• เรื่องเล่าจากโลกของคนจัดการงาน: ลองมาหมดทุกแอป แต่สุดท้ายกลับไปใช้ไฟล์ .txt

    Alireza Bashiri นักพัฒนาและนักเขียนสายเทคโนโลยี ได้ทดลองใช้แอปจัดการงานทุกตัวที่คุณนึกออก—Notion, Todoist, Things 3, Trello, OmniFocus, Asana ฯลฯ เขาเคยถึงขั้นสร้างแอปของตัวเอง แต่สุดท้ายกลับพบว่า “ไฟล์ .txt ธรรมดา” คือสิ่งที่ตอบโจทย์ที่สุด

    เขาเล่าว่าแต่ละแอปมีข้อดี แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น ต้องเสียเงินรายเดือน ระบบซิงก์พัง หรือใช้เวลาจัดการระบบมากกว่าทำงานจริง จุดเปลี่ยนคือวันที่โทรศัพท์ดับ เขาเขียนงานลงบนกระดาษโน้ต และทำทุกอย่างสำเร็จโดยไม่ต้องพึ่งแอปใด ๆ

    ตอนนี้เขาใช้ไฟล์ชื่อ todo.txt เป็นศูนย์กลางของทุกอย่างในชีวิตการทำงาน โดยแบ่งเวลา กำหนดงาน และจดบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไว้ในไฟล์เดียว กลายเป็นระบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

    Alireza Bashiri ทดลองใช้แอปจัดการงานหลายตัวแต่ไม่เวิร์ก
    เช่น Notion, Todoist, Trello, OmniFocus, Things 3

    เขากลับมาใช้ไฟล์ .txt ธรรมดาในการจัดการงาน
    ใช้ชื่อว่า todo.txt และเขียนงานตามเวลาในแต่ละวัน

    จุดเปลี่ยนคือวันที่โทรศัพท์ดับ เขาใช้กระดาษโน้ตแทน
    ทำงานสำเร็จโดยไม่ต้องใช้แอปใด ๆ

    ระบบใหม่ของเขาเรียบง่าย: เขียนงานตามเวลา ลบเมื่อเสร็จ
    ใช้ sub-bullets สำหรับโน้ต และอัปเดตงานระหว่างวัน

    เขาได้รับแรงบันดาลใจจาก Jeff Huang ที่ใช้ไฟล์ .txt มานานกว่า 14 ปี
    ทำให้มั่นใจว่าวิธีนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก

    Productivity apps มีฟีเจอร์หลากหลาย เช่น ปฏิทิน, การแจ้งเตือน, การทำงานร่วมกัน
    แต่บางครั้งซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    แอปอย่าง Notion และ Asana เหมาะกับทีมมากกว่าคนทำงานคนเดียว
    มีระบบ collaboration และ project management ที่ซับซ้อน

    Motion และ Pumble เป็นแอปใหม่ที่รวมหลายฟีเจอร์ไว้ในตัวเดียว
    เช่น การจัดการเวลา, การสื่อสาร, การจดบันทึกด้วย AI

    การใช้ไฟล์ .txt ช่วยลดภาระทางจิตใจจากการจัดการระบบ
    ทำให้โฟกัสกับงานจริงได้มากขึ้น

    แอปบางตัวมีค่าใช้จ่ายรายเดือนที่สูง
    เช่น Things 3 และ OmniFocus ที่ต้องซื้อแบบพรีเมียม

    การพึ่งพาแอปมากเกินไปอาจทำให้ขาดความยืดหยุ่น
    หากอุปกรณ์พังหรือไม่มีอินเทอร์เน็ต อาจทำงานไม่ได้

    การจัดการงานผ่านแอปอาจกลายเป็น “งานซ้อนงาน”
    เสียเวลาไปกับการจัดระเบียบมากกว่าการลงมือทำ

    https://www.al3rez.com/todo-txt-journey
    📓🧠 เรื่องเล่าจากโลกของคนจัดการงาน: ลองมาหมดทุกแอป แต่สุดท้ายกลับไปใช้ไฟล์ .txt Alireza Bashiri นักพัฒนาและนักเขียนสายเทคโนโลยี ได้ทดลองใช้แอปจัดการงานทุกตัวที่คุณนึกออก—Notion, Todoist, Things 3, Trello, OmniFocus, Asana ฯลฯ เขาเคยถึงขั้นสร้างแอปของตัวเอง แต่สุดท้ายกลับพบว่า “ไฟล์ .txt ธรรมดา” คือสิ่งที่ตอบโจทย์ที่สุด เขาเล่าว่าแต่ละแอปมีข้อดี แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น ต้องเสียเงินรายเดือน ระบบซิงก์พัง หรือใช้เวลาจัดการระบบมากกว่าทำงานจริง จุดเปลี่ยนคือวันที่โทรศัพท์ดับ เขาเขียนงานลงบนกระดาษโน้ต และทำทุกอย่างสำเร็จโดยไม่ต้องพึ่งแอปใด ๆ ตอนนี้เขาใช้ไฟล์ชื่อ todo.txt เป็นศูนย์กลางของทุกอย่างในชีวิตการทำงาน โดยแบ่งเวลา กำหนดงาน และจดบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไว้ในไฟล์เดียว กลายเป็นระบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ✅ Alireza Bashiri ทดลองใช้แอปจัดการงานหลายตัวแต่ไม่เวิร์ก ➡️ เช่น Notion, Todoist, Trello, OmniFocus, Things 3 ✅ เขากลับมาใช้ไฟล์ .txt ธรรมดาในการจัดการงาน ➡️ ใช้ชื่อว่า todo.txt และเขียนงานตามเวลาในแต่ละวัน ✅ จุดเปลี่ยนคือวันที่โทรศัพท์ดับ เขาใช้กระดาษโน้ตแทน ➡️ ทำงานสำเร็จโดยไม่ต้องใช้แอปใด ๆ ✅ ระบบใหม่ของเขาเรียบง่าย: เขียนงานตามเวลา ลบเมื่อเสร็จ ➡️ ใช้ sub-bullets สำหรับโน้ต และอัปเดตงานระหว่างวัน ✅ เขาได้รับแรงบันดาลใจจาก Jeff Huang ที่ใช้ไฟล์ .txt มานานกว่า 14 ปี ➡️ ทำให้มั่นใจว่าวิธีนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก ✅ Productivity apps มีฟีเจอร์หลากหลาย เช่น ปฏิทิน, การแจ้งเตือน, การทำงานร่วมกัน ➡️ แต่บางครั้งซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ✅ แอปอย่าง Notion และ Asana เหมาะกับทีมมากกว่าคนทำงานคนเดียว ➡️ มีระบบ collaboration และ project management ที่ซับซ้อน ✅ Motion และ Pumble เป็นแอปใหม่ที่รวมหลายฟีเจอร์ไว้ในตัวเดียว ➡️ เช่น การจัดการเวลา, การสื่อสาร, การจดบันทึกด้วย AI ✅ การใช้ไฟล์ .txt ช่วยลดภาระทางจิตใจจากการจัดการระบบ ➡️ ทำให้โฟกัสกับงานจริงได้มากขึ้น ‼️ แอปบางตัวมีค่าใช้จ่ายรายเดือนที่สูง ⛔ เช่น Things 3 และ OmniFocus ที่ต้องซื้อแบบพรีเมียม ‼️ การพึ่งพาแอปมากเกินไปอาจทำให้ขาดความยืดหยุ่น ⛔ หากอุปกรณ์พังหรือไม่มีอินเทอร์เน็ต อาจทำงานไม่ได้ ‼️ การจัดการงานผ่านแอปอาจกลายเป็น “งานซ้อนงาน” ⛔ เสียเวลาไปกับการจัดระเบียบมากกว่าการลงมือทำ https://www.al3rez.com/todo-txt-journey
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • สิ่งดียวที่ผมเชื่อ คือ การลงมือทำด้วยตัวของตัวเอง เคยอวดภูมิ สุดท้าย ภูมิอ่อนจนไม่สามารถแสดงอะไรออกได้แล้ว แต่ก็ต้องทำต่อไป ทำต่อเนื่อง และทำมาตลอด ถึงจะเห็นผล ยิ่งทำมานานๆยิ่งดี
    ส่วนเรื่องที่แชทจากใครบางคน นานหลายปีแล้ว แชทบอกให้ส่งต่อคนอื่นๆ แบบลูกโซ่ บอกแล้ว ผมไม่ทำและไม่อยากทำ เพราะสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นไม่พอ เบียดเบียนผู้อื่นอีกด้วย สุดท้ายผมก็ไม่เชื่อแชทลูกโซ่แบบว่า ความเชื่อ บลาๆๆ
    สิ่งเดียวที่ผมศรัทธา คือ การลงมือทำต้วยตัวเอง ไม่พึ่งพาเบียดเบียนใครให้เดือดร้อนเพราะตนเอง
    ความเชื่อตามอ้างโบราณกาล ความเชื่อตามมโนไร้ซึ่งเหตุผล สุดท้ายทำให้ผมต้องสละจากความเชื่อที่เป็นความเห็นผิดเกือบทั้งหมด ใช้ชีวิตตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พอแล้ว ได้กลับมากินเนื้อวัวหลังจากที่จมอยู่กับความเห็นผิดมานาน จากนั้นก็จะกินเนื้อกวาง เนื้อเก้ง เนื้อแกะ เนื้อแพะ ต่อ
    พิภพมัจจุราช ตอน ลัทธิกรรม ทำให้รู้เลยว่า การแก้กรรมด้วยวิธีการนอกรีตหรือขัดแย้งกับหลักคำสอน ซึ่งเบื้องหลังขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ล้วนๆ มีการค้าขายสัตว์โดยทุจริต และการหากินกับสายมูนั้น ไม่ใช่ทางของผมมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะการหากินกับสายมู หากินกับความเชื่อ ผิดหลักคำสอนประพุทธเจ้ามาตลอด ผมเลยเลือกอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความเป็นจริง และอยู่กับอริยสัจ ๔
    ตัวละครหลักในเรื่องลัทธิกรรมที่ต้องลงนรกจากขุมลึกที่สุดไปจนถึงขุมที่ตื้นที่สุด ภูมิหลังคือ กระทำอนันตริยกรรม โดยการ สังหารมารดาตนเองโดยขาดสติ และต่อมา สร้างปัจจัยหากินกับวัดโดยทุจริต ฮุบเงินบริจาควัด ใส่ร้ายเจ้าอาวาส และได้เงินที่ทุจริตมาสร้างภาพให้คนเองเป็นคนดี หลอกให้เชื่อเรื่องแก้กรรมตามวิถีนอกรีต สายมู และหากินเบื้องหลังโดยทุจริต แต่ที่แท้หาผลประโยชน์จากความเห็นผิดผู้อื่นและความงมงายผู้อื่น นำมาซึ่งกรรมหนักสะสมหนักขึ้นๆจนเกิดวิบากกรรมขึ้นมา ไม่ว่าจะ 3 ปีผ่านไป 7 ปีผ่านไป หรือ 14 ปีผ่านไป (7 ปีผ่านไป อันนี้เมคเนื้อเรื่องตามชื่อช่อง 7 เพราะในขณะนั้นฉายช่อง 7 ก่อนซีซั่นต่อไป เปิดกล้อยฉายออกช่อง 3 ส่วนช่อง 3 อันนี้ผมไม่รู้)
    ทำธุรกิจสายมู หากินกับผู้หลงงมงาย ผู้โง่เขลา ผู้มีความเห็นผิด ผมไม่อยากจะทำด้วยซ้ำ ภูมิหลังไม่รู้ก่อคดีร้ายแรงอะไรมาก่อน และในตัวเขามีสันดานเลวทรามอะไรบ้าง ผมขอทำธุรกิจสายโลกาภิวัฒน์ เทคโนโลยีและเทคนิคต่างๆดีกว่ามาทำธุรกิจความเชื่อ
    จบคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ปวช. แต่ยังต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจบนโลกอินเทอร์เน็ต ฟรีแลนซ์ รับงานผ่านอินเทอร์เน็ต อีกเยอะแยะ อันนั้นผมมาถูกทางแล้ว ที่ผ่านมาผิดทางเพราะ เป็นลูกจ้าง หรือ อ่านหนังสือสอบบรรจุอย่างเดียว ผมต้องคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างเงินถึงเข้ามาหาเรามากๆ
    สิ่งดียวที่ผมเชื่อ คือ การลงมือทำด้วยตัวของตัวเอง เคยอวดภูมิ สุดท้าย ภูมิอ่อนจนไม่สามารถแสดงอะไรออกได้แล้ว แต่ก็ต้องทำต่อไป ทำต่อเนื่อง และทำมาตลอด ถึงจะเห็นผล ยิ่งทำมานานๆยิ่งดี ส่วนเรื่องที่แชทจากใครบางคน นานหลายปีแล้ว แชทบอกให้ส่งต่อคนอื่นๆ แบบลูกโซ่ บอกแล้ว ผมไม่ทำและไม่อยากทำ เพราะสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นไม่พอ เบียดเบียนผู้อื่นอีกด้วย สุดท้ายผมก็ไม่เชื่อแชทลูกโซ่แบบว่า ความเชื่อ บลาๆๆ สิ่งเดียวที่ผมศรัทธา คือ การลงมือทำต้วยตัวเอง ไม่พึ่งพาเบียดเบียนใครให้เดือดร้อนเพราะตนเอง ความเชื่อตามอ้างโบราณกาล ความเชื่อตามมโนไร้ซึ่งเหตุผล สุดท้ายทำให้ผมต้องสละจากความเชื่อที่เป็นความเห็นผิดเกือบทั้งหมด ใช้ชีวิตตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พอแล้ว ได้กลับมากินเนื้อวัวหลังจากที่จมอยู่กับความเห็นผิดมานาน จากนั้นก็จะกินเนื้อกวาง เนื้อเก้ง เนื้อแกะ เนื้อแพะ ต่อ พิภพมัจจุราช ตอน ลัทธิกรรม ทำให้รู้เลยว่า การแก้กรรมด้วยวิธีการนอกรีตหรือขัดแย้งกับหลักคำสอน ซึ่งเบื้องหลังขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ล้วนๆ มีการค้าขายสัตว์โดยทุจริต และการหากินกับสายมูนั้น ไม่ใช่ทางของผมมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะการหากินกับสายมู หากินกับความเชื่อ ผิดหลักคำสอนประพุทธเจ้ามาตลอด ผมเลยเลือกอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความเป็นจริง และอยู่กับอริยสัจ ๔ ตัวละครหลักในเรื่องลัทธิกรรมที่ต้องลงนรกจากขุมลึกที่สุดไปจนถึงขุมที่ตื้นที่สุด ภูมิหลังคือ กระทำอนันตริยกรรม โดยการ สังหารมารดาตนเองโดยขาดสติ และต่อมา สร้างปัจจัยหากินกับวัดโดยทุจริต ฮุบเงินบริจาควัด ใส่ร้ายเจ้าอาวาส และได้เงินที่ทุจริตมาสร้างภาพให้คนเองเป็นคนดี หลอกให้เชื่อเรื่องแก้กรรมตามวิถีนอกรีต สายมู และหากินเบื้องหลังโดยทุจริต แต่ที่แท้หาผลประโยชน์จากความเห็นผิดผู้อื่นและความงมงายผู้อื่น นำมาซึ่งกรรมหนักสะสมหนักขึ้นๆจนเกิดวิบากกรรมขึ้นมา ไม่ว่าจะ 3 ปีผ่านไป 7 ปีผ่านไป หรือ 14 ปีผ่านไป (7 ปีผ่านไป อันนี้เมคเนื้อเรื่องตามชื่อช่อง 7 เพราะในขณะนั้นฉายช่อง 7 ก่อนซีซั่นต่อไป เปิดกล้อยฉายออกช่อง 3 ส่วนช่อง 3 อันนี้ผมไม่รู้) ทำธุรกิจสายมู หากินกับผู้หลงงมงาย ผู้โง่เขลา ผู้มีความเห็นผิด ผมไม่อยากจะทำด้วยซ้ำ ภูมิหลังไม่รู้ก่อคดีร้ายแรงอะไรมาก่อน และในตัวเขามีสันดานเลวทรามอะไรบ้าง ผมขอทำธุรกิจสายโลกาภิวัฒน์ เทคโนโลยีและเทคนิคต่างๆดีกว่ามาทำธุรกิจความเชื่อ จบคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ปวช. แต่ยังต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจบนโลกอินเทอร์เน็ต ฟรีแลนซ์ รับงานผ่านอินเทอร์เน็ต อีกเยอะแยะ อันนั้นผมมาถูกทางแล้ว ที่ผ่านมาผิดทางเพราะ เป็นลูกจ้าง หรือ อ่านหนังสือสอบบรรจุอย่างเดียว ผมต้องคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างเงินถึงเข้ามาหาเรามากๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 356 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตามล่าหา 'ดาวเหนือ'
    ด๋องรู้สึกเหมือนกำลังพายเรืออยู่ในทะเลอันกว้างใหญ่ที่ไร้จุดหมาย
    แต่ละวันเริ่มต้นขึ้นด้วยแรงเฉื่อย เขาลุกไปทำงานเพียงเพราะ "ต้องทำ" ไม่ได้มีเป้าหมายที่ชัดเจน
    งานที่ทำก็ไม่ได้เลวร้าย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความหมายหรือความรักที่จะทำ มันเป็นแค่การทำตามคำสั่งไปวันๆ
    เหมือนเป็นฟันเฟืองตัวเล็กๆ ในเครื่องจักรขนาดใหญ่ หมุนไปตามแรงขับเคลื่อนของคนอื่น โดยไม่รู้เลยว่าปลายทางคือที่ใด
    เขาเคยได้ยินคำว่า "ดาวเหนือ" มาบ้าง ในฐานะสัญลักษณ์ของแรงบันดาลใจและเข็มทิศชีวิต
    แต่สำหรับด๋อง คำนี้ดูห่างไกลเหลือเกิน มันเป็นเพียงถ้อยคำสวยหรูในโลกอุดมคติ ที่ไม่มีอยู่จริงในชีวิตการทำงานอันแสนธรรมดาของเขา
    .
    วันหนึ่ง จุดเปลี่ยนเล็กๆ ก็มาถึง เมื่อหัวหน้ามอบหมายโปรเจกต์หนึ่งให้
    มันเป็นงานที่หนัก ต้องใช้ความละเอียดสูง และดูเหมือนจะไม่มีใครอยากทำ เพราะมันทั้งน่าเบื่อและซ้ำซาก
    เพื่อนร่วมงานหลายคนแสดงท่าทีเหนื่อยหน่าย แต่ด๋องเลือกที่จะรับมันไว้โดยไม่ปริปากบ่น
    ในหัวคิดเพียงแค่ว่า "ก็ต้องทำ" ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็แค่ก้มหน้าก้มตาทำให้เสร็จไป
    ด๋องทุ่มเทเวลาหลายสัปดาห์ให้กับโปรเจกต์นี้ อาศัยเพียง "เครื่องมือ" ที่มี ความรู้พื้นฐานที่ร่ำเรียนมา และความอึดเข้าแลก
    เขาจมดิ่งอยู่กับตัวเลขและเอกสาร แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปทีละจุด แม้จะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่างานนี้จะนำไปสู่สิ่งใด
    .
    วันนำเสนอผลงานมาถึง
    ด๋องยืนอยู่หน้าห้องประชุม นำเสนอสิ่งที่เขาได้ทำลงไปอย่างละเอียด ทั้งขั้นตอน ปัญหาที่พบ และวิธีแก้ไขแบบตามตำรา
    หัวหน้าและผู้ใหญ่ในห้องพยักหน้าพอใจในความเรียบร้อยและครบถ้วนตามที่มอบหมาย
    โปรเจกต์นี้ "สำเร็จ" ในสายตาของทุกคน และด๋องก็ได้รับคำชมตามระเบียบ
    แต่เมื่อเดินออกจากห้องประชุม แสงแดดยามบ่ายกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจเลย
    ความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาไม่ใช่ความภาคภูมิใจ แต่เป็นความว่างเปล่าที่กัดกินข้างใน
    เหมือนเพิ่งปีนขึ้นไปบนยอดเขาได้สำเร็จ แต่กลับพบว่าตัวเองมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน ไม่ได้แหงนมองวิวทิวทัศน์ระหว่างทางเลย
    "นี่คือทั้งหมดแล้วเหรอ?" คำถามนี้ดังก้องอยู่ในใจ "ชีวิตการทำงานมีแค่นี้เองเหรอ? แค่ทำสิ่งที่ 'ต้องทำ' ให้ดีที่สุด แล้วก็รู้สึกว่างเปล่าแบบนี้?"
    .
    ความว่างเปล่าครั้งนั้นกลายเป็นแรงผลักดันเงียบๆ ให้ด๋องเริ่มมองหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป
    เขาเริ่มหยิบหนังสือพัฒนาตนเองที่เคยเมินเฉยขึ้นมาอ่านอีกครั้ง แต่คราวนี้อ่านด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป
    ไม่ได้อ่านเพื่อหาสูตรสำเร็จ แต่เพื่อทำความเข้าใจความรู้สึกสับสนภายในใจของตัวเอง
    เขาได้อ่านเรื่องราวของผู้คนมากมายที่ดูเหมือนจะมี "ดาวเหนือ" เป็นของตัวเอง ส่องนำทางชีวิตและการทำงาน
    ด๋องเริ่ม "มองแบบอย่าง" จากคนเหล่านั้น ไม่ใช่การเลียนแบบภายนอก แต่พยายามทำความเข้าใจความคิด "เจตนา" และคุณค่าที่ขับเคลื่อนพวกเขา
    เขาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงจังว่า นอกจากการ "ต้องทำ" แล้ว มีอะไรที่เขา "อยากจะทำ" กันแน่? และต้อง "จำเป็นต้องทำ" อะไรบ้างเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น?
    .
    ไม่นานหลังจากนั้น ด๋องได้เข้าร่วมเวิร์กช็อปของบริษัทเกี่ยวกับวิสัยทัศน์และเป้าหมายองค์กร
    เขาได้ฟังเรื่องราวเบื้องหลังความสำเร็จ ฟังความฝันของผู้บริหารและเพื่อนร่วมงานจากแผนกต่างๆ
    เหมือนจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจายค่อยๆ ประกอบกันเป็นภาพใหญ่ที่เขาไม่เคยมองเห็นมาก่อน
    ด๋องเริ่มเข้าใจว่างานเล็กๆ ที่เขาทำ อาจมีความเชื่อมโยงกับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น และเขาก็พบว่ามีบางประเด็นใน "วิสัยทัศน์ร่วม" นั้นที่สอดคล้องกับสิ่งที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจว่าเขา "อยากจะทำ"
    เขาตัดสินใจเริ่มต้นโปรเจกต์เล็กๆ นอกเหนือจากงานประจำ เป็นโปรเจกต์ที่เกิดจากความสนใจส่วนตัวและความตั้งใจที่อยากเห็นบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
    ครั้งนี้ ด๋องมี "เจตนา" ที่ชัดเจนในการลงมือทำ เขาพยายาม "จัดแนว" การกระทำทุกอย่างให้สอดคล้องกับ "ดาวเหนือ" ที่เริ่มส่องแสงประกายอ่อนๆ ให้เห็น
    .
    เส้นทางของโปรเจกต์ใหม่นี้ไม่ได้ราบรื่นเลย
    เขาต้องเผชิญกับความไม่รู้ ต้องกล้าก้าวออกจาก comfort zone ไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ไม่เคยแม้แต่จะคุยด้วย
    อุปสรรคถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทั้งปัญหาที่ไม่คาดคิด ความผิดพลาดจากการลองผิดลองถูก
    แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ใจกลับเต็มไปด้วยพลังและความตื่นเต้น
    เขาล้มเหลวหลายครั้ง แต่ทุกครั้งคือการเรียนรู้ เขาไม่ได้ทำเพราะ "ต้องทำ" แต่ทำเพราะ "อยากทำ" และเริ่มรู้สึก "ชอบ" กระบวนการเรียนรู้และสร้างสรรค์นี้จริงๆ
    ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดคือตอนที่ทีมเล็กๆ ของเขา (ซึ่งรวมตัวกันด้วย "วิสัยทัศน์ร่วม") ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ใหญ่มากจนเกือบต้องยอมแพ้
    .
    แทนที่จะท้อถอย ด๋องกลับรู้สึกถึงพลังที่มองไม่เห็น ที่ผลักดันให้สู้ต่อไป
    เขาไม่ได้สู้แค่คนเดียว แต่สู้ไปพร้อมกับเพื่อนร่วมทีมที่เชื่อในสิ่งเดียวกัน ด้วย "เจตนา" และ "วิสัยทัศน์ร่วม" ที่ชัดเจน
    พวกเขาช่วยกันระดมสมอง เรียนรู้จากความผิดพลาด และปรับตัวอย่างรวดเร็วในทุกสถานการณ์ (Unconscious to Conscious Learning)
    ในที่สุด พวกเขาก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคครั้งใหญ่นั้นไปได้สำเร็จ ไม่ใช่ด้วยเครื่องมือวิเศษ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการเรียนรู้ร่วมกัน
    ความรู้สึกหลังจากการฝ่าฟันครั้งนี้นั้นแตกต่างจากครั้งแรกราวฟ้ากับเหว
    มันไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เป็นความอิ่มเอมใจที่ได้ทำในสิ่งที่เชื่อ ได้ทุ่มเทอย่างสุดกำลัง และได้เติบโตผ่านความท้าทายร่วมกับทีม
    เมื่อมองย้อนกลับไปที่โปรเจกต์แรกที่เคยทำด้วยความรู้สึกว่างเปล่า
    .
    วันนี้เขาเพิ่งได้เรียนรู้ว่า งาน "น่าเบื่อ" และ "ซ้ำซาก" ที่เขาทำไปเพราะ "ต้องทำ" ในวันนั้น
    ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่แค่การทำงานให้เสร็จไปวันๆ
    แต่มันคือบททดสอบและบทฝึกฝนที่สำคัญยิ่งยวด
    งานนั้นได้สร้างและลับคม "เครื่องมือ" ที่จำเป็นที่สุดให้เขา นั่นคือ ความอดทน ความละเอียดรอบคอบ และทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
    ทักษะพื้นฐานเหล่านี้เองที่กลายเป็นรากฐานอันแข็งแกร่ง
    ที่ทำให้เขามีความพร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนกว่ามากในโปรเจกต์ที่สอง
    โปรเจกต์ที่เป็นสิ่งที่เขา "รักที่จะทำ" อย่างแท้จริง
    เรื่องราวของด๋องสอนเราว่า เส้นทางสู่การค้นพบสิ่งที่ "รักที่จะทำ" นั้น
    มักไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป
    บางครั้งเราต้องผ่านช่วงเวลาของการ "ต้องทำ" ในสิ่งที่เราอาจยังไม่เห็นคุณค่าหรือความหมายในทันที
    แต่งานเหล่านั้น หากเรามี "เจตนา" ที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
    จะช่วยสร้าง "เครื่องมือ" และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่ง
    ซึ่งเครื่องมือเหล่านั้นจะกลายเป็นพลังสำคัญที่ช่วยให้เราคว้าโอกาสและเอาชนะอุปสรรคได้
    .
    การออกตามหา "ดาวเหนือ" ไม่ใช่แค่การมองหาแรงบันดาลใจจากภายนอก
    แต่คือกระบวนการภายในของการทำความเข้าใจตัวเอง การมองหาแบบอย่างที่ดี การตั้ง "เจตนา" ที่ชัดเจน
    และการ "จัดแนว (Align)" การกระทำทุกอย่างให้สอดคล้องกับเป้าหมายและคุณค่าที่เรายึดมั่น
    และที่สำคัญที่สุด คือการค่อยๆ เปลี่ยนจาก mindset ที่ทำเพราะ "ต้องทำ"
    ไปสู่การได้ทำในสิ่งที่ "อยากทำ", "จำเป็นต้องทำ", "ชอบที่จะทำ"
    และท้ายที่สุดคือการได้ทำในสิ่งที่ "รักที่จะทำ" อย่างแท้จริง
    เพราะเมื่อใดที่เราได้ทำในสิ่งที่รักและมีความหมาย
    แม้ต้องเผชิญความยากลำบากใดๆ เราก็จะพบกับความอิ่มเอมใจที่แท้จริง
    และความหมายที่ลึกซึ้งในงานที่เราทำ เช่นเดียวกับที่ด๋องได้ค้นพบในที่สุด

    www.10x-consulting.com
    ตามล่าหา 'ดาวเหนือ' ด๋องรู้สึกเหมือนกำลังพายเรืออยู่ในทะเลอันกว้างใหญ่ที่ไร้จุดหมาย แต่ละวันเริ่มต้นขึ้นด้วยแรงเฉื่อย เขาลุกไปทำงานเพียงเพราะ "ต้องทำ" ไม่ได้มีเป้าหมายที่ชัดเจน งานที่ทำก็ไม่ได้เลวร้าย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความหมายหรือความรักที่จะทำ มันเป็นแค่การทำตามคำสั่งไปวันๆ เหมือนเป็นฟันเฟืองตัวเล็กๆ ในเครื่องจักรขนาดใหญ่ หมุนไปตามแรงขับเคลื่อนของคนอื่น โดยไม่รู้เลยว่าปลายทางคือที่ใด เขาเคยได้ยินคำว่า "ดาวเหนือ" มาบ้าง ในฐานะสัญลักษณ์ของแรงบันดาลใจและเข็มทิศชีวิต แต่สำหรับด๋อง คำนี้ดูห่างไกลเหลือเกิน มันเป็นเพียงถ้อยคำสวยหรูในโลกอุดมคติ ที่ไม่มีอยู่จริงในชีวิตการทำงานอันแสนธรรมดาของเขา . วันหนึ่ง จุดเปลี่ยนเล็กๆ ก็มาถึง เมื่อหัวหน้ามอบหมายโปรเจกต์หนึ่งให้ มันเป็นงานที่หนัก ต้องใช้ความละเอียดสูง และดูเหมือนจะไม่มีใครอยากทำ เพราะมันทั้งน่าเบื่อและซ้ำซาก เพื่อนร่วมงานหลายคนแสดงท่าทีเหนื่อยหน่าย แต่ด๋องเลือกที่จะรับมันไว้โดยไม่ปริปากบ่น ในหัวคิดเพียงแค่ว่า "ก็ต้องทำ" ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็แค่ก้มหน้าก้มตาทำให้เสร็จไป ด๋องทุ่มเทเวลาหลายสัปดาห์ให้กับโปรเจกต์นี้ อาศัยเพียง "เครื่องมือ" ที่มี ความรู้พื้นฐานที่ร่ำเรียนมา และความอึดเข้าแลก เขาจมดิ่งอยู่กับตัวเลขและเอกสาร แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปทีละจุด แม้จะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่างานนี้จะนำไปสู่สิ่งใด . วันนำเสนอผลงานมาถึง ด๋องยืนอยู่หน้าห้องประชุม นำเสนอสิ่งที่เขาได้ทำลงไปอย่างละเอียด ทั้งขั้นตอน ปัญหาที่พบ และวิธีแก้ไขแบบตามตำรา หัวหน้าและผู้ใหญ่ในห้องพยักหน้าพอใจในความเรียบร้อยและครบถ้วนตามที่มอบหมาย โปรเจกต์นี้ "สำเร็จ" ในสายตาของทุกคน และด๋องก็ได้รับคำชมตามระเบียบ แต่เมื่อเดินออกจากห้องประชุม แสงแดดยามบ่ายกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจเลย ความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาไม่ใช่ความภาคภูมิใจ แต่เป็นความว่างเปล่าที่กัดกินข้างใน เหมือนเพิ่งปีนขึ้นไปบนยอดเขาได้สำเร็จ แต่กลับพบว่าตัวเองมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน ไม่ได้แหงนมองวิวทิวทัศน์ระหว่างทางเลย "นี่คือทั้งหมดแล้วเหรอ?" คำถามนี้ดังก้องอยู่ในใจ "ชีวิตการทำงานมีแค่นี้เองเหรอ? แค่ทำสิ่งที่ 'ต้องทำ' ให้ดีที่สุด แล้วก็รู้สึกว่างเปล่าแบบนี้?" . ความว่างเปล่าครั้งนั้นกลายเป็นแรงผลักดันเงียบๆ ให้ด๋องเริ่มมองหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป เขาเริ่มหยิบหนังสือพัฒนาตนเองที่เคยเมินเฉยขึ้นมาอ่านอีกครั้ง แต่คราวนี้อ่านด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ไม่ได้อ่านเพื่อหาสูตรสำเร็จ แต่เพื่อทำความเข้าใจความรู้สึกสับสนภายในใจของตัวเอง เขาได้อ่านเรื่องราวของผู้คนมากมายที่ดูเหมือนจะมี "ดาวเหนือ" เป็นของตัวเอง ส่องนำทางชีวิตและการทำงาน ด๋องเริ่ม "มองแบบอย่าง" จากคนเหล่านั้น ไม่ใช่การเลียนแบบภายนอก แต่พยายามทำความเข้าใจความคิด "เจตนา" และคุณค่าที่ขับเคลื่อนพวกเขา เขาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงจังว่า นอกจากการ "ต้องทำ" แล้ว มีอะไรที่เขา "อยากจะทำ" กันแน่? และต้อง "จำเป็นต้องทำ" อะไรบ้างเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น? . ไม่นานหลังจากนั้น ด๋องได้เข้าร่วมเวิร์กช็อปของบริษัทเกี่ยวกับวิสัยทัศน์และเป้าหมายองค์กร เขาได้ฟังเรื่องราวเบื้องหลังความสำเร็จ ฟังความฝันของผู้บริหารและเพื่อนร่วมงานจากแผนกต่างๆ เหมือนจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจายค่อยๆ ประกอบกันเป็นภาพใหญ่ที่เขาไม่เคยมองเห็นมาก่อน ด๋องเริ่มเข้าใจว่างานเล็กๆ ที่เขาทำ อาจมีความเชื่อมโยงกับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น และเขาก็พบว่ามีบางประเด็นใน "วิสัยทัศน์ร่วม" นั้นที่สอดคล้องกับสิ่งที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจว่าเขา "อยากจะทำ" เขาตัดสินใจเริ่มต้นโปรเจกต์เล็กๆ นอกเหนือจากงานประจำ เป็นโปรเจกต์ที่เกิดจากความสนใจส่วนตัวและความตั้งใจที่อยากเห็นบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ครั้งนี้ ด๋องมี "เจตนา" ที่ชัดเจนในการลงมือทำ เขาพยายาม "จัดแนว" การกระทำทุกอย่างให้สอดคล้องกับ "ดาวเหนือ" ที่เริ่มส่องแสงประกายอ่อนๆ ให้เห็น . เส้นทางของโปรเจกต์ใหม่นี้ไม่ได้ราบรื่นเลย เขาต้องเผชิญกับความไม่รู้ ต้องกล้าก้าวออกจาก comfort zone ไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ไม่เคยแม้แต่จะคุยด้วย อุปสรรคถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทั้งปัญหาที่ไม่คาดคิด ความผิดพลาดจากการลองผิดลองถูก แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ใจกลับเต็มไปด้วยพลังและความตื่นเต้น เขาล้มเหลวหลายครั้ง แต่ทุกครั้งคือการเรียนรู้ เขาไม่ได้ทำเพราะ "ต้องทำ" แต่ทำเพราะ "อยากทำ" และเริ่มรู้สึก "ชอบ" กระบวนการเรียนรู้และสร้างสรรค์นี้จริงๆ ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดคือตอนที่ทีมเล็กๆ ของเขา (ซึ่งรวมตัวกันด้วย "วิสัยทัศน์ร่วม") ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ใหญ่มากจนเกือบต้องยอมแพ้ . แทนที่จะท้อถอย ด๋องกลับรู้สึกถึงพลังที่มองไม่เห็น ที่ผลักดันให้สู้ต่อไป เขาไม่ได้สู้แค่คนเดียว แต่สู้ไปพร้อมกับเพื่อนร่วมทีมที่เชื่อในสิ่งเดียวกัน ด้วย "เจตนา" และ "วิสัยทัศน์ร่วม" ที่ชัดเจน พวกเขาช่วยกันระดมสมอง เรียนรู้จากความผิดพลาด และปรับตัวอย่างรวดเร็วในทุกสถานการณ์ (Unconscious to Conscious Learning) ในที่สุด พวกเขาก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคครั้งใหญ่นั้นไปได้สำเร็จ ไม่ใช่ด้วยเครื่องมือวิเศษ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการเรียนรู้ร่วมกัน ความรู้สึกหลังจากการฝ่าฟันครั้งนี้นั้นแตกต่างจากครั้งแรกราวฟ้ากับเหว มันไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เป็นความอิ่มเอมใจที่ได้ทำในสิ่งที่เชื่อ ได้ทุ่มเทอย่างสุดกำลัง และได้เติบโตผ่านความท้าทายร่วมกับทีม เมื่อมองย้อนกลับไปที่โปรเจกต์แรกที่เคยทำด้วยความรู้สึกว่างเปล่า . วันนี้เขาเพิ่งได้เรียนรู้ว่า งาน "น่าเบื่อ" และ "ซ้ำซาก" ที่เขาทำไปเพราะ "ต้องทำ" ในวันนั้น ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่แค่การทำงานให้เสร็จไปวันๆ แต่มันคือบททดสอบและบทฝึกฝนที่สำคัญยิ่งยวด งานนั้นได้สร้างและลับคม "เครื่องมือ" ที่จำเป็นที่สุดให้เขา นั่นคือ ความอดทน ความละเอียดรอบคอบ และทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทักษะพื้นฐานเหล่านี้เองที่กลายเป็นรากฐานอันแข็งแกร่ง ที่ทำให้เขามีความพร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนกว่ามากในโปรเจกต์ที่สอง โปรเจกต์ที่เป็นสิ่งที่เขา "รักที่จะทำ" อย่างแท้จริง เรื่องราวของด๋องสอนเราว่า เส้นทางสู่การค้นพบสิ่งที่ "รักที่จะทำ" นั้น มักไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป บางครั้งเราต้องผ่านช่วงเวลาของการ "ต้องทำ" ในสิ่งที่เราอาจยังไม่เห็นคุณค่าหรือความหมายในทันที แต่งานเหล่านั้น หากเรามี "เจตนา" ที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเอง จะช่วยสร้าง "เครื่องมือ" และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเครื่องมือเหล่านั้นจะกลายเป็นพลังสำคัญที่ช่วยให้เราคว้าโอกาสและเอาชนะอุปสรรคได้ . การออกตามหา "ดาวเหนือ" ไม่ใช่แค่การมองหาแรงบันดาลใจจากภายนอก แต่คือกระบวนการภายในของการทำความเข้าใจตัวเอง การมองหาแบบอย่างที่ดี การตั้ง "เจตนา" ที่ชัดเจน และการ "จัดแนว (Align)" การกระทำทุกอย่างให้สอดคล้องกับเป้าหมายและคุณค่าที่เรายึดมั่น และที่สำคัญที่สุด คือการค่อยๆ เปลี่ยนจาก mindset ที่ทำเพราะ "ต้องทำ" ไปสู่การได้ทำในสิ่งที่ "อยากทำ", "จำเป็นต้องทำ", "ชอบที่จะทำ" และท้ายที่สุดคือการได้ทำในสิ่งที่ "รักที่จะทำ" อย่างแท้จริง เพราะเมื่อใดที่เราได้ทำในสิ่งที่รักและมีความหมาย แม้ต้องเผชิญความยากลำบากใดๆ เราก็จะพบกับความอิ่มเอมใจที่แท้จริง และความหมายที่ลึกซึ้งในงานที่เราทำ เช่นเดียวกับที่ด๋องได้ค้นพบในที่สุด www.10x-consulting.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 575 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความเชื่อมั่นในตัวเอง กับ การลงมือทำจริง ได้อย่างชัดเจน

    1. ถ้าไม่เชื่อว่าทำได้ – จง “ทำก่อน” แล้วความเชื่อจะตามมาเอง

    > นี่คือการฝึกจิตให้ เชื่อจากการเห็นผลจริง ไม่ใช่เพียงจากการปลุกใจลอยๆ

    เพราะ “ศรัทธา” ที่มั่นคงในพุทธศาสนา ต้อง มีปัญญารองรับ

    และปัญญาเกิดจากการเห็นผลลัพธ์ของความเพียร

    > ธรรมะสำคัญ:
    “ลงมือทำด้วยสติ = เติมศรัทธาด้วยการเห็นผลลัพธ์จริง”

    ---

    2. ทำเรื่องเล็กๆให้ดี คือการฝึกจิตให้แกร่งและมั่นคง

    > เรื่องใหญ่สำเร็จได้ เพราะพื้นฐานของเรื่องเล็กๆที่ไม่ถูกละเลย

    เหมือนการฝึก “จิตตภาวนา” เริ่มจากรู้ลมหายใจเดียว

    เหมือนการสร้างบารมี เริ่มจากการไม่ทอดทิ้งเรื่องเล็กๆในชีวิตประจำวัน

    > ธรรมะสำคัญ:
    “ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ คือผลรวมของความตั้งใจเล็กๆที่ทำอย่างต่อเนื่อง”

    ---

    สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดได้ทันที

    “เริ่มลงมือ แล้วความเชื่อจะค่อยๆงอกขึ้นในใจเอง”

    “อย่ารอให้มั่นใจก่อน จงลงมือก่อน แล้วมั่นใจจะตามมา”

    “เรื่องเล็กๆคือเวทีฝึกจิตให้พร้อมสำหรับเรื่องยิ่งใหญ่”

    “ไม่ใช่คนเก่งถึงจะสำเร็จ แต่คือคนที่ไม่ละเลยเรื่องเล็กๆต่างหาก”

    ---
    ความเชื่อมั่นในตัวเอง กับ การลงมือทำจริง ได้อย่างชัดเจน 1. ถ้าไม่เชื่อว่าทำได้ – จง “ทำก่อน” แล้วความเชื่อจะตามมาเอง > นี่คือการฝึกจิตให้ เชื่อจากการเห็นผลจริง ไม่ใช่เพียงจากการปลุกใจลอยๆ เพราะ “ศรัทธา” ที่มั่นคงในพุทธศาสนา ต้อง มีปัญญารองรับ และปัญญาเกิดจากการเห็นผลลัพธ์ของความเพียร > ธรรมะสำคัญ: “ลงมือทำด้วยสติ = เติมศรัทธาด้วยการเห็นผลลัพธ์จริง” --- 2. ทำเรื่องเล็กๆให้ดี คือการฝึกจิตให้แกร่งและมั่นคง > เรื่องใหญ่สำเร็จได้ เพราะพื้นฐานของเรื่องเล็กๆที่ไม่ถูกละเลย เหมือนการฝึก “จิตตภาวนา” เริ่มจากรู้ลมหายใจเดียว เหมือนการสร้างบารมี เริ่มจากการไม่ทอดทิ้งเรื่องเล็กๆในชีวิตประจำวัน > ธรรมะสำคัญ: “ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ คือผลรวมของความตั้งใจเล็กๆที่ทำอย่างต่อเนื่อง” --- สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดได้ทันที “เริ่มลงมือ แล้วความเชื่อจะค่อยๆงอกขึ้นในใจเอง” “อย่ารอให้มั่นใจก่อน จงลงมือก่อน แล้วมั่นใจจะตามมา” “เรื่องเล็กๆคือเวทีฝึกจิตให้พร้อมสำหรับเรื่องยิ่งใหญ่” “ไม่ใช่คนเก่งถึงจะสำเร็จ แต่คือคนที่ไม่ละเลยเรื่องเล็กๆต่างหาก” ---
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5 สัญญาณที่บ่งชี้ว่าคุณอาจต้องการเมนทอร์

    1.คุณมีเป้าหมายใหญ่ แต่ไม่มีแผนที่ชัดเจนในการทำให้สำเร็จ
    การมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่หากปราศจากแผนการที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมในการดำเนินการ เป้าหมายเหล่านั้นก็มีแนวโน้มที่จะยังคงเป็นเพียงความฝัน การขาดแผนที่นำทางที่ชัดเจนอาจทำให้คุณรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน หรือดำเนินการอย่างไรต่อไป

    เมนทอร์ที่มีประสบการณ์สามารถช่วยคุณในการกำหนดขั้นตอนที่จำเป็นในการบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น โดยให้คำแนะนำในการวางแผน กลยุทธ์ และการจัดลำดับความสำคัญ เพื่อเปลี่ยนเป้าหมายที่ดูเหมือนเป็นนามธรรมให้กลายเป็นเส้นทางที่สามารถปฏิบัติได้จริง

    2.คุณรู้สึกว่าตัวเองติดอยู่ในวังวน
    เมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองติดอยู่ในวังวน ไม่สามารถก้าวหน้าไปได้ ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตส่วนตัวหรือการทำงาน
    นั่นเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามุมมองและแนวทางที่คุณใช้อยู่อาจไม่เพียงพออีกต่อไป ความรู้สึกเหมือนถูกจำกัดหรือขาดแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเอง อาจเป็นเพราะคุณขาดความรู้ใหม่ๆ กลยุทธ์ที่แตกต่าง หรือแม้แต่การชี้แนะจากผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า

    เมนทอร์สามารถช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ ท้าทายความคิดเดิมๆ และให้คำแนะนำที่ช่วยให้คุณหลุดพ้นจากสภาวะที่หยุดนิ่งนี้ เพื่อให้คุณสามารถกลับมาเติบโตและก้าวหน้าได้อีกครั้ง

    3.คุณทำผิดพลาดซ้ำๆ โดยไม่เห็นความคืบหน้าใดๆ
    การทำผิดพลาดซ้ำๆ โดยไม่เห็นความคืบหน้าใดๆ บ่งชี้ว่าคุณอาจขาดความเข้าใจในสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา หรือขาดมุมมองใหม่ๆ ในการแก้ไขสถานการณ์ การที่คุณไม่สามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดเดิมๆ อาจเป็นเพราะคุณขาดการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง หรือไม่มีใครชี้แนะให้เห็นถึงจุดบอดของคุณ

    เมนทอร์สามารถช่วยให้คุณระบุรูปแบบของความผิดพลาด วิเคราะห์หาสาเหตุ และนำเสนอแนวทางแก้ไขที่แตกต่างออกไป เพื่อให้คุณสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์และเริ่มก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริง

    4.การเดินทางในฐานะผู้นำอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายและโดดเดี่ยว
    การเดินทางในฐานะผู้นำอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายและโดดเดี่ยวได้ โดยเฉพาะเมื่อคุณเผชิญกับความรับผิดชอบที่หนักอึ้ง การตัดสินใจที่ซับซ้อน หรือความรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจความกดดันที่คุณกำลังเผชิญอยู่ ความเหงาในเส้นทางผู้นำอาจนำไปสู่ความไม่มั่นใจ ความเครียด และการขาดมุมมองที่หลากหลาย

    เมนทอร์ที่มีประสบการณ์ในการเป็นผู้นำสามารถเป็นแหล่งสนับสนุนที่สำคัญ พวกเขาสามารถมอบคำแนะนำที่เป็นกลาง แบ่งปันประสบการณ์ และช่วยให้คุณรู้สึกว่าไม่ได้เผชิญกับความท้าทายเหล่านี้เพียงลำพัง การมีเมนทอร์จึงเป็นการสร้างเครือข่ายและมีคู่คิดที่จะช่วยให้คุณเติบโตเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

    5.ความชัดเจนในเป้าหมายและวิธีการ
    ประโยคนี้สรุปถึงคุณสมบัติหลักที่เมนทอร์สามารถมอบให้ได้ นั่นคือ ความชัดเจนในเป้าหมายและวิธีการ ความมีทิศทางในการดำเนินงาน และความรับผิดชอบในการลงมือทำ เมื่อคุณรู้สึกสับสน ไม่แน่ใจในเส้นทาง หรือขาดแรงจูงใจในการผลักดันตัวเอง

    เมนทอร์จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจนขึ้น กำหนดทิศทางที่ถูกต้อง และช่วยติดตามความคืบหน้าของคุณ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณกำลังเดินหน้าไปสู่เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

    ดูสาระดีๆ ของ How-to สำหรับพัฒนาการจัดการทั้งระดับบุคคล ทีม และองค์กร ได้ที่ WWW.10-XCONSULTING.COM และ WWW.LIFEALIGNMENTOR.COM
    5 สัญญาณที่บ่งชี้ว่าคุณอาจต้องการเมนทอร์ 1.คุณมีเป้าหมายใหญ่ แต่ไม่มีแผนที่ชัดเจนในการทำให้สำเร็จ การมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่หากปราศจากแผนการที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมในการดำเนินการ เป้าหมายเหล่านั้นก็มีแนวโน้มที่จะยังคงเป็นเพียงความฝัน การขาดแผนที่นำทางที่ชัดเจนอาจทำให้คุณรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน หรือดำเนินการอย่างไรต่อไป เมนทอร์ที่มีประสบการณ์สามารถช่วยคุณในการกำหนดขั้นตอนที่จำเป็นในการบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น โดยให้คำแนะนำในการวางแผน กลยุทธ์ และการจัดลำดับความสำคัญ เพื่อเปลี่ยนเป้าหมายที่ดูเหมือนเป็นนามธรรมให้กลายเป็นเส้นทางที่สามารถปฏิบัติได้จริง 2.คุณรู้สึกว่าตัวเองติดอยู่ในวังวน เมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองติดอยู่ในวังวน ไม่สามารถก้าวหน้าไปได้ ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตส่วนตัวหรือการทำงาน นั่นเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามุมมองและแนวทางที่คุณใช้อยู่อาจไม่เพียงพออีกต่อไป ความรู้สึกเหมือนถูกจำกัดหรือขาดแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเอง อาจเป็นเพราะคุณขาดความรู้ใหม่ๆ กลยุทธ์ที่แตกต่าง หรือแม้แต่การชี้แนะจากผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า เมนทอร์สามารถช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ ท้าทายความคิดเดิมๆ และให้คำแนะนำที่ช่วยให้คุณหลุดพ้นจากสภาวะที่หยุดนิ่งนี้ เพื่อให้คุณสามารถกลับมาเติบโตและก้าวหน้าได้อีกครั้ง 3.คุณทำผิดพลาดซ้ำๆ โดยไม่เห็นความคืบหน้าใดๆ การทำผิดพลาดซ้ำๆ โดยไม่เห็นความคืบหน้าใดๆ บ่งชี้ว่าคุณอาจขาดความเข้าใจในสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา หรือขาดมุมมองใหม่ๆ ในการแก้ไขสถานการณ์ การที่คุณไม่สามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดเดิมๆ อาจเป็นเพราะคุณขาดการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง หรือไม่มีใครชี้แนะให้เห็นถึงจุดบอดของคุณ เมนทอร์สามารถช่วยให้คุณระบุรูปแบบของความผิดพลาด วิเคราะห์หาสาเหตุ และนำเสนอแนวทางแก้ไขที่แตกต่างออกไป เพื่อให้คุณสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์และเริ่มก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริง 4.การเดินทางในฐานะผู้นำอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายและโดดเดี่ยว การเดินทางในฐานะผู้นำอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายและโดดเดี่ยวได้ โดยเฉพาะเมื่อคุณเผชิญกับความรับผิดชอบที่หนักอึ้ง การตัดสินใจที่ซับซ้อน หรือความรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจความกดดันที่คุณกำลังเผชิญอยู่ ความเหงาในเส้นทางผู้นำอาจนำไปสู่ความไม่มั่นใจ ความเครียด และการขาดมุมมองที่หลากหลาย เมนทอร์ที่มีประสบการณ์ในการเป็นผู้นำสามารถเป็นแหล่งสนับสนุนที่สำคัญ พวกเขาสามารถมอบคำแนะนำที่เป็นกลาง แบ่งปันประสบการณ์ และช่วยให้คุณรู้สึกว่าไม่ได้เผชิญกับความท้าทายเหล่านี้เพียงลำพัง การมีเมนทอร์จึงเป็นการสร้างเครือข่ายและมีคู่คิดที่จะช่วยให้คุณเติบโตเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 5.ความชัดเจนในเป้าหมายและวิธีการ ประโยคนี้สรุปถึงคุณสมบัติหลักที่เมนทอร์สามารถมอบให้ได้ นั่นคือ ความชัดเจนในเป้าหมายและวิธีการ ความมีทิศทางในการดำเนินงาน และความรับผิดชอบในการลงมือทำ เมื่อคุณรู้สึกสับสน ไม่แน่ใจในเส้นทาง หรือขาดแรงจูงใจในการผลักดันตัวเอง เมนทอร์จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจนขึ้น กำหนดทิศทางที่ถูกต้อง และช่วยติดตามความคืบหน้าของคุณ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณกำลังเดินหน้าไปสู่เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ดูสาระดีๆ ของ How-to สำหรับพัฒนาการจัดการทั้งระดับบุคคล ทีม และองค์กร ได้ที่ WWW.10-XCONSULTING.COM และ WWW.LIFEALIGNMENTOR.COM
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 641 มุมมอง 0 รีวิว
  • นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต ด้วยเทคโนโลยีและ STEM

    วิสัยทัศน์

    สร้างระบบการศึกษาที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม พัฒนาเยาวชนให้เป็นนักคิด นักแก้ปัญหา และนักนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลก


    ---

    1. การพัฒนา STEM Education ให้เป็นรากฐานของระบบการศึกษา

    ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับแนวทาง STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา
    ส่งเสริมโครงการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Project-Based Learning) ให้นักเรียนได้ทดลอง คิดวิเคราะห์ และพัฒนาทักษะผ่านโครงงานจริง
    เพิ่มวิชาหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเขียนโค้ด (Coding) เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมาตรฐาน
    สนับสนุนการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น โอลิมปิกวิชาการ การแข่งขันหุ่นยนต์ และแฮ็กกาธอน


    ---

    2. การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงการเรียนการสอน

    จัดหาอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้โรงเรียนทั่วประเทศ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน
    พัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning & Hybrid Learning) เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา
    ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อออกแบบการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน
    พัฒนาคลังสื่อดิจิทัล (Open Educational Resources - OER) รวมถึงแพลตฟอร์มบทเรียนออนไลน์ฟรีสำหรับทุกคน


    ---

    3. การพัฒนาครูให้พร้อมสำหรับยุคดิจิทัล

    อบรมและพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    สร้างเครือข่ายครูและนักวิชาการด้านเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาแนวทางการสอนที่ทันสมัย
    เพิ่มแรงจูงใจให้ครูพัฒนาทักษะดิจิทัล เช่น การให้ทุนอบรมหรือการเลื่อนขั้นสำหรับครูที่ผ่านการรับรองทักษะเทคโนโลยี


    ---

    4. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรม

    เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
    ส่งเสริมการฝึกงานและโครงการนักศึกษาฝึกงานในสายงานเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์จริงก่อนจบการศึกษา
    จัดตั้งกองทุนส่งเสริมนวัตกรรมทางการศึกษา สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech)


    ---

    5. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

    ให้ทุนการศึกษาและอุปกรณ์เรียนฟรีสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล
    สร้างโรงเรียนต้นแบบด้านเทคโนโลยีในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ STEM ในแต่ละพื้นที่
    พัฒนาระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกับเมืองใหญ่


    ---

    ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

    นักเรียนไทยมีทักษะด้านเทคโนโลยีและ STEM ที่แข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ
    ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
    ระบบการศึกษาของไทยสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจดิจิทัล
    ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โอกาสเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ


    ---

    "การศึกษาไทยก้าวไกล เทคโนโลยีล้ำหน้า STEM นำอนาคต"
    #พรรคเพื่อการศึกษายุคใหม่

    นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต ด้วยเทคโนโลยีและ STEM วิสัยทัศน์ สร้างระบบการศึกษาที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม พัฒนาเยาวชนให้เป็นนักคิด นักแก้ปัญหา และนักนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลก --- 1. การพัฒนา STEM Education ให้เป็นรากฐานของระบบการศึกษา ✅ ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับแนวทาง STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ✅ ส่งเสริมโครงการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Project-Based Learning) ให้นักเรียนได้ทดลอง คิดวิเคราะห์ และพัฒนาทักษะผ่านโครงงานจริง ✅ เพิ่มวิชาหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเขียนโค้ด (Coding) เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมาตรฐาน ✅ สนับสนุนการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น โอลิมปิกวิชาการ การแข่งขันหุ่นยนต์ และแฮ็กกาธอน --- 2. การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงการเรียนการสอน ✅ จัดหาอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้โรงเรียนทั่วประเทศ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน ✅ พัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning & Hybrid Learning) เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ✅ ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อออกแบบการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน ✅ พัฒนาคลังสื่อดิจิทัล (Open Educational Resources - OER) รวมถึงแพลตฟอร์มบทเรียนออนไลน์ฟรีสำหรับทุกคน --- 3. การพัฒนาครูให้พร้อมสำหรับยุคดิจิทัล ✅ อบรมและพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ สร้างเครือข่ายครูและนักวิชาการด้านเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาแนวทางการสอนที่ทันสมัย ✅ เพิ่มแรงจูงใจให้ครูพัฒนาทักษะดิจิทัล เช่น การให้ทุนอบรมหรือการเลื่อนขั้นสำหรับครูที่ผ่านการรับรองทักษะเทคโนโลยี --- 4. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรม ✅ เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ✅ ส่งเสริมการฝึกงานและโครงการนักศึกษาฝึกงานในสายงานเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์จริงก่อนจบการศึกษา ✅ จัดตั้งกองทุนส่งเสริมนวัตกรรมทางการศึกษา สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech) --- 5. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ✅ ให้ทุนการศึกษาและอุปกรณ์เรียนฟรีสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล ✅ สร้างโรงเรียนต้นแบบด้านเทคโนโลยีในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ STEM ในแต่ละพื้นที่ ✅ พัฒนาระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกับเมืองใหญ่ --- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ✅ นักเรียนไทยมีทักษะด้านเทคโนโลยีและ STEM ที่แข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ ✅ ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน ✅ ระบบการศึกษาของไทยสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจดิจิทัล ✅ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โอกาสเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ --- "การศึกษาไทยก้าวไกล เทคโนโลยีล้ำหน้า STEM นำอนาคต" #พรรคเพื่อการศึกษายุคใหม่
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1450 มุมมอง 0 รีวิว
  • นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต ด้วยเทคโนโลยีและ STEM

    วิสัยทัศน์

    สร้างระบบการศึกษาที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม พัฒนาเยาวชนให้เป็นนักคิด นักแก้ปัญหา และนักนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลก


    ---

    1. การพัฒนา STEM Education ให้เป็นรากฐานของระบบการศึกษา

    ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับแนวทาง STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา
    ส่งเสริมโครงการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Project-Based Learning) ให้นักเรียนได้ทดลอง คิดวิเคราะห์ และพัฒนาทักษะผ่านโครงงานจริง
    เพิ่มวิชาหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเขียนโค้ด (Coding) เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมาตรฐาน
    สนับสนุนการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น โอลิมปิกวิชาการ การแข่งขันหุ่นยนต์ และแฮ็กกาธอน


    ---

    2. การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงการเรียนการสอน

    จัดหาอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้โรงเรียนทั่วประเทศ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน
    พัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning & Hybrid Learning) เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา
    ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อออกแบบการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน
    พัฒนาคลังสื่อดิจิทัล (Open Educational Resources - OER) รวมถึงแพลตฟอร์มบทเรียนออนไลน์ฟรีสำหรับทุกคน


    ---

    3. การพัฒนาครูให้พร้อมสำหรับยุคดิจิทัล

    อบรมและพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    สร้างเครือข่ายครูและนักวิชาการด้านเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาแนวทางการสอนที่ทันสมัย
    เพิ่มแรงจูงใจให้ครูพัฒนาทักษะดิจิทัล เช่น การให้ทุนอบรมหรือการเลื่อนขั้นสำหรับครูที่ผ่านการรับรองทักษะเทคโนโลยี


    ---

    4. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรม

    เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
    ส่งเสริมการฝึกงานและโครงการนักศึกษาฝึกงานในสายงานเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์จริงก่อนจบการศึกษา
    จัดตั้งกองทุนส่งเสริมนวัตกรรมทางการศึกษา สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech)


    ---

    5. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

    ให้ทุนการศึกษาและอุปกรณ์เรียนฟรีสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล
    สร้างโรงเรียนต้นแบบด้านเทคโนโลยีในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ STEM ในแต่ละพื้นที่
    พัฒนาระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกับเมืองใหญ่


    ---

    ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

    นักเรียนไทยมีทักษะด้านเทคโนโลยีและ STEM ที่แข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ
    ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
    ระบบการศึกษาของไทยสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจดิจิทัล
    ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โอกาสเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ


    ---

    "การศึกษาไทยก้าวไกล เทคโนโลยีล้ำหน้า STEM นำอนาคต"
    #พรรคเพื่อการศึกษายุคใหม่

    นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต ด้วยเทคโนโลยีและ STEM วิสัยทัศน์ สร้างระบบการศึกษาที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม พัฒนาเยาวชนให้เป็นนักคิด นักแก้ปัญหา และนักนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลก --- 1. การพัฒนา STEM Education ให้เป็นรากฐานของระบบการศึกษา ✅ ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับแนวทาง STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ✅ ส่งเสริมโครงการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Project-Based Learning) ให้นักเรียนได้ทดลอง คิดวิเคราะห์ และพัฒนาทักษะผ่านโครงงานจริง ✅ เพิ่มวิชาหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเขียนโค้ด (Coding) เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมาตรฐาน ✅ สนับสนุนการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น โอลิมปิกวิชาการ การแข่งขันหุ่นยนต์ และแฮ็กกาธอน --- 2. การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงการเรียนการสอน ✅ จัดหาอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้โรงเรียนทั่วประเทศ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน ✅ พัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning & Hybrid Learning) เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ✅ ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อออกแบบการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน ✅ พัฒนาคลังสื่อดิจิทัล (Open Educational Resources - OER) รวมถึงแพลตฟอร์มบทเรียนออนไลน์ฟรีสำหรับทุกคน --- 3. การพัฒนาครูให้พร้อมสำหรับยุคดิจิทัล ✅ อบรมและพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ สร้างเครือข่ายครูและนักวิชาการด้านเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาแนวทางการสอนที่ทันสมัย ✅ เพิ่มแรงจูงใจให้ครูพัฒนาทักษะดิจิทัล เช่น การให้ทุนอบรมหรือการเลื่อนขั้นสำหรับครูที่ผ่านการรับรองทักษะเทคโนโลยี --- 4. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรม ✅ เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ✅ ส่งเสริมการฝึกงานและโครงการนักศึกษาฝึกงานในสายงานเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์จริงก่อนจบการศึกษา ✅ จัดตั้งกองทุนส่งเสริมนวัตกรรมทางการศึกษา สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech) --- 5. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ✅ ให้ทุนการศึกษาและอุปกรณ์เรียนฟรีสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล ✅ สร้างโรงเรียนต้นแบบด้านเทคโนโลยีในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ STEM ในแต่ละพื้นที่ ✅ พัฒนาระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกับเมืองใหญ่ --- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ✅ นักเรียนไทยมีทักษะด้านเทคโนโลยีและ STEM ที่แข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ ✅ ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน ✅ ระบบการศึกษาของไทยสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจดิจิทัล ✅ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โอกาสเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ --- "การศึกษาไทยก้าวไกล เทคโนโลยีล้ำหน้า STEM นำอนาคต" #พรรคเพื่อการศึกษายุคใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1447 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่าเสียเวลาและเงินทอง
    ไปกับการหาความรู้
    แต่เปลี่ยนมา
    ให้ความสำคัญ
    กับการลงมือทำแทน

    จากหนังสือ |คนชนะทำแล้วแก้คนแพ้มัวแต่คิดไม่ได้ทำ

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #คนชนะทำแล้วแก้คนแพ้มัวแต่คิดไม่ได้ทำ
    อย่าเสียเวลาและเงินทอง ไปกับการหาความรู้ แต่เปลี่ยนมา ให้ความสำคัญ กับการลงมือทำแทน จากหนังสือ |คนชนะทำแล้วแก้คนแพ้มัวแต่คิดไม่ได้ทำ #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #คนชนะทำแล้วแก้คนแพ้มัวแต่คิดไม่ได้ทำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว
  • สูตรสำเร็จพิชิตเป้าหมายฉบับ McKim, R. L. สร้างฝันให้เป็นจริง

    บทความนี้เรียบเรียงจาก 1 ในเนื้อหาอมตะของ McKim, R. L. เจ้าของผลงาน “How To Use Your God Power” ที่ได้รับการตอบรับจากผู้สนใจการพัฒนาตนเอง นำเสนอเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจตั้งเป้าหมายในปี 2025 ฉบับ McKim, R. L.

    ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเด็กๆ และบรรยากาศที่แสนอบอุ่น อาศัยอยู่ชายหนุ่มผู้มีนามว่า 'เก่ง' ชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความฝันและแรงบันดาลใจที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง แต่ความฝันนั้นก็ยังคงเป็นเพียงภาพลางๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้พบกับหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า "Goal Success Formula"
    ด้วยความอยากรู้ เก่งจึงเปิดอ่านหนังสือเล่มนั้นอย่างตั้งใจ ภายในเล่มเต็มไปด้วยเทคนิคและวิธีการในการตั้งเป้าหมายและวางแผนชีวิตอย่างเป็นระบบ ซึ่งทำให้เก่งตระหนักได้ว่า ความฝันของเขาจะไม่เป็นจริงเลย หากปราศจากการลงมือทำอย่างจริงจัง

    จุดเริ่มต้นของการเดินทาง ..... เก่งเริ่มต้นจากการตั้งคำถามกับตัวเองว่า จริงๆ แล้วเขาต้องการอะไรในชีวิต? อะไรคือสิ่งที่เขาอยากทำให้สำเร็จ?
    และคำถามเหล่านี้ช่วยให้เขาค้นพบเป้าหมายที่แท้จริง นั่นคือการเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ที่อบอุ่นและเป็นมิตร

    8 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ:
    1.เก่งจินตนาการถึงภาพร้านกาแฟในฝัน ทั้งบรรยากาศ รสชาติกาแฟ และรอยยิ้มของลูกค้า เขาจดบันทึกทุกอย่างลงในสมุดเล่มโปรด (What is the Ideal Final Result?)
    เคล็ดลับ:
    ลองวาดภาพ หรือ เขียนบรรยายรายละเอียดให้ชัดเจน เหมือนกับว่าร้านกาแฟนั้นมีอยู่จริงแล้ว

    2.เก่งถามตัวเองว่า ทำไมการมีร้านกาแฟถึงสำคัญกับเขานัก? คำตอบคือ เขาต้องการสร้างพื้นที่แห่งความสุข สร้างงาน สร้างรายได้ และแบ่งปันกาแฟรสเลิศให้กับชุมชน (Why Is This Goal So Important?)
    เคล็ดลับ:
    หาเหตุผลที่ 'ใช่' และ 'โดนใจ' เพื่อเป็นแรงผลักดันให้ตัวเอง

    3.เก่งเริ่มต้นด้วยการมองหาข้อได้เปรียบของตัวเอง เขามีความรู้เรื่องกาแฟ มีใจรักในงานบริการ และที่สำคัญที่สุดคือ เขามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ (Why I Know That I Can Easily Accomplish This Goal!)
    เคล็ดลับ:
    มองหาจุดแข็งของตัวเอง และสิ่งที่ทำให้เรามั่นใจว่าจะทำได้

    4.เก่งคิดว่า ร้านกาแฟของเขาจะไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้กับเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งพบปะของผู้คน สร้างสีสันและความอบอุ่นให้กับชุมชน (How Will This Goal Influence And Benefit Others?)
    เคล็ดลับ:
    คิดถึงผลกระทบเชิงบวกที่จะเกิดขึ้นกับคนรอบข้าง

    5.เก่งตระหนักดีว่าหนทางสู่ความสำเร็จนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาอาจพบเจออุปสรรคมากมาย แต่เขาก็พร้อมที่จะเรียนรู้และฝ่าฟันไปให้ได้ (What Obstacles Did I "Overcome" & How?)
    เคล็ดลับ:
    ลิสต์อุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น และวิธีรับมือกับปัญหาเหล่านั้น

    6.เก่งนึกถึง 'ลุงสมชาย' เจ้าของร้านกาแฟชื่อดังที่คอยให้คำปรึกษาและแบ่งปันประสบการณ์ เก่งจดเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของลุงสมชายไว้ เพื่อที่จะไปขอคำแนะนำเพิ่มเติม (Who were the People & Companies Who helped & Inspired Me & How?)
    เคล็ดลับ:
    ระบุบุคคลต้นแบบ หรือแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์

    7.เก่งสำรวจตัวเองว่าเขามีความรู้และทักษะอะไรบ้างที่จำเป็นต่อการเปิดร้านกาแฟ และเขาต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มอีกบ้าง (What Skills And Knowledge Do I Need?)
    เคล็ดลับ:
    ลิสต์ทักษะที่จำเป็น และวางแผนพัฒนาตัวเอง

    8.เก่งวางแผนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การหาแหล่งวัตถุดิบ การตกแต่งร้าน การบริหารจัดการ ไปจนถึงการทำการตลาด (What Exact Steps Are Needed To Complete This Goal?)
    เคล็ดลับ:
    แบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็นเป้าหมายย่อยๆ และวางแผนอย่างละเอียด

    เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ... แน่นอนว่าระหว่างทาง เก่งต้องพบเจอกับอุปสรรคต่างๆ มากมาย ทั้งปัญหาเรื่องเงินทุน การแข่งขันทางธุรกิจ และความเหนื่อยล้า แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในตัวเอง เก่งก็สามารถก้าวข้ามผ่านทุกปัญหาไปได้

    แล้ววันแห่งความสำเร็จก็มาถึง ...
    ร้านกาแฟเล็กๆ ของเก่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง รสชาติกาแฟที่กลมกล่อม และรอยยิ้มของเก่ง ทำให้ร้านกาแฟแห่งนี้กลายเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าในเวลาอันรวดเร็ว

    ข้อคิดจากเรื่องราวของเก่ง
    ทุกความฝันสามารถเป็นจริงได้ หากเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน วางแผนอย่างเป็นระบบ และลงมือทำอย่างจริงจัง อย่ากลัวที่จะเริ่มต้น และอย่ายอมแพ้ต่ออุปสรรค

    ถึงเวลาแล้วที่คุณจะสร้าง Goal Success Formula ของคุณเอง! หยิบกระดาษ ปากกา แล้วเริ่มต้นตั้งเป้าหมาย วางแผน และลงมือทำตามฝันของคุณ

    แหล่งอ้างอิง:
    •McKim, R. L. (2013). Goal Success Formula.
    สูตรสำเร็จพิชิตเป้าหมายฉบับ McKim, R. L. สร้างฝันให้เป็นจริง บทความนี้เรียบเรียงจาก 1 ในเนื้อหาอมตะของ McKim, R. L. เจ้าของผลงาน “How To Use Your God Power” ที่ได้รับการตอบรับจากผู้สนใจการพัฒนาตนเอง นำเสนอเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจตั้งเป้าหมายในปี 2025 ฉบับ McKim, R. L. ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเด็กๆ และบรรยากาศที่แสนอบอุ่น อาศัยอยู่ชายหนุ่มผู้มีนามว่า 'เก่ง' ชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความฝันและแรงบันดาลใจที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง แต่ความฝันนั้นก็ยังคงเป็นเพียงภาพลางๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้พบกับหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า "Goal Success Formula" ด้วยความอยากรู้ เก่งจึงเปิดอ่านหนังสือเล่มนั้นอย่างตั้งใจ ภายในเล่มเต็มไปด้วยเทคนิคและวิธีการในการตั้งเป้าหมายและวางแผนชีวิตอย่างเป็นระบบ ซึ่งทำให้เก่งตระหนักได้ว่า ความฝันของเขาจะไม่เป็นจริงเลย หากปราศจากการลงมือทำอย่างจริงจัง จุดเริ่มต้นของการเดินทาง ..... เก่งเริ่มต้นจากการตั้งคำถามกับตัวเองว่า จริงๆ แล้วเขาต้องการอะไรในชีวิต? อะไรคือสิ่งที่เขาอยากทำให้สำเร็จ? และคำถามเหล่านี้ช่วยให้เขาค้นพบเป้าหมายที่แท้จริง นั่นคือการเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ที่อบอุ่นและเป็นมิตร 8 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ: 1.เก่งจินตนาการถึงภาพร้านกาแฟในฝัน ทั้งบรรยากาศ รสชาติกาแฟ และรอยยิ้มของลูกค้า เขาจดบันทึกทุกอย่างลงในสมุดเล่มโปรด (What is the Ideal Final Result?) เคล็ดลับ: ลองวาดภาพ หรือ เขียนบรรยายรายละเอียดให้ชัดเจน เหมือนกับว่าร้านกาแฟนั้นมีอยู่จริงแล้ว 2.เก่งถามตัวเองว่า ทำไมการมีร้านกาแฟถึงสำคัญกับเขานัก? คำตอบคือ เขาต้องการสร้างพื้นที่แห่งความสุข สร้างงาน สร้างรายได้ และแบ่งปันกาแฟรสเลิศให้กับชุมชน (Why Is This Goal So Important?) เคล็ดลับ: หาเหตุผลที่ 'ใช่' และ 'โดนใจ' เพื่อเป็นแรงผลักดันให้ตัวเอง 3.เก่งเริ่มต้นด้วยการมองหาข้อได้เปรียบของตัวเอง เขามีความรู้เรื่องกาแฟ มีใจรักในงานบริการ และที่สำคัญที่สุดคือ เขามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ (Why I Know That I Can Easily Accomplish This Goal!) เคล็ดลับ: มองหาจุดแข็งของตัวเอง และสิ่งที่ทำให้เรามั่นใจว่าจะทำได้ 4.เก่งคิดว่า ร้านกาแฟของเขาจะไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้กับเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งพบปะของผู้คน สร้างสีสันและความอบอุ่นให้กับชุมชน (How Will This Goal Influence And Benefit Others?) เคล็ดลับ: คิดถึงผลกระทบเชิงบวกที่จะเกิดขึ้นกับคนรอบข้าง 5.เก่งตระหนักดีว่าหนทางสู่ความสำเร็จนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาอาจพบเจออุปสรรคมากมาย แต่เขาก็พร้อมที่จะเรียนรู้และฝ่าฟันไปให้ได้ (What Obstacles Did I "Overcome" & How?) เคล็ดลับ: ลิสต์อุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น และวิธีรับมือกับปัญหาเหล่านั้น 6.เก่งนึกถึง 'ลุงสมชาย' เจ้าของร้านกาแฟชื่อดังที่คอยให้คำปรึกษาและแบ่งปันประสบการณ์ เก่งจดเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของลุงสมชายไว้ เพื่อที่จะไปขอคำแนะนำเพิ่มเติม (Who were the People & Companies Who helped & Inspired Me & How?) เคล็ดลับ: ระบุบุคคลต้นแบบ หรือแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ 7.เก่งสำรวจตัวเองว่าเขามีความรู้และทักษะอะไรบ้างที่จำเป็นต่อการเปิดร้านกาแฟ และเขาต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มอีกบ้าง (What Skills And Knowledge Do I Need?) เคล็ดลับ: ลิสต์ทักษะที่จำเป็น และวางแผนพัฒนาตัวเอง 8.เก่งวางแผนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การหาแหล่งวัตถุดิบ การตกแต่งร้าน การบริหารจัดการ ไปจนถึงการทำการตลาด (What Exact Steps Are Needed To Complete This Goal?) เคล็ดลับ: แบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็นเป้าหมายย่อยๆ และวางแผนอย่างละเอียด เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ... แน่นอนว่าระหว่างทาง เก่งต้องพบเจอกับอุปสรรคต่างๆ มากมาย ทั้งปัญหาเรื่องเงินทุน การแข่งขันทางธุรกิจ และความเหนื่อยล้า แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในตัวเอง เก่งก็สามารถก้าวข้ามผ่านทุกปัญหาไปได้ แล้ววันแห่งความสำเร็จก็มาถึง ... ร้านกาแฟเล็กๆ ของเก่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง รสชาติกาแฟที่กลมกล่อม และรอยยิ้มของเก่ง ทำให้ร้านกาแฟแห่งนี้กลายเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าในเวลาอันรวดเร็ว ข้อคิดจากเรื่องราวของเก่ง ทุกความฝันสามารถเป็นจริงได้ หากเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน วางแผนอย่างเป็นระบบ และลงมือทำอย่างจริงจัง อย่ากลัวที่จะเริ่มต้น และอย่ายอมแพ้ต่ออุปสรรค ถึงเวลาแล้วที่คุณจะสร้าง Goal Success Formula ของคุณเอง! หยิบกระดาษ ปากกา แล้วเริ่มต้นตั้งเป้าหมาย วางแผน และลงมือทำตามฝันของคุณ แหล่งอ้างอิง: •McKim, R. L. (2013). Goal Success Formula.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1388 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราอาจจะเนรมิตเงินทองเองไม่ได้ ..แต่จิตเราเนรมิตความดีได้ง่ายๆ เนรมิตบุญกุศลขึ้นได้โดยการลงมือทำ
    เราอาจจะเนรมิตเงินทองเองไม่ได้ ..แต่จิตเราเนรมิตความดีได้ง่ายๆ เนรมิตบุญกุศลขึ้นได้โดยการลงมือทำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้นำที่เก่งทั้งวางแผนและลงมือทำ...หายากนะรู้ไหม!!!

    เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมบางบริษัทถึงไปได้สวย แต่บางบริษัทดิ้นรนอยู่กับที่? คำตอบอาจจะซ่อนอยู่ในตัวผู้นำก็ได้นะ!

    จากงานวิจัยของ Harvard Business Review เค้าบอกว่า ผู้นำที่เก่งทั้งวางแผนและลงมือทำเนี่ย หายากยิ่งกว่าการหาไข่มุกในทะเลทรายซะอีก! มีแค่ 8% เท่านั้นที่ทำได้ทั้งสองอย่างแบบเป๊ะๆ

    ทำไมต้องเก่งทั้งคู่?

    วางแผนเก่ง: เหมือนมีแผนที่นำทาง ช่วยให้รู้ว่าจะไปทางไหน ถึงเป้าหมายแน่นอน

    ลงมือเก่ง: เอาแผนที่ไปใช้ให้เป็นจริง ทำให้ธุรกิจเติบโตได้

    ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เหมือนขับรถไปโดยไม่มีแผนที่ หรือมีแผนที่แต่รถเสียไงล่ะ!

    ทำไมถึงหายาก?

    ทักษะคนละแบบ: วางแผนต้องคิดวิเคราะห์ มองภาพใหญ่ แต่ลงมือต้องปฏิบัติจริง สื่อสารเก่ง

    ความกดดัน: องค์กรมักจะให้ผู้นำโฟกัสที่อย่างใดอย่างหนึ่ง

    โลกหมุนเร็ว: ธุรกิจเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผู้นำต้องปรับตัวตลอด

    แล้วจะทำยังไงให้เก่งทั้งคู่?

    เรียนรู้ตลอดเวลา: อ่านหนังสือ เข้าคอร์ส หรือหาโค้ช

    ลงมือทำจริง: เอาความรู้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์

    สร้างทีมแข็งแกร่ง: หาลูกทีมเก่งๆ มาช่วยกัน

    ตัวอย่างง่ายๆ

    สตีฟ จ็อบส์ น่ะเก่งมาก ทั้งคิดไอเดียเจ๋งๆ อย่าง iPhone แล้วก็ยังลงมือทำจนประสบความสำเร็จ

    การเป็นผู้นำที่เก่งทั้งวางแผนและลงมือทำ อาจจะยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเราพยายามพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

    จำไว้ว่า ผู้นำที่ดี ไม่ใช่แค่บอกให้คนอื่นทำ แต่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี และนำพาทีมไปสู่ความสำเร็จร่วมกัน

    อยากเป็นผู้นำที่เก่งทั้งสองด้านแบบนี้บ้างไหมล่ะ? ลองเริ่มจากการตั้งเป้าหมายเล็กๆ แล้วค่อยๆ พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ

    คำถาม คุณคิดว่าอะไรคืออุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการเป็นผู้นำที่เก่งทั้งวางแผนและลงมือทำ? ลองมาแชร์กันดูสิ!

    ที่มา: Leinwand, P., & Mainardi, C. (2013). What drives a company's success? Harvard Business Review.

    #ผู้นำ #กลยุทธ์ #การลงมือทำ #HarvardBusinessReview

    สนใจพัฒนายุทธศาสตร์ - กลยุทธ์และขับเคลื่อนผลงาน สร้างความเป็นเลิศโดย 10X Consulting ที่ปรึกษามืออาชีพแบรนด์เดียวในไทยที่มีประสบการณ์ตรงกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ - กลยุทธ์กว่า 3,000 โครงการ เรามีทีมงานมืออาชีพซึ่งมีประสบการณ์พัฒนาธุรกิจและองค์กรมานานกว่า 30 ปี พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์สร้างการเติบโตพร้อมกับคุณ

    เดชฤทธิ์ กรุ๊ป
    ผู้บริหารแบรนด์ 10X Consulting และ Life Alignmentor
    บริการครบเครื่องเรื่องพัฒนาศักยภาพ
    #เดชฤทธิ์กรุ๊ป
    #Dechritgroup
    #10Xconsulting
    #lifealignmentor
    พัฒนาองค์กรและผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ไทยในระดับโลก
    https://10-xconsulting.com
    ปั้นคนให้เป็นแชมป์ด้วยพลังทวี
    “ผสานความดี X ความเก่ง”
    https://lifealignmentor.com
    ผู้นำที่เก่งทั้งวางแผนและลงมือทำ...หายากนะรู้ไหม!!! เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมบางบริษัทถึงไปได้สวย แต่บางบริษัทดิ้นรนอยู่กับที่? คำตอบอาจจะซ่อนอยู่ในตัวผู้นำก็ได้นะ! จากงานวิจัยของ Harvard Business Review เค้าบอกว่า ผู้นำที่เก่งทั้งวางแผนและลงมือทำเนี่ย หายากยิ่งกว่าการหาไข่มุกในทะเลทรายซะอีก! มีแค่ 8% เท่านั้นที่ทำได้ทั้งสองอย่างแบบเป๊ะๆ ทำไมต้องเก่งทั้งคู่? วางแผนเก่ง: เหมือนมีแผนที่นำทาง ช่วยให้รู้ว่าจะไปทางไหน ถึงเป้าหมายแน่นอน ลงมือเก่ง: เอาแผนที่ไปใช้ให้เป็นจริง ทำให้ธุรกิจเติบโตได้ ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เหมือนขับรถไปโดยไม่มีแผนที่ หรือมีแผนที่แต่รถเสียไงล่ะ! ทำไมถึงหายาก? ทักษะคนละแบบ: วางแผนต้องคิดวิเคราะห์ มองภาพใหญ่ แต่ลงมือต้องปฏิบัติจริง สื่อสารเก่ง ความกดดัน: องค์กรมักจะให้ผู้นำโฟกัสที่อย่างใดอย่างหนึ่ง โลกหมุนเร็ว: ธุรกิจเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผู้นำต้องปรับตัวตลอด แล้วจะทำยังไงให้เก่งทั้งคู่? เรียนรู้ตลอดเวลา: อ่านหนังสือ เข้าคอร์ส หรือหาโค้ช ลงมือทำจริง: เอาความรู้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ สร้างทีมแข็งแกร่ง: หาลูกทีมเก่งๆ มาช่วยกัน ตัวอย่างง่ายๆ สตีฟ จ็อบส์ น่ะเก่งมาก ทั้งคิดไอเดียเจ๋งๆ อย่าง iPhone แล้วก็ยังลงมือทำจนประสบความสำเร็จ การเป็นผู้นำที่เก่งทั้งวางแผนและลงมือทำ อาจจะยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเราพยายามพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ จำไว้ว่า ผู้นำที่ดี ไม่ใช่แค่บอกให้คนอื่นทำ แต่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี และนำพาทีมไปสู่ความสำเร็จร่วมกัน อยากเป็นผู้นำที่เก่งทั้งสองด้านแบบนี้บ้างไหมล่ะ? ลองเริ่มจากการตั้งเป้าหมายเล็กๆ แล้วค่อยๆ พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ คำถาม คุณคิดว่าอะไรคืออุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการเป็นผู้นำที่เก่งทั้งวางแผนและลงมือทำ? ลองมาแชร์กันดูสิ! ที่มา: Leinwand, P., & Mainardi, C. (2013). What drives a company's success? Harvard Business Review. #ผู้นำ #กลยุทธ์ #การลงมือทำ #HarvardBusinessReview สนใจพัฒนายุทธศาสตร์ - กลยุทธ์และขับเคลื่อนผลงาน สร้างความเป็นเลิศโดย 10X Consulting ที่ปรึกษามืออาชีพแบรนด์เดียวในไทยที่มีประสบการณ์ตรงกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ - กลยุทธ์กว่า 3,000 โครงการ เรามีทีมงานมืออาชีพซึ่งมีประสบการณ์พัฒนาธุรกิจและองค์กรมานานกว่า 30 ปี พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์สร้างการเติบโตพร้อมกับคุณ เดชฤทธิ์ กรุ๊ป ผู้บริหารแบรนด์ 10X Consulting และ Life Alignmentor บริการครบเครื่องเรื่องพัฒนาศักยภาพ #เดชฤทธิ์กรุ๊ป #Dechritgroup #10Xconsulting #lifealignmentor พัฒนาองค์กรและผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ไทยในระดับโลก https://10-xconsulting.com ปั้นคนให้เป็นแชมป์ด้วยพลังทวี “ผสานความดี X ความเก่ง” https://lifealignmentor.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1372 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2024: ปีแห่งการเรียนรู้ พัฒนา และสร้างผู้นำ

    ปี 2024 ที่ผ่านมา เป็นอีกปีที่ตอกย้ำบทเรียนสำคัญ ความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมนั้น ถูกหล่อหลอมขึ้นจากรากฐานของการเรียนรู้ไม่หยุดยั้ง การเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างจริงใจ และความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้อื่นให้ก้าวไปสู่ศักยภาพสูงสุด
    ตลอดปีที่ผ่านมา เราได้มุ่งมั่นพัฒนาภารกิจในการสร้างผู้นำเชิงปฏิรูป โดยผสานความรู้ทางวิชาการชั้นเลิศ เข้ากับการให้คำปรึกษาเชิงปฏิบัติ เราพิสูจน์ให้เห็นถึงการผสมผสานอันทรงพลังระหว่างทฤษฎีและการลงมือทำ ซึ่งส่งผลกระทบที่ยั่งยืน ดังตัวอย่างความสำเร็จเหล่านี้:
    • แต่งตั้ง ศาสตราจารย์พิศิษฐ์ สาขาการจัดการองค์กรและพัฒนาองค์กร มุ่งเน้นการบูรณาการงานวิจัยทางวิชาการเข้ากับการประยุกต์ใช้จริง
    • ได้รับรางวัล ที่ปรึกษาการจัดการแห่งปี จากเวที CEO Today Global Awards 2024 (จากผู้เข้าชิงกว่า 19,450 คน)
    • ขยายเครือข่ายบริษัทที่ปรึกษาในเครือเดชฤทธิ์กรุ๊ป ในแบรนด์ 10X Consulting และ Life Alignmentor ให้บริการอย่างครอบคลุม 21 อุตสาหกรรม ช่วยให้องค์กรต่างๆ ประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดด
    • พัฒนา โปรแกรมผู้นำเชิงนวัตกรรม ที่ผสมผสานภูมิปัญญาอันยาวนานเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังมาแรง

    3 บทเรียนสำคัญที่ได้รับความสนใจจากชุมชนของเรา
    • "หลักการพื้นฐานที่เปลี่ยนบริษัทที่ดีให้กลายเป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยม ผ่านภาวะผู้นำระดับ 5" บทความนี้กล่าวถึงผู้นำที่เปี่ยมด้วยความถ่อมตน มุ่งมั่น ทุ่มเทเพื่อเป้าหมายขององค์กร มากกว่าความสำเร็จส่วนตัว [อ่านต่อ: https://www.linkedin.com/feed/update/urn:li:activity:7201971142637621248/]
    • "สร้างความไว้วางใจในวิชาชีพที่ปรึกษาการจัดการ ผ่านการรับรองคุณวุฒิและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง" บทความนี้กล่าวถึงการได้รับรางวัล CEO Today Global Award [อ่านต่อ: https://www.linkedin.com/feed/update/urn:li:activity:7205862749413777410/]
    • "นกตื่นเช้ากินน้ำค้าง สะท้อนถึงข้อได้เปรียบของการเริ่มต้นก่อนผู้อื่น" บทความนี้กล่าวถึงหลักการผู้นำที่ได้แรงบันดาลใจจากผู้ประสบความสำเร็จที่เริ่มต้นแต่เช้า [อ่านต่อ: https://www.linkedin.com/feed/update/urn:li:activity:7276771519974809600/]

    ก้าวต่อไปในปี 2025
    เรายังคงมุ่งมั่นขยายผลกระทบของผู้นำเชิงปฏิรูป ผ่านความเป็นเลิศทางวิชาการและการให้คำปรึกษาเชิงปฏิบัติ ควบคู่กับการสนับสนุนการผสมผสานเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ากับการพัฒนาผู้นำ การบรรจบกันของทฤษฎีและการลงมือทำ จะยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างผู้นำที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างยั่งยืน

    ถึงองค์กร ผู้นำ และพันธมิตรทุกท่าน
    ความมุ่งมั่นในความเป็นเลิศของท่าน เป็นแรงบันดาลใจให้เราไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาวิธีการสร้างผู้นำให้ก้าวหน้าต่อไป

    #เดชฤทธิ์กรุ๊ป#10XConsulting #LifeAlignmentor#ผู้นำยุคใหม่ #พัฒนาผู้นำ #ผู้นำเชิงปฏิรูป
    เดชฤทธิ์ กรุ๊ป
    ผู้บริหารแบรนด์ 10X Consulting และ Life Alignmentor
    https://10-xconsulting.com
    https://lifealignmentor.com
    2024: ปีแห่งการเรียนรู้ พัฒนา และสร้างผู้นำ ปี 2024 ที่ผ่านมา เป็นอีกปีที่ตอกย้ำบทเรียนสำคัญ ความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมนั้น ถูกหล่อหลอมขึ้นจากรากฐานของการเรียนรู้ไม่หยุดยั้ง การเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างจริงใจ และความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้อื่นให้ก้าวไปสู่ศักยภาพสูงสุด ตลอดปีที่ผ่านมา เราได้มุ่งมั่นพัฒนาภารกิจในการสร้างผู้นำเชิงปฏิรูป โดยผสานความรู้ทางวิชาการชั้นเลิศ เข้ากับการให้คำปรึกษาเชิงปฏิบัติ เราพิสูจน์ให้เห็นถึงการผสมผสานอันทรงพลังระหว่างทฤษฎีและการลงมือทำ ซึ่งส่งผลกระทบที่ยั่งยืน ดังตัวอย่างความสำเร็จเหล่านี้: • แต่งตั้ง ศาสตราจารย์พิศิษฐ์ สาขาการจัดการองค์กรและพัฒนาองค์กร มุ่งเน้นการบูรณาการงานวิจัยทางวิชาการเข้ากับการประยุกต์ใช้จริง • ได้รับรางวัล ที่ปรึกษาการจัดการแห่งปี จากเวที CEO Today Global Awards 2024 (จากผู้เข้าชิงกว่า 19,450 คน) • ขยายเครือข่ายบริษัทที่ปรึกษาในเครือเดชฤทธิ์กรุ๊ป ในแบรนด์ 10X Consulting และ Life Alignmentor ให้บริการอย่างครอบคลุม 21 อุตสาหกรรม ช่วยให้องค์กรต่างๆ ประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดด • พัฒนา โปรแกรมผู้นำเชิงนวัตกรรม ที่ผสมผสานภูมิปัญญาอันยาวนานเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังมาแรง 3 บทเรียนสำคัญที่ได้รับความสนใจจากชุมชนของเรา • "หลักการพื้นฐานที่เปลี่ยนบริษัทที่ดีให้กลายเป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยม ผ่านภาวะผู้นำระดับ 5" บทความนี้กล่าวถึงผู้นำที่เปี่ยมด้วยความถ่อมตน มุ่งมั่น ทุ่มเทเพื่อเป้าหมายขององค์กร มากกว่าความสำเร็จส่วนตัว [อ่านต่อ: https://www.linkedin.com/feed/update/urn:li:activity:7201971142637621248/] • "สร้างความไว้วางใจในวิชาชีพที่ปรึกษาการจัดการ ผ่านการรับรองคุณวุฒิและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง" บทความนี้กล่าวถึงการได้รับรางวัล CEO Today Global Award [อ่านต่อ: https://www.linkedin.com/feed/update/urn:li:activity:7205862749413777410/] • "นกตื่นเช้ากินน้ำค้าง สะท้อนถึงข้อได้เปรียบของการเริ่มต้นก่อนผู้อื่น" บทความนี้กล่าวถึงหลักการผู้นำที่ได้แรงบันดาลใจจากผู้ประสบความสำเร็จที่เริ่มต้นแต่เช้า [อ่านต่อ: https://www.linkedin.com/feed/update/urn:li:activity:7276771519974809600/] ก้าวต่อไปในปี 2025 เรายังคงมุ่งมั่นขยายผลกระทบของผู้นำเชิงปฏิรูป ผ่านความเป็นเลิศทางวิชาการและการให้คำปรึกษาเชิงปฏิบัติ ควบคู่กับการสนับสนุนการผสมผสานเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ากับการพัฒนาผู้นำ การบรรจบกันของทฤษฎีและการลงมือทำ จะยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างผู้นำที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างยั่งยืน ถึงองค์กร ผู้นำ และพันธมิตรทุกท่าน ความมุ่งมั่นในความเป็นเลิศของท่าน เป็นแรงบันดาลใจให้เราไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาวิธีการสร้างผู้นำให้ก้าวหน้าต่อไป #เดชฤทธิ์กรุ๊ป#10XConsulting #LifeAlignmentor#ผู้นำยุคใหม่ #พัฒนาผู้นำ #ผู้นำเชิงปฏิรูป เดชฤทธิ์ กรุ๊ป ผู้บริหารแบรนด์ 10X Consulting และ Life Alignmentor https://10-xconsulting.com https://lifealignmentor.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1368 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่ารู้สึกผิดถ้าคุณไม่รักพ่อแม่ แต่จงรู้คุณและคิดตอบแทนในชีวิตคนเรา ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก ซึ่งไม่สามารถบังคับกันได้โดยตรง เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก ความรักระหว่างกันอาจเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ แต่สิ่งสำคัญที่เหนือกว่าความรักคือ "การตอบแทนบุญคุณ" ที่พ่อแม่มีต่อเราความรู้สึกต่อพ่อแม่: เข้าใจ ไม่ใช่ฝืนใจรัก1. ความรู้สึกเป็นสิ่งบังคับไม่ได้หากเราตัดสถานะพ่อแม่ออกไป แล้วมองพวกท่านในฐานะบุคคลทั่วไป อารมณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างกันก็อาจเป็นทั้งความขัดเคือง ความไม่พอใจ หรือแม้กระทั่งความโกรธ แต่สิ่งสำคัญคือ การยอมรับว่าอารมณ์เหล่านี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์กัน2. ไม่ต้องฝืนใจ แต่ให้ "เข้าใจ"แทนที่จะเค้นใจให้รักพ่อแม่ ให้เริ่มต้นด้วยความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ของพวกท่าน พ่อแม่ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีข้อดีและข้อเสีย มีความยึดติดและอารมณ์เฉพาะตัว เช่นเดียวกับเรา หากมองเห็นความจริงนี้ได้ เราก็จะเริ่มปล่อยวาง และให้อภัยในสิ่งที่พวกท่านทำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสงบในใจเราเอง---การตอบแทนบุญคุณ: หาค่าของพ่อแม่ให้เจอ1. ค่าของชีวิตเริ่มต้นจากพ่อแม่ชีวิตของเรามีขึ้นมาได้เพราะพ่อแม่ หากไม่มีพวกท่าน เราก็ไม่มีโอกาสได้หาค่าของชีวิตหรือสร้างบุญสร้างกุศลในโลกนี้ การตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่จึงเริ่มต้นจากการ "เห็นคุณค่า" ของพวกท่านในฐานะผู้ให้ชีวิต2. ความกตัญญู: รู้คุณคนความกตัญญูคือการรับรู้และนึกถึงบุญคุณที่พ่อแม่ทำไว้ การเข้าใจว่าท่านมีส่วนช่วยให้เรามีชีวิตและโอกาสในวันนี้ แม้การตอบแทนบุญคุณในรูปแบบที่เป็นรูปธรรมอาจยังไม่ชัดเจน แต่ความกตัญญูคือจุดเริ่มต้นที่จะแปรเปลี่ยนเป็นการตอบแทนในภายหลัง3. กตเวที: การลงมือทำเมื่อมีความกตัญญูในใจแล้ว ความอยากตอบแทนจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องบังคับ เช่น การดูแลพ่อแม่ในยามเจ็บป่วย การแสดงความห่วงใย หรือการปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการตอบแทนบุญคุณ แต่ยังเป็นการสร้างความสุขให้กับตัวเราเอง---วางใจต่อบาปบุญ และมุ่งสู่การหลุดพ้น1. ถือสาเฉพาะสิ่งที่ควรถือสาสิ่งที่เราควรใส่ใจที่สุดคือบาปบุญของตัวเอง หากมองว่าพ่อแม่มีบุญคุณล้นพ้นต่อเรา การกระทบกระทั่งหรือความทุกข์ใจใดๆ ที่เกิดขึ้นจากพวกท่านก็เป็นเรื่องเล็กน้อย2. ความทุกข์จากพ่อแม่คือบทเรียนทุกข์ที่เกิดจากความสัมพันธ์กับพ่อแม่อาจเป็นเครื่องมือที่ช่วยปลดปล่อยเราออกจากความยึดติดและอยากเกิดในอนาคต การยอมรับและให้อภัยในเรื่องเหล่านี้คือหนทางหนึ่งที่ช่วยนำเราเข้าใกล้นิพพาน---สรุปอย่ารู้สึกผิดหากคุณไม่สามารถรักพ่อแม่ได้ในทันที เพราะความรักเป็นเรื่องของความรู้สึกที่บังคับไม่ได้ แต่จงฝึก "ความเข้าใจ" และ "ความกตัญญู" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการตอบแทนบุญคุณอย่างแท้จริง การตอบแทนไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ แต่เพียงการปฏิบัติต่อพวกท่านด้วยความเคารพและใส่ใจก็เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตของเราและพ่อแม่มีความหมายมากขึ้น.
    อย่ารู้สึกผิดถ้าคุณไม่รักพ่อแม่ แต่จงรู้คุณและคิดตอบแทนในชีวิตคนเรา ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก ซึ่งไม่สามารถบังคับกันได้โดยตรง เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก ความรักระหว่างกันอาจเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ แต่สิ่งสำคัญที่เหนือกว่าความรักคือ "การตอบแทนบุญคุณ" ที่พ่อแม่มีต่อเราความรู้สึกต่อพ่อแม่: เข้าใจ ไม่ใช่ฝืนใจรัก1. ความรู้สึกเป็นสิ่งบังคับไม่ได้หากเราตัดสถานะพ่อแม่ออกไป แล้วมองพวกท่านในฐานะบุคคลทั่วไป อารมณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างกันก็อาจเป็นทั้งความขัดเคือง ความไม่พอใจ หรือแม้กระทั่งความโกรธ แต่สิ่งสำคัญคือ การยอมรับว่าอารมณ์เหล่านี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์กัน2. ไม่ต้องฝืนใจ แต่ให้ "เข้าใจ"แทนที่จะเค้นใจให้รักพ่อแม่ ให้เริ่มต้นด้วยความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ของพวกท่าน พ่อแม่ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีข้อดีและข้อเสีย มีความยึดติดและอารมณ์เฉพาะตัว เช่นเดียวกับเรา หากมองเห็นความจริงนี้ได้ เราก็จะเริ่มปล่อยวาง และให้อภัยในสิ่งที่พวกท่านทำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสงบในใจเราเอง---การตอบแทนบุญคุณ: หาค่าของพ่อแม่ให้เจอ1. ค่าของชีวิตเริ่มต้นจากพ่อแม่ชีวิตของเรามีขึ้นมาได้เพราะพ่อแม่ หากไม่มีพวกท่าน เราก็ไม่มีโอกาสได้หาค่าของชีวิตหรือสร้างบุญสร้างกุศลในโลกนี้ การตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่จึงเริ่มต้นจากการ "เห็นคุณค่า" ของพวกท่านในฐานะผู้ให้ชีวิต2. ความกตัญญู: รู้คุณคนความกตัญญูคือการรับรู้และนึกถึงบุญคุณที่พ่อแม่ทำไว้ การเข้าใจว่าท่านมีส่วนช่วยให้เรามีชีวิตและโอกาสในวันนี้ แม้การตอบแทนบุญคุณในรูปแบบที่เป็นรูปธรรมอาจยังไม่ชัดเจน แต่ความกตัญญูคือจุดเริ่มต้นที่จะแปรเปลี่ยนเป็นการตอบแทนในภายหลัง3. กตเวที: การลงมือทำเมื่อมีความกตัญญูในใจแล้ว ความอยากตอบแทนจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องบังคับ เช่น การดูแลพ่อแม่ในยามเจ็บป่วย การแสดงความห่วงใย หรือการปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการตอบแทนบุญคุณ แต่ยังเป็นการสร้างความสุขให้กับตัวเราเอง---วางใจต่อบาปบุญ และมุ่งสู่การหลุดพ้น1. ถือสาเฉพาะสิ่งที่ควรถือสาสิ่งที่เราควรใส่ใจที่สุดคือบาปบุญของตัวเอง หากมองว่าพ่อแม่มีบุญคุณล้นพ้นต่อเรา การกระทบกระทั่งหรือความทุกข์ใจใดๆ ที่เกิดขึ้นจากพวกท่านก็เป็นเรื่องเล็กน้อย2. ความทุกข์จากพ่อแม่คือบทเรียนทุกข์ที่เกิดจากความสัมพันธ์กับพ่อแม่อาจเป็นเครื่องมือที่ช่วยปลดปล่อยเราออกจากความยึดติดและอยากเกิดในอนาคต การยอมรับและให้อภัยในเรื่องเหล่านี้คือหนทางหนึ่งที่ช่วยนำเราเข้าใกล้นิพพาน---สรุปอย่ารู้สึกผิดหากคุณไม่สามารถรักพ่อแม่ได้ในทันที เพราะความรักเป็นเรื่องของความรู้สึกที่บังคับไม่ได้ แต่จงฝึก "ความเข้าใจ" และ "ความกตัญญู" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการตอบแทนบุญคุณอย่างแท้จริง การตอบแทนไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ แต่เพียงการปฏิบัติต่อพวกท่านด้วยความเคารพและใส่ใจก็เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตของเราและพ่อแม่มีความหมายมากขึ้น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 642 มุมมอง 0 รีวิว
  • การลงมือทำ
    สม่ำเสมอ
    คือหนทางที่เร็วที่สุด
    และถูกต้องที่สุด

    จากหนังสือ |แด่เธอผู้เจ็บปวดกับการเรียน

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #แด่เธอผู้เจ็บปวดกับการเรียน
    การลงมือทำ สม่ำเสมอ คือหนทางที่เร็วที่สุด และถูกต้องที่สุด จากหนังสือ |แด่เธอผู้เจ็บปวดกับการเรียน #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #แด่เธอผู้เจ็บปวดกับการเรียน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชื่อมั่นในการลงมือทำ
    และไว้วางใจสูงสุด

    Great natuer by bee
    ครีมอาบน้ำ ล้างหน้า รังไหม&ว่านหางจระเข้&น้ำผึ้ง
    สูตรจากน้ำมันธรรมชาติ
    ที่เพื่อนสั่งไม่ให้เลิกทำ
    เพราะฉันหาซื้อแบบนี้ที่ไหนไม่ได้

    ชำระล้างอย่างอ่อนโยน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
    ลดการอักเสบของผิวได้เป็นอย่างดี

    อ่อนโยน สำหรับผิว มีสมุนไพร
    รังไหม&ว่านหางจระเข้&น้ำผึ้ง

    มีกลิ่นหอมของน้ำผึ้ง ผสมกลิ่นพฤกษานานาๆพันธุ์ ของดอกพรีเซีย และผลพลัม
    ทำให้กลิ่นหอมละมุน
    #Shower #ครีมอาบน้ำ #soap #ล้างหน้า
    #soapoil
    #thaitmies
    เชื่อมั่นในการลงมือทำ และไว้วางใจสูงสุด 🥰🌷☘️🌿 Great natuer by bee ครีมอาบน้ำ ล้างหน้า รังไหม&ว่านหางจระเข้&น้ำผึ้ง🐝🐝🐝 สูตรจากน้ำมันธรรมชาติ 👉🌿 ที่เพื่อนสั่งไม่ให้เลิกทำ เพราะฉันหาซื้อแบบนี้ที่ไหนไม่ได้🤣😁🥰 ชำระล้างอย่างอ่อนโยน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบของผิวได้เป็นอย่างดี อ่อนโยน สำหรับผิว มีสมุนไพร รังไหม&ว่านหางจระเข้&น้ำผึ้ง ☘️🌷🍀🌿 มีกลิ่นหอมของน้ำผึ้ง ผสมกลิ่นพฤกษานานาๆพันธุ์ ของดอกพรีเซีย และผลพลัม ทำให้กลิ่นหอมละมุน #Shower #ครีมอาบน้ำ #soap #ล้างหน้า #soapoil #thaitmies
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1050 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ความมั่นใจ' คือสิ่งล้ำค่า
    ที่หลายๆคนพยายามทุ่มเทหลายๆอย่างเพื่อให้ได้มา

    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อซื้อผ้าแฟชั่นทันสมัยเพื่อให้รู้สึกมั่นใจ
    การซื้อรถหรูเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน
    หรือแม้กระทั่งการอ่านหนังสือเพิ่มพูนความรู้ เพื่อประดับสมอง

    อย่างที่แอดมินได้เคยบอกไว้ในหลายๆครั้งว่า *ทุกๆอย่างต้องมีความสมดุล*

    เพราะหากว่าความมั่นใจ มีมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ดีแน่
    จะส่งผลเสียในหลายๆอย่าง

    หากเรามีความมั่นใจน้อยกว่าที่ควร <
    เราจะเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออก
    ไม่กล้าแม้กระทั่งออกความคิดเห็นของตัวเอง
    ไม่มีโอกาสได้รักษาในหลายๆสิทธิ์ของตัวเอง

    หากเรามีความมั่นใจมากกว่าที่ควร >
    ในหลายๆครั้งอาจทำให้เราสูญเสียมากกว่าได้รับ
    อย่างเช่นการวางแผนในการทำธุรกิจ โดยที่ความรู้ยังไม่เพียงพอ

    หรือการอ่านหนังสือไม่พอก่อนเข้าสอบ แต่พกความมั่นใจไปเต็มร้อย

    ดังนั้นวิธีแก้ไขคือ การจำลองการลงมือทำจริงๆขึ้นมา
    -สำหรับการทำธุรกิจ ก็เขียนแผนธุรกิจ กำไร-ขาดทุน ให้เจ๊งแค่ในกระดาษ
    -สำหรับการอ่านหนังสือ ก็ทำแบบทดสอบเยอะๆ หรือตั้งโจทย์ขึ้นมาแล้วทำให้มากๆ

    แล้วสำหรับคุณผู้อ่าน มีวิธีควบคุมความมั่นใจ ให้ไม่มากเกินไป-น้อยเกินไปอย่างไรบ้าง มาแชร์ในคอมเม้นกันได้นะคะ ^^

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือคิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง
    #หนังสือน่าอ่าน #Thaitimes
    'ความมั่นใจ' คือสิ่งล้ำค่า ที่หลายๆคนพยายามทุ่มเทหลายๆอย่างเพื่อให้ได้มา ไม่ว่าจะเป็นการซื้อซื้อผ้าแฟชั่นทันสมัยเพื่อให้รู้สึกมั่นใจ การซื้อรถหรูเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งการอ่านหนังสือเพิ่มพูนความรู้ เพื่อประดับสมอง อย่างที่แอดมินได้เคยบอกไว้ในหลายๆครั้งว่า *ทุกๆอย่างต้องมีความสมดุล* เพราะหากว่าความมั่นใจ มีมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ดีแน่ จะส่งผลเสียในหลายๆอย่าง หากเรามีความมั่นใจน้อยกว่าที่ควร < เราจะเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าแม้กระทั่งออกความคิดเห็นของตัวเอง ไม่มีโอกาสได้รักษาในหลายๆสิทธิ์ของตัวเอง หากเรามีความมั่นใจมากกว่าที่ควร > ในหลายๆครั้งอาจทำให้เราสูญเสียมากกว่าได้รับ อย่างเช่นการวางแผนในการทำธุรกิจ โดยที่ความรู้ยังไม่เพียงพอ หรือการอ่านหนังสือไม่พอก่อนเข้าสอบ แต่พกความมั่นใจไปเต็มร้อย ดังนั้นวิธีแก้ไขคือ การจำลองการลงมือทำจริงๆขึ้นมา -สำหรับการทำธุรกิจ ก็เขียนแผนธุรกิจ กำไร-ขาดทุน ให้เจ๊งแค่ในกระดาษ -สำหรับการอ่านหนังสือ ก็ทำแบบทดสอบเยอะๆ หรือตั้งโจทย์ขึ้นมาแล้วทำให้มากๆ แล้วสำหรับคุณผู้อ่าน มีวิธีควบคุมความมั่นใจ ให้ไม่มากเกินไป-น้อยเกินไปอย่างไรบ้าง มาแชร์ในคอมเม้นกันได้นะคะ ^^ #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือคิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง #หนังสือน่าอ่าน #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 955 มุมมอง 0 รีวิว