• เพราะอะไร? กลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีวันไหนที่ไม่กัดเซาะสถาบันกษัตริย์ (20/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สถาบันกษัตริย์ #การเมืองไทย #กระแสสังคม #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    เพราะอะไร? กลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีวันไหนที่ไม่กัดเซาะสถาบันกษัตริย์ (20/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สถาบันกษัตริย์ #การเมืองไทย #กระแสสังคม #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 0 Reviews
  • คนอีสานแท้ ท้าทายนิด้าโพล มาเจออีสานโพลหน่อย (20/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #นิด้าโพล #อีสานโพล #การเมืองไทย #กระแสสังคม #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    คนอีสานแท้ ท้าทายนิด้าโพล มาเจออีสานโพลหน่อย (20/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #นิด้าโพล #อีสานโพล #การเมืองไทย #กระแสสังคม #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 0 Reviews
  • ณัฐพงษ์ VS ณัฐพงศ์ ประชาธิปไตยคนหล่อ

    หลังจากพรรคเพื่อไทยเสียรังวัด กรณีที่ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และนายทักษิณ ชินวัตร ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้กลับมารับโทษจำคุก 1 ปี ปรากฎว่าคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยานายทักษิณ ปรากฎตัวที่พรรคเพื่อไทย สร้างความมั่นใจให้กับสมาชิกพรรค พร้อมกับกระแสข่าวว่าจะทาบทาม นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซี แอสเสท สามีของ เอม-พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ปะทะกับ เท้ง-ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน

    ปฎิเสธไม่ได้ว่ากระแสความนิยมของพรรคส้ม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหน้าตา ที่จุดประกายความหวังของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ตั้งแต่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ก่อนการเลือกตั้งปี 2562 เกิดกระแส "ฟ้ารักพ่อ" ที่ชาว LGBTQ รายหนึ่ง ตะโกนคำนี้อยู่หลายครั้ง ระหว่างปรากฎตัวในงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 73 หรือจะเป็นนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ดีกรีหนุ่มนักเรียนนอก อดีตนายแบบขึ้นปกนิตยสารชื่อดัง ความหล่อของเขาช่วยเอาชนะการเลือกตั้งมาได้ถึง 14 ล้านเสียง ถึงกระนั้น แม้นายณัฐพงษ์จะดูมีแคริสมา หรือเสน่ห์น้อยกว่า แต่ประวัติการศึกษาก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน

    นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เกิดเมื่อปี 2530 จบคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกอบธุรกิจผู้ผลิตซอฟต์แวร์ เป็นลูกชายของ นายสุชาติ เรืองปัญญาวุฒิ เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ชนันธร ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป

    ส่วนนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ เกิดเมื่อปี 2523 จบคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทบริหารธุรกิจจาก DePaul University ชิคาโก สหรัฐอเมริกา ครอบครัวทำธุรกิจการ์เมนต์ส่งออกย่านประตูน้ำ เคยได้รับการโหวตให้เป็นขวัญใจไฮโซ ของนิตยสารคลีโอในปี 2007 เคยผ่านการทำงานหลายบริษัท ก่อนร่วมกับครอบครัวเปิดบริษัทด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงลงทุนโครงการโรงแรมย่านประตูน้ำ พบรักกับเอม-พินทองทา ก่อนแต่งงานเมื่อปี 2554 มีบุตรด้วยกัน 3 คน ก่อนเข้ามาเป็นผู้บริหารใน เอสซี แอสเสท บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลชินวัตร

    แม้ในวันที่ไปเยี่ยมนายทักษิณที่เรือนจำ นายณัฐพงศ์ปฎิเสธว่าจะเล่นการเมือง โดยกล่าวสั้นๆ ว่า "ยังไม่คิดเรื่องนี้เลย" แต่นายภูมิธรรม เวชยชัย แกนนำพรรคเพื่อไทย ระบุว่า นายณัฐพงศ์เป็นคนสมาร์ท หล่ออยู่แล้ว ก็ต้องถามเจ้าตัวก่อน แต่หากกระแสสังคมเชียร์นายณัฐพงศ์เสียงดังมากๆ อาจจะไปเจรจาคุณหญิงพจมาน และเอม-พินทองทา ภรรยาของนายณัฐพงศ์

    #Newskit
    ณัฐพงษ์ VS ณัฐพงศ์ ประชาธิปไตยคนหล่อ หลังจากพรรคเพื่อไทยเสียรังวัด กรณีที่ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และนายทักษิณ ชินวัตร ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้กลับมารับโทษจำคุก 1 ปี ปรากฎว่าคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยานายทักษิณ ปรากฎตัวที่พรรคเพื่อไทย สร้างความมั่นใจให้กับสมาชิกพรรค พร้อมกับกระแสข่าวว่าจะทาบทาม นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซี แอสเสท สามีของ เอม-พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ปะทะกับ เท้ง-ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ปฎิเสธไม่ได้ว่ากระแสความนิยมของพรรคส้ม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหน้าตา ที่จุดประกายความหวังของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ตั้งแต่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ก่อนการเลือกตั้งปี 2562 เกิดกระแส "ฟ้ารักพ่อ" ที่ชาว LGBTQ รายหนึ่ง ตะโกนคำนี้อยู่หลายครั้ง ระหว่างปรากฎตัวในงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 73 หรือจะเป็นนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ดีกรีหนุ่มนักเรียนนอก อดีตนายแบบขึ้นปกนิตยสารชื่อดัง ความหล่อของเขาช่วยเอาชนะการเลือกตั้งมาได้ถึง 14 ล้านเสียง ถึงกระนั้น แม้นายณัฐพงษ์จะดูมีแคริสมา หรือเสน่ห์น้อยกว่า แต่ประวัติการศึกษาก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เกิดเมื่อปี 2530 จบคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกอบธุรกิจผู้ผลิตซอฟต์แวร์ เป็นลูกชายของ นายสุชาติ เรืองปัญญาวุฒิ เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ชนันธร ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป ส่วนนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ เกิดเมื่อปี 2523 จบคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทบริหารธุรกิจจาก DePaul University ชิคาโก สหรัฐอเมริกา ครอบครัวทำธุรกิจการ์เมนต์ส่งออกย่านประตูน้ำ เคยได้รับการโหวตให้เป็นขวัญใจไฮโซ ของนิตยสารคลีโอในปี 2007 เคยผ่านการทำงานหลายบริษัท ก่อนร่วมกับครอบครัวเปิดบริษัทด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงลงทุนโครงการโรงแรมย่านประตูน้ำ พบรักกับเอม-พินทองทา ก่อนแต่งงานเมื่อปี 2554 มีบุตรด้วยกัน 3 คน ก่อนเข้ามาเป็นผู้บริหารใน เอสซี แอสเสท บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลชินวัตร แม้ในวันที่ไปเยี่ยมนายทักษิณที่เรือนจำ นายณัฐพงศ์ปฎิเสธว่าจะเล่นการเมือง โดยกล่าวสั้นๆ ว่า "ยังไม่คิดเรื่องนี้เลย" แต่นายภูมิธรรม เวชยชัย แกนนำพรรคเพื่อไทย ระบุว่า นายณัฐพงศ์เป็นคนสมาร์ท หล่ออยู่แล้ว ก็ต้องถามเจ้าตัวก่อน แต่หากกระแสสังคมเชียร์นายณัฐพงศ์เสียงดังมากๆ อาจจะไปเจรจาคุณหญิงพจมาน และเอม-พินทองทา ภรรยาของนายณัฐพงศ์ #Newskit
    1 Comments 0 Shares 873 Views 0 Reviews
  • ทักษิณยอมแพ้หนึ่งตา เพื่อตีฝ่าทั้งกระดาน

    ในที่สุดศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ให้จำคุกนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยคดีทุจริต 3 คดี เป็นเวลา 1 ปีตามพระบรมราชโองการ หลังพบว่าการบังคับโทษเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย้ายนายทักษิณออกจากเรือนจำไปยังห้องพักพิเศษ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ทั้งที่ไม่ได้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน มีเพียงโรคประจำตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ อีกทั้งนายทักษิณปฎิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจ และโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่เลือกผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวา ซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ทำให้กระบวนการบังคับโทษรวมทั้งการพักโทษไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่สามารถนำระยะเวลาพักรักษาตัว 180 วันมาหักเป็นวันคุมขังได้

    ด้านทีมงานนายทักษิณ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ตอนหนึ่งระบุว่า แม้ทุกคดีจะเกิดขึ้นหลังรัฐประหาร แต่วันนี้ขอมองไปข้างหน้า ให้ทุกอย่างที่ผ่านมามีข้อยุติ ทั้งการต่อสู้คดีตามกฎหมาย และความขัดแย้งใดๆ อันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวข้องกับตนเอง ตัดสินใจเลือกทางเดินนี้ เพื่อส่งกำลังใจให้ทุกคนเดินไปข้างหน้า วิเคราะห์ว่านายทักษิณไม่มีทางหนีกระแสสังคม เพราะกระบวนการช่วยเหลือนายทักษิณนอนห้องพิเศษถูกตีแผ่ สั่นสะเทือนทุกวงการ และแพทยสภาตัดสินให้แพทย์ 3 คนมีความผิด ภาวะผู้นำลูกผู้ชายไม่อาจใช้กับนายทักษิณได้ เพราะถ้าสำนึกผิดจริง 2 ปีที่แล้วต้องยอมติดคุก ใช้ชีวิตเหมือนนักโทษทั่วไป จึงจะได้ใจจากสังคมกลับมา

    อย่างไรก็ตาม นายทักษิณและบริวารยังคงไม่วางมือทางการเมือง ก่อนหน้านี้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ไปยังดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 4 ก.ย. ก่อนกลับประเทศไทยเมื่อบ่ายวันที่ 8 ก.ย. ซึ่งพบว่ามีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายทักษิณกลับมาด้วย ว่ากันว่าอาจจะผลักดัน นายยศนันท์ วงศ์สวัสดิ์ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ลูกชายนายสมชายและนางเยาวภา เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่นายทักษิณฝากดูแล สั่งจัดทัพผู้สมัคร สส. 400 เขต ภายในกลางเดือน ต.ค. พร้อมเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ส่วน สส. งูเห่า 9 เสียงจะให้คณะกรรมการจริยธรรมพิจารณาลงโทษ

    นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอบคุณนายทักษิณ ที่แสดงความรับผิดชอบเดินทางกลับมาฟังคำพิพากษา ยอมรับว่านายทักษิณคิดถูกที่กลับมารับโทษ แต่ประเทศไทยไม่คุ้ม ติดคุกปีเดียว เป็นเรื่องที่กฎหมายทำได้แค่นั้น แต่ความเสียหายเป็นหมื่นล้านถึงแสนล้านบาท

    #Newskit
    ทักษิณยอมแพ้หนึ่งตา เพื่อตีฝ่าทั้งกระดาน ในที่สุดศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ให้จำคุกนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยคดีทุจริต 3 คดี เป็นเวลา 1 ปีตามพระบรมราชโองการ หลังพบว่าการบังคับโทษเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย้ายนายทักษิณออกจากเรือนจำไปยังห้องพักพิเศษ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ทั้งที่ไม่ได้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน มีเพียงโรคประจำตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ อีกทั้งนายทักษิณปฎิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจ และโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่เลือกผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวา ซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ทำให้กระบวนการบังคับโทษรวมทั้งการพักโทษไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่สามารถนำระยะเวลาพักรักษาตัว 180 วันมาหักเป็นวันคุมขังได้ ด้านทีมงานนายทักษิณ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ตอนหนึ่งระบุว่า แม้ทุกคดีจะเกิดขึ้นหลังรัฐประหาร แต่วันนี้ขอมองไปข้างหน้า ให้ทุกอย่างที่ผ่านมามีข้อยุติ ทั้งการต่อสู้คดีตามกฎหมาย และความขัดแย้งใดๆ อันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวข้องกับตนเอง ตัดสินใจเลือกทางเดินนี้ เพื่อส่งกำลังใจให้ทุกคนเดินไปข้างหน้า วิเคราะห์ว่านายทักษิณไม่มีทางหนีกระแสสังคม เพราะกระบวนการช่วยเหลือนายทักษิณนอนห้องพิเศษถูกตีแผ่ สั่นสะเทือนทุกวงการ และแพทยสภาตัดสินให้แพทย์ 3 คนมีความผิด ภาวะผู้นำลูกผู้ชายไม่อาจใช้กับนายทักษิณได้ เพราะถ้าสำนึกผิดจริง 2 ปีที่แล้วต้องยอมติดคุก ใช้ชีวิตเหมือนนักโทษทั่วไป จึงจะได้ใจจากสังคมกลับมา อย่างไรก็ตาม นายทักษิณและบริวารยังคงไม่วางมือทางการเมือง ก่อนหน้านี้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ไปยังดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 4 ก.ย. ก่อนกลับประเทศไทยเมื่อบ่ายวันที่ 8 ก.ย. ซึ่งพบว่ามีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายทักษิณกลับมาด้วย ว่ากันว่าอาจจะผลักดัน นายยศนันท์ วงศ์สวัสดิ์ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ลูกชายนายสมชายและนางเยาวภา เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่นายทักษิณฝากดูแล สั่งจัดทัพผู้สมัคร สส. 400 เขต ภายในกลางเดือน ต.ค. พร้อมเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ส่วน สส. งูเห่า 9 เสียงจะให้คณะกรรมการจริยธรรมพิจารณาลงโทษ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอบคุณนายทักษิณ ที่แสดงความรับผิดชอบเดินทางกลับมาฟังคำพิพากษา ยอมรับว่านายทักษิณคิดถูกที่กลับมารับโทษ แต่ประเทศไทยไม่คุ้ม ติดคุกปีเดียว เป็นเรื่องที่กฎหมายทำได้แค่นั้น แต่ความเสียหายเป็นหมื่นล้านถึงแสนล้านบาท #Newskit
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 799 Views 0 Reviews
  • ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว กลับลำปิดด่านเหมือนเดิม หลังด่านพรมแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ ตรงข้ามปอยเปต เปิดให้คนไทยและคนกัมพูชา เดินทางกลับประเทศทุกวันพุธและวันอาทิตย์ เจอกระแสสังคมวิจารณ์สนั่น ศบ.ทก. รีบตีกรรเชียงบอกไม่เกี่ยว ตม.ทำเอง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000083450

    #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว กลับลำปิดด่านเหมือนเดิม หลังด่านพรมแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ ตรงข้ามปอยเปต เปิดให้คนไทยและคนกัมพูชา เดินทางกลับประเทศทุกวันพุธและวันอาทิตย์ เจอกระแสสังคมวิจารณ์สนั่น ศบ.ทก. รีบตีกรรเชียงบอกไม่เกี่ยว ตม.ทำเอง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000083450 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 Comments 1 Shares 876 Views 0 Reviews
  • กาสิโน กล่องดวงใจเขมร

    ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชารอบใหม่ เนื่องจากทหารกัมพูชาเผาศาลาตรีมุข ก่อนนำกำลังบุกยึดสามเหลี่ยมมรกต หรือมุมไบ ล้ำมาถึงช่องบกเข้าเขตดินแดนไทยด้าน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทำให้ทหารไทยยอมไม่ได้ เกิดการปะทะกันเมื่อวันที่ 28 พ.ค. ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ทหารไทยบาดเจ็บ 1 นาย ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาเตรียมนำช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ให้ตกเป็นของกัมพูชา กระแสสังคมกดดันไปยังรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร อย่างหนัก ด้วยข้อหาผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างตระกูลชินวัตร กับสมเด็จฯ ฮุนเซน

    ในที่สุดมาตรการทางทหารที่ออกมา โดยที่รัฐบาลไฟเขียวให้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง หนึ่งในนั้นคือการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา จำกัดการผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่นๆ แต่ปิดตายห้ามนักท่องเที่ยวชาวไทย และนักพนันชาวไทยข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา หนึ่งในนั้นคือด่านพรมแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กับฝั่งปอยเปต จังหวัดบันทายมีชัย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศกัมพูชา ปรับเวลาเปิดด่านเหลือ 4 โมงเย็น จากเดิม 4 ทุ่ม และห้ามนักท่องเที่ยวรวมถึงนักพนันชาวไทยออกนอกประเทศ ผลก็คือเกิดความโกลาหล ทั้งคนไทยที่ทำงานอยู่ในบ่อนกาสิโนฝั่งปอยเปต และชาวกัมพูชาเข้ามาค้าขายฝั่งไทย

    มาตรการควบคุมการเข้าออกด่าน และที่คาดว่าจะตามมา โดยเฉพาะการตัดกระแสไฟฟ้าที่ส่งไปยังฝั่งกัมพูชากระทบต่อธุรกิจกาสิโนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กลุ่มเป้าหมายหลักคือนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เข้าไปเสี่ยงโชค และยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญของผู้มีอำนาจในกัมพูชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ในที่สุด วันที่ 8 มิ.ย. พล.ท.สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 กัมพูชา เชิญ พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เข้าร่วมหารือฝ่ายทหารกัมพูชา ยอมถอนกำลังกลับไปยังจุดที่เคยประจำการอยู่เดิม และกลบคูเลตให้กลับคืนสู่สภาพธรรมชาติตามเดิม ตามข้อเสนอของฝ่ายไทย เพื่อเปิดทางให้ใช้กลไกระดับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นบริหารจัดการพื้นที่ต่อไป

    ปัจจุบันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีบ่อนกาสิโนให้บริการประมาณ 48 แห่ง ที่โดดเด่นที่สุดคือด่านปอยเปต มีกาสิโนให้บริการประมาณ 10 แห่ง โดยใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 5-6 ชั่วโมง นักเสี่ยงโชคส่วนใหญ่เป็นชาวไทย และชาวต่างชาติที่ถือหนังสือเดินทางต่างประเทศเท่านั้น เพราะรัฐบาลกัมพูชาไม่อนุญาตให้ชาวกัมพูชาเข้าไปเสี่ยงโชค ในปี 2566 สร้างรายได้ให้รัฐบาลกัมพูชาราว 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

    #Newskit
    กาสิโน กล่องดวงใจเขมร ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชารอบใหม่ เนื่องจากทหารกัมพูชาเผาศาลาตรีมุข ก่อนนำกำลังบุกยึดสามเหลี่ยมมรกต หรือมุมไบ ล้ำมาถึงช่องบกเข้าเขตดินแดนไทยด้าน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทำให้ทหารไทยยอมไม่ได้ เกิดการปะทะกันเมื่อวันที่ 28 พ.ค. ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ทหารไทยบาดเจ็บ 1 นาย ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาเตรียมนำช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ให้ตกเป็นของกัมพูชา กระแสสังคมกดดันไปยังรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร อย่างหนัก ด้วยข้อหาผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างตระกูลชินวัตร กับสมเด็จฯ ฮุนเซน ในที่สุดมาตรการทางทหารที่ออกมา โดยที่รัฐบาลไฟเขียวให้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง หนึ่งในนั้นคือการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา จำกัดการผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่นๆ แต่ปิดตายห้ามนักท่องเที่ยวชาวไทย และนักพนันชาวไทยข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา หนึ่งในนั้นคือด่านพรมแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กับฝั่งปอยเปต จังหวัดบันทายมีชัย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศกัมพูชา ปรับเวลาเปิดด่านเหลือ 4 โมงเย็น จากเดิม 4 ทุ่ม และห้ามนักท่องเที่ยวรวมถึงนักพนันชาวไทยออกนอกประเทศ ผลก็คือเกิดความโกลาหล ทั้งคนไทยที่ทำงานอยู่ในบ่อนกาสิโนฝั่งปอยเปต และชาวกัมพูชาเข้ามาค้าขายฝั่งไทย มาตรการควบคุมการเข้าออกด่าน และที่คาดว่าจะตามมา โดยเฉพาะการตัดกระแสไฟฟ้าที่ส่งไปยังฝั่งกัมพูชากระทบต่อธุรกิจกาสิโนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กลุ่มเป้าหมายหลักคือนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เข้าไปเสี่ยงโชค และยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญของผู้มีอำนาจในกัมพูชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ในที่สุด วันที่ 8 มิ.ย. พล.ท.สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 กัมพูชา เชิญ พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เข้าร่วมหารือฝ่ายทหารกัมพูชา ยอมถอนกำลังกลับไปยังจุดที่เคยประจำการอยู่เดิม และกลบคูเลตให้กลับคืนสู่สภาพธรรมชาติตามเดิม ตามข้อเสนอของฝ่ายไทย เพื่อเปิดทางให้ใช้กลไกระดับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นบริหารจัดการพื้นที่ต่อไป ปัจจุบันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีบ่อนกาสิโนให้บริการประมาณ 48 แห่ง ที่โดดเด่นที่สุดคือด่านปอยเปต มีกาสิโนให้บริการประมาณ 10 แห่ง โดยใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 5-6 ชั่วโมง นักเสี่ยงโชคส่วนใหญ่เป็นชาวไทย และชาวต่างชาติที่ถือหนังสือเดินทางต่างประเทศเท่านั้น เพราะรัฐบาลกัมพูชาไม่อนุญาตให้ชาวกัมพูชาเข้าไปเสี่ยงโชค ในปี 2566 สร้างรายได้ให้รัฐบาลกัมพูชาราว 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ #Newskit
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 928 Views 0 Reviews
  • ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ยกฟ้องคดี "ทนายธรรมราช" ฟ้อง "จตุรงค์ จงอาษา" ข้อหาหมิ่นประมาทในรายการโหนกระแส ชี้เป็นการติชมวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความคิดเห็นไปตามข้อเท็จจริงที่ได้ความมาจากกระแสสังคม

    คดีความระหว่างทนายธรรมราช สาระปัญญา ที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจตุรงค์ จงอาษาข้อหาหมิ่นประมาท ศาลจังหวัดชลบุรีมีควาพิพากษายกฟ้องไปเมื่อ 24 พฤษภาคม 2567 กรณีที่มีการกล่าวพาดพิงในรายการโหนกระแส ตอน “ครูบาไก่ขุดพระ” ที่ออกอากาศเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2566

    จากนั้นทนายธรรมราชได้ยื่นเรื่องอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในวันนี้(27 พ.ค.2568) เวลา 10.00 น. ศาลจังหวัดชลบุรีได้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2

    สรุปได้ว่า ตามที่โจทก์อุทธรณ์มานั้น เห็นว่า การที่โจทก์ประกอบวิชาชีพเป็นทนายความและเป็นเจ้าของเฟซบุ๊กชื่อทนายธรรมราช The Lawyer of legality มีผู้ติดตามกว่า 81,000 คน และมีผู้ถูกใจเพจกว่า 150,000 คน โดยตั้งค่าเพจเฟซบุ๊กเป็นสาธารณะ ซึ่งประชาชาชนทั่วไปเข้าถึงเพจเฟซบุ๊กของโจทก์ได้ ย่อมแสดงออกให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าตนเป็นบุคคลสาธารณะ คำพูดดังกล่าวของจำเลยมีลักษณะเป็นคำเสียดสีและไม่สุภาพเป็นเพียงการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ทนายความของโจทก์ ขณะเกิดเหตุโจก์ก็ได้แสดงออกในที่สาธารณะและสื่อมวลชนจนเป็นกระแสสังคม โจทก์ย่อมเข้าใจและความีความหนักแน่นที่จะยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ชมผู้ฟังได้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000049673

    #MGROnline #ทนายธรรมราช
    ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ยกฟ้องคดี "ทนายธรรมราช" ฟ้อง "จตุรงค์ จงอาษา" ข้อหาหมิ่นประมาทในรายการโหนกระแส ชี้เป็นการติชมวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความคิดเห็นไปตามข้อเท็จจริงที่ได้ความมาจากกระแสสังคม • คดีความระหว่างทนายธรรมราช สาระปัญญา ที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจตุรงค์ จงอาษาข้อหาหมิ่นประมาท ศาลจังหวัดชลบุรีมีควาพิพากษายกฟ้องไปเมื่อ 24 พฤษภาคม 2567 กรณีที่มีการกล่าวพาดพิงในรายการโหนกระแส ตอน “ครูบาไก่ขุดพระ” ที่ออกอากาศเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2566 • จากนั้นทนายธรรมราชได้ยื่นเรื่องอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในวันนี้(27 พ.ค.2568) เวลา 10.00 น. ศาลจังหวัดชลบุรีได้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 • สรุปได้ว่า ตามที่โจทก์อุทธรณ์มานั้น เห็นว่า การที่โจทก์ประกอบวิชาชีพเป็นทนายความและเป็นเจ้าของเฟซบุ๊กชื่อทนายธรรมราช The Lawyer of legality มีผู้ติดตามกว่า 81,000 คน และมีผู้ถูกใจเพจกว่า 150,000 คน โดยตั้งค่าเพจเฟซบุ๊กเป็นสาธารณะ ซึ่งประชาชาชนทั่วไปเข้าถึงเพจเฟซบุ๊กของโจทก์ได้ ย่อมแสดงออกให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าตนเป็นบุคคลสาธารณะ คำพูดดังกล่าวของจำเลยมีลักษณะเป็นคำเสียดสีและไม่สุภาพเป็นเพียงการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ทนายความของโจทก์ ขณะเกิดเหตุโจก์ก็ได้แสดงออกในที่สาธารณะและสื่อมวลชนจนเป็นกระแสสังคม โจทก์ย่อมเข้าใจและความีความหนักแน่นที่จะยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ชมผู้ฟังได้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000049673 • #MGROnline #ทนายธรรมราช
    0 Comments 0 Shares 646 Views 0 Reviews
  • แท็กซี่สนามบินเดือด ประณาม Grab ขายชาติ

    เมื่อวันที่ 20 พ.ค. มีการชุมนุมของกลุ่มสมาคมวิชาชีพผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะแท็กซี่ ร่วมกับเครือข่ายผู้ประกอบการรถยนต์รับจ้างสาธารณะแท็กซี่ เครือข่ายแท็กซี่ประเทศไทย นำโดย นายวรพล แกมขุนทด ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน ปี 2560 และกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ปี 2564 หลังอนุญาตให้แกร็บ (Grab) จัดตั้งจุดรับผู้โดยสารในสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วมีผู้ใช้บริการมากกว่า ทำให้รถแท็กซี่เสียเปรียบ

    โดยกลุ่มผู้ขับขี่แท็กซี่ถามรัฐบาล ต้องชัดเจนว่าจะเลือกแกร็บหรือแท็กซี่ ถ้าเลือกแกร็บถือว่าขายชาติ เพราะไม่ใช่บริษัทคนไทย ยืนยันว่าไม่ได้โยงเรื่องการเมือง แต่เพื่อความเป็นอยู่ของทุกคน หากรัฐบาลยังดื้อดึงไม่มีข้อสรุป จะยกระดับการชุมนุม อาจรวมตัวปิดทางเข้าออกสนามบินสุวรรณภูมิ ภายหลัง นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม มอบหมายให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. พิจารณาแนวทางการให้บริการรถสาธารณะ แก้ไขกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับเพื่อความเป็นธรรมและบรรเทาความเดือดร้อน โดยยึดประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้บริการเป็นสำคัญ

