• Google TPU อาจแรงสุดขีด แต่ติดคอขวดการขยายใช้งาน

    Google กำลังผลักดันชิป TPU (Tensor Processing Unit) รุ่นใหม่ที่มีสมรรถนะสูงมาก แต่รายงานล่าสุดชี้ว่ามี “คอขวด” สำคัญที่อาจทำให้การขยายใช้งานภายนอกหยุดชะงักได้ โดยปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวชิปโดยตรง แต่เกิดจากข้อจำกัดในระบบซัพพลายเชนและโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการใช้งานภายนอก.

    TPU ของ Google ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่น การฝึกโมเดลภาษาขนาดมหึมา และการประมวลผลข้อมูลเชิงลึกที่ต้องใช้พลังมหาศาล จุดเด่นคือการทำงานแบบ parallel computing ที่สามารถเร่งความเร็วได้เหนือกว่าชิป GPU ในบางงาน อย่างไรก็ตาม การนำไปใช้ในวงกว้างนอกศูนย์ข้อมูลของ Google กลับเจออุปสรรค เพราะระบบเชื่อมต่อและการจัดการทรัพยากรยังไม่พร้อมรองรับการขยายตัว.

    นักวิเคราะห์ชี้ว่า แม้ TPU จะมีประสิทธิภาพสูง แต่การใช้งานจริงในองค์กรภายนอกยังติดปัญหาเรื่อง การกระจายทรัพยากร, การจัดการเครือข่าย, และการรองรับซอฟต์แวร์ ซึ่งต่างจาก GPU ที่มี ecosystem แข็งแรงและแพร่หลายอยู่แล้ว ทำให้ TPU อาจถูกจำกัดอยู่ในระบบปิดของ Google เป็นหลัก.

    สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า การแข่งขันด้าน AI hardware ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแรงของชิปเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นกับ ความสามารถในการขยายใช้งาน, ความเข้ากันได้กับระบบอื่น, และความพร้อมของซัพพลายเชน หาก Google ไม่สามารถแก้คอขวดนี้ได้ TPU อาจกลายเป็นเทคโนโลยีที่ทรงพลังแต่ถูกจำกัดการใช้งานในวงแคบ.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สมรรถนะของ Google TPU
    ออกแบบมาเพื่อเร่งงาน AI ขนาดใหญ่
    ทำงานแบบ parallel computing เร็วกว่า GPU ในบางงาน

    ข้อได้เปรียบเชิงเทคนิค
    เหมาะกับการฝึกโมเดลภาษาขนาดใหญ่
    ประสิทธิภาพสูงในงาน deep learning

    คอขวดที่พบ
    การขยายใช้งานภายนอกติดปัญหาซัพพลายเชนและโครงสร้างพื้นฐาน
    Ecosystem ของ TPU ยังไม่แข็งแรงเท่า GPU

    ผลกระทบเชิงกลยุทธ์
    อาจทำให้ TPU ถูกจำกัดอยู่ในระบบปิดของ Google
    การแข่งขันด้าน AI hardware ต้องพึ่งทั้งชิปและ ecosystem ที่รองรับ

    https://wccftech.com/google-tpu-may-deliver-impressive-performance-but-one-overlooked-bottleneck-could-bring-external-scaling-to-a-halt/
    ⚙️ Google TPU อาจแรงสุดขีด แต่ติดคอขวดการขยายใช้งาน Google กำลังผลักดันชิป TPU (Tensor Processing Unit) รุ่นใหม่ที่มีสมรรถนะสูงมาก แต่รายงานล่าสุดชี้ว่ามี “คอขวด” สำคัญที่อาจทำให้การขยายใช้งานภายนอกหยุดชะงักได้ โดยปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวชิปโดยตรง แต่เกิดจากข้อจำกัดในระบบซัพพลายเชนและโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการใช้งานภายนอก. TPU ของ Google ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่น การฝึกโมเดลภาษาขนาดมหึมา และการประมวลผลข้อมูลเชิงลึกที่ต้องใช้พลังมหาศาล จุดเด่นคือการทำงานแบบ parallel computing ที่สามารถเร่งความเร็วได้เหนือกว่าชิป GPU ในบางงาน อย่างไรก็ตาม การนำไปใช้ในวงกว้างนอกศูนย์ข้อมูลของ Google กลับเจออุปสรรค เพราะระบบเชื่อมต่อและการจัดการทรัพยากรยังไม่พร้อมรองรับการขยายตัว. นักวิเคราะห์ชี้ว่า แม้ TPU จะมีประสิทธิภาพสูง แต่การใช้งานจริงในองค์กรภายนอกยังติดปัญหาเรื่อง การกระจายทรัพยากร, การจัดการเครือข่าย, และการรองรับซอฟต์แวร์ ซึ่งต่างจาก GPU ที่มี ecosystem แข็งแรงและแพร่หลายอยู่แล้ว ทำให้ TPU อาจถูกจำกัดอยู่ในระบบปิดของ Google เป็นหลัก. สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า การแข่งขันด้าน AI hardware ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแรงของชิปเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นกับ ความสามารถในการขยายใช้งาน, ความเข้ากันได้กับระบบอื่น, และความพร้อมของซัพพลายเชน หาก Google ไม่สามารถแก้คอขวดนี้ได้ TPU อาจกลายเป็นเทคโนโลยีที่ทรงพลังแต่ถูกจำกัดการใช้งานในวงแคบ. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สมรรถนะของ Google TPU ➡️ ออกแบบมาเพื่อเร่งงาน AI ขนาดใหญ่ ➡️ ทำงานแบบ parallel computing เร็วกว่า GPU ในบางงาน ✅ ข้อได้เปรียบเชิงเทคนิค ➡️ เหมาะกับการฝึกโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ➡️ ประสิทธิภาพสูงในงาน deep learning ‼️ คอขวดที่พบ ⛔ การขยายใช้งานภายนอกติดปัญหาซัพพลายเชนและโครงสร้างพื้นฐาน ⛔ Ecosystem ของ TPU ยังไม่แข็งแรงเท่า GPU ‼️ ผลกระทบเชิงกลยุทธ์ ⛔ อาจทำให้ TPU ถูกจำกัดอยู่ในระบบปิดของ Google ⛔ การแข่งขันด้าน AI hardware ต้องพึ่งทั้งชิปและ ecosystem ที่รองรับ https://wccftech.com/google-tpu-may-deliver-impressive-performance-but-one-overlooked-bottleneck-could-bring-external-scaling-to-a-halt/
    WCCFTECH.COM
    Google’s TPUs May Deliver ‘Impressive’ Performance, But One Overlooked Bottleneck Could Bring External Scaling to a Halt Before It Even Begins
    Google's AI chips face a critical bottleneck in external adoption, which is derived from the constraints within the supply chain.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • “IDEsaster” ช่องโหว่ AI IDE เสี่ยงข้อมูลรั่วและรันโค้ดอันตราย
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เปิดเผยรายงานชื่อ IDEsaster ซึ่งระบุว่ามีช่องโหว่มากกว่า 30 จุดในเครื่องมือพัฒนาโค้ดที่ผสาน AI เข้ามา เช่น Visual Studio Code, JetBrains, Zed และผู้ช่วยเชิงพาณิชย์อย่าง GitHub Copilot, Cursor, Windsurf, Claude Code เป็นต้น โดยทุกเครื่องมือที่ทดสอบพบว่ามีความเสี่ยงต่อการถูกโจมตี 100%.

    ปัญหาหลักเกิดจากการที่ AI agents สามารถอ่าน เขียน และแก้ไขไฟล์ใน IDE ได้ ทำให้ฟีเจอร์ที่เคยปลอดภัยกลายเป็นช่องทางโจมตี เช่น การฝังคำสั่งซ่อนใน README หรือไฟล์ตั้งค่า เมื่อ AI ประมวลผลข้อมูลเหล่านี้ ก็อาจถูกบังคับให้ทำงานที่เปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลหรือรันโค้ดอันตรายได้ทันที.

    ตัวอย่างที่ถูกบันทึกไว้ เช่น การสร้างไฟล์ JSON ที่อ้างอิง schema จากภายนอก ซึ่งทำให้ IDE ดึงข้อมูลออกไปโดยไม่ตั้งใจ หรือการแก้ไขค่าในไฟล์ตั้งค่า PHP ที่ทำให้ IDE รันโค้ดอันตรายทันทีเมื่อเปิดไฟล์ใหม่ นักวิจัยย้ำว่าปัญหานี้ไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะสั้น เพราะ IDE เดิมไม่ได้ถูกออกแบบภายใต้หลัก “Secure for AI”.

    รายงานสรุปว่า แนวทางแก้ไขระยะยาวคือการออกแบบ IDE ใหม่ทั้งหมดให้รองรับการทำงานร่วมกับ AI อย่างปลอดภัย ขณะที่ระยะสั้นนักพัฒนาและผู้ให้บริการต้องใช้มาตรการป้องกัน เช่น การจำกัดสิทธิ์ของ AI agents และตรวจสอบการเชื่อมต่อภายนอกอย่างเข้มงวด.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายงาน IDEsaster พบช่องโหว่กว่า 30 จุด
    ครอบคลุมทั้ง Visual Studio Code, JetBrains, Zed และ AI assistants หลายตัว
    ทุกเครื่องมือที่ทดสอบมีความเสี่ยง 100%

    รูปแบบการโจมตีที่พบ
    Prompt injection ผ่าน README, rule files, หรือไฟล์ตั้งค่า
    การสร้างไฟล์ JSON ที่ดึงข้อมูลออกไปโดยอัตโนมัติ
    การแก้ไขค่า config ที่ทำให้ IDE รันโค้ดอันตรายทันที

    แนวทางแก้ไขที่เสนอ
    ระยะสั้น: จำกัดสิทธิ์ AI agents และตรวจสอบการเชื่อมต่อ
    ระยะยาว: ออกแบบ IDE ใหม่ภายใต้หลัก “Secure for AI”

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    IDE ที่มี AI ฝังอยู่ทั้งหมดเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    นักพัฒนาควรระวังการใช้ไฟล์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
    การพึ่งพา AI โดยไม่ตรวจสอบอาจนำไปสู่การรั่วไหลข้อมูลหรือ RCE

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/researchers-uncover-critical-ai-ide-flaws-exposing-developers-to-data-theft-and-rce
    ⚠️ “IDEsaster” ช่องโหว่ AI IDE เสี่ยงข้อมูลรั่วและรันโค้ดอันตราย นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เปิดเผยรายงานชื่อ IDEsaster ซึ่งระบุว่ามีช่องโหว่มากกว่า 30 จุดในเครื่องมือพัฒนาโค้ดที่ผสาน AI เข้ามา เช่น Visual Studio Code, JetBrains, Zed และผู้ช่วยเชิงพาณิชย์อย่าง GitHub Copilot, Cursor, Windsurf, Claude Code เป็นต้น โดยทุกเครื่องมือที่ทดสอบพบว่ามีความเสี่ยงต่อการถูกโจมตี 100%. ปัญหาหลักเกิดจากการที่ AI agents สามารถอ่าน เขียน และแก้ไขไฟล์ใน IDE ได้ ทำให้ฟีเจอร์ที่เคยปลอดภัยกลายเป็นช่องทางโจมตี เช่น การฝังคำสั่งซ่อนใน README หรือไฟล์ตั้งค่า เมื่อ AI ประมวลผลข้อมูลเหล่านี้ ก็อาจถูกบังคับให้ทำงานที่เปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลหรือรันโค้ดอันตรายได้ทันที. ตัวอย่างที่ถูกบันทึกไว้ เช่น การสร้างไฟล์ JSON ที่อ้างอิง schema จากภายนอก ซึ่งทำให้ IDE ดึงข้อมูลออกไปโดยไม่ตั้งใจ หรือการแก้ไขค่าในไฟล์ตั้งค่า PHP ที่ทำให้ IDE รันโค้ดอันตรายทันทีเมื่อเปิดไฟล์ใหม่ นักวิจัยย้ำว่าปัญหานี้ไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะสั้น เพราะ IDE เดิมไม่ได้ถูกออกแบบภายใต้หลัก “Secure for AI”. รายงานสรุปว่า แนวทางแก้ไขระยะยาวคือการออกแบบ IDE ใหม่ทั้งหมดให้รองรับการทำงานร่วมกับ AI อย่างปลอดภัย ขณะที่ระยะสั้นนักพัฒนาและผู้ให้บริการต้องใช้มาตรการป้องกัน เช่น การจำกัดสิทธิ์ของ AI agents และตรวจสอบการเชื่อมต่อภายนอกอย่างเข้มงวด. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายงาน IDEsaster พบช่องโหว่กว่า 30 จุด ➡️ ครอบคลุมทั้ง Visual Studio Code, JetBrains, Zed และ AI assistants หลายตัว ➡️ ทุกเครื่องมือที่ทดสอบมีความเสี่ยง 100% ✅ รูปแบบการโจมตีที่พบ ➡️ Prompt injection ผ่าน README, rule files, หรือไฟล์ตั้งค่า ➡️ การสร้างไฟล์ JSON ที่ดึงข้อมูลออกไปโดยอัตโนมัติ ➡️ การแก้ไขค่า config ที่ทำให้ IDE รันโค้ดอันตรายทันที ✅ แนวทางแก้ไขที่เสนอ ➡️ ระยะสั้น: จำกัดสิทธิ์ AI agents และตรวจสอบการเชื่อมต่อ ➡️ ระยะยาว: ออกแบบ IDE ใหม่ภายใต้หลัก “Secure for AI” ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ IDE ที่มี AI ฝังอยู่ทั้งหมดเสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ นักพัฒนาควรระวังการใช้ไฟล์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ⛔ การพึ่งพา AI โดยไม่ตรวจสอบอาจนำไปสู่การรั่วไหลข้อมูลหรือ RCE https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/researchers-uncover-critical-ai-ide-flaws-exposing-developers-to-data-theft-and-rce
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Critical flaws found in AI development tools dubbed an 'IDEsaster' — data theft and remote code execution possible
    New research identifies more than thirty vulnerabilities across AI coding tools, revealing a universal attack chain that affects every major AI-integrated IDE tested.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐโชว์ภาพ 3D ฐานทัพเรือจีน คมชัดระดับ 50 ซม.

    บริษัทดาวเทียมสัญชาติสหรัฐชื่อ Vantor ได้เผยแพร่ภาพถ่ายความละเอียดสูงของฐานทัพเรือ Yulin Naval Base บนเกาะไห่หนาน ประเทศจีน โดยใช้ดาวเทียมเพียงหนึ่งครั้งในการบินผ่าน และสามารถประมวลผลเป็นภาพ 3D ได้ภายในเวลาไม่ถึง 10 ชั่วโมง ความละเอียดของภาพอยู่ที่ 50 เซนติเมตรต่อพิกเซล และมีความแม่นยำเชิงพื้นที่ต่ำกว่า 4 เมตร ซึ่งคมชัดพอที่จะเห็นยานพาหนะบนพื้นดินได้อย่างชัดเจน

    สิ่งที่โดดเด่นคือการใช้ซอฟต์แวร์ Forge ของ Vantor ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสำรวจภาพในรูปแบบ 3D ได้เต็มรูปแบบ เทคโนโลยีนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “ฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ที่เชื่อถือได้” สำหรับระบบสั่งการและแพลตฟอร์มอัตโนมัติ ทั้งในด้านการวางแผน การวิเคราะห์ และการฝึกซ้อมทางทหาร รวมถึงการใช้งานพลเรือน เช่น การวางผังเมืองและการตอบสนองต่อภัยพิบัติ

    การประมวลผลภาพดาวเทียมในอดีตอาจใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ แต่ด้วยการผสมผสาน AI และข้อมูลเชิงพื้นที่ที่แม่นยำ ทำให้ Vantor สามารถสร้าง “Digital Twin” ของพื้นที่จริงได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งถือเป็นการพลิกโฉมการใช้ข้อมูลดาวเทียมในยุคใหม่

    อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าด้านนี้ก็สร้างความกังวลในระดับนโยบาย โดยเฉพาะการใช้ ชิป AI จาก Nvidia และ AMD ที่มีศักยภาพในการใช้งานทั้งพลเรือนและทหาร ทำให้รัฐบาลสหรัฐบางส่วนระมัดระวังในการอนุญาตให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ เนื่องจากอาจถูกนำไปใช้ในด้านการทหารโดยตรง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ความสำเร็จของ Vantor
    สร้างภาพ 3D ความละเอียด 50 ซม. จากการบินผ่านเพียงครั้งเดียว
    ประมวลผลเสร็จภายใน 10 ชั่วโมง

    ซอฟต์แวร์ Forge
    ช่วยให้สำรวจภาพในรูปแบบ 3D ได้เต็มรูปแบบ
    ใช้เป็นฐานข้อมูลเชิงพื้นที่สำหรับการวางแผนและการฝึกซ้อม

    การประยุกต์ใช้งาน
    พลเรือน: การวางผังเมืองและการตอบสนองภัยพิบัติ
    ทหาร: การวิเคราะห์และการฝึกซ้อมเชิงยุทธศาสตร์

    ข้อกังวลด้านความมั่นคง
    เทคโนโลยี AI และชิปประมวลผลอาจถูกใช้ทั้งพลเรือนและทหาร
    รัฐบาลสหรัฐบางส่วนกังวลการเข้าถึงเทคโนโลยีโดยจีน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinese-navy-base-3d-imaged-to-50cm-resolution-in-single-satellite-pass-us-spatial-intelligence-firm-boasts-accurate-high-res-3d-terrain-map-took-just-10-hours-to-create
    🛰️ สหรัฐโชว์ภาพ 3D ฐานทัพเรือจีน คมชัดระดับ 50 ซม. บริษัทดาวเทียมสัญชาติสหรัฐชื่อ Vantor ได้เผยแพร่ภาพถ่ายความละเอียดสูงของฐานทัพเรือ Yulin Naval Base บนเกาะไห่หนาน ประเทศจีน โดยใช้ดาวเทียมเพียงหนึ่งครั้งในการบินผ่าน และสามารถประมวลผลเป็นภาพ 3D ได้ภายในเวลาไม่ถึง 10 ชั่วโมง ความละเอียดของภาพอยู่ที่ 50 เซนติเมตรต่อพิกเซล และมีความแม่นยำเชิงพื้นที่ต่ำกว่า 4 เมตร ซึ่งคมชัดพอที่จะเห็นยานพาหนะบนพื้นดินได้อย่างชัดเจน สิ่งที่โดดเด่นคือการใช้ซอฟต์แวร์ Forge ของ Vantor ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสำรวจภาพในรูปแบบ 3D ได้เต็มรูปแบบ เทคโนโลยีนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “ฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ที่เชื่อถือได้” สำหรับระบบสั่งการและแพลตฟอร์มอัตโนมัติ ทั้งในด้านการวางแผน การวิเคราะห์ และการฝึกซ้อมทางทหาร รวมถึงการใช้งานพลเรือน เช่น การวางผังเมืองและการตอบสนองต่อภัยพิบัติ การประมวลผลภาพดาวเทียมในอดีตอาจใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ แต่ด้วยการผสมผสาน AI และข้อมูลเชิงพื้นที่ที่แม่นยำ ทำให้ Vantor สามารถสร้าง “Digital Twin” ของพื้นที่จริงได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งถือเป็นการพลิกโฉมการใช้ข้อมูลดาวเทียมในยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าด้านนี้ก็สร้างความกังวลในระดับนโยบาย โดยเฉพาะการใช้ ชิป AI จาก Nvidia และ AMD ที่มีศักยภาพในการใช้งานทั้งพลเรือนและทหาร ทำให้รัฐบาลสหรัฐบางส่วนระมัดระวังในการอนุญาตให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ เนื่องจากอาจถูกนำไปใช้ในด้านการทหารโดยตรง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ความสำเร็จของ Vantor ➡️ สร้างภาพ 3D ความละเอียด 50 ซม. จากการบินผ่านเพียงครั้งเดียว ➡️ ประมวลผลเสร็จภายใน 10 ชั่วโมง ✅ ซอฟต์แวร์ Forge ➡️ ช่วยให้สำรวจภาพในรูปแบบ 3D ได้เต็มรูปแบบ ➡️ ใช้เป็นฐานข้อมูลเชิงพื้นที่สำหรับการวางแผนและการฝึกซ้อม ✅ การประยุกต์ใช้งาน ➡️ พลเรือน: การวางผังเมืองและการตอบสนองภัยพิบัติ ➡️ ทหาร: การวิเคราะห์และการฝึกซ้อมเชิงยุทธศาสตร์ ‼️ ข้อกังวลด้านความมั่นคง ⛔ เทคโนโลยี AI และชิปประมวลผลอาจถูกใช้ทั้งพลเรือนและทหาร ⛔ รัฐบาลสหรัฐบางส่วนกังวลการเข้าถึงเทคโนโลยีโดยจีน https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinese-navy-base-3d-imaged-to-50cm-resolution-in-single-satellite-pass-us-spatial-intelligence-firm-boasts-accurate-high-res-3d-terrain-map-took-just-10-hours-to-create
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนชั่ว ตอนที่ 10

