารก่อมะเร็งออกจากร่างกายได้ นอกจากนี้ กระเทียมยังยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่เกิดจากไนไตรต์ที่พบในอาหารแปรรูปอีกด้วย และยังมีอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยทำลายเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย โดยการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition แสดงให้เห็นว่าผู้ที่บริโภคกระเทียมเป็นประจำ มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง 30–50% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานกระเทียม 2.ชาเขียว: เคล็ดลับอายุยืนของคนญี่ปุ่น ในญี่ปุ่น ชาเขียวไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมเท่านั้น แต่ยังถูกมองว่าเป็นยาสำหรับการปกป้องสุขภาพด้วย ตามการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Cancer Epidemiology, Biomarkers & Prevention ผู้ที่ดื่มชาเขียว 5 แก้วต่อวัน หรือมากกว่านั้น มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งน้อยกว่าผู้ที่ดื่มน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ชาเขียวมีสารคาเทชินและอีจีซีจี (Epigallocatechin gallate) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร, ป้องกันการสร้างเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงก้อนมะเร็ง ซึ่งช่วยยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง, ขับสารพิษและปกป้องตับ เนื่องจากความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายในร่างกาย ไม่เพียงเท่านั้น แอล-ธีอะนีน (L-theanine) ในชาเขียวยังช่วยลดความเครียดและปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ ชาวญี่ปุ่นหลายคนจึงมีนิสัยดื่มชาเขียวทุกวัน และบางคนยังสร้างสรรค์มัทฉะ - ผงชาเขียวบริสุทธิ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าชาเขียวปกติหลายเท่า 3.กล้วยที่มีจุดดำ: ซูเปอร์ฟู้ดเสริมภูมิคุ้มกัน ชาวญี่ปุ่นมีนิสัยที่ค่อนข้างพิเศษ คือพวกเขาชอบกินกล้วยที่มีจุดดำบนเปลือก แทนที่จะกินสุกสีเหลืองธรรมดาเหมือนประเทศอื่นๆ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยโตเกียว พบว่ากล้วยที่สุกจนมีจุดดำจะมีสาร TNF (Tumor Necrosis Factor) ในปริมาณสูง ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้โจมตีเซลล์มะเร็ง ประโยชน์ของกล้วยที่มีจุดดำคือ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสามารถระบุและทำลายเซลล์มะเร็งได้เร็วขึ้น, มีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ, ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ลดความเสี่ยงของการอักเสบและมะเร็งลำไส้ใหญ่ และจากการศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีอาหารญี่ปุ่นยังพบว่า กล้วยที่มีจุดดำช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว เสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้มากกว่ากล้วยที่ยังไม่สุกถึง 8 เท่า ท้ายที่สุด วิธีการรับประทานอาหารของชาวญี่ปุ่นเป็นหลักฐานชัดเจนว่า อาหารสามารถมีบทบาทสำคัญในการป้องกันมะเร็งและยืดอายุขัย แทนที่จะไปมองหา "ซูเปอร์ฟู้ด" ที่มีราคาสูง พวกเขาเลือกอาหารที่ใกล้ตัวและให้คุณค่าทางสุขภาพสูง! cr:sanook
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์บทความของเพจเฟซบุ๊กKornkit Disthan ของกรกิจ ดิษฐาน ที่น่าสนใจวันนี้เขียนเยอะที่สุดแล้วในหนึ่งวัน เพราะมีแต่เรื่องทั้งวัน เพราะไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมามี "คำเตือน" จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาฯ ในกรุงเทพ ว่า "...รัฐบาลไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 45 คนกลับประเทศจีน การเนรเทศในลักษณะเดียวกันนี้เคยก่อให้เกิดการโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการเนรเทศชาวอุยกูร์ออกจากประเทศไทยในปี 2015 ได้เกิดเหตุอุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณในกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 รายและบาดเจ็บอีก 125 ราย เนื่องจากศาลแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก (จึงตกเป็นเป้าหมายของพวกอุยกูร์)" ดังนั้น ทางสถานทูตจึงแนะนำพลเมืองสหรัฐฯ ในไทยว่า "เพิ่มความระมัดระวังและเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านซึ่งนักท่องเที่ยวมักไป เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้"คำเตือนนี้ จะว่าไปก็เหมาะสมในแง่ "กันไว้ก่อน" แต่มันอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้ "ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยบอกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้ได้อ่านเงื่อนไขของทางจีนแล้วว่าจะให้ดำรงชีวิตตามปกติ จึงยอมสมัครใจกลับจีนเอง ซึ่งจะจริงไม่จริงนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน แต่ถ้าอิงตามนี้ว่าสมัครใจกลับเอง แล้ว "ใครกันแน่ที่จะเดือนร้อนแทนคนเหล่านี้จนต้องก่อการร้ายในไทย?"การทำเช่นนั้นอาจจะยิ่งทำให้ไทยเข้าใกล้จีนเข้าไปอีก หรืออาจบีบต้องมีปฏิบัติการใหม่ระว่างไทย-จีนที่กวาดล้างผู้ก่อการร้ายเพิ่มเติมจากตอนนี้ที่กำลังร่วมมือกวาดล้างสแกมเมอร์และถ้าชาวอุยกูร์เหล่านี้เป็นปัจจัยให้เกิดการก่อการร้ายในไทยขึ้นมาจริงๆ การส่งไปให้จีนก็ยิ่งชอบธรรม เพราะเท่ากับว่าถ้าส่งตัวคนเหล่านี้ออกไปตะวันตกหรือตุรกีหรือตะวันออกกลาง ไม่กลายเป็นการ "ปล่อยเสือเข้าป่า" หรอกหรือ? เพราะชาวอุยกูร์ที่ไปทางตะวันตก ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแอกทิวิสต์เชิงสันติ แต่ที่ออกไปรบในตะวันออกกลางมีเป็นพันคน และตอนนี้ฮึกเหิมอยากจะก่อญิฮาดกับจีนใจจะขาดอีกประเทศหนึ่งที่เตือน คือกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ออกคำเตือนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เรียกว่าไวกว่าสหรัฐฯ เสียอีก โดยเตือนไว้ว่า "ในกรุงเทพมหานคร หลังจากชาวอุยกูร์ถูกเนรเทศกลับประเทศจีน ในปี 2015 ได้เกิดระเบิดขึ้นที่สี่แยกราชประสงค์ ใกล้ศาลพระพรหมเอราวัณ เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปีเดียวกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย และบาดเจ็บ 125 ราย รวมทั้งชาวญี่ปุ่นด้วย ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและนักท่องเที่ยวควรพยายามหาข้อมูลล่าสุดและดำเนินการดังต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะบริเวณรอบสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดงาน ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ระบบขนส่งสาธารณะ สถานที่ทางศาสนา ฯลฯ ที่มีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกัน มักตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง"เนื่องจากมีชาวญี่ปุ่นเป็นเหยื่อการระเบิดศาลพระพรหมครั้งนั้นด้วย จึงสมเหตุผลที่ทางการญี่ปุ่นต้องเตือน และน่าสังเกตว่าเหตุผลของการเตือนของญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ นั้นเหมือนกันอย่างมากแต่ก็มีบริบทแวดล้อมที่ควรทราบคือ ทางการญี่ปุ่นขู่ตอบโต้และขู่จะเล่นงานจีนมาหลายปีแล้วเรื่องที่ (พันธมิตรตะวันตก) อ้างว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ และคอยช่วยเหลือชาวอุยกูร์ จัดการประชุมชาวอุยกูร์จากทั่วโลกในญี่ปุ่น ประเด็นนี้จึงเป็น "เรื่องการเมือง" ที่ญี่ปุ่นคอยใช้กระซวกจีนมาตลอดด้วย มีเหตุผลที่ต้องพิจารณาเอาไว้ในใจว่า สหรัฐ ญี่ปุ่น และชาติ G7 ทั้งหมด ใช้ประเด็นอุยกูร์โจมตีและคว่ำบาตรจีน ดังนั้นประเทศที่ร่วมมือกับจีนเรื่องอุยกูร์ ก็ควรจะตระหนักถึงผลลัพธ์ที่จะเจอจากกลุ่มนี้เอาไว้ด้วยอีกด้านหนึ่งที่ควรทราบไว้แม้ว่าจะเกี่ยวข้องแบบห่างๆ ก็คือญี่ปุ่นก็ให้การคุ้มครองชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยมายังญี่ปุ่น และคนเหล่านี้ได้ก่อตั้งสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น (日本ウイグル協会) ขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านจีนผู้ให้การสนับสนุน/เป็นพันธมิตรของสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น คือ สมาคมกัมบาเระนิปปง (頑張れ日本!) ซึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมญี่ปุ่น/ฝ่ายขวาจัด และเกี่ยวข้องกับนักการเมืองและพรรคการเมืองที่เอียงไปทางขวาเหมือนกัน แน่นอนว่ากลุ่มนี้ก็ต่อต้านจีนเช่นกันหนึ่งในกลุ่มที่สนับสนุนอุยกูร์ คือ สมาชิกพรรครัฐบาล LDP เช่นที่ปรึกษาของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ
    รีโพสต์บทความของเพจเฟซบุ๊กKornkit Disthan ของกรกิจ ดิษฐาน ที่น่าสนใจวันนี้เขียนเยอะที่สุดแล้วในหนึ่งวัน เพราะมีแต่เรื่องทั้งวัน เพราะไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมามี "คำเตือน" จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาฯ ในกรุงเทพ ว่า "...รัฐบาลไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 45 คนกลับประเทศจีน การเนรเทศในลักษณะเดียวกันนี้เคยก่อให้เกิดการโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการเนรเทศชาวอุยกูร์ออกจากประเทศไทยในปี 2015 ได้เกิดเหตุอุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณในกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 รายและบาดเจ็บอีก 125 ราย เนื่องจากศาลแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก (จึงตกเป็นเป้าหมายของพวกอุยกูร์)" ดังนั้น ทางสถานทูตจึงแนะนำพลเมืองสหรัฐฯ ในไทยว่า "เพิ่มความระมัดระวังและเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านซึ่งนักท่องเที่ยวมักไป เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้"คำเตือนนี้ จะว่าไปก็เหมาะสมในแง่ "กันไว้ก่อน" แต่มันอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้ "ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยบอกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้ได้อ่านเงื่อนไขของทางจีนแล้วว่าจะให้ดำรงชีวิตตามปกติ จึงยอมสมัครใจกลับจีนเอง ซึ่งจะจริงไม่จริงนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน แต่ถ้าอิงตามนี้ว่าสมัครใจกลับเอง แล้ว "ใครกันแน่ที่จะเดือนร้อนแทนคนเหล่านี้จนต้องก่อการร้ายในไทย?"การทำเช่นนั้นอาจจะยิ่งทำให้ไทยเข้าใกล้จีนเข้าไปอีก หรืออาจบีบต้องมีปฏิบัติการใหม่ระว่างไทย-จีนที่กวาดล้างผู้ก่อการร้ายเพิ่มเติมจากตอนนี้ที่กำลังร่วมมือกวาดล้างสแกมเมอร์และถ้าชาวอุยกูร์เหล่านี้เป็นปัจจัยให้เกิดการก่อการร้ายในไทยขึ้นมาจริงๆ การส่งไปให้จีนก็ยิ่งชอบธรรม เพราะเท่ากับว่าถ้าส่งตัวคนเหล่านี้ออกไปตะวันตกหรือตุรกีหรือตะวันออกกลาง ไม่กลายเป็นการ "ปล่อยเสือเข้าป่า" หรอกหรือ? เพราะชาวอุยกูร์ที่ไปทางตะวันตก ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแอกทิวิสต์เชิงสันติ แต่ที่ออกไปรบในตะวันออกกลางมีเป็นพันคน และตอนนี้ฮึกเหิมอยากจะก่อญิฮาดกับจีนใจจะขาดอีกประเทศหนึ่งที่เตือน คือกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ออกคำเตือนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เรียกว่าไวกว่าสหรัฐฯ เสียอีก โดยเตือนไว้ว่า "ในกรุงเทพมหานคร หลังจากชาวอุยกูร์ถูกเนรเทศกลับประเทศจีน ในปี 2015 ได้เกิดระเบิดขึ้นที่สี่แยกราชประสงค์ ใกล้ศาลพระพรหมเอราวัณ เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปีเดียวกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย และบาดเจ็บ 125 ราย รวมทั้งชาวญี่ปุ่นด้วย ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและนักท่องเที่ยวควรพยายามหาข้อมูลล่าสุดและดำเนินการดังต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะบริเวณรอบสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดงาน ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ระบบขนส่งสาธารณะ สถานที่ทางศาสนา ฯลฯ ที่มีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกัน มักตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง"เนื่องจากมีชาวญี่ปุ่นเป็นเหยื่อการระเบิดศาลพระพรหมครั้งนั้นด้วย จึงสมเหตุผลที่ทางการญี่ปุ่นต้องเตือน และน่าสังเกตว่าเหตุผลของการเตือนของญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ นั้นเหมือนกันอย่างมากแต่ก็มีบริบทแวดล้อมที่ควรทราบคือ ทางการญี่ปุ่นขู่ตอบโต้และขู่จะเล่นงานจีนมาหลายปีแล้วเรื่องที่ (พันธมิตรตะวันตก) อ้างว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ และคอยช่วยเหลือชาวอุยกูร์ จัดการประชุมชาวอุยกูร์จากทั่วโลกในญี่ปุ่น ประเด็นนี้จึงเป็น "เรื่องการเมือง" ที่ญี่ปุ่นคอยใช้กระซวกจีนมาตลอดด้วย มีเหตุผลที่ต้องพิจารณาเอาไว้ในใจว่า สหรัฐ ญี่ปุ่น และชาติ G7 ทั้งหมด ใช้ประเด็นอุยกูร์โจมตีและคว่ำบาตรจีน ดังนั้นประเทศที่ร่วมมือกับจีนเรื่องอุยกูร์ ก็ควรจะตระหนักถึงผลลัพธ์ที่จะเจอจากกลุ่มนี้เอาไว้ด้วยอีกด้านหนึ่งที่ควรทราบไว้แม้ว่าจะเกี่ยวข้องแบบห่างๆ ก็คือญี่ปุ่นก็ให้การคุ้มครองชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยมายังญี่ปุ่น และคนเหล่านี้ได้ก่อตั้งสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น (日本ウイグル協会) ขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านจีนผู้ให้การสนับสนุน/เป็นพันธมิตรของสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น คือ สมาคมกัมบาเระนิปปง (頑張れ日本!) ซึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมญี่ปุ่น/ฝ่ายขวาจัด และเกี่ยวข้องกับนักการเมืองและพรรคการเมืองที่เอียงไปทางขวาเหมือนกัน แน่นอนว่ากลุ่มนี้ก็ต่อต้านจีนเช่นกันหนึ่งในกลุ่มที่สนับสนุนอุยกูร์ คือ สมาชิกพรรครัฐบาล LDP เช่นที่ปรึกษาของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เพจดังยกเคสหนุ่มซูโม่ชาวญี่ปุ่น ที่กินจุตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันตรวจพบค่าไตรกลีเซอไรด์สูงถึง 16,900 mg/dl นอกจากนี้คนไข้หยุดการรักษาเอง ส่งผลให้เลือดมีสีขาวข้น

    วันนี้ (24 ก.พ.) เพจ “Tensia" เผยเคสหนุ่มซูโม่ชาวญี่ปุ่น ที่กินจุตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันตรวจพบค่าไตรกลีเซอไรด์สูงถึง 16,900 mg/dl จนส่งให้เลือดมีสีขาวคล้ายนมข้น

    โดยทางเพจระบุข้อความว่า “ชาย 40 ปี หยุดกินยาเอง มาตรวจไขมันตามนัดพบ ไตรกลีเซอไรด์ 16,900 mg/dl เยอะจนเลือดกลายเป็นสีนม แทบไม่มีส่วนเลือดเลย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000018151

    #MGROnline #ซูโม่ #ชาวญี่ปุ่น #ค่าไตรกลีเซอไรด์สูง
    #เพจดังยกเคสหนุ่มซูโม่ชาวญี่ปุ่น ที่กินจุตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันตรวจพบค่าไตรกลีเซอไรด์สูงถึง 16,900 mg/dl นอกจากนี้คนไข้หยุดการรักษาเอง ส่งผลให้เลือดมีสีขาวข้น • วันนี้ (24 ก.พ.) เพจ “Tensia" เผยเคสหนุ่มซูโม่ชาวญี่ปุ่น ที่กินจุตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันตรวจพบค่าไตรกลีเซอไรด์สูงถึง 16,900 mg/dl จนส่งให้เลือดมีสีขาวคล้ายนมข้น • โดยทางเพจระบุข้อความว่า “ชาย 40 ปี หยุดกินยาเอง มาตรวจไขมันตามนัดพบ ไตรกลีเซอไรด์ 16,900 mg/dl เยอะจนเลือดกลายเป็นสีนม แทบไม่มีส่วนเลือดเลย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000018151 • #MGROnline #ซูโม่ #ชาวญี่ปุ่น #ค่าไตรกลีเซอไรด์สูง
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔴sold🔴
    🔥 Ginpo – Japan - หม้อนาเบะขนาดใหญ่พิเศษ - หายาก 34 ซม.
    • รุ่น Hana Mishima แปลว่าดอกไม้ตามลวดลายของหม้อ
    • ผ่านการใช้งาน แต่ไม่มีตำหนิแตกร้าว
    • ก้นหม้อมีรอยดำเล็กน้อย
    • ใช้ได้กับ เตาอบ เตาถ่าน เตาแกส และไมโครเวฟ
    • เก็บความร้อนดีเยี่ยม
    • จากเตาถึงโต๊ะอาหารด้วยภาชนะชิ้นเดียว
    • แนะนำการใช้งานสำหรับหม้อ Ginpo ทุกรุ่น
    o การใช้งานครั้งแรกแนะนำให้ตั้งน้ำเดือดประมาณ 8 นาที
    o พอเดือดแล้วเติมแป้งอเนกประสงค์ลงไป คนละลาย
    o ตั้งไฟอ่อนต่อไปอีก 5 นาที /ดับไฟ รอให้เย็น เทจ้ำทิ้ง
    o ตากหม้อให้แห้งก่อนเริ่มใช้งานหม้อ
    o กระบวนการทั้งหมดจะช่วยลดกลิ่นและคราบเชื้อราที่อาจเกิดบนหม้อได้
    o Ginpo คือ ชื่อที่ได้รับความไว้วางใจจากชาวญี่ปุ่นที่สุด มีชื่อเสียงในเรื่องคุณภาพ
    • ขนาด ผศก. 34 รวมหู 38 ส. 12.5 ซม. / 6 ล.
    • ราคา 950 บาท รวมส่ง

    🍶 พท.ห่างไกล+50บาท
    🗄 ไม่มีปลายทาง
    📦โอนก่อนบ่าย 2 ส่งของภายในวันเดียวกัน/ร้านส่งปิดวันอาทิตย์
    🗒 บช.พ่อค้า 005-xxx - xx37
    🎥ถ่ายคลิปการแกะกล่องสค.ทุกครั้ง/ไม่มีคลิป/พ่อค้าไม่สามารถเคลมได้
    **** ขอโอกาสคนพร้อมโอนก่อน *****
    🔴sold🔴 🔥 Ginpo – Japan - หม้อนาเบะขนาดใหญ่พิเศษ - หายาก 34 ซม. • รุ่น Hana Mishima แปลว่าดอกไม้ตามลวดลายของหม้อ • ผ่านการใช้งาน แต่ไม่มีตำหนิแตกร้าว • ก้นหม้อมีรอยดำเล็กน้อย • ใช้ได้กับ เตาอบ เตาถ่าน เตาแกส และไมโครเวฟ • เก็บความร้อนดีเยี่ยม • จากเตาถึงโต๊ะอาหารด้วยภาชนะชิ้นเดียว • แนะนำการใช้งานสำหรับหม้อ Ginpo ทุกรุ่น o การใช้งานครั้งแรกแนะนำให้ตั้งน้ำเดือดประมาณ 8 นาที o พอเดือดแล้วเติมแป้งอเนกประสงค์ลงไป คนละลาย o ตั้งไฟอ่อนต่อไปอีก 5 นาที /ดับไฟ รอให้เย็น เทจ้ำทิ้ง o ตากหม้อให้แห้งก่อนเริ่มใช้งานหม้อ o กระบวนการทั้งหมดจะช่วยลดกลิ่นและคราบเชื้อราที่อาจเกิดบนหม้อได้ o Ginpo คือ ชื่อที่ได้รับความไว้วางใจจากชาวญี่ปุ่นที่สุด มีชื่อเสียงในเรื่องคุณภาพ • ขนาด ผศก. 34 รวมหู 38 ส. 12.5 ซม. / 6 ล. • ราคา 950 บาท รวมส่ง 🍶 พท.ห่างไกล+50บาท 🗄 ไม่มีปลายทาง 📦โอนก่อนบ่าย 2 ส่งของภายในวันเดียวกัน/ร้านส่งปิดวันอาทิตย์ 🗒 บช.พ่อค้า 005-xxx - xx37 🎥ถ่ายคลิปการแกะกล่องสค.ทุกครั้ง/ไม่มีคลิป/พ่อค้าไม่สามารถเคลมได้ **** ขอโอกาสคนพร้อมโอนก่อน *****
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥 ถ้าเราเข้าใจหลักฟิสิกส์..ทุกๆอย่างในจักรวาล..มีพลังงาน..คำว่ามีพลังงานให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ มีแรงกระทำต่อสิ่งอื่น...
    ...เรื่องตัวเลข และสัญลักษณ์ ถูกใช้มาหลายพันปี...ก่อนมีศาสนา เสียอีก...ย้อนไปก่อนยุค อิยิปต์ โรมัน เสียอีก ตัวเลข แหละสัญลักษณ์แทนค่าดวงดาวต่างๆ..ที่มีลักษณะแตกต่างกัน..ต่อมาตัวเลข แหละสัญละกษณ์ถูกใช้ในพิธีกรรมบูชาเทพเจ้า หรือสิ่งที่เขานับถือ ..ลองนึกตามสัญลักษณ์ต่างๆ ของอียิปต์ หรือชาวอินคา.สิ..
    ...ผู้เขียนศึกษามานาน..เรื่องพลังงาน ที่ไม่ใช่ความเขื่อ...ที่เคยเขียนเรื่องทำนายนิสัยคนตามเลขวันเกิด....ของชาวญี่ปุ่น...ทำไมมันตรง..มันไม่ใช่ดูดวง..มันคือการเก็บสถิติ.(ดูจาก reference ท้ายเล่ม สำรวจจากคนหลายหมื่น)..เพราะตัวเลขให้พลังงานแบบนั้น.....
    ....บางคนบอกก้อนหินละ มีพลังงานไหม..ตอบว่า มี ..แค่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถขี้ชัดได้..เอาที่ชี้ชัดคือ หินควอทซ์ ..ที่เอาทำวงจรให้พลังงานนาฬิกาควอทซ์นั่นไง... (แต่ต้องมีอุปกรณ์ร่วมนะให้เกิดพลังงาน) ..หินลาพิส (สีน้ำเงิน) ..ในอารยธรรมอียิปต์ มีโบราณวัตถุหลายชิ้น มีหินนี้เป็นส่วนประกอบ......
    ..แล้วพระเก๊ละ มีพลังงานไหม? ตอบว่า มี ..คือ น้ำหนัก .ที่ส่งผ่านสู่สิ่งอื่น...พลังงานแบบอื่นคงไม่ต้องพูดถึง..☺️
    💥 ถ้าเราเข้าใจหลักฟิสิกส์..ทุกๆอย่างในจักรวาล..มีพลังงาน..คำว่ามีพลังงานให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ มีแรงกระทำต่อสิ่งอื่น... ...เรื่องตัวเลข และสัญลักษณ์ ถูกใช้มาหลายพันปี...ก่อนมีศาสนา เสียอีก...ย้อนไปก่อนยุค อิยิปต์ โรมัน เสียอีก ตัวเลข แหละสัญลักษณ์แทนค่าดวงดาวต่างๆ..ที่มีลักษณะแตกต่างกัน..ต่อมาตัวเลข แหละสัญละกษณ์ถูกใช้ในพิธีกรรมบูชาเทพเจ้า หรือสิ่งที่เขานับถือ ..ลองนึกตามสัญลักษณ์ต่างๆ ของอียิปต์ หรือชาวอินคา.สิ.. ...ผู้เขียนศึกษามานาน..เรื่องพลังงาน ที่ไม่ใช่ความเขื่อ...ที่เคยเขียนเรื่องทำนายนิสัยคนตามเลขวันเกิด....ของชาวญี่ปุ่น...ทำไมมันตรง..มันไม่ใช่ดูดวง..มันคือการเก็บสถิติ.(ดูจาก reference ท้ายเล่ม สำรวจจากคนหลายหมื่น)..เพราะตัวเลขให้พลังงานแบบนั้น..... ....บางคนบอกก้อนหินละ มีพลังงานไหม..ตอบว่า มี ..แค่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถขี้ชัดได้..เอาที่ชี้ชัดคือ หินควอทซ์ ..ที่เอาทำวงจรให้พลังงานนาฬิกาควอทซ์นั่นไง... (แต่ต้องมีอุปกรณ์ร่วมนะให้เกิดพลังงาน) ..หินลาพิส (สีน้ำเงิน) ..ในอารยธรรมอียิปต์ มีโบราณวัตถุหลายชิ้น มีหินนี้เป็นส่วนประกอบ...... ..แล้วพระเก๊ละ มีพลังงานไหม? ตอบว่า มี ..คือ น้ำหนัก .ที่ส่งผ่านสู่สิ่งอื่น...พลังงานแบบอื่นคงไม่ต้องพูดถึง..☺️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • จเรตำรวจแห่งชาติ สั่งเพิกถอนวีซ่าชาวญี่ปุ่น 4 ราย ลักลอบข้ามแดนไปฝั่งเมียวดี พบมีหมายจับคดีอาญาและยาเสพติดของญี่ปุ่นหลายคดี

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000012668

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    จเรตำรวจแห่งชาติ สั่งเพิกถอนวีซ่าชาวญี่ปุ่น 4 ราย ลักลอบข้ามแดนไปฝั่งเมียวดี พบมีหมายจับคดีอาญาและยาเสพติดของญี่ปุ่นหลายคดี อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000012668 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    20
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1082 มุมมอง 1 รีวิว
  • Verbatim และ I-O Data ได้ให้คำมั่นว่าจะยังคงสนับสนุนตลาดสื่อบันทึกข้อมูลแบบออปติคอล หลังจากที่ Sony Japan ประกาศถอนตัวจากตลาด Blu-ray ที่สามารถบันทึกได้ Verbatim ได้ออกแถลงการณ์บนเว็บไซต์ภาษาญี่ปุ่นของตนว่า จะตอบสนองความไว้วางใจของลูกค้าผ่านการจัดหาดิสก์ออปติคอลอย่างต่อเนื่องในตลาดญี่ปุ่น และยังคงขายต่อไป

    การประกาศนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Sony ประกาศปิดโรงงานผลิตสื่อบันทึกข้อมูลในญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึง Blu-ray, MiniDiscs และ MiniDV cassettes ที่สามารถบันทึกได้ โรงงานสุดท้ายของ Sony ในญี่ปุ่นจะปิดตัวลงในเดือนนี้ และได้หยุดจัดหาสื่อบันทึก Blu-ray ให้กับผู้บริโภคตั้งแต่ฤดูร้อนที่ผ่านมา

    Verbatim ย้ำว่าการจัดหาสื่อบันทึกข้อมูลคุณภาพสูงให้กับลูกค้าชาวญี่ปุ่นเป็น "สิ่งสำคัญอันดับต้น" และจะยังคงให้บริการสื่อบันทึกข้อมูลเหล่านี้ต่อไป แม้ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

    นอกจากนี้ Verbatim ยังได้เปิดตัวฮาร์ดแวร์การอ่าน/เขียนดิสก์ออปติคอลใหม่ เช่น Slimline Blu-ray Writer ที่งาน CES 2025 ซึ่งเป็นเครื่องเขียน 4K ที่สามารถเล่น Ultra HD Blu-ray และใช้พลังงานจากสาย USB

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/verbatim-pledges-stable-supply-of-optical-disks-after-sony-japans-recordable-blu-ray-exit
    Verbatim และ I-O Data ได้ให้คำมั่นว่าจะยังคงสนับสนุนตลาดสื่อบันทึกข้อมูลแบบออปติคอล หลังจากที่ Sony Japan ประกาศถอนตัวจากตลาด Blu-ray ที่สามารถบันทึกได้ Verbatim ได้ออกแถลงการณ์บนเว็บไซต์ภาษาญี่ปุ่นของตนว่า จะตอบสนองความไว้วางใจของลูกค้าผ่านการจัดหาดิสก์ออปติคอลอย่างต่อเนื่องในตลาดญี่ปุ่น และยังคงขายต่อไป การประกาศนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Sony ประกาศปิดโรงงานผลิตสื่อบันทึกข้อมูลในญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึง Blu-ray, MiniDiscs และ MiniDV cassettes ที่สามารถบันทึกได้ โรงงานสุดท้ายของ Sony ในญี่ปุ่นจะปิดตัวลงในเดือนนี้ และได้หยุดจัดหาสื่อบันทึก Blu-ray ให้กับผู้บริโภคตั้งแต่ฤดูร้อนที่ผ่านมา Verbatim ย้ำว่าการจัดหาสื่อบันทึกข้อมูลคุณภาพสูงให้กับลูกค้าชาวญี่ปุ่นเป็น "สิ่งสำคัญอันดับต้น" และจะยังคงให้บริการสื่อบันทึกข้อมูลเหล่านี้ต่อไป แม้ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นอกจากนี้ Verbatim ยังได้เปิดตัวฮาร์ดแวร์การอ่าน/เขียนดิสก์ออปติคอลใหม่ เช่น Slimline Blu-ray Writer ที่งาน CES 2025 ซึ่งเป็นเครื่องเขียน 4K ที่สามารถเล่น Ultra HD Blu-ray และใช้พลังงานจากสาย USB https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/verbatim-pledges-stable-supply-of-optical-disks-after-sony-japans-recordable-blu-ray-exit
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Verbatim pledges 'stable supply of optical disks' after Sony Japan's recordable Blu-ray exit
    Says it will continue to supply recordable Blu-ray, DVD, and CDs to the Japan market.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงนี้อ่านเล่มไหนก็รู้สึกชอบและสนุกไปหมดเลยครับ อาจเพราะเป็นคนเลือกที่อยากอ่านเองจริง ๆ และก็มักไม่พบความผิดหวังกับเล่มที่เลือกนั้น ล่าสุดก็เรื่องนี้ที่สะดุดตาตั้งแต่ปกหน้า พอเจอในแอป hibrary ที่คนจองคิวไม่มาก และระบุว่าเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ระทึกขวัญกลางกรุงโตเกียว คิดว่าน่าสนใจจึงต่อคิวจอง และเมื่อวันก่อนครบกำหนดต้องคืน จึงรีบอ่านแบบติดเทอร์โบรวดเดียวจนจบทันก่อนเวลาเส้นตายแบบเฉียดฉิว เมื่ออ่านจบก็พบว่า

    "ดีจริงที่ตัดสินใจที่จะลองอ่าน ถ้าไม่งั้นคงน่าเสียดายยิ่ง"

    #silenttokyoandsothisisxmas
    สนพ.ไดฟุกุ (อ่านหนังสือของไดฟุกุติดกันหลายเล่ม เป็นสนพ.หนึ่งที่ผลิตหนังสือค่อนข้างคุณภาพทีเดียว แต่ผมอ่านแบบอีบุ๊ก)
    ฮาตะ ทาเคฮิโตะ เขียน
    เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒิ แปล
    248 หน้า 280 บาท
    พิมพ์ในญี่ปุ่นครั้งแรก 2559 ในไทยพิมพ์ครั้งแรกปี 2564

    คุณจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่าเมืองที่ตนอาศัยอยู่กำลังจะเกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ใจกลางกรุง?

    เริ่มเรื่องก็ระทึกขวัญแต่ต้น ด้วยการที่แม่บ้านวัยสี่สิบกว่ารายหนึ่งตั้งใจจะออกไปซื้อของขวัญให้สามี เพราะใกล้จะถึงคริสต์มาส เธอจึงออกจากบ้านไปยังย่านกลางเมือง หลังซื้อของแล้วจึงมานั่งรับแดดกะจะกินแซนด์วิช บนม้านั่งตัวหนึ่งที่ลานสาธารณะหน้าสถานีรถไฟเอบิสุ ครู่หนึ่งชายที่ไหนไม่รู้ เข้ามาคุยกับเธอพูดจาแปลก ๆ บอกว่าใต้ม้านั่งมีระเบิด ห้ามเธอลุกขึ้นไม่งั้นระเบิดจะทำงาน เพราะเมื่อมีน้ำหนักมากกว่า30กิโลกรัมกดทับ วงจรจะเริ่มเตรียมพร้อม ทางเดียวที่จะรอด เธอต้องนั่งรอจนกว่าจะมีคนจากสถานทีโทรทัศน์แห่งหนึ่งมาที่นี่ แล้วให้เขานั่งลงข้าง ๆ จากนั้นเธอจึงลุกขึ้นได้ แต่ให้บอกสิ่งที่เธอได้ยินนี้กับเขาด้วยเพื่อจะได้ไม่ตายเพราะระเบิด และสุดท้ายให้บอกเขาว่า นี่คือสงคราม!

    🧨

    จากจุดเริ่มนั้นเอง ที่สถานีโทรทัศน์แห่งนั้น มีสายโทรแจ้งว่าจะมีการระเบิดขึ้นที่...หนุ่มทำงานพาร์ตไทม์ในสถานีที่ได้รับงานเป็นเบ๊ทั่วไป ถูกสั่งให้ไปยังจุดดังกล่าวพร้อมจนท.อีกคนที่ติดอุปกรณ์การถ่ายทำไปด้วย ทั้งสองจำใจไปแต่เชื่อว่าคงเป็นการล้อกันเล่น เมื่อไปถึงพบหญิงที่นั่งอยู่ข้างม้านั่งที่คนในสายแจ้ง ทั้งสองเข้าไปใกล้กะจะไปนั่งม้านั่งใกล้กันเพื่อสังเกต แต่เธอกลับเรียกให้ชายที่ถือกล้องนั่งลงถามว่ามาจากสถานีโทรทัศน์ใช่ไหม เขาแปลกใจจึงนั่งลงจะสอบถาม เธอรีบกระโดดขึ้นทันทีพลางบอกรายละเอียดทั้งหมด

    🧨

    ชายที่นั่งไม่เชื่อจะลุก เธอรีบกดไหล่และหว่านล้อมว่าวิธีเดียวที่จะรอดคือต้องทำตามคำบอกของชายคนที่แจ้งรายละเอียดกับเธอไว้ในตอนแรก นั่นคือให้เขาใช้กล้องบันทึกสิ่งที่ตัวเองประสบแล้วเผยแพร่ออกไป จากนั้นเธอเอาของที่คล้ายนาฬิกาข้อมือดิจิทัลมาคล้องกับข้อมือของหนุ่มพาร์ตไทม์โดยเขาไม่ทันตั้งตัว พลางเธอชูให้ดูว่าที่ข้อมือตัวเองก็มี บอกว่านี่เป็นระเบิดด้วยเช่นกัน ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของชายแปลกหน้าที่เข้ามาคุยกับเธอ เขาจะสั่งงานระยะไกลให้นาฬิการะเบิด แล้วรีบบอกกับเด็กหนุ่มว่าต้องไปต่อที่แห่งหนึ่งตามคำสั่ง จากนั้นทิ้งชายที่น่าสงสารไว้ตามลำพัง ซึ่งเขาก็กลัวมากจึงรีบทำตามที่เธอบอก ในที่สุดเรื่องก็ทราบถึงตำรวจ จนแห่กันมากู้ระเบิดด้วยการใช้ไนโตรเจนเหลวกะให้หยุดการทำงานของระบบ ปรากฏว่าเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น

    🧨

    ที่แท้เป็นการข่มขู่ แค่ระเบิดเสียงแต่ยังไม่มีอำนาจทำลายล้าง ทว่าด้วยเหตุนี้ทางตำรวจสืบสวนกลางจึงตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลและสืบเรื่องนี้ขึ้น จากการวิเคราะห์ทำให้ตำรวจทราบว่า ระเบิดนั้นถูกติดตั้งตัวจับอุณหภูมิไว้ด้วย แสดงว่าคนที่ประกอบระเบิดเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ด้านนี้และคาดเดาได้ว่าตำรวจจะใช้ไนโตรเจนเหลว จึงดักทางด้วยการติดตั้งระบบให้ไม่อาจกู้ด้วยวิธีที่ตำรวจใช้ ในทีมสืบสวน มีการจับคู่ของนายตำรวจมากประสบการณ์วัยสี่สิบกว่ากับตำรวจหนุ่มไฟแรงคู่หนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการตามสืบข้อมูลเกี่ยวกับการระเบิดครั้งนี้อย่างกัดติด ด้วยตำรวจวัยกลางคนนั้นเคยแต่งงานกับลูกสาวของระดับสูงของหัวหน้าที่ตั้งทีมครั้งนี้ ทว่ามีเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ต้องหย่ากันไป อย่างไรเขาคือผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเกี่ยวกับสถานการณ์อันตราย

    🧨

    ด้านหญิงกลางคนกับหนุ่มพาร์ตไทม์ เดินทางไปยังอาคารหลังหนึ่งเป็นห้องเช่า ที่ภายในมีทีวีและอุปกรณ์กล้อง พร้อมซองสีขาวที่เขียนรายละเอียดบอกไว้ให้เด็กหนุ่มต้องอ่านข้อความตามที่มีบทพูดไว้ให้ โดยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนทำหน้าที่บันทึกภาพ จากนั้นให้นำโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นในยูทูปเห็น เนื้อหาสรุปคือให้บอกว่าผมคือผู้ที่วางระเบิดนั้นเอง และยื่นข้อเสนอขอคุยกับนายกถ่ายทอดออกทางสถานีโทรทัศน์ ถ้าไม่ทำตาม จะมีการวางระเบิดในย่านใจกลางชิบูย่า หน้ารูปปั้นหมาฮาจิโกะ เส้นตายคือ18.30น. ปรากฏว่านายกฯออกข่าวตอบโต้ว่าไม่ต้องการเจรจาใดกับผู้ก่อการร้ายทั้งสิ้น และจะทำสงครามกับคนไม่หวังดีอย่างถึงที่สุด

    🧨

    ด้านหนุ่มพาร์ตไทม์ได้รับคำสั่งต่อไปให้ไปทำคนเดียว จึงต้องแยกกับหญิงกลางคนที่ถูกให้เฝ้ารอคำสั่งอยู่ในห้องแห่งนั้น ส่วนตำรวจก็วิ่งขาขวิด ล้อมรั้วด้วยแถบเหลืองรอบรูปปั้นฮาจิโกะด้วยรัศมีประมาณหนึ่ง และให้หน่วยกอบกู้ระเบิดพยายามเร่งค้นหาวัตถุระเบิดที่ถูกซุกซ่อนอยู่ แต่คนโตเกียวและชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เข้าใจว่าคลิปที่เผยแพร่ น่าจะเป็นการหลอกลวงเหมือนเช่นระเบิดก่อนหน้าที่สถานีเอบิสุ จึงไม่รู้สึกกลัวแถมยังแห่มายังบริเวณลานอันเป็นสถานที่ถูกระบุ ด้วยต้องการมาเซลฟี่ตนเอง บ้างมาเป็นกลุ่ม เพื่ออัปโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นเห็น

    🧨

    มีหญิงสาวพนักงานบริษัทธรรมดาสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน คนหนึ่งเป็นชู้กับสามีของคนอื่นและคะยั้นคะยอชวนเพื่อนไปนัดบอดก่อนหน้านี้ ซึ่งเพื่อนของเธอเพิ่งอกหักจากแฟนที่รักกันมากว่าสิบปี แล้วทิ้งไปอยู่กับกิ๊กที่ตั้งท้องไม่กี่เดือน เพื่อนสาวคนนี้กำลังคิดจะเริ่มต้นใหม่และรู้สึกดีกับหนุ่มคนหนึ่งในงานนัดบอด โดยเขาคนนั้นเป็นเจ้าของบริษัทที่สร้างแอปพลิเคชันที่เปิดตัวดีและมีคนใช้เยอะ ธุรกิจไปได้สวยทั้งที่ยังอายุไม่มาก แต่ค่อนข้างเย็นชาไม่สนใจคนรอบข้าง สองสาวตั้งใจจะมากินอาหารฉลองก่อนคริสต์มาส แล้วเห็นหนุ่มคนที่ตนสนใจเข้าพอดีในสถานที่ใกล้รูปปั้นฮาจิโกะ เพื่อนคนที่ใจกล้าจึงชวนอีกคนว่าให้ลองตามไปดูเขาว่าทำไมถึงมาอยู่แถวชิบูย่า ทั้งที่ก่อนหน้าตอนเธอชวนมากินข้าวด้วยกัน ปฏิเสธว่ามีนัดสำคัญที่อื่น เธอไม่อยากไปแต่สุดท้ายก็โดนเพื่อนลากไปจนได้

    🧨

    ด้านตำรวจยังคงพยายามตามหาว่าระเบิดถูกซ่อนตรงไหน เวลากระชั้นสั้นเข้าใกล้ถึงกำหนดที่ถูกประกาศว่าจะมีการระเบิด แต่ผู้คนยิ่งมาออกันอย่างเนืองแน่นด้วยความสนุกสนาน

    สุดท้ายจึงเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่ เพราะมีการระเบิดขึ้นจริง ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แต่เรื่องราวไม่จบเท่านี้ เพราะหลังเหตุร้ายแรง นายกฯยังคงยืนยันคำพูดแข็งกร้าวเช่นเดิม ดังนั้นจึงมีข้อความต่อมาของคนร้ายที่แจ้งให้ทราบว่า ถ้านายกยังไม่ทำตามข้อเสนอ ระเบิดครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในคืนวันคริสต์มาสอีฟ คราวนี้บอกแค่เวลา แต่ไม่ระบุจุดที่จะระเบิด บอกเพียงว่าในกรุงโตเกียว

    🧨

    เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป..

    ตำรวจจะหาตัวคนร้ายเจอไหม ..

    สถานที่ใดจะเกิดระเบิดครั้งต่อไป..

    หญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงบริเวณย่านชิบูย่าตายหรือไม่..

    ชายคนที่หญิงสาวรู้สึกสนใจ ทำไมโกหกเธอ แล้วเขามาทำอะไร รอดตายหรือไม่..

    หญิงวัยกลางคนที่ประสบเหตุคนแรกเล่า ที่ข้อมือยังมีนาฬิกาที่พร้อมระเบิดถ้าขัดคำสั่งคนร้าย เธอถูกให้ทำเรื่องใดต่อไป..

    หนุ่มพาร์ตไทม์ที่ได้รับมอบหมายงานไปทำตามลำพัง จะรอดหรือไม่ ใคร ๆ ต่างเข้าใจว่าเขาคือคนร้ายไปหมดแล้ว ...

    ยังมีอีกหลายตัวละครที่มีบทบาทต่อเนื้อเรื่อง ที่ผมเล่าได้ไม่หมด ต้องไปหาอ่านกันต่อแล้วล่ะ

    .......

    ภาควิเคราะห์✒️

    ตัวละครเยอะ และโผล่มาเรื่อย ๆ เฉพาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลักก็เกือบสิบคน ยังมีประเภทโผล่มาประปรายเพราะมีความสัมพันธ์กับตัวละครที่เกี่ยวข้องอีกพอสมควร แต่เนื่องจากผมมีเวลาจำกัดที่ต้องอ่านให้จบทันก่อนหนังสือจะคืนเข้าระบบตามกำหนด จึงไม่สามารถค่อย ๆ เสพอ่านอย่างละเมียดบรรจง แต่ใช้วิธีอ่านแบบกวาดตาโดยไว ซึ่งปกติจะไม่อยากอ่านแบบนี้ถ้าไม่จำเป็น เนื่องจากจะจดจำชื่อตัวละคร หรือดื่มด่ำกับสำนวนและการบรรยายของผู้เขียนได้น้อย

    ✒️

    ดีที่เล่มนี้ไม่เน้นการบรรยายเยอะ แต่สนทนามากกว่า มีบรรยายบ้างแต่ไม่ยาวเป็นหน้า ค่อนข้างเดินเรื่องกระชับฉับไว ให้รายละเอียดเท่าที่จำเป็น ตัวละครคุยกันเยอะ ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังครับ ยิ่งอ่านประวัติคนเขียนด้วยจึงเข้าใจ เพราะเป็นทั้งนักเขียนหนังสือ นักเขียนบท โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ มิน่าล่ะจึงสะท้อนความเชี่ยวชาญและแนวคิดการทำงานในการผลิตหนัง มาใช้ในงานเขียนด้วย

    ✒️

    อ่านแล้วนึกถึงหนังเรื่อง pulp fiction เมื่อปี 2537 ครับ ลักษณะการเล่ามีความเดินเรื่องคล้ายอย่างในหนัง คือไม่ได้เล่าไปทีละลำดับ แต่สลับระหว่างตัวละครหลักกลับไปกลับมา ฉากโน้นฉากนี้ แล้วพอตัวละครเยอะ ก็จะเข้าใจยากหน่อย แต่พอนำมาร้อยเรียงกันเองในหัวแล้วจะเริ่มมองภาพใหญ่ออก เพียงแค่ผู้เขียนเลือกหยิบเล่าในบริเวณจำกัดของ jigsaw บางส่วนในภาพทั้งหมด แล้วกระโดดไปเล่ามุมอื่นของชีวิตตัวละครตัวอื่น วนไปวนมาแบบนี้ จนค่อย ๆ กลายเป็นภาพที่ต่อสำเร็จเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อย ๆ

    ✒️

    อ่านไปเหมือนจะงง แล้วพาลทำให้ไม่เข้าใจและไม่ชอบ หมดสนุกได้หากเราไม่คุ้นเคยกับการเล่าแบบนี้ ผมนึกถึงตัวเองตอนได้ดู pulp fiction ในโรงหนังลิโด้ครั้งแรกสมัยก่อน ถึงกับอุทานในใจ

    แหม..หนังอะไรวะเนี่ย ดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลย ตัวละครต่าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาแบบไม่มีต้น ไม่มีปลาย มาทำบ้าอะไรของมันเดี๋ยวเดียวก็ตัดไป กลายเป็นตัวอื่นโผล่มาแล้วก็ลักษณะเดียวกันคือไม่มีรายละเอียดให้รู้ งงไปจนแทบเลยกลางเรื่องไปพอสมควรแล้วนั่นแหละ แบบดูไปด่าไปในใจ แต่ก็ทนดูต่อไปเพราะอยากรู้ว่าตกลงเรื่องราวมันยังไงกันแน่

    ✒️

    พอดูจบถึงกับแทบโห่ร้องออกมาแบบไม่มีเสียง นี่มันหนังโคตรดี สุดยอดอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน คิดได้ยังไง ถ้าดำเนินเรื่องตามลำดับเวลาก่อนหลังที่ควรจะเป็น เราก็เข้าใจง่ายตั้งแต่ต้นละ แต่นี่ดันตัดเอาแค่บางช่วงสลับไปมาจนงงไปหมด ให้ไปต่อเอาเองในหัว

    หนังสือเล่มนี้ก็มีความคล้ายในการเล่าแบบหนังเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้มากเท่าและไม่ได้ชัดเจนเท่า ยังมีความเล่าตามลำดับในโครงสร้างใหญ่ไปตามวันที่เริ่มตั้งแต่ 22 ธันวาคม จนถึงก่อนวันคริสต์มาส แต่ทว่าจะมีช่วงที่เล่าให้ทราบถึงความเป็นไปในตัวละครบางตัวในอดีต เป็นเชิงภาคขยายจากในคราวแรกที่ไม่ได้ให้รายละเอียดตัวละครอะไรมากมาย

    ✒️

    กลางเล่มไปแล้วที่หลังเกิดเหตุระเบิดใหญ่อันน่าตกใจและมีการสูญเสียทำได้ดีทีเดียว ฉากกลางย่านชิบูย่าในภาพก่อนหน้าที่กำลังวุ่นวายและเต็มไปด้วยความเอะอะของเหล่าผู้คน ที่ไม่ตระหนักถึงอันตรายใดแล้วไม่สนใจคำเตือนตำรวจ กับภายหลังเหตุระเบิด รวมถึงความไต่ระดับของการเดินเรื่องที่บางตัวละครพยายามตามหาความจริง จิกกัดไม่ปล่อย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่ตำรวจและยังเป็นผู้หญิง มีฉากหนึ่งที่อ่านแล้วอดนึกไม่ได้ว่า

    "อยากตายนักหรือไง"

    เพราะเธอไปจี้ถาม คุ้ยแคะแกะแผลจะคาดคั้นเอาคำตอบกับคนที่น่าสงสัยให้ได้ ช่วงบทสนทนาตอนนั้นคือลุ้นมาก นางปากดีคนนี้จะถูกหมกตายไหมเนี่ย ช่างปากกล้า ปากเก่งในเวลาที่ไม่ควรจริง ๆ แล้วเหตุการณ์ต่อจากฉากนั้น ก็ทำเอาแทบกลั้นลมหายใจอ่านทีเดียว

    ✒️

    ผู้เขียนฉลาดในการหลอกล่อคนอ่านมาตั้งแต่ต้นเริ่มเรื่องทีเดียว เรียกว่าเอาอยู่ หัวปั่นเพราะเบาะแสที่ให้มาทีละนิด เราก็คิดว่าเออ คนนี้หรือคนนั้นมีแววนะว่าอาจจะใช่คนร้ายที่เจ้าแผนการทั้งหมด เพียงเพื่อสุดท้ายจะพบกับความพลิกเหมือนลูกรูบิกที่บิดที สีที่เหมือนจะเรียงกันได้ครบ แต่ทำเอาแทบสลบเพราะนอกจากไม่เรียงสำเร็จทุกสี ยังเหมือนวิ่งหนีออกไปไกลกว่าเก่า

    อ้าว..ที่แท้คนนี้เองเหรอ..เราหมุนไปผิดทางตั้งแต่แรกเลยเหรอเนี่ย

    พอย้อนไปเก็บรายละเอียดหลังอ่านจบ โดยทวนเนื้อหาใหม่ในบางช่วงบางบทสนทนา การบรรยายรายละเอียดที่ผู้เขียนใส่ไว้ใหม่ จึงเกิดความรู้สึกเหมือน อะไรที่มันขัดกันในหัว หมุนเคลื่อนตัวลงล็อกดัง "กริ๊ก" ในตำแหน่งที่ถูกต้องเป๊ะ

    ✒️

    เราอ่านไม่ดีเองตั้งแต่แรก ละเลยส่วนสำคัญไปเพราะไม่ละเอียดและไม่คิดตามมากพอ แท้จริงร่องรอยของความจริงได้วางไว้ให้เห็นอยู่แล้ว ช่างสุดยอดจริง ๆ สมกับที่เล่มนี้ขายดีในญี่ปุ่น รวมถึงตอนสร้างเป็นหนังก็มีผลตอบรับดีด้วย (ตามที่ในหนังสือระบุไว้ในช่วงคำนำสำนักพิมพ์ หรือความในใจของผู้แปลก็ไม่แน่ใจ)

    ชอบที่ตอนจบ บทสรุปที่ให้คนอ่านได้เก็บไปคิดทบทวนถึงสิ่งที่คนเขียนต้องการสื่อไปถึงชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ หรือที่จริงชาวโลกก็ว่าได้ เกี่ยวกับสงครามว่าคือสิ่งที่นักการเมือง ผู้มีอำนาจ และพลเมืองที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ ควรจะปฏิบัติเช่นไร หรือไม่ควรปฏิบัติเช่นไร

    ✒️บทสรุปของคนร้ายจะตายหรือไม่

    ตอนที่เรื่องเฉลยโดยให้คนร้ายบอกเล่าความจริงในใจกับใครคนหนึ่งนั้น รู้สึกชอบวิธีเฉลยที่ผู้เขียนเลือกใช้ครับ รูปแบบเรียบง่ายแต่เข้ากับนิสัยของตัวละครตัวนี้ดี บ่งบอกตัวตนของคนคนนี้ได้ค่อนข้างชัดเจน

    คนอ่านหลายคนอาจไม่ชอบเหตุผลและแรงจูงใจของคนร้าย และไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ แต่ผมคิดว่าพอจะเข้าใจนะ แต่ไม่ใช่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนร้ายเลือกกระทำ คนเราเมื่อยึดติดในสิ่งใด สัตว์ใด คนใด ความเชื่อใดมากจนฝังแน่นไปถึงจิต

    ✒️

    มันยากเหลือเกินที่จะลบล้างเอาเจ้าความคิดนั้นให้หลุดออกไปได้ ในแง่นี้ผมจึงคิดว่าเข้าใจและเห็นใจสงสารคนร้ายพอสมควร ส่วนประชาชนคนที่ตายไปมากมายนั้น หากพูดกันอย่างไม่อคติ จะไปโทษคนร้ายทั้งหมดก็ไม่ได้ แท้จริงเหล่าคนที่ตายไป จะมากน้อยเพราะเขาทำตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่อันตราย ทั้งที่ทางตำรวจก็แจ้งเตือน ห้ามปราม แต่ก็ไม่สนใจ รวมถึงพวกสื่อต่าง ๆ ที่เอาแต่อยากทำข่าวโดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ทำนั้นจะส่งผลให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมหรือเป็นอันตรายต่อสังคม ประชาชนและประเทศชาติหรือไม่

    ผมว่าเล่มนี้สะท้อนมุมมองเรื่องเหล่านี้ได้ดี

    แต่เหนืออื่นใดคือฉากจบที่ตัวละครหนึ่งที่น่าสงสารและน่าเห็นใจมาก แต่กลับเป็นฝ่ายพูดและให้กำลังใจกับตัวละครอีกตัวที่บาดเจ็บทางใจอย่างร้ายแรงได้อย่างเข้าถึงจิตใจภายใน ราวกับคำพูดนั้นไปสัมผัสและลูบไล้ที่หัวใจด้วยความแผ่วเบาที่สุด

    ช่างอบอุ่นหัวใจดีเหลือเกิน หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ประสบมา

    สำนวนแปลอ่านได้อย่างไม่รู้สึกสะดุด

    ..........