    อีกด้านหนึ่ง กระแสสังคมต่างวิจารณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ขับขี่แท็กซี่ เพราะแต่ละคนต่างมีประสบการณ์ที่แย่เกี่ยวกับรถแท็กซี่สนามบิน เช่น กลุ่มผู้ขับขี่แท็กซี่ส่วนหนึ่งไม่รับ หรือไม่เต็มใจรับลูกค้าคนไทย รับแต่ชาวต่างชาติ และร้องขอไม่กดมิเตอร์กลางทาง โดยคิดราคาเหมาในอัตราที่สูง นอกจากนี้ รายงานจากสถาบันเศรษฐศาสตร์มาสเตอร์การ์ดระบุว่า กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวเสี่ยงถูกฉ้อโกงอย่างยิ่ง โดยพบว่ามีปัญหาฉ้อโกงจากแท็กซี่และบริการรถเช่า 48%

    ด้านบริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) ยืนยันว่าได้รับอนุญาตจาก ทอท.ให้ดำเนินการตั้งจุดให้บริการผู้โดยสารแกร็บอย่างถูกต้อง อีกทั้งเป็นคนละพื้นที่และแยกกันกับจุดให้บริการรถแท็กซี่สาธารณะในสนามบินอย่างชัดเจน พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังคงเปิดรับคนขับที่สนใจเข้าระบบอย่างต่อเนื่อง ยืนยันว่าไม่เคยมีความขัดแย้งใดๆ กับกลุ่มคนขับรถแท็กซี่สาธารณะทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม แต่ยังคงเคารพสิทธิ์ของผู้โดยสารให้เลือกใช้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละบุคคล และเชื่อว่าสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติ

    อนึ่ง แกร็บและ ทอท.ร่วมกันตั้งจุดรับ-ส่งผู้โดยสารแกร็บที่สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 1 ประตู 4 และสนามบินดอนเมือง อาคาร 2 ชั้น 1 ประตู 12 อีกทั้งเมื่อปี 2566 แกร็บเปิดให้บริการจุดรับผู้โดยสารในสนามบินภูเก็ตและสนามบินเชียงใหม่

    #Newskit
    แท็กซี่สนามบินเดือด ประณาม Grab ขายชาติ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. มีการชุมนุมของกลุ่มสมาคมวิชาชีพผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะแท็กซี่ ร่วมกับเครือข่ายผู้ประกอบการรถยนต์รับจ้างสาธารณะแท็กซี่ เครือข่ายแท็กซี่ประเทศไทย นำโดย นายวรพล แกมขุนทด ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน ปี 2560 และกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ปี 2564 หลังอนุญาตให้แกร็บ (Grab) จัดตั้งจุดรับผู้โดยสารในสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วมีผู้ใช้บริการมากกว่า ทำให้รถแท็กซี่เสียเปรียบ โดยกลุ่มผู้ขับขี่แท็กซี่ถามรัฐบาล ต้องชัดเจนว่าจะเลือกแกร็บหรือแท็กซี่ ถ้าเลือกแกร็บถือว่าขายชาติ เพราะไม่ใช่บริษัทคนไทย ยืนยันว่าไม่ได้โยงเรื่องการเมือง แต่เพื่อความเป็นอยู่ของทุกคน หากรัฐบาลยังดื้อดึงไม่มีข้อสรุป จะยกระดับการชุมนุม อาจรวมตัวปิดทางเข้าออกสนามบินสุวรรณภูมิ ภายหลัง นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม มอบหมายให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. พิจารณาแนวทางการให้บริการรถสาธารณะ แก้ไขกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับเพื่อความเป็นธรรมและบรรเทาความเดือดร้อน โดยยึดประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้บริการเป็นสำคัญ อีกด้านหนึ่ง กระแสสังคมต่างวิจารณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ขับขี่แท็กซี่ เพราะแต่ละคนต่างมีประสบการณ์ที่แย่เกี่ยวกับรถแท็กซี่สนามบิน เช่น กลุ่มผู้ขับขี่แท็กซี่ส่วนหนึ่งไม่รับ หรือไม่เต็มใจรับลูกค้าคนไทย รับแต่ชาวต่างชาติ และร้องขอไม่กดมิเตอร์กลางทาง โดยคิดราคาเหมาในอัตราที่สูง นอกจากนี้ รายงานจากสถาบันเศรษฐศาสตร์มาสเตอร์การ์ดระบุว่า กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวเสี่ยงถูกฉ้อโกงอย่างยิ่ง โดยพบว่ามีปัญหาฉ้อโกงจากแท็กซี่และบริการรถเช่า 48% ด้านบริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) ยืนยันว่าได้รับอนุญาตจาก ทอท.ให้ดำเนินการตั้งจุดให้บริการผู้โดยสารแกร็บอย่างถูกต้อง อีกทั้งเป็นคนละพื้นที่และแยกกันกับจุดให้บริการรถแท็กซี่สาธารณะในสนามบินอย่างชัดเจน พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังคงเปิดรับคนขับที่สนใจเข้าระบบอย่างต่อเนื่อง ยืนยันว่าไม่เคยมีความขัดแย้งใดๆ กับกลุ่มคนขับรถแท็กซี่สาธารณะทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม แต่ยังคงเคารพสิทธิ์ของผู้โดยสารให้เลือกใช้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละบุคคล และเชื่อว่าสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติ อนึ่ง แกร็บและ ทอท.ร่วมกันตั้งจุดรับ-ส่งผู้โดยสารแกร็บที่สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 1 ประตู 4 และสนามบินดอนเมือง อาคาร 2 ชั้น 1 ประตู 12 อีกทั้งเมื่อปี 2566 แกร็บเปิดให้บริการจุดรับผู้โดยสารในสนามบินภูเก็ตและสนามบินเชียงใหม่ #Newskit
    Like
    Love
    3
    1 Comments 0 Shares 858 Views 0 Reviews
  • “พีช”พร้อมควงนายกเบี้ยว ถือพวงมาลัย เข้าขอโทษญาติลุงป้า พร้อมออกค่าใช้จ่ายดูแล การรักษาพยาบาล ค่าว่อมรถ ทำขวัญลุงป้า ด้านลูกสาว สวนกลับ ขอโทษเพราะกระแสสังคม เผยพ่อวัยหกสิบกว่าไม่กระดูกหัก 6 ซี่ ใช้ชีวิตไม่ได้เหมือนเดิม

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000036828

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “พีช”พร้อมควงนายกเบี้ยว ถือพวงมาลัย เข้าขอโทษญาติลุงป้า พร้อมออกค่าใช้จ่ายดูแล การรักษาพยาบาล ค่าว่อมรถ ทำขวัญลุงป้า ด้านลูกสาว สวนกลับ ขอโทษเพราะกระแสสังคม เผยพ่อวัยหกสิบกว่าไม่กระดูกหัก 6 ซี่ ใช้ชีวิตไม่ได้เหมือนเดิม อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000036828 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    9
    0 Comments 0 Shares 831 Views 0 Reviews
  • ไม่น่าเชื่อว่าสื่อในโซเชี่ยลยุคนี้จะโหดร้าย ขาดความเป็นมนุษย์มากมายขนาดนี้

    ทั้งที่มันเป็นความผิดที่เป็นเรื่องของคนสองคน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสังคม หรือแม้แต่ด้านกฎหมาย ซึ่งควรปล่อยให้เค้าได้มีโอกาสพูดคุยเจรจาหาทางออกกันเอง สุดท้ายแล้วเค้าจะเลือกแยกทางกัน หรือให้โอกาสกัน นั่นมันก็เรื่องของเค้า

    ที่ผ่านมา มีคู่รักมากมายที่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้กลับตัวกลับใจ

    แต่สื่อยุคนี้กลับกระหน่ำซ้ำเติม ยุยงให้เค้าแยกทางกัน สรรหาคำพูดต่างๆเพื่อยุยง ปั่นกระแสสังคม สร้างความเกลียดชัง "ไร้จิตสำนึกมากๆ"
    ไม่น่าเชื่อว่าสื่อในโซเชี่ยลยุคนี้จะโหดร้าย ขาดความเป็นมนุษย์มากมายขนาดนี้ ทั้งที่มันเป็นความผิดที่เป็นเรื่องของคนสองคน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสังคม หรือแม้แต่ด้านกฎหมาย ซึ่งควรปล่อยให้เค้าได้มีโอกาสพูดคุยเจรจาหาทางออกกันเอง สุดท้ายแล้วเค้าจะเลือกแยกทางกัน หรือให้โอกาสกัน นั่นมันก็เรื่องของเค้า ที่ผ่านมา มีคู่รักมากมายที่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้กลับตัวกลับใจ แต่สื่อยุคนี้กลับกระหน่ำซ้ำเติม ยุยงให้เค้าแยกทางกัน สรรหาคำพูดต่างๆเพื่อยุยง ปั่นกระแสสังคม สร้างความเกลียดชัง "ไร้จิตสำนึกมากๆ"
    0 Comments 0 Shares 352 Views 0 Reviews
  • วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่ตอนนี้มีเยอะมากโดยเฉพาะจากฝั่งตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี) แต่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร คือเรื่องแนวฟีลกู๊ดประเภทสถานที่เยียวยาจิตใจ ไม่ใช่เพราะผมเป็นพวกจิตใจหยาบกระด้างหรือชอบเสพแต่ความดาร์กและความสยอง แต่เพราะผมมองว่าตัวเองพอดักทางได้ว่าเรื่องพวกนั้นมี "สาร" อย่างไร ต้องการสอนผู้อ่านอย่างไร ทั้งนี้ก็จะมีบางเรื่องที่เป็นข้อยกเว้น หนึ่งในนั้นคือคาเฟ่ของแม่หมอมานูล

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' โดย อัตสึกิ โอโตะ เป็นนิยายแบบที่ผมคงไม่สนใจในแวบแรก ถ้าไม่ใช่เพราะโดนล่อตาล่อใจจากของแถมที่ทาง สนพ. บอกว่ามีเฉพาะในรอบพิมพ์ครั้งแรกเท่านั้น นั่นคือ ไพ่ทาโรต์ขนาดเล็ก ๆ 5 ใบที่เป็นภาพคุณมานูล แมวหมอดูตัวเอกประจำเรื่อง ข้อนี้เลยเป็นตัวแปรสำคัญให้ผมเปิดใจรับหนังสือเล่มนี้มาบรรจุเข้าชั้นที่บ้าน

    ไหน ๆ ก็พูดถึงหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมก็เห็นว่ามันควรค่าแก่การรีวิวในแบบของไพ่เราเผาเรื่อง แต่รอบนี้จะต่างจากครั้งอื่น ๆ ตรงที่ผมจะไม่ใช้ไพ่ทาโรต์หรือไพ่พยากรณ์สำรับใด ๆ ในคลัง แต่จะใช้ไพ่แถม 5 ใบที่มากับหนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือประกอบการ "เผาเรื่อง" โดยสับไพ่แล้วสุ่มหยิบตามลำดับ

    ขอเชิญรับชม #ไพ่เราเผาหนังสือ 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' ด้วยไพ่แถมสุดน่ารักทั้ง 5 ใบ ได้ ณ บัดนี้ครับ

    ----------

    "เรื่องจบในตอนพร้อมข้อคิดดี ๆ"
    The Sun + The World

    ในไพ่ทาโรต์ 78 ใบ The Sun เป็นไพ่ที่ความหมายดีรอบด้านในอันดับต้น ๆ แต่ไพ่ใบนี้ยังสื่อถึง "ความจริง" และ "ข้อคิดที่เป็นประโยชน์" ได้ด้วย ส่วน The World ในฐานะไพ่ใบสุดท้ายของไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) จึงมักสื่อความถึง "จุดสิ้นสุด" และ "ความสมบูรณ์" แต่มันไม่ใช่การตัดจบแบบบริบูรณ์หรือ Happily Ever After ทว่าเป็นการจบลงของบทหนึ่งเพื่อที่จะเข้าสู่บทถัดไป

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' มีลักษณะการเขียนแบบที่มักเจอใน Fiction ประเภทสถานที่ที่ช่วยให้ผู้คนได้ฮีลใจ นั่นคือเป็นนวนิยายแบบเนื้อเรื่องจบในตอน (Episodic novel) โดยแต่ละตอนมักจะมีข้อคิดจรรโลงใจหรือมุมมองที่น่าสนใจแตกต่างกัน บางครั้งต่างตอนก็มีสารหรือข้อคิดสำหรับคนต่างกลุ่มต่างจำพวก

    หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 5 บท แต่ละบทสามารถอ่านแยกในฐานะเรื่องสั้นที่จบสมบูรณ์ในตัวเองได้ แต่ตอนหลัง ๆ ก็จะมีรายละเอียดบางอย่างที่ต่อเนื่องจากตอนก่อน ๆ ตัวละครดำเนินเรื่องในแต่ละตอนมีช่วงอายุ บทบาท และปัญหาคาใจแตกต่างกัน มีทั้งเด็กมัธยมที่หาทาง fit in ในสังคมห้องเรียน อินฟลูเอนเซอร์สาว ซิงเกิลมัม ไปจนถึงวัยกลางคนที่กำลังสับสนกับทิศทางชีวิตและหน้าที่การงานของตัวเอง จากนั้นโชคชะตาหรือพล็อตเรื่องก็จะพาตัวละครไปเจอกับคุณมานูลและคาเฟมาร์เนิล

    คุณมานูล ศูนย์กลางของเรื่อง เดิมเคยเป็นมนุษย์ชื่อ คาวาตานิ ไอซาวะ แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง นางเลือก 'ลาออก' จากการเป็นมนุษย์ มาอยู่ในร่างของแมวมานูล (Manul) หรืออีกชื่อคือแมวพัลลาส (Pallas's cat) และรับดูดวงด้วยสารพัดวิธี ไม่ว่าจะใช้ไพ่ ลูกแก้ว หรือเครื่องเสี่ยงเซียมซีรูเลตต์ พร้อมทั้งเปิดคาเฟ่ร่วมกับคนที่น่าจะเป็นสามีและลูกสาว (ส่วนชื่อคาเฟ่ ทำไมถึงชื่อ "มาร์เนิล" แทนที่จะเป็น "มานูล" ตรงนี้ในหนังสือมีอธิบายไว้ แต่สั้น ๆ คือเป็นมุกที่เล่นกับตัวเขียนญี่ปุ่นแบบคาตาคานะ ซึ่งต้องขอชื่นชมผู้แปลที่พยายามเรียบเรียงเป็นไทยให้ใกล้เคียงโดยไม่เสียอรรถรสของต้นฉบับ)

    เนื้อเรื่องแต่ละตอนดำเนินไปอย่างค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ เริ่มจากแนะนำตัวละครและชีวิตประจำวันที่เจ้าตัวไม่พึงพอใจเท่าไร จากนั้นตัวละครก็จะได้เจอคุณมานูลช่วยทำนายดวงชะตาพร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบคร่าว ๆ เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งตัวละครจะทำตามและอะไร ๆ ก็ดูจะดีขึ้นจริง ๆ แต่แล้วก็จะมีเหตุสักอย่างให้ชีวิตตัวละครกลับไปเป็นแบบตอนต้นเรื่องหรือเผลอ ๆ เหมือนจะดูแย่ลง และทำให้ตัวละครได้รับการชี้แนะจากคุณมานูลเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งคราวนี้เรื่องก็จะดูจบตอนแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ชวนให้นึกถึงโดราเอมอนแแบบอนิเมะในทีวีที่ฉายเป็นตอน ๆ หรือการ์ตูนต่อสู้อย่างเซเลอร์มูนช่วงแรก ๆ ที่จะมีตัวร้ายประจำสัปดาห์ (Monster of the week) มาให้ตัวเอกปราบ

    นิยายประเภทสถานที่ฮีลใจมักมีตัวละครประจำตอนที่แแตกต่างกันทั้งช่วงอายุและอาชีพ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของคนอ่านในกลุ่มต่าง ๆ นิยายเล่มนี้ก็เช่นกัน ทั้ง 5 ตอนมีตัวละครตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ผู้เขียนคคาดหวังว่าจะรวมอยู่ในหมู่คนอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย และถึงแม้ปัญหาที่ตัวละครในเรื่องเผชิญอาจไม่ตรงกับเรื่องที่คนอ่านในช่วงวัยเดียวกันเจอในชีวิตจริงทั้งหมด แต่ข้อคิดและคำแนะนำจากคุณมานููลในแต่ละตอนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน

    ----------

    "เยียวยาจิตใจในสถานที่ที่มอบความสุข"
    The Star + Ten of Cups

    The Star คือดวงดาว จึงเป็นไพ่ตัวแทนหลายสิ่งหลายอย่างที่คนเรามักเชื่อมโยงกับดาว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความโด่งดัง หรือความหวัง แต่มันก็มีอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือ "การเยียวยา" ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่วนไพ่ 10 ถ้วย โดยทั่วไปมักหมายถึงบ้านหรือครอบครัว แต่บางกรณีก็สื่อถึง "ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม" โดยเป็นความสุขที่มาจากกลุ่มคนที่อยู่กันสนิทชิดเชื้อเหมือนเป็นครอบครัว (แบบใน "แฟ้มเมอะหลี่" ของพี่ดอม ทอร์เรตโต แห่งซีรีส์ Fast & Furious) หรือจากาสถานที่มีผู้พร้อมจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่น

    คาเฟ่มาร์เนิลของคุณมานูลลงล็อกพอดีกับคำจำกัดความของสถานที่แบบที่ว่า แต่ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ข้างบน ๆ นิยายเรื่องนี้ผลิตซ้ำ Trope ของสถานที่ที่ให้ความช่วยเหลือผู้คนในการแก้ปัญหาและเยียวยาจิตใจ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมกันในวงการวรรณกรรมฝั่งเอเชียตะวันออก แต่ละเรื่องอาจมีสถานที่ต่างกันไป บางเรื่องเป็นคาเฟ่ บางเรื่องเป็นร้านเบเกอรี่ บ้างเรื่องเป็นร้านหนังสือหรือห้องสมุด แต่ทุกเรื่องจบลงที่ตัวละครซึ่งไปเยือนสถานที่นั้น ๆ ได้เยียวยาบาดแผลหรือปมปัญหาในใจ หรือได้ปลดล็อกอะไรสักอย่างที่ติดค้างอยู่

    น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ในชีวิตจริงซึ่งไม่ได้มีมนตร์วิเศษอยู่ (อย่างน้อยก็ในแบบที่มักเกิลอย่างเรา ๆ จับต้องและพิสูจน์ได้) คนเราก็มีสถานที่สำหรับเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำและแตกร้าว นอกจากกลับบ้านไปหาครอบครัวแล้ว ที่อื่นที่คนมักไปเพื่อฮีลใจตัวเอง เช่น คาเฟ่ ซุ้มหมอดู (หรือบางคนก็ทักไปหาหมอดูทางออนไลน์) และที่ใดก็ตามที่มีแมวอยู่ กล่าวอีกอย่างคือ คาเฟ่ การดูดวง และแมว คือ Top 3 แห่งเครื่องเยียวยาจิตใจของมนุษย์ในปัจจุบัน (ซึ่งจะเรียกว่าเป็นยุคทุนนิยมหรือยุคโพสต์โมเดิร์นก็ตามแต่)

    และสามอย่างที่ว่านี้ นอกจากในนิยายซีรีส์ "ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง" แล้ว ก็มีคุณมานูลในนิยายเรื่องนี้ที่รวมทุกอย่างไว้ในตัว เหมือนผู้เขียนจงใจ หรือไม่ก็สร้างไว้ให้คนอ่านที่ชอบ Overanalyze ได้สังเกตและทึกทักเอา

    ----------

    "โชคชะตาไม่สำคัญเมื่อเธอนั้นกลายเป็นแมว"
    Wheel of Fortune

    ไพ่วงล้อแห่งโชคชะตาเป็นใบหนึ่งที่ท้าทายสกิลการอ่านและตีความไพ่ของผู้อ่านไพ่มากที่สุด บางบริบท มันสื่อถึงการที่โชคชะตากำลังดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าช่วงนั้นดวงกกำลังดี ๆ อยู่ มันก็อาจเป็นคำเตือนในระวังถึงขาลงของชีวิตที่ส่อแววมาแต่ไกล โดยรวมแล้ว ไพ่ใบนี้สื่อถึง "โชคชะตา" ในภาพรวม ซึ่งโดยตัวมันเองไม่มีดีหรือร้าย แต่ที่เรามองว่าดีหรือร้ายก็เพราะเรามองจากมุมมองของตัวเรา ถ้าเรามองเรื่องที่เกิดกับคนอื่น หรือมองตัวเองอย่างเป็นภววิสัย เราก็คงมองว่าททุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติ เดี๋ยวมีดี เดี๋ยวมีร้าย ไม่แน่ไม่นอน เผลอ ๆ คาดเดาไม่ได้ (หากเราเชื่อตาม Chaos Theory) และด้วยเหตุนี้ ไพ่ใบนี้จึงหมายรวมถึงการพยากรณ์ การดูดวง หรือการตรวจสอบดวงชะตาเช่นกัน

    ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมไหม ตอนเห็นชื่อหนังสือฉบับแปลไทยครั้งแรก ก็คิดว่าคุณมานูลน่าจะเป็นตัวละครประเภทกวน ๆ ที่ทำนายดวงตรงมั่งมั่วมั่ง (แต่สุดท้ายก็ช่วยให้ตัวละครในแต่ละตอนได้มีความสุขอยู่ดี ตามแนวทางของนิยายฮีลใจแบบนี้) แต่พอได้อ่านจริงก็พบว่านางเป็นคาแรกเตอร์ประเภทกวน ๆ จริง กวนแบบน่ารัก ๆ ชนิดที่เชื่อว่าทุกคนน่าจะอยากมีเพื่อนสนิทแบบนี้สักคนสองคน ทว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะหายไปคือการทำนายแบบมั่ว ๆ เพราะเท่าที่อ่านเจอในเรื่อง คุณมานูลไม่เคยทำนายดวงชะตาให้ตัวละครไหนแบบมั่ว ๆ เลย อย่างมากคือทำนายแบบส่งเดช พอให้เห็นว่ามีการใช้อุปกรณ์ทำนาย (อันนี้พูดในฐานะคนที่ทุกวันนี้รายรอบด้วยคนในวงการนักพยากรณ์ และเคยเจอหมอดูที่ทำนายแบบมั่วซั่วมาจนมากเกินจะนับด้วยนิ้วมือรวมนิ้วเท้าได้) อันที่จริงชื่อต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นของนิยายเรื่องนี้แปลตรงตัวแค่ว่า "คุณมานูลผู้ลาออกจากการเป็นมนุษย์จะทำนายดวงชะตาให้คุณ" ด้วยซ้ำ

    อย่างไรก็ตาม คุณมานูลตลอดทั้งเรื่องจะเล่นอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่หมอดูทุกศาสตร์ทุกแขนงควรเป็นในตัว (ถ้ายังไม่เป็นก็ควรฝึกตัวเองให้เป็น หรือไป take course เสียโดยด่วน โปรดรู้ว่าสังคมทุกวันนี้กำลังต้องการมาก) นั่นคือการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตใจและสังคม เนื้อเรื่องไม่เคยฟันธงว่าคุณมานูลดูดวงเป็นจริง ๆ หรือไม่ แต่เรื่องแสดงให้เห็นว่านางดูคนเป็น เข้าใจว่าแต่ละคนกำลังขาดหรือล้นเกินในเรื่องอะไร ซึ่งก็น่าจะเป็นทักษะที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยนางยังเป็นมนุษย์ และจากตรงนี้ นางจึงให้คำแนะนำแบบแมว ๆ ให้แต่ละตัวละครรับไปหาทางแก้ปัญหาของตัวเองอย่างตรงจุด

    เนื้อเรื่องไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้คุณไอซาวะลาออกจากการเป็นมนุษย์แล้วผันตัวมาเป็นแมวมานูล แต่เมื่อดูจากคำใบ้ในแต่ละตอน (โดยเฉพาะตอนสุดท้าย) ผมมองว่านางคงเบื่อชีวิตมนุษย์ที่วัน ๆ ได้แต่ไหลไปตามสิ่งรอบข้างอย่างกระแสสังคม ความควาดหวังและแรงกดดันจากคนรอบข้าง (ซึ่งไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่เรารับมากระทำกับตัวเราเอง) ตลอดจนการยอมจำนนต่อ "โชคชะตา" เดี๋ยวดวงดี เดี๋ยวดวงซวย ช่วงนี้ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อหลีกเลี่ยงกาลกิณี ฯลฯ

    ในเมื่อมีแต่มนุษย์ที่ปวดหัววุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ แต่แมวใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องนำพาต่อสิ่งเหล่านี้ นางก็เลยเลิกเป็นมนุษย์แล้วเป็นแมวซะดื้อ ๆ แต่ครั้นจะเป็นแมวพันธุ์ธรรมดา ๆ พื้น ๆ ก็ไม่เอา เลยขอเป็นพันธุ์หายากอย่างแมวมานูล และพอเป็นแมวแล้ว นางเลยสามารถมองเรื่องราววุ่น ๆ ของมนุษย์ได้อย่างเป็นกลาง พร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบชิล ๆ แต่ตรงประเด็นได้

    ถึงแม้นิยายเรื่องนี้จะขึ้นชื่อว่ามีหมอดูอยู่ แต่เนื้อเรื่องแทบไม่เกี่ยวกับการทำนายดวงชะตา (จริง ๆ) เลย กลับกัน มันแนะแนววิธีการใช้ชีวิตแบบไม่แคร์ดวง เหมือนที่แมวไม่แคร์วิถีชีวิตของมนุษย์ แต่พร้อมกันนั้น มันก็ให้คำแนะนำที่ดีอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นหมอดูและอยากเป็นหมอดูครับ

    ----------

    Final Verdict: The Sun + The World + The Star + Ten of Cups + Wheel of Fortune

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' จะช่วยให้คุณเข้าใจความจริงว่า ต่อให้โลกนี้จะหมุนไปและชีวิตนำพาอะไรมาให้คุณ แต่คุณก็สามารถเฉิดฉายในแบบของตัวเองและมีความสุขทุกวันได้ ขอแค่คุณปล่อยจอยกับชีวิต คิดเสียว่าลาออกจากการมนุษย์แล้วทำตัวเหมือนเป็นแมวเสีย เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แค่เวลาจำกัด แล้วทำไม เราต้องปล่อยให้เรื่องชั่วประเดี๋ยวประด๋าว (เมื่อเทียบกับเวลาของจักรวาล) มาขัดจังหวะการเก็บเกี่ยวความสุขในแต่ละวันของเราด้วย จริงไหม?


    แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่งคาเฟมาร์เนิล (2025)
    • แปลจาก: 人間やめたマヌルさんが、あなたの人生占います (2023)
    • ผู้เขียน: ฮัตสึกิ โอโตะ
    • ผู้แปล: วิลาสินี จงสถิตวัฒนา
    • สำนักพิมพ์: Lumi (ในเครือนานมีบุ๊คส์)
    ไพ่ที่ใช้: ไพ่ทาโรต์แถมพิเศษเฉพาะฉบับพิมพ์ครั้งแรกของนิยายเรื่องนี้
    วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่ตอนนี้มีเยอะมากโดยเฉพาะจากฝั่งตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี) แต่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร คือเรื่องแนวฟีลกู๊ดประเภทสถานที่เยียวยาจิตใจ ไม่ใช่เพราะผมเป็นพวกจิตใจหยาบกระด้างหรือชอบเสพแต่ความดาร์กและความสยอง แต่เพราะผมมองว่าตัวเองพอดักทางได้ว่าเรื่องพวกนั้นมี "สาร" อย่างไร ต้องการสอนผู้อ่านอย่างไร ทั้งนี้ก็จะมีบางเรื่องที่เป็นข้อยกเว้น หนึ่งในนั้นคือคาเฟ่ของแม่หมอมานูล 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' โดย อัตสึกิ โอโตะ เป็นนิยายแบบที่ผมคงไม่สนใจในแวบแรก ถ้าไม่ใช่เพราะโดนล่อตาล่อใจจากของแถมที่ทาง สนพ. บอกว่ามีเฉพาะในรอบพิมพ์ครั้งแรกเท่านั้น นั่นคือ ไพ่ทาโรต์ขนาดเล็ก ๆ 5 ใบที่เป็นภาพคุณมานูล แมวหมอดูตัวเอกประจำเรื่อง ข้อนี้เลยเป็นตัวแปรสำคัญให้ผมเปิดใจรับหนังสือเล่มนี้มาบรรจุเข้าชั้นที่บ้าน ไหน ๆ ก็พูดถึงหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมก็เห็นว่ามันควรค่าแก่การรีวิวในแบบของไพ่เราเผาเรื่อง แต่รอบนี้จะต่างจากครั้งอื่น ๆ ตรงที่ผมจะไม่ใช้ไพ่ทาโรต์หรือไพ่พยากรณ์สำรับใด ๆ ในคลัง แต่จะใช้ไพ่แถม 5 ใบที่มากับหนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือประกอบการ "เผาเรื่อง" โดยสับไพ่แล้วสุ่มหยิบตามลำดับ ขอเชิญรับชม #ไพ่เราเผาหนังสือ 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' ด้วยไพ่แถมสุดน่ารักทั้ง 5 ใบ ได้ ณ บัดนี้ครับ ---------- "เรื่องจบในตอนพร้อมข้อคิดดี ๆ" 🃏The Sun + 🃏The World ในไพ่ทาโรต์ 78 ใบ The Sun เป็นไพ่ที่ความหมายดีรอบด้านในอันดับต้น ๆ แต่ไพ่ใบนี้ยังสื่อถึง "ความจริง" และ "ข้อคิดที่เป็นประโยชน์" ได้ด้วย ส่วน The World ในฐานะไพ่ใบสุดท้ายของไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) จึงมักสื่อความถึง "จุดสิ้นสุด" และ "ความสมบูรณ์" แต่มันไม่ใช่การตัดจบแบบบริบูรณ์หรือ Happily Ever After ทว่าเป็นการจบลงของบทหนึ่งเพื่อที่จะเข้าสู่บทถัดไป 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' มีลักษณะการเขียนแบบที่มักเจอใน Fiction ประเภทสถานที่ที่ช่วยให้ผู้คนได้ฮีลใจ นั่นคือเป็นนวนิยายแบบเนื้อเรื่องจบในตอน (Episodic novel) โดยแต่ละตอนมักจะมีข้อคิดจรรโลงใจหรือมุมมองที่น่าสนใจแตกต่างกัน บางครั้งต่างตอนก็มีสารหรือข้อคิดสำหรับคนต่างกลุ่มต่างจำพวก หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 5 บท แต่ละบทสามารถอ่านแยกในฐานะเรื่องสั้นที่จบสมบูรณ์ในตัวเองได้ แต่ตอนหลัง ๆ ก็จะมีรายละเอียดบางอย่างที่ต่อเนื่องจากตอนก่อน ๆ ตัวละครดำเนินเรื่องในแต่ละตอนมีช่วงอายุ บทบาท และปัญหาคาใจแตกต่างกัน มีทั้งเด็กมัธยมที่หาทาง fit in ในสังคมห้องเรียน อินฟลูเอนเซอร์สาว ซิงเกิลมัม ไปจนถึงวัยกลางคนที่กำลังสับสนกับทิศทางชีวิตและหน้าที่การงานของตัวเอง จากนั้นโชคชะตาหรือพล็อตเรื่องก็จะพาตัวละครไปเจอกับคุณมานูลและคาเฟมาร์เนิล คุณมานูล ศูนย์กลางของเรื่อง เดิมเคยเป็นมนุษย์ชื่อ คาวาตานิ ไอซาวะ แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง นางเลือก 'ลาออก' จากการเป็นมนุษย์ มาอยู่ในร่างของแมวมานูล (Manul) หรืออีกชื่อคือแมวพัลลาส (Pallas's cat) และรับดูดวงด้วยสารพัดวิธี ไม่ว่าจะใช้ไพ่ ลูกแก้ว หรือเครื่องเสี่ยงเซียมซีรูเลตต์ พร้อมทั้งเปิดคาเฟ่ร่วมกับคนที่น่าจะเป็นสามีและลูกสาว (ส่วนชื่อคาเฟ่ ทำไมถึงชื่อ "มาร์เนิล" แทนที่จะเป็น "มานูล" ตรงนี้ในหนังสือมีอธิบายไว้ แต่สั้น ๆ คือเป็นมุกที่เล่นกับตัวเขียนญี่ปุ่นแบบคาตาคานะ ซึ่งต้องขอชื่นชมผู้แปลที่พยายามเรียบเรียงเป็นไทยให้ใกล้เคียงโดยไม่เสียอรรถรสของต้นฉบับ) เนื้อเรื่องแต่ละตอนดำเนินไปอย่างค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ เริ่มจากแนะนำตัวละครและชีวิตประจำวันที่เจ้าตัวไม่พึงพอใจเท่าไร จากนั้นตัวละครก็จะได้เจอคุณมานูลช่วยทำนายดวงชะตาพร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบคร่าว ๆ เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งตัวละครจะทำตามและอะไร ๆ ก็ดูจะดีขึ้นจริง ๆ แต่แล้วก็จะมีเหตุสักอย่างให้ชีวิตตัวละครกลับไปเป็นแบบตอนต้นเรื่องหรือเผลอ ๆ เหมือนจะดูแย่ลง และทำให้ตัวละครได้รับการชี้แนะจากคุณมานูลเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งคราวนี้เรื่องก็จะดูจบตอนแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ชวนให้นึกถึงโดราเอมอนแแบบอนิเมะในทีวีที่ฉายเป็นตอน ๆ หรือการ์ตูนต่อสู้อย่างเซเลอร์มูนช่วงแรก ๆ ที่จะมีตัวร้ายประจำสัปดาห์ (Monster of the week) มาให้ตัวเอกปราบ นิยายประเภทสถานที่ฮีลใจมักมีตัวละครประจำตอนที่แแตกต่างกันทั้งช่วงอายุและอาชีพ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของคนอ่านในกลุ่มต่าง ๆ นิยายเล่มนี้ก็เช่นกัน ทั้ง 5 ตอนมีตัวละครตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ผู้เขียนคคาดหวังว่าจะรวมอยู่ในหมู่คนอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย และถึงแม้ปัญหาที่ตัวละครในเรื่องเผชิญอาจไม่ตรงกับเรื่องที่คนอ่านในช่วงวัยเดียวกันเจอในชีวิตจริงทั้งหมด แต่ข้อคิดและคำแนะนำจากคุณมานููลในแต่ละตอนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน ---------- "เยียวยาจิตใจในสถานที่ที่มอบความสุข" 🃏The Star + 🃏Ten of Cups The Star คือดวงดาว จึงเป็นไพ่ตัวแทนหลายสิ่งหลายอย่างที่คนเรามักเชื่อมโยงกับดาว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความโด่งดัง หรือความหวัง แต่มันก็มีอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือ "การเยียวยา" ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่วนไพ่ 10 ถ้วย โดยทั่วไปมักหมายถึงบ้านหรือครอบครัว แต่บางกรณีก็สื่อถึง "ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม" โดยเป็นความสุขที่มาจากกลุ่มคนที่อยู่กันสนิทชิดเชื้อเหมือนเป็นครอบครัว (แบบใน "แฟ้มเมอะหลี่" ของพี่ดอม ทอร์เรตโต แห่งซีรีส์ Fast & Furious) หรือจากาสถานที่มีผู้พร้อมจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่น คาเฟ่มาร์เนิลของคุณมานูลลงล็อกพอดีกับคำจำกัดความของสถานที่แบบที่ว่า แต่ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ข้างบน ๆ นิยายเรื่องนี้ผลิตซ้ำ Trope ของสถานที่ที่ให้ความช่วยเหลือผู้คนในการแก้ปัญหาและเยียวยาจิตใจ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมกันในวงการวรรณกรรมฝั่งเอเชียตะวันออก แต่ละเรื่องอาจมีสถานที่ต่างกันไป บางเรื่องเป็นคาเฟ่ บางเรื่องเป็นร้านเบเกอรี่ บ้างเรื่องเป็นร้านหนังสือหรือห้องสมุด แต่ทุกเรื่องจบลงที่ตัวละครซึ่งไปเยือนสถานที่นั้น ๆ ได้เยียวยาบาดแผลหรือปมปัญหาในใจ หรือได้ปลดล็อกอะไรสักอย่างที่ติดค้างอยู่ น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ในชีวิตจริงซึ่งไม่ได้มีมนตร์วิเศษอยู่ (อย่างน้อยก็ในแบบที่มักเกิลอย่างเรา ๆ จับต้องและพิสูจน์ได้) คนเราก็มีสถานที่สำหรับเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำและแตกร้าว นอกจากกลับบ้านไปหาครอบครัวแล้ว ที่อื่นที่คนมักไปเพื่อฮีลใจตัวเอง เช่น คาเฟ่ ซุ้มหมอดู (หรือบางคนก็ทักไปหาหมอดูทางออนไลน์) และที่ใดก็ตามที่มีแมวอยู่ กล่าวอีกอย่างคือ คาเฟ่ การดูดวง และแมว คือ Top 3 แห่งเครื่องเยียวยาจิตใจของมนุษย์ในปัจจุบัน (ซึ่งจะเรียกว่าเป็นยุคทุนนิยมหรือยุคโพสต์โมเดิร์นก็ตามแต่) และสามอย่างที่ว่านี้ นอกจากในนิยายซีรีส์ "ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง" แล้ว ก็มีคุณมานูลในนิยายเรื่องนี้ที่รวมทุกอย่างไว้ในตัว เหมือนผู้เขียนจงใจ หรือไม่ก็สร้างไว้ให้คนอ่านที่ชอบ Overanalyze ได้สังเกตและทึกทักเอา ---------- "โชคชะตาไม่สำคัญเมื่อเธอนั้นกลายเป็นแมว" 🃏Wheel of Fortune ไพ่วงล้อแห่งโชคชะตาเป็นใบหนึ่งที่ท้าทายสกิลการอ่านและตีความไพ่ของผู้อ่านไพ่มากที่สุด บางบริบท มันสื่อถึงการที่โชคชะตากำลังดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าช่วงนั้นดวงกกำลังดี ๆ อยู่ มันก็อาจเป็นคำเตือนในระวังถึงขาลงของชีวิตที่ส่อแววมาแต่ไกล โดยรวมแล้ว ไพ่ใบนี้สื่อถึง "โชคชะตา" ในภาพรวม ซึ่งโดยตัวมันเองไม่มีดีหรือร้าย แต่ที่เรามองว่าดีหรือร้ายก็เพราะเรามองจากมุมมองของตัวเรา ถ้าเรามองเรื่องที่เกิดกับคนอื่น หรือมองตัวเองอย่างเป็นภววิสัย เราก็คงมองว่าททุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติ เดี๋ยวมีดี เดี๋ยวมีร้าย ไม่แน่ไม่นอน เผลอ ๆ คาดเดาไม่ได้ (หากเราเชื่อตาม Chaos Theory) และด้วยเหตุนี้ ไพ่ใบนี้จึงหมายรวมถึงการพยากรณ์ การดูดวง หรือการตรวจสอบดวงชะตาเช่นกัน ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมไหม ตอนเห็นชื่อหนังสือฉบับแปลไทยครั้งแรก ก็คิดว่าคุณมานูลน่าจะเป็นตัวละครประเภทกวน ๆ ที่ทำนายดวงตรงมั่งมั่วมั่ง (แต่สุดท้ายก็ช่วยให้ตัวละครในแต่ละตอนได้มีความสุขอยู่ดี ตามแนวทางของนิยายฮีลใจแบบนี้) แต่พอได้อ่านจริงก็พบว่านางเป็นคาแรกเตอร์ประเภทกวน ๆ จริง กวนแบบน่ารัก ๆ ชนิดที่เชื่อว่าทุกคนน่าจะอยากมีเพื่อนสนิทแบบนี้สักคนสองคน ทว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะหายไปคือการทำนายแบบมั่ว ๆ เพราะเท่าที่อ่านเจอในเรื่อง คุณมานูลไม่เคยทำนายดวงชะตาให้ตัวละครไหนแบบมั่ว ๆ เลย อย่างมากคือทำนายแบบส่งเดช พอให้เห็นว่ามีการใช้อุปกรณ์ทำนาย (อันนี้พูดในฐานะคนที่ทุกวันนี้รายรอบด้วยคนในวงการนักพยากรณ์ และเคยเจอหมอดูที่ทำนายแบบมั่วซั่วมาจนมากเกินจะนับด้วยนิ้วมือรวมนิ้วเท้าได้) อันที่จริงชื่อต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นของนิยายเรื่องนี้แปลตรงตัวแค่ว่า "คุณมานูลผู้ลาออกจากการเป็นมนุษย์จะทำนายดวงชะตาให้คุณ" ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม คุณมานูลตลอดทั้งเรื่องจะเล่นอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่หมอดูทุกศาสตร์ทุกแขนงควรเป็นในตัว (ถ้ายังไม่เป็นก็ควรฝึกตัวเองให้เป็น หรือไป take course เสียโดยด่วน โปรดรู้ว่าสังคมทุกวันนี้กำลังต้องการมาก) นั่นคือการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตใจและสังคม เนื้อเรื่องไม่เคยฟันธงว่าคุณมานูลดูดวงเป็นจริง ๆ หรือไม่ แต่เรื่องแสดงให้เห็นว่านางดูคนเป็น เข้าใจว่าแต่ละคนกำลังขาดหรือล้นเกินในเรื่องอะไร ซึ่งก็น่าจะเป็นทักษะที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยนางยังเป็นมนุษย์ และจากตรงนี้ นางจึงให้คำแนะนำแบบแมว ๆ ให้แต่ละตัวละครรับไปหาทางแก้ปัญหาของตัวเองอย่างตรงจุด เนื้อเรื่องไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้คุณไอซาวะลาออกจากการเป็นมนุษย์แล้วผันตัวมาเป็นแมวมานูล แต่เมื่อดูจากคำใบ้ในแต่ละตอน (โดยเฉพาะตอนสุดท้าย) ผมมองว่านางคงเบื่อชีวิตมนุษย์ที่วัน ๆ ได้แต่ไหลไปตามสิ่งรอบข้างอย่างกระแสสังคม ความควาดหวังและแรงกดดันจากคนรอบข้าง (ซึ่งไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่เรารับมากระทำกับตัวเราเอง) ตลอดจนการยอมจำนนต่อ "โชคชะตา" เดี๋ยวดวงดี เดี๋ยวดวงซวย ช่วงนี้ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อหลีกเลี่ยงกาลกิณี ฯลฯ ในเมื่อมีแต่มนุษย์ที่ปวดหัววุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ แต่แมวใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องนำพาต่อสิ่งเหล่านี้ นางก็เลยเลิกเป็นมนุษย์แล้วเป็นแมวซะดื้อ ๆ แต่ครั้นจะเป็นแมวพันธุ์ธรรมดา ๆ พื้น ๆ ก็ไม่เอา เลยขอเป็นพันธุ์หายากอย่างแมวมานูล และพอเป็นแมวแล้ว นางเลยสามารถมองเรื่องราววุ่น ๆ ของมนุษย์ได้อย่างเป็นกลาง พร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบชิล ๆ แต่ตรงประเด็นได้ ถึงแม้นิยายเรื่องนี้จะขึ้นชื่อว่ามีหมอดูอยู่ แต่เนื้อเรื่องแทบไม่เกี่ยวกับการทำนายดวงชะตา (จริง ๆ) เลย กลับกัน มันแนะแนววิธีการใช้ชีวิตแบบไม่แคร์ดวง เหมือนที่แมวไม่แคร์วิถีชีวิตของมนุษย์ แต่พร้อมกันนั้น มันก็ให้คำแนะนำที่ดีอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นหมอดูและอยากเป็นหมอดูครับ ---------- Final Verdict: 🃏The Sun + 🃏The World + 🃏The Star + 🃏Ten of Cups + 🃏Wheel of Fortune 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' จะช่วยให้คุณเข้าใจความจริงว่า ต่อให้โลกนี้จะหมุนไปและชีวิตนำพาอะไรมาให้คุณ แต่คุณก็สามารถเฉิดฉายในแบบของตัวเองและมีความสุขทุกวันได้ ขอแค่คุณปล่อยจอยกับชีวิต คิดเสียว่าลาออกจากการมนุษย์แล้วทำตัวเหมือนเป็นแมวเสีย เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แค่เวลาจำกัด แล้วทำไม เราต้องปล่อยให้เรื่องชั่วประเดี๋ยวประด๋าว (เมื่อเทียบกับเวลาของจักรวาล) มาขัดจังหวะการเก็บเกี่ยวความสุขในแต่ละวันของเราด้วย จริงไหม? 🃏🃏🃏🃏🃏 แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่งคาเฟมาร์เนิล (2025) • แปลจาก: 人間やめたマヌルさんが、あなたの人生占います (2023) • ผู้เขียน: ฮัตสึกิ โอโตะ • ผู้แปล: วิลาสินี จงสถิตวัฒนา • สำนักพิมพ์: Lumi (ในเครือนานมีบุ๊คส์) ไพ่ที่ใช้: ไพ่ทาโรต์แถมพิเศษเฉพาะฉบับพิมพ์ครั้งแรกของนิยายเรื่องนี้
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 1406 Views 0 Reviews
  • ชิงไหวชิงพริบ กาสิโนคอมเพล็กซ์

    การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 3 เม.ย. เกิดการชิงไหวชิงพริบ หลังนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านฯ เสนอญัตติด่วน ขอให้สภาฯ พิจารณามาตรการในการจัดการผลกระทบจากแผ่นดินไหวอย่างเป็นระบบ เพื่อส่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ดำเนินการต่อไป ทันใดนั้น นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.พรรคเพื่อไทย เสนอขอเปลี่ยนระเบียบวาระการประชุม โดยนำร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ที่ ครม.เป็นผู้เสนอ พร้อมกับร่างกฎหมายนิรโทษกรรม 4 ฉบับ ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่างของพรรคครูไทยเพื่อประชาชน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของนายชัยธวัช ตุลาธน และร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชนของกลุ่มไอลอว์ มาพิจารณาในการประชุมครั้งหน้า

    จากนั้นความวุ่นวายในสภาฯ เกิดขึ้น ฝ่ายค้านเห็นว่าทำไมฝ่ายรัฐบาลต้องพยายามเร่งรัดเอาเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ขึ้นมา เป็นญัตติซ้อนญัตติหรือไม่ ควรให้รอญัตติเรื่องแผ่นดินไหวจบลงก่อน แต่ สส.ฝ่ายรัฐบาลพยายามขอให้เห็นชอบญัตติเลื่อนระเบียบวาระก่อน เพราะใช้เวลาไม่นาน แล้วค่อยมาถกญัตติแผ่นดินไหว การประท้วงผ่านไป 3 ชั่วโมง ในที่สุดเสียงข้างมากในสภาโหวตให้นายอนุสรณ์แทรกญัตติขึ้นมาก่อน จบลงด้วยมติเห็นชอบ 249 ต่อ 137 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ทำให้กระแสสังคมฝ่ายที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลมองว่า รัฐบาลเลือกกาสิโนมาก่อน แผ่นดินไหวมาทีหลัง ขณะที่พรรคเพื่อไทยชี้แจงว่าที่ต้องเลื่อนเพราะตามข้อบังคับหากเป็นเรื่อง พ.ร.บ. ต้องเสนอญัตติเลื่อนล่วงหน้า 1 สัปดาห์ แต่ฝ่ายค้านไม่เข้าใจ

    ด้านเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) พร้อมด้วยกลุ่ม ศปปส. และกองทัพธรรม เดินขบวนจากสะพานชมัยมรุเชษฐ์มายังอาคารรัฐสภา เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร โดยมีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่ 1 เป็นตัวแทนรับหนังสือ ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เรียกร้องให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ มองหน้าชาวมุสลิม โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ต้องการบ่อนกาสิโนหรือไม่ และในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสต้องกล้าเตือน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดาว่าบ้านเมืองจะพังจากบ่อนกาสิโน ทั้งนี้ คปท. เตรียมนัดอีกครั้งวันที่ 8 เม.ย.ประชุม ครม. และวันที่ 9 เม.ย.ประชุมสภาฯ ก่อนปิดสมัยประชุม

    อีกด้านหนึ่ง ภาคประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับกาสิโนออกแถลงการณ์อย่างต่อเนื่อง เช่น กลุ่มเพื่อนมหิดลเพื่อสังคม สภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย ชมรมแพทย์อาวุโสและบุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น

    #Newskit
    ชิงไหวชิงพริบ กาสิโนคอมเพล็กซ์ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 3 เม.ย. เกิดการชิงไหวชิงพริบ หลังนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านฯ เสนอญัตติด่วน ขอให้สภาฯ พิจารณามาตรการในการจัดการผลกระทบจากแผ่นดินไหวอย่างเป็นระบบ เพื่อส่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ดำเนินการต่อไป ทันใดนั้น นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.พรรคเพื่อไทย เสนอขอเปลี่ยนระเบียบวาระการประชุม โดยนำร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ที่ ครม.เป็นผู้เสนอ พร้อมกับร่างกฎหมายนิรโทษกรรม 4 ฉบับ ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่างของพรรคครูไทยเพื่อประชาชน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของนายชัยธวัช ตุลาธน และร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชนของกลุ่มไอลอว์ มาพิจารณาในการประชุมครั้งหน้า จากนั้นความวุ่นวายในสภาฯ เกิดขึ้น ฝ่ายค้านเห็นว่าทำไมฝ่ายรัฐบาลต้องพยายามเร่งรัดเอาเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ขึ้นมา เป็นญัตติซ้อนญัตติหรือไม่ ควรให้รอญัตติเรื่องแผ่นดินไหวจบลงก่อน แต่ สส.ฝ่ายรัฐบาลพยายามขอให้เห็นชอบญัตติเลื่อนระเบียบวาระก่อน เพราะใช้เวลาไม่นาน แล้วค่อยมาถกญัตติแผ่นดินไหว การประท้วงผ่านไป 3 ชั่วโมง ในที่สุดเสียงข้างมากในสภาโหวตให้นายอนุสรณ์แทรกญัตติขึ้นมาก่อน จบลงด้วยมติเห็นชอบ 249 ต่อ 137 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ทำให้กระแสสังคมฝ่ายที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลมองว่า รัฐบาลเลือกกาสิโนมาก่อน แผ่นดินไหวมาทีหลัง ขณะที่พรรคเพื่อไทยชี้แจงว่าที่ต้องเลื่อนเพราะตามข้อบังคับหากเป็นเรื่อง พ.ร.บ. ต้องเสนอญัตติเลื่อนล่วงหน้า 1 สัปดาห์ แต่ฝ่ายค้านไม่เข้าใจ ด้านเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) พร้อมด้วยกลุ่ม ศปปส. และกองทัพธรรม เดินขบวนจากสะพานชมัยมรุเชษฐ์มายังอาคารรัฐสภา เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร โดยมีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่ 1 เป็นตัวแทนรับหนังสือ ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เรียกร้องให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ มองหน้าชาวมุสลิม โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ต้องการบ่อนกาสิโนหรือไม่ และในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสต้องกล้าเตือน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดาว่าบ้านเมืองจะพังจากบ่อนกาสิโน ทั้งนี้ คปท. เตรียมนัดอีกครั้งวันที่ 8 เม.ย.ประชุม ครม. และวันที่ 9 เม.ย.ประชุมสภาฯ ก่อนปิดสมัยประชุม อีกด้านหนึ่ง ภาคประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับกาสิโนออกแถลงการณ์อย่างต่อเนื่อง เช่น กลุ่มเพื่อนมหิดลเพื่อสังคม สภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย ชมรมแพทย์อาวุโสและบุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น #Newskit
    0 Comments 0 Shares 1445 Views 0 Reviews
  • กองทัพรัสเซียเปิดตัวเพลง 'Sigma Boy' เวอร์ชันของตัวเอง

    SIGMA ใช้กับกลุ่มผู้ชายที่บ่งบอกถึง ผู้ชายที่มีความเป็นผู้นำ มีความเป็นอิสระ คิดนอกกรอบ ไม่สนใจกระแสสังคม พึ่งพาตนเองได้ และ มีแนวทางการดำเนินชีวิตของตนเอง และอาจจมีบุคลิกเงียบขรึม ซึ่งมักเปฯที่สนใจของเพศตรงข้ามในยุคนี้
    กองทัพรัสเซียเปิดตัวเพลง 'Sigma Boy' เวอร์ชันของตัวเอง SIGMA ใช้กับกลุ่มผู้ชายที่บ่งบอกถึง ผู้ชายที่มีความเป็นผู้นำ มีความเป็นอิสระ คิดนอกกรอบ ไม่สนใจกระแสสังคม พึ่งพาตนเองได้ และ มีแนวทางการดำเนินชีวิตของตนเอง และอาจจมีบุคลิกเงียบขรึม ซึ่งมักเปฯที่สนใจของเพศตรงข้ามในยุคนี้
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 513 Views 21 0 Reviews
  • การควบคุมมนุษย์ด้วย AI เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและมีประเด็นทางจริยธรรมมากมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้งานทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ต่อไปนี้เป็นแนวคิดบางส่วนเกี่ยวกับรูปแบบการควบคุมมนุษย์ด้วย AI:

    ### 1. **การควบคุมผ่านข้อมูล (Data Control)**
    - **การเก็บข้อมูลส่วนบุคคล:** AI สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย, สุขภาพ, หรือการเงิน เพื่อสร้างแบบแผนพฤติกรรมของแต่ละบุคคล
    - **การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย:** ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและโฆษณาสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค

    ### 2. **การควบคุมผ่านการตัดสินใจ (Decision Control)**
    - **ระบบแนะนำ (Recommendation Systems):** AI สามารถแนะนำทางเลือกให้กับผู้ใช้ เช่น วิดีโอที่ควรดู, สินค้าที่ควรซื้อ, หรือแม้แต่เส้นทางที่ควรเดินทาง ซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้
    - **ระบบอัตโนมัติ:** AI สามารถควบคุมระบบอัตโนมัติ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, ระบบจัดการพลังงานในบ้าน, หรือแม้แต่ระบบการเงินส่วนบุคคล

    ### 3. **การควบคุมผ่านการสื่อสาร (Communication Control)**
    - **แชทบอทและผู้ช่วยเสมือน:** AI สามารถใช้ในการสื่อสารกับมนุษย์ผ่านแชทบอทหรือผู้ช่วยเสมือน ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อโน้มน้าวหรือชี้นำความคิดเห็นของผู้ใช้
    - **Deepfake และการปลอมแปลงข้อมูล:** AI สามารถสร้างเนื้อหาปลอม เช่น วิดีโอหรือเสียง ที่ดูเหมือนจริง เพื่อโน้มน้าวหรือหลอกลวงผู้คน

    ### 4. **การควบคุมผ่านการเฝ้าระวัง (Surveillance Control)**
    - **การเฝ้าระวังด้วยกล้อง:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามพฤติกรรมของบุคคล
    - **การวิเคราะห์เสียง:** AI สามารถวิเคราะห์เสียงเพื่อตรวจจับอารมณ์หรือความตั้งใจของบุคคล

    ### 5. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางสังคม (Social Influence Control)**
    - **โซเชียลมีเดีย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์และชี้นำกระแสสังคมบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความนิยมหรือลดทอนความน่าเชื่อถือของข้อมูลบางอย่าง
    - **การสร้างเนื้อหา:** AI สามารถสร้างเนื้อหาที่มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของสาธารณชน เช่น ข่าวปลอมหรือบทความโน้มน้าวใจ

    ### 6. **การควบคุมผ่านระบบกฎหมายและกฎระเบียบ (Legal and Regulatory Control)**
    - **การบังคับใช้กฎหมาย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อบังคับใช้กฎหมาย เช่น การตรวจจับการทุจริตหรือการละเมิดกฎหมาย
    - **การตัดสินใจทางกฎหมาย:** AI อาจถูกใช้ในการช่วยตัดสินใจทางกฎหมาย เช่น การพิจารณาคดีหรือการให้คำแนะนำทางกฎหมาย

    ### 7. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางจิตวิทยา (Psychological Influence Control)**
    - **การวิเคราะห์อารมณ์:** AI สามารถวิเคราะห์อารมณ์ของบุคคลผ่านการวิเคราะห์ข้อความ, เสียง, หรือภาพ เพื่อชี้นำหรือโน้มน้าวใจ
    - **การบำบัดด้วย AI:** AI สามารถใช้ในการบำบัดทางจิตวิทยา ซึ่งอาจส่งผลต่อความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วย

    ### 8. **การควบคุมผ่านระบบการศึกษา (Educational Control)**
    - **ระบบการเรียนรู้แบบปรับตัว:** AI สามารถปรับเนื้อหาการเรียนรู้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้และทักษะที่ผู้เรียนได้รับ
    - **การประเมินผล:** AI สามารถใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ

    ### 9. **การควบคุมผ่านระบบสุขภาพ (Health Control)**
    - **การวินิจฉัยโรค:** AI สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคและแนะนำการรักษา ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของบุคคล
    - **การติดตามสุขภาพ:** AI สามารถติดตามสุขภาพของบุคคลผ่านอุปกรณ์ wearable devices และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงสุขภาพ

    ### 10. **การควบคุมผ่านระบบการเงิน (Financial Control)**
    - **การวิเคราะห์การเงิน:** AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินและให้คำแนะนำทางการเงิน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของบุคคล
    - **การจัดการพอร์ตโฟลิโอ:** AI สามารถใช้ในการจัดการพอร์ตโฟลิโอการลงทุน ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่งคั่งของบุคคล

    ### จริยธรรมและความเสี่ยง
    การควบคุมมนุษย์ด้วย AI มีความเสี่ยงทางจริยธรรมมากมาย เช่น การละเมิดความเป็นส่วนตัว, การบังคับใช้อำนาจ, และการสร้างความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ดังนั้น การออกแบบและใช้งาน AI ควรคำนึงถึงหลักจริยธรรมและกฎหมายเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด

    ### สรุป
    AI มีศักยภาพในการควบคุมมนุษย์ผ่านหลายช่องทาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม การใช้งาน AI ควรคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงต่อมนุษย์และสังคม
    การควบคุมมนุษย์ด้วย AI เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและมีประเด็นทางจริยธรรมมากมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้งานทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ต่อไปนี้เป็นแนวคิดบางส่วนเกี่ยวกับรูปแบบการควบคุมมนุษย์ด้วย AI: ### 1. **การควบคุมผ่านข้อมูล (Data Control)** - **การเก็บข้อมูลส่วนบุคคล:** AI สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย, สุขภาพ, หรือการเงิน เพื่อสร้างแบบแผนพฤติกรรมของแต่ละบุคคล - **การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย:** ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและโฆษณาสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค ### 2. **การควบคุมผ่านการตัดสินใจ (Decision Control)** - **ระบบแนะนำ (Recommendation Systems):** AI สามารถแนะนำทางเลือกให้กับผู้ใช้ เช่น วิดีโอที่ควรดู, สินค้าที่ควรซื้อ, หรือแม้แต่เส้นทางที่ควรเดินทาง ซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้ - **ระบบอัตโนมัติ:** AI สามารถควบคุมระบบอัตโนมัติ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, ระบบจัดการพลังงานในบ้าน, หรือแม้แต่ระบบการเงินส่วนบุคคล ### 3. **การควบคุมผ่านการสื่อสาร (Communication Control)** - **แชทบอทและผู้ช่วยเสมือน:** AI สามารถใช้ในการสื่อสารกับมนุษย์ผ่านแชทบอทหรือผู้ช่วยเสมือน ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อโน้มน้าวหรือชี้นำความคิดเห็นของผู้ใช้ - **Deepfake และการปลอมแปลงข้อมูล:** AI สามารถสร้างเนื้อหาปลอม เช่น วิดีโอหรือเสียง ที่ดูเหมือนจริง เพื่อโน้มน้าวหรือหลอกลวงผู้คน ### 4. **การควบคุมผ่านการเฝ้าระวัง (Surveillance Control)** - **การเฝ้าระวังด้วยกล้อง:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามพฤติกรรมของบุคคล - **การวิเคราะห์เสียง:** AI สามารถวิเคราะห์เสียงเพื่อตรวจจับอารมณ์หรือความตั้งใจของบุคคล ### 5. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางสังคม (Social Influence Control)** - **โซเชียลมีเดีย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์และชี้นำกระแสสังคมบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความนิยมหรือลดทอนความน่าเชื่อถือของข้อมูลบางอย่าง - **การสร้างเนื้อหา:** AI สามารถสร้างเนื้อหาที่มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของสาธารณชน เช่น ข่าวปลอมหรือบทความโน้มน้าวใจ ### 6. **การควบคุมผ่านระบบกฎหมายและกฎระเบียบ (Legal and Regulatory Control)** - **การบังคับใช้กฎหมาย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อบังคับใช้กฎหมาย เช่น การตรวจจับการทุจริตหรือการละเมิดกฎหมาย - **การตัดสินใจทางกฎหมาย:** AI อาจถูกใช้ในการช่วยตัดสินใจทางกฎหมาย เช่น การพิจารณาคดีหรือการให้คำแนะนำทางกฎหมาย ### 7. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางจิตวิทยา (Psychological Influence Control)** - **การวิเคราะห์อารมณ์:** AI สามารถวิเคราะห์อารมณ์ของบุคคลผ่านการวิเคราะห์ข้อความ, เสียง, หรือภาพ เพื่อชี้นำหรือโน้มน้าวใจ - **การบำบัดด้วย AI:** AI สามารถใช้ในการบำบัดทางจิตวิทยา ซึ่งอาจส่งผลต่อความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วย ### 8. **การควบคุมผ่านระบบการศึกษา (Educational Control)** - **ระบบการเรียนรู้แบบปรับตัว:** AI สามารถปรับเนื้อหาการเรียนรู้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้และทักษะที่ผู้เรียนได้รับ - **การประเมินผล:** AI สามารถใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ### 9. **การควบคุมผ่านระบบสุขภาพ (Health Control)** - **การวินิจฉัยโรค:** AI สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคและแนะนำการรักษา ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของบุคคล - **การติดตามสุขภาพ:** AI สามารถติดตามสุขภาพของบุคคลผ่านอุปกรณ์ wearable devices และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงสุขภาพ ### 10. **การควบคุมผ่านระบบการเงิน (Financial Control)** - **การวิเคราะห์การเงิน:** AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินและให้คำแนะนำทางการเงิน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของบุคคล - **การจัดการพอร์ตโฟลิโอ:** AI สามารถใช้ในการจัดการพอร์ตโฟลิโอการลงทุน ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่งคั่งของบุคคล ### จริยธรรมและความเสี่ยง การควบคุมมนุษย์ด้วย AI มีความเสี่ยงทางจริยธรรมมากมาย เช่น การละเมิดความเป็นส่วนตัว, การบังคับใช้อำนาจ, และการสร้างความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ดังนั้น การออกแบบและใช้งาน AI ควรคำนึงถึงหลักจริยธรรมและกฎหมายเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด ### สรุป AI มีศักยภาพในการควบคุมมนุษย์ผ่านหลายช่องทาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม การใช้งาน AI ควรคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงต่อมนุษย์และสังคม
    0 Comments 0 Shares 840 Views 0 Reviews
  • การควบคุมมนุษย์ด้วย AI เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและมีประเด็นทางจริยธรรมมากมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้งานทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ต่อไปนี้เป็นแนวคิดบางส่วนเกี่ยวกับรูปแบบการควบคุมมนุษย์ด้วย AI:

    ### 1. **การควบคุมผ่านข้อมูล (Data Control)**
    - **การเก็บข้อมูลส่วนบุคคล:** AI สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย, สุขภาพ, หรือการเงิน เพื่อสร้างแบบแผนพฤติกรรมของแต่ละบุคคล
    - **การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย:** ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและโฆษณาสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค

    ### 2. **การควบคุมผ่านการตัดสินใจ (Decision Control)**
    - **ระบบแนะนำ (Recommendation Systems):** AI สามารถแนะนำทางเลือกให้กับผู้ใช้ เช่น วิดีโอที่ควรดู, สินค้าที่ควรซื้อ, หรือแม้แต่เส้นทางที่ควรเดินทาง ซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้
    - **ระบบอัตโนมัติ:** AI สามารถควบคุมระบบอัตโนมัติ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, ระบบจัดการพลังงานในบ้าน, หรือแม้แต่ระบบการเงินส่วนบุคคล

    ### 3. **การควบคุมผ่านการสื่อสาร (Communication Control)**
    - **แชทบอทและผู้ช่วยเสมือน:** AI สามารถใช้ในการสื่อสารกับมนุษย์ผ่านแชทบอทหรือผู้ช่วยเสมือน ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อโน้มน้าวหรือชี้นำความคิดเห็นของผู้ใช้
    - **Deepfake และการปลอมแปลงข้อมูล:** AI สามารถสร้างเนื้อหาปลอม เช่น วิดีโอหรือเสียง ที่ดูเหมือนจริง เพื่อโน้มน้าวหรือหลอกลวงผู้คน

    ### 4. **การควบคุมผ่านการเฝ้าระวัง (Surveillance Control)**
    - **การเฝ้าระวังด้วยกล้อง:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามพฤติกรรมของบุคคล
    - **การวิเคราะห์เสียง:** AI สามารถวิเคราะห์เสียงเพื่อตรวจจับอารมณ์หรือความตั้งใจของบุคคล

    ### 5. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางสังคม (Social Influence Control)**
    - **โซเชียลมีเดีย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์และชี้นำกระแสสังคมบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความนิยมหรือลดทอนความน่าเชื่อถือของข้อมูลบางอย่าง
    - **การสร้างเนื้อหา:** AI สามารถสร้างเนื้อหาที่มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของสาธารณชน เช่น ข่าวปลอมหรือบทความโน้มน้าวใจ

    ### 6. **การควบคุมผ่านระบบกฎหมายและกฎระเบียบ (Legal and Regulatory Control)**
    - **การบังคับใช้กฎหมาย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อบังคับใช้กฎหมาย เช่น การตรวจจับการทุจริตหรือการละเมิดกฎหมาย
    - **การตัดสินใจทางกฎหมาย:** AI อาจถูกใช้ในการช่วยตัดสินใจทางกฎหมาย เช่น การพิจารณาคดีหรือการให้คำแนะนำทางกฎหมาย

    ### 7. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางจิตวิทยา (Psychological Influence Control)**
    - **การวิเคราะห์อารมณ์:** AI สามารถวิเคราะห์อารมณ์ของบุคคลผ่านการวิเคราะห์ข้อความ, เสียง, หรือภาพ เพื่อชี้นำหรือโน้มน้าวใจ
    - **การบำบัดด้วย AI:** AI สามารถใช้ในการบำบัดทางจิตวิทยา ซึ่งอาจส่งผลต่อความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วย

    ### 8. **การควบคุมผ่านระบบการศึกษา (Educational Control)**
    - **ระบบการเรียนรู้แบบปรับตัว:** AI สามารถปรับเนื้อหาการเรียนรู้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้และทักษะที่ผู้เรียนได้รับ
    - **การประเมินผล:** AI สามารถใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ

    ### 9. **การควบคุมผ่านระบบสุขภาพ (Health Control)**
    - **การวินิจฉัยโรค:** AI สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคและแนะนำการรักษา ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของบุคคล
    - **การติดตามสุขภาพ:** AI สามารถติดตามสุขภาพของบุคคลผ่านอุปกรณ์ wearable devices และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงสุขภาพ

    ### 10. **การควบคุมผ่านระบบการเงิน (Financial Control)**
    - **การวิเคราะห์การเงิน:** AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินและให้คำแนะนำทางการเงิน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของบุคคล
    - **การจัดการพอร์ตโฟลิโอ:** AI สามารถใช้ในการจัดการพอร์ตโฟลิโอการลงทุน ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่งคั่งของบุคคล

    ### จริยธรรมและความเสี่ยง
    การควบคุมมนุษย์ด้วย AI มีความเสี่ยงทางจริยธรรมมากมาย เช่น การละเมิดความเป็นส่วนตัว, การบังคับใช้อำนาจ, และการสร้างความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ดังนั้น การออกแบบและใช้งาน AI ควรคำนึงถึงหลักจริยธรรมและกฎหมายเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด

    ### สรุป
    AI มีศักยภาพในการควบคุมมนุษย์ผ่านหลายช่องทาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม การใช้งาน AI ควรคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงต่อมนุษย์และสังคม
    การควบคุมมนุษย์ด้วย AI เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและมีประเด็นทางจริยธรรมมากมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้งานทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ต่อไปนี้เป็นแนวคิดบางส่วนเกี่ยวกับรูปแบบการควบคุมมนุษย์ด้วย AI: ### 1. **การควบคุมผ่านข้อมูล (Data Control)** - **การเก็บข้อมูลส่วนบุคคล:** AI สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย, สุขภาพ, หรือการเงิน เพื่อสร้างแบบแผนพฤติกรรมของแต่ละบุคคล - **การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย:** ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและโฆษณาสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค ### 2. **การควบคุมผ่านการตัดสินใจ (Decision Control)** - **ระบบแนะนำ (Recommendation Systems):** AI สามารถแนะนำทางเลือกให้กับผู้ใช้ เช่น วิดีโอที่ควรดู, สินค้าที่ควรซื้อ, หรือแม้แต่เส้นทางที่ควรเดินทาง ซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้ - **ระบบอัตโนมัติ:** AI สามารถควบคุมระบบอัตโนมัติ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, ระบบจัดการพลังงานในบ้าน, หรือแม้แต่ระบบการเงินส่วนบุคคล ### 3. **การควบคุมผ่านการสื่อสาร (Communication Control)** - **แชทบอทและผู้ช่วยเสมือน:** AI สามารถใช้ในการสื่อสารกับมนุษย์ผ่านแชทบอทหรือผู้ช่วยเสมือน ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อโน้มน้าวหรือชี้นำความคิดเห็นของผู้ใช้ - **Deepfake และการปลอมแปลงข้อมูล:** AI สามารถสร้างเนื้อหาปลอม เช่น วิดีโอหรือเสียง ที่ดูเหมือนจริง เพื่อโน้มน้าวหรือหลอกลวงผู้คน ### 4. **การควบคุมผ่านการเฝ้าระวัง (Surveillance Control)** - **การเฝ้าระวังด้วยกล้อง:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามพฤติกรรมของบุคคล - **การวิเคราะห์เสียง:** AI สามารถวิเคราะห์เสียงเพื่อตรวจจับอารมณ์หรือความตั้งใจของบุคคล ### 5. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางสังคม (Social Influence Control)** - **โซเชียลมีเดีย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์และชี้นำกระแสสังคมบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความนิยมหรือลดทอนความน่าเชื่อถือของข้อมูลบางอย่าง - **การสร้างเนื้อหา:** AI สามารถสร้างเนื้อหาที่มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของสาธารณชน เช่น ข่าวปลอมหรือบทความโน้มน้าวใจ ### 6. **การควบคุมผ่านระบบกฎหมายและกฎระเบียบ (Legal and Regulatory Control)** - **การบังคับใช้กฎหมาย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อบังคับใช้กฎหมาย เช่น การตรวจจับการทุจริตหรือการละเมิดกฎหมาย - **การตัดสินใจทางกฎหมาย:** AI อาจถูกใช้ในการช่วยตัดสินใจทางกฎหมาย เช่น การพิจารณาคดีหรือการให้คำแนะนำทางกฎหมาย ### 7. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางจิตวิทยา (Psychological Influence Control)** - **การวิเคราะห์อารมณ์:** AI สามารถวิเคราะห์อารมณ์ของบุคคลผ่านการวิเคราะห์ข้อความ, เสียง, หรือภาพ เพื่อชี้นำหรือโน้มน้าวใจ - **การบำบัดด้วย AI:** AI สามารถใช้ในการบำบัดทางจิตวิทยา ซึ่งอาจส่งผลต่อความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วย ### 8. **การควบคุมผ่านระบบการศึกษา (Educational Control)** - **ระบบการเรียนรู้แบบปรับตัว:** AI สามารถปรับเนื้อหาการเรียนรู้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้และทักษะที่ผู้เรียนได้รับ - **การประเมินผล:** AI สามารถใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ### 9. **การควบคุมผ่านระบบสุขภาพ (Health Control)** - **การวินิจฉัยโรค:** AI สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคและแนะนำการรักษา ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของบุคคล - **การติดตามสุขภาพ:** AI สามารถติดตามสุขภาพของบุคคลผ่านอุปกรณ์ wearable devices และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงสุขภาพ ### 10. **การควบคุมผ่านระบบการเงิน (Financial Control)** - **การวิเคราะห์การเงิน:** AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินและให้คำแนะนำทางการเงิน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของบุคคล - **การจัดการพอร์ตโฟลิโอ:** AI สามารถใช้ในการจัดการพอร์ตโฟลิโอการลงทุน ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่งคั่งของบุคคล ### จริยธรรมและความเสี่ยง การควบคุมมนุษย์ด้วย AI มีความเสี่ยงทางจริยธรรมมากมาย เช่น การละเมิดความเป็นส่วนตัว, การบังคับใช้อำนาจ, และการสร้างความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ดังนั้น การออกแบบและใช้งาน AI ควรคำนึงถึงหลักจริยธรรมและกฎหมายเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด ### สรุป AI มีศักยภาพในการควบคุมมนุษย์ผ่านหลายช่องทาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม การใช้งาน AI ควรคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงต่อมนุษย์และสังคม
    0 Comments 0 Shares 872 Views 0 Reviews
  • Part 1 : The Beats and William S. Burroughs

    บีทเจนเนอเรชั่น คือ กลุ่มคนหนุ่ม-สาว ในยุคต้น 1960s ที่เกี่ยวข้องแวะกันด้วยอิทธิพลทางความคิดต้านกระแสสังคม พวกเขายืนอยู่บนเส้นแบ่งของแนวคิดแบบองค์รวมของสังคมอเมริกันอุดมคติแบบ แฟร้งคลิน ดีลาโน่ รูทส์เวลท์ และ สังคมที่นิยมความเป็นปัจเจกบุคคลแบบสุดโต่งในช่วงเวลานั้น ตัวตนขวกเขาถูกแสดงผ่านผลงานการเขียน หลากหลายรูปแบบ เซ็กซ์ ดนตรี และ ศิลปะ พวกเขาเชื่อกันเองว่าในกลุ่มพวกเขามีอยู่เพียงหลักร้อยคน ซึ่งอันที่จริง จำนวนที่แท้จริงของกลุ่ม บีทส์ นั้นไม่ปรากฏเป็นตัวเลขที่ชัดเจนนัก



    นอแมน เมลเลอร์ ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ความมีตัวตนของ บีทส์ กล่าวไว้อย่างสวยงามมากว่า บีทส์นั้นคือผู้กล้าหาญที่จะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ในยุคที่ทุกกระแสสังคมถูกจับจ้องโดยรัฐบาลสหรัฐ พวกเขาคือคนที่อยู่นอกกฏระเบียบของสังคม งานเขียนของพวกเขาสะท้อนสิ่งที่ประชาชนยุคนั้นมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็น ซึ่งครอบคลุมเรื่องการเมือง วัฒนธรรม และ การแสวงหาทางจิตวิญญาณ โดยที่พวกเขานั้นไม่อิงแอบกับตรรกะภายนอก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องทุนนิยมเรื่องสังคมนิยม แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง ผลงานของพวกเขาจึงเป็นดั่งการเบิกทางให้กับผู้ที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆในยุคต่อๆมา



    แจ็ค คูโรแวค

    แอลลัน กินเบิร์ค

    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์



    สามศาสดาแถวหน้า บีทเจนเนอเรชั่น



    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ “อัจฉริยะ รุนแรง บ้าคลั่ง”

    .

    .

    วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ อายุมากกว่าเพื่อนอีกสองคน และ ผลงานของเขาประสบความสำเร็จช้ากว่าอีกสองคนมาก แต่เป็นการประสบความสำเร็จที่ยาวนานและยั่งยืนที่สุด บิล เกิดในปี ค.ศ. 1914 ในเซนหลุยส์ มิสซูรี่ ปู่ของเขาร่ำรวยจากกว่าเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก แม้ครอบครัวของบิลจะไม่รวยเท่ากับรุ่นปู่แต่บอกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมากๆครอบครัวหนึ่งในเวลานั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี ตามกระแสในยุคนั้น ครอบครัวส่งบิลได้เรียนในโรงเรียน “บ้านไร่” โรงเรียนประจำที่อยู่ในรัฐตะวันตกอเมริกา ซึ่งเขาถูกส่งไปอยู่ถึงรัฐนิวแม็กซิโก - โรงเรียนประจำลอสอลาโมสแรนช์สกูล เนื่องจากบิลเป็นคนที่เกลียดกิจกรรมภายนอกห้องเรียนอยู่เป็นทุนเดิน เขาแทบจะเข้ากับที่นั่นไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่กีฬาชนิดหนึ่งของโรงเรียนที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือ กีฬายิงปืนนั่นเอง

    .

    ที่นั่นบิลได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสารเสพติดเป็นครั้งแรกนั่นก็คือ คลอรอลไฮเดรต ยาระงับประสาท และเป็นที่รู้กันว่า บิลเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการเสพเกินขนาด พอเรียนต่อไม่ได้จึงต้องย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชนเพื่อเก็บเกรดไว้ไปต่อที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งก็ทันตอนอายุ 18 พอดี พอเข้าไปได้ บิลก็ไม่ได้สนใจเล่าเรียนเท่าไหร่ แต่มักพบว่าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาได้อ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างจุใจ พอเรียนจบตอนอายุ 21 ปีพอดี บิลขอพ่อแม่ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วยุโรป และ ก็ได้เมียเป็นแม่หม้าย ชาวยิวอายุ 35 ปี จาก ยูโกสลาเวีย นัยว่าตัวเขานั้นอยากเป็นฮีโร่ ปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งจากลัทธิเผด็จการที่เริ่มก่อตัวในยุโรปในขณะนั้น ซึ่งก็อยู่กินกับเขาเกือบ 9 ปีในนิวยอร์ค กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945

    .

    หลังจากกลับมาถึงสหรัฐอเมริกา บิลเลือกจะที่กลับไปสู่แวดวงการศึกษาโดยเข้าเรียนในระดับปริญญาโทอีกครั้งที่ ฮาร์วาร์ด โดยแรงจูงใจในครั้งนี้คือการได้ใกล้ชิดกับเพื่อนชายของเขา เคลส์ แอลวินส์ ที่นั่นเอง ทั้งสองคนได้ร่วมกันผลิตงานเขียนเสียดสี เกี่้ยวกับการจมลงของเรือไททานิคโดยใช้ชื่อว่า "แสงสะท้อนสุดท้ายของยามพลบค่ำ" ซึ่งพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการหาสำนักพิมพ์ที่จะรับซื้องานเขียนดังกล่าวได้ โดยนิตยสาร Esquire ตอบกลับมาว่า มันไม่มีเนื้อหาอะไรลึกซึ้งพอที่จะให้พวกเขานำไปตีพิมพ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม งานเขียนนี้กลับมาปรากฏในนิยายเรื่อง "โนวา เอ็กซ์เพรส"ของบิลในเวลาต่อมา

    .

