• "กลัวความคิดไม่ดี...คือการให้อาหารมันอยู่ทุกวัน"

    หลายคนกังวลใจ
    กลัวว่าตัวเอง คิดไม่ดีบ่อยเกินไป
    ควบคุมไม่ได้ หยุดไม่ได้
    กลัวว่าถ้าตายไปตอนที่ใจยังคิดไม่ดี...
    จะตกนรก!

    แต่ความจริงคือ...
    ❝ ความกลัว ❞
    คืออาหารชั้นดี
    ของความคิดฟุ้งซ่านและอกุศลทั้งหลาย

    คุณยิ่งกลัว…
    มันยิ่งเกาะแน่น
    เพราะคุณกำลัง "ต่อสู้"
    แต่การต่อสู้ในใจ ไม่เคยทำให้สงบ
    มันแค่เติมเชื้อเพลิงให้อารมณ์ร้ายแรงขึ้นเท่านั้น

    สิ่งสำคัญที่ต้องถามคือ...คุณ "เจตนา" หรือไม่?

    ไม่ได้เจตนาเข้าข้างความชั่ว
    แต่แค่ความคิดมันผุดขึ้นมาเอง
    โดยที่คุณไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ
    นั่นไม่ใช่กรรมของคุณ!

    มันเป็นเพียง เงาแห่งความทรงจำ
    แค่เศษเสี้ยวของอดีตที่โผล่มาในรูปของความคิด
    ถ้าคุณไม่ร่วมวงด้วย ไม่คล้อยตามมัน
    มันก็แค่ “เสียงลม” ที่มา แล้วก็ไป...

    แล้วจะทำยังไง ให้จิตคิดดีมากขึ้น?

    หัดสวดมนต์ด้วยหัวใจถวาย ไม่ใช่เพื่อขอ
    โดยเฉพาะบท อิติปิโส
    เพราะเป็นบทที่สรรเสริญคุณพระศรีรัตนตรัย
    ไม่มีคำขอ ไม่มีเงื่อนไข
    มีแต่การแผ่ใจออกไปอย่างบริสุทธิ์

    และเมื่อจิตแผ่ออกด้วยศรัทธาบริสุทธิ์
    จิตจะ กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เอง
    ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก
    แต่เป็นความสว่างจากภายในที่ “แผ่ไล่ความมืด” ได้

    ❝ จิตไม่ใช่บุคคล แต่เป็นสิ่งปรุงแต่ง
    เมื่อจิตน้อมบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด
    จิตย่อมแปรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเสียเอง ❞

    หยุดกลัวความคิดไม่ดี
    แล้วเริ่มน้อมจิตให้สูง
    ไม่ต้องไล่มัน แค่เปลี่ยนใจเราทั้งดวง
    ให้กลายเป็น “ของดี” ที่อัปมงคลแทรกไม่ได้

    #คิดไม่ดีไม่ใช่บาปถ้าไม่เจตนา
    #ธรรมะแบบเข้าใจหัวใจคนเจอของจริง
    #อิติปิโส
    #สวดมนต์ให้จิตสว่าง
    #พลังพุทธคุณคือพลังพ้นทุกข์
    🌪️ "กลัวความคิดไม่ดี...คือการให้อาหารมันอยู่ทุกวัน" หลายคนกังวลใจ กลัวว่าตัวเอง คิดไม่ดีบ่อยเกินไป ควบคุมไม่ได้ หยุดไม่ได้ กลัวว่าถ้าตายไปตอนที่ใจยังคิดไม่ดี... จะตกนรก! แต่ความจริงคือ... ❝ ความกลัว ❞ คืออาหารชั้นดี ของความคิดฟุ้งซ่านและอกุศลทั้งหลาย คุณยิ่งกลัว… มันยิ่งเกาะแน่น เพราะคุณกำลัง "ต่อสู้" แต่การต่อสู้ในใจ ไม่เคยทำให้สงบ มันแค่เติมเชื้อเพลิงให้อารมณ์ร้ายแรงขึ้นเท่านั้น 🌱 สิ่งสำคัญที่ต้องถามคือ...คุณ "เจตนา" หรือไม่? ไม่ได้เจตนาเข้าข้างความชั่ว แต่แค่ความคิดมันผุดขึ้นมาเอง โดยที่คุณไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ นั่นไม่ใช่กรรมของคุณ! มันเป็นเพียง เงาแห่งความทรงจำ แค่เศษเสี้ยวของอดีตที่โผล่มาในรูปของความคิด ถ้าคุณไม่ร่วมวงด้วย ไม่คล้อยตามมัน มันก็แค่ “เสียงลม” ที่มา แล้วก็ไป... 🕯️ แล้วจะทำยังไง ให้จิตคิดดีมากขึ้น? หัดสวดมนต์ด้วยหัวใจถวาย ไม่ใช่เพื่อขอ โดยเฉพาะบท อิติปิโส เพราะเป็นบทที่สรรเสริญคุณพระศรีรัตนตรัย ไม่มีคำขอ ไม่มีเงื่อนไข มีแต่การแผ่ใจออกไปอย่างบริสุทธิ์ และเมื่อจิตแผ่ออกด้วยศรัทธาบริสุทธิ์ จิตจะ กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เอง ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก แต่เป็นความสว่างจากภายในที่ “แผ่ไล่ความมืด” ได้ ✨ ❝ จิตไม่ใช่บุคคล แต่เป็นสิ่งปรุงแต่ง เมื่อจิตน้อมบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด จิตย่อมแปรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเสียเอง ❞ หยุดกลัวความคิดไม่ดี แล้วเริ่มน้อมจิตให้สูง ไม่ต้องไล่มัน แค่เปลี่ยนใจเราทั้งดวง ให้กลายเป็น “ของดี” ที่อัปมงคลแทรกไม่ได้ #คิดไม่ดีไม่ใช่บาปถ้าไม่เจตนา #ธรรมะแบบเข้าใจหัวใจคนเจอของจริง #อิติปิโส #สวดมนต์ให้จิตสว่าง #พลังพุทธคุณคือพลังพ้นทุกข์
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • คนพาล…อันตรายที่สุด ไม่ใช่ตอนเป็นศัตรู แต่ตอนเป็นเพื่อน

    เพื่อน คือคนที่คุณเปิดใจฟัง
    ศัตรู คือคนที่คุณปิดใจไม่รับฟัง

    ลองตัดคำว่า "เพื่อน" ทิ้งดูสิ
    ถ้าใจคุณยังเปิดอ้า รับฟังเหตุผลดีๆ อยู่
    แม้จะเป็นคนที่พูดเรื่องน่าเกลียด น่าชัง
    คุณยังอาจพอแยกแยะได้
    ว่าสิ่งใดน่าเชื่อ สิ่งใดเบียดเบียน

    แต่ถ้าคุณเชื่อหมดใจ
    เพียงเพราะ “เขาเป็นเพื่อน”
    เพราะ “เขาอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา”
    คุณอาจถูกครอบงำอย่างแนบเนียน
    ให้เกลียด ให้เบียดเบียน
    แม้แต่ไม่รู้ตัวว่านั่นคือบาปกรรม

    กลุ่มผู้ก่อการร้ายบางกลุ่ม
    ไม่ได้เริ่มจากศัตรู
    แต่เริ่มจาก “เพื่อน” ที่พูดจาน่ารัก
    พูดน่าสงสาร พูดให้คล้อยตาม
    จนคนดีๆ ยอมตายเพื่อความเกลียดชัง

    ในทางกลับกัน
    ลองตัดคำว่า "ศัตรู" ทิ้งดูบ้าง
    หากใจคุณเปิดกว้าง รับฟังด้วยเมตตา
    อาจพบว่า…ในคำพูดของเขา
    มีเมล็ดพันธุ์ของความดีงาม
    ที่คุณเองก็ศรัทธาได้

    บางทีคนดี อาจไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับคุณ
    และคนที่อยู่ข้างเดียวกับคุณ…ก็อาจไม่ใช่คนดี

    ทางออกไม่ใช่การเลือกฝ่าย
    แต่คือการ เลือกใช้สติ และความไม่เบียดเบียนเป็นหลัก

    หากคุณตัด “อคติ” ออกไป

    จะได้ข้อคิดดีๆ จากคนที่เคยไม่ชอบ

    จะลดอัตตาได้ จากการถกเถียงกับคนดี

    จะได้จุดยืนที่มั่นคงขึ้น จากบทสนทนากับคนร้าย
    โดยไม่ต้องหลงผิดไปตามเขาเลย

    เพราะจิตเดิมแท้ของมนุษย์พร้อมจะยกระดับอยู่แล้ว
    เหมือนอย่างชาวพุทธที่เข้าถึงเมตตา
    ด้วยคำสอนของ “กัลยาณมิตร” อย่างพระพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น...
    อย่าประมาทกับคำพูดของเพื่อน
    และ
    อย่าปิดใจเพียงเพราะอีกฝ่ายคือศัตรู

    #ธรรมะร่วมสมัย
    #ธรรมะเชิงจิตวิญญาณ
    #สตินำทาง
    #คนพาลที่คบเป็นเพื่อน
    #เมตตาไม่ใช่ความอ่อนแอ
    #ธรรมะเชิงเตือนสติ
    #ตื่นรู้ไม่หลงผิด
    🕊️ คนพาล…อันตรายที่สุด ไม่ใช่ตอนเป็นศัตรู แต่ตอนเป็นเพื่อน เพื่อน คือคนที่คุณเปิดใจฟัง ศัตรู คือคนที่คุณปิดใจไม่รับฟัง ลองตัดคำว่า "เพื่อน" ทิ้งดูสิ ถ้าใจคุณยังเปิดอ้า รับฟังเหตุผลดีๆ อยู่ แม้จะเป็นคนที่พูดเรื่องน่าเกลียด น่าชัง คุณยังอาจพอแยกแยะได้ ว่าสิ่งใดน่าเชื่อ สิ่งใดเบียดเบียน แต่ถ้าคุณเชื่อหมดใจ เพียงเพราะ “เขาเป็นเพื่อน” เพราะ “เขาอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา” คุณอาจถูกครอบงำอย่างแนบเนียน ให้เกลียด ให้เบียดเบียน แม้แต่ไม่รู้ตัวว่านั่นคือบาปกรรม 👿 กลุ่มผู้ก่อการร้ายบางกลุ่ม ไม่ได้เริ่มจากศัตรู แต่เริ่มจาก “เพื่อน” ที่พูดจาน่ารัก พูดน่าสงสาร พูดให้คล้อยตาม จนคนดีๆ ยอมตายเพื่อความเกลียดชัง ในทางกลับกัน ลองตัดคำว่า "ศัตรู" ทิ้งดูบ้าง หากใจคุณเปิดกว้าง รับฟังด้วยเมตตา อาจพบว่า…ในคำพูดของเขา มีเมล็ดพันธุ์ของความดีงาม ที่คุณเองก็ศรัทธาได้ 💡 บางทีคนดี อาจไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับคุณ และคนที่อยู่ข้างเดียวกับคุณ…ก็อาจไม่ใช่คนดี ทางออกไม่ใช่การเลือกฝ่าย แต่คือการ เลือกใช้สติ และความไม่เบียดเบียนเป็นหลัก 🧘 หากคุณตัด “อคติ” ออกไป จะได้ข้อคิดดีๆ จากคนที่เคยไม่ชอบ จะลดอัตตาได้ จากการถกเถียงกับคนดี จะได้จุดยืนที่มั่นคงขึ้น จากบทสนทนากับคนร้าย โดยไม่ต้องหลงผิดไปตามเขาเลย 🌱 เพราะจิตเดิมแท้ของมนุษย์พร้อมจะยกระดับอยู่แล้ว เหมือนอย่างชาวพุทธที่เข้าถึงเมตตา ด้วยคำสอนของ “กัลยาณมิตร” อย่างพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น... อย่าประมาทกับคำพูดของเพื่อน และ อย่าปิดใจเพียงเพราะอีกฝ่ายคือศัตรู #ธรรมะร่วมสมัย #ธรรมะเชิงจิตวิญญาณ #สตินำทาง #คนพาลที่คบเป็นเพื่อน #เมตตาไม่ใช่ความอ่อนแอ #ธรรมะเชิงเตือนสติ #ตื่นรู้ไม่หลงผิด
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • เจอคนขี้เสี้ยม…จะวางใจอย่างไรไม่ให้ถูกเผาไปด้วย?

    คำพูดที่เสี้ยมให้คนแตกแยกกัน
    ฟังดูเหมือนลม
    แต่เป็นลมที่พัดไฟในใจให้โหมแรง
    ให้เขาตีกัน
    ให้เราว้าวุ่น
    ให้ทั้งวงแตก!

    คนที่ชอบยุแยง ไม่ได้มีความสุขจริงหรอก
    ต่อให้สะใจที่ทำให้คนแตกกันได้สำเร็จ
    แต่ในใจจริง จะเต็มไปด้วย

    ความร้อนรุ่ม

    ความกระวนกระวาย

    ความฟุ้งซ่าน

    ความคิดพุ่งพล่านไม่หยุด
    ไม่มีความสงบ ไม่มีความเย็นอยู่เลย

    แต่จะทำอย่างไร ถ้าเราไม่อยากถูกลากเข้าไปในไฟนั้น?

    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน
    "เมื่อเขาร้ายมา เราให้ดีตอบเป็นขั้วตรงข้าม"

    เขาโกหก → เราพูดความจริง

    เขานินทา → เราสรรเสริญในสิ่งที่ควรสรรเสริญ

    เขายุแยงให้แตก → เราเป็นตัวอย่างของความสมานฉันท์

    ไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียง
    แต่ใช้พลังแห่ง “ของจริง”
    ให้เขาเห็นว่า
    ยังมีมนุษย์ที่คิดดี พูดดี และปรารถนาดี…โดยไม่แฝงมีดในรอยยิ้ม

    ความมืดแพ้แสงเสมอ
    แม้ไฟฉายเล็กๆ ยังชนะห้องมืดได้
    แม้แสงดาวที่อยู่ไกลเป็นล้านปีแสง
    ยังส่องมาถึงใจเราได้…แม้ต้องใช้เวลานาน

    ดังนั้น
    แม้เราจะเปลี่ยนเขาไม่ได้ทันที
    แต่ขอเพียงเรา “เป็นของจริง”
    “ดีจริง” และ “นานพอ”
    กุศลย่อมมีกำลังมากกว่าอกุศลเสมอ

    ที่สำคัญที่สุด…
    ผลลัพธ์ไม่ได้เกิดกับเขาคนเดียว
    แต่เกิดกับ “ใจของเรา” ทันที
    ใจเราจะไม่ร้อน
    ไม่ขุ่น
    ไม่ตกเป็นเหยื่อของคำพูดลวงโลก

    เราจะได้ "ให้อภัยเป็นทาน"
    และ “ปลดปล่อยใจ” พ้นจากพิษภัยได้ก่อนใคร

    บางครั้ง…คนที่ยุให้เราตีกัน อาจไม่ใช่ศัตรูที่แท้จริง
    แต่เป็นบททดสอบว่า ใจเราเย็นได้แค่ไหน ต่างหาก

    #ธรรมะเข้าใจง่ายแต่ลึก
    #ความดีคือของจริง
    #เจอคนเสี้ยมอย่าตอบโต้ด้วยไฟ
    #กุศลชนะอกุศล
    #จิตเย็นคือชัยชนะที่แท้จริง
    #สายกลางไม่เสแสร้ง
    🌪️ เจอคนขี้เสี้ยม…จะวางใจอย่างไรไม่ให้ถูกเผาไปด้วย? คำพูดที่เสี้ยมให้คนแตกแยกกัน ฟังดูเหมือนลม แต่เป็นลมที่พัดไฟในใจให้โหมแรง ให้เขาตีกัน ให้เราว้าวุ่น ให้ทั้งวงแตก! 😈 คนที่ชอบยุแยง ไม่ได้มีความสุขจริงหรอก ต่อให้สะใจที่ทำให้คนแตกกันได้สำเร็จ แต่ในใจจริง จะเต็มไปด้วย ความร้อนรุ่ม ความกระวนกระวาย ความฟุ้งซ่าน ความคิดพุ่งพล่านไม่หยุด ไม่มีความสงบ ไม่มีความเย็นอยู่เลย 🪶 แต่จะทำอย่างไร ถ้าเราไม่อยากถูกลากเข้าไปในไฟนั้น? พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน 💡 "เมื่อเขาร้ายมา เราให้ดีตอบเป็นขั้วตรงข้าม" เขาโกหก → เราพูดความจริง เขานินทา → เราสรรเสริญในสิ่งที่ควรสรรเสริญ เขายุแยงให้แตก → เราเป็นตัวอย่างของความสมานฉันท์ ไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียง แต่ใช้พลังแห่ง “ของจริง” ให้เขาเห็นว่า ยังมีมนุษย์ที่คิดดี พูดดี และปรารถนาดี…โดยไม่แฝงมีดในรอยยิ้ม 🕯️ ความมืดแพ้แสงเสมอ แม้ไฟฉายเล็กๆ ยังชนะห้องมืดได้ แม้แสงดาวที่อยู่ไกลเป็นล้านปีแสง ยังส่องมาถึงใจเราได้…แม้ต้องใช้เวลานาน ดังนั้น แม้เราจะเปลี่ยนเขาไม่ได้ทันที แต่ขอเพียงเรา “เป็นของจริง” “ดีจริง” และ “นานพอ” กุศลย่อมมีกำลังมากกว่าอกุศลเสมอ ☀️ ที่สำคัญที่สุด… ผลลัพธ์ไม่ได้เกิดกับเขาคนเดียว แต่เกิดกับ “ใจของเรา” ทันที ใจเราจะไม่ร้อน ไม่ขุ่น ไม่ตกเป็นเหยื่อของคำพูดลวงโลก เราจะได้ "ให้อภัยเป็นทาน" และ “ปลดปล่อยใจ” พ้นจากพิษภัยได้ก่อนใคร บางครั้ง…คนที่ยุให้เราตีกัน อาจไม่ใช่ศัตรูที่แท้จริง แต่เป็นบททดสอบว่า ใจเราเย็นได้แค่ไหน ต่างหาก #ธรรมะเข้าใจง่ายแต่ลึก #ความดีคือของจริง #เจอคนเสี้ยมอย่าตอบโต้ด้วยไฟ #กุศลชนะอกุศล #จิตเย็นคือชัยชนะที่แท้จริง #สายกลางไม่เสแสร้ง
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • 20 มิถุนายน 2568 -ศ.ไชยันต์ ไชยพร วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองร้อน ถ้านายกรัฐมนตรี แพทองธารไม่ยอมลาออกจนถึงวันเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 3 ก.ค. 2568

    เมื่อเปิดประชุมสภาฯ มีกลไกอะไรที่จะทำให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ แพทองธาร จะสิ้นสุดลงได้ ?

    1. สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจ

    ในกรณีที่นี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร เข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี

    จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ คือ 98 คน ( สส ทั้งหมดในสภามี 493 /ตัวเลข ณ วันที่ 26 มีนาคม 2568)

    ถ้าพรรคประชาชนต้องการให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีย่อมทำได้ เพราะพรรคประชาชนมี สส เกิน 100

    ในช่วงที่เสนอญัตติได้แล้ว นายกรัฐมนตรีจะยุบสภาไม่ได้

    แต่ถ้าหลังลงมติไม่ไว้วางใจแล้ว ถ้าเสียงไม่ไว้วางใจไม่เกินครึ่ง หมายความว่า แพทองธารยังเป็นนายกฯ อยู่ เธอจะยุบสภาก็ได้

    การที่กำหนดไว้แบบนี้ เพื่อขู่ สส ที่เสนอญัตติไม่ไว้วางใจให้คิดดีๆว่า ถ้านายกรัฐมนตรีได้เสียงไว้วางใจ ระวังนะ นายกรัฐมนตรีจะยุบสภา พา สส ทุกคนพ้นสภาพ ไปเลือกตั้งกันใหม่หมด

    ซึ่งในกรณีนี้ แพทองธาร คงไม่ยุบแน่

    แต่อาจมีผู้สงสัยข้อความในรัฐธรรมนูญที่ว่า การเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจสามารถทำได้ “ปีละหนึ่งครั้ง” เพราะเพิ่งมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้วระหว่างวันที่ 24-26 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมานี้เอง

    การนับปีสมัยประชุมสภาฯ ไม่ใช่นับตามปฏิทินปกติ อย่างหลังเลือกตั้งในปี 2566 จะเริ่มนับปีประชุมสภาฯ ดังนี้

    ปีที่หนึ่ง (แต่ละปีจะแบ่งการประชุมออกเป็นสองครั้ง มีพักระหว่างแต่ละครั้ง ) ครั้งที่หนึ่ง เริ่มตั้งแต่ 3 ก.ค. 2566 – 3 ต.ค. 2566 ครั้งที่สอง 12 ธ.ค. 2566 – 9 เมษา. 2567

    ปีที่สอง ครั้งที่หนึ่ง 3 ก.ค. 2567 – 30 ต.ค. 2567 ครั้งที่สอง 12 ธ.ค. 2567 – 10 เมษา. 2568

    ปีที่สาม ครั้งที่หนึ่ง 3 ก.ค. 2568 – 30 ต.ค. 2568

    ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุดจะอยู่ในช่วงปีที่สอง

    เมื่อขึ้นปีที่สาม ซึ่งจะเปิดประชุมสภาในวันที่ 3 ก.ค. ที่จะถึงนี้ จึงสามารถขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

    ประเด็นคือ หากนายกรัฐมนตรีไม่ยอมลาออก และไม่ยอมยุบสภา เพราะยังมีเสียงสนับสนุนเกินครึ่งสภา พรรคประชาชนอาจจะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

    และเมื่อถึงเวลานั้น ประชาชนก็รอดูกันว่า จะมี สส คนใดที่ยังไว้วางใจนายกฯแพทองธาร และด้วยเหตุผลอะไร หรือไม่มีเหตุผล !

    ถ้านายกฯถูกลงมติไม่ไว้วางใจ ความเป็นนายกรัฐมนตรีก็จะสิ้นสุดลงทันที และไม่ว่าใครจะมารักษาการ ก็ไม่สามารถยุบสภาได้ตามที่พรรคประชาชนต้องการ เพราะรักษาการฯไม่สามารถยุบสภาได้

    แต่จะต้องมีการสรรหานายกฯใหม่ หากได้นายกฯใหม่แล้ว นายกฯใหม่ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะยุบสภา !

    แต่ถ้านายกฯใหม่ไม่ได้ ก็จะเกิดทางตันขึ้น

    และจะต้องไปใช้บริการ มาตรา 5 เพื่อจะให้มีการยุบสภา หรือ ให้ได้นายกรัฐมนตรีเสียงข้างน้อย เพื่อทำหน้าที่ที่สำคัญต่อไปสักพัก และรีบยุบสภา

    ส่วนในกรณีอื่นๆ เช่นขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม อันได้แก่

    -ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

    หรือ -มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

    หรือความผิดในมาตราอื่นๆของรัฐธรรมนูญ รวมถึงการใช้ มาตรา 153 โดยสมาชิกวุฒิสภา ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ
    20 มิถุนายน 2568 -ศ.ไชยันต์ ไชยพร วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองร้อน ถ้านายกรัฐมนตรี แพทองธารไม่ยอมลาออกจนถึงวันเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 3 ก.ค. 2568 เมื่อเปิดประชุมสภาฯ มีกลไกอะไรที่จะทำให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ แพทองธาร จะสิ้นสุดลงได้ ? 1. สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจ ในกรณีที่นี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร เข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ คือ 98 คน ( สส ทั้งหมดในสภามี 493 /ตัวเลข ณ วันที่ 26 มีนาคม 2568) ถ้าพรรคประชาชนต้องการให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีย่อมทำได้ เพราะพรรคประชาชนมี สส เกิน 100 ในช่วงที่เสนอญัตติได้แล้ว นายกรัฐมนตรีจะยุบสภาไม่ได้ แต่ถ้าหลังลงมติไม่ไว้วางใจแล้ว ถ้าเสียงไม่ไว้วางใจไม่เกินครึ่ง หมายความว่า แพทองธารยังเป็นนายกฯ อยู่ เธอจะยุบสภาก็ได้ การที่กำหนดไว้แบบนี้ เพื่อขู่ สส ที่เสนอญัตติไม่ไว้วางใจให้คิดดีๆว่า ถ้านายกรัฐมนตรีได้เสียงไว้วางใจ ระวังนะ นายกรัฐมนตรีจะยุบสภา พา สส ทุกคนพ้นสภาพ ไปเลือกตั้งกันใหม่หมด ซึ่งในกรณีนี้ แพทองธาร คงไม่ยุบแน่ แต่อาจมีผู้สงสัยข้อความในรัฐธรรมนูญที่ว่า การเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจสามารถทำได้ “ปีละหนึ่งครั้ง” เพราะเพิ่งมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้วระหว่างวันที่ 24-26 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมานี้เอง การนับปีสมัยประชุมสภาฯ ไม่ใช่นับตามปฏิทินปกติ อย่างหลังเลือกตั้งในปี 2566 จะเริ่มนับปีประชุมสภาฯ ดังนี้ ปีที่หนึ่ง (แต่ละปีจะแบ่งการประชุมออกเป็นสองครั้ง มีพักระหว่างแต่ละครั้ง ) ครั้งที่หนึ่ง เริ่มตั้งแต่ 3 ก.ค. 2566 – 3 ต.ค. 2566 ครั้งที่สอง 12 ธ.ค. 2566 – 9 เมษา. 2567 ปีที่สอง ครั้งที่หนึ่ง 3 ก.ค. 2567 – 30 ต.ค. 2567 ครั้งที่สอง 12 ธ.ค. 2567 – 10 เมษา. 2568 ปีที่สาม ครั้งที่หนึ่ง 3 ก.ค. 2568 – 30 ต.ค. 2568 ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุดจะอยู่ในช่วงปีที่สอง เมื่อขึ้นปีที่สาม ซึ่งจะเปิดประชุมสภาในวันที่ 3 ก.ค. ที่จะถึงนี้ จึงสามารถขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ประเด็นคือ หากนายกรัฐมนตรีไม่ยอมลาออก และไม่ยอมยุบสภา เพราะยังมีเสียงสนับสนุนเกินครึ่งสภา พรรคประชาชนอาจจะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ และเมื่อถึงเวลานั้น ประชาชนก็รอดูกันว่า จะมี สส คนใดที่ยังไว้วางใจนายกฯแพทองธาร และด้วยเหตุผลอะไร หรือไม่มีเหตุผล ! ถ้านายกฯถูกลงมติไม่ไว้วางใจ ความเป็นนายกรัฐมนตรีก็จะสิ้นสุดลงทันที และไม่ว่าใครจะมารักษาการ ก็ไม่สามารถยุบสภาได้ตามที่พรรคประชาชนต้องการ เพราะรักษาการฯไม่สามารถยุบสภาได้ แต่จะต้องมีการสรรหานายกฯใหม่ หากได้นายกฯใหม่แล้ว นายกฯใหม่ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะยุบสภา ! แต่ถ้านายกฯใหม่ไม่ได้ ก็จะเกิดทางตันขึ้น และจะต้องไปใช้บริการ มาตรา 5 เพื่อจะให้มีการยุบสภา หรือ ให้ได้นายกรัฐมนตรีเสียงข้างน้อย เพื่อทำหน้าที่ที่สำคัญต่อไปสักพัก และรีบยุบสภา ส่วนในกรณีอื่นๆ เช่นขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม อันได้แก่ -ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หรือ -มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรือความผิดในมาตราอื่นๆของรัฐธรรมนูญ รวมถึงการใช้ มาตรา 153 โดยสมาชิกวุฒิสภา ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • อนิจจัง…ของความเป็นคน
    มีทั้ง ขาขึ้น และ ขาลง

    บางวันคุณเห็นเขาสดชื่น
    บางวันคุณเห็นเขาหม่นหมอง
    บางวันเขาพูดดี มีเมตตา
    บางวันเขาเย็นชา น่าปวดหัว

    บางวันเขาคิดดี ทำดี
    บางวันเขามืดมนจนคุณไม่อยากเข้าใกล้

    นี่คือ "อนิจจัง" ในเวอร์ชันมีชีวิต
    เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เดินได้ หายใจได้
    และกำลังอยู่ใกล้คุณในรูปของ “คนคนหนึ่ง”

    ---

    ลองมองย้อนกลับมาที่ตัวคุณ
    หากคุณเป็นคนที่อยู่ข้างเขา
    ในช่วงเวลาที่เขาค่อยๆดีขึ้น
    แปลว่าคุณกำลังสร้างอนิจจังขาขึ้นให้กับใครคนหนึ่ง

    แต่ถ้าคุณอยู่ในช่วงที่เขาค่อยๆถดถอย
    และคุณมีส่วนในนั้นไม่มากก็น้อย
    แปลว่าคุณกำลังสร้างอนิจจังขาลงโดยไม่รู้ตัว

    ---

    ธรรมชาติไม่เคยให้ใคร "คงที่"
    แต่ให้เรารู้เท่าทันความไม่คงที่
    คุณจะไม่ตกใจเมื่อคนเปลี่ยนไป
    ไม่เสียดายเมื่อสิ่งดีๆหายไป
    ไม่หลงระเริงเมื่ออะไรดีขึ้นมา

    เพราะคุณจะเข้าใจว่า…
    “คนหนึ่งคน” จะต้องเปลี่ยนเป็น “อีกคนหนึ่ง” เสมอ
    และคุณ...มีส่วนให้เขาเป็นเช่นนั้น

    ---

    บทเรียนจากความใกล้ชิด
    อยู่ใกล้ใครนานพอ
    เขาจะกลายเป็นครูโดยไม่ตั้งใจ
    ถ้าคุณตั้งใจเรียนรู้

    อยู่ใกล้กันนานแค่ไหนไม่สำคัญ
    แต่ถ้าคุณมีสติและใส่ใจ
    ความเป็น “อนิจจัง” ของเขา
    จะกลายเป็น “ปัญญา” ของคุณ
    ทั้งทางโลก และทางธรรม

    อย่าเพิ่งสรุปว่าเขาดีหรือร้าย
    แค่ถามตัวเองว่า…
    “เราอยู่ข้างเขาในช่วงที่เขากำลังขึ้น หรือกำลังลง?”
    และ “เราเป็นแรงส่ง หรือแรงฉุด?”

    #อนิจจังขาขึ้น
    #อนิจจังขาลง
    #ธรรมะใกล้ตัว
    #ความเข้าใจเปลี่ยนทุกอย่าง
    🌪️ อนิจจัง…ของความเป็นคน มีทั้ง ขาขึ้น และ ขาลง บางวันคุณเห็นเขาสดชื่น บางวันคุณเห็นเขาหม่นหมอง บางวันเขาพูดดี มีเมตตา บางวันเขาเย็นชา น่าปวดหัว บางวันเขาคิดดี ทำดี บางวันเขามืดมนจนคุณไม่อยากเข้าใกล้ 🌀 นี่คือ "อนิจจัง" ในเวอร์ชันมีชีวิต เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เดินได้ หายใจได้ และกำลังอยู่ใกล้คุณในรูปของ “คนคนหนึ่ง” --- 🪞 ลองมองย้อนกลับมาที่ตัวคุณ หากคุณเป็นคนที่อยู่ข้างเขา ในช่วงเวลาที่เขาค่อยๆดีขึ้น แปลว่าคุณกำลังสร้างอนิจจังขาขึ้นให้กับใครคนหนึ่ง แต่ถ้าคุณอยู่ในช่วงที่เขาค่อยๆถดถอย และคุณมีส่วนในนั้นไม่มากก็น้อย แปลว่าคุณกำลังสร้างอนิจจังขาลงโดยไม่รู้ตัว --- 🧘‍♀️ ธรรมชาติไม่เคยให้ใคร "คงที่" แต่ให้เรารู้เท่าทันความไม่คงที่ คุณจะไม่ตกใจเมื่อคนเปลี่ยนไป ไม่เสียดายเมื่อสิ่งดีๆหายไป ไม่หลงระเริงเมื่ออะไรดีขึ้นมา เพราะคุณจะเข้าใจว่า… “คนหนึ่งคน” จะต้องเปลี่ยนเป็น “อีกคนหนึ่ง” เสมอ และคุณ...มีส่วนให้เขาเป็นเช่นนั้น --- 💡 บทเรียนจากความใกล้ชิด อยู่ใกล้ใครนานพอ เขาจะกลายเป็นครูโดยไม่ตั้งใจ ถ้าคุณตั้งใจเรียนรู้ อยู่ใกล้กันนานแค่ไหนไม่สำคัญ แต่ถ้าคุณมีสติและใส่ใจ ความเป็น “อนิจจัง” ของเขา จะกลายเป็น “ปัญญา” ของคุณ ทั้งทางโลก และทางธรรม 📌 อย่าเพิ่งสรุปว่าเขาดีหรือร้าย แค่ถามตัวเองว่า… “เราอยู่ข้างเขาในช่วงที่เขากำลังขึ้น หรือกำลังลง?” และ “เราเป็นแรงส่ง หรือแรงฉุด?” #อนิจจังขาขึ้น #อนิจจังขาลง #ธรรมะใกล้ตัว #ความเข้าใจเปลี่ยนทุกอย่าง
    0 Comments 0 Shares 220 Views 0 Reviews
  • ชีวิตอะไรๆ ก็ดี แต่ไม่ค่อยดีคือความคิด..ความคิดมันมีคิดดีคิดร้าย..ต้องระวังความคิด
    ชีวิตอะไรๆ ก็ดี แต่ไม่ค่อยดีคือความคิด..ความคิดมันมีคิดดีคิดร้าย..ต้องระวังความคิด
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • “ศิริมงคลในหัว…คือชีวิตที่คิดเป็น”

    คนที่พอใจในตนเอง
    ไม่จำเป็นต้องหน้าตาดี
    ไม่จำเป็นต้องรวยล้นฟ้า
    ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของอาณาจักร
    แต่จำเป็นต้อง “คิดอะไรแล้วมีความสุขได้เอง”
    จบด้วยข้อสรุปดีๆในใจ…โดยไม่ต้องให้ใครตบมือ

    ---

    ชีวิตดี เริ่มที่วิธีคิดดี

    เพราะจริงๆ แล้ว “การพอใจในตนเอง”
    ก็คือ การพอใจในวิธีคิดของตัวเอง

    – คิดแล้วหัวโล่ง ไม่อึดอัด
    – คิดแล้วใจสว่าง ไม่มืดหม่น
    – คิดแล้วมีแรงจะทำสิ่งดีๆ
    – คิดแล้วโลกภายในสงบ
    – คิดแล้วเป็นจุดเริ่มต้นที่โลกภายนอกดีขึ้นตาม

    ใครคิดได้อย่างนี้
    เขาคือผู้มีศิริมงคลอยู่ในหัว 24 ชั่วโมง
    แม้เงียบอยู่คนเดียว…แต่เต็มไปด้วยพลัง

    ---

    คิดเป็นเส้นตรง ดีกว่าคิดวนเป็นวงกลม

    คนที่ฝึกคิดแบบเส้นตรงได้
    คือคนที่ฝึกใจให้เดินไปข้างหน้า
    ไม่หลงไปกับอดีต ไม่สะดุดอยู่กับความลังเล
    คือคนที่มีจุดหมายดีๆให้แล่นไป
    มีแผนการดีๆให้ก้าวเดิน
    ไม่คิดวกกลับมาทำลายความตั้งใจของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ตรงกันข้าม
    คนที่ คิดวน คือคนที่ติดกรรม
    หัวคิดฟุ้ง ตัดสินใจไม่ได้ หาทางออกไม่เจอ
    แทนที่จะพร้อมรับมือกับปัญหา
    ก็มัวร้องไห้ล่วงหน้า ทั้งที่ปัญหายังไม่เกิดด้วยซ้ำ

    ---

    เริ่มต้นที่เรื่องดีเล็กๆ เพื่อหลุดจากวงวน

    ถ้าอยากเลิกคิดวน
    ไม่ต้องคิดใหญ่อะไรก่อน
    แต่ให้ “ทำเรื่องดีง่ายๆสักเรื่อง”
    เช่น ปล่อยปลา ให้ข้าวนก เอ่ยคำขอบคุณใครสักคน

    ทำให้รู้สึกดีแบบไม่ต้องคิดเยอะ
    ทำแล้วหัวโล่ง
    จากนั้น “อธิษฐานในใจ”
    ว่าจะเอาวิธีคิดแบบนี้ไว้
    ตั้งจิตอย่างนี้ไว้
    ยึดจุดหมายดีๆไว้เป็นธงในใจ แล้ววิ่งไปให้ถึง

    ---

    ทุกครั้งที่คิดดีได้…คือการปฏิวัติชีวิตจากข้างใน

    เมื่อฝึกคิดเป็นเส้นตรงมากขึ้น
    คุณจะรู้ว่า “การคิดให้เป็น”
    คือวิธีสร้างชีวิตให้สงบ สว่าง และมั่นคง
    จนวันหนึ่งคุณจะพบว่า
    ศิริมงคลทั้งหลาย…ไม่ได้มาจากวัดไหน
    แต่มาจาก หัวใจที่คิดดีเป็นจนไม่อยากคิดเละอีกเลย
    “ศิริมงคลในหัว…คือชีวิตที่คิดเป็น” คนที่พอใจในตนเอง ไม่จำเป็นต้องหน้าตาดี ไม่จำเป็นต้องรวยล้นฟ้า ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของอาณาจักร แต่จำเป็นต้อง “คิดอะไรแล้วมีความสุขได้เอง” จบด้วยข้อสรุปดีๆในใจ…โดยไม่ต้องให้ใครตบมือ --- ชีวิตดี เริ่มที่วิธีคิดดี เพราะจริงๆ แล้ว “การพอใจในตนเอง” ก็คือ การพอใจในวิธีคิดของตัวเอง – คิดแล้วหัวโล่ง ไม่อึดอัด – คิดแล้วใจสว่าง ไม่มืดหม่น – คิดแล้วมีแรงจะทำสิ่งดีๆ – คิดแล้วโลกภายในสงบ – คิดแล้วเป็นจุดเริ่มต้นที่โลกภายนอกดีขึ้นตาม ใครคิดได้อย่างนี้ เขาคือผู้มีศิริมงคลอยู่ในหัว 24 ชั่วโมง แม้เงียบอยู่คนเดียว…แต่เต็มไปด้วยพลัง --- คิดเป็นเส้นตรง ดีกว่าคิดวนเป็นวงกลม คนที่ฝึกคิดแบบเส้นตรงได้ คือคนที่ฝึกใจให้เดินไปข้างหน้า ไม่หลงไปกับอดีต ไม่สะดุดอยู่กับความลังเล คือคนที่มีจุดหมายดีๆให้แล่นไป มีแผนการดีๆให้ก้าวเดิน ไม่คิดวกกลับมาทำลายความตั้งใจของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตรงกันข้าม คนที่ คิดวน คือคนที่ติดกรรม หัวคิดฟุ้ง ตัดสินใจไม่ได้ หาทางออกไม่เจอ แทนที่จะพร้อมรับมือกับปัญหา ก็มัวร้องไห้ล่วงหน้า ทั้งที่ปัญหายังไม่เกิดด้วยซ้ำ --- เริ่มต้นที่เรื่องดีเล็กๆ เพื่อหลุดจากวงวน ถ้าอยากเลิกคิดวน ไม่ต้องคิดใหญ่อะไรก่อน แต่ให้ “ทำเรื่องดีง่ายๆสักเรื่อง” เช่น ปล่อยปลา ให้ข้าวนก เอ่ยคำขอบคุณใครสักคน ทำให้รู้สึกดีแบบไม่ต้องคิดเยอะ ทำแล้วหัวโล่ง จากนั้น “อธิษฐานในใจ” ว่าจะเอาวิธีคิดแบบนี้ไว้ ตั้งจิตอย่างนี้ไว้ ยึดจุดหมายดีๆไว้เป็นธงในใจ แล้ววิ่งไปให้ถึง --- ทุกครั้งที่คิดดีได้…คือการปฏิวัติชีวิตจากข้างใน เมื่อฝึกคิดเป็นเส้นตรงมากขึ้น คุณจะรู้ว่า “การคิดให้เป็น” คือวิธีสร้างชีวิตให้สงบ สว่าง และมั่นคง จนวันหนึ่งคุณจะพบว่า ศิริมงคลทั้งหลาย…ไม่ได้มาจากวัดไหน แต่มาจาก หัวใจที่คิดดีเป็นจนไม่อยากคิดเละอีกเลย
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • ภาวะไร้ราคา เมื่อรู้สึกว่าไม่มีคุณค่าในสายตาใคร แม้กระทั่งความในใจ…ยังต้องใช้เงินถึงจะมีคนสนใจ

    เข้าใจลึกถึงภาวะ "ไร้คุณค่า" ในมุมที่หลายคนอาจเคยสัมผัส แต่ไม่กล้าพูดถึง ตั้งแต่ความเจ็บที่ซ่อนในความเงียบ ไปจนถึงพฤติกรรมที่ดูแรง แต่เต็มไปด้วยคำขอความเข้าใจ พร้อมแนวทางรับมืออย่างเข้าใจ ทั้งใจเราและใจเขา

    ภาวะไร้ราคาในใจคน ความเงียบที่เจ็บปวด และวิธีรับมือด้วยความเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องเปล่งเสียงดัง เพื่อให้ใครได้ยิน

    เสียงของความเงียบที่ไม่มีใครฟัง “แม้กระทั่งความในใจ…ยังต้องใช้เงิน ถึงจะมีคนสนใจ” ประโยคนี้อาจฟังดูประชดประชัน แต่มันสะท้อนความจริงเจ็บลึก ของคนจำนวนมาก ในยุคที่โลกออนไลน์ กลายเป็นเวทีให้คนตะโกนหา ‘ตัวตน’

    ในสังคมที่ทุกอย่างวัดค่าจากยอดไลก์ ความสนใจ หรือจำนวนผู้ติดตาม คนที่รู้สึกว่าไม่มีใครฟัง ไม่มีใครแคร์ อาจเริ่มตั้งคำถามว่า “เรายังมีตัวตนอยู่จริงไหม?”

    ความเงียบไม่ใช่สิ่งเลวร้าย… แต่เมื่อความเงียบนั้นไม่ใช่ ‘พื้นที่พักใจ’ แต่คือ ‘กำแพงที่กั้นไม่ให้ใครเห็นเรา’ มันกลายเป็นความเจ็บที่ไม่พูดก็ไม่เข้าใจ

    "ภาวะไร้ราคา" หรือ "Worthlessness" คือความรู้สึกที่ว่า… เราไม่มีคุณค่า ไม่มีความหมาย ไม่มีใครสนใจ หรือแม้แต่สังเกตเห็นว่าเรามีตัวตน

    ความรู้สึกนี้มักเกิดขึ้นจากปัจจัยทางจิตใจ สังคม หรือการเปรียบเทียบกับผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อเรารู้สึกว่า "ความรู้สึกของเราไม่ถูกฟัง ไม่ถูกเห็น"

    ตัวอย่างของภาวะนี้... โพสต์อะไรแล้วไม่มีใครสนใจ พูดสิ่งที่รู้สึก แต่ไม่มีใครใส่ใจฟัง รู้สึกว่าตัวเองไม่มีบทบาทในกลุ่ม หรือในครอบครัว

    ซึ่งภาวะนี้หากปล่อยไว้ ไม่จัดการ อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า, การแยกตัวทางสังคม หรือแม้กระทั่งความคิดอยากทำร้ายตัวเอง

    ยุคนี้มีรู้สึก "ไร้คุณค่า" มากขึ้น เพราะวัฒนธรรมเปรียบเทียบ ทุกคนโพสต์แต่สิ่งที่ดีที่สุด เราเห็นแต่ภาพ “สำเร็จ” ของคนอื่น แต่ไม่เห็นความล้มเหลว ทำให้เรารู้สึกว่า “เรายังไม่ดีพอ”

    การนิยามตัวตนจากความสนใจภายนอก หากโพสต์ไม่มีคนกดไลก์ หรือเรื่องที่เราพูดไม่มีใครสนใจ เราอาจรู้สึกว่า “เสียงของเราไม่มีความหมาย”

    พฤติกรรมของคนรอบข้าง เช่น คนในครอบครัว เพิกเฉยต่อสิ่งที่เราพูด เพื่อนร่วมงานไม่ฟังความเห็น หรือการถูกมองข้ามซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ความเหนื่อยล้าจากการ "สร้างภาพ" การต้อง "ดูดี" ตลอดเวลา เหมือนการใส่หน้ากาก ที่ไม่สามารถถอดได้ แม้แต่ตอนอยู่คนเดียว

    เมื่อเสียงที่ถูกเพิกเฉย กลายเป็นคำพูดที่รุนแรง คนที่ “ตะโกน” ออกมา อาจไม่ใช่คนที่อยากทำร้ายใคร แต่อาจเป็นคนที่อยากให้ “ใครบางคน” ได้ยิน

    หลายครั้งที่การด่าทอ การประชดชีวิต หรือการแสดงพฤติกรรมแรง ๆ ไม่ได้เกิดจาก “ความเกลียด” แต่เกิดจากความพยายาม “ส่งเสียง” ครั้งสุดท้าย

    เขาอาจพยายามพูดดี ๆ แล้ว อาจเคยแสดงออกด้วยวิธีที่นุ่มนวลกว่า แต่เมื่อไม่มีใครฟัง… ก็เลย “พูดให้ดังขึ้น” แม้มันจะมาในรูปแบบของ “คำพูดที่เจ็บ” ก็ตาม

    ยอมเสียเงินทำป้าย เพื่อให้คนสนใจ ความเจ็บที่กลายเป็นข้อความ "เมื่อโพสต์ไม่มีใครกดไลก์ เมื่อพูดแล้วไม่มีใครฟัง… บางคนเลือก ‘จ่ายเงิน’ เพื่อให้ความรู้สึกของตัวเองได้มีคนเห็น"

    การยอมลงทุนทำป้ายติดหน้าบ้าน ไม่ใช่แค่เพราะอยากประชดชีวิต แต่มันคือการพยายาม ‘ปล่อยเสียงออกมาให้ดังพอ’ ที่จะทะลุผ่านกำแพงความเงียบ ของสังคมในยุคนี้

    ความเจ็บที่อยู่เบื้องหลังข้อความบนป้าย หลายคนอาจหัวเราะ เมื่อเห็นใครทำป้ายที่มีข้อความแรง ๆ ติดไว้หน้าบ้าน แต่ถ้าลองหยุดและคิดดี ๆ... คนที่เลือกวิธีนี้ อาจไม่ใช่คนที่อยากทำร้ายใคร แต่คือคนที่ “กำลังร้องไห้เงียบ ๆ อยู่ข้างใน”

    เพราะอาจเคยพูดแล้ว เคยขอความช่วยเหลือแล้ว แต่ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเห็น…

    สุดท้ายเลยต้อง “เปลี่ยนความรู้สึกเป็นตัวหนังสือ” แล้วแปะไว้ให้โลกรู้ แม้จะต้อง “เสียเงิน” เพื่อให้ข้อความนี้ มีพื้นที่อยู่บ้างก็ตาม

    ข้อความที่คนไม่กล้าพูด แต่กล้าเขียน ข้อความเหล่านี้ มักไม่ใช่ถ้อยคำสุภาพ แต่มันคือ ความรู้สึกดิบๆ จากคนที่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร

    บางข้อความอาจดู “แรง” บางข้อความอาจดู “ตลกร้าย” แต่เกือบทุกข้อความ…แฝง “ความเจ็บปวด” เสมอ เช่น...

    "ทำไมเงียบกันจังวะ? หรือเราตายไปแล้ว?"

    "ใครสักคน สนใจหน่อยไม่ได้เหรอ?"

    "ถึงต้องซื้อป้าย ถึงจะมีคนอ่านใจเรา"

    "ฉันรังเกียจโน่น นี่ นั่น..."

    เสียงพวกนี้ บางทีก็ไม่ได้อยากให้ทุกคนสนใจ แต่อยากให้ “ใครบางคน” เห็น…

    ความจริงที่น่ากลัวกว่า "ความรุนแรง" คือ "ความเงียบ" ความรุนแรงของถ้อยคำ อาจดูน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ความเงียบที่ทำให้คนรู้สึกว่า ‘ไม่มีตัวตน’

    ในยุคที่เราทุกคนต่างยุ่งกับหน้าจอ บางคนกำลัง “จมหาย” อยู่ข้างหลังประตูบ้าน และบางที… แค่มีใครสักคนหยุดดูป้ายนั้น ก็อาจช่วยชีวิตเขาไว้ได้

    บทเรียนจาก “ป้าย” ที่ควรเห็นใจ ไม่ใช่ตัดสิน ถ้าเห็นใครทำแบบนี้ อย่าเพิ่งรีบหัวเราะ อย่าเพิ่งรีบด่า เพราะเบื้องหลังนั้น… อาจคือคนที่ “เจ็บจนเงียบไม่ไหวแล้วจริง ๆ”

    ลองคิดในมุมกลับ… ถ้ารู้สึกแย่มาก จนต้องเสียเงินเพื่อให้คนฟัง แสดงว่ากำลังขาดการเชื่อมโยง ที่ลึกมากในชีวิต

    เราควรฟังให้มากขึ้น โดยไม่ตัดสิน สังเกตคนรอบตัว ที่อาจกำลังส่งสัญญาณว่าเขา “หมดแรงแล้ว” เปิดใจคุย แบบจริงใจ แม้เพียงไม่กี่คำ ก็อาจช่วยเขาได้มาก สร้างพื้นที่ให้คนได้ระบาย โดยไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ

    เพราะบางครั้ง... “ข้อความบนป้าย” ก็ไม่ได้อยากให้ทุกคนเข้าใจ แต่อยากให้ “ใครบางคนที่เขาหวัง” เข้าใจแค่นั้น
    และคุณ...อาจเป็น “คนนั้น” ที่เขารอให้เห็นอยู่ก็ได้

    วิธีรับมือคนที่รู้สึกไร้คุณค่า โดยไม่ทำให้เขาเจ็บเพิ่ม ฟังอย่างจริงใจ ไม่ต้องรีบตัดสิน บางทีเขาไม่ได้ต้องการ “คำตอบ” แค่ต้องการ “พื้นที่ให้พูด”

    อย่าโต้กลับด้วยความรุนแรง ความสงบของคุณ อาจเป็นพื้นที่ปลอดภัยเดียวที่เขามีในวันนั้น เว้นระยะอย่างมีเมตตา เข้าใจ ≠ ต้องทน คุณมีสิทธิ์ดูแลตัวเอง ไม่ต้องรับพลังลบเข้าใส่ทุกวัน

    ถ้ารุนแรงมาก ให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหากพฤติกรรมของเขา อาจเป็นอันตรายต่อคนรอบข้าง

    ความลวงบนโลกโซเชียล เมื่อ "สร้างภาพว่าขายดี" กลายเป็นดาบสองคม ปัญหาที่ตามมาคือ หลอกตัวเอง จนหลุดจากปัญหาจริง เหนื่อยกับการแสดง มากกว่าทำธุรกิจ สูญเสียความน่าเชื่อถือในระยะยาว เครียดสะสมแบบไม่รู้ตัว เสียโอกาสในการพัฒนา พังทั้งระบบ เมื่อแบกรับไม่ไหว สร้างมาตรฐานปลอมให้คนทั้งวงการ

    วิธีแก้คือ พูดความจริงอย่างมีพลัง เล่าความเปลี่ยนแปลงจากใจจริง ยอมรับว่ายังไม่ดีพอ แล้วค่อยๆ ปรับ

    ภาระของคนที่ "เคยรวย" แล้วจมไม่ลง ผลเสียที่ตามมาคือ ภาระหนี้เกินตัว ถูกตัดน้ำ ตัดไฟ รถต้องจอดจำนำ ความสัมพันธ์พังเพราะโกหก ความเครียดสะสมเพราะต้องแสดง ไม่ยอมพัฒนา เพราะไม่ยอมรับความจริง โอกาสหาย เพราะไม่มีใครรู้ว่ากำลังล้ม เสียเวลาไปกับ “เปลือก” แทนที่จะสร้างแก่น เปรียบเทียบตัวเองกับอดีต ไม่มีใครเข้าใจ เพราะไม่กล้าพูดความจริง

    คุณมีค่าเสมอ แม้ไม่มีใครบอก ไม่จำเป็นต้องเสียงดัง ไม่ต้อง “ดูดี” ตลอดเวลา ไม่ต้องมีไลก์เยอะ เพื่อยืนยันการมีอยู่ของตัวเอง

    การยอมรับว่า “ฉันกำลังเจ็บ” ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือ ก้าวแรกของความเข้มแข็ง ที่แท้จริง

    หากเจอใครที่กำลังรู้สึกไร้ค่า ขอให้คุณเป็นคนหนึ่ง… ที่ “ฟัง” ก่อนจะ “ตัดสิน” เพราะความเข้าใจจากใจคนหนึ่ง อาจเปลี่ยนอีกคนทั้งชีวิต

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251519 เม.ย. 2568

    #ภาวะไร้ค่า #ไม่มีใครฟัง #สังคมสร้างภาพ #ความรู้สึกที่ไม่มีใครเห็น #ฟังด้วยใจ #ความจริงสำคัญที่สุด #ฟังเถอะก่อนจะสาย #ความเจ็บจากความเงียบ #รักษาใจไม่ใช่ภาพลักษณ์ #อย่าตัดสินแค่สิ่งที่เห็น
    ภาวะไร้ราคา เมื่อรู้สึกว่าไม่มีคุณค่าในสายตาใคร แม้กระทั่งความในใจ…ยังต้องใช้เงินถึงจะมีคนสนใจ 💸🧍‍♂️ 💡 เข้าใจลึกถึงภาวะ "ไร้คุณค่า" ในมุมที่หลายคนอาจเคยสัมผัส แต่ไม่กล้าพูดถึง ตั้งแต่ความเจ็บที่ซ่อนในความเงียบ ไปจนถึงพฤติกรรมที่ดูแรง แต่เต็มไปด้วยคำขอความเข้าใจ พร้อมแนวทางรับมืออย่างเข้าใจ ทั้งใจเราและใจเขา 📝 ภาวะไร้ราคาในใจคน ความเงียบที่เจ็บปวด และวิธีรับมือด้วยความเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องเปล่งเสียงดัง เพื่อให้ใครได้ยิน 🌐 🔍 เสียงของความเงียบที่ไม่มีใครฟัง “แม้กระทั่งความในใจ…ยังต้องใช้เงิน ถึงจะมีคนสนใจ” ประโยคนี้อาจฟังดูประชดประชัน แต่มันสะท้อนความจริงเจ็บลึก ของคนจำนวนมาก ในยุคที่โลกออนไลน์ กลายเป็นเวทีให้คนตะโกนหา ‘ตัวตน’ ในสังคมที่ทุกอย่างวัดค่าจากยอดไลก์ 💬 ความสนใจ 🧠 หรือจำนวนผู้ติดตาม คนที่รู้สึกว่าไม่มีใครฟัง ไม่มีใครแคร์ อาจเริ่มตั้งคำถามว่า “เรายังมีตัวตนอยู่จริงไหม?” ความเงียบไม่ใช่สิ่งเลวร้าย… แต่เมื่อความเงียบนั้นไม่ใช่ ‘พื้นที่พักใจ’ แต่คือ ‘กำแพงที่กั้นไม่ให้ใครเห็นเรา’ มันกลายเป็นความเจ็บที่ไม่พูดก็ไม่เข้าใจ 🔍 "ภาวะไร้ราคา" หรือ "Worthlessness" คือความรู้สึกที่ว่า… เราไม่มีคุณค่า ไม่มีความหมาย ไม่มีใครสนใจ หรือแม้แต่สังเกตเห็นว่าเรามีตัวตน 📌 ความรู้สึกนี้มักเกิดขึ้นจากปัจจัยทางจิตใจ สังคม หรือการเปรียบเทียบกับผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อเรารู้สึกว่า "ความรู้สึกของเราไม่ถูกฟัง ไม่ถูกเห็น" ตัวอย่างของภาวะนี้... โพสต์อะไรแล้วไม่มีใครสนใจ 📉 พูดสิ่งที่รู้สึก แต่ไม่มีใครใส่ใจฟัง 🧏‍♀️ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีบทบาทในกลุ่ม หรือในครอบครัว 🧠 ซึ่งภาวะนี้หากปล่อยไว้ ไม่จัดการ อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า, การแยกตัวทางสังคม หรือแม้กระทั่งความคิดอยากทำร้ายตัวเอง 🔍 ยุคนี้มีรู้สึก "ไร้คุณค่า" มากขึ้น เพราะวัฒนธรรมเปรียบเทียบ ทุกคนโพสต์แต่สิ่งที่ดีที่สุด 📷 เราเห็นแต่ภาพ “สำเร็จ” ของคนอื่น แต่ไม่เห็นความล้มเหลว ทำให้เรารู้สึกว่า “เรายังไม่ดีพอ” การนิยามตัวตนจากความสนใจภายนอก หากโพสต์ไม่มีคนกดไลก์ 🖱️ หรือเรื่องที่เราพูดไม่มีใครสนใจ เราอาจรู้สึกว่า “เสียงของเราไม่มีความหมาย” พฤติกรรมของคนรอบข้าง เช่น คนในครอบครัว เพิกเฉยต่อสิ่งที่เราพูด เพื่อนร่วมงานไม่ฟังความเห็น หรือการถูกมองข้ามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความเหนื่อยล้าจากการ "สร้างภาพ" การต้อง "ดูดี" ตลอดเวลา เหมือนการใส่หน้ากาก ที่ไม่สามารถถอดได้ แม้แต่ตอนอยู่คนเดียว 🔍 เมื่อเสียงที่ถูกเพิกเฉย กลายเป็นคำพูดที่รุนแรง คนที่ “ตะโกน” ออกมา อาจไม่ใช่คนที่อยากทำร้ายใคร แต่อาจเป็นคนที่อยากให้ “ใครบางคน” ได้ยิน หลายครั้งที่การด่าทอ 🗣️ การประชดชีวิต หรือการแสดงพฤติกรรมแรง ๆ ไม่ได้เกิดจาก “ความเกลียด” แต่เกิดจากความพยายาม “ส่งเสียง” ครั้งสุดท้าย เขาอาจพยายามพูดดี ๆ แล้ว อาจเคยแสดงออกด้วยวิธีที่นุ่มนวลกว่า แต่เมื่อไม่มีใครฟัง… ก็เลย “พูดให้ดังขึ้น” แม้มันจะมาในรูปแบบของ “คำพูดที่เจ็บ” ก็ตาม 🪧 ยอมเสียเงินทำป้าย เพื่อให้คนสนใจ ความเจ็บที่กลายเป็นข้อความ "เมื่อโพสต์ไม่มีใครกดไลก์ เมื่อพูดแล้วไม่มีใครฟัง… บางคนเลือก ‘จ่ายเงิน’ เพื่อให้ความรู้สึกของตัวเองได้มีคนเห็น" การยอมลงทุนทำป้ายติดหน้าบ้าน ไม่ใช่แค่เพราะอยากประชดชีวิต แต่มันคือการพยายาม ‘ปล่อยเสียงออกมาให้ดังพอ’ ที่จะทะลุผ่านกำแพงความเงียบ ของสังคมในยุคนี้ 😢 ความเจ็บที่อยู่เบื้องหลังข้อความบนป้าย หลายคนอาจหัวเราะ เมื่อเห็นใครทำป้ายที่มีข้อความแรง ๆ ติดไว้หน้าบ้าน แต่ถ้าลองหยุดและคิดดี ๆ... คนที่เลือกวิธีนี้ อาจไม่ใช่คนที่อยากทำร้ายใคร แต่คือคนที่ “กำลังร้องไห้เงียบ ๆ อยู่ข้างใน” เพราะอาจเคยพูดแล้ว เคยขอความช่วยเหลือแล้ว แต่ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเห็น… สุดท้ายเลยต้อง “เปลี่ยนความรู้สึกเป็นตัวหนังสือ” แล้วแปะไว้ให้โลกรู้ แม้จะต้อง “เสียเงิน” เพื่อให้ข้อความนี้ มีพื้นที่อยู่บ้างก็ตาม 💬 ข้อความที่คนไม่กล้าพูด แต่กล้าเขียน ข้อความเหล่านี้ มักไม่ใช่ถ้อยคำสุภาพ แต่มันคือ ความรู้สึกดิบๆ จากคนที่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร บางข้อความอาจดู “แรง” บางข้อความอาจดู “ตลกร้าย” แต่เกือบทุกข้อความ…แฝง “ความเจ็บปวด” เสมอ เช่น... "ทำไมเงียบกันจังวะ? หรือเราตายไปแล้ว?" "ใครสักคน สนใจหน่อยไม่ได้เหรอ?" "ถึงต้องซื้อป้าย ถึงจะมีคนอ่านใจเรา" "ฉันรังเกียจโน่น นี่ นั่น..." เสียงพวกนี้ บางทีก็ไม่ได้อยากให้ทุกคนสนใจ แต่อยากให้ “ใครบางคน” เห็น… 📌 ความจริงที่น่ากลัวกว่า "ความรุนแรง" คือ "ความเงียบ" ความรุนแรงของถ้อยคำ อาจดูน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ความเงียบที่ทำให้คนรู้สึกว่า ‘ไม่มีตัวตน’ ในยุคที่เราทุกคนต่างยุ่งกับหน้าจอ บางคนกำลัง “จมหาย” อยู่ข้างหลังประตูบ้าน และบางที… แค่มีใครสักคนหยุดดูป้ายนั้น ก็อาจช่วยชีวิตเขาไว้ได้ 🎯 บทเรียนจาก “ป้าย” ที่ควรเห็นใจ ไม่ใช่ตัดสิน ถ้าเห็นใครทำแบบนี้ อย่าเพิ่งรีบหัวเราะ อย่าเพิ่งรีบด่า เพราะเบื้องหลังนั้น… อาจคือคนที่ “เจ็บจนเงียบไม่ไหวแล้วจริง ๆ” ลองคิดในมุมกลับ… ถ้ารู้สึกแย่มาก จนต้องเสียเงินเพื่อให้คนฟัง แสดงว่ากำลังขาดการเชื่อมโยง ที่ลึกมากในชีวิต ❤️ เราควรฟังให้มากขึ้น โดยไม่ตัดสิน สังเกตคนรอบตัว ที่อาจกำลังส่งสัญญาณว่าเขา “หมดแรงแล้ว” เปิดใจคุย แบบจริงใจ แม้เพียงไม่กี่คำ ก็อาจช่วยเขาได้มาก สร้างพื้นที่ให้คนได้ระบาย โดยไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ เพราะบางครั้ง... “ข้อความบนป้าย” ก็ไม่ได้อยากให้ทุกคนเข้าใจ แต่อยากให้ “ใครบางคนที่เขาหวัง” เข้าใจแค่นั้น 🪧💔 และคุณ...อาจเป็น “คนนั้น” ที่เขารอให้เห็นอยู่ก็ได้ 🫂 🔍 วิธีรับมือคนที่รู้สึกไร้คุณค่า โดยไม่ทำให้เขาเจ็บเพิ่ม ฟังอย่างจริงใจ ไม่ต้องรีบตัดสิน บางทีเขาไม่ได้ต้องการ “คำตอบ” แค่ต้องการ “พื้นที่ให้พูด” อย่าโต้กลับด้วยความรุนแรง ความสงบของคุณ อาจเป็นพื้นที่ปลอดภัยเดียวที่เขามีในวันนั้น เว้นระยะอย่างมีเมตตา เข้าใจ ≠ ต้องทน คุณมีสิทธิ์ดูแลตัวเอง ไม่ต้องรับพลังลบเข้าใส่ทุกวัน ถ้ารุนแรงมาก ให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหากพฤติกรรมของเขา อาจเป็นอันตรายต่อคนรอบข้าง 🔍 ความลวงบนโลกโซเชียล เมื่อ "สร้างภาพว่าขายดี" กลายเป็นดาบสองคม 🧾 ปัญหาที่ตามมาคือ หลอกตัวเอง จนหลุดจากปัญหาจริง เหนื่อยกับการแสดง มากกว่าทำธุรกิจ สูญเสียความน่าเชื่อถือในระยะยาว เครียดสะสมแบบไม่รู้ตัว เสียโอกาสในการพัฒนา พังทั้งระบบ เมื่อแบกรับไม่ไหว สร้างมาตรฐานปลอมให้คนทั้งวงการ ✅ วิธีแก้คือ พูดความจริงอย่างมีพลัง ✨ เล่าความเปลี่ยนแปลงจากใจจริง ยอมรับว่ายังไม่ดีพอ แล้วค่อยๆ ปรับ 🔍 ภาระของคนที่ "เคยรวย" แล้วจมไม่ลง 💼💔 ผลเสียที่ตามมาคือ ภาระหนี้เกินตัว ถูกตัดน้ำ ตัดไฟ รถต้องจอดจำนำ ความสัมพันธ์พังเพราะโกหก ความเครียดสะสมเพราะต้องแสดง ไม่ยอมพัฒนา เพราะไม่ยอมรับความจริง โอกาสหาย เพราะไม่มีใครรู้ว่ากำลังล้ม เสียเวลาไปกับ “เปลือก” แทนที่จะสร้างแก่น เปรียบเทียบตัวเองกับอดีต ไม่มีใครเข้าใจ เพราะไม่กล้าพูดความจริง 🔍 คุณมีค่าเสมอ แม้ไม่มีใครบอก 🧡 ไม่จำเป็นต้องเสียงดัง ไม่ต้อง “ดูดี” ตลอดเวลา ไม่ต้องมีไลก์เยอะ เพื่อยืนยันการมีอยู่ของตัวเอง การยอมรับว่า “ฉันกำลังเจ็บ” ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือ ก้าวแรกของความเข้มแข็ง ที่แท้จริง หากเจอใครที่กำลังรู้สึกไร้ค่า ขอให้คุณเป็นคนหนึ่ง… ที่ “ฟัง” ก่อนจะ “ตัดสิน” เพราะความเข้าใจจากใจคนหนึ่ง อาจเปลี่ยนอีกคนทั้งชีวิต 🌱 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251519 เม.ย. 2568 📲 #ภาวะไร้ค่า #ไม่มีใครฟัง #สังคมสร้างภาพ #ความรู้สึกที่ไม่มีใครเห็น #ฟังด้วยใจ #ความจริงสำคัญที่สุด #ฟังเถอะก่อนจะสาย #ความเจ็บจากความเงียบ #รักษาใจไม่ใช่ภาพลักษณ์ #อย่าตัดสินแค่สิ่งที่เห็น
    0 Comments 0 Shares 654 Views 0 Reviews
  • แนวคิดดี รัฐบาลควรปรับใช้กับ "มหาลัยบางแห่ง" ในไทย

    https://www.facebook.com/share/p/161WB5qubq/
    แนวคิดดี รัฐบาลควรปรับใช้กับ "มหาลัยบางแห่ง" ในไทย https://www.facebook.com/share/p/161WB5qubq/
    0 Comments 0 Shares 239 Views 0 Reviews
  • https://www.youtube.com/watch?v=6rZ6fTm6U4I
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาวันสงกรานต์
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #สงกรานต์

    The conversations from the clip :

    Tom: Hey Mia, wow, this water fight is so much fun! I can't believe how crazy it is around here!
    Mia: Hey Tom! I know, right? It’s really lively! But I’m starting to get a bit tired. How about we head to Silom next? It’s one of the best places for Songkran!
    Tom: Sounds awesome! I’ve heard Silom is packed during Songkran. But before we go, I’m getting hungry. Where should we grab something to eat?
    Mia: Good idea, Tom! There are so many street food stalls near here. How about we get some mango sticky rice and grilled pork skewers?
    Tom: Yum, that sounds perfect! I’m also craving some coconut ice cream. Let’s go for it!
    Mia: Great choice! After eating, we can take the BTS to Silom. We’ll get there quickly and easily.
    Tom: Yeah, taking the BTS from here sounds perfect. We can get off at Sala Daeng Station, and then we’ll be right in the heart of the action!
    Mia: Exactly! Once we’re done there, how about we head to Thonglor? I’ve heard it’s a bit more laid-back but still fun during Songkran.
    Tom: I love that idea, Mia! Thonglor has some cool places, and it’s less crowded than Silom. It’ll be a nice change.
    Mia: Right! Plus, it’s easy to get there from Silom. We can take the BTS from Sala Daeng to Thong Lo Station.
    Tom: Oh, that’s so convenient! It’ll only take a few stops. I’m excited for Thonglor! It’ll be a perfect way to end the day.
    Mia: Me too, Tom! So, we’ll eat first, head to Silom by BTS for more water fun, and then go to Thonglor to relax and enjoy the vibe.
    Tom: Sounds like a plan, Mia! It’s going to be a fun-filled day of water fights, food, and good times.
    Mia: For sure! I can’t wait. Let’s grab some food now and get ready for the next stop!
    Tom: Absolutely! Let’s go eat, then!

    Tom: สวัสดี Mia ว้าว, การเล่นน้ำสนุกมากเลย! ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะบ้าคลั่งขนาดนี้ที่นี่!
    Mia: สวัสดี Tom! ฉันรู้ใช่ไหม? มันคึกคักจริงๆ เลย! แต่ฉันเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้วนะ ไปที่สีลมต่อดีไหม? มันเป็นหนึ่งในที่ดีที่สุดสำหรับสงกรานต์!
    Tom: ฟังดูดีมาก! ฉันได้ยินมาว่าที่สีลมคนเยอะมากช่วงสงกรานต์เลยนะ แต่ก่อนที่เราจะไป ฉันหิวแล้ว แถวนี้มีที่ไหนที่เราจะไปหากินกันไหม?
    Mia: ความคิดดีเลย Tom! ที่นี่มีร้านอาหารข้างทางเยอะมากเลยนะ เราจะกินข้าวเหนียวมะม่วงกับหมูปิ้งไหม?
    Tom: อืม, ฟังดูอร่อยมาก! ฉันก็อยากกินไอศกรีมมะพร้าวด้วย ลองไปกินกันเถอะ!
    Mia: ตัวเลือกดีมาก! หลังจากกินเสร็จ เราจะนั่งรถไฟฟ้าไปที่สีลมกันนะ เราจะไปถึงเร็วมากเลย
    Tom: ใช่แล้ว นั่ง BTS จากที่นี่ก็ดีเลย เราจะลงที่สถานีศาลาแดง แล้วก็จะอยู่ตรงกลางของความสนุกเลย!
    Mia: ใช่เลย! หลังจากที่เราจบที่สีลมแล้ว ไปทองหล่อกันดีไหม? ฉันได้ยินมาว่ามันจะเงียบกว่าหน่อยแต่ก็สนุกในช่วงสงกรานต์
    Tom: ฉันชอบความคิดนี้ Mia! ทองหล่อมีที่เจ๋งๆ เยอะเลย และมันไม่พลุกพล่านเหมือนสีลม มันน่าจะเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดี
    Mia: ใช่เลย! อีกอย่างมันก็ไปที่ทองหล่อได้ง่ายจากสีลม เราสามารถนั่ง BTS จากสถานีศาลาแดงไปสถานีทองหล่อ
    Tom: โอ้, นั่นสะดวกมาก! มันจะใช้เวลาแค่ไม่กี่สถานีเอง ฉันตื่นเต้นกับทองหล่อมาก! มันจะเป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบในการจบวัน
    Mia: ฉันก็เช่นกัน Tom! ดังนั้นเราจะไปกินก่อน จากนั้นไปที่สีลมด้วย BTS เพื่อเล่นน้ำต่อ และสุดท้ายไปทองหล่อเพื่อผ่อนคลายและสนุกกับบรรยากาศ
    Tom: ฟังดูเป็นแผนที่ดีเลย Mia! มันจะเป็นวันเต็มไปด้วยการเล่นน้ำ อาหาร และช่วงเวลาที่ดี
    Mia: แน่นอน! ฉันรอไม่ไหวแล้ว เรามากินกันเถอะ แล้วค่อยไปสถานที่ถัดไป!
    Tom: แน่นอน! ไปกินกันเถอะ!

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    Water fight (วอ-เทอร์ ไฟต์) n. - การสู้ด้วยน้ำ
    Lively (ไล-ฟลี) adj. - มีชีวิตชีวา, คึกคัก
    Tired (ไท-เอิด) adj. - เหนื่อย
    Street food (สตรีท ฟู้ด) n. - อาหารข้างทาง
    Sticky rice (สติกกี้ ไรซ) n. - ข้าวเหนียว
    Skewers (สกิว-เวอร์) n. - ไม้เสียบ
    Coconut (โค-โค-นัท) n. - มะพร้าว
    Ice cream (ไอซ์ ครีม) n. - ไอศกรีม
    BTS (บีทีเอส) n. - ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า)
    Convenient (คอน-วี-เนียนท) adj. - สะดวก
    Laid-back (เลด-แบค) adj. - สบายๆ, ผ่อนคลาย
    Crowded (เครา-ดิด) adj. - แออัด
    Relax (รี-แลกซ์) v. - ผ่อนคลาย
    Vibe (ไวบ์) n. - บรรยากาศ, ความรู้สึก
    Fun-filled (ฟัน-ฟิลด์) adj. - เต็มไปด้วยความสนุก
    https://www.youtube.com/watch?v=6rZ6fTm6U4I (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาวันสงกรานต์ มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #สงกรานต์ The conversations from the clip : Tom: Hey Mia, wow, this water fight is so much fun! I can't believe how crazy it is around here! Mia: Hey Tom! I know, right? It’s really lively! But I’m starting to get a bit tired. How about we head to Silom next? It’s one of the best places for Songkran! Tom: Sounds awesome! I’ve heard Silom is packed during Songkran. But before we go, I’m getting hungry. Where should we grab something to eat? Mia: Good idea, Tom! There are so many street food stalls near here. How about we get some mango sticky rice and grilled pork skewers? Tom: Yum, that sounds perfect! I’m also craving some coconut ice cream. Let’s go for it! Mia: Great choice! After eating, we can take the BTS to Silom. We’ll get there quickly and easily. Tom: Yeah, taking the BTS from here sounds perfect. We can get off at Sala Daeng Station, and then we’ll be right in the heart of the action! Mia: Exactly! Once we’re done there, how about we head to Thonglor? I’ve heard it’s a bit more laid-back but still fun during Songkran. Tom: I love that idea, Mia! Thonglor has some cool places, and it’s less crowded than Silom. It’ll be a nice change. Mia: Right! Plus, it’s easy to get there from Silom. We can take the BTS from Sala Daeng to Thong Lo Station. Tom: Oh, that’s so convenient! It’ll only take a few stops. I’m excited for Thonglor! It’ll be a perfect way to end the day. Mia: Me too, Tom! So, we’ll eat first, head to Silom by BTS for more water fun, and then go to Thonglor to relax and enjoy the vibe. Tom: Sounds like a plan, Mia! It’s going to be a fun-filled day of water fights, food, and good times. Mia: For sure! I can’t wait. Let’s grab some food now and get ready for the next stop! Tom: Absolutely! Let’s go eat, then! Tom: สวัสดี Mia ว้าว, การเล่นน้ำสนุกมากเลย! ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะบ้าคลั่งขนาดนี้ที่นี่! Mia: สวัสดี Tom! ฉันรู้ใช่ไหม? มันคึกคักจริงๆ เลย! แต่ฉันเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้วนะ ไปที่สีลมต่อดีไหม? มันเป็นหนึ่งในที่ดีที่สุดสำหรับสงกรานต์! Tom: ฟังดูดีมาก! ฉันได้ยินมาว่าที่สีลมคนเยอะมากช่วงสงกรานต์เลยนะ แต่ก่อนที่เราจะไป ฉันหิวแล้ว แถวนี้มีที่ไหนที่เราจะไปหากินกันไหม? Mia: ความคิดดีเลย Tom! ที่นี่มีร้านอาหารข้างทางเยอะมากเลยนะ เราจะกินข้าวเหนียวมะม่วงกับหมูปิ้งไหม? Tom: อืม, ฟังดูอร่อยมาก! ฉันก็อยากกินไอศกรีมมะพร้าวด้วย ลองไปกินกันเถอะ! Mia: ตัวเลือกดีมาก! หลังจากกินเสร็จ เราจะนั่งรถไฟฟ้าไปที่สีลมกันนะ เราจะไปถึงเร็วมากเลย Tom: ใช่แล้ว นั่ง BTS จากที่นี่ก็ดีเลย เราจะลงที่สถานีศาลาแดง แล้วก็จะอยู่ตรงกลางของความสนุกเลย! Mia: ใช่เลย! หลังจากที่เราจบที่สีลมแล้ว ไปทองหล่อกันดีไหม? ฉันได้ยินมาว่ามันจะเงียบกว่าหน่อยแต่ก็สนุกในช่วงสงกรานต์ Tom: ฉันชอบความคิดนี้ Mia! ทองหล่อมีที่เจ๋งๆ เยอะเลย และมันไม่พลุกพล่านเหมือนสีลม มันน่าจะเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดี Mia: ใช่เลย! อีกอย่างมันก็ไปที่ทองหล่อได้ง่ายจากสีลม เราสามารถนั่ง BTS จากสถานีศาลาแดงไปสถานีทองหล่อ Tom: โอ้, นั่นสะดวกมาก! มันจะใช้เวลาแค่ไม่กี่สถานีเอง ฉันตื่นเต้นกับทองหล่อมาก! มันจะเป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบในการจบวัน Mia: ฉันก็เช่นกัน Tom! ดังนั้นเราจะไปกินก่อน จากนั้นไปที่สีลมด้วย BTS เพื่อเล่นน้ำต่อ และสุดท้ายไปทองหล่อเพื่อผ่อนคลายและสนุกกับบรรยากาศ Tom: ฟังดูเป็นแผนที่ดีเลย Mia! มันจะเป็นวันเต็มไปด้วยการเล่นน้ำ อาหาร และช่วงเวลาที่ดี Mia: แน่นอน! ฉันรอไม่ไหวแล้ว เรามากินกันเถอะ แล้วค่อยไปสถานที่ถัดไป! Tom: แน่นอน! ไปกินกันเถอะ! Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) Water fight (วอ-เทอร์ ไฟต์) n. - การสู้ด้วยน้ำ Lively (ไล-ฟลี) adj. - มีชีวิตชีวา, คึกคัก Tired (ไท-เอิด) adj. - เหนื่อย Street food (สตรีท ฟู้ด) n. - อาหารข้างทาง Sticky rice (สติกกี้ ไรซ) n. - ข้าวเหนียว Skewers (สกิว-เวอร์) n. - ไม้เสียบ Coconut (โค-โค-นัท) n. - มะพร้าว Ice cream (ไอซ์ ครีม) n. - ไอศกรีม BTS (บีทีเอส) n. - ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) Convenient (คอน-วี-เนียนท) adj. - สะดวก Laid-back (เลด-แบค) adj. - สบายๆ, ผ่อนคลาย Crowded (เครา-ดิด) adj. - แออัด Relax (รี-แลกซ์) v. - ผ่อนคลาย Vibe (ไวบ์) n. - บรรยากาศ, ความรู้สึก Fun-filled (ฟัน-ฟิลด์) adj. - เต็มไปด้วยความสนุก
    0 Comments 0 Shares 904 Views 0 Reviews
  • วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่ตอนนี้มีเยอะมากโดยเฉพาะจากฝั่งตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี) แต่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร คือเรื่องแนวฟีลกู๊ดประเภทสถานที่เยียวยาจิตใจ ไม่ใช่เพราะผมเป็นพวกจิตใจหยาบกระด้างหรือชอบเสพแต่ความดาร์กและความสยอง แต่เพราะผมมองว่าตัวเองพอดักทางได้ว่าเรื่องพวกนั้นมี "สาร" อย่างไร ต้องการสอนผู้อ่านอย่างไร ทั้งนี้ก็จะมีบางเรื่องที่เป็นข้อยกเว้น หนึ่งในนั้นคือคาเฟ่ของแม่หมอมานูล

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' โดย อัตสึกิ โอโตะ เป็นนิยายแบบที่ผมคงไม่สนใจในแวบแรก ถ้าไม่ใช่เพราะโดนล่อตาล่อใจจากของแถมที่ทาง สนพ. บอกว่ามีเฉพาะในรอบพิมพ์ครั้งแรกเท่านั้น นั่นคือ ไพ่ทาโรต์ขนาดเล็ก ๆ 5 ใบที่เป็นภาพคุณมานูล แมวหมอดูตัวเอกประจำเรื่อง ข้อนี้เลยเป็นตัวแปรสำคัญให้ผมเปิดใจรับหนังสือเล่มนี้มาบรรจุเข้าชั้นที่บ้าน

    ไหน ๆ ก็พูดถึงหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมก็เห็นว่ามันควรค่าแก่การรีวิวในแบบของไพ่เราเผาเรื่อง แต่รอบนี้จะต่างจากครั้งอื่น ๆ ตรงที่ผมจะไม่ใช้ไพ่ทาโรต์หรือไพ่พยากรณ์สำรับใด ๆ ในคลัง แต่จะใช้ไพ่แถม 5 ใบที่มากับหนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือประกอบการ "เผาเรื่อง" โดยสับไพ่แล้วสุ่มหยิบตามลำดับ

    ขอเชิญรับชม #ไพ่เราเผาหนังสือ 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' ด้วยไพ่แถมสุดน่ารักทั้ง 5 ใบ ได้ ณ บัดนี้ครับ

    ----------

    "เรื่องจบในตอนพร้อมข้อคิดดี ๆ"
    The Sun + The World

    ในไพ่ทาโรต์ 78 ใบ The Sun เป็นไพ่ที่ความหมายดีรอบด้านในอันดับต้น ๆ แต่ไพ่ใบนี้ยังสื่อถึง "ความจริง" และ "ข้อคิดที่เป็นประโยชน์" ได้ด้วย ส่วน The World ในฐานะไพ่ใบสุดท้ายของไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) จึงมักสื่อความถึง "จุดสิ้นสุด" และ "ความสมบูรณ์" แต่มันไม่ใช่การตัดจบแบบบริบูรณ์หรือ Happily Ever After ทว่าเป็นการจบลงของบทหนึ่งเพื่อที่จะเข้าสู่บทถัดไป

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' มีลักษณะการเขียนแบบที่มักเจอใน Fiction ประเภทสถานที่ที่ช่วยให้ผู้คนได้ฮีลใจ นั่นคือเป็นนวนิยายแบบเนื้อเรื่องจบในตอน (Episodic novel) โดยแต่ละตอนมักจะมีข้อคิดจรรโลงใจหรือมุมมองที่น่าสนใจแตกต่างกัน บางครั้งต่างตอนก็มีสารหรือข้อคิดสำหรับคนต่างกลุ่มต่างจำพวก

    หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 5 บท แต่ละบทสามารถอ่านแยกในฐานะเรื่องสั้นที่จบสมบูรณ์ในตัวเองได้ แต่ตอนหลัง ๆ ก็จะมีรายละเอียดบางอย่างที่ต่อเนื่องจากตอนก่อน ๆ ตัวละครดำเนินเรื่องในแต่ละตอนมีช่วงอายุ บทบาท และปัญหาคาใจแตกต่างกัน มีทั้งเด็กมัธยมที่หาทาง fit in ในสังคมห้องเรียน อินฟลูเอนเซอร์สาว ซิงเกิลมัม ไปจนถึงวัยกลางคนที่กำลังสับสนกับทิศทางชีวิตและหน้าที่การงานของตัวเอง จากนั้นโชคชะตาหรือพล็อตเรื่องก็จะพาตัวละครไปเจอกับคุณมานูลและคาเฟมาร์เนิล

    คุณมานูล ศูนย์กลางของเรื่อง เดิมเคยเป็นมนุษย์ชื่อ คาวาตานิ ไอซาวะ แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง นางเลือก 'ลาออก' จากการเป็นมนุษย์ มาอยู่ในร่างของแมวมานูล (Manul) หรืออีกชื่อคือแมวพัลลาส (Pallas's cat) และรับดูดวงด้วยสารพัดวิธี ไม่ว่าจะใช้ไพ่ ลูกแก้ว หรือเครื่องเสี่ยงเซียมซีรูเลตต์ พร้อมทั้งเปิดคาเฟ่ร่วมกับคนที่น่าจะเป็นสามีและลูกสาว (ส่วนชื่อคาเฟ่ ทำไมถึงชื่อ "มาร์เนิล" แทนที่จะเป็น "มานูล" ตรงนี้ในหนังสือมีอธิบายไว้ แต่สั้น ๆ คือเป็นมุกที่เล่นกับตัวเขียนญี่ปุ่นแบบคาตาคานะ ซึ่งต้องขอชื่นชมผู้แปลที่พยายามเรียบเรียงเป็นไทยให้ใกล้เคียงโดยไม่เสียอรรถรสของต้นฉบับ)

    เนื้อเรื่องแต่ละตอนดำเนินไปอย่างค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ เริ่มจากแนะนำตัวละครและชีวิตประจำวันที่เจ้าตัวไม่พึงพอใจเท่าไร จากนั้นตัวละครก็จะได้เจอคุณมานูลช่วยทำนายดวงชะตาพร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบคร่าว ๆ เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งตัวละครจะทำตามและอะไร ๆ ก็ดูจะดีขึ้นจริง ๆ แต่แล้วก็จะมีเหตุสักอย่างให้ชีวิตตัวละครกลับไปเป็นแบบตอนต้นเรื่องหรือเผลอ ๆ เหมือนจะดูแย่ลง และทำให้ตัวละครได้รับการชี้แนะจากคุณมานูลเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งคราวนี้เรื่องก็จะดูจบตอนแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ชวนให้นึกถึงโดราเอมอนแแบบอนิเมะในทีวีที่ฉายเป็นตอน ๆ หรือการ์ตูนต่อสู้อย่างเซเลอร์มูนช่วงแรก ๆ ที่จะมีตัวร้ายประจำสัปดาห์ (Monster of the week) มาให้ตัวเอกปราบ

    นิยายประเภทสถานที่ฮีลใจมักมีตัวละครประจำตอนที่แแตกต่างกันทั้งช่วงอายุและอาชีพ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของคนอ่านในกลุ่มต่าง ๆ นิยายเล่มนี้ก็เช่นกัน ทั้ง 5 ตอนมีตัวละครตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ผู้เขียนคคาดหวังว่าจะรวมอยู่ในหมู่คนอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย และถึงแม้ปัญหาที่ตัวละครในเรื่องเผชิญอาจไม่ตรงกับเรื่องที่คนอ่านในช่วงวัยเดียวกันเจอในชีวิตจริงทั้งหมด แต่ข้อคิดและคำแนะนำจากคุณมานููลในแต่ละตอนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน

    ----------

    "เยียวยาจิตใจในสถานที่ที่มอบความสุข"
    The Star + Ten of Cups

    The Star คือดวงดาว จึงเป็นไพ่ตัวแทนหลายสิ่งหลายอย่างที่คนเรามักเชื่อมโยงกับดาว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความโด่งดัง หรือความหวัง แต่มันก็มีอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือ "การเยียวยา" ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่วนไพ่ 10 ถ้วย โดยทั่วไปมักหมายถึงบ้านหรือครอบครัว แต่บางกรณีก็สื่อถึง "ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม" โดยเป็นความสุขที่มาจากกลุ่มคนที่อยู่กันสนิทชิดเชื้อเหมือนเป็นครอบครัว (แบบใน "แฟ้มเมอะหลี่" ของพี่ดอม ทอร์เรตโต แห่งซีรีส์ Fast & Furious) หรือจากาสถานที่มีผู้พร้อมจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่น

    คาเฟ่มาร์เนิลของคุณมานูลลงล็อกพอดีกับคำจำกัดความของสถานที่แบบที่ว่า แต่ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ข้างบน ๆ นิยายเรื่องนี้ผลิตซ้ำ Trope ของสถานที่ที่ให้ความช่วยเหลือผู้คนในการแก้ปัญหาและเยียวยาจิตใจ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมกันในวงการวรรณกรรมฝั่งเอเชียตะวันออก แต่ละเรื่องอาจมีสถานที่ต่างกันไป บางเรื่องเป็นคาเฟ่ บางเรื่องเป็นร้านเบเกอรี่ บ้างเรื่องเป็นร้านหนังสือหรือห้องสมุด แต่ทุกเรื่องจบลงที่ตัวละครซึ่งไปเยือนสถานที่นั้น ๆ ได้เยียวยาบาดแผลหรือปมปัญหาในใจ หรือได้ปลดล็อกอะไรสักอย่างที่ติดค้างอยู่

    น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ในชีวิตจริงซึ่งไม่ได้มีมนตร์วิเศษอยู่ (อย่างน้อยก็ในแบบที่มักเกิลอย่างเรา ๆ จับต้องและพิสูจน์ได้) คนเราก็มีสถานที่สำหรับเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำและแตกร้าว นอกจากกลับบ้านไปหาครอบครัวแล้ว ที่อื่นที่คนมักไปเพื่อฮีลใจตัวเอง เช่น คาเฟ่ ซุ้มหมอดู (หรือบางคนก็ทักไปหาหมอดูทางออนไลน์) และที่ใดก็ตามที่มีแมวอยู่ กล่าวอีกอย่างคือ คาเฟ่ การดูดวง และแมว คือ Top 3 แห่งเครื่องเยียวยาจิตใจของมนุษย์ในปัจจุบัน (ซึ่งจะเรียกว่าเป็นยุคทุนนิยมหรือยุคโพสต์โมเดิร์นก็ตามแต่)

    และสามอย่างที่ว่านี้ นอกจากในนิยายซีรีส์ "ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง" แล้ว ก็มีคุณมานูลในนิยายเรื่องนี้ที่รวมทุกอย่างไว้ในตัว เหมือนผู้เขียนจงใจ หรือไม่ก็สร้างไว้ให้คนอ่านที่ชอบ Overanalyze ได้สังเกตและทึกทักเอา

    ----------

    "โชคชะตาไม่สำคัญเมื่อเธอนั้นกลายเป็นแมว"
    Wheel of Fortune

    ไพ่วงล้อแห่งโชคชะตาเป็นใบหนึ่งที่ท้าทายสกิลการอ่านและตีความไพ่ของผู้อ่านไพ่มากที่สุด บางบริบท มันสื่อถึงการที่โชคชะตากำลังดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าช่วงนั้นดวงกกำลังดี ๆ อยู่ มันก็อาจเป็นคำเตือนในระวังถึงขาลงของชีวิตที่ส่อแววมาแต่ไกล โดยรวมแล้ว ไพ่ใบนี้สื่อถึง "โชคชะตา" ในภาพรวม ซึ่งโดยตัวมันเองไม่มีดีหรือร้าย แต่ที่เรามองว่าดีหรือร้ายก็เพราะเรามองจากมุมมองของตัวเรา ถ้าเรามองเรื่องที่เกิดกับคนอื่น หรือมองตัวเองอย่างเป็นภววิสัย เราก็คงมองว่าททุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติ เดี๋ยวมีดี เดี๋ยวมีร้าย ไม่แน่ไม่นอน เผลอ ๆ คาดเดาไม่ได้ (หากเราเชื่อตาม Chaos Theory) และด้วยเหตุนี้ ไพ่ใบนี้จึงหมายรวมถึงการพยากรณ์ การดูดวง หรือการตรวจสอบดวงชะตาเช่นกัน

    ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมไหม ตอนเห็นชื่อหนังสือฉบับแปลไทยครั้งแรก ก็คิดว่าคุณมานูลน่าจะเป็นตัวละครประเภทกวน ๆ ที่ทำนายดวงตรงมั่งมั่วมั่ง (แต่สุดท้ายก็ช่วยให้ตัวละครในแต่ละตอนได้มีความสุขอยู่ดี ตามแนวทางของนิยายฮีลใจแบบนี้) แต่พอได้อ่านจริงก็พบว่านางเป็นคาแรกเตอร์ประเภทกวน ๆ จริง กวนแบบน่ารัก ๆ ชนิดที่เชื่อว่าทุกคนน่าจะอยากมีเพื่อนสนิทแบบนี้สักคนสองคน ทว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะหายไปคือการทำนายแบบมั่ว ๆ เพราะเท่าที่อ่านเจอในเรื่อง คุณมานูลไม่เคยทำนายดวงชะตาให้ตัวละครไหนแบบมั่ว ๆ เลย อย่างมากคือทำนายแบบส่งเดช พอให้เห็นว่ามีการใช้อุปกรณ์ทำนาย (อันนี้พูดในฐานะคนที่ทุกวันนี้รายรอบด้วยคนในวงการนักพยากรณ์ และเคยเจอหมอดูที่ทำนายแบบมั่วซั่วมาจนมากเกินจะนับด้วยนิ้วมือรวมนิ้วเท้าได้) อันที่จริงชื่อต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นของนิยายเรื่องนี้แปลตรงตัวแค่ว่า "คุณมานูลผู้ลาออกจากการเป็นมนุษย์จะทำนายดวงชะตาให้คุณ" ด้วยซ้ำ

    อย่างไรก็ตาม คุณมานูลตลอดทั้งเรื่องจะเล่นอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่หมอดูทุกศาสตร์ทุกแขนงควรเป็นในตัว (ถ้ายังไม่เป็นก็ควรฝึกตัวเองให้เป็น หรือไป take course เสียโดยด่วน โปรดรู้ว่าสังคมทุกวันนี้กำลังต้องการมาก) นั่นคือการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตใจและสังคม เนื้อเรื่องไม่เคยฟันธงว่าคุณมานูลดูดวงเป็นจริง ๆ หรือไม่ แต่เรื่องแสดงให้เห็นว่านางดูคนเป็น เข้าใจว่าแต่ละคนกำลังขาดหรือล้นเกินในเรื่องอะไร ซึ่งก็น่าจะเป็นทักษะที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยนางยังเป็นมนุษย์ และจากตรงนี้ นางจึงให้คำแนะนำแบบแมว ๆ ให้แต่ละตัวละครรับไปหาทางแก้ปัญหาของตัวเองอย่างตรงจุด

    เนื้อเรื่องไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้คุณไอซาวะลาออกจากการเป็นมนุษย์แล้วผันตัวมาเป็นแมวมานูล แต่เมื่อดูจากคำใบ้ในแต่ละตอน (โดยเฉพาะตอนสุดท้าย) ผมมองว่านางคงเบื่อชีวิตมนุษย์ที่วัน ๆ ได้แต่ไหลไปตามสิ่งรอบข้างอย่างกระแสสังคม ความควาดหวังและแรงกดดันจากคนรอบข้าง (ซึ่งไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่เรารับมากระทำกับตัวเราเอง) ตลอดจนการยอมจำนนต่อ "โชคชะตา" เดี๋ยวดวงดี เดี๋ยวดวงซวย ช่วงนี้ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อหลีกเลี่ยงกาลกิณี ฯลฯ

    ในเมื่อมีแต่มนุษย์ที่ปวดหัววุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ แต่แมวใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องนำพาต่อสิ่งเหล่านี้ นางก็เลยเลิกเป็นมนุษย์แล้วเป็นแมวซะดื้อ ๆ แต่ครั้นจะเป็นแมวพันธุ์ธรรมดา ๆ พื้น ๆ ก็ไม่เอา เลยขอเป็นพันธุ์หายากอย่างแมวมานูล และพอเป็นแมวแล้ว นางเลยสามารถมองเรื่องราววุ่น ๆ ของมนุษย์ได้อย่างเป็นกลาง พร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบชิล ๆ แต่ตรงประเด็นได้

    ถึงแม้นิยายเรื่องนี้จะขึ้นชื่อว่ามีหมอดูอยู่ แต่เนื้อเรื่องแทบไม่เกี่ยวกับการทำนายดวงชะตา (จริง ๆ) เลย กลับกัน มันแนะแนววิธีการใช้ชีวิตแบบไม่แคร์ดวง เหมือนที่แมวไม่แคร์วิถีชีวิตของมนุษย์ แต่พร้อมกันนั้น มันก็ให้คำแนะนำที่ดีอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นหมอดูและอยากเป็นหมอดูครับ

    ----------

    Final Verdict: The Sun + The World + The Star + Ten of Cups + Wheel of Fortune

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' จะช่วยให้คุณเข้าใจความจริงว่า ต่อให้โลกนี้จะหมุนไปและชีวิตนำพาอะไรมาให้คุณ แต่คุณก็สามารถเฉิดฉายในแบบของตัวเองและมีความสุขทุกวันได้ ขอแค่คุณปล่อยจอยกับชีวิต คิดเสียว่าลาออกจากการมนุษย์แล้วทำตัวเหมือนเป็นแมวเสีย เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แค่เวลาจำกัด แล้วทำไม เราต้องปล่อยให้เรื่องชั่วประเดี๋ยวประด๋าว (เมื่อเทียบกับเวลาของจักรวาล) มาขัดจังหวะการเก็บเกี่ยวความสุขในแต่ละวันของเราด้วย จริงไหม?


    แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่งคาเฟมาร์เนิล (2025)
    • แปลจาก: 人間やめたマヌルさんが、あなたの人生占います (2023)
    • ผู้เขียน: ฮัตสึกิ โอโตะ
    • ผู้แปล: วิลาสินี จงสถิตวัฒนา
    • สำนักพิมพ์: Lumi (ในเครือนานมีบุ๊คส์)
    ไพ่ที่ใช้: ไพ่ทาโรต์แถมพิเศษเฉพาะฉบับพิมพ์ครั้งแรกของนิยายเรื่องนี้
    วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่ตอนนี้มีเยอะมากโดยเฉพาะจากฝั่งตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี) แต่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร คือเรื่องแนวฟีลกู๊ดประเภทสถานที่เยียวยาจิตใจ ไม่ใช่เพราะผมเป็นพวกจิตใจหยาบกระด้างหรือชอบเสพแต่ความดาร์กและความสยอง แต่เพราะผมมองว่าตัวเองพอดักทางได้ว่าเรื่องพวกนั้นมี "สาร" อย่างไร ต้องการสอนผู้อ่านอย่างไร ทั้งนี้ก็จะมีบางเรื่องที่เป็นข้อยกเว้น หนึ่งในนั้นคือคาเฟ่ของแม่หมอมานูล 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' โดย อัตสึกิ โอโตะ เป็นนิยายแบบที่ผมคงไม่สนใจในแวบแรก ถ้าไม่ใช่เพราะโดนล่อตาล่อใจจากของแถมที่ทาง สนพ. บอกว่ามีเฉพาะในรอบพิมพ์ครั้งแรกเท่านั้น นั่นคือ ไพ่ทาโรต์ขนาดเล็ก ๆ 5 ใบที่เป็นภาพคุณมานูล แมวหมอดูตัวเอกประจำเรื่อง ข้อนี้เลยเป็นตัวแปรสำคัญให้ผมเปิดใจรับหนังสือเล่มนี้มาบรรจุเข้าชั้นที่บ้าน ไหน ๆ ก็พูดถึงหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมก็เห็นว่ามันควรค่าแก่การรีวิวในแบบของไพ่เราเผาเรื่อง แต่รอบนี้จะต่างจากครั้งอื่น ๆ ตรงที่ผมจะไม่ใช้ไพ่ทาโรต์หรือไพ่พยากรณ์สำรับใด ๆ ในคลัง แต่จะใช้ไพ่แถม 5 ใบที่มากับหนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือประกอบการ "เผาเรื่อง" โดยสับไพ่แล้วสุ่มหยิบตามลำดับ ขอเชิญรับชม #ไพ่เราเผาหนังสือ 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' ด้วยไพ่แถมสุดน่ารักทั้ง 5 ใบ ได้ ณ บัดนี้ครับ ---------- "เรื่องจบในตอนพร้อมข้อคิดดี ๆ" 🃏The Sun + 🃏The World ในไพ่ทาโรต์ 78 ใบ The Sun เป็นไพ่ที่ความหมายดีรอบด้านในอันดับต้น ๆ แต่ไพ่ใบนี้ยังสื่อถึง "ความจริง" และ "ข้อคิดที่เป็นประโยชน์" ได้ด้วย ส่วน The World ในฐานะไพ่ใบสุดท้ายของไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) จึงมักสื่อความถึง "จุดสิ้นสุด" และ "ความสมบูรณ์" แต่มันไม่ใช่การตัดจบแบบบริบูรณ์หรือ Happily Ever After ทว่าเป็นการจบลงของบทหนึ่งเพื่อที่จะเข้าสู่บทถัดไป 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' มีลักษณะการเขียนแบบที่มักเจอใน Fiction ประเภทสถานที่ที่ช่วยให้ผู้คนได้ฮีลใจ นั่นคือเป็นนวนิยายแบบเนื้อเรื่องจบในตอน (Episodic novel) โดยแต่ละตอนมักจะมีข้อคิดจรรโลงใจหรือมุมมองที่น่าสนใจแตกต่างกัน บางครั้งต่างตอนก็มีสารหรือข้อคิดสำหรับคนต่างกลุ่มต่างจำพวก หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 5 บท แต่ละบทสามารถอ่านแยกในฐานะเรื่องสั้นที่จบสมบูรณ์ในตัวเองได้ แต่ตอนหลัง ๆ ก็จะมีรายละเอียดบางอย่างที่ต่อเนื่องจากตอนก่อน ๆ ตัวละครดำเนินเรื่องในแต่ละตอนมีช่วงอายุ บทบาท และปัญหาคาใจแตกต่างกัน มีทั้งเด็กมัธยมที่หาทาง fit in ในสังคมห้องเรียน อินฟลูเอนเซอร์สาว ซิงเกิลมัม ไปจนถึงวัยกลางคนที่กำลังสับสนกับทิศทางชีวิตและหน้าที่การงานของตัวเอง จากนั้นโชคชะตาหรือพล็อตเรื่องก็จะพาตัวละครไปเจอกับคุณมานูลและคาเฟมาร์เนิล คุณมานูล ศูนย์กลางของเรื่อง เดิมเคยเป็นมนุษย์ชื่อ คาวาตานิ ไอซาวะ แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง นางเลือก 'ลาออก' จากการเป็นมนุษย์ มาอยู่ในร่างของแมวมานูล (Manul) หรืออีกชื่อคือแมวพัลลาส (Pallas's cat) และรับดูดวงด้วยสารพัดวิธี ไม่ว่าจะใช้ไพ่ ลูกแก้ว หรือเครื่องเสี่ยงเซียมซีรูเลตต์ พร้อมทั้งเปิดคาเฟ่ร่วมกับคนที่น่าจะเป็นสามีและลูกสาว (ส่วนชื่อคาเฟ่ ทำไมถึงชื่อ "มาร์เนิล" แทนที่จะเป็น "มานูล" ตรงนี้ในหนังสือมีอธิบายไว้ แต่สั้น ๆ คือเป็นมุกที่เล่นกับตัวเขียนญี่ปุ่นแบบคาตาคานะ ซึ่งต้องขอชื่นชมผู้แปลที่พยายามเรียบเรียงเป็นไทยให้ใกล้เคียงโดยไม่เสียอรรถรสของต้นฉบับ) เนื้อเรื่องแต่ละตอนดำเนินไปอย่างค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ เริ่มจากแนะนำตัวละครและชีวิตประจำวันที่เจ้าตัวไม่พึงพอใจเท่าไร จากนั้นตัวละครก็จะได้เจอคุณมานูลช่วยทำนายดวงชะตาพร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบคร่าว ๆ เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งตัวละครจะทำตามและอะไร ๆ ก็ดูจะดีขึ้นจริง ๆ แต่แล้วก็จะมีเหตุสักอย่างให้ชีวิตตัวละครกลับไปเป็นแบบตอนต้นเรื่องหรือเผลอ ๆ เหมือนจะดูแย่ลง และทำให้ตัวละครได้รับการชี้แนะจากคุณมานูลเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งคราวนี้เรื่องก็จะดูจบตอนแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ชวนให้นึกถึงโดราเอมอนแแบบอนิเมะในทีวีที่ฉายเป็นตอน ๆ หรือการ์ตูนต่อสู้อย่างเซเลอร์มูนช่วงแรก ๆ ที่จะมีตัวร้ายประจำสัปดาห์ (Monster of the week) มาให้ตัวเอกปราบ นิยายประเภทสถานที่ฮีลใจมักมีตัวละครประจำตอนที่แแตกต่างกันทั้งช่วงอายุและอาชีพ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของคนอ่านในกลุ่มต่าง ๆ นิยายเล่มนี้ก็เช่นกัน ทั้ง 5 ตอนมีตัวละครตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ผู้เขียนคคาดหวังว่าจะรวมอยู่ในหมู่คนอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย และถึงแม้ปัญหาที่ตัวละครในเรื่องเผชิญอาจไม่ตรงกับเรื่องที่คนอ่านในช่วงวัยเดียวกันเจอในชีวิตจริงทั้งหมด แต่ข้อคิดและคำแนะนำจากคุณมานููลในแต่ละตอนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน ---------- "เยียวยาจิตใจในสถานที่ที่มอบความสุข" 🃏The Star + 🃏Ten of Cups The Star คือดวงดาว จึงเป็นไพ่ตัวแทนหลายสิ่งหลายอย่างที่คนเรามักเชื่อมโยงกับดาว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความโด่งดัง หรือความหวัง แต่มันก็มีอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือ "การเยียวยา" ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่วนไพ่ 10 ถ้วย โดยทั่วไปมักหมายถึงบ้านหรือครอบครัว แต่บางกรณีก็สื่อถึง "ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม" โดยเป็นความสุขที่มาจากกลุ่มคนที่อยู่กันสนิทชิดเชื้อเหมือนเป็นครอบครัว (แบบใน "แฟ้มเมอะหลี่" ของพี่ดอม ทอร์เรตโต แห่งซีรีส์ Fast & Furious) หรือจากาสถานที่มีผู้พร้อมจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่น คาเฟ่มาร์เนิลของคุณมานูลลงล็อกพอดีกับคำจำกัดความของสถานที่แบบที่ว่า แต่ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ข้างบน ๆ นิยายเรื่องนี้ผลิตซ้ำ Trope ของสถานที่ที่ให้ความช่วยเหลือผู้คนในการแก้ปัญหาและเยียวยาจิตใจ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมกันในวงการวรรณกรรมฝั่งเอเชียตะวันออก แต่ละเรื่องอาจมีสถานที่ต่างกันไป บางเรื่องเป็นคาเฟ่ บางเรื่องเป็นร้านเบเกอรี่ บ้างเรื่องเป็นร้านหนังสือหรือห้องสมุด แต่ทุกเรื่องจบลงที่ตัวละครซึ่งไปเยือนสถานที่นั้น ๆ ได้เยียวยาบาดแผลหรือปมปัญหาในใจ หรือได้ปลดล็อกอะไรสักอย่างที่ติดค้างอยู่ น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ในชีวิตจริงซึ่งไม่ได้มีมนตร์วิเศษอยู่ (อย่างน้อยก็ในแบบที่มักเกิลอย่างเรา ๆ จับต้องและพิสูจน์ได้) คนเราก็มีสถานที่สำหรับเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำและแตกร้าว นอกจากกลับบ้านไปหาครอบครัวแล้ว ที่อื่นที่คนมักไปเพื่อฮีลใจตัวเอง เช่น คาเฟ่ ซุ้มหมอดู (หรือบางคนก็ทักไปหาหมอดูทางออนไลน์) และที่ใดก็ตามที่มีแมวอยู่ กล่าวอีกอย่างคือ คาเฟ่ การดูดวง และแมว คือ Top 3 แห่งเครื่องเยียวยาจิตใจของมนุษย์ในปัจจุบัน (ซึ่งจะเรียกว่าเป็นยุคทุนนิยมหรือยุคโพสต์โมเดิร์นก็ตามแต่) และสามอย่างที่ว่านี้ นอกจากในนิยายซีรีส์ "ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง" แล้ว ก็มีคุณมานูลในนิยายเรื่องนี้ที่รวมทุกอย่างไว้ในตัว เหมือนผู้เขียนจงใจ หรือไม่ก็สร้างไว้ให้คนอ่านที่ชอบ Overanalyze ได้สังเกตและทึกทักเอา ---------- "โชคชะตาไม่สำคัญเมื่อเธอนั้นกลายเป็นแมว" 🃏Wheel of Fortune ไพ่วงล้อแห่งโชคชะตาเป็นใบหนึ่งที่ท้าทายสกิลการอ่านและตีความไพ่ของผู้อ่านไพ่มากที่สุด บางบริบท มันสื่อถึงการที่โชคชะตากำลังดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าช่วงนั้นดวงกกำลังดี ๆ อยู่ มันก็อาจเป็นคำเตือนในระวังถึงขาลงของชีวิตที่ส่อแววมาแต่ไกล โดยรวมแล้ว ไพ่ใบนี้สื่อถึง "โชคชะตา" ในภาพรวม ซึ่งโดยตัวมันเองไม่มีดีหรือร้าย แต่ที่เรามองว่าดีหรือร้ายก็เพราะเรามองจากมุมมองของตัวเรา ถ้าเรามองเรื่องที่เกิดกับคนอื่น หรือมองตัวเองอย่างเป็นภววิสัย เราก็คงมองว่าททุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติ เดี๋ยวมีดี เดี๋ยวมีร้าย ไม่แน่ไม่นอน เผลอ ๆ คาดเดาไม่ได้ (หากเราเชื่อตาม Chaos Theory) และด้วยเหตุนี้ ไพ่ใบนี้จึงหมายรวมถึงการพยากรณ์ การดูดวง หรือการตรวจสอบดวงชะตาเช่นกัน ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมไหม ตอนเห็นชื่อหนังสือฉบับแปลไทยครั้งแรก ก็คิดว่าคุณมานูลน่าจะเป็นตัวละครประเภทกวน ๆ ที่ทำนายดวงตรงมั่งมั่วมั่ง (แต่สุดท้ายก็ช่วยให้ตัวละครในแต่ละตอนได้มีความสุขอยู่ดี ตามแนวทางของนิยายฮีลใจแบบนี้) แต่พอได้อ่านจริงก็พบว่านางเป็นคาแรกเตอร์ประเภทกวน ๆ จริง กวนแบบน่ารัก ๆ ชนิดที่เชื่อว่าทุกคนน่าจะอยากมีเพื่อนสนิทแบบนี้สักคนสองคน ทว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะหายไปคือการทำนายแบบมั่ว ๆ เพราะเท่าที่อ่านเจอในเรื่อง คุณมานูลไม่เคยทำนายดวงชะตาให้ตัวละครไหนแบบมั่ว ๆ เลย อย่างมากคือทำนายแบบส่งเดช พอให้เห็นว่ามีการใช้อุปกรณ์ทำนาย (อันนี้พูดในฐานะคนที่ทุกวันนี้รายรอบด้วยคนในวงการนักพยากรณ์ และเคยเจอหมอดูที่ทำนายแบบมั่วซั่วมาจนมากเกินจะนับด้วยนิ้วมือรวมนิ้วเท้าได้) อันที่จริงชื่อต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นของนิยายเรื่องนี้แปลตรงตัวแค่ว่า "คุณมานูลผู้ลาออกจากการเป็นมนุษย์จะทำนายดวงชะตาให้คุณ" ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม คุณมานูลตลอดทั้งเรื่องจะเล่นอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่หมอดูทุกศาสตร์ทุกแขนงควรเป็นในตัว (ถ้ายังไม่เป็นก็ควรฝึกตัวเองให้เป็น หรือไป take course เสียโดยด่วน โปรดรู้ว่าสังคมทุกวันนี้กำลังต้องการมาก) นั่นคือการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตใจและสังคม เนื้อเรื่องไม่เคยฟันธงว่าคุณมานูลดูดวงเป็นจริง ๆ หรือไม่ แต่เรื่องแสดงให้เห็นว่านางดูคนเป็น เข้าใจว่าแต่ละคนกำลังขาดหรือล้นเกินในเรื่องอะไร ซึ่งก็น่าจะเป็นทักษะที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยนางยังเป็นมนุษย์ และจากตรงนี้ นางจึงให้คำแนะนำแบบแมว ๆ ให้แต่ละตัวละครรับไปหาทางแก้ปัญหาของตัวเองอย่างตรงจุด เนื้อเรื่องไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้คุณไอซาวะลาออกจากการเป็นมนุษย์แล้วผันตัวมาเป็นแมวมานูล แต่เมื่อดูจากคำใบ้ในแต่ละตอน (โดยเฉพาะตอนสุดท้าย) ผมมองว่านางคงเบื่อชีวิตมนุษย์ที่วัน ๆ ได้แต่ไหลไปตามสิ่งรอบข้างอย่างกระแสสังคม ความควาดหวังและแรงกดดันจากคนรอบข้าง (ซึ่งไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่เรารับมากระทำกับตัวเราเอง) ตลอดจนการยอมจำนนต่อ "โชคชะตา" เดี๋ยวดวงดี เดี๋ยวดวงซวย ช่วงนี้ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อหลีกเลี่ยงกาลกิณี ฯลฯ ในเมื่อมีแต่มนุษย์ที่ปวดหัววุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ แต่แมวใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องนำพาต่อสิ่งเหล่านี้ นางก็เลยเลิกเป็นมนุษย์แล้วเป็นแมวซะดื้อ ๆ แต่ครั้นจะเป็นแมวพันธุ์ธรรมดา ๆ พื้น ๆ ก็ไม่เอา เลยขอเป็นพันธุ์หายากอย่างแมวมานูล และพอเป็นแมวแล้ว นางเลยสามารถมองเรื่องราววุ่น ๆ ของมนุษย์ได้อย่างเป็นกลาง พร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบชิล ๆ แต่ตรงประเด็นได้ ถึงแม้นิยายเรื่องนี้จะขึ้นชื่อว่ามีหมอดูอยู่ แต่เนื้อเรื่องแทบไม่เกี่ยวกับการทำนายดวงชะตา (จริง ๆ) เลย กลับกัน มันแนะแนววิธีการใช้ชีวิตแบบไม่แคร์ดวง เหมือนที่แมวไม่แคร์วิถีชีวิตของมนุษย์ แต่พร้อมกันนั้น มันก็ให้คำแนะนำที่ดีอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นหมอดูและอยากเป็นหมอดูครับ ---------- Final Verdict: 🃏The Sun + 🃏The World + 🃏The Star + 🃏Ten of Cups + 🃏Wheel of Fortune 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' จะช่วยให้คุณเข้าใจความจริงว่า ต่อให้โลกนี้จะหมุนไปและชีวิตนำพาอะไรมาให้คุณ แต่คุณก็สามารถเฉิดฉายในแบบของตัวเองและมีความสุขทุกวันได้ ขอแค่คุณปล่อยจอยกับชีวิต คิดเสียว่าลาออกจากการมนุษย์แล้วทำตัวเหมือนเป็นแมวเสีย เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แค่เวลาจำกัด แล้วทำไม เราต้องปล่อยให้เรื่องชั่วประเดี๋ยวประด๋าว (เมื่อเทียบกับเวลาของจักรวาล) มาขัดจังหวะการเก็บเกี่ยวความสุขในแต่ละวันของเราด้วย จริงไหม? 🃏🃏🃏🃏🃏 แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่งคาเฟมาร์เนิล (2025) • แปลจาก: 人間やめたマヌルさんが、あなたの人生占います (2023) • ผู้เขียน: ฮัตสึกิ โอโตะ • ผู้แปล: วิลาสินี จงสถิตวัฒนา • สำนักพิมพ์: Lumi (ในเครือนานมีบุ๊คส์) ไพ่ที่ใช้: ไพ่ทาโรต์แถมพิเศษเฉพาะฉบับพิมพ์ครั้งแรกของนิยายเรื่องนี้
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 970 Views 0 Reviews
  • “เจตนา คือ จุดเริ่มของกรรม – วิธีเปลี่ยนทางความคิดให้เป็นบุญ”

    ---

    1. เจตนาเป็นต้นทางของกรรมทั้งหมด

    กรรมคือเจตนา สิ่งที่คุณ คิดได้ คือสิ่งที่คุณ ทำได้

    แต่คุณ จะคิดอะไรได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ สภาพจิต ณ ขณะนั้น

    ---

    2. จิตที่ขุ่นมัว = ความคิดที่มืดบอด

    เมื่อจิตมีโทสะ (เช่น ความแค้น ความชิงชัง ความแบ่งฝ่าย)

    จะเกิด เมฆหมอกทางจิต ปิดกั้นไม่ให้ความคิดดีๆ แทรกเข้ามาได้

    ความคิดวนเวียนแต่เรื่องโกรธ แค้น ด่า ดูถูกผู้อื่น

    ขณะมีคำว่า “โง่” ดังก้องอยู่ในใจ จะไม่มีทาง “คิดฉลาด” ได้เลย

    ---

    3. จิตที่สงบ เย็น เมตตา = ทางเปิดสู่ปัญญา

    ถ้าทำสมาธิหรือแผ่เมตตาถูกต้อง

    เสียงด่าในหัวจะเงียบลง

    ความแบ่งพวกจะลดลง

    อารมณ์ทำลายล้างจะหายไป

    พอใจสงบลง

    จิตจะเปิดรับทางความคิดใหม่ที่สร้างสรรค์

    เห็นทางออกแบบที่ “ไม่เคยเห็นมาก่อน”

    ---

    4. ถ้าเมตตาจริง ปัญญาจะเกิดจริง

    คนมีเมตตา ไม่อยากทิ้งใครไว้ข้างหลัง

    จะคิดหา ทางรอดร่วมกัน ไม่ใช่ทำลายกัน

    นี่คือ ต้นทางของกรรมดี ทั้งระดับ ทาน (ช่วยเขาพ้นทุกข์)
    และ ศีล (ไม่ทำให้ใครทุกข์)

    ---

    Essence สั้นๆ

    “จิตใจเป็นแบบไหน ความคิดก็เป็นแบบนั้น กรรมนั้นก็ย่อมตามมา”
    “เปลี่ยนใจให้ใส เย็น และเมตตา แล้วความคิดดีๆ จะพาคุณไปสู่ชีวิตที่ดีทั้งในชาตินี้และชาติหน้า”
    “เจตนา คือ จุดเริ่มของกรรม – วิธีเปลี่ยนทางความคิดให้เป็นบุญ” --- 1. เจตนาเป็นต้นทางของกรรมทั้งหมด กรรมคือเจตนา สิ่งที่คุณ คิดได้ คือสิ่งที่คุณ ทำได้ แต่คุณ จะคิดอะไรได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ สภาพจิต ณ ขณะนั้น --- 2. จิตที่ขุ่นมัว = ความคิดที่มืดบอด เมื่อจิตมีโทสะ (เช่น ความแค้น ความชิงชัง ความแบ่งฝ่าย) จะเกิด เมฆหมอกทางจิต ปิดกั้นไม่ให้ความคิดดีๆ แทรกเข้ามาได้ ความคิดวนเวียนแต่เรื่องโกรธ แค้น ด่า ดูถูกผู้อื่น ขณะมีคำว่า “โง่” ดังก้องอยู่ในใจ จะไม่มีทาง “คิดฉลาด” ได้เลย --- 3. จิตที่สงบ เย็น เมตตา = ทางเปิดสู่ปัญญา ถ้าทำสมาธิหรือแผ่เมตตาถูกต้อง เสียงด่าในหัวจะเงียบลง ความแบ่งพวกจะลดลง อารมณ์ทำลายล้างจะหายไป พอใจสงบลง จิตจะเปิดรับทางความคิดใหม่ที่สร้างสรรค์ เห็นทางออกแบบที่ “ไม่เคยเห็นมาก่อน” --- 4. ถ้าเมตตาจริง ปัญญาจะเกิดจริง คนมีเมตตา ไม่อยากทิ้งใครไว้ข้างหลัง จะคิดหา ทางรอดร่วมกัน ไม่ใช่ทำลายกัน นี่คือ ต้นทางของกรรมดี ทั้งระดับ ทาน (ช่วยเขาพ้นทุกข์) และ ศีล (ไม่ทำให้ใครทุกข์) --- Essence สั้นๆ “จิตใจเป็นแบบไหน ความคิดก็เป็นแบบนั้น กรรมนั้นก็ย่อมตามมา” “เปลี่ยนใจให้ใส เย็น และเมตตา แล้วความคิดดีๆ จะพาคุณไปสู่ชีวิตที่ดีทั้งในชาตินี้และชาติหน้า”
    0 Comments 0 Shares 488 Views 0 Reviews
  • การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เริ่มจากภายในจิตใจของตัวเอง ไม่ใช่แค่การไปทำบุญภายนอก แต่คือการ "ฝึกใจ" ให้คิดดี ทำดี อดทน และไม่โต้ตอบความชั่วด้วยความชั่ว

    การฝึกใจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเนื้อหา:

    กลุ่มแรก: ฝึกใจเพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของความร้าย

    กำจัดนิสัยเสียของตน สำคัญกว่าการทำบุญภายนอก

    แม้พบคนเลว ก็เลือกได้ว่าจะไม่เลวตาม

    คนไม่ดีทำให้คุณอยากคิดไม่ดี แต่คุณมีสิทธิ์เลือกจะคิดดี

    ถ้าไม่ระวัง เรื่องร้ายจะเปลี่ยนคุณให้ร้ายตาม

    เรื่องดีหรือร้ายรอบตัวไม่สำคัญเท่าคุณดีหรือร้ายในใจ

    กลุ่มที่สอง: ฝึกใจให้พร้อมทำบุญทุกวัน

    บุญเริ่มที่ "ใจ" ไม่ใช่แค่เงิน

    ใจที่ให้อภัย ใจที่อดทน ใจที่มีเมตตา คือการทำบุญตลอดวัน

    ชีวิตประจำวันคือบทฝึกใจ ให้กลับบ้านได้เหมือนไปวัดมา

    มีเงินแต่ไม่มีใจทำบุญก็ไร้ค่า

    ใจที่คิดให้ คือกุญแจสู่บุญตลอดเวลา

    ---

    ฝึกใจคือบุญที่แท้จริง: ไม่ต้องรอวันพระ ไม่ต้องรอเวลาว่าง แค่มีเจตนาดีก็เป็นบุญได้

    ไม่เอาความเลวมาเป็นข้ออ้าง: คนเลวกระตุ้นคุณไม่ได้ ถ้าใจคุณมั่นคงในความดี

    ขับเคลื่อนชีวิตด้วยใจสว่าง: ออกจากบ้านเพื่อฝึกใจ ไม่ใช่เพื่อหนีปัญหา

    "เปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นวันละนิด คือบุญที่มั่นคงยิ่งกว่าการเดินสายทำบุญ และใจที่ไม่เลวตามโลก คือใจที่พร้อมจะมีบุญอยู่เสมอ"
    การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เริ่มจากภายในจิตใจของตัวเอง ไม่ใช่แค่การไปทำบุญภายนอก แต่คือการ "ฝึกใจ" ให้คิดดี ทำดี อดทน และไม่โต้ตอบความชั่วด้วยความชั่ว การฝึกใจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเนื้อหา: กลุ่มแรก: ฝึกใจเพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของความร้าย กำจัดนิสัยเสียของตน สำคัญกว่าการทำบุญภายนอก แม้พบคนเลว ก็เลือกได้ว่าจะไม่เลวตาม คนไม่ดีทำให้คุณอยากคิดไม่ดี แต่คุณมีสิทธิ์เลือกจะคิดดี ถ้าไม่ระวัง เรื่องร้ายจะเปลี่ยนคุณให้ร้ายตาม เรื่องดีหรือร้ายรอบตัวไม่สำคัญเท่าคุณดีหรือร้ายในใจ กลุ่มที่สอง: ฝึกใจให้พร้อมทำบุญทุกวัน บุญเริ่มที่ "ใจ" ไม่ใช่แค่เงิน ใจที่ให้อภัย ใจที่อดทน ใจที่มีเมตตา คือการทำบุญตลอดวัน ชีวิตประจำวันคือบทฝึกใจ ให้กลับบ้านได้เหมือนไปวัดมา มีเงินแต่ไม่มีใจทำบุญก็ไร้ค่า ใจที่คิดให้ คือกุญแจสู่บุญตลอดเวลา --- ฝึกใจคือบุญที่แท้จริง: ไม่ต้องรอวันพระ ไม่ต้องรอเวลาว่าง แค่มีเจตนาดีก็เป็นบุญได้ ไม่เอาความเลวมาเป็นข้ออ้าง: คนเลวกระตุ้นคุณไม่ได้ ถ้าใจคุณมั่นคงในความดี ขับเคลื่อนชีวิตด้วยใจสว่าง: ออกจากบ้านเพื่อฝึกใจ ไม่ใช่เพื่อหนีปัญหา "เปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นวันละนิด คือบุญที่มั่นคงยิ่งกว่าการเดินสายทำบุญ และใจที่ไม่เลวตามโลก คือใจที่พร้อมจะมีบุญอยู่เสมอ"
    0 Comments 0 Shares 401 Views 0 Reviews
  • ความเห็นดำริ
    คิดดีทำดี
    วาทะกรรมดี
    ดีการงานทำ

    คิดพูดทำนี้
    ล้วนมีตอกย้ำ
    มัวพาหลงกรรม
    ทำชั่วร้ายได้

    จงเพียรทำดี
    มีศีลธรรมไว้
    กุศลอาศัย
    ให้ไปมาดี

    อยู่ให้มีคุณ
    บุญหนุนชีวี
    สติให้ดี
    มีปัญญาธรรม

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    ความเห็นดำริ คิดดีทำดี วาทะกรรมดี ดีการงานทำ คิดพูดทำนี้ ล้วนมีตอกย้ำ มัวพาหลงกรรม ทำชั่วร้ายได้ จงเพียรทำดี มีศีลธรรมไว้ กุศลอาศัย ให้ไปมาดี อยู่ให้มีคุณ บุญหนุนชีวี สติให้ดี มีปัญญาธรรม ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • คิดดีทำดี สิ่งดีๆก็จะเกิดขึ้น
    คิดดีทำดี สิ่งดีๆก็จะเกิดขึ้น
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • วิธีคิดที่ถูกต้อง = ชีวิตที่ถูกต้อง


    ---

    1️⃣ คิดดี ชีวิตดีจริงไหม?

    คุณต้องพูดและทำสิ่งที่ดีเป็นเวลาหลายปีเพื่อประสบความสำเร็จ
    แต่แค่คิดผิดวันเดียว อาจทำให้ชีวิตพังทลาย

    อยู่ในที่มืดมิด ไม่น่ากลัวเท่าอยู่กับความคิดที่มืดมน
    นิสัยในการคิด คือ "มโนกรรม" ที่กำหนดชีวิตคุณ
    ถ้าหมั่นคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ชีวิตจะเหลวไหล
    ถ้าคิดลบ คิดแง่ร้ายตลอดเวลา ชีวิตจะเต็มไปด้วยกองขยะ
    แต่ถ้าคิดดี ชีวิตทั้งหมดจะดีเอง

    "คิดผิด = กรรมผิด → ชีวิตผิด"
    "คิดถูก = กรรมดี → ชีวิตดี"


    ---

    2️⃣ ทำไมมโนกรรมจึงสำคัญที่สุด?

    "มโนกรรม" ควบคุมชีวิต
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    มโนกรรม (ความคิด) → ครอบงำ
    วจีกรรม (คำพูด) → นำไปสู่
    กายกรรม (การกระทำ) → สร้างชีวิต

    "คิดดี = พูดดี = ทำดี = ชีวิตดี"
    "คิดร้าย = พูดร้าย = ทำร้าย = ชีวิตตกต่ำ"

    คนที่คิดบวกตลอดเวลา → มักประสบความสำเร็จในชีวิต
    คนที่คิดลบตลอดเวลา → แม้มีโอกาสดี ก็ทำลายตัวเอง


    ---

    3️⃣ วิธีคิดแบบพุทธ = ชีวิตสว่าง

    ถ้าตั้งศรัทธาในพระพุทธเจ้า
    เอาวิธีคิดของพระองค์มาเป็นแนวทาง
    คิดแต่สิ่งที่ทำให้ใจชุ่มชื่นและเบิกบาน

    "ความคิดที่ถูกต้อง = ความรู้สึกที่ถูกต้อง"
    คิดแล้ว ออกจากทุกข์
    คิดแล้ว นำไปสู่ความสุขที่แท้จริง


    ---

    4️⃣ ปรับความคิดให้สว่างขึ้นได้อย่างไร?

    1️⃣ สำรวจตัวเอง

    ความคิดแบบไหนที่ยังมืดอยู่?
    ปรับให้เป็นความคิดที่สว่าง

    2️⃣ ฝึกคิดอย่าง "ผู้ให้"

    คิดในทางที่ไม่เบียดเบียน
    คิดเป็นทาน (ให้มากกว่าเอา)
    คิดถึงศีล (ทำดี ละเว้นความชั่ว)

    เมื่อคิดแบบนี้ → ใจสว่างขึ้น
    เมื่อใจสว่าง → ชีวิตก็สว่างตาม


    ---

    5️⃣ สรุป : คิดให้ถูกก่อนจะทำสิ่งใด

    ถ้าไม่รู้ว่าความคิดที่ถูกคืออะไร
    ความคิดจะทำลายชีวิตของตัวเอง
    ถ้ารู้และฝึกคิดให้ถูกต้อง
    ชีวิตจะสว่างขึ้นเรื่อยๆ

    "เริ่มต้นที่ความคิด → กำหนดชีวิตทั้งหมด"
    "ถ้าไม่อยากทุกข์ → จงคิดให้ถูกตั้งแต่วันนี้!"

    📌 วิธีคิดที่ถูกต้อง = ชีวิตที่ถูกต้อง --- 🔍 1️⃣ คิดดี ชีวิตดีจริงไหม? ✅ คุณต้องพูดและทำสิ่งที่ดีเป็นเวลาหลายปีเพื่อประสบความสำเร็จ ❌ แต่แค่คิดผิดวันเดียว อาจทำให้ชีวิตพังทลาย 🔹 อยู่ในที่มืดมิด ไม่น่ากลัวเท่าอยู่กับความคิดที่มืดมน 🔹 นิสัยในการคิด คือ "มโนกรรม" ที่กำหนดชีวิตคุณ 🔹 ถ้าหมั่นคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ชีวิตจะเหลวไหล 🔹 ถ้าคิดลบ คิดแง่ร้ายตลอดเวลา ชีวิตจะเต็มไปด้วยกองขยะ 🔹 แต่ถ้าคิดดี ชีวิตทั้งหมดจะดีเอง 📌 "คิดผิด = กรรมผิด → ชีวิตผิด" 📌 "คิดถูก = กรรมดี → ชีวิตดี" --- 🔍 2️⃣ ทำไมมโนกรรมจึงสำคัญที่สุด? 📌 "มโนกรรม" ควบคุมชีวิต พระพุทธเจ้าตรัสว่า ✅ มโนกรรม (ความคิด) → ครอบงำ ✅ วจีกรรม (คำพูด) → นำไปสู่ ✅ กายกรรม (การกระทำ) → สร้างชีวิต 🌿 "คิดดี = พูดดี = ทำดี = ชีวิตดี" 🌿 "คิดร้าย = พูดร้าย = ทำร้าย = ชีวิตตกต่ำ" 📌 คนที่คิดบวกตลอดเวลา → มักประสบความสำเร็จในชีวิต 📌 คนที่คิดลบตลอดเวลา → แม้มีโอกาสดี ก็ทำลายตัวเอง --- 🔍 3️⃣ วิธีคิดแบบพุทธ = ชีวิตสว่าง ✅ ถ้าตั้งศรัทธาในพระพุทธเจ้า ✅ เอาวิธีคิดของพระองค์มาเป็นแนวทาง ✅ คิดแต่สิ่งที่ทำให้ใจชุ่มชื่นและเบิกบาน 📌 "ความคิดที่ถูกต้อง = ความรู้สึกที่ถูกต้อง" 💡 คิดแล้ว ออกจากทุกข์ 💡 คิดแล้ว นำไปสู่ความสุขที่แท้จริง --- 🔍 4️⃣ ปรับความคิดให้สว่างขึ้นได้อย่างไร? 1️⃣ สำรวจตัวเอง 🔹 ความคิดแบบไหนที่ยังมืดอยู่? 🔹 ปรับให้เป็นความคิดที่สว่าง 2️⃣ ฝึกคิดอย่าง "ผู้ให้" ✅ คิดในทางที่ไม่เบียดเบียน ✅ คิดเป็นทาน (ให้มากกว่าเอา) ✅ คิดถึงศีล (ทำดี ละเว้นความชั่ว) 📌 เมื่อคิดแบบนี้ → ใจสว่างขึ้น 📌 เมื่อใจสว่าง → ชีวิตก็สว่างตาม --- 🔍 5️⃣ สรุป : คิดให้ถูกก่อนจะทำสิ่งใด ✅ ถ้าไม่รู้ว่าความคิดที่ถูกคืออะไร ❌ ความคิดจะทำลายชีวิตของตัวเอง ✅ ถ้ารู้และฝึกคิดให้ถูกต้อง 💡 ชีวิตจะสว่างขึ้นเรื่อยๆ 📌 "เริ่มต้นที่ความคิด → กำหนดชีวิตทั้งหมด" 📌 "ถ้าไม่อยากทุกข์ → จงคิดให้ถูกตั้งแต่วันนี้!" 💙
    0 Comments 0 Shares 480 Views 0 Reviews
  • จิตก็พึ่งพระพุทธเจ้า พึ่งบุญกุศล เพียรทำตามท่านสอน ละบาป อะไรไม่ดีอย่าไปหาทำ ทำดี คิดดี
    จิตก็พึ่งพระพุทธเจ้า พึ่งบุญกุศล เพียรทำตามท่านสอน ละบาป อะไรไม่ดีอย่าไปหาทำ ทำดี คิดดี
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • กลายเป็นข่าวใหญ่ ที่ชาวเน็ตตามเผือกตามใส่ใจ สำหรับกรณี “ลำไย ไหทองคำ” สุพรรณษา เวชกามา เลิกรากับแฟนหนุ่มนักดนตรี “ปุ้ย ศรีสกล สมทรง” นักร้องนำวงแอลกอฮอลล์ ปิดฉากความรัก 9 ปี โดยตอนแรกลำไยยืนยันว่าไม่มีเรื่องมือที่สาม ก่อนจะโดนเพจต่างๆ เปิดมหกรรมขุดแหลก แฉเรื่อง “บอส เอวหวาน” ซึ่งเป็นแดนเซอร์ พร้อมข้อมูลต่างๆ ที่หลุดออกมา จนลำไยออกมาเผยว่าเคยคุยกันจริงในระยะเวลาสั้นๆ แต่เลิกคุยไปแล้ว ลั่นถูกแฟนเก่าบอสเรียกเงิน 10 ล้าน แต่ค่ายยินยอมจ่ายให้ 2 ล้านเท่านั้น ยืนยันไม่เคยจ้าง 1 แสนเพื่อให้มีเซ็กซ์ด้วย จนคนข้องใจว่า 10 ล้านที่เรียกเป็นค่าอะไร

    ล่าสุด “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ตัวแทนหมู่บ้าน ได้จัดการเคลียร์ให้หายข้องใจในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ (4 มี.ค.68) โดยเผยว่าตนไม่เชื่อว่าลำไยจะต้องจ้างแดนเซอร์ 1 แสนเพื่อให้มีสัมพันธ์ด้วย บอกแค่ดีดนิ้วก็มาแล้ว เพราะลำไยคือนักร้องเบอร์หนึ่งของเมืองไทยในตอนนี้

    “เอาตรงๆ นะ ผมไม่เชื่อหรอก เรื่องจ้างแสนนึงให้มีสัมพันธ์ด้วย อันนี้วิเคราะห์เองนะ คิดดีๆ นะ ลำไยจำเป็นต้องจ้างแดนเซอร์ 1 แสนให้มีสัมพันธ์กับตัวเองเหรอ ผมว่าแค่ลำไยดีดนิ้ว ก็มาเลยนะ ไม่จำเป็นต้องจ้างแสนนึง แต่ผมเชื่อเรื่องความให้โดยการเสน่หา อาจคบหากันช่วงเวลานึง เห็นว่าน้องจำเป็นต้องใช้เงินหรือเปล่าเลยให้เงินไป แต่ที่มาที่ไปมันมี ใจเย็นๆ ค่อยๆ เล่าทีละเปลาะ คนก็ไปตามหาอดีตแฟนบอส ชื่อโม ว่าเกิดอะไรขึ้น ถามว่าสุดท้ายมีการเรียกเงิน 10 ล้านจริงหรือเปล่า ต้องถามคนนี้เลย อยู่ในสายกับ น้องโม อดีตแฟนบอส” (โม แฟนเก่าบอสโฟนอินเข้ามาตอบในรายการ เผยว่าจริงๆ แล้วถูกเสนอเงิน 5 ล้าน เพื่อให้จบเรื่องนี้ และเป็นค่าเสียใจที่เกิดขึ้น พร้อมยันไม่ได้ส่งข้อมูลให้เพจต่างๆ เพื่อแฉลำไย)

    โม : “เคยคบหากับบอสจริง ไม่ได้ส่งข้อมูลให้เพจต่างๆ หนูไม่รู้ว่ามันไปที่เพจต่างๆ ได้ยังไง มีแต่เคยโพสต์ไว้ในเฟซนานมาแล้ว แล้วคนมาขุดกัน

    หนุ่ม : เรื่องเรียกเงิน 10 ล้านจริงมั้ย

    โม : หนูเรียก 5 ล้านค่ะ เขาเสนอมาค่ะ ทางค่ายเขาบอกว่าให้บอสถามหนูว่าอยากจะจบเรื่องนี้ เอาค่าเสียใจไหม มาเอาที่บอสเลย ถ้าบอสไม่มีให้ไปปรึกษาที่ค่าย ยังไงเขาจะช่วย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000020985

    #MGROnline #ลําไยไหทองคํา
    กลายเป็นข่าวใหญ่ ที่ชาวเน็ตตามเผือกตามใส่ใจ สำหรับกรณี “ลำไย ไหทองคำ” สุพรรณษา เวชกามา เลิกรากับแฟนหนุ่มนักดนตรี “ปุ้ย ศรีสกล สมทรง” นักร้องนำวงแอลกอฮอลล์ ปิดฉากความรัก 9 ปี โดยตอนแรกลำไยยืนยันว่าไม่มีเรื่องมือที่สาม ก่อนจะโดนเพจต่างๆ เปิดมหกรรมขุดแหลก แฉเรื่อง “บอส เอวหวาน” ซึ่งเป็นแดนเซอร์ พร้อมข้อมูลต่างๆ ที่หลุดออกมา จนลำไยออกมาเผยว่าเคยคุยกันจริงในระยะเวลาสั้นๆ แต่เลิกคุยไปแล้ว ลั่นถูกแฟนเก่าบอสเรียกเงิน 10 ล้าน แต่ค่ายยินยอมจ่ายให้ 2 ล้านเท่านั้น ยืนยันไม่เคยจ้าง 1 แสนเพื่อให้มีเซ็กซ์ด้วย จนคนข้องใจว่า 10 ล้านที่เรียกเป็นค่าอะไร • ล่าสุด “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ตัวแทนหมู่บ้าน ได้จัดการเคลียร์ให้หายข้องใจในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ (4 มี.ค.68) โดยเผยว่าตนไม่เชื่อว่าลำไยจะต้องจ้างแดนเซอร์ 1 แสนเพื่อให้มีสัมพันธ์ด้วย บอกแค่ดีดนิ้วก็มาแล้ว เพราะลำไยคือนักร้องเบอร์หนึ่งของเมืองไทยในตอนนี้ • “เอาตรงๆ นะ ผมไม่เชื่อหรอก เรื่องจ้างแสนนึงให้มีสัมพันธ์ด้วย อันนี้วิเคราะห์เองนะ คิดดีๆ นะ ลำไยจำเป็นต้องจ้างแดนเซอร์ 1 แสนให้มีสัมพันธ์กับตัวเองเหรอ ผมว่าแค่ลำไยดีดนิ้ว ก็มาเลยนะ ไม่จำเป็นต้องจ้างแสนนึง แต่ผมเชื่อเรื่องความให้โดยการเสน่หา อาจคบหากันช่วงเวลานึง เห็นว่าน้องจำเป็นต้องใช้เงินหรือเปล่าเลยให้เงินไป แต่ที่มาที่ไปมันมี ใจเย็นๆ ค่อยๆ เล่าทีละเปลาะ คนก็ไปตามหาอดีตแฟนบอส ชื่อโม ว่าเกิดอะไรขึ้น ถามว่าสุดท้ายมีการเรียกเงิน 10 ล้านจริงหรือเปล่า ต้องถามคนนี้เลย อยู่ในสายกับ น้องโม อดีตแฟนบอส” (โม แฟนเก่าบอสโฟนอินเข้ามาตอบในรายการ เผยว่าจริงๆ แล้วถูกเสนอเงิน 5 ล้าน เพื่อให้จบเรื่องนี้ และเป็นค่าเสียใจที่เกิดขึ้น พร้อมยันไม่ได้ส่งข้อมูลให้เพจต่างๆ เพื่อแฉลำไย) • โม : “เคยคบหากับบอสจริง ไม่ได้ส่งข้อมูลให้เพจต่างๆ หนูไม่รู้ว่ามันไปที่เพจต่างๆ ได้ยังไง มีแต่เคยโพสต์ไว้ในเฟซนานมาแล้ว แล้วคนมาขุดกัน • หนุ่ม : เรื่องเรียกเงิน 10 ล้านจริงมั้ย • โม : หนูเรียก 5 ล้านค่ะ เขาเสนอมาค่ะ ทางค่ายเขาบอกว่าให้บอสถามหนูว่าอยากจะจบเรื่องนี้ เอาค่าเสียใจไหม มาเอาที่บอสเลย ถ้าบอสไม่มีให้ไปปรึกษาที่ค่าย ยังไงเขาจะช่วย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000020985 • #MGROnline #ลําไยไหทองคํา
    0 Comments 0 Shares 611 Views 0 Reviews
  • เนวิน เตือนคิดดีๆ เอฟวันหรือโมโตจีพี ชี้คนดู F1 เหมือนหมามองเครื่องบินหากรัฐบาลยืนยันไม่ต่อสัญญาโมโตจีพี
    เนวิน เตือนคิดดีๆ เอฟวันหรือโมโตจีพี ชี้คนดู F1 เหมือนหมามองเครื่องบินหากรัฐบาลยืนยันไม่ต่อสัญญาโมโตจีพี
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 956 Views 31 1 Reviews
  • คิดดีทำดี ปรารถนาในสิ่งดี เราก็ทำเอา..ตายไปแล้วกระดูก ขี้เถ้าก็ยังเอาไปไม่ได้
    คิดดีทำดี ปรารถนาในสิ่งดี เราก็ทำเอา..ตายไปแล้วกระดูก ขี้เถ้าก็ยังเอาไปไม่ได้
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
  • พลังของคำพูด: พูดลบ → ดึงอัปมงคล | พูดบวก → ดึงโชคดี


    ---

    "คำพูดลบ" เป็นอัปมงคลจริงหรือ?

    พูดลบครั้งสองครั้ง → อาจไม่มีผลมาก
    พูดลบบ่อย → กลายเป็น "นิสัย" และ "พลังงานชีวิต"
    คำพูดลบ = สร้าง "หลุมดำ" ดูดสิ่งไม่ดีเข้ามา

    ถ้าพูดบ่น พูดด่า พูดเป็นลางร้ายทุกวัน → ชีวิตจะยิ่งจมลง
    เพราะพลังงานลบจากคำพูด → กลายเป็นแม่เหล็กดึงโชคร้าย


    ---

    "คำพูดลบ" ส่งผลร้ายได้อย่างไร?

    1️⃣ ทำให้จิตใจ "จมดิ่ง" เองโดยไม่รู้ตัว

    บ่นทุกวัน = ใจหดหู่ทุกวัน
    ด่าทุกวัน = ใจร้อนทุกวัน
    สาปแช่งทุกวัน = ใจเป็นพิษทุกวัน

    "พูดแย่ → ใจแย่ → ดึงดูดสิ่งแย่เข้ามา"


    ---

    2️⃣ ทำให้คนรอบข้าง "รังเกียจ"

    คนที่พูดแง่ลบ → ทำให้คนอื่น "รู้สึกแย่"
    พลังงานลบจากคำพูด → ทำให้คนฟังหมดกำลังใจ
    คนที่ฟังบ่อยๆ → จะเริ่มตีตัวออกห่าง

    "พูดลบเยอะ → คนรอบข้างถอยห่าง → เหลือตัวคนเดียว"


    ---

    3️⃣ ดึง "เคราะห์ร้าย" เข้าตัวจริงๆ

    พูดลบ → จิตกลายเป็นลบ → ดึงดูดโชคร้าย
    พูดดี → จิตกลายเป็นบวก → ดึงดูดโชคดี

    "คำพูด = คำพยากรณ์ชีวิต"
    "พูดว่าแย่ → จิตสร้างความแย่ → ชีวิตก็แย่"
    "พูดว่าโชคดี → จิตสร้างโชคดี → ชีวิตก็ดีขึ้น"


    ---

    เปลี่ยนชีวิตด้วย "คำพูดบวก"

    1️⃣ เปลี่ยน "คำพูดลบ" เป็น "คำพูดสร้างพลัง"

    "แย่จัง" → "มีอะไรดีที่เราเรียนรู้จากเรื่องนี้?"
    "ซวยอีกแล้ว" → "นี่คือโอกาสให้ฉันแก้ปัญหา"
    "ไม่มีทางสำเร็จ" → "ต้องมีทางไหนสักทางที่เวิร์ก"

    "พูดเปลี่ยน → ใจเปลี่ยน → ชีวิตเปลี่ยน"


    ---

    2️⃣ ฝึก "มองหาสิ่งดีๆ" ในเรื่องแย่ๆ

    ล้มเหลว → ได้บทเรียน
    โดนหักหลัง → ได้รู้จักคน
    สูญเสียบางสิ่ง → ได้รับบางอย่างกลับมา

    "คิดดีได้ → พูดดีได้ → ดึงดูดสิ่งดีๆได้"


    ---

    3️⃣ ฝึกพูดให้ "ตัวเองมีพลัง" และ "คนอื่นรู้สึกดี"

    พูดให้กำลังใจตัวเอง → "ฉันทำได้"
    พูดให้กำลังใจคนอื่น → "เธอเก่งมาก"
    พูดให้ชีวิตเป็นพลังบวก → "ทุกอย่างกำลังดีขึ้น"

    "พลังคำพูด = พลังชีวิต"
    "พูดดีบ่อยๆ → จิตใจสว่าง → ชีวิตมีโชค"


    ---

    สรุป: พลังของคำพูด สร้างชีวิตได้จริง!

    ✔ พูดลบ = ดึงดูดอัปมงคล
    ✔ พูดบวก = ดึงดูดโชคดี
    ✔ คำพูด = คำพยากรณ์ชีวิต

    "พูดดี = ดึงดูดสิ่งดีเข้ามา"
    "พูดลบ = ดูดโชคร้ายเข้าตัว"

    เริ่มเปลี่ยนได้วันนี้ → ฝึกพูดดี → ชีวิตจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแน่นอน!

    📌 พลังของคำพูด: พูดลบ → ดึงอัปมงคล | พูดบวก → ดึงโชคดี --- ❌ "คำพูดลบ" เป็นอัปมงคลจริงหรือ? ✅ พูดลบครั้งสองครั้ง → อาจไม่มีผลมาก ✅ พูดลบบ่อย → กลายเป็น "นิสัย" และ "พลังงานชีวิต" ✅ คำพูดลบ = สร้าง "หลุมดำ" ดูดสิ่งไม่ดีเข้ามา 🎯 ถ้าพูดบ่น พูดด่า พูดเป็นลางร้ายทุกวัน → ชีวิตจะยิ่งจมลง 🎯 เพราะพลังงานลบจากคำพูด → กลายเป็นแม่เหล็กดึงโชคร้าย --- 📌 "คำพูดลบ" ส่งผลร้ายได้อย่างไร? 1️⃣ ทำให้จิตใจ "จมดิ่ง" เองโดยไม่รู้ตัว ❌ บ่นทุกวัน = ใจหดหู่ทุกวัน ❌ ด่าทุกวัน = ใจร้อนทุกวัน ❌ สาปแช่งทุกวัน = ใจเป็นพิษทุกวัน 🎯 "พูดแย่ → ใจแย่ → ดึงดูดสิ่งแย่เข้ามา" --- 2️⃣ ทำให้คนรอบข้าง "รังเกียจ" ❌ คนที่พูดแง่ลบ → ทำให้คนอื่น "รู้สึกแย่" ❌ พลังงานลบจากคำพูด → ทำให้คนฟังหมดกำลังใจ ❌ คนที่ฟังบ่อยๆ → จะเริ่มตีตัวออกห่าง 🎯 "พูดลบเยอะ → คนรอบข้างถอยห่าง → เหลือตัวคนเดียว" --- 3️⃣ ดึง "เคราะห์ร้าย" เข้าตัวจริงๆ ❌ พูดลบ → จิตกลายเป็นลบ → ดึงดูดโชคร้าย ❌ พูดดี → จิตกลายเป็นบวก → ดึงดูดโชคดี 🎯 "คำพูด = คำพยากรณ์ชีวิต" 🎯 "พูดว่าแย่ → จิตสร้างความแย่ → ชีวิตก็แย่" 🎯 "พูดว่าโชคดี → จิตสร้างโชคดี → ชีวิตก็ดีขึ้น" --- 🔥 เปลี่ยนชีวิตด้วย "คำพูดบวก" 🔥 ✅ 1️⃣ เปลี่ยน "คำพูดลบ" เป็น "คำพูดสร้างพลัง" ❌ "แย่จัง" → ✅ "มีอะไรดีที่เราเรียนรู้จากเรื่องนี้?" ❌ "ซวยอีกแล้ว" → ✅ "นี่คือโอกาสให้ฉันแก้ปัญหา" ❌ "ไม่มีทางสำเร็จ" → ✅ "ต้องมีทางไหนสักทางที่เวิร์ก" 🎯 "พูดเปลี่ยน → ใจเปลี่ยน → ชีวิตเปลี่ยน" --- ✅ 2️⃣ ฝึก "มองหาสิ่งดีๆ" ในเรื่องแย่ๆ ❌ ล้มเหลว → ✅ ได้บทเรียน ❌ โดนหักหลัง → ✅ ได้รู้จักคน ❌ สูญเสียบางสิ่ง → ✅ ได้รับบางอย่างกลับมา 🎯 "คิดดีได้ → พูดดีได้ → ดึงดูดสิ่งดีๆได้" --- ✅ 3️⃣ ฝึกพูดให้ "ตัวเองมีพลัง" และ "คนอื่นรู้สึกดี" ✅ พูดให้กำลังใจตัวเอง → "ฉันทำได้" ✅ พูดให้กำลังใจคนอื่น → "เธอเก่งมาก" ✅ พูดให้ชีวิตเป็นพลังบวก → "ทุกอย่างกำลังดีขึ้น" 🎯 "พลังคำพูด = พลังชีวิต" 🎯 "พูดดีบ่อยๆ → จิตใจสว่าง → ชีวิตมีโชค" --- 🎯 สรุป: พลังของคำพูด สร้างชีวิตได้จริง! ✔ พูดลบ = ดึงดูดอัปมงคล ✔ พูดบวก = ดึงดูดโชคดี ✔ คำพูด = คำพยากรณ์ชีวิต 🔥 "พูดดี = ดึงดูดสิ่งดีเข้ามา" 🔥 "พูดลบ = ดูดโชคร้ายเข้าตัว" 🎯 เริ่มเปลี่ยนได้วันนี้ → ฝึกพูดดี → ชีวิตจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแน่นอน!
    0 Comments 0 Shares 359 Views 0 Reviews
  • ข้อคิดดีๆฝากถึง Gen-Y และ Gen-Xตลอดจน ผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่ผู้สูงวัยจาก
    นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) เจ้าของผลงานหนังสือ
    “อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้”

    1. ผมเริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 35 ปี ผมเป็นนักกีฬา ไม่เคยป่วย ไม่เคยเจ็บ ตอนทำงานคนอื่นเขาลาป่วยกัน ผมไม่เคยลา ผมวิ่ง ว่ายน้ำ ขึ้นเขาลงห้วยมาหมด พอเป็นอย่างนั้นผมก็มาตั้งเป้าหมายของตัวเองว่าอยากมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี

    2. ที่ผมตั้งเป้าหมายว่าอยากมีอายุถึง 120 ปี ก็เพราะ หนึ่งผมเป็นหมอ เลยอยากทดลองกับตัวเอง และสองเป็นการทำให้ตัวเองไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่นอนป่วย ถ้าเป็นคนอื่นที่มีอายุขนาดนี้เขาป่วยตายกันไปเเล้ว แต่ผมยังเเข็งแรง ขับรถทางไกลไปหัวหิน ไปไหนมาไหนได้สบายๆ

    3. ผมกินแบบช้าง ม้า วัว ควาย ไม่ได้กินแบบเสือ สิงโต หมา แมว เนื้อสัตว์ผมจะกินให้น้อยที่สุด กินเเต่ผัก กินผลไม้ ก็ทำให้แข็งแรงน่ะสิ ตลอดชีวิตผมให้เลือดไปทั้งหมด 114 ครั้ง ได้เลือดรวม 60 ลิตร ผมให้เลือดจนถึงอายุ 70 กว่าปีเพราะแข็งแรง คนปกติแค่อายุ 60 เขาก็หยุดให้เเล้ว เพราะกรุ๊ปเลือดผมเป็นเอบี หายาก มีน้อย

    4. สุขภาพที่ดีมาจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ น้ำหนักส่วนสูงต้องเป๊ะ คนอ้วนๆ ตายเร็วทั้งนั้นแหละ สังเกตดีๆ คนอายุยืนรูปร่างจะสูงเพรียว แต่ถ้าอ้วน ความดัน เบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคอะไรร้อยแปด สุดท้ายก็ตายเร็ว

    5. ถ้าอยากดูแลสุขภาพตัวเอง เริ่มต้นง่ายๆ แค่ดูน้ำหนักกับส่วนสูง ผู้ชายสูงกี่เซนติเมตรให้เอา 100 ลบ แก้ผ้าชั่งน้ำหนักเลยนะ สมมติสูง 170 หัวเด็ดตีนขาดอย่าเกิน 70 กิโลกรัม ถ้าจะให้ดียิ่งไปอีกเอา 105 ลบ ส่วนผู้หญิงให้เอา 110 ลบ หุ่นนางงามอย่าง อาภัสรา หงสกุล สูง 170 น้ำหนัก 50 กิโลกรัม เห็นไหมเขาถึงได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส

    6. การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องมีสระว่ายน้ำ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร นอกจากไปซื้อรองเท้ามาคู่หนึ่ง คนวัยทำงานควรหาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยๆ 3-4 วันใน 1 สัปดาห์ ก็ไปวิ่งสิ ให้ได้สักวันละ 5 กิโลเมตร วิ่งแล้วหัวใจก็แข็งแรง กล้ามเนื้อเเข็งแรง เหงื่อออก น้ำหนักตัวก็จะลดลง

    7. คนเราก็มีอยู่สองอย่าง มีคิดผิดกับคิดถูก ที่บอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหมดไฟในการมีชีวิต ก็คนแบบนั้นมันคิดไม่เป็นไง หรือไม่ได้คิด เอาแต่เที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา สูบบุหรี่ เที่ยวหามรุ่งหามค่ำ แต่ผมไม่ ทุกวันนี้สนุกจะตาย ทดลองใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ

    8. คำว่า ‘ความสุข’ กับ ‘อายุยืน’ นั้นมาคู่กัน สุขอื่นใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เพราะฉะนั้น เราก็ทำจิตใจให้สบาย สงบ ไม่เครียด ไม่จุ้นจ้าน ไม่หาเรื่อง ไม่โกรธ จิตใจมันก็สบาย แล้วสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศล คนชั่ว คนใจบาปหยาบช้าไม่มีทางมีความสุขและอายุยืนยาวได้เลย คุณต้องทำจิตใจให้สบาย สร้างแต่บุญกุศล และทำแต่ความดี

    9. ผมแทบไม่มีเรื่องที่เสียดายในชีวิต เพราะผมวางแผนไว้หมดทุกอย่าง ผมเริ่มต้นดูแลสุขภาพมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ วางแผนทุกอย่างตั้งแต่การออกกำลังกาย การกินอาหาร และพักผ่อนนอนหลับ เรื่องที่เสียดายเกือบจะไม่มี เพราะชีวิตมันคือการวางแผน ผมวางแผนไว้ตั้งแต่หนุ่มๆ และมันเป็นไปตามแผนหมดทุกอย่าง หนังสืองานศพก็มี ความหมายของการมีหนังสืองานศพของตัวเองคือ การเตรียมตัวเตรียมใจ พูดง่ายๆ ว่าเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว คนเขียนคำไว้อาลัยให้เสร็จสรรพเรียบร้อยหมด

    10. สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนวัยผมก็คือ การเห็นความก้าวหน้าของลูกหลานและเหลน ลูกทุกคนมีครอบครัวที่ดี เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เห็นต้นไม้ออกดอกผล ไม่มีด้วงไม่มีแมลงมาเกาะมันก็คือความสุข

    11. ชีวิตคนเราไม่ต้องมีต้นแบบ ตัวเราเป็นต้นแบบของตัวเองได้ อย่างผมไง ผมดูแลสุขภาพ วางแผนชีวิตตัวเองมาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ไม่จำเป็นต้องหาต้นแบบจากที่ไหน

    นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี)

    ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์

    FB: โต๊ะป้าศรี CH Table

    (แอดมินเดือน)
    📌ข้อคิดดีๆฝากถึง Gen-Y และ Gen-Xตลอดจน ผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่ผู้สูงวัยจาก ➡️นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) เจ้าของผลงานหนังสือ “อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้” 1. ผมเริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 35 ปี ผมเป็นนักกีฬา ไม่เคยป่วย ไม่เคยเจ็บ ตอนทำงานคนอื่นเขาลาป่วยกัน ผมไม่เคยลา ผมวิ่ง ว่ายน้ำ ขึ้นเขาลงห้วยมาหมด พอเป็นอย่างนั้นผมก็มาตั้งเป้าหมายของตัวเองว่าอยากมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี 2. ที่ผมตั้งเป้าหมายว่าอยากมีอายุถึง 120 ปี ก็เพราะ หนึ่งผมเป็นหมอ เลยอยากทดลองกับตัวเอง และสองเป็นการทำให้ตัวเองไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่นอนป่วย ถ้าเป็นคนอื่นที่มีอายุขนาดนี้เขาป่วยตายกันไปเเล้ว แต่ผมยังเเข็งแรง ขับรถทางไกลไปหัวหิน ไปไหนมาไหนได้สบายๆ 3. ผมกินแบบช้าง ม้า วัว ควาย ไม่ได้กินแบบเสือ สิงโต หมา แมว เนื้อสัตว์ผมจะกินให้น้อยที่สุด กินเเต่ผัก กินผลไม้ ก็ทำให้แข็งแรงน่ะสิ ตลอดชีวิตผมให้เลือดไปทั้งหมด 114 ครั้ง ได้เลือดรวม 60 ลิตร ผมให้เลือดจนถึงอายุ 70 กว่าปีเพราะแข็งแรง คนปกติแค่อายุ 60 เขาก็หยุดให้เเล้ว เพราะกรุ๊ปเลือดผมเป็นเอบี หายาก มีน้อย 4. สุขภาพที่ดีมาจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ น้ำหนักส่วนสูงต้องเป๊ะ คนอ้วนๆ ตายเร็วทั้งนั้นแหละ สังเกตดีๆ คนอายุยืนรูปร่างจะสูงเพรียว แต่ถ้าอ้วน ความดัน เบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคอะไรร้อยแปด สุดท้ายก็ตายเร็ว 5. ถ้าอยากดูแลสุขภาพตัวเอง เริ่มต้นง่ายๆ แค่ดูน้ำหนักกับส่วนสูง ผู้ชายสูงกี่เซนติเมตรให้เอา 100 ลบ แก้ผ้าชั่งน้ำหนักเลยนะ สมมติสูง 170 หัวเด็ดตีนขาดอย่าเกิน 70 กิโลกรัม ถ้าจะให้ดียิ่งไปอีกเอา 105 ลบ ส่วนผู้หญิงให้เอา 110 ลบ หุ่นนางงามอย่าง อาภัสรา หงสกุล สูง 170 น้ำหนัก 50 กิโลกรัม เห็นไหมเขาถึงได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส 6. การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องมีสระว่ายน้ำ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร นอกจากไปซื้อรองเท้ามาคู่หนึ่ง คนวัยทำงานควรหาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยๆ 3-4 วันใน 1 สัปดาห์ ก็ไปวิ่งสิ ให้ได้สักวันละ 5 กิโลเมตร วิ่งแล้วหัวใจก็แข็งแรง กล้ามเนื้อเเข็งแรง เหงื่อออก น้ำหนักตัวก็จะลดลง 7. คนเราก็มีอยู่สองอย่าง มีคิดผิดกับคิดถูก ที่บอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหมดไฟในการมีชีวิต ก็คนแบบนั้นมันคิดไม่เป็นไง หรือไม่ได้คิด เอาแต่เที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา สูบบุหรี่ เที่ยวหามรุ่งหามค่ำ แต่ผมไม่ ทุกวันนี้สนุกจะตาย ทดลองใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ 8. คำว่า ‘ความสุข’ กับ ‘อายุยืน’ นั้นมาคู่กัน สุขอื่นใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เพราะฉะนั้น เราก็ทำจิตใจให้สบาย สงบ ไม่เครียด ไม่จุ้นจ้าน ไม่หาเรื่อง ไม่โกรธ จิตใจมันก็สบาย แล้วสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศล คนชั่ว คนใจบาปหยาบช้าไม่มีทางมีความสุขและอายุยืนยาวได้เลย คุณต้องทำจิตใจให้สบาย สร้างแต่บุญกุศล และทำแต่ความดี 9. ผมแทบไม่มีเรื่องที่เสียดายในชีวิต เพราะผมวางแผนไว้หมดทุกอย่าง ผมเริ่มต้นดูแลสุขภาพมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ วางแผนทุกอย่างตั้งแต่การออกกำลังกาย การกินอาหาร และพักผ่อนนอนหลับ เรื่องที่เสียดายเกือบจะไม่มี เพราะชีวิตมันคือการวางแผน ผมวางแผนไว้ตั้งแต่หนุ่มๆ และมันเป็นไปตามแผนหมดทุกอย่าง หนังสืองานศพก็มี ความหมายของการมีหนังสืองานศพของตัวเองคือ การเตรียมตัวเตรียมใจ พูดง่ายๆ ว่าเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว คนเขียนคำไว้อาลัยให้เสร็จสรรพเรียบร้อยหมด 10. สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนวัยผมก็คือ การเห็นความก้าวหน้าของลูกหลานและเหลน ลูกทุกคนมีครอบครัวที่ดี เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เห็นต้นไม้ออกดอกผล ไม่มีด้วงไม่มีแมลงมาเกาะมันก็คือความสุข 11. ชีวิตคนเราไม่ต้องมีต้นแบบ ตัวเราเป็นต้นแบบของตัวเองได้ อย่างผมไง ผมดูแลสุขภาพ วางแผนชีวิตตัวเองมาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ไม่จำเป็นต้องหาต้นแบบจากที่ไหน นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์ FB: โต๊ะป้าศรี CH Table (แอดมินเดือน)
    0 Comments 0 Shares 1103 Views 0 Reviews
  • ขัอคิดดีๆฝากถึง Gen-Y Gen-X และผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่สูงวัยจาก
    นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) เจ้าของผลงานหนังสือ
    “อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้”

    1. ผมเริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 35 ปี ผมเป็นนักกีฬา ไม่เคยป่วย ไม่เคยเจ็บ ตอนทำงานคนอื่นเขาลาป่วยกัน ผมไม่เคยลา ผมวิ่ง ว่ายน้ำ ขึ้นเขาลงห้วยมาหมด พอเป็นอย่างนั้นผมก็มาตั้งเป้าหมายของตัวเองว่าอยากมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี

    2. ที่ผมตั้งเป้าหมายว่าอยากมีอายุถึง 120 ปี ก็เพราะ หนึ่งผมเป็นหมอ เลยอยากทดลองกับตัวเอง และสองเป็นการทำให้ตัวเองไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่นอนป่วย ถ้าเป็นคนอื่นที่มีอายุขนาดนี้เขาป่วยตายกันไปเเล้ว แต่ผมยังเเข็งแรง ขับรถทางไกลไปหัวหิน ไปไหนมาไหนได้สบายๆ

    3. ผมกินแบบช้าง ม้า วัว ควาย ไม่ได้กินแบบเสือ สิงโต หมา แมว เนื้อสัตว์ผมจะกินให้น้อยที่สุด กินเเต่ผัก กินผลไม้ ก็ทำให้แข็งแรงน่ะสิ ตลอดชีวิตผมให้เลือดไปทั้งหมด 114 ครั้ง ได้เลือดรวม 60 ลิตร ผมให้เลือดจนถึงอายุ 70 กว่าปีเพราะแข็งแรง คนปกติแค่อายุ 60 เขาก็หยุดให้เเล้ว เพราะกรุ๊ปเลือดผมเป็นเอบี หายาก มีน้อย

    4. สุขภาพที่ดีมาจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ น้ำหนักส่วนสูงต้องเป๊ะ คนอ้วนๆ ตายเร็วทั้งนั้นแหละ สังเกตดีๆ คนอายุยืนรูปร่างจะสูงเพรียว แต่ถ้าอ้วน ความดัน เบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคอะไรร้อยแปด สุดท้ายก็ตายเร็ว

    5. ถ้าอยากดูแลสุขภาพตัวเอง เริ่มต้นง่ายๆ แค่ดูน้ำหนักกับส่วนสูง ผู้ชายสูงกี่เซนติเมตรให้เอา 100 ลบ แก้ผ้าชั่งน้ำหนักเลยนะ สมมติสูง 170 หัวเด็ดตีนขาดอย่าเกิน 70 กิโลกรัม ถ้าจะให้ดียิ่งไปอีกเอา 105 ลบ ส่วนผู้หญิงให้เอา 110 ลบ หุ่นนางงามอย่าง อาภัสรา หงสกุล สูง 170 น้ำหนัก 50 กิโลกรัม เห็นไหมเขาถึงได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส

    6. การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องมีสระว่ายน้ำ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร นอกจากไปซื้อรองเท้ามาคู่หนึ่ง คนวัยทำงานควรหาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยๆ 3-4 วันใน 1 สัปดาห์ ก็ไปวิ่งสิ ให้ได้สักวันละ 5 กิโลเมตร วิ่งแล้วหัวใจก็แข็งแรง กล้ามเนื้อเเข็งแรง เหงื่อออก น้ำหนักตัวก็จะลดลง

    7. คนเราก็มีอยู่สองอย่าง มีคิดผิดกับคิดถูก ที่บอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหมดไฟในการมีชีวิต ก็คนแบบนั้นมันคิดไม่เป็นไง หรือไม่ได้คิด เอาแต่เที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา สูบบุหรี่ เที่ยวหามรุ่งหามค่ำ แต่ผมไม่ ทุกวันนี้สนุกจะตาย ทดลองใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ

    8. คำว่า ‘ความสุข’ กับ ‘อายุยืน’ นั้นมาคู่กัน สุขอื่นใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เพราะฉะนั้น เราก็ทำจิตใจให้สบาย สงบ ไม่เครียด ไม่จุ้นจ้าน ไม่หาเรื่อง ไม่โกรธ จิตใจมันก็สบาย แล้วสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศล คนชั่ว คนใจบาปหยาบช้าไม่มีทางมีความสุขและอายุยืนยาวได้เลย คุณต้องทำจิตใจให้สบาย สร้างแต่บุญกุศล และทำแต่ความดี

    9. ผมแทบไม่มีเรื่องที่เสียดายในชีวิต เพราะผมวางแผนไว้หมดทุกอย่าง ผมเริ่มต้นดูแลสุขภาพมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ วางแผนทุกอย่างตั้งแต่การออกกำลังกาย การกินอาหาร และพักผ่อนนอนหลับ เรื่องที่เสียดายเกือบจะไม่มี เพราะชีวิตมันคือการวางแผน ผมวางแผนไว้ตั้งแต่หนุ่มๆ และมันเป็นไปตามแผนหมดทุกอย่าง หนังสืองานศพก็มี ความหมายของการมีหนังสืองานศพของตัวเองคือ การเตรียมตัวเตรียมใจ พูดง่ายๆ ว่าเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว คนเขียนคำไว้อาลัยให้เสร็จสรรพเรียบร้อยหมด

    10. สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนวัยผมก็คือ การเห็นความก้าวหน้าของลูกหลานและเหลน ลูกทุกคนมีครอบครัวที่ดี เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เห็นต้นไม้ออกดอกผล ไม่มีด้วงไม่มีแมลงมาเกาะมันก็คือความสุข

    11. ชีวิตคนเราไม่ต้องมีต้นแบบ ตัวเราเป็นต้นแบบของตัวเองได้ อย่างผมไง ผมดูแลสุขภาพ วางแผนชีวิตตัวเองมาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ไม่จำเป็นต้องหาต้นแบบจากที่ไหน

    นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99ปี
    ❤️ขัอคิดดีๆฝากถึง Gen-Y Gen-X และผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่สูงวัยจาก 👉นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) เจ้าของผลงานหนังสือ “อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้” 1. ผมเริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 35 ปี ผมเป็นนักกีฬา ไม่เคยป่วย ไม่เคยเจ็บ ตอนทำงานคนอื่นเขาลาป่วยกัน ผมไม่เคยลา ผมวิ่ง ว่ายน้ำ ขึ้นเขาลงห้วยมาหมด พอเป็นอย่างนั้นผมก็มาตั้งเป้าหมายของตัวเองว่าอยากมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี 2. ที่ผมตั้งเป้าหมายว่าอยากมีอายุถึง 120 ปี ก็เพราะ หนึ่งผมเป็นหมอ เลยอยากทดลองกับตัวเอง และสองเป็นการทำให้ตัวเองไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่นอนป่วย ถ้าเป็นคนอื่นที่มีอายุขนาดนี้เขาป่วยตายกันไปเเล้ว แต่ผมยังเเข็งแรง ขับรถทางไกลไปหัวหิน ไปไหนมาไหนได้สบายๆ 3. ผมกินแบบช้าง ม้า วัว ควาย ไม่ได้กินแบบเสือ สิงโต หมา แมว เนื้อสัตว์ผมจะกินให้น้อยที่สุด กินเเต่ผัก กินผลไม้ ก็ทำให้แข็งแรงน่ะสิ ตลอดชีวิตผมให้เลือดไปทั้งหมด 114 ครั้ง ได้เลือดรวม 60 ลิตร ผมให้เลือดจนถึงอายุ 70 กว่าปีเพราะแข็งแรง คนปกติแค่อายุ 60 เขาก็หยุดให้เเล้ว เพราะกรุ๊ปเลือดผมเป็นเอบี หายาก มีน้อย 4. สุขภาพที่ดีมาจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ น้ำหนักส่วนสูงต้องเป๊ะ คนอ้วนๆ ตายเร็วทั้งนั้นแหละ สังเกตดีๆ คนอายุยืนรูปร่างจะสูงเพรียว แต่ถ้าอ้วน ความดัน เบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคอะไรร้อยแปด สุดท้ายก็ตายเร็ว 5. ถ้าอยากดูแลสุขภาพตัวเอง เริ่มต้นง่ายๆ แค่ดูน้ำหนักกับส่วนสูง ผู้ชายสูงกี่เซนติเมตรให้เอา 100 ลบ แก้ผ้าชั่งน้ำหนักเลยนะ สมมติสูง 170 หัวเด็ดตีนขาดอย่าเกิน 70 กิโลกรัม ถ้าจะให้ดียิ่งไปอีกเอา 105 ลบ ส่วนผู้หญิงให้เอา 110 ลบ หุ่นนางงามอย่าง อาภัสรา หงสกุล สูง 170 น้ำหนัก 50 กิโลกรัม เห็นไหมเขาถึงได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส 6. การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องมีสระว่ายน้ำ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร นอกจากไปซื้อรองเท้ามาคู่หนึ่ง คนวัยทำงานควรหาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยๆ 3-4 วันใน 1 สัปดาห์ ก็ไปวิ่งสิ ให้ได้สักวันละ 5 กิโลเมตร วิ่งแล้วหัวใจก็แข็งแรง กล้ามเนื้อเเข็งแรง เหงื่อออก น้ำหนักตัวก็จะลดลง 7. คนเราก็มีอยู่สองอย่าง มีคิดผิดกับคิดถูก ที่บอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหมดไฟในการมีชีวิต ก็คนแบบนั้นมันคิดไม่เป็นไง หรือไม่ได้คิด เอาแต่เที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา สูบบุหรี่ เที่ยวหามรุ่งหามค่ำ แต่ผมไม่ ทุกวันนี้สนุกจะตาย ทดลองใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ 8. คำว่า ‘ความสุข’ กับ ‘อายุยืน’ นั้นมาคู่กัน สุขอื่นใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เพราะฉะนั้น เราก็ทำจิตใจให้สบาย สงบ ไม่เครียด ไม่จุ้นจ้าน ไม่หาเรื่อง ไม่โกรธ จิตใจมันก็สบาย แล้วสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศล คนชั่ว คนใจบาปหยาบช้าไม่มีทางมีความสุขและอายุยืนยาวได้เลย คุณต้องทำจิตใจให้สบาย สร้างแต่บุญกุศล และทำแต่ความดี 9. ผมแทบไม่มีเรื่องที่เสียดายในชีวิต เพราะผมวางแผนไว้หมดทุกอย่าง ผมเริ่มต้นดูแลสุขภาพมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ วางแผนทุกอย่างตั้งแต่การออกกำลังกาย การกินอาหาร และพักผ่อนนอนหลับ เรื่องที่เสียดายเกือบจะไม่มี เพราะชีวิตมันคือการวางแผน ผมวางแผนไว้ตั้งแต่หนุ่มๆ และมันเป็นไปตามแผนหมดทุกอย่าง หนังสืองานศพก็มี ความหมายของการมีหนังสืองานศพของตัวเองคือ การเตรียมตัวเตรียมใจ พูดง่ายๆ ว่าเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว คนเขียนคำไว้อาลัยให้เสร็จสรรพเรียบร้อยหมด 10. สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนวัยผมก็คือ การเห็นความก้าวหน้าของลูกหลานและเหลน ลูกทุกคนมีครอบครัวที่ดี เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เห็นต้นไม้ออกดอกผล ไม่มีด้วงไม่มีแมลงมาเกาะมันก็คือความสุข 11. ชีวิตคนเราไม่ต้องมีต้นแบบ ตัวเราเป็นต้นแบบของตัวเองได้ อย่างผมไง ผมดูแลสุขภาพ วางแผนชีวิตตัวเองมาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ไม่จำเป็นต้องหาต้นแบบจากที่ไหน นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99ปี
    0 Comments 0 Shares 889 Views 0 Reviews
  • "รมว.กลาโหม" รับบัญชา "ท่านทักษิณ" ไฟใต้จบปีหน้า ชี้แนวคิดดี "รัฐบาล" ต้องนำมาพิจารณา
    https://www.thai-tai.tv/news/17336/
    "รมว.กลาโหม" รับบัญชา "ท่านทักษิณ" ไฟใต้จบปีหน้า ชี้แนวคิดดี "รัฐบาล" ต้องนำมาพิจารณา https://www.thai-tai.tv/news/17336/
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • ความไม่เที่ยงของ "คนคนหนึ่ง" → ทางขึ้น หรือทางลง?

    ในชีวิตของทุกคน เราต่างเคยเห็นว่า "ไม่มีอะไรคงที่"
    บางวัน สดใส → บางวัน หม่นหมอง
    บางช่วง จิตสว่าง → บางช่วง จิตมืด
    บางครา คิดดี → บางครั้ง คิดร้าย
    บางคน พูดน่าฟัง → บางคน พูดสับสน

    นี่คือ "อนิจจังของความเป็นคน"
    แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ…
    เราจะทำให้มันเป็น "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "อนิจจังขาลง"?

    ---

    2 แบบของความไม่เที่ยง

    อนิจจังขาขึ้น

    > "ยิ่งนาน ยิ่งดีขึ้น ยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น"
    "ยิ่งใช้เวลากับกันและกัน ยิ่งมีความสุข"

    กาย: ดูสดใสขึ้น, มีพลังบวก, มีสุขภาพที่ดี
    ใจ: มีเมตตามากขึ้น, เข้าใจโลกมากขึ้น
    ความคิด: มองโลกในแง่ดีขึ้น, มีเหตุผลมากขึ้น
    คำพูด: สื่อสารชัดเจน เข้าใจกันง่ายขึ้น

    อนิจจังขาขึ้น คือการพัฒนา
    หากเราอยู่กับใครแล้วทำให้ เขาดีขึ้น และเราดีขึ้น นั่นแปลว่า
    "เราเป็นพลังบวกให้กันและกัน"

    ---

    อนิจจังขาลง

    > "ยิ่งอยู่ ยิ่งทุกข์ ยิ่งทำร้ายกัน"
    "ยิ่งนาน ยิ่งเบื่อ ยิ่งหมดศรัทธา"

    กาย: โทรมลง, หมดพลัง, ป่วยง่ายขึ้น
    ใจ: หงุดหงิดง่ายขึ้น, ความอดทนน้อยลง
    ความคิด: ติดลบ, ขี้ระแวง, หวาดระแวง
    คำพูด: เริ่มสื่อสารไม่เข้าใจ, ใช้คำพูดที่ทำร้ายกัน

    อนิจจังขาลง คือความเสื่อมถอย
    หากเราอยู่กับใครแล้วทำให้ เขาแย่ลง และเราแย่ลง นั่นแปลว่า
    "เราเป็นภาระทางใจให้กันและกัน"

    ---

    เรามีผลต่อกันเสมอ → เลือกจะเป็นแรง "พาขึ้น" หรือ "พาลง"?

    หากเราเป็นพลังบวกให้ใคร → เราทำให้เขาดีขึ้น
    หากเราเป็นพลังลบให้ใคร → เราทำให้เขาแย่ลง

    อยู่ใกล้ใคร ให้เขาสบายใจขึ้น หรือเครียดลง?
    เราทำให้คนรอบข้าง มี "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "ขาลง"?

    การพิจารณาตรงนี้จะทำให้เรารู้ว่า…
    เราเป็นคนแบบไหน?
    เราควรอยู่ใกล้ใคร?
    เราจะมีอิทธิพลต่อชีวิตใคร ในแบบที่ดีขึ้นหรือแย่ลง?

    ---

    วิธี "ฝึกตัวเอง" ให้เป็นอนิจจังขาขึ้น

    1️⃣ รู้จักสังเกต

    ถ้าเรามีอารมณ์ขุ่นมัว ใจร้อน หงุดหงิดง่าย
    ให้สังเกตว่ามันเกิดจากอะไร?

    ถ้าพบว่าเกิดจาก คนรอบตัว
    ให้ถามว่า "เราเป็นพลังลบให้กันหรือเปล่า?"

    2️⃣ ฝึกคิดบวกให้มากขึ้น

    หลีกเลี่ยงความคิดลบ ที่ทำให้รู้สึกทุกข์

    พยายามเข้าใจความไม่เที่ยงของอารมณ์

    เลือกโฟกัสที่สิ่งดีๆ ในตัวคนรอบข้าง

    3️⃣ สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี

    อยู่ใกล้คนที่ ช่วยพัฒนาคุณ

    หลีกเลี่ยง สังคมที่ทำให้คุณเสื่อมถอย

    ฝึกทำ กิจกรรมที่เพิ่มพลังบวกในชีวิต เช่น อ่านหนังสือดีๆ, ฟังธรรมะ

    4️⃣ เจริญสติ - เห็นความเปลี่ยนแปลงของจิตตัวเอง

    ทุกวันจิตเราจะ ขึ้นๆ ลงๆ

    อย่าด่วนตัดสินว่า "เราจะเป็นคนแบบนี้ตลอดไป"

    ให้มองเห็นว่า "เรามีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง"

    สังเกตดูว่า "ถ้าเราทำสิ่งนี้ จิตเราดีขึ้นไหม?"

    ---

    สรุป → "ทางเลือกของคุณ อยู่ที่ใจคุณ"

    คุณเลือกได้ว่า… จะเป็น "พลังบวก" หรือ "พลังลบ"

    คุณเลือกได้ว่า… จะทำให้คนรอบข้าง "พัฒนา" หรือ "เสื่อมถอย"

    คุณเลือกได้ว่า… จะอยู่ใน "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "ขาลง"

    สุดท้าย… ถ้าคุณพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
    คุณจะกลายเป็นคนที่ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้!
    📌 ความไม่เที่ยงของ "คนคนหนึ่ง" → ทางขึ้น หรือทางลง? ในชีวิตของทุกคน เราต่างเคยเห็นว่า "ไม่มีอะไรคงที่" บางวัน สดใส → บางวัน หม่นหมอง บางช่วง จิตสว่าง → บางช่วง จิตมืด บางครา คิดดี → บางครั้ง คิดร้าย บางคน พูดน่าฟัง → บางคน พูดสับสน นี่คือ "อนิจจังของความเป็นคน" แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ… 👉 เราจะทำให้มันเป็น "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "อนิจจังขาลง"? --- 🎯 2 แบบของความไม่เที่ยง 🔺 อนิจจังขาขึ้น > "ยิ่งนาน ยิ่งดีขึ้น ยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น" "ยิ่งใช้เวลากับกันและกัน ยิ่งมีความสุข" ✅ กาย: ดูสดใสขึ้น, มีพลังบวก, มีสุขภาพที่ดี ✅ ใจ: มีเมตตามากขึ้น, เข้าใจโลกมากขึ้น ✅ ความคิด: มองโลกในแง่ดีขึ้น, มีเหตุผลมากขึ้น ✅ คำพูด: สื่อสารชัดเจน เข้าใจกันง่ายขึ้น 👉 อนิจจังขาขึ้น คือการพัฒนา หากเราอยู่กับใครแล้วทำให้ เขาดีขึ้น และเราดีขึ้น นั่นแปลว่า "เราเป็นพลังบวกให้กันและกัน" --- 🔻 อนิจจังขาลง > "ยิ่งอยู่ ยิ่งทุกข์ ยิ่งทำร้ายกัน" "ยิ่งนาน ยิ่งเบื่อ ยิ่งหมดศรัทธา" ❌ กาย: โทรมลง, หมดพลัง, ป่วยง่ายขึ้น ❌ ใจ: หงุดหงิดง่ายขึ้น, ความอดทนน้อยลง ❌ ความคิด: ติดลบ, ขี้ระแวง, หวาดระแวง ❌ คำพูด: เริ่มสื่อสารไม่เข้าใจ, ใช้คำพูดที่ทำร้ายกัน 👉 อนิจจังขาลง คือความเสื่อมถอย หากเราอยู่กับใครแล้วทำให้ เขาแย่ลง และเราแย่ลง นั่นแปลว่า "เราเป็นภาระทางใจให้กันและกัน" --- 🔍 เรามีผลต่อกันเสมอ → เลือกจะเป็นแรง "พาขึ้น" หรือ "พาลง"? 🟢 หากเราเป็นพลังบวกให้ใคร → เราทำให้เขาดีขึ้น 🔴 หากเราเป็นพลังลบให้ใคร → เราทำให้เขาแย่ลง ✅ อยู่ใกล้ใคร ให้เขาสบายใจขึ้น หรือเครียดลง? ✅ เราทำให้คนรอบข้าง มี "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "ขาลง"? 👉 การพิจารณาตรงนี้จะทำให้เรารู้ว่า… 🔹 เราเป็นคนแบบไหน? 🔹 เราควรอยู่ใกล้ใคร? 🔹 เราจะมีอิทธิพลต่อชีวิตใคร ในแบบที่ดีขึ้นหรือแย่ลง? --- 📌 วิธี "ฝึกตัวเอง" ให้เป็นอนิจจังขาขึ้น 1️⃣ รู้จักสังเกต ถ้าเรามีอารมณ์ขุ่นมัว ใจร้อน หงุดหงิดง่าย ให้สังเกตว่ามันเกิดจากอะไร? ถ้าพบว่าเกิดจาก คนรอบตัว ให้ถามว่า "เราเป็นพลังลบให้กันหรือเปล่า?" 2️⃣ ฝึกคิดบวกให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงความคิดลบ ที่ทำให้รู้สึกทุกข์ พยายามเข้าใจความไม่เที่ยงของอารมณ์ เลือกโฟกัสที่สิ่งดีๆ ในตัวคนรอบข้าง 3️⃣ สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี อยู่ใกล้คนที่ ช่วยพัฒนาคุณ หลีกเลี่ยง สังคมที่ทำให้คุณเสื่อมถอย ฝึกทำ กิจกรรมที่เพิ่มพลังบวกในชีวิต เช่น อ่านหนังสือดีๆ, ฟังธรรมะ 4️⃣ เจริญสติ - เห็นความเปลี่ยนแปลงของจิตตัวเอง ทุกวันจิตเราจะ ขึ้นๆ ลงๆ อย่าด่วนตัดสินว่า "เราจะเป็นคนแบบนี้ตลอดไป" ให้มองเห็นว่า "เรามีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง" สังเกตดูว่า "ถ้าเราทำสิ่งนี้ จิตเราดีขึ้นไหม?" --- 📌 สรุป → "ทางเลือกของคุณ อยู่ที่ใจคุณ" คุณเลือกได้ว่า… จะเป็น "พลังบวก" หรือ "พลังลบ" คุณเลือกได้ว่า… จะทำให้คนรอบข้าง "พัฒนา" หรือ "เสื่อมถอย" คุณเลือกได้ว่า… จะอยู่ใน "อนิจจังขาขึ้น" หรือ "ขาลง" 💡 สุดท้าย… ถ้าคุณพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น คุณจะกลายเป็นคนที่ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้! 🔥
    0 Comments 0 Shares 556 Views 0 Reviews
More Results