    อ่านจบ ไปลองค้นข้อมูลที่มีการสร้างเป็นหนังต่อ พอเห็นภาพโปสเตอร์ยิ่งอยากดูมาก เพราะมีนักแสดงคนโปรดเล่นด้วยนั่นคือ อิชิดะ ยูริโกะ และคนอื่น ๆ ก็ต่างเป็นนักแสดงคุณภาพทั้งนั้น สุดท้ายเจอที่มีคนทำซับบรรยายไทย จึงโหลดมาชม แต่ดูจบแล้วพบว่า ฉบับหนังสือดีกว่าพอสมควร คือหนังสร้างออกมาได้โอเคอยู่ นักแสดงก็ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองได้ดี แต่มันมีอยู่หลายช่วงที่รู้สึกว่าน่าจะเล่าได้ดีกว่านี้ อาจเพราะเวลาจำกัด รายละเอียดมากมายจึงใส่มาได้ไม่หมด จึงทำให้ลดความสนุกลงไปจากฉบับหนังสือเยอะเลย

    แต่ฉากสำคัญที่เกิดระเบิดกลางย่านชิบูย่าทำออกมาได้ดี

    ใครสนใจลองไปหาชมดูครับ

    สุดท้ายขอจบด้วยประโยคที่ตัวละครสองตัวในเรื่องเอ่ยไว้ได้อย่างน่าประทับใจ โดยระบุว่าเป็นคำกล่าวของนักเขียนนิยายที่มีชื่อว่า Stephen King

    "ผู้ชนะในการแข่งขันปาขี้คือคนที่มือเปื้อนน้อยที่สุด คนมีคุณภาพคือคนที่ไม่ทำให้มือตัวเองเปื้อนจากอะไรไร้สาระอย่างการขว้างปาเจตนาร้ายใส่คนอื่น"

    #หนังญี่ปุ่น
    #หนังน่าดู
    #หนังสือน่าอ่าน
    #บทความ
    #รีววิหนังสือ
    #thaitimes
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #ระเบิดกลางกรุง
    #โตเกียว
    #สงคราม
    #แง่คิด
    #ระทึกขวัญ
    #สืบสวน
    #ก่อการร้าย
    ช่วงนี้อ่านเล่มไหนก็รู้สึกชอบและสนุกไปหมดเลยครับ อาจเพราะเป็นคนเลือกที่อยากอ่านเองจริง ๆ และก็มักไม่พบความผิดหวังกับเล่มที่เลือกนั้น ล่าสุดก็เรื่องนี้ที่สะดุดตาตั้งแต่ปกหน้า พอเจอในแอป hibrary ที่คนจองคิวไม่มาก และระบุว่าเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ระทึกขวัญกลางกรุงโตเกียว คิดว่าน่าสนใจจึงต่อคิวจอง และเมื่อวันก่อนครบกำหนดต้องคืน จึงรีบอ่านแบบติดเทอร์โบรวดเดียวจนจบทันก่อนเวลาเส้นตายแบบเฉียดฉิว เมื่ออ่านจบก็พบว่า "ดีจริงที่ตัดสินใจที่จะลองอ่าน ถ้าไม่งั้นคงน่าเสียดายยิ่ง" #silenttokyoandsothisisxmas สนพ.ไดฟุกุ (อ่านหนังสือของไดฟุกุติดกันหลายเล่ม เป็นสนพ.หนึ่งที่ผลิตหนังสือค่อนข้างคุณภาพทีเดียว แต่ผมอ่านแบบอีบุ๊ก) ฮาตะ ทาเคฮิโตะ เขียน เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒิ แปล 248 หน้า 280 บาท พิมพ์ในญี่ปุ่นครั้งแรก 2559 ในไทยพิมพ์ครั้งแรกปี 2564 คุณจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่าเมืองที่ตนอาศัยอยู่กำลังจะเกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ใจกลางกรุง? เริ่มเรื่องก็ระทึกขวัญแต่ต้น ด้วยการที่แม่บ้านวัยสี่สิบกว่ารายหนึ่งตั้งใจจะออกไปซื้อของขวัญให้สามี เพราะใกล้จะถึงคริสต์มาส เธอจึงออกจากบ้านไปยังย่านกลางเมือง หลังซื้อของแล้วจึงมานั่งรับแดดกะจะกินแซนด์วิช บนม้านั่งตัวหนึ่งที่ลานสาธารณะหน้าสถานีรถไฟเอบิสุ ครู่หนึ่งชายที่ไหนไม่รู้ เข้ามาคุยกับเธอพูดจาแปลก ๆ บอกว่าใต้ม้านั่งมีระเบิด ห้ามเธอลุกขึ้นไม่งั้นระเบิดจะทำงาน เพราะเมื่อมีน้ำหนักมากกว่า30กิโลกรัมกดทับ วงจรจะเริ่มเตรียมพร้อม ทางเดียวที่จะรอด เธอต้องนั่งรอจนกว่าจะมีคนจากสถานทีโทรทัศน์แห่งหนึ่งมาที่นี่ แล้วให้เขานั่งลงข้าง ๆ จากนั้นเธอจึงลุกขึ้นได้ แต่ให้บอกสิ่งที่เธอได้ยินนี้กับเขาด้วยเพื่อจะได้ไม่ตายเพราะระเบิด และสุดท้ายให้บอกเขาว่า นี่คือสงคราม! 🧨 จากจุดเริ่มนั้นเอง ที่สถานีโทรทัศน์แห่งนั้น มีสายโทรแจ้งว่าจะมีการระเบิดขึ้นที่...หนุ่มทำงานพาร์ตไทม์ในสถานีที่ได้รับงานเป็นเบ๊ทั่วไป ถูกสั่งให้ไปยังจุดดังกล่าวพร้อมจนท.อีกคนที่ติดอุปกรณ์การถ่ายทำไปด้วย ทั้งสองจำใจไปแต่เชื่อว่าคงเป็นการล้อกันเล่น เมื่อไปถึงพบหญิงที่นั่งอยู่ข้างม้านั่งที่คนในสายแจ้ง ทั้งสองเข้าไปใกล้กะจะไปนั่งม้านั่งใกล้กันเพื่อสังเกต แต่เธอกลับเรียกให้ชายที่ถือกล้องนั่งลงถามว่ามาจากสถานีโทรทัศน์ใช่ไหม เขาแปลกใจจึงนั่งลงจะสอบถาม เธอรีบกระโดดขึ้นทันทีพลางบอกรายละเอียดทั้งหมด 🧨 ชายที่นั่งไม่เชื่อจะลุก เธอรีบกดไหล่และหว่านล้อมว่าวิธีเดียวที่จะรอดคือต้องทำตามคำบอกของชายคนที่แจ้งรายละเอียดกับเธอไว้ในตอนแรก นั่นคือให้เขาใช้กล้องบันทึกสิ่งที่ตัวเองประสบแล้วเผยแพร่ออกไป จากนั้นเธอเอาของที่คล้ายนาฬิกาข้อมือดิจิทัลมาคล้องกับข้อมือของหนุ่มพาร์ตไทม์โดยเขาไม่ทันตั้งตัว พลางเธอชูให้ดูว่าที่ข้อมือตัวเองก็มี บอกว่านี่เป็นระเบิดด้วยเช่นกัน ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของชายแปลกหน้าที่เข้ามาคุยกับเธอ เขาจะสั่งงานระยะไกลให้นาฬิการะเบิด แล้วรีบบอกกับเด็กหนุ่มว่าต้องไปต่อที่แห่งหนึ่งตามคำสั่ง จากนั้นทิ้งชายที่น่าสงสารไว้ตามลำพัง ซึ่งเขาก็กลัวมากจึงรีบทำตามที่เธอบอก ในที่สุดเรื่องก็ทราบถึงตำรวจ จนแห่กันมากู้ระเบิดด้วยการใช้ไนโตรเจนเหลวกะให้หยุดการทำงานของระบบ ปรากฏว่าเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น 🧨 ที่แท้เป็นการข่มขู่ แค่ระเบิดเสียงแต่ยังไม่มีอำนาจทำลายล้าง ทว่าด้วยเหตุนี้ทางตำรวจสืบสวนกลางจึงตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลและสืบเรื่องนี้ขึ้น จากการวิเคราะห์ทำให้ตำรวจทราบว่า ระเบิดนั้นถูกติดตั้งตัวจับอุณหภูมิไว้ด้วย แสดงว่าคนที่ประกอบระเบิดเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ด้านนี้และคาดเดาได้ว่าตำรวจจะใช้ไนโตรเจนเหลว จึงดักทางด้วยการติดตั้งระบบให้ไม่อาจกู้ด้วยวิธีที่ตำรวจใช้ ในทีมสืบสวน มีการจับคู่ของนายตำรวจมากประสบการณ์วัยสี่สิบกว่ากับตำรวจหนุ่มไฟแรงคู่หนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการตามสืบข้อมูลเกี่ยวกับการระเบิดครั้งนี้อย่างกัดติด ด้วยตำรวจวัยกลางคนนั้นเคยแต่งงานกับลูกสาวของระดับสูงของหัวหน้าที่ตั้งทีมครั้งนี้ ทว่ามีเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ต้องหย่ากันไป อย่างไรเขาคือผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเกี่ยวกับสถานการณ์อันตราย 🧨 ด้านหญิงกลางคนกับหนุ่มพาร์ตไทม์ เดินทางไปยังอาคารหลังหนึ่งเป็นห้องเช่า ที่ภายในมีทีวีและอุปกรณ์กล้อง พร้อมซองสีขาวที่เขียนรายละเอียดบอกไว้ให้เด็กหนุ่มต้องอ่านข้อความตามที่มีบทพูดไว้ให้ โดยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนทำหน้าที่บันทึกภาพ จากนั้นให้นำโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นในยูทูปเห็น เนื้อหาสรุปคือให้บอกว่าผมคือผู้ที่วางระเบิดนั้นเอง และยื่นข้อเสนอขอคุยกับนายกถ่ายทอดออกทางสถานีโทรทัศน์ ถ้าไม่ทำตาม จะมีการวางระเบิดในย่านใจกลางชิบูย่า หน้ารูปปั้นหมาฮาจิโกะ เส้นตายคือ18.30น. ปรากฏว่านายกฯออกข่าวตอบโต้ว่าไม่ต้องการเจรจาใดกับผู้ก่อการร้ายทั้งสิ้น และจะทำสงครามกับคนไม่หวังดีอย่างถึงที่สุด 🧨 ด้านหนุ่มพาร์ตไทม์ได้รับคำสั่งต่อไปให้ไปทำคนเดียว จึงต้องแยกกับหญิงกลางคนที่ถูกให้เฝ้ารอคำสั่งอยู่ในห้องแห่งนั้น ส่วนตำรวจก็วิ่งขาขวิด ล้อมรั้วด้วยแถบเหลืองรอบรูปปั้นฮาจิโกะด้วยรัศมีประมาณหนึ่ง และให้หน่วยกอบกู้ระเบิดพยายามเร่งค้นหาวัตถุระเบิดที่ถูกซุกซ่อนอยู่ แต่คนโตเกียวและชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เข้าใจว่าคลิปที่เผยแพร่ น่าจะเป็นการหลอกลวงเหมือนเช่นระเบิดก่อนหน้าที่สถานีเอบิสุ จึงไม่รู้สึกกลัวแถมยังแห่มายังบริเวณลานอันเป็นสถานที่ถูกระบุ ด้วยต้องการมาเซลฟี่ตนเอง บ้างมาเป็นกลุ่ม เพื่ออัปโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นเห็น 🧨 มีหญิงสาวพนักงานบริษัทธรรมดาสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน คนหนึ่งเป็นชู้กับสามีของคนอื่นและคะยั้นคะยอชวนเพื่อนไปนัดบอดก่อนหน้านี้ ซึ่งเพื่อนของเธอเพิ่งอกหักจากแฟนที่รักกันมากว่าสิบปี แล้วทิ้งไปอยู่กับกิ๊กที่ตั้งท้องไม่กี่เดือน เพื่อนสาวคนนี้กำลังคิดจะเริ่มต้นใหม่และรู้สึกดีกับหนุ่มคนหนึ่งในงานนัดบอด โดยเขาคนนั้นเป็นเจ้าของบริษัทที่สร้างแอปพลิเคชันที่เปิดตัวดีและมีคนใช้เยอะ ธุรกิจไปได้สวยทั้งที่ยังอายุไม่มาก แต่ค่อนข้างเย็นชาไม่สนใจคนรอบข้าง สองสาวตั้งใจจะมากินอาหารฉลองก่อนคริสต์มาส แล้วเห็นหนุ่มคนที่ตนสนใจเข้าพอดีในสถานที่ใกล้รูปปั้นฮาจิโกะ เพื่อนคนที่ใจกล้าจึงชวนอีกคนว่าให้ลองตามไปดูเขาว่าทำไมถึงมาอยู่แถวชิบูย่า ทั้งที่ก่อนหน้าตอนเธอชวนมากินข้าวด้วยกัน ปฏิเสธว่ามีนัดสำคัญที่อื่น เธอไม่อยากไปแต่สุดท้ายก็โดนเพื่อนลากไปจนได้ 🧨 ด้านตำรวจยังคงพยายามตามหาว่าระเบิดถูกซ่อนตรงไหน เวลากระชั้นสั้นเข้าใกล้ถึงกำหนดที่ถูกประกาศว่าจะมีการระเบิด แต่ผู้คนยิ่งมาออกันอย่างเนืองแน่นด้วยความสนุกสนาน สุดท้ายจึงเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่ เพราะมีการระเบิดขึ้นจริง ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แต่เรื่องราวไม่จบเท่านี้ เพราะหลังเหตุร้ายแรง นายกฯยังคงยืนยันคำพูดแข็งกร้าวเช่นเดิม ดังนั้นจึงมีข้อความต่อมาของคนร้ายที่แจ้งให้ทราบว่า ถ้านายกยังไม่ทำตามข้อเสนอ ระเบิดครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในคืนวันคริสต์มาสอีฟ คราวนี้บอกแค่เวลา แต่ไม่ระบุจุดที่จะระเบิด บอกเพียงว่าในกรุงโตเกียว 🧨 เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป.. ตำรวจจะหาตัวคนร้ายเจอไหม .. สถานที่ใดจะเกิดระเบิดครั้งต่อไป.. หญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงบริเวณย่านชิบูย่าตายหรือไม่.. ชายคนที่หญิงสาวรู้สึกสนใจ ทำไมโกหกเธอ แล้วเขามาทำอะไร รอดตายหรือไม่.. หญิงวัยกลางคนที่ประสบเหตุคนแรกเล่า ที่ข้อมือยังมีนาฬิกาที่พร้อมระเบิดถ้าขัดคำสั่งคนร้าย เธอถูกให้ทำเรื่องใดต่อไป.. หนุ่มพาร์ตไทม์ที่ได้รับมอบหมายงานไปทำตามลำพัง จะรอดหรือไม่ ใคร ๆ ต่างเข้าใจว่าเขาคือคนร้ายไปหมดแล้ว ... ยังมีอีกหลายตัวละครที่มีบทบาทต่อเนื้อเรื่อง ที่ผมเล่าได้ไม่หมด ต้องไปหาอ่านกันต่อแล้วล่ะ ....... ภาควิเคราะห์✒️ ตัวละครเยอะ และโผล่มาเรื่อย ๆ เฉพาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลักก็เกือบสิบคน ยังมีประเภทโผล่มาประปรายเพราะมีความสัมพันธ์กับตัวละครที่เกี่ยวข้องอีกพอสมควร แต่เนื่องจากผมมีเวลาจำกัดที่ต้องอ่านให้จบทันก่อนหนังสือจะคืนเข้าระบบตามกำหนด จึงไม่สามารถค่อย ๆ เสพอ่านอย่างละเมียดบรรจง แต่ใช้วิธีอ่านแบบกวาดตาโดยไว ซึ่งปกติจะไม่อยากอ่านแบบนี้ถ้าไม่จำเป็น เนื่องจากจะจดจำชื่อตัวละคร หรือดื่มด่ำกับสำนวนและการบรรยายของผู้เขียนได้น้อย ✒️ ดีที่เล่มนี้ไม่เน้นการบรรยายเยอะ แต่สนทนามากกว่า มีบรรยายบ้างแต่ไม่ยาวเป็นหน้า ค่อนข้างเดินเรื่องกระชับฉับไว ให้รายละเอียดเท่าที่จำเป็น ตัวละครคุยกันเยอะ ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังครับ ยิ่งอ่านประวัติคนเขียนด้วยจึงเข้าใจ เพราะเป็นทั้งนักเขียนหนังสือ นักเขียนบท โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ มิน่าล่ะจึงสะท้อนความเชี่ยวชาญและแนวคิดการทำงานในการผลิตหนัง มาใช้ในงานเขียนด้วย ✒️ อ่านแล้วนึกถึงหนังเรื่อง pulp fiction เมื่อปี 2537 ครับ ลักษณะการเล่ามีความเดินเรื่องคล้ายอย่างในหนัง คือไม่ได้เล่าไปทีละลำดับ แต่สลับระหว่างตัวละครหลักกลับไปกลับมา ฉากโน้นฉากนี้ แล้วพอตัวละครเยอะ ก็จะเข้าใจยากหน่อย แต่พอนำมาร้อยเรียงกันเองในหัวแล้วจะเริ่มมองภาพใหญ่ออก เพียงแค่ผู้เขียนเลือกหยิบเล่าในบริเวณจำกัดของ jigsaw บางส่วนในภาพทั้งหมด แล้วกระโดดไปเล่ามุมอื่นของชีวิตตัวละครตัวอื่น วนไปวนมาแบบนี้ จนค่อย ๆ กลายเป็นภาพที่ต่อสำเร็จเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ✒️ อ่านไปเหมือนจะงง แล้วพาลทำให้ไม่เข้าใจและไม่ชอบ หมดสนุกได้หากเราไม่คุ้นเคยกับการเล่าแบบนี้ ผมนึกถึงตัวเองตอนได้ดู pulp fiction ในโรงหนังลิโด้ครั้งแรกสมัยก่อน ถึงกับอุทานในใจ แหม..หนังอะไรวะเนี่ย ดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลย ตัวละครต่าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาแบบไม่มีต้น ไม่มีปลาย มาทำบ้าอะไรของมันเดี๋ยวเดียวก็ตัดไป กลายเป็นตัวอื่นโผล่มาแล้วก็ลักษณะเดียวกันคือไม่มีรายละเอียดให้รู้ งงไปจนแทบเลยกลางเรื่องไปพอสมควรแล้วนั่นแหละ แบบดูไปด่าไปในใจ แต่ก็ทนดูต่อไปเพราะอยากรู้ว่าตกลงเรื่องราวมันยังไงกันแน่ ✒️ พอดูจบถึงกับแทบโห่ร้องออกมาแบบไม่มีเสียง นี่มันหนังโคตรดี สุดยอดอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน คิดได้ยังไง ถ้าดำเนินเรื่องตามลำดับเวลาก่อนหลังที่ควรจะเป็น เราก็เข้าใจง่ายตั้งแต่ต้นละ แต่นี่ดันตัดเอาแค่บางช่วงสลับไปมาจนงงไปหมด ให้ไปต่อเอาเองในหัว หนังสือเล่มนี้ก็มีความคล้ายในการเล่าแบบหนังเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้มากเท่าและไม่ได้ชัดเจนเท่า ยังมีความเล่าตามลำดับในโครงสร้างใหญ่ไปตามวันที่เริ่มตั้งแต่ 22 ธันวาคม จนถึงก่อนวันคริสต์มาส แต่ทว่าจะมีช่วงที่เล่าให้ทราบถึงความเป็นไปในตัวละครบางตัวในอดีต เป็นเชิงภาคขยายจากในคราวแรกที่ไม่ได้ให้รายละเอียดตัวละครอะไรมากมาย ✒️ กลางเล่มไปแล้วที่หลังเกิดเหตุระเบิดใหญ่อันน่าตกใจและมีการสูญเสียทำได้ดีทีเดียว ฉากกลางย่านชิบูย่าในภาพก่อนหน้าที่กำลังวุ่นวายและเต็มไปด้วยความเอะอะของเหล่าผู้คน ที่ไม่ตระหนักถึงอันตรายใดแล้วไม่สนใจคำเตือนตำรวจ กับภายหลังเหตุระเบิด รวมถึงความไต่ระดับของการเดินเรื่องที่บางตัวละครพยายามตามหาความจริง จิกกัดไม่ปล่อย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่ตำรวจและยังเป็นผู้หญิง มีฉากหนึ่งที่อ่านแล้วอดนึกไม่ได้ว่า "อยากตายนักหรือไง" เพราะเธอไปจี้ถาม คุ้ยแคะแกะแผลจะคาดคั้นเอาคำตอบกับคนที่น่าสงสัยให้ได้ ช่วงบทสนทนาตอนนั้นคือลุ้นมาก นางปากดีคนนี้จะถูกหมกตายไหมเนี่ย ช่างปากกล้า ปากเก่งในเวลาที่ไม่ควรจริง ๆ แล้วเหตุการณ์ต่อจากฉากนั้น ก็ทำเอาแทบกลั้นลมหายใจอ่านทีเดียว ✒️ ผู้เขียนฉลาดในการหลอกล่อคนอ่านมาตั้งแต่ต้นเริ่มเรื่องทีเดียว เรียกว่าเอาอยู่ หัวปั่นเพราะเบาะแสที่ให้มาทีละนิด เราก็คิดว่าเออ คนนี้หรือคนนั้นมีแววนะว่าอาจจะใช่คนร้ายที่เจ้าแผนการทั้งหมด เพียงเพื่อสุดท้ายจะพบกับความพลิกเหมือนลูกรูบิกที่บิดที สีที่เหมือนจะเรียงกันได้ครบ แต่ทำเอาแทบสลบเพราะนอกจากไม่เรียงสำเร็จทุกสี ยังเหมือนวิ่งหนีออกไปไกลกว่าเก่า อ้าว..ที่แท้คนนี้เองเหรอ..เราหมุนไปผิดทางตั้งแต่แรกเลยเหรอเนี่ย พอย้อนไปเก็บรายละเอียดหลังอ่านจบ โดยทวนเนื้อหาใหม่ในบางช่วงบางบทสนทนา การบรรยายรายละเอียดที่ผู้เขียนใส่ไว้ใหม่ จึงเกิดความรู้สึกเหมือน อะไรที่มันขัดกันในหัว หมุนเคลื่อนตัวลงล็อกดัง "กริ๊ก" ในตำแหน่งที่ถูกต้องเป๊ะ ✒️ เราอ่านไม่ดีเองตั้งแต่แรก ละเลยส่วนสำคัญไปเพราะไม่ละเอียดและไม่คิดตามมากพอ แท้จริงร่องรอยของความจริงได้วางไว้ให้เห็นอยู่แล้ว ช่างสุดยอดจริง ๆ สมกับที่เล่มนี้ขายดีในญี่ปุ่น รวมถึงตอนสร้างเป็นหนังก็มีผลตอบรับดีด้วย (ตามที่ในหนังสือระบุไว้ในช่วงคำนำสำนักพิมพ์ หรือความในใจของผู้แปลก็ไม่แน่ใจ) ชอบที่ตอนจบ บทสรุปที่ให้คนอ่านได้เก็บไปคิดทบทวนถึงสิ่งที่คนเขียนต้องการสื่อไปถึงชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ หรือที่จริงชาวโลกก็ว่าได้ เกี่ยวกับสงครามว่าคือสิ่งที่นักการเมือง ผู้มีอำนาจ และพลเมืองที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ ควรจะปฏิบัติเช่นไร หรือไม่ควรปฏิบัติเช่นไร ✒️บทสรุปของคนร้ายจะตายหรือไม่ ตอนที่เรื่องเฉลยโดยให้คนร้ายบอกเล่าความจริงในใจกับใครคนหนึ่งนั้น รู้สึกชอบวิธีเฉลยที่ผู้เขียนเลือกใช้ครับ รูปแบบเรียบง่ายแต่เข้ากับนิสัยของตัวละครตัวนี้ดี บ่งบอกตัวตนของคนคนนี้ได้ค่อนข้างชัดเจน คนอ่านหลายคนอาจไม่ชอบเหตุผลและแรงจูงใจของคนร้าย และไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ แต่ผมคิดว่าพอจะเข้าใจนะ แต่ไม่ใช่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนร้ายเลือกกระทำ คนเราเมื่อยึดติดในสิ่งใด สัตว์ใด คนใด ความเชื่อใดมากจนฝังแน่นไปถึงจิต ✒️ มันยากเหลือเกินที่จะลบล้างเอาเจ้าความคิดนั้นให้หลุดออกไปได้ ในแง่นี้ผมจึงคิดว่าเข้าใจและเห็นใจสงสารคนร้ายพอสมควร ส่วนประชาชนคนที่ตายไปมากมายนั้น หากพูดกันอย่างไม่อคติ จะไปโทษคนร้ายทั้งหมดก็ไม่ได้ แท้จริงเหล่าคนที่ตายไป จะมากน้อยเพราะเขาทำตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่อันตราย ทั้งที่ทางตำรวจก็แจ้งเตือน ห้ามปราม แต่ก็ไม่สนใจ รวมถึงพวกสื่อต่าง ๆ ที่เอาแต่อยากทำข่าวโดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ทำนั้นจะส่งผลให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมหรือเป็นอันตรายต่อสังคม ประชาชนและประเทศชาติหรือไม่ ผมว่าเล่มนี้สะท้อนมุมมองเรื่องเหล่านี้ได้ดี แต่เหนืออื่นใดคือฉากจบที่ตัวละครหนึ่งที่น่าสงสารและน่าเห็นใจมาก แต่กลับเป็นฝ่ายพูดและให้กำลังใจกับตัวละครอีกตัวที่บาดเจ็บทางใจอย่างร้ายแรงได้อย่างเข้าถึงจิตใจภายใน ราวกับคำพูดนั้นไปสัมผัสและลูบไล้ที่หัวใจด้วยความแผ่วเบาที่สุด ช่างอบอุ่นหัวใจดีเหลือเกิน หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ประสบมา สำนวนแปลอ่านได้อย่างไม่รู้สึกสะดุด .......... อ่านจบ ไปลองค้นข้อมูลที่มีการสร้างเป็นหนังต่อ พอเห็นภาพโปสเตอร์ยิ่งอยากดูมาก เพราะมีนักแสดงคนโปรดเล่นด้วยนั่นคือ อิชิดะ ยูริโกะ และคนอื่น ๆ ก็ต่างเป็นนักแสดงคุณภาพทั้งนั้น สุดท้ายเจอที่มีคนทำซับบรรยายไทย จึงโหลดมาชม แต่ดูจบแล้วพบว่า ฉบับหนังสือดีกว่าพอสมควร คือหนังสร้างออกมาได้โอเคอยู่ นักแสดงก็ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองได้ดี แต่มันมีอยู่หลายช่วงที่รู้สึกว่าน่าจะเล่าได้ดีกว่านี้ อาจเพราะเวลาจำกัด รายละเอียดมากมายจึงใส่มาได้ไม่หมด จึงทำให้ลดความสนุกลงไปจากฉบับหนังสือเยอะเลย แต่ฉากสำคัญที่เกิดระเบิดกลางย่านชิบูย่าทำออกมาได้ดี ใครสนใจลองไปหาชมดูครับ สุดท้ายขอจบด้วยประโยคที่ตัวละครสองตัวในเรื่องเอ่ยไว้ได้อย่างน่าประทับใจ โดยระบุว่าเป็นคำกล่าวของนักเขียนนิยายที่มีชื่อว่า Stephen King "ผู้ชนะในการแข่งขันปาขี้คือคนที่มือเปื้อนน้อยที่สุด คนมีคุณภาพคือคนที่ไม่ทำให้มือตัวเองเปื้อนจากอะไรไร้สาระอย่างการขว้างปาเจตนาร้ายใส่คนอื่น" #หนังญี่ปุ่น #หนังน่าดู #หนังสือน่าอ่าน #บทความ #รีววิหนังสือ #thaitimes #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #ระเบิดกลางกรุง #โตเกียว #สงคราม #แง่คิด #ระทึกขวัญ #สืบสวน #ก่อการร้าย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1077 มุมมอง 0 รีวิว
  • 24/1/68

