• แนวคิดดี รัฐบาลควรปรับใช้กับ "มหาลัยบางแห่ง" ในไทย

    https://www.facebook.com/share/p/161WB5qubq/
    แนวคิดดี รัฐบาลควรปรับใช้กับ "มหาลัยบางแห่ง" ในไทย https://www.facebook.com/share/p/161WB5qubq/
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • https://www.youtube.com/watch?v=6rZ6fTm6U4I
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาวันสงกรานต์
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #สงกรานต์

    The conversations from the clip :

    Tom: Hey Mia, wow, this water fight is so much fun! I can't believe how crazy it is around here!
    Mia: Hey Tom! I know, right? It’s really lively! But I’m starting to get a bit tired. How about we head to Silom next? It’s one of the best places for Songkran!
    Tom: Sounds awesome! I’ve heard Silom is packed during Songkran. But before we go, I’m getting hungry. Where should we grab something to eat?
    Mia: Good idea, Tom! There are so many street food stalls near here. How about we get some mango sticky rice and grilled pork skewers?
    Tom: Yum, that sounds perfect! I’m also craving some coconut ice cream. Let’s go for it!
    Mia: Great choice! After eating, we can take the BTS to Silom. We’ll get there quickly and easily.
    Tom: Yeah, taking the BTS from here sounds perfect. We can get off at Sala Daeng Station, and then we’ll be right in the heart of the action!
    Mia: Exactly! Once we’re done there, how about we head to Thonglor? I’ve heard it’s a bit more laid-back but still fun during Songkran.
    Tom: I love that idea, Mia! Thonglor has some cool places, and it’s less crowded than Silom. It’ll be a nice change.
    Mia: Right! Plus, it’s easy to get there from Silom. We can take the BTS from Sala Daeng to Thong Lo Station.
    Tom: Oh, that’s so convenient! It’ll only take a few stops. I’m excited for Thonglor! It’ll be a perfect way to end the day.
    Mia: Me too, Tom! So, we’ll eat first, head to Silom by BTS for more water fun, and then go to Thonglor to relax and enjoy the vibe.
    Tom: Sounds like a plan, Mia! It’s going to be a fun-filled day of water fights, food, and good times.
    Mia: For sure! I can’t wait. Let’s grab some food now and get ready for the next stop!
    Tom: Absolutely! Let’s go eat, then!

    Tom: สวัสดี Mia ว้าว, การเล่นน้ำสนุกมากเลย! ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะบ้าคลั่งขนาดนี้ที่นี่!
    Mia: สวัสดี Tom! ฉันรู้ใช่ไหม? มันคึกคักจริงๆ เลย! แต่ฉันเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้วนะ ไปที่สีลมต่อดีไหม? มันเป็นหนึ่งในที่ดีที่สุดสำหรับสงกรานต์!
    Tom: ฟังดูดีมาก! ฉันได้ยินมาว่าที่สีลมคนเยอะมากช่วงสงกรานต์เลยนะ แต่ก่อนที่เราจะไป ฉันหิวแล้ว แถวนี้มีที่ไหนที่เราจะไปหากินกันไหม?
    Mia: ความคิดดีเลย Tom! ที่นี่มีร้านอาหารข้างทางเยอะมากเลยนะ เราจะกินข้าวเหนียวมะม่วงกับหมูปิ้งไหม?
    Tom: อืม, ฟังดูอร่อยมาก! ฉันก็อยากกินไอศกรีมมะพร้าวด้วย ลองไปกินกันเถอะ!
    Mia: ตัวเลือกดีมาก! หลังจากกินเสร็จ เราจะนั่งรถไฟฟ้าไปที่สีลมกันนะ เราจะไปถึงเร็วมากเลย
    Tom: ใช่แล้ว นั่ง BTS จากที่นี่ก็ดีเลย เราจะลงที่สถานีศาลาแดง แล้วก็จะอยู่ตรงกลางของความสนุกเลย!
    Mia: ใช่เลย! หลังจากที่เราจบที่สีลมแล้ว ไปทองหล่อกันดีไหม? ฉันได้ยินมาว่ามันจะเงียบกว่าหน่อยแต่ก็สนุกในช่วงสงกรานต์
    Tom: ฉันชอบความคิดนี้ Mia! ทองหล่อมีที่เจ๋งๆ เยอะเลย และมันไม่พลุกพล่านเหมือนสีลม มันน่าจะเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดี
    Mia: ใช่เลย! อีกอย่างมันก็ไปที่ทองหล่อได้ง่ายจากสีลม เราสามารถนั่ง BTS จากสถานีศาลาแดงไปสถานีทองหล่อ
    Tom: โอ้, นั่นสะดวกมาก! มันจะใช้เวลาแค่ไม่กี่สถานีเอง ฉันตื่นเต้นกับทองหล่อมาก! มันจะเป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบในการจบวัน
    Mia: ฉันก็เช่นกัน Tom! ดังนั้นเราจะไปกินก่อน จากนั้นไปที่สีลมด้วย BTS เพื่อเล่นน้ำต่อ และสุดท้ายไปทองหล่อเพื่อผ่อนคลายและสนุกกับบรรยากาศ
    Tom: ฟังดูเป็นแผนที่ดีเลย Mia! มันจะเป็นวันเต็มไปด้วยการเล่นน้ำ อาหาร และช่วงเวลาที่ดี
    Mia: แน่นอน! ฉันรอไม่ไหวแล้ว เรามากินกันเถอะ แล้วค่อยไปสถานที่ถัดไป!
    Tom: แน่นอน! ไปกินกันเถอะ!

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    Water fight (วอ-เทอร์ ไฟต์) n. - การสู้ด้วยน้ำ
    Lively (ไล-ฟลี) adj. - มีชีวิตชีวา, คึกคัก
    Tired (ไท-เอิด) adj. - เหนื่อย
    Street food (สตรีท ฟู้ด) n. - อาหารข้างทาง
    Sticky rice (สติกกี้ ไรซ) n. - ข้าวเหนียว
    Skewers (สกิว-เวอร์) n. - ไม้เสียบ
    Coconut (โค-โค-นัท) n. - มะพร้าว
    Ice cream (ไอซ์ ครีม) n. - ไอศกรีม
    BTS (บีทีเอส) n. - ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า)
    Convenient (คอน-วี-เนียนท) adj. - สะดวก
    Laid-back (เลด-แบค) adj. - สบายๆ, ผ่อนคลาย
    Crowded (เครา-ดิด) adj. - แออัด
    Relax (รี-แลกซ์) v. - ผ่อนคลาย
    Vibe (ไวบ์) n. - บรรยากาศ, ความรู้สึก
    Fun-filled (ฟัน-ฟิลด์) adj. - เต็มไปด้วยความสนุก
    https://www.youtube.com/watch?v=6rZ6fTm6U4I (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาวันสงกรานต์ มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #สงกรานต์ The conversations from the clip : Tom: Hey Mia, wow, this water fight is so much fun! I can't believe how crazy it is around here! Mia: Hey Tom! I know, right? It’s really lively! But I’m starting to get a bit tired. How about we head to Silom next? It’s one of the best places for Songkran! Tom: Sounds awesome! I’ve heard Silom is packed during Songkran. But before we go, I’m getting hungry. Where should we grab something to eat? Mia: Good idea, Tom! There are so many street food stalls near here. How about we get some mango sticky rice and grilled pork skewers? Tom: Yum, that sounds perfect! I’m also craving some coconut ice cream. Let’s go for it! Mia: Great choice! After eating, we can take the BTS to Silom. We’ll get there quickly and easily. Tom: Yeah, taking the BTS from here sounds perfect. We can get off at Sala Daeng Station, and then we’ll be right in the heart of the action! Mia: Exactly! Once we’re done there, how about we head to Thonglor? I’ve heard it’s a bit more laid-back but still fun during Songkran. Tom: I love that idea, Mia! Thonglor has some cool places, and it’s less crowded than Silom. It’ll be a nice change. Mia: Right! Plus, it’s easy to get there from Silom. We can take the BTS from Sala Daeng to Thong Lo Station. Tom: Oh, that’s so convenient! It’ll only take a few stops. I’m excited for Thonglor! It’ll be a perfect way to end the day. Mia: Me too, Tom! So, we’ll eat first, head to Silom by BTS for more water fun, and then go to Thonglor to relax and enjoy the vibe. Tom: Sounds like a plan, Mia! It’s going to be a fun-filled day of water fights, food, and good times. Mia: For sure! I can’t wait. Let’s grab some food now and get ready for the next stop! Tom: Absolutely! Let’s go eat, then! Tom: สวัสดี Mia ว้าว, การเล่นน้ำสนุกมากเลย! ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะบ้าคลั่งขนาดนี้ที่นี่! Mia: สวัสดี Tom! ฉันรู้ใช่ไหม? มันคึกคักจริงๆ เลย! แต่ฉันเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้วนะ ไปที่สีลมต่อดีไหม? มันเป็นหนึ่งในที่ดีที่สุดสำหรับสงกรานต์! Tom: ฟังดูดีมาก! ฉันได้ยินมาว่าที่สีลมคนเยอะมากช่วงสงกรานต์เลยนะ แต่ก่อนที่เราจะไป ฉันหิวแล้ว แถวนี้มีที่ไหนที่เราจะไปหากินกันไหม? Mia: ความคิดดีเลย Tom! ที่นี่มีร้านอาหารข้างทางเยอะมากเลยนะ เราจะกินข้าวเหนียวมะม่วงกับหมูปิ้งไหม? Tom: อืม, ฟังดูอร่อยมาก! ฉันก็อยากกินไอศกรีมมะพร้าวด้วย ลองไปกินกันเถอะ! Mia: ตัวเลือกดีมาก! หลังจากกินเสร็จ เราจะนั่งรถไฟฟ้าไปที่สีลมกันนะ เราจะไปถึงเร็วมากเลย Tom: ใช่แล้ว นั่ง BTS จากที่นี่ก็ดีเลย เราจะลงที่สถานีศาลาแดง แล้วก็จะอยู่ตรงกลางของความสนุกเลย! Mia: ใช่เลย! หลังจากที่เราจบที่สีลมแล้ว ไปทองหล่อกันดีไหม? ฉันได้ยินมาว่ามันจะเงียบกว่าหน่อยแต่ก็สนุกในช่วงสงกรานต์ Tom: ฉันชอบความคิดนี้ Mia! ทองหล่อมีที่เจ๋งๆ เยอะเลย และมันไม่พลุกพล่านเหมือนสีลม มันน่าจะเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดี Mia: ใช่เลย! อีกอย่างมันก็ไปที่ทองหล่อได้ง่ายจากสีลม เราสามารถนั่ง BTS จากสถานีศาลาแดงไปสถานีทองหล่อ Tom: โอ้, นั่นสะดวกมาก! มันจะใช้เวลาแค่ไม่กี่สถานีเอง ฉันตื่นเต้นกับทองหล่อมาก! มันจะเป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบในการจบวัน Mia: ฉันก็เช่นกัน Tom! ดังนั้นเราจะไปกินก่อน จากนั้นไปที่สีลมด้วย BTS เพื่อเล่นน้ำต่อ และสุดท้ายไปทองหล่อเพื่อผ่อนคลายและสนุกกับบรรยากาศ Tom: ฟังดูเป็นแผนที่ดีเลย Mia! มันจะเป็นวันเต็มไปด้วยการเล่นน้ำ อาหาร และช่วงเวลาที่ดี Mia: แน่นอน! ฉันรอไม่ไหวแล้ว เรามากินกันเถอะ แล้วค่อยไปสถานที่ถัดไป! Tom: แน่นอน! ไปกินกันเถอะ! Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) Water fight (วอ-เทอร์ ไฟต์) n. - การสู้ด้วยน้ำ Lively (ไล-ฟลี) adj. - มีชีวิตชีวา, คึกคัก Tired (ไท-เอิด) adj. - เหนื่อย Street food (สตรีท ฟู้ด) n. - อาหารข้างทาง Sticky rice (สติกกี้ ไรซ) n. - ข้าวเหนียว Skewers (สกิว-เวอร์) n. - ไม้เสียบ Coconut (โค-โค-นัท) n. - มะพร้าว Ice cream (ไอซ์ ครีม) n. - ไอศกรีม BTS (บีทีเอส) n. - ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) Convenient (คอน-วี-เนียนท) adj. - สะดวก Laid-back (เลด-แบค) adj. - สบายๆ, ผ่อนคลาย Crowded (เครา-ดิด) adj. - แออัด Relax (รี-แลกซ์) v. - ผ่อนคลาย Vibe (ไวบ์) n. - บรรยากาศ, ความรู้สึก Fun-filled (ฟัน-ฟิลด์) adj. - เต็มไปด้วยความสนุก
    0 Comments 0 Shares 319 Views 0 Reviews
  • วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่ตอนนี้มีเยอะมากโดยเฉพาะจากฝั่งตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี) แต่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร คือเรื่องแนวฟีลกู๊ดประเภทสถานที่เยียวยาจิตใจ ไม่ใช่เพราะผมเป็นพวกจิตใจหยาบกระด้างหรือชอบเสพแต่ความดาร์กและความสยอง แต่เพราะผมมองว่าตัวเองพอดักทางได้ว่าเรื่องพวกนั้นมี "สาร" อย่างไร ต้องการสอนผู้อ่านอย่างไร ทั้งนี้ก็จะมีบางเรื่องที่เป็นข้อยกเว้น หนึ่งในนั้นคือคาเฟ่ของแม่หมอมานูล

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' โดย อัตสึกิ โอโตะ เป็นนิยายแบบที่ผมคงไม่สนใจในแวบแรก ถ้าไม่ใช่เพราะโดนล่อตาล่อใจจากของแถมที่ทาง สนพ. บอกว่ามีเฉพาะในรอบพิมพ์ครั้งแรกเท่านั้น นั่นคือ ไพ่ทาโรต์ขนาดเล็ก ๆ 5 ใบที่เป็นภาพคุณมานูล แมวหมอดูตัวเอกประจำเรื่อง ข้อนี้เลยเป็นตัวแปรสำคัญให้ผมเปิดใจรับหนังสือเล่มนี้มาบรรจุเข้าชั้นที่บ้าน

    ไหน ๆ ก็พูดถึงหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมก็เห็นว่ามันควรค่าแก่การรีวิวในแบบของไพ่เราเผาเรื่อง แต่รอบนี้จะต่างจากครั้งอื่น ๆ ตรงที่ผมจะไม่ใช้ไพ่ทาโรต์หรือไพ่พยากรณ์สำรับใด ๆ ในคลัง แต่จะใช้ไพ่แถม 5 ใบที่มากับหนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือประกอบการ "เผาเรื่อง" โดยสับไพ่แล้วสุ่มหยิบตามลำดับ

    ขอเชิญรับชม #ไพ่เราเผาหนังสือ 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' ด้วยไพ่แถมสุดน่ารักทั้ง 5 ใบ ได้ ณ บัดนี้ครับ

    ----------

    "เรื่องจบในตอนพร้อมข้อคิดดี ๆ"
    🃏The Sun + 🃏The World

    ในไพ่ทาโรต์ 78 ใบ The Sun เป็นไพ่ที่ความหมายดีรอบด้านในอันดับต้น ๆ แต่ไพ่ใบนี้ยังสื่อถึง "ความจริง" และ "ข้อคิดที่เป็นประโยชน์" ได้ด้วย ส่วน The World ในฐานะไพ่ใบสุดท้ายของไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) จึงมักสื่อความถึง "จุดสิ้นสุด" และ "ความสมบูรณ์" แต่มันไม่ใช่การตัดจบแบบบริบูรณ์หรือ Happily Ever After ทว่าเป็นการจบลงของบทหนึ่งเพื่อที่จะเข้าสู่บทถัดไป

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' มีลักษณะการเขียนแบบที่มักเจอใน Fiction ประเภทสถานที่ที่ช่วยให้ผู้คนได้ฮีลใจ นั่นคือเป็นนวนิยายแบบเนื้อเรื่องจบในตอน (Episodic novel) โดยแต่ละตอนมักจะมีข้อคิดจรรโลงใจหรือมุมมองที่น่าสนใจแตกต่างกัน บางครั้งต่างตอนก็มีสารหรือข้อคิดสำหรับคนต่างกลุ่มต่างจำพวก

    หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 5 บท แต่ละบทสามารถอ่านแยกในฐานะเรื่องสั้นที่จบสมบูรณ์ในตัวเองได้ แต่ตอนหลัง ๆ ก็จะมีรายละเอียดบางอย่างที่ต่อเนื่องจากตอนก่อน ๆ ตัวละครดำเนินเรื่องในแต่ละตอนมีช่วงอายุ บทบาท และปัญหาคาใจแตกต่างกัน มีทั้งเด็กมัธยมที่หาทาง fit in ในสังคมห้องเรียน อินฟลูเอนเซอร์สาว ซิงเกิลมัม ไปจนถึงวัยกลางคนที่กำลังสับสนกับทิศทางชีวิตและหน้าที่การงานของตัวเอง จากนั้นโชคชะตาหรือพล็อตเรื่องก็จะพาตัวละครไปเจอกับคุณมานูลและคาเฟมาร์เนิล

    คุณมานูล ศูนย์กลางของเรื่อง เดิมเคยเป็นมนุษย์ชื่อ คาวาตานิ ไอซาวะ แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง นางเลือก 'ลาออก' จากการเป็นมนุษย์ มาอยู่ในร่างของแมวมานูล (Manul) หรืออีกชื่อคือแมวพัลลาส (Pallas's cat) และรับดูดวงด้วยสารพัดวิธี ไม่ว่าจะใช้ไพ่ ลูกแก้ว หรือเครื่องเสี่ยงเซียมซีรูเลตต์ พร้อมทั้งเปิดคาเฟ่ร่วมกับคนที่น่าจะเป็นสามีและลูกสาว (ส่วนชื่อคาเฟ่ ทำไมถึงชื่อ "มาร์เนิล" แทนที่จะเป็น "มานูล" ตรงนี้ในหนังสือมีอธิบายไว้ แต่สั้น ๆ คือเป็นมุกที่เล่นกับตัวเขียนญี่ปุ่นแบบคาตาคานะ ซึ่งต้องขอชื่นชมผู้แปลที่พยายามเรียบเรียงเป็นไทยให้ใกล้เคียงโดยไม่เสียอรรถรสของต้นฉบับ)

    เนื้อเรื่องแต่ละตอนดำเนินไปอย่างค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ เริ่มจากแนะนำตัวละครและชีวิตประจำวันที่เจ้าตัวไม่พึงพอใจเท่าไร จากนั้นตัวละครก็จะได้เจอคุณมานูลช่วยทำนายดวงชะตาพร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบคร่าว ๆ เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งตัวละครจะทำตามและอะไร ๆ ก็ดูจะดีขึ้นจริง ๆ แต่แล้วก็จะมีเหตุสักอย่างให้ชีวิตตัวละครกลับไปเป็นแบบตอนต้นเรื่องหรือเผลอ ๆ เหมือนจะดูแย่ลง และทำให้ตัวละครได้รับการชี้แนะจากคุณมานูลเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งคราวนี้เรื่องก็จะดูจบตอนแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ชวนให้นึกถึงโดราเอมอนแแบบอนิเมะในทีวีที่ฉายเป็นตอน ๆ หรือการ์ตูนต่อสู้อย่างเซเลอร์มูนช่วงแรก ๆ ที่จะมีตัวร้ายประจำสัปดาห์ (Monster of the week) มาให้ตัวเอกปราบ

    นิยายประเภทสถานที่ฮีลใจมักมีตัวละครประจำตอนที่แแตกต่างกันทั้งช่วงอายุและอาชีพ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของคนอ่านในกลุ่มต่าง ๆ นิยายเล่มนี้ก็เช่นกัน ทั้ง 5 ตอนมีตัวละครตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ผู้เขียนคคาดหวังว่าจะรวมอยู่ในหมู่คนอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย และถึงแม้ปัญหาที่ตัวละครในเรื่องเผชิญอาจไม่ตรงกับเรื่องที่คนอ่านในช่วงวัยเดียวกันเจอในชีวิตจริงทั้งหมด แต่ข้อคิดและคำแนะนำจากคุณมานููลในแต่ละตอนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน

    ----------

    "เยียวยาจิตใจในสถานที่ที่มอบความสุข"
    🃏The Star + 🃏Ten of Cups

    The Star คือดวงดาว จึงเป็นไพ่ตัวแทนหลายสิ่งหลายอย่างที่คนเรามักเชื่อมโยงกับดาว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความโด่งดัง หรือความหวัง แต่มันก็มีอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือ "การเยียวยา" ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่วนไพ่ 10 ถ้วย โดยทั่วไปมักหมายถึงบ้านหรือครอบครัว แต่บางกรณีก็สื่อถึง "ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม" โดยเป็นความสุขที่มาจากกลุ่มคนที่อยู่กันสนิทชิดเชื้อเหมือนเป็นครอบครัว (แบบใน "แฟ้มเมอะหลี่" ของพี่ดอม ทอร์เรตโต แห่งซีรีส์ Fast & Furious) หรือจากาสถานที่มีผู้พร้อมจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่น

    คาเฟ่มาร์เนิลของคุณมานูลลงล็อกพอดีกับคำจำกัดความของสถานที่แบบที่ว่า แต่ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ข้างบน ๆ นิยายเรื่องนี้ผลิตซ้ำ Trope ของสถานที่ที่ให้ความช่วยเหลือผู้คนในการแก้ปัญหาและเยียวยาจิตใจ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมกันในวงการวรรณกรรมฝั่งเอเชียตะวันออก แต่ละเรื่องอาจมีสถานที่ต่างกันไป บางเรื่องเป็นคาเฟ่ บางเรื่องเป็นร้านเบเกอรี่ บ้างเรื่องเป็นร้านหนังสือหรือห้องสมุด แต่ทุกเรื่องจบลงที่ตัวละครซึ่งไปเยือนสถานที่นั้น ๆ ได้เยียวยาบาดแผลหรือปมปัญหาในใจ หรือได้ปลดล็อกอะไรสักอย่างที่ติดค้างอยู่

    น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ในชีวิตจริงซึ่งไม่ได้มีมนตร์วิเศษอยู่ (อย่างน้อยก็ในแบบที่มักเกิลอย่างเรา ๆ จับต้องและพิสูจน์ได้) คนเราก็มีสถานที่สำหรับเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำและแตกร้าว นอกจากกลับบ้านไปหาครอบครัวแล้ว ที่อื่นที่คนมักไปเพื่อฮีลใจตัวเอง เช่น คาเฟ่ ซุ้มหมอดู (หรือบางคนก็ทักไปหาหมอดูทางออนไลน์) และที่ใดก็ตามที่มีแมวอยู่ กล่าวอีกอย่างคือ คาเฟ่ การดูดวง และแมว คือ Top 3 แห่งเครื่องเยียวยาจิตใจของมนุษย์ในปัจจุบัน (ซึ่งจะเรียกว่าเป็นยุคทุนนิยมหรือยุคโพสต์โมเดิร์นก็ตามแต่)

    และสามอย่างที่ว่านี้ นอกจากในนิยายซีรีส์ "ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง" แล้ว ก็มีคุณมานูลในนิยายเรื่องนี้ที่รวมทุกอย่างไว้ในตัว เหมือนผู้เขียนจงใจ หรือไม่ก็สร้างไว้ให้คนอ่านที่ชอบ Overanalyze ได้สังเกตและทึกทักเอา

    ----------

    "โชคชะตาไม่สำคัญเมื่อเธอนั้นกลายเป็นแมว"
    🃏Wheel of Fortune

    ไพ่วงล้อแห่งโชคชะตาเป็นใบหนึ่งที่ท้าทายสกิลการอ่านและตีความไพ่ของผู้อ่านไพ่มากที่สุด บางบริบท มันสื่อถึงการที่โชคชะตากำลังดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าช่วงนั้นดวงกกำลังดี ๆ อยู่ มันก็อาจเป็นคำเตือนในระวังถึงขาลงของชีวิตที่ส่อแววมาแต่ไกล โดยรวมแล้ว ไพ่ใบนี้สื่อถึง "โชคชะตา" ในภาพรวม ซึ่งโดยตัวมันเองไม่มีดีหรือร้าย แต่ที่เรามองว่าดีหรือร้ายก็เพราะเรามองจากมุมมองของตัวเรา ถ้าเรามองเรื่องที่เกิดกับคนอื่น หรือมองตัวเองอย่างเป็นภววิสัย เราก็คงมองว่าททุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติ เดี๋ยวมีดี เดี๋ยวมีร้าย ไม่แน่ไม่นอน เผลอ ๆ คาดเดาไม่ได้ (หากเราเชื่อตาม Chaos Theory) และด้วยเหตุนี้ ไพ่ใบนี้จึงหมายรวมถึงการพยากรณ์ การดูดวง หรือการตรวจสอบดวงชะตาเช่นกัน

    ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมไหม ตอนเห็นชื่อหนังสือฉบับแปลไทยครั้งแรก ก็คิดว่าคุณมานูลน่าจะเป็นตัวละครประเภทกวน ๆ ที่ทำนายดวงตรงมั่งมั่วมั่ง (แต่สุดท้ายก็ช่วยให้ตัวละครในแต่ละตอนได้มีความสุขอยู่ดี ตามแนวทางของนิยายฮีลใจแบบนี้) แต่พอได้อ่านจริงก็พบว่านางเป็นคาแรกเตอร์ประเภทกวน ๆ จริง กวนแบบน่ารัก ๆ ชนิดที่เชื่อว่าทุกคนน่าจะอยากมีเพื่อนสนิทแบบนี้สักคนสองคน ทว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะหายไปคือการทำนายแบบมั่ว ๆ เพราะเท่าที่อ่านเจอในเรื่อง คุณมานูลไม่เคยทำนายดวงชะตาให้ตัวละครไหนแบบมั่ว ๆ เลย อย่างมากคือทำนายแบบส่งเดช พอให้เห็นว่ามีการใช้อุปกรณ์ทำนาย (อันนี้พูดในฐานะคนที่ทุกวันนี้รายรอบด้วยคนในวงการนักพยากรณ์ และเคยเจอหมอดูที่ทำนายแบบมั่วซั่วมาจนมากเกินจะนับด้วยนิ้วมือรวมนิ้วเท้าได้) อันที่จริงชื่อต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นของนิยายเรื่องนี้แปลตรงตัวแค่ว่า "คุณมานูลผู้ลาออกจากการเป็นมนุษย์จะทำนายดวงชะตาให้คุณ" ด้วยซ้ำ

    อย่างไรก็ตาม คุณมานูลตลอดทั้งเรื่องจะเล่นอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่หมอดูทุกศาสตร์ทุกแขนงควรเป็นในตัว (ถ้ายังไม่เป็นก็ควรฝึกตัวเองให้เป็น หรือไป take course เสียโดยด่วน โปรดรู้ว่าสังคมทุกวันนี้กำลังต้องการมาก) นั่นคือการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตใจและสังคม เนื้อเรื่องไม่เคยฟันธงว่าคุณมานูลดูดวงเป็นจริง ๆ หรือไม่ แต่เรื่องแสดงให้เห็นว่านางดูคนเป็น เข้าใจว่าแต่ละคนกำลังขาดหรือล้นเกินในเรื่องอะไร ซึ่งก็น่าจะเป็นทักษะที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยนางยังเป็นมนุษย์ และจากตรงนี้ นางจึงให้คำแนะนำแบบแมว ๆ ให้แต่ละตัวละครรับไปหาทางแก้ปัญหาของตัวเองอย่างตรงจุด

    เนื้อเรื่องไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้คุณไอซาวะลาออกจากการเป็นมนุษย์แล้วผันตัวมาเป็นแมวมานูล แต่เมื่อดูจากคำใบ้ในแต่ละตอน (โดยเฉพาะตอนสุดท้าย) ผมมองว่านางคงเบื่อชีวิตมนุษย์ที่วัน ๆ ได้แต่ไหลไปตามสิ่งรอบข้างอย่างกระแสสังคม ความควาดหวังและแรงกดดันจากคนรอบข้าง (ซึ่งไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่เรารับมากระทำกับตัวเราเอง) ตลอดจนการยอมจำนนต่อ "โชคชะตา" เดี๋ยวดวงดี เดี๋ยวดวงซวย ช่วงนี้ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อหลีกเลี่ยงกาลกิณี ฯลฯ

    ในเมื่อมีแต่มนุษย์ที่ปวดหัววุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ แต่แมวใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องนำพาต่อสิ่งเหล่านี้ นางก็เลยเลิกเป็นมนุษย์แล้วเป็นแมวซะดื้อ ๆ แต่ครั้นจะเป็นแมวพันธุ์ธรรมดา ๆ พื้น ๆ ก็ไม่เอา เลยขอเป็นพันธุ์หายากอย่างแมวมานูล และพอเป็นแมวแล้ว นางเลยสามารถมองเรื่องราววุ่น ๆ ของมนุษย์ได้อย่างเป็นกลาง พร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบชิล ๆ แต่ตรงประเด็นได้

    ถึงแม้นิยายเรื่องนี้จะขึ้นชื่อว่ามีหมอดูอยู่ แต่เนื้อเรื่องแทบไม่เกี่ยวกับการทำนายดวงชะตา (จริง ๆ) เลย กลับกัน มันแนะแนววิธีการใช้ชีวิตแบบไม่แคร์ดวง เหมือนที่แมวไม่แคร์วิถีชีวิตของมนุษย์ แต่พร้อมกันนั้น มันก็ให้คำแนะนำที่ดีอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นหมอดูและอยากเป็นหมอดูครับ

    ----------

    Final Verdict: 🃏The Sun + 🃏The World + 🃏The Star + 🃏Ten of Cups + 🃏Wheel of Fortune

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' จะช่วยให้คุณเข้าใจความจริงว่า ต่อให้โลกนี้จะหมุนไปและชีวิตนำพาอะไรมาให้คุณ แต่คุณก็สามารถเฉิดฉายในแบบของตัวเองและมีความสุขทุกวันได้ ขอแค่คุณปล่อยจอยกับชีวิต คิดเสียว่าลาออกจากการมนุษย์แล้วทำตัวเหมือนเป็นแมวเสีย เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แค่เวลาจำกัด แล้วทำไม เราต้องปล่อยให้เรื่องชั่วประเดี๋ยวประด๋าว (เมื่อเทียบกับเวลาของจักรวาล) มาขัดจังหวะการเก็บเกี่ยวความสุขในแต่ละวันของเราด้วย จริงไหม?

    🃏🃏🃏🃏🃏
    แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่งคาเฟมาร์เนิล (2025)
    • แปลจาก: 人間やめたマヌルさんが、あなたの人生占います (2023)
    • ผู้เขียน: ฮัตสึกิ โอโตะ
    • ผู้แปล: วิลาสินี จงสถิตวัฒนา
    • สำนักพิมพ์: Lumi (ในเครือนานมีบุ๊คส์)
    ไพ่ที่ใช้: ไพ่ทาโรต์แถมพิเศษเฉพาะฉบับพิมพ์ครั้งแรกของนิยายเรื่องนี้
    วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่ตอนนี้มีเยอะมากโดยเฉพาะจากฝั่งตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี) แต่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร คือเรื่องแนวฟีลกู๊ดประเภทสถานที่เยียวยาจิตใจ ไม่ใช่เพราะผมเป็นพวกจิตใจหยาบกระด้างหรือชอบเสพแต่ความดาร์กและความสยอง แต่เพราะผมมองว่าตัวเองพอดักทางได้ว่าเรื่องพวกนั้นมี "สาร" อย่างไร ต้องการสอนผู้อ่านอย่างไร ทั้งนี้ก็จะมีบางเรื่องที่เป็นข้อยกเว้น หนึ่งในนั้นคือคาเฟ่ของแม่หมอมานูล 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' โดย อัตสึกิ โอโตะ เป็นนิยายแบบที่ผมคงไม่สนใจในแวบแรก ถ้าไม่ใช่เพราะโดนล่อตาล่อใจจากของแถมที่ทาง สนพ. บอกว่ามีเฉพาะในรอบพิมพ์ครั้งแรกเท่านั้น นั่นคือ ไพ่ทาโรต์ขนาดเล็ก ๆ 5 ใบที่เป็นภาพคุณมานูล แมวหมอดูตัวเอกประจำเรื่อง ข้อนี้เลยเป็นตัวแปรสำคัญให้ผมเปิดใจรับหนังสือเล่มนี้มาบรรจุเข้าชั้นที่บ้าน ไหน ๆ ก็พูดถึงหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมก็เห็นว่ามันควรค่าแก่การรีวิวในแบบของไพ่เราเผาเรื่อง แต่รอบนี้จะต่างจากครั้งอื่น ๆ ตรงที่ผมจะไม่ใช้ไพ่ทาโรต์หรือไพ่พยากรณ์สำรับใด ๆ ในคลัง แต่จะใช้ไพ่แถม 5 ใบที่มากับหนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือประกอบการ "เผาเรื่อง" โดยสับไพ่แล้วสุ่มหยิบตามลำดับ ขอเชิญรับชม #ไพ่เราเผาหนังสือ 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' ด้วยไพ่แถมสุดน่ารักทั้ง 5 ใบ ได้ ณ บัดนี้ครับ ---------- "เรื่องจบในตอนพร้อมข้อคิดดี ๆ" 🃏The Sun + 🃏The World ในไพ่ทาโรต์ 78 ใบ The Sun เป็นไพ่ที่ความหมายดีรอบด้านในอันดับต้น ๆ แต่ไพ่ใบนี้ยังสื่อถึง "ความจริง" และ "ข้อคิดที่เป็นประโยชน์" ได้ด้วย ส่วน The World ในฐานะไพ่ใบสุดท้ายของไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) จึงมักสื่อความถึง "จุดสิ้นสุด" และ "ความสมบูรณ์" แต่มันไม่ใช่การตัดจบแบบบริบูรณ์หรือ Happily Ever After ทว่าเป็นการจบลงของบทหนึ่งเพื่อที่จะเข้าสู่บทถัดไป 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' มีลักษณะการเขียนแบบที่มักเจอใน Fiction ประเภทสถานที่ที่ช่วยให้ผู้คนได้ฮีลใจ นั่นคือเป็นนวนิยายแบบเนื้อเรื่องจบในตอน (Episodic novel) โดยแต่ละตอนมักจะมีข้อคิดจรรโลงใจหรือมุมมองที่น่าสนใจแตกต่างกัน บางครั้งต่างตอนก็มีสารหรือข้อคิดสำหรับคนต่างกลุ่มต่างจำพวก หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 5 บท แต่ละบทสามารถอ่านแยกในฐานะเรื่องสั้นที่จบสมบูรณ์ในตัวเองได้ แต่ตอนหลัง ๆ ก็จะมีรายละเอียดบางอย่างที่ต่อเนื่องจากตอนก่อน ๆ ตัวละครดำเนินเรื่องในแต่ละตอนมีช่วงอายุ บทบาท และปัญหาคาใจแตกต่างกัน มีทั้งเด็กมัธยมที่หาทาง fit in ในสังคมห้องเรียน อินฟลูเอนเซอร์สาว ซิงเกิลมัม ไปจนถึงวัยกลางคนที่กำลังสับสนกับทิศทางชีวิตและหน้าที่การงานของตัวเอง จากนั้นโชคชะตาหรือพล็อตเรื่องก็จะพาตัวละครไปเจอกับคุณมานูลและคาเฟมาร์เนิล คุณมานูล ศูนย์กลางของเรื่อง เดิมเคยเป็นมนุษย์ชื่อ คาวาตานิ ไอซาวะ แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง นางเลือก 'ลาออก' จากการเป็นมนุษย์ มาอยู่ในร่างของแมวมานูล (Manul) หรืออีกชื่อคือแมวพัลลาส (Pallas's cat) และรับดูดวงด้วยสารพัดวิธี ไม่ว่าจะใช้ไพ่ ลูกแก้ว หรือเครื่องเสี่ยงเซียมซีรูเลตต์ พร้อมทั้งเปิดคาเฟ่ร่วมกับคนที่น่าจะเป็นสามีและลูกสาว (ส่วนชื่อคาเฟ่ ทำไมถึงชื่อ "มาร์เนิล" แทนที่จะเป็น "มานูล" ตรงนี้ในหนังสือมีอธิบายไว้ แต่สั้น ๆ คือเป็นมุกที่เล่นกับตัวเขียนญี่ปุ่นแบบคาตาคานะ ซึ่งต้องขอชื่นชมผู้แปลที่พยายามเรียบเรียงเป็นไทยให้ใกล้เคียงโดยไม่เสียอรรถรสของต้นฉบับ) เนื้อเรื่องแต่ละตอนดำเนินไปอย่างค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ เริ่มจากแนะนำตัวละครและชีวิตประจำวันที่เจ้าตัวไม่พึงพอใจเท่าไร จากนั้นตัวละครก็จะได้เจอคุณมานูลช่วยทำนายดวงชะตาพร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบคร่าว ๆ เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งตัวละครจะทำตามและอะไร ๆ ก็ดูจะดีขึ้นจริง ๆ แต่แล้วก็จะมีเหตุสักอย่างให้ชีวิตตัวละครกลับไปเป็นแบบตอนต้นเรื่องหรือเผลอ ๆ เหมือนจะดูแย่ลง และทำให้ตัวละครได้รับการชี้แนะจากคุณมานูลเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งคราวนี้เรื่องก็จะดูจบตอนแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ชวนให้นึกถึงโดราเอมอนแแบบอนิเมะในทีวีที่ฉายเป็นตอน ๆ หรือการ์ตูนต่อสู้อย่างเซเลอร์มูนช่วงแรก ๆ ที่จะมีตัวร้ายประจำสัปดาห์ (Monster of the week) มาให้ตัวเอกปราบ นิยายประเภทสถานที่ฮีลใจมักมีตัวละครประจำตอนที่แแตกต่างกันทั้งช่วงอายุและอาชีพ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของคนอ่านในกลุ่มต่าง ๆ นิยายเล่มนี้ก็เช่นกัน ทั้ง 5 ตอนมีตัวละครตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ผู้เขียนคคาดหวังว่าจะรวมอยู่ในหมู่คนอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย และถึงแม้ปัญหาที่ตัวละครในเรื่องเผชิญอาจไม่ตรงกับเรื่องที่คนอ่านในช่วงวัยเดียวกันเจอในชีวิตจริงทั้งหมด แต่ข้อคิดและคำแนะนำจากคุณมานููลในแต่ละตอนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน ---------- "เยียวยาจิตใจในสถานที่ที่มอบความสุข" 🃏The Star + 🃏Ten of Cups The Star คือดวงดาว จึงเป็นไพ่ตัวแทนหลายสิ่งหลายอย่างที่คนเรามักเชื่อมโยงกับดาว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความโด่งดัง หรือความหวัง แต่มันก็มีอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือ "การเยียวยา" ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่วนไพ่ 10 ถ้วย โดยทั่วไปมักหมายถึงบ้านหรือครอบครัว แต่บางกรณีก็สื่อถึง "ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม" โดยเป็นความสุขที่มาจากกลุ่มคนที่อยู่กันสนิทชิดเชื้อเหมือนเป็นครอบครัว (แบบใน "แฟ้มเมอะหลี่" ของพี่ดอม ทอร์เรตโต แห่งซีรีส์ Fast & Furious) หรือจากาสถานที่มีผู้พร้อมจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่น คาเฟ่มาร์เนิลของคุณมานูลลงล็อกพอดีกับคำจำกัดความของสถานที่แบบที่ว่า แต่ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ข้างบน ๆ นิยายเรื่องนี้ผลิตซ้ำ Trope ของสถานที่ที่ให้ความช่วยเหลือผู้คนในการแก้ปัญหาและเยียวยาจิตใจ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมกันในวงการวรรณกรรมฝั่งเอเชียตะวันออก แต่ละเรื่องอาจมีสถานที่ต่างกันไป บางเรื่องเป็นคาเฟ่ บางเรื่องเป็นร้านเบเกอรี่ บ้างเรื่องเป็นร้านหนังสือหรือห้องสมุด แต่ทุกเรื่องจบลงที่ตัวละครซึ่งไปเยือนสถานที่นั้น ๆ ได้เยียวยาบาดแผลหรือปมปัญหาในใจ หรือได้ปลดล็อกอะไรสักอย่างที่ติดค้างอยู่ น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ในชีวิตจริงซึ่งไม่ได้มีมนตร์วิเศษอยู่ (อย่างน้อยก็ในแบบที่มักเกิลอย่างเรา ๆ จับต้องและพิสูจน์ได้) คนเราก็มีสถานที่สำหรับเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำและแตกร้าว นอกจากกลับบ้านไปหาครอบครัวแล้ว ที่อื่นที่คนมักไปเพื่อฮีลใจตัวเอง เช่น คาเฟ่ ซุ้มหมอดู (หรือบางคนก็ทักไปหาหมอดูทางออนไลน์) และที่ใดก็ตามที่มีแมวอยู่ กล่าวอีกอย่างคือ คาเฟ่ การดูดวง และแมว คือ Top 3 แห่งเครื่องเยียวยาจิตใจของมนุษย์ในปัจจุบัน (ซึ่งจะเรียกว่าเป็นยุคทุนนิยมหรือยุคโพสต์โมเดิร์นก็ตามแต่) และสามอย่างที่ว่านี้ นอกจากในนิยายซีรีส์ "ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง" แล้ว ก็มีคุณมานูลในนิยายเรื่องนี้ที่รวมทุกอย่างไว้ในตัว เหมือนผู้เขียนจงใจ หรือไม่ก็สร้างไว้ให้คนอ่านที่ชอบ Overanalyze ได้สังเกตและทึกทักเอา ---------- "โชคชะตาไม่สำคัญเมื่อเธอนั้นกลายเป็นแมว" 🃏Wheel of Fortune ไพ่วงล้อแห่งโชคชะตาเป็นใบหนึ่งที่ท้าทายสกิลการอ่านและตีความไพ่ของผู้อ่านไพ่มากที่สุด บางบริบท มันสื่อถึงการที่โชคชะตากำลังดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าช่วงนั้นดวงกกำลังดี ๆ อยู่ มันก็อาจเป็นคำเตือนในระวังถึงขาลงของชีวิตที่ส่อแววมาแต่ไกล โดยรวมแล้ว ไพ่ใบนี้สื่อถึง "โชคชะตา" ในภาพรวม ซึ่งโดยตัวมันเองไม่มีดีหรือร้าย แต่ที่เรามองว่าดีหรือร้ายก็เพราะเรามองจากมุมมองของตัวเรา ถ้าเรามองเรื่องที่เกิดกับคนอื่น หรือมองตัวเองอย่างเป็นภววิสัย เราก็คงมองว่าททุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติ เดี๋ยวมีดี เดี๋ยวมีร้าย ไม่แน่ไม่นอน เผลอ ๆ คาดเดาไม่ได้ (หากเราเชื่อตาม Chaos Theory) และด้วยเหตุนี้ ไพ่ใบนี้จึงหมายรวมถึงการพยากรณ์ การดูดวง หรือการตรวจสอบดวงชะตาเช่นกัน ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมไหม ตอนเห็นชื่อหนังสือฉบับแปลไทยครั้งแรก ก็คิดว่าคุณมานูลน่าจะเป็นตัวละครประเภทกวน ๆ ที่ทำนายดวงตรงมั่งมั่วมั่ง (แต่สุดท้ายก็ช่วยให้ตัวละครในแต่ละตอนได้มีความสุขอยู่ดี ตามแนวทางของนิยายฮีลใจแบบนี้) แต่พอได้อ่านจริงก็พบว่านางเป็นคาแรกเตอร์ประเภทกวน ๆ จริง กวนแบบน่ารัก ๆ ชนิดที่เชื่อว่าทุกคนน่าจะอยากมีเพื่อนสนิทแบบนี้สักคนสองคน ทว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะหายไปคือการทำนายแบบมั่ว ๆ เพราะเท่าที่อ่านเจอในเรื่อง คุณมานูลไม่เคยทำนายดวงชะตาให้ตัวละครไหนแบบมั่ว ๆ เลย อย่างมากคือทำนายแบบส่งเดช พอให้เห็นว่ามีการใช้อุปกรณ์ทำนาย (อันนี้พูดในฐานะคนที่ทุกวันนี้รายรอบด้วยคนในวงการนักพยากรณ์ และเคยเจอหมอดูที่ทำนายแบบมั่วซั่วมาจนมากเกินจะนับด้วยนิ้วมือรวมนิ้วเท้าได้) อันที่จริงชื่อต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นของนิยายเรื่องนี้แปลตรงตัวแค่ว่า "คุณมานูลผู้ลาออกจากการเป็นมนุษย์จะทำนายดวงชะตาให้คุณ" ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม คุณมานูลตลอดทั้งเรื่องจะเล่นอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่หมอดูทุกศาสตร์ทุกแขนงควรเป็นในตัว (ถ้ายังไม่เป็นก็ควรฝึกตัวเองให้เป็น หรือไป take course เสียโดยด่วน โปรดรู้ว่าสังคมทุกวันนี้กำลังต้องการมาก) นั่นคือการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตใจและสังคม เนื้อเรื่องไม่เคยฟันธงว่าคุณมานูลดูดวงเป็นจริง ๆ หรือไม่ แต่เรื่องแสดงให้เห็นว่านางดูคนเป็น เข้าใจว่าแต่ละคนกำลังขาดหรือล้นเกินในเรื่องอะไร ซึ่งก็น่าจะเป็นทักษะที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยนางยังเป็นมนุษย์ และจากตรงนี้ นางจึงให้คำแนะนำแบบแมว ๆ ให้แต่ละตัวละครรับไปหาทางแก้ปัญหาของตัวเองอย่างตรงจุด เนื้อเรื่องไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้คุณไอซาวะลาออกจากการเป็นมนุษย์แล้วผันตัวมาเป็นแมวมานูล แต่เมื่อดูจากคำใบ้ในแต่ละตอน (โดยเฉพาะตอนสุดท้าย) ผมมองว่านางคงเบื่อชีวิตมนุษย์ที่วัน ๆ ได้แต่ไหลไปตามสิ่งรอบข้างอย่างกระแสสังคม ความควาดหวังและแรงกดดันจากคนรอบข้าง (ซึ่งไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่เรารับมากระทำกับตัวเราเอง) ตลอดจนการยอมจำนนต่อ "โชคชะตา" เดี๋ยวดวงดี เดี๋ยวดวงซวย ช่วงนี้ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อหลีกเลี่ยงกาลกิณี ฯลฯ ในเมื่อมีแต่มนุษย์ที่ปวดหัววุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ แต่แมวใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องนำพาต่อสิ่งเหล่านี้ นางก็เลยเลิกเป็นมนุษย์แล้วเป็นแมวซะดื้อ ๆ แต่ครั้นจะเป็นแมวพันธุ์ธรรมดา ๆ พื้น ๆ ก็ไม่เอา เลยขอเป็นพันธุ์หายากอย่างแมวมานูล และพอเป็นแมวแล้ว นางเลยสามารถมองเรื่องราววุ่น ๆ ของมนุษย์ได้อย่างเป็นกลาง พร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบชิล ๆ แต่ตรงประเด็นได้ ถึงแม้นิยายเรื่องนี้จะขึ้นชื่อว่ามีหมอดูอยู่ แต่เนื้อเรื่องแทบไม่เกี่ยวกับการทำนายดวงชะตา (จริง ๆ) เลย กลับกัน มันแนะแนววิธีการใช้ชีวิตแบบไม่แคร์ดวง เหมือนที่แมวไม่แคร์วิถีชีวิตของมนุษย์ แต่พร้อมกันนั้น มันก็ให้คำแนะนำที่ดีอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นหมอดูและอยากเป็นหมอดูครับ ---------- Final Verdict: 🃏The Sun + 🃏The World + 🃏The Star + 🃏Ten of Cups + 🃏Wheel of Fortune 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' จะช่วยให้คุณเข้าใจความจริงว่า ต่อให้โลกนี้จะหมุนไปและชีวิตนำพาอะไรมาให้คุณ แต่คุณก็สามารถเฉิดฉายในแบบของตัวเองและมีความสุขทุกวันได้ ขอแค่คุณปล่อยจอยกับชีวิต คิดเสียว่าลาออกจากการมนุษย์แล้วทำตัวเหมือนเป็นแมวเสีย เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แค่เวลาจำกัด แล้วทำไม เราต้องปล่อยให้เรื่องชั่วประเดี๋ยวประด๋าว (เมื่อเทียบกับเวลาของจักรวาล) มาขัดจังหวะการเก็บเกี่ยวความสุขในแต่ละวันของเราด้วย จริงไหม? 🃏🃏🃏🃏🃏 แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่งคาเฟมาร์เนิล (2025) • แปลจาก: 人間やめたマヌルさんが、あなたの人生占います (2023) • ผู้เขียน: ฮัตสึกิ โอโตะ • ผู้แปล: วิลาสินี จงสถิตวัฒนา • สำนักพิมพ์: Lumi (ในเครือนานมีบุ๊คส์) ไพ่ที่ใช้: ไพ่ทาโรต์แถมพิเศษเฉพาะฉบับพิมพ์ครั้งแรกของนิยายเรื่องนี้
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 340 Views 0 Reviews
  • “เจตนา คือ จุดเริ่มของกรรม – วิธีเปลี่ยนทางความคิดให้เป็นบุญ”

    ---

    1. เจตนาเป็นต้นทางของกรรมทั้งหมด

    กรรมคือเจตนา สิ่งที่คุณ คิดได้ คือสิ่งที่คุณ ทำได้

    แต่คุณ จะคิดอะไรได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ สภาพจิต ณ ขณะนั้น

    ---

    2. จิตที่ขุ่นมัว = ความคิดที่มืดบอด

    เมื่อจิตมีโทสะ (เช่น ความแค้น ความชิงชัง ความแบ่งฝ่าย)

    จะเกิด เมฆหมอกทางจิต ปิดกั้นไม่ให้ความคิดดีๆ แทรกเข้ามาได้

    ความคิดวนเวียนแต่เรื่องโกรธ แค้น ด่า ดูถูกผู้อื่น

    ขณะมีคำว่า “โง่” ดังก้องอยู่ในใจ จะไม่มีทาง “คิดฉลาด” ได้เลย

    ---

    3. จิตที่สงบ เย็น เมตตา = ทางเปิดสู่ปัญญา

    ถ้าทำสมาธิหรือแผ่เมตตาถูกต้อง

    เสียงด่าในหัวจะเงียบลง

    ความแบ่งพวกจะลดลง

    อารมณ์ทำลายล้างจะหายไป

    พอใจสงบลง

    จิตจะเปิดรับทางความคิดใหม่ที่สร้างสรรค์

    เห็นทางออกแบบที่ “ไม่เคยเห็นมาก่อน”

    ---

    4. ถ้าเมตตาจริง ปัญญาจะเกิดจริง

    คนมีเมตตา ไม่อยากทิ้งใครไว้ข้างหลัง

    จะคิดหา ทางรอดร่วมกัน ไม่ใช่ทำลายกัน

    นี่คือ ต้นทางของกรรมดี ทั้งระดับ ทาน (ช่วยเขาพ้นทุกข์)
    และ ศีล (ไม่ทำให้ใครทุกข์)

    ---

    Essence สั้นๆ

    “จิตใจเป็นแบบไหน ความคิดก็เป็นแบบนั้น กรรมนั้นก็ย่อมตามมา”
    “เปลี่ยนใจให้ใส เย็น และเมตตา แล้วความคิดดีๆ จะพาคุณไปสู่ชีวิตที่ดีทั้งในชาตินี้และชาติหน้า”
    “เจตนา คือ จุดเริ่มของกรรม – วิธีเปลี่ยนทางความคิดให้เป็นบุญ” --- 1. เจตนาเป็นต้นทางของกรรมทั้งหมด กรรมคือเจตนา สิ่งที่คุณ คิดได้ คือสิ่งที่คุณ ทำได้ แต่คุณ จะคิดอะไรได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ สภาพจิต ณ ขณะนั้น --- 2. จิตที่ขุ่นมัว = ความคิดที่มืดบอด เมื่อจิตมีโทสะ (เช่น ความแค้น ความชิงชัง ความแบ่งฝ่าย) จะเกิด เมฆหมอกทางจิต ปิดกั้นไม่ให้ความคิดดีๆ แทรกเข้ามาได้ ความคิดวนเวียนแต่เรื่องโกรธ แค้น ด่า ดูถูกผู้อื่น ขณะมีคำว่า “โง่” ดังก้องอยู่ในใจ จะไม่มีทาง “คิดฉลาด” ได้เลย --- 3. จิตที่สงบ เย็น เมตตา = ทางเปิดสู่ปัญญา ถ้าทำสมาธิหรือแผ่เมตตาถูกต้อง เสียงด่าในหัวจะเงียบลง ความแบ่งพวกจะลดลง อารมณ์ทำลายล้างจะหายไป พอใจสงบลง จิตจะเปิดรับทางความคิดใหม่ที่สร้างสรรค์ เห็นทางออกแบบที่ “ไม่เคยเห็นมาก่อน” --- 4. ถ้าเมตตาจริง ปัญญาจะเกิดจริง คนมีเมตตา ไม่อยากทิ้งใครไว้ข้างหลัง จะคิดหา ทางรอดร่วมกัน ไม่ใช่ทำลายกัน นี่คือ ต้นทางของกรรมดี ทั้งระดับ ทาน (ช่วยเขาพ้นทุกข์) และ ศีล (ไม่ทำให้ใครทุกข์) --- Essence สั้นๆ “จิตใจเป็นแบบไหน ความคิดก็เป็นแบบนั้น กรรมนั้นก็ย่อมตามมา” “เปลี่ยนใจให้ใส เย็น และเมตตา แล้วความคิดดีๆ จะพาคุณไปสู่ชีวิตที่ดีทั้งในชาตินี้และชาติหน้า”
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เริ่มจากภายในจิตใจของตัวเอง ไม่ใช่แค่การไปทำบุญภายนอก แต่คือการ "ฝึกใจ" ให้คิดดี ทำดี อดทน และไม่โต้ตอบความชั่วด้วยความชั่ว

    การฝึกใจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเนื้อหา:

    กลุ่มแรก: ฝึกใจเพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของความร้าย

    กำจัดนิสัยเสียของตน สำคัญกว่าการทำบุญภายนอก

    แม้พบคนเลว ก็เลือกได้ว่าจะไม่เลวตาม

    คนไม่ดีทำให้คุณอยากคิดไม่ดี แต่คุณมีสิทธิ์เลือกจะคิดดี

    ถ้าไม่ระวัง เรื่องร้ายจะเปลี่ยนคุณให้ร้ายตาม

    เรื่องดีหรือร้ายรอบตัวไม่สำคัญเท่าคุณดีหรือร้ายในใจ

    กลุ่มที่สอง: ฝึกใจให้พร้อมทำบุญทุกวัน

    บุญเริ่มที่ "ใจ" ไม่ใช่แค่เงิน

    ใจที่ให้อภัย ใจที่อดทน ใจที่มีเมตตา คือการทำบุญตลอดวัน

    ชีวิตประจำวันคือบทฝึกใจ ให้กลับบ้านได้เหมือนไปวัดมา

    มีเงินแต่ไม่มีใจทำบุญก็ไร้ค่า

    ใจที่คิดให้ คือกุญแจสู่บุญตลอดเวลา

    ---

    ฝึกใจคือบุญที่แท้จริง: ไม่ต้องรอวันพระ ไม่ต้องรอเวลาว่าง แค่มีเจตนาดีก็เป็นบุญได้

    ไม่เอาความเลวมาเป็นข้ออ้าง: คนเลวกระตุ้นคุณไม่ได้ ถ้าใจคุณมั่นคงในความดี

    ขับเคลื่อนชีวิตด้วยใจสว่าง: ออกจากบ้านเพื่อฝึกใจ ไม่ใช่เพื่อหนีปัญหา

    "เปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นวันละนิด คือบุญที่มั่นคงยิ่งกว่าการเดินสายทำบุญ และใจที่ไม่เลวตามโลก คือใจที่พร้อมจะมีบุญอยู่เสมอ"
    การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เริ่มจากภายในจิตใจของตัวเอง ไม่ใช่แค่การไปทำบุญภายนอก แต่คือการ "ฝึกใจ" ให้คิดดี ทำดี อดทน และไม่โต้ตอบความชั่วด้วยความชั่ว การฝึกใจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเนื้อหา: กลุ่มแรก: ฝึกใจเพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของความร้าย กำจัดนิสัยเสียของตน สำคัญกว่าการทำบุญภายนอก แม้พบคนเลว ก็เลือกได้ว่าจะไม่เลวตาม คนไม่ดีทำให้คุณอยากคิดไม่ดี แต่คุณมีสิทธิ์เลือกจะคิดดี ถ้าไม่ระวัง เรื่องร้ายจะเปลี่ยนคุณให้ร้ายตาม เรื่องดีหรือร้ายรอบตัวไม่สำคัญเท่าคุณดีหรือร้ายในใจ กลุ่มที่สอง: ฝึกใจให้พร้อมทำบุญทุกวัน บุญเริ่มที่ "ใจ" ไม่ใช่แค่เงิน ใจที่ให้อภัย ใจที่อดทน ใจที่มีเมตตา คือการทำบุญตลอดวัน ชีวิตประจำวันคือบทฝึกใจ ให้กลับบ้านได้เหมือนไปวัดมา มีเงินแต่ไม่มีใจทำบุญก็ไร้ค่า ใจที่คิดให้ คือกุญแจสู่บุญตลอดเวลา --- ฝึกใจคือบุญที่แท้จริง: ไม่ต้องรอวันพระ ไม่ต้องรอเวลาว่าง แค่มีเจตนาดีก็เป็นบุญได้ ไม่เอาความเลวมาเป็นข้ออ้าง: คนเลวกระตุ้นคุณไม่ได้ ถ้าใจคุณมั่นคงในความดี ขับเคลื่อนชีวิตด้วยใจสว่าง: ออกจากบ้านเพื่อฝึกใจ ไม่ใช่เพื่อหนีปัญหา "เปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นวันละนิด คือบุญที่มั่นคงยิ่งกว่าการเดินสายทำบุญ และใจที่ไม่เลวตามโลก คือใจที่พร้อมจะมีบุญอยู่เสมอ"
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • ความเห็นดำริ
    คิดดีทำดี
    วาทะกรรมดี
    ดีการงานทำ

    คิดพูดทำนี้
    ล้วนมีตอกย้ำ
    มัวพาหลงกรรม
    ทำชั่วร้ายได้

    จงเพียรทำดี
    มีศีลธรรมไว้
    กุศลอาศัย
    ให้ไปมาดี

    อยู่ให้มีคุณ
    บุญหนุนชีวี
    สติให้ดี
    มีปัญญาธรรม

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    ความเห็นดำริ คิดดีทำดี วาทะกรรมดี ดีการงานทำ คิดพูดทำนี้ ล้วนมีตอกย้ำ มัวพาหลงกรรม ทำชั่วร้ายได้ จงเพียรทำดี มีศีลธรรมไว้ กุศลอาศัย ให้ไปมาดี อยู่ให้มีคุณ บุญหนุนชีวี สติให้ดี มีปัญญาธรรม ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 141 Views 0 Reviews
  • คิดดีทำดี สิ่งดีๆก็จะเกิดขึ้น
    คิดดีทำดี สิ่งดีๆก็จะเกิดขึ้น
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • 📌 วิธีคิดที่ถูกต้อง = ชีวิตที่ถูกต้อง


    ---

    🔍 1️⃣ คิดดี ชีวิตดีจริงไหม?

    ✅ คุณต้องพูดและทำสิ่งที่ดีเป็นเวลาหลายปีเพื่อประสบความสำเร็จ
    ❌ แต่แค่คิดผิดวันเดียว อาจทำให้ชีวิตพังทลาย

    🔹 อยู่ในที่มืดมิด ไม่น่ากลัวเท่าอยู่กับความคิดที่มืดมน
    🔹 นิสัยในการคิด คือ "มโนกรรม" ที่กำหนดชีวิตคุณ
    🔹 ถ้าหมั่นคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ชีวิตจะเหลวไหล
    🔹 ถ้าคิดลบ คิดแง่ร้ายตลอดเวลา ชีวิตจะเต็มไปด้วยกองขยะ
    🔹 แต่ถ้าคิดดี ชีวิตทั้งหมดจะดีเอง

    📌 "คิดผิด = กรรมผิด → ชีวิตผิด"
    📌 "คิดถูก = กรรมดี → ชีวิตดี"


    ---

    🔍 2️⃣ ทำไมมโนกรรมจึงสำคัญที่สุด?

    📌 "มโนกรรม" ควบคุมชีวิต
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    ✅ มโนกรรม (ความคิด) → ครอบงำ
    ✅ วจีกรรม (คำพูด) → นำไปสู่
    ✅ กายกรรม (การกระทำ) → สร้างชีวิต

    🌿 "คิดดี = พูดดี = ทำดี = ชีวิตดี"
    🌿 "คิดร้าย = พูดร้าย = ทำร้าย = ชีวิตตกต่ำ"

    📌 คนที่คิดบวกตลอดเวลา → มักประสบความสำเร็จในชีวิต
    📌 คนที่คิดลบตลอดเวลา → แม้มีโอกาสดี ก็ทำลายตัวเอง


    ---

    🔍 3️⃣ วิธีคิดแบบพุทธ = ชีวิตสว่าง

    ✅ ถ้าตั้งศรัทธาในพระพุทธเจ้า
    ✅ เอาวิธีคิดของพระองค์มาเป็นแนวทาง
    ✅ คิดแต่สิ่งที่ทำให้ใจชุ่มชื่นและเบิกบาน

    📌 "ความคิดที่ถูกต้อง = ความรู้สึกที่ถูกต้อง"
    💡 คิดแล้ว ออกจากทุกข์
    💡 คิดแล้ว นำไปสู่ความสุขที่แท้จริง


    ---

    🔍 4️⃣ ปรับความคิดให้สว่างขึ้นได้อย่างไร?

    1️⃣ สำรวจตัวเอง

    🔹 ความคิดแบบไหนที่ยังมืดอยู่?
    🔹 ปรับให้เป็นความคิดที่สว่าง

    2️⃣ ฝึกคิดอย่าง "ผู้ให้"

    ✅ คิดในทางที่ไม่เบียดเบียน
    ✅ คิดเป็นทาน (ให้มากกว่าเอา)
    ✅ คิดถึงศีล (ทำดี ละเว้นความชั่ว)

    📌 เมื่อคิดแบบนี้ → ใจสว่างขึ้น
    📌 เมื่อใจสว่าง → ชีวิตก็สว่างตาม


    ---

    🔍 5️⃣ สรุป : คิดให้ถูกก่อนจะทำสิ่งใด

    ✅ ถ้าไม่รู้ว่าความคิดที่ถูกคืออะไร
    ❌ ความคิดจะทำลายชีวิตของตัวเอง
    ✅ ถ้ารู้และฝึกคิดให้ถูกต้อง
    💡 ชีวิตจะสว่างขึ้นเรื่อยๆ

    📌 "เริ่มต้นที่ความคิด → กำหนดชีวิตทั้งหมด"
    📌 "ถ้าไม่อยากทุกข์ → จงคิดให้ถูกตั้งแต่วันนี้!" 💙

    📌 วิธีคิดที่ถูกต้อง = ชีวิตที่ถูกต้อง --- 🔍 1️⃣ คิดดี ชีวิตดีจริงไหม? ✅ คุณต้องพูดและทำสิ่งที่ดีเป็นเวลาหลายปีเพื่อประสบความสำเร็จ ❌ แต่แค่คิดผิดวันเดียว อาจทำให้ชีวิตพังทลาย 🔹 อยู่ในที่มืดมิด ไม่น่ากลัวเท่าอยู่กับความคิดที่มืดมน 🔹 นิสัยในการคิด คือ "มโนกรรม" ที่กำหนดชีวิตคุณ 🔹 ถ้าหมั่นคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ชีวิตจะเหลวไหล 🔹 ถ้าคิดลบ คิดแง่ร้ายตลอดเวลา ชีวิตจะเต็มไปด้วยกองขยะ 🔹 แต่ถ้าคิดดี ชีวิตทั้งหมดจะดีเอง 📌 "คิดผิด = กรรมผิด → ชีวิตผิด" 📌 "คิดถูก = กรรมดี → ชีวิตดี" --- 🔍 2️⃣ ทำไมมโนกรรมจึงสำคัญที่สุด? 📌 "มโนกรรม" ควบคุมชีวิต พระพุทธเจ้าตรัสว่า ✅ มโนกรรม (ความคิด) → ครอบงำ ✅ วจีกรรม (คำพูด) → นำไปสู่ ✅ กายกรรม (การกระทำ) → สร้างชีวิต 🌿 "คิดดี = พูดดี = ทำดี = ชีวิตดี" 🌿 "คิดร้าย = พูดร้าย = ทำร้าย = ชีวิตตกต่ำ" 📌 คนที่คิดบวกตลอดเวลา → มักประสบความสำเร็จในชีวิต 📌 คนที่คิดลบตลอดเวลา → แม้มีโอกาสดี ก็ทำลายตัวเอง --- 🔍 3️⃣ วิธีคิดแบบพุทธ = ชีวิตสว่าง ✅ ถ้าตั้งศรัทธาในพระพุทธเจ้า ✅ เอาวิธีคิดของพระองค์มาเป็นแนวทาง ✅ คิดแต่สิ่งที่ทำให้ใจชุ่มชื่นและเบิกบาน 📌 "ความคิดที่ถูกต้อง = ความรู้สึกที่ถูกต้อง" 💡 คิดแล้ว ออกจากทุกข์ 💡 คิดแล้ว นำไปสู่ความสุขที่แท้จริง --- 🔍 4️⃣ ปรับความคิดให้สว่างขึ้นได้อย่างไร? 1️⃣ สำรวจตัวเอง 🔹 ความคิดแบบไหนที่ยังมืดอยู่? 🔹 ปรับให้เป็นความคิดที่สว่าง 2️⃣ ฝึกคิดอย่าง "ผู้ให้" ✅ คิดในทางที่ไม่เบียดเบียน ✅ คิดเป็นทาน (ให้มากกว่าเอา) ✅ คิดถึงศีล (ทำดี ละเว้นความชั่ว) 📌 เมื่อคิดแบบนี้ → ใจสว่างขึ้น 📌 เมื่อใจสว่าง → ชีวิตก็สว่างตาม --- 🔍 5️⃣ สรุป : คิดให้ถูกก่อนจะทำสิ่งใด ✅ ถ้าไม่รู้ว่าความคิดที่ถูกคืออะไร ❌ ความคิดจะทำลายชีวิตของตัวเอง ✅ ถ้ารู้และฝึกคิดให้ถูกต้อง 💡 ชีวิตจะสว่างขึ้นเรื่อยๆ 📌 "เริ่มต้นที่ความคิด → กำหนดชีวิตทั้งหมด" 📌 "ถ้าไม่อยากทุกข์ → จงคิดให้ถูกตั้งแต่วันนี้!" 💙
    0 Comments 0 Shares 378 Views 0 Reviews
  • จิตก็พึ่งพระพุทธเจ้า พึ่งบุญกุศล เพียรทำตามท่านสอน ละบาป อะไรไม่ดีอย่าไปหาทำ ทำดี คิดดี
    จิตก็พึ่งพระพุทธเจ้า พึ่งบุญกุศล เพียรทำตามท่านสอน ละบาป อะไรไม่ดีอย่าไปหาทำ ทำดี คิดดี
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • กลายเป็นข่าวใหญ่ ที่ชาวเน็ตตามเผือกตามใส่ใจ สำหรับกรณี “ลำไย ไหทองคำ” สุพรรณษา เวชกามา เลิกรากับแฟนหนุ่มนักดนตรี “ปุ้ย ศรีสกล สมทรง” นักร้องนำวงแอลกอฮอลล์ ปิดฉากความรัก 9 ปี โดยตอนแรกลำไยยืนยันว่าไม่มีเรื่องมือที่สาม ก่อนจะโดนเพจต่างๆ เปิดมหกรรมขุดแหลก แฉเรื่อง “บอส เอวหวาน” ซึ่งเป็นแดนเซอร์ พร้อมข้อมูลต่างๆ ที่หลุดออกมา จนลำไยออกมาเผยว่าเคยคุยกันจริงในระยะเวลาสั้นๆ แต่เลิกคุยไปแล้ว ลั่นถูกแฟนเก่าบอสเรียกเงิน 10 ล้าน แต่ค่ายยินยอมจ่ายให้ 2 ล้านเท่านั้น ยืนยันไม่เคยจ้าง 1 แสนเพื่อให้มีเซ็กซ์ด้วย จนคนข้องใจว่า 10 ล้านที่เรียกเป็นค่าอะไร

    ล่าสุด “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ตัวแทนหมู่บ้าน ได้จัดการเคลียร์ให้หายข้องใจในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ (4 มี.ค.68) โดยเผยว่าตนไม่เชื่อว่าลำไยจะต้องจ้างแดนเซอร์ 1 แสนเพื่อให้มีสัมพันธ์ด้วย บอกแค่ดีดนิ้วก็มาแล้ว เพราะลำไยคือนักร้องเบอร์หนึ่งของเมืองไทยในตอนนี้

    “เอาตรงๆ นะ ผมไม่เชื่อหรอก เรื่องจ้างแสนนึงให้มีสัมพันธ์ด้วย อันนี้วิเคราะห์เองนะ คิดดีๆ นะ ลำไยจำเป็นต้องจ้างแดนเซอร์ 1 แสนให้มีสัมพันธ์กับตัวเองเหรอ ผมว่าแค่ลำไยดีดนิ้ว ก็มาเลยนะ ไม่จำเป็นต้องจ้างแสนนึง แต่ผมเชื่อเรื่องความให้โดยการเสน่หา อาจคบหากันช่วงเวลานึง เห็นว่าน้องจำเป็นต้องใช้เงินหรือเปล่าเลยให้เงินไป แต่ที่มาที่ไปมันมี ใจเย็นๆ ค่อยๆ เล่าทีละเปลาะ คนก็ไปตามหาอดีตแฟนบอส ชื่อโม ว่าเกิดอะไรขึ้น ถามว่าสุดท้ายมีการเรียกเงิน 10 ล้านจริงหรือเปล่า ต้องถามคนนี้เลย อยู่ในสายกับ น้องโม อดีตแฟนบอส” (โม แฟนเก่าบอสโฟนอินเข้ามาตอบในรายการ เผยว่าจริงๆ แล้วถูกเสนอเงิน 5 ล้าน เพื่อให้จบเรื่องนี้ และเป็นค่าเสียใจที่เกิดขึ้น พร้อมยันไม่ได้ส่งข้อมูลให้เพจต่างๆ เพื่อแฉลำไย)

    โม : “เคยคบหากับบอสจริง ไม่ได้ส่งข้อมูลให้เพจต่างๆ หนูไม่รู้ว่ามันไปที่เพจต่างๆ ได้ยังไง มีแต่เคยโพสต์ไว้ในเฟซนานมาแล้ว แล้วคนมาขุดกัน

    หนุ่ม : เรื่องเรียกเงิน 10 ล้านจริงมั้ย

    โม : หนูเรียก 5 ล้านค่ะ เขาเสนอมาค่ะ ทางค่ายเขาบอกว่าให้บอสถามหนูว่าอยากจะจบเรื่องนี้ เอาค่าเสียใจไหม มาเอาที่บอสเลย ถ้าบอสไม่มีให้ไปปรึกษาที่ค่าย ยังไงเขาจะช่วย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000020985

    #MGROnline #ลําไยไหทองคํา
    กลายเป็นข่าวใหญ่ ที่ชาวเน็ตตามเผือกตามใส่ใจ สำหรับกรณี “ลำไย ไหทองคำ” สุพรรณษา เวชกามา เลิกรากับแฟนหนุ่มนักดนตรี “ปุ้ย ศรีสกล สมทรง” นักร้องนำวงแอลกอฮอลล์ ปิดฉากความรัก 9 ปี โดยตอนแรกลำไยยืนยันว่าไม่มีเรื่องมือที่สาม ก่อนจะโดนเพจต่างๆ เปิดมหกรรมขุดแหลก แฉเรื่อง “บอส เอวหวาน” ซึ่งเป็นแดนเซอร์ พร้อมข้อมูลต่างๆ ที่หลุดออกมา จนลำไยออกมาเผยว่าเคยคุยกันจริงในระยะเวลาสั้นๆ แต่เลิกคุยไปแล้ว ลั่นถูกแฟนเก่าบอสเรียกเงิน 10 ล้าน แต่ค่ายยินยอมจ่ายให้ 2 ล้านเท่านั้น ยืนยันไม่เคยจ้าง 1 แสนเพื่อให้มีเซ็กซ์ด้วย จนคนข้องใจว่า 10 ล้านที่เรียกเป็นค่าอะไร • ล่าสุด “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ตัวแทนหมู่บ้าน ได้จัดการเคลียร์ให้หายข้องใจในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ (4 มี.ค.68) โดยเผยว่าตนไม่เชื่อว่าลำไยจะต้องจ้างแดนเซอร์ 1 แสนเพื่อให้มีสัมพันธ์ด้วย บอกแค่ดีดนิ้วก็มาแล้ว เพราะลำไยคือนักร้องเบอร์หนึ่งของเมืองไทยในตอนนี้ • “เอาตรงๆ นะ ผมไม่เชื่อหรอก เรื่องจ้างแสนนึงให้มีสัมพันธ์ด้วย อันนี้วิเคราะห์เองนะ คิดดีๆ นะ ลำไยจำเป็นต้องจ้างแดนเซอร์ 1 แสนให้มีสัมพันธ์กับตัวเองเหรอ ผมว่าแค่ลำไยดีดนิ้ว ก็มาเลยนะ ไม่จำเป็นต้องจ้างแสนนึง แต่ผมเชื่อเรื่องความให้โดยการเสน่หา อาจคบหากันช่วงเวลานึง เห็นว่าน้องจำเป็นต้องใช้เงินหรือเปล่าเลยให้เงินไป แต่ที่มาที่ไปมันมี ใจเย็นๆ ค่อยๆ เล่าทีละเปลาะ คนก็ไปตามหาอดีตแฟนบอส ชื่อโม ว่าเกิดอะไรขึ้น ถามว่าสุดท้ายมีการเรียกเงิน 10 ล้านจริงหรือเปล่า ต้องถามคนนี้เลย อยู่ในสายกับ น้องโม อดีตแฟนบอส” (โม แฟนเก่าบอสโฟนอินเข้ามาตอบในรายการ เผยว่าจริงๆ แล้วถูกเสนอเงิน 5 ล้าน เพื่อให้จบเรื่องนี้ และเป็นค่าเสียใจที่เกิดขึ้น พร้อมยันไม่ได้ส่งข้อมูลให้เพจต่างๆ เพื่อแฉลำไย) • โม : “เคยคบหากับบอสจริง ไม่ได้ส่งข้อมูลให้เพจต่างๆ หนูไม่รู้ว่ามันไปที่เพจต่างๆ ได้ยังไง มีแต่เคยโพสต์ไว้ในเฟซนานมาแล้ว แล้วคนมาขุดกัน • หนุ่ม : เรื่องเรียกเงิน 10 ล้านจริงมั้ย • โม : หนูเรียก 5 ล้านค่ะ เขาเสนอมาค่ะ ทางค่ายเขาบอกว่าให้บอสถามหนูว่าอยากจะจบเรื่องนี้ เอาค่าเสียใจไหม มาเอาที่บอสเลย ถ้าบอสไม่มีให้ไปปรึกษาที่ค่าย ยังไงเขาจะช่วย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000020985 • #MGROnline #ลําไยไหทองคํา
    0 Comments 0 Shares 443 Views 0 Reviews
  • เนวิน เตือนคิดดีๆ เอฟวันหรือโมโตจีพี ชี้คนดู F1 เหมือนหมามองเครื่องบินหากรัฐบาลยืนยันไม่ต่อสัญญาโมโตจีพี
    เนวิน เตือนคิดดีๆ เอฟวันหรือโมโตจีพี ชี้คนดู F1 เหมือนหมามองเครื่องบินหากรัฐบาลยืนยันไม่ต่อสัญญาโมโตจีพี
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 785 Views 31 1 Reviews
  • คิดดีทำดี ปรารถนาในสิ่งดี เราก็ทำเอา..ตายไปแล้วกระดูก ขี้เถ้าก็ยังเอาไปไม่ได้
    คิดดีทำดี ปรารถนาในสิ่งดี เราก็ทำเอา..ตายไปแล้วกระดูก ขี้เถ้าก็ยังเอาไปไม่ได้
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 Reviews
  • 📌 พลังของคำพูด: พูดลบ → ดึงอัปมงคล | พูดบวก → ดึงโชคดี


    ---

    ❌ "คำพูดลบ" เป็นอัปมงคลจริงหรือ?

    ✅ พูดลบครั้งสองครั้ง → อาจไม่มีผลมาก
    ✅ พูดลบบ่อย → กลายเป็น "นิสัย" และ "พลังงานชีวิต"
    ✅ คำพูดลบ = สร้าง "หลุมดำ" ดูดสิ่งไม่ดีเข้ามา

    🎯 ถ้าพูดบ่น พูดด่า พูดเป็นลางร้ายทุกวัน → ชีวิตจะยิ่งจมลง
    🎯 เพราะพลังงานลบจากคำพูด → กลายเป็นแม่เหล็กดึงโชคร้าย


    ---

    📌 "คำพูดลบ" ส่งผลร้ายได้อย่างไร?

    1️⃣ ทำให้จิตใจ "จมดิ่ง" เองโดยไม่รู้ตัว

    ❌ บ่นทุกวัน = ใจหดหู่ทุกวัน
    ❌ ด่าทุกวัน = ใจร้อนทุกวัน
    ❌ สาปแช่งทุกวัน = ใจเป็นพิษทุกวัน

    🎯 "พูดแย่ → ใจแย่ → ดึงดูดสิ่งแย่เข้ามา"


    ---

    2️⃣ ทำให้คนรอบข้าง "รังเกียจ"

    ❌ คนที่พูดแง่ลบ → ทำให้คนอื่น "รู้สึกแย่"
    ❌ พลังงานลบจากคำพูด → ทำให้คนฟังหมดกำลังใจ
    ❌ คนที่ฟังบ่อยๆ → จะเริ่มตีตัวออกห่าง

    🎯 "พูดลบเยอะ → คนรอบข้างถอยห่าง → เหลือตัวคนเดียว"


    ---

    3️⃣ ดึง "เคราะห์ร้าย" เข้าตัวจริงๆ

    ❌ พูดลบ → จิตกลายเป็นลบ → ดึงดูดโชคร้าย
    ❌ พูดดี → จิตกลายเป็นบวก → ดึงดูดโชคดี

    🎯 "คำพูด = คำพยากรณ์ชีวิต"
    🎯 "พูดว่าแย่ → จิตสร้างความแย่ → ชีวิตก็แย่"
    🎯 "พูดว่าโชคดี → จิตสร้างโชคดี → ชีวิตก็ดีขึ้น"


    ---

    🔥 เปลี่ยนชีวิตด้วย "คำพูดบวก" 🔥

    ✅ 1️⃣ เปลี่ยน "คำพูดลบ" เป็น "คำพูดสร้างพลัง"

    ❌ "แย่จัง" → ✅ "มีอะไรดีที่เราเรียนรู้จากเรื่องนี้?"
    ❌ "ซวยอีกแล้ว" → ✅ "นี่คือโอกาสให้ฉันแก้ปัญหา"
    ❌ "ไม่มีทางสำเร็จ" → ✅ "ต้องมีทางไหนสักทางที่เวิร์ก"

    🎯 "พูดเปลี่ยน → ใจเปลี่ยน → ชีวิตเปลี่ยน"


    ---

    ✅ 2️⃣ ฝึก "มองหาสิ่งดีๆ" ในเรื่องแย่ๆ

    ❌ ล้มเหลว → ✅ ได้บทเรียน
    ❌ โดนหักหลัง → ✅ ได้รู้จักคน
    ❌ สูญเสียบางสิ่ง → ✅ ได้รับบางอย่างกลับมา

    🎯 "คิดดีได้ → พูดดีได้ → ดึงดูดสิ่งดีๆได้"


    ---

    ✅ 3️⃣ ฝึกพูดให้ "ตัวเองมีพลัง" และ "คนอื่นรู้สึกดี"

    ✅ พูดให้กำลังใจตัวเอง → "ฉันทำได้"
    ✅ พูดให้กำลังใจคนอื่น → "เธอเก่งมาก"
    ✅ พูดให้ชีวิตเป็นพลังบวก → "ทุกอย่างกำลังดีขึ้น"

    🎯 "พลังคำพูด = พลังชีวิต"
    🎯 "พูดดีบ่อยๆ → จิตใจสว่าง → ชีวิตมีโชค"


    ---

    🎯 สรุป: พลังของคำพูด สร้างชีวิตได้จริง!

    ✔ พูดลบ = ดึงดูดอัปมงคล
    ✔ พูดบวก = ดึงดูดโชคดี
    ✔ คำพูด = คำพยากรณ์ชีวิต

    🔥 "พูดดี = ดึงดูดสิ่งดีเข้ามา"
    🔥 "พูดลบ = ดูดโชคร้ายเข้าตัว"

    🎯 เริ่มเปลี่ยนได้วันนี้ → ฝึกพูดดี → ชีวิตจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแน่นอน!

    📌 พลังของคำพูด: พูดลบ → ดึงอัปมงคล | พูดบวก → ดึงโชคดี --- ❌ "คำพูดลบ" เป็นอัปมงคลจริงหรือ? ✅ พูดลบครั้งสองครั้ง → อาจไม่มีผลมาก ✅ พูดลบบ่อย → กลายเป็น "นิสัย" และ "พลังงานชีวิต" ✅ คำพูดลบ = สร้าง "หลุมดำ" ดูดสิ่งไม่ดีเข้ามา 🎯 ถ้าพูดบ่น พูดด่า พูดเป็นลางร้ายทุกวัน → ชีวิตจะยิ่งจมลง 🎯 เพราะพลังงานลบจากคำพูด → กลายเป็นแม่เหล็กดึงโชคร้าย --- 📌 "คำพูดลบ" ส่งผลร้ายได้อย่างไร? 1️⃣ ทำให้จิตใจ "จมดิ่ง" เองโดยไม่รู้ตัว ❌ บ่นทุกวัน = ใจหดหู่ทุกวัน ❌ ด่าทุกวัน = ใจร้อนทุกวัน ❌ สาปแช่งทุกวัน = ใจเป็นพิษทุกวัน 🎯 "พูดแย่ → ใจแย่ → ดึงดูดสิ่งแย่เข้ามา" --- 2️⃣ ทำให้คนรอบข้าง "รังเกียจ" ❌ คนที่พูดแง่ลบ → ทำให้คนอื่น "รู้สึกแย่" ❌ พลังงานลบจากคำพูด → ทำให้คนฟังหมดกำลังใจ ❌ คนที่ฟังบ่อยๆ → จะเริ่มตีตัวออกห่าง 🎯 "พูดลบเยอะ → คนรอบข้างถอยห่าง → เหลือตัวคนเดียว" --- 3️⃣ ดึง "เคราะห์ร้าย" เข้าตัวจริงๆ ❌ พูดลบ → จิตกลายเป็นลบ → ดึงดูดโชคร้าย ❌ พูดดี → จิตกลายเป็นบวก → ดึงดูดโชคดี 🎯 "คำพูด = คำพยากรณ์ชีวิต" 🎯 "พูดว่าแย่ → จิตสร้างความแย่ → ชีวิตก็แย่" 🎯 "พูดว่าโชคดี → จิตสร้างโชคดี → ชีวิตก็ดีขึ้น" --- 🔥 เปลี่ยนชีวิตด้วย "คำพูดบวก" 🔥 ✅ 1️⃣ เปลี่ยน "คำพูดลบ" เป็น "คำพูดสร้างพลัง" ❌ "แย่จัง" → ✅ "มีอะไรดีที่เราเรียนรู้จากเรื่องนี้?" ❌ "ซวยอีกแล้ว" → ✅ "นี่คือโอกาสให้ฉันแก้ปัญหา" ❌ "ไม่มีทางสำเร็จ" → ✅ "ต้องมีทางไหนสักทางที่เวิร์ก" 🎯 "พูดเปลี่ยน → ใจเปลี่ยน → ชีวิตเปลี่ยน" --- ✅ 2️⃣ ฝึก "มองหาสิ่งดีๆ" ในเรื่องแย่ๆ ❌ ล้มเหลว → ✅ ได้บทเรียน ❌ โดนหักหลัง → ✅ ได้รู้จักคน ❌ สูญเสียบางสิ่ง → ✅ ได้รับบางอย่างกลับมา 🎯 "คิดดีได้ → พูดดีได้ → ดึงดูดสิ่งดีๆได้" --- ✅ 3️⃣ ฝึกพูดให้ "ตัวเองมีพลัง" และ "คนอื่นรู้สึกดี" ✅ พูดให้กำลังใจตัวเอง → "ฉันทำได้" ✅ พูดให้กำลังใจคนอื่น → "เธอเก่งมาก" ✅ พูดให้ชีวิตเป็นพลังบวก → "ทุกอย่างกำลังดีขึ้น" 🎯 "พลังคำพูด = พลังชีวิต" 🎯 "พูดดีบ่อยๆ → จิตใจสว่าง → ชีวิตมีโชค" --- 🎯 สรุป: พลังของคำพูด สร้างชีวิตได้จริง! ✔ พูดลบ = ดึงดูดอัปมงคล ✔ พูดบวก = ดึงดูดโชคดี ✔ คำพูด = คำพยากรณ์ชีวิต 🔥 "พูดดี = ดึงดูดสิ่งดีเข้ามา" 🔥 "พูดลบ = ดูดโชคร้ายเข้าตัว" 🎯 เริ่มเปลี่ยนได้วันนี้ → ฝึกพูดดี → ชีวิตจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแน่นอน!
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 Reviews
  • 📌ข้อคิดดีๆฝากถึง Gen-Y และ Gen-Xตลอดจน ผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่ผู้สูงวัยจาก
    ➡️นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) เจ้าของผลงานหนังสือ
    “อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้”

    1. ผมเริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 35 ปี ผมเป็นนักกีฬา ไม่เคยป่วย ไม่เคยเจ็บ ตอนทำงานคนอื่นเขาลาป่วยกัน ผมไม่เคยลา ผมวิ่ง ว่ายน้ำ ขึ้นเขาลงห้วยมาหมด พอเป็นอย่างนั้นผมก็มาตั้งเป้าหมายของตัวเองว่าอยากมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี

    2. ที่ผมตั้งเป้าหมายว่าอยากมีอายุถึง 120 ปี ก็เพราะ หนึ่งผมเป็นหมอ เลยอยากทดลองกับตัวเอง และสองเป็นการทำให้ตัวเองไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่นอนป่วย ถ้าเป็นคนอื่นที่มีอายุขนาดนี้เขาป่วยตายกันไปเเล้ว แต่ผมยังเเข็งแรง ขับรถทางไกลไปหัวหิน ไปไหนมาไหนได้สบายๆ

    3. ผมกินแบบช้าง ม้า วัว ควาย ไม่ได้กินแบบเสือ สิงโต หมา แมว เนื้อสัตว์ผมจะกินให้น้อยที่สุด กินเเต่ผัก กินผลไม้ ก็ทำให้แข็งแรงน่ะสิ ตลอดชีวิตผมให้เลือดไปทั้งหมด 114 ครั้ง ได้เลือดรวม 60 ลิตร ผมให้เลือดจนถึงอายุ 70 กว่าปีเพราะแข็งแรง คนปกติแค่อายุ 60 เขาก็หยุดให้เเล้ว เพราะกรุ๊ปเลือดผมเป็นเอบี หายาก มีน้อย

    4. สุขภาพที่ดีมาจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ น้ำหนักส่วนสูงต้องเป๊ะ คนอ้วนๆ ตายเร็วทั้งนั้นแหละ สังเกตดีๆ คนอายุยืนรูปร่างจะสูงเพรียว แต่ถ้าอ้วน ความดัน เบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคอะไรร้อยแปด สุดท้ายก็ตายเร็ว

    5. ถ้าอยากดูแลสุขภาพตัวเอง เริ่มต้นง่ายๆ แค่ดูน้ำหนักกับส่วนสูง ผู้ชายสูงกี่เซนติเมตรให้เอา 100 ลบ แก้ผ้าชั่งน้ำหนักเลยนะ สมมติสูง 170 หัวเด็ดตีนขาดอย่าเกิน 70 กิโลกรัม ถ้าจะให้ดียิ่งไปอีกเอา 105 ลบ ส่วนผู้หญิงให้เอา 110 ลบ หุ่นนางงามอย่าง อาภัสรา หงสกุล สูง 170 น้ำหนัก 50 กิโลกรัม เห็นไหมเขาถึงได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส

    6. การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องมีสระว่ายน้ำ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร นอกจากไปซื้อรองเท้ามาคู่หนึ่ง คนวัยทำงานควรหาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยๆ 3-4 วันใน 1 สัปดาห์ ก็ไปวิ่งสิ ให้ได้สักวันละ 5 กิโลเมตร วิ่งแล้วหัวใจก็แข็งแรง กล้ามเนื้อเเข็งแรง เหงื่อออก น้ำหนักตัวก็จะลดลง

    7. คนเราก็มีอยู่สองอย่าง มีคิดผิดกับคิดถูก ที่บอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหมดไฟในการมีชีวิต ก็คนแบบนั้นมันคิดไม่เป็นไง หรือไม่ได้คิด เอาแต่เที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา สูบบุหรี่ เที่ยวหามรุ่งหามค่ำ แต่ผมไม่ ทุกวันนี้สนุกจะตาย ทดลองใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ

    8. คำว่า ‘ความสุข’ กับ ‘อายุยืน’ นั้นมาคู่กัน สุขอื่นใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เพราะฉะนั้น เราก็ทำจิตใจให้สบาย สงบ ไม่เครียด ไม่จุ้นจ้าน ไม่หาเรื่อง ไม่โกรธ จิตใจมันก็สบาย แล้วสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศล คนชั่ว คนใจบาปหยาบช้าไม่มีทางมีความสุขและอายุยืนยาวได้เลย คุณต้องทำจิตใจให้สบาย สร้างแต่บุญกุศล และทำแต่ความดี

    9. ผมแทบไม่มีเรื่องที่เสียดายในชีวิต เพราะผมวางแผนไว้หมดทุกอย่าง ผมเริ่มต้นดูแลสุขภาพมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ วางแผนทุกอย่างตั้งแต่การออกกำลังกาย การกินอาหาร และพักผ่อนนอนหลับ เรื่องที่เสียดายเกือบจะไม่มี เพราะชีวิตมันคือการวางแผน ผมวางแผนไว้ตั้งแต่หนุ่มๆ และมันเป็นไปตามแผนหมดทุกอย่าง หนังสืองานศพก็มี ความหมายของการมีหนังสืองานศพของตัวเองคือ การเตรียมตัวเตรียมใจ พูดง่ายๆ ว่าเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว คนเขียนคำไว้อาลัยให้เสร็จสรรพเรียบร้อยหมด

    10. สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนวัยผมก็คือ การเห็นความก้าวหน้าของลูกหลานและเหลน ลูกทุกคนมีครอบครัวที่ดี เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เห็นต้นไม้ออกดอกผล ไม่มีด้วงไม่มีแมลงมาเกาะมันก็คือความสุข

    11. ชีวิตคนเราไม่ต้องมีต้นแบบ ตัวเราเป็นต้นแบบของตัวเองได้ อย่างผมไง ผมดูแลสุขภาพ วางแผนชีวิตตัวเองมาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ไม่จำเป็นต้องหาต้นแบบจากที่ไหน

    นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี)

    ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์

    FB: โต๊ะป้าศรี CH Table

    (แอดมินเดือน)
    📌ข้อคิดดีๆฝากถึง Gen-Y และ Gen-Xตลอดจน ผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่ผู้สูงวัยจาก ➡️นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) เจ้าของผลงานหนังสือ “อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้” 1. ผมเริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 35 ปี ผมเป็นนักกีฬา ไม่เคยป่วย ไม่เคยเจ็บ ตอนทำงานคนอื่นเขาลาป่วยกัน ผมไม่เคยลา ผมวิ่ง ว่ายน้ำ ขึ้นเขาลงห้วยมาหมด พอเป็นอย่างนั้นผมก็มาตั้งเป้าหมายของตัวเองว่าอยากมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี 2. ที่ผมตั้งเป้าหมายว่าอยากมีอายุถึง 120 ปี ก็เพราะ หนึ่งผมเป็นหมอ เลยอยากทดลองกับตัวเอง และสองเป็นการทำให้ตัวเองไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่นอนป่วย ถ้าเป็นคนอื่นที่มีอายุขนาดนี้เขาป่วยตายกันไปเเล้ว แต่ผมยังเเข็งแรง ขับรถทางไกลไปหัวหิน ไปไหนมาไหนได้สบายๆ 3. ผมกินแบบช้าง ม้า วัว ควาย ไม่ได้กินแบบเสือ สิงโต หมา แมว เนื้อสัตว์ผมจะกินให้น้อยที่สุด กินเเต่ผัก กินผลไม้ ก็ทำให้แข็งแรงน่ะสิ ตลอดชีวิตผมให้เลือดไปทั้งหมด 114 ครั้ง ได้เลือดรวม 60 ลิตร ผมให้เลือดจนถึงอายุ 70 กว่าปีเพราะแข็งแรง คนปกติแค่อายุ 60 เขาก็หยุดให้เเล้ว เพราะกรุ๊ปเลือดผมเป็นเอบี หายาก มีน้อย 4. สุขภาพที่ดีมาจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ น้ำหนักส่วนสูงต้องเป๊ะ คนอ้วนๆ ตายเร็วทั้งนั้นแหละ สังเกตดีๆ คนอายุยืนรูปร่างจะสูงเพรียว แต่ถ้าอ้วน ความดัน เบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคอะไรร้อยแปด สุดท้ายก็ตายเร็ว 5. ถ้าอยากดูแลสุขภาพตัวเอง เริ่มต้นง่ายๆ แค่ดูน้ำหนักกับส่วนสูง ผู้ชายสูงกี่เซนติเมตรให้เอา 100 ลบ แก้ผ้าชั่งน้ำหนักเลยนะ สมมติสูง 170 หัวเด็ดตีนขาดอย่าเกิน 70 กิโลกรัม ถ้าจะให้ดียิ่งไปอีกเอา 105 ลบ ส่วนผู้หญิงให้เอา 110 ลบ หุ่นนางงามอย่าง อาภัสรา หงสกุล สูง 170 น้ำหนัก 50 กิโลกรัม เห็นไหมเขาถึงได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส 6. การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องมีสระว่ายน้ำ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร นอกจากไปซื้อรองเท้ามาคู่หนึ่ง คนวัยทำงานควรหาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยๆ 3-4 วันใน 1 สัปดาห์ ก็ไปวิ่งสิ ให้ได้สักวันละ 5 กิโลเมตร วิ่งแล้วหัวใจก็แข็งแรง กล้ามเนื้อเเข็งแรง เหงื่อออก น้ำหนักตัวก็จะลดลง 7. คนเราก็มีอยู่สองอย่าง มีคิดผิดกับคิดถูก ที่บอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหมดไฟในการมีชีวิต ก็คนแบบนั้นมันคิดไม่เป็นไง หรือไม่ได้คิด เอาแต่เที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา สูบบุหรี่ เที่ยวหามรุ่งหามค่ำ แต่ผมไม่ ทุกวันนี้สนุกจะตาย ทดลองใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ 8. คำว่า ‘ความสุข’ กับ ‘อายุยืน’ นั้นมาคู่กัน สุขอื่นใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เพราะฉะนั้น เราก็ทำจิตใจให้สบาย สงบ ไม่เครียด ไม่จุ้นจ้าน ไม่หาเรื่อง ไม่โกรธ จิตใจมันก็สบาย แล้วสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศล คนชั่ว คนใจบาปหยาบช้าไม่มีทางมีความสุขและอายุยืนยาวได้เลย คุณต้องทำจิตใจให้สบาย สร้างแต่บุญกุศล และทำแต่ความดี 9. ผมแทบไม่มีเรื่องที่เสียดายในชีวิต เพราะผมวางแผนไว้หมดทุกอย่าง ผมเริ่มต้นดูแลสุขภาพมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ วางแผนทุกอย่างตั้งแต่การออกกำลังกาย การกินอาหาร และพักผ่อนนอนหลับ เรื่องที่เสียดายเกือบจะไม่มี เพราะชีวิตมันคือการวางแผน ผมวางแผนไว้ตั้งแต่หนุ่มๆ และมันเป็นไปตามแผนหมดทุกอย่าง หนังสืองานศพก็มี ความหมายของการมีหนังสืองานศพของตัวเองคือ การเตรียมตัวเตรียมใจ พูดง่ายๆ ว่าเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว คนเขียนคำไว้อาลัยให้เสร็จสรรพเรียบร้อยหมด 10. สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนวัยผมก็คือ การเห็นความก้าวหน้าของลูกหลานและเหลน ลูกทุกคนมีครอบครัวที่ดี เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เห็นต้นไม้ออกดอกผล ไม่มีด้วงไม่มีแมลงมาเกาะมันก็คือความสุข 11. ชีวิตคนเราไม่ต้องมีต้นแบบ ตัวเราเป็นต้นแบบของตัวเองได้ อย่างผมไง ผมดูแลสุขภาพ วางแผนชีวิตตัวเองมาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ไม่จำเป็นต้องหาต้นแบบจากที่ไหน นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์ FB: โต๊ะป้าศรี CH Table (แอดมินเดือน)
    0 Comments 0 Shares 737 Views 0 Reviews
  • ❤️ขัอคิดดีๆฝากถึง Gen-Y Gen-X และผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่สูงวัยจาก
    👉นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) เจ้าของผลงานหนังสือ
    “อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้”

    1. ผมเริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 35 ปี ผมเป็นนักกีฬา ไม่เคยป่วย ไม่เคยเจ็บ ตอนทำงานคนอื่นเขาลาป่วยกัน ผมไม่เคยลา ผมวิ่ง ว่ายน้ำ ขึ้นเขาลงห้วยมาหมด พอเป็นอย่างนั้นผมก็มาตั้งเป้าหมายของตัวเองว่าอยากมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี

    2. ที่ผมตั้งเป้าหมายว่าอยากมีอายุถึง 120 ปี ก็เพราะ หนึ่งผมเป็นหมอ เลยอยากทดลองกับตัวเอง และสองเป็นการทำให้ตัวเองไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่นอนป่วย ถ้าเป็นคนอื่นที่มีอายุขนาดนี้เขาป่วยตายกันไปเเล้ว แต่ผมยังเเข็งแรง ขับรถทางไกลไปหัวหิน ไปไหนมาไหนได้สบายๆ

    3. ผมกินแบบช้าง ม้า วัว ควาย ไม่ได้กินแบบเสือ สิงโต หมา แมว เนื้อสัตว์ผมจะกินให้น้อยที่สุด กินเเต่ผัก กินผลไม้ ก็ทำให้แข็งแรงน่ะสิ ตลอดชีวิตผมให้เลือดไปทั้งหมด 114 ครั้ง ได้เลือดรวม 60 ลิตร ผมให้เลือดจนถึงอายุ 70 กว่าปีเพราะแข็งแรง คนปกติแค่อายุ 60 เขาก็หยุดให้เเล้ว เพราะกรุ๊ปเลือดผมเป็นเอบี หายาก มีน้อย

    4. สุขภาพที่ดีมาจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ น้ำหนักส่วนสูงต้องเป๊ะ คนอ้วนๆ ตายเร็วทั้งนั้นแหละ สังเกตดีๆ คนอายุยืนรูปร่างจะสูงเพรียว แต่ถ้าอ้วน ความดัน เบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคอะไรร้อยแปด สุดท้ายก็ตายเร็ว

    5. ถ้าอยากดูแลสุขภาพตัวเอง เริ่มต้นง่ายๆ แค่ดูน้ำหนักกับส่วนสูง ผู้ชายสูงกี่เซนติเมตรให้เอา 100 ลบ แก้ผ้าชั่งน้ำหนักเลยนะ สมมติสูง 170 หัวเด็ดตีนขาดอย่าเกิน 70 กิโลกรัม ถ้าจะให้ดียิ่งไปอีกเอา 105 ลบ ส่วนผู้หญิงให้เอา 110 ลบ หุ่นนางงามอย่าง อาภัสรา หงสกุล สูง 170 น้ำหนัก 50 กิโลกรัม เห็นไหมเขาถึงได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส

    6. การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องมีสระว่ายน้ำ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร นอกจากไปซื้อรองเท้ามาคู่หนึ่ง คนวัยทำงานควรหาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยๆ 3-4 วันใน 1 สัปดาห์ ก็ไปวิ่งสิ ให้ได้สักวันละ 5 กิโลเมตร วิ่งแล้วหัวใจก็แข็งแรง กล้ามเนื้อเเข็งแรง เหงื่อออก น้ำหนักตัวก็จะลดลง

    7. คนเราก็มีอยู่สองอย่าง มีคิดผิดกับคิดถูก ที่บอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหมดไฟในการมีชีวิต ก็คนแบบนั้นมันคิดไม่เป็นไง หรือไม่ได้คิด เอาแต่เที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา สูบบุหรี่ เที่ยวหามรุ่งหามค่ำ แต่ผมไม่ ทุกวันนี้สนุกจะตาย ทดลองใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ

    8. คำว่า ‘ความสุข’ กับ ‘อายุยืน’ นั้นมาคู่กัน สุขอื่นใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เพราะฉะนั้น เราก็ทำจิตใจให้สบาย สงบ ไม่เครียด ไม่จุ้นจ้าน ไม่หาเรื่อง ไม่โกรธ จิตใจมันก็สบาย แล้วสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศล คนชั่ว คนใจบาปหยาบช้าไม่มีทางมีความสุขและอายุยืนยาวได้เลย คุณต้องทำจิตใจให้สบาย สร้างแต่บุญกุศล และทำแต่ความดี

    9. ผมแทบไม่มีเรื่องที่เสียดายในชีวิต เพราะผมวางแผนไว้หมดทุกอย่าง ผมเริ่มต้นดูแลสุขภาพมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ วางแผนทุกอย่างตั้งแต่การออกกำลังกาย การกินอาหาร และพักผ่อนนอนหลับ เรื่องที่เสียดายเกือบจะไม่มี เพราะชีวิตมันคือการวางแผน ผมวางแผนไว้ตั้งแต่หนุ่มๆ และมันเป็นไปตามแผนหมดทุกอย่าง หนังสืองานศพก็มี ความหมายของการมีหนังสืองานศพของตัวเองคือ การเตรียมตัวเตรียมใจ พูดง่ายๆ ว่าเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว คนเขียนคำไว้อาลัยให้เสร็จสรรพเรียบร้อยหมด

    10. สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนวัยผมก็คือ การเห็นความก้าวหน้าของลูกหลานและเหลน ลูกทุกคนมีครอบครัวที่ดี เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เห็นต้นไม้ออกดอกผล ไม่มีด้วงไม่มีแมลงมาเกาะมันก็คือความสุข

    11. ชีวิตคนเราไม่ต้องมีต้นแบบ ตัวเราเป็นต้นแบบของตัวเองได้ อย่างผมไง ผมดูแลสุขภาพ วางแผนชีวิตตัวเองมาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ไม่จำเป็นต้องหาต้นแบบจากที่ไหน

    นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99ปี
    ❤️ขัอคิดดีๆฝากถึง Gen-Y Gen-X และผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่สูงวัยจาก 👉นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) เจ้าของผลงานหนังสือ “อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้” 1. ผมเริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 35 ปี ผมเป็นนักกีฬา ไม่เคยป่วย ไม่เคยเจ็บ ตอนทำงานคนอื่นเขาลาป่วยกัน ผมไม่เคยลา ผมวิ่ง ว่ายน้ำ ขึ้นเขาลงห้วยมาหมด พอเป็นอย่างนั้นผมก็มาตั้งเป้าหมายของตัวเองว่าอยากมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี 2. ที่ผมตั้งเป้าหมายว่าอยากมีอายุถึง 120 ปี ก็เพราะ หนึ่งผมเป็นหมอ เลยอยากทดลองกับตัวเอง และสองเป็นการทำให้ตัวเองไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่นอนป่วย ถ้าเป็นคนอื่นที่มีอายุขนาดนี้เขาป่วยตายกันไปเเล้ว แต่ผมยังเเข็งแรง ขับรถทางไกลไปหัวหิน ไปไหนมาไหนได้สบายๆ 3. ผมกินแบบช้าง ม้า วัว ควาย ไม่ได้กินแบบเสือ สิงโต หมา แมว เนื้อสัตว์ผมจะกินให้น้อยที่สุด กินเเต่ผัก กินผลไม้ ก็ทำให้แข็งแรงน่ะสิ ตลอดชีวิตผมให้เลือดไปทั้งหมด 114 ครั้ง ได้เลือดรวม 60 ลิตร ผมให้เลือดจนถึงอายุ 70 กว่าปีเพราะแข็งแรง คนปกติแค่อายุ 60 เขาก็หยุดให้เเล้ว เพราะกรุ๊ปเลือดผมเป็นเอบี หายาก มีน้อย 4. สุขภาพที่ดีมาจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ น้ำหนักส่วนสูงต้องเป๊ะ คนอ้วนๆ ตายเร็วทั้งนั้นแหละ สังเกตดีๆ คนอายุยืนรูปร่างจะสูงเพรียว แต่ถ้าอ้วน ความดัน เบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคอะไรร้อยแปด สุดท้ายก็ตายเร็ว 5. ถ้าอยากดูแลสุขภาพตัวเอง เริ่มต้นง่ายๆ แค่ดูน้ำหนักกับส่วนสูง ผู้ชายสูงกี่เซนติเมตรให้เอา 100 ลบ แก้ผ้าชั่งน้ำหนักเลยนะ สมมติสูง 170 หัวเด็ดตีนขาดอย่าเกิน 70 กิโลกรัม ถ้าจะให้ดียิ่งไปอีกเอา 105 ลบ ส่วนผู้หญิงให้เอา 110 ลบ หุ่นนางงามอย่าง อาภัสรา หงสกุล สูง 170 น้ำหนัก 50 กิโลกรัม เห็นไหมเขาถึงได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส 6. การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องมีสระว่ายน้ำ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร นอกจากไปซื้อรองเท้ามาคู่หนึ่ง คนวัยทำงานควรหาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยๆ 3-4 วันใน 1 สัปดาห์ ก็ไปวิ่งสิ ให้ได้สักวันละ 5 กิโลเมตร วิ่งแล้วหัวใจก็แข็งแรง กล้ามเนื้อเเข็งแรง เหงื่อออก น้ำหนักตัวก็จะลดลง 7. คนเราก็มีอยู่สองอย่าง มีคิดผิดกับคิดถูก ที่บอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหมดไฟในการมีชีวิต ก็คนแบบนั้นมันคิดไม่เป็นไง หรือไม่ได้คิด เอาแต่เที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา สูบบุหรี่ เที่ยวหามรุ่งหามค่ำ แต่ผมไม่ ทุกวันนี้สนุกจะตาย ทดลองใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ 8. คำว่า ‘ความสุข’ กับ ‘อายุยืน’ นั้นมาคู่กัน สุขอื่นใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เพราะฉะนั้น เราก็ทำจิตใจให้สบาย สงบ ไม่เครียด ไม่จุ้นจ้าน ไม่หาเรื่อง ไม่โกรธ จิตใจมันก็สบาย แล้วสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศล คนชั่ว คนใจบาปหยาบช้าไม่มีทางมีความสุขและอายุยืนยาวได้เลย คุณต้องทำจิตใจให้สบาย สร้างแต่บุญกุศล และทำแต่ความดี 9. ผมแทบไม่มีเรื่องที่เสียดายในชีวิต เพราะผมวางแผนไว้หมดทุกอย่าง ผมเริ่มต้นดูแลสุขภาพมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ วางแผนทุกอย่างตั้งแต่การออกกำลังกาย การกินอาหาร และพักผ่อนนอนหลับ เรื่องที่เสียดายเกือบจะไม่มี เพราะชีวิตมันคือการวางแผน ผมวางแผนไว้ตั้งแต่หนุ่มๆ และมันเป็นไปตามแผนหมดทุกอย่าง หนังสืองานศพก็มี ความหมายของการมีหนังสืองานศพของตัวเองคือ การเตรียมตัวเตรียมใจ พูดง่ายๆ ว่าเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว คนเขียนคำไว้อาลัยให้เสร็จสรรพเรียบร้อยหมด 10. สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนวัยผมก็คือ การเห็นความก้าวหน้าของลูกหลานและเหลน ลูกทุกคนมีครอบครัวที่ดี เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เห็นต้นไม้ออกดอกผล ไม่มีด้วงไม่มีแมลงมาเกาะมันก็คือความสุข 11. ชีวิตคนเราไม่ต้องมีต้นแบบ ตัวเราเป็นต้นแบบของตัวเองได้ อย่างผมไง ผมดูแลสุขภาพ วางแผนชีวิตตัวเองมาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ไม่จำเป็นต้องหาต้นแบบจากที่ไหน นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99ปี
    0 Comments 0 Shares 647 Views 0 Reviews
  • "รมว.กลาโหม" รับบัญชา "ท่านทักษิณ" ไฟใต้จบปีหน้า ชี้แนวคิดดี "รัฐบาล" ต้องนำมาพิจารณา
    https://www.thai-tai.tv/news/17336/
    "รมว.กลาโหม" รับบัญชา "ท่านทักษิณ" ไฟใต้จบปีหน้า ชี้แนวคิดดี "รัฐบาล" ต้องนำมาพิจารณา https://www.thai-tai.tv/news/17336/
    0 Comments 0 Shares 80 Views 0 Reviews
  • 📌 ความไม่เที่ยงของ "คนคนหนึ่ง" → ทางขึ้น หรือทางลง?

    ในชีวิตของทุกคน เราต่างเคยเห็นว่า "ไม่มีอะไรคงที่"
    บางวัน สดใส → บางวัน หม่นหมอง
    บางช่วง จิตสว่าง → บางช่วง จิตมืด
    บางครา คิดดี → บางครั้ง คิดร้าย
    บางคน พูดน่าฟัง → บางคน พูดสับสน

    นี่คือ "อนิจจังของความเป็นคน"
    แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ…
    👉 เราจะทำให้มันเป็น "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "อนิจจังขาลง"?

    ---

    🎯 2 แบบของความไม่เที่ยง

    🔺 อนิจจังขาขึ้น

    > "ยิ่งนาน ยิ่งดีขึ้น ยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น"
    "ยิ่งใช้เวลากับกันและกัน ยิ่งมีความสุข"

    ✅ กาย: ดูสดใสขึ้น, มีพลังบวก, มีสุขภาพที่ดี
    ✅ ใจ: มีเมตตามากขึ้น, เข้าใจโลกมากขึ้น
    ✅ ความคิด: มองโลกในแง่ดีขึ้น, มีเหตุผลมากขึ้น
    ✅ คำพูด: สื่อสารชัดเจน เข้าใจกันง่ายขึ้น

    👉 อนิจจังขาขึ้น คือการพัฒนา
    หากเราอยู่กับใครแล้วทำให้ เขาดีขึ้น และเราดีขึ้น นั่นแปลว่า
    "เราเป็นพลังบวกให้กันและกัน"

    ---

    🔻 อนิจจังขาลง

    > "ยิ่งอยู่ ยิ่งทุกข์ ยิ่งทำร้ายกัน"
    "ยิ่งนาน ยิ่งเบื่อ ยิ่งหมดศรัทธา"

    ❌ กาย: โทรมลง, หมดพลัง, ป่วยง่ายขึ้น
    ❌ ใจ: หงุดหงิดง่ายขึ้น, ความอดทนน้อยลง
    ❌ ความคิด: ติดลบ, ขี้ระแวง, หวาดระแวง
    ❌ คำพูด: เริ่มสื่อสารไม่เข้าใจ, ใช้คำพูดที่ทำร้ายกัน

    👉 อนิจจังขาลง คือความเสื่อมถอย
    หากเราอยู่กับใครแล้วทำให้ เขาแย่ลง และเราแย่ลง นั่นแปลว่า
    "เราเป็นภาระทางใจให้กันและกัน"

    ---

    🔍 เรามีผลต่อกันเสมอ → เลือกจะเป็นแรง "พาขึ้น" หรือ "พาลง"?

    🟢 หากเราเป็นพลังบวกให้ใคร → เราทำให้เขาดีขึ้น
    🔴 หากเราเป็นพลังลบให้ใคร → เราทำให้เขาแย่ลง

    ✅ อยู่ใกล้ใคร ให้เขาสบายใจขึ้น หรือเครียดลง?
    ✅ เราทำให้คนรอบข้าง มี "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "ขาลง"?

    👉 การพิจารณาตรงนี้จะทำให้เรารู้ว่า…
    🔹 เราเป็นคนแบบไหน?
    🔹 เราควรอยู่ใกล้ใคร?
    🔹 เราจะมีอิทธิพลต่อชีวิตใคร ในแบบที่ดีขึ้นหรือแย่ลง?

    ---

    📌 วิธี "ฝึกตัวเอง" ให้เป็นอนิจจังขาขึ้น

    1️⃣ รู้จักสังเกต

    ถ้าเรามีอารมณ์ขุ่นมัว ใจร้อน หงุดหงิดง่าย
    ให้สังเกตว่ามันเกิดจากอะไร?

    ถ้าพบว่าเกิดจาก คนรอบตัว
    ให้ถามว่า "เราเป็นพลังลบให้กันหรือเปล่า?"

    2️⃣ ฝึกคิดบวกให้มากขึ้น

    หลีกเลี่ยงความคิดลบ ที่ทำให้รู้สึกทุกข์

    พยายามเข้าใจความไม่เที่ยงของอารมณ์

    เลือกโฟกัสที่สิ่งดีๆ ในตัวคนรอบข้าง

    3️⃣ สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี

    อยู่ใกล้คนที่ ช่วยพัฒนาคุณ

    หลีกเลี่ยง สังคมที่ทำให้คุณเสื่อมถอย

    ฝึกทำ กิจกรรมที่เพิ่มพลังบวกในชีวิต เช่น อ่านหนังสือดีๆ, ฟังธรรมะ

    4️⃣ เจริญสติ - เห็นความเปลี่ยนแปลงของจิตตัวเอง

    ทุกวันจิตเราจะ ขึ้นๆ ลงๆ

    อย่าด่วนตัดสินว่า "เราจะเป็นคนแบบนี้ตลอดไป"

    ให้มองเห็นว่า "เรามีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง"

    สังเกตดูว่า "ถ้าเราทำสิ่งนี้ จิตเราดีขึ้นไหม?"

    ---

    📌 สรุป → "ทางเลือกของคุณ อยู่ที่ใจคุณ"

    คุณเลือกได้ว่า… จะเป็น "พลังบวก" หรือ "พลังลบ"

    คุณเลือกได้ว่า… จะทำให้คนรอบข้าง "พัฒนา" หรือ "เสื่อมถอย"

    คุณเลือกได้ว่า… จะอยู่ใน "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "ขาลง"

    💡 สุดท้าย… ถ้าคุณพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
    คุณจะกลายเป็นคนที่ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้! 🔥
    📌 ความไม่เที่ยงของ "คนคนหนึ่ง" → ทางขึ้น หรือทางลง? ในชีวิตของทุกคน เราต่างเคยเห็นว่า "ไม่มีอะไรคงที่" บางวัน สดใส → บางวัน หม่นหมอง บางช่วง จิตสว่าง → บางช่วง จิตมืด บางครา คิดดี → บางครั้ง คิดร้าย บางคน พูดน่าฟัง → บางคน พูดสับสน นี่คือ "อนิจจังของความเป็นคน" แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ… 👉 เราจะทำให้มันเป็น "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "อนิจจังขาลง"? --- 🎯 2 แบบของความไม่เที่ยง 🔺 อนิจจังขาขึ้น > "ยิ่งนาน ยิ่งดีขึ้น ยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น" "ยิ่งใช้เวลากับกันและกัน ยิ่งมีความสุข" ✅ กาย: ดูสดใสขึ้น, มีพลังบวก, มีสุขภาพที่ดี ✅ ใจ: มีเมตตามากขึ้น, เข้าใจโลกมากขึ้น ✅ ความคิด: มองโลกในแง่ดีขึ้น, มีเหตุผลมากขึ้น ✅ คำพูด: สื่อสารชัดเจน เข้าใจกันง่ายขึ้น 👉 อนิจจังขาขึ้น คือการพัฒนา หากเราอยู่กับใครแล้วทำให้ เขาดีขึ้น และเราดีขึ้น นั่นแปลว่า "เราเป็นพลังบวกให้กันและกัน" --- 🔻 อนิจจังขาลง > "ยิ่งอยู่ ยิ่งทุกข์ ยิ่งทำร้ายกัน" "ยิ่งนาน ยิ่งเบื่อ ยิ่งหมดศรัทธา" ❌ กาย: โทรมลง, หมดพลัง, ป่วยง่ายขึ้น ❌ ใจ: หงุดหงิดง่ายขึ้น, ความอดทนน้อยลง ❌ ความคิด: ติดลบ, ขี้ระแวง, หวาดระแวง ❌ คำพูด: เริ่มสื่อสารไม่เข้าใจ, ใช้คำพูดที่ทำร้ายกัน 👉 อนิจจังขาลง คือความเสื่อมถอย หากเราอยู่กับใครแล้วทำให้ เขาแย่ลง และเราแย่ลง นั่นแปลว่า "เราเป็นภาระทางใจให้กันและกัน" --- 🔍 เรามีผลต่อกันเสมอ → เลือกจะเป็นแรง "พาขึ้น" หรือ "พาลง"? 🟢 หากเราเป็นพลังบวกให้ใคร → เราทำให้เขาดีขึ้น 🔴 หากเราเป็นพลังลบให้ใคร → เราทำให้เขาแย่ลง ✅ อยู่ใกล้ใคร ให้เขาสบายใจขึ้น หรือเครียดลง? ✅ เราทำให้คนรอบข้าง มี "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "ขาลง"? 👉 การพิจารณาตรงนี้จะทำให้เรารู้ว่า… 🔹 เราเป็นคนแบบไหน? 🔹 เราควรอยู่ใกล้ใคร? 🔹 เราจะมีอิทธิพลต่อชีวิตใคร ในแบบที่ดีขึ้นหรือแย่ลง? --- 📌 วิธี "ฝึกตัวเอง" ให้เป็นอนิจจังขาขึ้น 1️⃣ รู้จักสังเกต ถ้าเรามีอารมณ์ขุ่นมัว ใจร้อน หงุดหงิดง่าย ให้สังเกตว่ามันเกิดจากอะไร? ถ้าพบว่าเกิดจาก คนรอบตัว ให้ถามว่า "เราเป็นพลังลบให้กันหรือเปล่า?" 2️⃣ ฝึกคิดบวกให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงความคิดลบ ที่ทำให้รู้สึกทุกข์ พยายามเข้าใจความไม่เที่ยงของอารมณ์ เลือกโฟกัสที่สิ่งดีๆ ในตัวคนรอบข้าง 3️⃣ สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี อยู่ใกล้คนที่ ช่วยพัฒนาคุณ หลีกเลี่ยง สังคมที่ทำให้คุณเสื่อมถอย ฝึกทำ กิจกรรมที่เพิ่มพลังบวกในชีวิต เช่น อ่านหนังสือดีๆ, ฟังธรรมะ 4️⃣ เจริญสติ - เห็นความเปลี่ยนแปลงของจิตตัวเอง ทุกวันจิตเราจะ ขึ้นๆ ลงๆ อย่าด่วนตัดสินว่า "เราจะเป็นคนแบบนี้ตลอดไป" ให้มองเห็นว่า "เรามีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง" สังเกตดูว่า "ถ้าเราทำสิ่งนี้ จิตเราดีขึ้นไหม?" --- 📌 สรุป → "ทางเลือกของคุณ อยู่ที่ใจคุณ" คุณเลือกได้ว่า… จะเป็น "พลังบวก" หรือ "พลังลบ" คุณเลือกได้ว่า… จะทำให้คนรอบข้าง "พัฒนา" หรือ "เสื่อมถอย" คุณเลือกได้ว่า… จะอยู่ใน "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "ขาลง" 💡 สุดท้าย… ถ้าคุณพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น คุณจะกลายเป็นคนที่ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้! 🔥
    0 Comments 0 Shares 402 Views 0 Reviews
  • เมื่อไม่มีใครเข้าใจเรา: วิธีเข้าใจตัวเองในแบบพุทธ

    หลายครั้งที่เรารู้สึกว่า ไม่มีใครเข้าใจเจตนาของเราเลย หรือ เราถูกตีความผิด อยู่เสมอ สิ่งนี้อาจทำให้เรารู้สึกน้อยใจ และอยากให้คนอื่นเข้าใจตัวเองมากขึ้น

    แต่หากเราสังเกตดีๆ เรายังเข้าใจตัวเองดีพอหรือเปล่า?
    บางครั้ง เราก็สับสนในตัวเอง วันหนึ่งคิดแบบหนึ่ง อีกวันกลับคิดอีกแบบ
    อารมณ์ของเราเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และบางที เราเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องการอะไร
    หากเป็นเช่นนี้ จะหวังให้คนอื่นเข้าใจเราได้อย่างไร?


    ---

    🔍 เข้าใจตัวเองได้อย่างไร?

    1️⃣ หยุดหา "คนเข้าใจ" จากภายนอก แล้วเริ่มเข้าใจตัวเองก่อน

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

    ถ้าเรา “เป็นที่พึ่งของตัวเองได้” เข้าใจตนเองได้ ไม่ต้องรอให้ใครเข้าใจ เราก็จะไม่ทุกข์


    2️⃣ ใช้ “สติ” สังเกตกายใจของตัวเอง
    ✅ เริ่มจากกาย – ถามตัวเองง่ายๆ ว่า

    ตอนนี้ หลังงอ หรือ หลังตรง?

    ตอนนี้ ร่างกายเกร็ง หรือ ผ่อนคลาย?


    ✅ แล้วค่อยสังเกตใจ

    ตอนนี้ เรารู้สึกสุข หรือทุกข์?

    ตอนนี้ กำลังคิดอะไร ฟุ้งซ่าน หรือสงบ?

    ตอนนี้ เราตั้งใจคิดดี หรือคิดร้ายกับใครไหม?


    → แค่รู้ตัวง่ายๆ แบบนี้ ก็เริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้นแล้ว!

    3️⃣ สังเกตว่าอารมณ์ของเราขึ้นลงตามสิ่งรอบตัวอย่างไร

    อากาศร้อน → กายเป็นทุกข์ → ใจขุ่นมัว

    อากาศเย็น → กายสบาย → ใจคิดดีง่ายขึ้น

    คิดร้ายบ่อยๆ → กายตึงเครียด → ใจยิ่งฟุ้ง

    คิดดีสม่ำเสมอ → กายผ่อนคลาย → ใจสงบ


    📌 เราจะเริ่มเห็นว่า "อารมณ์เราไม่ใช่ตัวเรา" แต่มันเป็นสิ่งที่ผันแปรไปตามสิ่งแวดล้อมและความคิดของเราเอง


    ---

    🎯 ผลที่เกิดขึ้นเมื่อเข้าใจตัวเอง

    📌 เราไม่เรียกร้องให้ใครต้องมาเข้าใจเราอีกต่อไป
    📌 เรามองเห็นอารมณ์ตัวเอง และไม่ยึดติดกับมัน
    📌 เรารู้ว่าอารมณ์ขึ้นลงเป็นธรรมดา และไม่หลงไปกับมัน
    📌 เรารู้วิธีทำให้ตัวเองเป็นสุข โดยไม่ต้องรอให้ใครมาทำให้

    ✨ สุดท้ายแล้ว ถ้าเราเข้าใจตัวเองได้
    ก็เหมือนเราได้พบคนที่เข้าใจเราดีที่สุดในโลกแล้ว! 🎯

    เมื่อไม่มีใครเข้าใจเรา: วิธีเข้าใจตัวเองในแบบพุทธ หลายครั้งที่เรารู้สึกว่า ไม่มีใครเข้าใจเจตนาของเราเลย หรือ เราถูกตีความผิด อยู่เสมอ สิ่งนี้อาจทำให้เรารู้สึกน้อยใจ และอยากให้คนอื่นเข้าใจตัวเองมากขึ้น แต่หากเราสังเกตดีๆ เรายังเข้าใจตัวเองดีพอหรือเปล่า? บางครั้ง เราก็สับสนในตัวเอง วันหนึ่งคิดแบบหนึ่ง อีกวันกลับคิดอีกแบบ อารมณ์ของเราเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และบางที เราเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องการอะไร หากเป็นเช่นนี้ จะหวังให้คนอื่นเข้าใจเราได้อย่างไร? --- 🔍 เข้าใจตัวเองได้อย่างไร? 1️⃣ หยุดหา "คนเข้าใจ" จากภายนอก แล้วเริ่มเข้าใจตัวเองก่อน พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ถ้าเรา “เป็นที่พึ่งของตัวเองได้” เข้าใจตนเองได้ ไม่ต้องรอให้ใครเข้าใจ เราก็จะไม่ทุกข์ 2️⃣ ใช้ “สติ” สังเกตกายใจของตัวเอง ✅ เริ่มจากกาย – ถามตัวเองง่ายๆ ว่า ตอนนี้ หลังงอ หรือ หลังตรง? ตอนนี้ ร่างกายเกร็ง หรือ ผ่อนคลาย? ✅ แล้วค่อยสังเกตใจ ตอนนี้ เรารู้สึกสุข หรือทุกข์? ตอนนี้ กำลังคิดอะไร ฟุ้งซ่าน หรือสงบ? ตอนนี้ เราตั้งใจคิดดี หรือคิดร้ายกับใครไหม? → แค่รู้ตัวง่ายๆ แบบนี้ ก็เริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้นแล้ว! 3️⃣ สังเกตว่าอารมณ์ของเราขึ้นลงตามสิ่งรอบตัวอย่างไร อากาศร้อน → กายเป็นทุกข์ → ใจขุ่นมัว อากาศเย็น → กายสบาย → ใจคิดดีง่ายขึ้น คิดร้ายบ่อยๆ → กายตึงเครียด → ใจยิ่งฟุ้ง คิดดีสม่ำเสมอ → กายผ่อนคลาย → ใจสงบ 📌 เราจะเริ่มเห็นว่า "อารมณ์เราไม่ใช่ตัวเรา" แต่มันเป็นสิ่งที่ผันแปรไปตามสิ่งแวดล้อมและความคิดของเราเอง --- 🎯 ผลที่เกิดขึ้นเมื่อเข้าใจตัวเอง 📌 เราไม่เรียกร้องให้ใครต้องมาเข้าใจเราอีกต่อไป 📌 เรามองเห็นอารมณ์ตัวเอง และไม่ยึดติดกับมัน 📌 เรารู้ว่าอารมณ์ขึ้นลงเป็นธรรมดา และไม่หลงไปกับมัน 📌 เรารู้วิธีทำให้ตัวเองเป็นสุข โดยไม่ต้องรอให้ใครมาทำให้ ✨ สุดท้ายแล้ว ถ้าเราเข้าใจตัวเองได้ ก็เหมือนเราได้พบคนที่เข้าใจเราดีที่สุดในโลกแล้ว! 🎯
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • 3/2/68

    75ปีข้อคิดดี หลายแง่มุม ของ
    ครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน หญิงเหล็กแห่งวัดระฆังhttps://youtu.be/OSnsNdrsC6A?si=v6V7MSfK6ciwdJMk
    3/2/68 75ปีข้อคิดดี หลายแง่มุม ของ ครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน หญิงเหล็กแห่งวัดระฆังhttps://youtu.be/OSnsNdrsC6A?si=v6V7MSfK6ciwdJMk
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
  • คิดดี ทำดี พูดดี มีสติ
    คิดดี ทำดี พูดดี มีสติ
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • ออร่าของคน มาจากอะไร?

    คำว่า "ออร่า" ที่เราพูดถึงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เรื่องของแสงสีที่ออกมาจากตัวบุคคล แต่หมายถึง "รัศมีแห่งความรู้สึก" ที่แผ่ออกมาโดยที่คนรอบข้างสามารถรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ ความอบอุ่น หรือพลังงานเชิงบวกที่ทำให้ดูน่าดึงดูดขึ้น

    ออร่าเป็นสิ่งที่สามารถ "เปลี่ยนแปลง" ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมหรือโครงสร้างร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "พฤติกรรม อารมณ์ และพลังภายใน" ของแต่ละคน


    ---

    ปัจจัยที่ทำให้คนดูมีออร่ามากขึ้น

    1. ทำกิจกรรมเพื่อคนอื่น

    คนที่มี น้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จะมีออร่าที่สดใส

    จิตใจที่ขยายออกไปเพื่อคนอื่น ทำให้พลังชีวิตเปล่งประกาย

    ออร่าของความเมตตา สร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ



    2. มีความขวนขวาย กระตือรือร้น

    คนที่ มีเป้าหมาย มีพลังชีวิต มีไฟในการทำงาน จะดูสดใส

    รัศมีของความกระตือรือร้นทำให้ใบหน้าและแววตาดูมีพลัง

    คนเหล่านี้ดูน่าสนใจ เพราะพลังของพวกเขาส่งผลให้คนรอบข้างรู้สึกมีแรงบันดาลใจ



    3. รักษาจิตให้สะอาด ด้วยศีล

    คนที่ มีศีล มีความสุจริตใจ จะมีออร่าแห่งความสงบและน่าเชื่อถือ

    ใบหน้าจะดูอ่อนโยนขึ้น เพราะจิตใจไม่เร่าร้อนด้วยกิเลส

    คนที่โกหก หรือทำผิดศีลบ่อยๆ จะมีออร่าขุ่นมัว ดูไม่น่าไว้ใจ



    4. มีจิตโปร่งใส ด้วยการเจริญสติ

    คนที่ ฝึกเจริญสติอยู่เสมอ จะมีแววตาที่สงบและแจ่มใส

    ออร่าของความสงบ จะทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจเมื่อต้องอยู่ใกล้

    ความสว่างจากภายใน ทำให้คนเหล่านี้ดูมีเสน่ห์แบบลึกซึ้ง





    ---

    ออร่า ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นผลของกรรมในปัจจุบัน

    ออร่า ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากวิถีชีวิตของเราเอง

    คนที่ คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีออร่าที่ดี

    คนที่ คิดลบ อิจฉา โกรธง่าย จะมีออร่าที่ขุ่นมัว

    ออร่า เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามสภาวะจิตของแต่ละคน


    ดังนั้น ถ้าอยากดูดีขึ้น ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า หรือศัลยกรรม
    แต่ต้อง ปรับจิตใจให้สะอาด ปรับพฤติกรรมให้เป็นกุศล
    ออร่าที่แท้จริงจะค่อยๆ เปล่งออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ!

    ออร่าของคน มาจากอะไร? คำว่า "ออร่า" ที่เราพูดถึงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เรื่องของแสงสีที่ออกมาจากตัวบุคคล แต่หมายถึง "รัศมีแห่งความรู้สึก" ที่แผ่ออกมาโดยที่คนรอบข้างสามารถรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ ความอบอุ่น หรือพลังงานเชิงบวกที่ทำให้ดูน่าดึงดูดขึ้น ออร่าเป็นสิ่งที่สามารถ "เปลี่ยนแปลง" ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมหรือโครงสร้างร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "พฤติกรรม อารมณ์ และพลังภายใน" ของแต่ละคน --- ปัจจัยที่ทำให้คนดูมีออร่ามากขึ้น 1. ทำกิจกรรมเพื่อคนอื่น คนที่มี น้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จะมีออร่าที่สดใส จิตใจที่ขยายออกไปเพื่อคนอื่น ทำให้พลังชีวิตเปล่งประกาย ออร่าของความเมตตา สร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 2. มีความขวนขวาย กระตือรือร้น คนที่ มีเป้าหมาย มีพลังชีวิต มีไฟในการทำงาน จะดูสดใส รัศมีของความกระตือรือร้นทำให้ใบหน้าและแววตาดูมีพลัง คนเหล่านี้ดูน่าสนใจ เพราะพลังของพวกเขาส่งผลให้คนรอบข้างรู้สึกมีแรงบันดาลใจ 3. รักษาจิตให้สะอาด ด้วยศีล คนที่ มีศีล มีความสุจริตใจ จะมีออร่าแห่งความสงบและน่าเชื่อถือ ใบหน้าจะดูอ่อนโยนขึ้น เพราะจิตใจไม่เร่าร้อนด้วยกิเลส คนที่โกหก หรือทำผิดศีลบ่อยๆ จะมีออร่าขุ่นมัว ดูไม่น่าไว้ใจ 4. มีจิตโปร่งใส ด้วยการเจริญสติ คนที่ ฝึกเจริญสติอยู่เสมอ จะมีแววตาที่สงบและแจ่มใส ออร่าของความสงบ จะทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจเมื่อต้องอยู่ใกล้ ความสว่างจากภายใน ทำให้คนเหล่านี้ดูมีเสน่ห์แบบลึกซึ้ง --- ออร่า ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นผลของกรรมในปัจจุบัน ออร่า ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากวิถีชีวิตของเราเอง คนที่ คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีออร่าที่ดี คนที่ คิดลบ อิจฉา โกรธง่าย จะมีออร่าที่ขุ่นมัว ออร่า เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามสภาวะจิตของแต่ละคน ดังนั้น ถ้าอยากดูดีขึ้น ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า หรือศัลยกรรม แต่ต้อง ปรับจิตใจให้สะอาด ปรับพฤติกรรมให้เป็นกุศล ออร่าที่แท้จริงจะค่อยๆ เปล่งออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ!
    0 Comments 0 Shares 376 Views 0 Reviews
  • เลข 8 มักเชื่อมโยงกับภาพลักษณ์ของนักเลง มาเฟีย มิจฉาชีพ โจร คนเจ้าเล่ห์ และผู้หลอกลวง ซึ่งแสดงถึงพลังงานที่ดึงดูดผู้คนหลากหลาย ทั้งในแง่ดีและไม่ดี..ในทาง จีน เลข 8 คือ เลขรวย เลขเงิน คุณคงได้เห็นหลายธุรกิจ เอาเลข 8 ไปรวมอยู่ในชื่อมากมาย..เช่น เวปพนัน นี่เยอะเลย..เพราะด้วยความที่หมายถึง เงิน..และในบรรดาเลข 0-9 สำหรับคนจีน เลขนี้ ดีที่สุด..ส่วนคนไทย ก็ต้องเลข 9 ดังนั้น ถ้ากลุ่มเลข รวมพวก 6-8-9 ..จะดี..เช่น สมัยก่อนผู้เขียนได้ไป ธ.กรุงเทพ สนง.ใหญ่ พบว่า รถผู้บริหารหลายคัน ใช้ทะเบียน 6868 ...อย่างที่เคยเขียน 6 คือ การเดินทาง 8 คือ เงิน...
    ..ในทางความเชื่อไทย ว่า เป็นเลขราหู ..ส่วนตัวเฉยๆ กับแนวคิดนี้...แต่ขอขยายคำว่า ราหูนิดนึง..ราหูไม่่ใช่ไม่ดี....ในตำราโบราณ อธิบายความไว้ว่า ราห เปรียบดัง โจร ู ถ้าเราสักการะท่าน ท่านจะปล้นจากคนอื่นมาให้เรา..แต่ถ้าเราลบหลู่ ดูถูก ท่านจะปล้นเรา..ไปให้คนอื่น..แทน...

    ข้อดีของเลข 8
    การใช้เลข 8 มีศักยภาพในการดึงดูดโอกาสและผู้คนจำนวนมากเข้ามาในชีวิต ซึ่งอาจส่งเสริมความมั่งคั่งและความสำเร็จ โดยเฉพาะในเชิงธุรกิจหรือการสร้างเครือข่าย เพราะเลขนี้มักเชื่อมโยงกับโชคลาภและการเติบโตทางการเงิน
    ..หละกฐานเขิงประจักษ์ ผู้เขียน เอาเบอร์ 0** 89888*8 ไปให้ลูกสาวใช้...เงินทั้งนั้น งานทั้งนั้น..แต่แบบที่เขียนด้านบนเลย ข้อเสียก็มี...ต้องมีสติ คิดดีๆ อาจถูกชักจูงโดยง่าย.


    เลข 8 มักเชื่อมโยงกับภาพลักษณ์ของนักเลง มาเฟีย มิจฉาชีพ โจร คนเจ้าเล่ห์ และผู้หลอกลวง ซึ่งแสดงถึงพลังงานที่ดึงดูดผู้คนหลากหลาย ทั้งในแง่ดีและไม่ดี..ในทาง จีน เลข 8 คือ เลขรวย เลขเงิน คุณคงได้เห็นหลายธุรกิจ เอาเลข 8 ไปรวมอยู่ในชื่อมากมาย..เช่น เวปพนัน นี่เยอะเลย..เพราะด้วยความที่หมายถึง เงิน..และในบรรดาเลข 0-9 สำหรับคนจีน เลขนี้ ดีที่สุด..ส่วนคนไทย ก็ต้องเลข 9 ดังนั้น ถ้ากลุ่มเลข รวมพวก 6-8-9 ..จะดี..เช่น สมัยก่อนผู้เขียนได้ไป ธ.กรุงเทพ สนง.ใหญ่ พบว่า รถผู้บริหารหลายคัน ใช้ทะเบียน 6868 ...อย่างที่เคยเขียน 6 คือ การเดินทาง 8 คือ เงิน... ..ในทางความเชื่อไทย ว่า เป็นเลขราหู ..ส่วนตัวเฉยๆ กับแนวคิดนี้...แต่ขอขยายคำว่า ราหูนิดนึง..ราหูไม่่ใช่ไม่ดี....ในตำราโบราณ อธิบายความไว้ว่า ราห เปรียบดัง โจร ู ถ้าเราสักการะท่าน ท่านจะปล้นจากคนอื่นมาให้เรา..แต่ถ้าเราลบหลู่ ดูถูก ท่านจะปล้นเรา..ไปให้คนอื่น..แทน... ข้อดีของเลข 8 การใช้เลข 8 มีศักยภาพในการดึงดูดโอกาสและผู้คนจำนวนมากเข้ามาในชีวิต ซึ่งอาจส่งเสริมความมั่งคั่งและความสำเร็จ โดยเฉพาะในเชิงธุรกิจหรือการสร้างเครือข่าย เพราะเลขนี้มักเชื่อมโยงกับโชคลาภและการเติบโตทางการเงิน ..หละกฐานเขิงประจักษ์ ผู้เขียน เอาเบอร์ 0** 89888*8 ไปให้ลูกสาวใช้...เงินทั้งนั้น งานทั้งนั้น..แต่แบบที่เขียนด้านบนเลย ข้อเสียก็มี...ต้องมีสติ คิดดีๆ อาจถูกชักจูงโดยง่าย.
    0 Comments 0 Shares 398 Views 0 Reviews
  • อย่าเปลี่ยนแปลง
    คนเราน่ะ เปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนได้ แต่อย่าเปลี่ยนซึ่งอุดมการณ์ ความคิดดี จิตใจที่ดี และจิตวิญญาณตัวตนของตนเองนะ คนเราอาจจะคล้ายๆกับสิ่งของที่มีวันแตกผุพังบุบสลาย บางชิ้นก็ไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับมาเหมือนเดิมได้ บางชิ้นก็สามารถหลอมกลับมาเหมือนเดิม หรือดียิ่งกว่าเดิมได้ แต่แท้ที่จริงแล้วสิ่งของทุกชิ้นนั้นก็มีจิตวิญญาณเหมือนกันกับคนเรานี่แหล่ะนะ คนเราตายได้ แต่ชุบชีวิตไม่ได้(แต่ก็ยกเว้นกับบางคนที่เค้ามีพลังญาณวิเศษที่สามารถที่จะทำได้ หรืออยู่เหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ แต่ก็ไม่มีบ่อยนักหรอกนะ)
    คนเราควรใช้ชีวิตให้ดีและคุ้มค่าสมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเราใช่ว่าจะได้เกิดมาอย่างง่ายดาย ในเมื่อมีโอกาสได้เกิดมาแล้วอย่างน้อยก็ควรทำดีให้โลกได้จดจำนะ
    อย่าเปลี่ยนแปลง คนเราน่ะ เปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนได้ แต่อย่าเปลี่ยนซึ่งอุดมการณ์ ความคิดดี จิตใจที่ดี และจิตวิญญาณตัวตนของตนเองนะ คนเราอาจจะคล้ายๆกับสิ่งของที่มีวันแตกผุพังบุบสลาย บางชิ้นก็ไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับมาเหมือนเดิมได้ บางชิ้นก็สามารถหลอมกลับมาเหมือนเดิม หรือดียิ่งกว่าเดิมได้ แต่แท้ที่จริงแล้วสิ่งของทุกชิ้นนั้นก็มีจิตวิญญาณเหมือนกันกับคนเรานี่แหล่ะนะ คนเราตายได้ แต่ชุบชีวิตไม่ได้(แต่ก็ยกเว้นกับบางคนที่เค้ามีพลังญาณวิเศษที่สามารถที่จะทำได้ หรืออยู่เหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ แต่ก็ไม่มีบ่อยนักหรอกนะ) คนเราควรใช้ชีวิตให้ดีและคุ้มค่าสมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเราใช่ว่าจะได้เกิดมาอย่างง่ายดาย ในเมื่อมีโอกาสได้เกิดมาแล้วอย่างน้อยก็ควรทำดีให้โลกได้จดจำนะ
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • ความหมายของคำว่า "ตายอย่างเสือ ดีกว่าอยู่อย่างหมา"
    คนทั่วไปอาจจะไม่ค่อยได้ยินคำนี้ออกมาจากปากของคนดีสักเท่าไหร่นัก ถ้าเค้าไม่เหลืออด หรือ สุดที่จะทนกับบางสิ่งบางอย่างที่เค้ากำลังต่อสู้อยู่กับสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าชีวิตของตัวเอง ยิ่งเป็นยุคสมัยนี้ที่คนเรามีค่านิยมที่ผิดๆและสังคมเสื่อมทรามลงไปทุกทีที่คนเราขาดธรรมะในจิตวิญญาณ หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า "คุณธรรม,ศีลธรรม,จริยธรรม,จรรยาบรรณ" หรือคำพูดสวยหรูต่างๆนาๆที่คนทั่วไปเค้าชอบพูดกันเพื่อทำให้ตัวเองดูดีมีความรู้สูงส่งนั่นเอง ในยุคสมัยนี้นั้น น้อยคนนักที่จะมีจิตวิญญาณในการเป็นคนดี คิดดี พูดดี และทำดีในสิ่งต่างๆมากนัก
    คำว่า "ตายอย่างเสือ ดีกว่าอยู่อย่างหมา" นั้น มันเป็นคำพูดที่มีความหมายในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่น้อยคนนักที่จะทำอย่างที่พูดไว้ได้ เพราะเค้าคนนั้นจะต้องมีจิตสาธารณะ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว หรือที่คนทั่วไปเค้าเรียกกันว่าทำเพื่อส่วนรวมนั่นเอง เพราะว่าเค้าคนนั้นต้องเป็นคนที่เสียสละชีวิตของตนเองเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า และสิ่งที่มีค่าที่ยิ่งใหญ่กว่าชีวิตของเค้านั้นมันคืออะไรกัน ผมจะยกตัวอย่างให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจโดยง่าย เช่น ประเทศชาติ หรือ บุคคลสำคัญที่ควรค่าแก่การปกป้อง ซึ่งก็คือประมุขของชาตินั้นๆ และหรือสิ่งต่างๆที่เป็นของส่วนรวมที่ควรค่าแก่การปกปักษ์รักษาไว้ให้คนรุ่นต่อๆไปในภายหลัง และการกระทำอย่างนี้คนทั่วไปเค้าเรียกกันว่าเป็นคนที่มี "อุดมการณ์ หรือ อุดมคติ" ยกตัวอย่างเช่น บรรพชนของเราที่พวกเค้าเหล่านั้นได้เคยเสียสละมาแล้ว เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลังได้ใช้ได้เข้าใจ ซึ่งก็คือ ผืนแผ่นดินเกิดและทรัพยากรทางธรรมชาติหรือขนบธรรมเนียมประเพณีของทุกคนในชาติ
    แค่นี้คุณผู้อ่านคงพอจะเข้าใจบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
    ผมอยากจะส่งต่อเจตจำนงนี้ให้กับคุณ มันเรียกว่า "เจตจำนงของบรรพชน" ซึ่งคุณควรที่จะสานต่อและปกปักษ์รักษามันไว้ให้แก่คนรุ่นหลังได้มีต่อไป เหมือนกับที่บรรพชนของเราได้เคยกระทำไว้และส่งต่อให้กับรุ่นของเรานั่นเอง
    ความหมายของคำว่า "ตายอย่างเสือ ดีกว่าอยู่อย่างหมา" คนทั่วไปอาจจะไม่ค่อยได้ยินคำนี้ออกมาจากปากของคนดีสักเท่าไหร่นัก ถ้าเค้าไม่เหลืออด หรือ สุดที่จะทนกับบางสิ่งบางอย่างที่เค้ากำลังต่อสู้อยู่กับสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าชีวิตของตัวเอง ยิ่งเป็นยุคสมัยนี้ที่คนเรามีค่านิยมที่ผิดๆและสังคมเสื่อมทรามลงไปทุกทีที่คนเราขาดธรรมะในจิตวิญญาณ หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า "คุณธรรม,ศีลธรรม,จริยธรรม,จรรยาบรรณ" หรือคำพูดสวยหรูต่างๆนาๆที่คนทั่วไปเค้าชอบพูดกันเพื่อทำให้ตัวเองดูดีมีความรู้สูงส่งนั่นเอง ในยุคสมัยนี้นั้น น้อยคนนักที่จะมีจิตวิญญาณในการเป็นคนดี คิดดี พูดดี และทำดีในสิ่งต่างๆมากนัก คำว่า "ตายอย่างเสือ ดีกว่าอยู่อย่างหมา" นั้น มันเป็นคำพูดที่มีความหมายในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่น้อยคนนักที่จะทำอย่างที่พูดไว้ได้ เพราะเค้าคนนั้นจะต้องมีจิตสาธารณะ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว หรือที่คนทั่วไปเค้าเรียกกันว่าทำเพื่อส่วนรวมนั่นเอง เพราะว่าเค้าคนนั้นต้องเป็นคนที่เสียสละชีวิตของตนเองเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า และสิ่งที่มีค่าที่ยิ่งใหญ่กว่าชีวิตของเค้านั้นมันคืออะไรกัน ผมจะยกตัวอย่างให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจโดยง่าย เช่น ประเทศชาติ หรือ บุคคลสำคัญที่ควรค่าแก่การปกป้อง ซึ่งก็คือประมุขของชาตินั้นๆ และหรือสิ่งต่างๆที่เป็นของส่วนรวมที่ควรค่าแก่การปกปักษ์รักษาไว้ให้คนรุ่นต่อๆไปในภายหลัง และการกระทำอย่างนี้คนทั่วไปเค้าเรียกกันว่าเป็นคนที่มี "อุดมการณ์ หรือ อุดมคติ" ยกตัวอย่างเช่น บรรพชนของเราที่พวกเค้าเหล่านั้นได้เคยเสียสละมาแล้ว เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลังได้ใช้ได้เข้าใจ ซึ่งก็คือ ผืนแผ่นดินเกิดและทรัพยากรทางธรรมชาติหรือขนบธรรมเนียมประเพณีของทุกคนในชาติ แค่นี้คุณผู้อ่านคงพอจะเข้าใจบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ผมอยากจะส่งต่อเจตจำนงนี้ให้กับคุณ มันเรียกว่า "เจตจำนงของบรรพชน" ซึ่งคุณควรที่จะสานต่อและปกปักษ์รักษามันไว้ให้แก่คนรุ่นหลังได้มีต่อไป เหมือนกับที่บรรพชนของเราได้เคยกระทำไว้และส่งต่อให้กับรุ่นของเรานั่นเอง
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • แนวทางการเปลี่ยนแปลงจิตใจด้วยการแทนที่ความคิดไม่ดี ด้วยสิ่งที่เป็นกุศล ซึ่งเป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาและได้ผลในทางปฏิบัติ ดังนี้:

    ---

    1. การแทนที่ความคิดไม่ดีด้วยความคิดดี

    ใช้การสวดมนต์:

    สวดมนต์ต่อหน้าพระพุทธรูป ด้วยความตั้งใจถวายแก้วเสียงแด่พระพุทธเจ้า

    นึกถึงพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพื่อให้จิตใจเกิดความสงบและปีติ

    ท่องคำบริกรรม:

    หากไม่มีเวลาสวดมนต์ยาวๆ ให้ท่องคำว่า "พุทโธ" หรือ "นโมตัสสะ" ระหว่างวัน

    คำบริกรรมเหล่านี้ช่วยให้จิตมีสิ่งยึดเหนี่ยว และป้องกันความคิดฟุ้งซ่าน

    ---

    2. การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เกื้อกูลต่อกุศล

    ลดสิ่งกระตุ้นอกุศล:

    เลี่ยงภาพหรือข่าวสารที่ชวนให้คิดอกุศล เช่น การทะเลาะวิวาท หรือสิ่งยั่วยุ

    เพิ่มสิ่งกระตุ้นกุศล:

    ล้อมรอบตัวเองด้วยสื่อธรรมะ หนังสือ หรือบทสวดที่ช่วยปลูกจิตสำนึกดี

    ---

    3. การฝึกสติรู้ตัว

    เมื่อรู้สึกว่าความคิดไม่ดีเกิดขึ้น ให้ หยุดและพิจารณา ว่า:

    ความคิดนี้นำไปสู่สิ่งดีหรือไม่?

    หากไม่ดี ให้ปล่อยวางและแทนที่ด้วยคำบริกรรม หรือบทสวด

    การฝึกสติช่วยให้เรารู้เท่าทันความคิด และเลือกสิ่งที่ดีกว่ามาแทน

    ---

    4. การสร้างนิสัยให้คิดดีเป็นปกติ

    ฝึกประจำวัน:

    ใช้เวลาเช้า-เย็น สวดมนต์หรือบริกรรมคำศักดิ์สิทธิ์เป็นประจำ

    ตั้งจิตปรารถนาดีต่อผู้อื่น:

    นึกถึงการแผ่เมตตา หรือปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข จิตจะถูกฝึกให้คิดดีโดยธรรมชาติ

    ---

    5. ประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลงจิต

    จิตที่เป็นกุศลช่วยให้มีความสุขในปัจจุบัน:

    ความสงบเย็นในใจที่เกิดจากการคิดดี ทำให้ลดทุกข์และฟุ้งซ่าน

    สร้างบุญให้ตัวเอง:

    จิตที่เปี่ยมด้วยกุศลเป็นเหมือนการสะสมบุญไปในตัว

    ---

    สรุป: “พุทโธ” และบทสวดคือกุญแจ

    การใช้คำบริกรรมหรือบทสวดคือวิธีที่ง่ายและทรงพลัง

    เมื่อจิตติดนิสัยคิดดีอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้เราสงบ มั่นคง และห่างไกลจากความคิดอกุศล

    สำคัญที่สุดคือ “การเริ่มทำ” และ “ความต่อเนื่อง” ในการฝึกฝน เพื่อเปลี่ยนแปลงจิตใจในระยะยาว.
    แนวทางการเปลี่ยนแปลงจิตใจด้วยการแทนที่ความคิดไม่ดี ด้วยสิ่งที่เป็นกุศล ซึ่งเป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาและได้ผลในทางปฏิบัติ ดังนี้: --- 1. การแทนที่ความคิดไม่ดีด้วยความคิดดี ใช้การสวดมนต์: สวดมนต์ต่อหน้าพระพุทธรูป ด้วยความตั้งใจถวายแก้วเสียงแด่พระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพื่อให้จิตใจเกิดความสงบและปีติ ท่องคำบริกรรม: หากไม่มีเวลาสวดมนต์ยาวๆ ให้ท่องคำว่า "พุทโธ" หรือ "นโมตัสสะ" ระหว่างวัน คำบริกรรมเหล่านี้ช่วยให้จิตมีสิ่งยึดเหนี่ยว และป้องกันความคิดฟุ้งซ่าน --- 2. การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เกื้อกูลต่อกุศล ลดสิ่งกระตุ้นอกุศล: เลี่ยงภาพหรือข่าวสารที่ชวนให้คิดอกุศล เช่น การทะเลาะวิวาท หรือสิ่งยั่วยุ เพิ่มสิ่งกระตุ้นกุศล: ล้อมรอบตัวเองด้วยสื่อธรรมะ หนังสือ หรือบทสวดที่ช่วยปลูกจิตสำนึกดี --- 3. การฝึกสติรู้ตัว เมื่อรู้สึกว่าความคิดไม่ดีเกิดขึ้น ให้ หยุดและพิจารณา ว่า: ความคิดนี้นำไปสู่สิ่งดีหรือไม่? หากไม่ดี ให้ปล่อยวางและแทนที่ด้วยคำบริกรรม หรือบทสวด การฝึกสติช่วยให้เรารู้เท่าทันความคิด และเลือกสิ่งที่ดีกว่ามาแทน --- 4. การสร้างนิสัยให้คิดดีเป็นปกติ ฝึกประจำวัน: ใช้เวลาเช้า-เย็น สวดมนต์หรือบริกรรมคำศักดิ์สิทธิ์เป็นประจำ ตั้งจิตปรารถนาดีต่อผู้อื่น: นึกถึงการแผ่เมตตา หรือปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข จิตจะถูกฝึกให้คิดดีโดยธรรมชาติ --- 5. ประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลงจิต จิตที่เป็นกุศลช่วยให้มีความสุขในปัจจุบัน: ความสงบเย็นในใจที่เกิดจากการคิดดี ทำให้ลดทุกข์และฟุ้งซ่าน สร้างบุญให้ตัวเอง: จิตที่เปี่ยมด้วยกุศลเป็นเหมือนการสะสมบุญไปในตัว --- สรุป: “พุทโธ” และบทสวดคือกุญแจ การใช้คำบริกรรมหรือบทสวดคือวิธีที่ง่ายและทรงพลัง เมื่อจิตติดนิสัยคิดดีอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้เราสงบ มั่นคง และห่างไกลจากความคิดอกุศล สำคัญที่สุดคือ “การเริ่มทำ” และ “ความต่อเนื่อง” ในการฝึกฝน เพื่อเปลี่ยนแปลงจิตใจในระยะยาว.
    0 Comments 0 Shares 415 Views 0 Reviews
More Results