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว”
    ตอน 10
    ระหว่างที่อเมริกา ใช้ AFRICOM ค่อยๆ สร้างกับดัก และบ่วงรัดคอ อยู่แถวอาฟริกา ไล่มาถึงตะวันออกกลาง ตามยุทธศาสตร์ คุมแหล่งน้ำมัน รวมทั้งเส้นทางเดินของน้ำมัน ไม่ไห้หลุดไปถึงจีนนั้น หน่วยงานอื่นของอเมริกา ก็ทำงานอื่น อยู่ในแถบอื่น แต่เกี่ยวพันกันอย่างนึกไม่ถึง ควบคู่ไปด้วย
    ช่วงปี ค.ศ.2002 ถึง 2008 อเมริกาแจกโปรแกรม ปฏิวัติหลากสี Color Revolutions ไปทั่ว เพื่อให้มีการเปลี่ยนตัวผู้ปกครอง ประเทศ ที่ปกครองในบางประเทศมานาน แต่ถึงเวลาแล้ว ที่อเมริกาต้องการเปลี่ยน เอาคน หรือกลุ่มที่อเมริกาเลือก มาปกครองประเทศเหล่านั้น เพื่ออเมริกาจะได้เข้าไปครอบครองทรัพยากร และการปกครองประเทศเหล่านั้น
    ไหนว่าต้องการให้ ประเทศทั้งหลายในโลก ปกครองตัวเอง ด้วยระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนเลือกผู้แทนของตนมาปกครอง ไงครับ
    ….อ้อ เราเข้าใจผิดหรือครับ …. ต้องใช้ว่า …. ระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนเลือกผู้แทน “ตามที่อเมริกาต้องการ” มาปกครอง …. ครับ ครับ เข้าใจแล้วครับ ท่านผู้อ่านโปรดเข้าใจ ระบอบประชาธิปไตย ตามความหมายของอเมริกา เสียใหม่นะครับ
    ในช่วงนั้น องค์กรที่เรียกว่า เอ็นจีโอ non government organization ถูกอเมริกาจัดตั้ง โผล่ขึ้นมาเต็ม เหมือนเห็ดหน้าฝน ภายใต้สาระพัดชื่อ โดยอ้างว่าไม่ได้เป็นองค์กรของรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล แต่รัฐบาลอเมริกัน ให้หน่วยงานอื่นสนับสนุนเงินทุนแก่เอ็นจีโอเหล่านี้ และให้อยู่ในความดูแลของฝ่ายความมั่นคง เพนตากอน และหน่วยงานข่าวกรองของอเมริกา ซีไอเอ อีกด้วย ถุด…
    เอ็นจีโอเหล่านี้ น่าจะถูกฝึก และถูกเลี้ยงเหมือนนกแก้ว เพราะร้องเป็นอยู่ ไม่กี่ประโยค…… ละเมิดสิทธิมนุษยชน…. ไม่เอาเผด็จการ …. เป็นประชาธิปไตย… นกแก้วมีหลายพันธ์ุ เช่น พันธ์ุยุโรปตะวันออก พันธ์ุอาหรับ และพันธ์ุเอเซีย นกแก้วเอเซีย กำลังถูกลำเลียง ไปปล่อยแถว พม่า ธิเบต และตรงเขตแดนสำคัญของจีน คือ ซินเกียง
    นกแก้วฝูงแรก ถูกเอาไปปล่อยที่พม่า หรือเมียนมาร์ แต่อังกฤษ เจ้านายเก่า รวมทั้งอเมริกา (ที่กำลังเบียดเข้ามาเพื่อหวังจะเป็น) เจ้านายใหม่ ยังเรียก พม่า ตามความคุ้นปากเหมือนเดิม รวมทั้งผม ก็ขอเรียก พม่า เพราะพิมพ์ง่ายกว่า
    ปี ค.ศ.2007 เกิดการปฏิวัติหลากสี ขึ้นที่พม่า อเมริกาเรียกปฏิวัตินี้ว่า ปฏิวัติสีผ้าเหลือง Saffron Revolution ซึ่งเป็นโรคติดต่อมาจาก ปฏิวัติสีกุหลาบ Rose Revolution ในจอร์เจีย ปี 2003 และ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution ในยูเครน ปี 2004-2005 ที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันออก บริเวณที่ติดกับรัสเซีย มันเป็นการปฏิวัติ ที่อเมริกาเป็นผู้อำนวยการสร้าง เขียนบท คัดเลือกตัวผู้เข้าฉาก และกำกับการแสดงทั้งหมด และก็คงเห็นกันแล้วว่า ความฉิบหายวุ่นวาย ทั้งในจอร์เจีย และยูเครน ยังมีอยู่จนทุกวันนี้ และมีที่ท่าว่าจะแย่ลงเรื่อยๆ
    สำหรับปฏิวัติสีผ้าเหลืองในพม่านั้น มีสื่อฝรั่ง บอกว่า คนตั้งชื่อ ตั้งใจเรียกตาม สีจีวรพระพม่า เพราะตามแผนที่อเมริกาวางไว้ พระพม่าจะเป็นพระเอก เดินนำการประท้วงรัฐบาลพม่า เป็นแผนที่เด็ดขาดมากใช้พระนำขบวน ไม่บอกก่อนจะได้ส่งพวกจานบินไป ร่วม และก็เป็นเรื่องตลกมากด้วย เพราะจีวรพระพม่า สีน้ำตาลแดง ไม่ใช่สีเหลืองอมส้ม เขาว่า กลุ่มคนคิดแผน นั่งสุมหัวกันอยู่ที่สถานกงสุลอเมริกันที่เชียงใหม่ ผมชักเชื่อ แสดงว่าไอ้คนทำแผน เห็นพระไทยในเชียงใหม่ห่มจีวรสีเหลืองอมส้ม ก็สีจีวรพระบ้านเรานั่นแหละ เลยใช้เป็นชื่อปฏิวัติเสียเลย มันมั่วซั่วสิ้นดี ปฏิวัติสีผ้าเหลือง ฮาจริง
    สาเหตุการประท้วง (ไม่ใช่ปฏิวัติ) ที่อ้าง หรือสร้าง บอกว่า มาจากการที่รัฐบาลทหารของพม่า ยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมัน ทำให้ราคาขายน้ำมันในพม่าพุ่งสูงขึ้นไปประมาณ เกือบเท่าตัว ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน กลุ่มที่ออกมาประท้วงตามข่าว มีตั้งแต่ นักเรียน แม่บ้าน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และพระพม่าจำนวนมาก
    แต่เป้าหมายจริงๆ ก็คือสร้างความปั่นป่วนในพม่า เพื่อจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลทหาร ที่ปกครองพม่ามานาน และเอาคุณนายซู เมียฝรั่งที่ฝ่ายตะวันตกสนับสนุนมาเป็นผู้นำ คุณนายเป็นเองไม่ได้ ก็เอาคนที่คุณนายสั่งได้มาเป็น เพื่อเปิดประตูให้ตะวันตกเข้ามาในพม่า เรื่องคุณนายซู นี่ นายเก่า ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาใหญ่ และเดินสายทั้งในและนอกพม่า
    ผู้นำการปฏิวัติ ใช้ตัวเชิดเป็นฝ่ายนักเคลื่อนไหว ที่ต่อต้านรัฐบาลทหาร แต่หัวหน้าตัวจริง มีหลายคน ตั้งแต่คุณนายซู เมียฝรั่ง นักเคลื่อนไหวของพม่า พระพม่า และนักหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น แปลกใจไหมครับ ก็ไปนำขบวนด้วยประท้วงแล้วก็ถูกยิงตาย กลายเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลทหารของพม่า กับรัฐบาลญี่ปุ่น และส่วนพระพม่าก็เป็นพวกที่มายืนชุมนุมอยู่หน้าบ้านคุณนาย ก่อนเคลื่อนย้ายไปตามถนนในเมืองย่างกุ้ง
    ก่อนการประท้วงเกิดขึ้น อเมริกามอบหมายให้นาย จีน ชาร์พ Gene Sharp ผู้ก่อตั้งองค์กรชื่อ สถาบันอัลเบิร์ต ไอนสไตน์ Albert Einstein ในอเมริกา ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจากหลายสถาบันในสังกัดซีไอเอ ให้เป็นผู้รับผิดชอบ ฝึกอบรมและกำกับวิธีการประท้วง (อย่างเนียน)
    นายจีน ชาร์พ นี่ เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ดังมาก ชื่อ How to Start a Revolution พร้อมทำเป็นวีดีโอ มีทั้งภาษายูเครน ภาษาอาหรับ ไม่รู้มี ป็นภาษาพม่า ภาษาไทย ด้วยหรือเปล่า เขาเรียก ทฤษฏีฝูงผึ้ง สร้างคนน ที่จะเป็นผู้นำกลุ่มก่อน ต่อมาก็สร้างขบวนการเคลื่อนไหว และจัดหาคนตาม ที่อาจจะไม่ต้องมาก ตามทฤษฏีของจีน ชาร์พ เขาอ้างว่า การ “เคลื่อนไหว” จะทำให้คนเข้ามาร่วมเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ยืนอยู่กับที่ ยกมือตะโกนซ้ำซาก แบบนั้น คนไม่เพิ่ม แล้วอาจเดินหนี เพราะมันหมดสมัยไปแล้ว
    จริงๆ องค์กรของชาร์พ ถูกส่งเข้าไปสร้างเครือข่ายในพม่าตั้งแต่ ค.ศ.1989 โดยพันเอก Robert Helvey หัวหน้าปฏิบัติการ ซีไอเอ และอดีตทูตทหารอเมริกันในย่างกุ้ง เป็นคนนำนายชาร์พเข้าไป นายชาร์พขึ้นล่อง อยู่ระหว่างพม่ากับจีน ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่เทียนอันเหมินของจีน และก็เป็นผู้กำกับ Arab Spring หลายรายการ
    สถาบันใหญ่ในสังกัดซีไอเอ ที่สนับสนุนการประท้วงใหญ่สีจีวรพระที่พม่า คือ National Endowment for Democracy (NED) ที่แสนจะโด่งดัง เจ้า NED นี่ ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนนโยบายต่างประเทศของอเมริกา เขาว่า NED ทำหน้าที่เหมือนกับที่พวกซีไอเอ ทำในช่วงสงครามเย็นเพี้ยบเลย ผู้ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ NED อีกต่อคือ Open Society ของไอ้หนังเหนียวตัวแสบ จอร์จ โซรอส ก็เล่นซ้ำกันอยู่อย่างนี้ เหมือนดูหนังในเคเบิลทีวีของเครือซี้ผีของบ้านเราเลย
    กระทรวงต่างประเทศอเมริกา ได้คัดเลือกตัวหัวหน้าที่จะไปเป็นผู้นำการทาขมิ้น จากหลายองค์กรในพม่า ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลทหาร โดยเจ้า NED ส่งเงินประมาณปีละ 2.5 ล้านเหรียญ หรือ ปีละ 75 ล้านบาท ให้กับพวกสีจีวรพระ ไปสร้างขบวนการประท้วง ศูนย์บัญชาการใหญ่ เขาว่า อยู่ที่สถานกงสุลอเมริกัน ที่เชียงใหม่ของเรานั่นแหละ ส่วนพวกสีจีวร ก็ฝึกอบรมกันอยู่แถวชายแดนบ้านเรา บางครั้ง พวกตัวสำคัญก็ถูกส่งไปอบรมที่อเมริกา แล้วก็กลับมาจัดองค์กรในพม่าต่อ น่าสนุกดีนะครับ เล่นกันอยู่แถวนี้เอง จะแสดงรายการที่พม่าก็มาซ้อมที่ไทย จะแสดงรายการที่ไทย ก็ไปซ้อมกันในเขมร เออ มันแน่จริงๆ นอกจากจะสร้างความปั่นป่วนในบ้านคนอื่นได้แล้ว ยังเสือกมีของแถม ทำให้เพื่อนบ้านมองหน้ากันไม่สนิทอีกด้วย
    นอกจาก NED จะอุดหนุนพวกสีจีวรแล้ว NED ยังจ่ายเงินให้กับสื่อ ชื่อ New Era Journal , Democratic Voice of Burma และ Irrawaddy ที่เขาว่า เป็นของคุณนายซู เมียฝรั่ง ซึ่งผมเข้าไปอ่านบ่อยเหมือนกัน เพราะบางข่าวเร็วมาก ยังกะส่งตรงจากสถานที่เกิดเหตุ หรือสถานที่ออกใบสั่งเลย
    แต่วัตถุประสงค์ของการจัดรายการประท้วงนี้ ที่ซ่อนไว้อีกชั้น น่าจะมี 2 เรื่อง พม่าก็น่าจะมีชะตาใกล้เคียงกับเยเมน เพราะพม่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญจุดหนึ่งของเส้นทางเดินน้ำมัน จากอ่าวเปอร์เซียไปสู่ทะเลจีน เส้นทางเดินเรือเลียบฝั่งพม่า เป็นเส้นทางเดินเรือที่แน่นขนัด เพื่อผ่านเข้าไปสู่ช่องแคบมะละกา จุดรัดคอ choke point อีกจุดหนึ่ง ที่แคบกว่าของเยเมน และมีความสำคัญในระดับที่ ไม่ต่างกับเยเมน ด้วย
    ช่องแคบมะละกาเชื่อมมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุด สำหรับส่งน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียไปจีน ช่องแคบมะละกาจึงเป็นจุดรัดคอ choke point ที่สำคัญยิ่งของเอเซีย ประมาณ 80% ของน้ำมันที่จีนนำเข้า ต้องขนส่งทางเรือผ่านจุดนี้ ส่วนที่แคบที่สุดของช่องแคบมะละกาคือ ช่องแคบ Phillips Channel อยู่ในส่วนของสิงคโปร์ มีความกว้างเพียง 1.5 ไมล์
    ทุกวันจะมีเรือบรรทุกน้ำมันผ่านช่องแคบนี้ ประมาณวันละ 12 ล้านแท้งค์ใหญ่ และส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปยังจีน หรือญี่ปุ่น…
    ถ้าช่องแคบมะละกาถูกปิด… ประมาณเกือบครึ่งของเรือขนส่งน้ำมันในโลก จะต้องเพิ่มเส้นทางเดินเรือยาวขึ้น หมายถึงการเพิ่มค่าขนส่งที่จะกระทบไปทั่วโลก มีเรือกว่า 5 หมื่นลำต่อปี แล่นผ่านช่องแคบมะละกา บริเว แนวเส้นทางเดินเรือ ตั้งแต่พม่าไปจนถึงบันดาร์อาเจ๊ะ จึงเป็นแนวรัดคอที่สำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง ใครควบคุมเส้นทางนี้ได้ ก็หมายความว่า ได้ควบคุมเส้นทางขนส่งน้ำมันทางน้ำของจีน และน่าจะของญี่ปุ่นด้วย
    อเมริกาพยายามที่จะนำกองกำลังของตัว เข้าไปในบริเวณนั้น ตั้งแต่ ปี ค.ศ.2001 โดยใช้ข้ออ้างว่า เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากผู้ก่อการร้าย ไม่รู้ผู้ก่อการร้ายพันธุ์อะไร จากไหน อ้างมั่วๆ จึงไม่มีใครยอม ในที่สุด ได้ข่าวว่า อเมริกาเจรจากับอินโดนีเซีย จนได้ตั้งฐานทัพอากาศ ที่บันดาร์ อาเจ๊ะ Banda Aceh ซึ่งอยู่ไปทางเหนือสุดของเกาะสุมาตรา
    คงทำให้เราพอเห็นภาพ ความวุ่นวายในพม่า ภาคใต้ของไทย รวมทั้งเรื่องราวในมาเลเซียว่า ทำไมจึงต้องเกิดขึ้นอย่างไม่จบสิ้น และทำไมการขุดคอขอดกระ ของเราจึงเป็นเรื่องยาก
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 ก.ย. 2558
    แผนชั่ว ตอนที่ 10 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว” ตอน 10 ระหว่างที่อเมริกา ใช้ AFRICOM ค่อยๆ สร้างกับดัก และบ่วงรัดคอ อยู่แถวอาฟริกา ไล่มาถึงตะวันออกกลาง ตามยุทธศาสตร์ คุมแหล่งน้ำมัน รวมทั้งเส้นทางเดินของน้ำมัน ไม่ไห้หลุดไปถึงจีนนั้น หน่วยงานอื่นของอเมริกา ก็ทำงานอื่น อยู่ในแถบอื่น แต่เกี่ยวพันกันอย่างนึกไม่ถึง ควบคู่ไปด้วย ช่วงปี ค.ศ.2002 ถึง 2008 อเมริกาแจกโปรแกรม ปฏิวัติหลากสี Color Revolutions ไปทั่ว เพื่อให้มีการเปลี่ยนตัวผู้ปกครอง ประเทศ ที่ปกครองในบางประเทศมานาน แต่ถึงเวลาแล้ว ที่อเมริกาต้องการเปลี่ยน เอาคน หรือกลุ่มที่อเมริกาเลือก มาปกครองประเทศเหล่านั้น เพื่ออเมริกาจะได้เข้าไปครอบครองทรัพยากร และการปกครองประเทศเหล่านั้น ไหนว่าต้องการให้ ประเทศทั้งหลายในโลก ปกครองตัวเอง ด้วยระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนเลือกผู้แทนของตนมาปกครอง ไงครับ ….อ้อ เราเข้าใจผิดหรือครับ …. ต้องใช้ว่า …. ระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนเลือกผู้แทน “ตามที่อเมริกาต้องการ” มาปกครอง …. ครับ ครับ เข้าใจแล้วครับ ท่านผู้อ่านโปรดเข้าใจ ระบอบประชาธิปไตย ตามความหมายของอเมริกา เสียใหม่นะครับ ในช่วงนั้น องค์กรที่เรียกว่า เอ็นจีโอ non government organization ถูกอเมริกาจัดตั้ง โผล่ขึ้นมาเต็ม เหมือนเห็ดหน้าฝน ภายใต้สาระพัดชื่อ โดยอ้างว่าไม่ได้เป็นองค์กรของรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล แต่รัฐบาลอเมริกัน ให้หน่วยงานอื่นสนับสนุนเงินทุนแก่เอ็นจีโอเหล่านี้ และให้อยู่ในความดูแลของฝ่ายความมั่นคง เพนตากอน และหน่วยงานข่าวกรองของอเมริกา ซีไอเอ อีกด้วย ถุด… เอ็นจีโอเหล่านี้ น่าจะถูกฝึก และถูกเลี้ยงเหมือนนกแก้ว เพราะร้องเป็นอยู่ ไม่กี่ประโยค…… ละเมิดสิทธิมนุษยชน…. ไม่เอาเผด็จการ …. เป็นประชาธิปไตย… นกแก้วมีหลายพันธ์ุ เช่น พันธ์ุยุโรปตะวันออก พันธ์ุอาหรับ และพันธ์ุเอเซีย นกแก้วเอเซีย กำลังถูกลำเลียง ไปปล่อยแถว พม่า ธิเบต และตรงเขตแดนสำคัญของจีน คือ ซินเกียง นกแก้วฝูงแรก ถูกเอาไปปล่อยที่พม่า หรือเมียนมาร์ แต่อังกฤษ เจ้านายเก่า รวมทั้งอเมริกา (ที่กำลังเบียดเข้ามาเพื่อหวังจะเป็น) เจ้านายใหม่ ยังเรียก พม่า ตามความคุ้นปากเหมือนเดิม รวมทั้งผม ก็ขอเรียก พม่า เพราะพิมพ์ง่ายกว่า ปี ค.ศ.2007 เกิดการปฏิวัติหลากสี ขึ้นที่พม่า อเมริกาเรียกปฏิวัตินี้ว่า ปฏิวัติสีผ้าเหลือง Saffron Revolution ซึ่งเป็นโรคติดต่อมาจาก ปฏิวัติสีกุหลาบ Rose Revolution ในจอร์เจีย ปี 2003 และ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution ในยูเครน ปี 2004-2005 ที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันออก บริเวณที่ติดกับรัสเซีย มันเป็นการปฏิวัติ ที่อเมริกาเป็นผู้อำนวยการสร้าง เขียนบท คัดเลือกตัวผู้เข้าฉาก และกำกับการแสดงทั้งหมด และก็คงเห็นกันแล้วว่า ความฉิบหายวุ่นวาย ทั้งในจอร์เจีย และยูเครน ยังมีอยู่จนทุกวันนี้ และมีที่ท่าว่าจะแย่ลงเรื่อยๆ สำหรับปฏิวัติสีผ้าเหลืองในพม่านั้น มีสื่อฝรั่ง บอกว่า คนตั้งชื่อ ตั้งใจเรียกตาม สีจีวรพระพม่า เพราะตามแผนที่อเมริกาวางไว้ พระพม่าจะเป็นพระเอก เดินนำการประท้วงรัฐบาลพม่า เป็นแผนที่เด็ดขาดมากใช้พระนำขบวน ไม่บอกก่อนจะได้ส่งพวกจานบินไป ร่วม และก็เป็นเรื่องตลกมากด้วย เพราะจีวรพระพม่า สีน้ำตาลแดง ไม่ใช่สีเหลืองอมส้ม เขาว่า กลุ่มคนคิดแผน นั่งสุมหัวกันอยู่ที่สถานกงสุลอเมริกันที่เชียงใหม่ ผมชักเชื่อ แสดงว่าไอ้คนทำแผน เห็นพระไทยในเชียงใหม่ห่มจีวรสีเหลืองอมส้ม ก็สีจีวรพระบ้านเรานั่นแหละ เลยใช้เป็นชื่อปฏิวัติเสียเลย มันมั่วซั่วสิ้นดี ปฏิวัติสีผ้าเหลือง ฮาจริง สาเหตุการประท้วง (ไม่ใช่ปฏิวัติ) ที่อ้าง หรือสร้าง บอกว่า มาจากการที่รัฐบาลทหารของพม่า ยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมัน ทำให้ราคาขายน้ำมันในพม่าพุ่งสูงขึ้นไปประมาณ เกือบเท่าตัว ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน กลุ่มที่ออกมาประท้วงตามข่าว มีตั้งแต่ นักเรียน แม่บ้าน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และพระพม่าจำนวนมาก แต่เป้าหมายจริงๆ ก็คือสร้างความปั่นป่วนในพม่า เพื่อจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลทหาร ที่ปกครองพม่ามานาน และเอาคุณนายซู เมียฝรั่งที่ฝ่ายตะวันตกสนับสนุนมาเป็นผู้นำ คุณนายเป็นเองไม่ได้ ก็เอาคนที่คุณนายสั่งได้มาเป็น เพื่อเปิดประตูให้ตะวันตกเข้ามาในพม่า เรื่องคุณนายซู นี่ นายเก่า ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาใหญ่ และเดินสายทั้งในและนอกพม่า ผู้นำการปฏิวัติ ใช้ตัวเชิดเป็นฝ่ายนักเคลื่อนไหว ที่ต่อต้านรัฐบาลทหาร แต่หัวหน้าตัวจริง มีหลายคน ตั้งแต่คุณนายซู เมียฝรั่ง นักเคลื่อนไหวของพม่า พระพม่า และนักหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น แปลกใจไหมครับ ก็ไปนำขบวนด้วยประท้วงแล้วก็ถูกยิงตาย กลายเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลทหารของพม่า กับรัฐบาลญี่ปุ่น และส่วนพระพม่าก็เป็นพวกที่มายืนชุมนุมอยู่หน้าบ้านคุณนาย ก่อนเคลื่อนย้ายไปตามถนนในเมืองย่างกุ้ง ก่อนการประท้วงเกิดขึ้น อเมริกามอบหมายให้นาย จีน ชาร์พ Gene Sharp ผู้ก่อตั้งองค์กรชื่อ สถาบันอัลเบิร์ต ไอนสไตน์ Albert Einstein ในอเมริกา ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจากหลายสถาบันในสังกัดซีไอเอ ให้เป็นผู้รับผิดชอบ ฝึกอบรมและกำกับวิธีการประท้วง (อย่างเนียน) นายจีน ชาร์พ นี่ เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ดังมาก ชื่อ How to Start a Revolution พร้อมทำเป็นวีดีโอ มีทั้งภาษายูเครน ภาษาอาหรับ ไม่รู้มี ป็นภาษาพม่า ภาษาไทย ด้วยหรือเปล่า เขาเรียก ทฤษฏีฝูงผึ้ง สร้างคนน ที่จะเป็นผู้นำกลุ่มก่อน ต่อมาก็สร้างขบวนการเคลื่อนไหว และจัดหาคนตาม ที่อาจจะไม่ต้องมาก ตามทฤษฏีของจีน ชาร์พ เขาอ้างว่า การ “เคลื่อนไหว” จะทำให้คนเข้ามาร่วมเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ยืนอยู่กับที่ ยกมือตะโกนซ้ำซาก แบบนั้น คนไม่เพิ่ม แล้วอาจเดินหนี เพราะมันหมดสมัยไปแล้ว จริงๆ องค์กรของชาร์พ ถูกส่งเข้าไปสร้างเครือข่ายในพม่าตั้งแต่ ค.ศ.1989 โดยพันเอก Robert Helvey หัวหน้าปฏิบัติการ ซีไอเอ และอดีตทูตทหารอเมริกันในย่างกุ้ง เป็นคนนำนายชาร์พเข้าไป นายชาร์พขึ้นล่อง อยู่ระหว่างพม่ากับจีน ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่เทียนอันเหมินของจีน และก็เป็นผู้กำกับ Arab Spring หลายรายการ สถาบันใหญ่ในสังกัดซีไอเอ ที่สนับสนุนการประท้วงใหญ่สีจีวรพระที่พม่า คือ National Endowment for Democracy (NED) ที่แสนจะโด่งดัง เจ้า NED นี่ ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนนโยบายต่างประเทศของอเมริกา เขาว่า NED ทำหน้าที่เหมือนกับที่พวกซีไอเอ ทำในช่วงสงครามเย็นเพี้ยบเลย ผู้ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ NED อีกต่อคือ Open Society ของไอ้หนังเหนียวตัวแสบ จอร์จ โซรอส ก็เล่นซ้ำกันอยู่อย่างนี้ เหมือนดูหนังในเคเบิลทีวีของเครือซี้ผีของบ้านเราเลย กระทรวงต่างประเทศอเมริกา ได้คัดเลือกตัวหัวหน้าที่จะไปเป็นผู้นำการทาขมิ้น จากหลายองค์กรในพม่า ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลทหาร โดยเจ้า NED ส่งเงินประมาณปีละ 2.5 ล้านเหรียญ หรือ ปีละ 75 ล้านบาท ให้กับพวกสีจีวรพระ ไปสร้างขบวนการประท้วง ศูนย์บัญชาการใหญ่ เขาว่า อยู่ที่สถานกงสุลอเมริกัน ที่เชียงใหม่ของเรานั่นแหละ ส่วนพวกสีจีวร ก็ฝึกอบรมกันอยู่แถวชายแดนบ้านเรา บางครั้ง พวกตัวสำคัญก็ถูกส่งไปอบรมที่อเมริกา แล้วก็กลับมาจัดองค์กรในพม่าต่อ น่าสนุกดีนะครับ เล่นกันอยู่แถวนี้เอง จะแสดงรายการที่พม่าก็มาซ้อมที่ไทย จะแสดงรายการที่ไทย ก็ไปซ้อมกันในเขมร เออ มันแน่จริงๆ นอกจากจะสร้างความปั่นป่วนในบ้านคนอื่นได้แล้ว ยังเสือกมีของแถม ทำให้เพื่อนบ้านมองหน้ากันไม่สนิทอีกด้วย นอกจาก NED จะอุดหนุนพวกสีจีวรแล้ว NED ยังจ่ายเงินให้กับสื่อ ชื่อ New Era Journal , Democratic Voice of Burma และ Irrawaddy ที่เขาว่า เป็นของคุณนายซู เมียฝรั่ง ซึ่งผมเข้าไปอ่านบ่อยเหมือนกัน เพราะบางข่าวเร็วมาก ยังกะส่งตรงจากสถานที่เกิดเหตุ หรือสถานที่ออกใบสั่งเลย แต่วัตถุประสงค์ของการจัดรายการประท้วงนี้ ที่ซ่อนไว้อีกชั้น น่าจะมี 2 เรื่อง พม่าก็น่าจะมีชะตาใกล้เคียงกับเยเมน เพราะพม่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญจุดหนึ่งของเส้นทางเดินน้ำมัน จากอ่าวเปอร์เซียไปสู่ทะเลจีน เส้นทางเดินเรือเลียบฝั่งพม่า เป็นเส้นทางเดินเรือที่แน่นขนัด เพื่อผ่านเข้าไปสู่ช่องแคบมะละกา จุดรัดคอ choke point อีกจุดหนึ่ง ที่แคบกว่าของเยเมน และมีความสำคัญในระดับที่ ไม่ต่างกับเยเมน ด้วย ช่องแคบมะละกาเชื่อมมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุด สำหรับส่งน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียไปจีน ช่องแคบมะละกาจึงเป็นจุดรัดคอ choke point ที่สำคัญยิ่งของเอเซีย ประมาณ 80% ของน้ำมันที่จีนนำเข้า ต้องขนส่งทางเรือผ่านจุดนี้ ส่วนที่แคบที่สุดของช่องแคบมะละกาคือ ช่องแคบ Phillips Channel อยู่ในส่วนของสิงคโปร์ มีความกว้างเพียง 1.5 ไมล์ ทุกวันจะมีเรือบรรทุกน้ำมันผ่านช่องแคบนี้ ประมาณวันละ 12 ล้านแท้งค์ใหญ่ และส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปยังจีน หรือญี่ปุ่น… ถ้าช่องแคบมะละกาถูกปิด… ประมาณเกือบครึ่งของเรือขนส่งน้ำมันในโลก จะต้องเพิ่มเส้นทางเดินเรือยาวขึ้น หมายถึงการเพิ่มค่าขนส่งที่จะกระทบไปทั่วโลก มีเรือกว่า 5 หมื่นลำต่อปี แล่นผ่านช่องแคบมะละกา บริเว แนวเส้นทางเดินเรือ ตั้งแต่พม่าไปจนถึงบันดาร์อาเจ๊ะ จึงเป็นแนวรัดคอที่สำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง ใครควบคุมเส้นทางนี้ได้ ก็หมายความว่า ได้ควบคุมเส้นทางขนส่งน้ำมันทางน้ำของจีน และน่าจะของญี่ปุ่นด้วย อเมริกาพยายามที่จะนำกองกำลังของตัว เข้าไปในบริเวณนั้น ตั้งแต่ ปี ค.ศ.2001 โดยใช้ข้ออ้างว่า เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากผู้ก่อการร้าย ไม่รู้ผู้ก่อการร้ายพันธุ์อะไร จากไหน อ้างมั่วๆ จึงไม่มีใครยอม ในที่สุด ได้ข่าวว่า อเมริกาเจรจากับอินโดนีเซีย จนได้ตั้งฐานทัพอากาศ ที่บันดาร์ อาเจ๊ะ Banda Aceh ซึ่งอยู่ไปทางเหนือสุดของเกาะสุมาตรา คงทำให้เราพอเห็นภาพ ความวุ่นวายในพม่า ภาคใต้ของไทย รวมทั้งเรื่องราวในมาเลเซียว่า ทำไมจึงต้องเกิดขึ้นอย่างไม่จบสิ้น และทำไมการขุดคอขอดกระ ของเราจึงเป็นเรื่องยาก สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 ก.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนชั่ว ตอนที่ 9

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว”
    ตอน 9
    รายได้ของเยเมนประมาณ 70% มาจากการขายน้ำมัน รัฐบาลเยเมน ซึ่งตั้งที่ทำการอยู่ที่
    เมืองซานะ เมืองหลวงของเยเมน แต่อยู่ ในเขตเยเมนเหนือ เป็นผู้ควบคุมรายได้จากน้ำมัน แต่บ่อน้ำมันดันอยู่ในเยเมนใต้ แบบนี้ก็เข้าทาง (ยังไม่รู้ทางใคร!?) เมื่อรัฐบาล Saleh แตกคอกับเยเมนใต้ Saleh ก็เสียงคงอ่อย ค่าขายน้ำมัน สงสัยจะส่งมาไม่ถึงเมืองซานะ
    เยเมน เหมือนจะยังถูกบีบไม่พอ อยู่ดีๆ ในเดือนมกราคม ค.ศ.2009 ก็เกิดมีประกาศในเวบไซท์
    ของอัลไคด้าว่า อัลไคด้าของบินลาเดน จะมาเปิดสาขาใหม่ใหญ่กว่าทุกแห่ง อยู่ในเยเมน เพื่อใช้เป็นฐานสำหรับปฏิบัติการ ทั้งในเยเมน และซาอุดิอารเบีย
    เวบอัลไคด้า โดยหัวหน้าใหญ่ Nasir al-Wanayshi ประกาศรายชื่อ บรรดาหัวกะทิ ที่จะมาประจำอยู่เยเมน ซึ่งมีกะทิระดับที่เคยถูกจับไปอบรม อยู่ในค่ายกวนตานาโมของอเมริกาด้วยหลายคน ไม่ใช่ย่อยนะ แต่ เล่นคัดตัวแสดงแบบนี้ เดี๋ยวเขาก็เดาออกหมด ว่า ใครอำนวยการสร้าง
    หลังจากนั้น al-Wanayshi ก็ทำวิดีโอออกสู่สาธารณะ เขาเริ่มเรื่องได้น่าหวาดเสียว ว่า
    …เราจะเริ่มต้นที่นี่ และเราจะพบกันที่อัลอัคซา We start from here and we will meet at al-Aqsa (คือโบสถ์ของชาวยิวในเยรูซาเรม)…
    วีดีโอนี้ ประกาศ ข่มขู่ ข่มขวัญ หัวหน้าใหญ่ของมุสลิมตั้งแต่ Saleh ในเยเมนเอง ราชวงศ์ของซาอุ ไปจนถึงประธานาธิบดี มูบารัค ของอียิปต์ อัลไคด้าบอกว่า เรากำลังจะไปต่อสู้อย่างพลีชีพ เพื่อเอาแผ่นดินศักดิ์สิทธิของมุสลิม ตั้งแต่ กาซ่า เยเมน ถึงอิสราเอล กลับคืนมา
    การตั้ง Southern Movement การประกาศตั้งฐานใหม่ของอัลไคด้าในเยเมน การออกมาข่มขวัญของอัลไคด้า แค่นี้ ก็เพียงพอให้อเมริกาใช้เป็นข้ออ้าง เพื่อยกทัพมาขยี้เยเมนแล้ว เยเมนไม่ใช่ซูดาน ที่ต้องใช้พระเอกเดินนำกล้อง ไม่ใช่คองโก ที่ต้องเอามือมีระดับมาจัดการ ไม่ต้องพูดถึงลิเบีย ที่ต้องขนกันมาครึ่งโลก เยเมนประเทศเล็กกระจ้อย อเมริกาตวาดทีเดียว ก็ราดเต็มกางเกงกันหมดแล้ว
    หลังจากบอกว่า เรื่องภายในประเทศเยเมน เป็นเรื่องของเยเมน แต่อเมริกาก็สั่งให้กองทัพของอ เมริกาบุกเยเมน เพื่อจัดการกับอัลไคด้า ซึ่งอเมริกาอ้างว่า เป็นเรื่องกระทบนานาชาติ ไม่ใช่เรื่องภายในของเยเมน เข้าใจไหม เข้าใจครับ เข้าใจครับ
    อเมริกาอ้างว่า การโจมตีของอเมริกา ในช่วง 17 ถึง 24 ธันวาคม ค.ศ.2009 อเมริกาได้กำจัดอัลไคด้า ระดับหัวหน้าไปแล้ว 3 คน แต่ไม่มีรายชื่อ ไม่มีหลักฐาน กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ใบเล็ก ไม่เห็นขุดมาเล่าให้ฟังบ้างเลย หลังจากนั้น อเมริกาบอกว่า จำเป็นต้องช่วย Saleh เกี่ยวกับเรื่องการกำจัดผู้ก่อการร้ายในเยเมน ให้หมดไปโดยเร็ว เลยจำเป็นต้องทิ้งกองกำลังไว้ในเยเมนต่อไป เฮ้อ…มาแบบเก่า ฟอร์มเดิม ผมเบื่อแล้วนะพี่ ต้องเขียนซ้ำๆ
    กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ รายงานเรื่องอัลไคด้า ที่อเมริกาอ้างว่าต้องยกพลไปถล่มอย่างเสียไม่ได้ แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้น กระป๋องใส่สีย้อมข่าว เปลี่ยนไป รายงานเรื่อง สลัดโซมาเลีย โจมตีเรือขนส่งสินค้าในอ่าวเอเดน นอกฝั่งโซมาเลีย ตรงข้ามกับเยเมนใต้ และเล่นข่าวสลัดโซมาเลียอย่างใหญ่ โต แถมเล่นซ้ำทุกวัน ไม่ต้อง งง ครับ ตีข่าวเรื่องอัลไคด้า ตามบทจบด้วยกองทัพอเมริกา ไปอยู่ในเยเมน เรียบร้อยฉากแรกแล้ว ตอนนี้ต้องเปิดฉากสองต่อ
    วันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ.2009 สำนักข่าว RIA Novosti ของมอสโคว์ รายงานข่าวว่า สลัดโซมาเลีย ยึดเรือขนส่งสินค้าของกรีก ที่อ่าวเอเดน นอกฝั่งด้านโซมาเลีย
    ก่อนหน้านั้น เรือบรรทุกเคมีของอังกฤษ พร้อมลูกเรือ 26 คน โดนจับที่อ่าวเอเดน หัวหน้าสลัด Mohamed Shakir แน่มาก ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอังกฤษ The Times ทางโทรศัพท์ว่า เป็นเรื่องจริง เรายึดเรืออังกฤษไปแล้ว
    รายการสลัดโซมาเลีย ปล้นเรือในช่วงปี 2009 พุ่งสูงมาก นับถึงวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ.2009 สลัดโซมาเลียโจมตีเรือไป 174 รายการ เรือ 35 ลำ ถูกยึด ลูกเรือ 587 คน ถูกเรียกค่าไถ่ การปฏิบัติการทุกรายการ ประสพผลสำเร็จ เยี่ยมจริงๆ
    คำถามคือ “ใคร” เป็นคนจัดส่งอาวุธให้สลัดโซมา เลีย รวมทั้งส่งเส้นทาง และตารางการเดินเรือ ของเรือสินค้านานาชาติ มันเป็นข้อมูลชั้นเยี่ยม จนทำให้การปล้น และการหลบจากการถูกจับ โดยเรือลาดตระเวนของนานาชาติ ของสลัดโซมาเลียสำเร็จทุกครั้ง
    น่านน้ำระหว่างเยเมนกับโซมาเลีย มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง มันเป็นบริเวณ ที่มีช่องแคบสำคัญอยู่ด้วยเรียกว่า Bab el-Mandab ซึ่งเป็น 1 ใน 7 ของรายการช่องแคบสำคัญ ในเส้นทางขนส่งน้ำมัน ที่เรียกว่า choke points จุดรัดคอ!
    สำนักข้อมูลการพลังงานของอเมริกา รายงานว่า หากมีการปิดช่องแคบ Bab el-Mandab จะทำให้เรือขนส่งน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซีย ไม่สามารถเข้าไปถึงคลองสุเอซและ ท่อส่งน้ำมัน Sumed ที่สุเอซ นอกจากแล่นอ้อมลงทางใต้ ผ่านปลายทวีปอาฟริกา ซึ่งเป็นการเพิ่มระยะทาง เวลา และค่าใช้จ่าย ช่องแคบ Bab จึงเป็นจุดที่สามารถ รัดคอ ตัดขาดเส้นทาง ระหว่างอาฟริกากับตะวันออกกลาง ขณะเดียวกัน ก็เป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญ หรือ จุดตัดขาด ระหว่างทะเลเมดิเตอเรเนียนกับมหาสมุทรอินเดีย มันเป็นจุดเป็น จุดตาย ของเส้นทางเดินของน้ำมัน จริงๆ
    นอกจากนี้ Bab el-Mandab ที่อยู่ระหว่าง เยเมน จิบูตี และอีริเตรีย ยังเป็นตัวเชื่อมทะเลแดงกับอ่าวเอเดน และทะเลอารบียน น้ำมันและเรือ จากอ่าวเปอร์เซียและมหาสมุทรอินเดีย จะต้องผ่านจุดนี้ ก่อนที่จะผ่านเข้าสุเอซไปสู่เมดิเตอเรเนียน เข้าไปสู่ยุโรป (โปรดดูแผนที่ประกอบนะครับ จะได้เห็นชัด และเข้าใจ)
    สรุปว่า การขนส่งน้ำมันจากทุกแหล่งในโลก ต้องขนส่งกันไปมา ผ่านน่านน้ำต่างๆนั้น ประมาณ 50% ของน้ำมันที่ขนส่งกัน ต้องผ่านช่องรัดคอ Bab นี้ ใครคุม คุณ Bab ก็เท่ากับคุมโลกไป 50%
    อเมริกาจะยอมให้สลัดโซมาเลียคุม หรือ อเมริกาจะปล่อยให้เยเมนประเทศเล็กๆคุม
    และประเทศเสี่ยปั้มกับพวก ที่ขายน้ำมัน จะปล่อยให้เยเมนและโซมาเลีย กำหนดเส้นทางส่งน้ำมันของเขาไหม ปั้มน้ำมันขึ้นมาได้ แต่ส่งไปขายไม่ได้ และประเทศที่ต้องการน้ำมันจากอาฟริกา จะให้นั่งตาลอย อยู่ในกำมือของใครก็ไม่รู้อย่างนั้นหรือ แล้วถ้าพวกเสี่ยปั้มซาอุกับพวก คุม เยเมน คุมคุณ Bab ได้ ผมว่า เสี่ยนิวเคลียร์สองลูก คงจะทำใจยาก ที่จะให้พวกเสี่ยปั้มขี่คอ...
    เยเมน จึงกลายเป็นประเทศ ที่ทุกฝ่ายพยายามเข้าไปคุมอำนาจ เพื่อคุมจุดรัดคอ คุมไม่ได้ก็ ต้องถ่วงอำนาจ ถ่วงไม่ได้ สงสัยเกิดรายการถล่ม
    เรื่องเยเมน จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก อเมริกาคงพยายามทุกทางที่จะคุม คุณ Bab จุดรัดคอ Bab el-Mandeb และเราคงได้ยิน เรื่องความไม่สงบในเยเมนอยู่ตลอดเวลา และเวลานี้การสู้รบในเยเมน จริงๆ ก็กำลังดำเนินอยู่อย่างดุเดือด แต่กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ เสนอข่าวน้อยมาก หรือแทบไม่เสนอเลย ก็ลองถอดรหัสกันดู ว่า แบบนี้แปลว่าใครกำลังเล่นอะไร ในเยเมน และใครกำลังได้เปรียบ เสียเปรียบ และโปรดอย่าลืมว่าเยเมนใต้ เคยชอบพอกับใคร เพื่อนกัน คงไม่ทิ้งกันง่ายๆ เยเมนใต้ อาจจะกลายเป็นสนามประลองกำลังตัวแทน proxy war ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
    และก็คอยตามข่าวกันหน่อย เรื่องแถวเยเมน นี่ อาจทำให้พอประเมินได้ว่า สงครามโลก ใกล้เข้ามาขนาดไหนแล้ว และ ฝ่ายไหนจะได้เปรียบเสียเปรียบ เส้นทางขนส่งน้ำมัน เป็นปัจจัยสำคัญในการทำศึกสงครามครับ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    22 ก.ย. 2558
    แผนชั่ว ตอนที่ 9 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว” ตอน 9 รายได้ของเยเมนประมาณ 70% มาจากการขายน้ำมัน รัฐบาลเยเมน ซึ่งตั้งที่ทำการอยู่ที่ เมืองซานะ เมืองหลวงของเยเมน แต่อยู่ ในเขตเยเมนเหนือ เป็นผู้ควบคุมรายได้จากน้ำมัน แต่บ่อน้ำมันดันอยู่ในเยเมนใต้ แบบนี้ก็เข้าทาง (ยังไม่รู้ทางใคร!?) เมื่อรัฐบาล Saleh แตกคอกับเยเมนใต้ Saleh ก็เสียงคงอ่อย ค่าขายน้ำมัน สงสัยจะส่งมาไม่ถึงเมืองซานะ เยเมน เหมือนจะยังถูกบีบไม่พอ อยู่ดีๆ ในเดือนมกราคม ค.ศ.2009 ก็เกิดมีประกาศในเวบไซท์ ของอัลไคด้าว่า อัลไคด้าของบินลาเดน จะมาเปิดสาขาใหม่ใหญ่กว่าทุกแห่ง อยู่ในเยเมน เพื่อใช้เป็นฐานสำหรับปฏิบัติการ ทั้งในเยเมน และซาอุดิอารเบีย เวบอัลไคด้า โดยหัวหน้าใหญ่ Nasir al-Wanayshi ประกาศรายชื่อ บรรดาหัวกะทิ ที่จะมาประจำอยู่เยเมน ซึ่งมีกะทิระดับที่เคยถูกจับไปอบรม อยู่ในค่ายกวนตานาโมของอเมริกาด้วยหลายคน ไม่ใช่ย่อยนะ แต่ เล่นคัดตัวแสดงแบบนี้ เดี๋ยวเขาก็เดาออกหมด ว่า ใครอำนวยการสร้าง หลังจากนั้น al-Wanayshi ก็ทำวิดีโอออกสู่สาธารณะ เขาเริ่มเรื่องได้น่าหวาดเสียว ว่า …เราจะเริ่มต้นที่นี่ และเราจะพบกันที่อัลอัคซา We start from here and we will meet at al-Aqsa (คือโบสถ์ของชาวยิวในเยรูซาเรม)… วีดีโอนี้ ประกาศ ข่มขู่ ข่มขวัญ หัวหน้าใหญ่ของมุสลิมตั้งแต่ Saleh ในเยเมนเอง ราชวงศ์ของซาอุ ไปจนถึงประธานาธิบดี มูบารัค ของอียิปต์ อัลไคด้าบอกว่า เรากำลังจะไปต่อสู้อย่างพลีชีพ เพื่อเอาแผ่นดินศักดิ์สิทธิของมุสลิม ตั้งแต่ กาซ่า เยเมน ถึงอิสราเอล กลับคืนมา การตั้ง Southern Movement การประกาศตั้งฐานใหม่ของอัลไคด้าในเยเมน การออกมาข่มขวัญของอัลไคด้า แค่นี้ ก็เพียงพอให้อเมริกาใช้เป็นข้ออ้าง เพื่อยกทัพมาขยี้เยเมนแล้ว เยเมนไม่ใช่ซูดาน ที่ต้องใช้พระเอกเดินนำกล้อง ไม่ใช่คองโก ที่ต้องเอามือมีระดับมาจัดการ ไม่ต้องพูดถึงลิเบีย ที่ต้องขนกันมาครึ่งโลก เยเมนประเทศเล็กกระจ้อย อเมริกาตวาดทีเดียว ก็ราดเต็มกางเกงกันหมดแล้ว หลังจากบอกว่า เรื่องภายในประเทศเยเมน เป็นเรื่องของเยเมน แต่อเมริกาก็สั่งให้กองทัพของอ เมริกาบุกเยเมน เพื่อจัดการกับอัลไคด้า ซึ่งอเมริกาอ้างว่า เป็นเรื่องกระทบนานาชาติ ไม่ใช่เรื่องภายในของเยเมน เข้าใจไหม เข้าใจครับ เข้าใจครับ อเมริกาอ้างว่า การโจมตีของอเมริกา ในช่วง 17 ถึง 24 ธันวาคม ค.ศ.2009 อเมริกาได้กำจัดอัลไคด้า ระดับหัวหน้าไปแล้ว 3 คน แต่ไม่มีรายชื่อ ไม่มีหลักฐาน กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ใบเล็ก ไม่เห็นขุดมาเล่าให้ฟังบ้างเลย หลังจากนั้น อเมริกาบอกว่า จำเป็นต้องช่วย Saleh เกี่ยวกับเรื่องการกำจัดผู้ก่อการร้ายในเยเมน ให้หมดไปโดยเร็ว เลยจำเป็นต้องทิ้งกองกำลังไว้ในเยเมนต่อไป เฮ้อ…มาแบบเก่า ฟอร์มเดิม ผมเบื่อแล้วนะพี่ ต้องเขียนซ้ำๆ กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ รายงานเรื่องอัลไคด้า ที่อเมริกาอ้างว่าต้องยกพลไปถล่มอย่างเสียไม่ได้ แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้น กระป๋องใส่สีย้อมข่าว เปลี่ยนไป รายงานเรื่อง สลัดโซมาเลีย โจมตีเรือขนส่งสินค้าในอ่าวเอเดน นอกฝั่งโซมาเลีย ตรงข้ามกับเยเมนใต้ และเล่นข่าวสลัดโซมาเลียอย่างใหญ่ โต แถมเล่นซ้ำทุกวัน ไม่ต้อง งง ครับ ตีข่าวเรื่องอัลไคด้า ตามบทจบด้วยกองทัพอเมริกา ไปอยู่ในเยเมน เรียบร้อยฉากแรกแล้ว ตอนนี้ต้องเปิดฉากสองต่อ วันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ.2009 สำนักข่าว RIA Novosti ของมอสโคว์ รายงานข่าวว่า สลัดโซมาเลีย ยึดเรือขนส่งสินค้าของกรีก ที่อ่าวเอเดน นอกฝั่งด้านโซมาเลีย ก่อนหน้านั้น เรือบรรทุกเคมีของอังกฤษ พร้อมลูกเรือ 26 คน โดนจับที่อ่าวเอเดน หัวหน้าสลัด Mohamed Shakir แน่มาก ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอังกฤษ The Times ทางโทรศัพท์ว่า เป็นเรื่องจริง เรายึดเรืออังกฤษไปแล้ว รายการสลัดโซมาเลีย ปล้นเรือในช่วงปี 2009 พุ่งสูงมาก นับถึงวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ.2009 สลัดโซมาเลียโจมตีเรือไป 174 รายการ เรือ 35 ลำ ถูกยึด ลูกเรือ 587 คน ถูกเรียกค่าไถ่ การปฏิบัติการทุกรายการ ประสพผลสำเร็จ เยี่ยมจริงๆ คำถามคือ “ใคร” เป็นคนจัดส่งอาวุธให้สลัดโซมา เลีย รวมทั้งส่งเส้นทาง และตารางการเดินเรือ ของเรือสินค้านานาชาติ มันเป็นข้อมูลชั้นเยี่ยม จนทำให้การปล้น และการหลบจากการถูกจับ โดยเรือลาดตระเวนของนานาชาติ ของสลัดโซมาเลียสำเร็จทุกครั้ง น่านน้ำระหว่างเยเมนกับโซมาเลีย มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง มันเป็นบริเวณ ที่มีช่องแคบสำคัญอยู่ด้วยเรียกว่า Bab el-Mandab ซึ่งเป็น 1 ใน 7 ของรายการช่องแคบสำคัญ ในเส้นทางขนส่งน้ำมัน ที่เรียกว่า choke points จุดรัดคอ! สำนักข้อมูลการพลังงานของอเมริกา รายงานว่า หากมีการปิดช่องแคบ Bab el-Mandab จะทำให้เรือขนส่งน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซีย ไม่สามารถเข้าไปถึงคลองสุเอซและ ท่อส่งน้ำมัน Sumed ที่สุเอซ นอกจากแล่นอ้อมลงทางใต้ ผ่านปลายทวีปอาฟริกา ซึ่งเป็นการเพิ่มระยะทาง เวลา และค่าใช้จ่าย ช่องแคบ Bab จึงเป็นจุดที่สามารถ รัดคอ ตัดขาดเส้นทาง ระหว่างอาฟริกากับตะวันออกกลาง ขณะเดียวกัน ก็เป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญ หรือ จุดตัดขาด ระหว่างทะเลเมดิเตอเรเนียนกับมหาสมุทรอินเดีย มันเป็นจุดเป็น จุดตาย ของเส้นทางเดินของน้ำมัน จริงๆ นอกจากนี้ Bab el-Mandab ที่อยู่ระหว่าง เยเมน จิบูตี และอีริเตรีย ยังเป็นตัวเชื่อมทะเลแดงกับอ่าวเอเดน และทะเลอารบียน น้ำมันและเรือ จากอ่าวเปอร์เซียและมหาสมุทรอินเดีย จะต้องผ่านจุดนี้ ก่อนที่จะผ่านเข้าสุเอซไปสู่เมดิเตอเรเนียน เข้าไปสู่ยุโรป (โปรดดูแผนที่ประกอบนะครับ จะได้เห็นชัด และเข้าใจ) สรุปว่า การขนส่งน้ำมันจากทุกแหล่งในโลก ต้องขนส่งกันไปมา ผ่านน่านน้ำต่างๆนั้น ประมาณ 50% ของน้ำมันที่ขนส่งกัน ต้องผ่านช่องรัดคอ Bab นี้ ใครคุม คุณ Bab ก็เท่ากับคุมโลกไป 50% อเมริกาจะยอมให้สลัดโซมาเลียคุม หรือ อเมริกาจะปล่อยให้เยเมนประเทศเล็กๆคุม และประเทศเสี่ยปั้มกับพวก ที่ขายน้ำมัน จะปล่อยให้เยเมนและโซมาเลีย กำหนดเส้นทางส่งน้ำมันของเขาไหม ปั้มน้ำมันขึ้นมาได้ แต่ส่งไปขายไม่ได้ และประเทศที่ต้องการน้ำมันจากอาฟริกา จะให้นั่งตาลอย อยู่ในกำมือของใครก็ไม่รู้อย่างนั้นหรือ แล้วถ้าพวกเสี่ยปั้มซาอุกับพวก คุม เยเมน คุมคุณ Bab ได้ ผมว่า เสี่ยนิวเคลียร์สองลูก คงจะทำใจยาก ที่จะให้พวกเสี่ยปั้มขี่คอ... เยเมน จึงกลายเป็นประเทศ ที่ทุกฝ่ายพยายามเข้าไปคุมอำนาจ เพื่อคุมจุดรัดคอ คุมไม่ได้ก็ ต้องถ่วงอำนาจ ถ่วงไม่ได้ สงสัยเกิดรายการถล่ม เรื่องเยเมน จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก อเมริกาคงพยายามทุกทางที่จะคุม คุณ Bab จุดรัดคอ Bab el-Mandeb และเราคงได้ยิน เรื่องความไม่สงบในเยเมนอยู่ตลอดเวลา และเวลานี้การสู้รบในเยเมน จริงๆ ก็กำลังดำเนินอยู่อย่างดุเดือด แต่กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ เสนอข่าวน้อยมาก หรือแทบไม่เสนอเลย ก็ลองถอดรหัสกันดู ว่า แบบนี้แปลว่าใครกำลังเล่นอะไร ในเยเมน และใครกำลังได้เปรียบ เสียเปรียบ และโปรดอย่าลืมว่าเยเมนใต้ เคยชอบพอกับใคร เพื่อนกัน คงไม่ทิ้งกันง่ายๆ เยเมนใต้ อาจจะกลายเป็นสนามประลองกำลังตัวแทน proxy war ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และก็คอยตามข่าวกันหน่อย เรื่องแถวเยเมน นี่ อาจทำให้พอประเมินได้ว่า สงครามโลก ใกล้เข้ามาขนาดไหนแล้ว และ ฝ่ายไหนจะได้เปรียบเสียเปรียบ เส้นทางขนส่งน้ำมัน เป็นปัจจัยสำคัญในการทำศึกสงครามครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 22 ก.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • Legend of Bloodland ตอนที่ 52 พันธะศักดิ์สิทธิ์ อัพแล้วนะคะ จากตอนนี้ไปก็จะเริ่มเข้าสู่เนื้อเรื่องของอาณาจักรครอสวูด เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป ติดตามอ่านได้ที่ Kawebook.com นะคะ

    Legend of Bloodland จะอัพทุกวันอาทิตย์ค่ะ
    Legend of Bloodland ตอนที่ 52 พันธะศักดิ์สิทธิ์ อัพแล้วนะคะ จากตอนนี้ไปก็จะเริ่มเข้าสู่เนื้อเรื่องของอาณาจักรครอสวูด เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป ติดตามอ่านได้ที่ Kawebook.com นะคะ Legend of Bloodland จะอัพทุกวันอาทิตย์ค่ะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก๊าซหัวเราะกับการบรรเทาภาวะซึมเศร้า

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Birmingham และ Oxford วิเคราะห์การทดลองทางคลินิก 7 ครั้ง รวมผู้เข้าร่วมกว่า 247 คน พบว่า การสูดดมไนตรัสออกไซด์ในระดับ 25–50% สามารถลดอาการซึมเศร้าได้ภายใน 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบดั้งเดิม เช่น ยาต้านซึมเศร้าและการบำบัดทางจิตใจ

    กลไกที่อยู่เบื้องหลัง
    ผลการศึกษาชี้ว่าไนตรัสออกไซด์อาจทำงานโดย ลดการทำงานของระบบกลูตาเมต (glutamatergic system) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทและเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมอง ทำให้การลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารดีขึ้น

    ผลลัพธ์และข้อจำกัด
    แม้จะเห็นผลเร็ว แต่ อาการซึมเศร้ากลับมาในหนึ่งสัปดาห์ หากไม่ได้รับการให้ยาซ้ำ อีกทั้งการใช้ในความเข้มข้นสูง (50%) อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ปวดหัว และภาวะหลุดจากความเป็นจริง (dissociation) จึงต้องมีการจัดการอย่างระมัดระวัง

    ความหวังใหม่ในแนวทางการรักษา
    นักวิจัยเชื่อว่าไนตรัสออกไซด์อาจเป็นส่วนหนึ่งของ การรักษารุ่นใหม่ที่ออกฤทธิ์เร็ว สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบเดิม โดยการทดลองในอนาคตจะมุ่งไปที่ การให้ยาซ้ำในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อหาสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความปลอดภัย

    สรุปสาระสำคัญ
    ไนตรัสออกไซด์บรรเทาอาการซึมเศร้าได้ภายใน 2 ชั่วโมง
    เห็นผลชัดเจนในผู้ป่วยดื้อต่อการรักษา

    กลไกเกี่ยวข้องกับการลดการทำงานของระบบกลูตาเมต
    และช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดในสมอง

    ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นาน
    อาการกลับมาภายในหนึ่งสัปดาห์หากไม่ให้ยาซ้ำ

    การทดลองชี้ว่ามีศักยภาพเป็นการรักษารุ่นใหม่
    ต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาวิธีใช้ที่ปลอดภัยและยั่งยืน

    ความเข้มข้นสูงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง
    เช่น คลื่นไส้ ปวดหัว และภาวะหลุดจากความเป็นจริง

    ยังไม่ใช่วิธีรักษาที่หายขาด
    ต้องใช้ร่วมกับการรักษาอื่นและอยู่ภายใต้การดูแลแพทย์

    https://www.sciencealert.com/laughing-gas-can-offer-immediate-relief-from-depression-study-finds
    🌬️ ก๊าซหัวเราะกับการบรรเทาภาวะซึมเศร้า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Birmingham และ Oxford วิเคราะห์การทดลองทางคลินิก 7 ครั้ง รวมผู้เข้าร่วมกว่า 247 คน พบว่า การสูดดมไนตรัสออกไซด์ในระดับ 25–50% สามารถลดอาการซึมเศร้าได้ภายใน 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบดั้งเดิม เช่น ยาต้านซึมเศร้าและการบำบัดทางจิตใจ 🧠 กลไกที่อยู่เบื้องหลัง ผลการศึกษาชี้ว่าไนตรัสออกไซด์อาจทำงานโดย ลดการทำงานของระบบกลูตาเมต (glutamatergic system) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทและเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมอง ทำให้การลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารดีขึ้น ⏳ ผลลัพธ์และข้อจำกัด แม้จะเห็นผลเร็ว แต่ อาการซึมเศร้ากลับมาในหนึ่งสัปดาห์ หากไม่ได้รับการให้ยาซ้ำ อีกทั้งการใช้ในความเข้มข้นสูง (50%) อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ปวดหัว และภาวะหลุดจากความเป็นจริง (dissociation) จึงต้องมีการจัดการอย่างระมัดระวัง 🔮 ความหวังใหม่ในแนวทางการรักษา นักวิจัยเชื่อว่าไนตรัสออกไซด์อาจเป็นส่วนหนึ่งของ การรักษารุ่นใหม่ที่ออกฤทธิ์เร็ว สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบเดิม โดยการทดลองในอนาคตจะมุ่งไปที่ การให้ยาซ้ำในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อหาสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความปลอดภัย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ไนตรัสออกไซด์บรรเทาอาการซึมเศร้าได้ภายใน 2 ชั่วโมง ➡️ เห็นผลชัดเจนในผู้ป่วยดื้อต่อการรักษา ✅ กลไกเกี่ยวข้องกับการลดการทำงานของระบบกลูตาเมต ➡️ และช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดในสมอง ✅ ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นาน ➡️ อาการกลับมาภายในหนึ่งสัปดาห์หากไม่ให้ยาซ้ำ ✅ การทดลองชี้ว่ามีศักยภาพเป็นการรักษารุ่นใหม่ ➡️ ต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาวิธีใช้ที่ปลอดภัยและยั่งยืน ‼️ ความเข้มข้นสูงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ⛔ เช่น คลื่นไส้ ปวดหัว และภาวะหลุดจากความเป็นจริง ‼️ ยังไม่ใช่วิธีรักษาที่หายขาด ⛔ ต้องใช้ร่วมกับการรักษาอื่นและอยู่ภายใต้การดูแลแพทย์ https://www.sciencealert.com/laughing-gas-can-offer-immediate-relief-from-depression-study-finds
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Laughing Gas Can Offer Immediate Relief From Depression, Study Finds
    A review by researchers from the University of Birmingham and the University of Oxford in the UK has found that controlled doses of laughing gas (or nitrous oxide) really can provide quick-acting relief from depression.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • เสียงก้องในหูเชื่อมโยงกับระบบ "สู้หรือหนี"

    งานวิจัยล่าสุดจากทีมของ Daniel Polley ที่ Mass General Brigham พบว่า ผู้ที่มีภาวะหูอื้อเรื้อรัง (chronic tinnitus) แสดงออกทางร่างกายคล้ายกับการเข้าสู่โหมด "fight-or-flight" แม้จะเป็นเสียงธรรมดาในชีวิตประจำวันก็ตาม นักวิจัยใช้การวิเคราะห์ microexpressions บนใบหน้าและการขยายตัวของรูม่านตา เพื่อวัดระดับความเครียดและการรับรู้ภัยคุกคาม ผลลัพธ์ชี้ว่าผู้ที่มี tinnitus มีการตอบสนองเกินปกติและสามารถทำนายความรุนแรงของอาการได้จากตัวชี้วัดเหล่านี้

    ความซับซ้อนของโรคที่ไม่มี "biomarker" ชัดเจน
    Tinnitus เป็นภาวะที่ผู้ป่วยได้ยินเสียงก้อง คลิก หรือเสียงแหลมในหูโดยที่ไม่มีแหล่งกำเนิดจริง ปัญหาคือ ไม่มีตัวชี้วัดทางชีวภาพที่ชัดเจน ทำให้การวินิจฉัยและติดตามผลยากมาก ปัจจุบันแพทย์ใช้เพียงแบบสอบถามความรุนแรงของอาการ ซึ่งอาจไม่สะท้อนความจริงเสมอไป การค้นพบครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะสามารถใช้ การตอบสนองทางร่างกาย เป็นตัวบ่งชี้ความรุนแรงได้

    ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพจิต
    ภาวะ tinnitus เรื้อรังส่งผลกระทบต่อผู้คนกว่า 120 ล้านคนทั่วโลก และอาจทำให้เกิด ภาวะนอนไม่หลับ ความวิตกกังวล และโรคซึมเศร้า การที่ร่างกายตอบสนองต่อเสียงเหมือนภัยคุกคามตลอดเวลา ทำให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาวะเครียดเรื้อรัง ซึ่งอาจกระทบต่อสุขภาพโดยรวมและคุณภาพชีวิตอย่างรุนแรง

    ความหวังใหม่จากการใช้ AI และการแพทย์เชิงพฤติกรรม
    นักวิจัยใช้ AI วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนใบหน้า ที่มนุษย์ไม่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า ทำให้สามารถตรวจจับสัญญาณความเครียดที่สัมพันธ์กับ tinnitus ได้อย่างแม่นยำ แนวทางนี้อาจนำไปสู่การพัฒนา การรักษาใหม่ เช่น sound therapy, CBT (cognitive behavioral therapy), และ tinnitus retraining therapy ที่ปรับให้เหมาะสมกับระดับความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละราย

    สรุปสาระสำคัญ
    Tinnitus กระตุ้นระบบ "fight-or-flight"
    ผู้ป่วยตอบสนองต่อเสียงธรรมดาเหมือนภัยคุกคาม

    ใช้ microexpressions และการขยายรูม่านตาเป็นตัวชี้วัด
    สามารถทำนายความรุนแรงของอาการได้

    โรคนี้ไม่มี biomarker ที่ชัดเจน
    ปัจจุบันใช้เพียงแบบสอบถามในการวินิจฉัย

    มีผู้ป่วยกว่า 120 ล้านคนทั่วโลก
    ส่งผลต่อการนอน สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิต

    AI ช่วยวิเคราะห์สัญญาณที่มนุษย์ไม่เห็น
    อาจนำไปสู่การรักษาเฉพาะบุคคลในอนาคต

    ความเครียดเรื้อรังจาก tinnitus เชื่อมโยงกับโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล
    ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกถูกละเลยในระบบการแพทย์

    ไม่มีวิธีรักษาที่หายขาด
    การบำบัดที่มีอยู่ให้ผลไม่สม่ำเสมอและขึ้นกับแต่ละบุคคล

    https://www.sciencealert.com/tinnitus-triggers-your-bodys-fight-or-flight-response-study-finds
    🔔 เสียงก้องในหูเชื่อมโยงกับระบบ "สู้หรือหนี" งานวิจัยล่าสุดจากทีมของ Daniel Polley ที่ Mass General Brigham พบว่า ผู้ที่มีภาวะหูอื้อเรื้อรัง (chronic tinnitus) แสดงออกทางร่างกายคล้ายกับการเข้าสู่โหมด "fight-or-flight" แม้จะเป็นเสียงธรรมดาในชีวิตประจำวันก็ตาม นักวิจัยใช้การวิเคราะห์ microexpressions บนใบหน้าและการขยายตัวของรูม่านตา เพื่อวัดระดับความเครียดและการรับรู้ภัยคุกคาม ผลลัพธ์ชี้ว่าผู้ที่มี tinnitus มีการตอบสนองเกินปกติและสามารถทำนายความรุนแรงของอาการได้จากตัวชี้วัดเหล่านี้ 🧠 ความซับซ้อนของโรคที่ไม่มี "biomarker" ชัดเจน Tinnitus เป็นภาวะที่ผู้ป่วยได้ยินเสียงก้อง คลิก หรือเสียงแหลมในหูโดยที่ไม่มีแหล่งกำเนิดจริง ปัญหาคือ ไม่มีตัวชี้วัดทางชีวภาพที่ชัดเจน ทำให้การวินิจฉัยและติดตามผลยากมาก ปัจจุบันแพทย์ใช้เพียงแบบสอบถามความรุนแรงของอาการ ซึ่งอาจไม่สะท้อนความจริงเสมอไป การค้นพบครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะสามารถใช้ การตอบสนองทางร่างกาย เป็นตัวบ่งชี้ความรุนแรงได้ 🌍 ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพจิต ภาวะ tinnitus เรื้อรังส่งผลกระทบต่อผู้คนกว่า 120 ล้านคนทั่วโลก และอาจทำให้เกิด ภาวะนอนไม่หลับ ความวิตกกังวล และโรคซึมเศร้า การที่ร่างกายตอบสนองต่อเสียงเหมือนภัยคุกคามตลอดเวลา ทำให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาวะเครียดเรื้อรัง ซึ่งอาจกระทบต่อสุขภาพโดยรวมและคุณภาพชีวิตอย่างรุนแรง 🔬 ความหวังใหม่จากการใช้ AI และการแพทย์เชิงพฤติกรรม นักวิจัยใช้ AI วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนใบหน้า ที่มนุษย์ไม่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า ทำให้สามารถตรวจจับสัญญาณความเครียดที่สัมพันธ์กับ tinnitus ได้อย่างแม่นยำ แนวทางนี้อาจนำไปสู่การพัฒนา การรักษาใหม่ เช่น sound therapy, CBT (cognitive behavioral therapy), และ tinnitus retraining therapy ที่ปรับให้เหมาะสมกับระดับความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละราย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Tinnitus กระตุ้นระบบ "fight-or-flight" ➡️ ผู้ป่วยตอบสนองต่อเสียงธรรมดาเหมือนภัยคุกคาม ✅ ใช้ microexpressions และการขยายรูม่านตาเป็นตัวชี้วัด ➡️ สามารถทำนายความรุนแรงของอาการได้ ✅ โรคนี้ไม่มี biomarker ที่ชัดเจน ➡️ ปัจจุบันใช้เพียงแบบสอบถามในการวินิจฉัย ✅ มีผู้ป่วยกว่า 120 ล้านคนทั่วโลก ➡️ ส่งผลต่อการนอน สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิต ✅ AI ช่วยวิเคราะห์สัญญาณที่มนุษย์ไม่เห็น ➡️ อาจนำไปสู่การรักษาเฉพาะบุคคลในอนาคต ‼️ ความเครียดเรื้อรังจาก tinnitus เชื่อมโยงกับโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล ⛔ ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกถูกละเลยในระบบการแพทย์ ‼️ ไม่มีวิธีรักษาที่หายขาด ⛔ การบำบัดที่มีอยู่ให้ผลไม่สม่ำเสมอและขึ้นกับแต่ละบุคคล https://www.sciencealert.com/tinnitus-triggers-your-bodys-fight-or-flight-response-study-finds
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Tinnitus Triggers Your Body's 'Fight or Flight' Response, Study Finds
    Chronic tinnitus may increase stress levels by keeping the body that much closer to a fight-or-flight response to sound, a new study suggests.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุคใหม่ของโครโมโซม Y : ความอยู่รอดหรือการสิ้นสุด?

    นักวิทยาศาสตร์กำลังถกเถียงกันอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับอนาคตของโครโมโซม Y ซึ่งเป็นตัวกำหนดเพศชายในมนุษย์ บางฝ่ายเชื่อว่ามันกำลังเสื่อมสลายและอาจหายไปในอีกไม่กี่ล้านปีข้างหน้า ขณะที่อีกฝ่ายมองว่ามันมีความเสถียรและจะอยู่รอดต่อไปได้อย่างมั่นคง การถกเถียงนี้สะท้อนให้เห็นถึงสองมุมมองทางวิวัฒนาการที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

    Jenny Graves นักชีววิทยาวิวัฒนาการเคยคำนวณว่าโครโมโซม Y สูญเสียยีนไปแล้วกว่า 97% ในช่วง 300 ล้านปีที่ผ่านมา หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป มันอาจหายไปในอนาคต แต่เธอย้ำว่านี่เป็นเพียงการคำนวณเชิงทฤษฎี ไม่ใช่คำทำนายว่ามนุษย์เพศชายจะสูญพันธุ์ทันที หลายชนิดสัตว์ เช่น หนูพุก และหนูหนาม ได้สูญเสียโครโมโซม Y ไปแล้ว แต่ยังคงมีระบบกำหนดเพศใหม่ที่ทำงานแทนได้

    ในอีกด้านหนึ่ง Jennifer Hughes จาก MIT ชี้ว่าโครโมโซม Y ของมนุษย์มีความเสถียรในระยะยาว หลักฐานจากการเปรียบเทียบยีนในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดบ่งชี้ว่าการสูญเสียยีนหยุดลงแล้ว และยีนที่เหลือมีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกายจนไม่สามารถหายไปได้ง่ายๆ สิ่งนี้ทำให้บางนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโครโมโซม Y จะยังคงอยู่ต่อไป

    นอกเหนือจากการถกเถียงเชิงวิชาการแล้ว ประเด็นนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของวิวัฒนาการ มนุษย์และสัตว์อาจปรับตัวได้หากโครโมโซม Y หายไป โดยการสร้างระบบกำหนดเพศใหม่ขึ้นมาแทน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธรรมชาติมีวิธีการรักษาสมดุลของชีวิต แม้ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ก็ตาม

    สรุปสาระสำคัญ
    โครโมโซม Y สูญเสียยีนไปแล้วกว่า 97%
    การคำนวณของ Jenny Graves ชี้ว่าอาจหายไปในอีกไม่กี่ล้านปี

    หลายชนิดสัตว์สูญเสียโครโมโซม Y แต่ยังคงมีระบบกำหนดเพศใหม่
    เช่น หนูพุก และหนูหนาม ที่พัฒนากลไกแทน

    นักวิทยาศาสตร์บางฝ่ายเชื่อว่าโครโมโซม Y มีความเสถียร
    Jennifer Hughes ชี้ว่าการสูญเสียยีนหยุดลงแล้ว และยีนที่เหลือมีความสำคัญต่อร่างกาย

    การถกเถียงสะท้อนสองมุมมองทางวิวัฒนาการ
    ฝ่ายหนึ่งมองว่า Y กำลังเสื่อมสลาย อีกฝ่ายมองว่ามันมั่นคง

    ความเข้าใจผิดจากสื่ออาจทำให้คนเชื่อว่ามนุษย์เพศชายจะสูญพันธุ์
    Jenny Graves ย้ำว่านี่เป็นเพียงการคำนวณเชิงทฤษฎี ไม่ใช่คำทำนายจริง

    การเสื่อมสลายของโครโมโซม Y ไม่ได้หมายถึงการสิ้นสุดของมนุษย์
    วิวัฒนาการสามารถสร้างระบบใหม่เพื่อรักษาสมดุลของชีวิตได้

    https://www.sciencealert.com/is-the-y-chromosome-vanishing-a-new-sex-gene-may-be-the-future-of-men
    🧬 ยุคใหม่ของโครโมโซม Y : ความอยู่รอดหรือการสิ้นสุด? นักวิทยาศาสตร์กำลังถกเถียงกันอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับอนาคตของโครโมโซม Y ซึ่งเป็นตัวกำหนดเพศชายในมนุษย์ บางฝ่ายเชื่อว่ามันกำลังเสื่อมสลายและอาจหายไปในอีกไม่กี่ล้านปีข้างหน้า ขณะที่อีกฝ่ายมองว่ามันมีความเสถียรและจะอยู่รอดต่อไปได้อย่างมั่นคง การถกเถียงนี้สะท้อนให้เห็นถึงสองมุมมองทางวิวัฒนาการที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง Jenny Graves นักชีววิทยาวิวัฒนาการเคยคำนวณว่าโครโมโซม Y สูญเสียยีนไปแล้วกว่า 97% ในช่วง 300 ล้านปีที่ผ่านมา หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป มันอาจหายไปในอนาคต แต่เธอย้ำว่านี่เป็นเพียงการคำนวณเชิงทฤษฎี ไม่ใช่คำทำนายว่ามนุษย์เพศชายจะสูญพันธุ์ทันที หลายชนิดสัตว์ เช่น หนูพุก และหนูหนาม ได้สูญเสียโครโมโซม Y ไปแล้ว แต่ยังคงมีระบบกำหนดเพศใหม่ที่ทำงานแทนได้ ในอีกด้านหนึ่ง Jennifer Hughes จาก MIT ชี้ว่าโครโมโซม Y ของมนุษย์มีความเสถียรในระยะยาว หลักฐานจากการเปรียบเทียบยีนในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดบ่งชี้ว่าการสูญเสียยีนหยุดลงแล้ว และยีนที่เหลือมีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกายจนไม่สามารถหายไปได้ง่ายๆ สิ่งนี้ทำให้บางนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโครโมโซม Y จะยังคงอยู่ต่อไป นอกเหนือจากการถกเถียงเชิงวิชาการแล้ว ประเด็นนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของวิวัฒนาการ มนุษย์และสัตว์อาจปรับตัวได้หากโครโมโซม Y หายไป โดยการสร้างระบบกำหนดเพศใหม่ขึ้นมาแทน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธรรมชาติมีวิธีการรักษาสมดุลของชีวิต แม้ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ก็ตาม 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ โครโมโซม Y สูญเสียยีนไปแล้วกว่า 97% ➡️ การคำนวณของ Jenny Graves ชี้ว่าอาจหายไปในอีกไม่กี่ล้านปี ✅ หลายชนิดสัตว์สูญเสียโครโมโซม Y แต่ยังคงมีระบบกำหนดเพศใหม่ ➡️ เช่น หนูพุก และหนูหนาม ที่พัฒนากลไกแทน ✅ นักวิทยาศาสตร์บางฝ่ายเชื่อว่าโครโมโซม Y มีความเสถียร ➡️ Jennifer Hughes ชี้ว่าการสูญเสียยีนหยุดลงแล้ว และยีนที่เหลือมีความสำคัญต่อร่างกาย ✅ การถกเถียงสะท้อนสองมุมมองทางวิวัฒนาการ ➡️ ฝ่ายหนึ่งมองว่า Y กำลังเสื่อมสลาย อีกฝ่ายมองว่ามันมั่นคง ‼️ ความเข้าใจผิดจากสื่ออาจทำให้คนเชื่อว่ามนุษย์เพศชายจะสูญพันธุ์ ⛔ Jenny Graves ย้ำว่านี่เป็นเพียงการคำนวณเชิงทฤษฎี ไม่ใช่คำทำนายจริง ‼️ การเสื่อมสลายของโครโมโซม Y ไม่ได้หมายถึงการสิ้นสุดของมนุษย์ ⛔ วิวัฒนาการสามารถสร้างระบบใหม่เพื่อรักษาสมดุลของชีวิตได้ https://www.sciencealert.com/is-the-y-chromosome-vanishing-a-new-sex-gene-may-be-the-future-of-men
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Is The Y Chromosome Vanishing? A New Sex Gene May Be The Future of Men
    In 2002, evolutionary biologist Jenny Graves shared a controversial calculation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251207 #TechRadar

    US Security Agency เตือนเลิกใช้ VPN ส่วนตัวบนมือถือ
    หน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ของสหรัฐฯ หรือ CISA ออกคำเตือนแรงว่า “อย่าใช้ VPN ส่วนตัว” โดยเฉพาะบน iPhone และ Android เพราะแทนที่จะช่วยป้องกัน กลับเพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ใช้มากขึ้น เนื่องจากข้อมูลที่เคยอยู่กับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจะถูกย้ายไปอยู่กับผู้ให้บริการ VPN ซึ่งหลายเจ้าไม่มีมาตรการความปลอดภัยที่ดีพอ บางรายถึงขั้นเก็บข้อมูลหรือแฝงมัลแวร์มาในแอปฟรี ๆ อีกด้วย คำเตือนนี้สะท้อนว่าการเลือก VPN ไม่ใช่เรื่องเล็ก ต้องเลือกเจ้าใหญ่ที่มีการตรวจสอบนโยบาย “no-logs” และใช้มาตรฐานเข้ารหัสที่แข็งแรง เช่น OpenVPN หรือ WireGuard รวมถึงฟีเจอร์เสริมอย่าง kill switch และ DNS leak protection เพื่อความปลอดภัยจริง ๆ
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/us-security-agency-urges-android-and-iphone-users-to-stop-using-personal-vpns

    งานวิจัยใหม่เผย คนรุ่นใหญ่ไม่ค่อยเห็นว่า AI มีประโยชน์
    ผลสำรวจจาก Cisco ชี้ให้เห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นใหญ่ คนอายุต่ำกว่า 35 ปีส่วนใหญ่ใช้ AI อย่างจริงจังและมองว่ามีประโยชน์ต่อการทำงานและชีวิตประจำวัน แต่คนอายุเกิน 45 ปีครึ่งหนึ่งไม่เคยใช้ AI เลย โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 55 ปีขึ้นไปที่บอกว่าไม่คุ้นเคยมากกว่าปฏิเสธ outright ขณะเดียวกันประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น อินเดีย บราซิล และเม็กซิโก กลับเป็นผู้นำในการใช้ AI อย่างแพร่หลาย ต่างจากยุโรปที่ยังมีความไม่มั่นใจและกฎระเบียบเข้มงวดที่ทำให้การใช้งานช้าลง งานวิจัยนี้สะท้อนว่าการสร้างทักษะดิจิทัลให้ทุกวัยเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้ “Generation AI” ครอบคลุมทุกคนจริง ๆ
    https://www.techradar.com/pro/new-research-reveals-older-users-less-likely-to-find-ai-useful

    EU เปิดการสอบสวน Meta เรื่องนโยบาย AI บน WhatsApp
    คณะกรรมาธิการยุโรปเริ่มการสอบสวนเชิงลึกต่อ Meta ว่านโยบายใหม่ของ WhatsApp อาจกีดกันคู่แข่งด้าน AI chatbot โดยห้ามไม่ให้ผู้ให้บริการ AI รายอื่นเผยแพร่ผ่าน WhatsApp หากบริการหลักคือ AI ซึ่งทำให้ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง OpenAI และ Microsoft ต้องถอน chatbot ออกจากแพลตฟอร์มแล้ว EU กังวลว่า Meta ใช้อำนาจตลาดเพื่อดัน Meta AI ของตัวเองและปิดกั้นนวัตกรรม หากพบผิดจริง Meta อาจโดนปรับสูงถึง 16.5 พันล้านดอลลาร์ การสอบสวนนี้สะท้อนความเข้มงวดของยุโรปในการป้องกันการผูกขาดและรักษาสนามแข่งขันที่เป็นธรรมในยุค AI
    https://www.techradar.com/pro/eu-launches-antitrust-investigation-into-metas-whatsapp-ai-access-policy

    ช่องโหว่ React ระดับวิกฤติ เสี่ยงถูกโจมตีทันที
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบช่องโหว่ร้ายแรงใน React Server Components ที่ถูกจัดระดับความรุนแรงเต็ม 10/10 (CVE-2025-55182) ช่องโหว่นี้เปิดทางให้แฮกเกอร์แม้จะมีทักษะต่ำก็สามารถรันโค้ดอันตรายจากระยะไกลได้ทันที โดยกระทบหลายเฟรมเวิร์กยอดนิยมอย่าง Next.js, React Router และ Vite ทีม React ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 19.0.1, 19.1.2 และ 19.2.1 พร้อมเตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตโดยด่วน เพราะนักวิจัยยืนยันว่าการโจมตี “เกิดขึ้นแน่นอน” และมีโอกาสสำเร็จเกือบ 100% เนื่องจาก React ถูกใช้ในเว็บใหญ่ทั่วโลก เช่น Facebook, Netflix และ Airbnb ทำให้พื้นที่เสี่ยงกว้างมาก
    https://www.techradar.com/pro/security/experts-warn-this-worst-case-scenario-react-vulnerability-could-soon-be-exploited-so-patch-now

    Europol ทลายเครือข่ายฟอกเงินคริปโตมูลค่า 700 ล้าน
    Europol ร่วมกับตำรวจหลายประเทศยุโรปเข้าจับกุมเครือข่ายฟอกเงินและหลอกลงทุนคริปโตที่มีมูลค่ากว่า 700 ล้านดอลลาร์ ปฏิบัติการนี้แบ่งเป็นสองเฟส เริ่มจากการบุกค้นในไซปรัส เยอรมนี และสเปน ยึดเงินสด คริปโต และทรัพย์สินหรู รวมกว่า 1.7 ล้านดอลลาร์ พร้อมจับกุมผู้ต้องสงสัย 9 คน เครือข่ายนี้ใช้แพลตฟอร์มลงทุนปลอมและคอลเซ็นเตอร์กดดันเหยื่อให้ลงทุนเพิ่ม อีกทั้งยังใช้โฆษณาหลอกลวงบนโซเชียลมีเดีย โดยบางครั้งถึงขั้นใช้ deepfake คนดังอย่าง Elon Musk หรือ Donald Trump เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ การทลายครั้งนี้ถือเป็นการตัดเส้นเลือดใหญ่ของอุตสาหกรรมหลอกลวงคริปโตที่กำลังระบาดหนักในยุโรป
    https://www.techradar.com/pro/security/europol-takes-down-crypto-and-laundering-network-worth-700-million

    ปี 2025 สมาร์ทโฟนกลับมาน่าตื่นเต้นอีกครั้ง (ไม่ใช่เพราะ AI)
    หลายคนบ่นว่าโทรศัพท์มือถือเริ่มน่าเบื่อ แต่ปี 2025 กลับมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจโดยไม่เกี่ยวกับ AI เลย อย่างแรกคือการมาของ แบตเตอรี่โซลิดสเตต ที่ทำให้มือถือชาร์จเร็วขึ้นและใช้งานได้นานกว่าเดิม ต่อมาคือ การเชื่อมต่อดาวเทียม ที่เริ่มกลายเป็นมาตรฐาน ทำให้ผู้ใช้สามารถติดต่อได้แม้ไม่มีสัญญาณเครือข่าย อีกทั้งยังมี การออกแบบใหม่ที่บางและทนทานกว่า รวมถึง จอพับที่พัฒนาไปอีกขั้น จนใช้งานจริงได้สะดวกขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้ปี 2025 เป็นปีที่มือถือกลับมามีเสน่ห์อีกครั้งโดยไม่ต้องพึ่งกระแส AI
    https://www.techradar.com/phones/think-phones-are-boring-here-are-4-reasons-why-2025-was-a-big-year-for-smartphones-and-none-of-them-are-ai

    OpenAI ชนะ Google, Meta และ Grok ในทัวร์นาเมนต์โป๊กเกอร์ AI
    การแข่งขันโป๊กเกอร์ที่จัดขึ้นโดยใช้แต่ AI เป็นผู้เล่น ปรากฏว่า OpenAI สามารถเอาชนะคู่แข่งรายใหญ่ทั้ง Google, Meta และ Grok ได้สำเร็จ การแข่งขันนี้ไม่ใช่แค่เกม แต่เป็นการทดสอบความสามารถของ AI ในการวางกลยุทธ์ การอ่านสถานการณ์ และการตัดสินใจในสภาพที่ไม่แน่นอน ผลลัพธ์สะท้อนว่า AI ของ OpenAI มีความเหนือชั้นในด้านการปรับตัวและการคิดเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญต่อการนำไปใช้ในโลกจริง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ การเงิน หรือการวิจัย
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/openai-beats-google-meta-and-grok-in-all-ai-poker-tournament

    Surfshark เตือน แอปแชร์ไฟล์ฟรีเสี่ยงเปิดข้อมูลให้คนอื่นเห็น
    รายงานใหม่จาก Surfshark ระบุว่าแอปแชร์ไฟล์ฟรีจำนวนมากมีช่องโหว่ที่ทำให้การดาวน์โหลดของผู้ใช้ถูกเปิดเผยต่อบุคคลอื่น ซึ่งอาจนำไปสู่การขโมยข้อมูลหรือมัลแวร์เข้ามาได้ ปัญหานี้เกิดจากการที่หลายแอปไม่ได้เข้ารหัสการเชื่อมต่อหรือไม่มีมาตรการป้องกันที่ดีพอ ผู้ใช้ที่คิดว่า “ฟรีและสะดวก” อาจต้องแลกด้วยความเสี่ยงด้านความปลอดภัย คำแนะนำคือควรเลือกใช้บริการที่มีชื่อเสียง มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end และหลีกเลี่ยงการแชร์ไฟล์สำคัญผ่านแอปที่ไม่น่าเชื่อถือ
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/think-before-you-click-most-free-file-sharing-apps-expose-your-downloads-to-security-risks-warns-surfshark

    ราคาคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์พุ่งสูงเพราะขาดแคลนหน่วยความจำ
    ตอนนี้โลกเทคโนโลยีกำลังเจอปัญหาใหญ่ เพราะหน่วยความจำ DRAM และ HBM ถูกเบี่ยงไปผลิตเพื่อรองรับเซิร์ฟเวอร์ AI ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ทั่วไปขาดตลาด ราคาจึงพุ่งขึ้นอย่างแรง ผู้ผลิตรายใหญ่ทั้ง Dell, Lenovo, HP และ HPE เตรียมขึ้นราคาประมาณ 15% สำหรับเซิร์ฟเวอร์ และ 5% สำหรับ PC ส่วนผู้ใช้ทั่วไปก็อาจต้องเจอราคาที่สูงขึ้นเมื่อซื้อแล็ปท็อปหรืออุปกรณ์ใหม่ๆ สถานการณ์นี้สะท้อนว่า AI กำลังเปลี่ยนทิศทางตลาดฮาร์ดแวร์อย่างชัดเจน
    https://www.techradar.com/pro/the-bad-news-continues-server-prices-set-to-rise-in-latest-blow-to-hardware-budgets

    Spotify Wrapped 2025 เผยวิธีคำนวณจริง
    หลายคนสงสัยว่าทำไมสรุปการฟังเพลงปลายปีของ Spotify ถึงดูแปลกไปบ้าง ล่าสุด Spotify ออกมาอธิบายแล้วว่าแต่ละหมวดใช้วิธีคำนวณต่างกัน เช่น เพลงยอดนิยมวัดจากจำนวนครั้งที่ฟัง แต่สำหรับอัลบั้มจะดูว่าฟังครบหลายเพลงและกระจายการฟังอย่างไร นอกจากนี้ข้อมูลจะเก็บตั้งแต่ 1 มกราคมถึงพฤศจิกายน ไม่ใช่ครบทั้งปี และยังรวมการฟังแบบออฟไลน์ด้วย ฟีเจอร์ใหม่อย่าง “Listening Age” ที่เดาอายุจากแนวเพลงก็ทำให้หลายคนงง แต่จริงๆ มันสะท้อนพฤติกรรมการฟังที่เปลี่ยนไปตลอดปี
    https://www.techradar.com/audio/spotify/your-spotify-wrapped-2025-data-isnt-wrong-the-streaming-giant-just-revealed-all-about-how-its-calculated

    หนี้เทคนิค Windows ที่องค์กรยังไม่แก้
    แม้ Windows 10 จะหมดการสนับสนุนไปแล้ว แต่หลายองค์กรยังคงใช้ต่อ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “หนี้เทคนิค” ซึ่งเสี่ยงต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ การสำรวจพบว่า 9 ใน 10 บริษัทเจอปัญหานี้ แต่มีเพียง 14% ที่จริงจังกับการแก้ไขในปีหน้า เหตุผลหลักคือค่าใช้จ่ายสูง ความซับซ้อนของระบบ และความกลัวว่าจะทำให้ระบบล่ม หลายองค์กรเลือกที่จะเลื่อนการแก้ไขออกไปจนกว่าจะเกิดปัญหา ทั้งที่จริงๆ การแก้ทีละขั้นตอนและใช้เครื่องมือเฉพาะทางจะช่วยลดความเสี่ยงและเปิดทางให้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ดีกว่า
    https://www.techradar.com/pro/why-are-companies-not-tackling-their-windows-technical-debt

    Huawei Pura X พลิกนิยามมือถือฝาพับ
    Huawei เปิดตัว Pura X ที่ทำให้คนมองมือถือฝาพับต่างออกไป จากเดิมที่แบรนด์อื่นเน้นทำให้มือถือใหญ่พับเล็กลง แต่ Huawei กลับทำให้มันกลายเป็นเหมือนแท็บเล็ตขนาดพกพา หน้าจอหลักสัดส่วน 16:10 ขนาด 6.3 นิ้ว ใช้งานดูหนังหรือทำงานได้สะดวกขึ้น อีกทั้งยังมีหน้าจอด้านหน้า 3.5 นิ้วพร้อมกล้องสามตัว รวมถึงเลนส์เทเลโฟโต้ที่คู่แข่งยังไม่มี จุดเด่นนี้ทำให้มันเป็นมือถือฝาพับที่มีกล้องดีที่สุดในตลาดตอนนี้ แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องการใช้งาน Google และการวางขายที่จำกัด แต่ก็ถือเป็นการออกแบบที่ท้าทายให้คู่แข่งต้องคิดใหม่
    https://www.techradar.com/phones/huawei-phones/i-tried-huaweis-strange-pura-x-foldable-and-its-made-me-rethink-every-other-flip-phone

    โพลเลือกจอยเกมโปรดที่ผลลัพธ์ชวนงง
    TechRadar เคยทำโพลถามผู้อ่านว่าจอยเกมที่ชอบที่สุดคือรุ่นไหน ผลออกมาน่าตกใจเพราะ “Steam Controller” ของ Valve ที่เคยถูกวิจารณ์เรื่องดีไซน์แปลก กลับได้คะแนนสูงสุด 15% แซงหน้า Xbox 360 Controller ที่ได้ 13% และ DualSense Edge ของ PlayStation ที่ได้ 11% หลายคนเชื่อว่าผลนี้อาจเพราะแฟน Steam เข้ามาโหวตเยอะ หรือบางคนอาจโหวตแบบขำๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร มันก็สะท้อนว่าความชอบของผู้เล่นเกมนั้นหลากหลายและไม่จำเป็นต้องตรงกับมาตรฐานตลาดเสมอไป
    https://www.techradar.com/gaming/you-told-me-your-favorite-controller-ever-and-i-dont-believe-you

    ชิป AI จากจีน Cambricon เตรียมผลิตเพิ่มสามเท่า
    Cambricon บริษัทชิปจากจีนประกาศแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตชิป AI ถึงสามเท่าในปีหน้า เพื่อแข่งกับยักษ์ใหญ่อย่าง Nvidia และ Huawei แต่ก็ต้องเจอความท้าทายใหญ่จากการผลิตที่ซับซ้อนและต้นทุนสูง โดยเฉพาะการหาพันธมิตรด้านการผลิตที่สามารถรองรับเทคโนโลยีขั้นสูงได้ ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนว่าจีนกำลังผลักดันอุตสาหกรรมชิป AI อย่างจริงจังเพื่อไม่ให้พึ่งพาต่างชาติ
    https://www.techradar.com/pro/this-chinese-chip-giant-is-boosting-production-to-try-and-take-on-nvidia-but-how-will-huawei-feel

    Windows 11 ยังไม่สามารถแทนที่ Windows 10 ได้
    แม้ Microsoft จะพยายามผลักดัน Windows 11 แต่สถิติการใช้งานยังชี้ว่าผู้ใช้จำนวนมหาศาลยังคงอยู่กับ Windows 10 โดยเฉพาะในองค์กรและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่เดิม เหตุผลหลักคือความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดที่สูง ทำให้ Windows 10 ยังคงครองความนิยมอย่างเหนียวแน่นในหลายตลาด และกลายเป็นความท้าทายที่ Microsoft ต้องหาทางแก้
    https://www.techradar.com/pro/windows-11-still-cant-topple-its-older-siblings-usage-stats-show-windows-10-remains-mind-boggingly-popular

    5 สิ่งสำคัญที่นักพัฒนาต้องคำนึงเพื่อให้งานไม่หลุดราง
    ในยุคที่การพัฒนาโปรแกรมเต็มไปด้วยความเร่งรีบและความซับซ้อน การจะทำให้งาน “อยู่บนราง” ไม่ใช่แค่เขียนโค้ดให้เสร็จ แต่ต้องมีการวางเป้าหมายที่ชัดเจน กำหนดว่า “เสร็จ” หมายถึงอะไร เพื่อหลีกเลี่ยงการขยายขอบเขตงานโดยไม่จำเป็น การจัดตารางเวลาที่ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะโลกจริงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นอกจากนี้ยังต้องมีระบบติดตามงานที่โปร่งใส มีการวัดผลที่เน้นคุณค่า ไม่ใช่แค่ชั่วโมงที่ใช้ไป ทีมต้องรู้จักประเมินกำลังคนและทรัพยากร เพื่อไม่ให้เกิดการทำงานเกินกำลัง และสุดท้ายคือการบริหารความเสี่ยง พร้อมสื่อสารกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างตรงไปตรงมา ทั้งหมดนี้ช่วยให้ทีมพัฒนาไปถึงเป้าหมายได้อย่างมั่นคงและไม่หลุดราง
    https://www.techradar.com/pro/5-essential-considerations-for-developers-to-stay-on-track

    รีวิวจอ InnoCN 27 นิ้ว GA27W1Q 4K
    จอภาพรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการความละเอียดสูงในราคาที่จับต้องได้ ด้วยขนาด 27 นิ้วและความละเอียด 4K ทำให้ภาพคมชัด เหมาะทั้งงานกราฟิกและการดูหนัง จุดเด่นคือการให้สีที่แม่นยำและมุมมองกว้าง แต่ก็มีข้อสังเกตเรื่องความสว่างที่อาจไม่สูงเท่าจอระดับพรีเมียม อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มองหาจอ 4K ในงบประมาณที่ไม่แรง นี่ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก
    https://www.techradar.com/computing/innocn-27-ga27w1q-4k-monitor-review

    แอมป์/DAC ขนาดเล็กที่แทนชุดเครื่องเสียงได้
    นี่คืออุปกรณ์ที่รวมแอมป์และ DAC ไว้ในตัวเดียว ขนาดเล็กจนสามารถวางบนโต๊ะทำงานได้สบาย แต่ให้พลังเสียงที่สามารถแทนชุดเครื่องเสียงขนาดใหญ่ได้เลย เหมาะสำหรับคนที่เริ่มเข้าสู่วงการเครื่องเสียงและอยากได้คุณภาพเสียงที่ดีโดยไม่ต้องลงทุนกับอุปกรณ์หลายชิ้น จุดแข็งคือการเชื่อมต่อที่หลากหลายและเสียงที่ใสสะอาด ทำให้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและตอบโจทย์คนรักเสียงเพลงที่มีพื้นที่จำกัด
    https://www.techradar.com/audio/dacs/this-super-compact-budget-desktop-amp-dac-can-replace-a-mini-hi-fi-stack-and-its-perfect-for-budding-audiophiles

    ข่าวลือ Samsung Galaxy S26 และชิป Exynos 2600
    มีการหลุดข้อมูลจาก One UI 8.5 ที่อาจเผยให้เห็นดีไซน์ของ Galaxy S26 ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับโฉมใหม่ พร้อมกับข่าวลือเรื่องชิป Exynos 2600 ที่อาจถูกนำมาใช้ จุดสนใจคือการพัฒนาให้เครื่องมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและดีไซน์ที่ทันสมัยกว่าเดิม แม้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่กระแสข่าวนี้ก็ทำให้แฟน ๆ Samsung ตื่นเต้นและจับตามองว่าจะออกมาในรูปแบบใด
    https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/samsung-may-have-leaked-the-galaxy-s26-design-through-one-ui-8-5-and-another-exynos-2600-rumor-has-emerged

    รีวิว TerraMaster F2-425 NAS
    อุปกรณ์ NAS รุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากในบ้านหรือสำนักงานเล็ก ๆ จุดเด่นคือการรองรับการทำงานที่รวดเร็วและมีฟีเจอร์ที่เหมาะกับการสำรองข้อมูลหรือแชร์ไฟล์ภายในทีม แม้จะไม่หรูหราเท่า NAS ระดับองค์กร แต่ก็ถือว่ามีความคุ้มค่าในด้านราคาและประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับคนที่อยากได้ระบบจัดเก็บข้อมูลที่เชื่อถือได้โดยไม่ต้องลงทุนสูง
    https://www.techradar.com/computing/terramaster-f2-425-nas-review

    ต่อ Mac Mini เข้ากับไดรฟ์เทป LTO-10 ขนาด 30TB

    นี่คือการเชื่อมต่อที่น่าสนใจมาก เพราะทำให้ Mac Mini สามารถใช้งานไดรฟ์เทป LTO-10 ที่มีความจุถึง 30TB ได้ โดยความเร็วที่ได้ใกล้เคียงกับ SSD เลยทีเดียว ถือเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีเก่ากับใหม่ที่ลงตัว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลในราคาที่คุ้มค่า และยังได้ความเร็วที่ไม่แพ้การใช้ดิสก์สมัยใหม่
    https://www.techradar.com/pro/you-can-now-buy-a-30tb-tape-drive-and-connect-it-to-your-apple-mac-mini-and-its-almost-as-fast-as-an-ssd

    Samsung Galaxy Z Trifold กำลังมา – iPhone Fold ต้องรีบแล้ว
    ข่าวลือบอกว่า Samsung เตรียมเปิดตัว Galaxy Z Trifold ซึ่งเป็นมือถือพับสามทบ ทำให้ Apple ที่มีข่าวลือเรื่อง iPhone Fold ต้องเร่งเครื่องออกสู่ตลาด หากช้าเกินไปอาจเสียโอกาสในการแข่งขัน จุดเด่นของ Trifold คือการขยายหน้าจอได้ใหญ่ขึ้นเหมือนแท็บเล็ต แต่ยังพับเก็บได้เหมือนมือถือธรรมดา ทำให้เป็นที่จับตามองในวงการสมาร์ทโฟน
    https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/with-the-samsung-galaxy-z-trifold-on-the-way-apples-rumored-iphone-fold-needs-to-hit-shelves-soon

    Bose Smart Soundbar vs Sony Bravia Theater Bar 6
    การเปรียบเทียบซาวด์บาร์สองรุ่นนี้เน้นไปที่ระบบเสียง Dolby Atmos ที่ทั้งคู่รองรับ Bose Smart Soundbar มีชื่อเสียงเรื่องเสียงที่สมดุลและดีไซน์เรียบหรู ส่วน Sony Bravia Theater Bar 6 โดดเด่นด้วยพลังเสียงที่กระจายรอบทิศทางได้สมจริงกว่า การเลือกขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้ต้องการความเรียบง่ายและคุณภาพเสียงที่มั่นคง หรืออยากได้ประสบการณ์เสียงโอบล้อมเต็มรูปแบบ
    https://www.techradar.com/televisions/soundbars/bose-smart-soundbar-vs-sony-bravia-theater-bar-6-which-dolby-atmos-soundbar-is-right-for-you

    ลืมกล้อง ลืม AI – สิ่งที่คนอยากได้จริงคือแบตมือถือที่อึดกว่า
    บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้ใช้สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจแค่กล้องหรือชิปใหม่ แต่สิ่งที่ต้องการจริง ๆ คือแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานขึ้น ทุกวันนี้มือถือเต็มไปด้วยฟีเจอร์ล้ำ ๆ แต่ถ้าแบตหมดไวก็ไร้ประโยชน์ การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่จึงเป็นสิ่งที่ผู้ใช้คาดหวังมากที่สุดในอนาคต
    https://www.techradar.com/phones/forget-cameras-ai-and-chip-upgrades-you-really-want-better-phone-battery-life

      ดีล Netflix กับ Warner Bros. หมายถึงอะไรสำหรับผู้ชม
    การจับมือกันครั้งนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการสตรีมมิ่ง ทั้งเรื่องราคาที่อาจปรับขึ้น และการเข้าถึงคอนเทนต์ที่กว้างขึ้น ผู้เชี่ยวชาญมองว่าผู้ใช้จะได้ประโยชน์จากการรวมคอนเทนต์ แต่ก็ต้องเตรียมใจรับกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ดีลนี้สะท้อนการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดสตรีมมิ่งที่ไม่มีใครยอมแพ้
    ​​​​​​​ https://www.techradar.com/streaming/netflix/what-does-the-netflix-and-warner-bros-deal-mean-for-you-heres-what-experts-say-about-price-hikes-and-more
    📌📡🔴 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🔴📡📌 #รวมข่าวIT #20251207 #TechRadar 📱🔒 US Security Agency เตือนเลิกใช้ VPN ส่วนตัวบนมือถือ หน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ของสหรัฐฯ หรือ CISA ออกคำเตือนแรงว่า “อย่าใช้ VPN ส่วนตัว” โดยเฉพาะบน iPhone และ Android เพราะแทนที่จะช่วยป้องกัน กลับเพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ใช้มากขึ้น เนื่องจากข้อมูลที่เคยอยู่กับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจะถูกย้ายไปอยู่กับผู้ให้บริการ VPN ซึ่งหลายเจ้าไม่มีมาตรการความปลอดภัยที่ดีพอ บางรายถึงขั้นเก็บข้อมูลหรือแฝงมัลแวร์มาในแอปฟรี ๆ อีกด้วย คำเตือนนี้สะท้อนว่าการเลือก VPN ไม่ใช่เรื่องเล็ก ต้องเลือกเจ้าใหญ่ที่มีการตรวจสอบนโยบาย “no-logs” และใช้มาตรฐานเข้ารหัสที่แข็งแรง เช่น OpenVPN หรือ WireGuard รวมถึงฟีเจอร์เสริมอย่าง kill switch และ DNS leak protection เพื่อความปลอดภัยจริง ๆ 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/us-security-agency-urges-android-and-iphone-users-to-stop-using-personal-vpns 👵👩‍💻 งานวิจัยใหม่เผย คนรุ่นใหญ่ไม่ค่อยเห็นว่า AI มีประโยชน์ ผลสำรวจจาก Cisco ชี้ให้เห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นใหญ่ คนอายุต่ำกว่า 35 ปีส่วนใหญ่ใช้ AI อย่างจริงจังและมองว่ามีประโยชน์ต่อการทำงานและชีวิตประจำวัน แต่คนอายุเกิน 45 ปีครึ่งหนึ่งไม่เคยใช้ AI เลย โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 55 ปีขึ้นไปที่บอกว่าไม่คุ้นเคยมากกว่าปฏิเสธ outright ขณะเดียวกันประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น อินเดีย บราซิล และเม็กซิโก กลับเป็นผู้นำในการใช้ AI อย่างแพร่หลาย ต่างจากยุโรปที่ยังมีความไม่มั่นใจและกฎระเบียบเข้มงวดที่ทำให้การใช้งานช้าลง งานวิจัยนี้สะท้อนว่าการสร้างทักษะดิจิทัลให้ทุกวัยเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้ “Generation AI” ครอบคลุมทุกคนจริง ๆ 🔗 https://www.techradar.com/pro/new-research-reveals-older-users-less-likely-to-find-ai-useful ⚖️📲 EU เปิดการสอบสวน Meta เรื่องนโยบาย AI บน WhatsApp คณะกรรมาธิการยุโรปเริ่มการสอบสวนเชิงลึกต่อ Meta ว่านโยบายใหม่ของ WhatsApp อาจกีดกันคู่แข่งด้าน AI chatbot โดยห้ามไม่ให้ผู้ให้บริการ AI รายอื่นเผยแพร่ผ่าน WhatsApp หากบริการหลักคือ AI ซึ่งทำให้ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง OpenAI และ Microsoft ต้องถอน chatbot ออกจากแพลตฟอร์มแล้ว EU กังวลว่า Meta ใช้อำนาจตลาดเพื่อดัน Meta AI ของตัวเองและปิดกั้นนวัตกรรม หากพบผิดจริง Meta อาจโดนปรับสูงถึง 16.5 พันล้านดอลลาร์ การสอบสวนนี้สะท้อนความเข้มงวดของยุโรปในการป้องกันการผูกขาดและรักษาสนามแข่งขันที่เป็นธรรมในยุค AI 🔗 https://www.techradar.com/pro/eu-launches-antitrust-investigation-into-metas-whatsapp-ai-access-policy ⚠️💻 ช่องโหว่ React ระดับวิกฤติ เสี่ยงถูกโจมตีทันที นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบช่องโหว่ร้ายแรงใน React Server Components ที่ถูกจัดระดับความรุนแรงเต็ม 10/10 (CVE-2025-55182) ช่องโหว่นี้เปิดทางให้แฮกเกอร์แม้จะมีทักษะต่ำก็สามารถรันโค้ดอันตรายจากระยะไกลได้ทันที โดยกระทบหลายเฟรมเวิร์กยอดนิยมอย่าง Next.js, React Router และ Vite ทีม React ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 19.0.1, 19.1.2 และ 19.2.1 พร้อมเตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตโดยด่วน เพราะนักวิจัยยืนยันว่าการโจมตี “เกิดขึ้นแน่นอน” และมีโอกาสสำเร็จเกือบ 100% เนื่องจาก React ถูกใช้ในเว็บใหญ่ทั่วโลก เช่น Facebook, Netflix และ Airbnb ทำให้พื้นที่เสี่ยงกว้างมาก 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/experts-warn-this-worst-case-scenario-react-vulnerability-could-soon-be-exploited-so-patch-now 💰🕵️ Europol ทลายเครือข่ายฟอกเงินคริปโตมูลค่า 700 ล้าน Europol ร่วมกับตำรวจหลายประเทศยุโรปเข้าจับกุมเครือข่ายฟอกเงินและหลอกลงทุนคริปโตที่มีมูลค่ากว่า 700 ล้านดอลลาร์ ปฏิบัติการนี้แบ่งเป็นสองเฟส เริ่มจากการบุกค้นในไซปรัส เยอรมนี และสเปน ยึดเงินสด คริปโต และทรัพย์สินหรู รวมกว่า 1.7 ล้านดอลลาร์ พร้อมจับกุมผู้ต้องสงสัย 9 คน เครือข่ายนี้ใช้แพลตฟอร์มลงทุนปลอมและคอลเซ็นเตอร์กดดันเหยื่อให้ลงทุนเพิ่ม อีกทั้งยังใช้โฆษณาหลอกลวงบนโซเชียลมีเดีย โดยบางครั้งถึงขั้นใช้ deepfake คนดังอย่าง Elon Musk หรือ Donald Trump เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ การทลายครั้งนี้ถือเป็นการตัดเส้นเลือดใหญ่ของอุตสาหกรรมหลอกลวงคริปโตที่กำลังระบาดหนักในยุโรป 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/europol-takes-down-crypto-and-laundering-network-worth-700-million 📱📡 ปี 2025 สมาร์ทโฟนกลับมาน่าตื่นเต้นอีกครั้ง (ไม่ใช่เพราะ AI) หลายคนบ่นว่าโทรศัพท์มือถือเริ่มน่าเบื่อ แต่ปี 2025 กลับมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจโดยไม่เกี่ยวกับ AI เลย อย่างแรกคือการมาของ แบตเตอรี่โซลิดสเตต ที่ทำให้มือถือชาร์จเร็วขึ้นและใช้งานได้นานกว่าเดิม ต่อมาคือ การเชื่อมต่อดาวเทียม ที่เริ่มกลายเป็นมาตรฐาน ทำให้ผู้ใช้สามารถติดต่อได้แม้ไม่มีสัญญาณเครือข่าย อีกทั้งยังมี การออกแบบใหม่ที่บางและทนทานกว่า รวมถึง จอพับที่พัฒนาไปอีกขั้น จนใช้งานจริงได้สะดวกขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้ปี 2025 เป็นปีที่มือถือกลับมามีเสน่ห์อีกครั้งโดยไม่ต้องพึ่งกระแส AI 🔗 https://www.techradar.com/phones/think-phones-are-boring-here-are-4-reasons-why-2025-was-a-big-year-for-smartphones-and-none-of-them-are-ai 🎲🤖 OpenAI ชนะ Google, Meta และ Grok ในทัวร์นาเมนต์โป๊กเกอร์ AI การแข่งขันโป๊กเกอร์ที่จัดขึ้นโดยใช้แต่ AI เป็นผู้เล่น ปรากฏว่า OpenAI สามารถเอาชนะคู่แข่งรายใหญ่ทั้ง Google, Meta และ Grok ได้สำเร็จ การแข่งขันนี้ไม่ใช่แค่เกม แต่เป็นการทดสอบความสามารถของ AI ในการวางกลยุทธ์ การอ่านสถานการณ์ และการตัดสินใจในสภาพที่ไม่แน่นอน ผลลัพธ์สะท้อนว่า AI ของ OpenAI มีความเหนือชั้นในด้านการปรับตัวและการคิดเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญต่อการนำไปใช้ในโลกจริง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ การเงิน หรือการวิจัย 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/openai-beats-google-meta-and-grok-in-all-ai-poker-tournament ⚠️📂 Surfshark เตือน แอปแชร์ไฟล์ฟรีเสี่ยงเปิดข้อมูลให้คนอื่นเห็น รายงานใหม่จาก Surfshark ระบุว่าแอปแชร์ไฟล์ฟรีจำนวนมากมีช่องโหว่ที่ทำให้การดาวน์โหลดของผู้ใช้ถูกเปิดเผยต่อบุคคลอื่น ซึ่งอาจนำไปสู่การขโมยข้อมูลหรือมัลแวร์เข้ามาได้ ปัญหานี้เกิดจากการที่หลายแอปไม่ได้เข้ารหัสการเชื่อมต่อหรือไม่มีมาตรการป้องกันที่ดีพอ ผู้ใช้ที่คิดว่า “ฟรีและสะดวก” อาจต้องแลกด้วยความเสี่ยงด้านความปลอดภัย คำแนะนำคือควรเลือกใช้บริการที่มีชื่อเสียง มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end และหลีกเลี่ยงการแชร์ไฟล์สำคัญผ่านแอปที่ไม่น่าเชื่อถือ 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/think-before-you-click-most-free-file-sharing-apps-expose-your-downloads-to-security-risks-warns-surfshark 🖥️ ราคาคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์พุ่งสูงเพราะขาดแคลนหน่วยความจำ ตอนนี้โลกเทคโนโลยีกำลังเจอปัญหาใหญ่ เพราะหน่วยความจำ DRAM และ HBM ถูกเบี่ยงไปผลิตเพื่อรองรับเซิร์ฟเวอร์ AI ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ทั่วไปขาดตลาด ราคาจึงพุ่งขึ้นอย่างแรง ผู้ผลิตรายใหญ่ทั้ง Dell, Lenovo, HP และ HPE เตรียมขึ้นราคาประมาณ 15% สำหรับเซิร์ฟเวอร์ และ 5% สำหรับ PC ส่วนผู้ใช้ทั่วไปก็อาจต้องเจอราคาที่สูงขึ้นเมื่อซื้อแล็ปท็อปหรืออุปกรณ์ใหม่ๆ สถานการณ์นี้สะท้อนว่า AI กำลังเปลี่ยนทิศทางตลาดฮาร์ดแวร์อย่างชัดเจน 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-bad-news-continues-server-prices-set-to-rise-in-latest-blow-to-hardware-budgets 🎵 Spotify Wrapped 2025 เผยวิธีคำนวณจริง หลายคนสงสัยว่าทำไมสรุปการฟังเพลงปลายปีของ Spotify ถึงดูแปลกไปบ้าง ล่าสุด Spotify ออกมาอธิบายแล้วว่าแต่ละหมวดใช้วิธีคำนวณต่างกัน เช่น เพลงยอดนิยมวัดจากจำนวนครั้งที่ฟัง แต่สำหรับอัลบั้มจะดูว่าฟังครบหลายเพลงและกระจายการฟังอย่างไร นอกจากนี้ข้อมูลจะเก็บตั้งแต่ 1 มกราคมถึงพฤศจิกายน ไม่ใช่ครบทั้งปี และยังรวมการฟังแบบออฟไลน์ด้วย ฟีเจอร์ใหม่อย่าง “Listening Age” ที่เดาอายุจากแนวเพลงก็ทำให้หลายคนงง แต่จริงๆ มันสะท้อนพฤติกรรมการฟังที่เปลี่ยนไปตลอดปี 🔗 https://www.techradar.com/audio/spotify/your-spotify-wrapped-2025-data-isnt-wrong-the-streaming-giant-just-revealed-all-about-how-its-calculated 🪟 หนี้เทคนิค Windows ที่องค์กรยังไม่แก้ แม้ Windows 10 จะหมดการสนับสนุนไปแล้ว แต่หลายองค์กรยังคงใช้ต่อ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “หนี้เทคนิค” ซึ่งเสี่ยงต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ การสำรวจพบว่า 9 ใน 10 บริษัทเจอปัญหานี้ แต่มีเพียง 14% ที่จริงจังกับการแก้ไขในปีหน้า เหตุผลหลักคือค่าใช้จ่ายสูง ความซับซ้อนของระบบ และความกลัวว่าจะทำให้ระบบล่ม หลายองค์กรเลือกที่จะเลื่อนการแก้ไขออกไปจนกว่าจะเกิดปัญหา ทั้งที่จริงๆ การแก้ทีละขั้นตอนและใช้เครื่องมือเฉพาะทางจะช่วยลดความเสี่ยงและเปิดทางให้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ดีกว่า 🔗 https://www.techradar.com/pro/why-are-companies-not-tackling-their-windows-technical-debt 📱 Huawei Pura X พลิกนิยามมือถือฝาพับ Huawei เปิดตัว Pura X ที่ทำให้คนมองมือถือฝาพับต่างออกไป จากเดิมที่แบรนด์อื่นเน้นทำให้มือถือใหญ่พับเล็กลง แต่ Huawei กลับทำให้มันกลายเป็นเหมือนแท็บเล็ตขนาดพกพา หน้าจอหลักสัดส่วน 16:10 ขนาด 6.3 นิ้ว ใช้งานดูหนังหรือทำงานได้สะดวกขึ้น อีกทั้งยังมีหน้าจอด้านหน้า 3.5 นิ้วพร้อมกล้องสามตัว รวมถึงเลนส์เทเลโฟโต้ที่คู่แข่งยังไม่มี จุดเด่นนี้ทำให้มันเป็นมือถือฝาพับที่มีกล้องดีที่สุดในตลาดตอนนี้ แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องการใช้งาน Google และการวางขายที่จำกัด แต่ก็ถือเป็นการออกแบบที่ท้าทายให้คู่แข่งต้องคิดใหม่ 🔗 https://www.techradar.com/phones/huawei-phones/i-tried-huaweis-strange-pura-x-foldable-and-its-made-me-rethink-every-other-flip-phone 🎮 โพลเลือกจอยเกมโปรดที่ผลลัพธ์ชวนงง TechRadar เคยทำโพลถามผู้อ่านว่าจอยเกมที่ชอบที่สุดคือรุ่นไหน ผลออกมาน่าตกใจเพราะ “Steam Controller” ของ Valve ที่เคยถูกวิจารณ์เรื่องดีไซน์แปลก กลับได้คะแนนสูงสุด 15% แซงหน้า Xbox 360 Controller ที่ได้ 13% และ DualSense Edge ของ PlayStation ที่ได้ 11% หลายคนเชื่อว่าผลนี้อาจเพราะแฟน Steam เข้ามาโหวตเยอะ หรือบางคนอาจโหวตแบบขำๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร มันก็สะท้อนว่าความชอบของผู้เล่นเกมนั้นหลากหลายและไม่จำเป็นต้องตรงกับมาตรฐานตลาดเสมอไป 🔗 https://www.techradar.com/gaming/you-told-me-your-favorite-controller-ever-and-i-dont-believe-you ⚙️ ชิป AI จากจีน Cambricon เตรียมผลิตเพิ่มสามเท่า Cambricon บริษัทชิปจากจีนประกาศแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตชิป AI ถึงสามเท่าในปีหน้า เพื่อแข่งกับยักษ์ใหญ่อย่าง Nvidia และ Huawei แต่ก็ต้องเจอความท้าทายใหญ่จากการผลิตที่ซับซ้อนและต้นทุนสูง โดยเฉพาะการหาพันธมิตรด้านการผลิตที่สามารถรองรับเทคโนโลยีขั้นสูงได้ ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนว่าจีนกำลังผลักดันอุตสาหกรรมชิป AI อย่างจริงจังเพื่อไม่ให้พึ่งพาต่างชาติ 🔗 https://www.techradar.com/pro/this-chinese-chip-giant-is-boosting-production-to-try-and-take-on-nvidia-but-how-will-huawei-feel 🪟 Windows 11 ยังไม่สามารถแทนที่ Windows 10 ได้ แม้ Microsoft จะพยายามผลักดัน Windows 11 แต่สถิติการใช้งานยังชี้ว่าผู้ใช้จำนวนมหาศาลยังคงอยู่กับ Windows 10 โดยเฉพาะในองค์กรและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่เดิม เหตุผลหลักคือความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดที่สูง ทำให้ Windows 10 ยังคงครองความนิยมอย่างเหนียวแน่นในหลายตลาด และกลายเป็นความท้าทายที่ Microsoft ต้องหาทางแก้ 🔗 https://www.techradar.com/pro/windows-11-still-cant-topple-its-older-siblings-usage-stats-show-windows-10-remains-mind-boggingly-popular 🚀 5 สิ่งสำคัญที่นักพัฒนาต้องคำนึงเพื่อให้งานไม่หลุดราง ในยุคที่การพัฒนาโปรแกรมเต็มไปด้วยความเร่งรีบและความซับซ้อน การจะทำให้งาน “อยู่บนราง” ไม่ใช่แค่เขียนโค้ดให้เสร็จ แต่ต้องมีการวางเป้าหมายที่ชัดเจน กำหนดว่า “เสร็จ” หมายถึงอะไร เพื่อหลีกเลี่ยงการขยายขอบเขตงานโดยไม่จำเป็น การจัดตารางเวลาที่ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะโลกจริงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นอกจากนี้ยังต้องมีระบบติดตามงานที่โปร่งใส มีการวัดผลที่เน้นคุณค่า ไม่ใช่แค่ชั่วโมงที่ใช้ไป ทีมต้องรู้จักประเมินกำลังคนและทรัพยากร เพื่อไม่ให้เกิดการทำงานเกินกำลัง และสุดท้ายคือการบริหารความเสี่ยง พร้อมสื่อสารกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างตรงไปตรงมา ทั้งหมดนี้ช่วยให้ทีมพัฒนาไปถึงเป้าหมายได้อย่างมั่นคงและไม่หลุดราง 🔗 https://www.techradar.com/pro/5-essential-considerations-for-developers-to-stay-on-track 🖥️ รีวิวจอ InnoCN 27 นิ้ว GA27W1Q 4K จอภาพรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการความละเอียดสูงในราคาที่จับต้องได้ ด้วยขนาด 27 นิ้วและความละเอียด 4K ทำให้ภาพคมชัด เหมาะทั้งงานกราฟิกและการดูหนัง จุดเด่นคือการให้สีที่แม่นยำและมุมมองกว้าง แต่ก็มีข้อสังเกตเรื่องความสว่างที่อาจไม่สูงเท่าจอระดับพรีเมียม อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มองหาจอ 4K ในงบประมาณที่ไม่แรง นี่ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก 🔗 https://www.techradar.com/computing/innocn-27-ga27w1q-4k-monitor-review 🎶 แอมป์/DAC ขนาดเล็กที่แทนชุดเครื่องเสียงได้ นี่คืออุปกรณ์ที่รวมแอมป์และ DAC ไว้ในตัวเดียว ขนาดเล็กจนสามารถวางบนโต๊ะทำงานได้สบาย แต่ให้พลังเสียงที่สามารถแทนชุดเครื่องเสียงขนาดใหญ่ได้เลย เหมาะสำหรับคนที่เริ่มเข้าสู่วงการเครื่องเสียงและอยากได้คุณภาพเสียงที่ดีโดยไม่ต้องลงทุนกับอุปกรณ์หลายชิ้น จุดแข็งคือการเชื่อมต่อที่หลากหลายและเสียงที่ใสสะอาด ทำให้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและตอบโจทย์คนรักเสียงเพลงที่มีพื้นที่จำกัด 🔗 https://www.techradar.com/audio/dacs/this-super-compact-budget-desktop-amp-dac-can-replace-a-mini-hi-fi-stack-and-its-perfect-for-budding-audiophiles 📱 ข่าวลือ Samsung Galaxy S26 และชิป Exynos 2600 มีการหลุดข้อมูลจาก One UI 8.5 ที่อาจเผยให้เห็นดีไซน์ของ Galaxy S26 ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับโฉมใหม่ พร้อมกับข่าวลือเรื่องชิป Exynos 2600 ที่อาจถูกนำมาใช้ จุดสนใจคือการพัฒนาให้เครื่องมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและดีไซน์ที่ทันสมัยกว่าเดิม แม้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่กระแสข่าวนี้ก็ทำให้แฟน ๆ Samsung ตื่นเต้นและจับตามองว่าจะออกมาในรูปแบบใด 🔗 https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/samsung-may-have-leaked-the-galaxy-s26-design-through-one-ui-8-5-and-another-exynos-2600-rumor-has-emerged 💾 รีวิว TerraMaster F2-425 NAS อุปกรณ์ NAS รุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากในบ้านหรือสำนักงานเล็ก ๆ จุดเด่นคือการรองรับการทำงานที่รวดเร็วและมีฟีเจอร์ที่เหมาะกับการสำรองข้อมูลหรือแชร์ไฟล์ภายในทีม แม้จะไม่หรูหราเท่า NAS ระดับองค์กร แต่ก็ถือว่ามีความคุ้มค่าในด้านราคาและประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับคนที่อยากได้ระบบจัดเก็บข้อมูลที่เชื่อถือได้โดยไม่ต้องลงทุนสูง 🔗 https://www.techradar.com/computing/terramaster-f2-425-nas-review 💽 ต่อ Mac Mini เข้ากับไดรฟ์เทป LTO-10 ขนาด 30TB นี่คือการเชื่อมต่อที่น่าสนใจมาก เพราะทำให้ Mac Mini สามารถใช้งานไดรฟ์เทป LTO-10 ที่มีความจุถึง 30TB ได้ โดยความเร็วที่ได้ใกล้เคียงกับ SSD เลยทีเดียว ถือเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีเก่ากับใหม่ที่ลงตัว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลในราคาที่คุ้มค่า และยังได้ความเร็วที่ไม่แพ้การใช้ดิสก์สมัยใหม่ 🔗 https://www.techradar.com/pro/you-can-now-buy-a-30tb-tape-drive-and-connect-it-to-your-apple-mac-mini-and-its-almost-as-fast-as-an-ssd 📱📖 Samsung Galaxy Z Trifold กำลังมา – iPhone Fold ต้องรีบแล้ว ข่าวลือบอกว่า Samsung เตรียมเปิดตัว Galaxy Z Trifold ซึ่งเป็นมือถือพับสามทบ ทำให้ Apple ที่มีข่าวลือเรื่อง iPhone Fold ต้องเร่งเครื่องออกสู่ตลาด หากช้าเกินไปอาจเสียโอกาสในการแข่งขัน จุดเด่นของ Trifold คือการขยายหน้าจอได้ใหญ่ขึ้นเหมือนแท็บเล็ต แต่ยังพับเก็บได้เหมือนมือถือธรรมดา ทำให้เป็นที่จับตามองในวงการสมาร์ทโฟน 🔗 https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/with-the-samsung-galaxy-z-trifold-on-the-way-apples-rumored-iphone-fold-needs-to-hit-shelves-soon 🔊 Bose Smart Soundbar vs Sony Bravia Theater Bar 6 การเปรียบเทียบซาวด์บาร์สองรุ่นนี้เน้นไปที่ระบบเสียง Dolby Atmos ที่ทั้งคู่รองรับ Bose Smart Soundbar มีชื่อเสียงเรื่องเสียงที่สมดุลและดีไซน์เรียบหรู ส่วน Sony Bravia Theater Bar 6 โดดเด่นด้วยพลังเสียงที่กระจายรอบทิศทางได้สมจริงกว่า การเลือกขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้ต้องการความเรียบง่ายและคุณภาพเสียงที่มั่นคง หรืออยากได้ประสบการณ์เสียงโอบล้อมเต็มรูปแบบ 🔗 https://www.techradar.com/televisions/soundbars/bose-smart-soundbar-vs-sony-bravia-theater-bar-6-which-dolby-atmos-soundbar-is-right-for-you 🔋 ลืมกล้อง ลืม AI – สิ่งที่คนอยากได้จริงคือแบตมือถือที่อึดกว่า บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้ใช้สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจแค่กล้องหรือชิปใหม่ แต่สิ่งที่ต้องการจริง ๆ คือแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานขึ้น ทุกวันนี้มือถือเต็มไปด้วยฟีเจอร์ล้ำ ๆ แต่ถ้าแบตหมดไวก็ไร้ประโยชน์ การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่จึงเป็นสิ่งที่ผู้ใช้คาดหวังมากที่สุดในอนาคต 🔗 https://www.techradar.com/phones/forget-cameras-ai-and-chip-upgrades-you-really-want-better-phone-battery-life 🎬  ดีล Netflix กับ Warner Bros. หมายถึงอะไรสำหรับผู้ชม การจับมือกันครั้งนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการสตรีมมิ่ง ทั้งเรื่องราคาที่อาจปรับขึ้น และการเข้าถึงคอนเทนต์ที่กว้างขึ้น ผู้เชี่ยวชาญมองว่าผู้ใช้จะได้ประโยชน์จากการรวมคอนเทนต์ แต่ก็ต้องเตรียมใจรับกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ดีลนี้สะท้อนการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดสตรีมมิ่งที่ไม่มีใครยอมแพ้ ​​​​​​​🔗 https://www.techradar.com/streaming/netflix/what-does-the-netflix-and-warner-bros-deal-mean-for-you-heres-what-experts-say-about-price-hikes-and-more
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251207 #securityonline

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache Tika Core (CVE-2025-66516)
    เรื่องนี้เป็นการเตือนครั้งใหญ่ในวงการความปลอดภัยไซเบอร์ เพราะ Apache Tika ซึ่งเป็นเครื่องมือมาตรฐานที่ใช้วิเคราะห์ไฟล์หลากหลายชนิด ถูกพบว่ามีช่องโหว่ XXE ที่ร้ายแรงมาก โดยผู้โจมตีสามารถฝังข้อมูล XML อันตรายไว้ในไฟล์ PDF และเมื่อระบบนำไปประมวลผลก็จะเปิดทางให้เข้าถึงข้อมูลลับ ทำให้เกิดการรั่วไหลหรือแม้แต่การโจมตีแบบ SSRF ได้ ที่น่ากังวลคือหลายองค์กรคิดว่าตัวเองปลอดภัยแล้วจากการอัปเดตครั้งก่อน แต่จริง ๆ แล้วช่องโหว่นี้อยู่ในตัว “tika-core” ไม่ใช่แค่โมดูล PDF เท่านั้น ดังนั้นใครที่ยังใช้เวอร์ชันต่ำกว่า 3.2.2 ต้องรีบอัปเดตทันทีเพื่อปิดช่องโหว่
    https://securityonline.info/the-pdf-trap-critical-vulnerability-cve-2025-66516-cvss-10-0-hits-apache-tika-core

    มัลแวร์ขุดคริปโตแบบแอบเนียนผ่าน USB และ DLL Side-Loading
    ภัยคุกคามเก่าแต่ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งในเกาหลีใต้ เมื่อมัลแวร์ CoinMiner ถูกแพร่ผ่าน USB drive ที่ดูเหมือนมีไฟล์ปกติ แต่จริง ๆ แล้วซ่อนสคริปต์และไฟล์อันตรายไว้ เมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์ลัด มัลแวร์จะเริ่มทำงานทันที โดยใช้เทคนิค DLL Side-Loading เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ และสุดท้ายก็ลงโปรแกรมขุด Monero แบบ “Smart Mining” ที่ฉลาดพอจะหยุดทำงานชั่วคราวเมื่อผู้ใช้เปิดเกมหรือ Task Manager เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ ถือเป็นการผสมผสานวิธีการเก่าเข้ากับเทคนิคใหม่ที่ซับซ้อนมาก
    https://securityonline.info/stealth-cryptominer-uses-usb-lnk-and-dll-side-loading-to-deploy-smart-mining-evasion

    Apache HTTP Server อัปเดตแก้ช่องโหว่ SSRF และ suexec Bypass
    Apache HTTP Server รุ่น 2.4.66 ได้ออกแพตช์ใหม่เพื่อแก้ไขช่องโหว่หลายรายการ โดยเฉพาะ CVE-2025-59775 ที่อาจทำให้ NTLM hash รั่วไหลบน Windows ผ่านการโจมตีแบบ SSRF และอีกช่องโหว่เกี่ยวกับ suexec ที่ทำให้ผู้ใช้บางรายสามารถรันสคริปต์ภายใต้สิทธิ์ที่ไม่ถูกต้องได้ นอกจากนี้ยังมีบั๊กเล็ก ๆ ที่อาจทำให้ระบบทำงานผิดพลาด เช่นการวนลูปไม่สิ้นสุดในการต่ออายุใบรับรอง การแก้ไขครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่ผู้ดูแลระบบควรรีบอัปเดตเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น
    https://securityonline.info/apache-http-server-2-4-66-fixes-ssrf-flaw-cve-2025-59775-exposing-ntlm-hashes-on-windows-and-suexec-bypass

    รัสเซียบล็อก FaceTime ของ Apple แบบเครือข่าย
    รัฐบาลรัสเซียได้สั่งบล็อกการใช้งาน FaceTime ซึ่งเป็นบริการวิดีโอคอลที่เข้ารหัสแบบ end-to-end ของ Apple โดยอ้างว่าแพลตฟอร์มนี้ถูกใช้ในการก่อการร้ายและอาชญากรรม ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนก็ตาม ผู้ใช้ในรัสเซียที่พยายามโทรผ่าน FaceTime จะพบว่าบริการไม่สามารถใช้งานได้จริง นี่เป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามเทคโนโลยีต่างชาติที่รัสเซียทำต่อเนื่อง หลังจากก่อนหน้านี้บล็อก YouTube, WhatsApp, Telegram และแม้แต่ Roblox ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงและเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายรัฐ
    https://securityonline.info/russia-imposes-network-level-blockade-on-apples-end-to-end-encrypted-facetime

    Android เพิ่มฟีเจอร์ป้องกันการหลอกลวงทางโทรศัพท์
    Google ได้เพิ่มระบบป้องกันการหลอกลวงทางโทรศัพท์ใน Android โดยเฉพาะเวลาที่ผู้ใช้เปิดแอปการเงิน เช่น Cash App หรือ JPMorgan Chase หากมีสายเข้าจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก ระบบจะหยุดการโทรหรือการแชร์หน้าจอไว้ 30 วินาที พร้อมแสดงคำเตือน เพื่อให้ผู้ใช้มีเวลาคิดก่อนจะทำตามคำสั่งของมิจฉาชีพ ฟีเจอร์นี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกให้โอนเงินหรือเปิดเผยข้อมูลสำคัญ และกำลังทยอยเปิดใช้งานในสหรัฐฯ สำหรับ Android 11 ขึ้นไป
    https://securityonline.info/new-android-call-scam-protection-pauses-calls-for-30-seconds-during-financial-app-use

    OpenAI ฝึก AI ให้ “สารภาพ” ความผิดพลาดเอง
    OpenAI กำลังทดลองวิธีใหม่ในการทำให้โมเดล AI มีความซื่อสัตย์มากขึ้น โดยสอนให้มัน “ยอมรับ” เมื่อเกิดข้อผิดพลาดหรือสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง แทนที่จะพยายามตอบต่อไปอย่างมั่นใจเกินจริง แนวคิดนี้คือการให้ AI มีพฤติกรรมคล้ายมนุษย์ที่สามารถบอกว่า “ฉันผิดพลาด” หรือ “ข้อมูลนี้อาจไม่ถูกต้อง” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและลดความเสี่ยงจากการใช้ข้อมูลที่ผิดพลาดในงานสำคัญ ถือเป็นการเปลี่ยนวิธีคิดจากการพยายามทำให้ AI ดูสมบูรณ์แบบ ไปสู่การทำให้มันโปร่งใสและน่าเชื่อถือมากขึ้น
    https://securityonline.info/honesty-is-the-best-policy-openai-trains-ai-models-to-confess-errors-and-hallucinations

    Criminal IP จัด Webinar: Beyond CVEs – จากการมองเห็นสู่การลงมือทำ
    Criminal IP เตรียมจัดสัมมนาออนไลน์เพื่อพูดถึงการจัดการช่องโหว่ที่มากกว่าแค่การรู้จัก CVE โดยเน้นไปที่การทำ ASM (Attack Surface Management) ที่ช่วยให้องค์กรเข้าใจภาพรวมของระบบและสามารถลงมือแก้ไขได้จริง ไม่ใช่แค่การตรวจพบปัญหา จุดสำคัญคือการเปลี่ยนจากการ “เห็น” ไปสู่การ “ทำ” เพื่อให้การป้องกันภัยไซเบอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    https://securityonline.info/criminal-ip-to-host-webinar-beyond-cves-from-visibility-to-action-with-asm

    Sprocket Security ได้รับการยกย่องซ้ำในดัชนีความสัมพันธ์ของ G2
    บริษัท Sprocket Security ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการทดสอบเจาะระบบ (Penetration Testing) ได้รับการจัดอันดับอีกครั้งในดัชนีความสัมพันธ์ของ G2 ประจำฤดูหนาวปี 2025 การได้รับการยอมรับซ้ำนี้สะท้อนถึงความพึงพอใจของลูกค้าและความน่าเชื่อถือของบริการที่บริษัทมอบให้ โดยเฉพาะในด้านการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและการสนับสนุนลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
    https://securityonline.info/sprocket-security-earns-repeat-recognition-in-g2s-winter-2025-relationship-index-for-penetration-testing

    จีน APT UNC5174 ใช้ Discord API เป็นช่องทางลับ
    กลุ่มแฮกเกอร์ APT จากจีนที่มีชื่อว่า UNC5174 ถูกพบว่าใช้ Discord API เป็นช่องทางสื่อสารแบบ C2 (Command and Control) เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับและทำการจารกรรมข้อมูล วิธีนี้ทำให้การโจมตีดูเหมือนการใช้งานปกติของแอปพลิเคชัน แต่จริง ๆ แล้วเป็นการซ่อนคำสั่งและข้อมูลที่ส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี ถือเป็นการใช้แพลตฟอร์มสื่อสารยอดนิยมเป็นเครื่องมือในการทำงานลับ
    https://securityonline.info/china-apt-unc5174-hijacks-discord-api-as-covert-c2-channel-to-evade-detection-and-conduct-espionage

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน Step CA (CVE-2025-44005)
    มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Step CA ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถข้ามการตรวจสอบสิทธิ์และออกใบรับรองปลอมได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ช่องโหว่นี้ถูกจัดระดับ CVSS 10.0 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด หมายความว่ามีความเสี่ยงต่อการถูกโจมตีอย่างมาก หากองค์กรใดใช้ Step CA ในการจัดการใบรับรองดิจิทัล จำเป็นต้องรีบอัปเดตและแก้ไขทันทีเพื่อป้องกันการถูกใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้
    https://securityonline.info/critical-step-ca-flaw-cve-2025-44005-cvss-10-0-allows-unauthenticated-bypass-to-issue-fraudulent-certificates

    การสอดแนมผ่านการสแกน API ของ Palo Alto และ SonicWall
    มีการตรวจพบการสอดแนมแบบประสานงานจากกว่า 7,000 IP ที่พุ่งเป้าไปยัง API ของ GlobalProtect (Palo Alto) และ SonicWall โดยการโจมตีลักษณะนี้มุ่งเน้นไปที่การค้นหาช่องโหว่และการเก็บข้อมูลเพื่อเตรียมการโจมตีในอนาคต ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่แสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้โจมตีเริ่มใช้วิธีการที่ซับซ้อนและทำงานเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    ​​​​​​​ https://securityonline.info/coordinated-reconnaissance-7000-ips-target-palo-alto-globalprotect-and-sonicwall-api-endpoints
    📌🔐🔴 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🔴🔐📌 #รวมข่าวIT #20251207 #securityonline 🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache Tika Core (CVE-2025-66516) เรื่องนี้เป็นการเตือนครั้งใหญ่ในวงการความปลอดภัยไซเบอร์ เพราะ Apache Tika ซึ่งเป็นเครื่องมือมาตรฐานที่ใช้วิเคราะห์ไฟล์หลากหลายชนิด ถูกพบว่ามีช่องโหว่ XXE ที่ร้ายแรงมาก โดยผู้โจมตีสามารถฝังข้อมูล XML อันตรายไว้ในไฟล์ PDF และเมื่อระบบนำไปประมวลผลก็จะเปิดทางให้เข้าถึงข้อมูลลับ ทำให้เกิดการรั่วไหลหรือแม้แต่การโจมตีแบบ SSRF ได้ ที่น่ากังวลคือหลายองค์กรคิดว่าตัวเองปลอดภัยแล้วจากการอัปเดตครั้งก่อน แต่จริง ๆ แล้วช่องโหว่นี้อยู่ในตัว “tika-core” ไม่ใช่แค่โมดูล PDF เท่านั้น ดังนั้นใครที่ยังใช้เวอร์ชันต่ำกว่า 3.2.2 ต้องรีบอัปเดตทันทีเพื่อปิดช่องโหว่ 🔗 https://securityonline.info/the-pdf-trap-critical-vulnerability-cve-2025-66516-cvss-10-0-hits-apache-tika-core 💻 มัลแวร์ขุดคริปโตแบบแอบเนียนผ่าน USB และ DLL Side-Loading ภัยคุกคามเก่าแต่ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งในเกาหลีใต้ เมื่อมัลแวร์ CoinMiner ถูกแพร่ผ่าน USB drive ที่ดูเหมือนมีไฟล์ปกติ แต่จริง ๆ แล้วซ่อนสคริปต์และไฟล์อันตรายไว้ เมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์ลัด มัลแวร์จะเริ่มทำงานทันที โดยใช้เทคนิค DLL Side-Loading เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ และสุดท้ายก็ลงโปรแกรมขุด Monero แบบ “Smart Mining” ที่ฉลาดพอจะหยุดทำงานชั่วคราวเมื่อผู้ใช้เปิดเกมหรือ Task Manager เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ ถือเป็นการผสมผสานวิธีการเก่าเข้ากับเทคนิคใหม่ที่ซับซ้อนมาก 🔗 https://securityonline.info/stealth-cryptominer-uses-usb-lnk-and-dll-side-loading-to-deploy-smart-mining-evasion 🌐 Apache HTTP Server อัปเดตแก้ช่องโหว่ SSRF และ suexec Bypass Apache HTTP Server รุ่น 2.4.66 ได้ออกแพตช์ใหม่เพื่อแก้ไขช่องโหว่หลายรายการ โดยเฉพาะ CVE-2025-59775 ที่อาจทำให้ NTLM hash รั่วไหลบน Windows ผ่านการโจมตีแบบ SSRF และอีกช่องโหว่เกี่ยวกับ suexec ที่ทำให้ผู้ใช้บางรายสามารถรันสคริปต์ภายใต้สิทธิ์ที่ไม่ถูกต้องได้ นอกจากนี้ยังมีบั๊กเล็ก ๆ ที่อาจทำให้ระบบทำงานผิดพลาด เช่นการวนลูปไม่สิ้นสุดในการต่ออายุใบรับรอง การแก้ไขครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่ผู้ดูแลระบบควรรีบอัปเดตเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น 🔗 https://securityonline.info/apache-http-server-2-4-66-fixes-ssrf-flaw-cve-2025-59775-exposing-ntlm-hashes-on-windows-and-suexec-bypass 🚫 รัสเซียบล็อก FaceTime ของ Apple แบบเครือข่าย รัฐบาลรัสเซียได้สั่งบล็อกการใช้งาน FaceTime ซึ่งเป็นบริการวิดีโอคอลที่เข้ารหัสแบบ end-to-end ของ Apple โดยอ้างว่าแพลตฟอร์มนี้ถูกใช้ในการก่อการร้ายและอาชญากรรม ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนก็ตาม ผู้ใช้ในรัสเซียที่พยายามโทรผ่าน FaceTime จะพบว่าบริการไม่สามารถใช้งานได้จริง นี่เป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามเทคโนโลยีต่างชาติที่รัสเซียทำต่อเนื่อง หลังจากก่อนหน้านี้บล็อก YouTube, WhatsApp, Telegram และแม้แต่ Roblox ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงและเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายรัฐ 🔗 https://securityonline.info/russia-imposes-network-level-blockade-on-apples-end-to-end-encrypted-facetime 📱 Android เพิ่มฟีเจอร์ป้องกันการหลอกลวงทางโทรศัพท์ Google ได้เพิ่มระบบป้องกันการหลอกลวงทางโทรศัพท์ใน Android โดยเฉพาะเวลาที่ผู้ใช้เปิดแอปการเงิน เช่น Cash App หรือ JPMorgan Chase หากมีสายเข้าจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก ระบบจะหยุดการโทรหรือการแชร์หน้าจอไว้ 30 วินาที พร้อมแสดงคำเตือน เพื่อให้ผู้ใช้มีเวลาคิดก่อนจะทำตามคำสั่งของมิจฉาชีพ ฟีเจอร์นี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกให้โอนเงินหรือเปิดเผยข้อมูลสำคัญ และกำลังทยอยเปิดใช้งานในสหรัฐฯ สำหรับ Android 11 ขึ้นไป 🔗 https://securityonline.info/new-android-call-scam-protection-pauses-calls-for-30-seconds-during-financial-app-use 🤖 OpenAI ฝึก AI ให้ “สารภาพ” ความผิดพลาดเอง OpenAI กำลังทดลองวิธีใหม่ในการทำให้โมเดล AI มีความซื่อสัตย์มากขึ้น โดยสอนให้มัน “ยอมรับ” เมื่อเกิดข้อผิดพลาดหรือสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง แทนที่จะพยายามตอบต่อไปอย่างมั่นใจเกินจริง แนวคิดนี้คือการให้ AI มีพฤติกรรมคล้ายมนุษย์ที่สามารถบอกว่า “ฉันผิดพลาด” หรือ “ข้อมูลนี้อาจไม่ถูกต้อง” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและลดความเสี่ยงจากการใช้ข้อมูลที่ผิดพลาดในงานสำคัญ ถือเป็นการเปลี่ยนวิธีคิดจากการพยายามทำให้ AI ดูสมบูรณ์แบบ ไปสู่การทำให้มันโปร่งใสและน่าเชื่อถือมากขึ้น 🔗 https://securityonline.info/honesty-is-the-best-policy-openai-trains-ai-models-to-confess-errors-and-hallucinations 🎤 Criminal IP จัด Webinar: Beyond CVEs – จากการมองเห็นสู่การลงมือทำ Criminal IP เตรียมจัดสัมมนาออนไลน์เพื่อพูดถึงการจัดการช่องโหว่ที่มากกว่าแค่การรู้จัก CVE โดยเน้นไปที่การทำ ASM (Attack Surface Management) ที่ช่วยให้องค์กรเข้าใจภาพรวมของระบบและสามารถลงมือแก้ไขได้จริง ไม่ใช่แค่การตรวจพบปัญหา จุดสำคัญคือการเปลี่ยนจากการ “เห็น” ไปสู่การ “ทำ” เพื่อให้การป้องกันภัยไซเบอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น 🔗 https://securityonline.info/criminal-ip-to-host-webinar-beyond-cves-from-visibility-to-action-with-asm 🏆 Sprocket Security ได้รับการยกย่องซ้ำในดัชนีความสัมพันธ์ของ G2 บริษัท Sprocket Security ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการทดสอบเจาะระบบ (Penetration Testing) ได้รับการจัดอันดับอีกครั้งในดัชนีความสัมพันธ์ของ G2 ประจำฤดูหนาวปี 2025 การได้รับการยอมรับซ้ำนี้สะท้อนถึงความพึงพอใจของลูกค้าและความน่าเชื่อถือของบริการที่บริษัทมอบให้ โดยเฉพาะในด้านการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและการสนับสนุนลูกค้าอย่างต่อเนื่อง 🔗 https://securityonline.info/sprocket-security-earns-repeat-recognition-in-g2s-winter-2025-relationship-index-for-penetration-testing 🕵️ จีน APT UNC5174 ใช้ Discord API เป็นช่องทางลับ กลุ่มแฮกเกอร์ APT จากจีนที่มีชื่อว่า UNC5174 ถูกพบว่าใช้ Discord API เป็นช่องทางสื่อสารแบบ C2 (Command and Control) เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับและทำการจารกรรมข้อมูล วิธีนี้ทำให้การโจมตีดูเหมือนการใช้งานปกติของแอปพลิเคชัน แต่จริง ๆ แล้วเป็นการซ่อนคำสั่งและข้อมูลที่ส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี ถือเป็นการใช้แพลตฟอร์มสื่อสารยอดนิยมเป็นเครื่องมือในการทำงานลับ 🔗 https://securityonline.info/china-apt-unc5174-hijacks-discord-api-as-covert-c2-channel-to-evade-detection-and-conduct-espionage 🔒 ช่องโหว่ร้ายแรงใน Step CA (CVE-2025-44005) มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Step CA ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถข้ามการตรวจสอบสิทธิ์และออกใบรับรองปลอมได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ช่องโหว่นี้ถูกจัดระดับ CVSS 10.0 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด หมายความว่ามีความเสี่ยงต่อการถูกโจมตีอย่างมาก หากองค์กรใดใช้ Step CA ในการจัดการใบรับรองดิจิทัล จำเป็นต้องรีบอัปเดตและแก้ไขทันทีเพื่อป้องกันการถูกใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ 🔗 https://securityonline.info/critical-step-ca-flaw-cve-2025-44005-cvss-10-0-allows-unauthenticated-bypass-to-issue-fraudulent-certificates 🌍 การสอดแนมผ่านการสแกน API ของ Palo Alto และ SonicWall มีการตรวจพบการสอดแนมแบบประสานงานจากกว่า 7,000 IP ที่พุ่งเป้าไปยัง API ของ GlobalProtect (Palo Alto) และ SonicWall โดยการโจมตีลักษณะนี้มุ่งเน้นไปที่การค้นหาช่องโหว่และการเก็บข้อมูลเพื่อเตรียมการโจมตีในอนาคต ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่แสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้โจมตีเริ่มใช้วิธีการที่ซับซ้อนและทำงานเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ​​​​​​​🔗 https://securityonline.info/coordinated-reconnaissance-7000-ips-target-palo-alto-globalprotect-and-sonicwall-api-endpoints
    SECURITYONLINE.INFO
    The PDF Trap: Critical Vulnerability (CVE-2025-66516, CVSS 10.0) Hits Apache Tika Core
    Apache patched a Catastrophic XXE flaw (CVE-2025-66516, CVSS 10.0) in Tika Core. The bug is exploitable via malicious XFA data inside a PDF, risking server-side data disclosure and RCE. Update immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • "DIY Mod ใช้ CPU Air Cooler + น้ำแข็งเย็นจัด เพื่อ Liquid-Cool GPU ได้ถึง -14°C"

    บทความจาก Tom’s Hardware เล่าถึงการทดลองสุดแหวกแนวของ TrashBench นักโมดิฟายฮาร์ดแวร์ ที่นำ CPU air cooler (Thermalright Peerless Assassin) มาดัดแปลงให้กลายเป็นระบบ liquid cooling สำหรับ GPU โดยการ ตัด heatpipes เปิดออก แล้วต่อท่อน้ำบาง ๆ เข้าไป จากนั้นใช้ ปั๊ม + portable ice chiller เพื่อส่งน้ำเย็นจัดไหลผ่าน heatpipes【edge_current_page_context】

    ผลลัพธ์คือ GPU อย่าง MSI RTX 3070 สามารถทำงานที่อุณหภูมิ -14°C และได้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% พร้อมโอเวอร์คล็อกเพิ่มอีก +320 MHz ส่วน GTX 960 ยิ่งเห็นผลชัดเจน โดยเกม Cyberpunk 2077 เพิ่ม FPS ได้ถึง 21% และโดยรวมประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นราว 17%【edge_current_page_context】

    แม้ TrashBench จะไม่ได้ประกาศว่าเป็น “ความสำเร็จ” อย่างเป็นทางการ แต่การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า การดัดแปลง air cooler ให้เป็น pseudo-AIO สามารถช่วยโอเวอร์คล็อก GPU ได้โดยไม่ต้องพึ่ง liquid nitrogen หรือระบบ extreme cooling ที่ซับซ้อน ถือเป็นการเพิ่ม “fun” ในการโมดิฟายฮาร์ดแวร์ที่ยังใช้งานได้จริง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    วิธีการโมดิฟาย
    ใช้ Thermalright Peerless Assassin air cooler
    ตัด heatpipes ต่อท่อน้ำ + ปั๊ม + ice chiller
    ส่งน้ำเย็นจัดผ่าน heatpipes สัมผัสกับ GPU die

    ผลลัพธ์
    RTX 3070: อุณหภูมิ -14°C, ประสิทธิภาพ +10%
    GTX 960: FPS เพิ่มสูงสุด 21%, โดยรวม +17%

    ความหมาย
    เป็น pseudo-AIO ที่ช่วยโอเวอร์คล็อก GPU ได้จริง
    ไม่ต้องใช้ LN2 หรือระบบ extreme cooling
    เพิ่มความสนุกและความสร้างสรรค์ในการโมดิฟาย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/cpu-air-cooler-runs-ice-cold-water-through-its-heatpipes-to-liquid-cool-a-gpu-negative-temp-diy-mod-sees-up-to-17-percent-performance-uplift
    ❄️ "DIY Mod ใช้ CPU Air Cooler + น้ำแข็งเย็นจัด เพื่อ Liquid-Cool GPU ได้ถึง -14°C" บทความจาก Tom’s Hardware เล่าถึงการทดลองสุดแหวกแนวของ TrashBench นักโมดิฟายฮาร์ดแวร์ ที่นำ CPU air cooler (Thermalright Peerless Assassin) มาดัดแปลงให้กลายเป็นระบบ liquid cooling สำหรับ GPU โดยการ ตัด heatpipes เปิดออก แล้วต่อท่อน้ำบาง ๆ เข้าไป จากนั้นใช้ ปั๊ม + portable ice chiller เพื่อส่งน้ำเย็นจัดไหลผ่าน heatpipes【edge_current_page_context】 ผลลัพธ์คือ GPU อย่าง MSI RTX 3070 สามารถทำงานที่อุณหภูมิ -14°C และได้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% พร้อมโอเวอร์คล็อกเพิ่มอีก +320 MHz ส่วน GTX 960 ยิ่งเห็นผลชัดเจน โดยเกม Cyberpunk 2077 เพิ่ม FPS ได้ถึง 21% และโดยรวมประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นราว 17%【edge_current_page_context】 แม้ TrashBench จะไม่ได้ประกาศว่าเป็น “ความสำเร็จ” อย่างเป็นทางการ แต่การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า การดัดแปลง air cooler ให้เป็น pseudo-AIO สามารถช่วยโอเวอร์คล็อก GPU ได้โดยไม่ต้องพึ่ง liquid nitrogen หรือระบบ extreme cooling ที่ซับซ้อน ถือเป็นการเพิ่ม “fun” ในการโมดิฟายฮาร์ดแวร์ที่ยังใช้งานได้จริง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ วิธีการโมดิฟาย ➡️ ใช้ Thermalright Peerless Assassin air cooler ➡️ ตัด heatpipes ต่อท่อน้ำ + ปั๊ม + ice chiller ➡️ ส่งน้ำเย็นจัดผ่าน heatpipes สัมผัสกับ GPU die ✅ ผลลัพธ์ ➡️ RTX 3070: อุณหภูมิ -14°C, ประสิทธิภาพ +10% ➡️ GTX 960: FPS เพิ่มสูงสุด 21%, โดยรวม +17% ✅ ความหมาย ➡️ เป็น pseudo-AIO ที่ช่วยโอเวอร์คล็อก GPU ได้จริง ➡️ ไม่ต้องใช้ LN2 หรือระบบ extreme cooling ➡️ เพิ่มความสนุกและความสร้างสรรค์ในการโมดิฟาย https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/cpu-air-cooler-runs-ice-cold-water-through-its-heatpipes-to-liquid-cool-a-gpu-negative-temp-diy-mod-sees-up-to-17-percent-performance-uplift
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • "TSMC เร่งสร้างโรงงาน Advanced Packaging ใน Arizona – ใกล้สู่การผลิตชิป 'Made in USA'"

    รายงานจาก Liberty Times ระบุว่า TSMC อาจกำลังปรับแผนการขยายโรงงานใน Arizona โดยเปลี่ยนพื้นที่ที่เดิมตั้งใจสร้าง Fab 21 Phase 6 ให้กลายเป็น Advanced Packaging Facility แทน ซึ่งหากเป็นจริง จะทำให้ TSMC สามารถผลิตชิปที่ ครบวงจรในสหรัฐฯ ได้ก่อนปี 2030【edge_current_page_context】

    ปัจจุบัน แม้ TSMC จะมีการผลิตเวเฟอร์ที่ Fab 21 ใน Arizona แต่ขั้นตอน dicing, testing และ packaging ยังต้องส่งกลับไปที่ไต้หวัน ทำให้ชิปที่ผลิตในสหรัฐฯ ไม่ถือว่า “100% American-made” การเร่งสร้างโรงงาน packaging ในพื้นที่เดียวกันจะช่วยแก้ปัญหานี้ และลดความเสี่ยงจากภาษีหรือข้อจำกัดด้านการนำเข้า

    ตามแผนล่าสุด TSMC จะสร้าง 6 โมดูล Fab 21, 2 โรงงาน advanced packaging, และ R&D center โดยโรงงาน packaging ใหม่นี้อาจเริ่มติดตั้งเครื่องจักรได้ภายในปี 2027 และเข้าสู่การผลิตเชิงทดลองหลังจากนั้นไม่นาน

    นอกจากนี้ TSMC ยังมีความร่วมมือกับ Amkor ซึ่งกำลังสร้างโรงงาน assembly และ test ใกล้กับ Fab 21 โดยมี Apple เป็นลูกค้าหลัก และคาดว่าจะเริ่มผลิตในปี 2028 แต่การเร่งสร้างโรงงานของ TSMC เองจะช่วยให้บริษัทมี backend capacity เร็วกว่าการพึ่งพาพันธมิตร

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สถานการณ์ปัจจุบัน
    Fab 21 Arizona ผลิตเวเฟอร์ แต่ยังต้องส่งไปไต้หวันเพื่อ packaging
    ทำให้ชิปไม่ถือว่า “100% Made in USA”

    แผนใหม่ของ TSMC
    เปลี่ยนพื้นที่ Fab 21 Phase 6 เป็น Advanced Packaging Facility
    เริ่มติดตั้งเครื่องจักรได้ภายในปี 2027
    ทำให้สหรัฐฯ มีชิปที่ผลิตครบวงจรในประเทศ

    ความร่วมมือกับ Amkor
    Amkor สร้างโรงงาน assembly/test ใกล้ Fab 21
    Apple เป็นลูกค้าหลัก เริ่มผลิตปี 2028
    แต่ TSMC เร่งสร้างเองเพื่อให้ backend capacity พร้อมเร็วกว่า

    ปัจจัยที่ผลักดัน
    ความต้องการจากลูกค้ารายใหญ่
    ความเสี่ยงจากภาษีและการนำเข้า
    ความจำเป็นในการแข่งขันกับคู่แข่งระดับโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-could-be-inching-closer-to-making-all-american-chips-report-says-it-is-accelerating-an-advanced-packaging-facility-in-arizona
    🇺🇸 "TSMC เร่งสร้างโรงงาน Advanced Packaging ใน Arizona – ใกล้สู่การผลิตชิป 'Made in USA'" รายงานจาก Liberty Times ระบุว่า TSMC อาจกำลังปรับแผนการขยายโรงงานใน Arizona โดยเปลี่ยนพื้นที่ที่เดิมตั้งใจสร้าง Fab 21 Phase 6 ให้กลายเป็น Advanced Packaging Facility แทน ซึ่งหากเป็นจริง จะทำให้ TSMC สามารถผลิตชิปที่ ครบวงจรในสหรัฐฯ ได้ก่อนปี 2030【edge_current_page_context】 ปัจจุบัน แม้ TSMC จะมีการผลิตเวเฟอร์ที่ Fab 21 ใน Arizona แต่ขั้นตอน dicing, testing และ packaging ยังต้องส่งกลับไปที่ไต้หวัน ทำให้ชิปที่ผลิตในสหรัฐฯ ไม่ถือว่า “100% American-made” การเร่งสร้างโรงงาน packaging ในพื้นที่เดียวกันจะช่วยแก้ปัญหานี้ และลดความเสี่ยงจากภาษีหรือข้อจำกัดด้านการนำเข้า ตามแผนล่าสุด TSMC จะสร้าง 6 โมดูล Fab 21, 2 โรงงาน advanced packaging, และ R&D center โดยโรงงาน packaging ใหม่นี้อาจเริ่มติดตั้งเครื่องจักรได้ภายในปี 2027 และเข้าสู่การผลิตเชิงทดลองหลังจากนั้นไม่นาน นอกจากนี้ TSMC ยังมีความร่วมมือกับ Amkor ซึ่งกำลังสร้างโรงงาน assembly และ test ใกล้กับ Fab 21 โดยมี Apple เป็นลูกค้าหลัก และคาดว่าจะเริ่มผลิตในปี 2028 แต่การเร่งสร้างโรงงานของ TSMC เองจะช่วยให้บริษัทมี backend capacity เร็วกว่าการพึ่งพาพันธมิตร 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สถานการณ์ปัจจุบัน ➡️ Fab 21 Arizona ผลิตเวเฟอร์ แต่ยังต้องส่งไปไต้หวันเพื่อ packaging ➡️ ทำให้ชิปไม่ถือว่า “100% Made in USA” ✅ แผนใหม่ของ TSMC ➡️ เปลี่ยนพื้นที่ Fab 21 Phase 6 เป็น Advanced Packaging Facility ➡️ เริ่มติดตั้งเครื่องจักรได้ภายในปี 2027 ➡️ ทำให้สหรัฐฯ มีชิปที่ผลิตครบวงจรในประเทศ ✅ ความร่วมมือกับ Amkor ➡️ Amkor สร้างโรงงาน assembly/test ใกล้ Fab 21 ➡️ Apple เป็นลูกค้าหลัก เริ่มผลิตปี 2028 ➡️ แต่ TSMC เร่งสร้างเองเพื่อให้ backend capacity พร้อมเร็วกว่า ‼️ ปัจจัยที่ผลักดัน ⛔ ความต้องการจากลูกค้ารายใหญ่ ⛔ ความเสี่ยงจากภาษีและการนำเข้า ⛔ ความจำเป็นในการแข่งขันกับคู่แข่งระดับโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-could-be-inching-closer-to-making-all-american-chips-report-says-it-is-accelerating-an-advanced-packaging-facility-in-arizona
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • "QR Code สะดวกบนมือถือ แต่ไม่เป็นมิตรกับคอมพิวเตอร์?"

    บทความจาก The Star วิเคราะห์ว่า QR Code แม้จะถูกออกแบบมาเพื่อความสะดวก แต่จริง ๆ แล้วเหมาะกับการใช้งานบนมือถือมากกว่าบนคอมพิวเตอร์ ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ช่วยเพื่อนที่ได้รับ QR Code สำหรับกรอกฟอร์มบนคอมพิวเตอร์ แต่กลับไม่รู้วิธีเปิดลิงก์จาก QR Code บนหน้าจอใหญ่

    บนมือถือ การสแกน QR Code ทำได้ง่าย เพียงเปิดกล้องแล้วแตะปุ่มที่ปรากฏ ระบบจะพาไปยังเว็บไซต์ทันที แต่บนคอมพิวเตอร์กลับยุ่งยากกว่า เพราะไม่มีฟีเจอร์สแกนในตัว ผู้ใช้ต้อง แคปหน้าจอแล้วอัปโหลดไปยังเว็บถอดรหัส หรือใช้เครื่องมือเสริม เช่น Google Lens บน Chrome ที่สามารถคลิกขวาแล้วเลือก “Search with Google Lens” เพื่อดึงลิงก์ออกมา

    แม้วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหา แต่ก็ยังไม่สะดวกเท่าการใช้งานบนมือถือ และบางครั้ง QR Code ที่ฝังอยู่ในกราฟิกใหญ่ ๆ อาจต้องครอบภาพหรือเปิดในแท็บใหม่ก่อนถึงจะใช้งานได้ ทำให้เห็นชัดว่า QR Code ถูกออกแบบมาเพื่อ โลกของสมาร์ทโฟน มากกว่าเดสก์ท็อป

    ผู้เขียนสรุปว่า QR Code เป็นเหมือน “บุ๊กมาร์กที่ซ่อนอยู่ในภาพ” ซึ่งสะดวกเมื่อใช้กล้องมือถือ แต่ยังไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่ต้องการเข้าถึงลิงก์โดยตรง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การใช้งาน QR Code บนมือถือ
    กล้องมือถือสแกนได้ทันที
    ระบบเปิดลิงก์อัตโนมัติ สะดวกและรวดเร็ว

    การใช้งาน QR Code บนคอมพิวเตอร์
    ต้องแคปภาพแล้วอัปโหลดไปเว็บถอดรหัส
    ใช้ Google Lens บน Chrome เพื่อดึงลิงก์ออกมา
    อาจต้องครอบภาพหรือเปิดในแท็บใหม่ก่อน

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    QR Code ถูกออกแบบมาเพื่อมือถือ ไม่เหมาะกับเดสก์ท็อป
    การใช้งานบนคอมพ์ยังไม่สะดวกและต้องใช้หลายขั้นตอน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/07/opinion-are-qr-codes-computer-friendly
    🔲 "QR Code สะดวกบนมือถือ แต่ไม่เป็นมิตรกับคอมพิวเตอร์?" บทความจาก The Star วิเคราะห์ว่า QR Code แม้จะถูกออกแบบมาเพื่อความสะดวก แต่จริง ๆ แล้วเหมาะกับการใช้งานบนมือถือมากกว่าบนคอมพิวเตอร์ ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ช่วยเพื่อนที่ได้รับ QR Code สำหรับกรอกฟอร์มบนคอมพิวเตอร์ แต่กลับไม่รู้วิธีเปิดลิงก์จาก QR Code บนหน้าจอใหญ่ บนมือถือ การสแกน QR Code ทำได้ง่าย เพียงเปิดกล้องแล้วแตะปุ่มที่ปรากฏ ระบบจะพาไปยังเว็บไซต์ทันที แต่บนคอมพิวเตอร์กลับยุ่งยากกว่า เพราะไม่มีฟีเจอร์สแกนในตัว ผู้ใช้ต้อง แคปหน้าจอแล้วอัปโหลดไปยังเว็บถอดรหัส หรือใช้เครื่องมือเสริม เช่น Google Lens บน Chrome ที่สามารถคลิกขวาแล้วเลือก “Search with Google Lens” เพื่อดึงลิงก์ออกมา แม้วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหา แต่ก็ยังไม่สะดวกเท่าการใช้งานบนมือถือ และบางครั้ง QR Code ที่ฝังอยู่ในกราฟิกใหญ่ ๆ อาจต้องครอบภาพหรือเปิดในแท็บใหม่ก่อนถึงจะใช้งานได้ ทำให้เห็นชัดว่า QR Code ถูกออกแบบมาเพื่อ โลกของสมาร์ทโฟน มากกว่าเดสก์ท็อป ผู้เขียนสรุปว่า QR Code เป็นเหมือน “บุ๊กมาร์กที่ซ่อนอยู่ในภาพ” ซึ่งสะดวกเมื่อใช้กล้องมือถือ แต่ยังไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่ต้องการเข้าถึงลิงก์โดยตรง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การใช้งาน QR Code บนมือถือ ➡️ กล้องมือถือสแกนได้ทันที ➡️ ระบบเปิดลิงก์อัตโนมัติ สะดวกและรวดเร็ว ✅ การใช้งาน QR Code บนคอมพิวเตอร์ ➡️ ต้องแคปภาพแล้วอัปโหลดไปเว็บถอดรหัส ➡️ ใช้ Google Lens บน Chrome เพื่อดึงลิงก์ออกมา ➡️ อาจต้องครอบภาพหรือเปิดในแท็บใหม่ก่อน ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ QR Code ถูกออกแบบมาเพื่อมือถือ ไม่เหมาะกับเดสก์ท็อป ⛔ การใช้งานบนคอมพ์ยังไม่สะดวกและต้องใช้หลายขั้นตอน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/07/opinion-are-qr-codes-computer-friendly
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Opinion: Are QR codes computer-friendly?
    I have a friend who calls me occasionally to come help him with various little things having to do with the technology at his house. This week, one of his requests was to learn more about QR codes and how they work.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Meta เลื่อนเปิดตัวแว่น Phoenix Mixed-Reality ไปปี 2027"

    Meta ตัดสินใจเลื่อนการเปิดตัว Phoenix Mixed-Reality Glasses จากเดิมที่วางแผนไว้ครึ่งหลังปี 2026 ไปเป็นปี 2027 โดยอ้างว่าต้องการเวลาเพิ่มเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์และ “ได้รายละเอียดที่ถูกต้อง” ตามรายงานจาก Business Insider

    อุปกรณ์นี้เคยใช้ชื่อโค้ดว่า Puffin มีน้ำหนักประมาณ 100 กรัม และสเปกต่ำกว่าแว่นระดับพรีเมียมอย่าง Apple Vision Pro ทั้งด้านความละเอียดหน้าจอและพลังประมวลผล อย่างไรก็ตาม จุดขายของมันคือการเป็นอุปกรณ์ที่เบาและเข้าถึงง่ายมากกว่า เน้นตลาดผู้ใช้ทั่วไปที่อยากสัมผัสประสบการณ์ Mixed Reality โดยไม่ต้องลงทุนสูง

    การเลื่อนเปิดตัวเกิดขึ้นท่ามกลางการปรับลดงบประมาณของ Meta ในโครงการ Metaverse ถึง 30% ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันด้านการเงินและความจำเป็นในการจัดลำดับความสำคัญใหม่ ขณะเดียวกัน Reality Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแล Quest Headsets และ Ray-Ban Smart Glasses ยังคงเดินหน้าพัฒนาอุปกรณ์อื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย

    การตัดสินใจครั้งนี้อาจทำให้ตลาด Mixed Reality ต้องรออีกสักพักกว่าจะได้เห็นคู่แข่งที่แท้จริงของ Apple Vision Pro แต่ก็แสดงให้เห็นว่า Meta ต้องการหลีกเลี่ยงการรีบปล่อยผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่พร้อม และเลือกที่จะให้เวลาเพื่อสร้างอุปกรณ์ที่มีคุณภาพมากกว่า

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเลื่อนเปิดตัว
    จากครึ่งหลังปี 2026 ไปเป็นปี 2027
    เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์และ “ได้รายละเอียดที่ถูกต้อง”

    คุณสมบัติของ Phoenix Glasses
    น้ำหนักเบา ~100 กรัม
    ความละเอียดและพลังประมวลผลต่ำกว่า Apple Vision Pro
    เคยใช้ชื่อโค้ดว่า Puffin

    สถานการณ์ของ Meta
    ลดงบประมาณ Metaverse ลง 30%
    Reality Labs ยังพัฒนา Quest และ Ray-Ban Smart Glasses ต่อไป

    ข้อควรระวัง
    การเลื่อนเปิดตัวอาจทำให้เสียโอกาสแข่งขันกับ Apple Vision Pro
    งบประมาณที่ลดลงอาจกระทบต่อการพัฒนาอุปกรณ์ใหม่ในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/07/meta-delays-release-of-phoenix-mixed-reality-glasses-to-2027-business-insider-reports
    🥽 "Meta เลื่อนเปิดตัวแว่น Phoenix Mixed-Reality ไปปี 2027" Meta ตัดสินใจเลื่อนการเปิดตัว Phoenix Mixed-Reality Glasses จากเดิมที่วางแผนไว้ครึ่งหลังปี 2026 ไปเป็นปี 2027 โดยอ้างว่าต้องการเวลาเพิ่มเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์และ “ได้รายละเอียดที่ถูกต้อง” ตามรายงานจาก Business Insider อุปกรณ์นี้เคยใช้ชื่อโค้ดว่า Puffin มีน้ำหนักประมาณ 100 กรัม และสเปกต่ำกว่าแว่นระดับพรีเมียมอย่าง Apple Vision Pro ทั้งด้านความละเอียดหน้าจอและพลังประมวลผล อย่างไรก็ตาม จุดขายของมันคือการเป็นอุปกรณ์ที่เบาและเข้าถึงง่ายมากกว่า เน้นตลาดผู้ใช้ทั่วไปที่อยากสัมผัสประสบการณ์ Mixed Reality โดยไม่ต้องลงทุนสูง การเลื่อนเปิดตัวเกิดขึ้นท่ามกลางการปรับลดงบประมาณของ Meta ในโครงการ Metaverse ถึง 30% ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันด้านการเงินและความจำเป็นในการจัดลำดับความสำคัญใหม่ ขณะเดียวกัน Reality Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแล Quest Headsets และ Ray-Ban Smart Glasses ยังคงเดินหน้าพัฒนาอุปกรณ์อื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย การตัดสินใจครั้งนี้อาจทำให้ตลาด Mixed Reality ต้องรออีกสักพักกว่าจะได้เห็นคู่แข่งที่แท้จริงของ Apple Vision Pro แต่ก็แสดงให้เห็นว่า Meta ต้องการหลีกเลี่ยงการรีบปล่อยผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่พร้อม และเลือกที่จะให้เวลาเพื่อสร้างอุปกรณ์ที่มีคุณภาพมากกว่า 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเลื่อนเปิดตัว ➡️ จากครึ่งหลังปี 2026 ไปเป็นปี 2027 ➡️ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์และ “ได้รายละเอียดที่ถูกต้อง” ✅ คุณสมบัติของ Phoenix Glasses ➡️ น้ำหนักเบา ~100 กรัม ➡️ ความละเอียดและพลังประมวลผลต่ำกว่า Apple Vision Pro ➡️ เคยใช้ชื่อโค้ดว่า Puffin ✅ สถานการณ์ของ Meta ➡️ ลดงบประมาณ Metaverse ลง 30% ➡️ Reality Labs ยังพัฒนา Quest และ Ray-Ban Smart Glasses ต่อไป ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การเลื่อนเปิดตัวอาจทำให้เสียโอกาสแข่งขันกับ Apple Vision Pro ⛔ งบประมาณที่ลดลงอาจกระทบต่อการพัฒนาอุปกรณ์ใหม่ในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/07/meta-delays-release-of-phoenix-mixed-reality-glasses-to-2027-business-insider-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta delays release of Phoenix mixed-reality glasses to 2027, Business Insider reports
    Dec 5 (Reuters) - Meta is delaying the release of its Phoenix mixed-reality glasses until 2027, aiming to get the details right, Business Insider reported on Friday, citing an internal memo.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Immich – ทางเลือกใหม่ในการ Self-hosted Photo Management"

    Michael Stapelberg เผชิญปัญหาเมื่อเครื่องมือ gphotos-sync หยุดทำงานหลัง Google จำกัด OAuth scopes ในปี 2025 ทำให้เขาต้องหาทางเลือกใหม่สำหรับการจัดการรูปภาพส่วนตัว สุดท้ายเลือกใช้ Immich ซึ่งเป็นแอป self-hosted ที่สามารถทำงานได้รวดเร็วและมีฟีเจอร์ครบถ้วน โดยติดตั้งบน Ryzen 7 Mini PC (ASRock DeskMini X600) ที่ใช้พลังงานต่ำแต่ทรงพลัง

    เขาใช้ Proxmox เพื่อสร้าง VM สำหรับ Immich โดยติดตั้ง NixOS แบบ declarative และเปิดใช้งาน Immich ผ่าน Tailscale VPN แทนการเปิด firewall ตรง ๆ ทำให้สามารถเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างปลอดภัยจากทุกอุปกรณ์ผ่าน MagicDNS และ TLS ของ Tailscale

    ในขั้นตอนการนำเข้ารูปภาพ เขาพบว่าเครื่องมือ immich-cli มีปัญหา timeout เนื่องจาก background jobs เช่น thumbnail creation และ face detection ทำงานพร้อมกัน จึงเปลี่ยนไปใช้ immich-go ซึ่งสามารถจัดการ Google Takeout archives ได้ดีกว่า โดยหยุด background jobs ชั่วคราวและอ่าน metadata JSON ได้ครบถ้วน

    นอกจากนี้ เขายังติดตั้งแอป Immich บน iPhone เพื่อเปิดใช้งาน automatic backup ของรูปใหม่ พร้อมตั้งค่า systemd timer + rsync เพื่อทำ 3-2-1 backup scheme ของข้อมูลทั้งหมดใน /var/lib/immich แม้ Immich ยังไม่มีฟีเจอร์แก้ไขภาพในตัว แต่เขาใช้ GIMP สำหรับงานนั้น และยังอัปโหลดบางรูปไป Google Photos เมื่อจำเป็นต้องแชร์กับผู้อื่น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การติดตั้งและโครงสร้างระบบ
    ใช้ Ryzen 7 Mini PC + Proxmox VM + NixOS
    Immich เปิดใช้งานผ่าน Tailscale VPN เพื่อความปลอดภัย

    การนำเข้ารูปภาพ
    immich-cli มีปัญหา timeout จาก background jobs
    immich-go จัดการ Google Takeout archives ได้ดีกว่า

    การใช้งานจริง
    แอป Immich บน iPhone รองรับ auto backup
    ใช้ rsync + systemd timer ทำ 3-2-1 backup scheme
    ใช้ GIMP สำหรับแก้ไขภาพ และ Google Photos สำหรับแชร์บางส่วน

    ข้อควรระวัง
    Immich ยังไม่มีฟีเจอร์แก้ไขภาพในตัว
    การตั้งค่า auto backup บน iPhone อาจซับซ้อน
    การอัปโหลดครั้งแรกอาจล้มเหลวหากไม่ใช้เครื่องมือที่เหมาะสม

    https://michael.stapelberg.ch/posts/2025-11-29-self-hosting-photos-with-immich/
    🖼️ "Immich – ทางเลือกใหม่ในการ Self-hosted Photo Management" Michael Stapelberg เผชิญปัญหาเมื่อเครื่องมือ gphotos-sync หยุดทำงานหลัง Google จำกัด OAuth scopes ในปี 2025 ทำให้เขาต้องหาทางเลือกใหม่สำหรับการจัดการรูปภาพส่วนตัว สุดท้ายเลือกใช้ Immich ซึ่งเป็นแอป self-hosted ที่สามารถทำงานได้รวดเร็วและมีฟีเจอร์ครบถ้วน โดยติดตั้งบน Ryzen 7 Mini PC (ASRock DeskMini X600) ที่ใช้พลังงานต่ำแต่ทรงพลัง เขาใช้ Proxmox เพื่อสร้าง VM สำหรับ Immich โดยติดตั้ง NixOS แบบ declarative และเปิดใช้งาน Immich ผ่าน Tailscale VPN แทนการเปิด firewall ตรง ๆ ทำให้สามารถเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างปลอดภัยจากทุกอุปกรณ์ผ่าน MagicDNS และ TLS ของ Tailscale ในขั้นตอนการนำเข้ารูปภาพ เขาพบว่าเครื่องมือ immich-cli มีปัญหา timeout เนื่องจาก background jobs เช่น thumbnail creation และ face detection ทำงานพร้อมกัน จึงเปลี่ยนไปใช้ immich-go ซึ่งสามารถจัดการ Google Takeout archives ได้ดีกว่า โดยหยุด background jobs ชั่วคราวและอ่าน metadata JSON ได้ครบถ้วน นอกจากนี้ เขายังติดตั้งแอป Immich บน iPhone เพื่อเปิดใช้งาน automatic backup ของรูปใหม่ พร้อมตั้งค่า systemd timer + rsync เพื่อทำ 3-2-1 backup scheme ของข้อมูลทั้งหมดใน /var/lib/immich แม้ Immich ยังไม่มีฟีเจอร์แก้ไขภาพในตัว แต่เขาใช้ GIMP สำหรับงานนั้น และยังอัปโหลดบางรูปไป Google Photos เมื่อจำเป็นต้องแชร์กับผู้อื่น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การติดตั้งและโครงสร้างระบบ ➡️ ใช้ Ryzen 7 Mini PC + Proxmox VM + NixOS ➡️ Immich เปิดใช้งานผ่าน Tailscale VPN เพื่อความปลอดภัย ✅ การนำเข้ารูปภาพ ➡️ immich-cli มีปัญหา timeout จาก background jobs ➡️ immich-go จัดการ Google Takeout archives ได้ดีกว่า ✅ การใช้งานจริง ➡️ แอป Immich บน iPhone รองรับ auto backup ➡️ ใช้ rsync + systemd timer ทำ 3-2-1 backup scheme ➡️ ใช้ GIMP สำหรับแก้ไขภาพ และ Google Photos สำหรับแชร์บางส่วน ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ Immich ยังไม่มีฟีเจอร์แก้ไขภาพในตัว ⛔ การตั้งค่า auto backup บน iPhone อาจซับซ้อน ⛔ การอัปโหลดครั้งแรกอาจล้มเหลวหากไม่ใช้เครื่องมือที่เหมาะสม https://michael.stapelberg.ch/posts/2025-11-29-self-hosting-photos-with-immich/
    MICHAEL.STAPELBERG.CH
    Self-hosting my photos with Immich
    For every cloud service I use, I want to have a local copy of my data for backup purposes and independence. Unfortunately, the gphotos-sync tool stopped working in March 2025 when Google restricted the OAuth scopes, so I needed an alternative for my existing Google Photos setup. In this post, I describe how I have set up Immich, a self-hostable photo manager.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • "UniFi เปิดตัว U5G Max และไลน์อัป 5G รุ่นใหม่"

    Ubiquiti ได้เปิดตัว UniFi 5G รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับ U5G Max และอุปกรณ์ในตระกูล 5G ที่ออกแบบมาเพื่อการเชื่อมต่อที่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูง จุดเด่นคือการ ติดตั้งที่ง่ายดาย (effortless setup) ความเร็วระดับ ultra fast speeds และตัวเลือกสำหรับการใช้งานกลางแจ้งที่ทนทาน (rugged outdoor options)

    อุปกรณ์ในไลน์อัปใหม่นี้ยังมาพร้อมกับ การผสานเข้ากับระบบ UniFi อย่างสมบูรณ์ ทำให้ผู้ใช้สามารถจัดการเครือข่ายได้จากแพลตฟอร์มเดียว ไม่ว่าจะเป็นการควบคุม Wi-Fi, LAN หรือ 5G ทั้งหมดใน ecosystem เดียวกัน ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกและลดความซับซ้อนในการดูแลระบบเครือข่าย

    นอกจากนี้ UniFi 5G ยังถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่บ้านพักอาศัย ธุรกิจขนาดเล็ก ไปจนถึงองค์กรที่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่มีความเสถียรและปลอดภัย โดยมีตัวเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะกับการใช้งานทั้งในร่มและกลางแจ้ง

    การเปิดตัวครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของ Ubiquiti ที่จะขยาย ecosystem ของ UniFi ให้ครอบคลุมทุกการเชื่อมต่อ ตั้งแต่ Wi-Fi, wired network ไปจนถึง 5G เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจรและตอบโจทย์ผู้ใช้ในยุคดิจิทัล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    จุดเด่นของ UniFi 5G
    ติดตั้งง่าย (effortless setup)
    ความเร็วสูงระดับ ultra fast speeds
    ตัวเลือกกลางแจ้งที่ทนทาน (rugged outdoor options)

    การผสานเข้ากับระบบ UniFi
    จัดการ Wi-Fi, LAN และ 5G จากแพลตฟอร์มเดียว
    ลดความซับซ้อนในการดูแลระบบเครือข่าย

    การใช้งานที่หลากหลาย
    รองรับทั้งบ้านพักอาศัย ธุรกิจ และองค์กร
    มีอุปกรณ์สำหรับทั้งในร่มและกลางแจ้ง

    ข้อควรระวัง
    การใช้งาน 5G อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการเชื่อมต่อทั่วไป
    ความครอบคลุมสัญญาณขึ้นอยู่กับพื้นที่และผู้ให้บริการ

    https://blog.ui.com/article/introducing-unifi-5g
    📡 "UniFi เปิดตัว U5G Max และไลน์อัป 5G รุ่นใหม่" Ubiquiti ได้เปิดตัว UniFi 5G รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับ U5G Max และอุปกรณ์ในตระกูล 5G ที่ออกแบบมาเพื่อการเชื่อมต่อที่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูง จุดเด่นคือการ ติดตั้งที่ง่ายดาย (effortless setup) ความเร็วระดับ ultra fast speeds และตัวเลือกสำหรับการใช้งานกลางแจ้งที่ทนทาน (rugged outdoor options) อุปกรณ์ในไลน์อัปใหม่นี้ยังมาพร้อมกับ การผสานเข้ากับระบบ UniFi อย่างสมบูรณ์ ทำให้ผู้ใช้สามารถจัดการเครือข่ายได้จากแพลตฟอร์มเดียว ไม่ว่าจะเป็นการควบคุม Wi-Fi, LAN หรือ 5G ทั้งหมดใน ecosystem เดียวกัน ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกและลดความซับซ้อนในการดูแลระบบเครือข่าย นอกจากนี้ UniFi 5G ยังถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่บ้านพักอาศัย ธุรกิจขนาดเล็ก ไปจนถึงองค์กรที่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่มีความเสถียรและปลอดภัย โดยมีตัวเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะกับการใช้งานทั้งในร่มและกลางแจ้ง การเปิดตัวครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของ Ubiquiti ที่จะขยาย ecosystem ของ UniFi ให้ครอบคลุมทุกการเชื่อมต่อ ตั้งแต่ Wi-Fi, wired network ไปจนถึง 5G เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจรและตอบโจทย์ผู้ใช้ในยุคดิจิทัล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ จุดเด่นของ UniFi 5G ➡️ ติดตั้งง่าย (effortless setup) ➡️ ความเร็วสูงระดับ ultra fast speeds ➡️ ตัวเลือกกลางแจ้งที่ทนทาน (rugged outdoor options) ✅ การผสานเข้ากับระบบ UniFi ➡️ จัดการ Wi-Fi, LAN และ 5G จากแพลตฟอร์มเดียว ➡️ ลดความซับซ้อนในการดูแลระบบเครือข่าย ✅ การใช้งานที่หลากหลาย ➡️ รองรับทั้งบ้านพักอาศัย ธุรกิจ และองค์กร ➡️ มีอุปกรณ์สำหรับทั้งในร่มและกลางแจ้ง ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การใช้งาน 5G อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการเชื่อมต่อทั่วไป ⛔ ความครอบคลุมสัญญาณขึ้นอยู่กับพื้นที่และผู้ให้บริการ https://blog.ui.com/article/introducing-unifi-5g
    BLOG.UI.COM
    Introducing UniFi 5G
    Discover the U5G Max and UniFi’s next generation 5G lineup featuring effortless setup, ultra fast speeds, rugged outdoor options, and advanced UniFi integration for unmatched performance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ปัญหาทางเทคนิคส่วนใหญ่ จริง ๆ แล้วคือปัญหาคน"

    บทความนี้เล่าประสบการณ์จากผู้เขียนที่เคยทำงานในบริษัทที่มี technical debt มหาศาล — โค้ดหลายล้านบรรทัด ไม่มี unit tests และใช้ framework ที่ล้าสมัย ปัญหาที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเทคนิคจริง ๆ แล้วกลับมีรากเหง้ามาจาก การจัดการคนและวัฒนธรรมองค์กร มากกว่าตัวเทคโนโลยีเอง

    ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า การแก้ปัญหาทางเทคนิคมักไม่สำเร็จ หากไม่มีการแก้ปัญหาความร่วมมือในทีม เช่น การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน การขาดความรับผิดชอบร่วมกัน หรือการตัดสินใจที่ไม่โปร่งใส สิ่งเหล่านี้ทำให้โค้ดและระบบสะสมปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็น technical debt ที่ยากจะแก้ไข

    นอกจากนี้ยังกล่าวถึง ความสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมทีมที่ดี เช่น การเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา การยอมรับความผิดพลาด และการสนับสนุนให้ทีมเรียนรู้จากกันและกัน เพราะสุดท้ายแล้ว เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ แต่คนคือผู้ที่ทำให้ระบบเดินไปข้างหน้าได้จริง

    บทเรียนสำคัญคือ หากองค์กรอยากแก้ปัญหาทางเทคนิคอย่างยั่งยืน ต้องเริ่มจากการแก้ปัญหาคน — การสร้างทีมที่มีความไว้วางใจ การสื่อสารที่ดี และการจัดการที่โปร่งใส จะช่วยลด technical debt และทำให้การพัฒนาระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สาเหตุของปัญหาทางเทคนิค
    Technical debt มหาศาลจากโค้ดที่ไม่มีการทดสอบและ framework ล้าสมัย
    ปัญหาคน เช่น การสื่อสารไม่ชัดเจน และการตัดสินใจที่ไม่โปร่งใส

    วิธีแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
    สร้างวัฒนธรรมทีมที่ดี เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วม
    ยอมรับและเรียนรู้จากความผิดพลาด
    ส่งเสริมความรับผิดชอบร่วมกัน

    ข้อควรระวัง
    การแก้ปัญหาทางเทคนิคโดยไม่แก้ปัญหาคน จะทำให้ technical debt สะสมต่อไป
    การขาดความไว้วางใจในทีม อาจทำให้โครงการล้มเหลวแม้มีเทคโนโลยีที่ดี

    https://blog.joeschrag.com/2023/11/most-technical-problems-are-really.html
    👥 "ปัญหาทางเทคนิคส่วนใหญ่ จริง ๆ แล้วคือปัญหาคน" บทความนี้เล่าประสบการณ์จากผู้เขียนที่เคยทำงานในบริษัทที่มี technical debt มหาศาล — โค้ดหลายล้านบรรทัด ไม่มี unit tests และใช้ framework ที่ล้าสมัย ปัญหาที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเทคนิคจริง ๆ แล้วกลับมีรากเหง้ามาจาก การจัดการคนและวัฒนธรรมองค์กร มากกว่าตัวเทคโนโลยีเอง ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า การแก้ปัญหาทางเทคนิคมักไม่สำเร็จ หากไม่มีการแก้ปัญหาความร่วมมือในทีม เช่น การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน การขาดความรับผิดชอบร่วมกัน หรือการตัดสินใจที่ไม่โปร่งใส สิ่งเหล่านี้ทำให้โค้ดและระบบสะสมปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็น technical debt ที่ยากจะแก้ไข นอกจากนี้ยังกล่าวถึง ความสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมทีมที่ดี เช่น การเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา การยอมรับความผิดพลาด และการสนับสนุนให้ทีมเรียนรู้จากกันและกัน เพราะสุดท้ายแล้ว เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ แต่คนคือผู้ที่ทำให้ระบบเดินไปข้างหน้าได้จริง บทเรียนสำคัญคือ หากองค์กรอยากแก้ปัญหาทางเทคนิคอย่างยั่งยืน ต้องเริ่มจากการแก้ปัญหาคน — การสร้างทีมที่มีความไว้วางใจ การสื่อสารที่ดี และการจัดการที่โปร่งใส จะช่วยลด technical debt และทำให้การพัฒนาระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สาเหตุของปัญหาทางเทคนิค ➡️ Technical debt มหาศาลจากโค้ดที่ไม่มีการทดสอบและ framework ล้าสมัย ➡️ ปัญหาคน เช่น การสื่อสารไม่ชัดเจน และการตัดสินใจที่ไม่โปร่งใส ✅ วิธีแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ➡️ สร้างวัฒนธรรมทีมที่ดี เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วม ➡️ ยอมรับและเรียนรู้จากความผิดพลาด ➡️ ส่งเสริมความรับผิดชอบร่วมกัน ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การแก้ปัญหาทางเทคนิคโดยไม่แก้ปัญหาคน จะทำให้ technical debt สะสมต่อไป ⛔ การขาดความไว้วางใจในทีม อาจทำให้โครงการล้มเหลวแม้มีเทคโนโลยีที่ดี https://blog.joeschrag.com/2023/11/most-technical-problems-are-really.html
    BLOG.JOESCHRAG.COM
    Most Technical Problems Are Really People Problems
    I once worked at a company which had an enormous amount of technical debt - millions of lines of code, no unit tests, based on frameworks ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Gemini 3 Pro – ก้าวกระโดดด้าน Vision AI จาก Google DeepMind"

    Google DeepMind เปิดตัว Gemini 3 Pro ซึ่งถูกยกให้เป็นโมเดลมัลติโหมดที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบัน โดยเน้นความสามารถด้าน การเข้าใจเอกสาร, การวิเคราะห์เชิงพื้นที่, การทำงานกับหน้าจอ และการเข้าใจวิดีโอ ถือเป็นการก้าวข้ามจากการจดจำภาพธรรมดาไปสู่การ ให้เหตุผลเชิงภาพและเชิงพื้นที่อย่างแท้จริง

    ในด้าน Document Understanding Gemini 3 Pro สามารถทำ OCR ที่แม่นยำ พร้อม "derendering" คือการแปลงเอกสารภาพกลับเป็นโค้ดที่สร้างใหม่ได้ เช่น HTML, LaTeX หรือ Markdown ตัวอย่างเช่น การแปลงบันทึกพ่อค้าในศตวรรษที่ 18 ให้เป็นตาราง หรือการสร้างสมการจากภาพที่มีโน้ตคณิตศาสตร์ซับซ้อน รวมถึงการสร้างกราฟแบบ interactive จาก Polar Diagram ของ Florence Nightingale

    ด้าน Spatial และ Screen Understanding โมเดลสามารถระบุพิกัด pixel ได้อย่างแม่นยำ ใช้สำหรับการวิเคราะห์ท่าทางมนุษย์, การจัดการวัตถุในหุ่นยนต์, หรือการเข้าใจ UI บนหน้าจอเพื่อทำงานอัตโนมัติ เช่น QA testing และ UX analytics นอกจากนี้ยังสามารถสร้างแผนการจัดการสิ่งของบนโต๊ะที่รกได้ตามคำสั่ง

    สำหรับ Video Understanding Gemini 3 Pro ถูกปรับให้เข้าใจวิดีโอที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยสามารถวิเคราะห์เหตุและผลของเหตุการณ์ในวิดีโอ ไม่ใช่แค่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังอธิบายได้ว่า "ทำไม" มันถึงเกิดขึ้น รวมถึงการประมวลผลวิดีโอความเร็วสูง (10 FPS) เพื่อวิเคราะห์รายละเอียด เช่น กลไกการสวิงของนักกอล์ฟ และยังสามารถแปลงวิดีโอขนาดยาวให้เป็นโค้ดหรือแอปพลิเคชันที่ใช้งานได้ทันที

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ความสามารถหลักของ Gemini 3 Pro
    Document Understanding: OCR + Derendering เป็นโค้ด (HTML, LaTeX, Markdown)
    Spatial Understanding: ระบุพิกัด pixel, วิเคราะห์ท่าทาง, ใช้ในหุ่นยนต์และ AR/XR
    Screen Understanding: เข้าใจ UI เพื่อทำงานอัตโนมัติ เช่น QA และ UX analytics
    Video Understanding: วิเคราะห์เหตุและผล, ประมวลผลวิดีโอความเร็วสูง

    การประยุกต์ใช้งานจริง
    การศึกษา: ช่วยแก้โจทย์คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน
    การแพทย์: วิเคราะห์ภาพรังสีและงานวิจัยทางชีวภาพ
    กฎหมายและการเงิน: วิเคราะห์สัญญาและรายงานที่ซับซ้อน
    สื่อและการเรียนรู้: สร้างภาพแก้ไขการบ้านแบบ visual feedback

    ข้อควรระวัง
    การใช้พลังประมวลผลสูง อาจมีค่าใช้จ่ายและ latency มากขึ้น
    ความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล หากนำไปใช้กับเอกสารหรือภาพที่มีข้อมูลสำคัญ
    การพึ่งพา AI ในการให้เหตุผล อาจทำให้เกิดการตีความผิดหากไม่มีการตรวจสอบมนุษย์

    https://blog.google/technology/developers/gemini-3-pro-vision/
    👁️ "Gemini 3 Pro – ก้าวกระโดดด้าน Vision AI จาก Google DeepMind" Google DeepMind เปิดตัว Gemini 3 Pro ซึ่งถูกยกให้เป็นโมเดลมัลติโหมดที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบัน โดยเน้นความสามารถด้าน การเข้าใจเอกสาร, การวิเคราะห์เชิงพื้นที่, การทำงานกับหน้าจอ และการเข้าใจวิดีโอ ถือเป็นการก้าวข้ามจากการจดจำภาพธรรมดาไปสู่การ ให้เหตุผลเชิงภาพและเชิงพื้นที่อย่างแท้จริง ในด้าน Document Understanding Gemini 3 Pro สามารถทำ OCR ที่แม่นยำ พร้อม "derendering" คือการแปลงเอกสารภาพกลับเป็นโค้ดที่สร้างใหม่ได้ เช่น HTML, LaTeX หรือ Markdown ตัวอย่างเช่น การแปลงบันทึกพ่อค้าในศตวรรษที่ 18 ให้เป็นตาราง หรือการสร้างสมการจากภาพที่มีโน้ตคณิตศาสตร์ซับซ้อน รวมถึงการสร้างกราฟแบบ interactive จาก Polar Diagram ของ Florence Nightingale ด้าน Spatial และ Screen Understanding โมเดลสามารถระบุพิกัด pixel ได้อย่างแม่นยำ ใช้สำหรับการวิเคราะห์ท่าทางมนุษย์, การจัดการวัตถุในหุ่นยนต์, หรือการเข้าใจ UI บนหน้าจอเพื่อทำงานอัตโนมัติ เช่น QA testing และ UX analytics นอกจากนี้ยังสามารถสร้างแผนการจัดการสิ่งของบนโต๊ะที่รกได้ตามคำสั่ง สำหรับ Video Understanding Gemini 3 Pro ถูกปรับให้เข้าใจวิดีโอที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยสามารถวิเคราะห์เหตุและผลของเหตุการณ์ในวิดีโอ ไม่ใช่แค่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังอธิบายได้ว่า "ทำไม" มันถึงเกิดขึ้น รวมถึงการประมวลผลวิดีโอความเร็วสูง (10 FPS) เพื่อวิเคราะห์รายละเอียด เช่น กลไกการสวิงของนักกอล์ฟ และยังสามารถแปลงวิดีโอขนาดยาวให้เป็นโค้ดหรือแอปพลิเคชันที่ใช้งานได้ทันที 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ความสามารถหลักของ Gemini 3 Pro ➡️ Document Understanding: OCR + Derendering เป็นโค้ด (HTML, LaTeX, Markdown) ➡️ Spatial Understanding: ระบุพิกัด pixel, วิเคราะห์ท่าทาง, ใช้ในหุ่นยนต์และ AR/XR ➡️ Screen Understanding: เข้าใจ UI เพื่อทำงานอัตโนมัติ เช่น QA และ UX analytics ➡️ Video Understanding: วิเคราะห์เหตุและผล, ประมวลผลวิดีโอความเร็วสูง ✅ การประยุกต์ใช้งานจริง ➡️ การศึกษา: ช่วยแก้โจทย์คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน ➡️ การแพทย์: วิเคราะห์ภาพรังสีและงานวิจัยทางชีวภาพ ➡️ กฎหมายและการเงิน: วิเคราะห์สัญญาและรายงานที่ซับซ้อน ➡️ สื่อและการเรียนรู้: สร้างภาพแก้ไขการบ้านแบบ visual feedback ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การใช้พลังประมวลผลสูง อาจมีค่าใช้จ่ายและ latency มากขึ้น ⛔ ความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล หากนำไปใช้กับเอกสารหรือภาพที่มีข้อมูลสำคัญ ⛔ การพึ่งพา AI ในการให้เหตุผล อาจทำให้เกิดการตีความผิดหากไม่มีการตรวจสอบมนุษย์ https://blog.google/technology/developers/gemini-3-pro-vision/
    BLOG.GOOGLE
    Gemini 3 Pro: the frontier of vision AI
    Build with Gemini 3 Pro, the best model in the world for multimodal capabilities.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • "YouTube ทดลองใช้ AI ปรับแต่งวิดีโอ โดยไม่บอกผู้สร้าง"

    YouTube ถูกจับตามองหลังจากมีการค้นพบว่าแพลตฟอร์มได้ทดลองใช้ AI เพื่อปรับแต่งวิดีโอของครีเอเตอร์บางรายโดยไม่แจ้งล่วงหน้า สอง YouTuber ชื่อดัง Rick Beato และ Rhett Shull สังเกตว่ามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในวิดีโอ เช่น ผิวที่เรียบขึ้น เสื้อผ้าที่ดูคมชัดขึ้น หรือแม้กระทั่งรูปร่างหูที่เปลี่ยนไป ทำให้ผู้ชมบางคนรู้สึกว่าเนื้อหาดู “ไม่เป็นธรรมชาติ”

    YouTube ยอมรับว่ากำลังทำการทดลองแบบจำกัด โดยใช้ machine learning เพื่อปรับปรุงความคมชัด ลด noise และทำให้ภาพดูชัดเจนขึ้น คล้ายกับสิ่งที่สมาร์ทโฟนสมัยใหม่ทำเวลาถ่ายภาพ แต่คำอธิบายนี้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการใช้ถ้อยคำที่ทำให้เข้าใจผิด เพราะจริง ๆ แล้ว machine learning ก็ถือเป็น AI เช่นกัน

    นักวิชาการด้านข้อมูลและสื่อเตือนว่า การแก้ไขวิดีโอโดยไม่บอกผู้สร้างหรือผู้ชม อาจทำให้เกิด ปัญหาความน่าเชื่อถือและความโปร่งใส เนื่องจากผู้ใช้ไม่สามารถรู้ได้ว่าเนื้อหาที่เห็นผ่าน YouTube ถูกปรับแต่งไปมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต่างจากฟิลเตอร์หรือเอฟเฟกต์ที่ผู้สร้างเลือกใช้เองอย่างชัดเจน

    แม้บางครีเอเตอร์อย่าง Rick Beato จะยังคงมองว่า YouTube เป็นแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนชีวิตและมีคุณค่า แต่หลายฝ่ายกังวลว่าการทดลองเช่นนี้อาจเป็น จุดเริ่มต้นของการบิดเบือนสื่อดิจิทัล ที่ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมได้ และอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์มระยะยาว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สิ่งที่เกิดขึ้น
    YouTube ใช้ AI ปรับแต่งวิดีโอโดยไม่แจ้งผู้สร้าง
    การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่น ผิวเรียบ เสื้อคมชัด หูเปลี่ยนรูป

    คำอธิบายจาก YouTube
    ระบุว่าเป็นการทดลองจำกัดเพื่อปรับปรุงความคมชัด
    เปรียบเทียบกับการประมวลผลภาพในสมาร์ทโฟน

    ความเสี่ยงและข้อกังวล
    อาจกระทบความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของแพลตฟอร์ม
    ผู้สร้างและผู้ชมไม่สามารถควบคุมการปรับแต่งได้
    เสี่ยงต่อการบิดเบือนสื่อดิจิทัลในอนาคต

    https://www.ynetnews.com/tech-and-digital/article/bj1qbwcklg
    🎥 "YouTube ทดลองใช้ AI ปรับแต่งวิดีโอ โดยไม่บอกผู้สร้าง" YouTube ถูกจับตามองหลังจากมีการค้นพบว่าแพลตฟอร์มได้ทดลองใช้ AI เพื่อปรับแต่งวิดีโอของครีเอเตอร์บางรายโดยไม่แจ้งล่วงหน้า สอง YouTuber ชื่อดัง Rick Beato และ Rhett Shull สังเกตว่ามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในวิดีโอ เช่น ผิวที่เรียบขึ้น เสื้อผ้าที่ดูคมชัดขึ้น หรือแม้กระทั่งรูปร่างหูที่เปลี่ยนไป ทำให้ผู้ชมบางคนรู้สึกว่าเนื้อหาดู “ไม่เป็นธรรมชาติ” YouTube ยอมรับว่ากำลังทำการทดลองแบบจำกัด โดยใช้ machine learning เพื่อปรับปรุงความคมชัด ลด noise และทำให้ภาพดูชัดเจนขึ้น คล้ายกับสิ่งที่สมาร์ทโฟนสมัยใหม่ทำเวลาถ่ายภาพ แต่คำอธิบายนี้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการใช้ถ้อยคำที่ทำให้เข้าใจผิด เพราะจริง ๆ แล้ว machine learning ก็ถือเป็น AI เช่นกัน นักวิชาการด้านข้อมูลและสื่อเตือนว่า การแก้ไขวิดีโอโดยไม่บอกผู้สร้างหรือผู้ชม อาจทำให้เกิด ปัญหาความน่าเชื่อถือและความโปร่งใส เนื่องจากผู้ใช้ไม่สามารถรู้ได้ว่าเนื้อหาที่เห็นผ่าน YouTube ถูกปรับแต่งไปมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต่างจากฟิลเตอร์หรือเอฟเฟกต์ที่ผู้สร้างเลือกใช้เองอย่างชัดเจน แม้บางครีเอเตอร์อย่าง Rick Beato จะยังคงมองว่า YouTube เป็นแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนชีวิตและมีคุณค่า แต่หลายฝ่ายกังวลว่าการทดลองเช่นนี้อาจเป็น จุดเริ่มต้นของการบิดเบือนสื่อดิจิทัล ที่ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมได้ และอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์มระยะยาว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สิ่งที่เกิดขึ้น ➡️ YouTube ใช้ AI ปรับแต่งวิดีโอโดยไม่แจ้งผู้สร้าง ➡️ การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่น ผิวเรียบ เสื้อคมชัด หูเปลี่ยนรูป ✅ คำอธิบายจาก YouTube ➡️ ระบุว่าเป็นการทดลองจำกัดเพื่อปรับปรุงความคมชัด ➡️ เปรียบเทียบกับการประมวลผลภาพในสมาร์ทโฟน ‼️ ความเสี่ยงและข้อกังวล ⛔ อาจกระทบความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของแพลตฟอร์ม ⛔ ผู้สร้างและผู้ชมไม่สามารถควบคุมการปรับแต่งได้ ⛔ เสี่ยงต่อการบิดเบือนสื่อดิจิทัลในอนาคต https://www.ynetnews.com/tech-and-digital/article/bj1qbwcklg
    WWW.YNETNEWS.COM
    YouTube secretly tests AI video retouching without creators’ consent
    Popular YouTubers Rick Beato and Rhett Shull discovered the platform was quietly altering their videos with AI; the company admits to a limited experiment, raising concerns about trust, consent and media manipulation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • "NanoKVM พบไมโครโฟนซ่อน – ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ไม่ถูกเปิดเผย"

    NanoKVM อุปกรณ์ KVM switch ขนาดเล็กจากบริษัทจีน Sipeed ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกลผ่านเว็บเบราว์เซอร์ได้ โดยมีฟังก์ชันครบทั้งการจำลองคีย์บอร์ด เมาส์ และแม้แต่การเข้าถึง BIOS อย่างไรก็ตาม นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบว่าอุปกรณ์นี้มี ไมโครโฟนขนาดเล็กซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งไม่ถูกระบุไว้ในเอกสารทางการ

    การตรวจสอบพบว่าไมโครโฟนนี้สามารถใช้งานได้ทันทีผ่านเครื่องมือที่ติดตั้งมาแล้ว เช่น amixer และ arecord ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถบันทึกเสียงหรือแม้แต่สตรีมเสียงแบบเรียลไทม์ได้ หากเข้าถึงอุปกรณ์ผ่าน SSH โดยเฉพาะเมื่ออุปกรณ์เคยถูกส่งมาพร้อมรหัสผ่านเริ่มต้นที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นช่องโหว่ร้ายแรง

    นอกจากไมโครโฟนแล้ว NanoKVM ยังมีปัญหาด้านความปลอดภัยอื่น ๆ เช่น การใช้ คีย์เข้ารหัสที่ hardcoded เหมือนกันทุกเครื่อง, การสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ในจีน, การไม่มีการตรวจสอบความสมบูรณ์ของซอฟต์แวร์อัปเดต และการติดตั้งเครื่องมือที่ใช้สำหรับเจาะระบบอย่าง tcpdump และ aircrack ไว้ในเฟิร์มแวร์ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด

    แม้ผู้ผลิตจะพยายามแก้ไขบางส่วน เช่น การยกเลิกการใช้รหัสผ่านเริ่มต้น แต่ปัญหาหลักยังคงอยู่ และการมีไมโครโฟนซ่อนโดยไม่แจ้งผู้ใช้ถือเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลอย่างมาก นักวิจัยแนะนำว่าผู้ใช้ควรพิจารณา แฟลชระบบปฏิบัติการใหม่ที่ปลอดภัยกว่า หรือแม้แต่ถอดไมโครโฟนออกทางกายภาพ หากต้องการใช้งานต่อ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ฟังก์ชันของ NanoKVM
    ควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกลผ่านเว็บเบราว์เซอร์
    จำลองคีย์บอร์ด เมาส์ และเข้าถึง BIOS ได้
    ราคาถูกกว่า PiKVM หลายเท่า

    สิ่งที่ค้นพบเพิ่มเติม
    มีไมโครโฟนซ่อนอยู่ภายใน สามารถบันทึกเสียงได้
    ติดตั้งเครื่องมือเจาะระบบเช่น tcpdump และ aircrack

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    ใช้รหัสผ่านเริ่มต้นและคีย์เข้ารหัสที่เหมือนกันทุกเครื่อง
    ไม่มีการตรวจสอบความสมบูรณ์ของซอฟต์แวร์อัปเดต
    สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ในจีนและเก็บคีย์ยืนยันแบบ plain text

    https://telefoncek.si/2025/02/2025-02-10-hidden-microphone-on-nanokvm/
    🎤 "NanoKVM พบไมโครโฟนซ่อน – ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ไม่ถูกเปิดเผย" NanoKVM อุปกรณ์ KVM switch ขนาดเล็กจากบริษัทจีน Sipeed ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกลผ่านเว็บเบราว์เซอร์ได้ โดยมีฟังก์ชันครบทั้งการจำลองคีย์บอร์ด เมาส์ และแม้แต่การเข้าถึง BIOS อย่างไรก็ตาม นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบว่าอุปกรณ์นี้มี ไมโครโฟนขนาดเล็กซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งไม่ถูกระบุไว้ในเอกสารทางการ การตรวจสอบพบว่าไมโครโฟนนี้สามารถใช้งานได้ทันทีผ่านเครื่องมือที่ติดตั้งมาแล้ว เช่น amixer และ arecord ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถบันทึกเสียงหรือแม้แต่สตรีมเสียงแบบเรียลไทม์ได้ หากเข้าถึงอุปกรณ์ผ่าน SSH โดยเฉพาะเมื่ออุปกรณ์เคยถูกส่งมาพร้อมรหัสผ่านเริ่มต้นที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นช่องโหว่ร้ายแรง นอกจากไมโครโฟนแล้ว NanoKVM ยังมีปัญหาด้านความปลอดภัยอื่น ๆ เช่น การใช้ คีย์เข้ารหัสที่ hardcoded เหมือนกันทุกเครื่อง, การสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ในจีน, การไม่มีการตรวจสอบความสมบูรณ์ของซอฟต์แวร์อัปเดต และการติดตั้งเครื่องมือที่ใช้สำหรับเจาะระบบอย่าง tcpdump และ aircrack ไว้ในเฟิร์มแวร์ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด แม้ผู้ผลิตจะพยายามแก้ไขบางส่วน เช่น การยกเลิกการใช้รหัสผ่านเริ่มต้น แต่ปัญหาหลักยังคงอยู่ และการมีไมโครโฟนซ่อนโดยไม่แจ้งผู้ใช้ถือเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลอย่างมาก นักวิจัยแนะนำว่าผู้ใช้ควรพิจารณา แฟลชระบบปฏิบัติการใหม่ที่ปลอดภัยกว่า หรือแม้แต่ถอดไมโครโฟนออกทางกายภาพ หากต้องการใช้งานต่อ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฟังก์ชันของ NanoKVM ➡️ ควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกลผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ➡️ จำลองคีย์บอร์ด เมาส์ และเข้าถึง BIOS ได้ ➡️ ราคาถูกกว่า PiKVM หลายเท่า ✅ สิ่งที่ค้นพบเพิ่มเติม ➡️ มีไมโครโฟนซ่อนอยู่ภายใน สามารถบันทึกเสียงได้ ➡️ ติดตั้งเครื่องมือเจาะระบบเช่น tcpdump และ aircrack ‼️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ ใช้รหัสผ่านเริ่มต้นและคีย์เข้ารหัสที่เหมือนกันทุกเครื่อง ⛔ ไม่มีการตรวจสอบความสมบูรณ์ของซอฟต์แวร์อัปเดต ⛔ สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ในจีนและเก็บคีย์ยืนยันแบบ plain text https://telefoncek.si/2025/02/2025-02-10-hidden-microphone-on-nanokvm/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Proton Sheets – สเปรดชีตเข้ารหัส ปลอดภัย ใช้ง่าย เป็นทางเลือกแทน Google Docs"

    Proton บริษัทจากสวิตเซอร์แลนด์ที่เน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว ได้เปิดตัว Proton Sheets ซึ่งเป็นเครื่องมือสเปรดชีตออนไลน์ที่เข้ารหัสแบบ end-to-end ทำงานบน Proton Drive จุดเด่นคือ Proton ไม่สามารถเห็นข้อมูลของผู้ใช้ และผู้ใช้สามารถควบคุมการแชร์ได้เองทั้งหมด นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ Proton มีชุดเครื่องมือครบทั้งอีเมล ปฏิทิน เอกสาร และสเปรดชีต

    Proton Sheets มาพร้อมฟีเจอร์ที่ผู้ใช้คุ้นเคย เช่น การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ การรองรับสูตรคำนวณ การนำเข้าและส่งออกไฟล์ CSV/XLS และระบบควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงที่แข็งแรง อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้บนหลายอุปกรณ์ ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้อย่างปลอดภัยทุกที่ทุกเวลา

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Proton Sheets มีการออกแบบที่ใส่ใจผู้ใช้ เช่น การแจ้งเตือนเมื่อหน้าต่างเบราว์เซอร์เล็กเกินไป เพื่อป้องกันการทำงานผิดพลาด แม้บางครั้งอาจสร้างความรำคาญ แต่ก็สะท้อนถึงความตั้งใจในการดูแลประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดีที่สุด

    เมื่อรวมกับบริการอื่น ๆ เช่น Proton Mail, Proton Calendar, Proton Pass และ Proton VPN ทำให้ Proton Ecosystem กลายเป็นทางเลือกที่จริงจังสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยง Big Tech และมองหาชุดเครื่องมือที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    จุดเด่นของ Proton Sheets
    เข้ารหัส end-to-end ปลอดภัย Proton ไม่สามารถเห็นข้อมูล
    รองรับการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ และสูตรคำนวณ
    นำเข้า/ส่งออก CSV และ XLS ได้สะดวก

    Ecosystem ของ Proton
    ครบทั้ง Mail, Calendar, Drive, Docs, Sheets
    เสริมด้วย Proton Pass และ Proton VPN

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    การแจ้งเตือนหน้าต่างเบราว์เซอร์เล็กเกินไป อาจสร้างความรำคาญ
    ฟีเจอร์บางอย่างยังอยู่ในช่วงทยอยเปิดให้ผู้ใช้ อาจยังไม่ครบทุกบัญชี

    https://itsfoss.com/news/proton-sheets/
    📊 "Proton Sheets – สเปรดชีตเข้ารหัส ปลอดภัย ใช้ง่าย เป็นทางเลือกแทน Google Docs" Proton บริษัทจากสวิตเซอร์แลนด์ที่เน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว ได้เปิดตัว Proton Sheets ซึ่งเป็นเครื่องมือสเปรดชีตออนไลน์ที่เข้ารหัสแบบ end-to-end ทำงานบน Proton Drive จุดเด่นคือ Proton ไม่สามารถเห็นข้อมูลของผู้ใช้ และผู้ใช้สามารถควบคุมการแชร์ได้เองทั้งหมด นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ Proton มีชุดเครื่องมือครบทั้งอีเมล ปฏิทิน เอกสาร และสเปรดชีต Proton Sheets มาพร้อมฟีเจอร์ที่ผู้ใช้คุ้นเคย เช่น การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ การรองรับสูตรคำนวณ การนำเข้าและส่งออกไฟล์ CSV/XLS และระบบควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงที่แข็งแรง อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้บนหลายอุปกรณ์ ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้อย่างปลอดภัยทุกที่ทุกเวลา สิ่งที่น่าสนใจคือ Proton Sheets มีการออกแบบที่ใส่ใจผู้ใช้ เช่น การแจ้งเตือนเมื่อหน้าต่างเบราว์เซอร์เล็กเกินไป เพื่อป้องกันการทำงานผิดพลาด แม้บางครั้งอาจสร้างความรำคาญ แต่ก็สะท้อนถึงความตั้งใจในการดูแลประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดีที่สุด เมื่อรวมกับบริการอื่น ๆ เช่น Proton Mail, Proton Calendar, Proton Pass และ Proton VPN ทำให้ Proton Ecosystem กลายเป็นทางเลือกที่จริงจังสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยง Big Tech และมองหาชุดเครื่องมือที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ จุดเด่นของ Proton Sheets ➡️ เข้ารหัส end-to-end ปลอดภัย Proton ไม่สามารถเห็นข้อมูล ➡️ รองรับการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ และสูตรคำนวณ ➡️ นำเข้า/ส่งออก CSV และ XLS ได้สะดวก ✅ Ecosystem ของ Proton ➡️ ครบทั้ง Mail, Calendar, Drive, Docs, Sheets ➡️ เสริมด้วย Proton Pass และ Proton VPN ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ การแจ้งเตือนหน้าต่างเบราว์เซอร์เล็กเกินไป อาจสร้างความรำคาญ ⛔ ฟีเจอร์บางอย่างยังอยู่ในช่วงทยอยเปิดให้ผู้ใช้ อาจยังไม่ครบทุกบัญชี https://itsfoss.com/news/proton-sheets/
    ITSFOSS.COM
    With This New Feature, Proton Has Made it Even Easier to Move Away from Gmail and Google Docs
    The missing piece is here. There is no excuse to stick with Big Tech now.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลุดผลทดสอบ และรายละเอียด Intel Panther Lake “Core Ultra Series 3”

    ข่าวนี้เผยผลทดสอบหลุดของซีพียู Intel Panther Lake “Core Ultra Series 3” หลายรุ่น เช่น Core Ultra 7 366H, Ultra X7 358H, Ultra 7 365 และ Ultra 5 332 โดยมีทั้งสเปกและคะแนนเบื้องต้นจาก PassMark และ Geekbench ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของ Intel ในการแข่งขันกับ AMD Ryzen AI รุ่นใหม่ อันประกอบไปด้วย:
    Core Ultra 7 366H: 16 คอร์, L3 cache 18MB, L2 cache 12MB, ความเร็วบูสต์ ~5.0 GHz
    Core Ultra X7 358H: 16 คอร์, ความเร็วบูสต์ 4.8 GHz, มาพร้อม iGPU Xe3 เต็ม 12 คอร์
    Core Ultra 7 365: 8 คอร์, L3 12MB, L2 12MB
    Core Ultra 5 332: 6 คอร์, L3 12MB, L2 6MB

    ผลทดสอบประสิทธิภาพ
    Core Ultra 7 366H ทำคะแนนใกล้เคียงกับ Core Ultra 9 285H แม้ความเร็วต่ำกว่าเล็กน้อย
    Core Ultra X7 358H เร็วกว่ารุ่น Ultra 7 255H แม้มีคอร์น้อยกว่า
    Core Ultra 7 365 เร็วกว่าทั้ง Ryzen AI Z2 Extreme และ Ultra 5 226V
    Core Ultra 5 332 ถือเป็นรุ่นเริ่มต้นที่ช้ากว่ารุ่นอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด

    การทดสอบบนเครื่องเล่นพกพา
    มีการพบ OneXPlayer X1 i ที่ใช้ Core Ultra 5 338H (12 คอร์, 4.6 GHz) โดยผล Geekbench แสดงว่า Single-Core ต่ำกว่า Ryzen AI 9 HX 370 แต่ Multi-Core สูงกว่า แสดงให้เห็นว่า Panther Lake อาจมีศักยภาพในงานที่ใช้หลายคอร์พร้อมกัน

    ความคาดหวังใน CES 2026
    Intel เตรียมเปิดตัว Core Ultra Series 3 “Panther Lake” อย่างเป็นทางการในงาน CES 2026 ซึ่งจะเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่กับ AMD Ryzen AI รุ่นใหม่ โดยเฉพาะในตลาดโน้ตบุ๊กและเครื่องเล่นพกพาที่ต้องการทั้งประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Intel Panther Lake หลายรุ่นถูกทดสอบบน PassMark และ Geekbench
    Core Ultra 7 366H, X7 358H, 7 365, 5 332

    ผลทดสอบชี้ว่ารุ่นกลางและสูงแข่งกับ Ryzen AI ได้สูสี
    Ultra 7 365 เร็วกว่ารุ่น Ryzen AI Z2 Extreme

    OneXPlayer X1 i ใช้ Core Ultra 5 338H
    Multi-Core ดีกว่า Ryzen AI 9 HX 370 แต่ Single-Core ต่ำกว่า

    คาดว่าจะเปิดตัว CES 2026
    เป็นการกลับมาของ Intel ในตลาดโน้ตบุ๊กและ handheld

    ผลทดสอบยังเป็นเพียงตัวเลขเบื้องต้น
    อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเปิดตัวจริงและมีการปรับแต่งเฟิร์มแวร์

    รุ่นเริ่มต้น Ultra 5 332 ยังช้ากว่าคู่แข่ง
    อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

    https://wccftech.com/intel-panther-lake-cpu-benchmarks-leak-core-ultra-7-366h-x7-358h-7-365-5-332-handheld/
    ⚡ หลุดผลทดสอบ และรายละเอียด Intel Panther Lake “Core Ultra Series 3” ข่าวนี้เผยผลทดสอบหลุดของซีพียู Intel Panther Lake “Core Ultra Series 3” หลายรุ่น เช่น Core Ultra 7 366H, Ultra X7 358H, Ultra 7 365 และ Ultra 5 332 โดยมีทั้งสเปกและคะแนนเบื้องต้นจาก PassMark และ Geekbench ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของ Intel ในการแข่งขันกับ AMD Ryzen AI รุ่นใหม่ อันประกอบไปด้วย: 💠 Core Ultra 7 366H: 16 คอร์, L3 cache 18MB, L2 cache 12MB, ความเร็วบูสต์ ~5.0 GHz 💠 Core Ultra X7 358H: 16 คอร์, ความเร็วบูสต์ 4.8 GHz, มาพร้อม iGPU Xe3 เต็ม 12 คอร์ 💠 Core Ultra 7 365: 8 คอร์, L3 12MB, L2 12MB 💠 Core Ultra 5 332: 6 คอร์, L3 12MB, L2 6MB 📊 ผลทดสอบประสิทธิภาพ 🎗️ Core Ultra 7 366H ทำคะแนนใกล้เคียงกับ Core Ultra 9 285H แม้ความเร็วต่ำกว่าเล็กน้อย 🎗️ Core Ultra X7 358H เร็วกว่ารุ่น Ultra 7 255H แม้มีคอร์น้อยกว่า 🎗️ Core Ultra 7 365 เร็วกว่าทั้ง Ryzen AI Z2 Extreme และ Ultra 5 226V 🎗️ Core Ultra 5 332 ถือเป็นรุ่นเริ่มต้นที่ช้ากว่ารุ่นอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด 🎮 การทดสอบบนเครื่องเล่นพกพา มีการพบ OneXPlayer X1 i ที่ใช้ Core Ultra 5 338H (12 คอร์, 4.6 GHz) โดยผล Geekbench แสดงว่า Single-Core ต่ำกว่า Ryzen AI 9 HX 370 แต่ Multi-Core สูงกว่า แสดงให้เห็นว่า Panther Lake อาจมีศักยภาพในงานที่ใช้หลายคอร์พร้อมกัน 🌍 ความคาดหวังใน CES 2026 Intel เตรียมเปิดตัว Core Ultra Series 3 “Panther Lake” อย่างเป็นทางการในงาน CES 2026 ซึ่งจะเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่กับ AMD Ryzen AI รุ่นใหม่ โดยเฉพาะในตลาดโน้ตบุ๊กและเครื่องเล่นพกพาที่ต้องการทั้งประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Intel Panther Lake หลายรุ่นถูกทดสอบบน PassMark และ Geekbench ➡️ Core Ultra 7 366H, X7 358H, 7 365, 5 332 ✅ ผลทดสอบชี้ว่ารุ่นกลางและสูงแข่งกับ Ryzen AI ได้สูสี ➡️ Ultra 7 365 เร็วกว่ารุ่น Ryzen AI Z2 Extreme ✅ OneXPlayer X1 i ใช้ Core Ultra 5 338H ➡️ Multi-Core ดีกว่า Ryzen AI 9 HX 370 แต่ Single-Core ต่ำกว่า ✅ คาดว่าจะเปิดตัว CES 2026 ➡️ เป็นการกลับมาของ Intel ในตลาดโน้ตบุ๊กและ handheld ‼️ ผลทดสอบยังเป็นเพียงตัวเลขเบื้องต้น ⛔ อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเปิดตัวจริงและมีการปรับแต่งเฟิร์มแวร์ ‼️ รุ่นเริ่มต้น Ultra 5 332 ยังช้ากว่าคู่แข่ง ⛔ อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง https://wccftech.com/intel-panther-lake-cpu-benchmarks-leak-core-ultra-7-366h-x7-358h-7-365-5-332-handheld/
    WCCFTECH.COM
    Several Intel Panther Lake CPU Benchmarks Leak: Core Ultra 7 366H, Ultra X7 358H, Ultra 7 365, & Ultra 5 332, First Panther Lake Handheld Spotted
    Several Intel Panther Lake "Core Ultra Series 3" CPUs & a handheld have been leaked and benchmarked within the PassMark Software suite.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความทนทานของ MacBook Pro M5

    ข่าวนี้เล่าถึงกรณีที่ MacBook Pro M5 ของผู้ใช้รายหนึ่งถูกลืมไว้บนหลังคารถ ก่อนจะตกลงและถูกล้อรถทับ แต่กลับเสียหายเพียงเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของโครงสร้าง Unibody Aluminum ที่ Apple ใช้มานาน

    ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งเล่าว่าเขาลืมวาง MacBook Pro M5 ไว้บนหลังคารถ เมื่อขับออกไปเครื่องตกลงและถูกล้อรถทับ แต่เมื่อเก็บกลับมา พบว่าเครื่องยังทำงานได้สมบูรณ์ มีเพียงรอยขีดข่วนเล็กน้อยเท่านั้น เหตุการณ์นี้สร้างความประหลาดใจและยืนยันถึงคุณภาพวัสดุที่ Apple ใช้

    โครงสร้าง Unibody Aluminum
    Apple ใช้การออกแบบ Unibody Aluminum มานานหลายปี ซึ่งช่วยให้เครื่องแข็งแรงและทนทานต่อแรงกดและแรงบิด เหตุการณ์นี้จึงเป็นตัวอย่างชัดเจนว่าโครงสร้างดังกล่าวสามารถป้องกันความเสียหายได้ดีกว่าลaptops ส่วนใหญ่ในตลาด

    มุมมองจากฟิสิกส์
    ผู้เชี่ยวชาญบางคนอธิบายว่า การที่เครื่องไม่แตกหักเกิดจากแรงกดที่กระจายไปทั่วพื้นที่กว้าง ทำให้แรงไม่กระจุกตัวจนทำลายโครงสร้าง อีกทั้ง MacBook ยังถูกใส่ในซองราคาถูกที่ช่วยลดแรงกระแทกเล็กน้อย

    ผลสะท้อนในชุมชนออนไลน์
    เหตุการณ์นี้ถูกแชร์อย่างกว้างขวางใน Reddit และสื่อเทคโนโลยี โดยหลายคนยกให้เป็น “หลักฐานภาคสนาม” ของความทนทาน MacBook และบางรายถึงกับเปรียบว่า “อาจกันกระสุนได้” เนื่องจากเคยมีกรณีที่ MacBook ช่วยชีวิตคนในเหตุกราดยิง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    MacBook Pro M5 ถูกล้อรถทับแต่ยังใช้งานได้
    มีเพียงรอยขีดข่วนเล็กน้อย

    โครงสร้าง Unibody Aluminum ของ Apple
    แข็งแรงและทนทานกว่า Laptops ส่วนใหญ่

    แรงกดถูกกระจายออกไปทั่วพื้นที่
    ลดความเสียหายจากการทับโดยตรง

    ชุมชนออนไลน์ยกเป็นตัวอย่างความทนทาน
    มีการเปรียบเทียบถึงความสามารถกันกระสุน

    เหตุการณ์นี้เป็นข้อยกเว้น ไม่ใช่การรับประกัน
    ผู้ใช้ทั่วไปไม่ควรทดสอบด้วยการทำให้เครื่องตกหรือถูกทับ

    ความเสี่ยงจากการใช้งานผิดวิธี
    อาจทำให้เครื่องเสียหายถาวรแม้มีโครงสร้างแข็งแรง

    https://wccftech.com/m5-macbook-pro-ran-over-by-car-by-sustains-minor-scratches/
    💻 ความทนทานของ MacBook Pro M5 ข่าวนี้เล่าถึงกรณีที่ MacBook Pro M5 ของผู้ใช้รายหนึ่งถูกลืมไว้บนหลังคารถ ก่อนจะตกลงและถูกล้อรถทับ แต่กลับเสียหายเพียงเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของโครงสร้าง Unibody Aluminum ที่ Apple ใช้มานาน ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งเล่าว่าเขาลืมวาง MacBook Pro M5 ไว้บนหลังคารถ เมื่อขับออกไปเครื่องตกลงและถูกล้อรถทับ แต่เมื่อเก็บกลับมา พบว่าเครื่องยังทำงานได้สมบูรณ์ มีเพียงรอยขีดข่วนเล็กน้อยเท่านั้น เหตุการณ์นี้สร้างความประหลาดใจและยืนยันถึงคุณภาพวัสดุที่ Apple ใช้ 🛡️ โครงสร้าง Unibody Aluminum Apple ใช้การออกแบบ Unibody Aluminum มานานหลายปี ซึ่งช่วยให้เครื่องแข็งแรงและทนทานต่อแรงกดและแรงบิด เหตุการณ์นี้จึงเป็นตัวอย่างชัดเจนว่าโครงสร้างดังกล่าวสามารถป้องกันความเสียหายได้ดีกว่าลaptops ส่วนใหญ่ในตลาด 🔬 มุมมองจากฟิสิกส์ ผู้เชี่ยวชาญบางคนอธิบายว่า การที่เครื่องไม่แตกหักเกิดจากแรงกดที่กระจายไปทั่วพื้นที่กว้าง ทำให้แรงไม่กระจุกตัวจนทำลายโครงสร้าง อีกทั้ง MacBook ยังถูกใส่ในซองราคาถูกที่ช่วยลดแรงกระแทกเล็กน้อย 🌍 ผลสะท้อนในชุมชนออนไลน์ เหตุการณ์นี้ถูกแชร์อย่างกว้างขวางใน Reddit และสื่อเทคโนโลยี โดยหลายคนยกให้เป็น “หลักฐานภาคสนาม” ของความทนทาน MacBook และบางรายถึงกับเปรียบว่า “อาจกันกระสุนได้” เนื่องจากเคยมีกรณีที่ MacBook ช่วยชีวิตคนในเหตุกราดยิง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ MacBook Pro M5 ถูกล้อรถทับแต่ยังใช้งานได้ ➡️ มีเพียงรอยขีดข่วนเล็กน้อย ✅ โครงสร้าง Unibody Aluminum ของ Apple ➡️ แข็งแรงและทนทานกว่า Laptops ส่วนใหญ่ ✅ แรงกดถูกกระจายออกไปทั่วพื้นที่ ➡️ ลดความเสียหายจากการทับโดยตรง ✅ ชุมชนออนไลน์ยกเป็นตัวอย่างความทนทาน ➡️ มีการเปรียบเทียบถึงความสามารถกันกระสุน ‼️ เหตุการณ์นี้เป็นข้อยกเว้น ไม่ใช่การรับประกัน ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปไม่ควรทดสอบด้วยการทำให้เครื่องตกหรือถูกทับ ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้งานผิดวิธี ⛔ อาจทำให้เครื่องเสียหายถาวรแม้มีโครงสร้างแข็งแรง https://wccftech.com/m5-macbook-pro-ran-over-by-car-by-sustains-minor-scratches/
    WCCFTECH.COM
    M5 MacBook Pro’s Superior Build Quality Demonstrated In An Extreme Scenario When Its Owner Accidentally Ran Over It And It Only Sustained ‘Minor Scratches’
    An M5 MacBook Pro owner was thoroughly surprised at how durable his machine is because it only obtained minor scratches after being run over by a car
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel เพิ่มการรองรับ Big Battlemage

    ข่าวนี้กล่าวถึงการที่ Intel เพิ่มการรองรับ Arc Battlemage BMG-G31 GPU ในซอฟต์แวร์ VTune Profiler ล่าสุด ซึ่งเป็นสัญญาณว่า “Big Battlemage” กำลังเข้าใกล้การเปิดตัวจริง อาจเกิดขึ้นในงาน CES 2026 ควบคู่กับซีพียู Panther Lake

    Intel ได้อัปเดต VTune Profiler (เวอร์ชัน 2025.7) โดยเพิ่มการรองรับ GPU รุ่น Arc Battlemage BMG-G31 และซีพียู Core Ultra 3 Panther Lake การเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณชัดเจนว่า Big Battlemage กำลังจะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้ หลังจากที่มีข่าวลือมานานกว่าหนึ่งปี

    สเปกที่คาดการณ์
    Arc BMG-G31 คาดว่าจะมีสูงสุด 32 Xe2 Cores, หน่วยความจำ 16GB GDDR6, และบัส 256-bit ที่ให้แบนด์วิดท์ถึง 608 GB/s หากตั้งราคาในช่วง 300–400 ดอลลาร์สหรัฐ จะสามารถแข่งขันกับ NVIDIA RTX 5060 และ AMD RX 9060 ได้อย่างสูสี

    ความคืบหน้าและความล่าช้า
    เดิมที Intel มีแผนเปิดตัวรุ่น Arc B770 เร็วกว่านี้ แต่ถูกเลื่อนออกไปหลายครั้ง จนถึงปลายปี 2025 จึงยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ การเพิ่มการรองรับใน VTune จึงถูกตีความว่าเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดตัวในงาน CES 2026

    ผลกระทบต่อการแข่งขันตลาด GPU
    หาก Big Battlemage เปิดตัวจริงในช่วงต้นปีหน้า จะเป็นการกลับมาท้าทาย NVIDIA และ AMD อีกครั้ง โดยเฉพาะในตลาดระดับกลางที่มีการแข่งขันสูง และอาจช่วยให้ Intel ขยายส่วนแบ่งตลาด GPU ได้มากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Intel เพิ่มการรองรับ Arc BMG-G31 ใน VTune Profiler
    สัญญาณว่า Big Battlemage ใกล้เปิดตัว

    สเปกที่คาดการณ์ของ BMG-G31
    32 Xe2 Cores, 16GB GDDR6, 256-bit bus, 608 GB/s

    ราคาที่คาดว่าจะอยู่ราว 300–400 ดอลลาร์
    แข่งขันกับ RTX 5060 และ RX 9060

    คาดว่าจะเปิดตัว CES 2026
    พร้อมกับซีพียู Panther Lake

    การเลื่อนเปิดตัวหลายครั้งในปี 2025
    ทำให้ตลาดยังไม่มั่นใจในแผน GPU ของ Intel

    การแข่งขันกับ NVIDIA และ AMD ยังเข้มข้น
    Intel ต้องพิสูจน์ความเสถียรและประสิทธิภาพจริง

    https://wccftech.com/intel-arc-battlemage-bmg-g31-gpu-brand-new-support-big-battlemage-finally-ready/
    🖥️ Intel เพิ่มการรองรับ Big Battlemage ข่าวนี้กล่าวถึงการที่ Intel เพิ่มการรองรับ Arc Battlemage BMG-G31 GPU ในซอฟต์แวร์ VTune Profiler ล่าสุด ซึ่งเป็นสัญญาณว่า “Big Battlemage” กำลังเข้าใกล้การเปิดตัวจริง อาจเกิดขึ้นในงาน CES 2026 ควบคู่กับซีพียู Panther Lake Intel ได้อัปเดต VTune Profiler (เวอร์ชัน 2025.7) โดยเพิ่มการรองรับ GPU รุ่น Arc Battlemage BMG-G31 และซีพียู Core Ultra 3 Panther Lake การเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณชัดเจนว่า Big Battlemage กำลังจะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้ หลังจากที่มีข่าวลือมานานกว่าหนึ่งปี ⚡ สเปกที่คาดการณ์ Arc BMG-G31 คาดว่าจะมีสูงสุด 32 Xe2 Cores, หน่วยความจำ 16GB GDDR6, และบัส 256-bit ที่ให้แบนด์วิดท์ถึง 608 GB/s หากตั้งราคาในช่วง 300–400 ดอลลาร์สหรัฐ จะสามารถแข่งขันกับ NVIDIA RTX 5060 และ AMD RX 9060 ได้อย่างสูสี 🔍 ความคืบหน้าและความล่าช้า เดิมที Intel มีแผนเปิดตัวรุ่น Arc B770 เร็วกว่านี้ แต่ถูกเลื่อนออกไปหลายครั้ง จนถึงปลายปี 2025 จึงยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ การเพิ่มการรองรับใน VTune จึงถูกตีความว่าเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดตัวในงาน CES 2026 🌍 ผลกระทบต่อการแข่งขันตลาด GPU หาก Big Battlemage เปิดตัวจริงในช่วงต้นปีหน้า จะเป็นการกลับมาท้าทาย NVIDIA และ AMD อีกครั้ง โดยเฉพาะในตลาดระดับกลางที่มีการแข่งขันสูง และอาจช่วยให้ Intel ขยายส่วนแบ่งตลาด GPU ได้มากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Intel เพิ่มการรองรับ Arc BMG-G31 ใน VTune Profiler ➡️ สัญญาณว่า Big Battlemage ใกล้เปิดตัว ✅ สเปกที่คาดการณ์ของ BMG-G31 ➡️ 32 Xe2 Cores, 16GB GDDR6, 256-bit bus, 608 GB/s ✅ ราคาที่คาดว่าจะอยู่ราว 300–400 ดอลลาร์ ➡️ แข่งขันกับ RTX 5060 และ RX 9060 ✅ คาดว่าจะเปิดตัว CES 2026 ➡️ พร้อมกับซีพียู Panther Lake ‼️ การเลื่อนเปิดตัวหลายครั้งในปี 2025 ⛔ ทำให้ตลาดยังไม่มั่นใจในแผน GPU ของ Intel ‼️ การแข่งขันกับ NVIDIA และ AMD ยังเข้มข้น ⛔ Intel ต้องพิสูจน์ความเสถียรและประสิทธิภาพจริง https://wccftech.com/intel-arc-battlemage-bmg-g31-gpu-brand-new-support-big-battlemage-finally-ready/
    WCCFTECH.COM
    Intel Arc Battlemage "BMG-G31" GPU Receives Brand New Support By The Chipmaker Itself, Is Big Battlemage Finally Ready For Launch?
    Intel has just added the latest support for its Arc Battlemage "BMG-G31" GPU, hinting that the launch should be closer than we think.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts