• Blood Gold เจาะขุมทรัพย์ใต้ภิภพเมียนมาร์ความมั่งคั่งที่มืดมนอนธการ
    .
    ใต้ภิภพเมียนมาร์ นับเป็นรัฐที่มีทรัพยากรมูลค่าสูงฝังอยู่มหาศาล ที่สามารถแปลงเป็นสินทรัพย์ในการพัฒนาประเทศได้อันดับต้น ๆ ของอาเซียน
    ทว่า รัฐสภาพแห่งนี้เหมือนถูกครอบงำ และตกอยู่ภายใต้ความลำบาก ความขัดแย้งไม่ลงรอย ในประวัติศาสตร์การเมืองที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศโดยตรง
    รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) “ยักษ์หลับแห่งเมียนมา” ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ตื่นขึ้น 28 มีนาคม 2568 ที่ ขนาด 8.2 แมกนิจูด ได้ส่งพลังพาดผ่านเมืองหลวงสำคัญของพม่า ตั้งแต่มัณฑะเลย์ เนปิดอว์ ย่างกุ้ง ดูเหมือนว่าเมืองแห่งอารยธรรมและศูนย์กลางอำนาจ ตั้งอยู่บนหลังมังกรที่หลับ ขยับทีก็ทำให้เมืองศูนย์กลางสำคัญได้ได้ผลกระทบสูงการฟื้นตัวครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนสถานการณ์เริ่มต้นใหม่หลายรอบ หมุนวน
    โครงสร้างทางธรณีวิทยาของเมียนมาร์ค่อนข้างซับซ้อน ภูมิสัณฐานและธรณีโครงสร้างได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ คือพื้นที่ราบสูงตะวันออก (Sino Burman Ranges) พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง (Inner Burman Tertiary Zone) ดินแดนเทือกเขาตะวันตก (Indo Burman Ranges) และ ที่ราบฝั่งยะไข่ - คะฉิ่น Rakhine (Arakan) Coastal Plain
    ชั้นหินที่มีอายุอ่อนที่สุดจะอยู่ใน พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง ไล่ถัดไปทางด้านตะวันตกของประเทศ จะเป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงที่ราบแถบยะไข่ ด้านตะวันออกของประเทศ ส่วนของ Sino Burman เป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ที่สุด มีรอยเลื่อนรัฐฉาน แนวรอยต่อเชื่อมรอยเลื่อนสะกาย
    อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในเมียนมาร์ มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงหลังรัฐประหารปี 2021 ซึ่งมีการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้มาพร้อมกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน มีมูลค่าสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023
    นับว่าแร่หายากกลุ่มหนัก heavy rare earth elements: HREE คิดเป็นสัดส่วนหลักของมูลค่าการส่งออกของเมียนมาร์ โดยส่วนใหญ่ส่งไปจีนเพื่อผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับรถไฟฟ้าและกังหันลมการส่งออก อัตราเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2021 จาก 19,500 ตัน เป็น 41,700 ตัน
    แน่นอนแร่หายากกลุ่ม China Rare Earths Group (REGCC) เป็นผู้ลงทุนหลัก ควบคุมทั้งเทคโนโลยี การประมวลผล และห่วงโซ่อุปทาน ภายใต้การดูแลพื้นที่ของกองทัพเมียนมาร์ (SAC) และมิลิเชียพันธมิตรควบคุมพื้นที่พิเศษ Kachin 1 และกองกำลัง Kachin Independence Army (KIA) ควบคุมพื้นที่ Momauk และแนวชายแดน
    แร่หายากเป็นแหล่งเงินสำคัญสำหรับทั้งรัฐบาลทหารและกลุ่มกบฎ แต่ 70% ของประชากรในพื้นที่ยังพึ่งพาการเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ขณะที่ค่าแรงงานในเหมืองสูงถึง 600 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน (สูงกว่าเฉลี่ยประเทศ 2 เท่า) แต่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ โรคปอด ปัญหาหายใจลำบาก โรคผิวหนัง และไตวายจากสารเคมี เช่น แอมโมเนียมซัลเฟตและออกซาลิกแอซิด
    ไม่รวมถึงมลพิษน้ำ 96% ของครัวเรือนในเขต Chipwi ไม่มีน้ำดื่มสะอาดเนื่องจากสารเคมีปนเปื้อน ดวงตาสวรรค์ได้ส่องพื้นที่การขยายตัวของเหมืองกว่า 40% ใน Kachin Special Region 1 และ Momauk ระหว่างปี 2021-2023 ที่สลายระบบนิเวศในพื้นที่ยากจะทวงคืนสภาพเดิมกลับมาในอนาคต
    อีกแร่ธาตุหนึ่งคือเหล็กที่เมียนมาร์ เป็นเบอร์หนึ่งของโลก ที่แหล่ง Pong Pet ซึ่งอยู่ห่างจาก Taunggyi ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร ปรากฏเป็นแหล่งเฮมาไทต์ (Hematite) และยังพบแหล่งแร่เหล็ก 393 แหล่ง ปริมาณสารองทรัพยากรแร่ประมาณ 495 ล้านตัน และพบแหล่งแร่เหล็กที่มีศักยภาพ 14 แหล่ง ในรัฐ Kachin, Mandalay, Bago, Tanintharyi และรัฐShan ได้แก่ แหล่งแร่เหล็กสำคัญพบที่รัฐ Tanintharyi บริเวณตอนเหนือของรัฐ Shan
    โดยในรัฐคะฉิ่น คือศูนย์รวมแร่ธาตุความมั่งคั่งสมบูรณ์อุตสาหกรรมเหมืองแร่ นอกจากหยกแล้วยังมีแหล่งแร่เหล็กในรัฐ Kachin มีปริมาณสารองประมาณ 223 ล้านตันที่ 50.56%Fe องค์ประกอบหลักของแร่ คือ Goethite/Limonite 75%, Hematite 15% และ Magnetite 2%
    แน่นอนเมียนมาร์เป็นผู้ผลิตหยกรายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในประเทศเดียวที่ผลิตหยกเจไดต์คุณภาพสูง อุตสาหกรรมหยกมีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP ของประเทศ โดยเมืองผะกัน (Hpakan) เป็นที่ตั้งของเหมืองหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมืองที่มีข่าวของเหมืองถล่ม ดินโคลนโถมทับหมู่บ้านถี่มากและต้นปี 2568 ก็ได้เกิดเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่ซ้ำซาก สูญเสียชีวิตของผู้คนไปอย่างมาก
    Global Witness ประเมินไว้ว่ารายได้จากหยกได้เข้าพกเข้าห่อของผู้นำของเมียนมาไปแล้วราว 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา
    หากประมวลประเทศที่มีบริษัทลงทุนในเหมืองแร่ในภาพรวมในเมียนมาร์ ได้แก่
    1.) จีน: เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเหมืองแร่เมียนมาร์ โดยเฉพาะในเหมืองทองแดง (เช่น โครงการ Letpadaung, S&K, Tagaung Taung) และแร่หายาก มีทั้งบริษัทขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น China Nonferrous Metal Mining (CNMC), Wanbao Mining Co., Ltd. รวมถึงนักลงทุนรายย่อยจากมณฑลยูนนานและเสฉวน
    2.) ไทย: มีบริษัท Myanmar-Pongpipat Co., Ltd. ร่วมลงทุนในเหมืองดีบุกและโลหะอื่น
    3.) เวียดนาม: บริษัท Simco Songda มีการลงทุนในเหมืองแร่ร่วมกับเมียนมาร์
    4.) ออสเตรเลีย: บริษัท PanAust ได้รับอนุญาตให้ศึกษาความเป็นไปได้ในพื้นที่เหมือง Wuntho
    5.) ญี่ปุ่น: มีบริษัทญี่ปุ่นบางแห่งยื่นขออนุญาตลงทุนในเหมืองแร่เมียนมาร์
    6.) สิงคโปร์: แม้จะเน้นลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และพลังงาน แต่ก็มีการลงทุนในเหมืองแร่บางส่วน
    7.) มาเลเซีย, เกาหลีใต้, เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร: มีการลงทุนในเมียนมาร์ในหลายภาคส่วน รวมถึงเหมืองแร่ในบางโครงการ
    ในส่วนแร่ทองคำ Blood Gold บริบทไม่แตกต่างจากพื้นที่คะฉิ่น แต่รายงานจาก EarthRights International (2567) ระบุว่าในรัฐกะฉิ่นมีการขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีจุดขุดนับร้อยแห่ง ส่วนใหญ่เป็นการขุดขนาดเล็กและใช้เครื่องจักรหนัก
    ผู้สัมปทาน ก่อนการรัฐประหาร (2564): เหมืองทองคำขนาดใหญ่บางแห่ง เช่น ในเขตเบ็งเมาก์ (Bemauk), กานิ (Kani), และเคาก์ปาดอง (Kyaukpadaung) ดำเนินการโดยบริษัทร่วมทุนระหว่างกองทัพเมียนมาร์และบริษัทต่างชาติ เช่น บริษัทจากจีนและไทย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเฉพาะเจาะจงในปัจจุบันหายาก
    พื้นที่การขุดทองคำในรัฐกะฉิ่นส่วนใหญ่ควบคุมโดย Kachin Independence Army (KIA) และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทหรือนักขุดท้องถิ่น บริษัทจีน มีรายงานว่าได้รับสัมปทานในพื้นที่ เช่น บริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำกก โดยได้รับการอนุมัติจาก United Wa State Army (UWSA) บริษัทท้องถิ่นและกองทัพเมียนมาร์: Myanmar Economic Holdings Limited (MEHL) และ Myanmar Economic Corporation (MEC) ยังคงมีส่วนในเหมืองบางแห่ง
    ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ไม่มีการออกใบอนุญาตขุดอย่างเป็นทางการในหลายพื้นที่ เช่น Hpakant แต่การขุดยังดำเนินต่อไปโดยผิดกฎหมาย
    ปัจจุบันหลังจาก การรัฐประหารในปี 2564 ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและกฎหมาย ส่งผลให้การขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีการควบคุม โดยเฉพาะในรัฐกะฉิ่นและสะกาย เพิ่มขึ้น 10 เท่าหลังการรัฐประหาร ซึ่งเป็นแหล่งทองคำสำคัญ เรียกว่าเกิดการขุดแบบทำลายล้าง ใช้เครื่องจักรกลหนักและการขุดในแม่น้ำในพื้นที่ และลุกลามขยายยังพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกก และแม่น้ำสายใกล้ชายแดนไทย
    แน่นอนความระส่ำระสายในพื้นที่คือการกอบโกยความมั่งคั่งในพื้นที่ที่ไม่ได้มองไกลถึงอนาคตว่าผลกระทบของผู้คน ประชาชนจะเป็นอย่างไร ระยะเวลาการฟื้นตัวความอ่อนเปียกของรัฐชาติที่ถูกสูบทรัพยากรที่มีความมั่งคั่งออกไปอย่างไร้ข้อจำกัด โดยมีอำนาจภายในควบคุม กองทัพเมียนมาร์ ควบคุมเหมืองขนาดใหญ่บางแห่งเพื่อหารายได้ กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น KIA เก็บส่วนแบ่งจากเหมืองในพื้นที่ของตน บริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน มีบทบาทในพื้นที่รัฐที่อุดมด้วยแร่ธาตุโดยเฉพาะฉาน และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงที่สัญญาณได้ส่งผลแล้วกรณีที่แม่สาย ลุ่มแม่น้ำกก เชียงราย ที่ต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิด


    อ้างอิง :
    • โครงการ การส่งเสริมการจัดหาวัตถุดิบและการลงทุนด้านเหมืองแร่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    https://www.bbc.com/thai/international-53264790
    • EarthRights International, Global Witness
    Blood Gold เจาะขุมทรัพย์ใต้ภิภพเมียนมาร์ความมั่งคั่งที่มืดมนอนธการ . ใต้ภิภพเมียนมาร์ นับเป็นรัฐที่มีทรัพยากรมูลค่าสูงฝังอยู่มหาศาล ที่สามารถแปลงเป็นสินทรัพย์ในการพัฒนาประเทศได้อันดับต้น ๆ ของอาเซียน ทว่า รัฐสภาพแห่งนี้เหมือนถูกครอบงำ และตกอยู่ภายใต้ความลำบาก ความขัดแย้งไม่ลงรอย ในประวัติศาสตร์การเมืองที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศโดยตรง รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) “ยักษ์หลับแห่งเมียนมา” ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ตื่นขึ้น 28 มีนาคม 2568 ที่ ขนาด 8.2 แมกนิจูด ได้ส่งพลังพาดผ่านเมืองหลวงสำคัญของพม่า ตั้งแต่มัณฑะเลย์ เนปิดอว์ ย่างกุ้ง ดูเหมือนว่าเมืองแห่งอารยธรรมและศูนย์กลางอำนาจ ตั้งอยู่บนหลังมังกรที่หลับ ขยับทีก็ทำให้เมืองศูนย์กลางสำคัญได้ได้ผลกระทบสูงการฟื้นตัวครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนสถานการณ์เริ่มต้นใหม่หลายรอบ หมุนวน โครงสร้างทางธรณีวิทยาของเมียนมาร์ค่อนข้างซับซ้อน ภูมิสัณฐานและธรณีโครงสร้างได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ คือพื้นที่ราบสูงตะวันออก (Sino Burman Ranges) พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง (Inner Burman Tertiary Zone) ดินแดนเทือกเขาตะวันตก (Indo Burman Ranges) และ ที่ราบฝั่งยะไข่ - คะฉิ่น Rakhine (Arakan) Coastal Plain ชั้นหินที่มีอายุอ่อนที่สุดจะอยู่ใน พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง ไล่ถัดไปทางด้านตะวันตกของประเทศ จะเป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงที่ราบแถบยะไข่ ด้านตะวันออกของประเทศ ส่วนของ Sino Burman เป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ที่สุด มีรอยเลื่อนรัฐฉาน แนวรอยต่อเชื่อมรอยเลื่อนสะกาย อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในเมียนมาร์ มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงหลังรัฐประหารปี 2021 ซึ่งมีการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้มาพร้อมกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน มีมูลค่าสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 นับว่าแร่หายากกลุ่มหนัก heavy rare earth elements: HREE คิดเป็นสัดส่วนหลักของมูลค่าการส่งออกของเมียนมาร์ โดยส่วนใหญ่ส่งไปจีนเพื่อผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับรถไฟฟ้าและกังหันลมการส่งออก อัตราเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2021 จาก 19,500 ตัน เป็น 41,700 ตัน แน่นอนแร่หายากกลุ่ม China Rare Earths Group (REGCC) เป็นผู้ลงทุนหลัก ควบคุมทั้งเทคโนโลยี การประมวลผล และห่วงโซ่อุปทาน ภายใต้การดูแลพื้นที่ของกองทัพเมียนมาร์ (SAC) และมิลิเชียพันธมิตรควบคุมพื้นที่พิเศษ Kachin 1 และกองกำลัง Kachin Independence Army (KIA) ควบคุมพื้นที่ Momauk และแนวชายแดน แร่หายากเป็นแหล่งเงินสำคัญสำหรับทั้งรัฐบาลทหารและกลุ่มกบฎ แต่ 70% ของประชากรในพื้นที่ยังพึ่งพาการเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ขณะที่ค่าแรงงานในเหมืองสูงถึง 600 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน (สูงกว่าเฉลี่ยประเทศ 2 เท่า) แต่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ โรคปอด ปัญหาหายใจลำบาก โรคผิวหนัง และไตวายจากสารเคมี เช่น แอมโมเนียมซัลเฟตและออกซาลิกแอซิด ไม่รวมถึงมลพิษน้ำ 96% ของครัวเรือนในเขต Chipwi ไม่มีน้ำดื่มสะอาดเนื่องจากสารเคมีปนเปื้อน ดวงตาสวรรค์ได้ส่องพื้นที่การขยายตัวของเหมืองกว่า 40% ใน Kachin Special Region 1 และ Momauk ระหว่างปี 2021-2023 ที่สลายระบบนิเวศในพื้นที่ยากจะทวงคืนสภาพเดิมกลับมาในอนาคต อีกแร่ธาตุหนึ่งคือเหล็กที่เมียนมาร์ เป็นเบอร์หนึ่งของโลก ที่แหล่ง Pong Pet ซึ่งอยู่ห่างจาก Taunggyi ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร ปรากฏเป็นแหล่งเฮมาไทต์ (Hematite) และยังพบแหล่งแร่เหล็ก 393 แหล่ง ปริมาณสารองทรัพยากรแร่ประมาณ 495 ล้านตัน และพบแหล่งแร่เหล็กที่มีศักยภาพ 14 แหล่ง ในรัฐ Kachin, Mandalay, Bago, Tanintharyi และรัฐShan ได้แก่ แหล่งแร่เหล็กสำคัญพบที่รัฐ Tanintharyi บริเวณตอนเหนือของรัฐ Shan โดยในรัฐคะฉิ่น คือศูนย์รวมแร่ธาตุความมั่งคั่งสมบูรณ์อุตสาหกรรมเหมืองแร่ นอกจากหยกแล้วยังมีแหล่งแร่เหล็กในรัฐ Kachin มีปริมาณสารองประมาณ 223 ล้านตันที่ 50.56%Fe องค์ประกอบหลักของแร่ คือ Goethite/Limonite 75%, Hematite 15% และ Magnetite 2% แน่นอนเมียนมาร์เป็นผู้ผลิตหยกรายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในประเทศเดียวที่ผลิตหยกเจไดต์คุณภาพสูง อุตสาหกรรมหยกมีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP ของประเทศ โดยเมืองผะกัน (Hpakan) เป็นที่ตั้งของเหมืองหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมืองที่มีข่าวของเหมืองถล่ม ดินโคลนโถมทับหมู่บ้านถี่มากและต้นปี 2568 ก็ได้เกิดเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่ซ้ำซาก สูญเสียชีวิตของผู้คนไปอย่างมาก Global Witness ประเมินไว้ว่ารายได้จากหยกได้เข้าพกเข้าห่อของผู้นำของเมียนมาไปแล้วราว 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา หากประมวลประเทศที่มีบริษัทลงทุนในเหมืองแร่ในภาพรวมในเมียนมาร์ ได้แก่ 1.) จีน: เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเหมืองแร่เมียนมาร์ โดยเฉพาะในเหมืองทองแดง (เช่น โครงการ Letpadaung, S&K, Tagaung Taung) และแร่หายาก มีทั้งบริษัทขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น China Nonferrous Metal Mining (CNMC), Wanbao Mining Co., Ltd. รวมถึงนักลงทุนรายย่อยจากมณฑลยูนนานและเสฉวน 2.) ไทย: มีบริษัท Myanmar-Pongpipat Co., Ltd. ร่วมลงทุนในเหมืองดีบุกและโลหะอื่น 3.) เวียดนาม: บริษัท Simco Songda มีการลงทุนในเหมืองแร่ร่วมกับเมียนมาร์ 4.) ออสเตรเลีย: บริษัท PanAust ได้รับอนุญาตให้ศึกษาความเป็นไปได้ในพื้นที่เหมือง Wuntho 5.) ญี่ปุ่น: มีบริษัทญี่ปุ่นบางแห่งยื่นขออนุญาตลงทุนในเหมืองแร่เมียนมาร์ 6.) สิงคโปร์: แม้จะเน้นลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และพลังงาน แต่ก็มีการลงทุนในเหมืองแร่บางส่วน 7.) มาเลเซีย, เกาหลีใต้, เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร: มีการลงทุนในเมียนมาร์ในหลายภาคส่วน รวมถึงเหมืองแร่ในบางโครงการ ในส่วนแร่ทองคำ Blood Gold บริบทไม่แตกต่างจากพื้นที่คะฉิ่น แต่รายงานจาก EarthRights International (2567) ระบุว่าในรัฐกะฉิ่นมีการขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีจุดขุดนับร้อยแห่ง ส่วนใหญ่เป็นการขุดขนาดเล็กและใช้เครื่องจักรหนัก ผู้สัมปทาน ก่อนการรัฐประหาร (2564): เหมืองทองคำขนาดใหญ่บางแห่ง เช่น ในเขตเบ็งเมาก์ (Bemauk), กานิ (Kani), และเคาก์ปาดอง (Kyaukpadaung) ดำเนินการโดยบริษัทร่วมทุนระหว่างกองทัพเมียนมาร์และบริษัทต่างชาติ เช่น บริษัทจากจีนและไทย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเฉพาะเจาะจงในปัจจุบันหายาก พื้นที่การขุดทองคำในรัฐกะฉิ่นส่วนใหญ่ควบคุมโดย Kachin Independence Army (KIA) และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทหรือนักขุดท้องถิ่น บริษัทจีน มีรายงานว่าได้รับสัมปทานในพื้นที่ เช่น บริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำกก โดยได้รับการอนุมัติจาก United Wa State Army (UWSA) บริษัทท้องถิ่นและกองทัพเมียนมาร์: Myanmar Economic Holdings Limited (MEHL) และ Myanmar Economic Corporation (MEC) ยังคงมีส่วนในเหมืองบางแห่ง ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ไม่มีการออกใบอนุญาตขุดอย่างเป็นทางการในหลายพื้นที่ เช่น Hpakant แต่การขุดยังดำเนินต่อไปโดยผิดกฎหมาย ปัจจุบันหลังจาก การรัฐประหารในปี 2564 ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและกฎหมาย ส่งผลให้การขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีการควบคุม โดยเฉพาะในรัฐกะฉิ่นและสะกาย เพิ่มขึ้น 10 เท่าหลังการรัฐประหาร ซึ่งเป็นแหล่งทองคำสำคัญ เรียกว่าเกิดการขุดแบบทำลายล้าง ใช้เครื่องจักรกลหนักและการขุดในแม่น้ำในพื้นที่ และลุกลามขยายยังพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกก และแม่น้ำสายใกล้ชายแดนไทย แน่นอนความระส่ำระสายในพื้นที่คือการกอบโกยความมั่งคั่งในพื้นที่ที่ไม่ได้มองไกลถึงอนาคตว่าผลกระทบของผู้คน ประชาชนจะเป็นอย่างไร ระยะเวลาการฟื้นตัวความอ่อนเปียกของรัฐชาติที่ถูกสูบทรัพยากรที่มีความมั่งคั่งออกไปอย่างไร้ข้อจำกัด โดยมีอำนาจภายในควบคุม กองทัพเมียนมาร์ ควบคุมเหมืองขนาดใหญ่บางแห่งเพื่อหารายได้ กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น KIA เก็บส่วนแบ่งจากเหมืองในพื้นที่ของตน บริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน มีบทบาทในพื้นที่รัฐที่อุดมด้วยแร่ธาตุโดยเฉพาะฉาน และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงที่สัญญาณได้ส่งผลแล้วกรณีที่แม่สาย ลุ่มแม่น้ำกก เชียงราย ที่ต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิด อ้างอิง : • โครงการ การส่งเสริมการจัดหาวัตถุดิบและการลงทุนด้านเหมืองแร่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ • https://www.bbc.com/thai/international-53264790 • EarthRights International, Global Witness
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia ได้ประกาศย้ายฐานการผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ไปยังสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการผลิตภายในประเทศเพื่อรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

    ✅ การย้ายฐานการผลิตไปยังสหรัฐฯ
    - Nvidia จะผลิตและทดสอบชิป Blackwell และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ในโรงงานที่รัฐแอริโซนาและเท็กซัส
    - โรงงานผลิตครอบคลุมพื้นที่กว่า 1 ล้านตารางฟุต และเริ่มดำเนินการแล้ว
    - คาดว่าจะเริ่มการผลิตจำนวนมากภายใน 12-15 เดือนข้างหน้า

    ✅ ความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่
    - TSMC จะผลิตชิป Blackwell ในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา
    - Foxconn และ Wistron จะดูแลการประกอบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ในรัฐเท็กซัส
    - Amkor และ SPIL จะรับผิดชอบด้านบรรจุภัณฑ์และการทดสอบชิปในแอริโซนา

    ✅ เป้าหมายการลงทุนและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    - Nvidia วางแผนลงทุนสูงถึง 500 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI ภายใน 4 ปีข้างหน้า
    - การผลิตในสหรัฐฯ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานและลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดทางการค้า

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - การย้ายฐานผลิตอาจส่งผลต่อซัพพลายเชนของบริษัทที่พึ่งพาการผลิตในเอเชีย
    - อาจเกิดความท้าทายด้านต้นทุนและการจัดหาวัตถุดิบสำหรับการผลิตในสหรัฐฯ

    ℹ️ ข้อกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์
    - การตัดสินใจของ Nvidia อาจเป็นผลจากแรงกดดันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
    - อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เคยเตือน TSMC ว่าอาจเผชิญภาษีนำเข้าสูงถึง 100% หากไม่ตั้งโรงงานในสหรัฐฯ

    ℹ️ อนาคตของอุตสาหกรรม AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์
    - Nvidia วางแผนสร้าง "AI factories" หรือศูนย์ข้อมูลเฉพาะสำหรับงาน AI ซึ่งจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในอนาคต
    - บริษัทจะใช้แพลตฟอร์ม Omniverse เพื่อสร้างแบบจำลองดิจิทัลของโรงงาน และใช้หุ่นยนต์ Isaac GR00T ในกระบวนการผลิต

    https://www.techspot.com/news/107542-nvidia-shifts-ai-supercomputer-production-us-first-time.html
    Nvidia ได้ประกาศย้ายฐานการผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ไปยังสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการผลิตภายในประเทศเพื่อรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ✅ การย้ายฐานการผลิตไปยังสหรัฐฯ - Nvidia จะผลิตและทดสอบชิป Blackwell และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ในโรงงานที่รัฐแอริโซนาและเท็กซัส - โรงงานผลิตครอบคลุมพื้นที่กว่า 1 ล้านตารางฟุต และเริ่มดำเนินการแล้ว - คาดว่าจะเริ่มการผลิตจำนวนมากภายใน 12-15 เดือนข้างหน้า ✅ ความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ - TSMC จะผลิตชิป Blackwell ในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา - Foxconn และ Wistron จะดูแลการประกอบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ในรัฐเท็กซัส - Amkor และ SPIL จะรับผิดชอบด้านบรรจุภัณฑ์และการทดสอบชิปในแอริโซนา ✅ เป้าหมายการลงทุนและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม - Nvidia วางแผนลงทุนสูงถึง 500 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI ภายใน 4 ปีข้างหน้า - การผลิตในสหรัฐฯ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานและลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดทางการค้า ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - การย้ายฐานผลิตอาจส่งผลต่อซัพพลายเชนของบริษัทที่พึ่งพาการผลิตในเอเชีย - อาจเกิดความท้าทายด้านต้นทุนและการจัดหาวัตถุดิบสำหรับการผลิตในสหรัฐฯ ℹ️ ข้อกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ - การตัดสินใจของ Nvidia อาจเป็นผลจากแรงกดดันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน - อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เคยเตือน TSMC ว่าอาจเผชิญภาษีนำเข้าสูงถึง 100% หากไม่ตั้งโรงงานในสหรัฐฯ ℹ️ อนาคตของอุตสาหกรรม AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ - Nvidia วางแผนสร้าง "AI factories" หรือศูนย์ข้อมูลเฉพาะสำหรับงาน AI ซึ่งจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในอนาคต - บริษัทจะใช้แพลตฟอร์ม Omniverse เพื่อสร้างแบบจำลองดิจิทัลของโรงงาน และใช้หุ่นยนต์ Isaac GR00T ในกระบวนการผลิต https://www.techspot.com/news/107542-nvidia-shifts-ai-supercomputer-production-us-first-time.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nvidia shifts AI supercomputer production to the US for the first time
    The project spans more than a million square feet of manufacturing space, with operations already underway. Nvidia's Blackwell chips are being produced at TSMC facilities in Phoenix,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงการขยายการรองรับ Windows on Arm runners ใน GitHub Actions สำหรับ ทุก public repository ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของ Microsoft ในการสนับสนุนการพัฒนาแอปพลิเคชันบนแพลตฟอร์ม Arm

    ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน 2022 Microsoft เปิดตัว self-hosted runners สำหรับ Windows on Arm ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถทดสอบและสร้างซอฟต์แวร์บนอุปกรณ์ที่ใช้ Arm-based Windows ได้โดยไม่ต้องตั้งค่าโครงสร้างพื้นฐานเอง จากนั้นในปี 2024 GitHub ได้เปิดตัว public beta สำหรับ Arm-based Linux และ Windows runners และในเดือนกันยายน 2024 ฟีเจอร์นี้ก็ได้รับการเปิดให้ใช้งานทั่วไป

    ล่าสุด Microsoft ได้ประกาศขยายการรองรับ Windows on Arm runners ไปยัง ทุก public repository รวมถึงบัญชีที่ใช้ GitHub Free tier ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถใช้ Arm runners ได้โดยไม่ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม

    Windows on Arm กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะจากนักพัฒนา เนื่องจาก Microsoft ได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงเครื่องมือสำหรับ Copilot+ PCs ที่ใช้ชิป Qualcomm

    ✅ การขยายการรองรับ Windows on Arm runners
    - Microsoft เปิดให้ใช้งาน Windows on Arm runners ในทุก public repository
    - รวมถึงบัญชีที่ใช้ GitHub Free tier

    ✅ ประโยชน์ของการใช้ Arm runners
    - ช่วยให้นักพัฒนาสามารถทดสอบและสร้างซอฟต์แวร์บน Arm-based Windows ได้ง่ายขึ้น
    - ไม่ต้องตั้งค่าโครงสร้างพื้นฐานเอง

    ✅ การลงทุนของ Microsoft ใน Windows on Arm
    - Microsoft ปรับปรุงเครื่องมือสำหรับ Copilot+ PCs ที่ใช้ชิป Qualcomm
    - Windows on Arm ได้รับความสนใจมากขึ้นจากนักพัฒนา

    ℹ️ ข้อจำกัดของ Windows on Arm runners
    - นักพัฒนาอาจต้องปรับแต่ง workflow เพื่อรองรับ Arm architecture
    - การใช้งานบางอย่างอาจยังไม่สมบูรณ์เท่ากับแพลตฟอร์ม x86

    ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์
    - การขยายการรองรับ Arm อาจช่วยให้แพลตฟอร์มนี้ได้รับการยอมรับมากขึ้น
    - นักพัฒนาอาจต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสถาปัตยกรรม

    https://www.neowin.net/news/microsoft-brings-windows-on-arm-runner-support-to-github-actions-for-all-public-repositories/
    ข่าวนี้เล่าถึงการขยายการรองรับ Windows on Arm runners ใน GitHub Actions สำหรับ ทุก public repository ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของ Microsoft ในการสนับสนุนการพัฒนาแอปพลิเคชันบนแพลตฟอร์ม Arm ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน 2022 Microsoft เปิดตัว self-hosted runners สำหรับ Windows on Arm ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถทดสอบและสร้างซอฟต์แวร์บนอุปกรณ์ที่ใช้ Arm-based Windows ได้โดยไม่ต้องตั้งค่าโครงสร้างพื้นฐานเอง จากนั้นในปี 2024 GitHub ได้เปิดตัว public beta สำหรับ Arm-based Linux และ Windows runners และในเดือนกันยายน 2024 ฟีเจอร์นี้ก็ได้รับการเปิดให้ใช้งานทั่วไป ล่าสุด Microsoft ได้ประกาศขยายการรองรับ Windows on Arm runners ไปยัง ทุก public repository รวมถึงบัญชีที่ใช้ GitHub Free tier ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถใช้ Arm runners ได้โดยไม่ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม Windows on Arm กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะจากนักพัฒนา เนื่องจาก Microsoft ได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงเครื่องมือสำหรับ Copilot+ PCs ที่ใช้ชิป Qualcomm ✅ การขยายการรองรับ Windows on Arm runners - Microsoft เปิดให้ใช้งาน Windows on Arm runners ในทุก public repository - รวมถึงบัญชีที่ใช้ GitHub Free tier ✅ ประโยชน์ของการใช้ Arm runners - ช่วยให้นักพัฒนาสามารถทดสอบและสร้างซอฟต์แวร์บน Arm-based Windows ได้ง่ายขึ้น - ไม่ต้องตั้งค่าโครงสร้างพื้นฐานเอง ✅ การลงทุนของ Microsoft ใน Windows on Arm - Microsoft ปรับปรุงเครื่องมือสำหรับ Copilot+ PCs ที่ใช้ชิป Qualcomm - Windows on Arm ได้รับความสนใจมากขึ้นจากนักพัฒนา ℹ️ ข้อจำกัดของ Windows on Arm runners - นักพัฒนาอาจต้องปรับแต่ง workflow เพื่อรองรับ Arm architecture - การใช้งานบางอย่างอาจยังไม่สมบูรณ์เท่ากับแพลตฟอร์ม x86 ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ - การขยายการรองรับ Arm อาจช่วยให้แพลตฟอร์มนี้ได้รับการยอมรับมากขึ้น - นักพัฒนาอาจต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสถาปัตยกรรม https://www.neowin.net/news/microsoft-brings-windows-on-arm-runner-support-to-github-actions-for-all-public-repositories/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft brings Windows on Arm runner support to GitHub Actions for all public repositories
    Developers can now finally integrate Windows on Arm runners into their CI workflows across all public GitHub repositories.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงความท้าทายที่ Google กำลังเผชิญในการจัดการความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับชิป AI โดยบริษัทกำลังพิจารณาเช่าชิป Nvidia Blackwell จาก CoreWeave ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ปรับแต่งสำหรับงาน AI

    Google CFO Anat Ashkenazi เปิดเผยว่า Google มีความต้องการชิป AI มากกว่าความสามารถที่มีอยู่ในปัจจุบัน และกำลังเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับความต้องการนี้ในปี 2025 นอกจากนี้ Google ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาเบื้องต้นกับ CoreWeave เพื่อเช่าพื้นที่ในศูนย์ข้อมูลของ CoreWeave สำหรับชิป TPU ที่ Google พัฒนาขึ้นเอง

    ในขณะเดียวกัน CoreWeave ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia กำลังเผชิญกับความท้าทายทางการเงิน โดยมูลค่าหุ้นลดลงถึง 25% ในเวลาเพียง 48 ชั่วโมง เนื่องจากผลกระทบจากภาษีของรัฐบาล Trump และความไม่แน่นอนในตลาด

    ✅ ความต้องการชิป AI ของ Google
    - Google มีความต้องการชิป AI มากกว่าความสามารถที่มีอยู่ในปัจจุบัน
    - กำลังเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับความต้องการในปี 2025

    ✅ การเจรจากับ CoreWeave
    - Google พิจารณาเช่าชิป Nvidia Blackwell จาก CoreWeave
    - อยู่ในขั้นตอนการเจรจาเบื้องต้นเพื่อเช่าพื้นที่ในศูนย์ข้อมูลสำหรับชิป TPU

    ✅ สถานการณ์ของ CoreWeave
    - CoreWeave เผชิญกับความท้าทายทางการเงิน โดยมูลค่าหุ้นลดลงถึง 25%
    - ผลกระทบจากภาษีของรัฐบาล Trump และความไม่แน่นอนในตลาด

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อการพึ่งพา CoreWeave
    - การพึ่งพา CoreWeave อาจเพิ่มความเสี่ยงในกรณีที่บริษัทเผชิญปัญหาทางการเงิน
    - ความไม่แน่นอนในตลาดอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของโครงสร้างพื้นฐาน

    ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    - ความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอาจสร้างแรงกดดันต่อผู้ผลิตชิป
    - การแข่งขันในตลาด AI อาจเข้มข้นขึ้นจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่

    https://www.techradar.com/pro/google-rumored-to-be-looking-to-rent-latest-nvidia-ai-gpu-from-coreweave-because-it-doesnt-have-enough-of-them
    ข่าวนี้เล่าถึงความท้าทายที่ Google กำลังเผชิญในการจัดการความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับชิป AI โดยบริษัทกำลังพิจารณาเช่าชิป Nvidia Blackwell จาก CoreWeave ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ปรับแต่งสำหรับงาน AI Google CFO Anat Ashkenazi เปิดเผยว่า Google มีความต้องการชิป AI มากกว่าความสามารถที่มีอยู่ในปัจจุบัน และกำลังเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับความต้องการนี้ในปี 2025 นอกจากนี้ Google ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาเบื้องต้นกับ CoreWeave เพื่อเช่าพื้นที่ในศูนย์ข้อมูลของ CoreWeave สำหรับชิป TPU ที่ Google พัฒนาขึ้นเอง ในขณะเดียวกัน CoreWeave ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia กำลังเผชิญกับความท้าทายทางการเงิน โดยมูลค่าหุ้นลดลงถึง 25% ในเวลาเพียง 48 ชั่วโมง เนื่องจากผลกระทบจากภาษีของรัฐบาล Trump และความไม่แน่นอนในตลาด ✅ ความต้องการชิป AI ของ Google - Google มีความต้องการชิป AI มากกว่าความสามารถที่มีอยู่ในปัจจุบัน - กำลังเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับความต้องการในปี 2025 ✅ การเจรจากับ CoreWeave - Google พิจารณาเช่าชิป Nvidia Blackwell จาก CoreWeave - อยู่ในขั้นตอนการเจรจาเบื้องต้นเพื่อเช่าพื้นที่ในศูนย์ข้อมูลสำหรับชิป TPU ✅ สถานการณ์ของ CoreWeave - CoreWeave เผชิญกับความท้าทายทางการเงิน โดยมูลค่าหุ้นลดลงถึง 25% - ผลกระทบจากภาษีของรัฐบาล Trump และความไม่แน่นอนในตลาด ℹ️ ความเสี่ยงต่อการพึ่งพา CoreWeave - การพึ่งพา CoreWeave อาจเพิ่มความเสี่ยงในกรณีที่บริษัทเผชิญปัญหาทางการเงิน - ความไม่แน่นอนในตลาดอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของโครงสร้างพื้นฐาน ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI - ความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอาจสร้างแรงกดดันต่อผู้ผลิตชิป - การแข่งขันในตลาด AI อาจเข้มข้นขึ้นจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ https://www.techradar.com/pro/google-rumored-to-be-looking-to-rent-latest-nvidia-ai-gpu-from-coreweave-because-it-doesnt-have-enough-of-them
    WWW.TECHRADAR.COM
    Google rumored to be looking to rent latest Nvidia AI GPU from CoreWeave because it doesn't have enough of them
    However Google is still expected to spend significantly less than Microsoft and OpenAI
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงความท้าทายของ Meta ในการพัฒนาโครงการ Metaverse ซึ่งใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าพอใจได้

    Meta ซึ่งนำโดย Mark Zuckerberg ได้เปลี่ยนชื่อจาก Facebook เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนา Metaverse แต่โครงการนี้กลับกลายเป็นปัญหาทางการเงินที่ใหญ่หลวง โดยมีการสูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024 สาเหตุหลักมาจากการขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการบริหารที่ไม่เหมาะสม เช่น การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR

    นอกจากนี้ รายได้ประจำปีของ Reality Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ Metaverse ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 เนื่องจากยอดขายที่อ่อนแอและการไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้

    ✅ การลงทุนในโครงการ Metaverse
    - Meta ใช้เงินลงทุนกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
    - สูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024

    ✅ ปัญหาด้านการบริหารและกลยุทธ์
    - การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR
    - ขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์

    ✅ ผลกระทบต่อรายได้ของ Reality Labs
    - รายได้ประจำปีลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021
    - ยอดขายอ่อนแอและไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อความยั่งยืนของโครงการ
    - การสูญเสียเงินจำนวนมากอาจทำให้โครงการ Metaverse ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
    - ความล้มเหลวในการเข้าถึงตลาดหลักอาจลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน

    ℹ️ คำแนะนำสำหรับการปรับปรุง
    - Meta ควรพัฒนากลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนและตอบสนองความต้องการของตลาด
    - การแต่งตั้งผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR เป็นสิ่งสำคัญ

    https://www.techspot.com/news/107530-four-years-meta-has-burned-through-45-billion.html
    ข่าวนี้เล่าถึงความท้าทายของ Meta ในการพัฒนาโครงการ Metaverse ซึ่งใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าพอใจได้ Meta ซึ่งนำโดย Mark Zuckerberg ได้เปลี่ยนชื่อจาก Facebook เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนา Metaverse แต่โครงการนี้กลับกลายเป็นปัญหาทางการเงินที่ใหญ่หลวง โดยมีการสูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024 สาเหตุหลักมาจากการขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการบริหารที่ไม่เหมาะสม เช่น การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR นอกจากนี้ รายได้ประจำปีของ Reality Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ Metaverse ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 เนื่องจากยอดขายที่อ่อนแอและการไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้ ✅ การลงทุนในโครงการ Metaverse - Meta ใช้เงินลงทุนกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา - สูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024 ✅ ปัญหาด้านการบริหารและกลยุทธ์ - การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR - ขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ ✅ ผลกระทบต่อรายได้ของ Reality Labs - รายได้ประจำปีลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 - ยอดขายอ่อนแอและไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้ ℹ️ ความเสี่ยงต่อความยั่งยืนของโครงการ - การสูญเสียเงินจำนวนมากอาจทำให้โครงการ Metaverse ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ - ความล้มเหลวในการเข้าถึงตลาดหลักอาจลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน ℹ️ คำแนะนำสำหรับการปรับปรุง - Meta ควรพัฒนากลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนและตอบสนองความต้องการของตลาด - การแต่งตั้งผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR เป็นสิ่งสำคัญ https://www.techspot.com/news/107530-four-years-meta-has-burned-through-45-billion.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Four years in, Meta has burned through $45 billion chasing its metaverse dream
    Insiders say the metaverse project has become a financial sinkhole, consuming $45 billion by early 2025. That's nearly equal to the combined market caps of social media...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นของ "Finfluencers" หรือผู้มีอิทธิพลด้านการเงินบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจในหมู่คนรุ่นใหม่ที่ต้องการคำแนะนำด้านการลงทุน

    ในโลกของ TikTok และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ มีผู้สร้างเนื้อหาที่เรียกว่า "Finfluencers" ซึ่งมักนำเสนอคำแนะนำด้านการเงินและการลงทุนผ่านวิดีโอสั้นๆ เช่น การแนะนำวิธีเป็นนักเทรดฟรี หรือการสร้างรายได้แบบ Passive Income อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (SC) ได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากคำแนะนำเหล่านี้ โดยเฉพาะในกรณีที่คำแนะนำไม่ได้รับการตรวจสอบหรืออาจเป็นการหลอกลวง

    ในขณะเดียวกัน มีการเรียกร้องให้ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียเพิ่มความระมัดระวังในการติดตามคำแนะนำจาก Finfluencers และตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

    ✅ ความนิยมของ Finfluencers
    - Finfluencers นำเสนอคำแนะนำด้านการเงินและการลงทุนผ่านโซเชียลมีเดีย
    - เนื้อหามักเน้นการสร้างรายได้แบบ Passive Income และการเป็นนักเทรด

    ✅ คำเตือนจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (SC)
    - SC เตือนถึงความเสี่ยงจากคำแนะนำที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ
    - อาจมีกรณีของการหลอกลวงหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

    ✅ การเรียกร้องให้เพิ่มความระมัดระวัง
    - ผู้ใช้งานควรตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
    - การติดตามคำแนะนำจาก Finfluencers ควรทำอย่างมีวิจารณญาณ

    ℹ️ ความเสี่ยงจากคำแนะนำที่ไม่ถูกต้อง
    - คำแนะนำที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจนำไปสู่การสูญเสียทางการเงิน
    - การหลอกลวงผ่านโซเชียลมีเดียอาจเพิ่มขึ้น

    ℹ️ คำแนะนำสำหรับผู้ใช้งาน
    - ควรศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ก่อนลงทุน
    - หลีกเลี่ยงการลงทุนที่ดูเหมือนจะให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/14/money-talks---but-should-you-listen-when-finfluencers-offer-investment-tips
    ข่าวนี้เล่าถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นของ "Finfluencers" หรือผู้มีอิทธิพลด้านการเงินบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจในหมู่คนรุ่นใหม่ที่ต้องการคำแนะนำด้านการลงทุน ในโลกของ TikTok และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ มีผู้สร้างเนื้อหาที่เรียกว่า "Finfluencers" ซึ่งมักนำเสนอคำแนะนำด้านการเงินและการลงทุนผ่านวิดีโอสั้นๆ เช่น การแนะนำวิธีเป็นนักเทรดฟรี หรือการสร้างรายได้แบบ Passive Income อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (SC) ได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากคำแนะนำเหล่านี้ โดยเฉพาะในกรณีที่คำแนะนำไม่ได้รับการตรวจสอบหรืออาจเป็นการหลอกลวง ในขณะเดียวกัน มีการเรียกร้องให้ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียเพิ่มความระมัดระวังในการติดตามคำแนะนำจาก Finfluencers และตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน ✅ ความนิยมของ Finfluencers - Finfluencers นำเสนอคำแนะนำด้านการเงินและการลงทุนผ่านโซเชียลมีเดีย - เนื้อหามักเน้นการสร้างรายได้แบบ Passive Income และการเป็นนักเทรด ✅ คำเตือนจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (SC) - SC เตือนถึงความเสี่ยงจากคำแนะนำที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ - อาจมีกรณีของการหลอกลวงหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ✅ การเรียกร้องให้เพิ่มความระมัดระวัง - ผู้ใช้งานควรตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน - การติดตามคำแนะนำจาก Finfluencers ควรทำอย่างมีวิจารณญาณ ℹ️ ความเสี่ยงจากคำแนะนำที่ไม่ถูกต้อง - คำแนะนำที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจนำไปสู่การสูญเสียทางการเงิน - การหลอกลวงผ่านโซเชียลมีเดียอาจเพิ่มขึ้น ℹ️ คำแนะนำสำหรับผู้ใช้งาน - ควรศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ก่อนลงทุน - หลีกเลี่ยงการลงทุนที่ดูเหมือนจะให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/14/money-talks---but-should-you-listen-when-finfluencers-offer-investment-tips
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Money talks – but should you listen when ‘finfluencers’ offer investment tips?
    Why the Securities Commission is reminding the public to be wary of online financial advice that offer unrealistically huge returns on investment in the short term.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • ค่าจัดหนวด สำหรับคนที่ไม่ได้อยากไว้หนวด ผมแนะนำให้ไปกำจัดหนวดแบบถาวรครับ เพราะแค่ไม่มีหนวดภาพลักษณ์ของคุณก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อีกทั้งการโกนหนวดทำร้ายผิวหน้าอย่างมาก เมื่อไม่ต้องโกนหนวดแล้วผิวหน้าจึงดีขึ้นด้วย ค่ากำจัดหนวดแบบถาวรอยู่ที่ประมาณ 50,000-100,000 เยน แม้ราคาจะไม่ถือว่าถูกแต่สำหรับคนทำงานที่ต้องอาศัย ภาพลักษณ์ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนนะครับ

    จากหนังสือ #จิตวิทยาสายดาร์ก
    ค่าจัดหนวด สำหรับคนที่ไม่ได้อยากไว้หนวด ผมแนะนำให้ไปกำจัดหนวดแบบถาวรครับ เพราะแค่ไม่มีหนวดภาพลักษณ์ของคุณก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อีกทั้งการโกนหนวดทำร้ายผิวหน้าอย่างมาก เมื่อไม่ต้องโกนหนวดแล้วผิวหน้าจึงดีขึ้นด้วย ค่ากำจัดหนวดแบบถาวรอยู่ที่ประมาณ 50,000-100,000 เยน แม้ราคาจะไม่ถือว่าถูกแต่สำหรับคนทำงานที่ต้องอาศัย ภาพลักษณ์ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนนะครับ จากหนังสือ #จิตวิทยาสายดาร์ก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • Albert Saniger ผู้ก่อตั้งและอดีต CEO ของแอป Nate ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงจากการอ้างว่าแอปของเขาใช้ AI ในการดำเนินการซื้อสินค้าออนไลน์ แต่แท้จริงแล้วกลับใช้แรงงานมนุษย์ในศูนย์บริการลูกค้าในฟิลิปปินส์และโรมาเนีย มาฟังรายละเอียดกันค่ะ:

    Saniger เปิดตัวแอป Nate ในปี 2018 โดยโฆษณาว่าเป็นแอปที่ใช้ AI ในการทำงาน เช่น การกรอกข้อมูลการชำระเงินและการจัดส่งสินค้า รวมถึงการยืนยันการซื้อ แต่จากการสอบสวนของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ พบว่าแอปนี้พึ่งพาแรงงานมนุษย์เป็นหลักในการดำเนินการซื้อสินค้า ซึ่งขัดแย้งกับคำกล่าวอ้างของ Saniger ที่ว่าแอปนี้ไม่ใช้ "บอทที่โง่เขลา"

    ในปี 2021 Saniger ได้สั่งให้ทีมวิศวกรของเขาพัฒนาบอทเพื่อช่วยดำเนินการซื้อสินค้า แต่บอทเหล่านี้ยังคงทำงานร่วมกับทีมมนุษย์ และไม่ได้เป็น AI ที่ทำงานอัตโนมัติอย่างที่โฆษณาไว้

    แอป Nate ระดมทุนได้กว่า 50 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนตั้งแต่เปิดตัว โดยในปี 2021 ระดมทุนได้ถึง 38 ล้านดอลลาร์ แต่ในปี 2023 บริษัทถูกบังคับให้ขายทรัพย์สินหลังจากหมดเงินทุน ทำให้นักลงทุนสูญเสียเงินเกือบทั้งหมด

    ✅ ข้อกล่าวหาต่อ Albert Saniger
    - Saniger ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงจากการอ้างว่าแอป Nate ใช้ AI แต่แท้จริงแล้วใช้แรงงานมนุษย์

    ✅ การทำงานของแอป Nate
    - แอป Nate โฆษณาว่าใช้ AI ในการดำเนินการซื้อสินค้า
    - แต่กลับพึ่งพาแรงงานมนุษย์ในศูนย์บริการลูกค้า

    ✅ การระดมทุนของ Nate
    - Nate ระดมทุนได้กว่า 50 ล้านดอลลาร์
    - แต่ต้องขายทรัพย์สินในปี 2023 หลังหมดเงินทุน

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือของ AI
    - กรณีนี้อาจทำให้ผู้คนตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทที่อ้างว่าใช้ AI

    ℹ️ ผลกระทบต่อนักลงทุน
    - นักลงทุนสูญเสียเงินเกือบทั้งหมดจากการลงทุนใน Nate เนื่องจากข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง

    https://www.techspot.com/news/107510-founder-nate-app-faces-fraud-charge-using-ai.html
    Albert Saniger ผู้ก่อตั้งและอดีต CEO ของแอป Nate ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงจากการอ้างว่าแอปของเขาใช้ AI ในการดำเนินการซื้อสินค้าออนไลน์ แต่แท้จริงแล้วกลับใช้แรงงานมนุษย์ในศูนย์บริการลูกค้าในฟิลิปปินส์และโรมาเนีย มาฟังรายละเอียดกันค่ะ: Saniger เปิดตัวแอป Nate ในปี 2018 โดยโฆษณาว่าเป็นแอปที่ใช้ AI ในการทำงาน เช่น การกรอกข้อมูลการชำระเงินและการจัดส่งสินค้า รวมถึงการยืนยันการซื้อ แต่จากการสอบสวนของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ พบว่าแอปนี้พึ่งพาแรงงานมนุษย์เป็นหลักในการดำเนินการซื้อสินค้า ซึ่งขัดแย้งกับคำกล่าวอ้างของ Saniger ที่ว่าแอปนี้ไม่ใช้ "บอทที่โง่เขลา" ในปี 2021 Saniger ได้สั่งให้ทีมวิศวกรของเขาพัฒนาบอทเพื่อช่วยดำเนินการซื้อสินค้า แต่บอทเหล่านี้ยังคงทำงานร่วมกับทีมมนุษย์ และไม่ได้เป็น AI ที่ทำงานอัตโนมัติอย่างที่โฆษณาไว้ แอป Nate ระดมทุนได้กว่า 50 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนตั้งแต่เปิดตัว โดยในปี 2021 ระดมทุนได้ถึง 38 ล้านดอลลาร์ แต่ในปี 2023 บริษัทถูกบังคับให้ขายทรัพย์สินหลังจากหมดเงินทุน ทำให้นักลงทุนสูญเสียเงินเกือบทั้งหมด ✅ ข้อกล่าวหาต่อ Albert Saniger - Saniger ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงจากการอ้างว่าแอป Nate ใช้ AI แต่แท้จริงแล้วใช้แรงงานมนุษย์ ✅ การทำงานของแอป Nate - แอป Nate โฆษณาว่าใช้ AI ในการดำเนินการซื้อสินค้า - แต่กลับพึ่งพาแรงงานมนุษย์ในศูนย์บริการลูกค้า ✅ การระดมทุนของ Nate - Nate ระดมทุนได้กว่า 50 ล้านดอลลาร์ - แต่ต้องขายทรัพย์สินในปี 2023 หลังหมดเงินทุน ℹ️ ความเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือของ AI - กรณีนี้อาจทำให้ผู้คนตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทที่อ้างว่าใช้ AI ℹ️ ผลกระทบต่อนักลงทุน - นักลงทุนสูญเสียเงินเกือบทั้งหมดจากการลงทุนใน Nate เนื่องจากข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง https://www.techspot.com/news/107510-founder-nate-app-faces-fraud-charge-using-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Founder of Nate app faces fraud charge for using "AI" that was really human call center workers
    Saniger launched the Nate app in 2018. It promises to act as a universal shopping cart that simplifies online shopping by enabling users to skip the checkout...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงการลงทุนครั้งสำคัญในบริษัท Safe Superintelligence (SSI) ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI ที่ก่อตั้งโดย Ilya Sutskever อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ OpenAI โดยมีบริษัทใหญ่เช่น Alphabet และ Nvidia เข้าร่วมลงทุน มาฟังกันว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง:

    SSI ได้รับการสนับสนุนจาก Alphabet และ Nvidia ซึ่งเป็นการแสดงถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในสตาร์ทอัพที่พัฒนา AI ขั้นสูงที่ต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล Alphabet ยังได้ทำข้อตกลงผ่านแผนกคลาวด์คอมพิวติ้งของตนเพื่อขายชิปประมวลผล AI (TPUs) ให้กับ SSI ซึ่งเป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานด้าน AI โดยเฉพาะ

    SSI ถูกประเมินมูลค่าล่าสุดที่ 32 พันล้านดอลลาร์ และเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่มีชื่อเสียงที่สุดในวงการ AI เนื่องจากความสำเร็จของ Sutskever ในการพัฒนาโมเดล AI ที่ล้ำสมัย

    ✅ การลงทุนใน SSI Alphabet และ Nvidia ร่วมลงทุนใน SSI ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI ที่ก่อตั้งโดย Ilya Sutskever

    ✅ ข้อตกลงด้านชิปประมวลผล AI Alphabet ขายชิป TPUs ให้กับ SSI เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา AI

    ✅ มูลค่าของ SSI SSI ถูกประเมินมูลค่าที่ 32 พันล้านดอลลาร์ และเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพ AI ที่มีชื่อเสียง

    ℹ️ ความต้องการพลังการประมวลผล การพัฒนา AI ขั้นสูงต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับสตาร์ทอัพที่ไม่มีทรัพยากรเพียงพอ

    ℹ️ การแข่งขันในตลาดชิป AI ตลาดชิป AI มีการแข่งขันสูง โดยมีผู้เล่นหลักเช่น Nvidia, Alphabet และ Amazon ที่พัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/12/exclusive-alphabet-nvidia-invest-in-openai-co-founder-sutskever039s-ssi-source-says
    ข่าวนี้เล่าถึงการลงทุนครั้งสำคัญในบริษัท Safe Superintelligence (SSI) ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI ที่ก่อตั้งโดย Ilya Sutskever อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ OpenAI โดยมีบริษัทใหญ่เช่น Alphabet และ Nvidia เข้าร่วมลงทุน มาฟังกันว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง: SSI ได้รับการสนับสนุนจาก Alphabet และ Nvidia ซึ่งเป็นการแสดงถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในสตาร์ทอัพที่พัฒนา AI ขั้นสูงที่ต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล Alphabet ยังได้ทำข้อตกลงผ่านแผนกคลาวด์คอมพิวติ้งของตนเพื่อขายชิปประมวลผล AI (TPUs) ให้กับ SSI ซึ่งเป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานด้าน AI โดยเฉพาะ SSI ถูกประเมินมูลค่าล่าสุดที่ 32 พันล้านดอลลาร์ และเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่มีชื่อเสียงที่สุดในวงการ AI เนื่องจากความสำเร็จของ Sutskever ในการพัฒนาโมเดล AI ที่ล้ำสมัย ✅ การลงทุนใน SSI Alphabet และ Nvidia ร่วมลงทุนใน SSI ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI ที่ก่อตั้งโดย Ilya Sutskever ✅ ข้อตกลงด้านชิปประมวลผล AI Alphabet ขายชิป TPUs ให้กับ SSI เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา AI ✅ มูลค่าของ SSI SSI ถูกประเมินมูลค่าที่ 32 พันล้านดอลลาร์ และเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพ AI ที่มีชื่อเสียง ℹ️ ความต้องการพลังการประมวลผล การพัฒนา AI ขั้นสูงต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับสตาร์ทอัพที่ไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ℹ️ การแข่งขันในตลาดชิป AI ตลาดชิป AI มีการแข่งขันสูง โดยมีผู้เล่นหลักเช่น Nvidia, Alphabet และ Amazon ที่พัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/12/exclusive-alphabet-nvidia-invest-in-openai-co-founder-sutskever039s-ssi-source-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Exclusive-Alphabet, Nvidia invest in OpenAI co-founder Sutskever's SSI, source says
    SAN FRANCISCO (Reuters) - Alphabet and Nvidia have joined prominent venture capital investors to back Safe Superintelligence (SSI), a startup co-founded by OpenAI's former chief scientist Ilya Sutskever that has quickly risen to become one of the most valuable artificial intelligence startups months after its launch, a source familiar with the matter said.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีอดีตพนักงาน OpenAI จำนวนสิบสองคนตัดสินใจยื่นเอกสารเพื่อสนับสนุนการฟ้องร้องของ Elon Musk ว่า OpenAI ควรรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรไว้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุน แต่มันกลับทำให้เกิดคำถามว่าองค์กรยังยึดมั่นในเป้าหมายเดิมหรือไม่ Musk กล่าวหาว่า OpenAI หลุดจากเส้นทางเดิมที่ตั้งใจไว้ ซึ่งเป็นการพัฒนา AI เพื่อมนุษยชาติแทนที่จะเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ

    เมื่อย้อนมาดูต้นเรื่อง OpenAI ก่อตั้งโดย Musk และ Sam Altman ในปี 2015 โดยมีเป้าหมายในการสร้าง AI อย่างมีความรับผิดชอบ แต่ Musk ออกจาก OpenAI ก่อนที่มันจะเติบโตเป็นองค์กรชั้นนำในเทคโนโลยี AI และต่อมาได้จัดตั้งบริษัท AI ของเขาเองชื่อ xAI ในปี 2023

    ✅ อดีตพนักงาน OpenAI สนับสนุน Musk ในคดีฟ้องร้อง อดีตพนักงาน 12 คนจาก OpenAI สนับสนุน Elon Musk ในความพยายามรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของ OpenAI

    ✅ ข้อกล่าวหาจาก Musk Musk อ้างว่า OpenAI ละเลยเป้าหมายเดิมและมุ่งเน้นที่ผลกำไร

    ✅ จุดประสงค์การเปลี่ยนแปลง OpenAI ชี้แจงว่าการเปลี่ยนแปลงมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มทรัพยากรเพื่อสนับสนุนเป้าหมายเดิม

    ✅ ความสำคัญของโครงสร้างองค์กร อดีตพนักงานระบุว่าการรักษาโครงสร้างองค์กรเดิมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ

    ℹ️ ข้อกังวลเรื่องเป้าหมาย การเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรอาจทำให้ OpenAI สูญเสียการควบคุม AI เพื่อประโยชน์สาธารณะ

    ℹ️ แรงกดดันด้านการลงทุน OpenAI ต้องเผชิญแรงกดดันในการระดมทุน 40 พันล้านเหรียญ ซึ่งอาจเร่งให้ต้องเปลี่ยนโครงสร้าง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/12/group-of-ex-openai-employees-back-musk039s-lawsuit-to-halt-openai-restructure
    มีอดีตพนักงาน OpenAI จำนวนสิบสองคนตัดสินใจยื่นเอกสารเพื่อสนับสนุนการฟ้องร้องของ Elon Musk ว่า OpenAI ควรรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรไว้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุน แต่มันกลับทำให้เกิดคำถามว่าองค์กรยังยึดมั่นในเป้าหมายเดิมหรือไม่ Musk กล่าวหาว่า OpenAI หลุดจากเส้นทางเดิมที่ตั้งใจไว้ ซึ่งเป็นการพัฒนา AI เพื่อมนุษยชาติแทนที่จะเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ เมื่อย้อนมาดูต้นเรื่อง OpenAI ก่อตั้งโดย Musk และ Sam Altman ในปี 2015 โดยมีเป้าหมายในการสร้าง AI อย่างมีความรับผิดชอบ แต่ Musk ออกจาก OpenAI ก่อนที่มันจะเติบโตเป็นองค์กรชั้นนำในเทคโนโลยี AI และต่อมาได้จัดตั้งบริษัท AI ของเขาเองชื่อ xAI ในปี 2023 ✅ อดีตพนักงาน OpenAI สนับสนุน Musk ในคดีฟ้องร้อง อดีตพนักงาน 12 คนจาก OpenAI สนับสนุน Elon Musk ในความพยายามรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของ OpenAI ✅ ข้อกล่าวหาจาก Musk Musk อ้างว่า OpenAI ละเลยเป้าหมายเดิมและมุ่งเน้นที่ผลกำไร ✅ จุดประสงค์การเปลี่ยนแปลง OpenAI ชี้แจงว่าการเปลี่ยนแปลงมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มทรัพยากรเพื่อสนับสนุนเป้าหมายเดิม ✅ ความสำคัญของโครงสร้างองค์กร อดีตพนักงานระบุว่าการรักษาโครงสร้างองค์กรเดิมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ ℹ️ ข้อกังวลเรื่องเป้าหมาย การเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรอาจทำให้ OpenAI สูญเสียการควบคุม AI เพื่อประโยชน์สาธารณะ ℹ️ แรงกดดันด้านการลงทุน OpenAI ต้องเผชิญแรงกดดันในการระดมทุน 40 พันล้านเหรียญ ซึ่งอาจเร่งให้ต้องเปลี่ยนโครงสร้าง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/12/group-of-ex-openai-employees-back-musk039s-lawsuit-to-halt-openai-restructure
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Group of ex-OpenAI employees back Musk's lawsuit to halt OpenAI restructure
    SAN FRANCISCO (Reuters) - A dozen former OpenAI employees filed a legal brief on Friday backing co-founder Elon Musk's lawsuit aimed at keeping the non-profit status of OpenAI, marking the latest development in the dispute over the future of the artificial intelligence firm.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon กำลังวางแผนลงทุนมูลค่า 15 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์โลจิสติกส์ใหม่จำนวน 80 แห่งในสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งสินค้าให้ครอบคลุมทั้งพื้นที่เมืองและชนบท

    ✅ การลงทุนในศูนย์โลจิสติกส์:
    - Amazon มีแผนเพิ่มศูนย์โลจิสติกส์ใหม่ 80 แห่งจากที่มีอยู่แล้ว 600 แห่งในสหรัฐฯ
    - ศูนย์บางแห่งจะเป็นศูนย์จัดส่งสินค้าขนาดใหญ่ที่มีหุ่นยนต์ทันสมัย

    ✅ การตอบสนองต่อเศรษฐกิจ:
    - การลงทุนนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากภาษีที่เพิ่มขึ้น
    - Amazon ได้ยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าจากจีนและประเทศในเอเชียบางส่วนเนื่องจากผลกระทบจากภาษี

    ✅ ความสำเร็จของบริการ Prime:
    - Amazon รายงานว่าความเร็วในการจัดส่ง Prime ในปี 2024 เป็นความเร็วสูงสุดที่เคยมีมา โดยเพิ่มขึ้น 65% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

    ✅ การพัฒนาในอนาคต:
    - ยังไม่มีการประกาศไทม์ไลน์สำหรับการเพิ่มศูนย์โลจิสติกส์ใหม่

    https://www.techradar.com/pro/amazon-considering-usd15b-warehouse-expansion-plan-for-nearly-80-new-us-logistics-facilities
    Amazon กำลังวางแผนลงทุนมูลค่า 15 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์โลจิสติกส์ใหม่จำนวน 80 แห่งในสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งสินค้าให้ครอบคลุมทั้งพื้นที่เมืองและชนบท ✅ การลงทุนในศูนย์โลจิสติกส์: - Amazon มีแผนเพิ่มศูนย์โลจิสติกส์ใหม่ 80 แห่งจากที่มีอยู่แล้ว 600 แห่งในสหรัฐฯ - ศูนย์บางแห่งจะเป็นศูนย์จัดส่งสินค้าขนาดใหญ่ที่มีหุ่นยนต์ทันสมัย ✅ การตอบสนองต่อเศรษฐกิจ: - การลงทุนนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากภาษีที่เพิ่มขึ้น - Amazon ได้ยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าจากจีนและประเทศในเอเชียบางส่วนเนื่องจากผลกระทบจากภาษี ✅ ความสำเร็จของบริการ Prime: - Amazon รายงานว่าความเร็วในการจัดส่ง Prime ในปี 2024 เป็นความเร็วสูงสุดที่เคยมีมา โดยเพิ่มขึ้น 65% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ✅ การพัฒนาในอนาคต: - ยังไม่มีการประกาศไทม์ไลน์สำหรับการเพิ่มศูนย์โลจิสติกส์ใหม่ https://www.techradar.com/pro/amazon-considering-usd15b-warehouse-expansion-plan-for-nearly-80-new-us-logistics-facilities
    WWW.TECHRADAR.COM
    Amazon may be about to spend $15 billion on new US warehouses
    Amazon plans huge expansion of its logistics facilities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้ระงับแผนการสร้างศูนย์ข้อมูลในรัฐโอไฮโอ มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาษีนำเข้าและความผันผวนทางเศรษฐกิจ โดยแผนดังกล่าวรวมถึงการพัฒนาศูนย์ข้อมูลใน New Albany, Heath และ Hebron

    ✅ การระงับแผนการสร้างศูนย์ข้อมูล:
    - Microsoft ระบุว่าจะไม่ดำเนินการสร้างศูนย์ข้อมูลใน Licking County ในขณะนี้ แต่ยังคงถือครองที่ดินเพื่อพัฒนาในอนาคต
    - โครงการนี้มีมูลค่ารวม 1 พันล้านดอลลาร์ และเคยวางแผนเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม 2025

    ✅ ผลกระทบจากภาษีนำเข้า:
    - การนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมถูกเก็บภาษี 25% ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
    - แม้ทรัมป์จะเพิ่งยกเลิกภาษีบางส่วน แต่ความผันผวนในตลาดยังคงมีอยู่

    ✅ การพัฒนาในพื้นที่:
    - Microsoft ยังคงดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและสาธารณูปโภค เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่

    ✅ การยกเลิกโครงการอื่น ๆ:
    - มีรายงานว่า Microsoft ได้ยกเลิกโครงการศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ ยุโรป และภูมิภาค APAC รวมถึงสหราชอาณาจักร

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-shelves-another-usd1bn-data-center-project-as-tariff-fears-rise
    Microsoft ได้ระงับแผนการสร้างศูนย์ข้อมูลในรัฐโอไฮโอ มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาษีนำเข้าและความผันผวนทางเศรษฐกิจ โดยแผนดังกล่าวรวมถึงการพัฒนาศูนย์ข้อมูลใน New Albany, Heath และ Hebron ✅ การระงับแผนการสร้างศูนย์ข้อมูล: - Microsoft ระบุว่าจะไม่ดำเนินการสร้างศูนย์ข้อมูลใน Licking County ในขณะนี้ แต่ยังคงถือครองที่ดินเพื่อพัฒนาในอนาคต - โครงการนี้มีมูลค่ารวม 1 พันล้านดอลลาร์ และเคยวางแผนเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม 2025 ✅ ผลกระทบจากภาษีนำเข้า: - การนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมถูกเก็บภาษี 25% ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน - แม้ทรัมป์จะเพิ่งยกเลิกภาษีบางส่วน แต่ความผันผวนในตลาดยังคงมีอยู่ ✅ การพัฒนาในพื้นที่: - Microsoft ยังคงดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและสาธารณูปโภค เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่ ✅ การยกเลิกโครงการอื่น ๆ: - มีรายงานว่า Microsoft ได้ยกเลิกโครงการศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ ยุโรป และภูมิภาค APAC รวมถึงสหราชอาณาจักร https://www.techradar.com/pro/microsoft-shelves-another-usd1bn-data-center-project-as-tariff-fears-rise
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel CEO Lip-Bu Tan กำลังเผชิญกับข้อกังวลเกี่ยวกับการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีจีนกว่า 600 แห่ง ซึ่งบางแห่งมีความเชื่อมโยงกับกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิป เช่น SMIC ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปชั้นนำของจีน

    ✅ การลงทุนในบริษัทจีน:
    - Lip-Bu Tan มีการลงทุนในบริษัทจีนกว่า 600 แห่งผ่านบริษัท Walden International และบริษัทในฮ่องกง เช่น Sakarya Limited และ Seine Limited
    - บริษัทที่ลงทุนบางแห่งมีความเชื่อมโยงกับ PLA และรัฐบาลจีน เช่น Dapu Technologies และ HAI Robotics

    ✅ ความกังวลด้านความมั่นคง:
    - การลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ PLA และการผลิตชิปสำหรับกองทัพรัสเซียสร้างความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของสหรัฐฯ
    - การถือหุ้นใน SMIC ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Intel ในการผลิตชิป อาจสร้างความขัดแย้งในบทบาทของ Tan

    ✅ การตอบสนองของ Intel:
    - Intel ระบุว่า Tan ได้กรอกแบบฟอร์มการเปิดเผยข้อมูลตามข้อกำหนดของ SEC แต่ไม่ได้ให้ความคิดเห็นโดยตรงเกี่ยวกับการลงทุน

    ✅ ความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ:
    - ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่าประสบการณ์ของ Tan ในการลงทุนในจีนเป็นข้อได้เปรียบ ในขณะที่บางคนมองว่าเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงของ Intel

    == ข้อเสนอแนะและคำเตือน ==
    ⚠️ ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์:
    - การลงทุนในบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับ PLA อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ Intel ในสายตาสาธารณชน

    ⚠️ การตรวจสอบความโปร่งใส:
    - Intel ควรเพิ่มความโปร่งใสในการจัดการข้อกังวลเกี่ยวกับการลงทุนของ CEO เพื่อรักษาความเชื่อมั่นจากนักลงทุน

    ⚠️ การพิจารณาด้านจริยธรรม:
    - การลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิปสำหรับกองทัพรัสเซียอาจสร้างคำถามด้านจริยธรรมที่ Intel ต้องพิจารณา

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-ceo-lip-bu-tan-has-invested-in-600-chinese-firms-some-linked-to-the-chinese-military
    Intel CEO Lip-Bu Tan กำลังเผชิญกับข้อกังวลเกี่ยวกับการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีจีนกว่า 600 แห่ง ซึ่งบางแห่งมีความเชื่อมโยงกับกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิป เช่น SMIC ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปชั้นนำของจีน ✅ การลงทุนในบริษัทจีน: - Lip-Bu Tan มีการลงทุนในบริษัทจีนกว่า 600 แห่งผ่านบริษัท Walden International และบริษัทในฮ่องกง เช่น Sakarya Limited และ Seine Limited - บริษัทที่ลงทุนบางแห่งมีความเชื่อมโยงกับ PLA และรัฐบาลจีน เช่น Dapu Technologies และ HAI Robotics ✅ ความกังวลด้านความมั่นคง: - การลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ PLA และการผลิตชิปสำหรับกองทัพรัสเซียสร้างความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของสหรัฐฯ - การถือหุ้นใน SMIC ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Intel ในการผลิตชิป อาจสร้างความขัดแย้งในบทบาทของ Tan ✅ การตอบสนองของ Intel: - Intel ระบุว่า Tan ได้กรอกแบบฟอร์มการเปิดเผยข้อมูลตามข้อกำหนดของ SEC แต่ไม่ได้ให้ความคิดเห็นโดยตรงเกี่ยวกับการลงทุน ✅ ความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ: - ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่าประสบการณ์ของ Tan ในการลงทุนในจีนเป็นข้อได้เปรียบ ในขณะที่บางคนมองว่าเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงของ Intel == ข้อเสนอแนะและคำเตือน == ⚠️ ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์: - การลงทุนในบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับ PLA อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ Intel ในสายตาสาธารณชน ⚠️ การตรวจสอบความโปร่งใส: - Intel ควรเพิ่มความโปร่งใสในการจัดการข้อกังวลเกี่ยวกับการลงทุนของ CEO เพื่อรักษาความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ⚠️ การพิจารณาด้านจริยธรรม: - การลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิปสำหรับกองทัพรัสเซียอาจสร้างคำถามด้านจริยธรรมที่ Intel ต้องพิจารณา https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-ceo-lip-bu-tan-has-invested-in-600-chinese-firms-some-linked-to-the-chinese-military
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Intel CEO Lip-Bu Tan has invested in 600 Chinese firms, some linked to the Chinese military
    Some believe it makes Lip-Bu Tan an experienced investor, others think it is unacceptable for an Intel CEO.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ระงับแผนการห้ามส่งออก GPU รุ่น Nvidia H20 HGX ไปยังจีน หลังจากการประชุมกับ Jensen Huang CEO ของ Nvidia ที่งานดินเนอร์มูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ โดยการตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจาก Nvidia ให้คำมั่นว่าจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ในสหรัฐฯ

    ✅ การระงับแผนการห้ามส่งออก:
    - รัฐบาลสหรัฐฯ มีแผนที่จะห้ามการส่งออก GPU Nvidia H20 HGX ไปยังจีน แต่ได้ระงับแผนดังกล่าวหลังการประชุมระหว่างทรัมป์และ Huang
    - Nvidia ให้คำมั่นว่าจะลงทุนในศูนย์ข้อมูล AI ในสหรัฐฯ เพื่อช่วยลดความกังวลของรัฐบาล

    ✅ กฎ AI Diffusion Rule:
    - กฎ AI Diffusion Rule ของรัฐบาล Biden จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งจะห้ามการส่งออกโปรเซสเซอร์ AI ของสหรัฐฯ ไปยังจีนโดยไม่มีใบอนุญาต
    - Nvidia H20 HGX ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับข้อกำหนดการส่งออกที่จำกัด แต่จีนยังคงไม่สามารถซื้อโปรเซสเซอร์ AI ขั้นสูงจากสหรัฐฯ ได้

    ✅ ผลกระทบต่อ Nvidia:
    - Nvidia ขาย GPU H20 HGX มูลค่า 16 พันล้านดอลลาร์ให้กับบริษัทในจีนในไตรมาสแรกของปี 2025
    - การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการส่งออกอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของ Nvidia

    ✅ ความสำคัญของการลงทุนใน AI:
    - การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ในสหรัฐฯ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/trump-reportedly-suspends-nvidia-h20-export-ban-plan-after-usd1-million-dinner-with-jensen-huang
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ระงับแผนการห้ามส่งออก GPU รุ่น Nvidia H20 HGX ไปยังจีน หลังจากการประชุมกับ Jensen Huang CEO ของ Nvidia ที่งานดินเนอร์มูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ โดยการตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจาก Nvidia ให้คำมั่นว่าจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ในสหรัฐฯ ✅ การระงับแผนการห้ามส่งออก: - รัฐบาลสหรัฐฯ มีแผนที่จะห้ามการส่งออก GPU Nvidia H20 HGX ไปยังจีน แต่ได้ระงับแผนดังกล่าวหลังการประชุมระหว่างทรัมป์และ Huang - Nvidia ให้คำมั่นว่าจะลงทุนในศูนย์ข้อมูล AI ในสหรัฐฯ เพื่อช่วยลดความกังวลของรัฐบาล ✅ กฎ AI Diffusion Rule: - กฎ AI Diffusion Rule ของรัฐบาล Biden จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งจะห้ามการส่งออกโปรเซสเซอร์ AI ของสหรัฐฯ ไปยังจีนโดยไม่มีใบอนุญาต - Nvidia H20 HGX ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับข้อกำหนดการส่งออกที่จำกัด แต่จีนยังคงไม่สามารถซื้อโปรเซสเซอร์ AI ขั้นสูงจากสหรัฐฯ ได้ ✅ ผลกระทบต่อ Nvidia: - Nvidia ขาย GPU H20 HGX มูลค่า 16 พันล้านดอลลาร์ให้กับบริษัทในจีนในไตรมาสแรกของปี 2025 - การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการส่งออกอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของ Nvidia ✅ ความสำคัญของการลงทุนใน AI: - การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ในสหรัฐฯ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/trump-reportedly-suspends-nvidia-h20-export-ban-plan-after-usd1-million-dinner-with-jensen-huang
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon CEO Andy Jassy ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการลงทุนใน AI ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้น โดยระบุว่า AI เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับลูกค้าและช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน

    ✅ การลงทุนใน AI:
    - Amazon ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ใน AI เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
    - Andy Jassy เชื่อว่า AI จะเปลี่ยนแปลงทุกแง่มุมของการบริการลูกค้า

    ✅ เป้าหมายของการลงทุน:
    - การลงทุนใน AI มีเป้าหมายเพื่อทำให้ชีวิตของลูกค้าง่ายขึ้นและดีขึ้นในทุกวัน
    - Amazon มุ่งเน้นการพัฒนา AI ในหลากหลายด้าน เช่น การจัดการสินค้าคงคลังและการปรับปรุงการค้นหาสินค้า

    ✅ การแข่งขันในตลาด:
    - Andy Jassy ระบุว่าการลงทุนใน AI เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/10/amazon-ceo-sets-out-ai-investment-mission-in-annual-shareholder-letter
    Amazon CEO Andy Jassy ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการลงทุนใน AI ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้น โดยระบุว่า AI เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับลูกค้าและช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน ✅ การลงทุนใน AI: - Amazon ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ใน AI เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน - Andy Jassy เชื่อว่า AI จะเปลี่ยนแปลงทุกแง่มุมของการบริการลูกค้า ✅ เป้าหมายของการลงทุน: - การลงทุนใน AI มีเป้าหมายเพื่อทำให้ชีวิตของลูกค้าง่ายขึ้นและดีขึ้นในทุกวัน - Amazon มุ่งเน้นการพัฒนา AI ในหลากหลายด้าน เช่น การจัดการสินค้าคงคลังและการปรับปรุงการค้นหาสินค้า ✅ การแข่งขันในตลาด: - Andy Jassy ระบุว่าการลงทุนใน AI เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/10/amazon-ceo-sets-out-ai-investment-mission-in-annual-shareholder-letter
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Amazon CEO sets out AI investment mission in annual shareholder letter
    (Reuters) - Amazon chief executive Andy Jassy on Thursday justified the company's billions of dollars in outlays for artificial intelligence development, saying the investment was necessary to remain competitive.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • การโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ที่ชื่อว่า Codefinger ได้สร้างความตื่นตระหนกในวงการความปลอดภัยไซเบอร์ โดยเป็นการโจมตีที่มุ่งเป้าไปที่การจัดการคีย์ในระบบคลาวด์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการใหม่ของแรนซัมแวร์

    ✅ ลักษณะการโจมตี:
    - Codefinger โจมตีโดยการขโมยคีย์สำหรับจัดการข้อมูลใน Amazon S3 และใช้คีย์เหล่านั้นเข้ารหัสข้อมูลใน S3 buckets
    - การโจมตีนี้ไม่ได้ใช้มัลแวร์ แต่ใช้ช่องโหว่จากการจัดการคีย์ที่ไม่ปลอดภัย

    ✅ ความเสี่ยงจากการสำรองข้อมูล:
    - การสำรองข้อมูลแบบดั้งเดิมไม่สามารถป้องกันการโจมตีนี้ได้ หากข้อมูลสำรองถูกเข้ารหัสพร้อมกับข้อมูลต้นฉบับ

    ✅ ความรับผิดชอบร่วมในระบบคลาวด์:
    - การโจมตีนี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในโมเดลความรับผิดชอบร่วม (Shared Responsibility Model) ซึ่งผู้ใช้งานต้องรับผิดชอบในการจัดการคีย์เอง

    ✅ การจัดการคีย์ที่ปลอดภัย:
    - การจัดเก็บคีย์ในที่ปลอดภัย เช่น Secrets Management Tools และการเปลี่ยนคีย์เป็นระยะ (Secrets Cycling) สามารถลดความเสี่ยงได้

    == ข้อเสนอแนะและคำเตือน ==
    ⚠️ การจัดการคีย์ที่ไม่ปลอดภัย:
    - องค์กรควรตรวจสอบและจัดการคีย์อย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

    ⚠️ การพึ่งพาการสำรองข้อมูล:
    - การสำรองข้อมูลเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ องค์กรควรใช้กลยุทธ์การป้องกันที่หลากหลาย เช่น การตั้งค่าการเข้าถึงข้อมูลให้ปลอดภัย

    ⚠️ การลงทุนในความปลอดภัยไซเบอร์:
    - องค์กรควรเพิ่มการลงทุนในระบบความปลอดภัยไซเบอร์และหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อช่วยปิดช่องโหว่

    https://www.csoonline.com/article/3958179/why-codefinger-represents-a-new-stage-in-the-evolution-of-ransomware.html
    การโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ที่ชื่อว่า Codefinger ได้สร้างความตื่นตระหนกในวงการความปลอดภัยไซเบอร์ โดยเป็นการโจมตีที่มุ่งเป้าไปที่การจัดการคีย์ในระบบคลาวด์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการใหม่ของแรนซัมแวร์ ✅ ลักษณะการโจมตี: - Codefinger โจมตีโดยการขโมยคีย์สำหรับจัดการข้อมูลใน Amazon S3 และใช้คีย์เหล่านั้นเข้ารหัสข้อมูลใน S3 buckets - การโจมตีนี้ไม่ได้ใช้มัลแวร์ แต่ใช้ช่องโหว่จากการจัดการคีย์ที่ไม่ปลอดภัย ✅ ความเสี่ยงจากการสำรองข้อมูล: - การสำรองข้อมูลแบบดั้งเดิมไม่สามารถป้องกันการโจมตีนี้ได้ หากข้อมูลสำรองถูกเข้ารหัสพร้อมกับข้อมูลต้นฉบับ ✅ ความรับผิดชอบร่วมในระบบคลาวด์: - การโจมตีนี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในโมเดลความรับผิดชอบร่วม (Shared Responsibility Model) ซึ่งผู้ใช้งานต้องรับผิดชอบในการจัดการคีย์เอง ✅ การจัดการคีย์ที่ปลอดภัย: - การจัดเก็บคีย์ในที่ปลอดภัย เช่น Secrets Management Tools และการเปลี่ยนคีย์เป็นระยะ (Secrets Cycling) สามารถลดความเสี่ยงได้ == ข้อเสนอแนะและคำเตือน == ⚠️ การจัดการคีย์ที่ไม่ปลอดภัย: - องค์กรควรตรวจสอบและจัดการคีย์อย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ⚠️ การพึ่งพาการสำรองข้อมูล: - การสำรองข้อมูลเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ องค์กรควรใช้กลยุทธ์การป้องกันที่หลากหลาย เช่น การตั้งค่าการเข้าถึงข้อมูลให้ปลอดภัย ⚠️ การลงทุนในความปลอดภัยไซเบอร์: - องค์กรควรเพิ่มการลงทุนในระบบความปลอดภัยไซเบอร์และหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อช่วยปิดช่องโหว่ https://www.csoonline.com/article/3958179/why-codefinger-represents-a-new-stage-in-the-evolution-of-ransomware.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Why Codefinger represents a new stage in the evolution of ransomware
    Forget typical ransomware! Codefinger hijacked cloud keys directly, exposing backup flaws and shared responsibility risks. Time to rethink defense.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทอท.ทำได้ ดัน”ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ”ติดอันดับ 39 สนามบินยอดเยี่ยมปี 2025 ขยับขึ้น 19 อันดับจากปีก่อน ส่วนท่าอากาศยานดอนเมืองคว้าอันดับ 8 สนามบินโลว์คอสต์ยอดเยี่ยม โดย Skytrax

    ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) กล่าวว่า ตามที่ได้รับนโยบายจาก นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้ดำเนินการขับเคลื่อนในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และ การท่องเที่ยว สร้างรายได้ฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ โดยมุ่งสู่เป้าหมายการผลักดันท่าอากาศยานของไทยให้ติดอันดับ 1 ใน 50 สนามบินที่ดีที่สุดในโลกภายใน 1 ปี และติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลกภายใน 5 ปี

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/business/detail/9680000034417

    #MGROnline #ท่าอากาศยานไทย #ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
    ทอท.ทำได้ ดัน”ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ”ติดอันดับ 39 สนามบินยอดเยี่ยมปี 2025 ขยับขึ้น 19 อันดับจากปีก่อน ส่วนท่าอากาศยานดอนเมืองคว้าอันดับ 8 สนามบินโลว์คอสต์ยอดเยี่ยม โดย Skytrax • ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) กล่าวว่า ตามที่ได้รับนโยบายจาก นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้ดำเนินการขับเคลื่อนในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และ การท่องเที่ยว สร้างรายได้ฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ โดยมุ่งสู่เป้าหมายการผลักดันท่าอากาศยานของไทยให้ติดอันดับ 1 ใน 50 สนามบินที่ดีที่สุดในโลกภายใน 1 ปี และติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลกภายใน 5 ปี • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/business/detail/9680000034417 • #MGROnline #ท่าอากาศยานไทย #ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้นำสมาร์ทซิตี้ (Smart City Leader) หมายถึง บุคคลหรือทีมที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมือง และสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ

    ### คุณลักษณะสำคัญของผู้นำสมาร์ทซิตี้:
    1. **วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์**
    - กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ลดการปล่อยคาร์บอน เพิ่มการใช้พลังงานสะอาด หรือพัฒนาระบบขนส่งอัจฉริยะ
    - สร้างแผนงานที่สอดคล้องกับบริบทของเมือง เช่น การแก้ปัญหาจราจร หรือการจัดการขยะ

    2. **การใช้เทคโนโลยีและข้อมูล**
    - นำเทคโนโลยี IoT (Internet of Things), Big Data, AI, และระบบคลาวด์มาใช้ในการเก็บ-วิเคราะห์ข้อมูลเมือง
    - ตัวอย่าง: ระบบเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ ระบบจราจรอัจฉริยะ

    3. **การมีส่วนร่วมของประชาชน**
    - สร้างแพลตฟอร์มให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (เช่น แอปพลิเคชันรายงานปัญหาสาธารณะ)
    - ส่งเสริมการรับรู้ข้อมูลแบบเปิด (Open Data)

    4. **ความร่วมมือระหว่างภาคส่วน**
    - ร่วมมือกับภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และชุมชน ในการพัฒนาโซลูชัน เช่น การสร้างเครือข่าย Wi-Fi ฟรี หรือโครงการพลังงานทดแทน

    5. **ความยั่งยืน**
    - มุ่งเน้นการพัฒนาเมืองด้วยหลัก ESG (Environmental, Social, Governance) เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน หรือการออกแบบพื้นที่สีเขียว

    ### ตัวอย่างเมืองอัจฉริยะระดับโลก:
    - **สิงคโปร์**: ใช้เทคโนโลยีจัดการจราจรและระบบสุขภาพดิจิทัล
    - **บาร์เซโลนา**: นำ IoT มาใช้ในการจัดการน้ำและพลังงาน
    - **โตเกียว**: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับสังคมสูงวัยด้วยหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ

    ### ความท้าทายของผู้นำสมาร์ทซิตี้:
    - **ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล**: การจัดการข้อมูลประชาชนต้องมีความปลอดภัย
    - **ความเหลื่อมล้ำดิจิทัล**: ต้องให้ทุกกลุ่มเข้าถึงเทคโนโลยีได้เท่าเทียม
    - **การลงทุน**: ต้องสมดุลระหว่างค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์ระยะยาว

    ผู้นำสมาร์ทซิตี้จึงไม่เพียงต้องมีความรู้ด้านเทคโนโลยี แต่ต้องมีทักษะการสื่อสาร การบริหารโครงการขนาดใหญ่ และความเข้าใจในความต้องการของประชาชนอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างเมืองที่ "อัจฉริยะ" อย่างแท้จริง
    ผู้นำสมาร์ทซิตี้ (Smart City Leader) หมายถึง บุคคลหรือทีมที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมือง และสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ ### คุณลักษณะสำคัญของผู้นำสมาร์ทซิตี้: 1. **วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์** - กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ลดการปล่อยคาร์บอน เพิ่มการใช้พลังงานสะอาด หรือพัฒนาระบบขนส่งอัจฉริยะ - สร้างแผนงานที่สอดคล้องกับบริบทของเมือง เช่น การแก้ปัญหาจราจร หรือการจัดการขยะ 2. **การใช้เทคโนโลยีและข้อมูล** - นำเทคโนโลยี IoT (Internet of Things), Big Data, AI, และระบบคลาวด์มาใช้ในการเก็บ-วิเคราะห์ข้อมูลเมือง - ตัวอย่าง: ระบบเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ ระบบจราจรอัจฉริยะ 3. **การมีส่วนร่วมของประชาชน** - สร้างแพลตฟอร์มให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (เช่น แอปพลิเคชันรายงานปัญหาสาธารณะ) - ส่งเสริมการรับรู้ข้อมูลแบบเปิด (Open Data) 4. **ความร่วมมือระหว่างภาคส่วน** - ร่วมมือกับภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และชุมชน ในการพัฒนาโซลูชัน เช่น การสร้างเครือข่าย Wi-Fi ฟรี หรือโครงการพลังงานทดแทน 5. **ความยั่งยืน** - มุ่งเน้นการพัฒนาเมืองด้วยหลัก ESG (Environmental, Social, Governance) เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน หรือการออกแบบพื้นที่สีเขียว ### ตัวอย่างเมืองอัจฉริยะระดับโลก: - **สิงคโปร์**: ใช้เทคโนโลยีจัดการจราจรและระบบสุขภาพดิจิทัล - **บาร์เซโลนา**: นำ IoT มาใช้ในการจัดการน้ำและพลังงาน - **โตเกียว**: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับสังคมสูงวัยด้วยหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ### ความท้าทายของผู้นำสมาร์ทซิตี้: - **ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล**: การจัดการข้อมูลประชาชนต้องมีความปลอดภัย - **ความเหลื่อมล้ำดิจิทัล**: ต้องให้ทุกกลุ่มเข้าถึงเทคโนโลยีได้เท่าเทียม - **การลงทุน**: ต้องสมดุลระหว่างค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์ระยะยาว ผู้นำสมาร์ทซิตี้จึงไม่เพียงต้องมีความรู้ด้านเทคโนโลยี แต่ต้องมีทักษะการสื่อสาร การบริหารโครงการขนาดใหญ่ และความเข้าใจในความต้องการของประชาชนอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างเมืองที่ "อัจฉริยะ" อย่างแท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 5 วิธีการทำให้เงินออมงอกเงย
    .
    เมื่อได้เงินออมมาด้วยความยากเย็นแล้ว ถ้าต้องการให้เงินออมงอกเงยเพื่อประโยชน์ของผู้ออม ก็สามารถดำเนินการได้หลายลักษณะดังต่อไปนี้
    - ฝากเงินกับธนาคารในลักษณะบัญชีออมทรัพย์ ซึ่งให้ความคล่องตัวในการถอนและฝาก แต่ได้ดอกเบี้ยต่ำ ถ้าฝากบัญชีเงินฝากประจำ จะมีเวลาให้เลือกได้แก่ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งให้ผลตอบแทนแตกต่างกัน แต่ก็ยังสูงกว่าการฝากในรูปบัญชีออมทรัพย์ (ยิ่งระยะยาวนานดอกเบี้ยยิ่งสูง)
    - ซื้อกองทุนรวม หมายถึงบริษัทจัดการกองทุนรวมจะนำเงินออมที่ถูกนำมาซื้อหน่วยลงทุนไปลงทุนซื้อหุ้นตราสารหนี้ (ภาครัฐและบริษัทเอกชนกู้ยืมเงินเพื่อเอาไปลงทุน) เพื่อให้ได้รับผลตอบแทน การลงทุนผ่านกองทุนรวม เป็นการมอบหมายให้ผู้มีความรู้ในเรื่องการเงินเป็นผู้ตัดสินใจลงทุนแทน
    .
    กองทุนรวมในปัจจุบันมีหลายลักษณะ เช่น กองทุนรวมเพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมเพื่อลงทุนในตราสารหนี้ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ กองทุนหุ้นระยะยาว เป็นต้น
    - ซื้ออสังหาริมทรัพย์ไว้ให้เช่า เช่น อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม และบ้าน การใช้เงินออมร่วมกับค่าเช่าที่ได้รับจากอสังหาริมทรัพย์นั้น มาผ่อนชำระเพื่อจะได้เป็นเจ้าของในระยะยาว และหลังจากนั้นก็สามารถเก็บเกี่ยวค่าเช่าได้เต็มที่ และอาจได้รับส่วนเพิ่มของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย อย่างไรก็ดี ถ้ามีเงินออมเป็นก้อนใหญ่จนสามารถใช้เป็นเงินดาวน์ และสามารถใช้ค่าเช่าเป็นเงินผ่อนชำระได้ทั้งหมดแล้ว ก็จะเป็นกรณีที่เงินออมงอกเงยขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
    - ซื้อหุ้นด้วยเงินออม การลงทุนซื้อหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีสม่ำเสมอ อีกทั้งยังมีโอกาสสูงที่ราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคตโดยหวังผลในระยะยาว เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
    - ซื้อตราสารหนี้ ซึ่งอาจเป็นพันธบัตรรัฐบาล (รัฐบาลกู้ยืมโดยออกเอกสารรับรอง) หรือตราสารหนี้ที่ออกโดยธุรกิจเอกชน ผลตอบแทนจากการประกอบการที่มีความไม่แน่นอนสูงกว่า
    - ลงทุนประกอบธุรกิจเอง หรือเข้าหุ้นประกอบธุรกิจกับผู้อื่น การลงทุนลักษณะนี้มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากผลกำไร ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ประกอบการ
    .
    ยังมีวิธีการอื่นๆที่ทำให้เงินออมงอกเงย แต่ก็ไม่ใช่หนทางหลัก สิ่งที่ควรตระหนักเสมอในการลงทุนมีอยู่อย่างน้อย 2 ประการ คือ 1. จะมีเงินออมเพื่อนำไปลงทุนได้มากก็ต้องเริ่มจากการมีรายได้มากเป็นเบื้องแรก และสามารถควบคุมการใช้จ่ายได้ดีจนทำให้สามารถออมได้ 2. การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงทั้งสิ้น ไม่มีการลงทุนใดที่ปราศจากความเสี่ยง ประเด็นอยู่ที่ว่า เมื่อเปรียบเทียบแล้วการลงทุนใดมีความเสี่ยงมากกว่ากัน
    .
    การมีเงินออมอย่างสม่ำเสมอและอย่างมีจุดหมายเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความมั่นคงทางการเงินตลอดชีวิต การทำงานอันเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน จะก่อให้เกิดความมั่นคงในชีวิตได้ก็ต่อเมื่อมีรายได้อย่างเพียงพอต่อการดำรงชีพ และเหลือเงินออมเพื่อนำไปลงทุนจนก่อให้เกิดทรัพย์สินและรายได้เพิ่มเติมอีกทางหนึ่ง นอกจากรายได้จากการทำงานที่ต้องออกแรง รายได้ที่เกิดจากทรัพย์สินเหล่านี้จะเป็นฐานสำคัญของการดำรงชีพหลังวัยทำงาน
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 5 วิธีการทำให้เงินออมงอกเงย . เมื่อได้เงินออมมาด้วยความยากเย็นแล้ว ถ้าต้องการให้เงินออมงอกเงยเพื่อประโยชน์ของผู้ออม ก็สามารถดำเนินการได้หลายลักษณะดังต่อไปนี้ - ฝากเงินกับธนาคารในลักษณะบัญชีออมทรัพย์ ซึ่งให้ความคล่องตัวในการถอนและฝาก แต่ได้ดอกเบี้ยต่ำ ถ้าฝากบัญชีเงินฝากประจำ จะมีเวลาให้เลือกได้แก่ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งให้ผลตอบแทนแตกต่างกัน แต่ก็ยังสูงกว่าการฝากในรูปบัญชีออมทรัพย์ (ยิ่งระยะยาวนานดอกเบี้ยยิ่งสูง) - ซื้อกองทุนรวม หมายถึงบริษัทจัดการกองทุนรวมจะนำเงินออมที่ถูกนำมาซื้อหน่วยลงทุนไปลงทุนซื้อหุ้นตราสารหนี้ (ภาครัฐและบริษัทเอกชนกู้ยืมเงินเพื่อเอาไปลงทุน) เพื่อให้ได้รับผลตอบแทน การลงทุนผ่านกองทุนรวม เป็นการมอบหมายให้ผู้มีความรู้ในเรื่องการเงินเป็นผู้ตัดสินใจลงทุนแทน . กองทุนรวมในปัจจุบันมีหลายลักษณะ เช่น กองทุนรวมเพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมเพื่อลงทุนในตราสารหนี้ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ กองทุนหุ้นระยะยาว เป็นต้น - ซื้ออสังหาริมทรัพย์ไว้ให้เช่า เช่น อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม และบ้าน การใช้เงินออมร่วมกับค่าเช่าที่ได้รับจากอสังหาริมทรัพย์นั้น มาผ่อนชำระเพื่อจะได้เป็นเจ้าของในระยะยาว และหลังจากนั้นก็สามารถเก็บเกี่ยวค่าเช่าได้เต็มที่ และอาจได้รับส่วนเพิ่มของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย อย่างไรก็ดี ถ้ามีเงินออมเป็นก้อนใหญ่จนสามารถใช้เป็นเงินดาวน์ และสามารถใช้ค่าเช่าเป็นเงินผ่อนชำระได้ทั้งหมดแล้ว ก็จะเป็นกรณีที่เงินออมงอกเงยขึ้นได้อย่างรวดเร็ว - ซื้อหุ้นด้วยเงินออม การลงทุนซื้อหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีสม่ำเสมอ อีกทั้งยังมีโอกาสสูงที่ราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคตโดยหวังผลในระยะยาว เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ - ซื้อตราสารหนี้ ซึ่งอาจเป็นพันธบัตรรัฐบาล (รัฐบาลกู้ยืมโดยออกเอกสารรับรอง) หรือตราสารหนี้ที่ออกโดยธุรกิจเอกชน ผลตอบแทนจากการประกอบการที่มีความไม่แน่นอนสูงกว่า - ลงทุนประกอบธุรกิจเอง หรือเข้าหุ้นประกอบธุรกิจกับผู้อื่น การลงทุนลักษณะนี้มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากผลกำไร ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ประกอบการ . ยังมีวิธีการอื่นๆที่ทำให้เงินออมงอกเงย แต่ก็ไม่ใช่หนทางหลัก สิ่งที่ควรตระหนักเสมอในการลงทุนมีอยู่อย่างน้อย 2 ประการ คือ 1. จะมีเงินออมเพื่อนำไปลงทุนได้มากก็ต้องเริ่มจากการมีรายได้มากเป็นเบื้องแรก และสามารถควบคุมการใช้จ่ายได้ดีจนทำให้สามารถออมได้ 2. การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงทั้งสิ้น ไม่มีการลงทุนใดที่ปราศจากความเสี่ยง ประเด็นอยู่ที่ว่า เมื่อเปรียบเทียบแล้วการลงทุนใดมีความเสี่ยงมากกว่ากัน . การมีเงินออมอย่างสม่ำเสมอและอย่างมีจุดหมายเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความมั่นคงทางการเงินตลอดชีวิต การทำงานอันเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน จะก่อให้เกิดความมั่นคงในชีวิตได้ก็ต่อเมื่อมีรายได้อย่างเพียงพอต่อการดำรงชีพ และเหลือเงินออมเพื่อนำไปลงทุนจนก่อให้เกิดทรัพย์สินและรายได้เพิ่มเติมอีกทางหนึ่ง นอกจากรายได้จากการทำงานที่ต้องออกแรง รายได้ที่เกิดจากทรัพย์สินเหล่านี้จะเป็นฐานสำคัญของการดำรงชีพหลังวัยทำงาน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานจาก Nasuni เผยว่าแม้ AI จะเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ธุรกิจลงทุนมากที่สุด แต่เพียง 20% ขององค์กรเท่านั้นที่เชื่อว่าข้อมูลของพวกเขาพร้อมสำหรับ AI และมีเพียง 27% ของโครงการ AI ที่สร้างผลตอบแทนที่วัดผลได้

    🌐 ความท้าทายที่ธุรกิจต้องเผชิญ:
    - 📉 การจัดการข้อมูลที่ไม่พร้อม: 96% ขององค์กรยังคงประสบปัญหาในการย้ายข้อมูลไปยังระบบที่รองรับ AI
    - 🛠️ การลงทุนที่ไม่สมดุล: เกือบครึ่งขององค์กรมีแผนลงทุนใน AI ในอีก 18 เดือนข้างหน้า แต่มีเพียงหนึ่งในสามที่ลงทุนในระบบจัดการข้อมูลบนคลาวด์

    ⚠️ ผลกระทบจากการโจมตีไซเบอร์:
    - ⏳ เวลาฟื้นตัวที่ยาวนาน: ธุรกิจใช้เวลาฟื้นตัวเฉลี่ย 5 สัปดาห์ หลังจากการโจมตีไซเบอร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน
    - 🔒 ความสำคัญของระบบไฮบริดคลาวด์: ระบบนี้ไม่เพียงช่วยให้ข้อมูลพร้อมสำหรับ AI แต่ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย โดยองค์กรที่ไม่ใช้ระบบนี้มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสูงขึ้นถึง 51%

    https://www.techradar.com/pro/enterprises-are-getting-hit-staying-down-and-not-seeing-the-benefits-of-ai-investment
    รายงานจาก Nasuni เผยว่าแม้ AI จะเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ธุรกิจลงทุนมากที่สุด แต่เพียง 20% ขององค์กรเท่านั้นที่เชื่อว่าข้อมูลของพวกเขาพร้อมสำหรับ AI และมีเพียง 27% ของโครงการ AI ที่สร้างผลตอบแทนที่วัดผลได้ 🌐 ความท้าทายที่ธุรกิจต้องเผชิญ: - 📉 การจัดการข้อมูลที่ไม่พร้อม: 96% ขององค์กรยังคงประสบปัญหาในการย้ายข้อมูลไปยังระบบที่รองรับ AI - 🛠️ การลงทุนที่ไม่สมดุล: เกือบครึ่งขององค์กรมีแผนลงทุนใน AI ในอีก 18 เดือนข้างหน้า แต่มีเพียงหนึ่งในสามที่ลงทุนในระบบจัดการข้อมูลบนคลาวด์ ⚠️ ผลกระทบจากการโจมตีไซเบอร์: - ⏳ เวลาฟื้นตัวที่ยาวนาน: ธุรกิจใช้เวลาฟื้นตัวเฉลี่ย 5 สัปดาห์ หลังจากการโจมตีไซเบอร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน - 🔒 ความสำคัญของระบบไฮบริดคลาวด์: ระบบนี้ไม่เพียงช่วยให้ข้อมูลพร้อมสำหรับ AI แต่ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย โดยองค์กรที่ไม่ใช้ระบบนี้มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสูงขึ้นถึง 51% https://www.techradar.com/pro/enterprises-are-getting-hit-staying-down-and-not-seeing-the-benefits-of-ai-investment
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงาน AI Index 2025 จาก Stanford University เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกของปัญญาประดิษฐ์ โดยต้นทุนการใช้งาน AI ลดลงอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่เป็นอันตรายกลับเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล

    🌐 ต้นทุนที่ลดลงและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น:
    - 📉 ต้นทุนการใช้งาน AI: ค่าใช้จ่ายในการใช้งานโมเดล AI ลดลงจาก $20 ต่อ 1 ล้านโทเค็น เหลือเพียง $0.07 ในเวลาเพียง 18 เดือน
    - 💡 การลงทุนมหาศาล: บริษัทใหญ่ เช่น OpenAI, Meta และ Google ลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 28 เท่า ในการฝึกโมเดล AI รุ่นใหม่

    ⚠️ เหตุการณ์อันตรายที่เพิ่มขึ้น:
    - 🚨 เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI: จำนวนเหตุการณ์อันตรายที่เกี่ยวข้องกับ AI เพิ่มขึ้นจาก 100 ครั้งในปี 2022 เป็น 233 ครั้งในปี 2024
    - 🛑 ตัวอย่างเหตุการณ์: การระบุผิดพลาดของ AI ในระบบป้องกันการขโมยสินค้า, การสร้างภาพลามกแบบ deepfake และการสนับสนุนพฤติกรรมอันตรายโดยแชทบอท

    🌟 การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ:
    - 🇺🇸 สหรัฐฯ ยังคงนำหน้า: สหรัฐฯ มีโมเดล AI ที่โดดเด่นถึง 40 โมเดล ในปี 2024 ขณะที่จีนมีเพียง 15 โมเดล
    - 🇨🇳 จีนไล่ตามอย่างใกล้ชิด: ความแตกต่างด้านประสิทธิภาพระหว่างโมเดล AI ของสหรัฐฯ และจีนลดลงจาก 9.26% ในปี 2024 เหลือเพียง 1.70% ในปี 2025

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-costs-drop-280-fold-but-harmful-incidents-rise-56-percent-in-last-year-stanford-2025-ai-report-highlights-china-us-competition
    รายงาน AI Index 2025 จาก Stanford University เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกของปัญญาประดิษฐ์ โดยต้นทุนการใช้งาน AI ลดลงอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่เป็นอันตรายกลับเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล 🌐 ต้นทุนที่ลดลงและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น: - 📉 ต้นทุนการใช้งาน AI: ค่าใช้จ่ายในการใช้งานโมเดล AI ลดลงจาก $20 ต่อ 1 ล้านโทเค็น เหลือเพียง $0.07 ในเวลาเพียง 18 เดือน - 💡 การลงทุนมหาศาล: บริษัทใหญ่ เช่น OpenAI, Meta และ Google ลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 28 เท่า ในการฝึกโมเดล AI รุ่นใหม่ ⚠️ เหตุการณ์อันตรายที่เพิ่มขึ้น: - 🚨 เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI: จำนวนเหตุการณ์อันตรายที่เกี่ยวข้องกับ AI เพิ่มขึ้นจาก 100 ครั้งในปี 2022 เป็น 233 ครั้งในปี 2024 - 🛑 ตัวอย่างเหตุการณ์: การระบุผิดพลาดของ AI ในระบบป้องกันการขโมยสินค้า, การสร้างภาพลามกแบบ deepfake และการสนับสนุนพฤติกรรมอันตรายโดยแชทบอท 🌟 การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ: - 🇺🇸 สหรัฐฯ ยังคงนำหน้า: สหรัฐฯ มีโมเดล AI ที่โดดเด่นถึง 40 โมเดล ในปี 2024 ขณะที่จีนมีเพียง 15 โมเดล - 🇨🇳 จีนไล่ตามอย่างใกล้ชิด: ความแตกต่างด้านประสิทธิภาพระหว่างโมเดล AI ของสหรัฐฯ และจีนลดลงจาก 9.26% ในปี 2024 เหลือเพียง 1.70% ในปี 2025 https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-costs-drop-280-fold-but-harmful-incidents-rise-56-percent-in-last-year-stanford-2025-ai-report-highlights-china-us-competition
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sundar Pichai CEO ของ Alphabet ยืนยันแผนการลงทุนมูลค่า 75 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2025 เพื่อขยายศักยภาพของศูนย์ข้อมูลและพัฒนาเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะโมเดล Gemini ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่บริษัทมุ่งเน้น

    🌐 การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน:
    - งบประมาณนี้จะถูกใช้ในการพัฒนาชิปและเซิร์ฟเวอร์ที่จำเป็นสำหรับบริการหลัก เช่น Search และการพัฒนา AI
    - การลงทุนยังครอบคลุมถึงการสนับสนุนลูกค้าองค์กรที่ใช้บริการคลาวด์ของ Google

    🤖 โอกาสใน AI:
    - Sundar Pichai ระบุว่า AI เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนี้ และ Alphabet มุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปสู่มือของผู้บริโภคและองค์กร

    📈 ผลกระทบต่อหุ้น:
    - หุ้นของ Alphabet เพิ่มขึ้นกว่า 7% หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศหยุดการเก็บภาษีชั่วคราว ซึ่งช่วยลดแรงกดดันในตลาด

    ความท้าทายที่ต้องเผชิญ:
    💡 ความกังวลของนักลงทุน:
    - แม้การลงทุนใน AI จะมีศักยภาพสูง แต่นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงผลตอบแทนที่ชัดเจนจากการลงทุนมหาศาลนี้

    💡 สงครามการค้า:
    - ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศอาจเพิ่มต้นทุนการผลิตและส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/10/alphabet-ceo-reaffirms-planned-75-billion-capital-spending-in-2025
    Sundar Pichai CEO ของ Alphabet ยืนยันแผนการลงทุนมูลค่า 75 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2025 เพื่อขยายศักยภาพของศูนย์ข้อมูลและพัฒนาเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะโมเดล Gemini ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่บริษัทมุ่งเน้น 🌐 การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: - งบประมาณนี้จะถูกใช้ในการพัฒนาชิปและเซิร์ฟเวอร์ที่จำเป็นสำหรับบริการหลัก เช่น Search และการพัฒนา AI - การลงทุนยังครอบคลุมถึงการสนับสนุนลูกค้าองค์กรที่ใช้บริการคลาวด์ของ Google 🤖 โอกาสใน AI: - Sundar Pichai ระบุว่า AI เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนี้ และ Alphabet มุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปสู่มือของผู้บริโภคและองค์กร 📈 ผลกระทบต่อหุ้น: - หุ้นของ Alphabet เพิ่มขึ้นกว่า 7% หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศหยุดการเก็บภาษีชั่วคราว ซึ่งช่วยลดแรงกดดันในตลาด ความท้าทายที่ต้องเผชิญ: 💡 ความกังวลของนักลงทุน: - แม้การลงทุนใน AI จะมีศักยภาพสูง แต่นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงผลตอบแทนที่ชัดเจนจากการลงทุนมหาศาลนี้ 💡 สงครามการค้า: - ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศอาจเพิ่มต้นทุนการผลิตและส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/10/alphabet-ceo-reaffirms-planned-75-billion-capital-spending-in-2025
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Alphabet CEO reaffirms planned $75 billion capital spending in 2025
    Las Vegas (Reuters) - Alphabet reiterated on Wednesday it would spend about $75 billion this year to build out data center capacity, doubling down on its generative AI bet even as the payoff remains unclear and a global trade war threatens to raise costs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงเดือนที่ผ่านมา โดย Lip-Bu Tan ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO คนใหม่ของบริษัทที่เข้ารับตำแหน่งในเดือนมีนาคม 2025 ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่หุ้นของ Intel ลดลงอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบของ นโยบายภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาดหุ้นรวมถึงบริษัทในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน

    == ผลกระทบต่อ Intel และผู้บริหาร ==
    ✅ มูลค่าหุ้นลดลงในจุดต่ำสุด:
    - Lip-Bu Tan ลงทุนซื้อหุ้นของ Intel จำนวน $25 ล้านในช่วงที่รับตำแหน่ง CEO ด้วยราคา $23.96 ต่อหุ้น แต่ปัจจุบันหุ้นลดลงเหลือ $18.90 ส่งผลให้มูลค่าการลงทุนของเขาลดลงมากกว่า $5 ล้าน ภายในเวลาไม่ถึงเดือน

    ✅ ผลกระทบจากภาษีใหม่:
    - การลดลงของหุ้นไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินงานของ CEO ใหม่ แต่เกิดจากแรงกดดันของ ภาษีนำเข้า ที่รัฐบาลประกาศใช้ ซึ่งกระทบต้นทุนการผลิตและความสามารถในการแข่งขันของบริษัท

    == แนวทางและความหวังใหม่ ==
    ✅ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่:
    - Intel ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนา 18A process node ซึ่งเข้าสู่กระบวนการผลิตเชิงทดลอง (risk production) นี่เป็นก้าวสำคัญที่อาจช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นจากนักลงทุน

    ✅ การฟื้นฟูสถานะการเงิน:
    - นักวิเคราะห์บางส่วนคาดการณ์ว่า Intel อาจเลือกใช้วิธีการปรับโครงสร้างการเงิน เช่น การซื้อหุ้นคืน (stock buyback) แบบเดียวกับ Broadcom แต่สถานะการเงินของ Intel ในปัจจุบันยังไม่เอื้อให้ใช้กลยุทธ์นี้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-ceo-lip-bu-tan-loses-usd5-million-in-intel-investment-value-as-stock-tumbles
    Intel ต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงเดือนที่ผ่านมา โดย Lip-Bu Tan ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO คนใหม่ของบริษัทที่เข้ารับตำแหน่งในเดือนมีนาคม 2025 ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่หุ้นของ Intel ลดลงอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบของ นโยบายภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาดหุ้นรวมถึงบริษัทในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน == ผลกระทบต่อ Intel และผู้บริหาร == ✅ มูลค่าหุ้นลดลงในจุดต่ำสุด: - Lip-Bu Tan ลงทุนซื้อหุ้นของ Intel จำนวน $25 ล้านในช่วงที่รับตำแหน่ง CEO ด้วยราคา $23.96 ต่อหุ้น แต่ปัจจุบันหุ้นลดลงเหลือ $18.90 ส่งผลให้มูลค่าการลงทุนของเขาลดลงมากกว่า $5 ล้าน ภายในเวลาไม่ถึงเดือน ✅ ผลกระทบจากภาษีใหม่: - การลดลงของหุ้นไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินงานของ CEO ใหม่ แต่เกิดจากแรงกดดันของ ภาษีนำเข้า ที่รัฐบาลประกาศใช้ ซึ่งกระทบต้นทุนการผลิตและความสามารถในการแข่งขันของบริษัท == แนวทางและความหวังใหม่ == ✅ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่: - Intel ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนา 18A process node ซึ่งเข้าสู่กระบวนการผลิตเชิงทดลอง (risk production) นี่เป็นก้าวสำคัญที่อาจช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ✅ การฟื้นฟูสถานะการเงิน: - นักวิเคราะห์บางส่วนคาดการณ์ว่า Intel อาจเลือกใช้วิธีการปรับโครงสร้างการเงิน เช่น การซื้อหุ้นคืน (stock buyback) แบบเดียวกับ Broadcom แต่สถานะการเงินของ Intel ในปัจจุบันยังไม่เอื้อให้ใช้กลยุทธ์นี้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-ceo-lip-bu-tan-loses-usd5-million-in-intel-investment-value-as-stock-tumbles
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • Office of the Comptroller of the Currency (OCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารแห่งชาติในสหรัฐฯ แจ้ง Congress ถึงการเจาะระบบไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในระบบอีเมลขององค์กร โดยช่องโหว่นี้อนุญาตให้นักโจมตีเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ รวมถึงอีเมลกว่า

    ✅ วิธีการเจาะระบบ:
    - การโจมตีเริ่มจากการเข้าถึงบัญชีผู้ดูแลระบบในระบบ Office Automation Environment ของ OCC
    - พบพฤติกรรมการเข้าถึงบัญชีผู้ใช้งานในลักษณะผิดปกติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งยืนยันเป็นการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตในวันถัดมา

    ✅ การตอบสนองของ OCC:
    - OCC ได้ปิดการใช้งานบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกเจาะเข้าถึง และเริ่มต้นโปรโตคอลตอบสนองฉุกเฉินทันที
    - มีการร่วมมือกับ Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจากภายนอก เพื่อประเมินความเสียหาย

    ✅ ความเสี่ยงที่ตามมา:
    - เหตุการณ์นี้อาจทำให้องค์กรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ OCC เสี่ยงต่อการถูกโจมตีไซเบอร์ในอนาคต หากนักโจมตีใช้ข้อมูลจากอีเมลเพื่อเจาะระบบเพิ่มเติม

    == บทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ==
    💡 ความจำเป็นในการลงทุนด้านความปลอดภัยไซเบอร์:
    - ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า OCC อาจไม่ได้รับทรัพยากรด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ แม้จะเป็นหน่วยงานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ

    💡 การสร้างระบบที่ปลอดภัยมากขึ้น:
    - มีความจำเป็นในการพัฒนากระบวนการป้องกันที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบที่เกี่ยวข้องกับการเงิน

    https://www.csoonline.com/article/3957698/occ-email-system-breach-described-as-stunning-serious.html
    Office of the Comptroller of the Currency (OCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารแห่งชาติในสหรัฐฯ แจ้ง Congress ถึงการเจาะระบบไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในระบบอีเมลขององค์กร โดยช่องโหว่นี้อนุญาตให้นักโจมตีเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ รวมถึงอีเมลกว่า ✅ วิธีการเจาะระบบ: - การโจมตีเริ่มจากการเข้าถึงบัญชีผู้ดูแลระบบในระบบ Office Automation Environment ของ OCC - พบพฤติกรรมการเข้าถึงบัญชีผู้ใช้งานในลักษณะผิดปกติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งยืนยันเป็นการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตในวันถัดมา ✅ การตอบสนองของ OCC: - OCC ได้ปิดการใช้งานบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกเจาะเข้าถึง และเริ่มต้นโปรโตคอลตอบสนองฉุกเฉินทันที - มีการร่วมมือกับ Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจากภายนอก เพื่อประเมินความเสียหาย ✅ ความเสี่ยงที่ตามมา: - เหตุการณ์นี้อาจทำให้องค์กรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ OCC เสี่ยงต่อการถูกโจมตีไซเบอร์ในอนาคต หากนักโจมตีใช้ข้อมูลจากอีเมลเพื่อเจาะระบบเพิ่มเติม == บทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ == 💡 ความจำเป็นในการลงทุนด้านความปลอดภัยไซเบอร์: - ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า OCC อาจไม่ได้รับทรัพยากรด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ แม้จะเป็นหน่วยงานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ 💡 การสร้างระบบที่ปลอดภัยมากขึ้น: - มีความจำเป็นในการพัฒนากระบวนการป้องกันที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบที่เกี่ยวข้องกับการเงิน https://www.csoonline.com/article/3957698/occ-email-system-breach-described-as-stunning-serious.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    US bank regulator’s email system breached
    The agency that regulates all US national banks alerted Congress on Tuesday that hackers had access to staff emails.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาตรการภาษีนำเข้าทำให้ราคาสินค้าเทคโนโลยีใหม่พุ่งสูงขึ้น iFixit แนะนำให้ผู้บริโภคพิจารณาซ่อมแซมอุปกรณ์แทนการซื้อใหม่ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและช่วยสร้างความยั่งยืน โดยยังเรียกร้องให้ผู้ผลิตสนับสนุนแนวทางนี้เพื่อความยั่งยืนของโลก

    ✅ ผลกระทบจากภาษีใหม่:
    - บริษัทระบุว่า เกือบทุกผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีใหม่จะมีราคาแพงขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตมีแนวโน้มปรับราคาสินค้าเพื่อตอบสนองต่อต้นทุนที่เพิ่มจากภาษีนำเข้า
    - การวิเคราะห์จาก Consumer Technology Association (CTA) เผยว่าภาษีอาจทำให้ราคาสินค้าเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นมากกว่า 16% โดยเฉพาะสินค้าไฮเอนด์อย่าง iPhone ซึ่งต้นทุนการผลิตอาจพุ่งจาก $550 เป็น $850

    ✅ การซ่อมแซมเป็นทางเลือกที่ยั่งยืน:
    - iFixit ชี้ว่าค่าซ่อมสินค้าจะเพิ่มขึ้นเช่นกันแต่ ไม่มากเท่ากับราคาสินค้าใหม่
    - การซ่อมช่วยลดความต้องการผลิตภัณฑ์ใหม่ ทำให้มีเวลาเก็บเงินสำหรับการลงทุนในสินค้าที่จำเป็นจริง ๆ ในอนาคต

    ✅ ข้อเสนอแนะจาก iFixit:
    - เรียกร้องให้ ผู้ผลิตและผู้กำหนดนโยบาย ส่งเสริมการซ่อมแซมโดยการออกแบบอุปกรณ์ให้ซ่อมง่ายและให้การสนับสนุน เช่น การจัดหาอะไหล่และเครื่องมือ
    - การออกแบบที่ส่งเสริมการซ่อมจะทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในการซื้อผลิตภัณฑ์จากบริษัทนั้นซ้ำ อีกทั้งยังส่งผลดีต่อความยั่งยืนในระยะยาว

    == คำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อยืดอายุอุปกรณ์ของคุณ ==
    💡 ป้องกันก่อนเกิดปัญหา:
    - ใช้เคสและฟิล์มกันรอยเพื่อป้องกันอุปกรณ์เสียหาย
    - ตั้งค่าการใช้งานปุ่ม Power และ Volume ในอุปกรณ์เพื่อหลีกเลี่ยงการสึกหรอ

    💡 ซ่อมแทนทิ้ง:
    - การซ่อมไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดเงิน แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโลกที่ยั่งยืน

    https://www.neowin.net/news/ifixit-says-tariffs-will-hike-consumer-tech-prices-but-repairing-can-save-you-money/
    มาตรการภาษีนำเข้าทำให้ราคาสินค้าเทคโนโลยีใหม่พุ่งสูงขึ้น iFixit แนะนำให้ผู้บริโภคพิจารณาซ่อมแซมอุปกรณ์แทนการซื้อใหม่ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและช่วยสร้างความยั่งยืน โดยยังเรียกร้องให้ผู้ผลิตสนับสนุนแนวทางนี้เพื่อความยั่งยืนของโลก ✅ ผลกระทบจากภาษีใหม่: - บริษัทระบุว่า เกือบทุกผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีใหม่จะมีราคาแพงขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตมีแนวโน้มปรับราคาสินค้าเพื่อตอบสนองต่อต้นทุนที่เพิ่มจากภาษีนำเข้า - การวิเคราะห์จาก Consumer Technology Association (CTA) เผยว่าภาษีอาจทำให้ราคาสินค้าเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นมากกว่า 16% โดยเฉพาะสินค้าไฮเอนด์อย่าง iPhone ซึ่งต้นทุนการผลิตอาจพุ่งจาก $550 เป็น $850 ✅ การซ่อมแซมเป็นทางเลือกที่ยั่งยืน: - iFixit ชี้ว่าค่าซ่อมสินค้าจะเพิ่มขึ้นเช่นกันแต่ ไม่มากเท่ากับราคาสินค้าใหม่ - การซ่อมช่วยลดความต้องการผลิตภัณฑ์ใหม่ ทำให้มีเวลาเก็บเงินสำหรับการลงทุนในสินค้าที่จำเป็นจริง ๆ ในอนาคต ✅ ข้อเสนอแนะจาก iFixit: - เรียกร้องให้ ผู้ผลิตและผู้กำหนดนโยบาย ส่งเสริมการซ่อมแซมโดยการออกแบบอุปกรณ์ให้ซ่อมง่ายและให้การสนับสนุน เช่น การจัดหาอะไหล่และเครื่องมือ - การออกแบบที่ส่งเสริมการซ่อมจะทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในการซื้อผลิตภัณฑ์จากบริษัทนั้นซ้ำ อีกทั้งยังส่งผลดีต่อความยั่งยืนในระยะยาว == คำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อยืดอายุอุปกรณ์ของคุณ == 💡 ป้องกันก่อนเกิดปัญหา: - ใช้เคสและฟิล์มกันรอยเพื่อป้องกันอุปกรณ์เสียหาย - ตั้งค่าการใช้งานปุ่ม Power และ Volume ในอุปกรณ์เพื่อหลีกเลี่ยงการสึกหรอ 💡 ซ่อมแทนทิ้ง: - การซ่อมไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดเงิน แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโลกที่ยั่งยืน https://www.neowin.net/news/ifixit-says-tariffs-will-hike-consumer-tech-prices-but-repairing-can-save-you-money/
    WWW.NEOWIN.NET
    iFixit says tariffs will hike consumer tech prices, but repairing can save you money
    The repair company iFixit says you can avoid rising consumer tech prices due to tariffs by choosing to repair your current device rather than buying a new one.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts