• “Crunchyroll ปรับลดคุณภาพซับไตเติล — จากงานศิลป์สู่ข้อความขาวเรียบที่แฟน ๆ ผิดหวัง”

    ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2025 ผู้ใช้ Crunchyroll หลายคนเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ในคุณภาพของซับไตเติล โดยเฉพาะในแอนิเมะใหม่ ๆ ที่ออกฉายช่วงนี้ ซับที่เคยมีการจัดวางอย่างประณีต แปลข้อความบนหน้าจออย่างกลมกลืน และแสดงบทสนทนาแบบแยกตำแหน่งผู้พูด กลับถูกแทนที่ด้วยข้อความขาวเรียบที่วางทับกันอย่างไม่เป็นระเบียบ

    เดิมที Crunchyroll ใช้ฟอร์แมต .ASS ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้แปลสามารถจัดวางซับได้อย่างสร้างสรรค์ เช่น การแปลป้ายบนฉากให้กลมกลืนกับภาพ หรือการแสดงข้อความแชตในโทรศัพท์ให้ดูเหมือนจริง แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนมาใช้ .SRT ซึ่งจำกัดการจัดวางและรูปแบบ ทำให้ซับกลายเป็นเพียงข้อความธรรมดา

    แฟน ๆ บางคนถึงกับต้องใช้ Google Lens สแกนข้อความบนหน้าจอเพื่อแปลเอง เพราะซับไม่แสดงเนื้อหานั้นอีกต่อไป โดยเฉพาะในแอนิเมะแนว isekai ที่มี UI เกมและหน้าจอสถิติต่าง ๆ ซึ่งเคยแปลได้ครบถ้วน ตอนนี้กลับกลายเป็นข้อความทับกันที่อ่านแทบไม่ออก

    มีการตั้งข้อสังเกตว่า Crunchyroll อาจเริ่มใช้ระบบแปลอัตโนมัติหรือ AI เช่น ChatGPT ในการสร้างซับ โดยมีหลักฐานจากซับภาษาเยอรมันที่หลุดข้อความ “ChatGPT said…” ในแอนิเมะเรื่องหนึ่ง และซับภาษาอังกฤษที่มีข้อความ placeholder อย่าง “Translated by: Translator’s name” ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการใช้ระบบอัตโนมัติโดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์

    แม้ Crunchyroll จะยังไม่ออกแถลงการณ์ชัดเจน แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้แฟน ๆ ผิดหวังอย่างมาก เพราะซับไตเติลเคยเป็นจุดแข็งที่ทำให้แพลตฟอร์มนี้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Crunchyroll ปรับลดคุณภาพซับไตเติลในฤดูใบไม้ร่วง 2025
    เปลี่ยนจากฟอร์แมต .ASS เป็น .SRT ที่มีข้อจำกัดด้านการจัดวาง
    ซับกลายเป็นข้อความขาวเรียบที่วางทับกัน ไม่แยกตำแหน่งผู้พูด
    ข้อความบนหน้าจอ เช่น ป้ายหรือแชต ไม่ถูกแปลหรือจัดวางอย่างเหมาะสม
    แฟน ๆ ต้องใช้ Google Lens เพื่อแปลข้อความบนหน้าจอเอง
    แอนิเมะแนว isekai ได้รับผลกระทบหนักจากการเปลี่ยนแปลงนี้
    พบหลักฐานว่าซับบางตอนมีข้อความ “ChatGPT said…” และ placeholder
    ซับภาษาอังกฤษบางตอนมีข้อความ “Translated by: Translator’s name”
    มีการตั้งข้อสังเกตว่า Crunchyroll อาจใช้ AI ในการสร้างซับ
    แฟน ๆ แสดงความผิดหวังและตั้งคำถามถึงคุณภาพที่ลดลง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฟอร์แมต .ASS รองรับการจัดวางซับแบบซับซ้อน เช่น การแสดงหลายบรรทัดพร้อมกัน
    .SRT เป็นฟอร์แมตพื้นฐานที่ใช้ในแพลตฟอร์มทั่วไป เช่น YouTube
    การใช้ AI แปลซับอาจช่วยลดต้นทุน แต่เสี่ยงต่อความผิดพลาดและความไม่แม่นยำ
    Crunchyroll เคยถูกวิจารณ์เรื่องซับผิดพลาดใน Re:Zero ซีซัน 3 เมื่อปี 2024
    การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อคุณภาพซับในไฟล์ที่ถูก rip ไปยังแพลตฟอร์มอื่น

    https://animebythenumbers.substack.com/p/worse-crunchyroll-subtitles
    📉 “Crunchyroll ปรับลดคุณภาพซับไตเติล — จากงานศิลป์สู่ข้อความขาวเรียบที่แฟน ๆ ผิดหวัง” ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2025 ผู้ใช้ Crunchyroll หลายคนเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ในคุณภาพของซับไตเติล โดยเฉพาะในแอนิเมะใหม่ ๆ ที่ออกฉายช่วงนี้ ซับที่เคยมีการจัดวางอย่างประณีต แปลข้อความบนหน้าจออย่างกลมกลืน และแสดงบทสนทนาแบบแยกตำแหน่งผู้พูด กลับถูกแทนที่ด้วยข้อความขาวเรียบที่วางทับกันอย่างไม่เป็นระเบียบ เดิมที Crunchyroll ใช้ฟอร์แมต .ASS ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้แปลสามารถจัดวางซับได้อย่างสร้างสรรค์ เช่น การแปลป้ายบนฉากให้กลมกลืนกับภาพ หรือการแสดงข้อความแชตในโทรศัพท์ให้ดูเหมือนจริง แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนมาใช้ .SRT ซึ่งจำกัดการจัดวางและรูปแบบ ทำให้ซับกลายเป็นเพียงข้อความธรรมดา แฟน ๆ บางคนถึงกับต้องใช้ Google Lens สแกนข้อความบนหน้าจอเพื่อแปลเอง เพราะซับไม่แสดงเนื้อหานั้นอีกต่อไป โดยเฉพาะในแอนิเมะแนว isekai ที่มี UI เกมและหน้าจอสถิติต่าง ๆ ซึ่งเคยแปลได้ครบถ้วน ตอนนี้กลับกลายเป็นข้อความทับกันที่อ่านแทบไม่ออก มีการตั้งข้อสังเกตว่า Crunchyroll อาจเริ่มใช้ระบบแปลอัตโนมัติหรือ AI เช่น ChatGPT ในการสร้างซับ โดยมีหลักฐานจากซับภาษาเยอรมันที่หลุดข้อความ “ChatGPT said…” ในแอนิเมะเรื่องหนึ่ง และซับภาษาอังกฤษที่มีข้อความ placeholder อย่าง “Translated by: Translator’s name” ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการใช้ระบบอัตโนมัติโดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ แม้ Crunchyroll จะยังไม่ออกแถลงการณ์ชัดเจน แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้แฟน ๆ ผิดหวังอย่างมาก เพราะซับไตเติลเคยเป็นจุดแข็งที่ทำให้แพลตฟอร์มนี้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Crunchyroll ปรับลดคุณภาพซับไตเติลในฤดูใบไม้ร่วง 2025 ➡️ เปลี่ยนจากฟอร์แมต .ASS เป็น .SRT ที่มีข้อจำกัดด้านการจัดวาง ➡️ ซับกลายเป็นข้อความขาวเรียบที่วางทับกัน ไม่แยกตำแหน่งผู้พูด ➡️ ข้อความบนหน้าจอ เช่น ป้ายหรือแชต ไม่ถูกแปลหรือจัดวางอย่างเหมาะสม ➡️ แฟน ๆ ต้องใช้ Google Lens เพื่อแปลข้อความบนหน้าจอเอง ➡️ แอนิเมะแนว isekai ได้รับผลกระทบหนักจากการเปลี่ยนแปลงนี้ ➡️ พบหลักฐานว่าซับบางตอนมีข้อความ “ChatGPT said…” และ placeholder ➡️ ซับภาษาอังกฤษบางตอนมีข้อความ “Translated by: Translator’s name” ➡️ มีการตั้งข้อสังเกตว่า Crunchyroll อาจใช้ AI ในการสร้างซับ ➡️ แฟน ๆ แสดงความผิดหวังและตั้งคำถามถึงคุณภาพที่ลดลง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฟอร์แมต .ASS รองรับการจัดวางซับแบบซับซ้อน เช่น การแสดงหลายบรรทัดพร้อมกัน ➡️ .SRT เป็นฟอร์แมตพื้นฐานที่ใช้ในแพลตฟอร์มทั่วไป เช่น YouTube ➡️ การใช้ AI แปลซับอาจช่วยลดต้นทุน แต่เสี่ยงต่อความผิดพลาดและความไม่แม่นยำ ➡️ Crunchyroll เคยถูกวิจารณ์เรื่องซับผิดพลาดใน Re:Zero ซีซัน 3 เมื่อปี 2024 ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อคุณภาพซับในไฟล์ที่ถูก rip ไปยังแพลตฟอร์มอื่น https://animebythenumbers.substack.com/p/worse-crunchyroll-subtitles
    ANIMEBYTHENUMBERS.SUBSTACK.COM
    Why did Crunchyroll’s subtitles just get worse?
    A small change to operations may undermine a key differentiator for the anime streamer.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดอกไม้ป่า—ร่องรอยแห่งชนบทในสำเนียงเมือง

    คณะดอกไม้ป่า ก้าวเข้ามาสู่ฉากดนตรีไทยในช่วงต้นทศวรรษ 2520 (ค.ศ. 1980s) ซึ่งถือเป็น ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของรสนิยมและการผลิตดนตรีในประเทศไทย พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มนักร้องที่รวมตัวกันตามธรรมชาติ แต่เป็นโครงการทางดนตรีที่ถูกกำหนดและออกแบบอย่างพิถีพิถันจากผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมเพลงมืออาชีพ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองต่อตลาดชนชั้นกลางในเมืองที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

    สิ่งที่ทำให้วงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งคือความสามารถในการนำ "แก่นเรื่องแบบลูกทุ่ง" มาผสมผสานกับการเรียบเรียงและคุณภาพการผลิตแบบ "ดนตรีสตริงหรือป๊อป" อันนำไปสู่การก่อกำเนิดของแนวทางใหม่ที่เรียกว่า "ลูกทุ่งประยุกต์" ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานให้กับรูปแบบดนตรีป๊อปที่ครองตลาดในทศวรรษต่อมา

    ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในช่วงปี พ.ศ. 2525–2526 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมหลังเหตุการณ์ทางการเมืองในทศวรรษก่อนหน้า วงนี้ถูกวางตำแหน่งทางการตลาดให้เป็นนักร้องคู่ดูโอหญิงที่เน้นทักษะการประสานเสียง (Harmonizing Duo) พวกเขาสามารถดึงดูดผู้ฟังได้อย่างกว้างขวางด้วยการรักษาความรู้สึกและแก่นเรื่องของความเป็นไทยไว้ ในขณะที่นำเสนอผ่านสำเนียงป๊อปสมัยใหม่

    ในเชิงสังคมวิทยา ความสำเร็จของวงมีความสัมพันธ์กับการถอยห่างจากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่รุนแรงของยุค 1970s ดนตรีป๊อปที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้มักหลีกเลี่ยงสารทางการเมือง และหันไปให้ความสำคัญกับเรื่องราวส่วนตัว ความรัก และการมอบความบันเทิง ดอกไม้ป่าได้ปรับใช้แก่นเรื่องลูกทุ่งให้มีความอ่อนโยนและโรแมนติกในรูปแบบป๊อป ซึ่งทำให้บทเพลงของพวกเขากลายเป็นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่ผู้บริโภคในเมืองสามารถยอมรับและเพลิดเพลินได้

    คณะดอกไม้ป่าถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดทางธุรกิจที่ชัดเจน โดยไม่ได้เกิดจากการรวมตัวกันของนักดนตรีตามธรรมชาติ การก่อตั้งมีรากฐานมาจากความต้องการขยายตลาดและรูปแบบความสำเร็จที่เคยมีมาก่อน โดยผู้ริเริ่มแนวคิดต้องการที่จะสรรหานักร้องหญิงคู่ประสานเสียงเป็นคู่ที่สอง เพื่อต่อยอดความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับวง The Hot Pepper Singers การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นว่า รูปแบบของ "นักร้องคู่ประสานเสียง" ที่มีภาพลักษณ์สุภาพและเน้นทักษะการร้องถือเป็นกลยุทธ์เชิงพาณิชย์ที่มีศักยภาพสูง

    การเน้นที่ "นักร้องคู่ประสานเสียง" แสดงให้เห็นว่าคุณภาพเสียงและการจัดวางเสียงประสานถูกกำหนดให้เป็นหัวใจหลักของแบรนด์ตั้งแต่เริ่มต้น แนวคิดนี้เป็นความพยายามที่จะยกระดับรูปแบบการร้องเพลงให้แตกต่างจากดนตรีลูกทุ่งทั่วไป การประสานเสียงที่ซับซ้อนนี้ถูกมองว่าเป็นคุณสมบัติของดนตรีแนวลูกกรุงและป๊อปที่มีความประณีตและมีรสนิยมสูง ซึ่งสามารถดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคในเมืองได้

    วงดอกไม้ป่าประกอบด้วยนักร้องดูโอหญิงสองคน: โชติมา ช่วงวิทย์ (ตุ้ม) และ ปัทมา มนต์รังสี (อ้อม) คุณโชติมาถือเป็นสมาชิกหลักที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเธอเป็นบุตรสาวของ ชวลีย์ ช่วงวิทย์ นักร้องชื่อดังของวงสุนทราภรณ์ สายเลือดจากสุนทราภรณ์นี้มอบความน่าเชื่อถือทางวัฒนธรรมและ "ความเป็นลูกกรุง" ให้กับวงโดยอัตโนมัติ ทำให้ดอกไม้ป่าสามารถวางตำแหน่งตัวเองอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นลูกทุ่งและความเป็นลูกกรุง/คลาสสิก

    ในช่วงเวลาที่ดนตรีลูกทุ่งกำลังถูกกลุ่มรสนิยมใหม่ของคนเมืองมองว่าเป็น "ดนตรีบ้านนอก" การมีโชติมาได้ทำหน้าที่เป็น "การสร้างแบรนด์ทางวัฒนธรรม" ที่สำคัญยิ่ง การเชื่อมโยงนี้รับประกันว่าเพลงของดอกไม้ป่า แม้จะมีกลิ่นอายของลูกทุ่ง แต่ก็มีความสุภาพและมีคุณค่าในเชิงศิลปะแบบลูกกรุงสูง

    "ดอกไม้ป่าซาวด์" คือการผสมผสานทางดนตรี ที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจในการนำองค์ประกอบทางทำนองเพลงพื้นบ้านหรือลูกทุ่ง มารวมเข้ากับการเรียบเรียงดนตรีและเครื่องดนตรีสมัยใหม่ตามแบบฉบับดนตรีสตริง/ป๊อปในยุค 80s

    แก่นเรื่องแบบลูกทุ่งยังคงเป็นหัวใจหลักในการเล่าเรื่อง ตัวอย่างเช่น เพลง "ทุยใจดำ" ที่สื่อถึงคนรักที่ไม่ซื่อสัตย์ และเพลง "สาวชนบท" ที่หยิบยกเรื่องราวความรักและชีวิตในท้องถิ่นมานำเสนอ แต่สิ่งที่ทำให้ดนตรีมีความแตกต่างคือการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ การใช้เครื่องดนตรีที่ซับซ้อน เช่น เปียโน กีตาร์ไฟฟ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เครื่องเป่า (Brass Section) ที่สร้างความหนาแน่นและพลังเสียงที่ทันสมัย นอกจากนี้ยังมีการนำจังหวะที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีตะวันตกมาใช้ เช่น จังหวะช่าช่าช่า หรือฟังก์กี้ดิสโก้ในเพลงสนุกสนานอย่าง "ระบำยอดหญ้า" ทั้งหมดนี้ถูกขับร้องด้วยการประสานเสียงที่ไพเราะและสะอาดตา ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของดนตรีป๊อปในช่วงนั้น

    การวิเคราะห์เนื้อหาและแก่นหลักของบทเพลง
    1️⃣ ความรักที่ถูกทรยศในบริบทกึ่งชนบท: เพลงอย่าง "ทุยใจดำ" และ "ช้ำ" นำเสนอความผิดหวังในความรักจากมุมมองของผู้หญิง เมื่อเนื้อหาเหล่านี้ถูกขับร้องด้วยคุณภาพเสียงที่สะอาดและการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ ความดิบหรือความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับความยากจนในเพลงลูกทุ่งแบบดั้งเดิมก็ถูกลดทอนลง เนื้อหาจึงถูก "ทำให้สะอาด" ให้เหลือเพียงความเศร้าแบบโรแมนติกที่เข้ากับมาตรฐานของเพลงป๊อปในเมือง

    2️⃣ ความปรารถนาในชีวิตชนบทและความหวนคิดถึง: เพลง "สาวชนบท" และ "ระบำยอดหญ้า" นำเสนอภาพความสดใสและรื่นเริงของชีวิตในท้องถิ่น ผู้ฟังในเขตเมืองหลายคนซึ่งส่วนใหญ่อพยพมาจากชนบท ต่างให้การตอบรับต่อเพลงเหล่านี้อย่างดีเยี่ยม ดอกไม้ป่าจึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ "การหวนคิดถึงอย่างมีรสนิยม" (Aesthetic Nostalgia)

    ความสำเร็จอย่างสูงในตลาดเพลงสตริง/ป๊อป แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการ "เชื่อมรอยแยกทางวัฒนธรรม" ระหว่างรสนิยมของคนเมือง (ที่แสวงหาความทันสมัย) กับความผูกพันของกลุ่มผู้ฟังต่อชนบท

    ปี พ.ศ. 2525 เป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์ของคณะดอกไม้ป่าจากการเปิดตัวอัลบั้ม ทุยใจดำ ซึ่งได้กำหนดทิศทางและลักษณะเฉพาะของวงอย่างชัดเจน เพลงเอก "ทุยใจดำ" เป็นตัวอย่างชั้นยอดของการผสมผสานระหว่าง Luk Thung และ Pop ผนวกกับการเรียบเรียงที่ใช้เครื่องดนตรีครบวงและจังหวะที่เร้าใจ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงเต้นรำที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง

    วงยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในปี พ.ศ. 2526 โดยมีผลงานเพลงจากชุดต่อมา เช่น "สาวชนบท," "หนาวลมขมรัก," และ "รักทรมาน" การออกผลงานหลายชุดภายในเวลาอันสั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นของค่ายเพลงในศักยภาพเชิงพาณิชย์และกระแสความนิยมที่แข็งแกร่งในช่วงเวลานั้น การที่เพลงของพวกเขาถูกรวมอยู่ในอัลบั้มรวมเพลงฮิตเงินล้าน ร่วมกับศิลปินใหญ่แห่งยุค แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นวงชั้นนำในตลาดเพลงเทปคาสเซ็ตต์อย่างแท้จริง

    นอกจากคุณภาพทางดนตรีแล้ว ภาพลักษณ์ของคณะดอกไม้ป่ามีความสำคัญต่อการตลาดไม่น้อยไปกว่ากัน ภาพลักษณ์ที่ถูกนำเสนอมีความเป็นมืออาชีพสูงและสอดคล้องกับแฟชั่นยุค 80s การปรากฏตัวทั้งในสตูดิโอและภาพคอนเสิร์ต แสดงให้เห็นถึงการลงทุนในการผลิต และการแต่งกายที่ดูทันสมัยและสะอาดตา ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนจากภาพลักษณ์ลูกทุ่งแบบดั้งเดิม

    คณะดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญสองประการในต้นทศวรรษ 1980s นั่นคือพลวัตของการอพยพย้ายถิ่นฐาน และการเปลี่ยนแปลงของบทบาททางเพศ

    ในช่วงหลังปี 2520 สังคมไทยเข้าสู่ยุคของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการขยายตัวของชนชั้นกลางในเขตเมืองอย่างชัดเจน ผู้คนจำนวนมากอพยพจากชนบทเข้าสู่กรุงเทพฯ ทำให้เกิดความตึงเครียดทางวัฒนธรรมระหว่างวิถีชีวิตแบบเมืองกับรากเหง้าที่ยังคงผูกพันกับชนบท

    กลุ่มผู้ฟังที่ย้ายถิ่นฐานเหล่านี้ยังคงมีความผูกพันทางอารมณ์กับเนื้อหาและทำนองแบบลูกทุ่ง แต่รสนิยมทางเสียงของพวกเขาได้ถูกหล่อหลอมด้วยดนตรีป๊อปและสตริงที่ทันสมัย ดอกไม้ป่าจึงเข้ามาตอบโจทย์นี้ด้วยการนำเสนอ "ลูกทุ่งในแพ็คเกจป๊อป" เพลงที่มีธีมเกี่ยวกับ "สาวชนบท" ซึ่งถูกถ่ายทอดโดยนักร้องที่ดูทันสมัยในบริบทเมือง จึงสามารถสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้ฟังกลุ่มย้ายถิ่นฐานได้อย่างลึกซึ้ง บทเพลงของดอกไม้ป่าเปรียบเสมือน "ซาวด์แทร็กของการปรับตัว" ของคนชนบทเข้าสู่สังคมเมือง

    การที่คณะดอกไม้ป่าเป็นนักร้องดูโอหญิงในแนว Pop/Fusion แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงบทบาททางเพศในสื่อและสังคมในช่วงเวลานั้น ภาพลักษณ์ของ โชติมา และ ปัทมา เป็นตัวแทนของ ผู้หญิงในยุคสมัยใหม่ ที่สามารถเป็นทั้งผู้รักษามรดกทางวัฒนธรรมและเป็นผู้หญิงที่มีความทันสมัย (ผ่านสไตล์การแต่งกายและการนำเสนอแบบป๊อป)

    นอกจากนี้ เพลงที่กล้าแสดงออกถึงความผิดหวังในความรักและความช้ำ เป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกส่วนตัวในที่สาธารณะได้มากขึ้น โดยที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่ดูดีและไม่ฉีกกรอบทางสังคมมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับยุคสมัยที่บทบาทของผู้หญิงเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น

    ในช่วงปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมกำลังฟื้นตัวหลังความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ ดนตรีที่ได้รับความนิยมสูงมักจะไม่มีวาระทางการเมืองที่ชัดเจน คณะดอกไม้ป่าเองก็เน้นที่ความบันเทิงและเรื่องราวส่วนตัว การหลีกเลี่ยงข้อความที่อาจสร้างความขัดแย้งทางการเมืองในบทเพลง ส่งผลให้ดอกไม้ป่าสามารถเข้าถึงผู้ชมหลักได้อย่างง่ายดาย

    ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อย่างสูงในช่วงยุครุ่งเรือง ดังที่ปรากฏหลักฐานจากการออกอัลบั้ม Longplay เต็มรูปแบบหลายชุด และการมีอัลบั้มรวมเพลงฮิต การที่เพลงของวงถูกนำไปรวมอยู่ในอัลบั้มที่ทำยอดขายสูงร่วมกับศิลปินสำคัญแห่งยุค ตอกย้ำสถานะของพวกเขาในฐานะวงชั้นนำของตลาดเทปคาสเซ็ตต์ ซึ่งเป็นรูปแบบการบริโภคหลักในยุคนั้น

    ดอกไม้ป่าไม่ได้เป็นเพียงวงดนตรีที่ขายดี แต่ยังได้สร้างต้นแบบ ให้กับแนวเพลงผสมผสานที่ทรงอิทธิพล พวกเขาเป็นตัวอย่างสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นว่าดนตรีที่มีรากฐานลูกทุ่งสามารถนำเสนอในรูปแบบป๊อปสตริงที่มีคุณภาพสูงและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ การเปิดทางนี้มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังจำนวนมากที่พยายามนำเสนอ "ลูกทุ่งสมัยใหม่" ซึ่งช่วยยืดอายุและปรับโฉมให้ดนตรีลูกทุ่งยังคงอยู่รอดในยุคที่ดนตรี String ครองตลาด

    การที่ดอกไม้ป่าสามารถนำเอาองค์ประกอบของลูกทุ่งและป๊อปมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวและได้รับความนิยมอย่างสูง ทำให้ผู้ผลิตเพลงเห็นว่า "สูตรผสม" นี้เป็นช่องทางที่มั่นคงในการขยายตลาดไปยังผู้ฟังที่มีรสนิยมหลากหลาย ถือเป็นการเร่งกระบวนการที่ทำให้ดนตรีสตริงได้ครอบครองความโดดเด่นในที่สุด

    มรดกทางดนตรีของดอกไม้ป่ายังคงยืนยง เพลงของพวกเขายังคงถูกค้นหาและรับฟังในปัจจุบันผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทนทานของทำนองและเนื้อหาที่เข้าถึงง่าย การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลยังเห็นได้จากการที่สมาชิกหลักของวงยังคงมีความเคลื่อนไหวในการกลับมาทำเพลงใหม่ในนามดอกไม้ป่า ("พลังรัก") และมีการสร้างช่องทาง YouTube เฉพาะ การเคลื่อนไหวนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าศิลปินยุคบุกเบิกสามารถใช้แพลตฟอร์มสมัยใหม่เพื่อรักษาและขยายฐานแฟนคลับให้เข้าถึงผู้ฟังรุ่นใหม่ได้

    สรุป: มรดกของดอกไม้ป่า
    คณะดอกไม้ป่าจัดเป็นปรากฏการณ์ทางดนตรีและวัฒนธรรมที่มีความซับซ้อนในช่วงรอยต่อของสังคมไทย พวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างความสมดุลระหว่างมรดกทางดนตรีคลาสสิก (ผ่านสายเลือดสุนทราภรณ์) กับความต้องการของตลาดป๊อปที่เน้นความทันสมัยและคุณภาพการผลิตสูง

    บทเพลงของดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นกลไกทางวัฒนธรรมที่ช่วยบรรเทาความตึงเครียดทางสังคมภายหลังวิกฤตการณ์ทางการเมือง ด้วยการนำเสนอความบันเทิงที่ปลอดภัยและเป็นทางออกทางวัฒนธรรมสำหรับกลุ่มผู้ย้ายถิ่นฐานที่ต้องการรักษาความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับชนบท ในขณะที่ปรับตัวเข้าสู่ความเป็นเมืองอย่างเต็มตัว

    มรดกที่สำคัญที่สุดของคณะดอกไม้ป่าคือการเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่แข็งแกร่งที่สุดของ "ดนตรีลูกทุ่งประยุกต์" พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าความทันสมัยทางดนตรีไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากรากฐานทางวัฒนธรรมดั้งเดิม และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเพลงป๊อปไทยในทศวรรษต่อมาให้ยอมรับและผสมผสานแนวเพลงที่มีรากฐานมาจาก Luk Thung เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเพลงกระแสหลักได้อย่างลงตัว

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/NnrS7BYpRRc
    🌼 ดอกไม้ป่า—ร่องรอยแห่งชนบทในสำเนียงเมือง คณะดอกไม้ป่า 🌸 ก้าวเข้ามาสู่ฉากดนตรีไทยในช่วงต้นทศวรรษ 2520 (ค.ศ. 1980s) ซึ่งถือเป็น 🔄 ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของรสนิยมและการผลิตดนตรีในประเทศไทย พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มนักร้องที่รวมตัวกันตามธรรมชาติ แต่เป็นโครงการทางดนตรีที่ถูกกำหนดและออกแบบอย่างพิถีพิถันจากผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมเพลงมืออาชีพ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองต่อตลาดชนชั้นกลางในเมืองที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ทำให้วงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งคือความสามารถในการนำ "แก่นเรื่องแบบลูกทุ่ง" 🧬🌾 มาผสมผสานกับการเรียบเรียงและคุณภาพการผลิตแบบ "ดนตรีสตริงหรือป๊อป" 🎧 อันนำไปสู่การก่อกำเนิดของแนวทางใหม่ที่เรียกว่า "ลูกทุ่งประยุกต์" ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานให้กับรูปแบบดนตรีป๊อปที่ครองตลาดในทศวรรษต่อมา ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในช่วงปี พ.ศ. 2525–2526 🌟 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมหลังเหตุการณ์ทางการเมืองในทศวรรษก่อนหน้า วงนี้ถูกวางตำแหน่งทางการตลาดให้เป็นนักร้องคู่ดูโอหญิงที่เน้นทักษะการประสานเสียง (Harmonizing Duo) พวกเขาสามารถดึงดูดผู้ฟังได้อย่างกว้างขวางด้วยการรักษาความรู้สึกและแก่นเรื่องของความเป็นไทยไว้ ในขณะที่นำเสนอผ่านสำเนียงป๊อปสมัยใหม่ ในเชิงสังคมวิทยา ความสำเร็จของวงมีความสัมพันธ์กับการถอยห่างจากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่รุนแรงของยุค 1970s ดนตรีป๊อปที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้มักหลีกเลี่ยงสารทางการเมือง และหันไปให้ความสำคัญกับเรื่องราวส่วนตัว ความรัก ❤️ และการมอบความบันเทิง ดอกไม้ป่าได้ปรับใช้แก่นเรื่องลูกทุ่งให้มีความอ่อนโยนและโรแมนติกในรูปแบบป๊อป ซึ่งทำให้บทเพลงของพวกเขากลายเป็นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่ผู้บริโภคในเมืองสามารถยอมรับและเพลิดเพลินได้ คณะดอกไม้ป่าถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดทางธุรกิจที่ชัดเจน 💡 โดยไม่ได้เกิดจากการรวมตัวกันของนักดนตรีตามธรรมชาติ การก่อตั้งมีรากฐานมาจากความต้องการขยายตลาดและรูปแบบความสำเร็จที่เคยมีมาก่อน โดยผู้ริเริ่มแนวคิดต้องการที่จะสรรหานักร้องหญิงคู่ประสานเสียงเป็นคู่ที่สอง เพื่อต่อยอดความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับวง The Hot Pepper Singers การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นว่า รูปแบบของ "นักร้องคู่ประสานเสียง" 🎤🤝 ที่มีภาพลักษณ์สุภาพและเน้นทักษะการร้องถือเป็นกลยุทธ์เชิงพาณิชย์ที่มีศักยภาพสูง การเน้นที่ "นักร้องคู่ประสานเสียง" แสดงให้เห็นว่าคุณภาพเสียงและการจัดวางเสียงประสานถูกกำหนดให้เป็นหัวใจหลักของแบรนด์ตั้งแต่เริ่มต้น แนวคิดนี้เป็นความพยายามที่จะยกระดับรูปแบบการร้องเพลงให้แตกต่างจากดนตรีลูกทุ่งทั่วไป การประสานเสียงที่ซับซ้อนนี้ถูกมองว่าเป็นคุณสมบัติของดนตรีแนวลูกกรุงและป๊อปที่มีความประณีตและมีรสนิยมสูง ซึ่งสามารถดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคในเมืองได้ วงดอกไม้ป่าประกอบด้วยนักร้องดูโอหญิงสองคน: โชติมา ช่วงวิทย์ (ตุ้ม) และ ปัทมา มนต์รังสี (อ้อม) คุณโชติมาถือเป็นสมาชิกหลักที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเธอเป็นบุตรสาวของ ชวลีย์ ช่วงวิทย์ นักร้องชื่อดังของวงสุนทราภรณ์ 👑 สายเลือดจากสุนทราภรณ์นี้มอบความน่าเชื่อถือทางวัฒนธรรมและ "ความเป็นลูกกรุง" ให้กับวงโดยอัตโนมัติ ทำให้ดอกไม้ป่าสามารถวางตำแหน่งตัวเองอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นลูกทุ่งและความเป็นลูกกรุง/คลาสสิก ในช่วงเวลาที่ดนตรีลูกทุ่งกำลังถูกกลุ่มรสนิยมใหม่ของคนเมืองมองว่าเป็น "ดนตรีบ้านนอก" การมีโชติมาได้ทำหน้าที่เป็น "การสร้างแบรนด์ทางวัฒนธรรม" ที่สำคัญยิ่ง การเชื่อมโยงนี้รับประกันว่าเพลงของดอกไม้ป่า แม้จะมีกลิ่นอายของลูกทุ่ง แต่ก็มีความสุภาพและมีคุณค่าในเชิงศิลปะแบบลูกกรุงสูง "ดอกไม้ป่าซาวด์" คือการผสมผสานทางดนตรี 🔥 ที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจในการนำองค์ประกอบทางทำนองเพลงพื้นบ้านหรือลูกทุ่ง มารวมเข้ากับการเรียบเรียงดนตรีและเครื่องดนตรีสมัยใหม่ตามแบบฉบับดนตรีสตริง/ป๊อปในยุค 80s แก่นเรื่องแบบลูกทุ่งยังคงเป็นหัวใจหลักในการเล่าเรื่อง ตัวอย่างเช่น เพลง "ทุยใจดำ" 💔 ที่สื่อถึงคนรักที่ไม่ซื่อสัตย์ และเพลง "สาวชนบท" 🏡 ที่หยิบยกเรื่องราวความรักและชีวิตในท้องถิ่นมานำเสนอ แต่สิ่งที่ทำให้ดนตรีมีความแตกต่างคือการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ การใช้เครื่องดนตรีที่ซับซ้อน เช่น เปียโน กีตาร์ไฟฟ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เครื่องเป่า (Brass Section) 🎺🎷 ที่สร้างความหนาแน่นและพลังเสียงที่ทันสมัย นอกจากนี้ยังมีการนำจังหวะที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีตะวันตกมาใช้ เช่น จังหวะช่าช่าช่า หรือฟังก์กี้ดิสโก้ในเพลงสนุกสนานอย่าง "ระบำยอดหญ้า" 💃 ทั้งหมดนี้ถูกขับร้องด้วยการประสานเสียงที่ไพเราะและสะอาดตา ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของดนตรีป๊อปในช่วงนั้น การวิเคราะห์เนื้อหาและแก่นหลักของบทเพลง 1️⃣ ความรักที่ถูกทรยศในบริบทกึ่งชนบท: เพลงอย่าง "ทุยใจดำ" และ "ช้ำ" นำเสนอความผิดหวังในความรักจากมุมมองของผู้หญิง เมื่อเนื้อหาเหล่านี้ถูกขับร้องด้วยคุณภาพเสียงที่สะอาดและการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ ความดิบหรือความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับความยากจนในเพลงลูกทุ่งแบบดั้งเดิมก็ถูกลดทอนลง เนื้อหาจึงถูก "ทำให้สะอาด" ให้เหลือเพียงความเศร้าแบบโรแมนติกที่เข้ากับมาตรฐานของเพลงป๊อปในเมือง 2️⃣ ความปรารถนาในชีวิตชนบทและความหวนคิดถึง: เพลง "สาวชนบท" และ "ระบำยอดหญ้า" นำเสนอภาพความสดใสและรื่นเริงของชีวิตในท้องถิ่น ผู้ฟังในเขตเมืองหลายคนซึ่งส่วนใหญ่อพยพมาจากชนบท ต่างให้การตอบรับต่อเพลงเหล่านี้อย่างดีเยี่ยม ดอกไม้ป่าจึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ "การหวนคิดถึงอย่างมีรสนิยม" (Aesthetic Nostalgia) 💖 ความสำเร็จอย่างสูงในตลาดเพลงสตริง/ป๊อป แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการ "เชื่อมรอยแยกทางวัฒนธรรม" 🔗 ระหว่างรสนิยมของคนเมือง (ที่แสวงหาความทันสมัย) กับความผูกพันของกลุ่มผู้ฟังต่อชนบท ปี พ.ศ. 2525 เป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์ของคณะดอกไม้ป่าจากการเปิดตัวอัลบั้ม ทุยใจดำ 💿 ซึ่งได้กำหนดทิศทางและลักษณะเฉพาะของวงอย่างชัดเจน เพลงเอก "ทุยใจดำ" เป็นตัวอย่างชั้นยอดของการผสมผสานระหว่าง Luk Thung และ Pop ผนวกกับการเรียบเรียงที่ใช้เครื่องดนตรีครบวงและจังหวะที่เร้าใจ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงเต้นรำที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง วงยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในปี พ.ศ. 2526 โดยมีผลงานเพลงจากชุดต่อมา เช่น "สาวชนบท," "หนาวลมขมรัก," และ "รักทรมาน" การออกผลงานหลายชุดภายในเวลาอันสั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นของค่ายเพลงในศักยภาพเชิงพาณิชย์และกระแสความนิยมที่แข็งแกร่งในช่วงเวลานั้น การที่เพลงของพวกเขาถูกรวมอยู่ในอัลบั้มรวมเพลงฮิตเงินล้าน 💰 ร่วมกับศิลปินใหญ่แห่งยุค แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นวงชั้นนำในตลาดเพลงเทปคาสเซ็ตต์อย่างแท้จริง นอกจากคุณภาพทางดนตรีแล้ว ภาพลักษณ์ของคณะดอกไม้ป่ามีความสำคัญต่อการตลาดไม่น้อยไปกว่ากัน ภาพลักษณ์ที่ถูกนำเสนอมีความเป็นมืออาชีพสูงและสอดคล้องกับแฟชั่นยุค 80s การปรากฏตัวทั้งในสตูดิโอและภาพคอนเสิร์ต 🎙️ แสดงให้เห็นถึงการลงทุนในการผลิต และการแต่งกายที่ดูทันสมัยและสะอาดตา ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนจากภาพลักษณ์ลูกทุ่งแบบดั้งเดิม คณะดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญสองประการในต้นทศวรรษ 1980s นั่นคือพลวัตของการอพยพย้ายถิ่นฐาน 🚚 และการเปลี่ยนแปลงของบทบาททางเพศ ในช่วงหลังปี 2520 สังคมไทยเข้าสู่ยุคของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการขยายตัวของชนชั้นกลางในเขตเมืองอย่างชัดเจน ผู้คนจำนวนมากอพยพจากชนบทเข้าสู่กรุงเทพฯ 🏙️ ทำให้เกิดความตึงเครียดทางวัฒนธรรมระหว่างวิถีชีวิตแบบเมืองกับรากเหง้าที่ยังคงผูกพันกับชนบท กลุ่มผู้ฟังที่ย้ายถิ่นฐานเหล่านี้ยังคงมีความผูกพันทางอารมณ์กับเนื้อหาและทำนองแบบลูกทุ่ง แต่รสนิยมทางเสียงของพวกเขาได้ถูกหล่อหลอมด้วยดนตรีป๊อปและสตริงที่ทันสมัย ดอกไม้ป่าจึงเข้ามาตอบโจทย์นี้ด้วยการนำเสนอ "ลูกทุ่งในแพ็คเกจป๊อป" เพลงที่มีธีมเกี่ยวกับ "สาวชนบท" ซึ่งถูกถ่ายทอดโดยนักร้องที่ดูทันสมัยในบริบทเมือง จึงสามารถสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้ฟังกลุ่มย้ายถิ่นฐานได้อย่างลึกซึ้ง บทเพลงของดอกไม้ป่าเปรียบเสมือน "ซาวด์แทร็กของการปรับตัว" ของคนชนบทเข้าสู่สังคมเมือง การที่คณะดอกไม้ป่าเป็นนักร้องดูโอหญิงในแนว Pop/Fusion แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงบทบาททางเพศในสื่อและสังคมในช่วงเวลานั้น ภาพลักษณ์ของ โชติมา และ ปัทมา เป็นตัวแทนของ ผู้หญิงในยุคสมัยใหม่ 👩‍🎤 ที่สามารถเป็นทั้งผู้รักษามรดกทางวัฒนธรรมและเป็นผู้หญิงที่มีความทันสมัย (ผ่านสไตล์การแต่งกายและการนำเสนอแบบป๊อป) นอกจากนี้ เพลงที่กล้าแสดงออกถึงความผิดหวังในความรักและความช้ำ 💔 เป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกส่วนตัวในที่สาธารณะได้มากขึ้น โดยที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่ดูดีและไม่ฉีกกรอบทางสังคมมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับยุคสมัยที่บทบาทของผู้หญิงเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น ในช่วงปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมกำลังฟื้นตัวหลังความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ ดนตรีที่ได้รับความนิยมสูงมักจะไม่มีวาระทางการเมืองที่ชัดเจน คณะดอกไม้ป่าเองก็เน้นที่ความบันเทิงและเรื่องราวส่วนตัว การหลีกเลี่ยงข้อความที่อาจสร้างความขัดแย้งทางการเมืองในบทเพลง ส่งผลให้ดอกไม้ป่าสามารถเข้าถึงผู้ชมหลักได้อย่างง่ายดาย ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อย่างสูงในช่วงยุครุ่งเรือง 💵💶💷 ดังที่ปรากฏหลักฐานจากการออกอัลบั้ม Longplay เต็มรูปแบบหลายชุด และการมีอัลบั้มรวมเพลงฮิต การที่เพลงของวงถูกนำไปรวมอยู่ในอัลบั้มที่ทำยอดขายสูงร่วมกับศิลปินสำคัญแห่งยุค ตอกย้ำสถานะของพวกเขาในฐานะวงชั้นนำของตลาดเทปคาสเซ็ตต์ 📼 ซึ่งเป็นรูปแบบการบริโภคหลักในยุคนั้น ดอกไม้ป่าไม่ได้เป็นเพียงวงดนตรีที่ขายดี แต่ยังได้สร้างต้นแบบ 🏗️ ให้กับแนวเพลงผสมผสานที่ทรงอิทธิพล พวกเขาเป็นตัวอย่างสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นว่าดนตรีที่มีรากฐานลูกทุ่งสามารถนำเสนอในรูปแบบป๊อปสตริงที่มีคุณภาพสูงและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ การเปิดทางนี้มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังจำนวนมากที่พยายามนำเสนอ "ลูกทุ่งสมัยใหม่" ซึ่งช่วยยืดอายุและปรับโฉมให้ดนตรีลูกทุ่งยังคงอยู่รอดในยุคที่ดนตรี String ครองตลาด การที่ดอกไม้ป่าสามารถนำเอาองค์ประกอบของลูกทุ่งและป๊อปมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวและได้รับความนิยมอย่างสูง ทำให้ผู้ผลิตเพลงเห็นว่า "สูตรผสม" นี้เป็นช่องทางที่มั่นคงในการขยายตลาดไปยังผู้ฟังที่มีรสนิยมหลากหลาย ถือเป็นการเร่งกระบวนการที่ทำให้ดนตรีสตริงได้ครอบครองความโดดเด่นในที่สุด มรดกทางดนตรีของดอกไม้ป่ายังคงยืนยง ⏳ เพลงของพวกเขายังคงถูกค้นหาและรับฟังในปัจจุบันผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทนทานของทำนองและเนื้อหาที่เข้าถึงง่าย การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลยังเห็นได้จากการที่สมาชิกหลักของวงยังคงมีความเคลื่อนไหวในการกลับมาทำเพลงใหม่ในนามดอกไม้ป่า ("พลังรัก") และมีการสร้างช่องทาง YouTube เฉพาะ 🎥 การเคลื่อนไหวนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าศิลปินยุคบุกเบิกสามารถใช้แพลตฟอร์มสมัยใหม่เพื่อรักษาและขยายฐานแฟนคลับให้เข้าถึงผู้ฟังรุ่นใหม่ได้ ✨ ✅✅ สรุป: มรดกของดอกไม้ป่า ✅✅ คณะดอกไม้ป่าจัดเป็นปรากฏการณ์ทางดนตรีและวัฒนธรรมที่มีความซับซ้อนในช่วงรอยต่อของสังคมไทย พวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างความสมดุลระหว่างมรดกทางดนตรีคลาสสิก (ผ่านสายเลือดสุนทราภรณ์) กับความต้องการของตลาดป๊อปที่เน้นความทันสมัยและคุณภาพการผลิตสูง บทเพลงของดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นกลไกทางวัฒนธรรมที่ช่วยบรรเทาความตึงเครียดทางสังคมภายหลังวิกฤตการณ์ทางการเมือง ด้วยการนำเสนอความบันเทิงที่ปลอดภัยและเป็นทางออกทางวัฒนธรรมสำหรับกลุ่มผู้ย้ายถิ่นฐานที่ต้องการรักษาความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับชนบท ในขณะที่ปรับตัวเข้าสู่ความเป็นเมืองอย่างเต็มตัว มรดกที่สำคัญที่สุดของคณะดอกไม้ป่าคือการเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่แข็งแกร่งที่สุดของ "ดนตรีลูกทุ่งประยุกต์" 🎶 พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าความทันสมัยทางดนตรีไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากรากฐานทางวัฒนธรรมดั้งเดิม และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเพลงป๊อปไทยในทศวรรษต่อมาให้ยอมรับและผสมผสานแนวเพลงที่มีรากฐานมาจาก Luk Thung เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเพลงกระแสหลักได้อย่างลงตัว 💯 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/NnrS7BYpRRc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 422 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อความผิดหวังกลายเป็นอิสรภาพ — ทำไมสายครีเอทีฟควรหันมาใช้ FOSS ในวันที่เครื่องมือกลายเป็นกรง”

    ในยุคที่ซอฟต์แวร์กลายเป็น “เครื่องใช้ไฟฟ้า” มากกว่าชุดเครื่องมือสร้างสรรค์ ผู้ใช้งานสายครีเอทีฟจำนวนมากเริ่มรู้สึกถึงความไม่มั่นคง: ฟีเจอร์หายไปหลังอัปเดต, ไฟล์เปิดไม่ได้เพราะ format ถูกล็อก, หรือราคาสมัครสมาชิกที่พุ่งขึ้นโดยไม่มีคำอธิบาย สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อย แต่คือสัญญาณว่า “อำนาจในการควบคุมเครื่องมือ” ได้ถูกย้ายจากผู้ใช้ไปยังผู้ขาย

    บทความจาก It's FOSS ชี้ว่า Free and Open Source Software (FOSS) ไม่ใช่แค่ทางเลือกที่ไม่มีค่าใช้จ่าย — แต่มันคือการคืนอำนาจให้ผู้สร้างสรรค์ได้ปรับแต่งเครื่องมือให้เหมาะกับตนเอง ไม่ต้องรอ vendor อัปเดต ไม่ต้องกลัวฟีเจอร์หาย และไม่ต้องผูกติดกับระบบปิดที่ไม่โปร่งใส

    ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Blender ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสมัครเล่น แต่ปัจจุบันถูกใช้สร้างภาพยนตร์ระดับมืออาชีพ เพราะเปิดให้ผู้ใช้เขียนสคริปต์ สร้างปลั๊กอิน และแชร์เครื่องมือกันได้อย่างอิสระ เช่นเดียวกับ Krita ที่มีระบบแปรงแบบเปิด, Godot ที่ให้ผู้พัฒนาเกมควบคุมทุกส่วนของเอนจิน, Inkscape ที่ใช้ SVG เป็นมาตรฐานเปิด และ Darktable ที่ให้ช่างภาพปรับแต่ง RAW ได้อย่างลึกซึ้ง

    บทความยังชี้ให้เห็นว่า “มาตรฐานอุตสาหกรรม” ไม่ได้ถูกกำหนดโดยบริษัทใหญ่ แต่ถูกสร้างจากงานของผู้ใช้จริง เช่น Blender ที่กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการ VFX หรือ Krita ที่กลายเป็นเครื่องมือหลักของนักวาดการ์ตูน

    ผู้เขียนซึ่งเป็นนักเขียนและผู้กำกับภาพยนตร์จากเอเชียใต้ เล่าว่าการเปลี่ยนมาใช้ FOSS ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิด — จากการเป็นผู้ใช้ มาเป็นผู้ร่วมสร้าง และจากการพึ่งพา มาเป็นการควบคุม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    FOSS คือทางเลือกที่ให้ผู้ใช้ควบคุมเครื่องมือได้อย่างเต็มที่
    Blender, Krita, Godot, Inkscape และ Darktable เป็นตัวอย่างของ FOSS ที่ใช้จริงในอุตสาหกรรม
    Blender ใช้ในภาพยนตร์มืออาชีพ เพราะเปิดให้เขียนสคริปต์และแชร์ปลั๊กอิน
    Krita มีระบบแปรงและปลั๊กอินที่ผู้ใช้สามารถสร้างและแชร์ได้
    Godot เป็นเอนจินเกมแบบเปิดที่ให้ผู้ใช้ควบคุมทุกส่วนของการพัฒนา
    Inkscape ใช้มาตรฐาน SVG ทำให้ไม่มีการล็อกไฟล์
    Darktable ให้ช่างภาพปรับแต่ง RAW ด้วย Lua scripting และ format แบบเปิด
    ผู้เขียนบทความใช้ Neovim สร้างระบบเขียนบทแบบ Integrated Writing Environment
    การใช้ FOSS ช่วยลดการพึ่งพาระบบปิดและเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Ubuntu 24.04 รองรับ FOSS สำหรับงานออกแบบ เช่น GIMP, Inkscape, Kdenlive, Scribus
    Krita ได้รับความนิยมในวงการวาดการ์ตูนและภาพประกอบระดับมืออาชีพ
    Linux OS เป็นระบบที่เสถียรและเหมาะกับงานสร้างสรรค์ที่ต้องการความยืดหยุ่น
    Open formats เช่น SVG, OpenEXR, glTF, FLAC ช่วยให้ไฟล์สามารถใช้งานข้ามแพลตฟอร์มได้
    FOSS ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความปลอดภัยจากการผูกติดกับ vendor

    https://news.itsfoss.com/creatives-need-foss-now/
    🎨 “เมื่อความผิดหวังกลายเป็นอิสรภาพ — ทำไมสายครีเอทีฟควรหันมาใช้ FOSS ในวันที่เครื่องมือกลายเป็นกรง” ในยุคที่ซอฟต์แวร์กลายเป็น “เครื่องใช้ไฟฟ้า” มากกว่าชุดเครื่องมือสร้างสรรค์ ผู้ใช้งานสายครีเอทีฟจำนวนมากเริ่มรู้สึกถึงความไม่มั่นคง: ฟีเจอร์หายไปหลังอัปเดต, ไฟล์เปิดไม่ได้เพราะ format ถูกล็อก, หรือราคาสมัครสมาชิกที่พุ่งขึ้นโดยไม่มีคำอธิบาย สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อย แต่คือสัญญาณว่า “อำนาจในการควบคุมเครื่องมือ” ได้ถูกย้ายจากผู้ใช้ไปยังผู้ขาย บทความจาก It's FOSS ชี้ว่า Free and Open Source Software (FOSS) ไม่ใช่แค่ทางเลือกที่ไม่มีค่าใช้จ่าย — แต่มันคือการคืนอำนาจให้ผู้สร้างสรรค์ได้ปรับแต่งเครื่องมือให้เหมาะกับตนเอง ไม่ต้องรอ vendor อัปเดต ไม่ต้องกลัวฟีเจอร์หาย และไม่ต้องผูกติดกับระบบปิดที่ไม่โปร่งใส ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Blender ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสมัครเล่น แต่ปัจจุบันถูกใช้สร้างภาพยนตร์ระดับมืออาชีพ เพราะเปิดให้ผู้ใช้เขียนสคริปต์ สร้างปลั๊กอิน และแชร์เครื่องมือกันได้อย่างอิสระ เช่นเดียวกับ Krita ที่มีระบบแปรงแบบเปิด, Godot ที่ให้ผู้พัฒนาเกมควบคุมทุกส่วนของเอนจิน, Inkscape ที่ใช้ SVG เป็นมาตรฐานเปิด และ Darktable ที่ให้ช่างภาพปรับแต่ง RAW ได้อย่างลึกซึ้ง บทความยังชี้ให้เห็นว่า “มาตรฐานอุตสาหกรรม” ไม่ได้ถูกกำหนดโดยบริษัทใหญ่ แต่ถูกสร้างจากงานของผู้ใช้จริง เช่น Blender ที่กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการ VFX หรือ Krita ที่กลายเป็นเครื่องมือหลักของนักวาดการ์ตูน ผู้เขียนซึ่งเป็นนักเขียนและผู้กำกับภาพยนตร์จากเอเชียใต้ เล่าว่าการเปลี่ยนมาใช้ FOSS ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิด — จากการเป็นผู้ใช้ มาเป็นผู้ร่วมสร้าง และจากการพึ่งพา มาเป็นการควบคุม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ FOSS คือทางเลือกที่ให้ผู้ใช้ควบคุมเครื่องมือได้อย่างเต็มที่ ➡️ Blender, Krita, Godot, Inkscape และ Darktable เป็นตัวอย่างของ FOSS ที่ใช้จริงในอุตสาหกรรม ➡️ Blender ใช้ในภาพยนตร์มืออาชีพ เพราะเปิดให้เขียนสคริปต์และแชร์ปลั๊กอิน ➡️ Krita มีระบบแปรงและปลั๊กอินที่ผู้ใช้สามารถสร้างและแชร์ได้ ➡️ Godot เป็นเอนจินเกมแบบเปิดที่ให้ผู้ใช้ควบคุมทุกส่วนของการพัฒนา ➡️ Inkscape ใช้มาตรฐาน SVG ทำให้ไม่มีการล็อกไฟล์ ➡️ Darktable ให้ช่างภาพปรับแต่ง RAW ด้วย Lua scripting และ format แบบเปิด ➡️ ผู้เขียนบทความใช้ Neovim สร้างระบบเขียนบทแบบ Integrated Writing Environment ➡️ การใช้ FOSS ช่วยลดการพึ่งพาระบบปิดและเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Ubuntu 24.04 รองรับ FOSS สำหรับงานออกแบบ เช่น GIMP, Inkscape, Kdenlive, Scribus ➡️ Krita ได้รับความนิยมในวงการวาดการ์ตูนและภาพประกอบระดับมืออาชีพ ➡️ Linux OS เป็นระบบที่เสถียรและเหมาะกับงานสร้างสรรค์ที่ต้องการความยืดหยุ่น ➡️ Open formats เช่น SVG, OpenEXR, glTF, FLAC ช่วยให้ไฟล์สามารถใช้งานข้ามแพลตฟอร์มได้ ➡️ FOSS ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความปลอดภัยจากการผูกติดกับ vendor https://news.itsfoss.com/creatives-need-foss-now/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    From Disillusionment to Freedom: Why Creatives Need FOSS Now More Than Ever
    More than ever, creative professionals need to exert control over their digital footprint. Big tech will not give us control—we have to take it. Free and Open Source (FOSS) software gives us a path forward. The path isn't easy, but I argue nothing worthwhile is.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Markov Chains: ต้นกำเนิดของโมเดลภาษา — เมื่อความน่าจะเป็นกลายเป็นเครื่องมือสร้างภาษา”

    ในบทความที่เขียนโดย Elijah Potter นักเรียนมัธยมปลายผู้หลงใหลในคณิตศาสตร์และการเขียนโปรแกรม ได้ย้อนกลับไปสำรวจรากฐานของโมเดลภาษา (Language Models) ผ่านมุมมองของ Markov Chains ซึ่งเป็นระบบทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการคาดการณ์เหตุการณ์แบบสุ่ม โดยอิงจากสถานะก่อนหน้าเพียงหนึ่งขั้นตอน

    Potter เริ่มต้นด้วยการเล่าประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับวงจรความรู้สึกต่อ AI ตั้งแต่ความตื่นเต้น ความผิดหวัง ความสับสน จนถึงความเบื่อหน่าย และนำไปสู่ความตั้งใจที่จะ “กลับไปสู่รากฐาน” ด้วยการศึกษาระบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่าง Markov Chains

    เขาอธิบายหลักการของ Markov Chains ผ่านตัวอย่างของ Alice ที่อยู่ระหว่างร้านขายของชำและท้องฟ้าจำลอง โดยใช้ตารางความน่าจะเป็นในการคาดการณ์การเคลื่อนที่ของเธอในแต่ละชั่วโมง ซึ่งสามารถแปลงเป็น matrix และ vector เพื่อคำนวณสถานะในอนาคตได้อย่างแม่นยำ

    จากนั้น Potter นำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับการสร้างระบบ autocomplete โดยใช้ภาษา Rust และ WebAssembly ในการสร้าง transition matrix จากข้อความตัวอย่าง แล้วใช้ matrix multiplication เพื่อคาดการณ์คำถัดไปที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุด

    เขายังพูดถึงข้อจำกัดของ Markov Chains ในการสร้างข้อความแบบต่อเนื่อง เพราะระบบจะมีแนวโน้มเข้าสู่ “steady state” หรือสถานะคงที่เมื่อรันไปนาน ๆ ทำให้ข้อความที่สร้างออกมาดูซ้ำซากและคาดเดาได้ง่าย จึงเสนอวิธีการสุ่มแบบใหม่โดยใช้ matrix R ที่มีค่าบนเส้นทแยงมุมเป็นตัวเลขสุ่ม เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการเลือกคำ

    บทความนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสาธิตเชิงเทคนิค แต่ยังสะท้อนถึงความพยายามในการเข้าใจโมเดลภาษาอย่างลึกซึ้ง โดยไม่พึ่งพา “เวทมนตร์ของ AI” ที่หลายคนรู้สึกว่าเข้าใจยากและควบคุมไม่ได้

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    Elijah Potter ใช้ Markov Chains เพื่อสร้างระบบ autocomplete ด้วย Rust และ WebAssembly
    อธิบายหลักการผ่านตัวอย่าง Alice ที่เคลื่อนที่ระหว่างสถานที่ด้วยความน่าจะเป็น
    ใช้ matrix และ vector ในการคำนวณสถานะในอนาคต
    สร้าง transition matrix จากข้อความตัวอย่างเพื่อคาดการณ์คำถัดไป
    ระบบสามารถเลือกคำถัดไปโดยใช้ matrix multiplication
    เสนอวิธีสุ่มคำถัดไปโดยใช้ matrix R เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ steady state
    บทความสะท้อนความตั้งใจในการเข้าใจโมเดลภาษาอย่างโปร่งใสและควบคุมได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Markov Chains ถูกคิดค้นโดย Andrey Markov ในศตวรรษที่ 20 เพื่อศึกษาลำดับเหตุการณ์แบบสุ่ม
    โมเดลภาษาในยุคแรก เช่น Shannon’s bigram model ก็ใช้แนวคิดคล้าย Markov
    โมเดล GPT และ Transformer ใช้บริบทหลายคำ ไม่ใช่แค่คำก่อนหน้าเดียวแบบ Markov
    Steady state ใน Markov Chains คือสถานะที่ความน่าจะเป็นไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อรันไปนาน ๆ
    การใช้ matrix multiplication ในการคำนวณความน่าจะเป็นเป็นพื้นฐานของหลายระบบ AI

    https://elijahpotter.dev/articles/markov_chains_are_the_original_language_models
    🔁 “Markov Chains: ต้นกำเนิดของโมเดลภาษา — เมื่อความน่าจะเป็นกลายเป็นเครื่องมือสร้างภาษา” ในบทความที่เขียนโดย Elijah Potter นักเรียนมัธยมปลายผู้หลงใหลในคณิตศาสตร์และการเขียนโปรแกรม ได้ย้อนกลับไปสำรวจรากฐานของโมเดลภาษา (Language Models) ผ่านมุมมองของ Markov Chains ซึ่งเป็นระบบทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการคาดการณ์เหตุการณ์แบบสุ่ม โดยอิงจากสถานะก่อนหน้าเพียงหนึ่งขั้นตอน Potter เริ่มต้นด้วยการเล่าประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับวงจรความรู้สึกต่อ AI ตั้งแต่ความตื่นเต้น ความผิดหวัง ความสับสน จนถึงความเบื่อหน่าย และนำไปสู่ความตั้งใจที่จะ “กลับไปสู่รากฐาน” ด้วยการศึกษาระบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่าง Markov Chains เขาอธิบายหลักการของ Markov Chains ผ่านตัวอย่างของ Alice ที่อยู่ระหว่างร้านขายของชำและท้องฟ้าจำลอง โดยใช้ตารางความน่าจะเป็นในการคาดการณ์การเคลื่อนที่ของเธอในแต่ละชั่วโมง ซึ่งสามารถแปลงเป็น matrix และ vector เพื่อคำนวณสถานะในอนาคตได้อย่างแม่นยำ จากนั้น Potter นำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับการสร้างระบบ autocomplete โดยใช้ภาษา Rust และ WebAssembly ในการสร้าง transition matrix จากข้อความตัวอย่าง แล้วใช้ matrix multiplication เพื่อคาดการณ์คำถัดไปที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุด เขายังพูดถึงข้อจำกัดของ Markov Chains ในการสร้างข้อความแบบต่อเนื่อง เพราะระบบจะมีแนวโน้มเข้าสู่ “steady state” หรือสถานะคงที่เมื่อรันไปนาน ๆ ทำให้ข้อความที่สร้างออกมาดูซ้ำซากและคาดเดาได้ง่าย จึงเสนอวิธีการสุ่มแบบใหม่โดยใช้ matrix R ที่มีค่าบนเส้นทแยงมุมเป็นตัวเลขสุ่ม เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการเลือกคำ บทความนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสาธิตเชิงเทคนิค แต่ยังสะท้อนถึงความพยายามในการเข้าใจโมเดลภาษาอย่างลึกซึ้ง โดยไม่พึ่งพา “เวทมนตร์ของ AI” ที่หลายคนรู้สึกว่าเข้าใจยากและควบคุมไม่ได้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ Elijah Potter ใช้ Markov Chains เพื่อสร้างระบบ autocomplete ด้วย Rust และ WebAssembly ➡️ อธิบายหลักการผ่านตัวอย่าง Alice ที่เคลื่อนที่ระหว่างสถานที่ด้วยความน่าจะเป็น ➡️ ใช้ matrix และ vector ในการคำนวณสถานะในอนาคต ➡️ สร้าง transition matrix จากข้อความตัวอย่างเพื่อคาดการณ์คำถัดไป ➡️ ระบบสามารถเลือกคำถัดไปโดยใช้ matrix multiplication ➡️ เสนอวิธีสุ่มคำถัดไปโดยใช้ matrix R เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ steady state ➡️ บทความสะท้อนความตั้งใจในการเข้าใจโมเดลภาษาอย่างโปร่งใสและควบคุมได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Markov Chains ถูกคิดค้นโดย Andrey Markov ในศตวรรษที่ 20 เพื่อศึกษาลำดับเหตุการณ์แบบสุ่ม ➡️ โมเดลภาษาในยุคแรก เช่น Shannon’s bigram model ก็ใช้แนวคิดคล้าย Markov ➡️ โมเดล GPT และ Transformer ใช้บริบทหลายคำ ไม่ใช่แค่คำก่อนหน้าเดียวแบบ Markov ➡️ Steady state ใน Markov Chains คือสถานะที่ความน่าจะเป็นไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อรันไปนาน ๆ ➡️ การใช้ matrix multiplication ในการคำนวณความน่าจะเป็นเป็นพื้นฐานของหลายระบบ AI https://elijahpotter.dev/articles/markov_chains_are_the_original_language_models
    ELIJAHPOTTER.DEV
    Markov Chains Are the Original Language Models
    Back in my day, we used math for autocomplete.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • Jonathan Riddell อำลาวงการ KDE หลัง 25 ปี — เมื่ออุดมการณ์ไม่ตรงกันกลายเป็นจุดจบของผู้สร้าง Kubuntu

    Jonathan Riddell ผู้ก่อตั้ง Kubuntu และผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเดสก์ท็อป Plasma ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ได้ประกาศลาออกจากโครงการ KDE อย่างเป็นทางการหลังจากร่วมงานมายาวนานถึง 25 ปี โดยเหตุผลหลักมาจากความขัดแย้งด้านอุดมการณ์และโครงสร้างการบริหารที่เปลี่ยนไป

    หลังจาก Canonical ยุติการสนับสนุน Kubuntu อย่างเป็นทางการ Riddell ได้หันไปพัฒนา KDE Neon ซึ่งกลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับการทดสอบและเผยแพร่เวอร์ชันล่าสุดของ Plasma โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัท Blue Systems ที่มีบทบาทสำคัญในวงการโอเพ่นซอร์ส

    แต่เมื่อ Blue Systems ปิดตัวลงเนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้ก่อตั้ง บริษัทใหม่ชื่อ Tech Paladin จึงถูกตั้งขึ้นโดย Nate Graham นักพัฒนา KDE อีกคนหนึ่ง เพื่อสานต่อภารกิจเดิม Riddell เสนอให้ Tech Paladin ดำเนินงานในรูปแบบสหกรณ์คล้าย Igalia ซึ่งเป็นบริษัทโอเพ่นซอร์สที่บริหารโดยพนักงานร่วมกัน แต่ข้อเสนอของเขาถูกปฏิเสธ และเขารู้สึกว่าถูกกันออกจากการตัดสินใจในโครงการที่เขาเคยสร้างขึ้น

    ในบล็อกอำลา Riddell เขียนว่า “สุดท้าย ผมสูญเสียเพื่อนร่วมงาน อาชีพ และครอบครัว” พร้อมทิ้งท้ายว่าเขาจะใช้ชีวิตแบบ digital nomad ต่อไป และหากใครต้องการพบเขา ก็สามารถตามหาได้ที่ “paddleshack ปลายโลก” ที่เขาใช้เป็นที่พักอาศัย

    Jonathan Riddell ประกาศลาออกจาก KDE หลังร่วมงาน 25 ปี
    เป็นผู้ก่อตั้ง Kubuntu และผู้ผลักดัน KDE Neon
    มีบทบาทสำคัญในการทำให้ Plasma เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

    การเปลี่ยนผ่านจาก Blue Systems สู่ Tech Paladin
    Blue Systems ปิดตัวลงจากปัญหาสุขภาพของผู้ก่อตั้ง
    Nate Graham ตั้ง Tech Paladin เพื่อสานต่อภารกิจ KDE

    Riddell เสนอให้ Tech Paladin เป็นสหกรณ์แบบ Igalia
    ต้องการโครงสร้างที่เปิดกว้างและมีส่วนร่วมจากทีมงาน
    ข้อเสนอถูกปฏิเสธ และเขารู้สึกถูกกันออกจากการตัดสินใจ

    KDE Neon กลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับ Plasma
    ใช้เผยแพร่เวอร์ชันล่าสุดของ KDE โดยตรงถึงผู้ใช้
    เป็นจุดเชื่อมระหว่างนักพัฒนาและผู้ใช้งานทั่วไป

    Riddell อำลาวงการด้วยความผิดหวัง
    เขียนบล็อกอำลาพร้อมข้อความสะเทือนใจ
    ตั้งใจใช้ชีวิตแบบ digital nomad ต่อไป

    https://news.itsfoss.com/jonathan-riddell-farewell/
    📰 Jonathan Riddell อำลาวงการ KDE หลัง 25 ปี — เมื่ออุดมการณ์ไม่ตรงกันกลายเป็นจุดจบของผู้สร้าง Kubuntu Jonathan Riddell ผู้ก่อตั้ง Kubuntu และผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเดสก์ท็อป Plasma ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ได้ประกาศลาออกจากโครงการ KDE อย่างเป็นทางการหลังจากร่วมงานมายาวนานถึง 25 ปี โดยเหตุผลหลักมาจากความขัดแย้งด้านอุดมการณ์และโครงสร้างการบริหารที่เปลี่ยนไป หลังจาก Canonical ยุติการสนับสนุน Kubuntu อย่างเป็นทางการ Riddell ได้หันไปพัฒนา KDE Neon ซึ่งกลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับการทดสอบและเผยแพร่เวอร์ชันล่าสุดของ Plasma โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัท Blue Systems ที่มีบทบาทสำคัญในวงการโอเพ่นซอร์ส แต่เมื่อ Blue Systems ปิดตัวลงเนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้ก่อตั้ง บริษัทใหม่ชื่อ Tech Paladin จึงถูกตั้งขึ้นโดย Nate Graham นักพัฒนา KDE อีกคนหนึ่ง เพื่อสานต่อภารกิจเดิม Riddell เสนอให้ Tech Paladin ดำเนินงานในรูปแบบสหกรณ์คล้าย Igalia ซึ่งเป็นบริษัทโอเพ่นซอร์สที่บริหารโดยพนักงานร่วมกัน แต่ข้อเสนอของเขาถูกปฏิเสธ และเขารู้สึกว่าถูกกันออกจากการตัดสินใจในโครงการที่เขาเคยสร้างขึ้น ในบล็อกอำลา Riddell เขียนว่า “สุดท้าย ผมสูญเสียเพื่อนร่วมงาน อาชีพ และครอบครัว” พร้อมทิ้งท้ายว่าเขาจะใช้ชีวิตแบบ digital nomad ต่อไป และหากใครต้องการพบเขา ก็สามารถตามหาได้ที่ “paddleshack ปลายโลก” ที่เขาใช้เป็นที่พักอาศัย ✅ Jonathan Riddell ประกาศลาออกจาก KDE หลังร่วมงาน 25 ปี ➡️ เป็นผู้ก่อตั้ง Kubuntu และผู้ผลักดัน KDE Neon ➡️ มีบทบาทสำคัญในการทำให้ Plasma เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ✅ การเปลี่ยนผ่านจาก Blue Systems สู่ Tech Paladin ➡️ Blue Systems ปิดตัวลงจากปัญหาสุขภาพของผู้ก่อตั้ง ➡️ Nate Graham ตั้ง Tech Paladin เพื่อสานต่อภารกิจ KDE ✅ Riddell เสนอให้ Tech Paladin เป็นสหกรณ์แบบ Igalia ➡️ ต้องการโครงสร้างที่เปิดกว้างและมีส่วนร่วมจากทีมงาน ➡️ ข้อเสนอถูกปฏิเสธ และเขารู้สึกถูกกันออกจากการตัดสินใจ ✅ KDE Neon กลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับ Plasma ➡️ ใช้เผยแพร่เวอร์ชันล่าสุดของ KDE โดยตรงถึงผู้ใช้ ➡️ เป็นจุดเชื่อมระหว่างนักพัฒนาและผู้ใช้งานทั่วไป ✅ Riddell อำลาวงการด้วยความผิดหวัง ➡️ เขียนบล็อกอำลาพร้อมข้อความสะเทือนใจ ➡️ ตั้งใจใช้ชีวิตแบบ digital nomad ต่อไป https://news.itsfoss.com/jonathan-riddell-farewell/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Unhappy Ending! Kubuntu Creator Jonathan Riddell Departs After 25 Years with KDE
    Jonathan Riddell feels that the clash of opinions and values prompted him to say goodbye to KDE after 25 long years.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia เจอแรงกระแทกจากจีนอีกครั้ง — CEO ยอมรับ “ผิดหวัง” หลังถูกแบนชิป AI H20 แม้พัฒนาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความผิดหวังอย่างชัดเจน หลังรัฐบาลจีนประกาศห้ามบริษัทเทคโนโลยีภายในประเทศซื้อชิป AI รุ่น H20 ของ Nvidia ซึ่งถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ โดย Huang กล่าวในงานแถลงข่าวที่ลอนดอนว่า “ธุรกิจของเรากับจีนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเหมือนรถไฟเหาะ”

    ชิป H20 ถูกพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของจีน หลังสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาล Biden เคยสั่งห้ามส่งออกชิป AI ระดับสูงไปยังจีนในปี 2023 แต่เมื่อ Trump กลับมาดำรงตำแหน่งในปี 2025 ก็มีการเจรจาใหม่ โดย Nvidia ยอมจ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิปในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการยกเลิกข้อจำกัด

    อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่อง “backdoor” และการติดตามชิปจากระยะไกล ทำให้ Cyberspace Administration of China (CAC) สั่งให้บริษัทใหญ่ เช่น ByteDance และ Alibaba หยุดการสั่งซื้อและทดสอบชิป H20 โดยอ้างว่าเทคโนโลยีของ Nvidia อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของข้อมูลภายในประเทศ

    Huang ยืนยันว่า H20 ไม่ใช่เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และจีนมีเทคโนโลยีของตัวเองเพียงพอสำหรับการใช้งานทางทหารอยู่แล้ว แต่ก็ยอมรับว่า “ต้องอดทน” และ “เข้าใจว่ามีวาระใหญ่กว่าที่ต้องจัดการระหว่างจีนกับสหรัฐฯ”

    Nvidia ถูกแบนชิป AI H20 ในจีน
    Cyberspace Administration of China สั่งบริษัทเทคโนโลยีหยุดซื้อและทดสอบ
    ชิป H20 ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน

    Jensen Huang แสดงความผิดหวังต่อการแบน
    ระบุว่า “ธุรกิจในจีนเหมือนรถไฟเหาะ”
    ยืนยันว่า H20 ไม่เกี่ยวกับความมั่นคงทางทหาร

    ชิป H20 เคยถูกห้ามส่งออกโดยรัฐบาล Biden
    Nvidia พัฒนา H20 เพื่อลดสเปกให้ผ่านข้อจำกัด
    รัฐบาล Trump เจรจาใหม่ให้ Nvidia จ่าย 15% ของรายได้เพื่อแลกกับการขาย

    จีนกังวลเรื่อง backdoor และการติดตามชิปจากระยะไกล
    มีข้อสงสัยว่า H20 อาจมีระบบติดตามหรือ kill switch
    Nvidia ปฏิเสธว่าชิปไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    ตลาด AI ในจีนยังมีขนาดใหญ่มาก
    Huang ระบุว่ามีมูลค่าราว 15 พันล้านดอลลาร์
    เป็นตลาด AI ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

    คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบจากการแบน
    การแบนอาจกระทบรายได้ของ Nvidia หลายพันล้านดอลลาร์
    ความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทำให้การคาดการณ์ธุรกิจยากขึ้น
    การกล่าวหาว่ามี backdoor อาจกระทบความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ Nvidia ทั่วโลก
    การพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไปอาจเป็นความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว

    https://www.techradar.com/pro/our-business-in-china-has-been-a-bit-of-a-rollercoaster-nvidia-ceo-disappointed-in-further-chinese-ban-on-buying-its-ai-chips
    📰 Nvidia เจอแรงกระแทกจากจีนอีกครั้ง — CEO ยอมรับ “ผิดหวัง” หลังถูกแบนชิป AI H20 แม้พัฒนาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความผิดหวังอย่างชัดเจน หลังรัฐบาลจีนประกาศห้ามบริษัทเทคโนโลยีภายในประเทศซื้อชิป AI รุ่น H20 ของ Nvidia ซึ่งถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ โดย Huang กล่าวในงานแถลงข่าวที่ลอนดอนว่า “ธุรกิจของเรากับจีนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเหมือนรถไฟเหาะ” ชิป H20 ถูกพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของจีน หลังสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาล Biden เคยสั่งห้ามส่งออกชิป AI ระดับสูงไปยังจีนในปี 2023 แต่เมื่อ Trump กลับมาดำรงตำแหน่งในปี 2025 ก็มีการเจรจาใหม่ โดย Nvidia ยอมจ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิปในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการยกเลิกข้อจำกัด อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่อง “backdoor” และการติดตามชิปจากระยะไกล ทำให้ Cyberspace Administration of China (CAC) สั่งให้บริษัทใหญ่ เช่น ByteDance และ Alibaba หยุดการสั่งซื้อและทดสอบชิป H20 โดยอ้างว่าเทคโนโลยีของ Nvidia อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของข้อมูลภายในประเทศ Huang ยืนยันว่า H20 ไม่ใช่เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และจีนมีเทคโนโลยีของตัวเองเพียงพอสำหรับการใช้งานทางทหารอยู่แล้ว แต่ก็ยอมรับว่า “ต้องอดทน” และ “เข้าใจว่ามีวาระใหญ่กว่าที่ต้องจัดการระหว่างจีนกับสหรัฐฯ” ✅ Nvidia ถูกแบนชิป AI H20 ในจีน ➡️ Cyberspace Administration of China สั่งบริษัทเทคโนโลยีหยุดซื้อและทดสอบ ➡️ ชิป H20 ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน ✅ Jensen Huang แสดงความผิดหวังต่อการแบน ➡️ ระบุว่า “ธุรกิจในจีนเหมือนรถไฟเหาะ” ➡️ ยืนยันว่า H20 ไม่เกี่ยวกับความมั่นคงทางทหาร ✅ ชิป H20 เคยถูกห้ามส่งออกโดยรัฐบาล Biden ➡️ Nvidia พัฒนา H20 เพื่อลดสเปกให้ผ่านข้อจำกัด ➡️ รัฐบาล Trump เจรจาใหม่ให้ Nvidia จ่าย 15% ของรายได้เพื่อแลกกับการขาย ✅ จีนกังวลเรื่อง backdoor และการติดตามชิปจากระยะไกล ➡️ มีข้อสงสัยว่า H20 อาจมีระบบติดตามหรือ kill switch ➡️ Nvidia ปฏิเสธว่าชิปไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ✅ ตลาด AI ในจีนยังมีขนาดใหญ่มาก ➡️ Huang ระบุว่ามีมูลค่าราว 15 พันล้านดอลลาร์ ➡️ เป็นตลาด AI ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบจากการแบน ⛔ การแบนอาจกระทบรายได้ของ Nvidia หลายพันล้านดอลลาร์ ⛔ ความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทำให้การคาดการณ์ธุรกิจยากขึ้น ⛔ การกล่าวหาว่ามี backdoor อาจกระทบความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ Nvidia ทั่วโลก ⛔ การพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไปอาจเป็นความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว https://www.techradar.com/pro/our-business-in-china-has-been-a-bit-of-a-rollercoaster-nvidia-ceo-disappointed-in-further-chinese-ban-on-buying-its-ai-chips
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 318 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Shark Tank ถึง ChatGPT: เมื่อการไม่เรียนรู้ AI กลายเป็นการเดินออกจากอนาคตด้วยตัวเอง

    Emma Grede ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Skims และนักลงทุนใน Shark Tank เคยใช้ AI แบบเบา ๆ แค่แทน Google Search ด้วย ChatGPT จนกระทั่งเธอเชิญ Mark Cuban มาคุยในพอดแคสต์ของเธอ และได้คำตอบสั้น ๆ แต่แรงมากจากเขาเมื่อถามว่า “ถ้าไม่อยากใช้ AI จะเป็นยังไง?” คำตอบของ Cuban คือ “You’re (expletive)” หรือแปลตรง ๆ ว่า “คุณจบแล้ว”

    Cuban เปรียบเทียบสถานการณ์ตอนนี้กับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC, อินเทอร์เน็ต หรือ Wi-Fi แล้วธุรกิจเหล่านั้นก็ตายไปจริง ๆ เขาย้ำว่า “การเริ่มต้นธุรกิจวันนี้ไม่มีทางแยกจากการใช้ AI ได้อีกแล้ว” และแนะนำให้ทุกคน “ใช้เวลาเยอะมาก ๆ กับการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก”

    หลังจากบทสนทนานั้น Grede เปลี่ยนพฤติกรรมทันที เธอเริ่มค้นหาคอร์สเรียน AI ดาวน์โหลดแอปใหม่ และบอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน” ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ฟังหลายคนเริ่มต้นตาม

    Harvard ก็ออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยระบุว่า “อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตและ PC ในช่วงเริ่มต้น” และเสริมว่า “คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อน จะได้ผลตอบแทนมหาศาลในอนาคต”

    แม้จะมีคำเตือนว่า AI อาจเข้าสู่ช่วง “ความผิดหวัง” หรือเกิดฟองสบู่ แต่ข้อมูลเชิงสถิติก็ชี้ว่า AI กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากของทุกอุตสาหกรรม และการไม่เรียนรู้มันคือการเดินออกจากโอกาสโดยไม่รู้ตัว

    คำแนะนำจาก Mark Cuban
    “The first thing you have to do is learn AI”
    ต้องใช้เวลาเยอะมากในการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก
    เปรียบเทียบกับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC และอินเทอร์เน็ต

    การเปลี่ยนแปลงของ Emma Grede
    เคยใช้ AI แค่แทน Google Search
    หลังคุยกับ Cuban เริ่มค้นหาคอร์สและดาวน์โหลดแอปทันที
    บอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน”

    ข้อมูลจาก Harvard
    อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น
    คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อนจะได้ผลตอบแทนมหาศาล
    เปรียบเทียบว่า AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากเหมือน PC

    วิธีเริ่มต้นเรียนรู้ AI
    ทดลองใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT, Gemini, Claude, Perplexity
    ฝึกการตั้งคำถามและการ prompt ให้มีประสิทธิภาพ
    ใช้ AI เป็นเหมือน “ทีมที่ปรึกษา” ในการทำงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/06/billionaire-entrepreneur-has-some-words-for-people-who-dont-want-to-learn-ai
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Shark Tank ถึง ChatGPT: เมื่อการไม่เรียนรู้ AI กลายเป็นการเดินออกจากอนาคตด้วยตัวเอง Emma Grede ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Skims และนักลงทุนใน Shark Tank เคยใช้ AI แบบเบา ๆ แค่แทน Google Search ด้วย ChatGPT จนกระทั่งเธอเชิญ Mark Cuban มาคุยในพอดแคสต์ของเธอ และได้คำตอบสั้น ๆ แต่แรงมากจากเขาเมื่อถามว่า “ถ้าไม่อยากใช้ AI จะเป็นยังไง?” คำตอบของ Cuban คือ “You’re (expletive)” หรือแปลตรง ๆ ว่า “คุณจบแล้ว” Cuban เปรียบเทียบสถานการณ์ตอนนี้กับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC, อินเทอร์เน็ต หรือ Wi-Fi แล้วธุรกิจเหล่านั้นก็ตายไปจริง ๆ เขาย้ำว่า “การเริ่มต้นธุรกิจวันนี้ไม่มีทางแยกจากการใช้ AI ได้อีกแล้ว” และแนะนำให้ทุกคน “ใช้เวลาเยอะมาก ๆ กับการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก” หลังจากบทสนทนานั้น Grede เปลี่ยนพฤติกรรมทันที เธอเริ่มค้นหาคอร์สเรียน AI ดาวน์โหลดแอปใหม่ และบอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน” ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ฟังหลายคนเริ่มต้นตาม Harvard ก็ออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยระบุว่า “อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตและ PC ในช่วงเริ่มต้น” และเสริมว่า “คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อน จะได้ผลตอบแทนมหาศาลในอนาคต” แม้จะมีคำเตือนว่า AI อาจเข้าสู่ช่วง “ความผิดหวัง” หรือเกิดฟองสบู่ แต่ข้อมูลเชิงสถิติก็ชี้ว่า AI กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากของทุกอุตสาหกรรม และการไม่เรียนรู้มันคือการเดินออกจากโอกาสโดยไม่รู้ตัว ✅ คำแนะนำจาก Mark Cuban ➡️ “The first thing you have to do is learn AI” ➡️ ต้องใช้เวลาเยอะมากในการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก ➡️ เปรียบเทียบกับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC และอินเทอร์เน็ต ✅ การเปลี่ยนแปลงของ Emma Grede ➡️ เคยใช้ AI แค่แทน Google Search ➡️ หลังคุยกับ Cuban เริ่มค้นหาคอร์สและดาวน์โหลดแอปทันที ➡️ บอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน” ✅ ข้อมูลจาก Harvard ➡️ อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น ➡️ คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อนจะได้ผลตอบแทนมหาศาล ➡️ เปรียบเทียบว่า AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากเหมือน PC ✅ วิธีเริ่มต้นเรียนรู้ AI ➡️ ทดลองใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT, Gemini, Claude, Perplexity ➡️ ฝึกการตั้งคำถามและการ prompt ให้มีประสิทธิภาพ ➡️ ใช้ AI เป็นเหมือน “ทีมที่ปรึกษา” ในการทำงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/06/billionaire-entrepreneur-has-some-words-for-people-who-dont-want-to-learn-ai
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Billionaire entrepreneur has some words for people who don’t want to learn AI
    Mark Cuban has a salty warning for people who are avoiding getting started on learning to use AI.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 345 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Mike Judge: เมื่อความฝันของการเขียนโค้ดด้วย AI กลายเป็นความผิดหวังที่มีหลักฐานรองรับ

    Mike Judge นักพัฒนาอาวุโสที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปี ได้ทดลองใช้งาน AI coding tools อย่างจริงจัง และเริ่มตั้งคำถามหลังอ่านงานวิจัยจาก METR (Model Evaluation & Threat Research) ซึ่งพบว่า นักพัฒนาที่ใช้ AI coding tools ใช้เวลานานขึ้นถึง 19% ในการทำงานจริง—ขัดแย้งกับความเชื่อที่ว่า AI จะช่วยให้เร็วขึ้น

    Mike เริ่มทดลองด้วยตัวเอง โดยใช้วิธีสุ่มว่าจะใช้ AI หรือไม่ในแต่ละงาน และบันทึกเวลาอย่างละเอียด ผลลัพธ์คือ ไม่มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ และในหลายกรณี AI ทำให้เขาช้าลงถึง 21% ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของ METR

    เขาตั้งคำถามว่า ถ้า AI coding tools ทำให้คนเขียนโค้ดเร็วขึ้นจริง ทำไมเราไม่เห็น “น้ำท่วม shovelware” หรือซอฟต์แวร์จำนวนมหาศาลที่ควรจะเกิดขึ้นจาก productivity ที่เพิ่มขึ้น? เขาใช้เงินและเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลจาก SteamDB, GitHub, Statista และ Verisign แล้วพบว่า—ไม่มีการเติบโตแบบ exponential ในการปล่อยซอฟต์แวร์ใหม่เลย

    ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีต่างพากัน rebrand เป็น “AI-first” และใช้ productivity narrative เพื่อ justify การปลดพนักงานหรือกดเงินเดือน นักพัฒนาหลายคนกลับรู้สึกกดดัน สับสน และผิดหวัง เพราะไม่สามารถใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่อุตสาหกรรมโฆษณาไว้

    ผลการทดลองของ Mike Judge
    ใช้ AI coding tools แล้วช้าลงโดยเฉลี่ย 21%
    ทดลองสุ่มใช้ AI หรือไม่ในแต่ละงาน และบันทึกเวลาอย่างละเอียด
    ผลลัพธ์ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ และไม่เห็นการเพิ่ม productivity

    ข้อมูลจาก METR Study
    นักพัฒนาใช้ AI แล้วช้าลง 19% โดยเฉลี่ยในการทำงานจริง
    ขัดแย้งกับความคาดหวังที่ว่า AI จะช่วยให้เร็วขึ้น 20–25%
    ใช้การทดลองแบบสุ่มควบคุมกับนักพัฒนา open-source ที่มีประสบการณ์สูง

    การวิเคราะห์ข้อมูลการปล่อยซอฟต์แวร์
    ไม่มีการเพิ่มขึ้นของ shovelware หรือซอฟต์แวร์ใหม่จำนวนมาก
    ข้อมูลจาก SteamDB, GitHub, Statista และ Verisign แสดงกราฟที่ “แบน”
    ไม่มีสัญญาณของ indie boom หรือการปล่อยแอปแบบสายฟ้าแลบ

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและนักพัฒนา
    บริษัทใช้ narrative AI productivity เพื่อปลดพนักงานและลดเงินเดือน
    นักพัฒนารู้สึกกดดันและสับสนจากความคาดหวังที่ไม่ตรงกับความจริง
    การเรียนรู้ prompting ไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ

    https://mikelovesrobots.substack.com/p/wheres-the-shovelware-why-ai-coding
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Mike Judge: เมื่อความฝันของการเขียนโค้ดด้วย AI กลายเป็นความผิดหวังที่มีหลักฐานรองรับ Mike Judge นักพัฒนาอาวุโสที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปี ได้ทดลองใช้งาน AI coding tools อย่างจริงจัง และเริ่มตั้งคำถามหลังอ่านงานวิจัยจาก METR (Model Evaluation & Threat Research) ซึ่งพบว่า นักพัฒนาที่ใช้ AI coding tools ใช้เวลานานขึ้นถึง 19% ในการทำงานจริง—ขัดแย้งกับความเชื่อที่ว่า AI จะช่วยให้เร็วขึ้น Mike เริ่มทดลองด้วยตัวเอง โดยใช้วิธีสุ่มว่าจะใช้ AI หรือไม่ในแต่ละงาน และบันทึกเวลาอย่างละเอียด ผลลัพธ์คือ ไม่มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ และในหลายกรณี AI ทำให้เขาช้าลงถึง 21% ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของ METR เขาตั้งคำถามว่า ถ้า AI coding tools ทำให้คนเขียนโค้ดเร็วขึ้นจริง ทำไมเราไม่เห็น “น้ำท่วม shovelware” หรือซอฟต์แวร์จำนวนมหาศาลที่ควรจะเกิดขึ้นจาก productivity ที่เพิ่มขึ้น? เขาใช้เงินและเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลจาก SteamDB, GitHub, Statista และ Verisign แล้วพบว่า—ไม่มีการเติบโตแบบ exponential ในการปล่อยซอฟต์แวร์ใหม่เลย ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีต่างพากัน rebrand เป็น “AI-first” และใช้ productivity narrative เพื่อ justify การปลดพนักงานหรือกดเงินเดือน นักพัฒนาหลายคนกลับรู้สึกกดดัน สับสน และผิดหวัง เพราะไม่สามารถใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่อุตสาหกรรมโฆษณาไว้ ✅ ผลการทดลองของ Mike Judge ➡️ ใช้ AI coding tools แล้วช้าลงโดยเฉลี่ย 21% ➡️ ทดลองสุ่มใช้ AI หรือไม่ในแต่ละงาน และบันทึกเวลาอย่างละเอียด ➡️ ผลลัพธ์ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ และไม่เห็นการเพิ่ม productivity ✅ ข้อมูลจาก METR Study ➡️ นักพัฒนาใช้ AI แล้วช้าลง 19% โดยเฉลี่ยในการทำงานจริง ➡️ ขัดแย้งกับความคาดหวังที่ว่า AI จะช่วยให้เร็วขึ้น 20–25% ➡️ ใช้การทดลองแบบสุ่มควบคุมกับนักพัฒนา open-source ที่มีประสบการณ์สูง ✅ การวิเคราะห์ข้อมูลการปล่อยซอฟต์แวร์ ➡️ ไม่มีการเพิ่มขึ้นของ shovelware หรือซอฟต์แวร์ใหม่จำนวนมาก ➡️ ข้อมูลจาก SteamDB, GitHub, Statista และ Verisign แสดงกราฟที่ “แบน” ➡️ ไม่มีสัญญาณของ indie boom หรือการปล่อยแอปแบบสายฟ้าแลบ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและนักพัฒนา ➡️ บริษัทใช้ narrative AI productivity เพื่อปลดพนักงานและลดเงินเดือน ➡️ นักพัฒนารู้สึกกดดันและสับสนจากความคาดหวังที่ไม่ตรงกับความจริง ➡️ การเรียนรู้ prompting ไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ https://mikelovesrobots.substack.com/p/wheres-the-shovelware-why-ai-coding
    MIKELOVESROBOTS.SUBSTACK.COM
    Where's the Shovelware? Why AI Coding Claims Don't Add Up
    78% of developers claim AI makes them more productive. 14% say it's a 10x improvement. So where's the flood of new software? Turns out those productivity claims are bullshit.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนาม AI: ลงทุนเป็นพันล้าน แต่ผลลัพธ์ยังไม่มา

    ลองนึกภาพบริษัททั่วโลกกำลังเทเงินมหาศาลลงในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยความหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนเกม ทั้งลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับคล้ายกับ “Productivity Paradox” ที่เคยเกิดขึ้นในยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเมื่อ 40 ปีก่อน—ลงทุนเยอะ แต่ผลผลิตไม่เพิ่มตามที่คาดไว้

    บริษัทต่าง ๆ ใช้ AI เพื่อช่วยงานหลังบ้าน เช่น การเงิน ทรัพยากรบุคคล และบริการลูกค้า แต่หลายโครงการกลับล้มเหลวเพราะปัญหาทางเทคนิคและ “ปัจจัยมนุษย์” เช่น พนักงานต่อต้าน ขาดทักษะ หรือไม่เข้าใจการใช้งาน

    แม้จะมีความคาดหวังสูงจากเทคโนโลยีอย่าง ChatGPT หรือระบบอัตโนมัติ แต่ผลตอบแทนที่แท้จริงยังไม่ปรากฏชัดในตัวเลขกำไรของบริษัทนอกวงการเทคโนโลยี บางบริษัทถึงกับยกเลิกโครงการนำร่องไปเกือบครึ่ง

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า AI อาจเป็น “เทคโนโลยีทั่วไป” (General Purpose Technology) เหมือนกับไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต ที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการปรับตัวก่อนจะเห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง

    การลงทุนใน AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    บริษัททั่วโลกเทเงินกว่า 61.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 เพื่อพัฒนา AI
    อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ธนาคาร และค้าปลีกเป็นกลุ่มที่ลงทุนมากที่สุด
    บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Microsoft, Google, Amazon และ Nvidia เป็นผู้ได้ประโยชน์หลักในตอนนี้

    ปรากฏการณ์ Productivity Paradox กลับมาอีกครั้ง
    แม้จะมีการใช้ AI อย่างแพร่หลาย แต่ผลผลิตทางเศรษฐกิจยังไม่เพิ่มขึ้น
    ปัญหาหลักคือการนำ AI ไปใช้งานจริงยังไม่แพร่หลาย และต้องการการปรับตัวในองค์กร

    ตัวอย่างบริษัทที่เริ่มใช้ AI อย่างจริงจัง
    USAA ใช้ AI ช่วยพนักงานบริการลูกค้า 16,000 คนในการตอบคำถาม
    แม้ยังไม่มีตัวเลขผลตอบแทนที่ชัดเจน แต่พนักงานตอบรับในทางบวก

    ความล้มเหลวของโครงการ AI นำร่อง
    42% ของบริษัทที่เริ่มโครงการ AI ต้องยกเลิกภายในปี 2024
    ปัญหาหลักมาจาก “ปัจจัยมนุษย์” เช่น ขาดทักษะหรือความเข้าใจ

    ความคาดหวังที่อาจเกินจริง
    Gartner คาดว่า AI กำลังเข้าสู่ “ช่วงแห่งความผิดหวัง” ก่อนจะฟื้นตัว
    CEO ของ Ford คาดว่า AI จะมาแทนที่พนักงานออฟฟิศครึ่งหนึ่งในสหรัฐฯ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/14/companies-are-pouring-billions-into-ai-it-has-yet-to-pay-off
    🎙️เรื่องเล่าจากสนาม AI: ลงทุนเป็นพันล้าน แต่ผลลัพธ์ยังไม่มา ลองนึกภาพบริษัททั่วโลกกำลังเทเงินมหาศาลลงในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยความหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนเกม ทั้งลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับคล้ายกับ “Productivity Paradox” ที่เคยเกิดขึ้นในยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเมื่อ 40 ปีก่อน—ลงทุนเยอะ แต่ผลผลิตไม่เพิ่มตามที่คาดไว้ บริษัทต่าง ๆ ใช้ AI เพื่อช่วยงานหลังบ้าน เช่น การเงิน ทรัพยากรบุคคล และบริการลูกค้า แต่หลายโครงการกลับล้มเหลวเพราะปัญหาทางเทคนิคและ “ปัจจัยมนุษย์” เช่น พนักงานต่อต้าน ขาดทักษะ หรือไม่เข้าใจการใช้งาน แม้จะมีความคาดหวังสูงจากเทคโนโลยีอย่าง ChatGPT หรือระบบอัตโนมัติ แต่ผลตอบแทนที่แท้จริงยังไม่ปรากฏชัดในตัวเลขกำไรของบริษัทนอกวงการเทคโนโลยี บางบริษัทถึงกับยกเลิกโครงการนำร่องไปเกือบครึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า AI อาจเป็น “เทคโนโลยีทั่วไป” (General Purpose Technology) เหมือนกับไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต ที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการปรับตัวก่อนจะเห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง ✅ การลงทุนใน AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ➡️ บริษัททั่วโลกเทเงินกว่า 61.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 เพื่อพัฒนา AI ➡️ อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ธนาคาร และค้าปลีกเป็นกลุ่มที่ลงทุนมากที่สุด ➡️ บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Microsoft, Google, Amazon และ Nvidia เป็นผู้ได้ประโยชน์หลักในตอนนี้ ✅ ปรากฏการณ์ Productivity Paradox กลับมาอีกครั้ง ➡️ แม้จะมีการใช้ AI อย่างแพร่หลาย แต่ผลผลิตทางเศรษฐกิจยังไม่เพิ่มขึ้น ➡️ ปัญหาหลักคือการนำ AI ไปใช้งานจริงยังไม่แพร่หลาย และต้องการการปรับตัวในองค์กร ✅ ตัวอย่างบริษัทที่เริ่มใช้ AI อย่างจริงจัง ➡️ USAA ใช้ AI ช่วยพนักงานบริการลูกค้า 16,000 คนในการตอบคำถาม ➡️ แม้ยังไม่มีตัวเลขผลตอบแทนที่ชัดเจน แต่พนักงานตอบรับในทางบวก ‼️ ความล้มเหลวของโครงการ AI นำร่อง ⛔ 42% ของบริษัทที่เริ่มโครงการ AI ต้องยกเลิกภายในปี 2024 ⛔ ปัญหาหลักมาจาก “ปัจจัยมนุษย์” เช่น ขาดทักษะหรือความเข้าใจ ‼️ ความคาดหวังที่อาจเกินจริง ⛔ Gartner คาดว่า AI กำลังเข้าสู่ “ช่วงแห่งความผิดหวัง” ก่อนจะฟื้นตัว ⛔ CEO ของ Ford คาดว่า AI จะมาแทนที่พนักงานออฟฟิศครึ่งหนึ่งในสหรัฐฯ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/14/companies-are-pouring-billions-into-ai-it-has-yet-to-pay-off
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Companies are pouring billions into AI. It has yet to pay off.
    Corporate spending on artificial intelligence is surging as executives bank on major efficiency gains. So far, they report little effect to the bottom line.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 364 มุมมอง 0 รีวิว
  • พ่อใหญ่ทรัมป์ (Daddy Trump) ประกาศต่อหน้าลูกชายของเขา "มาร์ค รุตเต" เลขาธิการนาโต ที่ทำเนียบขาวว่า:

    จะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียและประเทศคู่ค้าของพวกเขา 100% หากข้อตกลงหยุดยิงในยูเครนยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายใน 50 วัน นั่นคือภายในสิ้นเดือนสิงหาคม

    "ผมผิดหวังในตัวประธานาธิบดีปูติน เพราะผมคิดว่าเราน่าจะมีข้อตกลงกันได้ตั้งแต่สองเดือนก่อนแล้ว" ทรัมป์กล่าวด้วยความผิดหวัง

    นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่า สหรัฐจะเป็นฝ่ายส่งอาวุธให้ยูเครน แต่สมาชิกนาโต้ทั้งหมดจะต้องร่วมกันชำระเงิน และสหรัฐจะไม่ร่วมจ่ายในส่วนนี้

    ขณะที่ มาร์ค รุตเต ไม่ลืมที่จะ "สอพลอ" ทรัมป์อย่างสุดขั้ว โดยกล่าวว่า:
    "หากวันนี้ผมเป็นวลาดิเมียร์ ปูติน และได้ยินสิ่งที่ทรัมป์พูดถึงแผนการที่จะเกิดขึ้นในอีก 50 วันข้างหน้า รวมถึงประกาศเรื่องอาวุธ ผมคงต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่ว่าผมควรจะให้ความสำคัญกับการเจรจาเกี่ยวกับยูเครนมากกว่านี้หรือไม่"

    รุตเตยังกล่าวขอบคุณทรัมป์อย่างสุดซึ้งที่ส่งอาวุธมาช่วยเหลือครั้งนี้ โดยไม่สนใจว่าเงินที่ต้องจ่ายคืนสหรัฐจะต้องหามาจากไหน
    พ่อใหญ่ทรัมป์ (Daddy Trump) ประกาศต่อหน้าลูกชายของเขา "มาร์ค รุตเต" เลขาธิการนาโต ที่ทำเนียบขาวว่า: 👉จะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียและประเทศคู่ค้าของพวกเขา 100% หากข้อตกลงหยุดยิงในยูเครนยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายใน 50 วัน นั่นคือภายในสิ้นเดือนสิงหาคม "ผมผิดหวังในตัวประธานาธิบดีปูติน เพราะผมคิดว่าเราน่าจะมีข้อตกลงกันได้ตั้งแต่สองเดือนก่อนแล้ว" ทรัมป์กล่าวด้วยความผิดหวัง 👉นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่า สหรัฐจะเป็นฝ่ายส่งอาวุธให้ยูเครน แต่สมาชิกนาโต้ทั้งหมดจะต้องร่วมกันชำระเงิน และสหรัฐจะไม่ร่วมจ่ายในส่วนนี้ 👉ขณะที่ มาร์ค รุตเต ไม่ลืมที่จะ "สอพลอ" ทรัมป์อย่างสุดขั้ว โดยกล่าวว่า: "หากวันนี้ผมเป็นวลาดิเมียร์ ปูติน และได้ยินสิ่งที่ทรัมป์พูดถึงแผนการที่จะเกิดขึ้นในอีก 50 วันข้างหน้า รวมถึงประกาศเรื่องอาวุธ ผมคงต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่ว่าผมควรจะให้ความสำคัญกับการเจรจาเกี่ยวกับยูเครนมากกว่านี้หรือไม่" 👉รุตเตยังกล่าวขอบคุณทรัมป์อย่างสุดซึ้งที่ส่งอาวุธมาช่วยเหลือครั้งนี้ โดยไม่สนใจว่าเงินที่ต้องจ่ายคืนสหรัฐจะต้องหามาจากไหน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 365 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ปรอดหัวโขนหลุดบัญชีคุ้มครอง! อธิบดีกรมอุทยานฯ ไฟเขียวเปิดทางค้านกเสรี สร้างความผิดหวังให้นักอนุรักษ์ หวั่นสูญพันธุ์ ชี้มาตรการป้องกันล่านกป่าเป็นแค่ปาหี่ ขาดความจริงจังเอาผิดคนขายนกผิดกฎหมาย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000063747

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ปรอดหัวโขนหลุดบัญชีคุ้มครอง! อธิบดีกรมอุทยานฯ ไฟเขียวเปิดทางค้านกเสรี สร้างความผิดหวังให้นักอนุรักษ์ หวั่นสูญพันธุ์ ชี้มาตรการป้องกันล่านกป่าเป็นแค่ปาหี่ ขาดความจริงจังเอาผิดคนขายนกผิดกฎหมาย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000063747 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Wow
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 563 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ระบุยูเครนมีความจำเป็นต้องมีขีปนาวุธแพทริออตเพื่อป้องกันตนเอง ความคิดเห็นซึ่งมีขึ้นหลังจากพูดคุยกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี พร้อมกับส่งเสียงแสดงความผิดหวังต่อประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ที่ล้มเหลวในการยุติสงคราม
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000063485

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ระบุยูเครนมีความจำเป็นต้องมีขีปนาวุธแพทริออตเพื่อป้องกันตนเอง ความคิดเห็นซึ่งมีขึ้นหลังจากพูดคุยกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี พร้อมกับส่งเสียงแสดงความผิดหวังต่อประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ที่ล้มเหลวในการยุติสงคราม . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000063485 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1143 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความตกต่ำของกระทรวงการต่างประเทศ

    กระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ คนใกล้ชิดอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีผลงานโดดเด่น นอกจากไปเป็นพยานให้ทักษิณ ผู้ต้องหาคดี 112 ขออนุญาตศาลออกนอกประเทศ ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่สองพ่อลูก ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต ปลุกกระแสชาตินิยม นำปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และช่องบก ร้องต่อศาลโลก ขอให้ตกเป็นของกัมพูชา นอกจากจะแถลงข่าวรายวันก็ไม่มีอะไรโดดเด่น

    การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นำโดย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเจบีซีฝ่ายไทย เป็นที่เคลือบแคลงสงสัย นอกจากจะเป็นคู่กรณีนายวีระ สมความคิด เคยบีบบังคับให้ยอมรับผิดว่าบุกรุกดินแดนกัมพูชาและด่าว่าเป็นตัวปัญหาแล้ว ในการประชุมเจบีซีมีไลน์หลุดออกมาว่า นายประศาสน์ พยายามโน้มน้าวให้ไทยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ทำให้ไทยเสียดินแดน ทำให้เจ้าตัวถึงกับโกรธและไม่คุยด้วย หนำซ้ำ กัมพูชายังสรุปผลการประชุมว่าตกลงใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทำให้คนไทยโกรธแค้นเพราะเสียเปรียบ ร้อนถึงกระทรวงต้องออกแถลงการณ์ตอนดึก ยืนยันว่าไม่ได้หารือ พร้อมแสดงความผิดหวังที่กัมพูชาเดินหน้านำพื้นที่ 4 จุดขึ้นสู่ศาลโลก

    สนธิ ลิ้มทองกุล ตั้งคำถามว่า ตั้งแต่ MOU 2543 ถึง MOU 2544 รู้อยู่แล้วว่าเป็นตัวการที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน มีการระบุว่าต้องใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไม่ใช่ 1 ต่อ 50,000 เคยถามตัวเองหรือไม่ว่าทำไมกัมพูชาเจรจากับเวียดนามใช้แผนที่ 1 ต่อ 50,000 ทำไมไทยถึงยอมใช้มาตรา 1 ต่อ 200,000 ส่วนนายประศาสน์ นับตั้งแต่ไปประชุมเจบีซี 3 สัปดาห์แล้วกลับมา ไม่เคยบอกคนไทยว่าไปพูดอะไรบ้าง และไม่บอกว่าไปลงนามข้อตกลงอะไรไว้ เปรียบเป็นไส้ศึกของกัมพูชา

    ที่น่าสนใจ คือ บทความหัวข้อ Thai diplomacy is now in need of a reset เขียนโดย กวี จงกิจถาวร ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ระบุในตอนหนึ่งว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำผิดพลาดทางการทูตร้ายแรงจากคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน แม้กระทรวงการต่างประเทศพยายามอย่างหนักเพื่อกอบกู้สถานการณ์ทางการทูตที่เหลืออยู่ แต่ขวัญกำลังใจตกต่ำเป็นประวัติการณ์ นักการทูตและเจ้าหน้าที่รู้สึกว่าถูกละเลยและเพิกเฉย นับตั้งแต่แพทองธารเข้ารับตำแหน่ง การตัดสินใจเกี่ยวกับกิจการต่างประเทศก็ดำเนินการโดยทักษิณ และกลุ่มคนใกล้ชิด

    "นับตั้งแต่ ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีต รมว.ต่างประเทศ ก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กระทรวงฯ ก็ไร้ทิศทาง ไม่มีผู้นำที่เข้มแข็งมาควบคุม และไม่มีผู้ใดมีอำนาจที่จะควบคุมความเสียหายหรือวางแผนกลยุทธ์"

    #Newskit
    ความตกต่ำของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ คนใกล้ชิดอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีผลงานโดดเด่น นอกจากไปเป็นพยานให้ทักษิณ ผู้ต้องหาคดี 112 ขออนุญาตศาลออกนอกประเทศ ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่สองพ่อลูก ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต ปลุกกระแสชาตินิยม นำปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และช่องบก ร้องต่อศาลโลก ขอให้ตกเป็นของกัมพูชา นอกจากจะแถลงข่าวรายวันก็ไม่มีอะไรโดดเด่น การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นำโดย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเจบีซีฝ่ายไทย เป็นที่เคลือบแคลงสงสัย นอกจากจะเป็นคู่กรณีนายวีระ สมความคิด เคยบีบบังคับให้ยอมรับผิดว่าบุกรุกดินแดนกัมพูชาและด่าว่าเป็นตัวปัญหาแล้ว ในการประชุมเจบีซีมีไลน์หลุดออกมาว่า นายประศาสน์ พยายามโน้มน้าวให้ไทยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ทำให้ไทยเสียดินแดน ทำให้เจ้าตัวถึงกับโกรธและไม่คุยด้วย หนำซ้ำ กัมพูชายังสรุปผลการประชุมว่าตกลงใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทำให้คนไทยโกรธแค้นเพราะเสียเปรียบ ร้อนถึงกระทรวงต้องออกแถลงการณ์ตอนดึก ยืนยันว่าไม่ได้หารือ พร้อมแสดงความผิดหวังที่กัมพูชาเดินหน้านำพื้นที่ 4 จุดขึ้นสู่ศาลโลก สนธิ ลิ้มทองกุล ตั้งคำถามว่า ตั้งแต่ MOU 2543 ถึง MOU 2544 รู้อยู่แล้วว่าเป็นตัวการที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน มีการระบุว่าต้องใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไม่ใช่ 1 ต่อ 50,000 เคยถามตัวเองหรือไม่ว่าทำไมกัมพูชาเจรจากับเวียดนามใช้แผนที่ 1 ต่อ 50,000 ทำไมไทยถึงยอมใช้มาตรา 1 ต่อ 200,000 ส่วนนายประศาสน์ นับตั้งแต่ไปประชุมเจบีซี 3 สัปดาห์แล้วกลับมา ไม่เคยบอกคนไทยว่าไปพูดอะไรบ้าง และไม่บอกว่าไปลงนามข้อตกลงอะไรไว้ เปรียบเป็นไส้ศึกของกัมพูชา ที่น่าสนใจ คือ บทความหัวข้อ Thai diplomacy is now in need of a reset เขียนโดย กวี จงกิจถาวร ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ระบุในตอนหนึ่งว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำผิดพลาดทางการทูตร้ายแรงจากคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน แม้กระทรวงการต่างประเทศพยายามอย่างหนักเพื่อกอบกู้สถานการณ์ทางการทูตที่เหลืออยู่ แต่ขวัญกำลังใจตกต่ำเป็นประวัติการณ์ นักการทูตและเจ้าหน้าที่รู้สึกว่าถูกละเลยและเพิกเฉย นับตั้งแต่แพทองธารเข้ารับตำแหน่ง การตัดสินใจเกี่ยวกับกิจการต่างประเทศก็ดำเนินการโดยทักษิณ และกลุ่มคนใกล้ชิด "นับตั้งแต่ ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีต รมว.ต่างประเทศ ก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กระทรวงฯ ก็ไร้ทิศทาง ไม่มีผู้นำที่เข้มแข็งมาควบคุม และไม่มีผู้ใดมีอำนาจที่จะควบคุมความเสียหายหรือวางแผนกลยุทธ์" #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 584 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในการประชุม JBC ประธานฝ่ายไทยได้ย้ำท่าทีไทยตอบโต้ทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหา (ซึ่งได้บันทึกแนบไว้ในเอกสารผลลัพธ์ Agreed Minutes ของการประชุมครั้งนี้) ดังนี้

    การดำเนินการของไทยเป็นไปโดยความจำเป็นตามหลักการป้องกันตัวจากการที่ถูกฝ่ายกัมพูชาโจมตีก่อน และเป็นไปอย่างเหมาะสมและได้สัดส่วนตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
    ไทยแสดงความผิดหวังที่ฝ่ายกัมพูชาเลือกที่จะปิดประตูการเจรจาอย่างสันติใน 4 พื้นที่ โดยท่าทีของรัฐบาลไทยมาโดยตลอด ได้เน้นความสำคัญของการแก้ไขปัญหาระหว่างกันแบบทวิภาคี และบทบาทที่สำคัญของ JBC ในการทำให้มีเขตแดนชัดเจนระหว่างกัน เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย
    ไทยย้ำถึงความสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องยึดมั่น MOU 2543 (ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้เห็นชอบร่วมกับไทย) โดยไม่ดำเนินการใด ๆ ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของเขตแดน ไม่รุกล้ำเขตแดนระหว่างกัน และทั้งสองฝ่ายจะต้องใช้ความอดกลั้นเพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย
    ทั้งสองฝ่ายจะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่จะนำไปสู่ความเข้าใจผิดและขัดแย้งในวงกว้าง และย้ำถึงความสำคัญของการใช้กลไกความร่วมมือทวิภาคีอื่น ๆ ในการช่วยแก้ปัญหาด้วย เช่น GBC, RBC การประชุมผู้ว่าจังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา เพื่อให้แนวชายแดนมีความสงบเป็นปกติ และอำนวยความสะดวกการเดินทางของคนและขนส่งสินค้า ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธที่จะหารือในประเด็นนี้


    แต่ mou43 มันยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200000
    ในการประชุม JBC ประธานฝ่ายไทยได้ย้ำท่าทีไทยตอบโต้ทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหา (ซึ่งได้บันทึกแนบไว้ในเอกสารผลลัพธ์ Agreed Minutes ของการประชุมครั้งนี้) ดังนี้ การดำเนินการของไทยเป็นไปโดยความจำเป็นตามหลักการป้องกันตัวจากการที่ถูกฝ่ายกัมพูชาโจมตีก่อน และเป็นไปอย่างเหมาะสมและได้สัดส่วนตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ไทยแสดงความผิดหวังที่ฝ่ายกัมพูชาเลือกที่จะปิดประตูการเจรจาอย่างสันติใน 4 พื้นที่ โดยท่าทีของรัฐบาลไทยมาโดยตลอด ได้เน้นความสำคัญของการแก้ไขปัญหาระหว่างกันแบบทวิภาคี และบทบาทที่สำคัญของ JBC ในการทำให้มีเขตแดนชัดเจนระหว่างกัน เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย ไทยย้ำถึงความสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องยึดมั่น MOU 2543 (ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้เห็นชอบร่วมกับไทย) โดยไม่ดำเนินการใด ๆ ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของเขตแดน ไม่รุกล้ำเขตแดนระหว่างกัน และทั้งสองฝ่ายจะต้องใช้ความอดกลั้นเพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย ทั้งสองฝ่ายจะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่จะนำไปสู่ความเข้าใจผิดและขัดแย้งในวงกว้าง และย้ำถึงความสำคัญของการใช้กลไกความร่วมมือทวิภาคีอื่น ๆ ในการช่วยแก้ปัญหาด้วย เช่น GBC, RBC การประชุมผู้ว่าจังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา เพื่อให้แนวชายแดนมีความสงบเป็นปกติ และอำนวยความสะดวกการเดินทางของคนและขนส่งสินค้า ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธที่จะหารือในประเด็นนี้ แต่ mou43 มันยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200000
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 404 มุมมอง 0 รีวิว
  • ธรรมะ...ที่มาถึงตอนลำบาก คือของขวัญที่ประเสริฐที่สุด

    ตอนชีวิตสบายดี
    เรามักไม่มองหาที่พึ่งทางใจ
    แต่พอถึงวันลำบาก
    จิตจะเริ่มค้นหา...อะไรสักอย่างที่ทำให้ “อยู่กับทุกข์ได้”

    และสำหรับคนไทย
    บางที “ธรรมะ” นี่แหละ...คือคำตอบที่ง่ายและลึกที่สุด

    เราอาจผ่านความผิดหวัง สูญเสีย เคว้งคว้าง
    แต่เมื่อมาถึงธรรมะ—ที่ทำให้ใจคลาย
    ทำให้ร่างกายไม่เกร็ง ทำให้ใจไม่ดิ้น
    ชีวิตที่เจอสิ่งนั้นเข้าไป...ไม่ว่าจะผ่านอะไรมาก่อน
    ก็นับว่า คุ้มค่าที่ได้เกิดมา

    เพราะการได้เข้าใจธรรมะ
    ไม่ใช่แค่รอดจากทุกข์
    แต่คือการ เปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นครู

    🪷 ยังไงก็ขอให้ใจ...ได้เจอธรรมะในเวลาที่ต้องการ
    ขอให้ธรรมะที่คุณเจอ
    ไม่ใช่แค่ความรู้...แต่เป็น “เครื่องอยู่” ของใจ

    #ธรรมะอยู่ตรงนี้
    #ยึดธรรมเป็นที่พึ่ง
    #ตอนลำบากคือเวลาธรรมะทำงาน
    #โพสต์คลายใจ
    🌿 ธรรมะ...ที่มาถึงตอนลำบาก คือของขวัญที่ประเสริฐที่สุด ตอนชีวิตสบายดี เรามักไม่มองหาที่พึ่งทางใจ แต่พอถึงวันลำบาก จิตจะเริ่มค้นหา...อะไรสักอย่างที่ทำให้ “อยู่กับทุกข์ได้” และสำหรับคนไทย บางที “ธรรมะ” นี่แหละ...คือคำตอบที่ง่ายและลึกที่สุด เราอาจผ่านความผิดหวัง สูญเสีย เคว้งคว้าง แต่เมื่อมาถึงธรรมะ—ที่ทำให้ใจคลาย ทำให้ร่างกายไม่เกร็ง ทำให้ใจไม่ดิ้น ชีวิตที่เจอสิ่งนั้นเข้าไป...ไม่ว่าจะผ่านอะไรมาก่อน ก็นับว่า คุ้มค่าที่ได้เกิดมา เพราะการได้เข้าใจธรรมะ ไม่ใช่แค่รอดจากทุกข์ แต่คือการ เปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นครู 🪷 ยังไงก็ขอให้ใจ...ได้เจอธรรมะในเวลาที่ต้องการ ขอให้ธรรมะที่คุณเจอ ไม่ใช่แค่ความรู้...แต่เป็น “เครื่องอยู่” ของใจ #ธรรมะอยู่ตรงนี้ #ยึดธรรมเป็นที่พึ่ง #ตอนลำบากคือเวลาธรรมะทำงาน #โพสต์คลายใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • พร้อมหรือยัง? ที่จะก้าวเข้าสู่โลกแห่งปัญญาและความเข้าใจ... ไพ่พรหมญาณไม่ใช่แค่การทำนาย แต่เป็นการเปิดเผยความจริงที่ซ่อนอยู่ เพื่อให้คุณเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสิ่งที่กำลังจะมาถึง ทั้งโอกาสและอุปสรรค!

    ไพ่ตัวแทนทั้ง 12 ตำแหน่ง เล่าถึงเรื่องราวที่อาจจะเกิดขึ้นในดวงชะตาของคุณ!

    วาสนา: รู้ชะตาชีวิต... เตรียมรับโชคและระวังภัย!
    o ไพ่วาสนาเผยเส้นทางชีวิตของคุณ! ด้านดี: จะนำทางสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ โอกาสที่คุณไม่ควรพลาด! ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงอุปสรรคที่อาจขัดขวาง เพื่อให้คุณเตรียมพร้อมรับมือและแก้ไข!

    ทรัพย์สิน: ร่ำรวยชาญฉลาด... อย่าประมาทในการลงทุน!
    o เปิดประตูสู่ความมั่งคั่ง! ด้านดี: ชี้ช่องทางสู่โอกาสทางการเงินที่น่าสนใจ การลงทุนที่ชาญฉลาด! ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น การตัดสินใจที่ผิดพลาด เพื่อให้คุณรอบคอบในการบริหารจัดการเงินทอง!

    บ้านช่อง: สวรรค์ในบ้าน... อย่าปล่อยปละละเลยความสัมพันธ์!
    o สร้างความสุขในครอบครัว! ด้านดี: เสริมสร้างความรัก ความเข้าใจ ความอบอุ่น! ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น ความห่างเหินที่ต้องแก้ไข เพื่อให้คุณรักษาความสัมพันธ์ที่ดีไว้!

    ญาติมิตร: เพื่อนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง... อย่าไว้ใจคนผิด!
    o เครือข่ายที่แข็งแกร่ง! ด้านดี: ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนแท้และพันธมิตร! ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงคนที่อาจเข้ามาหลอกลวง หรือทำให้คุณเดือดร้อน เพื่อให้คุณเลือกคบคนอย่างระมัดระวัง!

    บุตรบริวาร: บริหารคนอย่างเข้าใจ... อย่าละเลยการดูแล!
    o ทีมงานที่แข็งแกร่ง! ด้านดี: ได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจากลูกน้อง! ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น การขาดความสามัคคี เพื่อให้คุณใส่ใจดูแลและสร้างความเข้าใจในทีม!

    ศัตรู: รู้เขารู้เรา... อย่าประมาทคู่แข่ง!
    o เตรียมพร้อมรับมืออุปสรรค! ด้านดี: รู้ทันกลอุบายของศัตรู! ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงภัยที่มองไม่เห็น การถูกแทงข้างหลัง เพื่อให้คุณป้องกันตัวเองและหลีกเลี่ยงปัญหา!

    คู่ครอง: รักแท้ต้องดูแล... อย่าปล่อยให้ความสัมพันธ์จืดจาง!
    o สร้างรักที่ยั่งยืน! ด้านดี: มีความรัก ความเข้าใจ ความผูกพัน! ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจ ความห่างเหิน เพื่อให้คุณใส่ใจดูแลความสัมพันธ์และเติมความรักให้กันเสมอ!

    โรคภัย: ดูแลสุขภาพ... อย่าละเลยสัญญาณเตือน!
    o สุขภาพดีคือสิ่งสำคัญ! ด้านดี: ร่างกายแข็งแรง จิตใจแจ่มใส! ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงความเสี่ยงต่อโรคภัย การเจ็บป่วย เพื่อให้คุณใส่ใจดูแลสุขภาพและป้องกันไว้ก่อน!

    ความสุข: เติมเต็มชีวิต... อย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ!
    o ค้นพบความสุขที่แท้จริง! ด้านดี: มีความสงบ ความพึงพอใจ ความรัก! ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงความทุกข์ ความเศร้า ความผิดหวัง เพื่อให้คุณมองโลกในแง่ดีและหาความสุขจากสิ่งรอบตัว!

    การงาน: สร้างความสุขในที่ทำงาน... อย่าปล่อยให้ความเครียดครอบงำ!
    o รักงานที่ทำ! ด้านดี: พบความสำเร็จและความพึงพอใจในอาชีพ! ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงความเครียด ความกดดัน ความขัดแย้ง เพื่อให้คุณหาทางผ่อนคลายและรักษาสมดุลในชีวิต!

    ลาภยศ: โอกาสมาแล้ว... อย่าปล่อยให้หลุดมือ!
    o ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน! ด้านดี: ได้รับโอกาสในการเติบโต ชื่อเสียง และการยอมรับ! ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงความท้าทายที่ต้องเผชิญ การแข่งขันที่สูงขึ้น เพื่อให้คุณเตรียมพร้อมและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ!

    ไพ่สรุป: ภาพรวมชีวิต... ทั้งดีและร้าย!
    o ไขรหัสชีวิตของคุณ! ไพ่สรุปจะรวบรวมทุกข้อมูล! ด้านดี: ชี้ให้เห็นโอกาสและความสำเร็จที่รออยู่! ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้คุณวางแผนรับมือได้อย่างเหมาะสม!

    พร้อมหรือยังที่จะเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้ชีวิต? มาดูดวงกับเรา! เราพร้อมให้คำปรึกษาและนำทางคุณไปสู่ความสำเร็จและความสุขในทุกๆ ด้านของชีวิต! ติดต่อเราเลย! ส่งข้อความมาได้เลย!
    พร้อมหรือยัง? ที่จะก้าวเข้าสู่โลกแห่งปัญญาและความเข้าใจ... ไพ่พรหมญาณไม่ใช่แค่การทำนาย แต่เป็นการเปิดเผยความจริงที่ซ่อนอยู่ 🔑 เพื่อให้คุณเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสิ่งที่กำลังจะมาถึง ทั้งโอกาสและอุปสรรค! 🎁 ไพ่ตัวแทนทั้ง 12 ตำแหน่ง เล่าถึงเรื่องราวที่อาจจะเกิดขึ้นในดวงชะตาของคุณ! 🔮 วาสนา: รู้ชะตาชีวิต... เตรียมรับโชคและระวังภัย! 🍀 o ไพ่วาสนาเผยเส้นทางชีวิตของคุณ! ด้านดี: จะนำทางสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ 🏆 โอกาสที่คุณไม่ควรพลาด! ✨ ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงอุปสรรคที่อาจขัดขวาง เพื่อให้คุณเตรียมพร้อมรับมือและแก้ไข! 🚧 ทรัพย์สิน: ร่ำรวยชาญฉลาด... อย่าประมาทในการลงทุน! 💰 o เปิดประตูสู่ความมั่งคั่ง! 🗝️ ด้านดี: ชี้ช่องทางสู่โอกาสทางการเงินที่น่าสนใจ การลงทุนที่ชาญฉลาด! 📈 ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น การตัดสินใจที่ผิดพลาด เพื่อให้คุณรอบคอบในการบริหารจัดการเงินทอง! ⚠️ บ้านช่อง: สวรรค์ในบ้าน... อย่าปล่อยปละละเลยความสัมพันธ์! 🏡 o สร้างความสุขในครอบครัว! 🥰 ด้านดี: เสริมสร้างความรัก ความเข้าใจ ความอบอุ่น! ❤️ ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น ความห่างเหินที่ต้องแก้ไข เพื่อให้คุณรักษาความสัมพันธ์ที่ดีไว้! 🫂 ญาติมิตร: เพื่อนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง... อย่าไว้ใจคนผิด! 🤝 o เครือข่ายที่แข็งแกร่ง! 💪 ด้านดี: ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนแท้และพันธมิตร! 🤗 ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงคนที่อาจเข้ามาหลอกลวง หรือทำให้คุณเดือดร้อน เพื่อให้คุณเลือกคบคนอย่างระมัดระวัง! 🙅‍♀️ บุตรบริวาร: บริหารคนอย่างเข้าใจ... อย่าละเลยการดูแล! 👨‍👩‍👧‍👦 o ทีมงานที่แข็งแกร่ง! 🧑‍🤝‍🧑 ด้านดี: ได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจากลูกน้อง! 🙌 ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น การขาดความสามัคคี เพื่อให้คุณใส่ใจดูแลและสร้างความเข้าใจในทีม! 🗣️ ศัตรู: รู้เขารู้เรา... อย่าประมาทคู่แข่ง! 😈 o เตรียมพร้อมรับมืออุปสรรค! 🛡️ ด้านดี: รู้ทันกลอุบายของศัตรู! 🕵️ ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงภัยที่มองไม่เห็น การถูกแทงข้างหลัง เพื่อให้คุณป้องกันตัวเองและหลีกเลี่ยงปัญหา! 🔪 คู่ครอง: รักแท้ต้องดูแล... อย่าปล่อยให้ความสัมพันธ์จืดจาง! 💖 o สร้างรักที่ยั่งยืน! ♾️ ด้านดี: มีความรัก ความเข้าใจ ความผูกพัน! 🥰 ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจ ความห่างเหิน เพื่อให้คุณใส่ใจดูแลความสัมพันธ์และเติมความรักให้กันเสมอ! 💔 โรคภัย: ดูแลสุขภาพ... อย่าละเลยสัญญาณเตือน! 🩺 o สุขภาพดีคือสิ่งสำคัญ! 💪 ด้านดี: ร่างกายแข็งแรง จิตใจแจ่มใส! ☀️ ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงความเสี่ยงต่อโรคภัย การเจ็บป่วย เพื่อให้คุณใส่ใจดูแลสุขภาพและป้องกันไว้ก่อน! 🤕 ความสุข: เติมเต็มชีวิต... อย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ! 😄 o ค้นพบความสุขที่แท้จริง! 😇 ด้านดี: มีความสงบ ความพึงพอใจ ความรัก! 💕 ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงความทุกข์ ความเศร้า ความผิดหวัง เพื่อให้คุณมองโลกในแง่ดีและหาความสุขจากสิ่งรอบตัว! 😔 การงาน: สร้างความสุขในที่ทำงาน... อย่าปล่อยให้ความเครียดครอบงำ! 🏢 o รักงานที่ทำ! 🥰 ด้านดี: พบความสำเร็จและความพึงพอใจในอาชีพ! 🏆 ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงความเครียด ความกดดัน ความขัดแย้ง เพื่อให้คุณหาทางผ่อนคลายและรักษาสมดุลในชีวิต! 😩 ลาภยศ: โอกาสมาแล้ว... อย่าปล่อยให้หลุดมือ! 👑 o ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน! 🚀 ด้านดี: ได้รับโอกาสในการเติบโต ชื่อเสียง และการยอมรับ! 👍 ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงความท้าทายที่ต้องเผชิญ การแข่งขันที่สูงขึ้น เพื่อให้คุณเตรียมพร้อมและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ! 🏋️ ไพ่สรุป: ภาพรวมชีวิต... ทั้งดีและร้าย! 🖼️ o ไขรหัสชีวิตของคุณ! 🧩 ไพ่สรุปจะรวบรวมทุกข้อมูล! ด้านดี: ชี้ให้เห็นโอกาสและความสำเร็จที่รออยู่! 🌟 ด้านที่ต้องระวัง: เตือนถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้คุณวางแผนรับมือได้อย่างเหมาะสม! 💡 🌟 พร้อมหรือยังที่จะเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้ชีวิต? มาดูดวงกับเรา! 🔮 เราพร้อมให้คำปรึกษาและนำทางคุณไปสู่ความสำเร็จและความสุขในทุกๆ ด้านของชีวิต! ✨ ติดต่อเราเลย! ส่งข้อความมาได้เลย! ✉️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 661 มุมมอง 0 รีวิว
  • อันดรี ซีบิฮา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมเจรจาฝ่ายยูเครน โพสต์ข้อความผิดหวังในการตอบสนองของรัสเซียผ่านทางโซเชียล แม้ว่าพวกเขาเพิ่งถูกโจมตีฐานทัพอากาศหลายแห่งจนได้รับความเสียหายอย่างมาก โดยระบว่า รัสเซียไม่ตอบสนองต่อบันทึกข้อตกลงหยุดยิงของเคียฟในอิสตันบูลเลยแม้แต่น้อย

    “รัสเซียไม่ตอบสนองต่อเอกสารของเรา ซึ่งระบุวิสัยทัศน์ของยูเครนในการยุติสงคราม เราส่งเอกสารล่วงหน้าก่อนการประชุม ระหว่างการประชุม คณะผู้แทนของเราถามความคิดเห็นของรัสเซีย พวกเขาไม่ได้ให้คำตอบใดๆ ทั้งในระหว่างการประชุมและหลังการประชุม เราเรียกร้องคำตอบจากรัสเซีย ความเงียบของพวกเขาในแต่ละวันเป็นข้ออ้างที่ทำให้พวกเขาต้องการที่จะดำเนินสงครามต่อไป”

    “ฝ่ายรัสเซียเอาแต่ยื่นเงื่อนไขเดิมๆ ซึ่งนั่นไม่ทำให้เกิดสันติภาพที่แท้จริง ซึ่งขัดแย้งกับคำมั่นสัญญาของรัสเซียก่อนหน้านี้ ว่าพวกเขาจะเสนอสิ่งที่เป็นจริงและเป็นไปได้”

    ซีบิฮา ยังกล่าวต่ออีกว่า “การมาประชุมที่อิสตันบูลครั้งนี้ เหมือนมาเพียงเพื่อแลกเปลี่ยนเชลยศึกเท่านั้น โดยไม่ได้มีส่วนสนับสนุนในการบรรลุสันติภาพแต่อย่างใด”
    อันดรี ซีบิฮา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมเจรจาฝ่ายยูเครน โพสต์ข้อความผิดหวังในการตอบสนองของรัสเซียผ่านทางโซเชียล แม้ว่าพวกเขาเพิ่งถูกโจมตีฐานทัพอากาศหลายแห่งจนได้รับความเสียหายอย่างมาก โดยระบว่า รัสเซียไม่ตอบสนองต่อบันทึกข้อตกลงหยุดยิงของเคียฟในอิสตันบูลเลยแม้แต่น้อย “รัสเซียไม่ตอบสนองต่อเอกสารของเรา ซึ่งระบุวิสัยทัศน์ของยูเครนในการยุติสงคราม เราส่งเอกสารล่วงหน้าก่อนการประชุม ระหว่างการประชุม คณะผู้แทนของเราถามความคิดเห็นของรัสเซีย พวกเขาไม่ได้ให้คำตอบใดๆ ทั้งในระหว่างการประชุมและหลังการประชุม เราเรียกร้องคำตอบจากรัสเซีย ความเงียบของพวกเขาในแต่ละวันเป็นข้ออ้างที่ทำให้พวกเขาต้องการที่จะดำเนินสงครามต่อไป” “ฝ่ายรัสเซียเอาแต่ยื่นเงื่อนไขเดิมๆ ซึ่งนั่นไม่ทำให้เกิดสันติภาพที่แท้จริง ซึ่งขัดแย้งกับคำมั่นสัญญาของรัสเซียก่อนหน้านี้ ว่าพวกเขาจะเสนอสิ่งที่เป็นจริงและเป็นไปได้” ซีบิฮา ยังกล่าวต่ออีกว่า “การมาประชุมที่อิสตันบูลครั้งนี้ เหมือนมาเพียงเพื่อแลกเปลี่ยนเชลยศึกเท่านั้น โดยไม่ได้มีส่วนสนับสนุนในการบรรลุสันติภาพแต่อย่างใด”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD Instinct MI325X ประสบปัญหาด้านความสามารถในการขยายตัว ส่งผลต่อยอดขาย

    AMD เปิดตัว Instinct MI325X เพื่อแข่งขันกับ Nvidia H200 แต่กลับพบว่าความสามารถในการ Scale up ของ GPU รุ่นนี้ มีข้อจำกัด ทำให้ลูกค้า AI ไม่ให้ความสนใจมากนัก นอกจากนี้ การเปิดตัว MI355X ที่กำลังจะมาถึง อาจทำให้ MI325X ถูกลดความสำคัญลงไปอีก

    Instinct MI325X ไม่รองรับการเชื่อมต่อแบบ rack-scale
    - สามารถเชื่อมต่อได้สูงสุด 8 GPUs ต่อคลัสเตอร์ เท่านั้น

    Nvidia B200 สามารถเชื่อมต่อได้ถึง 72 GPUs ผ่าน NVLink
    - ทำให้ มีความสามารถในการขยายตัวที่ดีกว่า MI325X

    AMD ต้องใช้สถาปัตยกรรม scale-out เพื่อเพิ่มจำนวน GPU
    - ต้องพึ่งพา Ethernet หรือ Infiniband ซึ่งลดประสิทธิภาพการสื่อสาร

    MI325X มีอัตราการใช้พลังงานสูงถึง 1000W
    - ทำให้ ลูกค้าหลายรายลังเลในการเลือกใช้

    Microsoft เคยแสดงความผิดหวังกับ GPU ของ AMD ตั้งแต่ปี 2024
    - ไม่มีการสั่งซื้อเพิ่มเติมจาก Microsoft แต่ Oracle และบางบริษัทเริ่มให้ความสนใจ

    MI325X อาจไม่สามารถแข่งขันกับ Nvidia Blackwell ได้
    - Nvidia Blackwell มีประสิทธิภาพต่อราคาที่ดีกว่า

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/limited-scalability-of-amds-instinct-mi325x-limits-scale-of-its-sales-says-analyst-firm
    AMD Instinct MI325X ประสบปัญหาด้านความสามารถในการขยายตัว ส่งผลต่อยอดขาย AMD เปิดตัว Instinct MI325X เพื่อแข่งขันกับ Nvidia H200 แต่กลับพบว่าความสามารถในการ Scale up ของ GPU รุ่นนี้ มีข้อจำกัด ทำให้ลูกค้า AI ไม่ให้ความสนใจมากนัก นอกจากนี้ การเปิดตัว MI355X ที่กำลังจะมาถึง อาจทำให้ MI325X ถูกลดความสำคัญลงไปอีก ✅ Instinct MI325X ไม่รองรับการเชื่อมต่อแบบ rack-scale - สามารถเชื่อมต่อได้สูงสุด 8 GPUs ต่อคลัสเตอร์ เท่านั้น ✅ Nvidia B200 สามารถเชื่อมต่อได้ถึง 72 GPUs ผ่าน NVLink - ทำให้ มีความสามารถในการขยายตัวที่ดีกว่า MI325X ✅ AMD ต้องใช้สถาปัตยกรรม scale-out เพื่อเพิ่มจำนวน GPU - ต้องพึ่งพา Ethernet หรือ Infiniband ซึ่งลดประสิทธิภาพการสื่อสาร ✅ MI325X มีอัตราการใช้พลังงานสูงถึง 1000W - ทำให้ ลูกค้าหลายรายลังเลในการเลือกใช้ ✅ Microsoft เคยแสดงความผิดหวังกับ GPU ของ AMD ตั้งแต่ปี 2024 - ไม่มีการสั่งซื้อเพิ่มเติมจาก Microsoft แต่ Oracle และบางบริษัทเริ่มให้ความสนใจ ‼️ MI325X อาจไม่สามารถแข่งขันกับ Nvidia Blackwell ได้ - Nvidia Blackwell มีประสิทธิภาพต่อราคาที่ดีกว่า https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/limited-scalability-of-amds-instinct-mi325x-limits-scale-of-its-sales-says-analyst-firm
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เจี๊ยบ อมรัตน์” โพสต์เดือด สส.เป็นงูเห่าซ้ำซากในเขตเดิมซ้ำเติมความผิดหวังของประชาชน ไม่มีคำไหนเหมาะไปกว่าคำว่าชาติชั่วสารเลว

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000044295

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “เจี๊ยบ อมรัตน์” โพสต์เดือด สส.เป็นงูเห่าซ้ำซากในเขตเดิมซ้ำเติมความผิดหวังของประชาชน ไม่มีคำไหนเหมาะไปกว่าคำว่าชาติชั่วสารเลว อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000044295 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 608 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ไครเมียคือยูเครน"

    สหภาพยุโรปจะไม่มีวันยอมรับไครเมียว่าเป็นของรัสเซีย

    คาจา คัลลาส ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรปด้านกิจการต่างประเทศและนโยบายความมั่นคง และรองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวยืนยันในฐานะตัวแทนของยุโรป ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ยุโรปแสดงท่าทีต่อต้านสหรัฐ

    ขณะที่มีรายงานว่าสหรัฐจะเสนอรับรองไครเมียเป็นของรัสเซียอย่างเป็นทางการในวันพุธนี้ (23 เมษายน)

    คัลลาสยังกล่าวแสดงความผิดหวังต่อท่าทีของสหรัฐที่ไม่ได้มีจุดยืนที่แข็งกร้าว และไม่ได้ใช้เครื่องมือทั้งหมดเพื่อกดดันรัสเซีย และสิ่งที่แสดงออกมาเพียงแค่ “เป็นการเล่นเกม”
    "ไครเมียคือยูเครน" สหภาพยุโรปจะไม่มีวันยอมรับไครเมียว่าเป็นของรัสเซีย คาจา คัลลาส ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรปด้านกิจการต่างประเทศและนโยบายความมั่นคง และรองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวยืนยันในฐานะตัวแทนของยุโรป ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ยุโรปแสดงท่าทีต่อต้านสหรัฐ ขณะที่มีรายงานว่าสหรัฐจะเสนอรับรองไครเมียเป็นของรัสเซียอย่างเป็นทางการในวันพุธนี้ (23 เมษายน) คัลลาสยังกล่าวแสดงความผิดหวังต่อท่าทีของสหรัฐที่ไม่ได้มีจุดยืนที่แข็งกร้าว และไม่ได้ใช้เครื่องมือทั้งหมดเพื่อกดดันรัสเซีย และสิ่งที่แสดงออกมาเพียงแค่ “เป็นการเล่นเกม”
    Haha
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • ญี่ปุ่นได้ออกคำสั่ง "หยุดและยุติ" ต่อ Google โดยกล่าวหาว่าบริษัทละเมิดกฎหมาย ต่อต้านการผูกขาด ด้วยการบังคับให้ เครื่องมือค้นหาของ Google เป็นค่าเริ่มต้นในสมาร์ทโฟน Android

    ญี่ปุ่นกล่าวหา Google ว่าละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด
    - คณะกรรมการการค้าแห่งญี่ปุ่น (JFTC) ระบุว่า Google ใช้อำนาจตลาดเพื่อให้ เครื่องมือค้นหาของตนเป็นค่าเริ่มต้นใน Android
    - คำสั่ง "หยุดและยุติ" เป็นมาตรการที่ใช้เพื่อบังคับให้บริษัทหยุดพฤติกรรมที่อาจเป็นการผูกขาด

    กรณีนี้คล้ายกับคดีในสหรัฐฯ และยุโรป
    - กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังดำเนินคดีเกี่ยวกับ การครอบงำตลาดของ Google
    - ในยุโรป Google เคยถูกปรับ 4.34 พันล้านยูโร ในปี 2018 เนื่องจากข้อจำกัดเกี่ยวกับ Android

    การสอบสวนของญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่ปี 2023
    - ญี่ปุ่นได้ปรึกษากับประเทศอื่นที่มีคดีเกี่ยวกับ Google ก่อนออกคำสั่งนี้
    - Google Japan แสดงความผิดหวังต่อคำสั่งดังกล่าว และอ้างว่าบริษัทมีส่วนช่วยพัฒนาเทคโนโลยีในญี่ปุ่น

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในญี่ปุ่น
    - หาก Google ต้องเปลี่ยนแปลงนโยบาย อาจส่งผลต่อ ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและนักพัฒนาแอป
    - อาจมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ การตั้งค่าเริ่มต้นของเครื่องมือค้นหาใน Android

    ความท้าทายในการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด
    - คดีในสหรัฐฯ และยุโรปใช้เวลาหลายปีในการดำเนินการ
    - ญี่ปุ่นอาจต้องใช้เวลานานในการบังคับใช้คำสั่งนี้

    แนวโน้มของการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
    - หลายประเทศกำลังเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ บริษัทเทคโนโลยีที่มีอำนาจตลาดสูง
    - อาจมีการออกกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมพฤติกรรมของบริษัทเหล่านี้

    https://www.neowin.net/news/japan-hits-google-with-anti-monopoly-accusations-over-android-phones/
    ญี่ปุ่นได้ออกคำสั่ง "หยุดและยุติ" ต่อ Google โดยกล่าวหาว่าบริษัทละเมิดกฎหมาย ต่อต้านการผูกขาด ด้วยการบังคับให้ เครื่องมือค้นหาของ Google เป็นค่าเริ่มต้นในสมาร์ทโฟน Android ✅ ญี่ปุ่นกล่าวหา Google ว่าละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด - คณะกรรมการการค้าแห่งญี่ปุ่น (JFTC) ระบุว่า Google ใช้อำนาจตลาดเพื่อให้ เครื่องมือค้นหาของตนเป็นค่าเริ่มต้นใน Android - คำสั่ง "หยุดและยุติ" เป็นมาตรการที่ใช้เพื่อบังคับให้บริษัทหยุดพฤติกรรมที่อาจเป็นการผูกขาด ✅ กรณีนี้คล้ายกับคดีในสหรัฐฯ และยุโรป - กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังดำเนินคดีเกี่ยวกับ การครอบงำตลาดของ Google - ในยุโรป Google เคยถูกปรับ 4.34 พันล้านยูโร ในปี 2018 เนื่องจากข้อจำกัดเกี่ยวกับ Android ✅ การสอบสวนของญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่ปี 2023 - ญี่ปุ่นได้ปรึกษากับประเทศอื่นที่มีคดีเกี่ยวกับ Google ก่อนออกคำสั่งนี้ - Google Japan แสดงความผิดหวังต่อคำสั่งดังกล่าว และอ้างว่าบริษัทมีส่วนช่วยพัฒนาเทคโนโลยีในญี่ปุ่น ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในญี่ปุ่น - หาก Google ต้องเปลี่ยนแปลงนโยบาย อาจส่งผลต่อ ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและนักพัฒนาแอป - อาจมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ การตั้งค่าเริ่มต้นของเครื่องมือค้นหาใน Android ℹ️ ความท้าทายในการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด - คดีในสหรัฐฯ และยุโรปใช้เวลาหลายปีในการดำเนินการ - ญี่ปุ่นอาจต้องใช้เวลานานในการบังคับใช้คำสั่งนี้ ℹ️ แนวโน้มของการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ - หลายประเทศกำลังเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ บริษัทเทคโนโลยีที่มีอำนาจตลาดสูง - อาจมีการออกกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมพฤติกรรมของบริษัทเหล่านี้ https://www.neowin.net/news/japan-hits-google-with-anti-monopoly-accusations-over-android-phones/
    WWW.NEOWIN.NET
    Japan hits Google with anti-monopoly accusations over Android phones
    Japan has slapped Google with an antitrust order over Android phones, accusing it of shutting out rivals in the search market.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 408 มุมมอง 0 รีวิว
  • สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐ ให้สัมภาษณ์หลังจากจีนตอบโต้การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้นอีก 84% จากเดิมเมื่อ 4 วันก่อนเพิ่งประกาศขึ้นมาอยู่ที่ 34%  โดยกล่าวแสดงความผิดหวังต่อสิ่งที่จีนกำลังทำอยู่ขณะนี้ ซึ่งมันจะทำให้พวกเขาเป็นฝ่ายที่เสียหาย จากการที่จีนมีระบบเศรษฐกิจที่ไร้สมดุลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกสมัยใหม่


    “พวกเขาเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ากับเรา เพราะฉะนั้นการตอบโต้แบบนี้จะทำให้พวกเขาเจ็บตัวมากกว่า” เมื่อมองในมุมของสัดส่วนผลกระทบ จีนจะเป็นฝ่ายที่ได้รับความเสียหายมากกว่าสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


    นอกจากนี้ เบสเซนต์ ยังขู่อีกว่าจะถอดหุ้นจีนออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ และเรียกร้องให้จีนกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาแทนการตอบโต้กันไปมา โดยระบุว่า “ทุกทางเลือกอยู่บนโต๊ะ” ซึ่งการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการถอดหุ้นจีนจะขึ้นอยู่กับตัวการตัดสินใจของทรัมป์



    เบสเซนต์ยังเน้นย้ำว่า จีนควรเปิดกว้างต่อการเจรจากับสหรัฐ พร้อมส่งสัญญาณเปิดช่องไว้ว่าหนทางทางการทูตและเศรษฐกิจยังเป็นไปได้ หากจีนเลือกการเจรจาแทนที่จะใช้มาตรการตอบโต้



    การตอบโต้ของจีนครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่รัฐบาลทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มเติมรวมทุกครั้งแล้วเป็น 104%
    สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐ ให้สัมภาษณ์หลังจากจีนตอบโต้การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้นอีก 84% จากเดิมเมื่อ 4 วันก่อนเพิ่งประกาศขึ้นมาอยู่ที่ 34%  โดยกล่าวแสดงความผิดหวังต่อสิ่งที่จีนกำลังทำอยู่ขณะนี้ ซึ่งมันจะทำให้พวกเขาเป็นฝ่ายที่เสียหาย จากการที่จีนมีระบบเศรษฐกิจที่ไร้สมดุลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกสมัยใหม่ “พวกเขาเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ากับเรา เพราะฉะนั้นการตอบโต้แบบนี้จะทำให้พวกเขาเจ็บตัวมากกว่า” เมื่อมองในมุมของสัดส่วนผลกระทบ จีนจะเป็นฝ่ายที่ได้รับความเสียหายมากกว่าสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ เบสเซนต์ ยังขู่อีกว่าจะถอดหุ้นจีนออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ และเรียกร้องให้จีนกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาแทนการตอบโต้กันไปมา โดยระบุว่า “ทุกทางเลือกอยู่บนโต๊ะ” ซึ่งการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการถอดหุ้นจีนจะขึ้นอยู่กับตัวการตัดสินใจของทรัมป์ เบสเซนต์ยังเน้นย้ำว่า จีนควรเปิดกว้างต่อการเจรจากับสหรัฐ พร้อมส่งสัญญาณเปิดช่องไว้ว่าหนทางทางการทูตและเศรษฐกิจยังเป็นไปได้ หากจีนเลือกการเจรจาแทนที่จะใช้มาตรการตอบโต้ การตอบโต้ของจีนครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่รัฐบาลทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มเติมรวมทุกครั้งแล้วเป็น 104%
    Yay
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 426 มุมมอง 21 0 รีวิว
  • บทความน่าสนใจจากเฟซบุ๊ก Kornkit Disthan เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2568 “เวียดนามเป็นประเทศที่ "คุกเข่าเร็วเหลือเกิน" ให้กับทรัมป์

    นี่เป็นทัศนะของสำนักข่าว Pheonix และบอกว่า "การคุกเข่าอย่างรวดเร็วของเวียดนามได้สร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีสำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาษีศุลกากรของทรัมป์เดิมทีเป็นภาษีสากล โดยอัตราภาษีสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใกล้เคียงกับจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อให้เอเชียสามารถรวมตัวเป็นพันธมิตรที่เผชิญหน้าและ "สามัคคีกัน" เพื่อแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกับยุโรป"

    และ "การสื่อสารของเวียดนามกับสหรัฐอเมริกาในลักษณะนี้และการตอบสนองความต้องการทั้งหมดของทรัมป์โดยไม่มีการต่อต้านใดๆ เปรียบเสมือนการเปิดโอกาสในการเจรจากับสหรัฐอเมริกาเพียงลำพังเพื่อขอการอภัยโทษและรักษาข้อได้เปรียบด้านการค้าที่ต่ำกับสหรัฐอเมริกา"

    ทัศนะนี้ผมเห็นด้วย นายกฯ เวียดนามก้มหัวให้ทรัมป์เร็วไป แน่ล่ะ ประเทศไหนๆ ก็ต้องการเอาตัวรอด แต่แบบนี้มัน "ยอมจำนน" เกินไปเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านประเทศอื่นๆ ที่ยังหาทางตอบโต้แบบไม่เสียศักดิ์ศรีและไม่เสียผลประโยชน์ของชาติ

    เอาเข้าจริง เวียดนามยอมจำนนก่อนที่ทรัมป์จะประกาศวัน Liberation day สักประมาณ 2-3 สัปดาห์ก่อนเห็นจะได้ที่เวียดนามประกาศจะลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ จากนั้นก็ส่งสัญญาณเป็นระยะๆ ผมคาดว่าเวียดนามคงจะคิดว่าทำแบบนี้แล้วทรัมป์คงจะมีเมตตา

    แต่เปล่าเลย เวียดนามถูกขึ้นพิกัดอัตราภาษีสูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียนรองจากกัมพูชา (ที่จริงผมคาดการณ์มาระยะหนึ่งแล้วว่าเวียดนามจะต้องโดนหนักกว่าเพื่อน แต่คาดการณ์พลาดไปนิดนึง)

    นั่นหมายความว่าท่าทียอมจำนนของเวียดนามใช้ไม่ได้ผล และพอทรัมป์ประกาศเล่นงานเวียดนาม เวียดนามก็สนองด้วยการลดภาษีสินค้าอเมริกันมันซะเลยให้เหลือ 0% เพื่อเอาใจทรัมป์ เพราะหวังว่าทรัมป์จะมีเมตตา

    ขนาดมหามิตรอย่างแคนาดากับสหภาพยุโรปทรัมป์ยังไม่มีเมตตา แล้วเวียดนามจะได้รับความเวทนาหรือ? แล้วที่เวียดนามขอให้ทรัมป์ละเว้นมาตรการนี้ไปสัก 3 - 4 เดือน เวียดนามจะมีเวลาพอแก้ไขสถานการณ์หรือ? หากทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังระวัง FDI จะไหลออกไม่รู้ตัว

    ยังไม่นับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างๆ ที่อาจจะเห็นว่าเวียดนามต่อรองอะไรไม่เป็น และเรื่องนี้ไม่ควรจะยอมท่าเดียวด้วยซ้ำในทัศนะของนักลงทุนรายใหญ่ๆ ของเวียดนาม เช่น จีน และสหภาพยุโรปที่กำลังมีคิวมาคุยเรื่องลงทุนกับเวียดนาม

    แคนาดากับประเทศในยุโรปไม่ยอมก้มหัวให้ ประกาศตอบโต้แทบจะทันที เช่นเดียวกับจีน สหภาพยุโรปนั้นเตรียมจะสวนกลับหากต่อรองกันไม่สำเร็จด้วยซ้ำ แม้พวกนี้จะเป็นประเทศใหญ่ก็จริง แต่ประเทศเล็กก็สามารถรวมกลุ่มต่อรองก็ได้ไม่ใช่หรือ? ยังไม่นับการรวมกลุ่มที่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐฯ ที่น่าจะเกิดขึ้นมาอีก

    ผมคิดว่าเวียดนามเจริญเติบโต้เร็วก็จริง แต่อาจจะยังขาดประสบการณ์ในโลกทุนนิยมที่ประเทศนายทุนใหญ่มักจะมีเล่ห์เหลี่ยมสูงกว่า แม้แต่ญี่ปุ่นเองในทศวรรษที่ 80 ก็เคยโตเร็วจนกระทั่่งกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ สหรัฐฯ และพวก (ซึ่งก็พวกเดียวกับญี่ปุ่นนั่นเอง) จึงบีบให้ญี่ปุ่นรับข้อเสนอ Plaza Accord ซึ่งเป็นจุดจบของการผงาดของญี่ปุ่น

    ทุกวันนี้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นก็ยังง่อยเพราะต้องยอมจำนนให้ "ลูกพี่" คราวนี้นายกฯ ญี่ปุ่นก็แสดงท่าทีอ่อนข้อให้เช่นกัน แต่ "แม้ว่านายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะของญี่ปุ่นจะแสดง "ความผิดหวังอย่างยิ่ง" ต่อภาษีของทรัมป์และเรียกภาษี 24% ที่สหรัฐฯ กำหนดกับญี่ปุ่นว่าเป็น "วิกฤตระดับชาติ" แต่เขาก็ยังชี้แจงอย่างชัดเจนว่าญี่ปุ่นจะจัดการกับสถานการณ์นี้ด้วยความสงบและจะทำทุกวิถีทางที่จะให้ความร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อลดผลกระทบของภาษี คำกล่าวนี้หมายความว่าจะไม่มีการใช้มาตรการตอบโต้ใดๆ"

    แม้จะไม่ตอบโต้ แต่ก็ยังไม่ยอมขนาดเวียดนาม เวียดนามนั้นเป็นแบบที่เขาว่าจริงๆ คือ เป็นตัวอย่างไม่ดีให้กับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    เป็นการตอบสนองที่เร็วจริงๆ แต่สะท้อนว่าเวียดนามไม่ได้เจนจัดเรื่องการค้าโลกสักเท่าไร

    ป.ล. - ในทัศนะของผม แม้เราจะช้าไม่ได้กับการต่อรองกับทรัมป์ แต่ต้องตระหนักว่าเรื่องนี้จะเป็นจุดเริ่มของการจัดระเบียบโลกใหม่ เป็นการสลายและรวมกลุ่มอำนาจใหม่เพื่อตอบสนองกับภาวะ "การล่มสลายของจักรวรรดิ" ของสหรัฐฯ ดังนั้น จะช้าก็ไมได้ แต่จะรีบก็ไม่ดี

    ป.ล. 2 - กับท่าทีต่อไปของจีนต่อการทำแบบนี้ของเวียดนามนั้น แม้เวียดนามจะรับจีนเข้ามาลงทุนมากจนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ (และเป็นตัวการให้ถูกเก็ยภาษีสูงมากจากทรัมป์) ผมคิดตามทัศนะของ Pheonix ที่ว่า "หากเวียดนามทำเช่นนี้ ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ก็อาจทำตามเช่นกัน ระวังอย่าให้ประเทศเหล่านี้สร้างกำแพงภาษีศุลกากรต่อจีนและจำกัดการนำเข้าสินค้าจากจีนเพื่อแสดงความภักดีต่อทรัมป์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่จีนต้องป้องกันเมื่อโจมตีสหรัฐฯ โดยตรง" - นั่นหมายความว่า หากประเทศอย่างเวียดนามก้มหัวให้สหรัฐฯ เร็วๆ แบบนี้ ก็มีโอกาสสูงที่จะ "หักหลัง" จีนในเร็ววันเพื่อเอาตัวรอด ถึงตอนนั้น จีนยังจะลงทุนในเวียดนามหรือไม่? แต่ผมไม่คิดว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะทำตามเวียดนามทั้งหมด เพราะต้องมีสักประเทศที่สบช่องจากความใจเร็วด่วนได้ของเวียดนามแน่ๆ แล้วสามารถสร้างดุลยภาพกับสหรัฐฯ และจีนได้อย่างลงตัว”
    บทความน่าสนใจจากเฟซบุ๊ก Kornkit Disthan เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2568 “เวียดนามเป็นประเทศที่ "คุกเข่าเร็วเหลือเกิน" ให้กับทรัมป์ นี่เป็นทัศนะของสำนักข่าว Pheonix และบอกว่า "การคุกเข่าอย่างรวดเร็วของเวียดนามได้สร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีสำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาษีศุลกากรของทรัมป์เดิมทีเป็นภาษีสากล โดยอัตราภาษีสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใกล้เคียงกับจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อให้เอเชียสามารถรวมตัวเป็นพันธมิตรที่เผชิญหน้าและ "สามัคคีกัน" เพื่อแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกับยุโรป" และ "การสื่อสารของเวียดนามกับสหรัฐอเมริกาในลักษณะนี้และการตอบสนองความต้องการทั้งหมดของทรัมป์โดยไม่มีการต่อต้านใดๆ เปรียบเสมือนการเปิดโอกาสในการเจรจากับสหรัฐอเมริกาเพียงลำพังเพื่อขอการอภัยโทษและรักษาข้อได้เปรียบด้านการค้าที่ต่ำกับสหรัฐอเมริกา" ทัศนะนี้ผมเห็นด้วย นายกฯ เวียดนามก้มหัวให้ทรัมป์เร็วไป แน่ล่ะ ประเทศไหนๆ ก็ต้องการเอาตัวรอด แต่แบบนี้มัน "ยอมจำนน" เกินไปเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านประเทศอื่นๆ ที่ยังหาทางตอบโต้แบบไม่เสียศักดิ์ศรีและไม่เสียผลประโยชน์ของชาติ เอาเข้าจริง เวียดนามยอมจำนนก่อนที่ทรัมป์จะประกาศวัน Liberation day สักประมาณ 2-3 สัปดาห์ก่อนเห็นจะได้ที่เวียดนามประกาศจะลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ จากนั้นก็ส่งสัญญาณเป็นระยะๆ ผมคาดว่าเวียดนามคงจะคิดว่าทำแบบนี้แล้วทรัมป์คงจะมีเมตตา แต่เปล่าเลย เวียดนามถูกขึ้นพิกัดอัตราภาษีสูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียนรองจากกัมพูชา (ที่จริงผมคาดการณ์มาระยะหนึ่งแล้วว่าเวียดนามจะต้องโดนหนักกว่าเพื่อน แต่คาดการณ์พลาดไปนิดนึง) นั่นหมายความว่าท่าทียอมจำนนของเวียดนามใช้ไม่ได้ผล และพอทรัมป์ประกาศเล่นงานเวียดนาม เวียดนามก็สนองด้วยการลดภาษีสินค้าอเมริกันมันซะเลยให้เหลือ 0% เพื่อเอาใจทรัมป์ เพราะหวังว่าทรัมป์จะมีเมตตา ขนาดมหามิตรอย่างแคนาดากับสหภาพยุโรปทรัมป์ยังไม่มีเมตตา แล้วเวียดนามจะได้รับความเวทนาหรือ? แล้วที่เวียดนามขอให้ทรัมป์ละเว้นมาตรการนี้ไปสัก 3 - 4 เดือน เวียดนามจะมีเวลาพอแก้ไขสถานการณ์หรือ? หากทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังระวัง FDI จะไหลออกไม่รู้ตัว ยังไม่นับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างๆ ที่อาจจะเห็นว่าเวียดนามต่อรองอะไรไม่เป็น และเรื่องนี้ไม่ควรจะยอมท่าเดียวด้วยซ้ำในทัศนะของนักลงทุนรายใหญ่ๆ ของเวียดนาม เช่น จีน และสหภาพยุโรปที่กำลังมีคิวมาคุยเรื่องลงทุนกับเวียดนาม แคนาดากับประเทศในยุโรปไม่ยอมก้มหัวให้ ประกาศตอบโต้แทบจะทันที เช่นเดียวกับจีน สหภาพยุโรปนั้นเตรียมจะสวนกลับหากต่อรองกันไม่สำเร็จด้วยซ้ำ แม้พวกนี้จะเป็นประเทศใหญ่ก็จริง แต่ประเทศเล็กก็สามารถรวมกลุ่มต่อรองก็ได้ไม่ใช่หรือ? ยังไม่นับการรวมกลุ่มที่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐฯ ที่น่าจะเกิดขึ้นมาอีก ผมคิดว่าเวียดนามเจริญเติบโต้เร็วก็จริง แต่อาจจะยังขาดประสบการณ์ในโลกทุนนิยมที่ประเทศนายทุนใหญ่มักจะมีเล่ห์เหลี่ยมสูงกว่า แม้แต่ญี่ปุ่นเองในทศวรรษที่ 80 ก็เคยโตเร็วจนกระทั่่งกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ สหรัฐฯ และพวก (ซึ่งก็พวกเดียวกับญี่ปุ่นนั่นเอง) จึงบีบให้ญี่ปุ่นรับข้อเสนอ Plaza Accord ซึ่งเป็นจุดจบของการผงาดของญี่ปุ่น ทุกวันนี้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นก็ยังง่อยเพราะต้องยอมจำนนให้ "ลูกพี่" คราวนี้นายกฯ ญี่ปุ่นก็แสดงท่าทีอ่อนข้อให้เช่นกัน แต่ "แม้ว่านายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะของญี่ปุ่นจะแสดง "ความผิดหวังอย่างยิ่ง" ต่อภาษีของทรัมป์และเรียกภาษี 24% ที่สหรัฐฯ กำหนดกับญี่ปุ่นว่าเป็น "วิกฤตระดับชาติ" แต่เขาก็ยังชี้แจงอย่างชัดเจนว่าญี่ปุ่นจะจัดการกับสถานการณ์นี้ด้วยความสงบและจะทำทุกวิถีทางที่จะให้ความร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อลดผลกระทบของภาษี คำกล่าวนี้หมายความว่าจะไม่มีการใช้มาตรการตอบโต้ใดๆ" แม้จะไม่ตอบโต้ แต่ก็ยังไม่ยอมขนาดเวียดนาม เวียดนามนั้นเป็นแบบที่เขาว่าจริงๆ คือ เป็นตัวอย่างไม่ดีให้กับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นการตอบสนองที่เร็วจริงๆ แต่สะท้อนว่าเวียดนามไม่ได้เจนจัดเรื่องการค้าโลกสักเท่าไร ป.ล. - ในทัศนะของผม แม้เราจะช้าไม่ได้กับการต่อรองกับทรัมป์ แต่ต้องตระหนักว่าเรื่องนี้จะเป็นจุดเริ่มของการจัดระเบียบโลกใหม่ เป็นการสลายและรวมกลุ่มอำนาจใหม่เพื่อตอบสนองกับภาวะ "การล่มสลายของจักรวรรดิ" ของสหรัฐฯ ดังนั้น จะช้าก็ไมได้ แต่จะรีบก็ไม่ดี ป.ล. 2 - กับท่าทีต่อไปของจีนต่อการทำแบบนี้ของเวียดนามนั้น แม้เวียดนามจะรับจีนเข้ามาลงทุนมากจนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ (และเป็นตัวการให้ถูกเก็ยภาษีสูงมากจากทรัมป์) ผมคิดตามทัศนะของ Pheonix ที่ว่า "หากเวียดนามทำเช่นนี้ ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ก็อาจทำตามเช่นกัน ระวังอย่าให้ประเทศเหล่านี้สร้างกำแพงภาษีศุลกากรต่อจีนและจำกัดการนำเข้าสินค้าจากจีนเพื่อแสดงความภักดีต่อทรัมป์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่จีนต้องป้องกันเมื่อโจมตีสหรัฐฯ โดยตรง" - นั่นหมายความว่า หากประเทศอย่างเวียดนามก้มหัวให้สหรัฐฯ เร็วๆ แบบนี้ ก็มีโอกาสสูงที่จะ "หักหลัง" จีนในเร็ววันเพื่อเอาตัวรอด ถึงตอนนั้น จีนยังจะลงทุนในเวียดนามหรือไม่? แต่ผมไม่คิดว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะทำตามเวียดนามทั้งหมด เพราะต้องมีสักประเทศที่สบช่องจากความใจเร็วด่วนได้ของเวียดนามแน่ๆ แล้วสามารถสร้างดุลยภาพกับสหรัฐฯ และจีนได้อย่างลงตัว”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 768 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์แพ้ให้กับปูตินอีกครั้ง!
    สื่อตะวันตกตีข่าวว่าทรัมป์ “แพ้” ในการเจรจากับปูติน หลังจากปูตินตกลงระงับโจมตีแหล่งพลังงานยูเครนชั่วคราว แต่ปฏิเสธรับรองข้อตกลงหยุดยิงเต็มรูปแบบ 30 วัน หลังคุยกับ 'ทรัมป์' นานชั่วโมงครึ่ง แถมปูตินยังขอพ่วงเงื่อนไขให้ตะวันตกระงับความช่วยเหลือยูเครน รวมทั้งห้ามยูเครนเคลื่อนย้ายกำลัง

    สื่อของยูเครนและตะวันตกรู้สึกผิดหวังที่ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเต็มรูปแบบ 30 วันตามที่เขาผลักดันในการเจรจากับประธานาธิบดีปูติน รายงานระบุว่าผู้นำรัสเซียยืนหยัดในเงื่อนไขของตัวเอง โดยตกลงเพียงข้อตกลงหยุดยิงในระยะเวลาจำกัดในเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ต่อมอสโก แทนที่จะยุติการสู้รบทั้งหมดตามที่วอชิงตันและเคียฟเรียกร้อง

    สำนักข่าวนิวยอร์กไทม์ส(The New York Times) และดิอีโคโนมิสต์(The Economist) ระบุว่า ทรัมป์มีคาดหวังไว้สูงว่าปูตินจะยอมรับข้อเสนอหยุดยิงของเขาในการสนทนาเมื่อวานนี้ (18 มีนาคม) แต่กลับต้องผิดหวัง หลังจากเฝ้ารออย่างมีความหวังมาเป็นเวลาหลายวันต่อข้อตกลงสันติภาพที่อาจเกิดขึ้น แต่มอสโกกลับยืนหยัดในเงื่อนไขของตนเองและเป็นฝ่ายได้ตามที่ต้องการเกือบทั้งหมด

    ทางด้านเซเลนสกีแสดงความผิดหวังดังกล่าวออกมาอย่างชัดเจนโดยกล่าวประชดประชันทรัมป์ว่า วันนี้ปูตินไม่เคยยอมรับข้อตกลงหยุดยิงทั้งหมดอย่างแท้จริง และนี่กลับทำให้ยูเครนไม่สามารถโจมตีเครือข่ายโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซียได้ นอกจากนี้ยังกล่าวเรียกร้องให้ตะวันตกเพิ่มความช่วยเหลือทางทหารและคว่ำบาตรรัสเซียหนักกว่าเดิม
    ทรัมป์แพ้ให้กับปูตินอีกครั้ง! สื่อตะวันตกตีข่าวว่าทรัมป์ “แพ้” ในการเจรจากับปูติน หลังจากปูตินตกลงระงับโจมตีแหล่งพลังงานยูเครนชั่วคราว แต่ปฏิเสธรับรองข้อตกลงหยุดยิงเต็มรูปแบบ 30 วัน หลังคุยกับ 'ทรัมป์' นานชั่วโมงครึ่ง แถมปูตินยังขอพ่วงเงื่อนไขให้ตะวันตกระงับความช่วยเหลือยูเครน รวมทั้งห้ามยูเครนเคลื่อนย้ายกำลัง สื่อของยูเครนและตะวันตกรู้สึกผิดหวังที่ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเต็มรูปแบบ 30 วันตามที่เขาผลักดันในการเจรจากับประธานาธิบดีปูติน รายงานระบุว่าผู้นำรัสเซียยืนหยัดในเงื่อนไขของตัวเอง โดยตกลงเพียงข้อตกลงหยุดยิงในระยะเวลาจำกัดในเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ต่อมอสโก แทนที่จะยุติการสู้รบทั้งหมดตามที่วอชิงตันและเคียฟเรียกร้อง สำนักข่าวนิวยอร์กไทม์ส(The New York Times) และดิอีโคโนมิสต์(The Economist) ระบุว่า ทรัมป์มีคาดหวังไว้สูงว่าปูตินจะยอมรับข้อเสนอหยุดยิงของเขาในการสนทนาเมื่อวานนี้ (18 มีนาคม) แต่กลับต้องผิดหวัง หลังจากเฝ้ารออย่างมีความหวังมาเป็นเวลาหลายวันต่อข้อตกลงสันติภาพที่อาจเกิดขึ้น แต่มอสโกกลับยืนหยัดในเงื่อนไขของตนเองและเป็นฝ่ายได้ตามที่ต้องการเกือบทั้งหมด ทางด้านเซเลนสกีแสดงความผิดหวังดังกล่าวออกมาอย่างชัดเจนโดยกล่าวประชดประชันทรัมป์ว่า วันนี้ปูตินไม่เคยยอมรับข้อตกลงหยุดยิงทั้งหมดอย่างแท้จริง และนี่กลับทำให้ยูเครนไม่สามารถโจมตีเครือข่ายโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซียได้ นอกจากนี้ยังกล่าวเรียกร้องให้ตะวันตกเพิ่มความช่วยเหลือทางทหารและคว่ำบาตรรัสเซียหนักกว่าเดิม
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 515 มุมมอง 0 รีวิว
  • สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ Storyฯ คุยถึงที่มาของวลีเด็ดจากซีรีส์ <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> มีเพื่อนเพจถามถึงเรื่องละครงิ้วที่หรูอี้พูดถึงบ่อยๆ ในเรื่อง ซึ่งก็คือ ‘เฉียงโถวหม่าซ่าง’ (墙头马上) ขอใช้คำแปลตรงตัวว่า ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ ซึ่งในซีรีส์เท้าความว่า การชมงิ้วเรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่หรูอี้และเฉียนหลงได้พบกัน และต่อมามีฉากที่เฉียนหลงบอกว่าจะไม่อ่อนแอเหมือนคุณชายสกุลเผย และหรูอี้บอกว่าไม่อยากต้องเจอสภาพแบบคุณหนูหลี่ที่ถูกบังคับให้ต้องทิ้งลูกไป ทำเอาผู้ชมงงไปตามๆ กันว่าเขาคุยอะไรกัน

    วันนี้เรามาคุยกันเรื่อง ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้

    ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ เป็นละครงิ้วสมัยราชวงศ์หยวนมีชื่อเต็มว่า ‘เผยส้าวจวิ้น เฉียงโถวหม่าซ่าง’ (裴少俊墙头马上) ต่อมาตัดชื่อสั้นลงเหลือเพียง ‘เฉียงโถวหม่าซ่าง’ เป็นผลงานของ ‘ไป๋ผ้อ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ยอดผู้แต่งบทละครงิ้วในสมัยนั้นและผลงานของเขายังได้รับการสืบทอดและจัดแสดงในปัจจุบันอีกหลายเรื่อง และ ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสี่ยอดละครงิ้วแนวรักโรแมนติกสมัยหยวน

    ละครงิ้วนี้ดัดแปลงมาจากบทกวีสมัยถังของไป๋จวีอี (ค.ศ. 772-846) (หมายเหตุ คือเขาคือนักการเมืองผู้เคยสร้างผลงานบทกวีชื่นชมความงามของดอกซากุระหรืออิงฮวาที่ Storyฯ เคยเขียนถึง https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/686842736777355 )
    บทกวีที่ว่านี้มีชื่อว่า ‘งมขวดเงินจากก้นบ่อ’ (井底引银瓶) เป็นหนึ่งในผลงานที่เลื่องชื่อที่สุดของเขา ยาวถึง 34 วรรค สรุปเนื้อหาเป็นเรื่องราวความรักรันทด โดยมีอารัมภบทว่า ใช้ด้ายผูกขวดเงินดึงขึ้นเกือบจะพ้นบ่อ แต่ด้ายก็ขาดเสียก่อน เอาหยกมาเจียรด้วยหิน กำลังจะได้ปิ่นปักผมก็มาหักเสียก่อน เป็นการหวนรำลึกถึงความรักในอดีตที่ขาดสะบั้นลง อดีตที่ว่านี้ก็คือเรื่องคุณหนูนางหนึ่งที่ถูกเลี้ยงมาอย่างริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม วันๆ ถูกขังอยู่แต่ในสวนหลังบ้าน จึงชอบปีนขึ้นไปเกาะสันกำแพงมองดูโลกภายนอก อยู่มาวันหนึ่งยืนมองอยู่อย่างนี้ก็สบตาเข้ากับคุณชายท่านหนึ่งที่ขี่ม้าขาวผ่านมา เกิดเป็นรักแรกพบ ต่อมาก็หนีตามคุณชายผู้นั้นกลับไปยังบ้านของเขาที่อีกเมืองหนึ่ง แต่ด้วยเป็นการหนีตาม ไม่ได้มีตบแต่งตามพิธีการ นางจึงไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวฝ่ายชาย ถูกมองว่าเป็นเพียงอนุ ไม่ใช่ภรรยาเอก สุดท้ายถูกบีบให้ทิ้งลูกและไล่ออกไป คุณชายนั้นก็ไม่ได้ปกป้อง นางจึงต้องออกมาผจญชีวิตตามลำพังเพราะละอายเกินกว่าจะแบกหน้ากลับบ้านเกิด บทกวีจบลงด้วยการรำพันของนางว่า ความรักเพียงชั่วขณะของบุรุษ กลับเป็นความพลาดทั้งชีวิตของสตรี และเตือนเหล่าหญิงสาวไร้เดียงสาที่กำลังมีความรักให้จงสังวรไว้ว่า อย่าได้เอาชีวิตทั้งชีวิตของตนมาทุ่มเทให้กับชายใดได้โดยง่าย

    วรรคที่กล่าวถึงตอนสบตากันข้ามกำแพงและตกหลุมรักนั้น ก็คือวรรคที่หรูอี้มักเอ่ยติดปากยามที่นางและเฉียนหลงพูดถึงละครงิ้ว ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้ ซึ่ง Storyฯ ขอแปลและเรียบเรียงวรรคนี้ว่า ‘เหนือกำแพงประสานตาหลังอาชา หนึ่งพานพบคนึงหาเจียนวางวาย’ (墙头马上遥相顾,一见知君即断肠 หมายเหตุ ภาษาจีนใช้คำประมาณว่า ‘รักและคิดถึงจนทำให้ไส้ขาดจนตายได้!’) เป็นคำพูดที่หรูอี้พยายามสื่อให้เฉียนหลงเข้าใจว่านางรักเขามากมาย

    นับว่าเป็นบทกวีที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าและความผิดหวัง แต่ทำไมหรูอี้และเฉียนหลงจึงคุยกันราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่มีความหมายดี?

    นั่นเป็นเพราะว่าละครงิ้วและบทกวีมีความแตกต่าง ละครงิ้วที่นิยมในสมัยหยวนนั้น เป็นสไตล์แบบ ‘จ๋าจวี้’ (Mixed Play ที่ Storyฯ เคยพูดถึงตอนคุยเรื่อง <สามบุปผาลิขิตฝัน>) กล่าวคือมีหลากหลายอรรถรส ละครเรื่องนี้จึงถูกแต่งเติมให้มีทั้งความเศร้า ความตลกและจบแบบสุขนิยม มีการต่อเติมเรื่องราวว่า สตรีนางนี้คือคุณหนูหลี่เชียนจิน แต่นางโหยหาความรักและต่อต้านการถูกกักขัง นางหนีตามเผยส้าวจวิ้นมาถึงเรือนสกุลเผย แต่ต้องแอบอยู่ในเรือนสวนของสามีไม่ให้พ่อของสามีรู้ อยู่มาเจ็ดปีมีบุตรชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ความลับก็ถูกเปิดเผย นางถูกกล่าวหาว่าเป็นนางโลมและถูกบีบให้ต้องทิ้งลูกกลับบ้านเกิดไปโดยที่เผยส้าวจวิ้นทำอะไรไม่ได้ ต่อมาเผยส้าวจวิ้นสอบได้เป็นราชบัณฑิตเป็นขุนนางติดยศ ทางบ้านไม่กล้าขัดเขาอีก เขาก็มาง้อนาง ง้ออยู่นานจนสุดท้ายนางใจอ่อนยอมคืนดีด้วย และได้ครองรักกันอย่างมีความสุขในที่สุด เป็นเรื่องราวความรักหลากหลายอรรถรสที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่จะฝ่าฟันอุปสรรคให้หลุดพ้นจากกรอบสังคม จึงเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมตลอดหลายยุคหลายสมัย

    ‘เหนือกำแพงประสานตาหลังอาชา หนึ่งพานพบคนึงหาเจียนวางวาย’ ... ไม่แน่ว่าหรูอี้อาจต้องการเพียงใช้ประโยคนี้แสดงถึงความรักอย่างยิ่งยวดที่มีต่อเฉียนหลง แต่บทสรุปเรื่องราวชีวิตของนางผ่านซีรีส์เรื่องนี้กลับกลายเป็นอย่างที่บทกวีว่าไว้... ความรักเพียงชั่วขณะของบุรุษ กลับเป็นความพลาดทั้งชีวิตของสตรี

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://kknews.cc/history/xeg9gx8.html
    https://www.sgss8.net/tpdq/21724747/
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://so.gushiwen.cn/shiwenv_5487665ffe0a.aspx
    https://baike.baidu.com/item/井底引银瓶/10214172
    https://www.sohu.com/a/260464211_801417
    https://baike.baidu.com/item/裴少俊墙头马上/754408

    #หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์ #จ๋าจวี้ #งิ้วสมัยหยวน #เฉียงโถวหม่าซ่าง #สันกำแพงหลังอาชา
    สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ Storyฯ คุยถึงที่มาของวลีเด็ดจากซีรีส์ <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> มีเพื่อนเพจถามถึงเรื่องละครงิ้วที่หรูอี้พูดถึงบ่อยๆ ในเรื่อง ซึ่งก็คือ ‘เฉียงโถวหม่าซ่าง’ (墙头马上) ขอใช้คำแปลตรงตัวว่า ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ ซึ่งในซีรีส์เท้าความว่า การชมงิ้วเรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่หรูอี้และเฉียนหลงได้พบกัน และต่อมามีฉากที่เฉียนหลงบอกว่าจะไม่อ่อนแอเหมือนคุณชายสกุลเผย และหรูอี้บอกว่าไม่อยากต้องเจอสภาพแบบคุณหนูหลี่ที่ถูกบังคับให้ต้องทิ้งลูกไป ทำเอาผู้ชมงงไปตามๆ กันว่าเขาคุยอะไรกัน วันนี้เรามาคุยกันเรื่อง ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้ ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ เป็นละครงิ้วสมัยราชวงศ์หยวนมีชื่อเต็มว่า ‘เผยส้าวจวิ้น เฉียงโถวหม่าซ่าง’ (裴少俊墙头马上) ต่อมาตัดชื่อสั้นลงเหลือเพียง ‘เฉียงโถวหม่าซ่าง’ เป็นผลงานของ ‘ไป๋ผ้อ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ยอดผู้แต่งบทละครงิ้วในสมัยนั้นและผลงานของเขายังได้รับการสืบทอดและจัดแสดงในปัจจุบันอีกหลายเรื่อง และ ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสี่ยอดละครงิ้วแนวรักโรแมนติกสมัยหยวน ละครงิ้วนี้ดัดแปลงมาจากบทกวีสมัยถังของไป๋จวีอี (ค.ศ. 772-846) (หมายเหตุ คือเขาคือนักการเมืองผู้เคยสร้างผลงานบทกวีชื่นชมความงามของดอกซากุระหรืออิงฮวาที่ Storyฯ เคยเขียนถึง https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/686842736777355 ) บทกวีที่ว่านี้มีชื่อว่า ‘งมขวดเงินจากก้นบ่อ’ (井底引银瓶) เป็นหนึ่งในผลงานที่เลื่องชื่อที่สุดของเขา ยาวถึง 34 วรรค สรุปเนื้อหาเป็นเรื่องราวความรักรันทด โดยมีอารัมภบทว่า ใช้ด้ายผูกขวดเงินดึงขึ้นเกือบจะพ้นบ่อ แต่ด้ายก็ขาดเสียก่อน เอาหยกมาเจียรด้วยหิน กำลังจะได้ปิ่นปักผมก็มาหักเสียก่อน เป็นการหวนรำลึกถึงความรักในอดีตที่ขาดสะบั้นลง อดีตที่ว่านี้ก็คือเรื่องคุณหนูนางหนึ่งที่ถูกเลี้ยงมาอย่างริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม วันๆ ถูกขังอยู่แต่ในสวนหลังบ้าน จึงชอบปีนขึ้นไปเกาะสันกำแพงมองดูโลกภายนอก อยู่มาวันหนึ่งยืนมองอยู่อย่างนี้ก็สบตาเข้ากับคุณชายท่านหนึ่งที่ขี่ม้าขาวผ่านมา เกิดเป็นรักแรกพบ ต่อมาก็หนีตามคุณชายผู้นั้นกลับไปยังบ้านของเขาที่อีกเมืองหนึ่ง แต่ด้วยเป็นการหนีตาม ไม่ได้มีตบแต่งตามพิธีการ นางจึงไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวฝ่ายชาย ถูกมองว่าเป็นเพียงอนุ ไม่ใช่ภรรยาเอก สุดท้ายถูกบีบให้ทิ้งลูกและไล่ออกไป คุณชายนั้นก็ไม่ได้ปกป้อง นางจึงต้องออกมาผจญชีวิตตามลำพังเพราะละอายเกินกว่าจะแบกหน้ากลับบ้านเกิด บทกวีจบลงด้วยการรำพันของนางว่า ความรักเพียงชั่วขณะของบุรุษ กลับเป็นความพลาดทั้งชีวิตของสตรี และเตือนเหล่าหญิงสาวไร้เดียงสาที่กำลังมีความรักให้จงสังวรไว้ว่า อย่าได้เอาชีวิตทั้งชีวิตของตนมาทุ่มเทให้กับชายใดได้โดยง่าย วรรคที่กล่าวถึงตอนสบตากันข้ามกำแพงและตกหลุมรักนั้น ก็คือวรรคที่หรูอี้มักเอ่ยติดปากยามที่นางและเฉียนหลงพูดถึงละครงิ้ว ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้ ซึ่ง Storyฯ ขอแปลและเรียบเรียงวรรคนี้ว่า ‘เหนือกำแพงประสานตาหลังอาชา หนึ่งพานพบคนึงหาเจียนวางวาย’ (墙头马上遥相顾,一见知君即断肠 หมายเหตุ ภาษาจีนใช้คำประมาณว่า ‘รักและคิดถึงจนทำให้ไส้ขาดจนตายได้!’) เป็นคำพูดที่หรูอี้พยายามสื่อให้เฉียนหลงเข้าใจว่านางรักเขามากมาย นับว่าเป็นบทกวีที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าและความผิดหวัง แต่ทำไมหรูอี้และเฉียนหลงจึงคุยกันราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่มีความหมายดี? นั่นเป็นเพราะว่าละครงิ้วและบทกวีมีความแตกต่าง ละครงิ้วที่นิยมในสมัยหยวนนั้น เป็นสไตล์แบบ ‘จ๋าจวี้’ (Mixed Play ที่ Storyฯ เคยพูดถึงตอนคุยเรื่อง <สามบุปผาลิขิตฝัน>) กล่าวคือมีหลากหลายอรรถรส ละครเรื่องนี้จึงถูกแต่งเติมให้มีทั้งความเศร้า ความตลกและจบแบบสุขนิยม มีการต่อเติมเรื่องราวว่า สตรีนางนี้คือคุณหนูหลี่เชียนจิน แต่นางโหยหาความรักและต่อต้านการถูกกักขัง นางหนีตามเผยส้าวจวิ้นมาถึงเรือนสกุลเผย แต่ต้องแอบอยู่ในเรือนสวนของสามีไม่ให้พ่อของสามีรู้ อยู่มาเจ็ดปีมีบุตรชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ความลับก็ถูกเปิดเผย นางถูกกล่าวหาว่าเป็นนางโลมและถูกบีบให้ต้องทิ้งลูกกลับบ้านเกิดไปโดยที่เผยส้าวจวิ้นทำอะไรไม่ได้ ต่อมาเผยส้าวจวิ้นสอบได้เป็นราชบัณฑิตเป็นขุนนางติดยศ ทางบ้านไม่กล้าขัดเขาอีก เขาก็มาง้อนาง ง้ออยู่นานจนสุดท้ายนางใจอ่อนยอมคืนดีด้วย และได้ครองรักกันอย่างมีความสุขในที่สุด เป็นเรื่องราวความรักหลากหลายอรรถรสที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่จะฝ่าฟันอุปสรรคให้หลุดพ้นจากกรอบสังคม จึงเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมตลอดหลายยุคหลายสมัย ‘เหนือกำแพงประสานตาหลังอาชา หนึ่งพานพบคนึงหาเจียนวางวาย’ ... ไม่แน่ว่าหรูอี้อาจต้องการเพียงใช้ประโยคนี้แสดงถึงความรักอย่างยิ่งยวดที่มีต่อเฉียนหลง แต่บทสรุปเรื่องราวชีวิตของนางผ่านซีรีส์เรื่องนี้กลับกลายเป็นอย่างที่บทกวีว่าไว้... ความรักเพียงชั่วขณะของบุรุษ กลับเป็นความพลาดทั้งชีวิตของสตรี (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://kknews.cc/history/xeg9gx8.html https://www.sgss8.net/tpdq/21724747/ Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://so.gushiwen.cn/shiwenv_5487665ffe0a.aspx https://baike.baidu.com/item/井底引银瓶/10214172 https://www.sohu.com/a/260464211_801417 https://baike.baidu.com/item/裴少俊墙头马上/754408 #หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์ #จ๋าจวี้ #งิ้วสมัยหยวน #เฉียงโถวหม่าซ่าง #สันกำแพงหลังอาชา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1437 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts