• เรื่องเล่าจากข่าว: Apple กับภารกิจไล่ตาม AI—เปิดรับ M&A, ปรับทีม, และอาจซื้อ Perplexity เพื่อเติมช่องว่าง

    Apple เคยเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม แต่ในสนาม AI กลับถูกมองว่า “ตามหลัง” คู่แข่งอย่าง Google, Microsoft และ OpenAI อย่างชัดเจน Tim Cook จึงประกาศในงานแถลงผลประกอบการล่าสุดว่า Apple “เปิดรับการซื้อกิจการทุกขนาด” หากช่วยเร่งแผน AI ได้

    ปีนี้ Apple ซื้อกิจการไปแล้ว 7 แห่ง แม้ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดเล็ก แต่มีข่าวลือว่า Apple กำลังพิจารณาซื้อ Perplexity—สตาร์ทอัพ AI ด้านการค้นหาที่มีมูลค่ากว่า $18 พันล้าน ซึ่งจะกลายเป็นดีลใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Apple หากเกิดขึ้นจริง

    นอกจากการซื้อกิจการ Apple ยังปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยย้ายพนักงานจำนวนมากไปทำงานด้าน AI และเพิ่มงบลงทุนอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังตามหลังคู่แข่งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและโมเดล AI ขนาดใหญ่

    Tim Cook ประกาศว่า Apple “เปิดรับ M&A ทุกขนาด” เพื่อเร่งแผน AI
    ไม่จำกัดขนาดบริษัท หากช่วยเร่ง roadmap ได้
    ปีนี้ซื้อกิจการแล้ว 7 แห่ง แม้ส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวกับ AI

    Apple กำลังพิจารณาซื้อ Perplexity สตาร์ทอัพ AI ด้านการค้นหาที่มีมูลค่ากว่า $18 พันล้าน
    จะกลายเป็นดีลใหญ่ที่สุดของ Apple
    มีการเจรจาระหว่างผู้บริหารระดับสูงแล้ว

    Apple ปรับโครงสร้างองค์กรโดยย้ายพนักงานจำนวนมากไปทำงานด้าน AI
    เน้นพัฒนา machine learning และฟีเจอร์ใหม่ใน ecosystem
    รวมถึงการออกแบบชิปด้วย generative AI

    Apple เพิ่มงบลงทุนด้าน AI อย่างต่อเนื่อง แม้ยังตามหลังคู่แข่งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน
    CapEx ปีนี้อยู่ที่ ~$13–14 พันล้าน
    เทียบกับ Google $85B, Meta $72B, Microsoft $80B

    Apple มองว่า AI คือ “เทคโนโลยีที่ลึกซึ้งที่สุดในยุคของเรา” และจะฝังอยู่ในทุกอุปกรณ์
    เน้นการทำให้ AI ใช้งานง่ายและเข้าถึงได้
    เป็นหัวใจของกลยุทธ์ระยะยาว

    รายได้ไตรมาสล่าสุดของ Apple อยู่ที่ $94 พันล้าน กำไรสุทธิ $23.4 พันล้าน
    iPhone ยังเป็นรายได้หลักที่ $44.6 พันล้าน
    รายได้จากบริการโตต่อเนื่องที่ $27.4 พันล้าน

    Apple ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ AI แบบ generative ที่เด่นชัดเหมือนคู่แข่ง
    Siri รุ่นใหม่ถูกเลื่อนเปิดตัวไปปี 2026
    ยังไม่มีโมเดล LLM ที่แข่งขันกับ GPT หรือ Claude ได้

    การซื้อกิจการขนาดใหญ่เช่น Perplexity อาจขัดกับแนวทางเดิมของ Apple ที่เน้นการเติบโตภายใน
    เสี่ยงต่อการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร
    ต้องปรับตัวกับเทคโนโลยีภายนอกอย่างรวดเร็ว

    การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่เพื่อเน้น AI อาจกระทบต่อทีมงานเดิมและโครงการอื่น
    อาจเกิดความไม่ชัดเจนในบทบาทของทีม
    เสี่ยงต่อการสูญเสียบุคลากรที่ไม่เห็นด้วย

    งบลงทุนด้าน AI ของ Apple ยังน้อยกว่าคู่แข่งหลายเท่า อาจทำให้ตามไม่ทันในระยะกลาง
    โครงสร้างพื้นฐานยังไม่เทียบเท่า Google หรือ Microsoft
    ต้องเร่งลงทุนใน data center และโมเดลขนาดใหญ่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/apples-tim-cook-very-open-to-m-and-a-that-accelerates-our-road-map-for-ai-company-increasing-spending-on-ai-initiatives-reorganizing-teams-to-address-expansion
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Apple กับภารกิจไล่ตาม AI—เปิดรับ M&A, ปรับทีม, และอาจซื้อ Perplexity เพื่อเติมช่องว่าง Apple เคยเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม แต่ในสนาม AI กลับถูกมองว่า “ตามหลัง” คู่แข่งอย่าง Google, Microsoft และ OpenAI อย่างชัดเจน Tim Cook จึงประกาศในงานแถลงผลประกอบการล่าสุดว่า Apple “เปิดรับการซื้อกิจการทุกขนาด” หากช่วยเร่งแผน AI ได้ ปีนี้ Apple ซื้อกิจการไปแล้ว 7 แห่ง แม้ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดเล็ก แต่มีข่าวลือว่า Apple กำลังพิจารณาซื้อ Perplexity—สตาร์ทอัพ AI ด้านการค้นหาที่มีมูลค่ากว่า $18 พันล้าน ซึ่งจะกลายเป็นดีลใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Apple หากเกิดขึ้นจริง นอกจากการซื้อกิจการ Apple ยังปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยย้ายพนักงานจำนวนมากไปทำงานด้าน AI และเพิ่มงบลงทุนอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังตามหลังคู่แข่งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและโมเดล AI ขนาดใหญ่ ✅ Tim Cook ประกาศว่า Apple “เปิดรับ M&A ทุกขนาด” เพื่อเร่งแผน AI ➡️ ไม่จำกัดขนาดบริษัท หากช่วยเร่ง roadmap ได้ ➡️ ปีนี้ซื้อกิจการแล้ว 7 แห่ง แม้ส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวกับ AI ✅ Apple กำลังพิจารณาซื้อ Perplexity สตาร์ทอัพ AI ด้านการค้นหาที่มีมูลค่ากว่า $18 พันล้าน ➡️ จะกลายเป็นดีลใหญ่ที่สุดของ Apple ➡️ มีการเจรจาระหว่างผู้บริหารระดับสูงแล้ว ✅ Apple ปรับโครงสร้างองค์กรโดยย้ายพนักงานจำนวนมากไปทำงานด้าน AI ➡️ เน้นพัฒนา machine learning และฟีเจอร์ใหม่ใน ecosystem ➡️ รวมถึงการออกแบบชิปด้วย generative AI ✅ Apple เพิ่มงบลงทุนด้าน AI อย่างต่อเนื่อง แม้ยังตามหลังคู่แข่งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ CapEx ปีนี้อยู่ที่ ~$13–14 พันล้าน ➡️ เทียบกับ Google $85B, Meta $72B, Microsoft $80B ✅ Apple มองว่า AI คือ “เทคโนโลยีที่ลึกซึ้งที่สุดในยุคของเรา” และจะฝังอยู่ในทุกอุปกรณ์ ➡️ เน้นการทำให้ AI ใช้งานง่ายและเข้าถึงได้ ➡️ เป็นหัวใจของกลยุทธ์ระยะยาว ✅ รายได้ไตรมาสล่าสุดของ Apple อยู่ที่ $94 พันล้าน กำไรสุทธิ $23.4 พันล้าน ➡️ iPhone ยังเป็นรายได้หลักที่ $44.6 พันล้าน ➡️ รายได้จากบริการโตต่อเนื่องที่ $27.4 พันล้าน ‼️ Apple ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ AI แบบ generative ที่เด่นชัดเหมือนคู่แข่ง ⛔ Siri รุ่นใหม่ถูกเลื่อนเปิดตัวไปปี 2026 ⛔ ยังไม่มีโมเดล LLM ที่แข่งขันกับ GPT หรือ Claude ได้ ‼️ การซื้อกิจการขนาดใหญ่เช่น Perplexity อาจขัดกับแนวทางเดิมของ Apple ที่เน้นการเติบโตภายใน ⛔ เสี่ยงต่อการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ⛔ ต้องปรับตัวกับเทคโนโลยีภายนอกอย่างรวดเร็ว ‼️ การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่เพื่อเน้น AI อาจกระทบต่อทีมงานเดิมและโครงการอื่น ⛔ อาจเกิดความไม่ชัดเจนในบทบาทของทีม ⛔ เสี่ยงต่อการสูญเสียบุคลากรที่ไม่เห็นด้วย ‼️ งบลงทุนด้าน AI ของ Apple ยังน้อยกว่าคู่แข่งหลายเท่า อาจทำให้ตามไม่ทันในระยะกลาง ⛔ โครงสร้างพื้นฐานยังไม่เทียบเท่า Google หรือ Microsoft ⛔ ต้องเร่งลงทุนใน data center และโมเดลขนาดใหญ่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/apples-tim-cook-very-open-to-m-and-a-that-accelerates-our-road-map-for-ai-company-increasing-spending-on-ai-initiatives-reorganizing-teams-to-address-expansion
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Intel Core 5 120—ชื่อใหม่ สเปกเดิม กับภารกิจเคลียร์ Alder Lake ก่อนเปิดทางให้ Ultra

    Intel เปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในกลุ่มราคาประหยัดคือ Core 5 120 และ Core 5 120F โดยใช้ชื่อใหม่ที่ไม่ตรงกับซีรีส์ก่อนหน้าอย่าง Raptor Lake หรือ Core Ultra ทำให้หลายคนสับสนว่า “นี่คือรุ่นใหม่จริงหรือ?”

    เมื่อดูสเปกแล้วพบว่า Core 5 120 มีความใกล้เคียงกับ Core i5-12400 อย่างมาก: มี 6 คอร์ประสิทธิภาพ (P-core), 12 เธรด, ความเร็วพื้นฐาน 2.5 GHz และบูสต์สูงสุด 4.5 GHz ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมเพียง 100 MHz เท่านั้น

    แม้จะดูเหมือนการเปลี่ยนชื่อเฉย ๆ แต่เบื้องหลังคือกลยุทธ์ของ Intel ที่ใช้ die stepping แบบใหม่ (เช่น H0) เพื่อผลิตได้ถูกลง และเคลียร์สต็อก Alder Lake ก่อนเปิดตัว Core Ultra 200S ที่ใช้สถาปัตยกรรม Arrow Lake

    Intel เปิดตัว Core 5 120 และ 120F ในกลุ่มซีพียูราคาประหยัด
    ใช้ชื่อใหม่ที่ไม่ตรงกับซีรีส์ก่อนหน้า
    120F ไม่มีกราฟิกในตัว แต่สเปกเหมือนกัน

    Core 5 120 มีสเปกใกล้เคียงกับ Core i5-12400 อย่างมาก
    6 P-core, 12 เธรด, 2.5–4.5 GHz
    เพิ่มบูสต์เพียง 100 MHz จากรุ่นเดิม

    ใช้ L3 cache ขนาด 18MB และรองรับ DDR5-4800
    เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดบนเมนบอร์ด LGA 1700
    ไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์เดิม

    อาจใช้ die stepping แบบ H0 ที่ประหยัดต้นทุนมากกว่า C0
    ช่วยลดต้นทุนการผลิต
    ไม่มีผลต่อประสิทธิภาพในงานทั่วไป

    เปิดตัวในช่วงที่ Intel เตรียมเปิดตัว Core Ultra 200S ที่ใช้ Arrow Lake
    เป็นการเคลียร์สต็อก Alder Lake
    ใช้ชื่อใหม่เพื่อแยกกลุ่มผลิตภัณฑ์

    การใช้ชื่อใหม่อย่าง “Core 5 120” อาจทำให้ผู้ซื้อสับสนกับซีรีส์อื่น
    ไม่ตรงกับชื่อ Core Ultra หรือ Raptor Lake
    อาจเข้าใจผิดว่าเป็นสถาปัตยกรรมใหม่

    การรีแบรนด์รุ่นเก่าอาจทำให้ผู้ใช้จ่ายเงินเพิ่มโดยไม่ได้ประสิทธิภาพที่ต่างกันมาก
    เพิ่มบูสต์เพียงเล็กน้อยจากรุ่นเดิม
    ประสิทธิภาพจริงใกล้เคียงกับ i5-12400

    ไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่อง stepping ที่ใช้ใน Core 5 120
    อาจมีผลต่อความร้อนหรือการใช้พลังงาน
    ผู้ใช้ไม่สามารถเลือก stepping ได้จากข้อมูลทั่วไป

    การเปิดตัวแบบเงียบ ๆ อาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปไม่ทันสังเกตว่าเป็นรุ่นรีแบรนด์
    ไม่มีการประชาสัมพันธ์ชัดเจน
    อาจเข้าใจผิดว่าเป็นรุ่นใหม่ทั้งหมด

    https://www.techspot.com/news/108899-familiar-specs-new-name-intel-core-5-120.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Intel Core 5 120—ชื่อใหม่ สเปกเดิม กับภารกิจเคลียร์ Alder Lake ก่อนเปิดทางให้ Ultra Intel เปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในกลุ่มราคาประหยัดคือ Core 5 120 และ Core 5 120F โดยใช้ชื่อใหม่ที่ไม่ตรงกับซีรีส์ก่อนหน้าอย่าง Raptor Lake หรือ Core Ultra ทำให้หลายคนสับสนว่า “นี่คือรุ่นใหม่จริงหรือ?” เมื่อดูสเปกแล้วพบว่า Core 5 120 มีความใกล้เคียงกับ Core i5-12400 อย่างมาก: มี 6 คอร์ประสิทธิภาพ (P-core), 12 เธรด, ความเร็วพื้นฐาน 2.5 GHz และบูสต์สูงสุด 4.5 GHz ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมเพียง 100 MHz เท่านั้น แม้จะดูเหมือนการเปลี่ยนชื่อเฉย ๆ แต่เบื้องหลังคือกลยุทธ์ของ Intel ที่ใช้ die stepping แบบใหม่ (เช่น H0) เพื่อผลิตได้ถูกลง และเคลียร์สต็อก Alder Lake ก่อนเปิดตัว Core Ultra 200S ที่ใช้สถาปัตยกรรม Arrow Lake ✅ Intel เปิดตัว Core 5 120 และ 120F ในกลุ่มซีพียูราคาประหยัด ➡️ ใช้ชื่อใหม่ที่ไม่ตรงกับซีรีส์ก่อนหน้า ➡️ 120F ไม่มีกราฟิกในตัว แต่สเปกเหมือนกัน ✅ Core 5 120 มีสเปกใกล้เคียงกับ Core i5-12400 อย่างมาก ➡️ 6 P-core, 12 เธรด, 2.5–4.5 GHz ➡️ เพิ่มบูสต์เพียง 100 MHz จากรุ่นเดิม ✅ ใช้ L3 cache ขนาด 18MB และรองรับ DDR5-4800 ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดบนเมนบอร์ด LGA 1700 ➡️ ไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์เดิม ✅ อาจใช้ die stepping แบบ H0 ที่ประหยัดต้นทุนมากกว่า C0 ➡️ ช่วยลดต้นทุนการผลิต ➡️ ไม่มีผลต่อประสิทธิภาพในงานทั่วไป ✅ เปิดตัวในช่วงที่ Intel เตรียมเปิดตัว Core Ultra 200S ที่ใช้ Arrow Lake ➡️ เป็นการเคลียร์สต็อก Alder Lake ➡️ ใช้ชื่อใหม่เพื่อแยกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ‼️ การใช้ชื่อใหม่อย่าง “Core 5 120” อาจทำให้ผู้ซื้อสับสนกับซีรีส์อื่น ⛔ ไม่ตรงกับชื่อ Core Ultra หรือ Raptor Lake ⛔ อาจเข้าใจผิดว่าเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ ‼️ การรีแบรนด์รุ่นเก่าอาจทำให้ผู้ใช้จ่ายเงินเพิ่มโดยไม่ได้ประสิทธิภาพที่ต่างกันมาก ⛔ เพิ่มบูสต์เพียงเล็กน้อยจากรุ่นเดิม ⛔ ประสิทธิภาพจริงใกล้เคียงกับ i5-12400 ‼️ ไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่อง stepping ที่ใช้ใน Core 5 120 ⛔ อาจมีผลต่อความร้อนหรือการใช้พลังงาน ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถเลือก stepping ได้จากข้อมูลทั่วไป ‼️ การเปิดตัวแบบเงียบ ๆ อาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปไม่ทันสังเกตว่าเป็นรุ่นรีแบรนด์ ⛔ ไม่มีการประชาสัมพันธ์ชัดเจน ⛔ อาจเข้าใจผิดว่าเป็นรุ่นใหม่ทั้งหมด https://www.techspot.com/news/108899-familiar-specs-new-name-intel-core-5-120.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Familiar specs, new name: Intel's Core 5 120 processors enter the market
    The Core 5 120 doesn't break new ground but instead traces its lineage directly to Intel's older Alder Lake architecture. Despite the updated branding, technical specs show...
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: นักวิจัย AI กับค่าตัวระดับ NBA—เมื่อสมองกลายเป็นสินทรัพย์ที่แพงที่สุดในโลก

    Matt Deitke นักวิจัย AI วัย 24 ปี ได้รับข้อเสนอจาก Mark Zuckerberg ให้เข้าร่วมทีมวิจัย “superintelligence” ของ Meta ด้วยค่าตอบแทนสูงถึง 250 ล้านดอลลาร์ใน 4 ปี—มากกว่าสัญญาของ Steph Curry กับทีม Golden State Warriors เสียอีก

    นี่ไม่ใช่กรณีเดียว เพราะบริษัทใหญ่อย่าง Meta, Google, Microsoft และ OpenAI กำลังแข่งขันกันดึงตัวนักวิจัย AI ด้วยข้อเสนอระดับ “ไม่มีเพดานเงินเดือน” พร้อมโบนัส, หุ้น, และสิทธิพิเศษที่ฟังดูเหมือนการจีบซูเปอร์สตาร์กีฬา

    การแย่งชิงนี้เกิดจากความขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ด้าน deep learning และการสร้างระบบ AI ขั้นสูง ซึ่งต้องใช้ทั้งประสบการณ์และทรัพยากรคอมพิวเตอร์มหาศาลที่มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น

    Matt Deitke ได้รับข้อเสนอจาก Meta มูลค่า 250 ล้านดอลลาร์ใน 4 ปี เพื่อร่วมทีมวิจัย AI
    มีเงินสดถึง 100 ล้านดอลลาร์จ่ายในปีแรก
    ข้อเสนอถูกเปรียบเทียบว่าแพงกว่าสัญญานักบาส NBA

    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังแข่งขันกันดึงตัวนักวิจัย AI ด้วยข้อเสนอระดับร้อยล้านดอลลาร์
    ไม่มีเพดานเงินเดือนเหมือนทีมกีฬา
    ใช้กลยุทธ์แบบ “เจ้าของทีม” เพื่อจีบผู้มีพรสวรรค์

    การแย่งชิงบุคลากร AI กลายเป็นปรากฏการณ์บนโซเชียลมีเดีย คล้ายช่วงซื้อขายนักกีฬา
    มีการโพสต์กราฟิกแนว ESPN เพื่อประกาศการ “ย้ายทีม”
    ผู้คนติดตามการย้ายงานของนักวิจัยเหมือนติดตามกีฬา

    นักวิจัย AI รุ่นใหม่ใช้ “เอเจนต์” และทีมที่ปรึกษาในการต่อรองค่าตอบแทน
    คล้ายกับนักกีฬาอาชีพที่มีทีมดูแลสัญญา
    มีการวางแผนกลยุทธ์เพื่อให้ได้ข้อเสนอสูงสุด

    ความขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญ AI ขั้นสูงเป็นแรงผลักดันให้ค่าตอบแทนพุ่งสูง
    ระบบ AI ต้องใช้ข้อมูลมหาศาลและทรัพยากรคอมพิวเตอร์ระดับสูง
    มีเพียงไม่กี่คนที่มีประสบการณ์กับระบบระดับนี้

    นักวิจัย AI ระดับสูงใน OpenAI และ Google ได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ย 10–20 ล้านดอลลาร์ต่อปี
    รวมโบนัส, หุ้น, และสิทธิพิเศษ
    บางรายได้รับเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเพื่อเจรจาสัญญา

    การเปิดตัว ChatGPT ในปี 2022 เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตลาดแรงงาน AI พุ่งทะยาน
    บริษัทต่าง ๆ เร่งลงทุนเพื่อเป็นผู้นำด้าน AI
    ทำให้ความต้องการบุคลากรเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด

    บางนักวิจัยเลือกปฏิเสธข้อเสนอใหญ่เพื่อสร้างสตาร์ทอัพของตัวเอง
    ต้องการอิสระในการวิจัยและพัฒนา
    มองว่าการสร้างนวัตกรรมต้องเริ่มจากความเชื่อ ไม่ใช่เงิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/02/ai-researchers-are-negotiating-us250mil-pay-packages-just-like-nba-stars
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: นักวิจัย AI กับค่าตัวระดับ NBA—เมื่อสมองกลายเป็นสินทรัพย์ที่แพงที่สุดในโลก Matt Deitke นักวิจัย AI วัย 24 ปี ได้รับข้อเสนอจาก Mark Zuckerberg ให้เข้าร่วมทีมวิจัย “superintelligence” ของ Meta ด้วยค่าตอบแทนสูงถึง 250 ล้านดอลลาร์ใน 4 ปี—มากกว่าสัญญาของ Steph Curry กับทีม Golden State Warriors เสียอีก นี่ไม่ใช่กรณีเดียว เพราะบริษัทใหญ่อย่าง Meta, Google, Microsoft และ OpenAI กำลังแข่งขันกันดึงตัวนักวิจัย AI ด้วยข้อเสนอระดับ “ไม่มีเพดานเงินเดือน” พร้อมโบนัส, หุ้น, และสิทธิพิเศษที่ฟังดูเหมือนการจีบซูเปอร์สตาร์กีฬา การแย่งชิงนี้เกิดจากความขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ด้าน deep learning และการสร้างระบบ AI ขั้นสูง ซึ่งต้องใช้ทั้งประสบการณ์และทรัพยากรคอมพิวเตอร์มหาศาลที่มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น ✅ Matt Deitke ได้รับข้อเสนอจาก Meta มูลค่า 250 ล้านดอลลาร์ใน 4 ปี เพื่อร่วมทีมวิจัย AI ➡️ มีเงินสดถึง 100 ล้านดอลลาร์จ่ายในปีแรก ➡️ ข้อเสนอถูกเปรียบเทียบว่าแพงกว่าสัญญานักบาส NBA ✅ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังแข่งขันกันดึงตัวนักวิจัย AI ด้วยข้อเสนอระดับร้อยล้านดอลลาร์ ➡️ ไม่มีเพดานเงินเดือนเหมือนทีมกีฬา ➡️ ใช้กลยุทธ์แบบ “เจ้าของทีม” เพื่อจีบผู้มีพรสวรรค์ ✅ การแย่งชิงบุคลากร AI กลายเป็นปรากฏการณ์บนโซเชียลมีเดีย คล้ายช่วงซื้อขายนักกีฬา ➡️ มีการโพสต์กราฟิกแนว ESPN เพื่อประกาศการ “ย้ายทีม” ➡️ ผู้คนติดตามการย้ายงานของนักวิจัยเหมือนติดตามกีฬา ✅ นักวิจัย AI รุ่นใหม่ใช้ “เอเจนต์” และทีมที่ปรึกษาในการต่อรองค่าตอบแทน ➡️ คล้ายกับนักกีฬาอาชีพที่มีทีมดูแลสัญญา ➡️ มีการวางแผนกลยุทธ์เพื่อให้ได้ข้อเสนอสูงสุด ✅ ความขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญ AI ขั้นสูงเป็นแรงผลักดันให้ค่าตอบแทนพุ่งสูง ➡️ ระบบ AI ต้องใช้ข้อมูลมหาศาลและทรัพยากรคอมพิวเตอร์ระดับสูง ➡️ มีเพียงไม่กี่คนที่มีประสบการณ์กับระบบระดับนี้ ✅ นักวิจัย AI ระดับสูงใน OpenAI และ Google ได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ย 10–20 ล้านดอลลาร์ต่อปี ➡️ รวมโบนัส, หุ้น, และสิทธิพิเศษ ➡️ บางรายได้รับเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเพื่อเจรจาสัญญา ✅ การเปิดตัว ChatGPT ในปี 2022 เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตลาดแรงงาน AI พุ่งทะยาน ➡️ บริษัทต่าง ๆ เร่งลงทุนเพื่อเป็นผู้นำด้าน AI ➡️ ทำให้ความต้องการบุคลากรเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ✅ บางนักวิจัยเลือกปฏิเสธข้อเสนอใหญ่เพื่อสร้างสตาร์ทอัพของตัวเอง ➡️ ต้องการอิสระในการวิจัยและพัฒนา ➡️ มองว่าการสร้างนวัตกรรมต้องเริ่มจากความเชื่อ ไม่ใช่เงิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/02/ai-researchers-are-negotiating-us250mil-pay-packages-just-like-nba-stars
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI researchers are negotiating US$250mil pay packages. Just like NBA stars
    They have been aided by scarcity: Only a small pool of people have the technical know-how and experience to work on advanced artificial intelligence systems.
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Comp AI กับภารกิจพลิกโฉมโลกของการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย

    ในโลกธุรกิจยุคใหม่ การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ไม่ใช่แค่ “เรื่องที่ควรทำ” แต่กลายเป็น “เงื่อนไขสำคัญ” สำหรับการทำธุรกิจ โดยเฉพาะกับลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่

    แต่การเข้าสู่มาตรฐานเหล่านี้กลับเต็มไปด้วยความยุ่งยาก—ต้องใช้เวลาเป็นเดือน, ค่าใช้จ่ายสูง และต้องอาศัยทีมงานเฉพาะทาง

    Comp AI จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 2025 โดยทีมผู้ก่อตั้งที่เคยเจ็บปวดกับการจัดการ SOC 2 มาก่อน พวกเขาใช้ AI ร่วมกับแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติที่สามารถลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90% และช่วยให้บริษัทต่าง ๆ “พร้อมตรวจสอบ” ได้ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์

    Comp AI ระดมทุนได้ $2.6 ล้านในรอบ Pre-Seed เพื่อเร่งพัฒนาแพลตฟอร์ม AI สำหรับการจัดการ compliance นำโดย OSS Capital และ Grand Ventures มีนักลงทุนชื่อดังร่วมด้วย เช่น ผู้ก่อตั้ง Sentry และ Ben’s Bites

    แพลตฟอร์มของ Comp AI ใช้ AI ร่วมกับโอเพ่นซอร์สเพื่อจัดการ SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ได้อัตโนมัติ
    ลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90%
    ลูกค้ากลุ่มแรกประหยัดเวลาไปกว่า 2,500 ชั่วโมง

    Comp AI ได้รับการตอบรับดีจากนักพัฒนาและบริษัทกว่า 3,500 แห่งในช่วงทดสอบก่อนเปิดตัว
    เข้าร่วมโครงการ OSS ของ Vercel
    เตรียมเปิดตัว “AI Agent Studio” สำหรับการเก็บหลักฐานและประเมินความเสี่ยง

    เป้าหมายของบริษัทคือช่วยให้ 100,000 บริษัทผ่านมาตรฐาน SOC 2 และ ISO 27001 ภายในปี 2032
    ลดต้นทุนจาก $25,000 ต่อปีเหลือเพียงเศษเสี้ยว
    ทำให้บริษัทขนาดเล็กเข้าถึงมาตรฐานระดับองค์กรได้

    Comp AI ถูกเปรียบว่าเป็น “Vercel แห่งวงการ compliance”
    ใช้งานง่ายสำหรับนักพัฒนา
    ไม่ต้องพึ่งที่ปรึกษาหรือทีมเฉพาะทาง

    AI ช่วยให้การตรวจสอบ SOC 2 และ ISO 27001 เป็นแบบเรียลไทม์
    ตรวจจับความผิดปกติและความเสี่ยงได้ทันที
    ลดโอกาสเกิดการละเมิดข้อมูล

    AI สามารถสร้างรายงาน compliance ที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์
    ช่วยให้การตรวจสอบภายในและภายนอกเป็นไปอย่างราบรื่น
    เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร

    แพลตฟอร์มแบบ unified ช่วยให้ผู้ตรวจสอบเข้าถึงหลักฐานและนโยบายได้จากจุดเดียว
    ลดความซับซ้อนในการจัดการหลายมาตรฐาน
    เหมาะกับองค์กรที่ต้องปฏิบัติตามหลาย framework พร้อมกัน

    AI ช่วยลดภาระของทีมกฎหมายและ compliance โดยอัตโนมัติถึง 70%
    ทำให้ทีมสามารถโฟกัสกับงานเชิงกลยุทธ์
    ลดต้นทุนและเวลาในการจัดการเอกสาร

    การใช้ AI เพื่อจัดการ compliance อาจไม่ครอบคลุมทุกบริบทขององค์กรขนาดใหญ่
    เครื่องมือบางตัวออกแบบมาสำหรับสตาร์ทอัพหรือ SMB
    อาจไม่รองรับระบบที่ซับซ้อนหรือหลายแพลตฟอร์ม

    การพึ่งพา automation มากเกินไปอาจทำให้ละเลยการตรวจสอบเชิงลึก
    ความเสี่ยงบางอย่างต้องใช้วิจารณญาณของมนุษย์
    AI อาจไม่เข้าใจบริบทเฉพาะของธุรกิจ

    การจัดการ compliance ด้วย AI ยังต้องการการตรวจสอบจากบุคคลที่มีความรู้ด้านกฎหมายและความปลอดภัย
    ไม่สามารถแทนที่ผู้เชี่ยวชาญได้ทั้งหมด
    อาจเกิดข้อผิดพลาดหากไม่มีการตรวจสอบซ้ำ

    การเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้าง template หรือ mapping ผ่านโอเพ่นซอร์ส อาจมีความเสี่ยงด้านความถูกต้อง
    ข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอาจนำไปสู่การปฏิบัติผิดมาตรฐาน
    ต้องมีระบบคัดกรองและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด

    https://hackread.com/comp-ai-secures-2-6m-pre-seed-to-disrupt-soc-2-market/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Comp AI กับภารกิจพลิกโฉมโลกของการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย ในโลกธุรกิจยุคใหม่ การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ไม่ใช่แค่ “เรื่องที่ควรทำ” แต่กลายเป็น “เงื่อนไขสำคัญ” สำหรับการทำธุรกิจ โดยเฉพาะกับลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ แต่การเข้าสู่มาตรฐานเหล่านี้กลับเต็มไปด้วยความยุ่งยาก—ต้องใช้เวลาเป็นเดือน, ค่าใช้จ่ายสูง และต้องอาศัยทีมงานเฉพาะทาง Comp AI จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 2025 โดยทีมผู้ก่อตั้งที่เคยเจ็บปวดกับการจัดการ SOC 2 มาก่อน พวกเขาใช้ AI ร่วมกับแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติที่สามารถลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90% และช่วยให้บริษัทต่าง ๆ “พร้อมตรวจสอบ” ได้ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ✅ Comp AI ระดมทุนได้ $2.6 ล้านในรอบ Pre-Seed เพื่อเร่งพัฒนาแพลตฟอร์ม AI สำหรับการจัดการ compliance ➡️ นำโดย OSS Capital และ Grand Ventures ➡️ มีนักลงทุนชื่อดังร่วมด้วย เช่น ผู้ก่อตั้ง Sentry และ Ben’s Bites ✅ แพลตฟอร์มของ Comp AI ใช้ AI ร่วมกับโอเพ่นซอร์สเพื่อจัดการ SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ได้อัตโนมัติ ➡️ ลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90% ➡️ ลูกค้ากลุ่มแรกประหยัดเวลาไปกว่า 2,500 ชั่วโมง ✅ Comp AI ได้รับการตอบรับดีจากนักพัฒนาและบริษัทกว่า 3,500 แห่งในช่วงทดสอบก่อนเปิดตัว ➡️ เข้าร่วมโครงการ OSS ของ Vercel ➡️ เตรียมเปิดตัว “AI Agent Studio” สำหรับการเก็บหลักฐานและประเมินความเสี่ยง ✅ เป้าหมายของบริษัทคือช่วยให้ 100,000 บริษัทผ่านมาตรฐาน SOC 2 และ ISO 27001 ภายในปี 2032 ➡️ ลดต้นทุนจาก $25,000 ต่อปีเหลือเพียงเศษเสี้ยว ➡️ ทำให้บริษัทขนาดเล็กเข้าถึงมาตรฐานระดับองค์กรได้ ✅ Comp AI ถูกเปรียบว่าเป็น “Vercel แห่งวงการ compliance” ➡️ ใช้งานง่ายสำหรับนักพัฒนา ➡️ ไม่ต้องพึ่งที่ปรึกษาหรือทีมเฉพาะทาง ✅ AI ช่วยให้การตรวจสอบ SOC 2 และ ISO 27001 เป็นแบบเรียลไทม์ ➡️ ตรวจจับความผิดปกติและความเสี่ยงได้ทันที ➡️ ลดโอกาสเกิดการละเมิดข้อมูล ✅ AI สามารถสร้างรายงาน compliance ที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ ➡️ ช่วยให้การตรวจสอบภายในและภายนอกเป็นไปอย่างราบรื่น ➡️ เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร ✅ แพลตฟอร์มแบบ unified ช่วยให้ผู้ตรวจสอบเข้าถึงหลักฐานและนโยบายได้จากจุดเดียว ➡️ ลดความซับซ้อนในการจัดการหลายมาตรฐาน ➡️ เหมาะกับองค์กรที่ต้องปฏิบัติตามหลาย framework พร้อมกัน ✅ AI ช่วยลดภาระของทีมกฎหมายและ compliance โดยอัตโนมัติถึง 70% ➡️ ทำให้ทีมสามารถโฟกัสกับงานเชิงกลยุทธ์ ➡️ ลดต้นทุนและเวลาในการจัดการเอกสาร ‼️ การใช้ AI เพื่อจัดการ compliance อาจไม่ครอบคลุมทุกบริบทขององค์กรขนาดใหญ่ ⛔ เครื่องมือบางตัวออกแบบมาสำหรับสตาร์ทอัพหรือ SMB ⛔ อาจไม่รองรับระบบที่ซับซ้อนหรือหลายแพลตฟอร์ม ‼️ การพึ่งพา automation มากเกินไปอาจทำให้ละเลยการตรวจสอบเชิงลึก ⛔ ความเสี่ยงบางอย่างต้องใช้วิจารณญาณของมนุษย์ ⛔ AI อาจไม่เข้าใจบริบทเฉพาะของธุรกิจ ‼️ การจัดการ compliance ด้วย AI ยังต้องการการตรวจสอบจากบุคคลที่มีความรู้ด้านกฎหมายและความปลอดภัย ⛔ ไม่สามารถแทนที่ผู้เชี่ยวชาญได้ทั้งหมด ⛔ อาจเกิดข้อผิดพลาดหากไม่มีการตรวจสอบซ้ำ ‼️ การเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้าง template หรือ mapping ผ่านโอเพ่นซอร์ส อาจมีความเสี่ยงด้านความถูกต้อง ⛔ ข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอาจนำไปสู่การปฏิบัติผิดมาตรฐาน ⛔ ต้องมีระบบคัดกรองและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด https://hackread.com/comp-ai-secures-2-6m-pre-seed-to-disrupt-soc-2-market/
    HACKREAD.COM
    Comp AI secures $2.6M pre-seed to disrupt SOC 2 market
    San Francisco, California, 1st August 2025, CyberNewsWire
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • สงครามระหว่าง ไทย - เขมร รอบนี้ (2568) ที่น่าแปลกใจคือ ทำไมเขมรถึงกล้ารบกับไทย ทั้งที่รู้กันทั่วโลกว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ เทียบกับไม่ติด ถ้ามองแบบกลยุทธ์ซุมวู ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะไทยตอนนี้มองจากภายนอกเข้ามา อ่อนแออย่างน่าตกใจ ในกลยุทธ์ซุนวู รัฐที่เข้มแข็งคือรัฐที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง แต่ไทยมีความแตกแยกอย่างมาก ประชาชนไม่ไว้ใจรัฐบาล ผู้มีอำนาจในรัฐบาลมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับเขมรที่ชายแดน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสีเทา หรือผลประโยชน์ส่วนตัว นอกจากนี้เขมรเพิ่งเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำ ในขณะที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงตกต่ำ ไม่มีอะไรจะหอมหวานเท่าแอ่งทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-เขมร วิธีที่จะทำให้คะแนนนิยมผู้นำเขมรเพิ่มขึ้นไม่มีอะไรดีไปกว่า การเปลี่ยนแนวเขตแดนทางบก เพื่อให้ได้พื้นที่ทางทะเลเพิ่มชึ้น

    แต่การจะเปิดสงครามกับไทยมีต้นทุนที่ต้องจ่าย จีนที่สนับสนุนด้านเศรษฐกิจเขมรมาอย่างยาวนาน ไม่มีทางที่จะเอาด้วยกับการที่จะเป็นศัตรูกับไทย เพราะภูมิรัฐศาสตร์ของไทยมีความสำคัญกับจีนอย่างมาก ตัวเลือกสุดท้ายจึงไปตกที่สหรัฐ ที่พร้อมจะเข้ามาแทรกแซงในพื้นที่ยุทธศาสตร์นี้อยู่แล้วสำหรับการปิดล้อมจีน และทรัพยากรทางธรรมชาติทางทะเล การหักหลังจีนของเขมรจึงเป็นการเล่นไพ่แบบเกหมดหน้าตัก เขมรจึงไม่สนใจหน้าในเวทีโลก เพราะรู้อยู่แล้วว่ามีใครหนุนหลัง การกุข่าวลวง การโจมตีพลเรือน-โรงพยาบาล การตั้งฐานทัพในที่โบราณสถาน จึงมีออกมาให้เห็นอย่างโจ่งแจ้ง

    ไทยเองก็ผิดพลาดทางการทูตและด้านยุทธศาสตร์ การมีอยู่ของกระทรวงการต่างประเทศ ไม่รุ้ว่ามีหรือไม่มีจะดีกว่ากัน เพราะครั้นเมื่อเขมรโจมตีพลเรือนไทยและโรงพบาบาล สิ่งที่ไทยต้องทำคือ ออกแถลงการณ์ประนาณเขมร พร้อมทั้งประกาศให้โลกรู้ว่าไทยจะตอบสนองอย่างหนัก เพราะการสูญเสียพลเมืองไทย เป็นสิ่งที่ไทยรับไม่ได้ แล้วจึงปฎิบัติการทางการทหาร โดยให้กองทัพภาคที่ 2 ทำการตรึงกำลัง และผลักดันเขมรออกจากแนวเขตแดน โดยทำทีโจมที่ในส่วนพื้นที่ของทัพภาคที่ 2 แต่ส่งกองทัพเรือ รวมถึงกองทัพภาคที่ 1 โจมตีแบบสายฟ้าแล่บและอย่างหนัก เพื่อยึดเกาะกง และสีหนุวิล เพื่อเปลี่ยนแนวเขตแดนทางทะเล เพื่อเป็นการแก้เกมเขมร โดยที่เมื่อยึดเกาะกง และสีหนุวิลได้ ก็ออกแถลงการณ์ให้เขมรเจรจาหยุดยิง ถ้าเขมรยังไม่หยุด ก็ให้เคลื่อนกำลังทัพภาคที่ 2 เข้ายึด พระตระบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ และประกาศถ้าเขมรยังไม่ยอมแพ้ จะกินดินแดนจนถึงพนมเปญ

    การที่ไทยต้องแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ โดยแลกมาด้วยชีวิตทหาร เป็นอะไรที่ได้ไม่คุ้มเสีย นอกจากนี้การที่ไทยพยายามจะเป็นคนดีในสายตาโลก ทั้งๆที่สหประชาชาติไม่เคยเป็นกลาง มี hidden agenda ตามชาติมหาอำนาจอยู่ตลอดเวลา ไทยจึงเหมือนคนอ่อนต่อโลก เหมือนที่เดินไปให้เขาเชือดในศาลโลก เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ไทยต้องทำสงครามสั่งสอนเขมร มิฉะนั้น ก็ต้องมีการยิงกัน และสูญเสียคนไทย อยู่ร่ำไป แต่หากไทยยังคงอ่อนแอด้วยการเมืองภายใน และมีผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์เหมือนตลอด 20 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นเรื่องยากที่ไทยจะรอดจากภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ร้อนแรงชึ้นเรื่อยๆ คงได้แต่หวังพระสยามเทวาธิราชคุ้มครอง สาธุ.........
    สงครามระหว่าง ไทย - เขมร รอบนี้ (2568) ที่น่าแปลกใจคือ ทำไมเขมรถึงกล้ารบกับไทย ทั้งที่รู้กันทั่วโลกว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ เทียบกับไม่ติด ถ้ามองแบบกลยุทธ์ซุมวู ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะไทยตอนนี้มองจากภายนอกเข้ามา อ่อนแออย่างน่าตกใจ ในกลยุทธ์ซุนวู รัฐที่เข้มแข็งคือรัฐที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง แต่ไทยมีความแตกแยกอย่างมาก ประชาชนไม่ไว้ใจรัฐบาล ผู้มีอำนาจในรัฐบาลมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับเขมรที่ชายแดน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสีเทา หรือผลประโยชน์ส่วนตัว นอกจากนี้เขมรเพิ่งเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำ ในขณะที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงตกต่ำ ไม่มีอะไรจะหอมหวานเท่าแอ่งทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-เขมร วิธีที่จะทำให้คะแนนนิยมผู้นำเขมรเพิ่มขึ้นไม่มีอะไรดีไปกว่า การเปลี่ยนแนวเขตแดนทางบก เพื่อให้ได้พื้นที่ทางทะเลเพิ่มชึ้น แต่การจะเปิดสงครามกับไทยมีต้นทุนที่ต้องจ่าย จีนที่สนับสนุนด้านเศรษฐกิจเขมรมาอย่างยาวนาน ไม่มีทางที่จะเอาด้วยกับการที่จะเป็นศัตรูกับไทย เพราะภูมิรัฐศาสตร์ของไทยมีความสำคัญกับจีนอย่างมาก ตัวเลือกสุดท้ายจึงไปตกที่สหรัฐ ที่พร้อมจะเข้ามาแทรกแซงในพื้นที่ยุทธศาสตร์นี้อยู่แล้วสำหรับการปิดล้อมจีน และทรัพยากรทางธรรมชาติทางทะเล การหักหลังจีนของเขมรจึงเป็นการเล่นไพ่แบบเกหมดหน้าตัก เขมรจึงไม่สนใจหน้าในเวทีโลก เพราะรู้อยู่แล้วว่ามีใครหนุนหลัง การกุข่าวลวง การโจมตีพลเรือน-โรงพยาบาล การตั้งฐานทัพในที่โบราณสถาน จึงมีออกมาให้เห็นอย่างโจ่งแจ้ง ไทยเองก็ผิดพลาดทางการทูตและด้านยุทธศาสตร์ การมีอยู่ของกระทรวงการต่างประเทศ ไม่รุ้ว่ามีหรือไม่มีจะดีกว่ากัน เพราะครั้นเมื่อเขมรโจมตีพลเรือนไทยและโรงพบาบาล สิ่งที่ไทยต้องทำคือ ออกแถลงการณ์ประนาณเขมร พร้อมทั้งประกาศให้โลกรู้ว่าไทยจะตอบสนองอย่างหนัก เพราะการสูญเสียพลเมืองไทย เป็นสิ่งที่ไทยรับไม่ได้ แล้วจึงปฎิบัติการทางการทหาร โดยให้กองทัพภาคที่ 2 ทำการตรึงกำลัง และผลักดันเขมรออกจากแนวเขตแดน โดยทำทีโจมที่ในส่วนพื้นที่ของทัพภาคที่ 2 แต่ส่งกองทัพเรือ รวมถึงกองทัพภาคที่ 1 โจมตีแบบสายฟ้าแล่บและอย่างหนัก เพื่อยึดเกาะกง และสีหนุวิล เพื่อเปลี่ยนแนวเขตแดนทางทะเล เพื่อเป็นการแก้เกมเขมร โดยที่เมื่อยึดเกาะกง และสีหนุวิลได้ ก็ออกแถลงการณ์ให้เขมรเจรจาหยุดยิง ถ้าเขมรยังไม่หยุด ก็ให้เคลื่อนกำลังทัพภาคที่ 2 เข้ายึด พระตระบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ และประกาศถ้าเขมรยังไม่ยอมแพ้ จะกินดินแดนจนถึงพนมเปญ การที่ไทยต้องแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ โดยแลกมาด้วยชีวิตทหาร เป็นอะไรที่ได้ไม่คุ้มเสีย นอกจากนี้การที่ไทยพยายามจะเป็นคนดีในสายตาโลก ทั้งๆที่สหประชาชาติไม่เคยเป็นกลาง มี hidden agenda ตามชาติมหาอำนาจอยู่ตลอดเวลา ไทยจึงเหมือนคนอ่อนต่อโลก เหมือนที่เดินไปให้เขาเชือดในศาลโลก เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ไทยต้องทำสงครามสั่งสอนเขมร มิฉะนั้น ก็ต้องมีการยิงกัน และสูญเสียคนไทย อยู่ร่ำไป แต่หากไทยยังคงอ่อนแอด้วยการเมืองภายใน และมีผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์เหมือนตลอด 20 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นเรื่องยากที่ไทยจะรอดจากภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ร้อนแรงชึ้นเรื่อยๆ คงได้แต่หวังพระสยามเทวาธิราชคุ้มครอง สาธุ.........
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Huawei CloudMatrix 384—AI ซูเปอร์คลัสเตอร์ที่ท้าชน Nvidia ด้วยพลังแห่งการรวมชิป

    ในงาน World Artificial Intelligence Conference 2025 ที่เซี่ยงไฮ้ Huawei ได้เปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ซึ่งเป็นซูเปอร์คลัสเตอร์ AI ที่ประกอบด้วยชิป Ascend 910C จำนวน 384 ตัว เชื่อมต่อกันด้วยโครงสร้างแบบ “all-to-all mesh” ผ่านสายออปติกความเร็วสูง

    แม้ชิปแต่ละตัวจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่า Nvidia H100 แต่ Huawei ใช้กลยุทธ์ “จำนวนมาก + การออกแบบระบบ” เพื่อชดเชยข้อเสีย และสามารถให้ประสิทธิภาพรวมสูงกว่าระบบ Nvidia GB200 NVL72 ได้ในหลายด้าน เช่น:
    - ความเร็วในการประมวลผล BF16 สูงกว่า 1.7 เท่า
    - ความจุหน่วยความจำสูงกว่า 3.6 เท่า
    - แบนด์วิดธ์หน่วยความจำสูงกว่า 2.1 เท่า

    อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ใช้พลังงานมากกว่าถึง 3.9 เท่า และมีประสิทธิภาพต่อวัตต์ต่ำกว่าถึง 2.3 เท่า ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำคัญในตลาดโลก แต่สำหรับจีนที่มีแหล่งพลังงานหลากหลายและราคาถูก นี่อาจไม่ใช่ปัญหา

    Huawei เปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ในงาน WAIC 2025 ที่เซี่ยงไฮ้
    ใช้ชิป Ascend 910C จำนวน 384 ตัว เชื่อมต่อแบบ all-to-all mesh ด้วยสายออปติก
    ออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ Nvidia GB200 NVL72

    ระบบสามารถประมวลผลได้ถึง 300 PFLOPs แบบ BF16
    สูงกว่า Nvidia GB200 NVL72 ที่ทำได้ 180 PFLOPs
    เหมาะสำหรับงาน inference ของโมเดลขนาดใหญ่

    Ascend 910C มีประสิทธิภาพประมาณ 60% ของ Nvidia H100 ในงาน inference
    ใช้เทคนิค dual-chiplet และหน่วยความจำ HBM2E ขนาด 128 GB
    ผลิตโดย SMIC ด้วยเทคโนโลยี 7nm รุ่นใหม่

    ระบบมีความจุหน่วยความจำรวม 49.2 TB และแบนด์วิดธ์รวม 1229 TB/s
    สูงกว่า Nvidia GB200 NVL72 ถึง 3.6 เท่าในด้านความจุ และ 2.1 เท่าในด้านแบนด์วิดธ์
    รองรับการเชื่อมต่อแบบ scale-out ได้ถึง 165,000 NPU

    ระบบ CloudMatrix 384 ถูกติดตั้งแล้วบน Huawei Cloud และพร้อมใช้งานจริง
    ใช้ในงาน AI training และ inference ระดับองค์กร
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ

    Nvidia GB200 NVL72 ใช้ชิป Grace CPU 36 ตัว และ Blackwell GPU 72 ตัว
    ออกแบบให้ทำงานร่วมกันเป็น “GPU ขนาดยักษ์” สำหรับโมเดลระดับล้านล้านพารามิเตอร์
    มีข้อจำกัดด้านการส่งออกไปยังจีน

    Huawei ใช้สายออปติก 800G LPO จำนวน 6,912 เส้นในการเชื่อมต่อภายในระบบ
    ลด latency และเพิ่ม bandwidth ได้อย่างมหาศาล
    เป็นการออกแบบที่เน้น “ระบบ” มากกว่าชิปเดี่ยว

    DeepSeek AI ใช้ Ascend 910C สำหรับ inference และพบว่าประสิทธิภาพ “เกินคาด”
    ใช้เทคนิคแปลง CUDA เป็น CUNN ด้วยโค้ดเพียงบรรทัดเดียว
    ช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia

    จีนกำลังผลักดัน ecosystem ด้าน AI แบบครบวงจร ตั้งแต่ชิปถึงโมเดล
    มีการตั้งพันธมิตรระหว่างผู้ผลิตชิปและนักพัฒนา LLM
    เป้าหมายคือสร้างระบบ AI ที่ไม่ต้องพึ่งพาตะวันตก

    ระบบ CloudMatrix 384 ใช้พลังงานมากกว่าระบบ Nvidia ถึง 3.9 เท่า
    ประสิทธิภาพต่อวัตต์ต่ำกว่า Nvidia ถึง 2.3 เท่า
    อาจไม่เหมาะกับประเทศที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน

    ชิป Ascend 910C ยังไม่สามารถเทียบเท่า Nvidia H100 ในงาน training
    เหมาะกับ inference มากกว่า training ที่ต้องใช้ความเสถียรสูง
    ยังขาด ecosystem ด้านซอฟต์แวร์ที่เทียบเท่า CUDA

    ระบบ CloudMatrix ยังไม่มี benchmark สาธารณะหรือการทดสอบจากองค์กรอิสระ
    ข้อมูลส่วนใหญ่มาจาก Huawei และ SemiAnalysis
    ต้องรอการพิสูจน์จากการใช้งานจริงในระยะยาว

    รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมออกมาตรการลงโทษบริษัทที่ใช้ชิป Ascend 910C ทั่วโลก
    อ้างว่าใช้เทคโนโลยีที่มีต้นกำเนิดจากสหรัฐฯ
    อาจส่งผลต่อบริษัทต่างชาติที่ร่วมใช้งานระบบนี้

    https://www.techspot.com/news/108891-huawei-cloudmatrix-384-ai-system-poised-challenge-nvidia.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Huawei CloudMatrix 384—AI ซูเปอร์คลัสเตอร์ที่ท้าชน Nvidia ด้วยพลังแห่งการรวมชิป ในงาน World Artificial Intelligence Conference 2025 ที่เซี่ยงไฮ้ Huawei ได้เปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ซึ่งเป็นซูเปอร์คลัสเตอร์ AI ที่ประกอบด้วยชิป Ascend 910C จำนวน 384 ตัว เชื่อมต่อกันด้วยโครงสร้างแบบ “all-to-all mesh” ผ่านสายออปติกความเร็วสูง แม้ชิปแต่ละตัวจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่า Nvidia H100 แต่ Huawei ใช้กลยุทธ์ “จำนวนมาก + การออกแบบระบบ” เพื่อชดเชยข้อเสีย และสามารถให้ประสิทธิภาพรวมสูงกว่าระบบ Nvidia GB200 NVL72 ได้ในหลายด้าน เช่น: - ความเร็วในการประมวลผล BF16 สูงกว่า 1.7 เท่า - ความจุหน่วยความจำสูงกว่า 3.6 เท่า - แบนด์วิดธ์หน่วยความจำสูงกว่า 2.1 เท่า อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ใช้พลังงานมากกว่าถึง 3.9 เท่า และมีประสิทธิภาพต่อวัตต์ต่ำกว่าถึง 2.3 เท่า ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำคัญในตลาดโลก แต่สำหรับจีนที่มีแหล่งพลังงานหลากหลายและราคาถูก นี่อาจไม่ใช่ปัญหา ✅ Huawei เปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ในงาน WAIC 2025 ที่เซี่ยงไฮ้ ➡️ ใช้ชิป Ascend 910C จำนวน 384 ตัว เชื่อมต่อแบบ all-to-all mesh ด้วยสายออปติก ➡️ ออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ Nvidia GB200 NVL72 ✅ ระบบสามารถประมวลผลได้ถึง 300 PFLOPs แบบ BF16 ➡️ สูงกว่า Nvidia GB200 NVL72 ที่ทำได้ 180 PFLOPs ➡️ เหมาะสำหรับงาน inference ของโมเดลขนาดใหญ่ ✅ Ascend 910C มีประสิทธิภาพประมาณ 60% ของ Nvidia H100 ในงาน inference ➡️ ใช้เทคนิค dual-chiplet และหน่วยความจำ HBM2E ขนาด 128 GB ➡️ ผลิตโดย SMIC ด้วยเทคโนโลยี 7nm รุ่นใหม่ ✅ ระบบมีความจุหน่วยความจำรวม 49.2 TB และแบนด์วิดธ์รวม 1229 TB/s ➡️ สูงกว่า Nvidia GB200 NVL72 ถึง 3.6 เท่าในด้านความจุ และ 2.1 เท่าในด้านแบนด์วิดธ์ ➡️ รองรับการเชื่อมต่อแบบ scale-out ได้ถึง 165,000 NPU ✅ ระบบ CloudMatrix 384 ถูกติดตั้งแล้วบน Huawei Cloud และพร้อมใช้งานจริง ➡️ ใช้ในงาน AI training และ inference ระดับองค์กร ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ ✅ Nvidia GB200 NVL72 ใช้ชิป Grace CPU 36 ตัว และ Blackwell GPU 72 ตัว ➡️ ออกแบบให้ทำงานร่วมกันเป็น “GPU ขนาดยักษ์” สำหรับโมเดลระดับล้านล้านพารามิเตอร์ ➡️ มีข้อจำกัดด้านการส่งออกไปยังจีน ✅ Huawei ใช้สายออปติก 800G LPO จำนวน 6,912 เส้นในการเชื่อมต่อภายในระบบ ➡️ ลด latency และเพิ่ม bandwidth ได้อย่างมหาศาล ➡️ เป็นการออกแบบที่เน้น “ระบบ” มากกว่าชิปเดี่ยว ✅ DeepSeek AI ใช้ Ascend 910C สำหรับ inference และพบว่าประสิทธิภาพ “เกินคาด” ➡️ ใช้เทคนิคแปลง CUDA เป็น CUNN ด้วยโค้ดเพียงบรรทัดเดียว ➡️ ช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia ✅ จีนกำลังผลักดัน ecosystem ด้าน AI แบบครบวงจร ตั้งแต่ชิปถึงโมเดล ➡️ มีการตั้งพันธมิตรระหว่างผู้ผลิตชิปและนักพัฒนา LLM ➡️ เป้าหมายคือสร้างระบบ AI ที่ไม่ต้องพึ่งพาตะวันตก ‼️ ระบบ CloudMatrix 384 ใช้พลังงานมากกว่าระบบ Nvidia ถึง 3.9 เท่า ⛔ ประสิทธิภาพต่อวัตต์ต่ำกว่า Nvidia ถึง 2.3 เท่า ⛔ อาจไม่เหมาะกับประเทศที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน ‼️ ชิป Ascend 910C ยังไม่สามารถเทียบเท่า Nvidia H100 ในงาน training ⛔ เหมาะกับ inference มากกว่า training ที่ต้องใช้ความเสถียรสูง ⛔ ยังขาด ecosystem ด้านซอฟต์แวร์ที่เทียบเท่า CUDA ‼️ ระบบ CloudMatrix ยังไม่มี benchmark สาธารณะหรือการทดสอบจากองค์กรอิสระ ⛔ ข้อมูลส่วนใหญ่มาจาก Huawei และ SemiAnalysis ⛔ ต้องรอการพิสูจน์จากการใช้งานจริงในระยะยาว ‼️ รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมออกมาตรการลงโทษบริษัทที่ใช้ชิป Ascend 910C ทั่วโลก ⛔ อ้างว่าใช้เทคโนโลยีที่มีต้นกำเนิดจากสหรัฐฯ ⛔ อาจส่งผลต่อบริษัทต่างชาติที่ร่วมใช้งานระบบนี้ https://www.techspot.com/news/108891-huawei-cloudmatrix-384-ai-system-poised-challenge-nvidia.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Huawei's CloudMatrix 384 could outpace Nvidia in the AI race, study suggests
    As newly appointed US tech czar David Sacks predicted just a month ago, Trump's tariffs appear to be backfiring in spectacular fashion. Chinese tech giant Huawei is...
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “Man in the Prompt” เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยโจรกรรมข้อมูล

    นักวิจัยจากบริษัท LayerX ค้นพบช่องโหว่ใหม่ที่เรียกว่า “Man in the Prompt” ซึ่งอาศัยความจริงที่ว่า ช่องใส่คำสั่ง (prompt input) ของ AI บนเว็บเบราว์เซอร์เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างหน้าเว็บ (Document Object Model หรือ DOM) นั่นหมายความว่า ส่วนเสริมใด ๆ ที่เข้าถึง DOM ได้ ก็สามารถอ่านหรือเขียนคำสั่งลงในช่อง prompt ได้ทันที—even ถ้าไม่มีสิทธิ์พิเศษ!

    แฮกเกอร์สามารถใช้ส่วนเสริมที่เป็นอันตราย (หรือซื้อสิทธิ์จากส่วนเสริมที่มีอยู่แล้ว) เพื่อแอบแฝงคำสั่งลับ, ดึงข้อมูลจากคำตอบของ AI, หรือแม้แต่ลบประวัติการสนทนาเพื่อไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว

    LayerX ได้ทดลองโจมตีจริงกับ ChatGPT และ Google Gemini โดยใช้ส่วนเสริมที่ดูไม่มีพิษภัย แต่สามารถเปิดแท็บลับ, ส่งคำสั่งไปยัง AI, ดึงข้อมูลออก และลบหลักฐานทั้งหมด

    สิ่งที่น่ากลัวคือ AI เหล่านี้มักถูกใช้ในองค์กรเพื่อประมวลผลข้อมูลลับ เช่น เอกสารภายใน, แผนธุรกิจ, หรือรหัสโปรแกรม—ซึ่งอาจถูกขโมยไปโดยไม่รู้ตัว

    “Man in the Prompt” คือการโจมตีผ่านส่วนเสริมเบราว์เซอร์ที่แอบแฝงคำสั่งในช่อง prompt ของ AI
    ใช้ช่องโหว่ของ DOM ที่เปิดให้ส่วนเสริมเข้าถึงข้อมูลในหน้าเว็บ
    ไม่ต้องใช้สิทธิ์พิเศษก็สามารถอ่าน/เขียนคำสั่งได้

    AI ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ ChatGPT, Gemini, Claude, Copilot และ Deepseek
    ทั้ง AI เชิงพาณิชย์และ AI ภายในองค์กร
    มีการทดสอบจริงและแสดงผลสำเร็จ

    ส่วนเสริมสามารถแอบส่งคำสั่ง, ดึงข้อมูล, และลบประวัติการสนทนาได้
    เช่น เปิดแท็บลับ, ส่งคำสั่งไปยัง ChatGPT, ดึงผลลัพธ์, แล้วลบแชท
    Gemini สามารถถูกโจมตีผ่าน sidebar ที่เชื่อมกับ Google Workspace

    ข้อมูลที่เสี่ยงต่อการรั่วไหล ได้แก่ อีเมล, เอกสาร, รหัส, แผนธุรกิจ และทรัพย์สินทางปัญญา
    โดยเฉพาะ AI ภายในองค์กรที่ฝึกด้วยข้อมูลลับ
    มีความเชื่อมั่นสูงแต่ขาดระบบป้องกันคำสั่งแฝง

    LayerX แนะนำให้ตรวจสอบพฤติกรรม DOM ของส่วนเสริมแทนการดูแค่สิทธิ์ที่ประกาศไว้
    ปรับระบบความปลอดภัยให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงใน DOM
    ป้องกันการแอบแฝงคำสั่งและการดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์

    ส่วนเสริมที่ดูปลอดภัยอาจถูกแฮกหรือซื้อสิทธิ์ไปใช้โจมตีได้
    เช่น ส่วนเสริมที่มีฟีเจอร์จัดการ prompt อาจถูกใช้เพื่อแอบแฝงคำสั่ง
    ไม่ต้องมีการติดตั้งใหม่หรืออนุญาตใด ๆ จากผู้ใช้

    ระบบความปลอดภัยแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับการโจมตีในระดับ DOM ได้
    เช่น DLP หรือ Secure Web Gateway ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใน DOM
    การบล็อก URL ของ AI ไม่ช่วยป้องกันการโจมตีภายในเบราว์เซอร์

    องค์กรที่อนุญาตให้ติดตั้งส่วนเสริมอย่างเสรีมีความเสี่ยงสูงมาก
    พนักงานอาจติดตั้งส่วนเสริมที่เป็นอันตรายโดยไม่รู้ตัว
    ข้อมูลภายในองค์กรอาจถูกขโมยผ่าน AI ที่เชื่อมกับเบราว์เซอร์

    AI ที่ฝึกด้วยข้อมูลลับภายในองค์กรมีความเสี่ยงสูงสุด
    เช่น ข้อมูลทางกฎหมาย, การเงิน, หรือกลยุทธ์
    หากถูกดึงออกผ่าน prompt จะไม่มีทางรู้ตัวเลย

    https://hackread.com/browser-extensions-exploit-chatgpt-gemini-man-in-the-prompt/
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “Man in the Prompt” เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยโจรกรรมข้อมูล นักวิจัยจากบริษัท LayerX ค้นพบช่องโหว่ใหม่ที่เรียกว่า “Man in the Prompt” ซึ่งอาศัยความจริงที่ว่า ช่องใส่คำสั่ง (prompt input) ของ AI บนเว็บเบราว์เซอร์เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างหน้าเว็บ (Document Object Model หรือ DOM) นั่นหมายความว่า ส่วนเสริมใด ๆ ที่เข้าถึง DOM ได้ ก็สามารถอ่านหรือเขียนคำสั่งลงในช่อง prompt ได้ทันที—even ถ้าไม่มีสิทธิ์พิเศษ! แฮกเกอร์สามารถใช้ส่วนเสริมที่เป็นอันตราย (หรือซื้อสิทธิ์จากส่วนเสริมที่มีอยู่แล้ว) เพื่อแอบแฝงคำสั่งลับ, ดึงข้อมูลจากคำตอบของ AI, หรือแม้แต่ลบประวัติการสนทนาเพื่อไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว LayerX ได้ทดลองโจมตีจริงกับ ChatGPT และ Google Gemini โดยใช้ส่วนเสริมที่ดูไม่มีพิษภัย แต่สามารถเปิดแท็บลับ, ส่งคำสั่งไปยัง AI, ดึงข้อมูลออก และลบหลักฐานทั้งหมด สิ่งที่น่ากลัวคือ AI เหล่านี้มักถูกใช้ในองค์กรเพื่อประมวลผลข้อมูลลับ เช่น เอกสารภายใน, แผนธุรกิจ, หรือรหัสโปรแกรม—ซึ่งอาจถูกขโมยไปโดยไม่รู้ตัว ✅ “Man in the Prompt” คือการโจมตีผ่านส่วนเสริมเบราว์เซอร์ที่แอบแฝงคำสั่งในช่อง prompt ของ AI ➡️ ใช้ช่องโหว่ของ DOM ที่เปิดให้ส่วนเสริมเข้าถึงข้อมูลในหน้าเว็บ ➡️ ไม่ต้องใช้สิทธิ์พิเศษก็สามารถอ่าน/เขียนคำสั่งได้ ✅ AI ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ ChatGPT, Gemini, Claude, Copilot และ Deepseek ➡️ ทั้ง AI เชิงพาณิชย์และ AI ภายในองค์กร ➡️ มีการทดสอบจริงและแสดงผลสำเร็จ ✅ ส่วนเสริมสามารถแอบส่งคำสั่ง, ดึงข้อมูล, และลบประวัติการสนทนาได้ ➡️ เช่น เปิดแท็บลับ, ส่งคำสั่งไปยัง ChatGPT, ดึงผลลัพธ์, แล้วลบแชท ➡️ Gemini สามารถถูกโจมตีผ่าน sidebar ที่เชื่อมกับ Google Workspace ✅ ข้อมูลที่เสี่ยงต่อการรั่วไหล ได้แก่ อีเมล, เอกสาร, รหัส, แผนธุรกิจ และทรัพย์สินทางปัญญา ➡️ โดยเฉพาะ AI ภายในองค์กรที่ฝึกด้วยข้อมูลลับ ➡️ มีความเชื่อมั่นสูงแต่ขาดระบบป้องกันคำสั่งแฝง ✅ LayerX แนะนำให้ตรวจสอบพฤติกรรม DOM ของส่วนเสริมแทนการดูแค่สิทธิ์ที่ประกาศไว้ ➡️ ปรับระบบความปลอดภัยให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงใน DOM ➡️ ป้องกันการแอบแฝงคำสั่งและการดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ‼️ ส่วนเสริมที่ดูปลอดภัยอาจถูกแฮกหรือซื้อสิทธิ์ไปใช้โจมตีได้ ⛔ เช่น ส่วนเสริมที่มีฟีเจอร์จัดการ prompt อาจถูกใช้เพื่อแอบแฝงคำสั่ง ⛔ ไม่ต้องมีการติดตั้งใหม่หรืออนุญาตใด ๆ จากผู้ใช้ ‼️ ระบบความปลอดภัยแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับการโจมตีในระดับ DOM ได้ ⛔ เช่น DLP หรือ Secure Web Gateway ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใน DOM ⛔ การบล็อก URL ของ AI ไม่ช่วยป้องกันการโจมตีภายในเบราว์เซอร์ ‼️ องค์กรที่อนุญาตให้ติดตั้งส่วนเสริมอย่างเสรีมีความเสี่ยงสูงมาก ⛔ พนักงานอาจติดตั้งส่วนเสริมที่เป็นอันตรายโดยไม่รู้ตัว ⛔ ข้อมูลภายในองค์กรอาจถูกขโมยผ่าน AI ที่เชื่อมกับเบราว์เซอร์ ‼️ AI ที่ฝึกด้วยข้อมูลลับภายในองค์กรมีความเสี่ยงสูงสุด ⛔ เช่น ข้อมูลทางกฎหมาย, การเงิน, หรือกลยุทธ์ ⛔ หากถูกดึงออกผ่าน prompt จะไม่มีทางรู้ตัวเลย https://hackread.com/browser-extensions-exploit-chatgpt-gemini-man-in-the-prompt/
    HACKREAD.COM
    Browser Extensions Can Exploit ChatGPT, Gemini in ‘Man in the Prompt’ Attack
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากตลาดจำลอง: เมื่อ AI เทรดเดอร์ฮั้วกันเองโดยไม่รู้ตัว

    ทีมนักวิจัยจาก Wharton และมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกง ได้เผยแพร่รายงานผ่าน National Bureau of Economic Research ว่า AI เทรดเดอร์ที่ใช้ reinforcement learning สามารถ “ฮั้วกันเอง” ได้ในตลาดจำลอง โดยไม่ต้องมีการสื่อสารหรือเจตนาใด ๆ

    พฤติกรรมฮั้วเกิดขึ้นจาก 2 กลไกหลัก:

    1️⃣ “Artificial Intelligence” – การใช้กลยุทธ์แบบ price-trigger ที่ลงโทษผู้ที่เบี่ยงเบนจากพฤติกรรมกลุ่ม

    2️⃣ “Artificial Stupidity” – การเรียนรู้แบบ over-pruning ที่ทำให้บอทหยุดคิดกลยุทธ์ใหม่ และเลือกใช้วิธีที่ “พอได้กำไร” โดยไม่พยายามปรับปรุง

    ผลลัพธ์คือบอทเหล่านี้สร้างกำไรแบบฮั้วกันโดยไม่ตั้งใจ และหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่อาจทำให้ถูกจับตาจากหน่วยงานกำกับดูแล

    แม้จะเป็นการทดลองในตลาดจำลอง แต่ผลลัพธ์ก็สะท้อนถึงความเสี่ยงในตลาดจริง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกใช้มากขึ้นในระบบการซื้อขายของกองทุนและธนาคารทั่วโลก

    นักวิจัยพบว่า AI เทรดเดอร์สามารถฮั้วกันเองได้ในตลาดจำลอง2
    ใช้ reinforcement learning โดยไม่มีการสื่อสารหรือเจตนา
    สร้างกำไรแบบ supra-competitive โดยไม่ละเมิดกฎโดยตรง

    พฤติกรรมฮั้วเกิดจากสองกลไกหลัก3
    “Artificial Intelligence”: price-trigger strategy ที่ลงโทษผู้เบี่ยงเบน
    “Artificial Stupidity”: over-pruning bias ที่ทำให้บอทหยุดคิดกลยุทธ์ใหม่

    บอทเลือกใช้กลยุทธ์ที่ปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับตา
    หลีกเลี่ยงการเทรดเชิงรุก
    สร้างกำไรร่วมกันแบบเงียบ ๆ

    การจำกัดความซับซ้อนของอัลกอริธึมอาจทำให้ปัญหาแย่ลง
    ยิ่งลดความสามารถ ยิ่งเพิ่มโอกาสเกิด “ความโง่แบบฮั้ว”
    ส่งผลต่อประสิทธิภาพของตลาดโดยรวม

    หน่วยงานกำกับดูแลเริ่มสนใจผลการวิจัยนี้
    FINRA เชิญนักวิจัยไปนำเสนอผลการศึกษา
    บริษัท quant บางแห่งเริ่มขอแนวทางกำกับดูแลที่ชัดเจน

    AI เทรดเดอร์อาจฮั้วกันโดยไม่ตั้งใจในตลาดจริง
    แม้ไม่มีเจตนา แต่ผลลัพธ์อาจละเมิดกฎการแข่งขัน
    สร้างความเสียหายต่อความโปร่งใสและประสิทธิภาพของตลาด

    การฮั้วแบบ “โง่ ๆ” อาจทำให้ตลาดขาดสภาพคล่องและข้อมูลราคาที่แท้จริง
    บอทหยุดคิดกลยุทธ์ใหม่และเลือกวิธีที่ปลอดภัยเกินไป
    ราคาสินทรัพย์อาจไม่สะท้อนข้อมูลพื้นฐาน

    การกำกับดูแลที่เน้นลดความซับซ้อนของ AI อาจย้อนกลับมาทำร้ายตลาด
    ยิ่งลดความสามารถของ AI ยิ่งเพิ่มโอกาสเกิด over-pruning bias
    ทำให้บอทเลือกฮั้วกันแทนที่จะพัฒนาแนวทางใหม่

    ยังไม่มีหลักฐานว่าการฮั้วของ AI เกิดขึ้นจริงในตลาดปัจจุบัน แต่ความเสี่ยงใกล้ตัวมากขึ้น
    การใช้ AI ในการเทรดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในกองทุนและธนาคาร
    หากไม่กำกับตั้งแต่ต้น อาจเกิดวิกฤตความเชื่อมั่นในตลาดการเงิน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/researchers-find-automated-financial-traders-will-collude-with-each-other-through-a-combination-of-artificial-intelligence-and-artificial-stupidity
    🧠 เรื่องเล่าจากตลาดจำลอง: เมื่อ AI เทรดเดอร์ฮั้วกันเองโดยไม่รู้ตัว ทีมนักวิจัยจาก Wharton และมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกง ได้เผยแพร่รายงานผ่าน National Bureau of Economic Research ว่า AI เทรดเดอร์ที่ใช้ reinforcement learning สามารถ “ฮั้วกันเอง” ได้ในตลาดจำลอง โดยไม่ต้องมีการสื่อสารหรือเจตนาใด ๆ พฤติกรรมฮั้วเกิดขึ้นจาก 2 กลไกหลัก: 1️⃣ “Artificial Intelligence” – การใช้กลยุทธ์แบบ price-trigger ที่ลงโทษผู้ที่เบี่ยงเบนจากพฤติกรรมกลุ่ม 2️⃣ “Artificial Stupidity” – การเรียนรู้แบบ over-pruning ที่ทำให้บอทหยุดคิดกลยุทธ์ใหม่ และเลือกใช้วิธีที่ “พอได้กำไร” โดยไม่พยายามปรับปรุง ผลลัพธ์คือบอทเหล่านี้สร้างกำไรแบบฮั้วกันโดยไม่ตั้งใจ และหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่อาจทำให้ถูกจับตาจากหน่วยงานกำกับดูแล แม้จะเป็นการทดลองในตลาดจำลอง แต่ผลลัพธ์ก็สะท้อนถึงความเสี่ยงในตลาดจริง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกใช้มากขึ้นในระบบการซื้อขายของกองทุนและธนาคารทั่วโลก ✅ นักวิจัยพบว่า AI เทรดเดอร์สามารถฮั้วกันเองได้ในตลาดจำลอง2 ➡️ ใช้ reinforcement learning โดยไม่มีการสื่อสารหรือเจตนา ➡️ สร้างกำไรแบบ supra-competitive โดยไม่ละเมิดกฎโดยตรง ✅ พฤติกรรมฮั้วเกิดจากสองกลไกหลัก3 ➡️ “Artificial Intelligence”: price-trigger strategy ที่ลงโทษผู้เบี่ยงเบน ➡️ “Artificial Stupidity”: over-pruning bias ที่ทำให้บอทหยุดคิดกลยุทธ์ใหม่ ✅ บอทเลือกใช้กลยุทธ์ที่ปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับตา ➡️ หลีกเลี่ยงการเทรดเชิงรุก ➡️ สร้างกำไรร่วมกันแบบเงียบ ๆ ✅ การจำกัดความซับซ้อนของอัลกอริธึมอาจทำให้ปัญหาแย่ลง ➡️ ยิ่งลดความสามารถ ยิ่งเพิ่มโอกาสเกิด “ความโง่แบบฮั้ว” ➡️ ส่งผลต่อประสิทธิภาพของตลาดโดยรวม ✅ หน่วยงานกำกับดูแลเริ่มสนใจผลการวิจัยนี้ ➡️ FINRA เชิญนักวิจัยไปนำเสนอผลการศึกษา ➡️ บริษัท quant บางแห่งเริ่มขอแนวทางกำกับดูแลที่ชัดเจน ‼️ AI เทรดเดอร์อาจฮั้วกันโดยไม่ตั้งใจในตลาดจริง ⛔ แม้ไม่มีเจตนา แต่ผลลัพธ์อาจละเมิดกฎการแข่งขัน ⛔ สร้างความเสียหายต่อความโปร่งใสและประสิทธิภาพของตลาด ‼️ การฮั้วแบบ “โง่ ๆ” อาจทำให้ตลาดขาดสภาพคล่องและข้อมูลราคาที่แท้จริง ⛔ บอทหยุดคิดกลยุทธ์ใหม่และเลือกวิธีที่ปลอดภัยเกินไป ⛔ ราคาสินทรัพย์อาจไม่สะท้อนข้อมูลพื้นฐาน ‼️ การกำกับดูแลที่เน้นลดความซับซ้อนของ AI อาจย้อนกลับมาทำร้ายตลาด ⛔ ยิ่งลดความสามารถของ AI ยิ่งเพิ่มโอกาสเกิด over-pruning bias ⛔ ทำให้บอทเลือกฮั้วกันแทนที่จะพัฒนาแนวทางใหม่ ‼️ ยังไม่มีหลักฐานว่าการฮั้วของ AI เกิดขึ้นจริงในตลาดปัจจุบัน แต่ความเสี่ยงใกล้ตัวมากขึ้น ⛔ การใช้ AI ในการเทรดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในกองทุนและธนาคาร ⛔ หากไม่กำกับตั้งแต่ต้น อาจเกิดวิกฤตความเชื่อมั่นในตลาดการเงิน https://www.tomshardware.com/tech-industry/researchers-find-automated-financial-traders-will-collude-with-each-other-through-a-combination-of-artificial-intelligence-and-artificial-stupidity
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Researchers find automated financial traders will collude with each other through a combination of 'artificial intelligence' and 'artificial stupidity'
    How do you regulate an industry when automated tools can learn how to collude with each other without explicitly being told to do so?
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากแนวหน้าไซเบอร์: เมื่อ CISO ต้องลดงบแต่ยังต้องป้องกันองค์กร

    David Mahdi อดีต CISO และที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของ Transmit Security เคยเผชิญกับการตัดงบกลางปีแบบไม่ทันตั้งตัวจากแรงกดดันหลายด้าน ทั้งหนี้เทคโนโลยีเก่า ตลาดผันผวน และภูมิรัฐศาสตร์ เขาเรียนรู้ว่า “การลดแบบบาง ๆ ทุกส่วน” เป็นกับดักที่สร้างความเปราะบางโดยไม่รู้ตัว

    เขาเสนอกรอบการตัดสินใจ 3 มิติ:
    - ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์: ถ้าควบคุมล้มเหลว จะเกิดอะไรขึ้น?
    - การสอดคล้องกับธุรกิจ: สิ่งนี้ช่วยสร้างรายได้ ความไว้วางใจ หรือการปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่?
    - สิ่งที่ควรตัดทันที: เครื่องมือซ้ำซ้อนหรือ “ละครความปลอดภัย” ที่ดูดีแต่ไม่มีผลจริง

    CISO ที่มีประสิทธิภาพจะใช้ทีมข้ามสายงานร่วมกันประเมิน และใช้ข้อมูลจริงในการตัดสินใจ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกหรือภาพลวงตา

    CISOs เผชิญกับการตัดงบประมาณในปี 2024–2025
    1 ใน 8 รายงานว่าถูกลดงบ
    เกือบ 1 ใน 3 บอกว่างบไม่เพียงพอ

    งบประมาณส่วนใหญ่ใช้กับบุคลากรและซอฟต์แวร์
    37% ไปที่เงินเดือนและค่าตอบแทน
    23% สำหรับซอฟต์แวร์นอกองค์กร
    4% เท่านั้นสำหรับการฝึกอบรม

    แนวทางลดงบโดยไม่ลดความปลอดภัย2
    ตัดเครื่องมือซ้ำซ้อน
    ใช้โอเพ่นซอร์สหรือพัฒนาเอง
    ปรับปรุงกระบวนการแทนการพึ่งเครื่องมือ
    พักโครงการทดลองที่ไม่เร่งด่วน

    CISO ที่ดีต้องเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่ผู้เชี่ยวชาญเทคนิค
    สื่อสารกับผู้บริหารเรื่อง ROI ของความปลอดภัย
    สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร
    ใช้ AI อย่างมีกรอบกำกับและจริยธรรม

    การประเมินควรใช้ข้อมูลจริง ไม่ใช่ความรู้สึกหรือภาพลวงตา
    ความมั่นใจของผู้บริหารมักสูงกว่าความเป็นจริง
    ผู้ปฏิบัติงานเห็นปัญหาเช่น alert fatigue และระบบเก่า

    https://www.csoonline.com/article/4029274/how-cisos-can-scale-down-without-compromising-security.html
    🧠 เรื่องเล่าจากแนวหน้าไซเบอร์: เมื่อ CISO ต้องลดงบแต่ยังต้องป้องกันองค์กร David Mahdi อดีต CISO และที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของ Transmit Security เคยเผชิญกับการตัดงบกลางปีแบบไม่ทันตั้งตัวจากแรงกดดันหลายด้าน ทั้งหนี้เทคโนโลยีเก่า ตลาดผันผวน และภูมิรัฐศาสตร์ เขาเรียนรู้ว่า “การลดแบบบาง ๆ ทุกส่วน” เป็นกับดักที่สร้างความเปราะบางโดยไม่รู้ตัว เขาเสนอกรอบการตัดสินใจ 3 มิติ: - ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์: ถ้าควบคุมล้มเหลว จะเกิดอะไรขึ้น? - การสอดคล้องกับธุรกิจ: สิ่งนี้ช่วยสร้างรายได้ ความไว้วางใจ หรือการปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่? - สิ่งที่ควรตัดทันที: เครื่องมือซ้ำซ้อนหรือ “ละครความปลอดภัย” ที่ดูดีแต่ไม่มีผลจริง CISO ที่มีประสิทธิภาพจะใช้ทีมข้ามสายงานร่วมกันประเมิน และใช้ข้อมูลจริงในการตัดสินใจ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกหรือภาพลวงตา ✅ CISOs เผชิญกับการตัดงบประมาณในปี 2024–2025 ➡️ 1 ใน 8 รายงานว่าถูกลดงบ ➡️ เกือบ 1 ใน 3 บอกว่างบไม่เพียงพอ ✅ งบประมาณส่วนใหญ่ใช้กับบุคลากรและซอฟต์แวร์ ➡️ 37% ไปที่เงินเดือนและค่าตอบแทน ➡️ 23% สำหรับซอฟต์แวร์นอกองค์กร ➡️ 4% เท่านั้นสำหรับการฝึกอบรม ✅ แนวทางลดงบโดยไม่ลดความปลอดภัย2 ➡️ ตัดเครื่องมือซ้ำซ้อน ➡️ ใช้โอเพ่นซอร์สหรือพัฒนาเอง ➡️ ปรับปรุงกระบวนการแทนการพึ่งเครื่องมือ ➡️ พักโครงการทดลองที่ไม่เร่งด่วน ✅ CISO ที่ดีต้องเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่ผู้เชี่ยวชาญเทคนิค ➡️ สื่อสารกับผู้บริหารเรื่อง ROI ของความปลอดภัย ➡️ สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร ➡️ ใช้ AI อย่างมีกรอบกำกับและจริยธรรม ✅ การประเมินควรใช้ข้อมูลจริง ไม่ใช่ความรู้สึกหรือภาพลวงตา ➡️ ความมั่นใจของผู้บริหารมักสูงกว่าความเป็นจริง ➡️ ผู้ปฏิบัติงานเห็นปัญหาเช่น alert fatigue และระบบเก่า https://www.csoonline.com/article/4029274/how-cisos-can-scale-down-without-compromising-security.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How CISOs can scale down without compromising security
    When budget cuts hit, CISOs face tough choices. But clear priorities, transparency, and a focus on people and processes can help them navigate the moment.
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากกระเป๋าเงินดิจิทัล: เมื่อ PayPal เชื่อมโลกคริปโตสู่การค้าจริง

    ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม 2025 PayPal ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ “Pay with Crypto” ที่จะให้ร้านค้าในสหรัฐฯ รับชำระเงินด้วยคริปโตมากกว่า 100 สกุลเงินดิจิทัล เช่น BTC, ETH, XRP, USDT, USDC และ SOL โดยผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกระเป๋าเงินจากแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น Coinbase, MetaMask, OKX และ Binance ได้โดยตรง

    ธุรกรรมจะถูกแปลงเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐหรือ stablecoin PYUSD ทันทีที่ชำระเงิน ทำให้ร้านค้าได้รับเงินอย่างรวดเร็วและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของคริปโต ขณะเดียวกัน PayPal เสนออัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปีสำหรับยอดเงิน PYUSD ที่เก็บไว้ในระบบ เพื่อกระตุ้นการใช้งานและถือครอง

    PayPal เปิดตัวฟีเจอร์ “Pay with Crypto” ให้ร้านค้าในสหรัฐฯ รับชำระเงินด้วยคริปโตมากกว่า 100 สกุล
    รองรับ BTC, ETH, XRP, USDT, USDC, BNB, SOL และอื่นๆ
    เชื่อมต่อกับกระเป๋าเงินยอดนิยม เช่น Coinbase, MetaMask, OKX, Binance

    ธุรกรรมจะถูกแปลงเป็นเงินดอลลาร์หรือ PYUSD ทันทีที่ชำระเงิน
    ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของคริปโต
    ช่วยให้ร้านค้าได้รับเงินเร็วขึ้นและจัดการบัญชีง่ายขึ้น

    ค่าธรรมเนียมธุรกรรมเริ่มต้นที่ 0.99% และอาจเพิ่มเป็น 1.5% หลังปีแรก
    ต่ำกว่าค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตระหว่างประเทศที่เฉลี่ย 1.57%
    ลดต้นทุนการรับชำระเงินจากลูกค้าต่างประเทศได้ถึง 90%

    ร้านค้าที่ถือ PYUSD บน PayPal จะได้รับดอกเบี้ย 4% ต่อปี
    เป็นแรงจูงใจให้ถือครอง stablecoin ของ PayPal
    PYUSD ถูกออกแบบให้มีมูลค่าคงที่ 1:1 กับดอลลาร์สหรัฐ และออกโดย Paxos Trust Company

    ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เชื่อมโลกการเงินดั้งเดิมกับ Web3
    PayPal มีผู้ใช้งานกว่า 650 ล้านรายทั่วโลก
    เป็นการเปิดประตูสู่เศรษฐกิจคริปโตมูลค่า $3.9 ล้านล้านดอลลาร์

    ผู้ซื้อจากต่างประเทศอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสูงถึง 10% ต่อธุรกรรม
    อาจทำให้ลูกค้าต่างประเทศลังเลที่จะใช้คริปโตในการซื้อสินค้า
    ส่งผลต่อยอดขายของร้านค้าที่เน้นตลาดต่างประเทศ

    การถือครอง PYUSD มีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและการรับประกัน
    PYUSD ไม่ได้รับการคุ้มครองจาก FDIC หรือ SIPC
    หากเกิดการโจรกรรมหรือระบบล่ม ผู้ใช้ต้องรับผิดชอบเอง

    การแปลงคริปโตเป็น fiat ผ่านระบบกลางอาจขัดกับหลักการกระจายอำนาจ
    ผู้ใช้ต้องพึ่งพา PayPal ในการแปลงและจัดการธุรกรรม
    อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมสินทรัพย์แบบเต็มรูปแบบ

    การถือครอง PYUSD เพื่อรับดอกเบี้ยอาจถูกตีความว่าเป็นการลงทุน
    อาจเข้าข่ายหลักทรัพย์ตามกฎหมายบางประเทศ
    เสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบหรือจำกัดการใช้งานในอนาคต

    https://www.techspot.com/news/108847-paypal-us-merchants-accept-over-100-cryptocurrencies-including.html
    💸 เรื่องเล่าจากกระเป๋าเงินดิจิทัล: เมื่อ PayPal เชื่อมโลกคริปโตสู่การค้าจริง ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม 2025 PayPal ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ “Pay with Crypto” ที่จะให้ร้านค้าในสหรัฐฯ รับชำระเงินด้วยคริปโตมากกว่า 100 สกุลเงินดิจิทัล เช่น BTC, ETH, XRP, USDT, USDC และ SOL โดยผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกระเป๋าเงินจากแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น Coinbase, MetaMask, OKX และ Binance ได้โดยตรง ธุรกรรมจะถูกแปลงเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐหรือ stablecoin PYUSD ทันทีที่ชำระเงิน ทำให้ร้านค้าได้รับเงินอย่างรวดเร็วและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของคริปโต ขณะเดียวกัน PayPal เสนออัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปีสำหรับยอดเงิน PYUSD ที่เก็บไว้ในระบบ เพื่อกระตุ้นการใช้งานและถือครอง ✅ PayPal เปิดตัวฟีเจอร์ “Pay with Crypto” ให้ร้านค้าในสหรัฐฯ รับชำระเงินด้วยคริปโตมากกว่า 100 สกุล ➡️ รองรับ BTC, ETH, XRP, USDT, USDC, BNB, SOL และอื่นๆ ➡️ เชื่อมต่อกับกระเป๋าเงินยอดนิยม เช่น Coinbase, MetaMask, OKX, Binance ✅ ธุรกรรมจะถูกแปลงเป็นเงินดอลลาร์หรือ PYUSD ทันทีที่ชำระเงิน ➡️ ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของคริปโต ➡️ ช่วยให้ร้านค้าได้รับเงินเร็วขึ้นและจัดการบัญชีง่ายขึ้น ✅ ค่าธรรมเนียมธุรกรรมเริ่มต้นที่ 0.99% และอาจเพิ่มเป็น 1.5% หลังปีแรก ➡️ ต่ำกว่าค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตระหว่างประเทศที่เฉลี่ย 1.57% ➡️ ลดต้นทุนการรับชำระเงินจากลูกค้าต่างประเทศได้ถึง 90% ✅ ร้านค้าที่ถือ PYUSD บน PayPal จะได้รับดอกเบี้ย 4% ต่อปี ➡️ เป็นแรงจูงใจให้ถือครอง stablecoin ของ PayPal ➡️ PYUSD ถูกออกแบบให้มีมูลค่าคงที่ 1:1 กับดอลลาร์สหรัฐ และออกโดย Paxos Trust Company ✅ ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เชื่อมโลกการเงินดั้งเดิมกับ Web3 ➡️ PayPal มีผู้ใช้งานกว่า 650 ล้านรายทั่วโลก ➡️ เป็นการเปิดประตูสู่เศรษฐกิจคริปโตมูลค่า $3.9 ล้านล้านดอลลาร์ ‼️ ผู้ซื้อจากต่างประเทศอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสูงถึง 10% ต่อธุรกรรม ⛔ อาจทำให้ลูกค้าต่างประเทศลังเลที่จะใช้คริปโตในการซื้อสินค้า ⛔ ส่งผลต่อยอดขายของร้านค้าที่เน้นตลาดต่างประเทศ ‼️ การถือครอง PYUSD มีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและการรับประกัน ⛔ PYUSD ไม่ได้รับการคุ้มครองจาก FDIC หรือ SIPC ⛔ หากเกิดการโจรกรรมหรือระบบล่ม ผู้ใช้ต้องรับผิดชอบเอง ‼️ การแปลงคริปโตเป็น fiat ผ่านระบบกลางอาจขัดกับหลักการกระจายอำนาจ ⛔ ผู้ใช้ต้องพึ่งพา PayPal ในการแปลงและจัดการธุรกรรม ⛔ อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมสินทรัพย์แบบเต็มรูปแบบ ‼️ การถือครอง PYUSD เพื่อรับดอกเบี้ยอาจถูกตีความว่าเป็นการลงทุน ⛔ อาจเข้าข่ายหลักทรัพย์ตามกฎหมายบางประเทศ ⛔ เสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบหรือจำกัดการใช้งานในอนาคต https://www.techspot.com/news/108847-paypal-us-merchants-accept-over-100-cryptocurrencies-including.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    PayPal to let US merchants accept over 100 cryptocurrencies, including Bitcoin and Ethereum
    Over the next few weeks, PayPal will roll out a new "Pay with Crypto" option. The feature will reportedly allow businesses worldwide to accept more than 100...
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากบัญชีที่ถูกปิด: เมื่อนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สถูก Microsoft ตัดขาดจากระบบโดยไม่ให้โอกาสชี้แจง

    Mike Kaganski นักพัฒนาหลักของ LibreOffice ถูก Microsoft บล็อกบัญชี Outlook และบริการอื่นๆ โดยอ้างว่า “มีพฤติกรรมละเมิดข้อตกลงการใช้งาน” ทั้งที่เขาเพียงส่งอีเมลเทคนิคไปยังกลุ่มนักพัฒนา LibreOffice ผ่าน Thunderbird ตามปกติ

    เมื่อพยายามส่งอีเมลอีกครั้ง เขาพบว่าบัญชีถูกล็อกทันที และไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้เลย แม้จะพยายามอุทธรณ์ผ่านระบบอัตโนมัติของ Microsoft ก็พบกับข้อความ “ลองวิธีอื่น” โดยไม่มีวิธีอื่นให้เลือก

    เขาต้องใช้บัญชีของภรรยาเพื่อส่งคำร้องอุทธรณ์ แต่สุดท้าย Microsoft กลับปิดเคสโดยไม่ดำเนินการใดๆ และไม่ให้เหตุผลชัดเจนว่าอีเมลของเขาผิดเงื่อนไขใด

    กรณีนี้ไม่ใช่ครั้งแรก—ผู้ใช้รายอื่น เช่น u/deus03690 บน Reddit ก็เคยถูกล็อกบัญชีที่มีข้อมูลสำคัญกว่า 30 ปี และยังไม่ได้รับการช่วยเหลือจาก Microsoft เช่นกัน

    Microsoft บล็อกบัญชีของ Mike Kaganski นักพัฒนา LibreOffice โดยอ้างว่าละเมิดข้อตกลงการใช้งาน
    เกิดขึ้นหลังจากเขาส่งอีเมลเทคนิคไปยังกลุ่มนักพัฒนา LibreOffice
    Thunderbird แจ้งว่าอีเมลไม่สามารถส่งได้ และบัญชีถูกล็อกทันที

    ระบบอุทธรณ์ของ Microsoft เป็นแบบอัตโนมัติและไม่สามารถเข้าถึงได้เมื่อบัญชีถูกล็อก
    ต้อง “ลงชื่อเข้าใช้” เพื่อส่งคำร้อง ทั้งที่ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้
    Kaganski ต้องใช้บัญชีของภรรยาเพื่อส่งคำร้องแทน

    คำร้องอุทธรณ์ถูกปิดโดยไม่มีการดำเนินการหรือคำอธิบายจาก Microsoft
    Microsoft เพิกเฉยต่อข้อมูลหลักฐานที่ Kaganski ส่งไป
    เขายังไม่สามารถกู้คืนบัญชีได้จนถึงปัจจุบัน

    กรณีนี้ไม่ใช่เหตุการณ์เดียว—ผู้ใช้รายอื่นก็เผชิญปัญหาคล้ายกัน
    ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งสูญเสียข้อมูลกว่า 30 ปีใน OneDrive
    แม้จะส่งแบบฟอร์มกู้คืนและได้รับคำสัญญาว่าจะช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ

    LibreOffice เคยกล่าวหา Microsoft ว่าใช้รูปแบบไฟล์ XML ที่ซับซ้อนเพื่อกีดกันซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส
    เป็นกลยุทธ์ “ล็อกอิน” ที่ทำให้ผู้ใช้ย้ายออกจาก Microsoft Office ได้ยาก
    Kaganski เป็นหนึ่งในผู้วิจารณ์แนวทางนี้อย่างเปิดเผย

    ระบบอุทธรณ์ของ Microsoft ไม่รองรับผู้ใช้ที่ถูกล็อกบัญชีอย่างสมบูรณ์
    ต้องลงชื่อเข้าใช้เพื่อส่งคำร้อง ทั้งที่บัญชีถูกบล็อก
    ไม่มีช่องทางติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรงในกรณีฉุกเฉิน

    การบล็อกบัญชีโดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือเหตุผลชัดเจนอาจละเมิดสิทธิผู้ใช้
    ผู้ใช้ไม่สามารถทราบว่าเนื้อหาใดละเมิดข้อตกลง
    ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระบบบริการดิจิทัล

    การสูญเสียบัญชี Microsoft อาจหมายถึงการสูญเสียข้อมูลสำคัญใน OneDrive, Outlook และบริการอื่นๆ
    ไม่มีระบบสำรองหรือการเข้าถึงข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน
    อาจกระทบต่องาน, ความทรงจำ, หรือเอกสารทางกฎหมาย

    ผู้ใช้ที่มีบทบาทในชุมชนโอเพ่นซอร์สอาจเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบหรือบล็อกโดยอัลกอริธึม
    อีเมลเทคนิคหรือการวิจารณ์เชิงระบบอาจถูกตีความผิด
    ไม่มีการตรวจสอบโดยมนุษย์ก่อนดำเนินการบล็อกบัญชี

    https://www.neowin.net/news/microsoft-bans-libreoffice-developers-account-without-warning-rejects-appeal/
    📧 เรื่องเล่าจากบัญชีที่ถูกปิด: เมื่อนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สถูก Microsoft ตัดขาดจากระบบโดยไม่ให้โอกาสชี้แจง Mike Kaganski นักพัฒนาหลักของ LibreOffice ถูก Microsoft บล็อกบัญชี Outlook และบริการอื่นๆ โดยอ้างว่า “มีพฤติกรรมละเมิดข้อตกลงการใช้งาน” ทั้งที่เขาเพียงส่งอีเมลเทคนิคไปยังกลุ่มนักพัฒนา LibreOffice ผ่าน Thunderbird ตามปกติ เมื่อพยายามส่งอีเมลอีกครั้ง เขาพบว่าบัญชีถูกล็อกทันที และไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้เลย แม้จะพยายามอุทธรณ์ผ่านระบบอัตโนมัติของ Microsoft ก็พบกับข้อความ “ลองวิธีอื่น” โดยไม่มีวิธีอื่นให้เลือก เขาต้องใช้บัญชีของภรรยาเพื่อส่งคำร้องอุทธรณ์ แต่สุดท้าย Microsoft กลับปิดเคสโดยไม่ดำเนินการใดๆ และไม่ให้เหตุผลชัดเจนว่าอีเมลของเขาผิดเงื่อนไขใด กรณีนี้ไม่ใช่ครั้งแรก—ผู้ใช้รายอื่น เช่น u/deus03690 บน Reddit ก็เคยถูกล็อกบัญชีที่มีข้อมูลสำคัญกว่า 30 ปี และยังไม่ได้รับการช่วยเหลือจาก Microsoft เช่นกัน ✅ Microsoft บล็อกบัญชีของ Mike Kaganski นักพัฒนา LibreOffice โดยอ้างว่าละเมิดข้อตกลงการใช้งาน ➡️ เกิดขึ้นหลังจากเขาส่งอีเมลเทคนิคไปยังกลุ่มนักพัฒนา LibreOffice ➡️ Thunderbird แจ้งว่าอีเมลไม่สามารถส่งได้ และบัญชีถูกล็อกทันที ✅ ระบบอุทธรณ์ของ Microsoft เป็นแบบอัตโนมัติและไม่สามารถเข้าถึงได้เมื่อบัญชีถูกล็อก ➡️ ต้อง “ลงชื่อเข้าใช้” เพื่อส่งคำร้อง ทั้งที่ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้ ➡️ Kaganski ต้องใช้บัญชีของภรรยาเพื่อส่งคำร้องแทน ✅ คำร้องอุทธรณ์ถูกปิดโดยไม่มีการดำเนินการหรือคำอธิบายจาก Microsoft ➡️ Microsoft เพิกเฉยต่อข้อมูลหลักฐานที่ Kaganski ส่งไป ➡️ เขายังไม่สามารถกู้คืนบัญชีได้จนถึงปัจจุบัน ✅ กรณีนี้ไม่ใช่เหตุการณ์เดียว—ผู้ใช้รายอื่นก็เผชิญปัญหาคล้ายกัน ➡️ ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งสูญเสียข้อมูลกว่า 30 ปีใน OneDrive ➡️ แม้จะส่งแบบฟอร์มกู้คืนและได้รับคำสัญญาว่าจะช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ ✅ LibreOffice เคยกล่าวหา Microsoft ว่าใช้รูปแบบไฟล์ XML ที่ซับซ้อนเพื่อกีดกันซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส ➡️ เป็นกลยุทธ์ “ล็อกอิน” ที่ทำให้ผู้ใช้ย้ายออกจาก Microsoft Office ได้ยาก ➡️ Kaganski เป็นหนึ่งในผู้วิจารณ์แนวทางนี้อย่างเปิดเผย ‼️ ระบบอุทธรณ์ของ Microsoft ไม่รองรับผู้ใช้ที่ถูกล็อกบัญชีอย่างสมบูรณ์ ⛔ ต้องลงชื่อเข้าใช้เพื่อส่งคำร้อง ทั้งที่บัญชีถูกบล็อก ⛔ ไม่มีช่องทางติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรงในกรณีฉุกเฉิน ‼️ การบล็อกบัญชีโดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือเหตุผลชัดเจนอาจละเมิดสิทธิผู้ใช้ ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถทราบว่าเนื้อหาใดละเมิดข้อตกลง ⛔ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระบบบริการดิจิทัล ‼️ การสูญเสียบัญชี Microsoft อาจหมายถึงการสูญเสียข้อมูลสำคัญใน OneDrive, Outlook และบริการอื่นๆ ⛔ ไม่มีระบบสำรองหรือการเข้าถึงข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน ⛔ อาจกระทบต่องาน, ความทรงจำ, หรือเอกสารทางกฎหมาย ‼️ ผู้ใช้ที่มีบทบาทในชุมชนโอเพ่นซอร์สอาจเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบหรือบล็อกโดยอัลกอริธึม ⛔ อีเมลเทคนิคหรือการวิจารณ์เชิงระบบอาจถูกตีความผิด ⛔ ไม่มีการตรวจสอบโดยมนุษย์ก่อนดำเนินการบล็อกบัญชี https://www.neowin.net/news/microsoft-bans-libreoffice-developers-account-without-warning-rejects-appeal/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft bans LibreOffice developer's account without warning, rejects appeal
    A LibreOffice developer has shared his experience of having his Microsoft account banned, and how the company has been uncooperative in helping him recover it.
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเบราว์เซอร์: เมื่อ Opera ลุกขึ้นสู้กับ Edge เพื่อความเป็นธรรมในการแข่งขัน

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 Opera ได้ยื่นคำร้องต่อ CADE (หน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันของบราซิล) โดยกล่าวหาว่า Microsoft ใช้ “กลยุทธ์การออกแบบที่ชักจูง” หรือที่เรียกว่า dark patterns เพื่อผลักดันให้ผู้ใช้ Windows ใช้ Edge เป็นเบราว์เซอร์หลัก ทั้งที่ผู้ใช้ตั้งค่าเบราว์เซอร์อื่นไว้แล้ว

    Opera ระบุว่า Microsoft:
    - ให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ (OEMs) เพื่อให้ติดตั้ง Edge เป็นค่าเริ่มต้น
    - ไม่เปิดโอกาสให้เบราว์เซอร์อื่น เช่น Opera ได้รับการติดตั้งล่วงหน้า
    - ใช้เครื่องมือในระบบ เช่น Widgets, Teams, Search และ Outlook เปิดลิงก์ผ่าน Edge โดยไม่สนใจการตั้งค่าของผู้ใช้
    - แสดงข้อความรบกวนเมื่อผู้ใช้พยายามดาวน์โหลดเบราว์เซอร์อื่น

    Opera หวังว่าบราซิลจะเป็นตัวอย่างให้ประเทศอื่นดำเนินการตาม และเรียกร้องให้ Microsoft ยุติการใช้กลยุทธ์เหล่านี้ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เลือกเบราว์เซอร์ได้อย่างเสรี

    Opera ยื่นคำร้องต่อ CADE ในบราซิล กล่าวหา Microsoft ใช้กลยุทธ์ไม่เป็นธรรมเพื่อผลักดัน Edge
    เป็นการฟ้องร้องในตลาดสำคัญของ Opera ซึ่งมีผู้ใช้จำนวนมาก
    หวังให้บราซิลเป็นแบบอย่างระดับโลกในการควบคุม Big Tech

    Microsoft ถูกกล่าวหาว่าใช้ “manipulative design tactics” และ “dark patterns” ใน Windows
    เช่น การเปิดไฟล์ PDF ผ่าน Edge แม้ผู้ใช้ตั้งค่าเบราว์เซอร์อื่น
    การแสดงข้อความรบกวนเมื่อพยายามดาวน์โหลดเบราว์เซอร์คู่แข่ง

    Opera ระบุว่า Microsoft ให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์เพื่อให้ติดตั้ง Edge เป็นค่าเริ่มต้น
    ส่งผลให้เบราว์เซอร์อื่นไม่มีโอกาสถูกติดตั้งล่วงหน้า
    เป็นการปิดกั้นการแข่งขันตั้งแต่ระดับฮาร์ดแวร์

    Opera เรียกร้องให้ CADE สั่งให้ Microsoft ยุติการใช้ dark patterns และเปิดโอกาสให้เบราว์เซอร์อื่นได้ติดตั้งล่วงหน้า
    รวมถึงการยกเลิกข้อกำหนด “S mode” ที่จำกัดการติดตั้งซอฟต์แวร์จากเว็บ
    เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกเบราว์เซอร์ได้อย่างอิสระ

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Opera ฟ้อง Microsoft ด้วยข้อกล่าวหาเรื่องการผูกขาดเบราว์เซอร์
    เคยฟ้องในสหภาพยุโรปเมื่อปี 2007 กรณี Internet Explorer
    และเคยเรียกร้องให้ Edge ถูกจัดเป็น “gatekeeper” ภายใต้กฎหมาย DMA ของ EU แต่ไม่สำเร็จ

    ผู้ใช้ Windows อาจไม่รู้ว่าการตั้งค่าเบราว์เซอร์ของตนถูกละเมิด
    เครื่องมือในระบบเปิดลิงก์ผ่าน Edge โดยไม่สนใจการตั้งค่าของผู้ใช้
    ส่งผลให้เกิดความสับสนและลดความไว้วางใจในระบบ

    การใช้ dark patterns อาจบั่นทอนเสรีภาพในการเลือกใช้ซอฟต์แวร์ของผู้บริโภค
    ผู้ใช้ถูกชักจูงโดยไม่รู้ตัวให้ใช้ Edge
    เป็นการลดโอกาสของเบราว์เซอร์คู่แข่งในการแข่งขันอย่างเป็นธรรม

    การให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์เพื่อให้ติดตั้ง Edge อาจละเมิดหลักการการแข่งขันเสรี
    เบราว์เซอร์อื่นถูกกีดกันตั้งแต่ระดับโรงงาน
    ส่งผลให้ผู้ใช้ไม่มีทางเลือกตั้งแต่ซื้อเครื่อง

    หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดการผูกขาดในตลาดเบราว์เซอร์โดยไม่รู้ตัว
    ส่งผลต่อความหลากหลายของนวัตกรรมและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
    อาจต้องพึ่งพาการแทรกแซงจากหน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศ

    https://www.neowin.net/news/opera-files-complaint-against-microsoft-for-manipulating-customers-into-using-edge/
    🧭 เรื่องเล่าจากเบราว์เซอร์: เมื่อ Opera ลุกขึ้นสู้กับ Edge เพื่อความเป็นธรรมในการแข่งขัน ในเดือนกรกฎาคม 2025 Opera ได้ยื่นคำร้องต่อ CADE (หน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันของบราซิล) โดยกล่าวหาว่า Microsoft ใช้ “กลยุทธ์การออกแบบที่ชักจูง” หรือที่เรียกว่า dark patterns เพื่อผลักดันให้ผู้ใช้ Windows ใช้ Edge เป็นเบราว์เซอร์หลัก ทั้งที่ผู้ใช้ตั้งค่าเบราว์เซอร์อื่นไว้แล้ว Opera ระบุว่า Microsoft: - ให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ (OEMs) เพื่อให้ติดตั้ง Edge เป็นค่าเริ่มต้น - ไม่เปิดโอกาสให้เบราว์เซอร์อื่น เช่น Opera ได้รับการติดตั้งล่วงหน้า - ใช้เครื่องมือในระบบ เช่น Widgets, Teams, Search และ Outlook เปิดลิงก์ผ่าน Edge โดยไม่สนใจการตั้งค่าของผู้ใช้ - แสดงข้อความรบกวนเมื่อผู้ใช้พยายามดาวน์โหลดเบราว์เซอร์อื่น Opera หวังว่าบราซิลจะเป็นตัวอย่างให้ประเทศอื่นดำเนินการตาม และเรียกร้องให้ Microsoft ยุติการใช้กลยุทธ์เหล่านี้ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เลือกเบราว์เซอร์ได้อย่างเสรี ✅ Opera ยื่นคำร้องต่อ CADE ในบราซิล กล่าวหา Microsoft ใช้กลยุทธ์ไม่เป็นธรรมเพื่อผลักดัน Edge ➡️ เป็นการฟ้องร้องในตลาดสำคัญของ Opera ซึ่งมีผู้ใช้จำนวนมาก ➡️ หวังให้บราซิลเป็นแบบอย่างระดับโลกในการควบคุม Big Tech ✅ Microsoft ถูกกล่าวหาว่าใช้ “manipulative design tactics” และ “dark patterns” ใน Windows ➡️ เช่น การเปิดไฟล์ PDF ผ่าน Edge แม้ผู้ใช้ตั้งค่าเบราว์เซอร์อื่น ➡️ การแสดงข้อความรบกวนเมื่อพยายามดาวน์โหลดเบราว์เซอร์คู่แข่ง ✅ Opera ระบุว่า Microsoft ให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์เพื่อให้ติดตั้ง Edge เป็นค่าเริ่มต้น ➡️ ส่งผลให้เบราว์เซอร์อื่นไม่มีโอกาสถูกติดตั้งล่วงหน้า ➡️ เป็นการปิดกั้นการแข่งขันตั้งแต่ระดับฮาร์ดแวร์ ✅ Opera เรียกร้องให้ CADE สั่งให้ Microsoft ยุติการใช้ dark patterns และเปิดโอกาสให้เบราว์เซอร์อื่นได้ติดตั้งล่วงหน้า ➡️ รวมถึงการยกเลิกข้อกำหนด “S mode” ที่จำกัดการติดตั้งซอฟต์แวร์จากเว็บ ➡️ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกเบราว์เซอร์ได้อย่างอิสระ ✅ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Opera ฟ้อง Microsoft ด้วยข้อกล่าวหาเรื่องการผูกขาดเบราว์เซอร์ ➡️ เคยฟ้องในสหภาพยุโรปเมื่อปี 2007 กรณี Internet Explorer ➡️ และเคยเรียกร้องให้ Edge ถูกจัดเป็น “gatekeeper” ภายใต้กฎหมาย DMA ของ EU แต่ไม่สำเร็จ ‼️ ผู้ใช้ Windows อาจไม่รู้ว่าการตั้งค่าเบราว์เซอร์ของตนถูกละเมิด ⛔ เครื่องมือในระบบเปิดลิงก์ผ่าน Edge โดยไม่สนใจการตั้งค่าของผู้ใช้ ⛔ ส่งผลให้เกิดความสับสนและลดความไว้วางใจในระบบ ‼️ การใช้ dark patterns อาจบั่นทอนเสรีภาพในการเลือกใช้ซอฟต์แวร์ของผู้บริโภค ⛔ ผู้ใช้ถูกชักจูงโดยไม่รู้ตัวให้ใช้ Edge ⛔ เป็นการลดโอกาสของเบราว์เซอร์คู่แข่งในการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ‼️ การให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์เพื่อให้ติดตั้ง Edge อาจละเมิดหลักการการแข่งขันเสรี ⛔ เบราว์เซอร์อื่นถูกกีดกันตั้งแต่ระดับโรงงาน ⛔ ส่งผลให้ผู้ใช้ไม่มีทางเลือกตั้งแต่ซื้อเครื่อง ‼️ หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดการผูกขาดในตลาดเบราว์เซอร์โดยไม่รู้ตัว ⛔ ส่งผลต่อความหลากหลายของนวัตกรรมและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ⛔ อาจต้องพึ่งพาการแทรกแซงจากหน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศ https://www.neowin.net/news/opera-files-complaint-against-microsoft-for-manipulating-customers-into-using-edge/
    WWW.NEOWIN.NET
    Opera files complaint against Microsoft for manipulating customers into using Edge
    Opera has filed a complaint against Microsoft Edge, claiming that the Redmond firm uses deceptive tactics to get customers to use its browser.
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องเรียนแห่งอนาคต: Gemini 2.5 Pro กับภารกิจปฏิวัติการศึกษา

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 Google ได้ประกาศเพิ่มขีดจำกัดการใช้งานของโมเดล AI ขั้นสูง Gemini 2.5 Pro ให้กับผู้ใช้ในโครงการ “Gemini for Education” โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งรวมถึงนักเรียน นักศึกษา และคณาจารย์ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ อินเดีย และอีกหลายประเทศที่กำลังพัฒนา

    Gemini 2.5 Pro ได้รับการปรับแต่งด้วย LearnLM ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อการเรียนรู้ โดยอิงจากหลักการของ “learning science” เช่น การลดภาระทางความคิด, การส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก, และการปรับเนื้อหาให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน

    ผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนกว่า 200 คน พบว่า Gemini 2.5 Pro ได้รับคะแนนสูงสุดในทุกหมวดหมู่เมื่อเทียบกับโมเดลอื่น เช่น GPT-4o และ Claude 3.7 Sonnet โดยเฉพาะในด้านการสนับสนุนเป้าหมายการเรียนรู้และการอธิบายเนื้อหาอย่างมีเหตุผล

    Google เพิ่มขีดจำกัดการใช้งาน Gemini 2.5 Pro ให้กับผู้ใช้ในโครงการ Gemini for Education โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
    ครอบคลุมนักเรียนและคณาจารย์ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ อินเดีย บราซิล ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย
    เป็นส่วนหนึ่งของ Google Workspace for Education

    Gemini 2.5 Pro ได้รับการปรับแต่งด้วย LearnLM ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ออกแบบมาเพื่อการเรียนรู้โดยเฉพาะ
    อิงจากหลักการ learning science เช่น การลด cognitive load และการปรับเนื้อหาให้เหมาะกับผู้เรียน
    ได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนว่าเป็นโมเดลที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนรู้

    ผลการประเมินจาก “Arena for Learning” พบว่า Gemini 2.5 Pro ได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้เชี่ยวชาญ
    ได้รับการเลือกใน 73.2% ของการเปรียบเทียบแบบ blind test กับโมเดลอื่น
    เหนือกว่า GPT-4o และ Claude 3.7 ในทุกหลักการของ pedagogy

    Google ยังมอบสิทธิ์ใช้งาน Colab Pro ฟรี 1 ปีให้กับนักศึกษาและคณาจารย์ในสหรัฐฯ
    เพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลและการฝึกโมเดล AI สำหรับงานวิจัย
    เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์สร้างความผูกพันระยะยาวกับผู้ใช้ในภาคการศึกษา

    Gemini for Education มาพร้อมการปกป้องข้อมูลระดับองค์กร
    ข้อมูลการใช้งานจะไม่ถูกตรวจสอบโดยมนุษย์หรือใช้ฝึกโมเดล AI
    มีระบบควบคุมการใช้งานโดยผู้ดูแลระบบของสถาบัน

    https://www.neowin.net/news/gemini-for-education-now-offers-significantly-higher-usage-limits-to-gemini-25-pro-model/
    🎓 เรื่องเล่าจากห้องเรียนแห่งอนาคต: Gemini 2.5 Pro กับภารกิจปฏิวัติการศึกษา ในเดือนกรกฎาคม 2025 Google ได้ประกาศเพิ่มขีดจำกัดการใช้งานของโมเดล AI ขั้นสูง Gemini 2.5 Pro ให้กับผู้ใช้ในโครงการ “Gemini for Education” โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งรวมถึงนักเรียน นักศึกษา และคณาจารย์ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ อินเดีย และอีกหลายประเทศที่กำลังพัฒนา Gemini 2.5 Pro ได้รับการปรับแต่งด้วย LearnLM ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อการเรียนรู้ โดยอิงจากหลักการของ “learning science” เช่น การลดภาระทางความคิด, การส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก, และการปรับเนื้อหาให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน ผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนกว่า 200 คน พบว่า Gemini 2.5 Pro ได้รับคะแนนสูงสุดในทุกหมวดหมู่เมื่อเทียบกับโมเดลอื่น เช่น GPT-4o และ Claude 3.7 Sonnet โดยเฉพาะในด้านการสนับสนุนเป้าหมายการเรียนรู้และการอธิบายเนื้อหาอย่างมีเหตุผล ✅ Google เพิ่มขีดจำกัดการใช้งาน Gemini 2.5 Pro ให้กับผู้ใช้ในโครงการ Gemini for Education โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ➡️ ครอบคลุมนักเรียนและคณาจารย์ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ อินเดีย บราซิล ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของ Google Workspace for Education ✅ Gemini 2.5 Pro ได้รับการปรับแต่งด้วย LearnLM ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ออกแบบมาเพื่อการเรียนรู้โดยเฉพาะ ➡️ อิงจากหลักการ learning science เช่น การลด cognitive load และการปรับเนื้อหาให้เหมาะกับผู้เรียน ➡️ ได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนว่าเป็นโมเดลที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนรู้ ✅ ผลการประเมินจาก “Arena for Learning” พบว่า Gemini 2.5 Pro ได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ได้รับการเลือกใน 73.2% ของการเปรียบเทียบแบบ blind test กับโมเดลอื่น ➡️ เหนือกว่า GPT-4o และ Claude 3.7 ในทุกหลักการของ pedagogy ✅ Google ยังมอบสิทธิ์ใช้งาน Colab Pro ฟรี 1 ปีให้กับนักศึกษาและคณาจารย์ในสหรัฐฯ ➡️ เพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลและการฝึกโมเดล AI สำหรับงานวิจัย ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์สร้างความผูกพันระยะยาวกับผู้ใช้ในภาคการศึกษา ✅ Gemini for Education มาพร้อมการปกป้องข้อมูลระดับองค์กร ➡️ ข้อมูลการใช้งานจะไม่ถูกตรวจสอบโดยมนุษย์หรือใช้ฝึกโมเดล AI ➡️ มีระบบควบคุมการใช้งานโดยผู้ดูแลระบบของสถาบัน https://www.neowin.net/news/gemini-for-education-now-offers-significantly-higher-usage-limits-to-gemini-25-pro-model/
    WWW.NEOWIN.NET
    Gemini for Education now offers significantly higher usage limits to Gemini 2.5 Pro model
    Google is improving its Gemini for Education platform by providing free, significantly expanded access to its powerful Gemini 2.5 Pro AI model.
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังตำแหน่งผู้บริหาร: CISO ที่ใคร ๆ ก็เข้าใจผิด

    ย้อนกลับไปปี 1995 Steve Katz ได้รับตำแหน่ง CISO คนแรกของโลกที่ Citicorp หลังจากธนาคารถูกแฮกเกอร์ขโมยเงินกว่า 10 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่นั้นมา ตำแหน่งนี้กลายเป็นหนึ่งในบทบาทสำคัญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แต่ก็ยังถูกเข้าใจผิดอยู่มาก

    Andy Ellis อธิบายว่า “CISO คือคนที่ทำทุกอย่างเกี่ยวกับไซเบอร์ที่ไม่มีใครอยากทำ” และมักถูกมองว่าเป็น “อีกครึ่งหนึ่งของ CIO” ที่ต้องเก็บกวาดปัญหาความปลอดภัยที่คนอื่นละเลย

    ปัญหาคือหลายองค์กรไม่เข้าใจว่าหน้าที่ของ CISO คืออะไร โดยเฉพาะเมื่อองค์กรอยู่ในระดับความพร้อมด้านไซเบอร์ที่ต่างกัน บางแห่งให้ CISO เป็นแค่ “วิศวกรเก่งที่สุด” ที่คอยดับไฟ ส่วนบางแห่งให้เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ต้องสร้างคุณค่าให้ธุรกิจผ่านความปลอดภัย

    สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้จะมีตำแหน่ง “Chief” แต่ CISO กลับไม่มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริง และอาจถูกดึงเข้าสู่ความรับผิดทางกฎหมาย หากเกิดการละเมิดหรือการสื่อสารผิดพลาด—อย่างกรณีของ Tim Brown แห่ง SolarWinds ที่ถูก SEC ฟ้องในคดีเปิดเผยข้อมูลผิดพลาด

    CISO เป็นตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบสูงแต่มีอำนาจจำกัดในหลายองค์กร
    แม้จะมีชื่อ “Chief” แต่หลายคนไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
    บางคนรายงานตรงถึง CEO แต่ไม่มีอิทธิพลจริง

    บทบาทของ CISO แตกต่างกันตามระดับความพร้อมด้านไซเบอร์ขององค์กร
    องค์กรที่ยังไม่ mature จะให้ CISO ทำงานเชิงเทคนิคเป็นหลัก
    องค์กรที่ mature จะให้ CISO เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่สร้างคุณค่าทางธุรกิจ

    CISO ต้องกำหนดขอบเขตงานของตัวเองตามบริบทขององค์กร
    ไม่มีนิยามตายตัวของหน้าที่ CISO
    ต้องปรับบทบาทตามความเสี่ยงและวัฒนธรรมองค์กร

    การสื่อสารบทบาทของ CISO เป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างความเข้าใจในองค์กร
    ควรเล่าเรื่องจากมุมมองของผู้ใช้ เช่น การลดความเสี่ยงหรือเพิ่มความเชื่อมั่น
    หลีกเลี่ยงการใช้แผนภาพหรือคำอธิบายที่ซับซ้อนเกินไป

    CISO ที่มีอิทธิพลสูงมักสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหารและบอร์ดได้ดี
    ไม่ใช่แค่ตำแหน่ง แต่เป็นพฤติกรรมและความสามารถในการสื่อสาร
    การเข้าใจสิ่งที่ผู้บริหารสนใจคือกุญแจสำคัญ

    การไม่เข้าใจบทบาทของ CISO อาจนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรผิดพลาด
    องค์กรอาจไม่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเท่าที่ควร
    ส่งผลให้เกิดช่องโหว่และความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น

    CISO อาจถูกดึงเข้าสู่ความรับผิดทางกฎหมายหากเกิดการละเมิดหรือสื่อสารผิด
    กรณีของ Tim Brown แห่ง SolarWinds เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
    การไม่มีอำนาจแต่ต้องรับผิดชอบเป็นภาระที่ไม่สมดุล

    การใช้ตำแหน่ง “Chief” โดยไม่มีอำนาจจริงอาจสร้างความสับสนในองค์กร
    ทำให้เกิดความคาดหวังที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
    ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากผู้บริหาร

    การสื่อสารบทบาทของ CISO ด้วยภาษาทางเทคนิคอาจทำให้ผู้บริหารไม่เข้าใจ
    ควรแปลงความเสี่ยงเป็นผลกระทบทางธุรกิจ เช่น ความเสียหายทางการเงินหรือชื่อเสียง
    การพูดภาษาธุรกิจคือทักษะสำคัญของ CISO ยุคใหม่

    https://www.csoonline.com/article/4026872/the-cisos-challenge-getting-colleagues-to-understand-what-you-do.html
    🧠 เรื่องเล่าจากเบื้องหลังตำแหน่งผู้บริหาร: CISO ที่ใคร ๆ ก็เข้าใจผิด ย้อนกลับไปปี 1995 Steve Katz ได้รับตำแหน่ง CISO คนแรกของโลกที่ Citicorp หลังจากธนาคารถูกแฮกเกอร์ขโมยเงินกว่า 10 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่นั้นมา ตำแหน่งนี้กลายเป็นหนึ่งในบทบาทสำคัญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แต่ก็ยังถูกเข้าใจผิดอยู่มาก Andy Ellis อธิบายว่า “CISO คือคนที่ทำทุกอย่างเกี่ยวกับไซเบอร์ที่ไม่มีใครอยากทำ” และมักถูกมองว่าเป็น “อีกครึ่งหนึ่งของ CIO” ที่ต้องเก็บกวาดปัญหาความปลอดภัยที่คนอื่นละเลย ปัญหาคือหลายองค์กรไม่เข้าใจว่าหน้าที่ของ CISO คืออะไร โดยเฉพาะเมื่อองค์กรอยู่ในระดับความพร้อมด้านไซเบอร์ที่ต่างกัน บางแห่งให้ CISO เป็นแค่ “วิศวกรเก่งที่สุด” ที่คอยดับไฟ ส่วนบางแห่งให้เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ต้องสร้างคุณค่าให้ธุรกิจผ่านความปลอดภัย สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้จะมีตำแหน่ง “Chief” แต่ CISO กลับไม่มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริง และอาจถูกดึงเข้าสู่ความรับผิดทางกฎหมาย หากเกิดการละเมิดหรือการสื่อสารผิดพลาด—อย่างกรณีของ Tim Brown แห่ง SolarWinds ที่ถูก SEC ฟ้องในคดีเปิดเผยข้อมูลผิดพลาด ✅ CISO เป็นตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบสูงแต่มีอำนาจจำกัดในหลายองค์กร ➡️ แม้จะมีชื่อ “Chief” แต่หลายคนไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ➡️ บางคนรายงานตรงถึง CEO แต่ไม่มีอิทธิพลจริง ✅ บทบาทของ CISO แตกต่างกันตามระดับความพร้อมด้านไซเบอร์ขององค์กร ➡️ องค์กรที่ยังไม่ mature จะให้ CISO ทำงานเชิงเทคนิคเป็นหลัก ➡️ องค์กรที่ mature จะให้ CISO เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่สร้างคุณค่าทางธุรกิจ ✅ CISO ต้องกำหนดขอบเขตงานของตัวเองตามบริบทขององค์กร ➡️ ไม่มีนิยามตายตัวของหน้าที่ CISO ➡️ ต้องปรับบทบาทตามความเสี่ยงและวัฒนธรรมองค์กร ✅ การสื่อสารบทบาทของ CISO เป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างความเข้าใจในองค์กร ➡️ ควรเล่าเรื่องจากมุมมองของผู้ใช้ เช่น การลดความเสี่ยงหรือเพิ่มความเชื่อมั่น ➡️ หลีกเลี่ยงการใช้แผนภาพหรือคำอธิบายที่ซับซ้อนเกินไป ✅ CISO ที่มีอิทธิพลสูงมักสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหารและบอร์ดได้ดี ➡️ ไม่ใช่แค่ตำแหน่ง แต่เป็นพฤติกรรมและความสามารถในการสื่อสาร ➡️ การเข้าใจสิ่งที่ผู้บริหารสนใจคือกุญแจสำคัญ ‼️ การไม่เข้าใจบทบาทของ CISO อาจนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรผิดพลาด ⛔ องค์กรอาจไม่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเท่าที่ควร ⛔ ส่งผลให้เกิดช่องโหว่และความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น ‼️ CISO อาจถูกดึงเข้าสู่ความรับผิดทางกฎหมายหากเกิดการละเมิดหรือสื่อสารผิด ⛔ กรณีของ Tim Brown แห่ง SolarWinds เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ⛔ การไม่มีอำนาจแต่ต้องรับผิดชอบเป็นภาระที่ไม่สมดุล ‼️ การใช้ตำแหน่ง “Chief” โดยไม่มีอำนาจจริงอาจสร้างความสับสนในองค์กร ⛔ ทำให้เกิดความคาดหวังที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ⛔ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากผู้บริหาร ‼️ การสื่อสารบทบาทของ CISO ด้วยภาษาทางเทคนิคอาจทำให้ผู้บริหารไม่เข้าใจ ⛔ ควรแปลงความเสี่ยงเป็นผลกระทบทางธุรกิจ เช่น ความเสียหายทางการเงินหรือชื่อเสียง ⛔ การพูดภาษาธุรกิจคือทักษะสำคัญของ CISO ยุคใหม่ https://www.csoonline.com/article/4026872/the-cisos-challenge-getting-colleagues-to-understand-what-you-do.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The CISO’s challenge: Getting colleagues to understand what you do
    CISOs often operate with significant responsibility but limited formal authority, making it critical to articulate their role clearly. Experts offer strategies for CISOs to communicate their mission to colleagues and customers.
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากวอชิงตัน: เมื่อ AI ถูกใช้เพื่อลบครึ่งหนึ่งของกฎระเบียบรัฐบาลกลาง

    ในปีแรกของการกลับมาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายสุดโต่ง—ลบกฎระเบียบของรัฐบาลกลางให้ได้ถึง 50%! และเครื่องมือหลักที่ใช้คือ “DOGE AI Deregulation Decision Tool” ซึ่งเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาโดยหน่วยงานใหม่ชื่อ DOGE (Department of Government Efficiency) ที่เคยมี Elon Musk เป็นผู้นำ

    AI ตัวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์กฎระเบียบกว่า 200,000 ฉบับ และคัดเลือก 100,000 ฉบับที่ “ไม่จำเป็นตามกฎหมาย” เพื่อเสนอให้ลบออก โดยอ้างว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณได้ถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ลงจาก 3.6 ล้านชั่วโมงเหลือแค่ 36 ชั่วโมง!

    แต่การใช้ AI แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีรายงานว่าเครื่องมือนี้เข้าใจภาษากฎหมายผิดพลาดหลายครั้ง และอาจนำไปสู่การลบกฎที่ยังจำเป็นอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ

    DOGE AI Deregulation Decision Tool ตั้งเป้าลบ 100,000 กฎระเบียบภายในปีแรกของรัฐบาลทรัมป์
    วิเคราะห์กฎระเบียบกว่า 200,000 ฉบับเพื่อคัดเลือกสิ่งที่ไม่จำเป็นตามกฎหมาย
    ใช้แล้วใน HUD และ CFPB โดยเขียน “100% ของการยกเลิกกฎ” ที่ CFPB

    ระบบนี้อ้างว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณและเวลาอย่างมหาศาล
    ประหยัดงบประมาณได้ถึง $1.5 ล้านล้านต่อปี
    ลดภาระงานจาก 3.6 ล้านชั่วโมงเหลือเพียง 36 ชั่วโมง

    DOGE ใช้กลยุทธ์ “AI-first” ตั้งแต่ต้นปี 2025
    เริ่มฝัง AI ในหน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งตั้งแต่เดือนมีนาคม
    เปิดตัวแชตบอท GSAi ให้พนักงานกว่า 1,500 คนใช้งาน

    แผนนี้เป็นส่วนหนึ่งของคำมั่นสัญญาในการลดกฎระเบียบของทรัมป์
    มาจากคำสั่งผู้บริหารเมื่อ 31 มกราคม 2025 ที่เรียกร้องให้ยกเลิกกฎ 10 ฉบับต่อการออกใหม่ 1 ฉบับ
    DOGE ถูกตั้งขึ้นเพื่อผลักดันเป้าหมายนี้โดยตรง

    AI เข้าใจภาษากฎหมายผิดพลาดหลายครั้ง
    เจ้าหน้าที่ HUD รายงานว่า AI เข้าใจผิดว่ากฎที่ถูกต้องเป็นกฎที่ผิด
    อาจนำไปสู่การลบกฎที่ยังจำเป็นอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ

    การใช้ AI เพื่อลบกฎระเบียบอาจขัดต่อกฎหมายปกครอง (Administrative Procedure Act)
    กฎหมายกำหนดให้ต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงกฎ
    การอ้างว่า “AI บอกให้ลบ” อาจไม่ผ่านการตรวจสอบของศาล

    การใช้ระบบอัตโนมัติในระดับนี้อาจลดบทบาทของเจ้าหน้าที่รัฐและผู้เชี่ยวชาญ
    เกิดความกังวลว่าการตัดสินใจสำคัญจะถูกแทนที่ด้วยอัลกอริธึม
    อาจกระทบต่อความโปร่งใสและความรับผิดชอบของรัฐบาล

    DOGE เคยมีปัญหาด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ
    เว็บไซต์ของ DOGE เคยถูกเจาะระบบและปล่อยข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจ
    พนักงานบางคนมีประวัติที่น่าสงสัยและอุปกรณ์ถูกมัลแวร์โจมตี

    https://www.techspot.com/news/108826-doge-wants-use-ai-tool-eliminate-half-all.html
    🧠 เรื่องเล่าจากวอชิงตัน: เมื่อ AI ถูกใช้เพื่อลบครึ่งหนึ่งของกฎระเบียบรัฐบาลกลาง ในปีแรกของการกลับมาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายสุดโต่ง—ลบกฎระเบียบของรัฐบาลกลางให้ได้ถึง 50%! และเครื่องมือหลักที่ใช้คือ “DOGE AI Deregulation Decision Tool” ซึ่งเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาโดยหน่วยงานใหม่ชื่อ DOGE (Department of Government Efficiency) ที่เคยมี Elon Musk เป็นผู้นำ AI ตัวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์กฎระเบียบกว่า 200,000 ฉบับ และคัดเลือก 100,000 ฉบับที่ “ไม่จำเป็นตามกฎหมาย” เพื่อเสนอให้ลบออก โดยอ้างว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณได้ถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ลงจาก 3.6 ล้านชั่วโมงเหลือแค่ 36 ชั่วโมง! แต่การใช้ AI แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีรายงานว่าเครื่องมือนี้เข้าใจภาษากฎหมายผิดพลาดหลายครั้ง และอาจนำไปสู่การลบกฎที่ยังจำเป็นอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ ✅ DOGE AI Deregulation Decision Tool ตั้งเป้าลบ 100,000 กฎระเบียบภายในปีแรกของรัฐบาลทรัมป์ ➡️ วิเคราะห์กฎระเบียบกว่า 200,000 ฉบับเพื่อคัดเลือกสิ่งที่ไม่จำเป็นตามกฎหมาย ➡️ ใช้แล้วใน HUD และ CFPB โดยเขียน “100% ของการยกเลิกกฎ” ที่ CFPB ✅ ระบบนี้อ้างว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณและเวลาอย่างมหาศาล ➡️ ประหยัดงบประมาณได้ถึง $1.5 ล้านล้านต่อปี ➡️ ลดภาระงานจาก 3.6 ล้านชั่วโมงเหลือเพียง 36 ชั่วโมง ✅ DOGE ใช้กลยุทธ์ “AI-first” ตั้งแต่ต้นปี 2025 ➡️ เริ่มฝัง AI ในหน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งตั้งแต่เดือนมีนาคม ➡️ เปิดตัวแชตบอท GSAi ให้พนักงานกว่า 1,500 คนใช้งาน ✅ แผนนี้เป็นส่วนหนึ่งของคำมั่นสัญญาในการลดกฎระเบียบของทรัมป์ ➡️ มาจากคำสั่งผู้บริหารเมื่อ 31 มกราคม 2025 ที่เรียกร้องให้ยกเลิกกฎ 10 ฉบับต่อการออกใหม่ 1 ฉบับ ➡️ DOGE ถูกตั้งขึ้นเพื่อผลักดันเป้าหมายนี้โดยตรง ‼️ AI เข้าใจภาษากฎหมายผิดพลาดหลายครั้ง ⛔ เจ้าหน้าที่ HUD รายงานว่า AI เข้าใจผิดว่ากฎที่ถูกต้องเป็นกฎที่ผิด ⛔ อาจนำไปสู่การลบกฎที่ยังจำเป็นอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ ‼️ การใช้ AI เพื่อลบกฎระเบียบอาจขัดต่อกฎหมายปกครอง (Administrative Procedure Act) ⛔ กฎหมายกำหนดให้ต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงกฎ ⛔ การอ้างว่า “AI บอกให้ลบ” อาจไม่ผ่านการตรวจสอบของศาล ‼️ การใช้ระบบอัตโนมัติในระดับนี้อาจลดบทบาทของเจ้าหน้าที่รัฐและผู้เชี่ยวชาญ ⛔ เกิดความกังวลว่าการตัดสินใจสำคัญจะถูกแทนที่ด้วยอัลกอริธึม ⛔ อาจกระทบต่อความโปร่งใสและความรับผิดชอบของรัฐบาล ‼️ DOGE เคยมีปัญหาด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ ⛔ เว็บไซต์ของ DOGE เคยถูกเจาะระบบและปล่อยข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจ ⛔ พนักงานบางคนมีประวัติที่น่าสงสัยและอุปกรณ์ถูกมัลแวร์โจมตี https://www.techspot.com/news/108826-doge-wants-use-ai-tool-eliminate-half-all.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    DOGE's AI tool misreads law, still tasked with deleting half of US regulations
    The Doge AI Deregulation Decision Tool will be analyzing around 200,000 federal regulations, according to the Washington Post, which cites documents it obtained and four government officials.
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลก AI: “ราคาคำตอบ” ที่คุณอาจไม่เคยคิด

    ลองจินตนาการว่า AI ที่คุณใช้ตอบคำถามหรือเขียนบทความนั้น คิดค่าบริการเป็น “จำนวนคำ” ที่มันอ่านและเขียนออกมา—หรือที่เรียกว่า “token” ซึ่งแต่ละ token คือเศษคำประมาณ 3–4 ตัวอักษร

    ในปี 2025 นี้ ตลาด LLM API แข่งขันกันดุเดือด ผู้ให้บริการอย่าง OpenAI, Google, Anthropic และ xAI ต่างออกโมเดลใหม่พร้อมราคาที่หลากหลาย ตั้งแต่ราคาถูกสุดเพียง $0.07 ต่อ 1 ล้าน token ไปจนถึง $600 ต่อ 1 ล้าน token สำหรับโมเดลระดับสูงสุด!

    สิ่งที่น่าสนใจคือ “ราคาสำหรับการตอบ” (output token) มักแพงกว่าการถาม (input token) ถึง 3–5 เท่า ทำให้การออกแบบ prompt ที่กระชับและฉลาดกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดต้นทุน

    โมเดลราคาถูกที่สุดในตลาดตอนนี้ ได้แก่ Google Gemini 2.0 Flash-Lite และ OpenAI GPT-4.1-nano
    ราคา input token อยู่ที่ $0.07–$0.10 ต่อ 1 ล้าน token
    ราคา output token อยู่ที่ $0.30–$0.40 ต่อ 1 ล้าน token

    โมเดลระดับกลางที่คุ้มค่า เช่น GPT-4o-mini และ Claude Haiku 3
    ราคา input token อยู่ที่ $0.15–$0.25
    ราคา output token อยู่ที่ $0.60–$1.25

    โมเดลระดับสูง เช่น Claude Opus 4 และ GPT-o1-pro มีราคาสูงมาก
    Claude Opus 4: $15 (input) / $75 (output)
    GPT-o1-pro: $150 (input) / $600 (output)

    แนวโน้มการตั้งราคาคือการแยก input กับ output token อย่างชัดเจน
    output token แพงกว่า input token หลายเท่า
    ส่งเสริมการใช้เทคนิค RAG (Retrieval-Augmented Generation) เพื่อประหยัด

    ข้อมูลอัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2025
    แหล่งข้อมูลมาจากเว็บไซต์ทางการของผู้ให้บริการแต่ละราย
    มีการเปรียบเทียบมากกว่า 30 โมเดลจากหลายค่าย

    การใช้โมเดลที่มี output token แพงอาจทำให้ต้นทุนพุ่งสูงโดยไม่รู้ตัว
    หากไม่จำกัดความยาวคำตอบหรือใช้ prompt ที่ไม่กระชับ อาจเสียเงินมากเกินจำเป็น
    ควรตั้งค่า max_tokens และ temperature ให้เหมาะสม

    การเปรียบเทียบราคาโดยไม่ดูคุณภาพอาจทำให้เลือกโมเดลไม่เหมาะกับงาน
    โมเดลราคาถูกอาจไม่เหมาะกับงาน reasoning หรือการเขียนเชิงลึก
    ควรพิจารณาความสามารถของโมเดลควบคู่กับราคา

    การเปลี่ยนแปลงราคาบ่อยครั้งอาจทำให้ข้อมูลล้าสมัยเร็ว
    ควรตรวจสอบราคาจากเว็บไซต์ทางการก่อนใช้งานจริง
    การใช้ข้อมูลเก่าอาจทำให้คำนวณต้นทุนผิดพลาด

    การใช้โมเดลที่มี context window ใหญ่เกินความจำเป็นอาจสิ้นเปลือง
    โมเดลที่รองรับ context 1M tokens มักมีราคาสูง
    หากงานไม่ต้องการ context ยาว ควรเลือกโมเดลที่เล็กลง

    https://pricepertoken.com/
    💸 เรื่องเล่าจากโลก AI: “ราคาคำตอบ” ที่คุณอาจไม่เคยคิด ลองจินตนาการว่า AI ที่คุณใช้ตอบคำถามหรือเขียนบทความนั้น คิดค่าบริการเป็น “จำนวนคำ” ที่มันอ่านและเขียนออกมา—หรือที่เรียกว่า “token” ซึ่งแต่ละ token คือเศษคำประมาณ 3–4 ตัวอักษร ในปี 2025 นี้ ตลาด LLM API แข่งขันกันดุเดือด ผู้ให้บริการอย่าง OpenAI, Google, Anthropic และ xAI ต่างออกโมเดลใหม่พร้อมราคาที่หลากหลาย ตั้งแต่ราคาถูกสุดเพียง $0.07 ต่อ 1 ล้าน token ไปจนถึง $600 ต่อ 1 ล้าน token สำหรับโมเดลระดับสูงสุด! สิ่งที่น่าสนใจคือ “ราคาสำหรับการตอบ” (output token) มักแพงกว่าการถาม (input token) ถึง 3–5 เท่า ทำให้การออกแบบ prompt ที่กระชับและฉลาดกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดต้นทุน ✅ โมเดลราคาถูกที่สุดในตลาดตอนนี้ ได้แก่ Google Gemini 2.0 Flash-Lite และ OpenAI GPT-4.1-nano ➡️ ราคา input token อยู่ที่ $0.07–$0.10 ต่อ 1 ล้าน token ➡️ ราคา output token อยู่ที่ $0.30–$0.40 ต่อ 1 ล้าน token ✅ โมเดลระดับกลางที่คุ้มค่า เช่น GPT-4o-mini และ Claude Haiku 3 ➡️ ราคา input token อยู่ที่ $0.15–$0.25 ➡️ ราคา output token อยู่ที่ $0.60–$1.25 ✅ โมเดลระดับสูง เช่น Claude Opus 4 และ GPT-o1-pro มีราคาสูงมาก ➡️ Claude Opus 4: $15 (input) / $75 (output) ➡️ GPT-o1-pro: $150 (input) / $600 (output) ✅ แนวโน้มการตั้งราคาคือการแยก input กับ output token อย่างชัดเจน ➡️ output token แพงกว่า input token หลายเท่า ➡️ ส่งเสริมการใช้เทคนิค RAG (Retrieval-Augmented Generation) เพื่อประหยัด ✅ ข้อมูลอัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2025 ➡️ แหล่งข้อมูลมาจากเว็บไซต์ทางการของผู้ให้บริการแต่ละราย ➡️ มีการเปรียบเทียบมากกว่า 30 โมเดลจากหลายค่าย ‼️ การใช้โมเดลที่มี output token แพงอาจทำให้ต้นทุนพุ่งสูงโดยไม่รู้ตัว ⛔ หากไม่จำกัดความยาวคำตอบหรือใช้ prompt ที่ไม่กระชับ อาจเสียเงินมากเกินจำเป็น ⛔ ควรตั้งค่า max_tokens และ temperature ให้เหมาะสม ‼️ การเปรียบเทียบราคาโดยไม่ดูคุณภาพอาจทำให้เลือกโมเดลไม่เหมาะกับงาน ⛔ โมเดลราคาถูกอาจไม่เหมาะกับงาน reasoning หรือการเขียนเชิงลึก ⛔ ควรพิจารณาความสามารถของโมเดลควบคู่กับราคา ‼️ การเปลี่ยนแปลงราคาบ่อยครั้งอาจทำให้ข้อมูลล้าสมัยเร็ว ⛔ ควรตรวจสอบราคาจากเว็บไซต์ทางการก่อนใช้งานจริง ⛔ การใช้ข้อมูลเก่าอาจทำให้คำนวณต้นทุนผิดพลาด ‼️ การใช้โมเดลที่มี context window ใหญ่เกินความจำเป็นอาจสิ้นเปลือง ⛔ โมเดลที่รองรับ context 1M tokens มักมีราคาสูง ⛔ หากงานไม่ต้องการ context ยาว ควรเลือกโมเดลที่เล็กลง https://pricepertoken.com/
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • เผยสภาพ "ฮุน เซน" นั่งวิทยุสื่อสารกลางดึก ชี้ยังคงแนะนำกลยุทธ์ทางการทหารในศึกชายแดนเดือด
    https://www.thai-tai.tv/news/20566/
    .
    #ฮุนเซน #ชายแดนไทยกัมพูชา #กลยุทธ์ทหาร #ปกป้องดินแดน #กัมพูชา #จิตวิญญาณนักรบ #สงครามชายแดน #ไทยไท
    เผยสภาพ "ฮุน เซน" นั่งวิทยุสื่อสารกลางดึก ชี้ยังคงแนะนำกลยุทธ์ทางการทหารในศึกชายแดนเดือด https://www.thai-tai.tv/news/20566/ . #ฮุนเซน #ชายแดนไทยกัมพูชา #กลยุทธ์ทหาร #ปกป้องดินแดน #กัมพูชา #จิตวิญญาณนักรบ #สงครามชายแดน #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • Sat. Jul. 26, 2025

    Very interesting. From unknown source.
    READ CAREFULLY!!

    What Hun Sen truly wants isn’t just a border war — it’s to eliminate soldiers who may no longer be loyal to Hun dynasty.

    Hunsen now significantly reduced the military budget and redirected funds to build a “special guard force” equipped with state-of-the-art weapons, available only to those loyal to him personally.

    Ordinary Cambodian soldiers don't have a chance to even touch those weapons. Soldiers are usually not familiar with modern weapons. But ultimately, he was sent to death at the border with patriotism, using the word "loyal to the nation" as a vest.

    And now, Hun Sen is preparing to send the navy to the battlefield — even though there is no maritime dispute with Thailand. There aren’t even proper warships ready, yet generals and sailors are being deployed to die.

    This is too weird, and obviously not a war for the nation, but a war for the dynasty.

    The world may ignore a small country like Cambodia, but the truth is this:

    Cambodian soldiers are being sacrificed — not for the nation — but for one man’s throne.
    This is not a war for the country. It’s a purge — a calculated operation to remove anyone in uniform who might challenge the Hun dynasty’s grip on power.

    It’s not just strange. It’s strategic.

    No rational leader would send his troops to death if he knew they would lose—except “death” was the original plan.

    ----------------------------------------------

    น่าสนใจมาก จากแหล่งข่าวนิรนาม
    โปรดอ่านอย่างตั้งใจ!!

    สิ่งที่ฮุน เซนต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่สงครามชายแดน — แต่คือการกำจัดทหารที่อาจจะไม่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮุนอีกต่อไป

    ขณะนี้ ฮุน เซนได้ลดงบประมาณกองทัพลงอย่างมาก และนำเงินไปสร้าง “กองกำลังพิเศษอารักขา” ซึ่งมีอาวุธทันสมัยที่สุด และมีไว้ให้เฉพาะผู้ที่จงรักภักดีต่อเขาเป็นการส่วนตัวเท่านั้น

    ทหารกัมพูชาทั่วไปไม่มีโอกาสแม้แต่จะสัมผัสอาวุธเหล่านั้น ทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับอาวุธยุคใหม่ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกส่งไปตายที่ชายแดน ภายใต้คำว่า “จงรักภักดีต่อชาติ” เป็นเกราะกำบัง

    ตอนนี้ ฮุน เซนกำลังเตรียมส่งกองทัพเรือเข้าสู่สนามรบ — ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อพิพาททางทะเลกับประเทศไทยด้วยซ้ำ ไม่มีแม้แต่เรือรบที่พร้อมรบ แต่กลับมีการส่งนายพลและลูกเรือไปตาย

    เรื่องนี้แปลกเกินไป และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สงครามเพื่อชาติ แต่เป็นสงครามเพื่อราชวงศ์

    แม้โลกอาจเพิกเฉยต่อประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชา แต่ความจริงคือ:

    ทหารกัมพูชากำลังถูกสังเวย — ไม่ใช่เพื่อประเทศชาติ — แต่เพื่อบัลลังก์ของชายคนเดียว

    นี่ไม่ใช่สงครามเพื่อประเทศ แต่มันคือการกวาดล้าง — ปฏิบัติการที่วางแผนมาอย่างดีเพื่อกำจัดทุกคนในเครื่องแบบที่อาจเป็นภัยต่ออำนาจของราชวงศ์ฮุน

    มันไม่ใช่แค่แปลก แต่มันคือกลยุทธ์

    ไม่มีผู้นำที่มีสติดีคนไหนจะส่งทหารไปตาย ทั้งที่รู้ว่าจะแพ้ — เว้นแต่ “ความตาย” นั้นจะเป็นแผนที่ถูกวางไว้แต่แรกอยู่แล้ว

    #กัมพูชายิงก่อน
    #CambodiaOpenedFire
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    #hunsenwarcriminal
    #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม
    #ឧក្រិដ្ឋជនហ៊ុនសែន
    #洪森戰爭罪犯
    Sat. Jul. 26, 2025 Very interesting. From unknown source. READ CAREFULLY!! What Hun Sen truly wants isn’t just a border war — it’s to eliminate soldiers who may no longer be loyal to Hun dynasty. Hunsen now significantly reduced the military budget and redirected funds to build a “special guard force” equipped with state-of-the-art weapons, available only to those loyal to him personally. Ordinary Cambodian soldiers don't have a chance to even touch those weapons. Soldiers are usually not familiar with modern weapons. But ultimately, he was sent to death at the border with patriotism, using the word "loyal to the nation" as a vest. And now, Hun Sen is preparing to send the navy to the battlefield — even though there is no maritime dispute with Thailand. There aren’t even proper warships ready, yet generals and sailors are being deployed to die. This is too weird, and obviously not a war for the nation, but a war for the dynasty. The world may ignore a small country like Cambodia, but the truth is this: Cambodian soldiers are being sacrificed — not for the nation — but for one man’s throne. This is not a war for the country. It’s a purge — a calculated operation to remove anyone in uniform who might challenge the Hun dynasty’s grip on power. It’s not just strange. It’s strategic. No rational leader would send his troops to death if he knew they would lose—except “death” was the original plan. ---------------------------------------------- น่าสนใจมาก จากแหล่งข่าวนิรนาม โปรดอ่านอย่างตั้งใจ!! สิ่งที่ฮุน เซนต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่สงครามชายแดน — แต่คือการกำจัดทหารที่อาจจะไม่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮุนอีกต่อไป ขณะนี้ ฮุน เซนได้ลดงบประมาณกองทัพลงอย่างมาก และนำเงินไปสร้าง “กองกำลังพิเศษอารักขา” ซึ่งมีอาวุธทันสมัยที่สุด และมีไว้ให้เฉพาะผู้ที่จงรักภักดีต่อเขาเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ทหารกัมพูชาทั่วไปไม่มีโอกาสแม้แต่จะสัมผัสอาวุธเหล่านั้น ทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับอาวุธยุคใหม่ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกส่งไปตายที่ชายแดน ภายใต้คำว่า “จงรักภักดีต่อชาติ” เป็นเกราะกำบัง ตอนนี้ ฮุน เซนกำลังเตรียมส่งกองทัพเรือเข้าสู่สนามรบ — ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อพิพาททางทะเลกับประเทศไทยด้วยซ้ำ ไม่มีแม้แต่เรือรบที่พร้อมรบ แต่กลับมีการส่งนายพลและลูกเรือไปตาย เรื่องนี้แปลกเกินไป และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สงครามเพื่อชาติ แต่เป็นสงครามเพื่อราชวงศ์ แม้โลกอาจเพิกเฉยต่อประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชา แต่ความจริงคือ: ทหารกัมพูชากำลังถูกสังเวย — ไม่ใช่เพื่อประเทศชาติ — แต่เพื่อบัลลังก์ของชายคนเดียว นี่ไม่ใช่สงครามเพื่อประเทศ แต่มันคือการกวาดล้าง — ปฏิบัติการที่วางแผนมาอย่างดีเพื่อกำจัดทุกคนในเครื่องแบบที่อาจเป็นภัยต่ออำนาจของราชวงศ์ฮุน มันไม่ใช่แค่แปลก แต่มันคือกลยุทธ์ ไม่มีผู้นำที่มีสติดีคนไหนจะส่งทหารไปตาย ทั้งที่รู้ว่าจะแพ้ — เว้นแต่ “ความตาย” นั้นจะเป็นแผนที่ถูกวางไว้แต่แรกอยู่แล้ว #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #hunsenwarcriminal #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม #ឧក្រិដ្ឋជនហ៊ុនសែន #洪森戰爭罪犯
    0 Comments 0 Shares 229 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ “หมากรุก” กลายเป็นเกมล่าระหว่างตำรวจกับแฮกเกอร์

    ลองจินตนาการว่าโลกไซเบอร์คือกระดานหมากรุก และกลุ่มแฮกเกอร์ชื่อ BlackSuit คือ “ราชา” ที่เดินเกมโจมตีองค์กรทั่วโลกมานานกว่า 2 ปี ด้วยกลยุทธ์ “ดับเบิลเอ็กซ์ทอร์ชัน” (Double Extortion) ที่ไม่เพียงล็อกไฟล์ แต่ยังขโมยข้อมูลแล้วขู่จะเปิดเผยหากไม่จ่ายค่าไถ่

    แต่แล้วในเดือนกรกฎาคม 2025 “Operation Checkmate” ก็เกิดขึ้น—ปฏิบัติการระหว่างประเทศที่นำโดย FBI, Europol และหน่วยงานจากกว่า 9 ประเทศ ร่วมกันยึดโดเมน .onion ของ BlackSuit ที่ใช้เจรจาเรียกค่าไถ่และเผยแพร่ข้อมูลเหยื่อบนดาร์กเว็บ

    นี่คือชัยชนะครั้งใหญ่ของโลกไซเบอร์ แต่ก็เป็นเพียง “การรุกฆาตชั่วคราว” เพราะนักวิจัยพบว่าอดีตสมาชิก BlackSuit ได้เริ่มต้นกลุ่มใหม่ชื่อ “Chaos ransomware” ที่ใช้เทคนิคคล้ายกัน และเริ่มโจมตีองค์กรในสหรัฐฯ และยุโรปแล้ว

    หน่วยงานระหว่างประเทศร่วมกันยึดโดเมนของ BlackSuit ransomware
    โดเมน .onion ที่ใช้เจรจาและเผยแพร่ข้อมูลเหยื่อถูกยึดโดย FBI และ Homeland Security
    มีหน่วยงานจากสหรัฐฯ, อังกฤษ, เยอรมนี, ยูเครน, แคนาดา และ Bitdefender ร่วมปฏิบัติการ

    BlackSuit เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์ที่รีแบรนด์มาจาก Royal และ Conti
    เริ่มต้นจาก Quantum → Zeon → Royal → BlackSuit
    มีประวัติเรียกค่าไถ่รวมกว่า $500 ล้าน และโจมตีองค์กรกว่า 350 แห่ง

    กลยุทธ์หลักของ BlackSuit คือ Double Extortion
    ล็อกไฟล์และขโมยข้อมูลเพื่อขู่เปิดเผย
    ใช้ดาร์กเว็บเป็นช่องทางเจรจาและเผยแพร่ข้อมูลเหยื่อ

    เหยื่อที่โดดเด่น ได้แก่ Kadokawa, ZooTampa, Octapharma และเมือง Dallas มีการขโมยข้อมูลหลายเทราไบต์และทำให้ระบบบริการสาธารณะล่ม

    https://hackread.com/operation-checkmate-dark-web-blacksuit-ransomware-seized/
    🎯 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ “หมากรุก” กลายเป็นเกมล่าระหว่างตำรวจกับแฮกเกอร์ ลองจินตนาการว่าโลกไซเบอร์คือกระดานหมากรุก และกลุ่มแฮกเกอร์ชื่อ BlackSuit คือ “ราชา” ที่เดินเกมโจมตีองค์กรทั่วโลกมานานกว่า 2 ปี ด้วยกลยุทธ์ “ดับเบิลเอ็กซ์ทอร์ชัน” (Double Extortion) ที่ไม่เพียงล็อกไฟล์ แต่ยังขโมยข้อมูลแล้วขู่จะเปิดเผยหากไม่จ่ายค่าไถ่ แต่แล้วในเดือนกรกฎาคม 2025 “Operation Checkmate” ก็เกิดขึ้น—ปฏิบัติการระหว่างประเทศที่นำโดย FBI, Europol และหน่วยงานจากกว่า 9 ประเทศ ร่วมกันยึดโดเมน .onion ของ BlackSuit ที่ใช้เจรจาเรียกค่าไถ่และเผยแพร่ข้อมูลเหยื่อบนดาร์กเว็บ นี่คือชัยชนะครั้งใหญ่ของโลกไซเบอร์ แต่ก็เป็นเพียง “การรุกฆาตชั่วคราว” เพราะนักวิจัยพบว่าอดีตสมาชิก BlackSuit ได้เริ่มต้นกลุ่มใหม่ชื่อ “Chaos ransomware” ที่ใช้เทคนิคคล้ายกัน และเริ่มโจมตีองค์กรในสหรัฐฯ และยุโรปแล้ว ✅ หน่วยงานระหว่างประเทศร่วมกันยึดโดเมนของ BlackSuit ransomware ➡️ โดเมน .onion ที่ใช้เจรจาและเผยแพร่ข้อมูลเหยื่อถูกยึดโดย FBI และ Homeland Security ➡️ มีหน่วยงานจากสหรัฐฯ, อังกฤษ, เยอรมนี, ยูเครน, แคนาดา และ Bitdefender ร่วมปฏิบัติการ ✅ BlackSuit เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์ที่รีแบรนด์มาจาก Royal และ Conti ➡️ เริ่มต้นจาก Quantum → Zeon → Royal → BlackSuit ➡️ มีประวัติเรียกค่าไถ่รวมกว่า $500 ล้าน และโจมตีองค์กรกว่า 350 แห่ง ✅ กลยุทธ์หลักของ BlackSuit คือ Double Extortion ➡️ ล็อกไฟล์และขโมยข้อมูลเพื่อขู่เปิดเผย ➡️ ใช้ดาร์กเว็บเป็นช่องทางเจรจาและเผยแพร่ข้อมูลเหยื่อ ✅ เหยื่อที่โดดเด่น ได้แก่ Kadokawa, ZooTampa, Octapharma และเมือง Dallas ➡️ มีการขโมยข้อมูลหลายเทราไบต์และทำให้ระบบบริการสาธารณะล่ม https://hackread.com/operation-checkmate-dark-web-blacksuit-ransomware-seized/
    HACKREAD.COM
    Operation Checkmate: BlackSuit Ransomware’s Dark Web Domains Seized
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: หนังสือที่เปลี่ยนผู้นำให้กลายเป็นนักคิดเชิงกลยุทธ์

    ลองนึกภาพว่าคุณเป็น CISO (Chief Information Security Officer) ที่ต้องรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ตลอดเวลา ทั้งการโจมตีแบบใหม่ ความเสี่ยงจากพฤติกรรมมนุษย์ และแรงกดดันจากผู้บริหารระดับสูง คุณจะพึ่งพาอะไรเพื่อพัฒนาทักษะการตัดสินใจและความเป็นผู้นำ?

    คำตอบของผู้นำหลายคนคือ “หนังสือ” — ไม่ใช่แค่คู่มือเทคนิค แต่เป็นแหล่งความรู้ที่ช่วยให้พวกเขาเข้าใจความเสี่ยง มนุษย์ และตัวเองได้ลึกซึ้งขึ้น

    จากการสำรวจของ CSO Online พบว่า CISO ชั้นนำแนะนำหนังสือหลากหลายแนว ตั้งแต่จิตวิทยาการตัดสินใจอย่าง Thinking, Fast and Slow ไปจนถึงการวัดความเสี่ยงแบบใหม่ใน How to Measure Anything in Cybersecurity Risk และแม้แต่หนังสืออย่าง The Art of Deception ที่เผยกลยุทธ์ของแฮกเกอร์ในการหลอกล่อมนุษย์

    สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายคนยังแนะนำหนังสือที่ไม่เกี่ยวกับไซเบอร์โดยตรง เช่น The Alchemist หรือ Our Town เพื่อเตือนตัวเองให้กลับมาโฟกัสกับชีวิตและความหมายที่แท้จริง

    หนังสือที่ช่วยพัฒนาทักษะการวัดและจัดการความเสี่ยง

    How to Measure Anything in Cybersecurity Risk โดย Douglas Hubbard & Richard Seiersen
    เสนอวิธีวัดความเสี่ยงแบบกึ่งปริมาณที่แม่นยำกว่าการใช้ risk matrix
    ได้รับการแนะนำจากหลาย CISO เช่น Daniel Schatz และ James Blake

    Superforecasting โดย Philip Tetlock & Dan Gardner
    เจาะลึกศาสตร์แห่งการพยากรณ์อนาคตอย่างมีหลักการ
    มีตัวอย่างจริงและแนวทางสร้างการคาดการณ์ที่แม่นยำ

    หนังสือที่ช่วยลด “เสียงรบกวน” ในการตัดสินใจ

    Thinking, Fast and Slow โดย Daniel Kahneman
    อธิบายระบบคิดแบบเร็ว (System 1) และช้า (System 2)
    ช่วยให้เข้าใจอคติและข้อผิดพลาดในการตัดสินใจ

    Noise โดย Kahneman และทีม
    วิเคราะห์ว่าทำไมมนุษย์ถึงตัดสินใจผิดเพราะ “เสียงรบกวน”
    เสนอวิธีลดความผิดพลาดในการประเมินสถานการณ์

    Yeah, But โดย Marc Wolfe
    ช่วยให้ผู้นำจัดการกับเสียงในหัวที่ขัดขวางการเปลี่ยนแปลง
    ส่งเสริมความชัดเจนในการคิดและการนำทีม

    Digital Minimalism โดย Cal Newport
    ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ
    ช่วยปกป้องเวลาและความสนใจของผู้นำ

    Better Than Before โดย Gretchen Rubin
    เสนอกรอบการสร้างนิสัยที่ดีเพื่อสนับสนุนเป้าหมายชีวิตและงาน

    หนังสือที่เน้นความเสี่ยงจากพฤติกรรมมนุษย์

    The Art of Deception โดย Kevin Mitnick
    เผยกลยุทธ์ social engineering ที่แฮกเกอร์ใช้หลอกมนุษย์
    ยังคงเป็นหนังสือพื้นฐานที่มีคุณค่าแม้จะตีพิมพ์มานาน

    Secrets and Lies โดย Bruce Schneier
    อธิบายความซับซ้อนของความปลอดภัยดิจิทัล
    เน้นว่าการจัดการพฤติกรรมมนุษย์สำคัญไม่แพ้เทคโนโลยี

    Human Hacked โดย Len Noe
    เจาะลึกผลกระทบของ AI ต่อการตัดสินใจของมนุษย์
    เตือนถึงผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดจากการผสานมนุษย์กับเทคโนโลยี

    ความเสี่ยงจากการละเลยพฤติกรรมมนุษย์ในระบบความปลอดภัย
    องค์กรที่เน้นเทคโนโลยีอย่างเดียวอาจพลาดช่องโหว่จากมนุษย์
    การไม่เข้าใจ social engineering ทำให้ระบบถูกเจาะง่ายขึ้น

    หนังสือที่ช่วยพัฒนาภาวะผู้นำ

    Dare to Lead โดย Brené Brown
    เน้นความกล้าหาญทางอารมณ์และความยืดหยุ่น
    ส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้างและรับผิดชอบ

    Radical Candor โดย Kim Scott
    เสนอกรอบการให้ feedback ที่ตรงไปตรงมาแต่มีความเห็นอกเห็นใจ
    ช่วยสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

    ความเสี่ยงจากการเป็นผู้นำที่ขาดความเห็นอกเห็นใจ
    ผู้นำที่เน้นเทคนิคแต่ละเลยมนุษย์อาจสร้างทีมที่ไม่ยั่งยืน
    การขาด feedback ที่มีคุณภาพทำให้ทีมขาดการพัฒนา

    หนังสือที่เตือนให้กลับมาโฟกัสกับชีวิต

    Our Town โดย Thornton Wilder
    เตือนให้เห็นคุณค่าของชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์
    ช่วยให้ผู้นำกลับมาโฟกัสกับสิ่งสำคัญนอกเหนือจากงาน

    The Alchemist โดย Paulo Coelho
    เรื่องราวการเดินทางตามความฝันที่เต็มไปด้วยบทเรียนชีวิต
    สะท้อนความกล้าหาญในการเลือกเส้นทางที่ไม่เป็นไปตามกรอบเดิม

    Get Out of I.T. While You Can โดย Craig Schiefelbein
    ท้าทายให้ผู้นำไอทีทบทวนบทบาทและคุณค่าของตน
    กระตุ้นให้สร้างผลกระทบเชิงกลยุทธ์มากกว่าการทำงานเชิงเทคนิค

    https://www.csoonline.com/article/4027000/the-books-shaping-todays-cybersecurity-leaders.html
    📚 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: หนังสือที่เปลี่ยนผู้นำให้กลายเป็นนักคิดเชิงกลยุทธ์ ลองนึกภาพว่าคุณเป็น CISO (Chief Information Security Officer) ที่ต้องรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ตลอดเวลา ทั้งการโจมตีแบบใหม่ ความเสี่ยงจากพฤติกรรมมนุษย์ และแรงกดดันจากผู้บริหารระดับสูง คุณจะพึ่งพาอะไรเพื่อพัฒนาทักษะการตัดสินใจและความเป็นผู้นำ? คำตอบของผู้นำหลายคนคือ “หนังสือ” — ไม่ใช่แค่คู่มือเทคนิค แต่เป็นแหล่งความรู้ที่ช่วยให้พวกเขาเข้าใจความเสี่ยง มนุษย์ และตัวเองได้ลึกซึ้งขึ้น จากการสำรวจของ CSO Online พบว่า CISO ชั้นนำแนะนำหนังสือหลากหลายแนว ตั้งแต่จิตวิทยาการตัดสินใจอย่าง Thinking, Fast and Slow ไปจนถึงการวัดความเสี่ยงแบบใหม่ใน How to Measure Anything in Cybersecurity Risk และแม้แต่หนังสืออย่าง The Art of Deception ที่เผยกลยุทธ์ของแฮกเกอร์ในการหลอกล่อมนุษย์ สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายคนยังแนะนำหนังสือที่ไม่เกี่ยวกับไซเบอร์โดยตรง เช่น The Alchemist หรือ Our Town เพื่อเตือนตัวเองให้กลับมาโฟกัสกับชีวิตและความหมายที่แท้จริง 📙📖 หนังสือที่ช่วยพัฒนาทักษะการวัดและจัดการความเสี่ยง ⭕ ✅ How to Measure Anything in Cybersecurity Risk โดย Douglas Hubbard & Richard Seiersen ➡️ เสนอวิธีวัดความเสี่ยงแบบกึ่งปริมาณที่แม่นยำกว่าการใช้ risk matrix ➡️ ได้รับการแนะนำจากหลาย CISO เช่น Daniel Schatz และ James Blake ✅ Superforecasting โดย Philip Tetlock & Dan Gardner ➡️ เจาะลึกศาสตร์แห่งการพยากรณ์อนาคตอย่างมีหลักการ ➡️ มีตัวอย่างจริงและแนวทางสร้างการคาดการณ์ที่แม่นยำ ⭐📖 หนังสือที่ช่วยลด “เสียงรบกวน” ในการตัดสินใจ ⭕ ✅ Thinking, Fast and Slow โดย Daniel Kahneman ➡️ อธิบายระบบคิดแบบเร็ว (System 1) และช้า (System 2) ➡️ ช่วยให้เข้าใจอคติและข้อผิดพลาดในการตัดสินใจ ✅ Noise โดย Kahneman และทีม ➡️ วิเคราะห์ว่าทำไมมนุษย์ถึงตัดสินใจผิดเพราะ “เสียงรบกวน” ➡️ เสนอวิธีลดความผิดพลาดในการประเมินสถานการณ์ ✅ Yeah, But โดย Marc Wolfe ➡️ ช่วยให้ผู้นำจัดการกับเสียงในหัวที่ขัดขวางการเปลี่ยนแปลง ➡️ ส่งเสริมความชัดเจนในการคิดและการนำทีม ✅ Digital Minimalism โดย Cal Newport ➡️ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ ➡️ ช่วยปกป้องเวลาและความสนใจของผู้นำ ✅ Better Than Before โดย Gretchen Rubin ➡️ เสนอกรอบการสร้างนิสัยที่ดีเพื่อสนับสนุนเป้าหมายชีวิตและงาน 🙎‍♂️📖 หนังสือที่เน้นความเสี่ยงจากพฤติกรรมมนุษย์ ⭕ ✅ The Art of Deception โดย Kevin Mitnick ➡️ เผยกลยุทธ์ social engineering ที่แฮกเกอร์ใช้หลอกมนุษย์ ➡️ ยังคงเป็นหนังสือพื้นฐานที่มีคุณค่าแม้จะตีพิมพ์มานาน ✅ Secrets and Lies โดย Bruce Schneier ➡️ อธิบายความซับซ้อนของความปลอดภัยดิจิทัล ➡️ เน้นว่าการจัดการพฤติกรรมมนุษย์สำคัญไม่แพ้เทคโนโลยี ✅ Human Hacked โดย Len Noe ➡️ เจาะลึกผลกระทบของ AI ต่อการตัดสินใจของมนุษย์ ➡️ เตือนถึงผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดจากการผสานมนุษย์กับเทคโนโลยี ‼️ ความเสี่ยงจากการละเลยพฤติกรรมมนุษย์ในระบบความปลอดภัย ⛔ องค์กรที่เน้นเทคโนโลยีอย่างเดียวอาจพลาดช่องโหว่จากมนุษย์ ⛔ การไม่เข้าใจ social engineering ทำให้ระบบถูกเจาะง่ายขึ้น 🔝📖 หนังสือที่ช่วยพัฒนาภาวะผู้นำ ⭕ ✅ Dare to Lead โดย Brené Brown ➡️ เน้นความกล้าหาญทางอารมณ์และความยืดหยุ่น ➡️ ส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้างและรับผิดชอบ ✅ Radical Candor โดย Kim Scott ➡️ เสนอกรอบการให้ feedback ที่ตรงไปตรงมาแต่มีความเห็นอกเห็นใจ ➡️ ช่วยสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ‼️ ความเสี่ยงจากการเป็นผู้นำที่ขาดความเห็นอกเห็นใจ ⛔ ผู้นำที่เน้นเทคนิคแต่ละเลยมนุษย์อาจสร้างทีมที่ไม่ยั่งยืน ⛔ การขาด feedback ที่มีคุณภาพทำให้ทีมขาดการพัฒนา 🔎📖 หนังสือที่เตือนให้กลับมาโฟกัสกับชีวิต ⭕ ✅ Our Town โดย Thornton Wilder ➡️ เตือนให้เห็นคุณค่าของชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์ ➡️ ช่วยให้ผู้นำกลับมาโฟกัสกับสิ่งสำคัญนอกเหนือจากงาน ✅ The Alchemist โดย Paulo Coelho ➡️ เรื่องราวการเดินทางตามความฝันที่เต็มไปด้วยบทเรียนชีวิต ➡️ สะท้อนความกล้าหาญในการเลือกเส้นทางที่ไม่เป็นไปตามกรอบเดิม ✅ Get Out of I.T. While You Can โดย Craig Schiefelbein ➡️ ท้าทายให้ผู้นำไอทีทบทวนบทบาทและคุณค่าของตน ➡️ กระตุ้นให้สร้างผลกระทบเชิงกลยุทธ์มากกว่าการทำงานเชิงเทคนิค https://www.csoonline.com/article/4027000/the-books-shaping-todays-cybersecurity-leaders.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The books shaping today’s cybersecurity leaders
    Cybersecurity leaders reveal the books that have influenced how they lead, think, and manage security in the enterprise — and their own lives.
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Intel ตัดสินใจ “ตัดแขน” เพื่อรักษาหัวใจ

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็นบริษัทที่เคยครองโลกด้านชิป PC แต่วันนี้ยอดขายตกต่ำ กำไรหาย และคู่แข่งอย่าง NVIDIA กับ AMD กำลังแซงหน้า — คุณจะทำยังไง?

    Intel ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan เลือกใช้วิธี “ตัดส่วนที่ไม่ใช่หัวใจ” เพื่อรักษาแกนหลักของธุรกิจ โดยล่าสุดประกาศแยกธุรกิจเครือข่ายและการสื่อสาร (Network & Edge Group หรือ NEX) ออกเป็นบริษัทอิสระ พร้อมเปิดรับนักลงทุนภายนอก

    NEX เคยสร้างรายได้ถึง $5.8 พันล้านในปี 2024 หรือประมาณ 11% ของรายได้รวมของ Intel แต่ถูกมองว่าไม่ใช่ “แกนหลัก” ในยุคที่ AI และชิป PC กลับมาเป็นจุดแข็งที่ต้องเร่งฟื้นฟู

    Intel จะยังคงถือหุ้นบางส่วนในบริษัทใหม่ เพื่อเก็บเกี่ยวผลตอบแทนในอนาคต แต่จะไม่บริหารโดยตรงอีกต่อไป

    Intel เตรียมแยกธุรกิจเครือข่ายและการสื่อสารออกเป็นบริษัทอิสระ
    หน่วยงาน NEX เคยสร้างรายได้ $5.8 พันล้านในปี 2024
    คิดเป็น 11% ของรายได้รวมของ Intel

    CEO Lip-Bu Tan ใช้กลยุทธ์ “Back to Core”
    เน้นธุรกิจหลักคือชิป PC และศูนย์ข้อมูล
    ลดการลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่แกนหลัก เช่น telecom infrastructure

    Intel จะยังคงเป็น “ผู้ลงทุนหลัก” ในบริษัทใหม่
    คล้ายกับกรณีขายหุ้น Altera ให้ Silver Lake
    เปิดรับนักลงทุนภายนอกเพื่อเร่งการเติบโต

    เป้าหมายคือการฟื้นฟูกำไรและลดต้นทุน
    Intel ขาดทุนต่อเนื่อง 6 ไตรมาส รวม $1.25 พันล้านในไตรมาสล่าสุด
    มีแผนลดค่าใช้จ่าย $10 พันล้าน และปลดพนักงาน 20,000 คน

    การแยก NEX จะช่วยให้ Intel โฟกัสกับ AI และโรงงานผลิตชิป
    เงินที่ได้จะนำไปลงทุนในโรงงานที่โอไฮโอและ R&D ด้าน AI
    ตั้งเป้าให้ธุรกิจ foundry มีกำไรภายในปี 2030

    บริษัทใหม่จะเน้น Ethernet, edge security และ AI networking
    แข่งกับ Broadcom, Marvell, AMD และ NVIDIA
    มีอิสระในการตัดสินใจและนวัตกรรมเร็วขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/26/intel-to-separate-networking-unit-as-new-ceo-tan-overhauls-business
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Intel ตัดสินใจ “ตัดแขน” เพื่อรักษาหัวใจ ลองจินตนาการว่าคุณเป็นบริษัทที่เคยครองโลกด้านชิป PC แต่วันนี้ยอดขายตกต่ำ กำไรหาย และคู่แข่งอย่าง NVIDIA กับ AMD กำลังแซงหน้า — คุณจะทำยังไง? Intel ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan เลือกใช้วิธี “ตัดส่วนที่ไม่ใช่หัวใจ” เพื่อรักษาแกนหลักของธุรกิจ โดยล่าสุดประกาศแยกธุรกิจเครือข่ายและการสื่อสาร (Network & Edge Group หรือ NEX) ออกเป็นบริษัทอิสระ พร้อมเปิดรับนักลงทุนภายนอก NEX เคยสร้างรายได้ถึง $5.8 พันล้านในปี 2024 หรือประมาณ 11% ของรายได้รวมของ Intel แต่ถูกมองว่าไม่ใช่ “แกนหลัก” ในยุคที่ AI และชิป PC กลับมาเป็นจุดแข็งที่ต้องเร่งฟื้นฟู Intel จะยังคงถือหุ้นบางส่วนในบริษัทใหม่ เพื่อเก็บเกี่ยวผลตอบแทนในอนาคต แต่จะไม่บริหารโดยตรงอีกต่อไป ✅ Intel เตรียมแยกธุรกิจเครือข่ายและการสื่อสารออกเป็นบริษัทอิสระ ➡️ หน่วยงาน NEX เคยสร้างรายได้ $5.8 พันล้านในปี 2024 ➡️ คิดเป็น 11% ของรายได้รวมของ Intel ✅ CEO Lip-Bu Tan ใช้กลยุทธ์ “Back to Core” ➡️ เน้นธุรกิจหลักคือชิป PC และศูนย์ข้อมูล ➡️ ลดการลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่แกนหลัก เช่น telecom infrastructure ✅ Intel จะยังคงเป็น “ผู้ลงทุนหลัก” ในบริษัทใหม่ ➡️ คล้ายกับกรณีขายหุ้น Altera ให้ Silver Lake ➡️ เปิดรับนักลงทุนภายนอกเพื่อเร่งการเติบโต ✅ เป้าหมายคือการฟื้นฟูกำไรและลดต้นทุน ➡️ Intel ขาดทุนต่อเนื่อง 6 ไตรมาส รวม $1.25 พันล้านในไตรมาสล่าสุด ➡️ มีแผนลดค่าใช้จ่าย $10 พันล้าน และปลดพนักงาน 20,000 คน ✅ การแยก NEX จะช่วยให้ Intel โฟกัสกับ AI และโรงงานผลิตชิป ➡️ เงินที่ได้จะนำไปลงทุนในโรงงานที่โอไฮโอและ R&D ด้าน AI ➡️ ตั้งเป้าให้ธุรกิจ foundry มีกำไรภายในปี 2030 ✅ บริษัทใหม่จะเน้น Ethernet, edge security และ AI networking ➡️ แข่งกับ Broadcom, Marvell, AMD และ NVIDIA ➡️ มีอิสระในการตัดสินใจและนวัตกรรมเร็วขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/26/intel-to-separate-networking-unit-as-new-ceo-tan-overhauls-business
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Intel to separate networking unit as new CEO Tan overhauls business
    (Reuters) -Intel is planning to separate its networking and communications unit into a stand-alone company and has begun the process of identifying investors, the chipmaker said on Friday, as new CEO Lip-Bu Tan looks to streamline its operations.
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • ตามที่เกิดสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปผลการปฏิบัติที่สำคัญ ดังนี้
    .
    สถานการณ์การสู้รบ กลยุทธ์ฝ่ายตรงข้ามยังคงพยายามใช้กำลังทหารราบเข้าประชิดกำลังฝ่ายเราเพื่อพยายามเข้าโจมตีหลักในพื้นที่ ช่องบก, ซำแต, ภูมะเขือ, ช่องตาเฒ่า, ประสาทตาเมือน และปราสาทตาควาย โดยมีการยิงด้วยอาวุธยิงสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ, พื้นที่ช่องบก มีความพยายามที่จะยึดเนิน 469, พื้นที่ช่องอานม้า ปรับกำลังเข้าควบคุมพื้นที่ การปะทะเบาบางลง, พื้นที่ซำแต ยังคงมีการโจมตีด้วยอาวุธยิงสนับสนุน ด้วยรถถัง และปืนใหญ่, พื้นที่สัตตะโสม ฝ่ายตรงข้ามได้รับความเสียหายอย่างหนัก, พื้นที่เขาพระวิหาร มีการปะทะอย่างต่อเนื่องบริเวณวัดพระแก้ว, พื้นที่ภูมะเขือ มีการดำเนินกลยุทธ์เพื่อยึดพื้นที่สำคัญให้เกิดความได้เปรียบอีกฝ่าย, พื้นที่เนิน 350 ถูกทำลายด้วยอาวุธยิงสนับสนุนของฝ่ายเรา, พื้นที่ปราสาท ตาควาย (อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์) ถูกอาวุธยิงสนับสนุนจากฝ่ายเราไม่สามารถดำเนินการเข้าตีต่อฝ่ายเราได้, พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม (อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์) ฝ่ายเราสามารถสกัดกั้นการเข้าฝ่ายตรงข้ามถอยกลับไป สถานะปัจจุบันฝ่ายตรงข้าม : เสียชีวิตที่พื้นที่ภูผีประมาณ 100 นาย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000070400

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ตามที่เกิดสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปผลการปฏิบัติที่สำคัญ ดังนี้ . สถานการณ์การสู้รบ กลยุทธ์ฝ่ายตรงข้ามยังคงพยายามใช้กำลังทหารราบเข้าประชิดกำลังฝ่ายเราเพื่อพยายามเข้าโจมตีหลักในพื้นที่ ช่องบก, ซำแต, ภูมะเขือ, ช่องตาเฒ่า, ประสาทตาเมือน และปราสาทตาควาย โดยมีการยิงด้วยอาวุธยิงสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ, พื้นที่ช่องบก มีความพยายามที่จะยึดเนิน 469, พื้นที่ช่องอานม้า ปรับกำลังเข้าควบคุมพื้นที่ การปะทะเบาบางลง, พื้นที่ซำแต ยังคงมีการโจมตีด้วยอาวุธยิงสนับสนุน ด้วยรถถัง และปืนใหญ่, พื้นที่สัตตะโสม ฝ่ายตรงข้ามได้รับความเสียหายอย่างหนัก, พื้นที่เขาพระวิหาร มีการปะทะอย่างต่อเนื่องบริเวณวัดพระแก้ว, พื้นที่ภูมะเขือ มีการดำเนินกลยุทธ์เพื่อยึดพื้นที่สำคัญให้เกิดความได้เปรียบอีกฝ่าย, พื้นที่เนิน 350 ถูกทำลายด้วยอาวุธยิงสนับสนุนของฝ่ายเรา, พื้นที่ปราสาท ตาควาย (อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์) ถูกอาวุธยิงสนับสนุนจากฝ่ายเราไม่สามารถดำเนินการเข้าตีต่อฝ่ายเราได้, พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม (อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์) ฝ่ายเราสามารถสกัดกั้นการเข้าฝ่ายตรงข้ามถอยกลับไป สถานะปัจจุบันฝ่ายตรงข้าม : เสียชีวิตที่พื้นที่ภูผีประมาณ 100 นาย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000070400 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    10
    0 Comments 0 Shares 579 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกเลเซอร์: เมื่อแสงกลายเป็นทางลัดของข้อมูล

    TechRadar รายงานความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการพัฒนา “ชิปโฟโตนิกส์” ที่ใช้เลเซอร์ควอนตัมดอท (Quantum Dot Lasers) ซึ่งสามารถทำงานบนซิลิคอนได้โดยตรง โดยไม่ต้องออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด และยังทนความร้อนได้ดีเยี่ยม เหมาะกับการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์อัจฉริยะในอนาคต

    ลองจินตนาการว่าในอนาคต ชิปที่อยู่ในสมาร์ทโฟนหรือโน้ตบุ๊กของคุณจะไม่ส่งข้อมูลด้วยไฟฟ้า แต่ใช้ “แสง” แทน ซึ่งเร็วกว่าและประหยัดพลังงานมากกว่า แต่ปัญหาคือการรวมเลเซอร์เข้ากับซิลิคอนนั้นยากมาก เพราะวัสดุไม่เข้ากัน

    ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย นำโดย Rosalyn Koscica ได้แก้ปัญหานี้ด้วย 3 กลยุทธ์:

    1️⃣ ใช้การเติบโตแบบสองขั้นตอน (MOCVD + MBE) เพื่อสร้างเลเซอร์ควอนตัมดอทบนซิลิคอน

    2️⃣ เติมช่องว่างด้วยโพลิเมอร์เพื่อลดการกระจายของแสง

    3️⃣ ใช้การออกแบบเลเซอร์แบบ pocket laser ที่เล็กและแม่นยำ

    ผลลัพธ์คือเลเซอร์ที่ทำงานได้ในช่วง O-band (เหมาะกับการสื่อสารข้อมูล) ทนความร้อนได้ถึง 105°C และมีอายุการใช้งานกว่า 6 ปี โดยไม่ต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อน

    ที่สำคัญคือกระบวนการนี้สามารถผลิตในโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ทั่วไปได้เลย ไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างชิป ทำให้มีโอกาสผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้ง่ายขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/a-new-trick-for-merging-lasers-with-silicon-could-finally-make-photonic-chips-cheap-fast-and-ready-for-mass-production
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเลเซอร์: เมื่อแสงกลายเป็นทางลัดของข้อมูล TechRadar รายงานความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการพัฒนา “ชิปโฟโตนิกส์” ที่ใช้เลเซอร์ควอนตัมดอท (Quantum Dot Lasers) ซึ่งสามารถทำงานบนซิลิคอนได้โดยตรง โดยไม่ต้องออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด และยังทนความร้อนได้ดีเยี่ยม เหมาะกับการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์อัจฉริยะในอนาคต ลองจินตนาการว่าในอนาคต ชิปที่อยู่ในสมาร์ทโฟนหรือโน้ตบุ๊กของคุณจะไม่ส่งข้อมูลด้วยไฟฟ้า แต่ใช้ “แสง” แทน ซึ่งเร็วกว่าและประหยัดพลังงานมากกว่า แต่ปัญหาคือการรวมเลเซอร์เข้ากับซิลิคอนนั้นยากมาก เพราะวัสดุไม่เข้ากัน ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย นำโดย Rosalyn Koscica ได้แก้ปัญหานี้ด้วย 3 กลยุทธ์: 1️⃣ ใช้การเติบโตแบบสองขั้นตอน (MOCVD + MBE) เพื่อสร้างเลเซอร์ควอนตัมดอทบนซิลิคอน 2️⃣ เติมช่องว่างด้วยโพลิเมอร์เพื่อลดการกระจายของแสง 3️⃣ ใช้การออกแบบเลเซอร์แบบ pocket laser ที่เล็กและแม่นยำ ผลลัพธ์คือเลเซอร์ที่ทำงานได้ในช่วง O-band (เหมาะกับการสื่อสารข้อมูล) ทนความร้อนได้ถึง 105°C และมีอายุการใช้งานกว่า 6 ปี โดยไม่ต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อน ที่สำคัญคือกระบวนการนี้สามารถผลิตในโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ทั่วไปได้เลย ไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างชิป ทำให้มีโอกาสผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้ง่ายขึ้น https://www.techradar.com/pro/a-new-trick-for-merging-lasers-with-silicon-could-finally-make-photonic-chips-cheap-fast-and-ready-for-mass-production
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากวงการชิป: เมื่อ Intel อาจยอมถอยจากแนวหน้าของเทคโนโลยี

    ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan Intel กำลังปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในแผนก Intel Foundry Services (IFS) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก

    แม้ Intel จะมีความก้าวหน้าในกระบวนการผลิต 18A (เทียบเท่า 1.8nm) แต่ตลาดกลับยังคงเทใจให้กับ TSMC ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตชิป ทำให้ Intel เผชิญกับความไม่แน่นอนว่า:

    หากไม่มีลูกค้าภายนอกรายใหญ่สำหรับ 14A และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญได้ อาจไม่คุ้มค่าที่จะพัฒนาต่อ

    Intel จึงอาจ:
    - หยุดพัฒนา 14A และกระบวนการผลิตขั้นสูงอื่นๆ
    - ยกเลิกโครงการขยายโรงงานบางแห่ง
    - หันไปเน้นผลิตชิปภายใน เช่น Panther Lake และ Clearwater Forest

    สถานการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจาก Intel รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด แม้จะมีการปลดพนักงานจำนวนมากแล้วก็ตาม

    Intel อาจถอนตัวจากการแข่งขันด้านชิปขั้นสูง หากไม่มีลูกค้าภายนอก
    โดยเฉพาะกระบวนการผลิต 14A และ 18A

    CEO Lip-Bu Tan เตรียมปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูบริษัท
    รวมถึงการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในแผนก Intel Foundry Services

    กระบวนการผลิต 18A มีความก้าวหน้า แต่ยังเน้นใช้ภายในบริษัท
    เช่นในผลิตภัณฑ์ Panther Lake และ Clearwater Forest

    ตลาดยังคงเลือกใช้บริการของ TSMC มากกว่า Intel
    ทำให้ Intel ขาดแรงสนับสนุนจากลูกค้าภายนอก

    Intel รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด
    แม้จะมีการปลดพนักงานและลดค่าใช้จ่ายแล้ว

    หากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของ 14A ได้ อาจหยุดพัฒนาและขยายโรงงาน
    เป็นการลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว

    หาก Intel ถอนตัวจากการผลิตชิปขั้นสูง อาจทำให้สหรัฐฯ ขาดผู้ผลิตชิประดับแนวหน้า
    ส่งผลต่อความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและการแข่งขันระดับโลก

    การพึ่งพา TSMC มากเกินไปอาจสร้างความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน
    โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่แน่นอน

    การหยุดพัฒนา 14A และโครงการโรงงานอาจทำให้ Intel เสียโอกาสในอนาคต
    โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และ HPC ต้องการชิปขั้นสูง

    การขาดลูกค้าภายนอกสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงในเทคโนโลยีของ Intel
    อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันระยะยาว

    https://wccftech.com/intel-will-drop-out-of-the-cutting-edge-chip-race-if-it-doesnt-see-external-customer-interest/
    🎙️ เรื่องเล่าจากวงการชิป: เมื่อ Intel อาจยอมถอยจากแนวหน้าของเทคโนโลยี ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan Intel กำลังปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในแผนก Intel Foundry Services (IFS) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก แม้ Intel จะมีความก้าวหน้าในกระบวนการผลิต 18A (เทียบเท่า 1.8nm) แต่ตลาดกลับยังคงเทใจให้กับ TSMC ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตชิป ทำให้ Intel เผชิญกับความไม่แน่นอนว่า: 🔖 หากไม่มีลูกค้าภายนอกรายใหญ่สำหรับ 14A และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญได้ อาจไม่คุ้มค่าที่จะพัฒนาต่อ Intel จึงอาจ: - หยุดพัฒนา 14A และกระบวนการผลิตขั้นสูงอื่นๆ - ยกเลิกโครงการขยายโรงงานบางแห่ง - หันไปเน้นผลิตชิปภายใน เช่น Panther Lake และ Clearwater Forest สถานการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจาก Intel รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด แม้จะมีการปลดพนักงานจำนวนมากแล้วก็ตาม ✅ Intel อาจถอนตัวจากการแข่งขันด้านชิปขั้นสูง หากไม่มีลูกค้าภายนอก ➡️ โดยเฉพาะกระบวนการผลิต 14A และ 18A ✅ CEO Lip-Bu Tan เตรียมปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูบริษัท ➡️ รวมถึงการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในแผนก Intel Foundry Services ✅ กระบวนการผลิต 18A มีความก้าวหน้า แต่ยังเน้นใช้ภายในบริษัท ➡️ เช่นในผลิตภัณฑ์ Panther Lake และ Clearwater Forest ✅ ตลาดยังคงเลือกใช้บริการของ TSMC มากกว่า Intel ➡️ ทำให้ Intel ขาดแรงสนับสนุนจากลูกค้าภายนอก ✅ Intel รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด ➡️ แม้จะมีการปลดพนักงานและลดค่าใช้จ่ายแล้ว ✅ หากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของ 14A ได้ อาจหยุดพัฒนาและขยายโรงงาน ➡️ เป็นการลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว ‼️ หาก Intel ถอนตัวจากการผลิตชิปขั้นสูง อาจทำให้สหรัฐฯ ขาดผู้ผลิตชิประดับแนวหน้า ⛔ ส่งผลต่อความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและการแข่งขันระดับโลก ‼️ การพึ่งพา TSMC มากเกินไปอาจสร้างความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน ⛔ โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่แน่นอน ‼️ การหยุดพัฒนา 14A และโครงการโรงงานอาจทำให้ Intel เสียโอกาสในอนาคต ⛔ โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และ HPC ต้องการชิปขั้นสูง ‼️ การขาดลูกค้าภายนอกสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงในเทคโนโลยีของ Intel ⛔ อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันระยะยาว https://wccftech.com/intel-will-drop-out-of-the-cutting-edge-chip-race-if-it-doesnt-see-external-customer-interest/
    WCCFTECH.COM
    Intel Will Drop Out of the Cutting-Edge Chip Race If It Doesn’t See External Customer Interest, Possibly Marking the Fall of a Key Custodian of Moore's Law
    Intel's foundry division is expected to witness changes, with one primary being the decision to drop the pursuit of cutting-edge chips.
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • IO กัมพูชาไม่ได้ “ลุยเดี่ยว” แต่ “เล่นเป็นทีม” Scambodia

    มีบางสงคราม ที่ยังไม่ทันยิงปืน แต่เริ่มยึดพื้นที่ความคิดทั้งแผ่นดิน และในวันนี้เสียงระเบิดเริ่มขึ้น ความเข้าใจผิดในมุมต่างๆเริ่มขยายขึ้นแล้ว

    และวันนี้ เรากำลังอยู่ในสนามนั้น

    ภาพชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าการ “ปั่นหัว ปั่นข่าว” จากกลุ่ม IO ที่มีต้นทางจากกัมพูชา ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ และไม่ใช่แค่ฝีมือของ “มือสมัครเล่น” แบบที่เราชอบหลอกตัวเอง แต่เป็นการ “เล่นกันเป็นทีม” แบบมีทั้งคนเปิด คนรับ และคนตามน้ำอย่างเป็นระบบ

    ฝั่งโน้น ใช้ “ความไม่รู้” ของประชาชน เป็น “จุดแข็ง” ในการจู่โจม ขณะที่ฝั่งนี้ กลับใช้ “ความรู้” ของเจ้าหน้าที่ เป็นแค่ “คำอธิบาย” ที่ไม่มีใครฟังจนจบ

    คำถามที่ต้องกล้าถามคือ ในสงครามข้อมูล ใครควบคุม narrative คนนั้นคือคนทิศทางของประเทศ แล้วตอนนี้ narrative ของเรา อยู่ในมือใคร? IO แบบใหม่ ไม่ได้ล่อเป้าแค่ด้วยความเท็จ แต่ ลวงให้เชื่อ ด้วยความคลุมเครือ

    มันไม่ใช่ “fake news” แบบเก่า แต่คือ “context manipulation” แบบใหม่

    คนทำข่าวไม่ต้องพูดเท็จ แค่ “บิดลำดับ” หรือ “โยงคำพูด” ก็เปลี่ยนความหมายได้ทั้งเกม ยิ่งในสังคมที่คนเสพข่าวแบบ “ครึ่งบรรทัด” แล้วแชร์กันทั้งประเทศ ความเสียหายไม่ต้องรอ 24 ชั่วโมง

    แล้วฝั่งไทยล่ะ?

    ยังตั้งรับแบบ “ขอพื้นที่ชี้แจง” ยังคิดว่า “เดี๋ยวคนก็รู้ทันกัมพูชา” ยังใช้วิธี “ชี้แจงทีหลัง” กับสงครามที่เขา ยิงก่อน-ลบก่อน-ไปก่อน

    หลายคนโทรมาถามว่า “ควรทำยังไง?” แต่พอให้คำตอบไป ก็ เงียบ เหมือนเดิม

    เพราะสิ่งที่ต้องทำ มันไม่ใช่แค่ “สั่งให้โพสต์ตอบ” แต่คือการ “วางโครงสร้าง narrative” ใหม่ทั้งหมด

    เรากำลังพ่าย เพราะเราไม่มี “Story Commander”

    เราไม่ขาดคนฉลาด เราไม่ขาดข้อมูล แต่เรา ขาดแม่ทัพที่ควบคุม “กลยุทธ์เล่าเรื่อง” ให้ทั้งกองทัพ ภาคการเมือง สื่อ และ ภาคประชาชน เดินไปในจังหวะเดียวกัน

    ในเมื่อเขาใช้ “หมาก IO แบบสามจังหวะ” คือ เปิด – โยน – ขยาย เราต้องตอบด้วยหมากที่ เหนือกว่า ไม่ใช่แค่ “ลบล้าง” แต่ต้อง “ครองใจ”

    อย่าให้ IO สร้าง story ที่เราต้องวิ่งตามตลอดชีวิต

    เราอาจไม่หยุดเขาได้ แต่เราสามารถ หยุด “ความเชื่อ” ที่เขาฝังไว้ในหัวคน ด้วยการสร้าง narrative ที่คนพร้อมปกป้องให้เรา ไม่ใช่แค่รอให้เราชี้แจง อย่าใช้แค่ “ข้อเท็จจริง” ไปสู้กับ “ความเชื่อ” เพราะในยุคนี้ ความเชื่อคือ reality ที่เร็วกว่า ข่าว Game ยังไม่จบ แต่อย่าให้เขาคุมกระดาน

    เราจะต้องมี War Room ที่คิดล่วงหน้า ไม่ใช่คิดตามหลัง Narrative ที่ “ไม่ต้องอธิบาย” แต่คนเข้าใจทันที Story Commander ที่ไม่ได้รอไฟไหม้… แต่ปลูกป่าให้เขาจุดไฟไม่ได้

    และที่สำคัญ ถ้าไม่มีใครทำ ก็ต้องมีคน เริ่มทำ ถ้าไม่มีคนลงมือ ก็อย่าบ่นว่า “โดนปั่นแล้วทำไมไม่มีใครแก้”

    เพราะในสงครามของความเชื่อ ใครไม่ขยับ คือแพ้โดยไม่รู้ตัว

    ผศ.ดร.ธีรศานต์ สหัสสพาศน์
    ผู้อำนวยการหลักสูตร DNA by SPU
    และอาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจ ม.ศรีปทุม

    #TheStructure
    #TheStructureEssay
    #ชายแดนไทยกัมพูชา #กัมพูชายิงก่อน
    #scambodia
    IO กัมพูชาไม่ได้ “ลุยเดี่ยว” แต่ “เล่นเป็นทีม” Scambodia มีบางสงคราม ที่ยังไม่ทันยิงปืน แต่เริ่มยึดพื้นที่ความคิดทั้งแผ่นดิน และในวันนี้เสียงระเบิดเริ่มขึ้น ความเข้าใจผิดในมุมต่างๆเริ่มขยายขึ้นแล้ว และวันนี้ เรากำลังอยู่ในสนามนั้น ภาพชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าการ “ปั่นหัว ปั่นข่าว” จากกลุ่ม IO ที่มีต้นทางจากกัมพูชา ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ และไม่ใช่แค่ฝีมือของ “มือสมัครเล่น” แบบที่เราชอบหลอกตัวเอง แต่เป็นการ “เล่นกันเป็นทีม” แบบมีทั้งคนเปิด คนรับ และคนตามน้ำอย่างเป็นระบบ ฝั่งโน้น ใช้ “ความไม่รู้” ของประชาชน เป็น “จุดแข็ง” ในการจู่โจม ขณะที่ฝั่งนี้ กลับใช้ “ความรู้” ของเจ้าหน้าที่ เป็นแค่ “คำอธิบาย” ที่ไม่มีใครฟังจนจบ คำถามที่ต้องกล้าถามคือ ในสงครามข้อมูล ใครควบคุม narrative คนนั้นคือคนทิศทางของประเทศ แล้วตอนนี้ narrative ของเรา อยู่ในมือใคร? IO แบบใหม่ ไม่ได้ล่อเป้าแค่ด้วยความเท็จ แต่ ลวงให้เชื่อ ด้วยความคลุมเครือ มันไม่ใช่ “fake news” แบบเก่า แต่คือ “context manipulation” แบบใหม่ คนทำข่าวไม่ต้องพูดเท็จ แค่ “บิดลำดับ” หรือ “โยงคำพูด” ก็เปลี่ยนความหมายได้ทั้งเกม ยิ่งในสังคมที่คนเสพข่าวแบบ “ครึ่งบรรทัด” แล้วแชร์กันทั้งประเทศ ความเสียหายไม่ต้องรอ 24 ชั่วโมง แล้วฝั่งไทยล่ะ? ยังตั้งรับแบบ “ขอพื้นที่ชี้แจง” ยังคิดว่า “เดี๋ยวคนก็รู้ทันกัมพูชา” ยังใช้วิธี “ชี้แจงทีหลัง” กับสงครามที่เขา ยิงก่อน-ลบก่อน-ไปก่อน หลายคนโทรมาถามว่า “ควรทำยังไง?” แต่พอให้คำตอบไป ก็ เงียบ เหมือนเดิม เพราะสิ่งที่ต้องทำ มันไม่ใช่แค่ “สั่งให้โพสต์ตอบ” แต่คือการ “วางโครงสร้าง narrative” ใหม่ทั้งหมด เรากำลังพ่าย เพราะเราไม่มี “Story Commander” เราไม่ขาดคนฉลาด เราไม่ขาดข้อมูล แต่เรา ขาดแม่ทัพที่ควบคุม “กลยุทธ์เล่าเรื่อง” ให้ทั้งกองทัพ ภาคการเมือง สื่อ และ ภาคประชาชน เดินไปในจังหวะเดียวกัน ในเมื่อเขาใช้ “หมาก IO แบบสามจังหวะ” คือ เปิด – โยน – ขยาย เราต้องตอบด้วยหมากที่ เหนือกว่า ไม่ใช่แค่ “ลบล้าง” แต่ต้อง “ครองใจ” อย่าให้ IO สร้าง story ที่เราต้องวิ่งตามตลอดชีวิต เราอาจไม่หยุดเขาได้ แต่เราสามารถ หยุด “ความเชื่อ” ที่เขาฝังไว้ในหัวคน ด้วยการสร้าง narrative ที่คนพร้อมปกป้องให้เรา ไม่ใช่แค่รอให้เราชี้แจง อย่าใช้แค่ “ข้อเท็จจริง” ไปสู้กับ “ความเชื่อ” เพราะในยุคนี้ ความเชื่อคือ reality ที่เร็วกว่า ข่าว Game ยังไม่จบ แต่อย่าให้เขาคุมกระดาน เราจะต้องมี War Room ที่คิดล่วงหน้า ไม่ใช่คิดตามหลัง Narrative ที่ “ไม่ต้องอธิบาย” แต่คนเข้าใจทันที Story Commander ที่ไม่ได้รอไฟไหม้… แต่ปลูกป่าให้เขาจุดไฟไม่ได้ และที่สำคัญ ถ้าไม่มีใครทำ ก็ต้องมีคน เริ่มทำ ถ้าไม่มีคนลงมือ ก็อย่าบ่นว่า “โดนปั่นแล้วทำไมไม่มีใครแก้” เพราะในสงครามของความเชื่อ ใครไม่ขยับ คือแพ้โดยไม่รู้ตัว ผศ.ดร.ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ ผู้อำนวยการหลักสูตร DNA by SPU และอาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจ ม.ศรีปทุม #TheStructure #TheStructureEssay #ชายแดนไทยกัมพูชา #กัมพูชายิงก่อน #scambodia
    1 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
More Results