    บิลเลือกที่จะทิ้งการเรียนปริญญาโทไปแบบครึ่งๆกลางๆ และ กลับไปอยู่ที่ เซนหลุยส์ มิสซูรี่ เพื่อจะไปเป็นลูกศิษย์ของ อัลเฟรด คอซิบสกี้ นักอรรถศาสตร์ ผู้เสนอแนวคิดว่า "คำพูดต่างๆนั้นสูญเสียความหมายที่แท้จริง" และ จากนี้ต่อไปตลอดชีวิต บิลก็ทุ่มเทความคิดให้กับการค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์แต่ละคำที่เขาเล็งเห็นว่าถูกใช้อย่างผิดๆโดยมนุษย์
    .
    "ผมขอเสนอทฤษฎีอย่างกว้างๆว่า คำศัพท์ของมนุษย์เราจริงๆแล้วคือ ไวรัส แต่มนุษย์เราจะไม่ได้ทราบว่ามันเป็นไวรัส ก็เพราะว่าเราเป็นพาหะที่ค่อนข้างเสถียร ซึ่ง ไอ้ไวรัสนี่ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจาก ทำสำเนาให้ตัวเอง และส่งต่อจากมนุษย์คนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งหรือหลายๆคน..."
    .
    หลังเหตุการณ์ประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ บิลถูกหมายเกณฑ์ให้เป็นทหาร แต่แม่ของบิลช่วยเขาหลีกเลี่ยงการเป็นทหารโดยการส่งเขาเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช และให้การรับรองว่าเขาป่วยทางจิตและไม่เหมาะสมกับการรับใช้ชาติ ช่วงเวลาดังกล่าว บิลเดินทางออกจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ สู่เมืองชิคาโก้ และหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างกำจัดสัตว์ไม่พึงประสงค์ (อาชีพนี้ทำให้เขาได้เข้าไปสัมผัสมุมมืดในสังคมเมืองใหญ่ ที่เขาเคยแต่เพียงอ่านจากในหนังสือเท่านั้น พอเป็นแบบนี้มันทำให้บิลมีความรู้สึกว่า สิ่งที่เขาพบเจอนั้นคือของแท้) นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากทางบ้านเป็นค่ากินอยู่อีกเดือนละ 200 เหรียญ เป็นอยู่อย่างนี้อีกประมาณแปดเดือนเศษ กระทั่งเขาได้เจอเพื่อนเก่าจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ นั่นก็คือ ลูเชี่ยน คารร์ และ เดวิท แคมเมอเรอร์ ที่ชิคาโก้ (ในเวลาต่อมา คารร์ก็ปลิดชีพ แคมเมอเรอร์ ที่นิวยอร์ค)
    .
    คารร์ มาแวะเพียงชั่วคราว และ มุ่งหน้าสู่นิวยอร์คเพื่อจะกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ บิล กับ แคมเมอเรอร์ก็ตามไปสมทบในที่สุด ซึ่งที่นี่เองเป็นที่ ที่ บิลได้พบกับเพื่อนที่จะข้องเกี่ยวกับตัวเขาเองไปอีกครึ่งศตวรรษ เขาคนนั้นคือ แอลลัน กินเบิร์ค - และ แอลลันก็แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับ แจ็ค คูโรแวค , อีดี้ ปาร์คเกอร์ (แฟนสาวของแจ็ค) และ โจแอน โวมเมอร์ (ภรรยาของบิลในเวลาต่อมา) แอลลัน กับ แจ็ค ร่วมกันผลิตงานเขียนด้วยกันเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า "และฮิปโปโดนต้มในบ่อของมันเอง" ซึ่งก็ไม่ได้ถูกสำนักพิมพ์ใดๆนำไปตีพิมพ์ ขณะเดียวกัน บิลก็เริ่มเบนเข็มสู่อีกช่าวของชีวิต เขาเริ่มเป็นแมงดาข้างถนนย่านไทม์สแควร์ ขายของอีหยิบ ขายมอร์ฟีนแบบเข็มฉีดเข้าเส้น และ ปล้นจี้คนด้วยปืนพกในสถานีรถไฟใต้ดินในยามค่ำคืน คนที่เป็นผู้ชักชวนบิลสู่เส้นทางสายนี้คือ เฮอเบิร์ท ฮังค์คี ซึ่งอยู่ในสายอาชีพ ปล้นชิงทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อย มาแต่เดิม อีกด้านหนึ่ง บิลก็แนะนำ เฮอเบิร์ทให้รู้กจักกับพวกกลุ่มเพื่อนของเขาใน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ รวมกลุ่มกันอยู่แบบชุมชนเล็กในอพาร์ทเม็นท์ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย นั่นแหละ
    .
    โจแอน โวมเมอร์ นักศึกษาสาวคณะวารสารศาสตร์ เริ่มคบหาเชิงชู้สาวกับ บิล ทั้งๆที่ใครๆในกลุ่มก็ทราบดีว่าบิลมีรสนิยมทางเพศแบบโฮโมเซ็กซ์ชั่ล แต่เธอให้เห็นผลว่า "บิลเก่งเรื่องบนเตียง แบบที่แมงดาควรเป็น" - สองคนนี้อยู่กินกันแบบสามีภรรยา และเสพยาหนักทั้งคู่ กระทั่งวันหนึ่งก็ถูกตำรวจบุกจับถึงอพาร์ทเม็นท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สองคนยังหาเวลาไปเขียนบทละครสั้น เกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศ อยู่ด้วยกันอยู่หลายเรื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา บิลก็เอาไปยัดใส่ในวรรณกรรมของเขาทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ไม่นานหลังจากห้วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย โวมเมอร์กับบิล ร่วมกันซื้อไร่ขนาด 99 เอเคอร์ ในเมือง นิวเวเวอรี่ รัฐเท็กซัส และ โวมเมอร์ก็ให้กำเนิดลูกชายของบิลหนึ่งคน สองผัวเมียมองหาธุรกิจทำและในที่สุดก็ชักชวน ฮังค์คี ให้มาอยู่ด้วยกันที่ไร่ และไม่นานเกินรอผลผลิตหลักจากไร่ของสองผัวเมีย คือ กัญชา
    .
    เพื่อนที่เริ่มมีชื่อเสียงมาก ก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมสองผัวเมีย ไม่ว่าจะเป็น อัลแลน รวมไปถึง นีล แคซซิดี้ (คู่ขาเพศชายของอัลแลน) นีลทำหน้าที่หลักคือขนกัญชาของบิลไปขายในนิวยอร์ค ส่วน อัลแลนส่งกัญชาของสองผัวเมียไปขายผ่านเส้นสายของเหล่าพาณิชย์นาวี ที่เขามีแต่เดิม เป็นแผนธุรกิจฟังดูดีใช่ไหม? แต่เอาจริง แม่งเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะค่าใช้จ่ายของแต่ละคนมันสูงมาก เนื่องจาก สองผัวเมียนักเสพ ต้องคอยส่งส่วยให้ตำรวจท้องถิ่นตลอด ราคาขายส่งที่ควรจะเป็นมันถีบสูงไปถึงร้อยเหรียญ ในที่สุดสองผัวเมียและอีกหนึ่งนักปลูกเพื่อนผัว ก็ต้องระเห็ดไปอยู่ที่ นิวออร์ลีนส์ แต่แค่พักเดียวยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงจัง ตำรวจก็เข้าจับกุมพวกเขาถึงบ้าน ซ้ำร้ายนอกจากกัญชาที่ปลูกไว้เสพด้วย ขายด้วยแล้ว ก็เจอยาเสพติดอีกหลายประเภทในบ้านของสองผัวเมีย แต่โชคดีพวกนี้รู้จักทนายเก่ง ทนายก็ทำให้คดีหลุดด้วยช่องโหว่ทางกฏหมาย แต่ก็แนะนำว่า สองผัวเมียควรออกไปอยู่นอกประเทศสักพักจะเป็นการดีที่สุด
    .
    ในปี 1950 บิลเขียนจดหมายหาอัลแลน จากที่ประเทศแม็กซิโก แจ้งว่าเขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ใกล้เสร็จแล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "ไอ้ขี้ยา" - Junkie. ในวันที่ 6 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง เล่ากันว่า บิลและโวมเมอร์กำลังเมากันได้ที่ จากการเสพและดื่ม โวมเมอร์เริ่มต้นก่อนด้วยการท้าทายฝีมือการแม่นปืนของบิล ซึ่งเธอเอาแก้วน้ำวางไว้เหนือหัว และ บิลก็ชักปืนสั้นขึ้นยิงแก้วนั้น แต่เล็งพลาด กระสุนเลยพุ่งเข้ากลางหน้าผากโวมเมอร์ ปลิดชีพภรรยาคู่เสพทันที และ ปิดบทบาทสามี ที่ บิลไม่ค่อยเต็มใจนัก
    .
    .
    to be continued...
    Part 1 : The Beats and William S. Burroughs บีทเจนเนอเรชั่น คือ กลุ่มคนหนุ่ม-สาว ในยุคต้น 1960s ที่เกี่ยวข้องแวะกันด้วยอิทธิพลทางความคิดต้านกระแสสังคม พวกเขายืนอยู่บนเส้นแบ่งของแนวคิดแบบองค์รวมของสังคมอเมริกันอุดมคติแบบ แฟร้งคลิน ดีลาโน่ รูทส์เวลท์ และ สังคมที่นิยมความเป็นปัจเจกบุคคลแบบสุดโต่งในช่วงเวลานั้น ตัวตนขวกเขาถูกแสดงผ่านผลงานการเขียน หลากหลายรูปแบบ เซ็กซ์ ดนตรี และ ศิลปะ พวกเขาเชื่อกันเองว่าในกลุ่มพวกเขามีอยู่เพียงหลักร้อยคน ซึ่งอันที่จริง จำนวนที่แท้จริงของกลุ่ม บีทส์ นั้นไม่ปรากฏเป็นตัวเลขที่ชัดเจนนัก นอแมน เมลเลอร์ ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ความมีตัวตนของ บีทส์ กล่าวไว้อย่างสวยงามมากว่า บีทส์นั้นคือผู้กล้าหาญที่จะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ในยุคที่ทุกกระแสสังคมถูกจับจ้องโดยรัฐบาลสหรัฐ พวกเขาคือคนที่อยู่นอกกฏระเบียบของสังคม งานเขียนของพวกเขาสะท้อนสิ่งที่ประชาชนยุคนั้นมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็น ซึ่งครอบคลุมเรื่องการเมือง วัฒนธรรม และ การแสวงหาทางจิตวิญญาณ โดยที่พวกเขานั้นไม่อิงแอบกับตรรกะภายนอก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องทุนนิยมเรื่องสังคมนิยม แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง ผลงานของพวกเขาจึงเป็นดั่งการเบิกทางให้กับผู้ที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆในยุคต่อๆมา แจ็ค คูโรแวค แอลลัน กินเบิร์ค วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ สามศาสดาแถวหน้า บีทเจนเนอเรชั่น วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ “อัจฉริยะ รุนแรง บ้าคลั่ง” . . วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ อายุมากกว่าเพื่อนอีกสองคน และ ผลงานของเขาประสบความสำเร็จช้ากว่าอีกสองคนมาก แต่เป็นการประสบความสำเร็จที่ยาวนานและยั่งยืนที่สุด บิล เกิดในปี ค.ศ. 1914 ในเซนหลุยส์ มิสซูรี่ ปู่ของเขาร่ำรวยจากกว่าเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก แม้ครอบครัวของบิลจะไม่รวยเท่ากับรุ่นปู่แต่บอกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมากๆครอบครัวหนึ่งในเวลานั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี ตามกระแสในยุคนั้น ครอบครัวส่งบิลได้เรียนในโรงเรียน “บ้านไร่” โรงเรียนประจำที่อยู่ในรัฐตะวันตกอเมริกา ซึ่งเขาถูกส่งไปอยู่ถึงรัฐนิวแม็กซิโก - โรงเรียนประจำลอสอลาโมสแรนช์สกูล เนื่องจากบิลเป็นคนที่เกลียดกิจกรรมภายนอกห้องเรียนอยู่เป็นทุนเดิน เขาแทบจะเข้ากับที่นั่นไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่กีฬาชนิดหนึ่งของโรงเรียนที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือ กีฬายิงปืนนั่นเอง . ที่นั่นบิลได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสารเสพติดเป็นครั้งแรกนั่นก็คือ คลอรอลไฮเดรต ยาระงับประสาท และเป็นที่รู้กันว่า บิลเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการเสพเกินขนาด พอเรียนต่อไม่ได้จึงต้องย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชนเพื่อเก็บเกรดไว้ไปต่อที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งก็ทันตอนอายุ 18 พอดี พอเข้าไปได้ บิลก็ไม่ได้สนใจเล่าเรียนเท่าไหร่ แต่มักพบว่าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาได้อ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างจุใจ พอเรียนจบตอนอายุ 21 ปีพอดี บิลขอพ่อแม่ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วยุโรป และ ก็ได้เมียเป็นแม่หม้าย ชาวยิวอายุ 35 ปี จาก ยูโกสลาเวีย นัยว่าตัวเขานั้นอยากเป็นฮีโร่ ปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งจากลัทธิเผด็จการที่เริ่มก่อตัวในยุโรปในขณะนั้น ซึ่งก็อยู่กินกับเขาเกือบ 9 ปีในนิวยอร์ค กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945 . หลังจากกลับมาถึงสหรัฐอเมริกา บิลเลือกจะที่กลับไปสู่แวดวงการศึกษาโดยเข้าเรียนในระดับปริญญาโทอีกครั้งที่ ฮาร์วาร์ด โดยแรงจูงใจในครั้งนี้คือการได้ใกล้ชิดกับเพื่อนชายของเขา เคลส์ แอลวินส์ ที่นั่นเอง ทั้งสองคนได้ร่วมกันผลิตงานเขียนเสียดสี เกี่้ยวกับการจมลงของเรือไททานิคโดยใช้ชื่อว่า "แสงสะท้อนสุดท้ายของยามพลบค่ำ" ซึ่งพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการหาสำนักพิมพ์ที่จะรับซื้องานเขียนดังกล่าวได้ โดยนิตยสาร Esquire ตอบกลับมาว่า มันไม่มีเนื้อหาอะไรลึกซึ้งพอที่จะให้พวกเขานำไปตีพิมพ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม งานเขียนนี้กลับมาปรากฏในนิยายเรื่อง "โนวา เอ็กซ์เพรส"ของบิลในเวลาต่อมา . บิลเลือกที่จะทิ้งการเรียนปริญญาโทไปแบบครึ่งๆกลางๆ และ กลับไปอยู่ที่ เซนหลุยส์ มิสซูรี่ เพื่อจะไปเป็นลูกศิษย์ของ อัลเฟรด คอซิบสกี้ นักอรรถศาสตร์ ผู้เสนอแนวคิดว่า "คำพูดต่างๆนั้นสูญเสียความหมายที่แท้จริง" และ จากนี้ต่อไปตลอดชีวิต บิลก็ทุ่มเทความคิดให้กับการค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์แต่ละคำที่เขาเล็งเห็นว่าถูกใช้อย่างผิดๆโดยมนุษย์ . "ผมขอเสนอทฤษฎีอย่างกว้างๆว่า คำศัพท์ของมนุษย์เราจริงๆแล้วคือ ไวรัส แต่มนุษย์เราจะไม่ได้ทราบว่ามันเป็นไวรัส ก็เพราะว่าเราเป็นพาหะที่ค่อนข้างเสถียร ซึ่ง ไอ้ไวรัสนี่ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจาก ทำสำเนาให้ตัวเอง และส่งต่อจากมนุษย์คนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งหรือหลายๆคน..." . หลังเหตุการณ์ประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ บิลถูกหมายเกณฑ์ให้เป็นทหาร แต่แม่ของบิลช่วยเขาหลีกเลี่ยงการเป็นทหารโดยการส่งเขาเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช และให้การรับรองว่าเขาป่วยทางจิตและไม่เหมาะสมกับการรับใช้ชาติ ช่วงเวลาดังกล่าว บิลเดินทางออกจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ สู่เมืองชิคาโก้ และหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างกำจัดสัตว์ไม่พึงประสงค์ (อาชีพนี้ทำให้เขาได้เข้าไปสัมผัสมุมมืดในสังคมเมืองใหญ่ ที่เขาเคยแต่เพียงอ่านจากในหนังสือเท่านั้น พอเป็นแบบนี้มันทำให้บิลมีความรู้สึกว่า สิ่งที่เขาพบเจอนั้นคือของแท้) นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากทางบ้านเป็นค่ากินอยู่อีกเดือนละ 200 เหรียญ เป็นอยู่อย่างนี้อีกประมาณแปดเดือนเศษ กระทั่งเขาได้เจอเพื่อนเก่าจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ นั่นก็คือ ลูเชี่ยน คารร์ และ เดวิท แคมเมอเรอร์ ที่ชิคาโก้ (ในเวลาต่อมา คารร์ก็ปลิดชีพ แคมเมอเรอร์ ที่นิวยอร์ค) . คารร์ มาแวะเพียงชั่วคราว และ มุ่งหน้าสู่นิวยอร์คเพื่อจะกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ บิล กับ แคมเมอเรอร์ก็ตามไปสมทบในที่สุด ซึ่งที่นี่เองเป็นที่ ที่ บิลได้พบกับเพื่อนที่จะข้องเกี่ยวกับตัวเขาเองไปอีกครึ่งศตวรรษ เขาคนนั้นคือ แอลลัน กินเบิร์ค - และ แอลลันก็แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับ แจ็ค คูโรแวค , อีดี้ ปาร์คเกอร์ (แฟนสาวของแจ็ค) และ โจแอน โวมเมอร์ (ภรรยาของบิลในเวลาต่อมา) แอลลัน กับ แจ็ค ร่วมกันผลิตงานเขียนด้วยกันเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า "และฮิปโปโดนต้มในบ่อของมันเอง" ซึ่งก็ไม่ได้ถูกสำนักพิมพ์ใดๆนำไปตีพิมพ์ ขณะเดียวกัน บิลก็เริ่มเบนเข็มสู่อีกช่าวของชีวิต เขาเริ่มเป็นแมงดาข้างถนนย่านไทม์สแควร์ ขายของอีหยิบ ขายมอร์ฟีนแบบเข็มฉีดเข้าเส้น และ ปล้นจี้คนด้วยปืนพกในสถานีรถไฟใต้ดินในยามค่ำคืน คนที่เป็นผู้ชักชวนบิลสู่เส้นทางสายนี้คือ เฮอเบิร์ท ฮังค์คี ซึ่งอยู่ในสายอาชีพ ปล้นชิงทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อย มาแต่เดิม อีกด้านหนึ่ง บิลก็แนะนำ เฮอเบิร์ทให้รู้กจักกับพวกกลุ่มเพื่อนของเขาใน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ รวมกลุ่มกันอยู่แบบชุมชนเล็กในอพาร์ทเม็นท์ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย นั่นแหละ . โจแอน โวมเมอร์ นักศึกษาสาวคณะวารสารศาสตร์ เริ่มคบหาเชิงชู้สาวกับ บิล ทั้งๆที่ใครๆในกลุ่มก็ทราบดีว่าบิลมีรสนิยมทางเพศแบบโฮโมเซ็กซ์ชั่ล แต่เธอให้เห็นผลว่า "บิลเก่งเรื่องบนเตียง แบบที่แมงดาควรเป็น" - สองคนนี้อยู่กินกันแบบสามีภรรยา และเสพยาหนักทั้งคู่ กระทั่งวันหนึ่งก็ถูกตำรวจบุกจับถึงอพาร์ทเม็นท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สองคนยังหาเวลาไปเขียนบทละครสั้น เกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศ อยู่ด้วยกันอยู่หลายเรื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา บิลก็เอาไปยัดใส่ในวรรณกรรมของเขาทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ไม่นานหลังจากห้วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย โวมเมอร์กับบิล ร่วมกันซื้อไร่ขนาด 99 เอเคอร์ ในเมือง นิวเวเวอรี่ รัฐเท็กซัส และ โวมเมอร์ก็ให้กำเนิดลูกชายของบิลหนึ่งคน สองผัวเมียมองหาธุรกิจทำและในที่สุดก็ชักชวน ฮังค์คี ให้มาอยู่ด้วยกันที่ไร่ และไม่นานเกินรอผลผลิตหลักจากไร่ของสองผัวเมีย คือ กัญชา . เพื่อนที่เริ่มมีชื่อเสียงมาก ก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมสองผัวเมีย ไม่ว่าจะเป็น อัลแลน รวมไปถึง นีล แคซซิดี้ (คู่ขาเพศชายของอัลแลน) นีลทำหน้าที่หลักคือขนกัญชาของบิลไปขายในนิวยอร์ค ส่วน อัลแลนส่งกัญชาของสองผัวเมียไปขายผ่านเส้นสายของเหล่าพาณิชย์นาวี ที่เขามีแต่เดิม เป็นแผนธุรกิจฟังดูดีใช่ไหม? แต่เอาจริง แม่งเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะค่าใช้จ่ายของแต่ละคนมันสูงมาก เนื่องจาก สองผัวเมียนักเสพ ต้องคอยส่งส่วยให้ตำรวจท้องถิ่นตลอด ราคาขายส่งที่ควรจะเป็นมันถีบสูงไปถึงร้อยเหรียญ ในที่สุดสองผัวเมียและอีกหนึ่งนักปลูกเพื่อนผัว ก็ต้องระเห็ดไปอยู่ที่ นิวออร์ลีนส์ แต่แค่พักเดียวยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงจัง ตำรวจก็เข้าจับกุมพวกเขาถึงบ้าน ซ้ำร้ายนอกจากกัญชาที่ปลูกไว้เสพด้วย ขายด้วยแล้ว ก็เจอยาเสพติดอีกหลายประเภทในบ้านของสองผัวเมีย แต่โชคดีพวกนี้รู้จักทนายเก่ง ทนายก็ทำให้คดีหลุดด้วยช่องโหว่ทางกฏหมาย แต่ก็แนะนำว่า สองผัวเมียควรออกไปอยู่นอกประเทศสักพักจะเป็นการดีที่สุด . ในปี 1950 บิลเขียนจดหมายหาอัลแลน จากที่ประเทศแม็กซิโก แจ้งว่าเขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ใกล้เสร็จแล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "ไอ้ขี้ยา" - Junkie. ในวันที่ 6 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง เล่ากันว่า บิลและโวมเมอร์กำลังเมากันได้ที่ จากการเสพและดื่ม โวมเมอร์เริ่มต้นก่อนด้วยการท้าทายฝีมือการแม่นปืนของบิล ซึ่งเธอเอาแก้วน้ำวางไว้เหนือหัว และ บิลก็ชักปืนสั้นขึ้นยิงแก้วนั้น แต่เล็งพลาด กระสุนเลยพุ่งเข้ากลางหน้าผากโวมเมอร์ ปลิดชีพภรรยาคู่เสพทันที และ ปิดบทบาทสามี ที่ บิลไม่ค่อยเต็มใจนัก . . to be continued...
    0 Comments 0 Shares 1422 Views 0 Reviews
  • แผนการครองชาตินั้น เห็นชัดคิดพลิกแพลงสารพัด เหตุอ้างคาดหวังแค่รวบรัด ควบคุม ทแกล้วทัพกลอกกล่าวทหารลบล้าง ฉีกทิ้งธรรมนูญขอได้เจริญธรรมและสุขสวัสดีเมื่อนักการเมืองถูกจับไต๋ได้ว่า “นักการเมือง” ต้องการแทรกแซงและควบคุมกองทัพเพื่อประโยชน์ทางการเมืองและล้างแค้นที่ “เจ้าลัทธิระบอบทักษิณต้องถูกทหารรัฐประหารถอดถอนด้วยวิธีเชิงพฤตินัย (De Facto Change of Government)แต่กระแสสังคมต่อต้านเพราะมองเห็นภัยที่ค่อนข้างร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติทุกระบบวันนี้เขาประกาศ “ถอนร่างปรับปรุงแก้ไข พรบ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ไม่ให้นักการเมืองเข้ามาควบคุมการบริหารกำลังพลระดับนายพลที่ต้องควบคุมกำลังทหาร แต่ให้เกิดความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายเพราะมีการ “กลั่นกรองตามแบบฉบับธรรมเนียมทหารและมีความสามารถที่เหมาะสมตามสถานการณ์บ้านเมืองและเป็นไปตามที่กองทัพต้องการ (ในยุครัฐบาลทักษิณมีการแทรกแซงแต่งตั้งคนในอาณัติของรัฐบาลเพื่อประโยชน์ทางการเมืองหลายกรณี):Vachara Riddhagni
    แผนการครองชาตินั้น เห็นชัดคิดพลิกแพลงสารพัด เหตุอ้างคาดหวังแค่รวบรัด ควบคุม ทแกล้วทัพกลอกกล่าวทหารลบล้าง ฉีกทิ้งธรรมนูญขอได้เจริญธรรมและสุขสวัสดีเมื่อนักการเมืองถูกจับไต๋ได้ว่า “นักการเมือง” ต้องการแทรกแซงและควบคุมกองทัพเพื่อประโยชน์ทางการเมืองและล้างแค้นที่ “เจ้าลัทธิระบอบทักษิณต้องถูกทหารรัฐประหารถอดถอนด้วยวิธีเชิงพฤตินัย (De Facto Change of Government)แต่กระแสสังคมต่อต้านเพราะมองเห็นภัยที่ค่อนข้างร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติทุกระบบวันนี้เขาประกาศ “ถอนร่างปรับปรุงแก้ไข พรบ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ไม่ให้นักการเมืองเข้ามาควบคุมการบริหารกำลังพลระดับนายพลที่ต้องควบคุมกำลังทหาร แต่ให้เกิดความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายเพราะมีการ “กลั่นกรองตามแบบฉบับธรรมเนียมทหารและมีความสามารถที่เหมาะสมตามสถานการณ์บ้านเมืองและเป็นไปตามที่กองทัพต้องการ (ในยุครัฐบาลทักษิณมีการแทรกแซงแต่งตั้งคนในอาณัติของรัฐบาลเพื่อประโยชน์ทางการเมืองหลายกรณี):Vachara Riddhagni
    0 Comments 0 Shares 587 Views 0 Reviews
  • อำนาจภายใต้การเมืองสีน้ำเงิน
    โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ https://www.facebook.com/surawich.verawan

    การที่อธิบดีกรมที่ดินที่อยู่ภายใต้พรรคภูมิใจไทย ทำหนังสือถึงการรถไฟแห่งประเทศไทย ว่า “คณะกรรมการสอบสวนฯ มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นสมควรไม่เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินการรถไฟฯ บริเวณแยกเขากระโดงเนื่องจาก รฟท. ไม่มีหลักฐานเป็นที่ข้อยุติว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของ รฟท.จึงเห็นควรยุติเรื่องในกรณีนี้”

    กำลังท้าทายกับกระแสสังคมและกระบวนการยุติธรรมที่เป็นบรรทัดฐานของประเทศ เข้าใจครับว่า คณะกรรมการชุดดังกล่าวแต่งตั้งขึ้นตามคำสั่งของศาลปกครองในคดีที่การรถไฟฯ ฟ้องกรมที่ดิน แต่นัยของคำสั่งนั้นหากอ่านคำพิพากษาของศาลปกครองแล้ว จะพบว่า ศาลต้องการให้ตั้งกรรมการขึ้นมาเพื่อเพิกถอนสิทธิการถือครองที่ดินตามคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ผู้ถือครองที่ดินเขากระโดงจำนวน 37 แปลงฟ้องการรถไฟฯ (คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 8027/2561 และ 842-876/260 ) แต่คำพิพากษาศาลฎีกาชี้ชัดว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นของการรถไฟฯ ซึ่งศาลปกครองหมายรวมถึงแปลงอื่นที่อยู่นอกเหนือแปลงที่นำขึ้นสู่ศาลฎีกาด้วย

    แต่กรมที่ดินซึ่งตั้งกรรมการขึ้นตามคำสั่งศาลปกครองกลับมีมติว่า การรถไฟฯ ไม่มีหลักฐานแสดงสิทธิในที่ดินเขากระโดงทั้งที่ศาลฎีกาชี้แล้วว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นของการรถไฟฯแม้ว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย บอกว่า ไม่ได้สั่งการอะไรกรมที่ดิน แต่คำถามว่า มีใครบ้างที่จะเชื่อ

    อนุทินอ้างว่า คณะกรรมการชุดดังกล่าวที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งของศาลปกครองตั้งขึ้นมาก่อนที่พรรคภูมิใจไทยและตัวเองจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย แต่จุดหมายสำคัญก็คือ กรรมการชุดนี้สามารถมีมติได้ในวันที่พรรคภูมิใจไทยมีอำนาจในกระทรวงมหาดไทย และอนุทินมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีและเมื่อไม่นานมานี้อธิบดีกรมที่ดินคนหนึ่งก็ได้ชิงลาออกไป ซึ่งกล่าวขานกันว่า เพราะปมที่ดินเขากระโดงนั่นเอง

    เป็นที่รู้กันว่า ในจำนวนที่ดิน 800 กว่าแปลงในพื้นที่เขากระโดงนั้น ผู้ถือครองรายใหญ่ก็คือ ตระกูลชิดชอบ ไปถามพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ก็รู้เรื่องนี้ดีเพราะเคยอภิปรายนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ในสภาฯ เพียงแต่วันนี้ พ.ต.อ.ทวีอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลเดียวกับพรรคภูมิใจไทยเท่านั้น แน่นอนถึงตอนนี้พ.ต.อ.ทวีก็ต้องการรักษาสายสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล ต่างกับที่เคยหวงแหนสมบัติของชาติในขณะที่เป็นฝ่ายค้าน

    และเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพรรคภูมิใจไทยก็คือนายเนวิน ชิดชอบ ที่เป็นเจ้าของพรรคตัวจริงในทางพฤตินัย จะเห็นได้ว่าในงานวันเกิดของนายเนวินนั้นข้าราชการระดับสูงที่อยู่ภายใต้กระทรวงที่พรรคภูมิใจไทยกำกับนั้นจะต้องเข้าไปร่วมงานถึงบุรีรัมย์เพื่อแสดงตัวให้เห็น เพราะเขารู้ว่าใครคือ คนที่ให้คุณให้โทษได้ และในหมู่ข้าราชการก็รู้กันว่า การโยกย้ายตำแหน่งต่างๆ ในกระทรวงของพรรคภูมิใจไทยนั้นคนที่มีบทบาทสำคัญคือใคร

    ก็ต้องรอดูต่อไปว่า ระหว่างอำนาจทางการเมืองกับความยุติธรรมทางกฎหมายที่เป็นขื่อแปของบ้านเมืองอย่างไหนจะศักดิ์สิทธิ์กว่ากัน คำสั่งของกรมที่ดินจะใหญ่กว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาไหม

    แต่ต้องยอมรับนะครับว่า การเล่นการเมืองอยู่หลังม่านของคนคนหนึ่งวันนี้นั้นทำให้กระบวนการตรวจสอบคนที่อยู่ในอำนาจทางการเมืองไม่สามารถทำได้ เพราะไม่ได้มีตำแหน่งใดในรัฐบาล หรือแม้แต่เป็นผู้บริหารพรรค เพียงแต่เป็นสมาชิกของพรรคที่สามารถเตะตูดหัวหน้าพรรคได้เท่านั้น ทำให้กลายเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ผู้มีอิทธิพลทางการเมืองใช้เป็นเครื่องมือในการเล่นการเมืองอยู่หลังฉาก แต่มีอำนาจสั่งการทุกกระทรวงที่อยู่ภายใต้อำนาจของพรรคที่ข้าราชการทุกคนต้องเกรงใจและหวั่นกลัว

    มาที่เรื่อง สว.นอกจากในวันนี้พรรคภูมิใจไทยจะเป็นพรรคอันดับสองในสภาผู้แทนราษฎร แต่เป็นที่รู้กันว่า สว.กว่า 150 คนนั้นอยู่ภายใต้การกำกับของใครที่เรียกว่ากันว่า สว.สีน้ำเงินนั่นเอง แล้วอำนาจที่สำคัญของ สว.ก็คือ การแต่งตั้งองค์กรอิสระ ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯลฯ ซึ่งทำให้หากใครจะขึ้นสู่ตำแหน่งดังกล่าวก็จะต้องวิ่งเข้าหาเจ้าของ สว.เพื่อให้ สว.ยกมือให้ หากผ่านการคัดเลือกของคณะกรรมการสรรหาเข้าสู่วุฒิสภามา

    ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่าตระหนกและเป็นอันตรายมากหากอำนาจการแต่งตั้งองค์กรอิสระอยู่ในอำนาจของใครบางคนหรือคนเพียงคนเดียวในทางพฤตินัย

    และหากมีการประชุมรัฐสภาคือประชุมร่วมระหว่าง สส. และ สว.เสียงของพรรคภูมิใจไทยและ สว.จะรวมกันเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา และการดำเนินการใดที่จะต้องผ่านรัฐสภาเช่น การแก้รัฐธรรมนูญก็จะตกอยู่ภายใต้การกำกับของเจ้าของสว.ที่จะต้องการให้เป็นไปในทิศทางไหนก็ได้

    วันนี้พรรคภูมิใจไทยแม้ว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอันดับสอง แต่ก็มีอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาลไปแล้ว แม้ว่า เราจะเห็นอนุทินนอบน้อมต่ออุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และพร้อมจะยืนเป็นวอลเปเปอร์หรือพี่เลี้ยงของอุ๊งอิ๊งค์ตลอดเวลาก็ตาม พรรคภูมิใจไทยจึงขบเหลี่ยมอยู่กับพรรคเพื่อไทยหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกัญชา เรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ รวมถึงการทำประชามติเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียพรรคเพื่อไทยก็ไม่สามารถสลัดพรรคภูมิใจไทยออกจากพรรคร่วมรัฐบาลได้

    แล้วคอยดูว่า กรณีที่ดินเขากระโดง แม้ว่านายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม จากพรรคเพื่อไทยซึ่งกำกับดูแลการรถไฟแห่งประเทศไทยจะแสดงให้เห็นว่า ไม่อาจยอมรับคำสั่งของคณะกรรมการของกรมที่ดินในกรณีที่ดินเขากระโดงได้ แต่ก็ต้องดูว่า สุดท้ายแล้วเป็นเพียงการแสดงออกไปตามบทบาทที่ตัวเองเล่นอยู่ แต่จะรุกไล่เอาจริงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศจนสุดทางไหม หรือเป็นเพียงการแสดงอำนาจออกมาให้เห็นเพียงเพื่อคะคานแลกเปลี่ยนต่อรองผลประโยชน์กันทางการเมืองเท่านั้นเอง

    อิทธิพลของคนโตแห่งบุรีรัมย์ยังสะท้อนอยู่ในองค์กรอิสระอย่าง กกต. เห็นไหมว่า เมื่อไม่นานอยู่ดีๆ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ก็ออกมาบอกว่า กรณีของพรรคภูมิใจไทยที่ถูกร้องเรียนในลักษณะความผิดที่คล้ายคลึงกับพรรคก้าวไกลที่ถูกศาลวินิจฉัยยุบพรรคนั้น ไม่ได้เป็นความผิดแห่งการยุบพรรคการเมืองเลยไม่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรคการเมือง ทั้งที่บอกว่ายังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนที่ตั้งขึ้นยังไม่มีบทสรุปออกมา จึงไม่ใช่เรื่องที่เลขาธิการ กกต.จะออกมาแถลงชี้นำหรือออกมาแถลงแม้หลายคนจะตั้งคำถามว่า การสอบสวนกรณีดังกล่าวของพรรคภูมิใจไทยคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นจะใช้เวลานานมากก็ตาม

    วันนี้เราคงเห็นแล้วว่า สำหรับนักการเมืองแล้วระหว่างผลประโยชน์ของประเทศชาติกับผลประโยชน์ของตัวเองนั้นอย่างไหนสำคัญกว่าในบทบาทของคนที่เข้ามาเล่นการเมือง จะมีคนกี่คนที่เข้ามาเล่นการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง และมีกฎเกณฑ์กติกาไหนที่จะตรวจสอบนักการเมืองที่มุ่งแต่จะแสวงหาผลประโยชน์เพื่อส่วนตัวและพวกพ้องได้อย่างแท้จริง

    วันนี้เราคงเข้าใจแล้วว่า ทำไมพรรคภูมิใจไทยพรรคสีน้ำเงินจึงเล่นการเมืองเพื่อเป็นรัฐบาลเท่านั้น


    ที่มา https://mgronline.com/daily/detail/9670000109483

    #Thaitimes
    อำนาจภายใต้การเมืองสีน้ำเงิน โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ https://www.facebook.com/surawich.verawan การที่อธิบดีกรมที่ดินที่อยู่ภายใต้พรรคภูมิใจไทย ทำหนังสือถึงการรถไฟแห่งประเทศไทย ว่า “คณะกรรมการสอบสวนฯ มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นสมควรไม่เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินการรถไฟฯ บริเวณแยกเขากระโดงเนื่องจาก รฟท. ไม่มีหลักฐานเป็นที่ข้อยุติว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของ รฟท.จึงเห็นควรยุติเรื่องในกรณีนี้” กำลังท้าทายกับกระแสสังคมและกระบวนการยุติธรรมที่เป็นบรรทัดฐานของประเทศ เข้าใจครับว่า คณะกรรมการชุดดังกล่าวแต่งตั้งขึ้นตามคำสั่งของศาลปกครองในคดีที่การรถไฟฯ ฟ้องกรมที่ดิน แต่นัยของคำสั่งนั้นหากอ่านคำพิพากษาของศาลปกครองแล้ว จะพบว่า ศาลต้องการให้ตั้งกรรมการขึ้นมาเพื่อเพิกถอนสิทธิการถือครองที่ดินตามคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ผู้ถือครองที่ดินเขากระโดงจำนวน 37 แปลงฟ้องการรถไฟฯ (คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 8027/2561 และ 842-876/260 ) แต่คำพิพากษาศาลฎีกาชี้ชัดว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นของการรถไฟฯ ซึ่งศาลปกครองหมายรวมถึงแปลงอื่นที่อยู่นอกเหนือแปลงที่นำขึ้นสู่ศาลฎีกาด้วย แต่กรมที่ดินซึ่งตั้งกรรมการขึ้นตามคำสั่งศาลปกครองกลับมีมติว่า การรถไฟฯ ไม่มีหลักฐานแสดงสิทธิในที่ดินเขากระโดงทั้งที่ศาลฎีกาชี้แล้วว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นของการรถไฟฯแม้ว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย บอกว่า ไม่ได้สั่งการอะไรกรมที่ดิน แต่คำถามว่า มีใครบ้างที่จะเชื่อ อนุทินอ้างว่า คณะกรรมการชุดดังกล่าวที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งของศาลปกครองตั้งขึ้นมาก่อนที่พรรคภูมิใจไทยและตัวเองจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย แต่จุดหมายสำคัญก็คือ กรรมการชุดนี้สามารถมีมติได้ในวันที่พรรคภูมิใจไทยมีอำนาจในกระทรวงมหาดไทย และอนุทินมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีและเมื่อไม่นานมานี้อธิบดีกรมที่ดินคนหนึ่งก็ได้ชิงลาออกไป ซึ่งกล่าวขานกันว่า เพราะปมที่ดินเขากระโดงนั่นเอง เป็นที่รู้กันว่า ในจำนวนที่ดิน 800 กว่าแปลงในพื้นที่เขากระโดงนั้น ผู้ถือครองรายใหญ่ก็คือ ตระกูลชิดชอบ ไปถามพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ก็รู้เรื่องนี้ดีเพราะเคยอภิปรายนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ในสภาฯ เพียงแต่วันนี้ พ.ต.อ.ทวีอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลเดียวกับพรรคภูมิใจไทยเท่านั้น แน่นอนถึงตอนนี้พ.ต.อ.ทวีก็ต้องการรักษาสายสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล ต่างกับที่เคยหวงแหนสมบัติของชาติในขณะที่เป็นฝ่ายค้าน และเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพรรคภูมิใจไทยก็คือนายเนวิน ชิดชอบ ที่เป็นเจ้าของพรรคตัวจริงในทางพฤตินัย จะเห็นได้ว่าในงานวันเกิดของนายเนวินนั้นข้าราชการระดับสูงที่อยู่ภายใต้กระทรวงที่พรรคภูมิใจไทยกำกับนั้นจะต้องเข้าไปร่วมงานถึงบุรีรัมย์เพื่อแสดงตัวให้เห็น เพราะเขารู้ว่าใครคือ คนที่ให้คุณให้โทษได้ และในหมู่ข้าราชการก็รู้กันว่า การโยกย้ายตำแหน่งต่างๆ ในกระทรวงของพรรคภูมิใจไทยนั้นคนที่มีบทบาทสำคัญคือใคร ก็ต้องรอดูต่อไปว่า ระหว่างอำนาจทางการเมืองกับความยุติธรรมทางกฎหมายที่เป็นขื่อแปของบ้านเมืองอย่างไหนจะศักดิ์สิทธิ์กว่ากัน คำสั่งของกรมที่ดินจะใหญ่กว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาไหม แต่ต้องยอมรับนะครับว่า การเล่นการเมืองอยู่หลังม่านของคนคนหนึ่งวันนี้นั้นทำให้กระบวนการตรวจสอบคนที่อยู่ในอำนาจทางการเมืองไม่สามารถทำได้ เพราะไม่ได้มีตำแหน่งใดในรัฐบาล หรือแม้แต่เป็นผู้บริหารพรรค เพียงแต่เป็นสมาชิกของพรรคที่สามารถเตะตูดหัวหน้าพรรคได้เท่านั้น ทำให้กลายเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ผู้มีอิทธิพลทางการเมืองใช้เป็นเครื่องมือในการเล่นการเมืองอยู่หลังฉาก แต่มีอำนาจสั่งการทุกกระทรวงที่อยู่ภายใต้อำนาจของพรรคที่ข้าราชการทุกคนต้องเกรงใจและหวั่นกลัว มาที่เรื่อง สว.นอกจากในวันนี้พรรคภูมิใจไทยจะเป็นพรรคอันดับสองในสภาผู้แทนราษฎร แต่เป็นที่รู้กันว่า สว.กว่า 150 คนนั้นอยู่ภายใต้การกำกับของใครที่เรียกว่ากันว่า สว.สีน้ำเงินนั่นเอง แล้วอำนาจที่สำคัญของ สว.ก็คือ การแต่งตั้งองค์กรอิสระ ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯลฯ ซึ่งทำให้หากใครจะขึ้นสู่ตำแหน่งดังกล่าวก็จะต้องวิ่งเข้าหาเจ้าของ สว.เพื่อให้ สว.ยกมือให้ หากผ่านการคัดเลือกของคณะกรรมการสรรหาเข้าสู่วุฒิสภามา ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่าตระหนกและเป็นอันตรายมากหากอำนาจการแต่งตั้งองค์กรอิสระอยู่ในอำนาจของใครบางคนหรือคนเพียงคนเดียวในทางพฤตินัย และหากมีการประชุมรัฐสภาคือประชุมร่วมระหว่าง สส. และ สว.เสียงของพรรคภูมิใจไทยและ สว.จะรวมกันเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา และการดำเนินการใดที่จะต้องผ่านรัฐสภาเช่น การแก้รัฐธรรมนูญก็จะตกอยู่ภายใต้การกำกับของเจ้าของสว.ที่จะต้องการให้เป็นไปในทิศทางไหนก็ได้ วันนี้พรรคภูมิใจไทยแม้ว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอันดับสอง แต่ก็มีอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาลไปแล้ว แม้ว่า เราจะเห็นอนุทินนอบน้อมต่ออุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และพร้อมจะยืนเป็นวอลเปเปอร์หรือพี่เลี้ยงของอุ๊งอิ๊งค์ตลอดเวลาก็ตาม พรรคภูมิใจไทยจึงขบเหลี่ยมอยู่กับพรรคเพื่อไทยหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกัญชา เรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ รวมถึงการทำประชามติเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียพรรคเพื่อไทยก็ไม่สามารถสลัดพรรคภูมิใจไทยออกจากพรรคร่วมรัฐบาลได้ แล้วคอยดูว่า กรณีที่ดินเขากระโดง แม้ว่านายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม จากพรรคเพื่อไทยซึ่งกำกับดูแลการรถไฟแห่งประเทศไทยจะแสดงให้เห็นว่า ไม่อาจยอมรับคำสั่งของคณะกรรมการของกรมที่ดินในกรณีที่ดินเขากระโดงได้ แต่ก็ต้องดูว่า สุดท้ายแล้วเป็นเพียงการแสดงออกไปตามบทบาทที่ตัวเองเล่นอยู่ แต่จะรุกไล่เอาจริงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศจนสุดทางไหม หรือเป็นเพียงการแสดงอำนาจออกมาให้เห็นเพียงเพื่อคะคานแลกเปลี่ยนต่อรองผลประโยชน์กันทางการเมืองเท่านั้นเอง อิทธิพลของคนโตแห่งบุรีรัมย์ยังสะท้อนอยู่ในองค์กรอิสระอย่าง กกต. เห็นไหมว่า เมื่อไม่นานอยู่ดีๆ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ก็ออกมาบอกว่า กรณีของพรรคภูมิใจไทยที่ถูกร้องเรียนในลักษณะความผิดที่คล้ายคลึงกับพรรคก้าวไกลที่ถูกศาลวินิจฉัยยุบพรรคนั้น ไม่ได้เป็นความผิดแห่งการยุบพรรคการเมืองเลยไม่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรคการเมือง ทั้งที่บอกว่ายังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนที่ตั้งขึ้นยังไม่มีบทสรุปออกมา จึงไม่ใช่เรื่องที่เลขาธิการ กกต.จะออกมาแถลงชี้นำหรือออกมาแถลงแม้หลายคนจะตั้งคำถามว่า การสอบสวนกรณีดังกล่าวของพรรคภูมิใจไทยคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นจะใช้เวลานานมากก็ตาม วันนี้เราคงเห็นแล้วว่า สำหรับนักการเมืองแล้วระหว่างผลประโยชน์ของประเทศชาติกับผลประโยชน์ของตัวเองนั้นอย่างไหนสำคัญกว่าในบทบาทของคนที่เข้ามาเล่นการเมือง จะมีคนกี่คนที่เข้ามาเล่นการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง และมีกฎเกณฑ์กติกาไหนที่จะตรวจสอบนักการเมืองที่มุ่งแต่จะแสวงหาผลประโยชน์เพื่อส่วนตัวและพวกพ้องได้อย่างแท้จริง วันนี้เราคงเข้าใจแล้วว่า ทำไมพรรคภูมิใจไทยพรรคสีน้ำเงินจึงเล่นการเมืองเพื่อเป็นรัฐบาลเท่านั้น ที่มา https://mgronline.com/daily/detail/9670000109483 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    อำนาจภายใต้การเมืองสีน้ำเงิน
    การที่อธิบดีกรมที่ดินที่อยู่ภายใต้พรรคภูมิใจไทย ทำหนังสือถึงการรถไฟแห่งประเทศไทย ว่า “คณะกรรมการสอบสวนฯ มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นสมควรไม่เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินการรถไฟฯ บริเวณแยกเขากระโดงเนื่องจาก รฟท. ไม่มีหลักฐานเป็
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 2204 Views 0 Reviews
  • สส.พรรคประชาชน ประธานกมธ.ที่ดิน เล็งส่งปัญหาเขากระโดงแบบไม่นำการเมืองมาเกี่ยวข้อง สวนทางกระแสสังคมที่เชื่อว่า เป็นข้อแลกเปลี่ยนทางการเมืองของทักษิณกับเนวิน หรือพรรคพม่าจะหัดเคาะกะลาหาทรัพย์แลกยับยั้งลงดาบ
    #7ดอกจิก
    ♣️ สส.พรรคประชาชน ประธานกมธ.ที่ดิน เล็งส่งปัญหาเขากระโดงแบบไม่นำการเมืองมาเกี่ยวข้อง สวนทางกระแสสังคมที่เชื่อว่า เป็นข้อแลกเปลี่ยนทางการเมืองของทักษิณกับเนวิน หรือพรรคพม่าจะหัดเคาะกะลาหาทรัพย์แลกยับยั้งลงดาบ #7ดอกจิก
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 470 Views 0 Reviews
  • โบราณไม่ได้ว่าไว้ คนล้ม กระทืบซ้ำเลย
    น้ำลดตอผุดสภาวะนี้กําลังเกิดขึ้นกับชีวิตทนายตั้มนายสิทรา เบี้ยบังเกิด หลังโดนอ้อยจตุพร เศรษฐีนีหมื่นล้านแจ้งจับคดีฉ้อโกงและยังจะได้แถมอีกคดีในข้อหาเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว กรณีผู้ออกรายการทีวีและให้สัมภาษณ์สื่อหลายครั้งเรื่องเจ๊อ้อยถูกหวยได้เงินมาหมื่นล้านบาททําให้ครอบครัวเขาเดือดร้อนกระแสสังคมรุมถล่มทนายตั้มเหมือนพายุอุกกาบาตพัดถล่มหัวหมา
    โลกโซเชียลจากการเปลี่ยนชื่อเขาจากทนายตั้มเป็นทนายต้ม จังหวะนี้เองบรรดาเจ้ากรรมนายเวรเก่าเก่าของทนายตั้มก็เฮโลออกมาเปิดโปงความเน่าใน เพื่อล้างแค้นในสิ่งที่ทนายตั้มเคยกระทําไว้กับพวกเขาเริ่มจากคนบนเรือคดีแตงโมคือไฮโซ ปอออกมาพบสื่อในฐานะผู้ประสบภัยจากทนายความโดยระบุว่า
    ทนายตั้มเป็นศาลตั้งต้นของจริง ที่ทําให้ชีวิตเขาและคนบนเรือทุกคนเดือดร้อนแสนสาหัสเมื่อมีการนัดพบกันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ฝ่ายหนึ่งไฮโซปอลกับโรเบิร์และอีกฝ่ายทนายตั้ม ปรากฏว่าทนายตั้มพอฟังเรื่องราวของแตงโมตกเรือแล้ว
    เสนอแนวทางเอาตัวรอดให้ทั้งสองคนว่าต้องสร้างสตอรี่ให้มีคนผิด ซึ่งคนคนนั้นก็คือแซนด์ ซึ่งอยู่ท้ายเรือใกล้ชิดวินาทีที่แตงโมตกเรือมากกว่าใคร ว่าแล้วทนายตั้มก็เรียกค่าทําคดีสูงลิบซึ่งไฮโซปอลกับโรเบิร์ตปฏิเสธไป
    เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาแต่ปัญหาคือรับไม่ได้กับการสร้างสตอรี่เพื่อโยนคุกให้เพื่อนดื้อๆพอไฮโซปอล์เปิดประเด็นนี้ แซนก็บุกมาที่กองปราบประกาศว่ามาจองกระถินทนายตั้มเพราะเธอเกือบต้องติดคุกติดตารางไปคนเดียว ด้วยการชี้แนะของทนายตั้มซึ่งแซนด์ แทบไม่มีที่ยืนในสังคมพูดอะไรไปก็ไม่มีใครเชื่อ
    ตอนนี้เหตุการณ์คล้ายๆ กันบังเกิดขึ้นกับชีวิตของทนายตั้มบ้างแล้วโดนทัวร์ลงอย่างหนักหน่วง ด้วยดีกรีรุนแรงไม่แพ้กันในส่วนของเจ๊อ้อย จตุพรยังคงสาวไส้เล่ห์เหลี่ยมของทนายตั้มออกมาทีละขด
    โดยเฉพาะเรื่องการแอบอ้างว่ารู้จักกับนักการเมืองใหญ่ที่จะให้โควต้าหวยรัฐบาลถึงขั้นพาคุณอ้อยบินไปพบถึงฮ่องกง เพื่อสร้างเครดิตให้หลงเชื่อนักการเมืองคนนั้นก็คือเสียหนูอนุทินชาญวีรกูล
    ซึ่งเสียหนูก็ยอมรับว่าเจอกับทนายตั้มจริงแต่เจอโดยบังเอิญไม่ได้นัดหมายอะไรกันแจงว่าตัวเองไม่มีทางไปให้โควต้าหวยใครได้ เพราะตอนเจอกันยังไม่ได้เป็นรัฐบาลเลยดอกนี้คือเสี่ยหนูลอยแพทนายตั้มไปแบบไม่มีเยื่อใย
    เพราะก่อนหน้านี้เสี่ยหนูก็เคยใช้บริการทนายตั้มให้ออกมาสู้กับชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ซึ่งผลก็คือทนายตั้มพ่ายแพ้ในสนามโซเชียลจนหลบหน้าหายไปพักใหญ่ ตอนนี้คิงส์โพดำคิดว่า ตั๊มเอ้ย หายหน้าหายตาไปจากโลกเลยก็ได้เด้อ ยาวๆโลด ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ

    โบราณไม่ได้ว่าไว้ คนล้ม กระทืบซ้ำเลย น้ำลดตอผุดสภาวะนี้กําลังเกิดขึ้นกับชีวิตทนายตั้มนายสิทรา เบี้ยบังเกิด หลังโดนอ้อยจตุพร เศรษฐีนีหมื่นล้านแจ้งจับคดีฉ้อโกงและยังจะได้แถมอีกคดีในข้อหาเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว กรณีผู้ออกรายการทีวีและให้สัมภาษณ์สื่อหลายครั้งเรื่องเจ๊อ้อยถูกหวยได้เงินมาหมื่นล้านบาททําให้ครอบครัวเขาเดือดร้อนกระแสสังคมรุมถล่มทนายตั้มเหมือนพายุอุกกาบาตพัดถล่มหัวหมา โลกโซเชียลจากการเปลี่ยนชื่อเขาจากทนายตั้มเป็นทนายต้ม จังหวะนี้เองบรรดาเจ้ากรรมนายเวรเก่าเก่าของทนายตั้มก็เฮโลออกมาเปิดโปงความเน่าใน เพื่อล้างแค้นในสิ่งที่ทนายตั้มเคยกระทําไว้กับพวกเขาเริ่มจากคนบนเรือคดีแตงโมคือไฮโซ ปอออกมาพบสื่อในฐานะผู้ประสบภัยจากทนายความโดยระบุว่า ทนายตั้มเป็นศาลตั้งต้นของจริง ที่ทําให้ชีวิตเขาและคนบนเรือทุกคนเดือดร้อนแสนสาหัสเมื่อมีการนัดพบกันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ฝ่ายหนึ่งไฮโซปอลกับโรเบิร์และอีกฝ่ายทนายตั้ม ปรากฏว่าทนายตั้มพอฟังเรื่องราวของแตงโมตกเรือแล้ว เสนอแนวทางเอาตัวรอดให้ทั้งสองคนว่าต้องสร้างสตอรี่ให้มีคนผิด ซึ่งคนคนนั้นก็คือแซนด์ ซึ่งอยู่ท้ายเรือใกล้ชิดวินาทีที่แตงโมตกเรือมากกว่าใคร ว่าแล้วทนายตั้มก็เรียกค่าทําคดีสูงลิบซึ่งไฮโซปอลกับโรเบิร์ตปฏิเสธไป เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาแต่ปัญหาคือรับไม่ได้กับการสร้างสตอรี่เพื่อโยนคุกให้เพื่อนดื้อๆพอไฮโซปอล์เปิดประเด็นนี้ แซนก็บุกมาที่กองปราบประกาศว่ามาจองกระถินทนายตั้มเพราะเธอเกือบต้องติดคุกติดตารางไปคนเดียว ด้วยการชี้แนะของทนายตั้มซึ่งแซนด์ แทบไม่มีที่ยืนในสังคมพูดอะไรไปก็ไม่มีใครเชื่อ ตอนนี้เหตุการณ์คล้ายๆ กันบังเกิดขึ้นกับชีวิตของทนายตั้มบ้างแล้วโดนทัวร์ลงอย่างหนักหน่วง ด้วยดีกรีรุนแรงไม่แพ้กันในส่วนของเจ๊อ้อย จตุพรยังคงสาวไส้เล่ห์เหลี่ยมของทนายตั้มออกมาทีละขด โดยเฉพาะเรื่องการแอบอ้างว่ารู้จักกับนักการเมืองใหญ่ที่จะให้โควต้าหวยรัฐบาลถึงขั้นพาคุณอ้อยบินไปพบถึงฮ่องกง เพื่อสร้างเครดิตให้หลงเชื่อนักการเมืองคนนั้นก็คือเสียหนูอนุทินชาญวีรกูล ซึ่งเสียหนูก็ยอมรับว่าเจอกับทนายตั้มจริงแต่เจอโดยบังเอิญไม่ได้นัดหมายอะไรกันแจงว่าตัวเองไม่มีทางไปให้โควต้าหวยใครได้ เพราะตอนเจอกันยังไม่ได้เป็นรัฐบาลเลยดอกนี้คือเสี่ยหนูลอยแพทนายตั้มไปแบบไม่มีเยื่อใย เพราะก่อนหน้านี้เสี่ยหนูก็เคยใช้บริการทนายตั้มให้ออกมาสู้กับชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ซึ่งผลก็คือทนายตั้มพ่ายแพ้ในสนามโซเชียลจนหลบหน้าหายไปพักใหญ่ ตอนนี้คิงส์โพดำคิดว่า ตั๊มเอ้ย หายหน้าหายตาไปจากโลกเลยก็ได้เด้อ ยาวๆโลด ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 Comments 0 Shares 1295 Views 0 Reviews
  • ไบแนนซ์ ออกโรงชี้แจงผ่านหนังสือด่วน หลังเกิดประเด็นร้อนจากการโอนเหรียญ USDT มูลค่ากว่า 8,223 ล้านบาท ของหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ซึ่งเชื่อมโยงกับ The iCON GROUP เข้ามายัง Binance Hot Wallet หลังเกิดกระแสสังคมสงสัยที่มาของเงินถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่

    ไบแนนซ์ระบุว่า "เบื้องต้นฝ่ายสืบสวนของไบแนนซ์ ได้ดำเนินการติดต่อประสานงานโดยตรงกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทยเป็นที่เรียบร้อย พร้อมทั้งได้รับการชี้แจงว่าในขณะนี้คดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการสืบสวน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไบแนนซ์ดำเนินงานโดยให้ความสำคัญในการต่อสู้กับการฉ้อโกงและต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ ผ่านการประสานงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย" ฝ่ายสืบสวนของไบแนนซ์ ระบุ

    อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าหลังจากนี้จะมีการอายัดบัญชีและเหรียญ USDT มูลค่ากว่า 8,223 ล้านบาทใน Binance Hot Wallet ซึ่งเกี่ยวข้องกับ The iCON GROUP เพื่อตรวจสอบตามกระบวนการทางกฏหมายหรือไม่ แม้ว่าทางไปแนนซ์จะยืนยันว่า "ประสานงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย" แต่เนื่องจากขอบเขตการบังคับใช้กฏหมายของไทยอาจมีข้อจำกัดเฉพาะในราชอาณาจักร ทำให้การอายัดทรัพย์นอกราชอาณาจักรของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไทย ไม่สามารถทำได้โดยตรง เนื่องจากอำนาจของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไทยจำกัดอยู่ภายในราชอาณาจักร

    อย่างไรก็ตาม หากมีการสืบสวนพบว่าทรัพย์สินที่ต้องสงสัยอยู่ในต่างประเทศ หน่วยงานไทยสามารถขอความร่วมมือจากประเทศที่เกี่ยวข้อง ผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน หรือความร่วมมือด้านกฎหมายในระดับนานาชาติ (MLAT) เพื่อให้อายัดหรือยึดทรัพย์สินที่อยู่นอกอาณาเขตของไทย

    ทั้งนี้การขอความร่วมมือเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงและกฎหมายของประเทศที่ทรัพย์สินตั้งอยู่ และจะต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายของทั้งสองประเทศ อีกทั้ง ไบแนนซ์เอง ก็อยู่นอกเหนือการบังคับใช้กฏหมายของไทย ณ ปัจจุบัน Binance (ไบแนนซ์) ยังไม่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto Exchange) ในประเทศไทยจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทำให้ในกรณีที่ยังไม่มีใบอนุญาตอย่างเป็นทางการการดำเนินงานของไบแนน์ในประเทศไทย หรือเกี่ยวเนื่องกับประเทศไทย จึงอาจถูกจำกัดทางกฏหมาย หรือ ล่าช้าเพิกเฉยได้

    อย่างไรก็ดี ทางสำนักงาน ก.ล.ต. แนะนำผู้ลงทุนในไทยควรใช้แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการอนุญาตจาก ก.ล.ต. เพื่อความปลอดภัยทางกฎหมาย

    https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000101004

    #Thaitimes
    ไบแนนซ์ ออกโรงชี้แจงผ่านหนังสือด่วน หลังเกิดประเด็นร้อนจากการโอนเหรียญ USDT มูลค่ากว่า 8,223 ล้านบาท ของหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ซึ่งเชื่อมโยงกับ The iCON GROUP เข้ามายัง Binance Hot Wallet หลังเกิดกระแสสังคมสงสัยที่มาของเงินถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ ไบแนนซ์ระบุว่า "เบื้องต้นฝ่ายสืบสวนของไบแนนซ์ ได้ดำเนินการติดต่อประสานงานโดยตรงกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทยเป็นที่เรียบร้อย พร้อมทั้งได้รับการชี้แจงว่าในขณะนี้คดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการสืบสวน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไบแนนซ์ดำเนินงานโดยให้ความสำคัญในการต่อสู้กับการฉ้อโกงและต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ ผ่านการประสานงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย" ฝ่ายสืบสวนของไบแนนซ์ ระบุ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าหลังจากนี้จะมีการอายัดบัญชีและเหรียญ USDT มูลค่ากว่า 8,223 ล้านบาทใน Binance Hot Wallet ซึ่งเกี่ยวข้องกับ The iCON GROUP เพื่อตรวจสอบตามกระบวนการทางกฏหมายหรือไม่ แม้ว่าทางไปแนนซ์จะยืนยันว่า "ประสานงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย" แต่เนื่องจากขอบเขตการบังคับใช้กฏหมายของไทยอาจมีข้อจำกัดเฉพาะในราชอาณาจักร ทำให้การอายัดทรัพย์นอกราชอาณาจักรของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไทย ไม่สามารถทำได้โดยตรง เนื่องจากอำนาจของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไทยจำกัดอยู่ภายในราชอาณาจักร อย่างไรก็ตาม หากมีการสืบสวนพบว่าทรัพย์สินที่ต้องสงสัยอยู่ในต่างประเทศ หน่วยงานไทยสามารถขอความร่วมมือจากประเทศที่เกี่ยวข้อง ผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน หรือความร่วมมือด้านกฎหมายในระดับนานาชาติ (MLAT) เพื่อให้อายัดหรือยึดทรัพย์สินที่อยู่นอกอาณาเขตของไทย ทั้งนี้การขอความร่วมมือเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงและกฎหมายของประเทศที่ทรัพย์สินตั้งอยู่ และจะต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายของทั้งสองประเทศ อีกทั้ง ไบแนนซ์เอง ก็อยู่นอกเหนือการบังคับใช้กฏหมายของไทย ณ ปัจจุบัน Binance (ไบแนนซ์) ยังไม่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto Exchange) ในประเทศไทยจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทำให้ในกรณีที่ยังไม่มีใบอนุญาตอย่างเป็นทางการการดำเนินงานของไบแนน์ในประเทศไทย หรือเกี่ยวเนื่องกับประเทศไทย จึงอาจถูกจำกัดทางกฏหมาย หรือ ล่าช้าเพิกเฉยได้ อย่างไรก็ดี ทางสำนักงาน ก.ล.ต. แนะนำผู้ลงทุนในไทยควรใช้แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการอนุญาตจาก ก.ล.ต. เพื่อความปลอดภัยทางกฎหมาย https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000101004 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    "ไบแนนซ์" แจงประเด็นร้อน "The iCON GROUP" หลัง USDT กว่า 8,223 ล้านโอนเข้า Binance Hot Wallet
    ไบแนนซ์ ออกโรงชี้แจงผ่านหนังสือด่วน หลังเกิดประเด็นร้อนจากการโอนเหรียญ USDT มูลค่ากว่า 8,223 ล้านบาท ของหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ซึ่งเชื่อมโยงกับ The iCON GROUP เข้ามายัง Binance Hot Wallet
    Like
    2
    1 Comments 0 Shares 885 Views 0 Reviews
  • "อันตัว ไม่รู้ แก่ปัจจุบัน แล้วแล้วไซ (นั้นหมายถึงการปล่อยสติ ทอดกายไปตามกระแสสังคม)"
    เมื่อเกิดความผิดพลาด ก็โทษปัจจัยแวดล้อม จนลืมหลักตน
    "ตนนั้นแล เป็นที่พึ่งแห่งตน" ธรรมะสวัสดี
    "อันตัว ไม่รู้ แก่ปัจจุบัน แล้วแล้วไซ (นั้นหมายถึงการปล่อยสติ ทอดกายไปตามกระแสสังคม)" เมื่อเกิดความผิดพลาด ก็โทษปัจจัยแวดล้อม จนลืมหลักตน "ตนนั้นแล เป็นที่พึ่งแห่งตน" ธรรมะสวัสดี
    0 Comments 0 Shares 374 Views 0 Reviews
  • "วรัทย์พล วรัตน์วรกุล" บอสพอล นักธุรกิจขายตรงชื่อดัง เคลื่อนไหวแล้ว หลังเจอดรามาหนัก ย้ำมั่นใจดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องโปร่งใส มาโดยตลอด วอนขอเวลาตรวจสอบข้อมูล อันไหน เป็นการกลั่นแกล้ง ใส่ความ ปลุกปั่น ยันไม่รู้มีผู้เสียหายเสียชีวิต เผยพร้อมช่วยเหลือ เยียวยา ครอบครัวผู้ที่สูญเสีย และขออย่าด่วนตัดสินกัน

    จากกรณีกลายเป็นที่สนใจของชาวเน็ต หลังหนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย ดารานักแสดง ผู้ประกาศข่าว และพิธีกรชื่อดังออกมาโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก หนุ่ม กรรชัย เพียงสั้นๆ ระบุว่า "เหล่าแม่ข่ายของบริษัทธุรกิจเครือข่ายดังเริ่มมีการข่มขู่ไปทั่ว กลัวโดนเปิดแผล มีการระดมคนติดแฮชแท็ก เซฟบอส เซฟบริษัทตัวเอง ไม่เซฟผู้เสียหายบ้างเหรอ?" อันเนื่องมาจากมีคนระดมติดแฮชแท็ก #Saveบอส จนติดเทรนด์ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

    9 ตุลาคม 2567- เฟซบุ๊ก "วรัทย์พล วรัตน์วรกุล" หรือ บอสพอล นักธุรกิจขายตรงชื่อดัง ผู้ก่อตั้งและเจ้าของอาณาจักร “ดิไอคอนกรุ๊ป” (The iCon Group) ได้ออกมาชี้แจงกรณีดรามา โดยระบุข้อความว่า

    “สวัสดีทุกท่านครับ ผมขอเรียนชี้แจง ผ่านทางช่องทางนี้นะครับ ตลอดระยะเวลาที่ผมทำธุรกิจ ขายปลีก-ขายส่ง ผ่านระบบตัวแทน ภายใต้ บริษัทดิไอคอนกรุ๊ปมาเป็นระยะเวลา 6 ปีกว่าแล้ว ผมเชื่อมั่นว่า ผมดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องโปร่งใส มาโดยตลอด แต่จากเหตุการณ์ ที่เกิดเป็นกระแสสังคมขึ้น ณ ขณะนี้ ผมติดตามข้อมูลต่อเนื่องมา และรู้สึกเสียใจอย่างมาก ที่เกิดเหตุว่ามีผู้เสียหายเกิดขึ้น เนื่องจากการทำธุรกิจกับบริษัทของผม

    ผมได้ให้ทีมงานตรวจสอบข้อมูล ปรากฏมีหลายเคส ตามที่เกิดดราม่า ที่ออกมา ต่อว่า ด่าทอบริษัท กลับไม่ได้เป็น ตัวแทนจำหน่ายของผม แบบที่เค้ากล่าวอ้างเลยและมีอีกหลายเคส ที่ ขายของ กับบริษัทผม แล้วได้เงินกำไรไปจำนวนมาก แต่ก็กลับมาต่อว่า ด่าทอในโลกโซเชียลฯ เช่นเดียวกัน ผมยอมรับตรงๆว่าผม งง และ สับสนมากครับ พยามตั้งสติ พยามติดตาม ดูข้อมูล ว่าอันไหนเป็นข้อมูลจริง อันไหน เป็นการกลั่นแกล้ง ใส่ความ ปลุกปั่นบ้างก็ด่าเอามัน เอาสะใจ

    โดยมีข้อมูลถึงขั้นที่ว่าทำธุรกิจกับบริษัทของผม แล้วฆ่าตัวตาย อันนี้คือประเด็นใหญ่ที่สุด ที่ผมเองไม่เคย ได้รู้มาก่อนเลยครับ และยังคงสงสัยอยู่ว่า ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แล้วทำไม ? ถึงไม่มีใครในองค์กร รู้มาก่อนบ้างเลย อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นเรื่องจริง ผมคงรู้สึกเสียใจมาก และอยากที่จะ ช่วยเหลือ เยียวยา ครอบครัวผู้ที่สูญเสีย อย่างเต็มที่ครับ ขอเพียง ท่านติดต่อกลับมา ที่บริษัท

    แต่ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า ผมไม่เคยทราบข้อมูลมาก่อนจริงๆ ส่วนที่ถามว่าทำไม ผมถึงยังไม่ออกมาพูดอะไร ผมขอตอบตรงๆว่า เมื่อไตร่ตรองโดยสติแล้ว ผมคิดว่าไม่ว่าจะตอบ อะไร ออกมา ในช่วงที่กระแสสังคม เปรียบเหมือนน้ำเชี่ยว จากการรับข้อมูล “ทางเดียว” ในตอนนี้ ยิ่งจะเป็นการทำให้สถานการณ์ ที่หนักอยู่แล้ว หนักยิ่งขึ้น ผมจึงใช้เวลาทั้งหมดในการเตรียม ข้อมูล ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง รวมทั้งหลักฐานต่างๆ ที่จะชี้แจงให้ทราบ ผ่านกระบวนการยุติธรรม ทางกฏหมาย

    ผมพร้อมเข้าสู่กระบวนการ เพราะผมเชื่อว่า เราต่างเป็นสุจริตชน ที่อยู่ภายใต้“กฎหมาย” ไม่ใช่การใช้ “กฎหมู่” หรือกระแสสังคม ในการทำลายกัน ผมพร้อมจะเข้าไป แสดงตัว ”มอบตัวกับตำรวจ“ตามที่ตำรวจจะแจ้งให้ทราบทุกเมื่อ ผมรอพิสูจน์ความจริง อยู่ตรงนี้ไม่หนีไปไหน แน่นอนครับ และพร้อม นำข้อเท็จจริงและหลักฐานทั้งหมด เข้าชี้แจงผ่าน “กระบวนการยุติธรรม” ทุกท่านอดใจรอหน่อยนะครับ เดี๋ยวความจริงก็จะเปิดเผยออกมาให้ทุกท่านทราบ

    ถ้าผมทำผิด ตามที่ถูกกล่าวหาผมย่อมจะต้องได้รับโทษทางกฏหมายอย่างถึงที่สุด แน่นอนครับ เมื่อถึงวันนั้นค่อยด่าทอ ประนาม เหยียบย่ำผมได้เลยครับ เชื่อว่าไม่ช้าเกินไป แต่วันนี้ ผมเป็นผู้บริสุทธิ์ ครับและผมเชื่อ ในความบริสุทธิ์ ของผมผมส่องกระจกดูตัวเองแล้วผมยังสามารถ สบตาตัวเองได้“อย่างเต็มตา” ในขณะเดียวกันผมก็สลดใจ ที่ตัวเอง และ องค์กรต้องมาถูกเหยียบย่ำ ทำลาย ต่างๆ นาๆในขณะที่ยังไม่ได้มีการตัดสินจากกระบวนการยุติธรรม ที่พวกเรา เชื่อมั่น เชื่อถือผมอยาก ข้อร้อง วิงวอนให้ทุกท่าน โปรดให้โอกาสผมและองค์กรได้พิสูจน์ตัวเองผ่านกระบวนการยุติธรรมก่อนที่จะด่วนตัดสินกัน นะครับ ขอบคุณครับ”

    อย่างไรก็ตาม ยอดประเมินผู้เสียหายเฉพาะกลุ่มดีเลอร์กลุ่มเดียว30,000 ราย ยอดเสียหาย 7,500 ล้านบาท และในอดีตเมื่อปี2563 ผู้เสียหายส่วนหนึ่งออกมาเป็นเจ้าทุกข์และร้องเรียน สคบ.ตั้งแต่ปี2563แต่ สคบ.แจ้งว่าไม่เข้าเกณฑ์เป็นผู้บริโภค และสคบ.เคยมอบรางวัลให้บริษัทนี้ในปี2565ทั้งๆที่เคยโดนถูกร้องเรียน

    #Thaitimes
    "วรัทย์พล วรัตน์วรกุล" บอสพอล นักธุรกิจขายตรงชื่อดัง เคลื่อนไหวแล้ว หลังเจอดรามาหนัก ย้ำมั่นใจดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องโปร่งใส มาโดยตลอด วอนขอเวลาตรวจสอบข้อมูล อันไหน เป็นการกลั่นแกล้ง ใส่ความ ปลุกปั่น ยันไม่รู้มีผู้เสียหายเสียชีวิต เผยพร้อมช่วยเหลือ เยียวยา ครอบครัวผู้ที่สูญเสีย และขออย่าด่วนตัดสินกัน จากกรณีกลายเป็นที่สนใจของชาวเน็ต หลังหนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย ดารานักแสดง ผู้ประกาศข่าว และพิธีกรชื่อดังออกมาโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก หนุ่ม กรรชัย เพียงสั้นๆ ระบุว่า "เหล่าแม่ข่ายของบริษัทธุรกิจเครือข่ายดังเริ่มมีการข่มขู่ไปทั่ว กลัวโดนเปิดแผล มีการระดมคนติดแฮชแท็ก เซฟบอส เซฟบริษัทตัวเอง ไม่เซฟผู้เสียหายบ้างเหรอ?" อันเนื่องมาจากมีคนระดมติดแฮชแท็ก #Saveบอส จนติดเทรนด์ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น 9 ตุลาคม 2567- เฟซบุ๊ก "วรัทย์พล วรัตน์วรกุล" หรือ บอสพอล นักธุรกิจขายตรงชื่อดัง ผู้ก่อตั้งและเจ้าของอาณาจักร “ดิไอคอนกรุ๊ป” (The iCon Group) ได้ออกมาชี้แจงกรณีดรามา โดยระบุข้อความว่า “สวัสดีทุกท่านครับ ผมขอเรียนชี้แจง ผ่านทางช่องทางนี้นะครับ ตลอดระยะเวลาที่ผมทำธุรกิจ ขายปลีก-ขายส่ง ผ่านระบบตัวแทน ภายใต้ บริษัทดิไอคอนกรุ๊ปมาเป็นระยะเวลา 6 ปีกว่าแล้ว ผมเชื่อมั่นว่า ผมดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องโปร่งใส มาโดยตลอด แต่จากเหตุการณ์ ที่เกิดเป็นกระแสสังคมขึ้น ณ ขณะนี้ ผมติดตามข้อมูลต่อเนื่องมา และรู้สึกเสียใจอย่างมาก ที่เกิดเหตุว่ามีผู้เสียหายเกิดขึ้น เนื่องจากการทำธุรกิจกับบริษัทของผม ผมได้ให้ทีมงานตรวจสอบข้อมูล ปรากฏมีหลายเคส ตามที่เกิดดราม่า ที่ออกมา ต่อว่า ด่าทอบริษัท กลับไม่ได้เป็น ตัวแทนจำหน่ายของผม แบบที่เค้ากล่าวอ้างเลยและมีอีกหลายเคส ที่ ขายของ กับบริษัทผม แล้วได้เงินกำไรไปจำนวนมาก แต่ก็กลับมาต่อว่า ด่าทอในโลกโซเชียลฯ เช่นเดียวกัน ผมยอมรับตรงๆว่าผม งง และ สับสนมากครับ พยามตั้งสติ พยามติดตาม ดูข้อมูล ว่าอันไหนเป็นข้อมูลจริง อันไหน เป็นการกลั่นแกล้ง ใส่ความ ปลุกปั่นบ้างก็ด่าเอามัน เอาสะใจ โดยมีข้อมูลถึงขั้นที่ว่าทำธุรกิจกับบริษัทของผม แล้วฆ่าตัวตาย อันนี้คือประเด็นใหญ่ที่สุด ที่ผมเองไม่เคย ได้รู้มาก่อนเลยครับ และยังคงสงสัยอยู่ว่า ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แล้วทำไม ? ถึงไม่มีใครในองค์กร รู้มาก่อนบ้างเลย อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นเรื่องจริง ผมคงรู้สึกเสียใจมาก และอยากที่จะ ช่วยเหลือ เยียวยา ครอบครัวผู้ที่สูญเสีย อย่างเต็มที่ครับ ขอเพียง ท่านติดต่อกลับมา ที่บริษัท แต่ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า ผมไม่เคยทราบข้อมูลมาก่อนจริงๆ ส่วนที่ถามว่าทำไม ผมถึงยังไม่ออกมาพูดอะไร ผมขอตอบตรงๆว่า เมื่อไตร่ตรองโดยสติแล้ว ผมคิดว่าไม่ว่าจะตอบ อะไร ออกมา ในช่วงที่กระแสสังคม เปรียบเหมือนน้ำเชี่ยว จากการรับข้อมูล “ทางเดียว” ในตอนนี้ ยิ่งจะเป็นการทำให้สถานการณ์ ที่หนักอยู่แล้ว หนักยิ่งขึ้น ผมจึงใช้เวลาทั้งหมดในการเตรียม ข้อมูล ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง รวมทั้งหลักฐานต่างๆ ที่จะชี้แจงให้ทราบ ผ่านกระบวนการยุติธรรม ทางกฏหมาย ผมพร้อมเข้าสู่กระบวนการ เพราะผมเชื่อว่า เราต่างเป็นสุจริตชน ที่อยู่ภายใต้“กฎหมาย” ไม่ใช่การใช้ “กฎหมู่” หรือกระแสสังคม ในการทำลายกัน ผมพร้อมจะเข้าไป แสดงตัว ”มอบตัวกับตำรวจ“ตามที่ตำรวจจะแจ้งให้ทราบทุกเมื่อ ผมรอพิสูจน์ความจริง อยู่ตรงนี้ไม่หนีไปไหน แน่นอนครับ และพร้อม นำข้อเท็จจริงและหลักฐานทั้งหมด เข้าชี้แจงผ่าน “กระบวนการยุติธรรม” ทุกท่านอดใจรอหน่อยนะครับ เดี๋ยวความจริงก็จะเปิดเผยออกมาให้ทุกท่านทราบ ถ้าผมทำผิด ตามที่ถูกกล่าวหาผมย่อมจะต้องได้รับโทษทางกฏหมายอย่างถึงที่สุด แน่นอนครับ เมื่อถึงวันนั้นค่อยด่าทอ ประนาม เหยียบย่ำผมได้เลยครับ เชื่อว่าไม่ช้าเกินไป แต่วันนี้ ผมเป็นผู้บริสุทธิ์ ครับและผมเชื่อ ในความบริสุทธิ์ ของผมผมส่องกระจกดูตัวเองแล้วผมยังสามารถ สบตาตัวเองได้“อย่างเต็มตา” ในขณะเดียวกันผมก็สลดใจ ที่ตัวเอง และ องค์กรต้องมาถูกเหยียบย่ำ ทำลาย ต่างๆ นาๆในขณะที่ยังไม่ได้มีการตัดสินจากกระบวนการยุติธรรม ที่พวกเรา เชื่อมั่น เชื่อถือผมอยาก ข้อร้อง วิงวอนให้ทุกท่าน โปรดให้โอกาสผมและองค์กรได้พิสูจน์ตัวเองผ่านกระบวนการยุติธรรมก่อนที่จะด่วนตัดสินกัน นะครับ ขอบคุณครับ” อย่างไรก็ตาม ยอดประเมินผู้เสียหายเฉพาะกลุ่มดีเลอร์กลุ่มเดียว30,000 ราย ยอดเสียหาย 7,500 ล้านบาท และในอดีตเมื่อปี2563 ผู้เสียหายส่วนหนึ่งออกมาเป็นเจ้าทุกข์และร้องเรียน สคบ.ตั้งแต่ปี2563แต่ สคบ.แจ้งว่าไม่เข้าเกณฑ์เป็นผู้บริโภค และสคบ.เคยมอบรางวัลให้บริษัทนี้ในปี2565ทั้งๆที่เคยโดนถูกร้องเรียน #Thaitimes
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 1140 Views 0 Reviews
  • น.ส.พ.ประชาไทนิวส์ออนไลน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 59 ประจำเดือนตุลาคม 2567 @ ประเทศไทยต้องมี “แผนป้องกันน้ำท่วมระยะยาว”ออกจากปากของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็น“วิสัยทัศน์”ที่ควรค่าต่อการ“ปรบมือ”และ“ติดตาม”... “เหนือเมฆ” แนะให้ดู “วิธีคิด-วิธีการ”ของผู้บริหาร “แชงกรีลาเชียงใหม่โมเดล” เป็นแรงกระชากใจ...กล้าคิด กล้าทำ @ ดราม่าไอแพดบบนเวที ACD summit กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ชุดความรู้สำหรับ “สร.1 ป้ายแดง” “เหนือเมฆ”ให้กำลังใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คำเมืองเปิ้นว่า “แมงแสนตี๋นต๋ายตกน้ำบ่อ”...ประมาณว่า ไม่เคยมีใครไม่เคยผิดพลาด ภาวะผู้นำเบอร์ 1 ของประเทศ บางฟิลต้อง “นิ่ง”ให้เป็น.. “เหนือเมฆ” ใคร่อยากรู้นัก ใครเป็นทีมที่ปรึกษา-ทีมPR อยากหยิกให้เนื้อเขียวเชียว...@ “นายกอุ๊งอิ๊ง”อ้อนออดขอกำลังใจจากผู้อาวุโส“สายม๊อบ” ที่เอะอะก็จะเป่านกหวีดชวนคนลงถนนตะพึ่ด “เพิ่งทำงานได้แค่เดือนเดียวเอง..” ลำพัง“นิติสงคราม”จากพี่ๆนักร้องมืออาชีพที่เคารพก็กองพะเนินเทินทึกจ่อคอหอย ขบวนการตามล้างตามเช็ดตระกูล “ชินวัตร” รายล้อมรอบตัว...งานนี้ คุณพ่อที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร ต้องติวเข้ม “ลูกอุ๊งอิ๊ง” ทุกกระเบียดนิ้วปฏิกริยา...ปล่อย“สหายใหญ่” เป็นโค้ชคนเดียวน่าจะเอาไม่อยู่ @ ก็ชอบแล้วที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงนามคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษาเพิ่มเติม 2 คน ธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาศ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โปรเจ็คต์ปะจะฉะดะพะบู๊กับแรงเสียดทานทั้งสายบู๊สายบุ๋นนอกในสภา...คู่หูดูโอ้นี้น่าจะบรรเทาเบาแรงให้ “นายกอุ๊งอิ๊ง”มีเวลาทำงานเพิ่มมากขึ้น @ ยามนี้พรรคการเมืองไทยที่กระโดดโลดเต้นในหน้าสื่อรายวัน ดูเหมือนจะมีโดดเด่นเพียง “เพื่อไทย”กับ “ภูมิใจไทย” ขณะที่พรรคประชาชน พักหลังโดนกระแสสังคม “จับตา-จับตาย”หลายแอ๊คชั่นของส.ส.ในสังกัด ที่เหมือนบางท่านจะ“วุฒิภาวะบกพร่อง”กระบวนการ “คิด” และ “ประสบการณ์” แม้ว่ามวลหมู่คนเจนเนอเรชั่นเดียวกันในมุมมืดจะฟันธงล่วงหน้า “อย่างไรก็จะเลือก” แต่โอกาสที่พรรคประชาชนจะเทียบชั้นบริหารราชการแผ่นดินเบอร์ 1 ก็ยังคงมีขบวนการเตะตัดขา “ยุ่บ-ยั่บ”ต่อเนื่อ...แม้สนามหน้าจะแลนด์สไลด์ก็ตาม...เว้นแต่พรรคใหญ่สมัยหน้าจะกวักมือเทียบเชิญจัดตั้งรัฐบาลข้ามสปีชี่... @ “นักการเมือง”และ“สื่อ” คือ พลวัตรชี้นำสังคมไทย โดยมี “คุณภาพประชาชนไทย”เป็นฐานองคาพยพขับเคลื่อน ทั้งการ “ส่งต่อ”และ “การสังเคราะห์ข้อมูล” กระบวนการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นตัวอย่างแอ็คชั่นทางการเมืองเพื่อ “ฟอกขาว”ตนตัวของบรรดานักการเมือง เมื่อ “สื่อ”ระดม“สารมวลชน” ให้ประชาชนคำนวณบวกลบคูณหาร อาการลุกลี้ลุกลนตามสำนวน “ถอยแบบสุดซอย”จึงเกิดขึ้น... และแน่นอนก็ต้องตอบคำถามประชาชนด้วยเพราะบางพรรคร่วมรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง 1” ชูธงเป็นนโยบายหาเสียง @ หากพลิกประเด็นในนโยบายหาเสียงแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคการเมืองไทยแล้ว โดยพิจารณาจากทุกพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฏร จะเห็นว่าทุกพรรค ออกอาการอุจจาระหดผายลมหายกับคำว่า “รัฐประหาร” ทั้งต่อต้าน ทั้งห้ามนิรโทษกรรม ทั้งกำหนดบทลงโทษ พาลโพเลโพเกไปถึงองค์กรอิสระที่เสนอให้ต้องลดบทบาทอำนาจ ให้มีการคานอำนาจ...อาการของนักการเมืองที่เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ “เหนือเมฆ”มองมุมไหนก็ล้วนแต่เป็นนักการเมืองหรือพรรคการเมืองสาย “กินปูนร้อนท้อง”...@ วุฒิสภาสายสีน้ำเงิน...ก็เป็นผลลัพธ์เชิงประจักษ์ของพรรคการเมืองไทยที่พยายามอาศัยช่องว่างช่องโหว่ของนิยามการให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาตัวแทนประชาชนจากทุกสาขาอาชีพ และสุดท้ายภาพของ “วุฒิสภา”ที่ต้องทำงานร้อยรัดกับเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็เลยบังเกิดขึ้นในเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ... “เกียรติยศ”และ “ศักดิ์ศรี” กินไม่ได้แต่“เท่” มันมีจริงๆครับเสี่ย...! @ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและมท.1 เลี่ยงที่จะตอบคำถามกรณี คำถามสื่อที่ว่า ครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ บ้านใหญ่ภูมิใจไทย ดอดเข้าพบ ทักษิณ ชินวัตร บ้านใหญ่เพื่อไทย...จริงหรือไม่ ณ นาทีนี้ “เหนือเมฆ”ยังไม่ฟันธง แต่อาการ “เลี่ยง” และโบกมือ “บ๊ายบาย”สื่อ มันผิดวิสัยปกติของมท.1 “พี่หนู”...แต่ที่แน่ๆ ถ้าจริง มันคงไม่ใช่เรื่อง “ไร้สาระ”แน่นอน...@ เสียงอำนวยอวยพรก้องฟ้าบุรีรัมย์ของ เนวิน ชิดชอบ “ขอให้อนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี”ยังดังก้องในพิธีปะกำช้างวันคล้ายวันเกิดครูใหญ่เนวิน ขณะผูกข้อไม้ข้อมือ พรนี้ทำเอา “อนุทิน ชาญวีรกูล” ออกอาการสะดุ้งโหยง ไมครูใหญ่ช่างกล้า...เอาเรื่องจริงมาพูดเล่น..นิ ! @ ส่งท้าย น.ส.พ.ประชาไทนิวส์ออนไลน์ ขอแสดงความยินดีกับ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 15 แห่งอาณาจักรพิทักษ์สันติราษฎร์ไทย คดีความต่อเนื่องใดๆที่ใครๆต่างก็ลุ้นระทึกตั้งแต่ครั้ง “รักษาการ” มาถึง “ตัวจริง-เสียงจริง”ในวันนี้ “เหนือเมฆ” ไม่คาดหวังสิ่งใด นอกจาก “ภาพลักษณ์เชิงบวก”ของวงการตำรวจไทย...ที่สาละวันถอยหลังและสาละวันเตี้ยลงมานานหลายขวบปี...มีฝีมือแค่ไหน “เดินหน้าลงมือทำทันที” ครับท่าน...ตะเบ๊ะ !
    -เหนือเมฆ-

    น.ส.พ.ประชาไทนิวส์ออนไลน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 59 ประจำเดือนตุลาคม 2567 @ ประเทศไทยต้องมี “แผนป้องกันน้ำท่วมระยะยาว”ออกจากปากของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็น“วิสัยทัศน์”ที่ควรค่าต่อการ“ปรบมือ”และ“ติดตาม”... “เหนือเมฆ” แนะให้ดู “วิธีคิด-วิธีการ”ของผู้บริหาร “แชงกรีลาเชียงใหม่โมเดล” เป็นแรงกระชากใจ...กล้าคิด กล้าทำ @ ดราม่าไอแพดบบนเวที ACD summit กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ชุดความรู้สำหรับ “สร.1 ป้ายแดง” “เหนือเมฆ”ให้กำลังใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คำเมืองเปิ้นว่า “แมงแสนตี๋นต๋ายตกน้ำบ่อ”...ประมาณว่า ไม่เคยมีใครไม่เคยผิดพลาด ภาวะผู้นำเบอร์ 1 ของประเทศ บางฟิลต้อง “นิ่ง”ให้เป็น.. “เหนือเมฆ” ใคร่อยากรู้นัก ใครเป็นทีมที่ปรึกษา-ทีมPR อยากหยิกให้เนื้อเขียวเชียว...@ “นายกอุ๊งอิ๊ง”อ้อนออดขอกำลังใจจากผู้อาวุโส“สายม๊อบ” ที่เอะอะก็จะเป่านกหวีดชวนคนลงถนนตะพึ่ด “เพิ่งทำงานได้แค่เดือนเดียวเอง..” ลำพัง“นิติสงคราม”จากพี่ๆนักร้องมืออาชีพที่เคารพก็กองพะเนินเทินทึกจ่อคอหอย ขบวนการตามล้างตามเช็ดตระกูล “ชินวัตร” รายล้อมรอบตัว...งานนี้ คุณพ่อที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร ต้องติวเข้ม “ลูกอุ๊งอิ๊ง” ทุกกระเบียดนิ้วปฏิกริยา...ปล่อย“สหายใหญ่” เป็นโค้ชคนเดียวน่าจะเอาไม่อยู่ @ ก็ชอบแล้วที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงนามคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษาเพิ่มเติม 2 คน ธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาศ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โปรเจ็คต์ปะจะฉะดะพะบู๊กับแรงเสียดทานทั้งสายบู๊สายบุ๋นนอกในสภา...คู่หูดูโอ้นี้น่าจะบรรเทาเบาแรงให้ “นายกอุ๊งอิ๊ง”มีเวลาทำงานเพิ่มมากขึ้น @ ยามนี้พรรคการเมืองไทยที่กระโดดโลดเต้นในหน้าสื่อรายวัน ดูเหมือนจะมีโดดเด่นเพียง “เพื่อไทย”กับ “ภูมิใจไทย” ขณะที่พรรคประชาชน พักหลังโดนกระแสสังคม “จับตา-จับตาย”หลายแอ๊คชั่นของส.ส.ในสังกัด ที่เหมือนบางท่านจะ“วุฒิภาวะบกพร่อง”กระบวนการ “คิด” และ “ประสบการณ์” แม้ว่ามวลหมู่คนเจนเนอเรชั่นเดียวกันในมุมมืดจะฟันธงล่วงหน้า “อย่างไรก็จะเลือก” แต่โอกาสที่พรรคประชาชนจะเทียบชั้นบริหารราชการแผ่นดินเบอร์ 1 ก็ยังคงมีขบวนการเตะตัดขา “ยุ่บ-ยั่บ”ต่อเนื่อ...แม้สนามหน้าจะแลนด์สไลด์ก็ตาม...เว้นแต่พรรคใหญ่สมัยหน้าจะกวักมือเทียบเชิญจัดตั้งรัฐบาลข้ามสปีชี่... @ “นักการเมือง”และ“สื่อ” คือ พลวัตรชี้นำสังคมไทย โดยมี “คุณภาพประชาชนไทย”เป็นฐานองคาพยพขับเคลื่อน ทั้งการ “ส่งต่อ”และ “การสังเคราะห์ข้อมูล” กระบวนการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นตัวอย่างแอ็คชั่นทางการเมืองเพื่อ “ฟอกขาว”ตนตัวของบรรดานักการเมือง เมื่อ “สื่อ”ระดม“สารมวลชน” ให้ประชาชนคำนวณบวกลบคูณหาร อาการลุกลี้ลุกลนตามสำนวน “ถอยแบบสุดซอย”จึงเกิดขึ้น... และแน่นอนก็ต้องตอบคำถามประชาชนด้วยเพราะบางพรรคร่วมรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง 1” ชูธงเป็นนโยบายหาเสียง @ หากพลิกประเด็นในนโยบายหาเสียงแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคการเมืองไทยแล้ว โดยพิจารณาจากทุกพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฏร จะเห็นว่าทุกพรรค ออกอาการอุจจาระหดผายลมหายกับคำว่า “รัฐประหาร” ทั้งต่อต้าน ทั้งห้ามนิรโทษกรรม ทั้งกำหนดบทลงโทษ พาลโพเลโพเกไปถึงองค์กรอิสระที่เสนอให้ต้องลดบทบาทอำนาจ ให้มีการคานอำนาจ...อาการของนักการเมืองที่เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ “เหนือเมฆ”มองมุมไหนก็ล้วนแต่เป็นนักการเมืองหรือพรรคการเมืองสาย “กินปูนร้อนท้อง”...@ วุฒิสภาสายสีน้ำเงิน...ก็เป็นผลลัพธ์เชิงประจักษ์ของพรรคการเมืองไทยที่พยายามอาศัยช่องว่างช่องโหว่ของนิยามการให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาตัวแทนประชาชนจากทุกสาขาอาชีพ และสุดท้ายภาพของ “วุฒิสภา”ที่ต้องทำงานร้อยรัดกับเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็เลยบังเกิดขึ้นในเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ... “เกียรติยศ”และ “ศักดิ์ศรี” กินไม่ได้แต่“เท่” มันมีจริงๆครับเสี่ย...! @ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและมท.1 เลี่ยงที่จะตอบคำถามกรณี คำถามสื่อที่ว่า ครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ บ้านใหญ่ภูมิใจไทย ดอดเข้าพบ ทักษิณ ชินวัตร บ้านใหญ่เพื่อไทย...จริงหรือไม่ ณ นาทีนี้ “เหนือเมฆ”ยังไม่ฟันธง แต่อาการ “เลี่ยง” และโบกมือ “บ๊ายบาย”สื่อ มันผิดวิสัยปกติของมท.1 “พี่หนู”...แต่ที่แน่ๆ ถ้าจริง มันคงไม่ใช่เรื่อง “ไร้สาระ”แน่นอน...@ เสียงอำนวยอวยพรก้องฟ้าบุรีรัมย์ของ เนวิน ชิดชอบ “ขอให้อนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี”ยังดังก้องในพิธีปะกำช้างวันคล้ายวันเกิดครูใหญ่เนวิน ขณะผูกข้อไม้ข้อมือ พรนี้ทำเอา “อนุทิน ชาญวีรกูล” ออกอาการสะดุ้งโหยง ไมครูใหญ่ช่างกล้า...เอาเรื่องจริงมาพูดเล่น..นิ ! @ ส่งท้าย น.ส.พ.ประชาไทนิวส์ออนไลน์ ขอแสดงความยินดีกับ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 15 แห่งอาณาจักรพิทักษ์สันติราษฎร์ไทย คดีความต่อเนื่องใดๆที่ใครๆต่างก็ลุ้นระทึกตั้งแต่ครั้ง “รักษาการ” มาถึง “ตัวจริง-เสียงจริง”ในวันนี้ “เหนือเมฆ” ไม่คาดหวังสิ่งใด นอกจาก “ภาพลักษณ์เชิงบวก”ของวงการตำรวจไทย...ที่สาละวันถอยหลังและสาละวันเตี้ยลงมานานหลายขวบปี...มีฝีมือแค่ไหน “เดินหน้าลงมือทำทันที” ครับท่าน...ตะเบ๊ะ ! -เหนือเมฆ-
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 1442 Views 0 Reviews
  • Boris Johnson อดีตนายกฯอังกฤษ ละเมิดกฏสำนักพระราชวัง เขียนหนังสือเกี่ยวกับควีนเอลิซาเบธที่ 2เปิดเผยอาการประชวรโรคมะเร็งกระดูกก่อนเสด็จสวรรคต สำนักพระราชวังอังกฤษชี้ไม่ควรทำอย่างยิ่งเพราะ “ผิด” กฎราชวงศ์

    2 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า หนังสือบันทึกความทรงจำ Boris Johnson Unleashed ของอดีตนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันของอังกฤษที่จะออกวางจำหน่ายวันที่ 10 ตุลาคมนี้ กำลังเผชิญกระแสสังคมอย่างมาก กรณีที่เขาออกมาเปิดเผยข้อความในหนังสือบันทึกความทรงจำของเขาเกี่ยวกับพระอาการประชวรของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และช่วงเวลาสุดท้ายของพระองค์ที่เมืองบัลมอรัล ในสกอตแลนด์ว่าทรงประชวรด้วย “โรคมะเร็งกระดูก” ก่อนสวรรคต ซึ่งหลังจากสำนักพระราชวังของอังกฤษทราบเรื่องดังกล่าวก็ได้ออกมาตำหนิว่าเขาไม่ควรเปิดเผยพระอาการประชวรของพระองค์พร้อมทั้งชี้ว่านี่คือการละเมิดกฎพระราชวงศ์

    ส่วนหนึ่งในหนังสือของจอห์นสันระบุว่า “พระองค์ดูซีดและหลังค่อมขึ้น และมีรอยฝกช้ำดำเขียวที่บริเวณข้อมือ ซึ่งน่าจะเกิดจากการให้น้ำเกลือหรือฉีดยา แต่พระองค์ดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากความเจ็บปวดเลย ในระหว่างสนทนาพระองค์พระองค์ยังคงยิ้มกว้างอย่างสดใส รอยยิ้มของพระองค์ทำให้สดชื่นเป็นอย่างมาก” นอกจากนี้จอห์นสันได้ระบุว่าการที่เขาได้เฝ้าทูลละอองพระบาทของนายกรัฐมนตรีประจำสัปดาห์กับพระราชินีถือเป็น “สิทธิพิเศษ” และ “กำลังใจ” ให้กับตัวเขาเองด้วย

    ไม่เพียงเท่านี้แต่จอห์นสันยังเขียนถึงอาการประชวรของควีนเอลิซาเบธที่ 2 เอาไว้ว่า “ผมทราบมานานกว่าหนึ่งปีแล้วว่าพระองค์ทรงประชวรด้วยโรคมะเร็งกระดูก และแพทย์ก็เป็นห่วงว่าอาการของพระองค์จะทรุดลงได้ทุกเมื่อ”

    คำบอกเล่าของจอห์นสันนี้ นับว่าขัดกับสาเหตุการสิ้นพระชนม์ ที่สำนักพระราชวังแถลงว่า สาเหตุเกิดจาก “วัยชรา” และการเปิดเผยของจอหืนสันกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครั้งเพราะตั้งแต่ที่ควีนเอลิซาเบธที่ 2 สิ้นพระชนม์ในเดือนกันยายน ปี 2022 สำนักพระราชวงศ์บักกิงแฮมก็ไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

    อย่างไรก็ตาม จอห์นสันไม่ใช่ผู้นำอังกฤษคนแรกที่ที่เขียนบันทึกรำลึกถึงเรื่องราวในสมัยที่ดำรงตำแหน่งนายกฯที่เข้าเฝ้าพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 อดีตนายกรัฐมนตรี โทนี่ แบลร์, กอร์ดอน บราวน์, และ เดวิด คาเมรอน ต่างก็เคยเขียนหนังสือบันทึกเหตุการณ์การถวายงานกับควีนเอลิซาเบธที่2 เช่นกัน แต่เป็นการกล่าวถึงแบบโดยภาพรวม ไม่ได้มีการลงรายละเอียดที่ชัดเจนแบบเดียวกับจอห์นสัน

    ทั้งนี้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์อังกฤษจะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการแพทย์ของสมาชิกราชวงศ์ต่อสาธารณชน จนกระทั่งในกรณีของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และ เจ้าหญิงแคทเธอรีนแห่งเวลส์ ที่ทางสำนักพระราชวังบักกิงแฮมเลือกที่จะเปิดเผยอาการประชวรและข้อมูลการรักษาตัวของพระองค์ซึ่งเป็นไปตามพระประสงค์ของทั้ง 2 พระองค์ที่ต้องการแบ่งปันประสบการณ์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง

    ภาพ : จากเฟซบุ๊กBoris Johnson

    #Thaitimes
    Boris Johnson อดีตนายกฯอังกฤษ ละเมิดกฏสำนักพระราชวัง เขียนหนังสือเกี่ยวกับควีนเอลิซาเบธที่ 2เปิดเผยอาการประชวรโรคมะเร็งกระดูกก่อนเสด็จสวรรคต สำนักพระราชวังอังกฤษชี้ไม่ควรทำอย่างยิ่งเพราะ “ผิด” กฎราชวงศ์ 2 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า หนังสือบันทึกความทรงจำ Boris Johnson Unleashed ของอดีตนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันของอังกฤษที่จะออกวางจำหน่ายวันที่ 10 ตุลาคมนี้ กำลังเผชิญกระแสสังคมอย่างมาก กรณีที่เขาออกมาเปิดเผยข้อความในหนังสือบันทึกความทรงจำของเขาเกี่ยวกับพระอาการประชวรของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และช่วงเวลาสุดท้ายของพระองค์ที่เมืองบัลมอรัล ในสกอตแลนด์ว่าทรงประชวรด้วย “โรคมะเร็งกระดูก” ก่อนสวรรคต ซึ่งหลังจากสำนักพระราชวังของอังกฤษทราบเรื่องดังกล่าวก็ได้ออกมาตำหนิว่าเขาไม่ควรเปิดเผยพระอาการประชวรของพระองค์พร้อมทั้งชี้ว่านี่คือการละเมิดกฎพระราชวงศ์ ส่วนหนึ่งในหนังสือของจอห์นสันระบุว่า “พระองค์ดูซีดและหลังค่อมขึ้น และมีรอยฝกช้ำดำเขียวที่บริเวณข้อมือ ซึ่งน่าจะเกิดจากการให้น้ำเกลือหรือฉีดยา แต่พระองค์ดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากความเจ็บปวดเลย ในระหว่างสนทนาพระองค์พระองค์ยังคงยิ้มกว้างอย่างสดใส รอยยิ้มของพระองค์ทำให้สดชื่นเป็นอย่างมาก” นอกจากนี้จอห์นสันได้ระบุว่าการที่เขาได้เฝ้าทูลละอองพระบาทของนายกรัฐมนตรีประจำสัปดาห์กับพระราชินีถือเป็น “สิทธิพิเศษ” และ “กำลังใจ” ให้กับตัวเขาเองด้วย ไม่เพียงเท่านี้แต่จอห์นสันยังเขียนถึงอาการประชวรของควีนเอลิซาเบธที่ 2 เอาไว้ว่า “ผมทราบมานานกว่าหนึ่งปีแล้วว่าพระองค์ทรงประชวรด้วยโรคมะเร็งกระดูก และแพทย์ก็เป็นห่วงว่าอาการของพระองค์จะทรุดลงได้ทุกเมื่อ” คำบอกเล่าของจอห์นสันนี้ นับว่าขัดกับสาเหตุการสิ้นพระชนม์ ที่สำนักพระราชวังแถลงว่า สาเหตุเกิดจาก “วัยชรา” และการเปิดเผยของจอหืนสันกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครั้งเพราะตั้งแต่ที่ควีนเอลิซาเบธที่ 2 สิ้นพระชนม์ในเดือนกันยายน ปี 2022 สำนักพระราชวงศ์บักกิงแฮมก็ไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ อย่างไรก็ตาม จอห์นสันไม่ใช่ผู้นำอังกฤษคนแรกที่ที่เขียนบันทึกรำลึกถึงเรื่องราวในสมัยที่ดำรงตำแหน่งนายกฯที่เข้าเฝ้าพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 อดีตนายกรัฐมนตรี โทนี่ แบลร์, กอร์ดอน บราวน์, และ เดวิด คาเมรอน ต่างก็เคยเขียนหนังสือบันทึกเหตุการณ์การถวายงานกับควีนเอลิซาเบธที่2 เช่นกัน แต่เป็นการกล่าวถึงแบบโดยภาพรวม ไม่ได้มีการลงรายละเอียดที่ชัดเจนแบบเดียวกับจอห์นสัน ทั้งนี้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์อังกฤษจะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการแพทย์ของสมาชิกราชวงศ์ต่อสาธารณชน จนกระทั่งในกรณีของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และ เจ้าหญิงแคทเธอรีนแห่งเวลส์ ที่ทางสำนักพระราชวังบักกิงแฮมเลือกที่จะเปิดเผยอาการประชวรและข้อมูลการรักษาตัวของพระองค์ซึ่งเป็นไปตามพระประสงค์ของทั้ง 2 พระองค์ที่ต้องการแบ่งปันประสบการณ์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง ภาพ : จากเฟซบุ๊กBoris Johnson #Thaitimes
    Like
    Sad
    4
    1 Comments 0 Shares 1352 Views 0 Reviews
More Results