    ในประเทศญี่ปุ่นไม่มีวันครู
    …วันหนึ่งฉันถามเพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นของฉัน ครู
    ยามาโมตะว่า
    - คุณฉลองวันครูในประเทศญี่ปุ่นอย่างไร

    เขาแปลกใจกับคำถามของฉันและตอบว่า

    - เราไม่มีวันครู
    เมื่อฉันได้ยินคำตอบของเขา ฉันไม่แน่ใจว่าควรเชื่อเขาหรือไม่ ความคิดแวบเข้ามาในหัวของฉัน: "ทำไมประเทศที่ก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ถึงไม่เคารพครูและงานของพวกเขา"
    ***
    ครั้งหนึ่งหลังเลิกงาน ยามาโมตะเชิญฉันไปบ้านเขา เราขึ้นรถไฟใต้ดินเพราะว่ามันอยู่ไกลมาก เป็นช่วงชั่วโมงเร่งด่วนตอนเย็น และตู้โดยสารในรถไฟใต้ดินก็แน่นมาก ฉันหาที่ยืนได้โดยจับราวบันไดแน่น ทันใดนั้น ชายชราที่นั่งข้างฉันก็เสนอที่นั่งให้ฉัน ฉันไม่เข้าใจพฤติกรรมที่น่าเคารพของชายชราคนนั้น จึงปฏิเสธ แต่เขายังคงยืนกราน ฉันจึงถูกบังคับให้นั่งลง เมื่อเราออกจากรถไฟใต้ดิน ฉันขอให้ยามาโมตะอธิบายว่า ผู้ชายคนที่มีเคราสีขาว เค้าทำแบบนั้นทำไมยามาโมตะยิ้มและชี้ไปที่ป้ายชื่อครูที่ฉันสวมอยู่และพูดว่า :

    - ชายชราคนนี้หลังจากเห็นป้ายชื่อครูที่ติดอยู่บนตัวคุณ และเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อสถานะของคุณ เขาจึงเสนอที่นั่งให้คุณ
    เนื่องจากฉันมาที่ บ้านคุณยามาโมตะเป็นครั้งแรก ฉันจึงรู้สึกไม่สบายใจที่จะไปที่นั่นโดยไม่ได้ทำอะไรเลย จึงคิดจะซื้อของขวัญ ฉันจึงเล่าความคิดของฉันให้ยามาโมตะฟัง เขาสนับสนุนแนวคิดนี้และบอกว่ามีร้านค้าสำหรับครูอยู่อีกเล็กน้อย ซึ่งคุณสามารถซื้อของได้ในราคาลดพิเศษ อีกครั้ง ฉันอดไม่ได้ที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง :

    - สิทธิพิเศษมีให้เฉพาะกับครูเท่านั้นหรือ ฉันถาม
    ยามาโมตะยืนยันคำพูดของฉันโดยกล่าวว่า :
    - ในญี่ปุ่น การสอนเป็นอาชีพที่ได้รับความเคารพมากที่สุด และครูคือบุคคลที่ได้รับความเคารพมากที่สุด ผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่นมีความสุขมากเมื่อครูมาที่ร้านของพวกเขา พวกเขาคิดว่าเป็นเกียรติ
    ***
    ระหว่างที่ฉันอยู่ที่ญี่ปุ่น ฉันสังเกตเห็นหลายครั้งว่าคนญี่ปุ่นให้ความเคารพครูอย่างสูงสุด พวกเขามีที่นั่งพิเศษที่จัดสรรให้ในรถไฟใต้ดิน มีร้านค้าพิเศษสำหรับพวกเขา ครูที่นั่นไม่ต้องเข้าคิวเพื่อซื้อตั๋วสำหรับการขนส่งประเภทใดๆ... นั่นคือเหตุผลที่ครูชาวญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องมีวันพิเศษ (เพราะทุกวันในชีวิตของพวกเขาคือการเฉลิมฉลอง)
    โปรดเผยแพร่เรื่องราวนี้ให้ทุกคนได้รู้ ปล่อยให้สังคมเติบโตขึ้นเพื่อชื่นชมครูในระดับนี้ เล่าเรื่องนี้อีกครั้งให้เพื่อนร่วมงานของคุณฟังเพื่อให้พวกเขาภาคภูมิใจ
    ครูของฉัน ฉันขอคารวะ
    24/1/68 ในประเทศญี่ปุ่นไม่มีวันครู …วันหนึ่งฉันถามเพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นของฉัน ครู ยามาโมตะว่า - คุณฉลองวันครูในประเทศญี่ปุ่นอย่างไร เขาแปลกใจกับคำถามของฉันและตอบว่า - เราไม่มีวันครู เมื่อฉันได้ยินคำตอบของเขา ฉันไม่แน่ใจว่าควรเชื่อเขาหรือไม่ ความคิดแวบเข้ามาในหัวของฉัน: "ทำไมประเทศที่ก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ถึงไม่เคารพครูและงานของพวกเขา" *** ครั้งหนึ่งหลังเลิกงาน ยามาโมตะเชิญฉันไปบ้านเขา เราขึ้นรถไฟใต้ดินเพราะว่ามันอยู่ไกลมาก เป็นช่วงชั่วโมงเร่งด่วนตอนเย็น และตู้โดยสารในรถไฟใต้ดินก็แน่นมาก ฉันหาที่ยืนได้โดยจับราวบันไดแน่น ทันใดนั้น ชายชราที่นั่งข้างฉันก็เสนอที่นั่งให้ฉัน ฉันไม่เข้าใจพฤติกรรมที่น่าเคารพของชายชราคนนั้น จึงปฏิเสธ แต่เขายังคงยืนกราน ฉันจึงถูกบังคับให้นั่งลง เมื่อเราออกจากรถไฟใต้ดิน ฉันขอให้ยามาโมตะอธิบายว่า ผู้ชายคนที่มีเคราสีขาว เค้าทำแบบนั้นทำไมยามาโมตะยิ้มและชี้ไปที่ป้ายชื่อครูที่ฉันสวมอยู่และพูดว่า : - ชายชราคนนี้หลังจากเห็นป้ายชื่อครูที่ติดอยู่บนตัวคุณ และเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อสถานะของคุณ เขาจึงเสนอที่นั่งให้คุณ เนื่องจากฉันมาที่ บ้านคุณยามาโมตะเป็นครั้งแรก ฉันจึงรู้สึกไม่สบายใจที่จะไปที่นั่นโดยไม่ได้ทำอะไรเลย จึงคิดจะซื้อของขวัญ ฉันจึงเล่าความคิดของฉันให้ยามาโมตะฟัง เขาสนับสนุนแนวคิดนี้และบอกว่ามีร้านค้าสำหรับครูอยู่อีกเล็กน้อย ซึ่งคุณสามารถซื้อของได้ในราคาลดพิเศษ อีกครั้ง ฉันอดไม่ได้ที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง : - สิทธิพิเศษมีให้เฉพาะกับครูเท่านั้นหรือ ฉันถาม ยามาโมตะยืนยันคำพูดของฉันโดยกล่าวว่า : - ในญี่ปุ่น การสอนเป็นอาชีพที่ได้รับความเคารพมากที่สุด และครูคือบุคคลที่ได้รับความเคารพมากที่สุด ผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่นมีความสุขมากเมื่อครูมาที่ร้านของพวกเขา พวกเขาคิดว่าเป็นเกียรติ *** ระหว่างที่ฉันอยู่ที่ญี่ปุ่น ฉันสังเกตเห็นหลายครั้งว่าคนญี่ปุ่นให้ความเคารพครูอย่างสูงสุด พวกเขามีที่นั่งพิเศษที่จัดสรรให้ในรถไฟใต้ดิน มีร้านค้าพิเศษสำหรับพวกเขา ครูที่นั่นไม่ต้องเข้าคิวเพื่อซื้อตั๋วสำหรับการขนส่งประเภทใดๆ... นั่นคือเหตุผลที่ครูชาวญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องมีวันพิเศษ (เพราะทุกวันในชีวิตของพวกเขาคือการเฉลิมฉลอง) โปรดเผยแพร่เรื่องราวนี้ให้ทุกคนได้รู้ ปล่อยให้สังคมเติบโตขึ้นเพื่อชื่นชมครูในระดับนี้ เล่าเรื่องนี้อีกครั้งให้เพื่อนร่วมงานของคุณฟังเพื่อให้พวกเขาภาคภูมิใจ ครูของฉัน ฉันขอคารวะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 338 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจอตัวแล้ว เด็กชายชาวญี่ปุ่นถูกล่อลวงมาไทย ผ่านเกมออนไลน์ ก่อนขาดการติดต่อกับญาติ ล่าสุดสถานทูตญี่ปุ่นมารับตัวกลับประเทศโดยปลอดภัย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000005573

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เจอตัวแล้ว เด็กชายชาวญี่ปุ่นถูกล่อลวงมาไทย ผ่านเกมออนไลน์ ก่อนขาดการติดต่อกับญาติ ล่าสุดสถานทูตญี่ปุ่นมารับตัวกลับประเทศโดยปลอดภัย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000005573 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1056 มุมมอง 0 รีวิว
  • ญี่ปุ่น 6 : โชเฮ โอทานิ (Shohei Ohtani)

    วันนี้วันดีปีใหม่ ผมอยากเล่าถึง “โชเฮ โอทานิ” นักเบสบอลมหัศจรรย์ของชาวญี่ปุ่น เอาไว้ให้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนที่อยากประสบความสำเร็จครับ

    โชเฮ โอทานิ หรือชื่อเล่นที่เรียกว่า “โชไทม์ (Sho-time)” นี้เป็นเด็กหนุ่มอายุ 30 ปีที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในฐานะนักเบสบอลอาชีพ ที่ตอนนี้ไปเล่นให้กับทีมแอลเอ ดอดเจอร์ในสหรัฐฯและพาทีมคว้าแชมป์ 2024 ไปเรียบร้อย

    ความมหัศจรรย์ของโอทานิก็คือ เขาเป็นนักเบสบอลที่เล่นเป็นมือขว้าง (พิทเชอร์) หรือมือตี (พัทเตอร์) ก็ได้ เรียกว่าเป็น Two-way player

    โอทานินั้นไม่ใช่แค่ว่า ”ขว้างลูกได้“ ครับแต่เป็นพิทเชอร์ที่ขว้างลูกได้ดีเลิศ คือ ขว้างได้สปีดถึง 160 กม./ชม. ลูกโค้งซ้าย-ขวา-บน-ล่าง นั้นทำได้หมด

    และในฐานะพัทเตอร์นั้น เขาตีลูกได้แรงและแม่นยำ ตีโฮมรันเป็นว่าเล่น พละกำลังมหาศาลด้วยร่างกายที่สูงใหญ่ถึง 195 ซม.

    โอทานินั้นถนัดทั้งมือซ้ายและขวา กล่าวคือ ขว้างด้วยมือขวา ตีด้วยมือซ้าย

    เมื่อเขามาเล่นเบสบอลในเมเจอร์ลีกที่อเมริกา ในปี 2021 เขาได้รับรางวัลนักกีฬาทรงคุณค่าสูงสุด (MVP) 2 รางวัล คือ ตำแหน่งพิทเชอร์กับตำแหน่งพัทเตอร์ในซีซั่นเดียว

    นักเบสบอลแบบนี้ 100 ปีจะมีสักหนึ่งคน

    สื่ออเมริกันถึงกับบอกว่า โอทานินั้นเหนือกว่าเบ๊บ รูท (Babe Ruth) นักเบสบอลอเมริกันในตำนานที่เป็น Two-way player เช่นกันเสียอีก

    นอกจากความเป็นยอดนักกีฬาแล้วคุณสมบัติที่ทำให้โอทานิโด่งดังในวงการนั้นมี 3 ประการครับ คือ

    หนึ่ง…..ความถ่อมตน (Humility)
    สอง…..ความขยันหมั่นเพียร
    สาม…..ความมุ่งมั่น
    .
    .
    .
    โอทานินั้นเป็นเด็กหนุ่มที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ”ยาคิว โชเนน - yakyu shonen“ แปลว่า ”เด็กที่หายใจเข้าออกเป็นเบสบอลทุกวินาที“ ครับ

    ความลุ่มหลงในเบสบอลของโอทานินั้น เกิดขึ้นตั้งแต่เป็นเด็กชายตัวเปี๊ยกเดียวครับ เพราะพ่อของโอทานิเป็นนักเบสบอลกึ่งอาชีพ ส่วนแม่นั้นเป็นนักแบดมินตันระดับมัธยม

    พ่อของโอทานินั้นสอนเทคนิคการขว้างลูกโดยใช้แรงจากสะโพกและการบิดตัว ทำให้โอทานิน้อยวัย 10 ขวบสามารถขว้างลูกได้เร็วเป็น 100 กม./ชม.เลยเชียว

    เมื่อโอทานิโตขึ้นมาถึงระดับมัธยม เขาก็เข้าไปเล่นเบสบอลในทีมโรงเรียนซึ่งมีโค้ชชื่อ “ซาซากิ”

    โค้ชซาซากินี้เองที่เป็นผู้บ่มเพาะนิสัยความถ่อมตนให้กับโอทานิ

    เมื่อโค้ชซาซากิเห็นฝีมือของโอทานิปร๊าดเดียว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือดาวรุ่งคนใหม่ของวงการ

    ดังนั้นหน้าที่ที่โค้ชซาซากิมอบหมายให้เด็กใหม่ที่ชื่อโอทานิทำก็คือ “ล้างห้องน้ำ” ครับ

    เหตุผลของโค้ชก็คือ “ตำแหน่งยืนของ
    พิทเชอร์คือจุดที่สูงสุดในสนามเบสบอล เปรียบได้กับเวที เมื่อคุณไปยืนอยู่บนเวที คุณจะได้รับความสนใจ มีนักข่าวมาสัมภาษณ์และเขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณมากที่สุด“

    “The mound is the most elevated place on the field, It’s a stage. If you’re on that stage, you receive the most attention. You get interviewed and written about the most.”

    นี่คือวิธีการสอนความถ่อมตนในสไตล์ของโค้ชซาซากิครับ

    โค้ชยังบอกเพิ่มเติมอีกว่า

    ”ความสะอาดของห้องน้ำนั้นบอกอะไรเราได้เยอะนะคุณ เวลาคุณไปเดินห้างสรรพสินค้าหรือไปสถานที่ต่างๆแล้วคุณไปเจอห้องน้ำที่สะอาดเอี่ยมน่ะ มันบอกอะไรบางอย่างกับคุณใช่ไหมว่า คนที่ทำงานที่นี่น่ะเป็นคนอย่างไร เขาให้ความสำคัญกับรายละเอียดเพียงใด“
    .
    .
    .
    การฝึกซ้อมของทีมเบสบอลโรงเรียนนี้หนักหนาสาหัสมาก นักเบสบอลวัยรุ่นเหล่านี้จะต้องกินนอนอยู่กับทีมตลอดปี ได้กลับบ้านแค่ปีละ 6 วันเท่านั้น

    ซึ่งนั่นก็ดูเหมือนจะถูกจริตของโอทานิซึ่งมีความสุขกับการซ้อม การแข่ง การล้างห้องน้ำและ ”การกิน“

    โค้ชซาซากิเล่าว่าโอทานิในเวลานั้นตัวเล็กมาก โค้ชจึงให้โอทานิกินอาหารให้เยอะที่สุด เพื่อนร่วมทีมคนไหนกินอาหารเหลือก็ส่งมาให้โอทานิกินต่อ

    กินจนกินไม่ไหวถึงจะเลิกกิน

    กินเสร็จก็ไปออกกำลังกาย ยกเวท จนโอทานิสูงใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่น ร่างกายสมบูรณ์เป็นนักกีฬาระดับโลก
    .
    .
    .
    จนเมื่อโอทานิแข่งเบสบอลในระดับมัธยมปลายทั่วประเทศ หรือ “โคชิเอ็น”

    โอทานิก็มุ่งมั่นชัดเจนว่าอยากจะเล่นเบสบอลอาชีพซี่งเขาก็เริ่มจากลีกญี่ปุ่น จนไปสู่เมเจอร์ลีกในสหรัฐอเมริกา

    กวาดรางวัลและทำลายสถิติมาทุกแห่ง

    แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนในตัวโอทานิเลยก็คือ ความสงบเสงี่ยม พูดน้อยและถ่อมตน

    ไปสัมภาษณ์ที่ไหนก็พูดนิดเดียว บางทีเมื่อไม่มีอะไรจะพูด โอทานิก็พูดสั้นๆเบาๆแค่ว่า ”ขอโทษนะครับ“

    ตอนที่โอทานิเริ่มได้เงินเดือนจากการแข่งอาชีพจากทีมไฟท์เตอร์ในลีกญี่ปุ่น 2.4 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น โอทานิให้แม่เป็นคนจัดการเรื่องเงินทองทั้งหมด

    และบอกแม่ว่าให้โอนเงินใส่บัญชีให้เขาใช้เดือนละ 1,000 ดอลล่าร์ หรือ 34,000 บาทก็พอ ซึ่งเอาจริงๆเขาก็ไม่ค่อยจะได้แตะเงินเท่าไร เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่กับการซ้อม การแข่งเบสบอล

    สื่อมวลชนกีฬาของญี่ปุ่นซึ่งชอบขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของนักกีฬามาแฉนั้น ก็ไม่รู้จะทำอะไรกับโอทานิ เพราะไม่มีอะไรจะให้แฉเลยสักนิด

    เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว โอทานิไม่ชอบเปิดเผยเรื่องส่วนตัวกับใคร

    วันๆเอาแต่ออกกำลังกายกับเล่นเบสบอล
    .
    .
    .
    ล่าสุดโอทานิก็สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งเมื่อเซ็นสัญญา 10 ปีด้วยค่าตัว 700 ล้านดอลล่าร์กับทีมแอลเอ ดอดเจอร์

    เป็นสัญญาที่แพงที่สุดประวัติศาสตร์วงการกีฬาโลก

    ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมโอทานิถึงได้กลายเป็นไอดอลของคนญี่ปุ่น

    ….พูดน้อย ถ่อมตน ซ้อมหนัก ผลงานเป็นเลิศ….

    คุณสมบัติที่หาได้ยากยิ่งในยุคที่คนส่วนใหญ่พูดเยอะแต่ไร้ผลงาน


    นัทแนะ
    ญี่ปุ่น 6 : โชเฮ โอทานิ (Shohei Ohtani) วันนี้วันดีปีใหม่ ผมอยากเล่าถึง “โชเฮ โอทานิ” นักเบสบอลมหัศจรรย์ของชาวญี่ปุ่น เอาไว้ให้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนที่อยากประสบความสำเร็จครับ โชเฮ โอทานิ หรือชื่อเล่นที่เรียกว่า “โชไทม์ (Sho-time)” นี้เป็นเด็กหนุ่มอายุ 30 ปีที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในฐานะนักเบสบอลอาชีพ ที่ตอนนี้ไปเล่นให้กับทีมแอลเอ ดอดเจอร์ในสหรัฐฯและพาทีมคว้าแชมป์ 2024 ไปเรียบร้อย ความมหัศจรรย์ของโอทานิก็คือ เขาเป็นนักเบสบอลที่เล่นเป็นมือขว้าง (พิทเชอร์) หรือมือตี (พัทเตอร์) ก็ได้ เรียกว่าเป็น Two-way player โอทานินั้นไม่ใช่แค่ว่า ”ขว้างลูกได้“ ครับแต่เป็นพิทเชอร์ที่ขว้างลูกได้ดีเลิศ คือ ขว้างได้สปีดถึง 160 กม./ชม. ลูกโค้งซ้าย-ขวา-บน-ล่าง นั้นทำได้หมด และในฐานะพัทเตอร์นั้น เขาตีลูกได้แรงและแม่นยำ ตีโฮมรันเป็นว่าเล่น พละกำลังมหาศาลด้วยร่างกายที่สูงใหญ่ถึง 195 ซม. โอทานินั้นถนัดทั้งมือซ้ายและขวา กล่าวคือ ขว้างด้วยมือขวา ตีด้วยมือซ้าย เมื่อเขามาเล่นเบสบอลในเมเจอร์ลีกที่อเมริกา ในปี 2021 เขาได้รับรางวัลนักกีฬาทรงคุณค่าสูงสุด (MVP) 2 รางวัล คือ ตำแหน่งพิทเชอร์กับตำแหน่งพัทเตอร์ในซีซั่นเดียว นักเบสบอลแบบนี้ 100 ปีจะมีสักหนึ่งคน สื่ออเมริกันถึงกับบอกว่า โอทานินั้นเหนือกว่าเบ๊บ รูท (Babe Ruth) นักเบสบอลอเมริกันในตำนานที่เป็น Two-way player เช่นกันเสียอีก นอกจากความเป็นยอดนักกีฬาแล้วคุณสมบัติที่ทำให้โอทานิโด่งดังในวงการนั้นมี 3 ประการครับ คือ หนึ่ง…..ความถ่อมตน (Humility) สอง…..ความขยันหมั่นเพียร สาม…..ความมุ่งมั่น . . . โอทานินั้นเป็นเด็กหนุ่มที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ”ยาคิว โชเนน - yakyu shonen“ แปลว่า ”เด็กที่หายใจเข้าออกเป็นเบสบอลทุกวินาที“ ครับ ความลุ่มหลงในเบสบอลของโอทานินั้น เกิดขึ้นตั้งแต่เป็นเด็กชายตัวเปี๊ยกเดียวครับ เพราะพ่อของโอทานิเป็นนักเบสบอลกึ่งอาชีพ ส่วนแม่นั้นเป็นนักแบดมินตันระดับมัธยม พ่อของโอทานินั้นสอนเทคนิคการขว้างลูกโดยใช้แรงจากสะโพกและการบิดตัว ทำให้โอทานิน้อยวัย 10 ขวบสามารถขว้างลูกได้เร็วเป็น 100 กม./ชม.เลยเชียว เมื่อโอทานิโตขึ้นมาถึงระดับมัธยม เขาก็เข้าไปเล่นเบสบอลในทีมโรงเรียนซึ่งมีโค้ชชื่อ “ซาซากิ” โค้ชซาซากินี้เองที่เป็นผู้บ่มเพาะนิสัยความถ่อมตนให้กับโอทานิ เมื่อโค้ชซาซากิเห็นฝีมือของโอทานิปร๊าดเดียว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือดาวรุ่งคนใหม่ของวงการ ดังนั้นหน้าที่ที่โค้ชซาซากิมอบหมายให้เด็กใหม่ที่ชื่อโอทานิทำก็คือ “ล้างห้องน้ำ” ครับ เหตุผลของโค้ชก็คือ “ตำแหน่งยืนของ พิทเชอร์คือจุดที่สูงสุดในสนามเบสบอล เปรียบได้กับเวที เมื่อคุณไปยืนอยู่บนเวที คุณจะได้รับความสนใจ มีนักข่าวมาสัมภาษณ์และเขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณมากที่สุด“ “The mound is the most elevated place on the field, It’s a stage. If you’re on that stage, you receive the most attention. You get interviewed and written about the most.” นี่คือวิธีการสอนความถ่อมตนในสไตล์ของโค้ชซาซากิครับ โค้ชยังบอกเพิ่มเติมอีกว่า ”ความสะอาดของห้องน้ำนั้นบอกอะไรเราได้เยอะนะคุณ เวลาคุณไปเดินห้างสรรพสินค้าหรือไปสถานที่ต่างๆแล้วคุณไปเจอห้องน้ำที่สะอาดเอี่ยมน่ะ มันบอกอะไรบางอย่างกับคุณใช่ไหมว่า คนที่ทำงานที่นี่น่ะเป็นคนอย่างไร เขาให้ความสำคัญกับรายละเอียดเพียงใด“ . . . การฝึกซ้อมของทีมเบสบอลโรงเรียนนี้หนักหนาสาหัสมาก นักเบสบอลวัยรุ่นเหล่านี้จะต้องกินนอนอยู่กับทีมตลอดปี ได้กลับบ้านแค่ปีละ 6 วันเท่านั้น ซึ่งนั่นก็ดูเหมือนจะถูกจริตของโอทานิซึ่งมีความสุขกับการซ้อม การแข่ง การล้างห้องน้ำและ ”การกิน“ โค้ชซาซากิเล่าว่าโอทานิในเวลานั้นตัวเล็กมาก โค้ชจึงให้โอทานิกินอาหารให้เยอะที่สุด เพื่อนร่วมทีมคนไหนกินอาหารเหลือก็ส่งมาให้โอทานิกินต่อ กินจนกินไม่ไหวถึงจะเลิกกิน กินเสร็จก็ไปออกกำลังกาย ยกเวท จนโอทานิสูงใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่น ร่างกายสมบูรณ์เป็นนักกีฬาระดับโลก . . . จนเมื่อโอทานิแข่งเบสบอลในระดับมัธยมปลายทั่วประเทศ หรือ “โคชิเอ็น” โอทานิก็มุ่งมั่นชัดเจนว่าอยากจะเล่นเบสบอลอาชีพซี่งเขาก็เริ่มจากลีกญี่ปุ่น จนไปสู่เมเจอร์ลีกในสหรัฐอเมริกา กวาดรางวัลและทำลายสถิติมาทุกแห่ง แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนในตัวโอทานิเลยก็คือ ความสงบเสงี่ยม พูดน้อยและถ่อมตน ไปสัมภาษณ์ที่ไหนก็พูดนิดเดียว บางทีเมื่อไม่มีอะไรจะพูด โอทานิก็พูดสั้นๆเบาๆแค่ว่า ”ขอโทษนะครับ“ ตอนที่โอทานิเริ่มได้เงินเดือนจากการแข่งอาชีพจากทีมไฟท์เตอร์ในลีกญี่ปุ่น 2.4 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น โอทานิให้แม่เป็นคนจัดการเรื่องเงินทองทั้งหมด และบอกแม่ว่าให้โอนเงินใส่บัญชีให้เขาใช้เดือนละ 1,000 ดอลล่าร์ หรือ 34,000 บาทก็พอ ซึ่งเอาจริงๆเขาก็ไม่ค่อยจะได้แตะเงินเท่าไร เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่กับการซ้อม การแข่งเบสบอล สื่อมวลชนกีฬาของญี่ปุ่นซึ่งชอบขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของนักกีฬามาแฉนั้น ก็ไม่รู้จะทำอะไรกับโอทานิ เพราะไม่มีอะไรจะให้แฉเลยสักนิด เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว โอทานิไม่ชอบเปิดเผยเรื่องส่วนตัวกับใคร วันๆเอาแต่ออกกำลังกายกับเล่นเบสบอล . . . ล่าสุดโอทานิก็สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งเมื่อเซ็นสัญญา 10 ปีด้วยค่าตัว 700 ล้านดอลล่าร์กับทีมแอลเอ ดอดเจอร์ เป็นสัญญาที่แพงที่สุดประวัติศาสตร์วงการกีฬาโลก ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมโอทานิถึงได้กลายเป็นไอดอลของคนญี่ปุ่น ….พูดน้อย ถ่อมตน ซ้อมหนัก ผลงานเป็นเลิศ…. คุณสมบัติที่หาได้ยากยิ่งในยุคที่คนส่วนใหญ่พูดเยอะแต่ไร้ผลงาน นัทแนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 523 มุมมอง 0 รีวิว
  • ญี่ปุ่น 2 : โตเกียวดิสนีย์แลนด์

    ความที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ เกิดจากความรู้สึกเปรียบเทียบระหว่างดิสนีย์แลนด์ 2 แห่งคือ โตเกียวกับฮ่องกงครับ

    นั่นเพราะผมรู้สึกว่าโตเกียวดิสนีย์แลนด์นั้นดีกว่า สวยงามกว่า น่าไปเที่ยวมากกว่าฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ ผมจึงได้ไปหาข้อมูลเล็กๆน้อยๆมาเปรียบเทียบแล้วมาเล่าสู่กันฟัง (เพื่อความยุติธรรมแก่ฝั่งฮ่องกง) ดังนี้

    ประการแรกเลยคือ โตเกียวดิสนีย์นั้นหลากหลายกว่าฮ่องกงดิสนีย์ครับ กล่าวคือ ของโตเกียวมี 2 พาร์ค ในขณะที่ฮ่องกงมีเพียงพาร์คเดียว

    ประการที่ 2 คือ วัฒนธรรมป๊อปของชาวญี่ปุ่นนั้นเข้ากันได้ดีกับดิสนีย์ ทำให้ชาวญี่ปุ่นเองนั่นแหละที่เป็นลูกค้าหลักของโตเกียวดิสนีย์ หาใช่ชาวต่างชาติไม่

    ประชากรญี่ปุ่นนั้นมีถึง 125 ล้านคน ขณะที่ฮ่องกงมีประชากรเพียง 7.5 ล้าน

    ในปี 2023 รายได้ของโตเกียวดิสนีย์นั้นสูงถึงเกือบ 4 พันล้านดอลล่าร์ ในขณะที่ฮ่องกงดิสนีย์มีรายได้เพียง 800 ล้านดอลล่าร์

    ผมเคยได้ยินว่า เวลาบริษัทวอลท์ดิสนีย์เขาเลือกที่ตั้งดิสนีย์แลนด์นั้น หนึ่งในข้อพิจารณาก็คือ “จำนวนลูกค้าในประเทศหรือ คนโลคอล” ครับ

    ส่วนลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น ไม่ใช่เป้าหมายหลัก

    อย่างวอลท์ดิสนีย์เวิลด์ที่เมืองออลันโด รัฐฟลอริด้านั้น ลูกค้าหลักก็คือคนอเมริกันที่อยู่รอบๆรัฐฟลอริด้าทั้งสิ้น
    .
    .
    .
    ทีนี้บางท่านอาจจะสงสัยว่า “อ้าว ถ้าพิจารณาลูกค้าในประเทศ แล้วทำไมดิสนีย์เลือกมาสร้างที่ฮ่องกงล่ะ?”

    คำตอบก็คือ การสร้างฮ่องกงดิสนีย์นั้น รัฐบาลฮ่องกงเป็นต้นไอเดียครับ คือ ลงทุนเอง สร้างเอง เพื่อดึงดูดให้คนมาฮ่องกง

    โดยรัฐบาลฮ่องกงนั้นถือหุ้น 53% ส่วนบริษัทดิสนีย์ถือหุ้น 47% ได้สตางค์มาก็แบ่งกันไป

    แต่สำหรับโตเกียวดิสนีย์นั้นเป็นโมเดลธุรกิจที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ

    นั่นคือ โตเกียวดิสนีย์นั้น มีเจ้าของและบริหารงานโดยบริษัทเอกชนญี่ปุ่นที่ชื่อว่า “ดิ โอเรียนทอลแลนด์ คัมปะนี” หรือ OLC ครับ

    ซึ่ง OLC ได้ทำสัญญาเช่าซื้อลิขสิทธิ์ระยะยาวในการบริหารดิสนีย์แลนด์ในโตเกียวมาจากบริษัทวอลท์ดิสนีย์อีกทีหนึ่ง

    ทีนี้เมื่อโตเกียวดิสนีย์บริหารงานโดยบริษัทเอกชน 100% ทำให้การอัพเกรดหรือขยายธีมพาร์คอะไรต่างๆก็ทำได้เร็วและง่าย เงินทุนไหลมาปุ๊บปั๊บเร็วปรู๊ดปร๊าด

    ซึ่งต่างจากฮ่องกงดิสนีย์ที่รัฐบาลฮ่องกงถือหุ้นใหญ่ จึงเกิดเหตุการณ์ถูกตัดหรือจำกัดงบประมาณอยู่บ้าง
    .
    .
    .
    ซึ่งก็ต้องบอกว่าโมเดลธุรกิจของโตเกียวดิสนีย์ที่บริษัทเอกชนญี่ปุ่นถือหุ้น 100% นั้นเป็นโมเดลหนึ่งเดียวบนโลกครับ

    เพราะดิสนีย์แลนด์ที่เหลือทุกแห่งบนโลก ทั้งที่ปารีส, ฮ่องกง หรือเซี่ยงไฮ้นั้น บริษัทวอลท์ดิสนีย์จะเข้าไปถือหุ้นและร่วมบริหารงานด้วยทั้งสิ้น

    และทีนี้เผื่อใครอยากจะรู้ว่าดิสนีย์แลนด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้นอยู่ที่ไหน?

    คำตอบคือ “เซี่ยงไฮ้ดิสนีย์แลนด์“ ครับ คือ 900 กว่าเอเคอร์ นี่เอาเฉพาะฝั่งธีมพาร์คนะครับ ไม่รวมฝั่งรีสอร์ท

    ใหญ่กว่าของโตเกียว, แคลิฟอร์เนีย และฮ่องกงรวมกันเสียอีก

    …เอามาเล่าสู่กันฟังครับ….


    นัทแนะ
    ญี่ปุ่น 2 : โตเกียวดิสนีย์แลนด์ ความที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ เกิดจากความรู้สึกเปรียบเทียบระหว่างดิสนีย์แลนด์ 2 แห่งคือ โตเกียวกับฮ่องกงครับ นั่นเพราะผมรู้สึกว่าโตเกียวดิสนีย์แลนด์นั้นดีกว่า สวยงามกว่า น่าไปเที่ยวมากกว่าฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ ผมจึงได้ไปหาข้อมูลเล็กๆน้อยๆมาเปรียบเทียบแล้วมาเล่าสู่กันฟัง (เพื่อความยุติธรรมแก่ฝั่งฮ่องกง) ดังนี้ ประการแรกเลยคือ โตเกียวดิสนีย์นั้นหลากหลายกว่าฮ่องกงดิสนีย์ครับ กล่าวคือ ของโตเกียวมี 2 พาร์ค ในขณะที่ฮ่องกงมีเพียงพาร์คเดียว ประการที่ 2 คือ วัฒนธรรมป๊อปของชาวญี่ปุ่นนั้นเข้ากันได้ดีกับดิสนีย์ ทำให้ชาวญี่ปุ่นเองนั่นแหละที่เป็นลูกค้าหลักของโตเกียวดิสนีย์ หาใช่ชาวต่างชาติไม่ ประชากรญี่ปุ่นนั้นมีถึง 125 ล้านคน ขณะที่ฮ่องกงมีประชากรเพียง 7.5 ล้าน ในปี 2023 รายได้ของโตเกียวดิสนีย์นั้นสูงถึงเกือบ 4 พันล้านดอลล่าร์ ในขณะที่ฮ่องกงดิสนีย์มีรายได้เพียง 800 ล้านดอลล่าร์ ผมเคยได้ยินว่า เวลาบริษัทวอลท์ดิสนีย์เขาเลือกที่ตั้งดิสนีย์แลนด์นั้น หนึ่งในข้อพิจารณาก็คือ “จำนวนลูกค้าในประเทศหรือ คนโลคอล” ครับ ส่วนลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น ไม่ใช่เป้าหมายหลัก อย่างวอลท์ดิสนีย์เวิลด์ที่เมืองออลันโด รัฐฟลอริด้านั้น ลูกค้าหลักก็คือคนอเมริกันที่อยู่รอบๆรัฐฟลอริด้าทั้งสิ้น . . . ทีนี้บางท่านอาจจะสงสัยว่า “อ้าว ถ้าพิจารณาลูกค้าในประเทศ แล้วทำไมดิสนีย์เลือกมาสร้างที่ฮ่องกงล่ะ?” คำตอบก็คือ การสร้างฮ่องกงดิสนีย์นั้น รัฐบาลฮ่องกงเป็นต้นไอเดียครับ คือ ลงทุนเอง สร้างเอง เพื่อดึงดูดให้คนมาฮ่องกง โดยรัฐบาลฮ่องกงนั้นถือหุ้น 53% ส่วนบริษัทดิสนีย์ถือหุ้น 47% ได้สตางค์มาก็แบ่งกันไป แต่สำหรับโตเกียวดิสนีย์นั้นเป็นโมเดลธุรกิจที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ นั่นคือ โตเกียวดิสนีย์นั้น มีเจ้าของและบริหารงานโดยบริษัทเอกชนญี่ปุ่นที่ชื่อว่า “ดิ โอเรียนทอลแลนด์ คัมปะนี” หรือ OLC ครับ ซึ่ง OLC ได้ทำสัญญาเช่าซื้อลิขสิทธิ์ระยะยาวในการบริหารดิสนีย์แลนด์ในโตเกียวมาจากบริษัทวอลท์ดิสนีย์อีกทีหนึ่ง ทีนี้เมื่อโตเกียวดิสนีย์บริหารงานโดยบริษัทเอกชน 100% ทำให้การอัพเกรดหรือขยายธีมพาร์คอะไรต่างๆก็ทำได้เร็วและง่าย เงินทุนไหลมาปุ๊บปั๊บเร็วปรู๊ดปร๊าด ซึ่งต่างจากฮ่องกงดิสนีย์ที่รัฐบาลฮ่องกงถือหุ้นใหญ่ จึงเกิดเหตุการณ์ถูกตัดหรือจำกัดงบประมาณอยู่บ้าง . . . ซึ่งก็ต้องบอกว่าโมเดลธุรกิจของโตเกียวดิสนีย์ที่บริษัทเอกชนญี่ปุ่นถือหุ้น 100% นั้นเป็นโมเดลหนึ่งเดียวบนโลกครับ เพราะดิสนีย์แลนด์ที่เหลือทุกแห่งบนโลก ทั้งที่ปารีส, ฮ่องกง หรือเซี่ยงไฮ้นั้น บริษัทวอลท์ดิสนีย์จะเข้าไปถือหุ้นและร่วมบริหารงานด้วยทั้งสิ้น และทีนี้เผื่อใครอยากจะรู้ว่าดิสนีย์แลนด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้นอยู่ที่ไหน? คำตอบคือ “เซี่ยงไฮ้ดิสนีย์แลนด์“ ครับ คือ 900 กว่าเอเคอร์ นี่เอาเฉพาะฝั่งธีมพาร์คนะครับ ไม่รวมฝั่งรีสอร์ท ใหญ่กว่าของโตเกียว, แคลิฟอร์เนีย และฮ่องกงรวมกันเสียอีก …เอามาเล่าสู่กันฟังครับ…. นัทแนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 509 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากชาวญี่ปุ่นไม่พอใจตำรวจไทยที่ถูกห้ามปล่อยโคมลอยจึงทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม ล่าสุดในโลกออนไลน์เปิดกรณีศึกษาเรื่ององศาการโค้งขอโทษ ของชาวญี่ปุ่น

    จากกรณี นักท่องเที่ยวชายชาวญี่ปุ่นพยายามปล่อยโคมลอยในพื้นที่บริเวณลานประตูท่าแพ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ห้ามปล่อยโคมลอยเนื่องจากอาจจะเกิดเพลิงไหม้ บ้านเรือนประชาชนซึ่งพักอาศัยอยู่จำนวนมาก ในเขตพื้นที่ อ.เมืองเชียงใหม่

    ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาตรวจพบและได้ห้ามปราม นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นรายดังกล่าวเกิดอารมณ์โมโหและแสดงกริยาที่ไม่เหมาะสม จากนั้น ผู้ก่อเหตุ ได้เข้ามาขอโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมกับแสดงความรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    ล่าสุด วันนี้ (2 ม.ค.) เพจ “ฮักเน่อ เชียงใหม่” ได้ออกมาโพสต์ประเด็นกรณีศึกษา เรื่องอาศาการโค้งขอโทษของชาวญี่ปุ่น โดยระบุว่า “รูปจากข่าว นททญี่ปุ่น เข้าพบ ตร. เชียงใหม่ ที่ สภ.เมืองเชียงใหม่เพื่อขอโทษตำรวจ ที่ไปกระชากคอเสื้อตำรวจที่มาห้ามตอนปล่อยโคมลอยที่กำลังเป็นข่าวดังที่เชียงใหม่

