• สภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน (SNSC) ตกลงที่จะหยุดยิงกับอิสราเอล แต่ก็พร้อมจะตอบโต้กลับอยา่างรุนแรงต่อการรุกรานใดๆที่จะมีขึ้นในอนาคต:

    แถลงการณ์ฉบับเต็มจากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน (SNSC - Iran’s Supreme National Security Council):

    ถึงชาวอิหร่านที่รักและอดทน

    ภายหลังการรุกรานของพวกไซออนิสต์ที่ขี้ขลาด ความกล้าหาญและการเสียสละของบุตรชายของคุณในกองกำลังติดอาวุธแห่งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ซึ่งอยู่ภายใต้การชี้นำของผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้แสดงให้เห็นถึงอำนาจการขู่เข็ญและการตอบโต้ที่เด็ดขาดของประเทศ พวกเขาขยายขอบเขตของการตอบโต้และโจมตีศัตรูด้วยความเจ็บปวด การตอบสนองนี้แสดงให้เห็นว่าฐานทัพของอเมริกาและไซออนิสต์ ตั้งแต่เอเชียตะวันตกไปจนถึงดินแดนที่ถูกยึดครอง ล้วนเป็นเป้าหมายที่ถูกต้องตามกฎหมาย

    การเฝ้าระวัง การใช้โอกาสอย่างมีกลยุทธ์ การต่อต้านอย่างมั่นคง และความสามัคคีของชาติที่ไม่เคยมีมาก่อนได้ขัดขวางแผนหลักของศัตรู เปลี่ยนภัยคุกคามให้กลายเป็นโอกาส และปูทางให้กับความอดทนของทหารอิสลาม นอกจากนี้ยังเปิดเผยให้โลกเห็นถึงความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาของนักสู้ที่ทุ่มเท ซึ่งเต็มไปด้วยความคิดริเริ่มและความคิดสร้างสรรค์ ความแข็งแกร่งนี้ปรากฏชัดตลอด 12 วันของการต่อต้านอย่างนองเลือด และเตรียมพร้อมเสมอที่จะตอบโต้การรุกรานใดๆ อย่างเหมาะสมและเข้มแข็ง

    ของขวัญอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าตลอดเส้นทางนี้ พร้อมกับการประพฤติตนที่สมดุล ความเข้าใจอันลึกซึ้ง กลยุทธ์ที่รอบคอบ และความอดทนของนักรบและครอบครัวของผู้พลีชีพและผู้บาดเจ็บ คือชัยชนะเหนือศัตรู การทำลายภาพลักษณ์ของศัตรู การปฏิเสธการยอมแพ้ และการเปิดเส้นทางไปข้างหน้าที่ไม่สามารถย้อนกลับได้

    ดังนั้น สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านจึงประกาศอย่างมีสติและมั่นใจว่า กองกำลังของเราซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประชาชนนั้นเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะตอบโต้การกระทำการรุกรานหรือการคุกคามใดๆ ของศัตรูอย่างเด็ดขาดในทุกเวลาและทุกสถานที่

    “และชัยชนะนั้นมาจากอัลลอฮ์ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณเท่านั้น”
    สภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน (SNSC) ตกลงที่จะหยุดยิงกับอิสราเอล แต่ก็พร้อมจะตอบโต้กลับอยา่างรุนแรงต่อการรุกรานใดๆที่จะมีขึ้นในอนาคต: แถลงการณ์ฉบับเต็มจากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน (SNSC - Iran’s Supreme National Security Council): ถึงชาวอิหร่านที่รักและอดทน ภายหลังการรุกรานของพวกไซออนิสต์ที่ขี้ขลาด ความกล้าหาญและการเสียสละของบุตรชายของคุณในกองกำลังติดอาวุธแห่งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ซึ่งอยู่ภายใต้การชี้นำของผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้แสดงให้เห็นถึงอำนาจการขู่เข็ญและการตอบโต้ที่เด็ดขาดของประเทศ พวกเขาขยายขอบเขตของการตอบโต้และโจมตีศัตรูด้วยความเจ็บปวด การตอบสนองนี้แสดงให้เห็นว่าฐานทัพของอเมริกาและไซออนิสต์ ตั้งแต่เอเชียตะวันตกไปจนถึงดินแดนที่ถูกยึดครอง ล้วนเป็นเป้าหมายที่ถูกต้องตามกฎหมาย การเฝ้าระวัง การใช้โอกาสอย่างมีกลยุทธ์ การต่อต้านอย่างมั่นคง และความสามัคคีของชาติที่ไม่เคยมีมาก่อนได้ขัดขวางแผนหลักของศัตรู เปลี่ยนภัยคุกคามให้กลายเป็นโอกาส และปูทางให้กับความอดทนของทหารอิสลาม นอกจากนี้ยังเปิดเผยให้โลกเห็นถึงความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาของนักสู้ที่ทุ่มเท ซึ่งเต็มไปด้วยความคิดริเริ่มและความคิดสร้างสรรค์ ความแข็งแกร่งนี้ปรากฏชัดตลอด 12 วันของการต่อต้านอย่างนองเลือด และเตรียมพร้อมเสมอที่จะตอบโต้การรุกรานใดๆ อย่างเหมาะสมและเข้มแข็ง ของขวัญอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าตลอดเส้นทางนี้ พร้อมกับการประพฤติตนที่สมดุล ความเข้าใจอันลึกซึ้ง กลยุทธ์ที่รอบคอบ และความอดทนของนักรบและครอบครัวของผู้พลีชีพและผู้บาดเจ็บ คือชัยชนะเหนือศัตรู การทำลายภาพลักษณ์ของศัตรู การปฏิเสธการยอมแพ้ และการเปิดเส้นทางไปข้างหน้าที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ ดังนั้น สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านจึงประกาศอย่างมีสติและมั่นใจว่า กองกำลังของเราซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประชาชนนั้นเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะตอบโต้การกระทำการรุกรานหรือการคุกคามใดๆ ของศัตรูอย่างเด็ดขาดในทุกเวลาและทุกสถานที่ “และชัยชนะนั้นมาจากอัลลอฮ์ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณเท่านั้น”
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 85 Views 0 Reviews
  • หลายองค์กรยังมอง CISO เป็น “ฝ่าย IT” ที่คอยกันภัยอยู่ท้ายขบวน แต่วันนี้ CISO ต้องเปลี่ยนบทบาทเป็น พาร์ตเนอร์ธุรกิจ ที่ตอบคำถาม CEO ได้ว่า “เราปลอดภัยพอจะเดินหน้าต่อหรือยัง?”

    ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคอีกต่อไป — คำถามสำคัญกลายเป็นเรื่องแบบนี้:
    - ทีมเราทำให้ธุรกิจคล่องตัวขึ้น หรือแค่เป็นตัวถ่วง?
    - ดาต้าอยู่ตรงไหนจริง ๆ กันแน่ (รวม shadow IT ด้วยไหม)?
    - สิ่งที่เราทำ ถูกมองว่า "ช่วย" หรือ "ขวาง" คนอื่น?
    - เราเล่าเรื่องความเสี่ยงให้ผู้บริหารเข้าใจได้ หรือยังพูดแบบเทคนิคจ๋าจนไม่มีใครฟัง?

    และที่น่าสนใจคือ… AI เองก็เปลี่ยนบทบาททีม Cyber แล้ว — จากคนทำ log analysis → กลายเป็นผู้ช่วยหาช่องโหว่แบบอัตโนมัติ ดังนั้นคำถามที่เพิ่มขึ้นคือ “เราจะใช้ AI เสริมทีม หรือโดนแทนที่?”

    คำถามสำคัญ:

    ✅ CISO ควรถามตัวเองว่าเป็น “ผู้ขับเคลื่อนธุรกิจ” หรือ “ตัวถ่วง”  
    • ถ้าทีมอื่นไม่อยากชวนเราเข้าประชุมช่วงวางแผน อาจมีปัญหาเรื่อง perception  
    • ควรเปลี่ยนบทบาทจาก “ตำรวจ” เป็น “ที่ปรึกษา”

    ✅ กลยุทธ์รักษาความปลอดภัยต้องสมดุลกับระดับความเสี่ยงที่ธุรกิจยอมรับได้  
    • ปิดทุกอย่างไม่ได้ = ธุรกิจหยุด  
    • เปิดหมด = เสี่ยงเกินไป  
    • ต้อง “รู้จังหวะว่าเสี่ยงแค่ไหนถึงพอเหมาะ”

    ✅ ข้อมูลประเภทไหนอยู่ที่ไหน = หัวใจของแผน Cyber  
    • หลายองค์กรมี “ข้อมูลลับ” ที่หลุดอยู่นอกระบบหลัก เช่น shared drive, shadow IT  
    • รวมถึงดาต้าจากบริษัทที่ควบรวมมา

    ✅ วัดผลแบบไหนถึงจะสื่อสารกับบอร์ดได้ดี?  
    • อย่าวัดแค่ patch กี่เครื่อง หรือ alert เยอะแค่ไหน  
    • ควรวัดว่า “สิ่งที่ทำ” ส่งผลยังไงกับ KPI ธุรกิจ เช่น revenue loss prevented

    ✅ พูดแบบ technical จ๋าเกินไป = ผู้บริหารไม่เข้าใจความเสี่ยงจริง  
    • ต้องฝึกเล่าเรื่อง “ความเสี่ยงทางธุรกิจ” ไม่ใช่แค่ “config ผิด”

    ✅ วัฒนธรรมทีมก็สำคัญ: ทีมเรากล้าท้าทายความเห็น CISO ไหม?  
    • ถ้าไม่มี dissent = ผู้นำอาจมองไม่เห็น blind spot ตัวเอง

    ✅ ลูกค้าต้องการให้เราทำอะไรด้านความปลอดภัยบ้าง?  
    • วิเคราะห์จาก security questionnaire ที่ลูกค้าส่ง  
    • ใช้เป็น data สร้าง business case ได้ว่า “ถ้าไม่ทำ = เสียรายได้กลุ่มนี้”

    ✅ AI จะเปลี่ยนวิธีจัดทีม Cyber อย่างไร?  
    • ลดความต้องการคน entry-level (SOC Tier 1)  
    • ต้องเน้นฝึก analyst ที่เก่งขึ้น (Tier 2+) ที่รู้จัก “ทำงานร่วมกับ AI”

    ✅ ความเสี่ยงใหม่ไม่ได้มาจาก Zero-day เสมอไป — แต่มาจาก “สิ่งที่เราไม่รู้ว่ามีอยู่”  
    • เช่น ระบบเก่า, S3 bucket ที่ลืมปิด, API ใหม่ที่ไม่มีคนดู

    ✅ CISO ควรถามว่า: “ศัตรูเราเป็นใคร และเขาจะมาโจมตีช่องไหน?”  
    • วางแผนจาก threat model และจัด stack ให้พร้อมต่ออนาคต เช่น Quantum-resistant crypto

    https://www.csoonline.com/article/4009212/10-tough-cybersecurity-questions-every-ciso-must-answer.html
    หลายองค์กรยังมอง CISO เป็น “ฝ่าย IT” ที่คอยกันภัยอยู่ท้ายขบวน แต่วันนี้ CISO ต้องเปลี่ยนบทบาทเป็น พาร์ตเนอร์ธุรกิจ ที่ตอบคำถาม CEO ได้ว่า “เราปลอดภัยพอจะเดินหน้าต่อหรือยัง?” ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคอีกต่อไป — คำถามสำคัญกลายเป็นเรื่องแบบนี้: - ทีมเราทำให้ธุรกิจคล่องตัวขึ้น หรือแค่เป็นตัวถ่วง? - ดาต้าอยู่ตรงไหนจริง ๆ กันแน่ (รวม shadow IT ด้วยไหม)? - สิ่งที่เราทำ ถูกมองว่า "ช่วย" หรือ "ขวาง" คนอื่น? - เราเล่าเรื่องความเสี่ยงให้ผู้บริหารเข้าใจได้ หรือยังพูดแบบเทคนิคจ๋าจนไม่มีใครฟัง? และที่น่าสนใจคือ… AI เองก็เปลี่ยนบทบาททีม Cyber แล้ว — จากคนทำ log analysis → กลายเป็นผู้ช่วยหาช่องโหว่แบบอัตโนมัติ ดังนั้นคำถามที่เพิ่มขึ้นคือ “เราจะใช้ AI เสริมทีม หรือโดนแทนที่?” คำถามสำคัญ: ✅ CISO ควรถามตัวเองว่าเป็น “ผู้ขับเคลื่อนธุรกิจ” หรือ “ตัวถ่วง”   • ถ้าทีมอื่นไม่อยากชวนเราเข้าประชุมช่วงวางแผน อาจมีปัญหาเรื่อง perception   • ควรเปลี่ยนบทบาทจาก “ตำรวจ” เป็น “ที่ปรึกษา” ✅ กลยุทธ์รักษาความปลอดภัยต้องสมดุลกับระดับความเสี่ยงที่ธุรกิจยอมรับได้   • ปิดทุกอย่างไม่ได้ = ธุรกิจหยุด   • เปิดหมด = เสี่ยงเกินไป   • ต้อง “รู้จังหวะว่าเสี่ยงแค่ไหนถึงพอเหมาะ” ✅ ข้อมูลประเภทไหนอยู่ที่ไหน = หัวใจของแผน Cyber   • หลายองค์กรมี “ข้อมูลลับ” ที่หลุดอยู่นอกระบบหลัก เช่น shared drive, shadow IT   • รวมถึงดาต้าจากบริษัทที่ควบรวมมา ✅ วัดผลแบบไหนถึงจะสื่อสารกับบอร์ดได้ดี?   • อย่าวัดแค่ patch กี่เครื่อง หรือ alert เยอะแค่ไหน   • ควรวัดว่า “สิ่งที่ทำ” ส่งผลยังไงกับ KPI ธุรกิจ เช่น revenue loss prevented ✅ พูดแบบ technical จ๋าเกินไป = ผู้บริหารไม่เข้าใจความเสี่ยงจริง   • ต้องฝึกเล่าเรื่อง “ความเสี่ยงทางธุรกิจ” ไม่ใช่แค่ “config ผิด” ✅ วัฒนธรรมทีมก็สำคัญ: ทีมเรากล้าท้าทายความเห็น CISO ไหม?   • ถ้าไม่มี dissent = ผู้นำอาจมองไม่เห็น blind spot ตัวเอง ✅ ลูกค้าต้องการให้เราทำอะไรด้านความปลอดภัยบ้าง?   • วิเคราะห์จาก security questionnaire ที่ลูกค้าส่ง   • ใช้เป็น data สร้าง business case ได้ว่า “ถ้าไม่ทำ = เสียรายได้กลุ่มนี้” ✅ AI จะเปลี่ยนวิธีจัดทีม Cyber อย่างไร?   • ลดความต้องการคน entry-level (SOC Tier 1)   • ต้องเน้นฝึก analyst ที่เก่งขึ้น (Tier 2+) ที่รู้จัก “ทำงานร่วมกับ AI” ✅ ความเสี่ยงใหม่ไม่ได้มาจาก Zero-day เสมอไป — แต่มาจาก “สิ่งที่เราไม่รู้ว่ามีอยู่”   • เช่น ระบบเก่า, S3 bucket ที่ลืมปิด, API ใหม่ที่ไม่มีคนดู ✅ CISO ควรถามว่า: “ศัตรูเราเป็นใคร และเขาจะมาโจมตีช่องไหน?”   • วางแผนจาก threat model และจัด stack ให้พร้อมต่ออนาคต เช่น Quantum-resistant crypto https://www.csoonline.com/article/4009212/10-tough-cybersecurity-questions-every-ciso-must-answer.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    10 tough cybersecurity questions every CISO must answer
    From anticipating new threats to balancing risk management and business enablement, CISOs face a range of complex challenges that require continual reflection and strategic execution.
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • ทรัมป์: “ฉันถูกล่า ตอนนี้ฉันคือผู้ล่า”
    การตอบโต้ได้เริ่มขึ้นแล้ว — ข่าวกรองเริ่มถ่ายทอดสด

    ทรัมป์เพิ่งจุดชนวนข่าวกรองที่เข้ารหัสผ่านเว็บไซต์ TruthSocial โพสต์ของเขาไม่ใช่แค่แถลงการณ์ แต่เป็นการส่งสัญญาณระดับทหารถึงผู้รักชาติทั่วโลก คำพูดที่ว่า “ฉันถูกล่า ตอนนี้ฉันคือผู้ล่า” — ตามด้วย “เชื่อในแผน” และ “ไม่มีอะไรหยุดยั้งสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้”

    นี่ไม่ใช่ละครการเมือง
    นี่คือเฟสการสังหารที่ได้รับไฟเขียวของปฏิบัติการ MILINT ที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมา
    ตอนนี้ชายที่พวกเขาพยายามลบล้างถูกจับกุม เตรียมพร้อม และติดตามคนทรยศทุกคน

    พวกเขาตามล่าเขามาหลายปี:
    เขาถูกถอดถอนด้วยหลักฐานปลอม
    ถูกสอดส่องอย่างผิดกฎหมาย
    ถูกซุ่มโจมตีด้วยคดีในศาล
    ถูกเอฟบีไอบุกค้น
    ปิดปากทางออนไลน์
    ถูกลอบสังหารในสื่อ
    พวกเขาไล่ยิงทุกอย่าง เขาไม่เคยสะดุ้งเลย

    และตอนนี้เขากำลังเคลื่อนไหว
    ทรัมป์ไม่ป้องกันอีกต่อไปแล้ว — เขากำลังเล็งเป้า
    ข้อความนั้นผ่าตัด เย็นชา เชิงกลยุทธ์ ฮันเตอร์ได้จดจำภูมิประเทศแล้ว
    และศัตรูของอเมริกาทุกคนก็ถูกส่องแสงสว่างในขอบเขตของเขา

    ขั้นตอนการสังหาร: คาดหวัง:

    การทิ้งข่าวกรองลับที่กำหนดเวลาไว้เพื่อให้เกิดความตกตะลึงสูงสุด

    การจับกุมที่แม่นยำและการลบข้อมูลในที่สาธารณะ

    การเปิดโปงเครือข่ายเงินดำ

    การลาออกอย่างกะทันหัน

    ข้อตกลงระดับโลกพังทลายในแบบเรียลไทม์

    การฟ้องร้องได้รับการสนับสนุนโดยข้อมูลที่ทำลายไม่ได้

    นี่ไม่ใช่การคาดเดา นี่คือการโจมตีที่ควบคุมได้
    พวกเขาหัวเราะเมื่อเขากล่าวว่า "เราจับพวกเขาได้ทั้งหมด"
    ตอนนี้ถึงเวลาแสดงเทปแล้ว

    ทรัมป์ไม่ได้ต้องการแก้แค้น — เขากำลังดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม เขาไม่ได้มาหาคุณ
    เขามาหาพวกโกหก พวกแทรกซึม พวกกบฏ
    เขาคือต้นแบบของนักล่าที่ชอบธรรมของอเมริกา — ผู้พิทักษ์ประชาชน ผู้ติดตามภัยคุกคาม

    แล้วเราล่ะ?
    การทิ้งครั้งนี้ไม่ใช่แค่ภัยคุกคามต่อรัฐลึกเท่านั้น
    มันเป็นคำสั่งสำหรับเรา

    คุณไม่ได้ปกป้องอีกต่อไปแล้ว
    ตอนนี้คุณคือแนวหน้าที่กำลังรุกคืบ
    พูดออกมา เปิดเผยชื่อ จัดระเบียบ ปฏิเสธที่จะคุกเข่า
    นี่คือไมล์สุดท้าย

    ความจริงสุดท้าย:
    พวกเขาล้มเหลวที่จะทำลายเขา
    พวกเขาล้มเหลวในการหยุดพายุ
    ตอนนี้พวกเขาเผชิญหน้ากับนักล่า

    ล็อคอิน เชื่อในแผน เคลื่อนไหว
    การตอบโต้กำลังดำเนินไป
    ทำภารกิจให้สำเร็จ
    ทรัมป์: “ฉันถูกล่า ตอนนี้ฉันคือผู้ล่า” การตอบโต้ได้เริ่มขึ้นแล้ว — ข่าวกรองเริ่มถ่ายทอดสด ทรัมป์เพิ่งจุดชนวนข่าวกรองที่เข้ารหัสผ่านเว็บไซต์ TruthSocial โพสต์ของเขาไม่ใช่แค่แถลงการณ์ แต่เป็นการส่งสัญญาณระดับทหารถึงผู้รักชาติทั่วโลก คำพูดที่ว่า “ฉันถูกล่า ตอนนี้ฉันคือผู้ล่า” — ตามด้วย “เชื่อในแผน” และ “ไม่มีอะไรหยุดยั้งสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้” นี่ไม่ใช่ละครการเมือง นี่คือเฟสการสังหารที่ได้รับไฟเขียวของปฏิบัติการ MILINT ที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมา ตอนนี้ชายที่พวกเขาพยายามลบล้างถูกจับกุม เตรียมพร้อม และติดตามคนทรยศทุกคน พวกเขาตามล่าเขามาหลายปี: เขาถูกถอดถอนด้วยหลักฐานปลอม ถูกสอดส่องอย่างผิดกฎหมาย ถูกซุ่มโจมตีด้วยคดีในศาล ถูกเอฟบีไอบุกค้น ปิดปากทางออนไลน์ ถูกลอบสังหารในสื่อ พวกเขาไล่ยิงทุกอย่าง เขาไม่เคยสะดุ้งเลย และตอนนี้เขากำลังเคลื่อนไหว ทรัมป์ไม่ป้องกันอีกต่อไปแล้ว — เขากำลังเล็งเป้า ข้อความนั้นผ่าตัด เย็นชา เชิงกลยุทธ์ ฮันเตอร์ได้จดจำภูมิประเทศแล้ว และศัตรูของอเมริกาทุกคนก็ถูกส่องแสงสว่างในขอบเขตของเขา ขั้นตอนการสังหาร: คาดหวัง: การทิ้งข่าวกรองลับที่กำหนดเวลาไว้เพื่อให้เกิดความตกตะลึงสูงสุด การจับกุมที่แม่นยำและการลบข้อมูลในที่สาธารณะ การเปิดโปงเครือข่ายเงินดำ การลาออกอย่างกะทันหัน ข้อตกลงระดับโลกพังทลายในแบบเรียลไทม์ การฟ้องร้องได้รับการสนับสนุนโดยข้อมูลที่ทำลายไม่ได้ นี่ไม่ใช่การคาดเดา นี่คือการโจมตีที่ควบคุมได้ พวกเขาหัวเราะเมื่อเขากล่าวว่า "เราจับพวกเขาได้ทั้งหมด" ตอนนี้ถึงเวลาแสดงเทปแล้ว ทรัมป์ไม่ได้ต้องการแก้แค้น — เขากำลังดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม เขาไม่ได้มาหาคุณ เขามาหาพวกโกหก พวกแทรกซึม พวกกบฏ เขาคือต้นแบบของนักล่าที่ชอบธรรมของอเมริกา — ผู้พิทักษ์ประชาชน ผู้ติดตามภัยคุกคาม แล้วเราล่ะ? การทิ้งครั้งนี้ไม่ใช่แค่ภัยคุกคามต่อรัฐลึกเท่านั้น มันเป็นคำสั่งสำหรับเรา คุณไม่ได้ปกป้องอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้คุณคือแนวหน้าที่กำลังรุกคืบ พูดออกมา เปิดเผยชื่อ จัดระเบียบ ปฏิเสธที่จะคุกเข่า นี่คือไมล์สุดท้าย ความจริงสุดท้าย: พวกเขาล้มเหลวที่จะทำลายเขา พวกเขาล้มเหลวในการหยุดพายุ ตอนนี้พวกเขาเผชิญหน้ากับนักล่า ล็อคอิน เชื่อในแผน เคลื่อนไหว การตอบโต้กำลังดำเนินไป ทำภารกิจให้สำเร็จ
    0 Comments 0 Shares 49 Views 0 Reviews
  • หลังจาก Intel เจอสารพัดปัญหาตั้งแต่ยอดขายตก ความล่าช้าทางเทคโนโลยี ไปจนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดกับ AMD, NVIDIA และ TSMC — ซีอีโอคนใหม่ก็ออกแนวทาง “ผ่าตัดโครงสร้าง” แบบไม่ไว้หน้าเดิม ๆ

    หนึ่งในมาตรการสำคัญคือ การยุบทีมการตลาดเดิมบางส่วน และเอาท์ซอร์ซงานให้กับบริษัทที่ปรึกษา Accenture โดยมี AI เป็นตัวหลักในการดำเนินงาน เช่น ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล, ทำ personalization อัตโนมัติ, และลดงาน routine ที่เคยต้องใช้คนทำ

    ผลลัพธ์คือ Intel ประกาศว่า “จะเหลือแค่ lean team” หรือทีมการตลาดขนาดเล็กมากเท่านั้น — โดยพนักงานที่ได้รับผลกระทบจะรู้ผลภายในวันที่ 11 กรกฎาคมนี้ และบางคนอาจถูกขอให้ “ช่วยฝึกงานให้กับ Accenture” ก่อนลาออกอีกด้วย

    กลยุทธ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางการพยายาม “กู้สถานะ” ของ Intel ที่เคยเป็นเบอร์หนึ่งด้านเทคโนโลยี แต่ตอนนี้กำลังตกบัลลังก์ และต้องปรับตัวให้ทันโลกที่ “AI ทำงานแทนคน” ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ

    https://www.techspot.com/news/108402-intel-outsource-marketing-accenture-ai-cutting-house-staff.html
    หลังจาก Intel เจอสารพัดปัญหาตั้งแต่ยอดขายตก ความล่าช้าทางเทคโนโลยี ไปจนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดกับ AMD, NVIDIA และ TSMC — ซีอีโอคนใหม่ก็ออกแนวทาง “ผ่าตัดโครงสร้าง” แบบไม่ไว้หน้าเดิม ๆ หนึ่งในมาตรการสำคัญคือ การยุบทีมการตลาดเดิมบางส่วน และเอาท์ซอร์ซงานให้กับบริษัทที่ปรึกษา Accenture โดยมี AI เป็นตัวหลักในการดำเนินงาน เช่น ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล, ทำ personalization อัตโนมัติ, และลดงาน routine ที่เคยต้องใช้คนทำ ผลลัพธ์คือ Intel ประกาศว่า “จะเหลือแค่ lean team” หรือทีมการตลาดขนาดเล็กมากเท่านั้น — โดยพนักงานที่ได้รับผลกระทบจะรู้ผลภายในวันที่ 11 กรกฎาคมนี้ และบางคนอาจถูกขอให้ “ช่วยฝึกงานให้กับ Accenture” ก่อนลาออกอีกด้วย กลยุทธ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางการพยายาม “กู้สถานะ” ของ Intel ที่เคยเป็นเบอร์หนึ่งด้านเทคโนโลยี แต่ตอนนี้กำลังตกบัลลังก์ และต้องปรับตัวให้ทันโลกที่ “AI ทำงานแทนคน” ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ https://www.techspot.com/news/108402-intel-outsource-marketing-accenture-ai-cutting-house-staff.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Intel to outsource marketing to Accenture and AI, cutting in-house staff
    This move is expected to result in significant layoffs within Intel's marketing division, with most affected employees expected to learn their fate by July 11.
    0 Comments 0 Shares 56 Views 0 Reviews
  • ในอดีต NASCAR คือเกมของทักษะและช่างฝีมือ แต่วันนี้ทีมแข่งระดับท็อปใช้ AI มาวิเคราะห์ทุกอย่าง ตั้งแต่เสียงแชทระหว่างนักขับกับวิศวกร จนถึงการปรับแต่งรถ และวางกลยุทธ์การแข่งขันแบบเรียลไทม์

    Tom Gray จากทีม Hendrick Motorsports พูดไว้ชัดเจนว่า: “Information is speed…ใครรวบรวม วิเคราะห์ และตัดสินใจได้เร็วกว่า คนนั้นคือผู้ชนะ”

    ทีมนำ AI มาช่วยทำสิ่งที่คนเคยต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง เช่น นั่งไล่ดูวิดีโอหรือภาพนิ่ง กลายเป็นงานที่ทำได้ในเวลาไม่กี่นาที เพราะซอฟต์แวร์จะ “หาสิ่งสำคัญให้เอง” อย่างเช่นจุดที่รถคู่แข่งเปลี่ยนไลน์ หรือปัญหาในช่วงพิทสต็อป

    นอกจากนี้ AI ยังถูกใช้ฝึกทีมงาน — ถ้าใครไม่ถนัดเรื่องใด ก็ให้ AI อธิบายวิธีทำงาน หรือให้โค้ดสำหรับพัฒนาเครื่องมือได้เลย เหมือนมีที่ปรึกษาด้านเทคนิคส่วนตัวอยู่ตลอดเวลา

    Hendrick Motorsports ก็ไม่ยอมน้อยหน้า เพราะมี AWS เป็นพาร์ทเนอร์ เลยใช้ AI มาวิเคราะห์ข้อมูลจากอดีต 40 ปี ทั้งหมด เอามา “ทดสอบย้อนหลัง” ว่าอะไรเคยได้ผล แล้วใช้ข้อมูลนั้นวางแผนการแข่งในอนาคต

    ✅ ทีม NASCAR ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์, ตัดสินใจเร็ว และออกแบบกลยุทธ์การแข่งขันแบบแม่นยำขึ้น  
    • เช่น ตรวจจับคำสั่งที่ดี/พลาดจากวิทยุทีม  
    • วิเคราะห์ tone/urgency แบบเรียลไทม์

    ✅ AI ช่วยลดเวลางานซ้ำ เช่น การดูภาพและวิดีโอจำนวนมากเพื่อหา key moment  
    • ทีมอย่าง RFK Racing ใช้ลดเวลาทำงานจาก 3 ชม. เหลือ 1 ชม.

    ✅ AI ถูกนำมาใช้ฝึกคนในทีม ให้เรียนรู้ทักษะที่ไม่เชี่ยวชาญผ่านการโต้ตอบกับโมเดล LLM เช่น ChatGPT  
    • ช่วยเร่งความเร็วในการเขียนซอฟต์แวร์หรือแก้โค้ด

    ✅ ทีม Hendrick ใช้ AI จาก AWS เพื่อสร้าง visualisation สื่อสารแนวคิดระหว่างทีมได้ดียิ่งขึ้น  
    • ใช้ภาพจำลองช่วยสื่อสารแผนเทคนิคและชิ้นส่วน

    ✅ ข้อมูลจากอดีตกว่า 40 ปีถูกนำมา “ทดสอบย้อนหลัง” ด้วย AI เพื่อตรวจสอบกลยุทธ์ในอนาคต  
    • เปิดโอกาสสร้างโมเดลวิเคราะห์ความสำเร็จจากอดีต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/21/information-is-speed-nascar-teams-use-ai-to-find-winning-edges
    ในอดีต NASCAR คือเกมของทักษะและช่างฝีมือ แต่วันนี้ทีมแข่งระดับท็อปใช้ AI มาวิเคราะห์ทุกอย่าง ตั้งแต่เสียงแชทระหว่างนักขับกับวิศวกร จนถึงการปรับแต่งรถ และวางกลยุทธ์การแข่งขันแบบเรียลไทม์ Tom Gray จากทีม Hendrick Motorsports พูดไว้ชัดเจนว่า: “Information is speed…ใครรวบรวม วิเคราะห์ และตัดสินใจได้เร็วกว่า คนนั้นคือผู้ชนะ” ทีมนำ AI มาช่วยทำสิ่งที่คนเคยต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง เช่น นั่งไล่ดูวิดีโอหรือภาพนิ่ง กลายเป็นงานที่ทำได้ในเวลาไม่กี่นาที เพราะซอฟต์แวร์จะ “หาสิ่งสำคัญให้เอง” อย่างเช่นจุดที่รถคู่แข่งเปลี่ยนไลน์ หรือปัญหาในช่วงพิทสต็อป นอกจากนี้ AI ยังถูกใช้ฝึกทีมงาน — ถ้าใครไม่ถนัดเรื่องใด ก็ให้ AI อธิบายวิธีทำงาน หรือให้โค้ดสำหรับพัฒนาเครื่องมือได้เลย เหมือนมีที่ปรึกษาด้านเทคนิคส่วนตัวอยู่ตลอดเวลา Hendrick Motorsports ก็ไม่ยอมน้อยหน้า เพราะมี AWS เป็นพาร์ทเนอร์ เลยใช้ AI มาวิเคราะห์ข้อมูลจากอดีต 40 ปี ทั้งหมด เอามา “ทดสอบย้อนหลัง” ว่าอะไรเคยได้ผล แล้วใช้ข้อมูลนั้นวางแผนการแข่งในอนาคต ✅ ทีม NASCAR ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์, ตัดสินใจเร็ว และออกแบบกลยุทธ์การแข่งขันแบบแม่นยำขึ้น   • เช่น ตรวจจับคำสั่งที่ดี/พลาดจากวิทยุทีม   • วิเคราะห์ tone/urgency แบบเรียลไทม์ ✅ AI ช่วยลดเวลางานซ้ำ เช่น การดูภาพและวิดีโอจำนวนมากเพื่อหา key moment   • ทีมอย่าง RFK Racing ใช้ลดเวลาทำงานจาก 3 ชม. เหลือ 1 ชม. ✅ AI ถูกนำมาใช้ฝึกคนในทีม ให้เรียนรู้ทักษะที่ไม่เชี่ยวชาญผ่านการโต้ตอบกับโมเดล LLM เช่น ChatGPT   • ช่วยเร่งความเร็วในการเขียนซอฟต์แวร์หรือแก้โค้ด ✅ ทีม Hendrick ใช้ AI จาก AWS เพื่อสร้าง visualisation สื่อสารแนวคิดระหว่างทีมได้ดียิ่งขึ้น   • ใช้ภาพจำลองช่วยสื่อสารแผนเทคนิคและชิ้นส่วน ✅ ข้อมูลจากอดีตกว่า 40 ปีถูกนำมา “ทดสอบย้อนหลัง” ด้วย AI เพื่อตรวจสอบกลยุทธ์ในอนาคต   • เปิดโอกาสสร้างโมเดลวิเคราะห์ความสำเร็จจากอดีต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/21/information-is-speed-nascar-teams-use-ai-to-find-winning-edges
    WWW.THESTAR.COM.MY
    ‘Information is speed’: Nascar teams use AI to find winning edges
    From performance analysis to data visualisations, AI is playing an increasingly pivotal role in how race teams operate across the Nascar garage.
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • เพราะโดนสหรัฐแบนชิปแรง ๆ อย่าง H100 ทำให้ Huawei ต้องหาทางอื่นที่จะสู้ในสนาม AI — เขาเลยเอากลยุทธ์ “ใช้เยอะเข้าไว้” หรือที่เรียกว่า Brute Force Scaling มาใช้ สร้างเป็นคลัสเตอร์ชื่อ CloudMatrix 384 (CM384)

    ไอ้เจ้าตัวนี้คือการรวมพลัง 384 ชิป Ascend 910C (ของ Huawei เอง) กับ CPU อีก 192 ตัว กระจายอยู่ใน 16 rack server แล้วเชื่อมต่อด้วยสายไฟเบอร์ออปติกหมดทุกตัว เพื่อทำให้ interconnect ภายในเร็วแบบสุด ๆ

    เมื่อรันโมเดล LLM อย่าง DeepSeek R1 (ขนาด 671B พารามิเตอร์) ที่เป็นรุ่นเดียวกับที่ใช้ทดสอบ NVIDIA GB200 NVL72 — ปรากฏว่า CM384 สร้าง token ได้มากกว่า ทั้งในตอน generate และ prefill และมีประสิทธิภาพระดับ 300 PFLOPs (BF16) เทียบกับ 180 PFLOPs ของ GB200

    แต่…มันแลกมาด้วยพลังงานระดับ “กินไฟพอๆ กับอาคารทั้งหลัง” — CM384 ใช้ไฟถึง 559 kW เทียบกับ NVIDIA GB200 NVL72 ที่ใช้ 145 kW เท่านั้น เรียกว่าแรงจริงแต่เปลืองไฟมากกว่า 4 เท่า

    ✅ Huawei เปิดตัวซูเปอร์คลัสเตอร์ CloudMatrix 384 ใช้ NPU Ascend 910C รวม 384 ตัว  
    • เชื่อมต่อด้วยสายออปติกทั้งหมด ลด latency ระหว่าง node  
    • ใช้ CPU เสริม 192 ตัวในโครงสร้าง 16 rack

    ✅ CM384 รันโมเดล DeepSeek R1 ได้เร็วกว่า NVIDIA H800 และ H100  
    • มี performance สูงถึง 300 PFLOPs (BF16)  
    • เมื่อเทียบกับ NVIDIA GB200 NVL72 ที่ให้ 180 PFLOPs

    ✅ ซอฟต์แวร์ CloudMatrix-Infer มีประสิทธิภาพสูงกว่า NVIDIA SGLang ในงาน LLM  
    • สร้าง token ได้เร็วขึ้น ทั้งตอน prefill และ generate  
    • เหมาะกับงาน AI inferencing ขนาดใหญ่มาก

    ✅ CM384 ออกแบบมาเพื่อสร้าง ecosystem ทางเลือกในจีน โดยไม่ต้องใช้ NVIDIA  
    • ได้รับการเผยแพร่ร่วมกับ AI startup จีนชื่อ SiliconFlow  
    • มีเป้าหมายเพื่อ “เพิ่มความมั่นใจให้ ecosystem ภายในประเทศจีน”

    ✅ พลังงานในจีนราคาต่ำลงเกือบ 40% ใน 3 ปี ทำให้การใช้พลังงานมากไม่ใช่จุดอ่อนใหญ่  
    • ทำให้จีนสามารถเลือก “สเกลแรงเข้าไว้” ได้โดยไม่กลัวค่าไฟพุ่ง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/huaweis-brute-force-ai-tactic-seems-to-be-working-cloudmatrix-384-claimed-to-outperform-nvidia-processors-running-deepseek-r1
    เพราะโดนสหรัฐแบนชิปแรง ๆ อย่าง H100 ทำให้ Huawei ต้องหาทางอื่นที่จะสู้ในสนาม AI — เขาเลยเอากลยุทธ์ “ใช้เยอะเข้าไว้” หรือที่เรียกว่า Brute Force Scaling มาใช้ สร้างเป็นคลัสเตอร์ชื่อ CloudMatrix 384 (CM384) ไอ้เจ้าตัวนี้คือการรวมพลัง 384 ชิป Ascend 910C (ของ Huawei เอง) กับ CPU อีก 192 ตัว กระจายอยู่ใน 16 rack server แล้วเชื่อมต่อด้วยสายไฟเบอร์ออปติกหมดทุกตัว เพื่อทำให้ interconnect ภายในเร็วแบบสุด ๆ เมื่อรันโมเดล LLM อย่าง DeepSeek R1 (ขนาด 671B พารามิเตอร์) ที่เป็นรุ่นเดียวกับที่ใช้ทดสอบ NVIDIA GB200 NVL72 — ปรากฏว่า CM384 สร้าง token ได้มากกว่า ทั้งในตอน generate และ prefill และมีประสิทธิภาพระดับ 300 PFLOPs (BF16) เทียบกับ 180 PFLOPs ของ GB200 แต่…มันแลกมาด้วยพลังงานระดับ “กินไฟพอๆ กับอาคารทั้งหลัง” — CM384 ใช้ไฟถึง 559 kW เทียบกับ NVIDIA GB200 NVL72 ที่ใช้ 145 kW เท่านั้น เรียกว่าแรงจริงแต่เปลืองไฟมากกว่า 4 เท่า ✅ Huawei เปิดตัวซูเปอร์คลัสเตอร์ CloudMatrix 384 ใช้ NPU Ascend 910C รวม 384 ตัว   • เชื่อมต่อด้วยสายออปติกทั้งหมด ลด latency ระหว่าง node   • ใช้ CPU เสริม 192 ตัวในโครงสร้าง 16 rack ✅ CM384 รันโมเดล DeepSeek R1 ได้เร็วกว่า NVIDIA H800 และ H100   • มี performance สูงถึง 300 PFLOPs (BF16)   • เมื่อเทียบกับ NVIDIA GB200 NVL72 ที่ให้ 180 PFLOPs ✅ ซอฟต์แวร์ CloudMatrix-Infer มีประสิทธิภาพสูงกว่า NVIDIA SGLang ในงาน LLM   • สร้าง token ได้เร็วขึ้น ทั้งตอน prefill และ generate   • เหมาะกับงาน AI inferencing ขนาดใหญ่มาก ✅ CM384 ออกแบบมาเพื่อสร้าง ecosystem ทางเลือกในจีน โดยไม่ต้องใช้ NVIDIA   • ได้รับการเผยแพร่ร่วมกับ AI startup จีนชื่อ SiliconFlow   • มีเป้าหมายเพื่อ “เพิ่มความมั่นใจให้ ecosystem ภายในประเทศจีน” ✅ พลังงานในจีนราคาต่ำลงเกือบ 40% ใน 3 ปี ทำให้การใช้พลังงานมากไม่ใช่จุดอ่อนใหญ่   • ทำให้จีนสามารถเลือก “สเกลแรงเข้าไว้” ได้โดยไม่กลัวค่าไฟพุ่ง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/huaweis-brute-force-ai-tactic-seems-to-be-working-cloudmatrix-384-claimed-to-outperform-nvidia-processors-running-deepseek-r1
    0 Comments 0 Shares 106 Views 0 Reviews
  • Texas Instruments เป็นผู้ผลิตชิปอนาล็อกรายใหญ่ระดับโลก (ใช้ควบคุมพลังงาน, สัญญาณ, sensor ต่าง ๆ) ซึ่งเจ้าใหญ่ ๆ อย่าง Apple, NVIDIA, Ford, Medtronic และ SpaceX ต่างเป็นลูกค้าหลัก คราวนี้ TI ออกมาประกาศว่าจะลงทุนรวมกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ใน “สายการผลิตขนาด 300 มม.” ทั้งหมด 7 แห่ง ทั่วสหรัฐฯ ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

    ไฮไลต์ของแผนคือ “การยกระดับ 3 mega-site” ได้แก่ที่เมือง Sherman (เทกซัส), Richardson (เทกซัส), และ Lehi (ยูทาห์) — โดยเฉพาะ ไซต์ Sherman ได้งบถึง 40,000 ล้านดอลลาร์! เพื่อสร้างโรงงาน SM1 และ SM2 ให้เสร็จ และวางแผนเริ่ม SM3 และ SM4 เพื่อรองรับ “ดีมานด์ในอนาคต”

    ฝั่ง Lehi กับ Richardson ก็ไม่น้อยหน้า — TI เตรียมอัปเกรดสายการผลิต พร้อมเร่งสร้างโรงงานน้องใหม่อย่าง LFAB2 ไปพร้อมกัน

    แม้ TI จะเคยได้รับคำสัญญาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะสนับสนุนเงิน $1.6 พันล้านภายใต้ CHIPS Act (เพื่อขยายไลน์ผลิตให้ทันสมัยขึ้น) แต่ครั้งนี้ TI ไม่ได้พูดถึงเงินสนับสนุนใด ๆ — ทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่านี่อาจเป็น “เกมการเมืองล่วงหน้า” เพื่อแสดงความร่วมมือก่อนกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ตัดสินใจรอบใหม่ว่าจะจ่ายจริงหรือไม่

    แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แผนนี้จะสร้างงานหลายหมื่นตำแหน่ง และเป็นประโยชน์ต่อระบบการศึกษาในพื้นที่โดยตรง เช่น สนับสนุนโรงเรียนในพื้นที่ให้สร้าง pipeline ป้อนเด็กเข้าโรงงานของ TI โดยตรงเลย!

    ✅ Texas Instruments จะลงทุนกว่า $60 พันล้านในโรงงานผลิตชิป 7 แห่งในสหรัฐฯ  
    • ถือเป็นการลงทุนด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

    ✅ เน้นที่โรงงานขนาด 300 มม. (wafer)  
    • ใช้ผลิต “ชิปอนาล็อกพื้นฐาน” ที่จำเป็นกับอุตสาหกรรมเกือบทุกประเภท

    ✅ ไซต์หลัก 3 แห่ง: Sherman, Richardson (เทกซัส) และ Lehi (ยูทาห์)  
    • Sherman ได้งบกว่า $40B สร้าง SM1–SM4  
    • Lehi จะเร่งสร้าง LFAB2 และเร่งกำลังผลิต  
    • Richardson เพิ่ม output ของ fab ที่ 2

    ✅ มีลูกค้ารายใหญ่อย่าง Apple, NVIDIA, Medtronic, Ford, SpaceX ออกมาหนุน  
    • แสดงให้เห็นว่าแผนนี้ “ได้รับการสนับสนุนระดับ ecosystem”

    ✅ ตั้งเป้าเสริม supply chain ภายในประเทศ ไม่พึ่งพาต่างชาติ  
    • สอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ

    ‼️ ยังไม่ชัดว่าเงินทุนทั้งหมดจะมาจาก TI จริง หรือรอ CHIPS Act อนุมัติอยู่เบื้องหลัง  
    • มีผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสงสัยว่าแผนนี้อาจมี “กลยุทธ์การเมือง” แฝงอยู่

    ‼️ TI ไม่พูดถึงการพัฒนา node ขั้นสูง (เช่น sub-7nm หรือ AI chip)  
    • ชิปของ TI ยังอยู่ในหมวด “foundational analog” ซึ่งแม้จำเป็น แต่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเท่าคู่แข่ง

    ‼️ แรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในการตั้งโรงงานในประเทศ อาจสร้างภาระด้านต้นทุนกับบริษัท  
    • โดยเฉพาะหากต้องแข่งขันด้านราคากับผู้ผลิตในเอเชีย

    ‼️ ยังไม่มีไทม์ไลน์ชัดเจนสำหรับสายผลิตใหม่หลายแห่ง เช่น SM3/SM4 ที่อยู่ในขั้น “แผนล่วงหน้า”  
    • อาจล่าช้าหากเงินทุนไม่มากพอ หรือเงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/texas-instruments-commits-usd60-billion-to-u-s-semiconductor-manufacturing-includes-planned-expansions-to-texas-utah-fabs
    Texas Instruments เป็นผู้ผลิตชิปอนาล็อกรายใหญ่ระดับโลก (ใช้ควบคุมพลังงาน, สัญญาณ, sensor ต่าง ๆ) ซึ่งเจ้าใหญ่ ๆ อย่าง Apple, NVIDIA, Ford, Medtronic และ SpaceX ต่างเป็นลูกค้าหลัก คราวนี้ TI ออกมาประกาศว่าจะลงทุนรวมกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ใน “สายการผลิตขนาด 300 มม.” ทั้งหมด 7 แห่ง ทั่วสหรัฐฯ ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ไฮไลต์ของแผนคือ “การยกระดับ 3 mega-site” ได้แก่ที่เมือง Sherman (เทกซัส), Richardson (เทกซัส), และ Lehi (ยูทาห์) — โดยเฉพาะ ไซต์ Sherman ได้งบถึง 40,000 ล้านดอลลาร์! เพื่อสร้างโรงงาน SM1 และ SM2 ให้เสร็จ และวางแผนเริ่ม SM3 และ SM4 เพื่อรองรับ “ดีมานด์ในอนาคต” ฝั่ง Lehi กับ Richardson ก็ไม่น้อยหน้า — TI เตรียมอัปเกรดสายการผลิต พร้อมเร่งสร้างโรงงานน้องใหม่อย่าง LFAB2 ไปพร้อมกัน แม้ TI จะเคยได้รับคำสัญญาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะสนับสนุนเงิน $1.6 พันล้านภายใต้ CHIPS Act (เพื่อขยายไลน์ผลิตให้ทันสมัยขึ้น) แต่ครั้งนี้ TI ไม่ได้พูดถึงเงินสนับสนุนใด ๆ — ทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่านี่อาจเป็น “เกมการเมืองล่วงหน้า” เพื่อแสดงความร่วมมือก่อนกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ตัดสินใจรอบใหม่ว่าจะจ่ายจริงหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แผนนี้จะสร้างงานหลายหมื่นตำแหน่ง และเป็นประโยชน์ต่อระบบการศึกษาในพื้นที่โดยตรง เช่น สนับสนุนโรงเรียนในพื้นที่ให้สร้าง pipeline ป้อนเด็กเข้าโรงงานของ TI โดยตรงเลย! ✅ Texas Instruments จะลงทุนกว่า $60 พันล้านในโรงงานผลิตชิป 7 แห่งในสหรัฐฯ   • ถือเป็นการลงทุนด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ✅ เน้นที่โรงงานขนาด 300 มม. (wafer)   • ใช้ผลิต “ชิปอนาล็อกพื้นฐาน” ที่จำเป็นกับอุตสาหกรรมเกือบทุกประเภท ✅ ไซต์หลัก 3 แห่ง: Sherman, Richardson (เทกซัส) และ Lehi (ยูทาห์)   • Sherman ได้งบกว่า $40B สร้าง SM1–SM4   • Lehi จะเร่งสร้าง LFAB2 และเร่งกำลังผลิต   • Richardson เพิ่ม output ของ fab ที่ 2 ✅ มีลูกค้ารายใหญ่อย่าง Apple, NVIDIA, Medtronic, Ford, SpaceX ออกมาหนุน   • แสดงให้เห็นว่าแผนนี้ “ได้รับการสนับสนุนระดับ ecosystem” ✅ ตั้งเป้าเสริม supply chain ภายในประเทศ ไม่พึ่งพาต่างชาติ   • สอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ‼️ ยังไม่ชัดว่าเงินทุนทั้งหมดจะมาจาก TI จริง หรือรอ CHIPS Act อนุมัติอยู่เบื้องหลัง   • มีผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสงสัยว่าแผนนี้อาจมี “กลยุทธ์การเมือง” แฝงอยู่ ‼️ TI ไม่พูดถึงการพัฒนา node ขั้นสูง (เช่น sub-7nm หรือ AI chip)   • ชิปของ TI ยังอยู่ในหมวด “foundational analog” ซึ่งแม้จำเป็น แต่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเท่าคู่แข่ง ‼️ แรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในการตั้งโรงงานในประเทศ อาจสร้างภาระด้านต้นทุนกับบริษัท   • โดยเฉพาะหากต้องแข่งขันด้านราคากับผู้ผลิตในเอเชีย ‼️ ยังไม่มีไทม์ไลน์ชัดเจนสำหรับสายผลิตใหม่หลายแห่ง เช่น SM3/SM4 ที่อยู่ในขั้น “แผนล่วงหน้า”   • อาจล่าช้าหากเงินทุนไม่มากพอ หรือเงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยน https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/texas-instruments-commits-usd60-billion-to-u-s-semiconductor-manufacturing-includes-planned-expansions-to-texas-utah-fabs
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Texas Instruments commits $60 billion to U.S. semiconductor manufacturing — includes planned expansions to Texas, Utah fabs
    Texas Instruments announces investments in seven upcoming U.S. 300mm fabs, though we already knew about five
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • Microsoft เคยลงทุนใน OpenAI มากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ แลกกับการได้ใช้เทคโนโลยีเบื้องหลังของ GPT, DALL·E และระบบปัญญาประดิษฐ์ที่นำไปใช้ใน Copilot และ Bing แต่ตอนนี้ข่าวจาก Financial Times และ Wall Street Journal บอกว่า ทั้งสองฝ่ายเริ่มมี “เสียงขัดแย้ง” เรื่องอนาคตของความร่วมมือกัน

    Microsoft ไม่พอใจที่ OpenAI อยากเปลี่ยนสถานะบริษัทไปเป็น “Public-Benefit Corporation” ซึ่งเปิดทางให้หาเงินเพิ่มจากนักลงทุนได้มากขึ้น—แต่กลับทำให้ Microsoft เสียอำนาจควบคุมลง ขณะเดียวกัน OpenAI ก็บ่นว่า Microsoft เริ่มมีพฤติกรรม “ผูกขาด” และใช้ประโยชน์จากการลงทุนมากเกินควร

    ตอนนี้ Microsoft บอกว่า “พร้อมจะยุติการเจรจา” ถ้าไม่สามารถตกลงเงื่อนไขเรื่องสัดส่วนความเป็นเจ้าของและการเข้าถึงเทคโนโลยีในอนาคตได้ แต่บริษัทก็ยังมีสิทธิใช้ GPT อยู่ต่อไปจนถึงปี 2030 ตามสัญญาเดิมอยู่ดี

    มุมที่น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน—แต่มันสะท้อนให้เห็นการแข่งขันในสนาม AI ระดับโลกที่เริ่มลุกเป็นไฟ: Meta กับ Llama, Google กับ Gemini, และ Apple ที่ก็เริ่มจับมือกับหลายฝ่าย (รวมถึง OpenAI) เพื่อเข้าสู่เกมนี้เต็มตัวแล้ว

    ✅ Microsoft อาจเลิกการเจรจารอบใหม่กับ OpenAI หากไม่ลงตัวเรื่องสัดส่วนความร่วมมือ  
    • FT รายงานว่า Microsoft พร้อม “เดินออก” หากตกลงไม่ได้  
    • แต่ยังคงใช้ GPT ได้จนถึงปี 2030 ภายใต้สัญญาเดิม

    ✅ OpenAI อยากเปลี่ยนเป็น Public-Benefit Corporation เพื่อระดมทุนได้มากขึ้น  
    • ต้องได้รับความเห็นชอบจาก Microsoft ซึ่งถืออำนาจทางกลยุทธ์อยู่  
    • เป้าหมายคือขยายธุรกิจและไม่ถูกจำกัดจากโครงสร้างเดิม

    ✅ OpenAI เคยพิจารณาจะกล่าวหา Microsoft ว่าก่อพฤติกรรมผูกขาด  
    • ตามรายงานของ WSJ เป็นการกดดันด้านการลงทุนและการควบคุมสิทธิ์

    ✅ ปัญหาสะท้อนสมรภูมิแข่งขันของ Big Tech ในยุค AI ระเบิด  
    • Meta, Google, Apple ต่างขยับท่าทีเพื่อเป็นผู้นำด้าน AI  
    • มีแนวโน้มสูงที่ OpenAI อาจเปิดรับพาร์ตเนอร์ใหม่เพื่อสร้างสมดุล

    ‼️ การเจรจาล่มอาจทำให้ Microsoft ไม่มีสิทธิ์พิเศษต่อ GPT เวอร์ชันใหม่ ๆ หลังปี 2030  
    • ต้องพิจารณาทางเลือก เช่น พัฒนาโมเดลเอง หรือจับมือกับบริษัทอื่น

    ‼️ OpenAI อาจเปิดทางให้คู่แข่งของ Microsoft เข้าถึงโมเดล GPT ได้มากขึ้นในอนาคต  
    • เช่น Apple, Amazon หรือบริษัทสตาร์ตอัป AI จากจีน/ยุโรป

    ‼️ รูปแบบสัญญาปัจจุบันยังไม่โปร่งใส—สิทธิ์จริง ๆ ในเทคโนโลยีอาจซับซ้อนกว่าที่คิด  
    • Microsoft ลงทุนเยอะ แต่ไม่มีหุ้นในรูปแบบดั้งเดิมของ OpenAI  
    • ความคลุมเครือนี้อาจเป็นเหตุให้ทั้งคู่ต้องเจรจากันอีกรอบ

    ‼️ กรณีนี้อาจเร่งให้บริษัทอื่นเร่งสร้างโมเดล AI ภายในองค์กรเองมากขึ้น  
    • เพื่อไม่พึ่งพาพาร์ตเนอร์มากเกินไปในเทคโนโลยีสำคัญ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/microsoft-prepared-to-walk-away-from-high-stakes-talks-with-openai-ft-reports
    Microsoft เคยลงทุนใน OpenAI มากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ แลกกับการได้ใช้เทคโนโลยีเบื้องหลังของ GPT, DALL·E และระบบปัญญาประดิษฐ์ที่นำไปใช้ใน Copilot และ Bing แต่ตอนนี้ข่าวจาก Financial Times และ Wall Street Journal บอกว่า ทั้งสองฝ่ายเริ่มมี “เสียงขัดแย้ง” เรื่องอนาคตของความร่วมมือกัน Microsoft ไม่พอใจที่ OpenAI อยากเปลี่ยนสถานะบริษัทไปเป็น “Public-Benefit Corporation” ซึ่งเปิดทางให้หาเงินเพิ่มจากนักลงทุนได้มากขึ้น—แต่กลับทำให้ Microsoft เสียอำนาจควบคุมลง ขณะเดียวกัน OpenAI ก็บ่นว่า Microsoft เริ่มมีพฤติกรรม “ผูกขาด” และใช้ประโยชน์จากการลงทุนมากเกินควร ตอนนี้ Microsoft บอกว่า “พร้อมจะยุติการเจรจา” ถ้าไม่สามารถตกลงเงื่อนไขเรื่องสัดส่วนความเป็นเจ้าของและการเข้าถึงเทคโนโลยีในอนาคตได้ แต่บริษัทก็ยังมีสิทธิใช้ GPT อยู่ต่อไปจนถึงปี 2030 ตามสัญญาเดิมอยู่ดี มุมที่น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน—แต่มันสะท้อนให้เห็นการแข่งขันในสนาม AI ระดับโลกที่เริ่มลุกเป็นไฟ: Meta กับ Llama, Google กับ Gemini, และ Apple ที่ก็เริ่มจับมือกับหลายฝ่าย (รวมถึง OpenAI) เพื่อเข้าสู่เกมนี้เต็มตัวแล้ว ✅ Microsoft อาจเลิกการเจรจารอบใหม่กับ OpenAI หากไม่ลงตัวเรื่องสัดส่วนความร่วมมือ   • FT รายงานว่า Microsoft พร้อม “เดินออก” หากตกลงไม่ได้   • แต่ยังคงใช้ GPT ได้จนถึงปี 2030 ภายใต้สัญญาเดิม ✅ OpenAI อยากเปลี่ยนเป็น Public-Benefit Corporation เพื่อระดมทุนได้มากขึ้น   • ต้องได้รับความเห็นชอบจาก Microsoft ซึ่งถืออำนาจทางกลยุทธ์อยู่   • เป้าหมายคือขยายธุรกิจและไม่ถูกจำกัดจากโครงสร้างเดิม ✅ OpenAI เคยพิจารณาจะกล่าวหา Microsoft ว่าก่อพฤติกรรมผูกขาด   • ตามรายงานของ WSJ เป็นการกดดันด้านการลงทุนและการควบคุมสิทธิ์ ✅ ปัญหาสะท้อนสมรภูมิแข่งขันของ Big Tech ในยุค AI ระเบิด   • Meta, Google, Apple ต่างขยับท่าทีเพื่อเป็นผู้นำด้าน AI   • มีแนวโน้มสูงที่ OpenAI อาจเปิดรับพาร์ตเนอร์ใหม่เพื่อสร้างสมดุล ‼️ การเจรจาล่มอาจทำให้ Microsoft ไม่มีสิทธิ์พิเศษต่อ GPT เวอร์ชันใหม่ ๆ หลังปี 2030   • ต้องพิจารณาทางเลือก เช่น พัฒนาโมเดลเอง หรือจับมือกับบริษัทอื่น ‼️ OpenAI อาจเปิดทางให้คู่แข่งของ Microsoft เข้าถึงโมเดล GPT ได้มากขึ้นในอนาคต   • เช่น Apple, Amazon หรือบริษัทสตาร์ตอัป AI จากจีน/ยุโรป ‼️ รูปแบบสัญญาปัจจุบันยังไม่โปร่งใส—สิทธิ์จริง ๆ ในเทคโนโลยีอาจซับซ้อนกว่าที่คิด   • Microsoft ลงทุนเยอะ แต่ไม่มีหุ้นในรูปแบบดั้งเดิมของ OpenAI   • ความคลุมเครือนี้อาจเป็นเหตุให้ทั้งคู่ต้องเจรจากันอีกรอบ ‼️ กรณีนี้อาจเร่งให้บริษัทอื่นเร่งสร้างโมเดล AI ภายในองค์กรเองมากขึ้น   • เพื่อไม่พึ่งพาพาร์ตเนอร์มากเกินไปในเทคโนโลยีสำคัญ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/microsoft-prepared-to-walk-away-from-high-stakes-talks-with-openai-ft-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft prepared to abandon high-stakes talks with OpenAI, FT reports
    (Reuters) -Microsoft is prepared to abandon its high-stakes negotiations with OpenAI over the future of its alliance, the Financial Times reported on Wednesday.
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • ทำไม Android Tablet รุ่นใหม่ถึงไม่นิยมใส่ SIM Card อีกต่อไป 🗒️

    ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์อย่างแท็บเล็ต (Tablet) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำงาน ความบันเทิง และการเรียนรู้ โดยเฉพาะ Android Tablet ที่ได้รับความนิยมจากความหลากหลายและราคาที่เข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าแท็บเล็ตรุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันมักไม่ค่อยมีช่องใส่ SIM Card เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือเหมือนในอดีต ซึ่งเคยเป็นฟีเจอร์ยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องพึ่ง Wi-Fi แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้ผลิตเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออก? บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจเหตุผลหลัก ๆ ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของเทรนด์และพฤติกรรมการใช้งานในยุคปัจจุบัน

    1️⃣. การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้

    ในอดีต แท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ โดยเฉพาะในสถานที่ที่ไม่มี Wi-Fi อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน สมาร์ทโฟนได้พัฒนาไปไกลจนสามารถทดแทนการใช้งานของแท็บเล็ตได้ในหลายด้าน ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ผู้ใช้จำนวนมากจึงมองว่าสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียวก็เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะเมื่อสมาร์ทโฟนสามารถแชร์อินเทอร์เน็ตผ่านฟีเจอร์ Hotspot ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว การมี SIM Card บนแท็บเล็ตจึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่

    2️⃣. การเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลายมากขึ้น

    ในยุคที่ Wi-Fi มีอยู่เกือบทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน สถานที่ทำงาน ร้านกาแฟ ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ในที่สาธารณะอย่างรถไฟฟ้าและสนามบิน การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi กลายเป็นเรื่องสะดวกและประหยัดกว่าการใช้เครือข่ายมือถือ ผู้ใช้แท็บเล็ตส่วนใหญ่จึงเลือกเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi แทนการสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติมสำหรับแท็บเล็ต ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การใช้งานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และวัยทำงานที่มักอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี Wi-Fi ให้บริการอยู่แล้ว

    3️⃣. การลดต้นทุนการผลิตเพื่อราคาที่เข้าถึงได้

    การผลิตแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card ต้องใช้ชิ้นส่วนเพิ่มเติม เช่น ชิปโมเด็มสำหรับเชื่อมต่อ LTE หรือ 5G และช่องใส่ SIM Card ซึ่งทั้งหมดนี้เพิ่มต้นทุนการผลิตให้สูงขึ้น ในเมื่อความต้องการฟีเจอร์นี้ในตลาดลดลง ผู้ผลิตจึงเลือกตัดส่วนนี้ออกเพื่อลดต้นทุนและสามารถวางจำหน่ายแท็บเล็ตในราคาที่แข่งขันได้ ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่มองหาแท็บเล็ตเพื่อการใช้งานทั่วไป เช่น ดูวิดีโอ อ่านหนังสือ หรือทำงานเบื้องต้น

    4️⃣. การออกแบบที่บางและเบาเพื่อความคล่องตัว

    ดีไซน์ของแท็บเล็ตในปัจจุบันเน้นความบางและเบาเพื่อให้พกพาสะดวกและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความคล่องตัว การเพิ่มช่องใส่ SIM Card และชิปโมเด็มอาจทำให้ต้องเสียพื้นที่ภายในตัวเครื่อง ซึ่งส่งผลต่อความบางและน้ำหนักของอุปกรณ์ ผู้ผลิตจึงเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออกเพื่อให้แท็บเล็ตมีดีไซน์ที่สวยงามและพกพาง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคในยุคนี้ให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและนักเรียนที่ต้องการอุปกรณ์ที่ทั้งทันสมัยและสะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน

    5️⃣. บริการอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ตอบโจทย์มากขึ้น

    เทคโนโลยีเครือข่ายในปัจจุบันได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนในยุคนี้มีความเร็วสูงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรองรับ eSIM, เครือข่าย 5G หรือแพ็กเกจแบบ Unlimited Data Plan ที่อนุญาตให้แชร์ข้อมูลไปยังอุปกรณ์อื่นได้โดยไม่มีข้อจำกัดมากนัก การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนไปยังแท็บเล็ตจึงเป็นทางเลือกที่สะดวกและประหยัดกว่าการใช้ SIM Card แยกสำหรับแท็บเล็ต ทำให้ความจำเป็นในการมีช่องใส่ SIM Card บนแท็บเล็ตลดลงอย่างมาก

    🔮 อนาคตของแท็บเล็ตในยุคดิจิทัล

    ถึงแม้ว่าแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card จะยังคงมีอยู่ในตลาด แต่จำนวนรุ่นที่ออกใหม่นั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ผู้ผลิตมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแท็บเล็ตที่มีประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย เช่น การเรียนออนไลน์ การทำงานจากระยะไกล หรือความบันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ มากกว่าการเพิ่มฟีเจอร์ที่อาจไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ การเลือกซื้อแท็บเล็ตในปัจจุบันจึงควรพิจารณาจากความต้องการใช้งานเป็นหลัก เช่น ขนาดหน้าจอ ความจุแบตเตอรี่ หรือซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม มากกว่าการมองหาฟีเจอร์อย่างการรองรับ SIM Card

    ℹ️ℹ️ สรุป ℹ️ℹ️

    การที่ Android Tablet รุ่นใหม่ ๆ ไม่นิยมใส่ช่อง SIM Card อีกต่อไปเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านพฤติกรรมผู้ใช้ เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น และกลยุทธ์ของผู้ผลิตที่ต้องการตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนที่ง่ายและสะดวก รวมถึงการเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลาย ทำให้แท็บเล็ตที่เน้นการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น สำหรับนักเรียนและผู้ที่สนใจเลือกซื้อแท็บเล็ต การทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้เลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานและงบประมาณได้ดียิ่งขึ้น

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    ทำไม Android Tablet รุ่นใหม่ถึงไม่นิยมใส่ SIM Card อีกต่อไป 🗒️ ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์อย่างแท็บเล็ต (Tablet) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำงาน ความบันเทิง และการเรียนรู้ โดยเฉพาะ Android Tablet ที่ได้รับความนิยมจากความหลากหลายและราคาที่เข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าแท็บเล็ตรุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันมักไม่ค่อยมีช่องใส่ SIM Card เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือเหมือนในอดีต ซึ่งเคยเป็นฟีเจอร์ยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องพึ่ง Wi-Fi แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้ผลิตเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออก? บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจเหตุผลหลัก ๆ ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของเทรนด์และพฤติกรรมการใช้งานในยุคปัจจุบัน 1️⃣. การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้ ในอดีต แท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ โดยเฉพาะในสถานที่ที่ไม่มี Wi-Fi อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน สมาร์ทโฟนได้พัฒนาไปไกลจนสามารถทดแทนการใช้งานของแท็บเล็ตได้ในหลายด้าน ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ผู้ใช้จำนวนมากจึงมองว่าสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียวก็เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะเมื่อสมาร์ทโฟนสามารถแชร์อินเทอร์เน็ตผ่านฟีเจอร์ Hotspot ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว การมี SIM Card บนแท็บเล็ตจึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ 2️⃣. การเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลายมากขึ้น ในยุคที่ Wi-Fi มีอยู่เกือบทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน สถานที่ทำงาน ร้านกาแฟ ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ในที่สาธารณะอย่างรถไฟฟ้าและสนามบิน การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi กลายเป็นเรื่องสะดวกและประหยัดกว่าการใช้เครือข่ายมือถือ ผู้ใช้แท็บเล็ตส่วนใหญ่จึงเลือกเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi แทนการสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติมสำหรับแท็บเล็ต ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การใช้งานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และวัยทำงานที่มักอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี Wi-Fi ให้บริการอยู่แล้ว 3️⃣. การลดต้นทุนการผลิตเพื่อราคาที่เข้าถึงได้ การผลิตแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card ต้องใช้ชิ้นส่วนเพิ่มเติม เช่น ชิปโมเด็มสำหรับเชื่อมต่อ LTE หรือ 5G และช่องใส่ SIM Card ซึ่งทั้งหมดนี้เพิ่มต้นทุนการผลิตให้สูงขึ้น ในเมื่อความต้องการฟีเจอร์นี้ในตลาดลดลง ผู้ผลิตจึงเลือกตัดส่วนนี้ออกเพื่อลดต้นทุนและสามารถวางจำหน่ายแท็บเล็ตในราคาที่แข่งขันได้ ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่มองหาแท็บเล็ตเพื่อการใช้งานทั่วไป เช่น ดูวิดีโอ อ่านหนังสือ หรือทำงานเบื้องต้น 4️⃣. การออกแบบที่บางและเบาเพื่อความคล่องตัว ดีไซน์ของแท็บเล็ตในปัจจุบันเน้นความบางและเบาเพื่อให้พกพาสะดวกและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความคล่องตัว การเพิ่มช่องใส่ SIM Card และชิปโมเด็มอาจทำให้ต้องเสียพื้นที่ภายในตัวเครื่อง ซึ่งส่งผลต่อความบางและน้ำหนักของอุปกรณ์ ผู้ผลิตจึงเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออกเพื่อให้แท็บเล็ตมีดีไซน์ที่สวยงามและพกพาง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคในยุคนี้ให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและนักเรียนที่ต้องการอุปกรณ์ที่ทั้งทันสมัยและสะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน 5️⃣. บริการอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ตอบโจทย์มากขึ้น เทคโนโลยีเครือข่ายในปัจจุบันได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนในยุคนี้มีความเร็วสูงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรองรับ eSIM, เครือข่าย 5G หรือแพ็กเกจแบบ Unlimited Data Plan ที่อนุญาตให้แชร์ข้อมูลไปยังอุปกรณ์อื่นได้โดยไม่มีข้อจำกัดมากนัก การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนไปยังแท็บเล็ตจึงเป็นทางเลือกที่สะดวกและประหยัดกว่าการใช้ SIM Card แยกสำหรับแท็บเล็ต ทำให้ความจำเป็นในการมีช่องใส่ SIM Card บนแท็บเล็ตลดลงอย่างมาก 🔮 อนาคตของแท็บเล็ตในยุคดิจิทัล ถึงแม้ว่าแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card จะยังคงมีอยู่ในตลาด แต่จำนวนรุ่นที่ออกใหม่นั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ผู้ผลิตมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแท็บเล็ตที่มีประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย เช่น การเรียนออนไลน์ การทำงานจากระยะไกล หรือความบันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ มากกว่าการเพิ่มฟีเจอร์ที่อาจไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ การเลือกซื้อแท็บเล็ตในปัจจุบันจึงควรพิจารณาจากความต้องการใช้งานเป็นหลัก เช่น ขนาดหน้าจอ ความจุแบตเตอรี่ หรือซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม มากกว่าการมองหาฟีเจอร์อย่างการรองรับ SIM Card ℹ️ℹ️ สรุป ℹ️ℹ️ การที่ Android Tablet รุ่นใหม่ ๆ ไม่นิยมใส่ช่อง SIM Card อีกต่อไปเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านพฤติกรรมผู้ใช้ เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น และกลยุทธ์ของผู้ผลิตที่ต้องการตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนที่ง่ายและสะดวก รวมถึงการเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลาย ทำให้แท็บเล็ตที่เน้นการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น สำหรับนักเรียนและผู้ที่สนใจเลือกซื้อแท็บเล็ต การทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้เลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานและงบประมาณได้ดียิ่งขึ้น #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • ยุคนี้องค์กรไม่ค่อย “ผูกขาดใจ” กับ Cloud เจ้าเดียวแล้ว ส่วนใหญ่ใช้แบบ Multicloud เพื่อดึงจุดเด่นแต่ละแพลตฟอร์มมาใช้งาน เช่น ใช้ GCP ทำ Data Analytics, Azure ทำ Identity, AWS ทำ Compute แต่รู้ไหมว่าความปลอดภัยแบบ “ข้ามค่าย” นี่เองที่สร้างฝันร้ายให้นัก Security

    เพราะเครื่องมือของแต่ละเจ้าต่างกัน ภาษาและพฤติกรรมไม่เหมือนกัน ทำให้เกิด “จุดบอด” ที่แฮกเกอร์ชอบที่สุด ข่าวนี้เลยรวบรวม 8 เทคนิค ที่องค์กรควรใช้เพื่อควบคุมความปลอดภัย Multicloud อย่างมืออาชีพ

    เช่น การตั้งศูนย์กลางความปลอดภัยที่ไม่ขึ้นกับ Cloud ใด Cloud หนึ่ง, การใช้ระบบตรวจจับภัยแบบรวมศูนย์, หรือแม้แต่การตั้งขอบเขตความไว้ใจให้ทุกระบบ — ไม่ว่าจะเป็น AWS, Azure หรือเครื่องเก่าที่นั่งนิ่ง ๆ ในดาต้าเซ็นเตอร์ก็ตาม

    สิ่งสำคัญที่หลายคนมองข้ามคือเรื่อง “shared responsibility” — ความปลอดภัยไม่ใช่งานของทีม Security คนเดียว แต่ต้องกระจายบทบาทไปถึง DevOps, Cloud Architect และแม้แต่ทีม Compliance ด้วย

    ✅ ตั้งทีมกลางดูแลความปลอดภัย Multicloud  
    • สร้างศูนย์กลางหรือบุคคลที่คุมกลยุทธ์ ความสอดคล้อง และการบังคับใช้นโยบาย Cloud ทั้งหมด

    ✅ ใช้ระบบ Identity และ Governance แบบรวมศูนย์  
    • ลดช่องว่างระหว่าง Cloud ด้วยการจัดการสิทธิ์ผ่านระบบกลาง เช่น Microsoft Entra ID หรือ Okta

    ✅ ไม่ยึดติดกับ Security Tools ของแต่ละ Cloud โดยลำพัง  
    • สร้างมาตรฐานเดียวทั่วทุก Cloud เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและจุดอ่อน

    ✅ ใช้แนวคิด “Unified Trust Boundary”  
    • ยึดผู้ใช้ ข้อมูล และพฤติกรรมเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะวางระบบความปลอดภัยแยกตามแพลตฟอร์ม

    ✅ กระจายความรับผิดชอบความปลอดภัยในองค์กร  
    • CISO เป็นเจ้าภาพ แต่ต้องมีทีม DevOps, Platform, Compliance มาร่วมรับผิดชอบด้วย

    ✅ เน้น Collaboration ระหว่างทีม ไม่ทำงานแบบไซโล  
    • ช่วยให้ระบบความปลอดภัยสอดคล้องกับภาพรวมธุรกิจ

    ✅ ตั้งระบบตรวจจับภัยแบบข้าม Cloud อย่างเป็นระบบ  
    • ลด Alert Fatigue และมองเห็นภาพรวมของภัยคุกคามได้ชัดเจนขึ้น

    ✅ ควบคุมการเข้าถึงด้วยแนวคิด “Session-based Access”  
    • ลดความเสี่ยงจากมัลแวร์หรือผู้บุกรุก ด้วยการจำกัดสิทธิ์และระยะเวลาการใช้งาน Cloud

    ‼️ Cloud แต่ละเจ้ามีเครื่องมือ-คำศัพท์ไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดความสับสน  
    • การพึ่ง native tools แยกเจ้า โดยไม่มีแผนรวม อาจเกิดช่องโหว่ที่ไม่รู้ตัว

    ‼️ Multicloud อาจเพิ่ม “complexity” มากกว่าที่คิด  
    • ถ้าไม่ควบคุมให้ดี Cloud หลายเจ้าจะกลายเป็น “ป่าดง Security Tools” ที่ดูแลไม่ทั่วถึง

    ‼️ ความปลอดภัยไม่ควรฝากไว้แค่ทีม Security  
    • ถ้าไม่ดึงคนอื่นมารับผิดชอบร่วมกัน ก็เหมือนมีรปภ.แค่เฝ้าประตูหน้า แต่หน้าต่างเปิดโล่งหมด

    ‼️ หากไม่มีการวาง Detection & Response ที่เป็นระบบ จะมองไม่เห็นภัยที่แทรกข้าม Cloud  
    • โดยเฉพาะพฤติกรรมแฝงที่มักกระโดดข้ามแพลตฟอร์ม

    ‼️ การควบคุมสิทธิ์แบบ Static Access ทำให้ Cloud ตกเป็นเป้าได้ง่าย  
    • ต้องใช้แนวคิด “just-in-time access” แทนสิทธิถาวร

    https://www.csoonline.com/article/4003915/8-tips-for-mastering-multicloud-security.html
    ยุคนี้องค์กรไม่ค่อย “ผูกขาดใจ” กับ Cloud เจ้าเดียวแล้ว ส่วนใหญ่ใช้แบบ Multicloud เพื่อดึงจุดเด่นแต่ละแพลตฟอร์มมาใช้งาน เช่น ใช้ GCP ทำ Data Analytics, Azure ทำ Identity, AWS ทำ Compute แต่รู้ไหมว่าความปลอดภัยแบบ “ข้ามค่าย” นี่เองที่สร้างฝันร้ายให้นัก Security เพราะเครื่องมือของแต่ละเจ้าต่างกัน ภาษาและพฤติกรรมไม่เหมือนกัน ทำให้เกิด “จุดบอด” ที่แฮกเกอร์ชอบที่สุด ข่าวนี้เลยรวบรวม 8 เทคนิค ที่องค์กรควรใช้เพื่อควบคุมความปลอดภัย Multicloud อย่างมืออาชีพ เช่น การตั้งศูนย์กลางความปลอดภัยที่ไม่ขึ้นกับ Cloud ใด Cloud หนึ่ง, การใช้ระบบตรวจจับภัยแบบรวมศูนย์, หรือแม้แต่การตั้งขอบเขตความไว้ใจให้ทุกระบบ — ไม่ว่าจะเป็น AWS, Azure หรือเครื่องเก่าที่นั่งนิ่ง ๆ ในดาต้าเซ็นเตอร์ก็ตาม สิ่งสำคัญที่หลายคนมองข้ามคือเรื่อง “shared responsibility” — ความปลอดภัยไม่ใช่งานของทีม Security คนเดียว แต่ต้องกระจายบทบาทไปถึง DevOps, Cloud Architect และแม้แต่ทีม Compliance ด้วย ✅ ตั้งทีมกลางดูแลความปลอดภัย Multicloud   • สร้างศูนย์กลางหรือบุคคลที่คุมกลยุทธ์ ความสอดคล้อง และการบังคับใช้นโยบาย Cloud ทั้งหมด ✅ ใช้ระบบ Identity และ Governance แบบรวมศูนย์   • ลดช่องว่างระหว่าง Cloud ด้วยการจัดการสิทธิ์ผ่านระบบกลาง เช่น Microsoft Entra ID หรือ Okta ✅ ไม่ยึดติดกับ Security Tools ของแต่ละ Cloud โดยลำพัง   • สร้างมาตรฐานเดียวทั่วทุก Cloud เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและจุดอ่อน ✅ ใช้แนวคิด “Unified Trust Boundary”   • ยึดผู้ใช้ ข้อมูล และพฤติกรรมเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะวางระบบความปลอดภัยแยกตามแพลตฟอร์ม ✅ กระจายความรับผิดชอบความปลอดภัยในองค์กร   • CISO เป็นเจ้าภาพ แต่ต้องมีทีม DevOps, Platform, Compliance มาร่วมรับผิดชอบด้วย ✅ เน้น Collaboration ระหว่างทีม ไม่ทำงานแบบไซโล   • ช่วยให้ระบบความปลอดภัยสอดคล้องกับภาพรวมธุรกิจ ✅ ตั้งระบบตรวจจับภัยแบบข้าม Cloud อย่างเป็นระบบ   • ลด Alert Fatigue และมองเห็นภาพรวมของภัยคุกคามได้ชัดเจนขึ้น ✅ ควบคุมการเข้าถึงด้วยแนวคิด “Session-based Access”   • ลดความเสี่ยงจากมัลแวร์หรือผู้บุกรุก ด้วยการจำกัดสิทธิ์และระยะเวลาการใช้งาน Cloud ‼️ Cloud แต่ละเจ้ามีเครื่องมือ-คำศัพท์ไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดความสับสน   • การพึ่ง native tools แยกเจ้า โดยไม่มีแผนรวม อาจเกิดช่องโหว่ที่ไม่รู้ตัว ‼️ Multicloud อาจเพิ่ม “complexity” มากกว่าที่คิด   • ถ้าไม่ควบคุมให้ดี Cloud หลายเจ้าจะกลายเป็น “ป่าดง Security Tools” ที่ดูแลไม่ทั่วถึง ‼️ ความปลอดภัยไม่ควรฝากไว้แค่ทีม Security   • ถ้าไม่ดึงคนอื่นมารับผิดชอบร่วมกัน ก็เหมือนมีรปภ.แค่เฝ้าประตูหน้า แต่หน้าต่างเปิดโล่งหมด ‼️ หากไม่มีการวาง Detection & Response ที่เป็นระบบ จะมองไม่เห็นภัยที่แทรกข้าม Cloud   • โดยเฉพาะพฤติกรรมแฝงที่มักกระโดดข้ามแพลตฟอร์ม ‼️ การควบคุมสิทธิ์แบบ Static Access ทำให้ Cloud ตกเป็นเป้าได้ง่าย   • ต้องใช้แนวคิด “just-in-time access” แทนสิทธิถาวร https://www.csoonline.com/article/4003915/8-tips-for-mastering-multicloud-security.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    8 tips for mastering multicloud security
    Multicloud environments offer many benefits. Strong inherent security isn’t one of them.
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • จีนใช้ฮาร์ดไดรฟ์ขนส่งข้อมูล AI เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านชิป
    บริษัท AI ในจีนกำลังใช้ ฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูง เพื่อขนส่งข้อมูลฝึกสอนโมเดล AI ข้ามพรมแดน หลังจากที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI เช่น Nvidia H100 ซึ่งเป็นชิปที่สำคัญสำหรับการประมวลผล AI.

    รายละเอียดกลยุทธ์ใหม่
    ✅ บริษัทจีนใช้ฮาร์ดไดรฟ์แทนการส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากหน่วยงานสหรัฐฯ.
    ✅ นักวิจัยจีนเดินทางไปมาเลเซียพร้อมฮาร์ดไดรฟ์ 15 ลูก ซึ่งมีข้อมูลรวมกว่า 4.8 เพตะไบต์ สำหรับฝึกโมเดล AI.
    ✅ ศูนย์ข้อมูลในมาเลเซียกลายเป็นศูนย์กลางการประมวลผล AI ของจีน เนื่องจากมีเซิร์ฟเวอร์ที่มี GPU ประสิทธิภาพสูง.
    ✅ บริษัทจีนใช้บริษัทลูกในสิงคโปร์เพื่อเซ็นสัญญาเช่าศูนย์ข้อมูล แต่ต้องลงทะเบียนในมาเลเซียเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันทางกฎหมาย.

    ผลกระทบและข้อควรระวัง
    ‼️ การขนส่งข้อมูลด้วยฮาร์ดไดรฟ์อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เช่น การสูญหายหรือถูกขโมยระหว่างการเดินทาง.
    ‼️ การใช้ฮาร์ดไดรฟ์แทนการส่งข้อมูลออนไลน์อาจทำให้กระบวนการฝึกโมเดลล่าช้า เนื่องจากต้องรอการขนส่ง.
    ‼️ สหรัฐฯ อาจเพิ่มมาตรการตรวจสอบการขนส่งฮาร์ดไดรฟ์ เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านชิป.

    แนวทางการรับมือและการพัฒนา
    ✅ บริษัทจีนอาจต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ในต่างประเทศ.
    ✅ การใช้เทคโนโลยีบีบอัดข้อมูลอาจช่วยลดขนาดไฟล์ ทำให้สามารถส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตได้เร็วขึ้น.
    ✅ การพัฒนา AI ที่ใช้พลังงานต่ำและไม่ต้องพึ่งพา GPU ระดับสูง อาจเป็นทางออกในระยะยาว.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อจำกัดด้านชิปและ AI
    ✅ Nvidia กำลังพัฒนา GPU รุ่นพิเศษสำหรับตลาดจีน เพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดของสหรัฐฯ.
    ✅ Huawei เปิดตัวชิป AI ที่เร็วที่สุดของบริษัท หนึ่งวันหลังจากสหรัฐฯ แบน Nvidia H20 ในจีน.
    ‼️ ตลาดศูนย์ข้อมูล AI ในจีนกำลังเผชิญกับปัญหาความต้องการที่ลดลง เนื่องจากข้อจำกัดด้านชิปและการลงทุนที่ชะลอตัว.

    https://www.techradar.com/pro/no-ai-gpu-no-problem-ai-firms-from-china-skirt-around-us-chip-restrictions-by-moving-petabytes-of-data-on-good-ol-hard-drives-but-why-not-use-tape
    จีนใช้ฮาร์ดไดรฟ์ขนส่งข้อมูล AI เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านชิป บริษัท AI ในจีนกำลังใช้ ฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูง เพื่อขนส่งข้อมูลฝึกสอนโมเดล AI ข้ามพรมแดน หลังจากที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI เช่น Nvidia H100 ซึ่งเป็นชิปที่สำคัญสำหรับการประมวลผล AI. รายละเอียดกลยุทธ์ใหม่ ✅ บริษัทจีนใช้ฮาร์ดไดรฟ์แทนการส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากหน่วยงานสหรัฐฯ. ✅ นักวิจัยจีนเดินทางไปมาเลเซียพร้อมฮาร์ดไดรฟ์ 15 ลูก ซึ่งมีข้อมูลรวมกว่า 4.8 เพตะไบต์ สำหรับฝึกโมเดล AI. ✅ ศูนย์ข้อมูลในมาเลเซียกลายเป็นศูนย์กลางการประมวลผล AI ของจีน เนื่องจากมีเซิร์ฟเวอร์ที่มี GPU ประสิทธิภาพสูง. ✅ บริษัทจีนใช้บริษัทลูกในสิงคโปร์เพื่อเซ็นสัญญาเช่าศูนย์ข้อมูล แต่ต้องลงทะเบียนในมาเลเซียเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันทางกฎหมาย. ผลกระทบและข้อควรระวัง ‼️ การขนส่งข้อมูลด้วยฮาร์ดไดรฟ์อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เช่น การสูญหายหรือถูกขโมยระหว่างการเดินทาง. ‼️ การใช้ฮาร์ดไดรฟ์แทนการส่งข้อมูลออนไลน์อาจทำให้กระบวนการฝึกโมเดลล่าช้า เนื่องจากต้องรอการขนส่ง. ‼️ สหรัฐฯ อาจเพิ่มมาตรการตรวจสอบการขนส่งฮาร์ดไดรฟ์ เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านชิป. แนวทางการรับมือและการพัฒนา ✅ บริษัทจีนอาจต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ในต่างประเทศ. ✅ การใช้เทคโนโลยีบีบอัดข้อมูลอาจช่วยลดขนาดไฟล์ ทำให้สามารถส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตได้เร็วขึ้น. ✅ การพัฒนา AI ที่ใช้พลังงานต่ำและไม่ต้องพึ่งพา GPU ระดับสูง อาจเป็นทางออกในระยะยาว. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อจำกัดด้านชิปและ AI ✅ Nvidia กำลังพัฒนา GPU รุ่นพิเศษสำหรับตลาดจีน เพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดของสหรัฐฯ. ✅ Huawei เปิดตัวชิป AI ที่เร็วที่สุดของบริษัท หนึ่งวันหลังจากสหรัฐฯ แบน Nvidia H20 ในจีน. ‼️ ตลาดศูนย์ข้อมูล AI ในจีนกำลังเผชิญกับปัญหาความต้องการที่ลดลง เนื่องจากข้อจำกัดด้านชิปและการลงทุนที่ชะลอตัว. https://www.techradar.com/pro/no-ai-gpu-no-problem-ai-firms-from-china-skirt-around-us-chip-restrictions-by-moving-petabytes-of-data-on-good-ol-hard-drives-but-why-not-use-tape
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • Sony ยืนยันกลยุทธ์พอร์ตเกม PlayStation ไปยัง PC อย่างรอบคอบ
    Sony Interactive Entertainment ยังคงเดินหน้ากลยุทธ์การนำเกม PlayStation มาสู่ PC อย่างรอบคอบและไม่เร่งรีบ โดยเน้นให้เกมเอกสิทธิ์ของ PlayStation เป็นตัวขับเคลื่อนยอดขายเครื่องคอนโซลก่อนที่จะเปิดตัวบนแพลตฟอร์มอื่น.

    รายละเอียดกลยุทธ์ของ Sony
    ✅ Sony ยังคงรักษาช่วงเวลาพิเศษสำหรับเกม PlayStation เช่น Spider-Man 2 และ God of War Ragnarok ที่เปิดตัวบน PS5 ก่อน PC.
    ✅ Hermen Hulst (CEO ของ Studio Business Group) ระบุว่า Sony ใช้แนวทางที่ "รอบคอบและมีแบบแผน" ในการนำเกมไปสู่แพลตฟอร์มอื่น.
    ✅ เกม Stellar Blade และ The Last of Us Part II Remastered เป็นตัวอย่างล่าสุดของเกมที่ถูกพอร์ตไปยัง PC หลังจากเปิดตัวบน PS5.
    ✅ Sony มองว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมเกมช่วยผลักดันนวัตกรรม และไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนกลยุทธ์.

    ผลกระทบและข้อควรระวัง
    ‼️ เกม PlayStation จะยังคงมีช่วงเวลาพิเศษบนคอนโซลก่อน PC ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่น PC ต้องรอเป็นเวลานาน.
    ‼️ Sony อาจพลาดโอกาสในการแข่งขันกับ Microsoft ที่ใช้กลยุทธ์เปิดตัวเกมพร้อมกันบน Xbox และ PC.
    ‼️ ผู้เล่นที่ต้องการเล่นเกม PlayStation บน PC อาจต้องรอหลายปี ก่อนที่เกมจะถูกพอร์ตมา.

    แนวทางสำหรับผู้เล่น
    ✅ ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเกมที่ Sony วางแผนพอร์ตไปยัง PC เพื่อวางแผนการเล่นล่วงหน้า.
    ✅ พิจารณาซื้อ PlayStation หากต้องการเล่นเกมเอกสิทธิ์โดยไม่ต้องรอ เนื่องจาก Sony ยังคงเน้นการขายคอนโซล.
    ✅ ใช้แพลตฟอร์มอื่นที่มีเกมเอกสิทธิ์เปิดตัวพร้อมกันบน PC เช่น Xbox Game Pass หรือ Steam.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตลาดเกม
    ✅ Sony คาดการณ์รายได้จากการขายเกมบน PC จะเพิ่มขึ้นเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ในปี 2023.
    ✅ Microsoft ใช้กลยุทธ์เปิดตัวเกมพร้อมกันบน Xbox และ PC เพื่อขยายฐานผู้เล่น.
    ‼️ เกมที่พอร์ตจากคอนโซลไปยัง PC อาจมีปัญหาด้านประสิทธิภาพ เช่น การปรับแต่งกราฟิกและการควบคุม.

    https://www.techspot.com/news/108331-playstation-doubles-down-slow-thoughtful-pc-porting-strategy.html
    Sony ยืนยันกลยุทธ์พอร์ตเกม PlayStation ไปยัง PC อย่างรอบคอบ Sony Interactive Entertainment ยังคงเดินหน้ากลยุทธ์การนำเกม PlayStation มาสู่ PC อย่างรอบคอบและไม่เร่งรีบ โดยเน้นให้เกมเอกสิทธิ์ของ PlayStation เป็นตัวขับเคลื่อนยอดขายเครื่องคอนโซลก่อนที่จะเปิดตัวบนแพลตฟอร์มอื่น. รายละเอียดกลยุทธ์ของ Sony ✅ Sony ยังคงรักษาช่วงเวลาพิเศษสำหรับเกม PlayStation เช่น Spider-Man 2 และ God of War Ragnarok ที่เปิดตัวบน PS5 ก่อน PC. ✅ Hermen Hulst (CEO ของ Studio Business Group) ระบุว่า Sony ใช้แนวทางที่ "รอบคอบและมีแบบแผน" ในการนำเกมไปสู่แพลตฟอร์มอื่น. ✅ เกม Stellar Blade และ The Last of Us Part II Remastered เป็นตัวอย่างล่าสุดของเกมที่ถูกพอร์ตไปยัง PC หลังจากเปิดตัวบน PS5. ✅ Sony มองว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมเกมช่วยผลักดันนวัตกรรม และไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนกลยุทธ์. ผลกระทบและข้อควรระวัง ‼️ เกม PlayStation จะยังคงมีช่วงเวลาพิเศษบนคอนโซลก่อน PC ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่น PC ต้องรอเป็นเวลานาน. ‼️ Sony อาจพลาดโอกาสในการแข่งขันกับ Microsoft ที่ใช้กลยุทธ์เปิดตัวเกมพร้อมกันบน Xbox และ PC. ‼️ ผู้เล่นที่ต้องการเล่นเกม PlayStation บน PC อาจต้องรอหลายปี ก่อนที่เกมจะถูกพอร์ตมา. แนวทางสำหรับผู้เล่น ✅ ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเกมที่ Sony วางแผนพอร์ตไปยัง PC เพื่อวางแผนการเล่นล่วงหน้า. ✅ พิจารณาซื้อ PlayStation หากต้องการเล่นเกมเอกสิทธิ์โดยไม่ต้องรอ เนื่องจาก Sony ยังคงเน้นการขายคอนโซล. ✅ ใช้แพลตฟอร์มอื่นที่มีเกมเอกสิทธิ์เปิดตัวพร้อมกันบน PC เช่น Xbox Game Pass หรือ Steam. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตลาดเกม ✅ Sony คาดการณ์รายได้จากการขายเกมบน PC จะเพิ่มขึ้นเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ในปี 2023. ✅ Microsoft ใช้กลยุทธ์เปิดตัวเกมพร้อมกันบน Xbox และ PC เพื่อขยายฐานผู้เล่น. ‼️ เกมที่พอร์ตจากคอนโซลไปยัง PC อาจมีปัญหาด้านประสิทธิภาพ เช่น การปรับแต่งกราฟิกและการควบคุม. https://www.techspot.com/news/108331-playstation-doubles-down-slow-thoughtful-pc-porting-strategy.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    PlayStation doubles down on slow, "thoughtful" PC porting strategy
    Sony Interactive Entertainment's Studio Business Group CEO Hermen Hulst says the company is continuing to take a "measured" approach to porting major first-party games to PC. Although...
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • "อิ๊งค์" รับทัวร์ต่อเนื่องปม JBC สื่อสารล่าช้า สว.ชี้รัฐบาลสอบตก ไม่ทันเกมเขมร หลายฝ่ายแนะปรับกลยุทธ์สื่อสารให้เร็ว-ชัด-ตรงประเด็น หวังลดแรงเสียดทานทางการเมือง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000056759

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    "อิ๊งค์" รับทัวร์ต่อเนื่องปม JBC สื่อสารล่าช้า สว.ชี้รัฐบาลสอบตก ไม่ทันเกมเขมร หลายฝ่ายแนะปรับกลยุทธ์สื่อสารให้เร็ว-ชัด-ตรงประเด็น หวังลดแรงเสียดทานทางการเมือง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000056759 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Sad
    Love
    8
    1 Comments 0 Shares 1151 Views 0 Reviews
  • อิหร่านคุย พัฒนากลยุทธ์ใหม่ หลอกระบบป้องกันภัยอิสราเอลล็อกเป้าใส่กันเอง หลังซัดขีปนาวุธถล่มเมืองใหญ่แดนยิงอย่าง เทลอาวีฟ และ ไฮฟา 100 ลูกตั้งแต่เช้ามืดวันจันทร์ (16 มิ.ย.) ทำให้มีผู้เสียชีวิต 11 คน ด้านรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลเต้น เตือนประชาชนในเตหะรานต้อง “ชดใช้เร็วๆ นี้” นอกจากนั้นกองทัพยิวยังอวดอ้างสามารถคุมน่านฟ้าด้านตะวันตกของอิหร่านยาวไปถึงเตหะราน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000056730

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    อิหร่านคุย พัฒนากลยุทธ์ใหม่ หลอกระบบป้องกันภัยอิสราเอลล็อกเป้าใส่กันเอง หลังซัดขีปนาวุธถล่มเมืองใหญ่แดนยิงอย่าง เทลอาวีฟ และ ไฮฟา 100 ลูกตั้งแต่เช้ามืดวันจันทร์ (16 มิ.ย.) ทำให้มีผู้เสียชีวิต 11 คน ด้านรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลเต้น เตือนประชาชนในเตหะรานต้อง “ชดใช้เร็วๆ นี้” นอกจากนั้นกองทัพยิวยังอวดอ้างสามารถคุมน่านฟ้าด้านตะวันตกของอิหร่านยาวไปถึงเตหะราน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000056730 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    6
    0 Comments 0 Shares 1139 Views 0 Reviews
  • รอง ผบ.ทบ.เขมรฉุนโดนเย้ย ถ้ารบกับไทยก็จะเหมือนเอาไข่ไปกระทบกับหิน ลั่นกองทัพกัมพูชาเป็นไข่เหล็กที่ทำลายหินไทยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้อย่างง่ายดาย ด้วยกลยุทธ์อันเฉียบคมของฮุนเซน และการนำอันชาญฉลาดของนายกฯ กัมพูชา

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000056654

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    รอง ผบ.ทบ.เขมรฉุนโดนเย้ย ถ้ารบกับไทยก็จะเหมือนเอาไข่ไปกระทบกับหิน ลั่นกองทัพกัมพูชาเป็นไข่เหล็กที่ทำลายหินไทยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้อย่างง่ายดาย ด้วยกลยุทธ์อันเฉียบคมของฮุนเซน และการนำอันชาญฉลาดของนายกฯ กัมพูชา อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000056654 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Haha
    Like
    7
    1 Comments 0 Shares 472 Views 0 Reviews
  • โรงกลั่นน้ำมันไฮฟา "หนึ่งในกล่องดวงใจของอิสราเอล!"

    เป็นโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของอิสราเอล มีปริมาณน้ำมันดิบได้ 9.8 ล้านตันต่อปี และหล่อเลี้ยงเชื้อเพลิงให้กับอิสราเอลมากกว่า 60% ตั้งแต่เบนซินและดีเซลไปจนถึงเชื้อเพลิงเครื่องบินสำหรับกองทัพอากาศ

    หากที่นี่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีของอิหร่าน อิสราเอลจะต้องเผชิญกับปัญหาเชื้อเพลิงอย่างรุนแรง

    การโจมตีโรงกลั่นน้ำมันไฮฟาที่ประสบความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นการโจมตีเชิงกลยุทธ์ต่อกระดูกสันหลังด้านเศรษฐกิจและการทหารของอิสราเอล
    โรงกลั่นน้ำมันไฮฟา "หนึ่งในกล่องดวงใจของอิสราเอล!" เป็นโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของอิสราเอล มีปริมาณน้ำมันดิบได้ 9.8 ล้านตันต่อปี และหล่อเลี้ยงเชื้อเพลิงให้กับอิสราเอลมากกว่า 60% ตั้งแต่เบนซินและดีเซลไปจนถึงเชื้อเพลิงเครื่องบินสำหรับกองทัพอากาศ หากที่นี่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีของอิหร่าน อิสราเอลจะต้องเผชิญกับปัญหาเชื้อเพลิงอย่างรุนแรง การโจมตีโรงกลั่นน้ำมันไฮฟาที่ประสบความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นการโจมตีเชิงกลยุทธ์ต่อกระดูกสันหลังด้านเศรษฐกิจและการทหารของอิสราเอล
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • 🏭 Intel เตรียมปลดพนักงานฝ่ายผลิตชิปกลางเดือนกรกฎาคม
    Intel ประกาศแผนปลดพนักงานฝ่ายผลิตชิปที่โรงงาน Silicon Forest ในรัฐโอเรกอน ตั้งแต่ กลางเดือนกรกฎาคม 2025 โดยมีเป้าหมาย ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพด้านวิศวกรรม

    🔍 รายละเอียดของการปรับโครงสร้าง
    ✅ Intel ปรับโครงสร้างกลุ่มผลิตชิปให้เน้นด้านวิศวกรรมมากขึ้น
    - ลดจำนวนพนักงานระดับกลาง เพื่อให้ การดำเนินงานมีความคล่องตัวขึ้น
    - เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิป เช่น EUV และ High-NA EUV lithography

    ✅ การปลดพนักงานอาจมีหลายรอบ
    - รอบแรกจะสิ้นสุดภายในเดือนกรกฎาคม
    - อาจมีการปลดพนักงานเพิ่มเติมหากจำเป็น

    ✅ Intel ต้องการลดต้นทุนเพื่อปรับปรุงสถานะทางการเงิน
    - บริษัทต้องการเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - การลดต้นทุนช่วยให้สามารถแข่งขันกับ TSMC และ Samsung ได้ดีขึ้น

    🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    ‼️ การลดจำนวนพนักงานอาจส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่
    - หากลดจำนวนวิศวกรมากเกินไป อาจทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีล่าช้า

    ‼️ การปลดพนักงานอาจลดความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน
    - การลดจำนวนพนักงานระดับปฏิบัติการอาจทำให้การตอบสนองต่อปัญหาช้าลง

    ‼️ ต้องติดตามว่า Intel จะสามารถรักษากำลังการผลิตได้หรือไม่
    - หากการลดพนักงานส่งผลต่อการผลิต อาจทำให้เกิดปัญหาด้านซัพพลายเชน

    🚀 อนาคตของ Intel และการผลิตชิป
    ✅ Intel อาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อแข่งขันกับ TSMC และ Samsung
    ✅ ต้องติดตามว่าการปรับโครงสร้างนี้จะช่วยให้ Intel มีความคล่องตัวมากขึ้นหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-to-begin-fab-personnel-layoffs-in-mid-july-company-to-reduce-costs-and-refocus-on-engineering-talent
    🏭 Intel เตรียมปลดพนักงานฝ่ายผลิตชิปกลางเดือนกรกฎาคม Intel ประกาศแผนปลดพนักงานฝ่ายผลิตชิปที่โรงงาน Silicon Forest ในรัฐโอเรกอน ตั้งแต่ กลางเดือนกรกฎาคม 2025 โดยมีเป้าหมาย ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพด้านวิศวกรรม 🔍 รายละเอียดของการปรับโครงสร้าง ✅ Intel ปรับโครงสร้างกลุ่มผลิตชิปให้เน้นด้านวิศวกรรมมากขึ้น - ลดจำนวนพนักงานระดับกลาง เพื่อให้ การดำเนินงานมีความคล่องตัวขึ้น - เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิป เช่น EUV และ High-NA EUV lithography ✅ การปลดพนักงานอาจมีหลายรอบ - รอบแรกจะสิ้นสุดภายในเดือนกรกฎาคม - อาจมีการปลดพนักงานเพิ่มเติมหากจำเป็น ✅ Intel ต้องการลดต้นทุนเพื่อปรับปรุงสถานะทางการเงิน - บริษัทต้องการเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น - การลดต้นทุนช่วยให้สามารถแข่งขันกับ TSMC และ Samsung ได้ดีขึ้น 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ‼️ การลดจำนวนพนักงานอาจส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ - หากลดจำนวนวิศวกรมากเกินไป อาจทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีล่าช้า ‼️ การปลดพนักงานอาจลดความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน - การลดจำนวนพนักงานระดับปฏิบัติการอาจทำให้การตอบสนองต่อปัญหาช้าลง ‼️ ต้องติดตามว่า Intel จะสามารถรักษากำลังการผลิตได้หรือไม่ - หากการลดพนักงานส่งผลต่อการผลิต อาจทำให้เกิดปัญหาด้านซัพพลายเชน 🚀 อนาคตของ Intel และการผลิตชิป ✅ Intel อาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อแข่งขันกับ TSMC และ Samsung ✅ ต้องติดตามว่าการปรับโครงสร้างนี้จะช่วยให้ Intel มีความคล่องตัวมากขึ้นหรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-to-begin-fab-personnel-layoffs-in-mid-july-company-to-reduce-costs-and-refocus-on-engineering-talent
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • 🚀 AMD เปิดตัว Pensando Pollara 400GbE NIC พร้อมรองรับ Ultra Ethernet
    AMD เปิดตัวการ์ดเครือข่าย Pensando Pollara 400GbE ซึ่งเป็น NIC ตัวแรกที่รองรับมาตรฐาน Ultra Ethernet โดยออกแบบมาเพื่อ ศูนย์ข้อมูล AI และ HPC ขนาดใหญ่

    🔍 รายละเอียดของ Pensando Pollara 400GbE
    ✅ รองรับ Ultra Ethernet และเพิ่มประสิทธิภาพ RDMA
    - Ultra Ethernet Consortium เพิ่งเผยแพร่สเปค 1.0 ซึ่งออกแบบมาเพื่อ ศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่
    - Pollara 400GbE มีประสิทธิภาพ RDMA สูงกว่า Nvidia CX7 ถึง 10% และสูงกว่า Broadcom Thor2 ถึง 20%

    ✅ ช่วยให้สามารถสร้าง AI cluster ขนาดใหญ่
    - Oracle Cloud Infrastructure จะเป็นผู้ใช้รายแรก โดยวางแผนสร้าง AI cluster ขนาด zettascale
    - Cluster นี้จะใช้ AMD Instinct MI355X GPUs จำนวน 131,072 ตัว

    ✅ ออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาคอขวดของเครือข่าย
    - NIC สามารถแบ่งข้อมูลออกเป็นหลายเส้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงการติดขัด
    - มีระบบ failover ที่ช่วยรักษาการเชื่อมต่อ GPU-to-GPU

    🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI และ HPC
    ‼️ ต้องติดตามว่า Ultra Ethernet จะได้รับการยอมรับในวงกว้างหรือไม่
    - มาตรฐานนี้ยังใหม่ และต้องแข่งขันกับเทคโนโลยีที่มีอยู่ เช่น NVLink และ RoCEv2

    ‼️ การ์ดเครือข่ายต้องมีการปรับแต่งเพื่อให้ทำงานร่วมกับระบบที่มีอยู่
    - องค์กรที่ใช้ RDMA อาจต้องปรับแต่งซอฟต์แวร์เพื่อรองรับ Ultra Ethernet

    ‼️ ต้องรอดูว่า Nvidia และ Broadcom จะตอบสนองต่อการแข่งขันนี้อย่างไร
    - หาก Ultra Ethernet ได้รับความนิยม อาจส่งผลต่อกลยุทธ์ของผู้ผลิตเครือข่ายรายอื่น

    🚀 อนาคตของ Ultra Ethernet และเครือข่าย AI
    ✅ Ultra Ethernet อาจช่วยให้สามารถสร้าง AI cluster ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ✅ AMD อาจขยายการพัฒนา NIC รุ่นใหม่เพื่อรองรับการเติบโตของ AI และ HPC

    https://www.tomshardware.com/networking/amd-deploys-its-first-ultra-ethernet-ready-network-card-pensando-pollara-provides-up-to-400-gbps-performance
    🚀 AMD เปิดตัว Pensando Pollara 400GbE NIC พร้อมรองรับ Ultra Ethernet AMD เปิดตัวการ์ดเครือข่าย Pensando Pollara 400GbE ซึ่งเป็น NIC ตัวแรกที่รองรับมาตรฐาน Ultra Ethernet โดยออกแบบมาเพื่อ ศูนย์ข้อมูล AI และ HPC ขนาดใหญ่ 🔍 รายละเอียดของ Pensando Pollara 400GbE ✅ รองรับ Ultra Ethernet และเพิ่มประสิทธิภาพ RDMA - Ultra Ethernet Consortium เพิ่งเผยแพร่สเปค 1.0 ซึ่งออกแบบมาเพื่อ ศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ - Pollara 400GbE มีประสิทธิภาพ RDMA สูงกว่า Nvidia CX7 ถึง 10% และสูงกว่า Broadcom Thor2 ถึง 20% ✅ ช่วยให้สามารถสร้าง AI cluster ขนาดใหญ่ - Oracle Cloud Infrastructure จะเป็นผู้ใช้รายแรก โดยวางแผนสร้าง AI cluster ขนาด zettascale - Cluster นี้จะใช้ AMD Instinct MI355X GPUs จำนวน 131,072 ตัว ✅ ออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาคอขวดของเครือข่าย - NIC สามารถแบ่งข้อมูลออกเป็นหลายเส้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงการติดขัด - มีระบบ failover ที่ช่วยรักษาการเชื่อมต่อ GPU-to-GPU 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI และ HPC ‼️ ต้องติดตามว่า Ultra Ethernet จะได้รับการยอมรับในวงกว้างหรือไม่ - มาตรฐานนี้ยังใหม่ และต้องแข่งขันกับเทคโนโลยีที่มีอยู่ เช่น NVLink และ RoCEv2 ‼️ การ์ดเครือข่ายต้องมีการปรับแต่งเพื่อให้ทำงานร่วมกับระบบที่มีอยู่ - องค์กรที่ใช้ RDMA อาจต้องปรับแต่งซอฟต์แวร์เพื่อรองรับ Ultra Ethernet ‼️ ต้องรอดูว่า Nvidia และ Broadcom จะตอบสนองต่อการแข่งขันนี้อย่างไร - หาก Ultra Ethernet ได้รับความนิยม อาจส่งผลต่อกลยุทธ์ของผู้ผลิตเครือข่ายรายอื่น 🚀 อนาคตของ Ultra Ethernet และเครือข่าย AI ✅ Ultra Ethernet อาจช่วยให้สามารถสร้าง AI cluster ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ✅ AMD อาจขยายการพัฒนา NIC รุ่นใหม่เพื่อรองรับการเติบโตของ AI และ HPC https://www.tomshardware.com/networking/amd-deploys-its-first-ultra-ethernet-ready-network-card-pensando-pollara-provides-up-to-400-gbps-performance
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • 📱 การเติบโตของการใช้งานเว็บบนมือถือแตะระดับสูงสุดที่ 64%
    การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด คิดเป็น 64% ของทราฟฟิกเว็บทั้งหมด ซึ่งเป็น การเติบโตติดต่อกันเป็นไตรมาสที่แปด

    🔍 ปัจจัยที่ทำให้การใช้งานเว็บบนมือถือเพิ่มขึ้น
    ✅ การเติบโตของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในเอเชีย
    - ในเอเชีย การใช้งานเว็บผ่านมือถือคิดเป็น 71.3% ของทราฟฟิกทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 7%
    - ยุโรปและอเมริกามีสัดส่วนการใช้งานมือถืออยู่ที่ประมาณ 50%

    ✅ Android ครองตลาดการใช้งานเว็บบนมือถือ
    - Android มีส่วนแบ่งตลาด 72.72% ในการเข้าถึงเว็บผ่านมือถือ
    - iOS มีส่วนแบ่ง 26.92% โดยได้รับความนิยมมากกว่าในสหรัฐฯ
    - Android ครองตลาดในประเทศที่มีประชากรสูง เช่น อินเดียและจีน

    ✅ การพัฒนาเทคโนโลยีมือถือช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น
    - สมาร์ทโฟนระดับกลางและราคาประหยัดรองรับ 4G/5G และโหมดประหยัดข้อมูล
    - Cloudflare รายงานว่า Android มีส่วนแบ่งมากกว่า 90% ของทราฟฟิกมือถือในกว่า 25 ประเทศ

    🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ต
    ‼️ การพึ่งพาอุปกรณ์มือถืออาจทำให้การพัฒนาเว็บต้องปรับตัว
    - เว็บไซต์ต้องออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานบนมือถือมากขึ้น

    ‼️ การแข่งขันระหว่าง Android และ iOS ยังคงดำเนินต่อไป
    - Apple อาจต้องพัฒนา iOS ให้สามารถแข่งขันกับ Android ในตลาดโลกได้ดีขึ้น

    ‼️ ต้องติดตามว่าแนวโน้มนี้จะส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตอย่างไร
    - การเพิ่มขึ้นของทราฟฟิกมือถืออาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต

    🚀 อนาคตของการใช้งานเว็บบนมือถือ
    ✅ การพัฒนาเทคโนโลยี 5G และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในประเทศกำลังพัฒนา ✅ แนวโน้มการใช้งานมือถืออาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีต้องปรับกลยุทธ์การตลาดและพัฒนาแอปพลิเคชันให้เหมาะสมกับมือถือมากขึ้น

    https://www.techspot.com/news/108305-global-mobile-web-traffic-hits-record-high-64.html
    📱 การเติบโตของการใช้งานเว็บบนมือถือแตะระดับสูงสุดที่ 64% การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด คิดเป็น 64% ของทราฟฟิกเว็บทั้งหมด ซึ่งเป็น การเติบโตติดต่อกันเป็นไตรมาสที่แปด 🔍 ปัจจัยที่ทำให้การใช้งานเว็บบนมือถือเพิ่มขึ้น ✅ การเติบโตของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในเอเชีย - ในเอเชีย การใช้งานเว็บผ่านมือถือคิดเป็น 71.3% ของทราฟฟิกทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 7% - ยุโรปและอเมริกามีสัดส่วนการใช้งานมือถืออยู่ที่ประมาณ 50% ✅ Android ครองตลาดการใช้งานเว็บบนมือถือ - Android มีส่วนแบ่งตลาด 72.72% ในการเข้าถึงเว็บผ่านมือถือ - iOS มีส่วนแบ่ง 26.92% โดยได้รับความนิยมมากกว่าในสหรัฐฯ - Android ครองตลาดในประเทศที่มีประชากรสูง เช่น อินเดียและจีน ✅ การพัฒนาเทคโนโลยีมือถือช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น - สมาร์ทโฟนระดับกลางและราคาประหยัดรองรับ 4G/5G และโหมดประหยัดข้อมูล - Cloudflare รายงานว่า Android มีส่วนแบ่งมากกว่า 90% ของทราฟฟิกมือถือในกว่า 25 ประเทศ 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ต ‼️ การพึ่งพาอุปกรณ์มือถืออาจทำให้การพัฒนาเว็บต้องปรับตัว - เว็บไซต์ต้องออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานบนมือถือมากขึ้น ‼️ การแข่งขันระหว่าง Android และ iOS ยังคงดำเนินต่อไป - Apple อาจต้องพัฒนา iOS ให้สามารถแข่งขันกับ Android ในตลาดโลกได้ดีขึ้น ‼️ ต้องติดตามว่าแนวโน้มนี้จะส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตอย่างไร - การเพิ่มขึ้นของทราฟฟิกมือถืออาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต 🚀 อนาคตของการใช้งานเว็บบนมือถือ ✅ การพัฒนาเทคโนโลยี 5G และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในประเทศกำลังพัฒนา ✅ แนวโน้มการใช้งานมือถืออาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีต้องปรับกลยุทธ์การตลาดและพัฒนาแอปพลิเคชันให้เหมาะสมกับมือถือมากขึ้น https://www.techspot.com/news/108305-global-mobile-web-traffic-hits-record-high-64.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Mobile web traffic hits record 64%, with Android leading the way
    Since 2015, the amount of web traffic to come from smartphones has more than doubled from 31.16% to 64%. There have been quarters during the decade when...
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 Reviews
  • ⚠️ กลโกง Bitcoin ATM: วิธีใหม่ในการหลอกลวงทางการเงิน
    Bitcoin ATM กำลังกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของมิจฉาชีพ โดยใช้ กลยุทธ์หลอกลวงทางโทรศัพท์ เพื่อให้เหยื่อ ถอนเงินสดและฝากเข้า Bitcoin ATM ซึ่งทำให้เงินหายไปโดยไม่สามารถติดตามได้

    🔍 วิธีการหลอกลวงที่พบในสหรัฐฯ
    ✅ มิจฉาชีพใช้โทรศัพท์หลอกเหยื่อให้ถอนเงินสด
    - เหยื่อได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่อ้างว่าเป็นตัวแทนจาก Apple หรือธนาคาร
    - ถูกข่มขู่ว่าบัญชีของตนมีธุรกรรมผิดกฎหมาย เช่น การซื้อสื่อลามกอนาจาร
    - มิจฉาชีพอ้างว่าเงินจะถูกยึดหากไม่รีบถอนและฝากเข้า “บัญชีตัวแทน” ผ่าน Bitcoin ATM

    ✅ Bitcoin ATM ถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน
    - เครื่องเหล่านี้ไม่สามารถถอนเงินสดได้ แต่รับเงินสดเพื่อแลกเป็นคริปโตเคอร์เรนซี
    - เงินที่ฝากเข้าไปจะถูกโอนไปยังบัญชีที่ไม่สามารถติดตามได้
    - มีการฟ้องร้องบริษัทผู้ให้บริการ Bitcoin ATM ในหลายรัฐ เช่น นิวเจอร์ซีย์และไอโอวา

    ✅ มูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    - จากปี 2020 ถึง 2023 ความเสียหายจากการหลอกลวงผ่าน Bitcoin ATM เพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า
    - ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 มีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    🔥 ผลกระทบต่อความปลอดภัยทางการเงิน
    ‼️ Bitcoin ATM อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงินและฉ้อโกง
    - มิจฉาชีพสามารถใช้เครื่องเหล่านี้เพื่อรับเงินจากเหยื่อโดยไม่สามารถติดตามได้

    ‼️ การหลอกลวงทางโทรศัพท์กำลังพัฒนาไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น
    - การปลอมหมายเลขโทรศัพท์ (spoofing) ทำให้เหยื่อเชื่อว่ากำลังคุยกับบริษัทจริง

    ‼️ กฎหมายเกี่ยวกับ Bitcoin ATM ยังไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ
    - บางรัฐเริ่มพิจารณาห้ามการติดตั้ง Bitcoin ATM เพื่อป้องกันการฉ้อโกง

    🚀 แนวทางป้องกันและอนาคตของ Bitcoin ATM
    ✅ ผู้ใช้ควรตรวจสอบข้อมูลก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน
    - หากได้รับโทรศัพท์ที่น่าสงสัย ควรติดต่อธนาคารโดยตรงเพื่อยืนยัน

    ✅ หน่วยงานกำกับดูแลควรเพิ่มมาตรการป้องกันการฉ้อโกง
    - ควรมีระบบตรวจสอบธุรกรรมที่ผิดปกติและแจ้งเตือนผู้ใช้

    ✅ ต้องติดตามว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายควบคุม Bitcoin ATM หรือไม่
    - บางรัฐกำลังพิจารณาห้ามการติดตั้งเครื่องเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/14/she-got-a-phone-call-to-deposit-her-money-the-terrifying-scam-inside-bitcoin-atms-in-the-us
    ⚠️ กลโกง Bitcoin ATM: วิธีใหม่ในการหลอกลวงทางการเงิน Bitcoin ATM กำลังกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของมิจฉาชีพ โดยใช้ กลยุทธ์หลอกลวงทางโทรศัพท์ เพื่อให้เหยื่อ ถอนเงินสดและฝากเข้า Bitcoin ATM ซึ่งทำให้เงินหายไปโดยไม่สามารถติดตามได้ 🔍 วิธีการหลอกลวงที่พบในสหรัฐฯ ✅ มิจฉาชีพใช้โทรศัพท์หลอกเหยื่อให้ถอนเงินสด - เหยื่อได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่อ้างว่าเป็นตัวแทนจาก Apple หรือธนาคาร - ถูกข่มขู่ว่าบัญชีของตนมีธุรกรรมผิดกฎหมาย เช่น การซื้อสื่อลามกอนาจาร - มิจฉาชีพอ้างว่าเงินจะถูกยึดหากไม่รีบถอนและฝากเข้า “บัญชีตัวแทน” ผ่าน Bitcoin ATM ✅ Bitcoin ATM ถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน - เครื่องเหล่านี้ไม่สามารถถอนเงินสดได้ แต่รับเงินสดเพื่อแลกเป็นคริปโตเคอร์เรนซี - เงินที่ฝากเข้าไปจะถูกโอนไปยังบัญชีที่ไม่สามารถติดตามได้ - มีการฟ้องร้องบริษัทผู้ให้บริการ Bitcoin ATM ในหลายรัฐ เช่น นิวเจอร์ซีย์และไอโอวา ✅ มูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว - จากปี 2020 ถึง 2023 ความเสียหายจากการหลอกลวงผ่าน Bitcoin ATM เพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า - ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 มีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 🔥 ผลกระทบต่อความปลอดภัยทางการเงิน ‼️ Bitcoin ATM อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงินและฉ้อโกง - มิจฉาชีพสามารถใช้เครื่องเหล่านี้เพื่อรับเงินจากเหยื่อโดยไม่สามารถติดตามได้ ‼️ การหลอกลวงทางโทรศัพท์กำลังพัฒนาไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น - การปลอมหมายเลขโทรศัพท์ (spoofing) ทำให้เหยื่อเชื่อว่ากำลังคุยกับบริษัทจริง ‼️ กฎหมายเกี่ยวกับ Bitcoin ATM ยังไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ - บางรัฐเริ่มพิจารณาห้ามการติดตั้ง Bitcoin ATM เพื่อป้องกันการฉ้อโกง 🚀 แนวทางป้องกันและอนาคตของ Bitcoin ATM ✅ ผู้ใช้ควรตรวจสอบข้อมูลก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน - หากได้รับโทรศัพท์ที่น่าสงสัย ควรติดต่อธนาคารโดยตรงเพื่อยืนยัน ✅ หน่วยงานกำกับดูแลควรเพิ่มมาตรการป้องกันการฉ้อโกง - ควรมีระบบตรวจสอบธุรกรรมที่ผิดปกติและแจ้งเตือนผู้ใช้ ✅ ต้องติดตามว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายควบคุม Bitcoin ATM หรือไม่ - บางรัฐกำลังพิจารณาห้ามการติดตั้งเครื่องเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/14/she-got-a-phone-call-to-deposit-her-money-the-terrifying-scam-inside-bitcoin-atms-in-the-us
    WWW.THESTAR.COM.MY
    She got a phone call to deposit her money. The terrifying scam inside bitcoin ATMs in the US
    Bitcoin ATMs – generally found at convenience stores, gas stations and other high-traffic areas – have increasingly become the latest tool to separate people from their money.
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • 🔍 กลุ่มแฮกเกอร์ Fog ใช้ซอฟต์แวร์ติดตามพนักงานโจมตีองค์กรการเงิน
    กลุ่มแฮกเกอร์ Fog ransomware ซึ่งเคยโจมตีสถาบันการศึกษาในสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนกลยุทธ์ โดยใช้ ซอฟต์แวร์ติดตามพนักงาน Syteca และ เครื่องมือทดสอบเจาะระบบแบบโอเพ่นซอร์ส เพื่อเจาะระบบของสถาบันการเงินในเอเชีย

    📌 วิธีการโจมตีของ Fog ransomware
    ✅ ใช้ซอฟต์แวร์ติดตามพนักงานเพื่อขโมยข้อมูล
    - Syteca (เดิมชื่อ Ekran) ถูกใช้เป็นเครื่องมือสอดแนม โดยมีฟีเจอร์ บันทึกหน้าจอและบันทึกการกดแป้นพิมพ์
    - แฮกเกอร์ใช้ Stowaway เพื่อส่งไฟล์ Syteca ไปยังระบบเป้าหมาย

    ✅ ใช้เครื่องมือเจาะระบบโอเพ่นซอร์สเพื่อควบคุมระบบ
    - GC2 ใช้ Google Sheets และ Google Drive เป็นโครงสร้างควบคุม (C2)
    - Adaptix C2 ทำหน้าที่คล้าย Cobalt Strike beacon ในการรันคำสั่งและโหลด shellcode

    ✅ รักษาการเข้าถึงระบบแม้หลังจากเข้ารหัสข้อมูลแล้ว
    - Fog ransomware ไม่ออกจากระบบหลังจากเข้ารหัสไฟล์ แต่ยังคงอยู่เพื่อสอดแนมต่อ
    - ใช้บริการ SecurityHealthIron เพื่อเปิดใช้งานเครื่องมือควบคุมระยะไกล

    ⚠️ ความเสี่ยงและข้อควรระวัง
    ‼️ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในองค์กรอาจกลายเป็นเครื่องมือสอดแนม
    - Syteca เป็นซอฟต์แวร์ที่องค์กรใช้เพื่อติดตามพนักงาน แต่สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือสอดแนมได้

    ‼️ การใช้เครื่องมือเจาะระบบโอเพ่นซอร์สทำให้การตรวจจับยากขึ้น
    - GC2 และ Adaptix C2 ใช้แพลตฟอร์มที่พบได้ทั่วไป เช่น Google Sheets ทำให้การตรวจจับทำได้ยาก

    ‼️ แฮกเกอร์อาจมีเป้าหมายที่ลึกกว่าการเรียกค่าไถ่
    - การรักษาการเข้าถึงระบบหลังจากเข้ารหัสไฟล์ อาจบ่งบอกถึงเจตนาสอดแนมมากกว่าการโจมตีเพื่อเรียกค่าไถ่

    🚀 แนวทางป้องกันและอนาคตของภัยคุกคาม
    ✅ องค์กรควรตรวจสอบซอฟต์แวร์ติดตามพนักงานอย่างเข้มงวด
    - ควรมีระบบตรวจสอบว่าซอฟต์แวร์เหล่านี้ถูกใช้ในที่ที่เหมาะสม

    ✅ เพิ่มมาตรการป้องกันการโจมตีแบบเจาะระบบ
    - ใช้ระบบตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น การใช้ Google Sheets เป็นโครงสร้างควบคุม

    ✅ ติดตามแนวโน้มของแฮกเกอร์ที่ใช้เครื่องมือองค์กรเป็นอาวุธ
    - แนวโน้มการใช้ซอฟต์แวร์องค์กรเป็นเครื่องมือโจมตีอาจเพิ่มขึ้นในอนาคต

    https://www.csoonline.com/article/4006743/fog-ransomware-gang-abuses-employee-monitoring-tool-in-unusual-multi-stage-attack.html
    🔍 กลุ่มแฮกเกอร์ Fog ใช้ซอฟต์แวร์ติดตามพนักงานโจมตีองค์กรการเงิน กลุ่มแฮกเกอร์ Fog ransomware ซึ่งเคยโจมตีสถาบันการศึกษาในสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนกลยุทธ์ โดยใช้ ซอฟต์แวร์ติดตามพนักงาน Syteca และ เครื่องมือทดสอบเจาะระบบแบบโอเพ่นซอร์ส เพื่อเจาะระบบของสถาบันการเงินในเอเชีย 📌 วิธีการโจมตีของ Fog ransomware ✅ ใช้ซอฟต์แวร์ติดตามพนักงานเพื่อขโมยข้อมูล - Syteca (เดิมชื่อ Ekran) ถูกใช้เป็นเครื่องมือสอดแนม โดยมีฟีเจอร์ บันทึกหน้าจอและบันทึกการกดแป้นพิมพ์ - แฮกเกอร์ใช้ Stowaway เพื่อส่งไฟล์ Syteca ไปยังระบบเป้าหมาย ✅ ใช้เครื่องมือเจาะระบบโอเพ่นซอร์สเพื่อควบคุมระบบ - GC2 ใช้ Google Sheets และ Google Drive เป็นโครงสร้างควบคุม (C2) - Adaptix C2 ทำหน้าที่คล้าย Cobalt Strike beacon ในการรันคำสั่งและโหลด shellcode ✅ รักษาการเข้าถึงระบบแม้หลังจากเข้ารหัสข้อมูลแล้ว - Fog ransomware ไม่ออกจากระบบหลังจากเข้ารหัสไฟล์ แต่ยังคงอยู่เพื่อสอดแนมต่อ - ใช้บริการ SecurityHealthIron เพื่อเปิดใช้งานเครื่องมือควบคุมระยะไกล ⚠️ ความเสี่ยงและข้อควรระวัง ‼️ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในองค์กรอาจกลายเป็นเครื่องมือสอดแนม - Syteca เป็นซอฟต์แวร์ที่องค์กรใช้เพื่อติดตามพนักงาน แต่สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือสอดแนมได้ ‼️ การใช้เครื่องมือเจาะระบบโอเพ่นซอร์สทำให้การตรวจจับยากขึ้น - GC2 และ Adaptix C2 ใช้แพลตฟอร์มที่พบได้ทั่วไป เช่น Google Sheets ทำให้การตรวจจับทำได้ยาก ‼️ แฮกเกอร์อาจมีเป้าหมายที่ลึกกว่าการเรียกค่าไถ่ - การรักษาการเข้าถึงระบบหลังจากเข้ารหัสไฟล์ อาจบ่งบอกถึงเจตนาสอดแนมมากกว่าการโจมตีเพื่อเรียกค่าไถ่ 🚀 แนวทางป้องกันและอนาคตของภัยคุกคาม ✅ องค์กรควรตรวจสอบซอฟต์แวร์ติดตามพนักงานอย่างเข้มงวด - ควรมีระบบตรวจสอบว่าซอฟต์แวร์เหล่านี้ถูกใช้ในที่ที่เหมาะสม ✅ เพิ่มมาตรการป้องกันการโจมตีแบบเจาะระบบ - ใช้ระบบตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น การใช้ Google Sheets เป็นโครงสร้างควบคุม ✅ ติดตามแนวโน้มของแฮกเกอร์ที่ใช้เครื่องมือองค์กรเป็นอาวุธ - แนวโน้มการใช้ซอฟต์แวร์องค์กรเป็นเครื่องมือโจมตีอาจเพิ่มขึ้นในอนาคต https://www.csoonline.com/article/4006743/fog-ransomware-gang-abuses-employee-monitoring-tool-in-unusual-multi-stage-attack.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Fog ransomware gang abuses employee monitoring tool in unusual multi-stage attack
    Hackers use Syteca, GC2, and Adaptix in an espionage-style intrusion against an Asian financial institution.
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • ด่วน!!

    ขณะนี้อิสราเอลกำลังเปิดฉากโจมตีระลอกใหม่ เป้าหมายสนามบินเมห์ราบาด (Mehrabad International Airport) ในเตหะราน และสนามบินบูเชห์ร (Bushehr International Airport) ทางใต้ของอิหร่าน

    มีรายงานว่ามีเครื่องบินรบของกองทัพอากาศอิหร่านประจำการอยู่ที่สนามบินแห่งนี้ นี่ถือเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในโครงสร้างพื้นฐานด้านการป้องกันทางอากาศของอิหร่าน
    ด่วน!! ขณะนี้อิสราเอลกำลังเปิดฉากโจมตีระลอกใหม่ เป้าหมายสนามบินเมห์ราบาด (Mehrabad International Airport) ในเตหะราน และสนามบินบูเชห์ร (Bushehr International Airport) ทางใต้ของอิหร่าน มีรายงานว่ามีเครื่องบินรบของกองทัพอากาศอิหร่านประจำการอยู่ที่สนามบินแห่งนี้ นี่ถือเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในโครงสร้างพื้นฐานด้านการป้องกันทางอากาศของอิหร่าน
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
  • **วลีจีน ‘นักล่ากวางไม่ยี่หระกระต่าย’**

    สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันสั้นๆ เรื่อง ‘วลีเด็ด’

    เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> คงจำได้ว่าตอนท้ายเรื่องพระเอกขอลาออกจากราชการ เหตุผลของเขานั้นหากอ่านจากซับไทยอาจไม่ค่อยเข้าใจความหมาย Storyฯ จึงขอแปลใหม่โดยมีความแตกต่างจากซับไทยเล็กน้อยว่า “จนเมื่อมาพบกับโต้วเจา นางทำให้กระหม่อมรู้ว่า นักล่ากวางเมื่อเจอกระต่ายต้องยับยั้งชั่งใจ นักล่าสัตว์เจอภูเขาต้องมองให้กว้าง” (หมายเหตุ ในซับไทยใช้คำว่า ‘นายพราน’ ซึ่งไม่ผิดแต่ทำให้บริบทที่มาของวลีนี้ขาดหายไป)

    ยังฟังดูงงๆ ใช่ไหม? จะเข้าใจความหมายของมันก็ต้องเข้าใจบริบทและที่มาของมันค่ะ สองประโยค “นักล่ากวาง.... ต้องมองให้กว้าง” นี้ไม่ใช่วลีจีนโบราณ แต่มันมีรากฐานมาจากวรรณกรรมโบราณที่ชื่อว่า ‘หวยหนานจื่อ’ (淮南子 / บุรุษเมืองหวยหนาน) ถูกยกมาจากบรรพที่มีชื่อว่า ‘ซัวหลินซุ่น’ (说林训/ คำสอนจากป่าไม้)

    หวยหนานจื่อเป็นผลงานในยุคสมัยฮั่นตะวันตกของอ๋องหวยหนาน (หลิวอัน) และบัณฑิตในสังกัด ต่อมาถูกนำถวายให้แก่องค์ฮั่นอู่ตี้ (ปี 138 ก่อนคริสตกาล) เดิมมีทั้งหมด 3 บทรวม 62 บรรพ: บทใน 21 บรรพยาวกว่าสองแสนอักษร (ปัจจุบันเหลือเพียงหนึ่งแสนสามหมื่นอักษร); บทกลาง 8 บรรพ (สูญหายไปแล้ว); และบทนอก 33 บรรพ (สูญหายไปแล้ว) โดยเนื้อหาของหวยหนานจื่อครอบคลุมเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ตำนานเล่าขาน (เช่นเรื่องหนี่ว์วาซ่อมแซมฟ้า โฮ่วอี้ยิงตะวัน) ข้อมูลทางธรรมชาติ (เช่นฤดูกาล) หลักหยินหยาง คำสอนขงจื๊อ คำสอนลัทธิเต๋า กลยุทธ์การศึกการทหาร ฯลฯ เรียบเรียงเป็นคำกล่าวสอนชี้ชวนให้คิดและสะท้อนปรัชญาชีวิต จัดเป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่อ่านยากมากที่สุดของจีน ทั้งด้วยภาษาที่ใช้และเนื้อหาที่ลึกซึ้งแอบแฝง โดยมีหลายวรรคหลายประโยคที่ถูกยกย่องเป็น ‘วลีเด็ด’ ข้ามกาลเวลาจวบจนปัจจุบัน

    ประโยค “นักล่ากวางเมื่อเจอกระต่ายต้องยับยั้งชั่งใจ” แปลงมาจากหนึ่งในวรรคเด็ดของ ‘หวยหนานจื่อ-ซัวหลินซุ่น’ ที่อ่านเต็มๆ ว่า “นักล่ากวางไม่ยี่หระกระต่าย คนเจรจาสินค้าพันตำลึงทองไม่ถกเถียงเงินจำนวนเล็กน้อย” (逐鹿者不顾兔,决千金之货者不争铢两之价。) ความหมายก็คือว่า คนเราเมื่อมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ก็ไม่ควรวอกแวกไปกับเรื่องเล็กน้อยที่ผ่านเข้ามา เหมือนกับนักล่ากวางที่มีเป้าหมายคือกวาง ก็ไม่ควรเสียสมาธิและพลังงานไปกับการล่ากระต่ายที่ผ่านเข้ามา

    ส่วนประโยคหลัง “นักล่าสัตว์เจอภูเขาต้องมองให้กว้าง” แปลงมาจากอีกหนึ่งในวรรคเด็ดของ ‘หวยหนานจื่อ-ซัวหลินซุ่น’ ที่อ่านเต็มๆ ว่า “นักล่าสัตว์มองไม่เห็นภูเขาไท่ซาน ความกระหายภายนอกบดบังความกระจ่างภายในใจ” (逐兽者目不见太山,嗜欲在外,则明所蔽矣。) ความหมายก็คือว่า เมื่อเราใจจดจ่ออยู่กับบางอย่างเราจะมองไม่เห็นภาพใหญ่ เหมือนกับนายพรานที่มัวแต่มองเหยื่อจนไม่เห็นความสวยงามของภูเขา และความต้องการบางอย่างอาจรุนแรงจนบดบังสติความคิดที่ควรมี

    เมื่อเข้าใจบริบทที่มาของประโยคทั้งสองแล้ว เพื่อนเพจคงเข้าใจได้ไม่ยากถึงความนัยที่แท้จริง... พระเอกบอกว่า นางเอกสอนให้เขามองข้ามความสะใจชั่ววูบของการแก้แค้น แต่ให้มองการพลิกคดีของติ้งกั๋วกงและตระกูลเจี่ยงเป็นเป้าหมายใหญ่ และไม่ให้ความแค้นมาบดบังความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและภาระหน้าที่ในการผดุงธรรมเพื่อบ้านเมือง มองข้ามความรู้สึกส่วนตัวไปยังภาพที่ใหญ่กว่าซึ่งก็คือความเดือดร้อนหรือความสุขสงบของประชาชน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.cosmopolitan.com/tw/entertainment/movies/g63261255/blossom-ending/
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_27370559
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.ihchina.cn/details/7011.html
    https://paper.people.com.cn/fcyym/html/2024-08/02/content_26075300.htm
    https://ctext.org/huainanzi/shuo-lin-xun/zhs
    https://www.xinfajia.net/4835.html
    https://www.gushiwen.cn/mingju/juv_2e11ccdf0840.aspx
    https://www.shidianguji.com/zh/mingju/7474306868938162226

    #จิ่วฉงจื่อ #วลีจีน #หวยหนานจื่อ #นายพรานกับกระต่าย #สาระจีน
    **วลีจีน ‘นักล่ากวางไม่ยี่หระกระต่าย’** สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันสั้นๆ เรื่อง ‘วลีเด็ด’ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> คงจำได้ว่าตอนท้ายเรื่องพระเอกขอลาออกจากราชการ เหตุผลของเขานั้นหากอ่านจากซับไทยอาจไม่ค่อยเข้าใจความหมาย Storyฯ จึงขอแปลใหม่โดยมีความแตกต่างจากซับไทยเล็กน้อยว่า “จนเมื่อมาพบกับโต้วเจา นางทำให้กระหม่อมรู้ว่า นักล่ากวางเมื่อเจอกระต่ายต้องยับยั้งชั่งใจ นักล่าสัตว์เจอภูเขาต้องมองให้กว้าง” (หมายเหตุ ในซับไทยใช้คำว่า ‘นายพราน’ ซึ่งไม่ผิดแต่ทำให้บริบทที่มาของวลีนี้ขาดหายไป) ยังฟังดูงงๆ ใช่ไหม? จะเข้าใจความหมายของมันก็ต้องเข้าใจบริบทและที่มาของมันค่ะ สองประโยค “นักล่ากวาง.... ต้องมองให้กว้าง” นี้ไม่ใช่วลีจีนโบราณ แต่มันมีรากฐานมาจากวรรณกรรมโบราณที่ชื่อว่า ‘หวยหนานจื่อ’ (淮南子 / บุรุษเมืองหวยหนาน) ถูกยกมาจากบรรพที่มีชื่อว่า ‘ซัวหลินซุ่น’ (说林训/ คำสอนจากป่าไม้) หวยหนานจื่อเป็นผลงานในยุคสมัยฮั่นตะวันตกของอ๋องหวยหนาน (หลิวอัน) และบัณฑิตในสังกัด ต่อมาถูกนำถวายให้แก่องค์ฮั่นอู่ตี้ (ปี 138 ก่อนคริสตกาล) เดิมมีทั้งหมด 3 บทรวม 62 บรรพ: บทใน 21 บรรพยาวกว่าสองแสนอักษร (ปัจจุบันเหลือเพียงหนึ่งแสนสามหมื่นอักษร); บทกลาง 8 บรรพ (สูญหายไปแล้ว); และบทนอก 33 บรรพ (สูญหายไปแล้ว) โดยเนื้อหาของหวยหนานจื่อครอบคลุมเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ตำนานเล่าขาน (เช่นเรื่องหนี่ว์วาซ่อมแซมฟ้า โฮ่วอี้ยิงตะวัน) ข้อมูลทางธรรมชาติ (เช่นฤดูกาล) หลักหยินหยาง คำสอนขงจื๊อ คำสอนลัทธิเต๋า กลยุทธ์การศึกการทหาร ฯลฯ เรียบเรียงเป็นคำกล่าวสอนชี้ชวนให้คิดและสะท้อนปรัชญาชีวิต จัดเป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่อ่านยากมากที่สุดของจีน ทั้งด้วยภาษาที่ใช้และเนื้อหาที่ลึกซึ้งแอบแฝง โดยมีหลายวรรคหลายประโยคที่ถูกยกย่องเป็น ‘วลีเด็ด’ ข้ามกาลเวลาจวบจนปัจจุบัน ประโยค “นักล่ากวางเมื่อเจอกระต่ายต้องยับยั้งชั่งใจ” แปลงมาจากหนึ่งในวรรคเด็ดของ ‘หวยหนานจื่อ-ซัวหลินซุ่น’ ที่อ่านเต็มๆ ว่า “นักล่ากวางไม่ยี่หระกระต่าย คนเจรจาสินค้าพันตำลึงทองไม่ถกเถียงเงินจำนวนเล็กน้อย” (逐鹿者不顾兔,决千金之货者不争铢两之价。) ความหมายก็คือว่า คนเราเมื่อมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ก็ไม่ควรวอกแวกไปกับเรื่องเล็กน้อยที่ผ่านเข้ามา เหมือนกับนักล่ากวางที่มีเป้าหมายคือกวาง ก็ไม่ควรเสียสมาธิและพลังงานไปกับการล่ากระต่ายที่ผ่านเข้ามา ส่วนประโยคหลัง “นักล่าสัตว์เจอภูเขาต้องมองให้กว้าง” แปลงมาจากอีกหนึ่งในวรรคเด็ดของ ‘หวยหนานจื่อ-ซัวหลินซุ่น’ ที่อ่านเต็มๆ ว่า “นักล่าสัตว์มองไม่เห็นภูเขาไท่ซาน ความกระหายภายนอกบดบังความกระจ่างภายในใจ” (逐兽者目不见太山,嗜欲在外,则明所蔽矣。) ความหมายก็คือว่า เมื่อเราใจจดจ่ออยู่กับบางอย่างเราจะมองไม่เห็นภาพใหญ่ เหมือนกับนายพรานที่มัวแต่มองเหยื่อจนไม่เห็นความสวยงามของภูเขา และความต้องการบางอย่างอาจรุนแรงจนบดบังสติความคิดที่ควรมี เมื่อเข้าใจบริบทที่มาของประโยคทั้งสองแล้ว เพื่อนเพจคงเข้าใจได้ไม่ยากถึงความนัยที่แท้จริง... พระเอกบอกว่า นางเอกสอนให้เขามองข้ามความสะใจชั่ววูบของการแก้แค้น แต่ให้มองการพลิกคดีของติ้งกั๋วกงและตระกูลเจี่ยงเป็นเป้าหมายใหญ่ และไม่ให้ความแค้นมาบดบังความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและภาระหน้าที่ในการผดุงธรรมเพื่อบ้านเมือง มองข้ามความรู้สึกส่วนตัวไปยังภาพที่ใหญ่กว่าซึ่งก็คือความเดือดร้อนหรือความสุขสงบของประชาชน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.cosmopolitan.com/tw/entertainment/movies/g63261255/blossom-ending/ https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_27370559 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.ihchina.cn/details/7011.html https://paper.people.com.cn/fcyym/html/2024-08/02/content_26075300.htm https://ctext.org/huainanzi/shuo-lin-xun/zhs https://www.xinfajia.net/4835.html https://www.gushiwen.cn/mingju/juv_2e11ccdf0840.aspx https://www.shidianguji.com/zh/mingju/7474306868938162226 #จิ่วฉงจื่อ #วลีจีน #หวยหนานจื่อ #นายพรานกับกระต่าย #สาระจีน
    1 Comments 0 Shares 269 Views 0 Reviews
  • 🌍 ARM และ Nvidia วิจารณ์มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ
    Rene Haas, CEO ของ ARM ได้เข้าร่วมกับ Jensen Huang, CEO ของ Nvidia ในการวิจารณ์ มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ โดยระบุว่า ข้อจำกัดเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมและผู้บริโภค

    Haas กล่าวในงาน Founders Forum Global ที่ Oxford ว่า การจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีจะทำให้ตลาดเล็กลงและส่งผลเสียต่อผู้บริโภค

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - ARM CEO Rene Haas และ Nvidia CEO Jensen Huang วิจารณ์มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ
    - Haas ระบุว่าการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีจะทำให้ตลาดเล็กลงและส่งผลเสียต่อผู้บริโภค
    - สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีนตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 ซึ่งส่งผลให้ Nvidia สูญเสียรายได้กว่า 8 พันล้านดอลลาร์
    - Huang เตือนว่าหากข้อจำกัดยังคงดำเนินต่อไป Huawei อาจใช้โอกาสนี้ในการเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI
    - Haas เปิดเผยว่าเขาใช้เวลามากขึ้นในการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกที่สมดุล

    🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    ข้อจำกัดของสหรัฐฯ อาจทำให้บริษัทจีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง และ ลดการพึ่งพาชิปจากบริษัทตะวันตก

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ข้อจำกัดอาจส่งผลให้บริษัทจีน เช่น Huawei เร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI และกลายเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งขึ้น
    - Nvidia สูญเสียรายได้กว่า 8 พันล้านดอลลาร์จากมาตรการนี้ และอาจต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ
    - ต้องติดตามว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะปรับเปลี่ยนนโยบายหรือไม่ หลังจากการวิจารณ์จากผู้นำอุตสาหกรรม
    - การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในด้าน AI อาจทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต

    🚀 อนาคตของตลาดชิป AI
    ARM และ Nvidia กำลังผลักดันให้รัฐบาลสหรัฐฯ ทบทวนมาตรการควบคุมการส่งออก โดยเชื่อว่า การเปิดตลาดจะช่วยให้เทคโนโลยีเติบโตได้เร็วขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/arm-ceo-joins-nvidia-in-stance-against-us-export-controls-rene-haas-says-narrower-access-not-good-for-industry-or-consumer
    🌍 ARM และ Nvidia วิจารณ์มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ Rene Haas, CEO ของ ARM ได้เข้าร่วมกับ Jensen Huang, CEO ของ Nvidia ในการวิจารณ์ มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ โดยระบุว่า ข้อจำกัดเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมและผู้บริโภค Haas กล่าวในงาน Founders Forum Global ที่ Oxford ว่า การจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีจะทำให้ตลาดเล็กลงและส่งผลเสียต่อผู้บริโภค ✅ ข้อมูลจากข่าว - ARM CEO Rene Haas และ Nvidia CEO Jensen Huang วิจารณ์มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ - Haas ระบุว่าการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีจะทำให้ตลาดเล็กลงและส่งผลเสียต่อผู้บริโภค - สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีนตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 ซึ่งส่งผลให้ Nvidia สูญเสียรายได้กว่า 8 พันล้านดอลลาร์ - Huang เตือนว่าหากข้อจำกัดยังคงดำเนินต่อไป Huawei อาจใช้โอกาสนี้ในการเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI - Haas เปิดเผยว่าเขาใช้เวลามากขึ้นในการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกที่สมดุล 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ข้อจำกัดของสหรัฐฯ อาจทำให้บริษัทจีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง และ ลดการพึ่งพาชิปจากบริษัทตะวันตก ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ข้อจำกัดอาจส่งผลให้บริษัทจีน เช่น Huawei เร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI และกลายเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งขึ้น - Nvidia สูญเสียรายได้กว่า 8 พันล้านดอลลาร์จากมาตรการนี้ และอาจต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ - ต้องติดตามว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะปรับเปลี่ยนนโยบายหรือไม่ หลังจากการวิจารณ์จากผู้นำอุตสาหกรรม - การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในด้าน AI อาจทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต 🚀 อนาคตของตลาดชิป AI ARM และ Nvidia กำลังผลักดันให้รัฐบาลสหรัฐฯ ทบทวนมาตรการควบคุมการส่งออก โดยเชื่อว่า การเปิดตลาดจะช่วยให้เทคโนโลยีเติบโตได้เร็วขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/arm-ceo-joins-nvidia-in-stance-against-us-export-controls-rene-haas-says-narrower-access-not-good-for-industry-or-consumer
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    ARM CEO joins Nvidia in stance against US export controls — Rene Haas says narrower access 'not good' for industry or consumer
    “If you narrow access to technology and you force other ecosystems to grow up, it’s not good."
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • 📞 บริษัทต่าง ๆ กำลังกลับลำ ไม่แทนที่ฝ่ายบริการลูกค้าด้วย AI
    แม้ว่าหลายบริษัทจะเคยวางแผน แทนที่ฝ่ายบริการลูกค้าด้วย AI แต่ 50% ขององค์กรเหล่านั้นกำลังกลับลำ เนื่องจากพบว่า AI ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    จากการสำรวจของ Gartner ในเดือนมีนาคม 2025 พบว่า 95% ของผู้นำฝ่ายบริการลูกค้าวางแผนที่จะรักษาพนักงานมนุษย์ไว้ และ ใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริมแทน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - 50% ของบริษัทที่เคยวางแผนแทนที่ฝ่ายบริการลูกค้าด้วย AI กำลังกลับลำ
    - Gartner สำรวจผู้นำฝ่ายบริการลูกค้า 163 คน พบว่า 95% วางแผนรักษาพนักงานมนุษย์ไว้
    - AI ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ตัวแทนที่สมบูรณ์ของมนุษย์
    - ลูกค้า 51% เชื่อว่ามนุษย์สามารถแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า AI ขณะที่มีเพียง 7% ที่ไว้วางใจ AI
    - บางบริษัทใหญ่ยังคงเดินหน้าปลดพนักงานและแทนที่ด้วย AI แม้ว่าจะพบปัญหาในการดำเนินการ

    🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบริการลูกค้า
    แม้ว่า AI จะช่วยลดต้นทุนได้ในบางกรณี แต่ ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและบำรุงรักษา AI อาจสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - AI ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์
    - ลูกค้าหลายคนกลัวว่า AI จะทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงการช่วยเหลือจากมนุษย์ได้
    - บริษัทที่เดินหน้าใช้ AI แทนพนักงานอาจเผชิญกับปัญหาด้านความพึงพอใจของลูกค้า
    - ต้องติดตามว่าบริษัทต่าง ๆ จะปรับกลยุทธ์การใช้ AI ในบริการลูกค้าอย่างไรในอนาคต

    🚀 อนาคตของ AI ในบริการลูกค้า
    Gartner แนะนำให้บริษัทใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริมแทนการแทนที่พนักงานทั้งหมด เพื่อให้ สามารถรักษาคุณภาพการบริการและความพึงพอใจของลูกค้าได้

    https://www.techspot.com/news/108291-companies-abandoning-plans-replace-human-customer-care-ai.html
    📞 บริษัทต่าง ๆ กำลังกลับลำ ไม่แทนที่ฝ่ายบริการลูกค้าด้วย AI แม้ว่าหลายบริษัทจะเคยวางแผน แทนที่ฝ่ายบริการลูกค้าด้วย AI แต่ 50% ขององค์กรเหล่านั้นกำลังกลับลำ เนื่องจากพบว่า AI ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการสำรวจของ Gartner ในเดือนมีนาคม 2025 พบว่า 95% ของผู้นำฝ่ายบริการลูกค้าวางแผนที่จะรักษาพนักงานมนุษย์ไว้ และ ใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริมแทน ✅ ข้อมูลจากข่าว - 50% ของบริษัทที่เคยวางแผนแทนที่ฝ่ายบริการลูกค้าด้วย AI กำลังกลับลำ - Gartner สำรวจผู้นำฝ่ายบริการลูกค้า 163 คน พบว่า 95% วางแผนรักษาพนักงานมนุษย์ไว้ - AI ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ตัวแทนที่สมบูรณ์ของมนุษย์ - ลูกค้า 51% เชื่อว่ามนุษย์สามารถแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า AI ขณะที่มีเพียง 7% ที่ไว้วางใจ AI - บางบริษัทใหญ่ยังคงเดินหน้าปลดพนักงานและแทนที่ด้วย AI แม้ว่าจะพบปัญหาในการดำเนินการ 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบริการลูกค้า แม้ว่า AI จะช่วยลดต้นทุนได้ในบางกรณี แต่ ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและบำรุงรักษา AI อาจสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - AI ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์ - ลูกค้าหลายคนกลัวว่า AI จะทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงการช่วยเหลือจากมนุษย์ได้ - บริษัทที่เดินหน้าใช้ AI แทนพนักงานอาจเผชิญกับปัญหาด้านความพึงพอใจของลูกค้า - ต้องติดตามว่าบริษัทต่าง ๆ จะปรับกลยุทธ์การใช้ AI ในบริการลูกค้าอย่างไรในอนาคต 🚀 อนาคตของ AI ในบริการลูกค้า Gartner แนะนำให้บริษัทใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริมแทนการแทนที่พนักงานทั้งหมด เพื่อให้ สามารถรักษาคุณภาพการบริการและความพึงพอใจของลูกค้าได้ https://www.techspot.com/news/108291-companies-abandoning-plans-replace-human-customer-care-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Half of companies planning to replace customer service with AI are reversing course
    Within a couple of years, 50 percent of the organizations that had planned to replace their customer service personnel with AI models are expected to reverse their...
    0 Comments 0 Shares 74 Views 0 Reviews
More Results