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000000303

    #MGROnline #เชียงใหม่ #อาศาการโค้งขอโทษ #ชาวญี่ปุ่น #โคมลอย
    หลังจากชาวญี่ปุ่นไม่พอใจตำรวจไทยที่ถูกห้ามปล่อยโคมลอยจึงทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม ล่าสุดในโลกออนไลน์เปิดกรณีศึกษาเรื่ององศาการโค้งขอโทษ ของชาวญี่ปุ่น • จากกรณี นักท่องเที่ยวชายชาวญี่ปุ่นพยายามปล่อยโคมลอยในพื้นที่บริเวณลานประตูท่าแพ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ห้ามปล่อยโคมลอยเนื่องจากอาจจะเกิดเพลิงไหม้ บ้านเรือนประชาชนซึ่งพักอาศัยอยู่จำนวนมาก ในเขตพื้นที่ อ.เมืองเชียงใหม่ • ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาตรวจพบและได้ห้ามปราม นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นรายดังกล่าวเกิดอารมณ์โมโหและแสดงกริยาที่ไม่เหมาะสม จากนั้น ผู้ก่อเหตุ ได้เข้ามาขอโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมกับแสดงความรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น • ล่าสุด วันนี้ (2 ม.ค.) เพจ “ฮักเน่อ เชียงใหม่” ได้ออกมาโพสต์ประเด็นกรณีศึกษา เรื่องอาศาการโค้งขอโทษของชาวญี่ปุ่น โดยระบุว่า “รูปจากข่าว นททญี่ปุ่น เข้าพบ ตร. เชียงใหม่ ที่ สภ.เมืองเชียงใหม่เพื่อขอโทษตำรวจ ที่ไปกระชากคอเสื้อตำรวจที่มาห้ามตอนปล่อยโคมลอยที่กำลังเป็นข่าวดังที่เชียงใหม่ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000000303 • #MGROnline #เชียงใหม่ #อาศาการโค้งขอโทษ #ชาวญี่ปุ่น #โคมลอย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 357 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อวสาน" รถญี่ปุ่นในไทย
    จากมุมมองของ Nikkei Asia
    .
    ในวาระส่งท้ายปีเก่า 2567 ต้อนรับปีใหม่ 2568 สื่อยักษ์ใหญ่ชื่อดังของญี่ปุ่นคือ นิคเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) ได้เผยแพร่สารคดีข่าว NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand (นิคเคอิ ฟิล์ม : เสียงของเครื่องยนต์ที่กำลังหายไปจากประเทศไทย) ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ของบรรดารถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นที่ครั้งหนึ่งเคยครอบครองตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมากกว่า 90% แต่ในห้วงระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้นกลับถูกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนรุกไล่ ทำให้ในปี 2567 เหลือส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ในตลาดรถใหม่เพียง 76%
    .
    แม้ว่าในปัจจุบันรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นจะยังคงสามารถครอบครองตลาดรถใหม่ในประเทศไทยได้มากกว่า 3 ใน 4 แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยจากรอบด้านแล้วไม่ว่าจะเป็น แนวโน้มความต้องการของผู้บริโภค พลวัตรของเหล่าดีลเลอร์ผู้ขายรถยนต์ทั่วประเทศไทย การทยอยปิดโรงงาน การไหลออกของบุคลากร-พนักงาน-ผู้บริหารจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นไปสู่ค่ายรถจีน รวมไปถึงการคาดการณ์ตลาดรถยนต์ในอนาคตแล้วรถยนต์ญี่ปุ่นหนีไม่พ้นอาจต้องสูญพันธุ์จากประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ หากไม่เร่งปรับตัวให้เร็วกว่านี้
    .
    "ผมเพิ่งซื้อรถยนต์บีวายดีรุ่นใหม่ล่าสุด แล้วผมก็เปรียบเทียบรถอีวี กับ รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบดั้งเดิมเพื่อศึกษาความแตกต่าง ... ฟังก์ชันในรถอีวีของจีนนั้นครบครันมาก อัตราการเร่งก็ฉับไวมาก" คุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ให้สัมภาษณ์กับนิคเคอิเป็นภาษาญี่ปุ่นอันคล่องแคล่ว และเปรียบเทียบต่อว่า
    .
    "ผมมองญี่ปุ่นจากหลาย ๆ มุม ด้วยความที่สำเร็จมาตั้งแต่ในยุคอะนาล็อก ญี่ปุ่นกลับไม่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วพอในยุคของเทคโนโลยีดิจิทัล เทียบกับจีนที่ไม่ได้มีความสำเร็จมากนักในยุคของอะนาล็อก แต่พอยุคสมัยของเทคโนโลยีดิจิทัลมาถึง จีนจึงพยายามอย่างมากที่จะดิสรัปอุตสาหกรรมรถยนต์"
    .
    นิคเคอิอธิบายว่า ประเทศไทยซึ่งมีประชากรราว 66 ล้านคน และเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียน นั้นได้ชื่อเล่นว่าเป็น "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย (Detroit of Asia)" ด้วยบรรดาบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศก่อนหน้านี้นานหลายทศวรรษ แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปี 2566 ที่บริษัทรถยนต์จากจีนรุกเข้่ามาทำตลาด และย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยอย่างจริงจัง
    .
    "เกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา รถยนต์ญี่ปุ่นสามารถครอบครองยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศไทยได้มากเกือบ 90% แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ รถอีวีจากจีนบุกตลาดประเทศไทยในปี 2566 ส่งผลให้ยอดขายรถใหม่ในประเทศไทยของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นลดลงต่ำกว่า 80% (เหลือ 77.8% ในปี 2566 และ เหลือ 76.2% ในปี 2567)" นิคเคอิระบุ
    .
    จากนั้นจึงกล่าวกว่า บีวายดี (BYD) คือ หัวหอกของบริษัทรถยนต์จีนที่เข้ามาแย่งชิงตลาดในประเทศไทยจากบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น โดยนิคเคอิได้ดำเนินการสำรวจการขยายตัวของจำนวนดีลเลอร์รถบีวายดีในไทยพบว่า เกือบ 50% ของดีลเลอร์รถบีวายดีนั้นก่อนหน้านั้นเคยเป็นดีลเลอร์ของรถยนต์ค่ายญี่ปุ่น โดยบีวายดีขยายสาขาไปทั่วประเทศ โดยไม่เพียงกวาดดีลเลอร์จากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นให้เข้ามาซุกใต้ปีก แต่รวมถึงค่ายรถยนต์จากตะวันตกด้วยเช่นกัน
    .
    การรุกไล่ของค่ายรถยนต์จากจีนไม่หยุดอยู่แค่ในระดับการส่งรถยนต์จากจีนมาขายยังเมืองไทย แต่ยังมีการขยายโรงงานผลิตมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่องด้วย ยกตัวอย่างเช่น บีวายดีที่เพิ่งเริ่มเดินสายพานโรงงานผลิตรถยนต์แบบเต็มระบบแห่งแรกในต่างแดนที่ จ.ระยอง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ทำให้บุคลากรในแวดวงรถยนต์คนไทยที่มีความสามารถตั้งแต่ระดับฝ่ายผลิต จนถึงผู้บริหารที่เคยสังกัดอยู่กับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ไหลไปอยู่กับบริษัทรถยนต์จีนจำนวนมาก
    .
    ด้วยแรงจูงใจสำคัญเป็นค่าตอบแทนที่มากกว่าเดิม 30% 50% 80% หรือกระทั่งเพิ่มขึ้นเท่าตัว!
    .
    นายสื่อ ชิงเคอ (史青科) หรือ Parker Shi ประธานของเกรท วอลล์ มอเตอร์ อินเตอร์เนชันแนล เจ้าของแบรนด์รถยนต์จีน GWM ให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงคู่แข่งค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น และการดึงตัวผู้บริหารระดับสูงจากโตโยต้ามาทำงานกับเกรทวอลล์ฯ โดยระบุว่า
    .
    "ด้วยความสัตย์จริง และความเคารพต่อโตโยต้า และรถแบรนด์จากใจ เพราะพวกเขานั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ (excellent) คุณวุฒิกร (สุริยะฉันทนานนท์) นั้นเคยทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมที่โตโยต้า และนี่คือเหตุผลที่เขามาอยู่กับเรา" และกล่าวต่อว่า "ถ้าหากคุณไม่มีความกล้าหาญที่จะสู้ ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณก็ตาย ถ้าหากคุณไม่มีอาวุธที่ดีพอ ผลิตภัณฑ์ที่ดี รูปแบบธุรกิจที่ดี กลยุทธ์ที่ดี คุณก็ตาย ถ้าคุณไม่มีทีมเวิร์คที่ดี คุณก็ตาย ... มันไม่มีคนอยู่รอดหรอก เพราะที่กำลังเป็นอยู่นี้คือคือสงคราม ที่เกิดขึ้นในตลาดที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง"
    .
    นิคเคอิ เอเชียยังมีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทรถยนต์ชาวญี่ปุ่นในไทยที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม โดยผู้บริหารชาวญี่ปุ่นคนนี้ยอมรับว่า บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นละเลยความต้องการของผู้บริโภคไทยไปมาก รวมถึงนำเสนอสินค้าที่เทคโนโลยีล้าหลังไปแล้วให้กับตลาดในประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย ซึ่งแตกต่างจากค่ายรถจากจีน
    .
    "มันเป็นความจริงที่ว่าแบรนด์รถญี่ปุ่นนั้นมัวแต่มุ่งเน้นไปที่ตลาดใหญ่ ๆ อย่างในยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับตลาดนั้น ๆ นอกจากนี้สิ่งที่เราตัดสินใจผิดพลาดมากที่สุดก็คือ ความรวดเร็วของการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า
    .
    "และมันเป็นเรื่องจริงที่ค่ายรถญี่ปุ่นนำเสนอสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีค่อนข้างล้าหลัง ซึ่งวางขายอยู่แล้วในประเทศกำลังพัฒนามาขายให้ (ตลาดไทย) ผมคิดว่า นี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยไม่พอใจ และความไม่พอใจนั้นยิ่งนานวันก็สะสมเพิ่มขึ้น ๆ" ผู้บริหารค่ายรถญี่ปุ่นในไทยกล่าวเปิดอก
    .
    ทั้งนี้จากข้อมูลการสำรวจของ LiB Consulting ระบุว่า ภายในปี 2578 (ค.ศ.2035) หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ยอดขายรถใหม่ในเมืองไทยจะเปลี่ยนโฉมไปอย่างสิ้นเชิง โดยรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในจะลดปริมาณลงจากปัจจุบันที่ราว 78.5% เหลือเพียง 15% โดยรถอีวี และรถยนต์พลังงานใหม่จะกินส่วนแบ่งการตลาดที่เหลือ จะถูกแบ่งให้รถอีวี (50.7%) และ รถยนต์เทคโนโลยีไฮบริด-อื่นๆ (34.3%)
    .
    ด้วยสถานการณ์และแนวโน้มเช่นนี้ทำให้ ณ ปัจจุบันถือเป็นโอกาสสุดท้ายของค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นในการขยับขับเคลื่อนเพื่อไล่ตามรถอีวีจากจีนให้ทัน และกอบกู้สถานการณ์ด้วยการอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และตัดสินใจให้เร็ว และฉับไวมากขึ้น
    .
    ทั้งนี้ทั้งนั้น ในเรื่องนี้คุณบุณยสิทธิ์ ประธานเครือสหพัฒน์วัย 87 ที่คร่ำหวอดทั้งในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค แวดวงอุตสาหกรรม และมีสายสัมพันธ์อันล้ำลึกกับแวดวงอุตสาหกรรมไทย ญี่ปุ่น และจีน กล่าวทิ้งท้ายสารคดีข่าวชิ้นนี้เป็นคำแนะนำให้กับบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่กำลังเพลี่ยงพล้ำในประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า
    .
    ในมุมของคุณบุญยสิทธิ์ เดิมทีประธานบริษัทญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดนั้นเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท โดยคนเหล่านี้มีจิตวิญญาณของการบุกเบิกและก่อตั้ง แต่เมื่อมาถึงวันนี้ที่ประธานบริษัทกลายเป็นคนรุ่นใหม่ ๆ ที่เติบโตมาภายในกรอบของบริษัท คนเหล่านี้เวลาตัดสินใจอะไรจึงกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ซึ่งหากผู้บริหารรุ่นใหม่เล่านี้ไม่ได้ตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวเอง การตัดสินใจก็จะล่าช้า ไม่ทันการณ์
    .
    อย่างไรก็ตาม ประธานเครือสหพัฒน์ยังกล่าวให้ความหวังด้วยว่า ในสายตาของชาวไทยแบรนด์ญี่ปุ่นยังได้รับความน่าเชื่อถืออย่างสูงอยู่ คนไทยยังมีความเชื่อว่ารถญี่ปุ่นนั้นดีกว่ารถจีน รถยนต์จีนนั้นมีดีเฉพาะเรื่องของแบตเตอรี่ และรถอีวี ซึ่งเมื่อไหร่ที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเปิดตัวรถที่เป็นรถยนต์อีวีบ้าง ตนก็เชื่อว่าคนไทยจะกลับมานิยมรถยนต์ญี่ปุ่นเหมือนเดิม ซึ่งตนก็คาดหวังว่าบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นจะสามารถแข่งขันกับบริษัทรถยนต์จากจีนได้
    .
    สารคดีข่าวชิ้นนี้ของนิคเคอิ สื่อธุรกิจยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ด้วยการรุกคืบอย่างไม่หยุดหย่อนของค่ายรถยนต์จีน เวลาของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นในไทยนั้นคงเหลือน้อยลงทุกที พร้อมกับทิ้งฉากหลังเป็นภาพพระปรางค์วัดอรุณยามดวงอาทิตย์อัสดง
    .
    แล้วท่านผู้อ่านบูรพาไม่แพ้ละครับ มองว่า ค่ายรถญี่ปุ่นใกล้ถึงคราอวสานจากตลาดไทยหรือยัง? หรือ คิดว่าค่ายรถญี่ปุ่นยังมีโอกาสที่จะกู้สถานการณ์ ช่วงชิงตลาดรถยนต์ไทยกลับคืนมาได้ หากมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีทำดังที่นิคเคอิ เอเชียรายงานเอาไว้?
    .
    เนื่องวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๘ ทีมงานเพจบูรพาไม่แพ้ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน และครอบครัวมีความสุข สมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ สวัสดีปีใหม่ครับ 😄 🙏 🎊 🇹🇭 🇯🇵 🇨🇳
    .
    .
    อ้างอิง :
    NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand
    https://www.youtube.com/watch?v=w7ldtHt6Mn4
    "อวสาน" รถญี่ปุ่นในไทย จากมุมมองของ Nikkei Asia . ในวาระส่งท้ายปีเก่า 2567 ต้อนรับปีใหม่ 2568 สื่อยักษ์ใหญ่ชื่อดังของญี่ปุ่นคือ นิคเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) ได้เผยแพร่สารคดีข่าว NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand (นิคเคอิ ฟิล์ม : เสียงของเครื่องยนต์ที่กำลังหายไปจากประเทศไทย) ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ของบรรดารถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นที่ครั้งหนึ่งเคยครอบครองตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมากกว่า 90% แต่ในห้วงระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้นกลับถูกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนรุกไล่ ทำให้ในปี 2567 เหลือส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ในตลาดรถใหม่เพียง 76% . แม้ว่าในปัจจุบันรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นจะยังคงสามารถครอบครองตลาดรถใหม่ในประเทศไทยได้มากกว่า 3 ใน 4 แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยจากรอบด้านแล้วไม่ว่าจะเป็น แนวโน้มความต้องการของผู้บริโภค พลวัตรของเหล่าดีลเลอร์ผู้ขายรถยนต์ทั่วประเทศไทย การทยอยปิดโรงงาน การไหลออกของบุคลากร-พนักงาน-ผู้บริหารจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นไปสู่ค่ายรถจีน รวมไปถึงการคาดการณ์ตลาดรถยนต์ในอนาคตแล้วรถยนต์ญี่ปุ่นหนีไม่พ้นอาจต้องสูญพันธุ์จากประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ หากไม่เร่งปรับตัวให้เร็วกว่านี้ . "ผมเพิ่งซื้อรถยนต์บีวายดีรุ่นใหม่ล่าสุด แล้วผมก็เปรียบเทียบรถอีวี กับ รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบดั้งเดิมเพื่อศึกษาความแตกต่าง ... ฟังก์ชันในรถอีวีของจีนนั้นครบครันมาก อัตราการเร่งก็ฉับไวมาก" คุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ให้สัมภาษณ์กับนิคเคอิเป็นภาษาญี่ปุ่นอันคล่องแคล่ว และเปรียบเทียบต่อว่า . "ผมมองญี่ปุ่นจากหลาย ๆ มุม ด้วยความที่สำเร็จมาตั้งแต่ในยุคอะนาล็อก ญี่ปุ่นกลับไม่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วพอในยุคของเทคโนโลยีดิจิทัล เทียบกับจีนที่ไม่ได้มีความสำเร็จมากนักในยุคของอะนาล็อก แต่พอยุคสมัยของเทคโนโลยีดิจิทัลมาถึง จีนจึงพยายามอย่างมากที่จะดิสรัปอุตสาหกรรมรถยนต์" . นิคเคอิอธิบายว่า ประเทศไทยซึ่งมีประชากรราว 66 ล้านคน และเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียน นั้นได้ชื่อเล่นว่าเป็น "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย (Detroit of Asia)" ด้วยบรรดาบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศก่อนหน้านี้นานหลายทศวรรษ แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปี 2566 ที่บริษัทรถยนต์จากจีนรุกเข้่ามาทำตลาด และย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยอย่างจริงจัง . "เกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา รถยนต์ญี่ปุ่นสามารถครอบครองยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศไทยได้มากเกือบ 90% แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ รถอีวีจากจีนบุกตลาดประเทศไทยในปี 2566 ส่งผลให้ยอดขายรถใหม่ในประเทศไทยของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นลดลงต่ำกว่า 80% (เหลือ 77.8% ในปี 2566 และ เหลือ 76.2% ในปี 2567)" นิคเคอิระบุ . จากนั้นจึงกล่าวกว่า บีวายดี (BYD) คือ หัวหอกของบริษัทรถยนต์จีนที่เข้ามาแย่งชิงตลาดในประเทศไทยจากบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น โดยนิคเคอิได้ดำเนินการสำรวจการขยายตัวของจำนวนดีลเลอร์รถบีวายดีในไทยพบว่า เกือบ 50% ของดีลเลอร์รถบีวายดีนั้นก่อนหน้านั้นเคยเป็นดีลเลอร์ของรถยนต์ค่ายญี่ปุ่น โดยบีวายดีขยายสาขาไปทั่วประเทศ โดยไม่เพียงกวาดดีลเลอร์จากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นให้เข้ามาซุกใต้ปีก แต่รวมถึงค่ายรถยนต์จากตะวันตกด้วยเช่นกัน . การรุกไล่ของค่ายรถยนต์จากจีนไม่หยุดอยู่แค่ในระดับการส่งรถยนต์จากจีนมาขายยังเมืองไทย แต่ยังมีการขยายโรงงานผลิตมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่องด้วย ยกตัวอย่างเช่น บีวายดีที่เพิ่งเริ่มเดินสายพานโรงงานผลิตรถยนต์แบบเต็มระบบแห่งแรกในต่างแดนที่ จ.ระยอง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ทำให้บุคลากรในแวดวงรถยนต์คนไทยที่มีความสามารถตั้งแต่ระดับฝ่ายผลิต จนถึงผู้บริหารที่เคยสังกัดอยู่กับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ไหลไปอยู่กับบริษัทรถยนต์จีนจำนวนมาก . ด้วยแรงจูงใจสำคัญเป็นค่าตอบแทนที่มากกว่าเดิม 30% 50% 80% หรือกระทั่งเพิ่มขึ้นเท่าตัว! . นายสื่อ ชิงเคอ (史青科) หรือ Parker Shi ประธานของเกรท วอลล์ มอเตอร์ อินเตอร์เนชันแนล เจ้าของแบรนด์รถยนต์จีน GWM ให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงคู่แข่งค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น และการดึงตัวผู้บริหารระดับสูงจากโตโยต้ามาทำงานกับเกรทวอลล์ฯ โดยระบุว่า . "ด้วยความสัตย์จริง และความเคารพต่อโตโยต้า และรถแบรนด์จากใจ เพราะพวกเขานั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ (excellent) คุณวุฒิกร (สุริยะฉันทนานนท์) นั้นเคยทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมที่โตโยต้า และนี่คือเหตุผลที่เขามาอยู่กับเรา" และกล่าวต่อว่า "ถ้าหากคุณไม่มีความกล้าหาญที่จะสู้ ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณก็ตาย ถ้าหากคุณไม่มีอาวุธที่ดีพอ ผลิตภัณฑ์ที่ดี รูปแบบธุรกิจที่ดี กลยุทธ์ที่ดี คุณก็ตาย ถ้าคุณไม่มีทีมเวิร์คที่ดี คุณก็ตาย ... มันไม่มีคนอยู่รอดหรอก เพราะที่กำลังเป็นอยู่นี้คือคือสงคราม ที่เกิดขึ้นในตลาดที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง" . นิคเคอิ เอเชียยังมีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทรถยนต์ชาวญี่ปุ่นในไทยที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม โดยผู้บริหารชาวญี่ปุ่นคนนี้ยอมรับว่า บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นละเลยความต้องการของผู้บริโภคไทยไปมาก รวมถึงนำเสนอสินค้าที่เทคโนโลยีล้าหลังไปแล้วให้กับตลาดในประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย ซึ่งแตกต่างจากค่ายรถจากจีน . "มันเป็นความจริงที่ว่าแบรนด์รถญี่ปุ่นนั้นมัวแต่มุ่งเน้นไปที่ตลาดใหญ่ ๆ อย่างในยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับตลาดนั้น ๆ นอกจากนี้สิ่งที่เราตัดสินใจผิดพลาดมากที่สุดก็คือ ความรวดเร็วของการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า . "และมันเป็นเรื่องจริงที่ค่ายรถญี่ปุ่นนำเสนอสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีค่อนข้างล้าหลัง ซึ่งวางขายอยู่แล้วในประเทศกำลังพัฒนามาขายให้ (ตลาดไทย) ผมคิดว่า นี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยไม่พอใจ และความไม่พอใจนั้นยิ่งนานวันก็สะสมเพิ่มขึ้น ๆ" ผู้บริหารค่ายรถญี่ปุ่นในไทยกล่าวเปิดอก . ทั้งนี้จากข้อมูลการสำรวจของ LiB Consulting ระบุว่า ภายในปี 2578 (ค.ศ.2035) หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ยอดขายรถใหม่ในเมืองไทยจะเปลี่ยนโฉมไปอย่างสิ้นเชิง โดยรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในจะลดปริมาณลงจากปัจจุบันที่ราว 78.5% เหลือเพียง 15% โดยรถอีวี และรถยนต์พลังงานใหม่จะกินส่วนแบ่งการตลาดที่เหลือ จะถูกแบ่งให้รถอีวี (50.7%) และ รถยนต์เทคโนโลยีไฮบริด-อื่นๆ (34.3%) . ด้วยสถานการณ์และแนวโน้มเช่นนี้ทำให้ ณ ปัจจุบันถือเป็นโอกาสสุดท้ายของค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นในการขยับขับเคลื่อนเพื่อไล่ตามรถอีวีจากจีนให้ทัน และกอบกู้สถานการณ์ด้วยการอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และตัดสินใจให้เร็ว และฉับไวมากขึ้น . ทั้งนี้ทั้งนั้น ในเรื่องนี้คุณบุณยสิทธิ์ ประธานเครือสหพัฒน์วัย 87 ที่คร่ำหวอดทั้งในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค แวดวงอุตสาหกรรม และมีสายสัมพันธ์อันล้ำลึกกับแวดวงอุตสาหกรรมไทย ญี่ปุ่น และจีน กล่าวทิ้งท้ายสารคดีข่าวชิ้นนี้เป็นคำแนะนำให้กับบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่กำลังเพลี่ยงพล้ำในประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า . ในมุมของคุณบุญยสิทธิ์ เดิมทีประธานบริษัทญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดนั้นเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท โดยคนเหล่านี้มีจิตวิญญาณของการบุกเบิกและก่อตั้ง แต่เมื่อมาถึงวันนี้ที่ประธานบริษัทกลายเป็นคนรุ่นใหม่ ๆ ที่เติบโตมาภายในกรอบของบริษัท คนเหล่านี้เวลาตัดสินใจอะไรจึงกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ซึ่งหากผู้บริหารรุ่นใหม่เล่านี้ไม่ได้ตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวเอง การตัดสินใจก็จะล่าช้า ไม่ทันการณ์ . อย่างไรก็ตาม ประธานเครือสหพัฒน์ยังกล่าวให้ความหวังด้วยว่า ในสายตาของชาวไทยแบรนด์ญี่ปุ่นยังได้รับความน่าเชื่อถืออย่างสูงอยู่ คนไทยยังมีความเชื่อว่ารถญี่ปุ่นนั้นดีกว่ารถจีน รถยนต์จีนนั้นมีดีเฉพาะเรื่องของแบตเตอรี่ และรถอีวี ซึ่งเมื่อไหร่ที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเปิดตัวรถที่เป็นรถยนต์อีวีบ้าง ตนก็เชื่อว่าคนไทยจะกลับมานิยมรถยนต์ญี่ปุ่นเหมือนเดิม ซึ่งตนก็คาดหวังว่าบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นจะสามารถแข่งขันกับบริษัทรถยนต์จากจีนได้ . สารคดีข่าวชิ้นนี้ของนิคเคอิ สื่อธุรกิจยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ด้วยการรุกคืบอย่างไม่หยุดหย่อนของค่ายรถยนต์จีน เวลาของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นในไทยนั้นคงเหลือน้อยลงทุกที พร้อมกับทิ้งฉากหลังเป็นภาพพระปรางค์วัดอรุณยามดวงอาทิตย์อัสดง . แล้วท่านผู้อ่านบูรพาไม่แพ้ละครับ มองว่า ค่ายรถญี่ปุ่นใกล้ถึงคราอวสานจากตลาดไทยหรือยัง? หรือ คิดว่าค่ายรถญี่ปุ่นยังมีโอกาสที่จะกู้สถานการณ์ ช่วงชิงตลาดรถยนต์ไทยกลับคืนมาได้ หากมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีทำดังที่นิคเคอิ เอเชียรายงานเอาไว้? . เนื่องวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๘ ทีมงานเพจบูรพาไม่แพ้ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน และครอบครัวมีความสุข สมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ สวัสดีปีใหม่ครับ 😄 🙏 🎊 🇹🇭 🇯🇵 🇨🇳 . . อ้างอิง : NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand https://www.youtube.com/watch?v=w7ldtHt6Mn4
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1104 มุมมอง 1 รีวิว
  • ศูนย์วิทยุพระราม199 สรุปยอดผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเหตุเพลิงไหม้โรงแรมดังย่านถนนข้าวสาร เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 7 ราย

    วันนี้ (30 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิทยุพระราม199 สรุปยอดผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเหตุเพลิงไหม้โรงแรมดังย่านถนนข้าวสาร ว่า ที่เกิดเหตุมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 7 ราย ได้แก่

    1.เป็นชาวญี่ปุ่น เพศชาย ไม่ทราบชื่อและอายุ มีอาการสำลักควัน อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลพระราม 9

    2.เป็นชาวต่างชาติ เพศหญิง ไม่ทราบชื่อและอายุ ไม่ทราบสัญชาติ มีอาการหมดสติในที่เกิดเหตุ อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลกลาง พักรักษาตัวที่ห้อง CCU

    3.เป็นชาวไทย เพศชาย ไม่ทราบชื่อและอายุ มีอาการสำลักควัน ปฐมพยาบาลในที่เกิดเหตุ ไม่ต้องการไปโรงพยาบาล

    4.เป็นชาวไทย เพศชาย อายุประมาณ 34 ปี มีอาการลำสักควัน อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลหัวเฉียว

    5.เป็นชาวเยอรมัน เพศชาย อายุประมาณ 34 ปี มีอาการถูกไฟลวกที่มือ อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง

    6.เป็นชาวเยอรมัน เพศหญิง อายุประมาณ 32 ปี กระโดดจากที่สูง มีอาการปวดหลังและสำลักควัน อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง

    7.เป็นเพศชายชาวจีน ไม่ทราบชื่อและอายุ หมดสติในที่เกิดเหตุ อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลหัวเฉียว พักรักษาตัวที่ห้อง ICU

    ผู้เสียชีวิตจำนวน 3 ราย ได้แก่

    1.เป็นเพศหญิงชาวต่างชาติ ไม่ทราบชื่อและอายุ ไม่ทราบสัญชาติ ถูกไฟคลอกเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

    2.เป็นเพศชายชาวต่างชาติ ไม่ทราบชื่อและอายุ ไม่ทราบสัญชาติ หมดสติในที่เกิดเหตุ อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ เสียชีวิตที่โรงพยาบาล

    3.เป็นเพศชายชาวต่างชาติ ไม่ทราบชื่อและอายุ ไม่ทราบสัญชาติ หมดสติในที่เกิดเหตุ อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลวชิรพยาบาล เสียชีวิตที่โรงพยาบาล พื้นที่รับผิดชอบของสถานีดับเพลิงและกู้ภัยภูเขาทอง

    #MGROnline #โรงแรมดัง #ย่านถนนข้าวสาร
    ศูนย์วิทยุพระราม199 สรุปยอดผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเหตุเพลิงไหม้โรงแรมดังย่านถนนข้าวสาร เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 7 ราย • วันนี้ (30 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิทยุพระราม199 สรุปยอดผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเหตุเพลิงไหม้โรงแรมดังย่านถนนข้าวสาร ว่า ที่เกิดเหตุมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 7 ราย ได้แก่ 1.เป็นชาวญี่ปุ่น เพศชาย ไม่ทราบชื่อและอายุ มีอาการสำลักควัน อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลพระราม 9 2.เป็นชาวต่างชาติ เพศหญิง ไม่ทราบชื่อและอายุ ไม่ทราบสัญชาติ มีอาการหมดสติในที่เกิดเหตุ อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลกลาง พักรักษาตัวที่ห้อง CCU 3.เป็นชาวไทย เพศชาย ไม่ทราบชื่อและอายุ มีอาการสำลักควัน ปฐมพยาบาลในที่เกิดเหตุ ไม่ต้องการไปโรงพยาบาล 4.เป็นชาวไทย เพศชาย อายุประมาณ 34 ปี มีอาการลำสักควัน อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลหัวเฉียว 5.เป็นชาวเยอรมัน เพศชาย อายุประมาณ 34 ปี มีอาการถูกไฟลวกที่มือ อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง 6.เป็นชาวเยอรมัน เพศหญิง อายุประมาณ 32 ปี กระโดดจากที่สูง มีอาการปวดหลังและสำลักควัน อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง 7.เป็นเพศชายชาวจีน ไม่ทราบชื่อและอายุ หมดสติในที่เกิดเหตุ อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลหัวเฉียว พักรักษาตัวที่ห้อง ICU • ผู้เสียชีวิตจำนวน 3 ราย ได้แก่ 1.เป็นเพศหญิงชาวต่างชาติ ไม่ทราบชื่อและอายุ ไม่ทราบสัญชาติ ถูกไฟคลอกเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 2.เป็นเพศชายชาวต่างชาติ ไม่ทราบชื่อและอายุ ไม่ทราบสัญชาติ หมดสติในที่เกิดเหตุ อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ เสียชีวิตที่โรงพยาบาล 3.เป็นเพศชายชาวต่างชาติ ไม่ทราบชื่อและอายุ ไม่ทราบสัญชาติ หมดสติในที่เกิดเหตุ อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลวชิรพยาบาล เสียชีวิตที่โรงพยาบาล พื้นที่รับผิดชอบของสถานีดับเพลิงและกู้ภัยภูเขาทอง • #MGROnline #โรงแรมดัง #ย่านถนนข้าวสาร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 412 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เฉพาะผู้ที่มีวินัยเท่านั้น จึงจะเป็นอิสระในชีวิต หากคุณไม่มีวินัย คุณจะเป็นทาสของอารมณ์ และความลุ่มหลงหลงใหลของตัวเอง (Only the disciplined ones in life are free. If you are undisciplined, you are a slave to your moods and your passions.)” --- Eliud Kipchoge
    .
    ไม่ได้ไปลงงานวิ่ง ATM กับเขาหรอกครับ (เพราะถนัดวิ่งแถวบ้านมากกว่า 555) แต่รู้สึกชื่นชมและยินดีกับความสำเร็จของนักวิ่งทุกท่าน ในทุกระยะ ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ขณะเดียวกันส่วนตัวผมก็ชื่นชอบ "คิปโชเก" มาหลายปีแล้ว (นอกจากชื่นชอบมุราคามิ นักวิ่งชาวญี่ปุ่นที่เขียนหนังสือได้นิดหน่อย 😆)
    .
    ทั้งนี้ทั้งนั้น ผลได้มากที่สุดจากการติดตามคิปโชเก ไม่ใช่สถิติ หรือเทคนิคการวิ่งของคิปโชเก (เพราะเราคงทำไม่ได้) แต่เป็นแนวคิดที่สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม ขอบคุณคำพูดของแกที่เป็นแรงกระตุ้นให้เราตื่น และออกไปวิ่งได้ในทุก ๆ เช้า 🙏🌄
    “เฉพาะผู้ที่มีวินัยเท่านั้น จึงจะเป็นอิสระในชีวิต หากคุณไม่มีวินัย คุณจะเป็นทาสของอารมณ์ และความลุ่มหลงหลงใหลของตัวเอง (Only the disciplined ones in life are free. If you are undisciplined, you are a slave to your moods and your passions.)” --- Eliud Kipchoge . ไม่ได้ไปลงงานวิ่ง ATM กับเขาหรอกครับ (เพราะถนัดวิ่งแถวบ้านมากกว่า 555) แต่รู้สึกชื่นชมและยินดีกับความสำเร็จของนักวิ่งทุกท่าน ในทุกระยะ ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ขณะเดียวกันส่วนตัวผมก็ชื่นชอบ "คิปโชเก" มาหลายปีแล้ว (นอกจากชื่นชอบมุราคามิ นักวิ่งชาวญี่ปุ่นที่เขียนหนังสือได้นิดหน่อย 😆) . ทั้งนี้ทั้งนั้น ผลได้มากที่สุดจากการติดตามคิปโชเก ไม่ใช่สถิติ หรือเทคนิคการวิ่งของคิปโชเก (เพราะเราคงทำไม่ได้) แต่เป็นแนวคิดที่สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม ขอบคุณคำพูดของแกที่เป็นแรงกระตุ้นให้เราตื่น และออกไปวิ่งได้ในทุก ๆ เช้า 🙏🌄
    Like
    7
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 612 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.95 : “กัมพูชา” ฐานการลงทุนใหม่แห่งอาเซียน ?
    .
    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เราก็ได้เห็นการย้ายฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติออกจากเมืองไทยอยู่ไม่น้อย โดยนักลงทุนต่างชาติบางส่วนได้ย้ายฐานจากประเทศไทยไปยังมาเลเซีย อินโดนีเซีย และ เวียดนาม ยกตัวอย่างเช่น พานาโซนิก ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชื่อดัง ที่ปิดโรงงานและศูนย์วิจัยในประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564 โดยย้ายไปตั้งที่เวียดนามแทน จนมีความกังวลกันว่า ญี่ปุ่นจะทิ้งเมืองไทย
    .
    แม้นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นหลายคนที่ต่างยืนยันว่า จะยังไม่ทิ้งประเทศไทย...แต่ก็ต้องยอมรับว่า สภาวะเศรษฐกิจไทยที่เติบโตต่ำ และศักยภาพการแข่งขันของไทยที่ด้อยลง ทำให้ธุรกิจญี่ปุ่นก็จำเป็นต้อง ขยายการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้แนวคิดที่เรียกว่า Thailand+1 ...... โดยประเทศหนึ่งที่ธุรกิจญี่ปุ่น ให้ความสนใจมากก็คือ “กัมพูชา”
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=hH9jo-vt0Ns
    บูรพาไม่แพ้ Ep.95 : “กัมพูชา” ฐานการลงทุนใหม่แห่งอาเซียน ? . ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เราก็ได้เห็นการย้ายฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติออกจากเมืองไทยอยู่ไม่น้อย โดยนักลงทุนต่างชาติบางส่วนได้ย้ายฐานจากประเทศไทยไปยังมาเลเซีย อินโดนีเซีย และ เวียดนาม ยกตัวอย่างเช่น พานาโซนิก ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชื่อดัง ที่ปิดโรงงานและศูนย์วิจัยในประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564 โดยย้ายไปตั้งที่เวียดนามแทน จนมีความกังวลกันว่า ญี่ปุ่นจะทิ้งเมืองไทย . แม้นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นหลายคนที่ต่างยืนยันว่า จะยังไม่ทิ้งประเทศไทย...แต่ก็ต้องยอมรับว่า สภาวะเศรษฐกิจไทยที่เติบโตต่ำ และศักยภาพการแข่งขันของไทยที่ด้อยลง ทำให้ธุรกิจญี่ปุ่นก็จำเป็นต้อง ขยายการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้แนวคิดที่เรียกว่า Thailand+1 ...... โดยประเทศหนึ่งที่ธุรกิจญี่ปุ่น ให้ความสนใจมากก็คือ “กัมพูชา” . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=hH9jo-vt0Ns
    Like
    Haha
    Sad
    6
    0 ความคิดเห็น 3 การแบ่งปัน 1117 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚩ทำไม?? ต้องเป็นว่านหางจระเข้
    สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิลเท่านั้น
    ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill)
    ซึ่งเป็นพืชที่ถูกนำมาใช้ในการดูแลสุ.ขภ.าพ
    และการบำบัดโร.คต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะใช้ในวงการแพ.ทย์แผ.นโบราณ และแพ.ทย์แผนใหม่ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่น่าสนใจมากมาย

    ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill)
    มีลักษณะต้นใหญ่และเนื้อวุ้นมากที่สุดในวงศ์

    ว่านหางจระเข้ ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับการนำมาบริโภค ทำยา น้ำว่าน หรือเครื่องสำอาง
    สายพันธุ์นี้มีกำเนิดดั้งเดิมในแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา และได้รับการยอมรับในประโยชน์อันทรงคุณค่ามาเป็นเวลานับทศวรรษ จนได้รับการขนานนามว่า “พืชมหัศจรรย์” หรือ “อายุวัฒนะ” สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 200 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินต่างๆ เกลือแร่ กรดอะมิโนทั้ง 20 ชนิด เอนไซน์ และเบต้าแคโรทีน และไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ (HDL) เป็นต้น

    ด้วยคุณค่าของสารอาหารต่างๆ อันเป็นประโยชน์เหล่านี้ ผสมผสานอย่างเหมาะสมตามธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านสารปฏิชีวนะ ชาวญี่ปุ่นได้ทำการวิจัยพบสารออกฤทธิ์ทางปฏิชีวนะถึง 3 ชนิด ในว่านหางจระเข้ได้แก่

    - อโลอิน (Aloin) มีฤทธิ์มาฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด

    - อโลดิน (Emodin)มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซ.ล์ลมะเร็.ง

    - อโลมิซิน (Alocmicin)ที่มีฤทธิ์สมานแ.ผลและระงับการขยายตัวของเชื้.อไวรั.ส

    ว่านหางจระเข้เป็นพืชที่มีคุณสมบัติและประโยชน์มากมาย ทั้งในด้านการรักษาสุขภาพ การบำรุงความงาม และการปรับปรุงสภาพแวดล้อม ว่านหางจระเข้มีสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนอีกหลายชนิดที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกาย อาทิ แมกนีเซียม, โพแทสเซียม, ทองแดง, แมงกานีส, ซีลีเนียม, โครเมียม, วิตามิน A C E B1 B2 B3 B6 B9 B12 และโคลีนนอกจากนี้
    ว่านหางจระเข้ยังมีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยสมานแผล ได้แก่ โพลีฟีนอล (Polysaccharides) แอนทราควิโนน (Anthraquinone) และกลีโคโปรตีน (Glycoprotein) ซึ่งทั้งหมดนี้มีบทบาทในการปรับสมดุลและส่งเสริมสุขภาพของร่างกาย

    ขอบคุณ ข้อมูลจาก Google
    #ว่านหางจระเข้ #สมุนไพร #สมุนไพรปลอดสาร
    🚩ทำไม?? ต้องเป็นว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิลเท่านั้น ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill) ซึ่งเป็นพืชที่ถูกนำมาใช้ในการดูแลสุ.ขภ.าพ และการบำบัดโร.คต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะใช้ในวงการแพ.ทย์แผ.นโบราณ และแพ.ทย์แผนใหม่ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่น่าสนใจมากมาย ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill) มีลักษณะต้นใหญ่และเนื้อวุ้นมากที่สุดในวงศ์ ว่านหางจระเข้ ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับการนำมาบริโภค ทำยา น้ำว่าน หรือเครื่องสำอาง สายพันธุ์นี้มีกำเนิดดั้งเดิมในแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา และได้รับการยอมรับในประโยชน์อันทรงคุณค่ามาเป็นเวลานับทศวรรษ จนได้รับการขนานนามว่า “พืชมหัศจรรย์” หรือ “อายุวัฒนะ” สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 200 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินต่างๆ เกลือแร่ กรดอะมิโนทั้ง 20 ชนิด เอนไซน์ และเบต้าแคโรทีน และไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ (HDL) เป็นต้น ด้วยคุณค่าของสารอาหารต่างๆ อันเป็นประโยชน์เหล่านี้ ผสมผสานอย่างเหมาะสมตามธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านสารปฏิชีวนะ ชาวญี่ปุ่นได้ทำการวิจัยพบสารออกฤทธิ์ทางปฏิชีวนะถึง 3 ชนิด ในว่านหางจระเข้ได้แก่ - อโลอิน (Aloin) มีฤทธิ์มาฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด - อโลดิน (Emodin)มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซ.ล์ลมะเร็.ง - อโลมิซิน (Alocmicin)ที่มีฤทธิ์สมานแ.ผลและระงับการขยายตัวของเชื้.อไวรั.ส ว่านหางจระเข้เป็นพืชที่มีคุณสมบัติและประโยชน์มากมาย ทั้งในด้านการรักษาสุขภาพ การบำรุงความงาม และการปรับปรุงสภาพแวดล้อม ว่านหางจระเข้มีสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนอีกหลายชนิดที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกาย อาทิ แมกนีเซียม, โพแทสเซียม, ทองแดง, แมงกานีส, ซีลีเนียม, โครเมียม, วิตามิน A C E B1 B2 B3 B6 B9 B12 และโคลีนนอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังมีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยสมานแผล ได้แก่ โพลีฟีนอล (Polysaccharides) แอนทราควิโนน (Anthraquinone) และกลีโคโปรตีน (Glycoprotein) ซึ่งทั้งหมดนี้มีบทบาทในการปรับสมดุลและส่งเสริมสุขภาพของร่างกาย ขอบคุณ ข้อมูลจาก Google #ว่านหางจระเข้ #สมุนไพร #สมุนไพรปลอดสาร
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 833 มุมมอง 0 รีวิว
  • ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill)
    🚩ทำไม?? ต้องเป็นว่านหางจระเข้
    สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิลเท่านั้น
    ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill)
    ซึ่งเป็นพืชที่ถูกนำมาใช้ในการดูแลสุ.ขภ.าพ
    และการบำบัดโร.คต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะใช้ในวงการแพ.ทย์แผ.นโบราณ และแพ.ทย์แผนใหม่ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่น่าสนใจมากมาย

    ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill)
    มีลักษณะต้นใหญ่และเนื้อวุ้นมากที่สุดในวงศ์

    ว่านหางจระเข้ ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับการนำมาบริโภค ทำยา น้ำว่าน หรือเครื่องสำอาง
    สายพันธุ์นี้มีกำเนิดดั้งเดิมในแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา และได้รับการยอมรับในประโยชน์อันทรงคุณค่ามาเป็นเวลานับทศวรรษ จนได้รับการขนานนามว่า “พืชมหัศจรรย์” หรือ “อายุวัฒนะ” สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 200 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินต่างๆ เกลือแร่ กรดอะมิโนทั้ง 20 ชนิด เอนไซน์ และเบต้าแคโรทีน และไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ (HDL) เป็นต้น

    ด้วยคุณค่าของสารอาหารต่างๆ อันเป็นประโยชน์เหล่านี้ ผสมผสานอย่างเหมาะสมตามธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านสารปฏิชีวนะ ชาวญี่ปุ่นได้ทำการวิจัยพบสารออกฤทธิ์ทางปฏิชีวนะถึง 3 ชนิด ในว่านหางจระเข้ได้แก่

    - อโลอิน (Aloin) มีฤทธิ์มาฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด

    - อโลดิน (Emodin)มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซ.ล์ลมะเร็.ง

    - อโลมิซิน (Alocmicin)ที่มีฤทธิ์สมานแ.ผลและระงับการขยายตัวของเชื้.อไวรั.ส

    ว่านหางจระเข้เป็นพืชที่มีคุณสมบัติและประโยชน์มากมาย ทั้งในด้านการรักษาสุขภาพ การบำรุงความงาม และการปรับปรุงสภาพแวดล้อม ว่านหางจระเข้มีสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนอีกหลายชนิดที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกาย อาทิ แมกนีเซียม, โพแทสเซียม, ทองแดง, แมงกานีส, ซีลีเนียม, โครเมียม, วิตามิน A C E B1 B2 B3 B6 B9 B12 และโคลีนนอกจากนี้
    ว่านหางจระเข้ยังมีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยสมานแผล ได้แก่ โพลีฟีนอล (Polysaccharides) แอนทราควิโนน (Anthraquinone) และกลีโคโปรตีน (Glycoprotein) ซึ่งทั้งหมดนี้มีบทบาทในการปรับสมดุลและส่งเสริมสุขภาพของร่างกาย

    ขอบคุณ ข้อมูลจาก Google
    #ว่านหางจระเข้ #สมุนไพร #สมุนไพรปลอดสาร#thaitimes
    ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill) 🚩ทำไม?? ต้องเป็นว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิลเท่านั้น ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill) ซึ่งเป็นพืชที่ถูกนำมาใช้ในการดูแลสุ.ขภ.าพ และการบำบัดโร.คต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะใช้ในวงการแพ.ทย์แผ.นโบราณ และแพ.ทย์แผนใหม่ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่น่าสนใจมากมาย ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill) มีลักษณะต้นใหญ่และเนื้อวุ้นมากที่สุดในวงศ์ ว่านหางจระเข้ ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับการนำมาบริโภค ทำยา น้ำว่าน หรือเครื่องสำอาง สายพันธุ์นี้มีกำเนิดดั้งเดิมในแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา และได้รับการยอมรับในประโยชน์อันทรงคุณค่ามาเป็นเวลานับทศวรรษ จนได้รับการขนานนามว่า “พืชมหัศจรรย์” หรือ “อายุวัฒนะ” สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 200 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินต่างๆ เกลือแร่ กรดอะมิโนทั้ง 20 ชนิด เอนไซน์ และเบต้าแคโรทีน และไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ (HDL) เป็นต้น ด้วยคุณค่าของสารอาหารต่างๆ อันเป็นประโยชน์เหล่านี้ ผสมผสานอย่างเหมาะสมตามธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านสารปฏิชีวนะ ชาวญี่ปุ่นได้ทำการวิจัยพบสารออกฤทธิ์ทางปฏิชีวนะถึง 3 ชนิด ในว่านหางจระเข้ได้แก่ - อโลอิน (Aloin) มีฤทธิ์มาฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด - อโลดิน (Emodin)มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซ.ล์ลมะเร็.ง - อโลมิซิน (Alocmicin)ที่มีฤทธิ์สมานแ.ผลและระงับการขยายตัวของเชื้.อไวรั.ส ว่านหางจระเข้เป็นพืชที่มีคุณสมบัติและประโยชน์มากมาย ทั้งในด้านการรักษาสุขภาพ การบำรุงความงาม และการปรับปรุงสภาพแวดล้อม ว่านหางจระเข้มีสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนอีกหลายชนิดที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกาย อาทิ แมกนีเซียม, โพแทสเซียม, ทองแดง, แมงกานีส, ซีลีเนียม, โครเมียม, วิตามิน A C E B1 B2 B3 B6 B9 B12 และโคลีนนอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังมีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยสมานแผล ได้แก่ โพลีฟีนอล (Polysaccharides) แอนทราควิโนน (Anthraquinone) และกลีโคโปรตีน (Glycoprotein) ซึ่งทั้งหมดนี้มีบทบาทในการปรับสมดุลและส่งเสริมสุขภาพของร่างกาย ขอบคุณ ข้อมูลจาก Google #ว่านหางจระเข้ #สมุนไพร #สมุนไพรปลอดสาร#thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1053 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดร. มาซารุ อิโมโต
    เป็นแพทย์แผนใหม่ชาวญี่ปุ่น
    ที่ได้ทำการวิจัยศึกษาเกี่ยวกับผลึกของน้ำ
    ได้ค้นพบว่าจิตของมนุษย์และสภาพแวดล้อม
    รอบตัวนั้นมีผลต่อการก่อตัวของผลึกน้ำ
    และได้เขียนหนังสือจากงานวิจัยของเขา
    ชื่อ Hidden Messages in Water
    และได้ตีพิมพ์ขายทั่วโลกได้มากกว่า สี่แสนเล่ม
    เขาได้ทำการพิสูจน์แล้วว่าความคิด
    และความรู้สึกของมนุษย์นั้น
    สามารถเปลี่ยนแปลงโลกในสามมิติได้
    เขาได้ใช้กล้องจุลทรรศน์
    ที่มีกำลังขยายสูงถ่ายภาพในอุณหภูมิต่ำ
    ในช่วงที่ผลึกน้ำพึ่งก่อตัวใหม่ๆ
    ซึ่งน้ำที่อยู่ในสภาพต่างกัน
    จะก่อตัวเป็นผลึกไม่เหมือนกัน
    เขาได้พบว่าถ้าตัวอย่างน้ำ
    ที่เก็บมาจากสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน
    เพี่อทำให้เย็นจะก่อตัวเป็นผลึกรูปร่างไม่เหมือนกัน
    โดยน้ำที่มาจากสถานที่ตามธรรมชาติ
    จะก่อตัวเป็นผลึกที่สวยงาม
    กว่าน้ำที่เก็บตัวอย่างใกล้ๆกับโรงงานอุตสาหกรรม
    ซึ่งน้ำจากพี้นที่ที่มีมลภาวะเป็นพิษนั้น
    จะไม่ก่อตัวเป็นผลึกเลย
    เสียงเพลงก็ยังมีอิทธิพลต่อผลึกของน้ำเช่นกัน
    เพลงทีมีความไพเราะก็จะก่อผลึกเป็นรูปร่างสวยงาม
    ไม่เหมือนกัน
    นอกจากนั้นแล้วเขาได้ทำการเปรียบเทียบ
    ผลึกของน้ำที่ก่อตัวโดยไม่ได้รับการอวยพร
    เทียบกับน้ำที่ได้รับการอวยพร
    พบว่า น้ำที่ได้รับการอวยพรนั้นจะมีผลึกสวยงาม
    เมื่อเทียบกับน้ำที่ไม่ได้รับการอวยพร
    โดยที่น้ำที่ไม่ได้รับการอวยพรไม่ก่อตัวเป็นผลึก
    สุดท้ายถ้าตัวอักษรหรือ
    คำพูดปิดไว้ที่ภาชนะใส่น้ำแล้ว
    ทำให้ก่อตัวเป็นผลึกขึ้นของน้ำ
    ก็จะได้ผลึกรูปร่างที่ต่างกันออกไป
    โดยข้อความที่มีความไพเราะ
    จะช่วยให้น้ำมีผลึกที่สวยงาม
    มากกว่าข้อความที่เต็มไปด้วยความรุนแรง
    จากการทดลองทั้งหมด
    พบว่าจิตของมนุษย์นั้น
    มีผลต่อการก่อตัวของผลึกน้ำ
    เนื่องจากการที่มนุษย์มีส่วนประกอบของน้ำ
    มากกว่า 70 เปอร์เซนต์
    ดังนั้นจะเห็นว่าจิตของมนุษย์นั้น
    นอกจากจะมีอิทธิพลต่อร่างกายตัวเองแล้ว
    ยังสามารถมีอิทธิพลต่อสภาพแวดล้อม
    และ คนที่อยู่รอบข้างด้วย
    ถ้าเราคิดในสิ่งที่ดีและทำความดีผู้ที่อยู่รอบข้าง
    จะรู้สึกด้วยเช่นกัน
    และจะทำให้เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกได้อย่างมีความสุข
    https://www.youtube.com/watch?v=OI1Iyu7aTqc
    #ผลึกของน้ำ
    #คำพูดดีดี
    #สิ่งแวดล้อมดีดี
    #มาซารุอิโมโต
    #hiddenmassegesinwater
    ดร. มาซารุ อิโมโต เป็นแพทย์แผนใหม่ชาวญี่ปุ่น ที่ได้ทำการวิจัยศึกษาเกี่ยวกับผลึกของน้ำ ได้ค้นพบว่าจิตของมนุษย์และสภาพแวดล้อม รอบตัวนั้นมีผลต่อการก่อตัวของผลึกน้ำ และได้เขียนหนังสือจากงานวิจัยของเขา ชื่อ Hidden Messages in Water และได้ตีพิมพ์ขายทั่วโลกได้มากกว่า สี่แสนเล่ม เขาได้ทำการพิสูจน์แล้วว่าความคิด และความรู้สึกของมนุษย์นั้น สามารถเปลี่ยนแปลงโลกในสามมิติได้ เขาได้ใช้กล้องจุลทรรศน์ ที่มีกำลังขยายสูงถ่ายภาพในอุณหภูมิต่ำ ในช่วงที่ผลึกน้ำพึ่งก่อตัวใหม่ๆ ซึ่งน้ำที่อยู่ในสภาพต่างกัน จะก่อตัวเป็นผลึกไม่เหมือนกัน เขาได้พบว่าถ้าตัวอย่างน้ำ ที่เก็บมาจากสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน เพี่อทำให้เย็นจะก่อตัวเป็นผลึกรูปร่างไม่เหมือนกัน โดยน้ำที่มาจากสถานที่ตามธรรมชาติ จะก่อตัวเป็นผลึกที่สวยงาม กว่าน้ำที่เก็บตัวอย่างใกล้ๆกับโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งน้ำจากพี้นที่ที่มีมลภาวะเป็นพิษนั้น จะไม่ก่อตัวเป็นผลึกเลย เสียงเพลงก็ยังมีอิทธิพลต่อผลึกของน้ำเช่นกัน เพลงทีมีความไพเราะก็จะก่อผลึกเป็นรูปร่างสวยงาม ไม่เหมือนกัน นอกจากนั้นแล้วเขาได้ทำการเปรียบเทียบ ผลึกของน้ำที่ก่อตัวโดยไม่ได้รับการอวยพร เทียบกับน้ำที่ได้รับการอวยพร พบว่า น้ำที่ได้รับการอวยพรนั้นจะมีผลึกสวยงาม เมื่อเทียบกับน้ำที่ไม่ได้รับการอวยพร โดยที่น้ำที่ไม่ได้รับการอวยพรไม่ก่อตัวเป็นผลึก สุดท้ายถ้าตัวอักษรหรือ คำพูดปิดไว้ที่ภาชนะใส่น้ำแล้ว ทำให้ก่อตัวเป็นผลึกขึ้นของน้ำ ก็จะได้ผลึกรูปร่างที่ต่างกันออกไป โดยข้อความที่มีความไพเราะ จะช่วยให้น้ำมีผลึกที่สวยงาม มากกว่าข้อความที่เต็มไปด้วยความรุนแรง จากการทดลองทั้งหมด พบว่าจิตของมนุษย์นั้น มีผลต่อการก่อตัวของผลึกน้ำ เนื่องจากการที่มนุษย์มีส่วนประกอบของน้ำ มากกว่า 70 เปอร์เซนต์ ดังนั้นจะเห็นว่าจิตของมนุษย์นั้น นอกจากจะมีอิทธิพลต่อร่างกายตัวเองแล้ว ยังสามารถมีอิทธิพลต่อสภาพแวดล้อม และ คนที่อยู่รอบข้างด้วย ถ้าเราคิดในสิ่งที่ดีและทำความดีผู้ที่อยู่รอบข้าง จะรู้สึกด้วยเช่นกัน และจะทำให้เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกได้อย่างมีความสุข https://www.youtube.com/watch?v=OI1Iyu7aTqc #ผลึกของน้ำ #คำพูดดีดี #สิ่งแวดล้อมดีดี #มาซารุอิโมโต #hiddenmassegesinwater
    Like
    Wow
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 506 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวญี่ปุ่นทนไม่ไหว ยื่นฟ้อง Meta เจ้าของ Facebook เกือบร้อยล้านบาท ฐานปล่อยโฆษณาปลอมหลอกลงทุนเต็มหน้าฟีด

    ผู้เสียหาย 30 ราย รวมตัวกันฟ้องบริษัท Meta Platforms Inc. ซึ่งเป็นเจ้าของ Facebook และ Instagram โดยการปล่อยให้มีโฆษณาปลอมและหลอกลวงชักชวนให้ลงทุนด้วยการแอบอ้างใช้ผู้มีชื่อเสียงในสังคมเพื่อรับรองการลงทุนปลอมนี้

    ผู้เสียหายในหลายพื้นที่ ต่างพากันยื่นฟ้องต่อศาลในหลายจังหวัด เช่น โอซากะ โกเบ โยโกฮามา ชิบะ และไซตามะ มูลค่าความเสียหายรวม 435 ล้านเยน (2.8 ล้านดอลลาร์ หรือ 96 ล้านบาท)

    บางส่วนในรายละเอียดคำฟ้องระบุว่า Meta มีหน้าที่ตรวจสอบเนื้อหาของโฆษณาและต้องไม่ปล่อยให้มีโพสต์โฆษณาเหล่านี้บนโซเชียลมีเดีย หากสามารถคาดการณ์ว่าความเสี่ยงเหล่านี้จะเกิดอันตรายต่อผู้ใช้งาน

    ผู้ฟ้องมีการร้องขอให้ Meta ลบโฆษณาปลอมเหล่านี้ แต่ Meta กลับ "เพิกเฉยจนสร้างความเสียหายมากขึ้น" Kusuo Tsuneoka ทนายความฝ่ายโจทก์กล่าวกับผู้สื่อข่าว
    ชาวญี่ปุ่นทนไม่ไหว ยื่นฟ้อง Meta เจ้าของ Facebook เกือบร้อยล้านบาท ฐานปล่อยโฆษณาปลอมหลอกลงทุนเต็มหน้าฟีด ผู้เสียหาย 30 ราย รวมตัวกันฟ้องบริษัท Meta Platforms Inc. ซึ่งเป็นเจ้าของ Facebook และ Instagram โดยการปล่อยให้มีโฆษณาปลอมและหลอกลวงชักชวนให้ลงทุนด้วยการแอบอ้างใช้ผู้มีชื่อเสียงในสังคมเพื่อรับรองการลงทุนปลอมนี้ ผู้เสียหายในหลายพื้นที่ ต่างพากันยื่นฟ้องต่อศาลในหลายจังหวัด เช่น โอซากะ โกเบ โยโกฮามา ชิบะ และไซตามะ มูลค่าความเสียหายรวม 435 ล้านเยน (2.8 ล้านดอลลาร์ หรือ 96 ล้านบาท) บางส่วนในรายละเอียดคำฟ้องระบุว่า Meta มีหน้าที่ตรวจสอบเนื้อหาของโฆษณาและต้องไม่ปล่อยให้มีโพสต์โฆษณาเหล่านี้บนโซเชียลมีเดีย หากสามารถคาดการณ์ว่าความเสี่ยงเหล่านี้จะเกิดอันตรายต่อผู้ใช้งาน ผู้ฟ้องมีการร้องขอให้ Meta ลบโฆษณาปลอมเหล่านี้ แต่ Meta กลับ "เพิกเฉยจนสร้างความเสียหายมากขึ้น" Kusuo Tsuneoka ทนายความฝ่ายโจทก์กล่าวกับผู้สื่อข่าว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • GALAXY EXPRESS 999 By  LEIJI MATSUMOTO
    ผู้แต่ง Galaxy Express 999, Leiji Matsumoto (ชื่อจริง Akira Matsumoto) เป็นนักเขียนและศิลปินการ์ตูนชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงในวงการมังงะและอนิเมะสำหรับผลงานแนวไซไฟที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการผจญภัยในอวกาศ โดย Matsumoto เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1938 ในจังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น และเสียชีวิตในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023

    ประวัติและการทำงาน

    Matsumoto เริ่มต้นอาชีพนักเขียนตั้งแต่อายุ 15 ปี และเริ่มมีชื่อเสียงในช่วงปี 1970 ด้วยผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงสไตล์การวาดตัวละครที่มีใบหน้าเรียวยาว โดยมักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางในอวกาศและการผจญภัยที่ท้าทาย แนวเรื่องที่ Matsumoto สร้างสรรค์จะสะท้อนถึงคุณค่าทางศีลธรรม มิตรภาพ ความกล้าหาญ และความเป็นมนุษย์

    ผลงานสำคัญอื่นๆ

    นอกจาก Galaxy Express 999 แล้ว Matsumoto ยังมีผลงานสำคัญอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เช่น

    Space Battleship Yamato: หรือ "อวกาศยานรบยามาโตะ" ผลงานนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะหนึ่งในอนิเมะไซไฟที่ประสบความสำเร็จที่สุด

    Captain Harlock: เป็นเรื่องราวของโจรสลัดอวกาศผู้ที่มีชื่อเสียงในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในอวกาศ

    Queen Emeraldas: เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่มีการเชื่อมโยงกับจักรวาลของ Galaxy Express 999 และ Captain Harlock


    อิทธิพลและมรดกที่ทิ้งไว้

    Matsumoto เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกของอนิเมะและมังงะไซไฟ เขามีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการนี้ด้วยแนวคิดที่ล้ำสมัย การออกแบบอวกาศยานและการสร้างจักรวาลที่เชื่อมโยงกันได้อย่างน่าสนใจ จักรวาลของ Matsumoto ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนและศิลปินในรุ่นต่อมา อีกทั้ง Matsumoto ยังได้รับรางวัลและเกียรติยศต่างๆ ในวงการอนิเมะและมังงะ ถือว่าเป็นตำนานที่ทิ้งมรดกสำคัญให้กับโลก

    Leiji Matsumoto เกิดเมื่อปี 1938 ในครอบครัวที่มีพี่น้องหลายคนช่วงที่ญี่ปุ่นยังทำสงครามกับนานาประเทศ ในฐานะฝ่ายอักษะ และท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ ทำให้ตัวเขาต้องเห็นความเลวร้ายของสงครามตั้งแต่ยังเด็ก
    และพ่อของเขาที่เป็นนักบินกองทัพก็เล่าให้ฟังว่าต้องเสียลูกน้องใต้บังคับบัญชาทั้งหมดไปจนไม่อยากขับเครื่องบินอีกเลย
    Leiji Matsumoto เริ่มหัดวาดการ์ตูนหลังชื่นชอบในผลงานของ Osamu Tezuka ปรมาจารย์ของวงการ และที่สุดก็เดินทางจากเมืองฟูกูโอกะบ้านเกิดไปยังกรุงโตเกียว เพื่อตามฝันในการเป็นนักวาดการ์ตูน ด้วยวัยเพียง 18 ปี
    Otoko Oidon ในปี 1971 ที่เล่าเรื่องชายหนุ่มที่มุ่งมั่นสอบเข้ามหาวิทยาลัย คือผลงานเรื่องแรกของ Leiji Matsumoto แต่เรื่องที่ทำให้เขาโด่งดังคือ Space Battleship Yamato ที่ถูกนำมาทำเป็นอนิเมะออกอากาศทางโทรทัศน์ญี่ปุ่นระหว่างปี 1975-1978
    และต่อเนื่องด้วย Galaxy Express 999 ซึ่งท่ามกลางการผจญภัยท่องอวกาศแล้ว Leiji Matsumoto ยังแทรกแนวคิดต่อต้านสงคราม และผลกระทบของความขัดแย้ง ที่เขากล่าวอยู่เสมอว่า ความย่อยยับจากสงครามที่ญี่ปุ่นได้รับไม่ควรเกิดขึ้นกับประเทศอื่น ๆ อีก
    จากนั้นแม้ผลงานของ Leiji Matsumoto ที่ออกมาจะไม่ดังเหมือนก่อน แต่  Space Battleship Yamato กับ Galaxy Express 999 ก็ยังถือเป็นการ์ตูนคลาสสิกของญี่ปุ่น ที่ถูกนำมาทำบ่อยอีกหลายครั้งในรูปแบบต่าง ๆ และยังมีอิทธิต่อการ์ตูนดังรุ่นต่อมา เช่น Gundam และ Evangalion อีกด้วย
    ขณะเดียวกันก็ข้ามไปดังในยุโรป เช่นที่ปรากฏให้เห็นใน Music video เพลง One More Time ของ Daft Punk อันเป็นส่วนหนึ่งของหนังอนิเมะ Interstella 555 ซึ่ง Leiji Matsumoto รับหน้าที่ดูแลภาพรวม
    ปี 2019 แฟน ๆ การ์ตูนญี่ปุ่นยุคคลาสสิกต้องใจหาย หลังมีข่าวว่า Leiji Matsumoto ที่อายุมากอยู่แล้วเจ็บหนัก ระหว่างเที่ยวอิตาลี แต่เขาก็ฟื้นกลับมาได้
    แล้วที่สุดชีวิตของ Leiji Matsumoto ก็มาถึงบทสุดท้าย โดยเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เขาเสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลวด้วยวัย 85 ปี แต่แน่นอนว่าเขาจะได้รับการจดจำตลอดไปในฐานะเจ้าพ่อการ์ตูนอากาศญี่ปุ่นที่ดังในระดับโลก

    ที่มา https://www.mangasuphan.com/manga-collection-2/


    GALAXY EXPRESS 999 By  LEIJI MATSUMOTO ผู้แต่ง Galaxy Express 999, Leiji Matsumoto (ชื่อจริง Akira Matsumoto) เป็นนักเขียนและศิลปินการ์ตูนชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงในวงการมังงะและอนิเมะสำหรับผลงานแนวไซไฟที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการผจญภัยในอวกาศ โดย Matsumoto เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1938 ในจังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น และเสียชีวิตในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 ประวัติและการทำงาน Matsumoto เริ่มต้นอาชีพนักเขียนตั้งแต่อายุ 15 ปี และเริ่มมีชื่อเสียงในช่วงปี 1970 ด้วยผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงสไตล์การวาดตัวละครที่มีใบหน้าเรียวยาว โดยมักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางในอวกาศและการผจญภัยที่ท้าทาย แนวเรื่องที่ Matsumoto สร้างสรรค์จะสะท้อนถึงคุณค่าทางศีลธรรม มิตรภาพ ความกล้าหาญ และความเป็นมนุษย์ ผลงานสำคัญอื่นๆ นอกจาก Galaxy Express 999 แล้ว Matsumoto ยังมีผลงานสำคัญอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เช่น Space Battleship Yamato: หรือ "อวกาศยานรบยามาโตะ" ผลงานนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะหนึ่งในอนิเมะไซไฟที่ประสบความสำเร็จที่สุด Captain Harlock: เป็นเรื่องราวของโจรสลัดอวกาศผู้ที่มีชื่อเสียงในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในอวกาศ Queen Emeraldas: เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่มีการเชื่อมโยงกับจักรวาลของ Galaxy Express 999 และ Captain Harlock อิทธิพลและมรดกที่ทิ้งไว้ Matsumoto เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกของอนิเมะและมังงะไซไฟ เขามีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการนี้ด้วยแนวคิดที่ล้ำสมัย การออกแบบอวกาศยานและการสร้างจักรวาลที่เชื่อมโยงกันได้อย่างน่าสนใจ จักรวาลของ Matsumoto ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนและศิลปินในรุ่นต่อมา อีกทั้ง Matsumoto ยังได้รับรางวัลและเกียรติยศต่างๆ ในวงการอนิเมะและมังงะ ถือว่าเป็นตำนานที่ทิ้งมรดกสำคัญให้กับโลก Leiji Matsumoto เกิดเมื่อปี 1938 ในครอบครัวที่มีพี่น้องหลายคนช่วงที่ญี่ปุ่นยังทำสงครามกับนานาประเทศ ในฐานะฝ่ายอักษะ และท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ ทำให้ตัวเขาต้องเห็นความเลวร้ายของสงครามตั้งแต่ยังเด็ก และพ่อของเขาที่เป็นนักบินกองทัพก็เล่าให้ฟังว่าต้องเสียลูกน้องใต้บังคับบัญชาทั้งหมดไปจนไม่อยากขับเครื่องบินอีกเลย Leiji Matsumoto เริ่มหัดวาดการ์ตูนหลังชื่นชอบในผลงานของ Osamu Tezuka ปรมาจารย์ของวงการ และที่สุดก็เดินทางจากเมืองฟูกูโอกะบ้านเกิดไปยังกรุงโตเกียว เพื่อตามฝันในการเป็นนักวาดการ์ตูน ด้วยวัยเพียง 18 ปี Otoko Oidon ในปี 1971 ที่เล่าเรื่องชายหนุ่มที่มุ่งมั่นสอบเข้ามหาวิทยาลัย คือผลงานเรื่องแรกของ Leiji Matsumoto แต่เรื่องที่ทำให้เขาโด่งดังคือ Space Battleship Yamato ที่ถูกนำมาทำเป็นอนิเมะออกอากาศทางโทรทัศน์ญี่ปุ่นระหว่างปี 1975-1978 และต่อเนื่องด้วย Galaxy Express 999 ซึ่งท่ามกลางการผจญภัยท่องอวกาศแล้ว Leiji Matsumoto ยังแทรกแนวคิดต่อต้านสงคราม และผลกระทบของความขัดแย้ง ที่เขากล่าวอยู่เสมอว่า ความย่อยยับจากสงครามที่ญี่ปุ่นได้รับไม่ควรเกิดขึ้นกับประเทศอื่น ๆ อีก จากนั้นแม้ผลงานของ Leiji Matsumoto ที่ออกมาจะไม่ดังเหมือนก่อน แต่  Space Battleship Yamato กับ Galaxy Express 999 ก็ยังถือเป็นการ์ตูนคลาสสิกของญี่ปุ่น ที่ถูกนำมาทำบ่อยอีกหลายครั้งในรูปแบบต่าง ๆ และยังมีอิทธิต่อการ์ตูนดังรุ่นต่อมา เช่น Gundam และ Evangalion อีกด้วย ขณะเดียวกันก็ข้ามไปดังในยุโรป เช่นที่ปรากฏให้เห็นใน Music video เพลง One More Time ของ Daft Punk อันเป็นส่วนหนึ่งของหนังอนิเมะ Interstella 555 ซึ่ง Leiji Matsumoto รับหน้าที่ดูแลภาพรวม ปี 2019 แฟน ๆ การ์ตูนญี่ปุ่นยุคคลาสสิกต้องใจหาย หลังมีข่าวว่า Leiji Matsumoto ที่อายุมากอยู่แล้วเจ็บหนัก ระหว่างเที่ยวอิตาลี แต่เขาก็ฟื้นกลับมาได้ แล้วที่สุดชีวิตของ Leiji Matsumoto ก็มาถึงบทสุดท้าย โดยเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เขาเสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลวด้วยวัย 85 ปี แต่แน่นอนว่าเขาจะได้รับการจดจำตลอดไปในฐานะเจ้าพ่อการ์ตูนอากาศญี่ปุ่นที่ดังในระดับโลก ที่มา https://www.mangasuphan.com/manga-collection-2/
    Wow
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 706 มุมมอง 0 รีวิว
  • Hikiniku To Come (ฮิคินิคุ โตะ โคเมะ) ร้านแฮมเบิร์กที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษจากประเทศญี่ปุ่น เตรียมเปิดสาขาแรกในประเทศไทย ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ (ชั้น 7 โซน Atrium) เดือนตุลาคม 2567 ภายใต้คอนเซปต์ “บดใหม่ ย่างใหม่ หุงใหม่ ทุกคำ!”

    เนื้อญี่ปุ่นคุณภาพดี บดใหม่ๆ ปั้นสดๆ ย่างบนเตาถ่านจนหอมกรุ่น เสิร์ฟพร้อมข้าวญี่ปุ่นหุงใหม่ด้วยหม้อฮากามะ คือรสชาติที่ “ฮิคินิคุ โตะ โคเมะ” ตั้งใจทำ เพื่อที่สุดของประสบการณ์ความอร่อยไม่เหมือนใคร ทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติพากันหลั่งไหลมาลิ้มลองความอร่อยของแฮมเบิร์กอย่างไม่ขาดสาย การันตีด้วยยอดจองคิวยาวล่วงหน้าเต็มทุกวัน แม้มีแค่เมนูเดียว!

    #ร้านอาหารในห้าง #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    Hikiniku To Come (ฮิคินิคุ โตะ โคเมะ) ร้านแฮมเบิร์กที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษจากประเทศญี่ปุ่น เตรียมเปิดสาขาแรกในประเทศไทย ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ (ชั้น 7 โซน Atrium) เดือนตุลาคม 2567 ภายใต้คอนเซปต์ “บดใหม่ ย่างใหม่ หุงใหม่ ทุกคำ!” เนื้อญี่ปุ่นคุณภาพดี บดใหม่ๆ ปั้นสดๆ ย่างบนเตาถ่านจนหอมกรุ่น เสิร์ฟพร้อมข้าวญี่ปุ่นหุงใหม่ด้วยหม้อฮากามะ คือรสชาติที่ “ฮิคินิคุ โตะ โคเมะ” ตั้งใจทำ เพื่อที่สุดของประสบการณ์ความอร่อยไม่เหมือนใคร ทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติพากันหลั่งไหลมาลิ้มลองความอร่อยของแฮมเบิร์กอย่างไม่ขาดสาย การันตีด้วยยอดจองคิวยาวล่วงหน้าเต็มทุกวัน แม้มีแค่เมนูเดียว! #ร้านอาหารในห้าง #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 479 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทวิเคราะห์ UGC (User-Generated Content )เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง” โดย ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน เจ้าของนามปากกา “นกป่า อุษาคเนย์” อยู่ในวงการสื่อสารมวลชนมา 25 ปี เนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า

    “หากนำทฤษฎี UGC มาจับกับปรากฏการณ์ “หมูเด้ง” ก็จะเห็นได้ว่า กระแสความโด่งดังของ “หมูเด้ง” ตรงตามรูปแบบของการทำ UGC ทุกประการ

    แม้ในตอนเริ่มต้น ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” จัดประกวดตั้งชื่อ “หมูเด้ง” ในช่วงแรก ที่ชื่อ “หมูเด้ง” ชนะ VOTE “หมูแดง” และ “หมูสับ” ด้วยคะแนน 20,000 กว่า เรียกได้ว่าขาดลอย

    ในช่วงนั้น ยังไม่เกิดกระแส “หมูเด้ง” แต่อย่างใด มิหนำซ้ำ หลังจากได้ชื่อแล้ว ก็เหลือคนสนใจ “หมูเด้ง” น้อยมาก

    เพราะค่าเฉลี่ยความสนใจลูกสัตว์เกิดใหม่ จะมีอยู่เพียงสั้นๆ คือประมาณ 7 วัน ที่ประชาชนให้ความสนใจ ทำให้สื่อมวลชนต้องคอยตามติดในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นก็จะเริ่มซาลง และเริ่มห่างหาย จนกระแสเงียบไปในที่สุด

    ซึ่งทาง “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ก็อาจมีการนำเสนอลูกสัตว์เกิดใหม่รายอื่นๆ ตามมาอีกเรื่อยๆ พอผลตัดสินการประกวดจบสิ้นลงแล้ว กระแสก็จะกลับไปเงียบอีกครั้ง วนเวียนอยู่เช่นนี้

    ต่างจาก “หมูเด้ง” โดยสิ้นเชิง

    เป็นเพราะว่า “หมูเด้ง” เกิดในยุคที่ทุกคนบนโลกเข้าถึง Social Media โดยเรื่องราวที่น่าสนใจจะไม่จำกัดอยู่ภายในประเทศใดประเทศหนึ่งอีกต่อไป ไม่เหมือนกระแสลูกสัตว์เกิดใหม่ที่ผ่านมาของ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว”

    แต่ทันทีที่ “อรรถพล หนุนดี” หรือ “พี่เบนซ์” เจ้าของ Facebook Fanpage “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ได้เริ่มทำ Content “หมูเด้ง” กระแส “หมูเด้ง” ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

    ฐาน “แฟนคลับ” ที่เหนียวแน่น หรือที่เรียกว่า “ลูกเพจ” ดั้งเดิมของ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ที่มีปริมาณมากอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มี Empathy หรือ “ความผูกพัน” อย่างสูง ยิ่งช่วยต่อยอด Content ในแบบฉบับ UGC ได้เป็นอย่างดี

    ผนวกกับการที่ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” อยู่ใกล้ศรีราชา จุดที่มีชาวญี่ปุ่นพำนักในเมืองไทยเป็นชุมชน ทำให้มีการแชร์ Content “หมูเด้ง” ต่อๆ กันไปในหมู่ชาวญี่ปุ่น จากเมืองไทยไปญี่ปุ่น และแพร่กระจายไปทั่วโลก

    สำทับด้วยสำนักข่าวตะวันตก ได้แห่กันมาทำข่าว “หมูเด้ง” ติดๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น AP, AFP, BBC, VOA, CNN ก็ยิ่งช่วยสร้าง UGC ให้กับ “หมูเด้ง” จนกลายเป็น Viral ระดับโลกไปแล้ว

    จากความน่ารัก น่าเอ็นดู การสัมผัสได้ถึงการไม่มีผลประโยชน์ใดแอบแฝงใน Content เนื่องจากเป็นลูกสัตว์เกิดใหม่ในสวนสัตว์ที่ค่าเข้าชมไม่ได้มากมายอะไร และการขายสินค้าของสวนสัตว์ไม่ว่าจะเป็นของที่ระลึกต่างๆ ก็ไม่ได้มีราคาค่างวดที่แพงจนจับต้องไม่ได้

    แปลไทยเป็นไทยก็คือ Brand “หมูเด้ง” เป็น Brand บริสุทธิ์ ผนวกกับความทะลึ่ง สะดีดสะดิ้ง น่ารักน่าชัง เมื่อรวมกับบุคลิกดั้งเดิมของ “หมูเด้ง” ที่เป็นลูกฮิปโปแคระที่มีลีลาตลกเป็นพื้นเพอยู่แล้ว ยิ่งเรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความประทับใจได้ไม่ยาก

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกลึกๆ ในใจมนุษย์เกี่ยวกับ “ลูกสัตว์” หรือ Baby Animal ทั้งลูกมนุษย์ด้วยกันที่ถือเป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง และลูกสัตว์ต่างๆ ที่ดูแล้วให้ความรู้สึกน่ารัก น่าเอ็นดู อยากอุ้ม อยากเลี้ยง ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์เป็นทุนเดิม

    ประกอบกับคาแรกเตอร์ของ “หมูเด้ง” ที่แอบเกรี้ยวกราด น่ารัก น่าหยิก ทำให้เป็น UGC ที่ถูกนำไปต่อยอดได้ง่ายใน “วัฒนธรรมมีม” หรือ Meme Culture

    ยกระดับสู่การเป็น “วัฒนธรรมร่วม” ผ่าน Social Media

    เบื้องหลังความสำเร็จของ UGC “หมูเด้ง” คงต้องยกเครดิตให้ “พี่เบนซ์” ไปเต็มๆ ที่สามารถดึงคาแรกเตอร์ของ “หมูเด้ง” ออกมาเล่าได้อย่างน่ารัก

    พูดอีกแบบก็คือ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” มาถูกที่ ถูกเวลา และเล่นได้ถูกจุด จับจุด อารมณ์ร่วมของผู้คนได้อยู่หมัด สร้างการเชื่อมต่อ และเชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน เข้ากับ “หมูเด้ง” ได้ตรงจุด

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เสพ Social Media ที่อยู่ไกลจาก “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ที่ไม่สะดวกเดินทางมาสัมผัสกับ “หมูเด้ง” ได้ด้วยตัวเอง

    ตอบสนองธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความรักสัตว์เป็นทุนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ลูกสัตว์” น่ารัก ที่ตนไม่สามารถเลี้ยงเอาไว้ในบ้านได้

    จึงสามารถสรุปได้ว่า UGC อยู่เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง”

    https://www.salika.co/2024/10/04/user-generated-content-moodeng/

    #Thaitimes
    บทวิเคราะห์ UGC (User-Generated Content )เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง” โดย ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน เจ้าของนามปากกา “นกป่า อุษาคเนย์” อยู่ในวงการสื่อสารมวลชนมา 25 ปี เนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า “หากนำทฤษฎี UGC มาจับกับปรากฏการณ์ “หมูเด้ง” ก็จะเห็นได้ว่า กระแสความโด่งดังของ “หมูเด้ง” ตรงตามรูปแบบของการทำ UGC ทุกประการ แม้ในตอนเริ่มต้น ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” จัดประกวดตั้งชื่อ “หมูเด้ง” ในช่วงแรก ที่ชื่อ “หมูเด้ง” ชนะ VOTE “หมูแดง” และ “หมูสับ” ด้วยคะแนน 20,000 กว่า เรียกได้ว่าขาดลอย ในช่วงนั้น ยังไม่เกิดกระแส “หมูเด้ง” แต่อย่างใด มิหนำซ้ำ หลังจากได้ชื่อแล้ว ก็เหลือคนสนใจ “หมูเด้ง” น้อยมาก เพราะค่าเฉลี่ยความสนใจลูกสัตว์เกิดใหม่ จะมีอยู่เพียงสั้นๆ คือประมาณ 7 วัน ที่ประชาชนให้ความสนใจ ทำให้สื่อมวลชนต้องคอยตามติดในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นก็จะเริ่มซาลง และเริ่มห่างหาย จนกระแสเงียบไปในที่สุด ซึ่งทาง “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ก็อาจมีการนำเสนอลูกสัตว์เกิดใหม่รายอื่นๆ ตามมาอีกเรื่อยๆ พอผลตัดสินการประกวดจบสิ้นลงแล้ว กระแสก็จะกลับไปเงียบอีกครั้ง วนเวียนอยู่เช่นนี้ ต่างจาก “หมูเด้ง” โดยสิ้นเชิง เป็นเพราะว่า “หมูเด้ง” เกิดในยุคที่ทุกคนบนโลกเข้าถึง Social Media โดยเรื่องราวที่น่าสนใจจะไม่จำกัดอยู่ภายในประเทศใดประเทศหนึ่งอีกต่อไป ไม่เหมือนกระแสลูกสัตว์เกิดใหม่ที่ผ่านมาของ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” แต่ทันทีที่ “อรรถพล หนุนดี” หรือ “พี่เบนซ์” เจ้าของ Facebook Fanpage “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ได้เริ่มทำ Content “หมูเด้ง” กระแส “หมูเด้ง” ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ฐาน “แฟนคลับ” ที่เหนียวแน่น หรือที่เรียกว่า “ลูกเพจ” ดั้งเดิมของ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ที่มีปริมาณมากอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มี Empathy หรือ “ความผูกพัน” อย่างสูง ยิ่งช่วยต่อยอด Content ในแบบฉบับ UGC ได้เป็นอย่างดี ผนวกกับการที่ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” อยู่ใกล้ศรีราชา จุดที่มีชาวญี่ปุ่นพำนักในเมืองไทยเป็นชุมชน ทำให้มีการแชร์ Content “หมูเด้ง” ต่อๆ กันไปในหมู่ชาวญี่ปุ่น จากเมืองไทยไปญี่ปุ่น และแพร่กระจายไปทั่วโลก สำทับด้วยสำนักข่าวตะวันตก ได้แห่กันมาทำข่าว “หมูเด้ง” ติดๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น AP, AFP, BBC, VOA, CNN ก็ยิ่งช่วยสร้าง UGC ให้กับ “หมูเด้ง” จนกลายเป็น Viral ระดับโลกไปแล้ว จากความน่ารัก น่าเอ็นดู การสัมผัสได้ถึงการไม่มีผลประโยชน์ใดแอบแฝงใน Content เนื่องจากเป็นลูกสัตว์เกิดใหม่ในสวนสัตว์ที่ค่าเข้าชมไม่ได้มากมายอะไร และการขายสินค้าของสวนสัตว์ไม่ว่าจะเป็นของที่ระลึกต่างๆ ก็ไม่ได้มีราคาค่างวดที่แพงจนจับต้องไม่ได้ แปลไทยเป็นไทยก็คือ Brand “หมูเด้ง” เป็น Brand บริสุทธิ์ ผนวกกับความทะลึ่ง สะดีดสะดิ้ง น่ารักน่าชัง เมื่อรวมกับบุคลิกดั้งเดิมของ “หมูเด้ง” ที่เป็นลูกฮิปโปแคระที่มีลีลาตลกเป็นพื้นเพอยู่แล้ว ยิ่งเรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความประทับใจได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกลึกๆ ในใจมนุษย์เกี่ยวกับ “ลูกสัตว์” หรือ Baby Animal ทั้งลูกมนุษย์ด้วยกันที่ถือเป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง และลูกสัตว์ต่างๆ ที่ดูแล้วให้ความรู้สึกน่ารัก น่าเอ็นดู อยากอุ้ม อยากเลี้ยง ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์เป็นทุนเดิม ประกอบกับคาแรกเตอร์ของ “หมูเด้ง” ที่แอบเกรี้ยวกราด น่ารัก น่าหยิก ทำให้เป็น UGC ที่ถูกนำไปต่อยอดได้ง่ายใน “วัฒนธรรมมีม” หรือ Meme Culture ยกระดับสู่การเป็น “วัฒนธรรมร่วม” ผ่าน Social Media เบื้องหลังความสำเร็จของ UGC “หมูเด้ง” คงต้องยกเครดิตให้ “พี่เบนซ์” ไปเต็มๆ ที่สามารถดึงคาแรกเตอร์ของ “หมูเด้ง” ออกมาเล่าได้อย่างน่ารัก พูดอีกแบบก็คือ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” มาถูกที่ ถูกเวลา และเล่นได้ถูกจุด จับจุด อารมณ์ร่วมของผู้คนได้อยู่หมัด สร้างการเชื่อมต่อ และเชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน เข้ากับ “หมูเด้ง” ได้ตรงจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เสพ Social Media ที่อยู่ไกลจาก “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ที่ไม่สะดวกเดินทางมาสัมผัสกับ “หมูเด้ง” ได้ด้วยตัวเอง ตอบสนองธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความรักสัตว์เป็นทุนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ลูกสัตว์” น่ารัก ที่ตนไม่สามารถเลี้ยงเอาไว้ในบ้านได้ จึงสามารถสรุปได้ว่า UGC อยู่เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง” https://www.salika.co/2024/10/04/user-generated-content-moodeng/ #Thaitimes
    WWW.SALIKA.CO
    UGC เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง”
    User-Generated Content (UGC) หมายถึง Story ที่ผู้บริโภค หรือลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมาย สร้างขึ้นมาเอง โดยผู้คนเหล่านั้น จะพูดถึงเรื่องราวที่พวกเขาประทับใจ หรือให้ความสนใจ โดยที่ต้นเรื่องไม่ต้องเสียเงินจ้างแม้แต่บาทเดียว
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1240 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจอทั้ง ระเบิดปรมาณู ลงที่ Hiroshima และ Nagasaki ทำให้ประชาชนชาว ญี่ปุ่น ตายไปร่วม แสนคน ทำให้เผ่าพันธุ์ชาวญี่ปุ่น ได้รับผลกระทบจาก กัมมันตรังสี มาจนถึงทุกวันนี้
    .
    โดนทั้ง ปฏิญญา Plaza Accord ทำให้เกิด ทศวรรษที่สูญหาย ทางเศรษฐกิจของ ญี่ปุ่น จนกระทั่งปัจจุบัน เกือบ 40 ปีแล้ว ยังไม่อาจโงหัวขึ้นมาได้...
    .
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่น รับบทเป็น สุนัขรับใช้ ของ จักรวรรดินิยม อเมริกา มาตลอด...
    .
    ตาม อเมริกา ไปจั่วลม ไปโดนตอกมาก็บ่อย จ่ายเงินจ่ายทอง ให้ลูกพี่กู้เงินกู้ทอง ผ่านการ ซื้อพันธบัตรอเมริกา ไป ก็ไม่น้อย...
    .
    แบบนี้จะเรียกได้รึเปล่าว่า ประเทศญี่ปุ่นนี่ Masochism...
    .
    🤔🤔🤔🤔🤔🤔
    เจอทั้ง ระเบิดปรมาณู ลงที่ Hiroshima และ Nagasaki ทำให้ประชาชนชาว ญี่ปุ่น ตายไปร่วม แสนคน ทำให้เผ่าพันธุ์ชาวญี่ปุ่น ได้รับผลกระทบจาก กัมมันตรังสี มาจนถึงทุกวันนี้ . โดนทั้ง ปฏิญญา Plaza Accord ทำให้เกิด ทศวรรษที่สูญหาย ทางเศรษฐกิจของ ญี่ปุ่น จนกระทั่งปัจจุบัน เกือบ 40 ปีแล้ว ยังไม่อาจโงหัวขึ้นมาได้... . หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่น รับบทเป็น สุนัขรับใช้ ของ จักรวรรดินิยม อเมริกา มาตลอด... . ตาม อเมริกา ไปจั่วลม ไปโดนตอกมาก็บ่อย จ่ายเงินจ่ายทอง ให้ลูกพี่กู้เงินกู้ทอง ผ่านการ ซื้อพันธบัตรอเมริกา ไป ก็ไม่น้อย... . แบบนี้จะเรียกได้รึเปล่าว่า ประเทศญี่ปุ่นนี่ Masochism... . 🤔🤔🤔🤔🤔🤔
    บูรพาไม่แพ้ Ep.89 : นายกฯ ญี่ปุ่นคนใหม่ กำลังจะสร้าง “NATO เอเชีย” ?
    .
    เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศญี่ปุ่นเพิ่งมีการเปลี่ยนผู้นำคนใหม่นะครับ คือ นายกรัฐมนตรีที่ชื่อว่า นายอิชิบะ ชิเงรุ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาแล้วหลายกระทรวง รวมทั้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการป้องกันประเทศของญี่ปุ่นด้วย ซึ่งก็เทียบเท่ากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของประเทศอื่น ๆ นั่นเอง
    .
    ประเด็นนึงที่นายอิชิบะ ถูกพูดถึงมากที่สุด ก็คือ เขาเป็นผู้เสนอให้จัดตั้ง "นาโต้แห่งเอเชีย" เพื่อต่อต้านภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากจีน รัสเซีย และก็เกาหลีเหนือ ข้อเสนอเช่นนี้เอง ทำให้เกิดความหวั่นวิตกว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จะเพิ่มมากขึ้น พอดแคส บูรพาไม่แพ้ วันนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น นายอิชิบะ ชิเงรุ รวมถึงนโยบายในด้านต่าง ๆ ของเขาว่าจะส่งผลต่อประเทศญี่ปุ่น ภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทยของเราอย่างไรบ้าง ?
    .
    คลิก >> https://www.youtube.com/watch?v=wI-TgaqBSjY
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts