• น้ำตาแห่งมิวนิค

    เสียงเครื่องยนต์ขาดช่วงกลางสายลม ไฟลุกโหมกลางหิมะขาวพร่างพราว รอยยิ้มแห่งชัยชนะเมื่อคราว กลับกลายเป็นเถ้าถ่าน ล่องลอยไป

    เหล่าปีศาจแดงสิ้นแสงกลางฟ้า ความฝันล่องลอยไปกลางสายตา บอกลาฟุตบอลที่รัก ตลอดมา เสียงเชียร์เคยก้องฟ้า กลับเงียบงัน

    * น้ำตาหลั่งริน มิวนิคคืนนี้�ชีวิตที่มี ดับลงทันใด นักรบสนามหญ้า จากไป แต่หัวใจ…ยังคงอยู่ที่เดิม

    ใครกันที่ต้องรับผิดชอบ โยนความผิดลงบนบ่าคนเดียว กัปตันเจมส์ แบกรับความเปล่าเปลี่ยว ทั้งที่เขา…คือผู้พยายาม

    ** โลกจารึกชื่อพวกเขาตลอดไป ร่างดับไปแต่ตำนานยังหายใจ แมนเชสเตอร์ ยังคงก้าวต่อไป เพื่อพวกเค้า ที่จากไปในวันนั้น

    ซ้ำ *, **

    เสียงตะโกนดังก้องขึ้นอีกครา "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะไม่สิ้น" แม้ฟ้าแยกดินสะเทือนทั่วทั้งถิ่น ตำนานยังโบยบิน อยู่เหนือกาลเวลา

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 062314 ก.พ. 2568

    #MunichAirDisaster #แมนยูไนเต็ด #TearsOfMunich #BusbyBabes #ManchesterUnited #NeverForget #MUFC #FootballLegends #RedDevils #EternalGlory
    น้ำตาแห่งมิวนิค เสียงเครื่องยนต์ขาดช่วงกลางสายลม ไฟลุกโหมกลางหิมะขาวพร่างพราว รอยยิ้มแห่งชัยชนะเมื่อคราว กลับกลายเป็นเถ้าถ่าน ล่องลอยไป เหล่าปีศาจแดงสิ้นแสงกลางฟ้า ความฝันล่องลอยไปกลางสายตา บอกลาฟุตบอลที่รัก ตลอดมา เสียงเชียร์เคยก้องฟ้า กลับเงียบงัน * น้ำตาหลั่งริน มิวนิคคืนนี้�ชีวิตที่มี ดับลงทันใด นักรบสนามหญ้า จากไป แต่หัวใจ…ยังคงอยู่ที่เดิม ใครกันที่ต้องรับผิดชอบ โยนความผิดลงบนบ่าคนเดียว กัปตันเจมส์ แบกรับความเปล่าเปลี่ยว ทั้งที่เขา…คือผู้พยายาม ** โลกจารึกชื่อพวกเขาตลอดไป ร่างดับไปแต่ตำนานยังหายใจ แมนเชสเตอร์ ยังคงก้าวต่อไป เพื่อพวกเค้า ที่จากไปในวันนั้น ซ้ำ *, ** เสียงตะโกนดังก้องขึ้นอีกครา "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะไม่สิ้น" แม้ฟ้าแยกดินสะเทือนทั่วทั้งถิ่น ตำนานยังโบยบิน อยู่เหนือกาลเวลา ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 062314 ก.พ. 2568 #MunichAirDisaster #แมนยูไนเต็ด #TearsOfMunich #BusbyBabes #ManchesterUnited #NeverForget #MUFC #FootballLegends #RedDevils #EternalGlory
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 5 0 รีวิว
  • ว่าด้วยเรื่องตีกลองร้องฎีกา

    สวัสดีค่ะ ขออภัยที่หายเงียบไปสองสัปดาห์เพราะ Storyฯ งานเข้าและไม่สบายไปหลายวัน วันนี้ยังคงมีเกร็ดเรื่องเล่าจากละครเรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> มาคุยกัน เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้คงจำได้ว่ามีฉากหนึ่งที่มู่ปา น้องสาวของนางเอกเข้าเมืองหลวงมาตีกลองร้องฎีกาและต้องถูกโบยสามสิบพลองเพราะตีกลองนั้น

    และหากเพื่อนเพจได้ดูละครเรื่อง <สามบุปผาลิขิตฝัน> ก็จะเคยเห็นฉากที่นางเอกตีกลองร้องฎีกาแล้วต้องถูกโบยยี่สิบพลองก่อนเช่นกัน แต่ในเรื่อง <ตำนานหมิงหลัน> นั้น นางเอกก็เคยตีกลองร้องฎีกาแต่ไม่ต้องถูกโบย ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้เป็นเรื่องในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง แต่เรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เป็นราชวงศ์สมมุติที่อิงจากสมัยถัง

    เรื่องการถูกโบยก่อนได้ร้องทุกข์จึงเป็นที่มาของความ ‘เอ๊ะ’ ในวันนี้

    ในสมัยโบราณ ชาวบ้านต้องการร้องทุกข์ก็จะไปดักรอขบวนเสด็จ แต่เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน และเพื่อแสดงความห่วงใยในประชาชนของกษัตริย์ จึงมีการกำหนดจุดร้องฎีกาขึ้นเพื่อให้มีขั้นตอนที่ชัดเจน วัตถุประสงค์ไม่เพียงเพื่อให้ประชาชนร้องทุกข์ แต่เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนออกความเห็นในเรื่องต่างๆ ได้อีกด้วย

    จากบันทึกโจวหลี่ การตีกลองร้องทุกข์มีมาแต่สมัยราชวงศ์โจว (1046 - 256 ปีก่อนคริสตกาล) โดยมีการวางกลองไว้ข้างถนน มีทหารเวรยามดูแล เมื่อมีคนมาตีกลอง ทหารต้องรายงานเบื้องบนจนถึงพระกรรณ

    นอกจากนี้ ยังมีการร้องทุกข์ด้วยการไปยืนอย่างเงียบๆ ข้างหินสีแดงสูงประมาณ 8-9 ฟุต เรียกว่า ‘หินเฟ่ยสือ’ (肺石 แปลตรงตัวว่า ปอดที่ทำจากหิน) สำหรับคนที่ต้องการร้องทุกข์แบบไม่โพนทะนา ยืนสามวัน ทหารที่เฝ้าอยู่ก็จะพาตัวไปรับเรื่องอย่างเงียบๆ

    มีการใช้ระบบร้องทุกข์ทั้งสองแบบนี้ต่อเนื่องกันมาโดยกำหนดสถานที่และหน่วยงานผู้ดูแลแตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย และในสมัยถังได้มีการพัฒนาระบบการร้องทุกข์อย่างเข้มข้น มีการแยกกลองร้องทุกข์ออกมาเป็นสองแบบ กลองร้องฎีกาต่อฮ่องเต้เรียกว่ากลอง ‘เติงเหวินกู่’ (登闻鼓 แปลตรงตัวได้ประมาณว่ากลองที่เสียงดังไปถึงราชบัลลังก์ในท้องพระโรง) แตกต่างจากกลองร้องทุกข์ทั่วไปที่ชาวบ้านในตีหน้าศาลหรือหน้าสถานที่ว่าการท้องถิ่นที่เรียกว่า ‘หมิงเยวียนกู่’ (鸣冤鼓)

    มีการบันทึกว่าในสมัยถังนั้น มีการตั้งกลองเติงเหวินกู่และหินเฟ่ยสือที่หน้าประตูอาคารนอกท้องพระโรง และมีทหารยามเฝ้าเพื่อคอยรับเรื่อง (แต่ไม่ได้บอกว่ายังต้องยืนข้างหินเฟ่ยสือนานถึงสามวันหรือไม่) ต่อมาในสมัยจักรพรรดินีบูเช็กเทียนยกเลิกการเฝ้าโดยทหาร ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความกลัว และให้มีเจ้าหน้าที่หน่วยตรวจสอบขุนนางหรือที่เรียกว่า ‘อวี้สื่อไถ’ (御史台) มารับคำร้องโดยตรง

    ในยุคสมัยต่อมายังคงมีการใช้กลองเติงเหวินกู่ แต่นานวันเข้า เรื่องที่ได้รับการร้องทุกข์ผ่านการตีกลองเติงเหวินกู่ดูจะพร่ำเพรื่อขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้เป็นเรื่องร้องเรียนขุนนางระดับสูงหรือเรื่องระดับชาติบ้านเมือง จนทำให้ฮ่องเต้ต้องทรงหมดเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ในสมัยซ่งมีคดีร้องทุกข์ที่โด่งดังจนถูกจารึกไว้ในสมัยองค์ซ่งไท่จงว่า มีชาวบ้านมาตีกลองร้องฎีกาตามหาหมูที่หายไป จึงทรงพระราชทานเงินให้เป็นการชดเชย เป็นเรื่องเล่าที่แสดงถึงความ ‘เข้าถึง’ และความใส่พระทัยองค์ฮ่องเต้ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความยิบย่อยของเรื่องที่มีการร้องฏีกา

    ในรัชสมัยต่อมาในราชวงศ์ซ่งจึงมีการพัฒนาระบบการร้องฎีกายิ่งขึ้น โดยกำหนดที่ตั้งกลองเติงเหวินกู่ไว้สามจุด ต่อมายุบเหลือสองจุด โดยมีหน่วยงานที่ดูแลแต่ละจุดและกลั่นกรองเรื่องต่างกัน

    ต่อมาในยุคหมิงและชิงยิ่งมีข้อกำหนดที่เข้มข้นมากขึ้นเกี่ยวกับการตีกลองเติงเหวินกู่ โดยกำหนดให้ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการทหารและการบริหารบ้านเมืองที่สำคัญ การทุจริตในระดับสูง หรือเรื่องที่ได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างผิดแปลกมากเท่านั้น และในสมัยชิงนี่เองที่มีการกำหนดไว้ว่า ผู้ที่ตีกลองเติงเหวินกู่นั้น ต้องถูกโบยสามสิบพลองก่อน จึงจะยื่นฎีกาได้

    เมื่อกลองเติงเหวินกู่ดัง องค์ราชันมิอาจเพิกเฉย

    เนื่องด้วยเป็นเรื่องที่รู้ถึงพระเนตรพระกรรณ องค์ฮ่องเต้จึงทรงสามารถเข้าร่วมกระบวนการไต่สวนของหน่วยงานต่างๆ หรือทรงไต่สวนด้วยองค์เองก็ย่อมได้ และท้ายสุดจะทรงเป็นผู้ตัดสินคดีเอง แต่ในความเป็นจริงนั้นกระบวนการร้องฎีกานี้มีการรับเรื่องและตรวจสอบผ่านหน่วยงานต่างๆ ตามขั้นตอน ดังนั้น หนทางสู่การได้รับความยุติธรรมของผู้ที่ร้องทุกข์ก็ไม่ได้ง่ายหรือตรงไปตรงมาอย่างที่เราเห็นในละคร

    แต่ทั้งนี้ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ชาวบ้านยังสามารถตีกลองร้องทุกข์ปกติหน้าที่ว่าการอำเภอหรือหน้าศาลได้ โดยมีบทกำหนดขั้นตอนและเนื้อหาของเรื่องที่ร้องเรียน ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุและชนชั้นของผู้ที่ต้องการร้องทุกข์อีกด้วย อีกทั้งยังมีบทลงโทษรุนแรงสำหรับผู้ที่ร้องเรียนด้วยข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ

    สรุปได้ว่า ในบริบทของสมัยถังนั้น Stoyฯ ไม่พบข้อมูลว่ามีการโบยผู้ตีกลองร้องฏีกาแต่อย่างใด

    ส่วนในสมัยซ่งซึ่งเป็นฉากหลังของละครเรื่อง <สามบุปผาลิขิตฝัน> และ <ตำนานหมิงหลัน> นั้น Storyฯ อ่านพบบทวิเคราะห์ว่า ในเรื่อง <สามบุปผาลิขิตฝัน> นั้น นางเอกตีกลองร้องทุกข์ว่าถูกผู้ชายหลอกว่าจะแต่งงานด้วยและพยายามหลอกเงิน ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วอย่างชัดเจน (คือยังไม่ได้แต่งงานและเงินก็ไม่ได้ถูกเอาไป) อีกทั้งนางเป็นบุตรีของขุนนางที่เคยต้องโทษ จึงต้องถูกโบยยี่สิบพลองก่อนเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้กล่าวหาเท็จ แต่ในเรื่อง <ตำนานหมิงหลัน> นั้น นางเอกไม่ต้องถูกโบยเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักโดยตรงและเป็นการร้องเรียนโดยตัวนางเอกซึ่งมียศสูง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Storyฯ หาไม่พบข้อมูลอื่นที่มายืนยันว่าในสมัยซ่งมีการโบยผู้ตีกลองร้องฎีกาจริงๆ หากท่านใดเคยผ่านตาผ่านหูมาก็บอกกล่าวกันได้ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.wpzysq.com/thread-137854.htm
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/登闻鼓/9859346
    https://baike.baidu.com/item/肺石/5742166
    https://www.bj148.org/wh/bl/zh/201907/t20190718_1521655.html
    https://www.163.com/dy/article/GB17LQI20543L1MM.html
    https://www.gugong.net/wenhua/39062.html
    https://www.youtube.com/watch?v=O06IQj2yGKk

    #ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์ #ตำนานหมิงหลัน #สามบุปผาลิขิตฝัน #กระบวนการร้องทุกข์ #ตีกลองร้องทุกข์
    ว่าด้วยเรื่องตีกลองร้องฎีกา สวัสดีค่ะ ขออภัยที่หายเงียบไปสองสัปดาห์เพราะ Storyฯ งานเข้าและไม่สบายไปหลายวัน วันนี้ยังคงมีเกร็ดเรื่องเล่าจากละครเรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> มาคุยกัน เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้คงจำได้ว่ามีฉากหนึ่งที่มู่ปา น้องสาวของนางเอกเข้าเมืองหลวงมาตีกลองร้องฎีกาและต้องถูกโบยสามสิบพลองเพราะตีกลองนั้น และหากเพื่อนเพจได้ดูละครเรื่อง <สามบุปผาลิขิตฝัน> ก็จะเคยเห็นฉากที่นางเอกตีกลองร้องฎีกาแล้วต้องถูกโบยยี่สิบพลองก่อนเช่นกัน แต่ในเรื่อง <ตำนานหมิงหลัน> นั้น นางเอกก็เคยตีกลองร้องฎีกาแต่ไม่ต้องถูกโบย ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้เป็นเรื่องในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง แต่เรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เป็นราชวงศ์สมมุติที่อิงจากสมัยถัง เรื่องการถูกโบยก่อนได้ร้องทุกข์จึงเป็นที่มาของความ ‘เอ๊ะ’ ในวันนี้ ในสมัยโบราณ ชาวบ้านต้องการร้องทุกข์ก็จะไปดักรอขบวนเสด็จ แต่เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน และเพื่อแสดงความห่วงใยในประชาชนของกษัตริย์ จึงมีการกำหนดจุดร้องฎีกาขึ้นเพื่อให้มีขั้นตอนที่ชัดเจน วัตถุประสงค์ไม่เพียงเพื่อให้ประชาชนร้องทุกข์ แต่เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนออกความเห็นในเรื่องต่างๆ ได้อีกด้วย จากบันทึกโจวหลี่ การตีกลองร้องทุกข์มีมาแต่สมัยราชวงศ์โจว (1046 - 256 ปีก่อนคริสตกาล) โดยมีการวางกลองไว้ข้างถนน มีทหารเวรยามดูแล เมื่อมีคนมาตีกลอง ทหารต้องรายงานเบื้องบนจนถึงพระกรรณ นอกจากนี้ ยังมีการร้องทุกข์ด้วยการไปยืนอย่างเงียบๆ ข้างหินสีแดงสูงประมาณ 8-9 ฟุต เรียกว่า ‘หินเฟ่ยสือ’ (肺石 แปลตรงตัวว่า ปอดที่ทำจากหิน) สำหรับคนที่ต้องการร้องทุกข์แบบไม่โพนทะนา ยืนสามวัน ทหารที่เฝ้าอยู่ก็จะพาตัวไปรับเรื่องอย่างเงียบๆ มีการใช้ระบบร้องทุกข์ทั้งสองแบบนี้ต่อเนื่องกันมาโดยกำหนดสถานที่และหน่วยงานผู้ดูแลแตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย และในสมัยถังได้มีการพัฒนาระบบการร้องทุกข์อย่างเข้มข้น มีการแยกกลองร้องทุกข์ออกมาเป็นสองแบบ กลองร้องฎีกาต่อฮ่องเต้เรียกว่ากลอง ‘เติงเหวินกู่’ (登闻鼓 แปลตรงตัวได้ประมาณว่ากลองที่เสียงดังไปถึงราชบัลลังก์ในท้องพระโรง) แตกต่างจากกลองร้องทุกข์ทั่วไปที่ชาวบ้านในตีหน้าศาลหรือหน้าสถานที่ว่าการท้องถิ่นที่เรียกว่า ‘หมิงเยวียนกู่’ (鸣冤鼓) มีการบันทึกว่าในสมัยถังนั้น มีการตั้งกลองเติงเหวินกู่และหินเฟ่ยสือที่หน้าประตูอาคารนอกท้องพระโรง และมีทหารยามเฝ้าเพื่อคอยรับเรื่อง (แต่ไม่ได้บอกว่ายังต้องยืนข้างหินเฟ่ยสือนานถึงสามวันหรือไม่) ต่อมาในสมัยจักรพรรดินีบูเช็กเทียนยกเลิกการเฝ้าโดยทหาร ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความกลัว และให้มีเจ้าหน้าที่หน่วยตรวจสอบขุนนางหรือที่เรียกว่า ‘อวี้สื่อไถ’ (御史台) มารับคำร้องโดยตรง ในยุคสมัยต่อมายังคงมีการใช้กลองเติงเหวินกู่ แต่นานวันเข้า เรื่องที่ได้รับการร้องทุกข์ผ่านการตีกลองเติงเหวินกู่ดูจะพร่ำเพรื่อขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้เป็นเรื่องร้องเรียนขุนนางระดับสูงหรือเรื่องระดับชาติบ้านเมือง จนทำให้ฮ่องเต้ต้องทรงหมดเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ในสมัยซ่งมีคดีร้องทุกข์ที่โด่งดังจนถูกจารึกไว้ในสมัยองค์ซ่งไท่จงว่า มีชาวบ้านมาตีกลองร้องฎีกาตามหาหมูที่หายไป จึงทรงพระราชทานเงินให้เป็นการชดเชย เป็นเรื่องเล่าที่แสดงถึงความ ‘เข้าถึง’ และความใส่พระทัยองค์ฮ่องเต้ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความยิบย่อยของเรื่องที่มีการร้องฏีกา ในรัชสมัยต่อมาในราชวงศ์ซ่งจึงมีการพัฒนาระบบการร้องฎีกายิ่งขึ้น โดยกำหนดที่ตั้งกลองเติงเหวินกู่ไว้สามจุด ต่อมายุบเหลือสองจุด โดยมีหน่วยงานที่ดูแลแต่ละจุดและกลั่นกรองเรื่องต่างกัน ต่อมาในยุคหมิงและชิงยิ่งมีข้อกำหนดที่เข้มข้นมากขึ้นเกี่ยวกับการตีกลองเติงเหวินกู่ โดยกำหนดให้ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการทหารและการบริหารบ้านเมืองที่สำคัญ การทุจริตในระดับสูง หรือเรื่องที่ได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างผิดแปลกมากเท่านั้น และในสมัยชิงนี่เองที่มีการกำหนดไว้ว่า ผู้ที่ตีกลองเติงเหวินกู่นั้น ต้องถูกโบยสามสิบพลองก่อน จึงจะยื่นฎีกาได้ เมื่อกลองเติงเหวินกู่ดัง องค์ราชันมิอาจเพิกเฉย เนื่องด้วยเป็นเรื่องที่รู้ถึงพระเนตรพระกรรณ องค์ฮ่องเต้จึงทรงสามารถเข้าร่วมกระบวนการไต่สวนของหน่วยงานต่างๆ หรือทรงไต่สวนด้วยองค์เองก็ย่อมได้ และท้ายสุดจะทรงเป็นผู้ตัดสินคดีเอง แต่ในความเป็นจริงนั้นกระบวนการร้องฎีกานี้มีการรับเรื่องและตรวจสอบผ่านหน่วยงานต่างๆ ตามขั้นตอน ดังนั้น หนทางสู่การได้รับความยุติธรรมของผู้ที่ร้องทุกข์ก็ไม่ได้ง่ายหรือตรงไปตรงมาอย่างที่เราเห็นในละคร แต่ทั้งนี้ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ชาวบ้านยังสามารถตีกลองร้องทุกข์ปกติหน้าที่ว่าการอำเภอหรือหน้าศาลได้ โดยมีบทกำหนดขั้นตอนและเนื้อหาของเรื่องที่ร้องเรียน ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุและชนชั้นของผู้ที่ต้องการร้องทุกข์อีกด้วย อีกทั้งยังมีบทลงโทษรุนแรงสำหรับผู้ที่ร้องเรียนด้วยข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ สรุปได้ว่า ในบริบทของสมัยถังนั้น Stoyฯ ไม่พบข้อมูลว่ามีการโบยผู้ตีกลองร้องฏีกาแต่อย่างใด ส่วนในสมัยซ่งซึ่งเป็นฉากหลังของละครเรื่อง <สามบุปผาลิขิตฝัน> และ <ตำนานหมิงหลัน> นั้น Storyฯ อ่านพบบทวิเคราะห์ว่า ในเรื่อง <สามบุปผาลิขิตฝัน> นั้น นางเอกตีกลองร้องทุกข์ว่าถูกผู้ชายหลอกว่าจะแต่งงานด้วยและพยายามหลอกเงิน ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วอย่างชัดเจน (คือยังไม่ได้แต่งงานและเงินก็ไม่ได้ถูกเอาไป) อีกทั้งนางเป็นบุตรีของขุนนางที่เคยต้องโทษ จึงต้องถูกโบยยี่สิบพลองก่อนเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้กล่าวหาเท็จ แต่ในเรื่อง <ตำนานหมิงหลัน> นั้น นางเอกไม่ต้องถูกโบยเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักโดยตรงและเป็นการร้องเรียนโดยตัวนางเอกซึ่งมียศสูง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Storyฯ หาไม่พบข้อมูลอื่นที่มายืนยันว่าในสมัยซ่งมีการโบยผู้ตีกลองร้องฎีกาจริงๆ หากท่านใดเคยผ่านตาผ่านหูมาก็บอกกล่าวกันได้ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.wpzysq.com/thread-137854.htm Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/登闻鼓/9859346 https://baike.baidu.com/item/肺石/5742166 https://www.bj148.org/wh/bl/zh/201907/t20190718_1521655.html https://www.163.com/dy/article/GB17LQI20543L1MM.html https://www.gugong.net/wenhua/39062.html https://www.youtube.com/watch?v=O06IQj2yGKk #ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์ #ตำนานหมิงหลัน #สามบุปผาลิขิตฝัน #กระบวนการร้องทุกข์ #ตีกลองร้องทุกข์
    WWW.WPZYSQ.COM
    灼灼风流4K[全40集]古装/爱情/2023-4K专区-网盘资源社
    灼灼风流4K[全40集]古装/爱情/2023的网盘资源剧集简介该剧改编自随宇而安的小说《曾风流》。反抗传统婚姻制度、一心考取功名的事业脑女官慕灼华(景甜饰)与沙场沐血折戟、背负国仇家恨的美强惨战神刘衍(冯绍峰饰)彼此救赎、相知相爱,携手攘外安内、守卫国家,终成一代风流人物的故事。[ttreply]2023.灼灼风流4K
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • 67 ปี หายนะเที่ยวบิน 609 ไถลหิมะรันเวย์มิวนิค-รีม โยนความผิดนักบิน เสียชีวิตรวมทีมแมนยู 23 ศพ

    ย้อนรอยเหตุการณ์สุดเศร้า 67 ปี ที่ผ่านมา เที่ยวบิน 609 ของสายการบินบริติชยูโรเปียนแอร์เวย์ส ไถลออกนอกรันเวย์ ท่ามกลางหิมะ ณ สนามบินมิวนิค-รีม คร่าชีวิตนักเตะ และสตาฟฟ์ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวม 23 ศห พร้อมการสืบสวน ที่เต็มไปด้วยปริศนา และข้อครหา

    วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 คือวันแห่งโศกนาฏกรรม ที่สะเทือนวงการฟุตบอลโลก เที่ยวบินเช่าเหมาลำ British European Airways Flight 609 ซึ่งนำพาเหล่านักเตะ ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังจากอังกฤษ พร้อมสตาฟฟ์โค้ชและนักข่าว กลับจากการแข่งขันยูโรเปียนคัพ ที่ยูโกสลาเวีย ต้องแวะเติมน้ำมัน ที่สนามบินมิวนิค-รีม ประเทศเยอรมนีตะวันตก

    แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...
    เครื่องบินพยายามเทคออฟถึง 3 ครั้ง ก่อนจะลื่นไถลออกนอกรันเวย์ พุ่งชนอาคารและระเบิด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 23 ศพ รวมถึงนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 8 คน นี่คือเหตุการณ์ ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของ "ปีศาจแดง" ไปตลอดกาล

    📌 แต่เหตุใด เครื่องบินถึงไม่สามารถขึ้นบินได้?
    📌 ใครต้องรับผิดชอบ ต่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้?
    📌 เกิดอะไรขึ้นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากนั้น?

    ต้นเหตุของโศกนาฏกรรม อุบัติเหตุหรือข้อผิดพลาดของมนุษย์?
    เครื่องบินที่ใช้ในเที่ยวบินนี้คือ Airspeed AS.57 Ambassador ของสายการบิน British European Airways (BEA) โดยมี กัปตันเจมส์ เทรนต์ (James Thain) และผู้ช่วยนักบิน เคนเนตต์ เรย์เมนต์ (Kenneth Rayment) เป็นผู้ควบคุมเที่ยวบิน

    เมื่อเครื่องบินเดินทางมาถึง สนามบินมิวนิค-รีม ในช่วงบ่ายของวันนั้น สภาพอากาศเต็มไปด้วยหิมะ อุณหภูมิใกล้ 0 องศาเซลเซียส ส่งผลให้รันเวย์ เต็มไปด้วยน้ำแข็งบางๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญ ในการบิน

    กัปตันเทรนต์ พยายามนำเครื่องขึ้นบินถึง 3 ครั้ง แต่ประสบปัญหาทุกครั้ง

    1️⃣ ครั้งแรก เครื่องยนต์มีอาการกระตุก ทำให้กัปตันตัดสินใจ ยกเลิกการเทคออฟ
    2️⃣ ครั้งที่สอง ปัญหาเดิมเกิดขึ้น กัปตันต้องหยุดเที่ยวบินอีกครั้ง
    3️⃣ ครั้งที่สาม เครื่องบินเร่งความเร็วถึงระดับ V1 (ความเร็วที่ไม่สามารถหยุดบินได้) และเข้าสู่จุด Vrotate (จุดยกหัวเครื่อง) แต่ทันใดนั้น ความเร็วลดลงกะทันหัน ก่อนที่เครื่องจะสูญเสียแรงยก และไถลออกนอกรันเวย์

    ข้อสันนิษฐานสาเหตุที่แท้จริง
    ❄️ "น้ำแข็งบนปีกเครื่องบิน?"
    มีการกล่าวหาในตอนแรกว่า น้ำแข็งเกาะบนปีกเครื่องบิน ทำให้เกิดแรงต้านอากาศ และไม่สามารถยกตัวขึ้นบินได้ อย่างไรก็ตาม กัปตันเทรนต์ยืนยันว่า เขาได้ตรวจสอบปีกแล้ว และไม่มีน้ำแข็งเกาะอยู่

    🏁 "หิมะบนรันเวย์?"
    การสืบสวนในเวลาต่อมาชี้ว่า หิมะที่หนาถึง 5 เซนติเมตร บนปลายรันเวย์ อาจเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ลดความเร็วเครื่องบินลงทันที ส่งผลให้เครื่องบิน ไม่สามารถบินขึ้นได้

    🔥 "ความผิดพลาดของนักบิน?"
    ทางการเยอรมนีกลับชี้ว่า กัปตันเทรนต์ต้องรับผิดชอบ เนื่องจากไม่ได้ละลายน้ำแข็ง บนปีกเครื่องบิน ทั้งที่หลักฐานชี้ว่า ปัญหาเกิดจาก สภาพรันเวย์มากกว่า

    ในที่สุด กัปตันเทรนต์ถูกไล่ออกจาก BEA แม้ต่อมาจะได้รับการพิสูจน์ว่า ไม่มีความผิด แต่นั่นก็ไม่สามารถลบล้างตราบาป ที่ติดตัวไปตลอดชีวิตได้

    23 ชีวิตที่ต้องสูญเสีย บาดแผลที่ไม่มีวันลืม
    ในจำนวน 44 คน ที่โดยสารบนเครื่อง มี 23 ราย เสียชีวิตทันที หรือหลังจากนั้นไม่นาน รวมถึงนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โลกฟุตบอลต้องสูญเสีย ได้แก่

    ⚽ 8 นักเตะ "ปีศาจแดง" ที่จากไป
    โรเจอร์ ไบรน์ (Roger Byrne) กัปตันทีม
    เจฟฟ์ เบนท์ (Geoff Bent)
    เดวิด เพ็กก์ (David Pegg)
    มาร์ก โจนส์ (Mark Jones)
    บิลลี่ วีแลน (Billy Whelan)
    เอ็ดดี้ โคลแมน (Eddie Colman)
    ทอมมี่ เทย์เลอร์ (Tommy Taylor)
    ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ (Duncan Edwards) เสียชีวิตหลังจากนั้น 15 วัน

    📍 นักข่าวกีฬา 8 คน และทีมงานของแมนฯ ยูไนเต็ด 3 คน
    📍 ลูกเรือ 1 คน และผู้โดยสารอื่นๆ 2 คน

    💔 โศกนาฏกรรมครั้งนี้ ส่งผลกระทบมหาศาล ต่อวงการฟุตบอล โดยเฉพาะสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ต้องสูญเสียแข้งดาวรุ่ง ที่มีอนาคตไกล

    แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังโศกนาฏกรรม
    แม้จะเสียผู้เล่นหลักไปถึง 8 ราย แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงสู้ต่อไป ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง
    🔴 สโมสรได้รับความช่วยเหลือ จากลิเวอร์พูล ที่ยืมนักเตะให้ใช้งาน
    🔴 เซอร์ แมตต์ บัสบี้ (Sir Matt Busby) กุนซือผู้รอดชีวิต สร้างทีมใหม่ ด้วยดาวรุ่งอย่าง จอร์จ เบสต์, น็อบบี้ สไตล์ส และไบรอัน คิดด์
    🔴 ปี 1968 ยูไนเต็ดสามารถคว้าแชมป์ ยูโรเปียนคัพ ได้สำเร็จ เป็นสโมสรแรกของอังกฤษ ที่ทำได้

    💡 นี่คือสัญลักษณ์ของการไม่ยอมแพ้ และจิตวิญญาณของ "ปีศาจแดง" ที่ยังคงสืบทอด มาจนถึงปัจจุบัน

    โศกนาฏกรรมที่เป็นบทเรียน
    เหตุการณ์มิวนิค ไม่เพียงเป็นโศกนาฏกรรม ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญ ของอุตสาหกรรมการบิน

    ✈️ การพัฒนาเทคโนโลยีการบิน มีการบังคับใช้มาตรฐานใหม่ เกี่ยวกับการตรวจสอบรันเวย์ และน้ำแข็งบนปีกเครื่องบิน
    ⚖️ ความยุติธรรมที่ล่าช้า กัปตันเทรนต์ใช้เวลากว่า 10 ปี ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง

    🔴 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

    67 ปีผ่านไป แต่ "โศกนาฏกรรมมิวนิค" ยังคงเป็นเรื่องราว ที่แฟนบอลทั่วโลกไม่มีวันลืม 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 062132 ก.พ. 2568

    #Munich1958 #ManchesterUnited #NeverForget #BusbyBabes #MUFC
    67 ปี หายนะเที่ยวบิน 609 ไถลหิมะรันเวย์มิวนิค-รีม โยนความผิดนักบิน เสียชีวิตรวมทีมแมนยู 23 ศพ ย้อนรอยเหตุการณ์สุดเศร้า 67 ปี ที่ผ่านมา เที่ยวบิน 609 ของสายการบินบริติชยูโรเปียนแอร์เวย์ส ไถลออกนอกรันเวย์ ท่ามกลางหิมะ ณ สนามบินมิวนิค-รีม คร่าชีวิตนักเตะ และสตาฟฟ์ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวม 23 ศห พร้อมการสืบสวน ที่เต็มไปด้วยปริศนา และข้อครหา วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 คือวันแห่งโศกนาฏกรรม ที่สะเทือนวงการฟุตบอลโลก เที่ยวบินเช่าเหมาลำ British European Airways Flight 609 ซึ่งนำพาเหล่านักเตะ ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังจากอังกฤษ พร้อมสตาฟฟ์โค้ชและนักข่าว กลับจากการแข่งขันยูโรเปียนคัพ ที่ยูโกสลาเวีย ต้องแวะเติมน้ำมัน ที่สนามบินมิวนิค-รีม ประเทศเยอรมนีตะวันตก แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น... เครื่องบินพยายามเทคออฟถึง 3 ครั้ง ก่อนจะลื่นไถลออกนอกรันเวย์ พุ่งชนอาคารและระเบิด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 23 ศพ รวมถึงนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 8 คน นี่คือเหตุการณ์ ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของ "ปีศาจแดง" ไปตลอดกาล 📌 แต่เหตุใด เครื่องบินถึงไม่สามารถขึ้นบินได้? 📌 ใครต้องรับผิดชอบ ต่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้? 📌 เกิดอะไรขึ้นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากนั้น? ต้นเหตุของโศกนาฏกรรม อุบัติเหตุหรือข้อผิดพลาดของมนุษย์? เครื่องบินที่ใช้ในเที่ยวบินนี้คือ Airspeed AS.57 Ambassador ของสายการบิน British European Airways (BEA) โดยมี กัปตันเจมส์ เทรนต์ (James Thain) และผู้ช่วยนักบิน เคนเนตต์ เรย์เมนต์ (Kenneth Rayment) เป็นผู้ควบคุมเที่ยวบิน เมื่อเครื่องบินเดินทางมาถึง สนามบินมิวนิค-รีม ในช่วงบ่ายของวันนั้น สภาพอากาศเต็มไปด้วยหิมะ อุณหภูมิใกล้ 0 องศาเซลเซียส ส่งผลให้รันเวย์ เต็มไปด้วยน้ำแข็งบางๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญ ในการบิน กัปตันเทรนต์ พยายามนำเครื่องขึ้นบินถึง 3 ครั้ง แต่ประสบปัญหาทุกครั้ง 1️⃣ ครั้งแรก เครื่องยนต์มีอาการกระตุก ทำให้กัปตันตัดสินใจ ยกเลิกการเทคออฟ 2️⃣ ครั้งที่สอง ปัญหาเดิมเกิดขึ้น กัปตันต้องหยุดเที่ยวบินอีกครั้ง 3️⃣ ครั้งที่สาม เครื่องบินเร่งความเร็วถึงระดับ V1 (ความเร็วที่ไม่สามารถหยุดบินได้) และเข้าสู่จุด Vrotate (จุดยกหัวเครื่อง) แต่ทันใดนั้น ความเร็วลดลงกะทันหัน ก่อนที่เครื่องจะสูญเสียแรงยก และไถลออกนอกรันเวย์ ข้อสันนิษฐานสาเหตุที่แท้จริง ❄️ "น้ำแข็งบนปีกเครื่องบิน?" มีการกล่าวหาในตอนแรกว่า น้ำแข็งเกาะบนปีกเครื่องบิน ทำให้เกิดแรงต้านอากาศ และไม่สามารถยกตัวขึ้นบินได้ อย่างไรก็ตาม กัปตันเทรนต์ยืนยันว่า เขาได้ตรวจสอบปีกแล้ว และไม่มีน้ำแข็งเกาะอยู่ 🏁 "หิมะบนรันเวย์?" การสืบสวนในเวลาต่อมาชี้ว่า หิมะที่หนาถึง 5 เซนติเมตร บนปลายรันเวย์ อาจเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ลดความเร็วเครื่องบินลงทันที ส่งผลให้เครื่องบิน ไม่สามารถบินขึ้นได้ 🔥 "ความผิดพลาดของนักบิน?" ทางการเยอรมนีกลับชี้ว่า กัปตันเทรนต์ต้องรับผิดชอบ เนื่องจากไม่ได้ละลายน้ำแข็ง บนปีกเครื่องบิน ทั้งที่หลักฐานชี้ว่า ปัญหาเกิดจาก สภาพรันเวย์มากกว่า ในที่สุด กัปตันเทรนต์ถูกไล่ออกจาก BEA แม้ต่อมาจะได้รับการพิสูจน์ว่า ไม่มีความผิด แต่นั่นก็ไม่สามารถลบล้างตราบาป ที่ติดตัวไปตลอดชีวิตได้ 23 ชีวิตที่ต้องสูญเสีย บาดแผลที่ไม่มีวันลืม ในจำนวน 44 คน ที่โดยสารบนเครื่อง มี 23 ราย เสียชีวิตทันที หรือหลังจากนั้นไม่นาน รวมถึงนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โลกฟุตบอลต้องสูญเสีย ได้แก่ ⚽ 8 นักเตะ "ปีศาจแดง" ที่จากไป โรเจอร์ ไบรน์ (Roger Byrne) กัปตันทีม เจฟฟ์ เบนท์ (Geoff Bent) เดวิด เพ็กก์ (David Pegg) มาร์ก โจนส์ (Mark Jones) บิลลี่ วีแลน (Billy Whelan) เอ็ดดี้ โคลแมน (Eddie Colman) ทอมมี่ เทย์เลอร์ (Tommy Taylor) ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ (Duncan Edwards) เสียชีวิตหลังจากนั้น 15 วัน 📍 นักข่าวกีฬา 8 คน และทีมงานของแมนฯ ยูไนเต็ด 3 คน 📍 ลูกเรือ 1 คน และผู้โดยสารอื่นๆ 2 คน 💔 โศกนาฏกรรมครั้งนี้ ส่งผลกระทบมหาศาล ต่อวงการฟุตบอล โดยเฉพาะสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ต้องสูญเสียแข้งดาวรุ่ง ที่มีอนาคตไกล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังโศกนาฏกรรม แม้จะเสียผู้เล่นหลักไปถึง 8 ราย แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงสู้ต่อไป ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง 🔴 สโมสรได้รับความช่วยเหลือ จากลิเวอร์พูล ที่ยืมนักเตะให้ใช้งาน 🔴 เซอร์ แมตต์ บัสบี้ (Sir Matt Busby) กุนซือผู้รอดชีวิต สร้างทีมใหม่ ด้วยดาวรุ่งอย่าง จอร์จ เบสต์, น็อบบี้ สไตล์ส และไบรอัน คิดด์ 🔴 ปี 1968 ยูไนเต็ดสามารถคว้าแชมป์ ยูโรเปียนคัพ ได้สำเร็จ เป็นสโมสรแรกของอังกฤษ ที่ทำได้ 💡 นี่คือสัญลักษณ์ของการไม่ยอมแพ้ และจิตวิญญาณของ "ปีศาจแดง" ที่ยังคงสืบทอด มาจนถึงปัจจุบัน โศกนาฏกรรมที่เป็นบทเรียน เหตุการณ์มิวนิค ไม่เพียงเป็นโศกนาฏกรรม ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญ ของอุตสาหกรรมการบิน ✈️ การพัฒนาเทคโนโลยีการบิน มีการบังคับใช้มาตรฐานใหม่ เกี่ยวกับการตรวจสอบรันเวย์ และน้ำแข็งบนปีกเครื่องบิน ⚖️ ความยุติธรรมที่ล่าช้า กัปตันเทรนต์ใช้เวลากว่า 10 ปี ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง 🔴 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง 67 ปีผ่านไป แต่ "โศกนาฏกรรมมิวนิค" ยังคงเป็นเรื่องราว ที่แฟนบอลทั่วโลกไม่มีวันลืม 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 062132 ก.พ. 2568 #Munich1958 #ManchesterUnited #NeverForget #BusbyBabes #MUFC
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ณัฐชา" เดือด! ยื่นสอบตัวเอง หลังอัจฉริยะแฉจับมือ เต้ รีดเงินจีนเทา (06/02/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ตบทรัพย์จีนเทา #พรรคประชาชน #แฉจับมือ สส.เต้ เรียกรับเงิน #ยื่นสอบตัวเอง
    "ณัฐชา" เดือด! ยื่นสอบตัวเอง หลังอัจฉริยะแฉจับมือ เต้ รีดเงินจีนเทา (06/02/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ตบทรัพย์จีนเทา #พรรคประชาชน #แฉจับมือ สส.เต้ เรียกรับเงิน #ยื่นสอบตัวเอง
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 13 0 รีวิว
  • ร้านสเต็กชัวร์ ถ.สายลวด #สมุทรปราการ #กินเก่ง #อร่อยบอกต่อ #พิกัดของอร่อย #ร้านดีบอกต่อ #ร้านอร่อย #กินอะไรดี #หิว #ชวนชิม #พาชิม #food #thailand #thaifood #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute
    ร้านสเต็กชัวร์ ถ.สายลวด #สมุทรปราการ #กินเก่ง #อร่อยบอกต่อ #พิกัดของอร่อย #ร้านดีบอกต่อ #ร้านอร่อย #กินอะไรดี #หิว #ชวนชิม #พาชิม #food #thailand #thaifood #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 1 0 รีวิว
  • พุทธศาสนากับไพ่ทาโรต์ดูจะเป็นอะไรที่ไม่น่าไปด้วยกันได้ ถ้าเป็นคริสต์ศาสนาก็ยังพอมีจุดที่นำไปเชื่อมโยงกับไพ่ได้อยู่ แต่ไพ่ชุดที่จะกล่าวถึงในคราวนี้เป็นอีกหนึ่งหลักฐานว่า ไม่มีอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์เกินไปสำหรับไพ่ทาโรต์

    'Siddhartha Tarot' เป็นไพ่ทาโรต์ในสังกัด Lo Scarabeo ตีพิมพ์เมื่อปี 2022 ผลิตและวางจำหน่ายแบบไพ่แมสตามร้านหนังสือชั้นนำ พอเป็นไพ่แมสของ สนพ. นี้จะมีสเปกเหมือน ๆ กันหมด คือพิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ตหนาประมาณ 280 gsm (ซึ่งถือว่าค่อนข้างบางแล้วเมื่อเทียบกับไพ่ของผู้ผลิตไทยหลายรายเดี๋ยวนี้) เคลือบมันทั้งหน้าและหลัง บรรจุในกล่องกระดาษแบบฝาเปิดด้านบน (Tuck box) และมีคู่มือกระดาษเล่มเล็กแบบเย็บมุงหลังคาแถมมาให้ด้วย คราวนี้ขอเอาสเปกขึ้นก่อน เพราะไพ่ชุดนี้มีอะไรมัน ๆ ให้พิมพ์ถึงอีกมาก

    ดูจากชื่อไพ่กับหน้ากล่องแล้วก็น่าจะเข้าใจไม่ยากว่าเป็นไพ่ธีมพุทธ "Siddhartha" คือ สิทธารถะ ซึ่งเป็นการออกเสียงแบบสันสกฤตของชื่อ "สิทธัตถะ" หรือพระนามเดิมของพระพุทธเจ้าที่ไทยเรารู้จัก แต่ไพ่ชุดนี้เป็นธีมพุทธแบบนิกายมหายาน (โดยเน้นไปที่ฝั่งทิเบต) ซึ่งมีความเชื่อและหลักธรรมคำสอนแตกต่างไปจากนิกายหินยานหรือเถรวาทแบบของไทยเรา ต้องบอกไว้แบบนี้ก่อน เพราะเดี๋ยวจะมีใครเห็นรูปพระปาง "ยับยุม" บนหน้าไพ่ Lovers แล้วจะอกแตกหรือไม่ก็เส้นเลือดในสมองแตกเอา โปรดจำไว้ว่า พระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ในการนับถือและตีความโดยชาวไทยพุทธเท่านั้น เข้าใจนะครับ ถ้าเข้าใจตรงนี้ได้ คุณก็จะยอมรับและสนุกกับไพ่ชุดนี้ได้

    สำรับไพ่ชุดนี้มี 78 ใบตามโครงสร้างของทาโรต์มาตรฐาน ภาพหน้าไพ่วาดในสไตล์กึ่งอาร์ตนูโวกึ่งการ์ตูนสมจริงแบบคอมิกฝรั่ง บนหน้าไพ่แต่ละใบเป็นรูปพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ตามคติมหายาน ตลอดจนบุคคลสำคัญ (เช่น ดาไลลามะ ในไพ่ 10 เหรียญ) และสถานที่สำคัญทางศาสนา (เช่น สถูป ในไพ่ 10 ไม้เท้า) ส่วนไพ่ Ace แต่ละตระกูลจะเป็นท่ามุทรา 4 ท่า ซึ่งเชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ตรงนี้เดี๋ยวจะขยายความต่อไป

    ผมรู้ครับว่าคนไทยบางส่วนเข็ดขยาดกับการอ่านหนังสือ มิพักต้องพูดถึงหนังสือในภาษาต่างประเทศ แต่ถ้าอยากเข้าถึงและใช้งานไพ่ชุดนี้ได้อย่างเต็มที่ หากว่าคุณเป็นคนไทยพุทธที่ไม่ได้คุ้นเคยอะไรกับระบบความเชื่อแบบพุทธมหายานแล้ว คู่มือเล่มเล็ก ๆ ที่แถมมาในกล่องไพ่ชุดนี้จะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด และถ้าคุณสนใจหรือกำลังอยากศึกษา Mythology ของพุทธมหายาน คู่มือไพ่ชุดนี้ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นอันประเสริฐ เพราะคนที่ออกแบบไพ่ชุดนี้ขึ้นมาน่าจะศึกษาคติมหายานมาลึกซึ้งไม่น้อย และยังนำมาดัดแปลงเป็นโครงสร้างไพ่ทาโรต์ได้น่าสนใจมาก ๆ

    ตามที่คู่มือบอกมา ไพ่ชุดนี้ออกแบบโดยมีโครงสร้างหลักคือ "พระธยานิพุทธะ" หรือพระพุทธเจ้า 5 องค์ ซึ่งเป็นแก่นความเชื่อของพุทธมหายาน และผู้สร้างไพ่ก็นำแต่ละพระองค์ไปเชื่อมโยงกับ Suits หรือไพ่ทั้ง 5 กลุ่มในสารบบทาโรต์ ได้แก่

    - ไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) : พระไวโรจนพุทธเจ้า (Vairochana) ธาตุอากาศ สีขาว มีสัญลักษณ์คือ ธรรมจักร

    - ไพ่ถ้วย (Cups) : พระอมิตาภพุทธเจ้า (Amithaba) ธาตุไฟ สีแดง มีสัญลักษณ์คือ ดอกบัว (ปทมะ) คนไทยพุทธน่าจะคุ้นเคยกับภาพหน้าไพ่กลุ่มนี้มากที่สุด เพราะแสดงถึงฉากเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติของพระศากยมุณีพุทธเจ้า (เจ้าชายสิทธัตถะ) ไพ่ Ace เป็นรูปธยานมุทรา

    - ไพ่เหรียญ (Pentacles) : พระรัตนสัมภวพุทธเจ้า (Ratnasambhava) ธาตุดิน สีเหลือง มีสัญลักษณ์คือ รัตนมณี หรือหินมีค่า ไพ่ Ace เป็นรูปวรทมุทรา

    - ไพ่ไม้เท้า (Wands) : พระอักโษภยพุทธเจ้า (Aksobhaya) ธาตุน้ำ สีน้ำเงิน มีสัญลักษณ์คือ วัชระ ไพ่ Ace เป็นรูปภูมิผัสมุทรา

    - ไพ่ดาบ (Swords) : พระอโมฆสิทธิพุทธเจ้า (Amoghasiddhi) ธาตุลม สีเขียว มีสัญลักษณ์คือ วัชระแฝด (กรรมะ) ไพ่ Ace เป็นรูปอภยมุทรา

    ในไพ่ชุดรองทั้ง 4 กลุ่ม พระพุทธเจ้าที่เป็นองค์ประจำกลุ่มจะอยู่ในไพ่ King ส่วนในไพ่ชุดหลัก พระไวโรจนพุทธเจ้าที่เป็นองค์ประจำกลุ่มอยู่ในไพ่ The Fool พร้อมกับทรงทำมือเป็นท่าธรรมจักรมุทรา และพระศากยมุณีหรือพระพุทธเจ้าของไทยเราจะอยู่ในไพ่ The World

    ถ้าคุณได้อ่านบรรทัดเกี่ยวกับไพ่แต่ละกลุ่มข้างบน จะเห็นว่าไพ่ถ้วยกับไม้เท้าไม่ได้เป็นธาตุน้ำกับไฟตามที่ยึดถือกันในขนบทาโรต์มาตรฐาน แต่เป็นการยึดตามคติพุทธมหายานแทน ไม่ใช่แค่นั้น ความหมายไพ่แต่ละใบ ตามที่อธิบายไว้ในคู่มือ ก็มีการตีความแตกต่างไปจากทาโรต์มาตรฐานด้วย ดังนั้นการใช้งานไพ่ชุดนี้จึงเป็นเรื่องท้าทายเอามาก ๆ สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับความเชื่อแบบมหายาน ทางที่ดีคือยึดเอาจากในคู่มือเป็นหลักเถอะครับ ถ้ามีอะไรนอกเหนือจากนั้นค่อยนำความหมายไพ่แบบมาตรฐานโปะ ๆ เข้าไป

    ส่วนตัวผมมองว่า การจะใช้ไพ่ชุดนี้ให้เต็มประสิทธิภาพ (ถ้ามีใครอยากใช้จริง ๆ อะนะ) ก็ต้องทำไม่ต่างจากเวลาชาวไทยพุทธเราเจอรูปพระปาง "ยับ-ยุม" หรือความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าที่แตกต่างไปจากที่เราเรียนกันมาในวิชาพระพุทธศาสนา นั่นคือ "วางอคติลง และ เปิดใจยอมรับ" พึงระลึกไว้ครับว่า พุทธศาสนามีอายุมากว่า 2,500 ปี ผ่านวิวัฒนาการจนแตกสาแหรกแขนงความเชื่อไปเยอะ และจะไม่หยุดเปลี่ยนแปลงตราบใดที่ยังมีมนุษย์อยู่ ดังนั้น ย้ำอีกครั้งว่า พุทธศาสนาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ในการตีความและนับถือโดยชาวพุทธไทยแต่เพียงกลุ่มเดียว

    ปัจจุบัน ไพ่ Siddhartha Tarot ยังคงมีขายในร้าน Asia Books และคิโนะคูนิยะของบ้านเราครับ
    พุทธศาสนากับไพ่ทาโรต์ดูจะเป็นอะไรที่ไม่น่าไปด้วยกันได้ ถ้าเป็นคริสต์ศาสนาก็ยังพอมีจุดที่นำไปเชื่อมโยงกับไพ่ได้อยู่ แต่ไพ่ชุดที่จะกล่าวถึงในคราวนี้เป็นอีกหนึ่งหลักฐานว่า ไม่มีอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์เกินไปสำหรับไพ่ทาโรต์ 'Siddhartha Tarot' เป็นไพ่ทาโรต์ในสังกัด Lo Scarabeo ตีพิมพ์เมื่อปี 2022 ผลิตและวางจำหน่ายแบบไพ่แมสตามร้านหนังสือชั้นนำ พอเป็นไพ่แมสของ สนพ. นี้จะมีสเปกเหมือน ๆ กันหมด คือพิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ตหนาประมาณ 280 gsm (ซึ่งถือว่าค่อนข้างบางแล้วเมื่อเทียบกับไพ่ของผู้ผลิตไทยหลายรายเดี๋ยวนี้) เคลือบมันทั้งหน้าและหลัง บรรจุในกล่องกระดาษแบบฝาเปิดด้านบน (Tuck box) และมีคู่มือกระดาษเล่มเล็กแบบเย็บมุงหลังคาแถมมาให้ด้วย คราวนี้ขอเอาสเปกขึ้นก่อน เพราะไพ่ชุดนี้มีอะไรมัน ๆ ให้พิมพ์ถึงอีกมาก ดูจากชื่อไพ่กับหน้ากล่องแล้วก็น่าจะเข้าใจไม่ยากว่าเป็นไพ่ธีมพุทธ "Siddhartha" คือ สิทธารถะ ซึ่งเป็นการออกเสียงแบบสันสกฤตของชื่อ "สิทธัตถะ" หรือพระนามเดิมของพระพุทธเจ้าที่ไทยเรารู้จัก แต่ไพ่ชุดนี้เป็นธีมพุทธแบบนิกายมหายาน (โดยเน้นไปที่ฝั่งทิเบต) ซึ่งมีความเชื่อและหลักธรรมคำสอนแตกต่างไปจากนิกายหินยานหรือเถรวาทแบบของไทยเรา ต้องบอกไว้แบบนี้ก่อน เพราะเดี๋ยวจะมีใครเห็นรูปพระปาง "ยับยุม" บนหน้าไพ่ Lovers แล้วจะอกแตกหรือไม่ก็เส้นเลือดในสมองแตกเอา โปรดจำไว้ว่า พระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ในการนับถือและตีความโดยชาวไทยพุทธเท่านั้น เข้าใจนะครับ ถ้าเข้าใจตรงนี้ได้ คุณก็จะยอมรับและสนุกกับไพ่ชุดนี้ได้ สำรับไพ่ชุดนี้มี 78 ใบตามโครงสร้างของทาโรต์มาตรฐาน ภาพหน้าไพ่วาดในสไตล์กึ่งอาร์ตนูโวกึ่งการ์ตูนสมจริงแบบคอมิกฝรั่ง บนหน้าไพ่แต่ละใบเป็นรูปพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ตามคติมหายาน ตลอดจนบุคคลสำคัญ (เช่น ดาไลลามะ ในไพ่ 10 เหรียญ) และสถานที่สำคัญทางศาสนา (เช่น สถูป ในไพ่ 10 ไม้เท้า) ส่วนไพ่ Ace แต่ละตระกูลจะเป็นท่ามุทรา 4 ท่า ซึ่งเชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ตรงนี้เดี๋ยวจะขยายความต่อไป ผมรู้ครับว่าคนไทยบางส่วนเข็ดขยาดกับการอ่านหนังสือ มิพักต้องพูดถึงหนังสือในภาษาต่างประเทศ แต่ถ้าอยากเข้าถึงและใช้งานไพ่ชุดนี้ได้อย่างเต็มที่ หากว่าคุณเป็นคนไทยพุทธที่ไม่ได้คุ้นเคยอะไรกับระบบความเชื่อแบบพุทธมหายานแล้ว คู่มือเล่มเล็ก ๆ ที่แถมมาในกล่องไพ่ชุดนี้จะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด และถ้าคุณสนใจหรือกำลังอยากศึกษา Mythology ของพุทธมหายาน คู่มือไพ่ชุดนี้ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นอันประเสริฐ เพราะคนที่ออกแบบไพ่ชุดนี้ขึ้นมาน่าจะศึกษาคติมหายานมาลึกซึ้งไม่น้อย และยังนำมาดัดแปลงเป็นโครงสร้างไพ่ทาโรต์ได้น่าสนใจมาก ๆ ตามที่คู่มือบอกมา ไพ่ชุดนี้ออกแบบโดยมีโครงสร้างหลักคือ "พระธยานิพุทธะ" หรือพระพุทธเจ้า 5 องค์ ซึ่งเป็นแก่นความเชื่อของพุทธมหายาน และผู้สร้างไพ่ก็นำแต่ละพระองค์ไปเชื่อมโยงกับ Suits หรือไพ่ทั้ง 5 กลุ่มในสารบบทาโรต์ ได้แก่ - ไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) : พระไวโรจนพุทธเจ้า (Vairochana) ธาตุอากาศ สีขาว มีสัญลักษณ์คือ ธรรมจักร - ไพ่ถ้วย (Cups) : พระอมิตาภพุทธเจ้า (Amithaba) ธาตุไฟ สีแดง มีสัญลักษณ์คือ ดอกบัว (ปทมะ) คนไทยพุทธน่าจะคุ้นเคยกับภาพหน้าไพ่กลุ่มนี้มากที่สุด เพราะแสดงถึงฉากเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติของพระศากยมุณีพุทธเจ้า (เจ้าชายสิทธัตถะ) ไพ่ Ace เป็นรูปธยานมุทรา - ไพ่เหรียญ (Pentacles) : พระรัตนสัมภวพุทธเจ้า (Ratnasambhava) ธาตุดิน สีเหลือง มีสัญลักษณ์คือ รัตนมณี หรือหินมีค่า ไพ่ Ace เป็นรูปวรทมุทรา - ไพ่ไม้เท้า (Wands) : พระอักโษภยพุทธเจ้า (Aksobhaya) ธาตุน้ำ สีน้ำเงิน มีสัญลักษณ์คือ วัชระ ไพ่ Ace เป็นรูปภูมิผัสมุทรา - ไพ่ดาบ (Swords) : พระอโมฆสิทธิพุทธเจ้า (Amoghasiddhi) ธาตุลม สีเขียว มีสัญลักษณ์คือ วัชระแฝด (กรรมะ) ไพ่ Ace เป็นรูปอภยมุทรา ในไพ่ชุดรองทั้ง 4 กลุ่ม พระพุทธเจ้าที่เป็นองค์ประจำกลุ่มจะอยู่ในไพ่ King ส่วนในไพ่ชุดหลัก พระไวโรจนพุทธเจ้าที่เป็นองค์ประจำกลุ่มอยู่ในไพ่ The Fool พร้อมกับทรงทำมือเป็นท่าธรรมจักรมุทรา และพระศากยมุณีหรือพระพุทธเจ้าของไทยเราจะอยู่ในไพ่ The World ถ้าคุณได้อ่านบรรทัดเกี่ยวกับไพ่แต่ละกลุ่มข้างบน จะเห็นว่าไพ่ถ้วยกับไม้เท้าไม่ได้เป็นธาตุน้ำกับไฟตามที่ยึดถือกันในขนบทาโรต์มาตรฐาน แต่เป็นการยึดตามคติพุทธมหายานแทน ไม่ใช่แค่นั้น ความหมายไพ่แต่ละใบ ตามที่อธิบายไว้ในคู่มือ ก็มีการตีความแตกต่างไปจากทาโรต์มาตรฐานด้วย ดังนั้นการใช้งานไพ่ชุดนี้จึงเป็นเรื่องท้าทายเอามาก ๆ สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับความเชื่อแบบมหายาน ทางที่ดีคือยึดเอาจากในคู่มือเป็นหลักเถอะครับ ถ้ามีอะไรนอกเหนือจากนั้นค่อยนำความหมายไพ่แบบมาตรฐานโปะ ๆ เข้าไป ส่วนตัวผมมองว่า การจะใช้ไพ่ชุดนี้ให้เต็มประสิทธิภาพ (ถ้ามีใครอยากใช้จริง ๆ อะนะ) ก็ต้องทำไม่ต่างจากเวลาชาวไทยพุทธเราเจอรูปพระปาง "ยับ-ยุม" หรือความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าที่แตกต่างไปจากที่เราเรียนกันมาในวิชาพระพุทธศาสนา นั่นคือ "วางอคติลง และ เปิดใจยอมรับ" พึงระลึกไว้ครับว่า พุทธศาสนามีอายุมากว่า 2,500 ปี ผ่านวิวัฒนาการจนแตกสาแหรกแขนงความเชื่อไปเยอะ และจะไม่หยุดเปลี่ยนแปลงตราบใดที่ยังมีมนุษย์อยู่ ดังนั้น ย้ำอีกครั้งว่า พุทธศาสนาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ในการตีความและนับถือโดยชาวพุทธไทยแต่เพียงกลุ่มเดียว ปัจจุบัน ไพ่ Siddhartha Tarot ยังคงมีขายในร้าน Asia Books และคิโนะคูนิยะของบ้านเราครับ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชูความเป็นซอฟต์เพาวเวอร์
    แต่ทั้งตัวนางมีแต่แบรนด์เนม
    ตอแถเต็ม100 ผลงานเป็น 0
    วันๆมีแต่ความเสื่อมถอยลงเหว
    เราอยู่ในยุค
    รัฐบาลก็ห่วย ฝ่ายค้านก็โหลยโท่ย
    อนาถใจไทยเฮา ทนเอาประชาชี
    มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    ชูความเป็นซอฟต์เพาวเวอร์ แต่ทั้งตัวนางมีแต่แบรนด์เนม ตอแถเต็ม100 ผลงานเป็น 0 วันๆมีแต่ความเสื่อมถอยลงเหว เราอยู่ในยุค รัฐบาลก็ห่วย ฝ่ายค้านก็โหลยโท่ย อนาถใจไทยเฮา ทนเอาประชาชี มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ปานเทพ" แจงเหตุไม่ร่วมทีม เต้-แม๊ เพราะจุดยืนต่างกัน 06/02/68 #ปานเทพ #เต้ มงคลกิตติ์ #แม่แตงโม #คดีแตงโม
    "ปานเทพ" แจงเหตุไม่ร่วมทีม เต้-แม๊ เพราะจุดยืนต่างกัน 06/02/68 #ปานเทพ #เต้ มงคลกิตติ์ #แม่แตงโม #คดีแตงโม
    Like
    Love
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 292 มุมมอง 16 0 รีวิว
  • เต้โวยเครือเมเนเจอร์ ต้องขอโทษเต้ เต้น้อยใจอัจฉริยะ พร้อมทวงบุญคุณเรื่องกล้อง2 ล้าน "ทำไมถึงทำกับเต้ได้" งอแงเป็นเด็กเลย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    เต้โวยเครือเมเนเจอร์ ต้องขอโทษเต้ เต้น้อยใจอัจฉริยะ พร้อมทวงบุญคุณเรื่องกล้อง2 ล้าน "ทำไมถึงทำกับเต้ได้" งอแงเป็นเด็กเลย #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • #3เหตุผลสำคัญที่บ้านพระอาทิตย์ไม่ต้อนรับเต้
    เรียกได้ว่าเรื่องการรื้อKADEEสาเหตุการดับของน้องแตงโม
    ที่กำลังเข้มข้นอย่างมากในขณะนี้ มีพลเมืองจิตอาสา
    หลายคน ที่เข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน
    แต่คนที่มาล่า มาช้าสุดแต่ดูจะมีความเคลื่อนไหวไม่น้อย
    คือ เต้ 007 ที่ได้ใช้พื้นที่สื่อในการเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง
    โดยเฉพาะเรื่องกล้องวงจรปิดที่ใต้สะพานซังฮี้ ที่พบจำนวนคนบนเรือ
    ที่ไม่เป็นไปตามคำให้การของคนบนเรือในสำนวน
    ในขณะที่เต้ ได้ประกาศผ่านสื่อว่า ตนเองมีแพลนที่จะพาแม๊
    เข้าไปบ้านพระอาทิตย์ เพื่อนำหลักฐานไปส่งมอบ
    แต่ทว่า บ้านพระอาทิตย์ได้ทำการประชุม พูดคุยกันในประเด็นนี้
    และได้มีแถลงออกมาว่า บ้านพระอาทิตย์ไม่เปิดประตูต้อนรับ
    กับทั้งสอง พี่คิงส์จึงสืบว่า สาเหตุมาจากอะไรกันแน่
    จึงได้พบข้อมูลจากคุณอัจฉริยะที่พอจะขมวดประเด็นได้ 3 เหตุผลหลักคือ
    1. พฤติกรรมของเต้ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับ KADEE ในช่วงแรกๆ ก่อนกลับมารื้อ คือการพาแม๊ให้ถอนแจ้งงคววาม และทำให้กระบวนการทวงความยุติธรรมให้น้องแตงโม ถึงทางตันในที่สุด
    2. ข้อมูลที่เต้อ้างว่าได้มาใหม่นั้น อัจฉริยะยืนยันว่า เป็นข้อมูลที่มีอยู่ก่อนหน้าแล้ว และได้ส่งให้กับทางเจ้าหน้าที่ไปนานแล้ว ไม่ได้มีอะไรใหม่
    3. ความกลับไปกลับมาของแม๊ ความไม่นิ่ง และโดยเฉพาะ ได้แถลงว่าจะเอาผิดกับคนบนเรือให้ได้ แต่ก็ยังทวงของขวัญปีใหม่ นิยามได้ว่าเป็นการเรียกรับผลประโยชน์จากคนบนเรือ
    ดังนั้น นี่คือสามเหตุผลสำคัญที่ทางบ้านพระอาทิตย์ ได้ทำการสรุป เพื่อให้สิ่งที่คณะจิตอาสาได้ทำลงไปทั้งหมด ไม่สูญเปล่า
    นอกจากนั้น ในสำนวนที่เต้007 ใช้ กับคนบนเรือในคำให้สัมภาษณ์ต่างๆ ยังมีความเบี่ยงเบนจากแนวทางของบ้านพระอาทิตย์และคณะดำเนินการ
    เชื่อว่า หากเปิดรับเข้ามาในบ้านพระอาทิตย์ ผลเสีย จะมากกว่าผลดี
    ซึ่งผลเสียที่ว่า มิได้เป็นผลเสียต่อบ้านพระอาทิตย์ แต่เป็นผลเสียกับการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับน้องแตงโม และกระบวนการยุติธรรมของประเทศ
    คิงส์โพธิ์แดง รายงาน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    #3เหตุผลสำคัญที่บ้านพระอาทิตย์ไม่ต้อนรับเต้ เรียกได้ว่าเรื่องการรื้อKADEEสาเหตุการดับของน้องแตงโม ที่กำลังเข้มข้นอย่างมากในขณะนี้ มีพลเมืองจิตอาสา หลายคน ที่เข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน แต่คนที่มาล่า มาช้าสุดแต่ดูจะมีความเคลื่อนไหวไม่น้อย คือ เต้ 007 ที่ได้ใช้พื้นที่สื่อในการเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องกล้องวงจรปิดที่ใต้สะพานซังฮี้ ที่พบจำนวนคนบนเรือ ที่ไม่เป็นไปตามคำให้การของคนบนเรือในสำนวน ในขณะที่เต้ ได้ประกาศผ่านสื่อว่า ตนเองมีแพลนที่จะพาแม๊ เข้าไปบ้านพระอาทิตย์ เพื่อนำหลักฐานไปส่งมอบ แต่ทว่า บ้านพระอาทิตย์ได้ทำการประชุม พูดคุยกันในประเด็นนี้ และได้มีแถลงออกมาว่า บ้านพระอาทิตย์ไม่เปิดประตูต้อนรับ กับทั้งสอง พี่คิงส์จึงสืบว่า สาเหตุมาจากอะไรกันแน่ จึงได้พบข้อมูลจากคุณอัจฉริยะที่พอจะขมวดประเด็นได้ 3 เหตุผลหลักคือ 1. พฤติกรรมของเต้ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับ KADEE ในช่วงแรกๆ ก่อนกลับมารื้อ คือการพาแม๊ให้ถอนแจ้งงคววาม และทำให้กระบวนการทวงความยุติธรรมให้น้องแตงโม ถึงทางตันในที่สุด 2. ข้อมูลที่เต้อ้างว่าได้มาใหม่นั้น อัจฉริยะยืนยันว่า เป็นข้อมูลที่มีอยู่ก่อนหน้าแล้ว และได้ส่งให้กับทางเจ้าหน้าที่ไปนานแล้ว ไม่ได้มีอะไรใหม่ 3. ความกลับไปกลับมาของแม๊ ความไม่นิ่ง และโดยเฉพาะ ได้แถลงว่าจะเอาผิดกับคนบนเรือให้ได้ แต่ก็ยังทวงของขวัญปีใหม่ นิยามได้ว่าเป็นการเรียกรับผลประโยชน์จากคนบนเรือ ดังนั้น นี่คือสามเหตุผลสำคัญที่ทางบ้านพระอาทิตย์ ได้ทำการสรุป เพื่อให้สิ่งที่คณะจิตอาสาได้ทำลงไปทั้งหมด ไม่สูญเปล่า นอกจากนั้น ในสำนวนที่เต้007 ใช้ กับคนบนเรือในคำให้สัมภาษณ์ต่างๆ ยังมีความเบี่ยงเบนจากแนวทางของบ้านพระอาทิตย์และคณะดำเนินการ เชื่อว่า หากเปิดรับเข้ามาในบ้านพระอาทิตย์ ผลเสีย จะมากกว่าผลดี ซึ่งผลเสียที่ว่า มิได้เป็นผลเสียต่อบ้านพระอาทิตย์ แต่เป็นผลเสียกับการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับน้องแตงโม และกระบวนการยุติธรรมของประเทศ คิงส์โพธิ์แดง รายงาน #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิลั่น! ไม่ต้อนรับเต้007และแม๊เข้าบ้านพระอาทิตย์ โอ้ว มาย ก๊อด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    สนธิลั่น! ไม่ต้อนรับเต้007และแม๊เข้าบ้านพระอาทิตย์ โอ้ว มาย ก๊อด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตารางอันดับหนังทำเงินตลอดกาลในจีน แตกก !!!!!!
    "Nezha 2" ผงาดยึดอันดับหนึ่ง
    ล้มแชมป์ด้วยเวลาที่สั้นกว่า และอาจไปได้ไกลถึง 10,000 ล้านหยวน

    "Nezha 2" เข้าฉายมาตั้งแต่วันพุธที่ 29 มกราคม ในเทศกาลตรุษจีน ใช้เวลาเพียง 9 วัน สามารถทำเงินล้มแชมป์หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลในจีน ที่เดิมเป็นของ The Battle at Lake Changjin หนังสงครามที่รวม 3 ผู้กำกับ ฉีเคอะ เฉินข่ายเกอ และ ดันเต้ แลม โดยตัวเลขที่ทำได้ ถึงวันนี้ (6 กุมภาพันธ์) ในครึ่งวันแรก อยู่ที่ 5800 ล้านหยวน (796 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

    มีบทวิเคราะห์ที่ว่ากันว่า นาจาภาคนี้ มีคนที่ดูแล้วชื่นชอบถึงขนาดต้องดูรอบสอง หรือบางคนมีถึงรอบที่สาม

    นาจา เป็นตัวละครพื้นฐานมาจากนวนิยายจีนสมัยศตวรรษที่ 17 ชื่อ (ห้องสิน-The Investiture of the Gods) ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานวรรณกรรมสําคัญชิ้นแรกที่มี "เทพ" และ "ปีศาจ" ในลัทธิเต๋าและพุทธศาสนา

    Nezha 2 เป็นสัญลักษณ์ของการขบถ ภาพลักษณ์ของ "นาจา" ได้เปลี่ยนจากวีรบุรุษโศกนาฏกรรมแบบดั้งเดิม "กลับไปหาพ่อ" มาเป็นขบถสมัยใหม่ที่ "เปลี่ยนโชคชะตาที่ขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า" ซึ่งสอดคล้องกับความทะเยอทะยานทางจิตวิญญาณของเยาวชนในปัจจุบัน ความมุ่งมั่นในการต่อต้านระบบและการแสวงหาเป้าหมาย การดัดแปลงนี้ทำลายมายาคติความศักดิ์สิทธิ์ของตัวละคร ให้สามารถสะท้อนและเข้าใกล้กับผู้ชมได้มากยิ่งขึ้น

    ภาพยนตร์เรื่องนี้ผสมผสานสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน โดยผสมผสานสไตล์พังก์ ภาษาพูดสมัยใหม่ มีม และองค์ประกอบอื่นๆ เช่น สำเนียง "ภาษาจีนกลางสไตล์เสฉวน" ของอาจารย์ไท่ยี่ ผู้เป็นครูของนาจา วิธีการนี้ผสมผสานสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมดั้งเดิมเข้ากับวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์เพื่อให้ภาพยนตร์ดึงดูดผู้ชม ขณะเดียวกันก็ปลูกฝังอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์

    Nezha 2 เป็นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ในด้านสุนทรียศาสตร์ทางภาพ ภาพยนตร์เรื่องนี้ขับเคลื่อนสิ่งต่างๆด้วย เทคโนโลยี 5G และเทคโนโลยีอัจฉริยะ พร้อมด้วยทิศทางศิลปะที่สร้างสรรค์อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะทิวทัศน์ที่มีหมอกหนา ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการที่ต้องชมในโรงภาพยนตร์ ตัวละคร นาจา ถูกสร้างขึ้นด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดจากข้อเท็จจริงที่ว่าตัวละครบนหน้าจอยังคงอารมณ์ การแสดงออกในแบบตะวันออกเอาไว้ได้ แท้จริงแล้ว นาจา อาจกลายเป็นแบรนด์ทางวัฒนธรรมใหม่ของจีน

    ภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเฉพาะตัวเอกของเรื่อง แสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจต่อ "ผู้ถูกละเลย" ประสบการณ์การถูกเลือกปฏิบัติของ นาจา เป็นคําอุปมาอุปมัยของสังคมร่วมสมัย ที่ปฏิเสธ "คนนอกรีต" และปลูกฝังจิตวิญญาณของ "การขจัดอคติ" ให้กับผู้คน

    หนังยังแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจริยธรรมของครอบครัว ด้วยการเปลี่ยนบทบาทพ่อแม่ของนาจา จากคนที่เคร่งครัดตามขนบธรรมเนียมมาเป็น พ่อและแม่ ที่รักลูกและ "ฝ่าฝืนพระประสงค์ของพระเจ้าเพื่อปกป้องลูก" ผู้สร้างภาพยนตร์ได้สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวจีนขึ้นใหม่ สะท้อนถึงการแสวงหา "รากฐานของครอบครัว" ของคนรุ่นใหม่ และสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ระหว่างรุ่น

    ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางเทคโนโลยีของนักสร้างภาพเคลื่อนไหวชาวจีน ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจในวัฒนธรรมของผู้สร้างภาพยนตร์ชาวจีน นอกจากนี้ ทีมงานสร้างภาพยนตร์ยังได้เพิ่มจำนวนตัวละครขึ้นสามเท่าจากภาคก่อน ซึ่งดูเหมือนว่าจะสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ ผู้ชมได้รับประสบการณ์ทางภาพที่งดงามตระการตา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเดินทางในภาพยนตร์ที่ดื่มด่ำและน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น

    ในภาคนี้ นาจา ถูกเปลี่ยนบุคลิกจากคนดื้อรั้น เป็นผู้แบกรับภาระหนัก พร้อมสาบานที่จะ "ทำลายสวรรค์และโลก" และ "ปกป้องช่องเขาเฉินถังกวน" อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณของปัจเจกชน ไม่ได้สูญหายไปอย่างสมบูรณ์ เพราะมันสะท้อนถึงจิตวิญญาณแบบดั้งเดิมของความกล้าหาญ และดึงดูดผู้คนจํานวนมากไปชมดูภาพยนตร์

    ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเกมระหว่างความเชื่อเรื่องโชคชะตา และเจตจำนงเสรี คำกล่าวของนาจาที่ว่า "ฉันคือเจ้านายของชะตากรรมตนเอง" ผสมผสานแนวคิดของลัทธิเต๋าที่ว่า "การเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเองโดยขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า" ซึ่งสะท้อนถึงปรัชญาของลัทธิอัตถิภาวนิยม ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเติมความมีชีวิตชีวาในแบบสมัยใหม่ให้กับวัฒนธรรมดั้งเดิมอีกด้วย

    Nezha 2 ได้แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของแอนิเมชั่นจีนที่ทันสมัย ​​การเล่าเรื่องทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และความเชื่อมั่นของชาติอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างความหวังว่าภาพยนตร์แอนิเมชั่นจีนจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในอนาคตทั้งในประเทศและต่างประเทศ
    ตารางอันดับหนังทำเงินตลอดกาลในจีน แตกก !!!!!! "Nezha 2" ผงาดยึดอันดับหนึ่ง ล้มแชมป์ด้วยเวลาที่สั้นกว่า และอาจไปได้ไกลถึง 10,000 ล้านหยวน "Nezha 2" เข้าฉายมาตั้งแต่วันพุธที่ 29 มกราคม ในเทศกาลตรุษจีน ใช้เวลาเพียง 9 วัน สามารถทำเงินล้มแชมป์หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลในจีน ที่เดิมเป็นของ The Battle at Lake Changjin หนังสงครามที่รวม 3 ผู้กำกับ ฉีเคอะ เฉินข่ายเกอ และ ดันเต้ แลม โดยตัวเลขที่ทำได้ ถึงวันนี้ (6 กุมภาพันธ์) ในครึ่งวันแรก อยู่ที่ 5800 ล้านหยวน (796 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มีบทวิเคราะห์ที่ว่ากันว่า นาจาภาคนี้ มีคนที่ดูแล้วชื่นชอบถึงขนาดต้องดูรอบสอง หรือบางคนมีถึงรอบที่สาม นาจา เป็นตัวละครพื้นฐานมาจากนวนิยายจีนสมัยศตวรรษที่ 17 ชื่อ (ห้องสิน-The Investiture of the Gods) ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานวรรณกรรมสําคัญชิ้นแรกที่มี "เทพ" และ "ปีศาจ" ในลัทธิเต๋าและพุทธศาสนา Nezha 2 เป็นสัญลักษณ์ของการขบถ ภาพลักษณ์ของ "นาจา" ได้เปลี่ยนจากวีรบุรุษโศกนาฏกรรมแบบดั้งเดิม "กลับไปหาพ่อ" มาเป็นขบถสมัยใหม่ที่ "เปลี่ยนโชคชะตาที่ขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า" ซึ่งสอดคล้องกับความทะเยอทะยานทางจิตวิญญาณของเยาวชนในปัจจุบัน ความมุ่งมั่นในการต่อต้านระบบและการแสวงหาเป้าหมาย การดัดแปลงนี้ทำลายมายาคติความศักดิ์สิทธิ์ของตัวละคร ให้สามารถสะท้อนและเข้าใกล้กับผู้ชมได้มากยิ่งขึ้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ผสมผสานสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน โดยผสมผสานสไตล์พังก์ ภาษาพูดสมัยใหม่ มีม และองค์ประกอบอื่นๆ เช่น สำเนียง "ภาษาจีนกลางสไตล์เสฉวน" ของอาจารย์ไท่ยี่ ผู้เป็นครูของนาจา วิธีการนี้ผสมผสานสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมดั้งเดิมเข้ากับวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์เพื่อให้ภาพยนตร์ดึงดูดผู้ชม ขณะเดียวกันก็ปลูกฝังอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ Nezha 2 เป็นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ในด้านสุนทรียศาสตร์ทางภาพ ภาพยนตร์เรื่องนี้ขับเคลื่อนสิ่งต่างๆด้วย เทคโนโลยี 5G และเทคโนโลยีอัจฉริยะ พร้อมด้วยทิศทางศิลปะที่สร้างสรรค์อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะทิวทัศน์ที่มีหมอกหนา ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการที่ต้องชมในโรงภาพยนตร์ ตัวละคร นาจา ถูกสร้างขึ้นด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดจากข้อเท็จจริงที่ว่าตัวละครบนหน้าจอยังคงอารมณ์ การแสดงออกในแบบตะวันออกเอาไว้ได้ แท้จริงแล้ว นาจา อาจกลายเป็นแบรนด์ทางวัฒนธรรมใหม่ของจีน ภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเฉพาะตัวเอกของเรื่อง แสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจต่อ "ผู้ถูกละเลย" ประสบการณ์การถูกเลือกปฏิบัติของ นาจา เป็นคําอุปมาอุปมัยของสังคมร่วมสมัย ที่ปฏิเสธ "คนนอกรีต" และปลูกฝังจิตวิญญาณของ "การขจัดอคติ" ให้กับผู้คน หนังยังแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจริยธรรมของครอบครัว ด้วยการเปลี่ยนบทบาทพ่อแม่ของนาจา จากคนที่เคร่งครัดตามขนบธรรมเนียมมาเป็น พ่อและแม่ ที่รักลูกและ "ฝ่าฝืนพระประสงค์ของพระเจ้าเพื่อปกป้องลูก" ผู้สร้างภาพยนตร์ได้สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวจีนขึ้นใหม่ สะท้อนถึงการแสวงหา "รากฐานของครอบครัว" ของคนรุ่นใหม่ และสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ระหว่างรุ่น ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางเทคโนโลยีของนักสร้างภาพเคลื่อนไหวชาวจีน ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจในวัฒนธรรมของผู้สร้างภาพยนตร์ชาวจีน นอกจากนี้ ทีมงานสร้างภาพยนตร์ยังได้เพิ่มจำนวนตัวละครขึ้นสามเท่าจากภาคก่อน ซึ่งดูเหมือนว่าจะสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ ผู้ชมได้รับประสบการณ์ทางภาพที่งดงามตระการตา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเดินทางในภาพยนตร์ที่ดื่มด่ำและน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น ในภาคนี้ นาจา ถูกเปลี่ยนบุคลิกจากคนดื้อรั้น เป็นผู้แบกรับภาระหนัก พร้อมสาบานที่จะ "ทำลายสวรรค์และโลก" และ "ปกป้องช่องเขาเฉินถังกวน" อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณของปัจเจกชน ไม่ได้สูญหายไปอย่างสมบูรณ์ เพราะมันสะท้อนถึงจิตวิญญาณแบบดั้งเดิมของความกล้าหาญ และดึงดูดผู้คนจํานวนมากไปชมดูภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเกมระหว่างความเชื่อเรื่องโชคชะตา และเจตจำนงเสรี คำกล่าวของนาจาที่ว่า "ฉันคือเจ้านายของชะตากรรมตนเอง" ผสมผสานแนวคิดของลัทธิเต๋าที่ว่า "การเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเองโดยขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า" ซึ่งสะท้อนถึงปรัชญาของลัทธิอัตถิภาวนิยม ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเติมความมีชีวิตชีวาในแบบสมัยใหม่ให้กับวัฒนธรรมดั้งเดิมอีกด้วย Nezha 2 ได้แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของแอนิเมชั่นจีนที่ทันสมัย ​​การเล่าเรื่องทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และความเชื่อมั่นของชาติอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างความหวังว่าภาพยนตร์แอนิเมชั่นจีนจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในอนาคตทั้งในประเทศและต่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ปานเทพ-อัจฉริยะ" แถลงโทรศัพท์มือถือ "แตงโม" ถึงไทยคืนนี้ เตรียมส่งมอบให้ดีเอสไอ แฉขบวนการดิสเครดิต "บังแจ๊ค" เพื่อไม่ให้เชื่อหลักฐานที่เจ้าตัวมี พร้อมประกาศไม่ร่วมทีม "เต้ มงคลกิตติ์" ย้ำชัดเป้าหมายและแนวทางการทำงานต่างกัน ปูดนักการเมืองใหญ่โทรศัพท์หาคนบนเรือหลายครั้ง ขณะที่ดีเอสไอ เตรียมจำลองเหตุการณ์ 17 ก.พ.นี้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000012126

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    "ปานเทพ-อัจฉริยะ" แถลงโทรศัพท์มือถือ "แตงโม" ถึงไทยคืนนี้ เตรียมส่งมอบให้ดีเอสไอ แฉขบวนการดิสเครดิต "บังแจ๊ค" เพื่อไม่ให้เชื่อหลักฐานที่เจ้าตัวมี พร้อมประกาศไม่ร่วมทีม "เต้ มงคลกิตติ์" ย้ำชัดเป้าหมายและแนวทางการทำงานต่างกัน ปูดนักการเมืองใหญ่โทรศัพท์หาคนบนเรือหลายครั้ง ขณะที่ดีเอสไอ เตรียมจำลองเหตุการณ์ 17 ก.พ.นี้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000012126 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • เด็กหญิงปิ่นมุกถามแม่ว่าทำไมเต่ามันต่อสู้กันทุกวันเลยแม่ แม่ก็ไม่รู้จะบอกลูกยังไงดี เลยตอบไปว่าเต่ามันว่างมันไม่มีอะไรทำ มันรักกันมันก็เลยขี่คอกันเล่นเฉยๆค่ะลูก🤣🤣🤣
    เด็กหญิงปิ่นมุกถามแม่ว่าทำไมเต่ามันต่อสู้กันทุกวันเลยแม่ แม่ก็ไม่รู้จะบอกลูกยังไงดี เลยตอบไปว่าเต่ามันว่างมันไม่มีอะไรทำ มันรักกันมันก็เลยขี่คอกันเล่นเฉยๆค่ะลูก🤣🤣🤣
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไอ้หนูกระโถนรั่ว เธอนี่มันสมงสมองไปหมดแล้ว

    หาว่าที่ฉันจะฟ้องเธอนี่คือปกป้องสันดานตัวเอง แล้วที่เธอใส่ร้ายใส่ความฉันนี่เธอปกป้องสันดานใคร ว่างๆ เข้าไปถามพ่อเฒ่าโล้นนะ ที่ไล่ฟ้องชาวบ้านเป็นสิบๆ คดี ปกป้องสันดานใคร

    ฉันเคยให้อภัยไม่ฟ้องเธอไปครั้งแล้ว จำได้ไหม ที่เธอใส่ร้ายฉันว่ารับงานมาล้มคำสอน คราวนี้เห็นแก่ที่เธอช่วยด่าพ่อเฒ่าโล้นให้ ฉันจะใส่กระโถนให้เธออีกสักครั้ง

    แต่ไอ้หนู สมงสมองเธอไปหมดแล้ว ด่าคนจนสมองเสื่อม พูดอะไรคำหน้าคำหลังไม่ตรงกันรู้ตัวไหม

    กร่างแค่หน้าไมค์ พอเวลาโดนเขาเอาเรื่องเธอบอกมาคุยกันก่อน บอกสิเธอผิดอะไร สอนเธอสิ แต่พอเขาบอกเขาสอน เธอด่าเขาสาระแน 🤔

    เธอบอกถ้าเธอสอนผิด สอนแก้เธอได้ แต่พอเขาสอนแก้ เธอด่าเขา อวดภูมิ ยึดถือเอาความถูกต้องไม่ยึดถือสัจจะความจริง ห๊า...😵 ต่อมความจำพิการแล้วไอ้หนู 😷😴

    เธอด่าชาวบ้านเขาได้ พอเขาด่ากลับ เธอบอกอิจฉา เฮ้ยย ไอ้หนู แล้วที่เธอด่าหมอดูนี่เธออิจฉาเขาไหม เธอเที่ยวยัดเยียดข้อหาให้หมอดูทั้งโลกเป็นมิจฉาชีพเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือเธอดังเพราะด่าหมอดู จำใส่หัวโล้นกระโถนบานเธอไว้ให้ดี😎🤠

    ไอ้หนู กระโถนน่ะ มีไว้ทำไม ตักน้ำใส่เข้า จะได้เห็นเงาตนเอง

    สกิลการด่าของเธอบอกตรงๆ กระจอก ด่าคำหยาบมันก็ไปได้ไม่กี่คำหรอก อย่างมากก็ไปได้แค่หยิบอวัยวะเพศขึ้นมาด่า เหมือนปากเธอนี่ อมอวัยวะเพศชายหญิงไว้เต็มปากพร้อมที่จะพ่นด่า 🍌 ไม่มีใครเขากลัวดอกไอ้หนูเอ้ยย ที่เขานิ่งกันเพราะเขาไม่อยากเอาพิมเสนมาแลกเกลือเน่า เหลืออดเหลือทนเมื่อไหร่ เขาก็เรียงแถวกันสั่งสอนเธอเองแหละ

    ไปฟังไอ้หนูมันนี่มันกำลังปกป้องสันดานของใคร 😅🤣

    https://vt.tiktok.com/ZS6EPxbKA/

    ด่าเขาอวัยวะเพศเน่า จนจรเข้ไม่กล้างับ คือไง ตอนที่อมไว้ในปากก่อนจะพ่นด่าได้กลิ่นแล้วงี้อ่อ คือตามดมอวัยวะเพศหมอดูงี้อ่อ

    https://vt.tiktok.com/ZS6ECXNfy/
    @ไฮไลท์
    ไอ้หนูกระโถนรั่ว เธอนี่มันสมงสมองไปหมดแล้ว หาว่าที่ฉันจะฟ้องเธอนี่คือปกป้องสันดานตัวเอง แล้วที่เธอใส่ร้ายใส่ความฉันนี่เธอปกป้องสันดานใคร ว่างๆ เข้าไปถามพ่อเฒ่าโล้นนะ ที่ไล่ฟ้องชาวบ้านเป็นสิบๆ คดี ปกป้องสันดานใคร ฉันเคยให้อภัยไม่ฟ้องเธอไปครั้งแล้ว จำได้ไหม ที่เธอใส่ร้ายฉันว่ารับงานมาล้มคำสอน คราวนี้เห็นแก่ที่เธอช่วยด่าพ่อเฒ่าโล้นให้ ฉันจะใส่กระโถนให้เธออีกสักครั้ง แต่ไอ้หนู สมงสมองเธอไปหมดแล้ว ด่าคนจนสมองเสื่อม พูดอะไรคำหน้าคำหลังไม่ตรงกันรู้ตัวไหม กร่างแค่หน้าไมค์ พอเวลาโดนเขาเอาเรื่องเธอบอกมาคุยกันก่อน บอกสิเธอผิดอะไร สอนเธอสิ แต่พอเขาบอกเขาสอน เธอด่าเขาสาระแน 🤔 เธอบอกถ้าเธอสอนผิด สอนแก้เธอได้ แต่พอเขาสอนแก้ เธอด่าเขา อวดภูมิ ยึดถือเอาความถูกต้องไม่ยึดถือสัจจะความจริง ห๊า...😵 ต่อมความจำพิการแล้วไอ้หนู 😷😴 เธอด่าชาวบ้านเขาได้ พอเขาด่ากลับ เธอบอกอิจฉา เฮ้ยย ไอ้หนู แล้วที่เธอด่าหมอดูนี่เธออิจฉาเขาไหม เธอเที่ยวยัดเยียดข้อหาให้หมอดูทั้งโลกเป็นมิจฉาชีพเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือเธอดังเพราะด่าหมอดู จำใส่หัวโล้นกระโถนบานเธอไว้ให้ดี😎🤠 ไอ้หนู กระโถนน่ะ มีไว้ทำไม ตักน้ำใส่เข้า จะได้เห็นเงาตนเอง สกิลการด่าของเธอบอกตรงๆ กระจอก ด่าคำหยาบมันก็ไปได้ไม่กี่คำหรอก อย่างมากก็ไปได้แค่หยิบอวัยวะเพศขึ้นมาด่า เหมือนปากเธอนี่ อมอวัยวะเพศชายหญิงไว้เต็มปากพร้อมที่จะพ่นด่า 🍌 ไม่มีใครเขากลัวดอกไอ้หนูเอ้ยย ที่เขานิ่งกันเพราะเขาไม่อยากเอาพิมเสนมาแลกเกลือเน่า เหลืออดเหลือทนเมื่อไหร่ เขาก็เรียงแถวกันสั่งสอนเธอเองแหละ ไปฟังไอ้หนูมันนี่มันกำลังปกป้องสันดานของใคร 😅🤣 https://vt.tiktok.com/ZS6EPxbKA/ ด่าเขาอวัยวะเพศเน่า จนจรเข้ไม่กล้างับ คือไง ตอนที่อมไว้ในปากก่อนจะพ่นด่าได้กลิ่นแล้วงี้อ่อ คือตามดมอวัยวะเพศหมอดูงี้อ่อ https://vt.tiktok.com/ZS6ECXNfy/ @ไฮไลท์
    @sit_arejan_.beer

    ทนายครูพระจะเอาอาจารย์เบียร์ติดคุกให้ได้ อาจารย์บอกทำเลยจ้าถ้าทำแล้วมันโจ๊ะผรึ่มพรึม555#คนตื่นธรรม #funny #viraltiktok #อาจารย์เบียร์ #memes #viralvideo #เทรนด์วันนี้ ฆราวาสติดธรรมนำพุทโธติดใจ🙏🙏 #ตลก

    ♬ เสียงต้นฉบับ - ศิษย์ฅนตื่นธรรม Aire - ศิษย์ฅนตื่นธรรม Aire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าเมิงหิวแสง ก็หาแสงแดรกไปคนเดียว คนอื่นเค้าโหยหาความยุติธรรม อาการเมิงมันเกินเบอร์ เกือบเหมือนคนที่อยากตบทรัพย์ แต่กลัวคนอื่นมาแย่ง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    #เต้มงคลกิตติ์
    ถ้าเมิงหิวแสง ก็หาแสงแดรกไปคนเดียว คนอื่นเค้าโหยหาความยุติธรรม อาการเมิงมันเกินเบอร์ เกือบเหมือนคนที่อยากตบทรัพย์ แต่กลัวคนอื่นมาแย่ง #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3 #เต้มงคลกิตติ์
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚢 เทียบท่าที่ Valletta Cruise Port สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งมอลตา! 🇲🇹

    🌟 Valletta Cruise Port จุดหมายปลายทางที่ต้องมาเยือน! เมืองหลวงแห่งมอลตา เมืองมรดกโลกที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงาม และประวัติศาสตร์อันเก่าแก่

    ✅ มหาวิหารเซนต์จอห์น (St. John’s Co-Cathedral) :
    โบสถ์ที่มีความสำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรมในมอลตา สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 โดยอัศวินแห่งเซนต์จอห์น ออกแบบในสไตล์บาโรก และภายในตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดของศิลปะบาโรกในยุโรป

    ✅ สวนอัปเปอร์ บาร์รัคคา (Upper Barrakka Gardens) :
    สวนสาธารณะที่ตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดในเมืองวัลเลตตา สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 เพื่อเป็นพื้นที่พักผ่อนของอัศวินแห่งเซนต์จอห์น

    ✅ พระราชวังแกรนด์มาสเตอร์ (Grandmaster’s Palace) :
    พระราชวังแกรนด์มาสเตอร์สร้างขึ้นในปี 1571 เพื่อเป็นที่พำนักของ Grand Master แห่งอัศวินเซนต์จอห์น ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสำนักงานประธานาธิบดีและรัฐสภามอลตา

    ✅ พิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติ (National Museum of Archaeology) :
    พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงโบราณวัตถุที่สำคัญจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ของมอลตา รวมถึงเครื่องมือหิน รูปปั้นขนาดเล็ก และแท่นบูชาจากวัดโบราณ ซึ่งสะท้อนถึงอดีตและวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยโบราณที่เคยอาศัยอยู่บนเกาะนี้

    📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    ☎️: 0 2116 9696

    #VallettaCruisePort #Malta #StJohnCoCathedral #UpperBarrakkaGardens #GrandmastersPalace #NationalMuseumofArchaeology #port #cruisedomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    🚢 เทียบท่าที่ Valletta Cruise Port สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งมอลตา! 🇲🇹 🌟 Valletta Cruise Port จุดหมายปลายทางที่ต้องมาเยือน! เมืองหลวงแห่งมอลตา เมืองมรดกโลกที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงาม และประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ ✅ มหาวิหารเซนต์จอห์น (St. John’s Co-Cathedral) : โบสถ์ที่มีความสำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรมในมอลตา สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 โดยอัศวินแห่งเซนต์จอห์น ออกแบบในสไตล์บาโรก และภายในตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดของศิลปะบาโรกในยุโรป ✅ สวนอัปเปอร์ บาร์รัคคา (Upper Barrakka Gardens) : สวนสาธารณะที่ตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดในเมืองวัลเลตตา สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 เพื่อเป็นพื้นที่พักผ่อนของอัศวินแห่งเซนต์จอห์น ✅ พระราชวังแกรนด์มาสเตอร์ (Grandmaster’s Palace) : พระราชวังแกรนด์มาสเตอร์สร้างขึ้นในปี 1571 เพื่อเป็นที่พำนักของ Grand Master แห่งอัศวินเซนต์จอห์น ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสำนักงานประธานาธิบดีและรัฐสภามอลตา ✅ พิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติ (National Museum of Archaeology) : พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงโบราณวัตถุที่สำคัญจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ของมอลตา รวมถึงเครื่องมือหิน รูปปั้นขนาดเล็ก และแท่นบูชาจากวัดโบราณ ซึ่งสะท้อนถึงอดีตและวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยโบราณที่เคยอาศัยอยู่บนเกาะนี้ 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #VallettaCruisePort #Malta #StJohnCoCathedral #UpperBarrakkaGardens #GrandmastersPalace #NationalMuseumofArchaeology #port #cruisedomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากเพจ : เกร็ดประวัติศาสตร์ v 2

    ขุนรัตนา นายกองทะลวงฟันของพระองค์เจ้าขุนเณร
    ขุนรัตนาวุธ เป็นผู้นำการรบในสงคราม 9 ทัพ สมรภูมิรบทุ่งลาดหญ้าที่ไม่มีชื่อปรากฏในพงศาวดารหรือบันทึกลายลักษณ์อักษร แต่ปรากฏในตำนานเรื่องเล่าสืบทอดกันมาเท่านั้น ตามตำนานเล่าขานกันว่าขุนรัตนาวุธเป็นชาวจังหวัดกาญจนบุรี เป็นผู้นำกองทัพทะลวงฟันเข้าร่วมรบเป็นกองทัพเสริมกับกองทัพหลวงของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ร่วมกับทัพมอญอาสาที่นำโดยพระยาเจ่ง กษัตริย์มอญ ทว่าต่อมาขุนรัตนาวุธถูกอุบายของพม่าหลอกให้ไม่ออกไปรบช่วยเหลือกับกองทัพอาสามอญ ทำให้กองทัพอาสามอญต้องแตกพ่ายไป ด้วยความแค้น ขุนรัตนาวุธได้วางแผนแบ่งกองกำลังทะลวงฟัน และการรบแบบกองโจร ตัดการลำเลียงเสบียงของไพร่พลพม่าและชะลอการมาถึงของทัพอื่น ๆ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก ช่วยให้กำลังพลพม่ามีจำนวนลดลงอันส่งผลต่อชัยชนะของสยามในสงครามเก้าทัพ ในสมรภูมิทุ่งลาดหญ้า ขุนรัตนวุธต่อสู้อย่างเต็มกำลังจนกระทั่งถูกฟันมือขวาขาดกระเด็นไปพร้อมดาบ (บางตำนานเล่าว่าเป็น "แขนขวา") ล้มลงกลางสมรภูมิ หลังขุนรัตนาวุธฟื้นขึ้นมาในค่ายหลวง ท่านได้ใช้นิ้วชี้ของมือซ้ายมาป้ายเลือดจากแขนขวา แล้วเขียนลงบนผืนผ้าใบ (บ้างว่าเป็น "ผ้าปูที่นอน" หรือ "กระโจม") ในค่ายว่า
    “จงรักษาลาดหญ้าไว้ด้วยชีวิต”
    ปัจจุบัน ขุนรัตนาวุธ เป็นที่เคารพสักการะของทหารและชาวจังหวัดกาญจนบุรี ท่านมีอนุสรณ์สถานเป็นรูปหล่อประดิษฐานอยู่ด้านหน้ากองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ ใกล้กับค่ายฝึกเขาชนไก่

    อ้างอิง เกร็ดพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ลำจุล ฮวบเจริญ
    เรียบเรียงโดย เพจเกร็ดประวัติศาสตร์ v2
    จากเพจ : เกร็ดประวัติศาสตร์ v 2 ขุนรัตนา นายกองทะลวงฟันของพระองค์เจ้าขุนเณร ขุนรัตนาวุธ เป็นผู้นำการรบในสงคราม 9 ทัพ สมรภูมิรบทุ่งลาดหญ้าที่ไม่มีชื่อปรากฏในพงศาวดารหรือบันทึกลายลักษณ์อักษร แต่ปรากฏในตำนานเรื่องเล่าสืบทอดกันมาเท่านั้น ตามตำนานเล่าขานกันว่าขุนรัตนาวุธเป็นชาวจังหวัดกาญจนบุรี เป็นผู้นำกองทัพทะลวงฟันเข้าร่วมรบเป็นกองทัพเสริมกับกองทัพหลวงของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ร่วมกับทัพมอญอาสาที่นำโดยพระยาเจ่ง กษัตริย์มอญ ทว่าต่อมาขุนรัตนาวุธถูกอุบายของพม่าหลอกให้ไม่ออกไปรบช่วยเหลือกับกองทัพอาสามอญ ทำให้กองทัพอาสามอญต้องแตกพ่ายไป ด้วยความแค้น ขุนรัตนาวุธได้วางแผนแบ่งกองกำลังทะลวงฟัน และการรบแบบกองโจร ตัดการลำเลียงเสบียงของไพร่พลพม่าและชะลอการมาถึงของทัพอื่น ๆ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก ช่วยให้กำลังพลพม่ามีจำนวนลดลงอันส่งผลต่อชัยชนะของสยามในสงครามเก้าทัพ ในสมรภูมิทุ่งลาดหญ้า ขุนรัตนวุธต่อสู้อย่างเต็มกำลังจนกระทั่งถูกฟันมือขวาขาดกระเด็นไปพร้อมดาบ (บางตำนานเล่าว่าเป็น "แขนขวา") ล้มลงกลางสมรภูมิ หลังขุนรัตนาวุธฟื้นขึ้นมาในค่ายหลวง ท่านได้ใช้นิ้วชี้ของมือซ้ายมาป้ายเลือดจากแขนขวา แล้วเขียนลงบนผืนผ้าใบ (บ้างว่าเป็น "ผ้าปูที่นอน" หรือ "กระโจม") ในค่ายว่า “จงรักษาลาดหญ้าไว้ด้วยชีวิต” ปัจจุบัน ขุนรัตนาวุธ เป็นที่เคารพสักการะของทหารและชาวจังหวัดกาญจนบุรี ท่านมีอนุสรณ์สถานเป็นรูปหล่อประดิษฐานอยู่ด้านหน้ากองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ ใกล้กับค่ายฝึกเขาชนไก่ อ้างอิง เกร็ดพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ลำจุล ฮวบเจริญ เรียบเรียงโดย เพจเกร็ดประวัติศาสตร์ v2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • ห้องสมุดสาธารณะกำลังเผชิญกับปัญหาหนังสือที่สร้างจาก AI ซึ่งเต็มไปด้วยเนื้อหาคุณภาพต่ำและทำให้การตรวจสอบยากขึ้น ข่าวนี้เปิดเผยว่าหลายบริษัทที่ให้บริการหนังสือดิจิทัลแก่ห้องสมุด ไม่สามารถควบคุมปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    บริษัท OverDrive และ Hoopla ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการให้ยืมอีบุ๊ค กำลังประสบปัญหาในการกรองเนื้อหาคุณภาพต่ำที่สร้างจาก AI โดย OverDrive อนุญาตให้ห้องสมุดคัดเลือกหนังสือที่จะเสนอ ส่วน Hoopla ให้เข้าถึงแคตาล็อกทั้งหมดได้โดยไม่มีการกรอง ทำให้มีเนื้อหาปลอม (vendor slurry) มากมายเข้ามาในระบบ

    ตัวอย่างหนึ่งของปัญหานี้คือบริษัท IRB Media ที่มีหนังสือหลายร้อยเล่มบน Hoopla ซึ่งเป็นสรุปที่สร้างจาก AI ของหนังสือที่มีอยู่แล้ว การให้ยืมเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพนี้ทำให้ห้องสมุดต้องเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ กลับมา

    สองปีที่แล้ว กลุ่ม Library Futures และ Library Freedom Project ได้เรียกร้องให้ Hoopla และ OverDrive แก้ไขปัญหาหนังสือคุณภาพต่ำ โดยเฉพาะหนังสือที่ปฏิเสธการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของชาวยิวหรือแสดงความเกลียดชังต่อชนกลุ่มน้อย Hoopla ได้ลบหนังสือที่มีปัญหาออก แต่ระบบอัตโนมัติและการตรวจสอบด้วยมนุษย์ยังไม่เพียงพอในการป้องกันปัญหานี้

    Luca Bartlomiejczyk บรรณารักษ์จากห้องสมุด Edith Wheeler Memorial ใน Monroe, Connecticut กล่าวว่าความรับผิดชอบในการควบคุมเนื้อหาจาก AI เป็นสิ่งสำคัญ และเนื้อหาดังกล่าวควรมีป้ายกำกับชัดเจนในแคตาล็อก เพื่อให้ผู้อ่านทราบว่าพวกเขากำลังดาวน์โหลดอะไรมาอ่าน

    สรุปแล้ว หนังสือที่สร้างจาก AI กำลังเกลื่อนห้องสมุดสาธารณะ และยังไม่มีวิธีการแก้ไขปัญหานี้ที่ง่ายหรือแน่ชัด การควบคุมและการตรวจสอบเนื้อหายังคงเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปอย่างเร่งด่วน

    https://www.techspot.com/news/106656-ai-generated-books-have-overrun-public-libraries-no.html
    ห้องสมุดสาธารณะกำลังเผชิญกับปัญหาหนังสือที่สร้างจาก AI ซึ่งเต็มไปด้วยเนื้อหาคุณภาพต่ำและทำให้การตรวจสอบยากขึ้น ข่าวนี้เปิดเผยว่าหลายบริษัทที่ให้บริการหนังสือดิจิทัลแก่ห้องสมุด ไม่สามารถควบคุมปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัท OverDrive และ Hoopla ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการให้ยืมอีบุ๊ค กำลังประสบปัญหาในการกรองเนื้อหาคุณภาพต่ำที่สร้างจาก AI โดย OverDrive อนุญาตให้ห้องสมุดคัดเลือกหนังสือที่จะเสนอ ส่วน Hoopla ให้เข้าถึงแคตาล็อกทั้งหมดได้โดยไม่มีการกรอง ทำให้มีเนื้อหาปลอม (vendor slurry) มากมายเข้ามาในระบบ ตัวอย่างหนึ่งของปัญหานี้คือบริษัท IRB Media ที่มีหนังสือหลายร้อยเล่มบน Hoopla ซึ่งเป็นสรุปที่สร้างจาก AI ของหนังสือที่มีอยู่แล้ว การให้ยืมเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพนี้ทำให้ห้องสมุดต้องเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ กลับมา สองปีที่แล้ว กลุ่ม Library Futures และ Library Freedom Project ได้เรียกร้องให้ Hoopla และ OverDrive แก้ไขปัญหาหนังสือคุณภาพต่ำ โดยเฉพาะหนังสือที่ปฏิเสธการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของชาวยิวหรือแสดงความเกลียดชังต่อชนกลุ่มน้อย Hoopla ได้ลบหนังสือที่มีปัญหาออก แต่ระบบอัตโนมัติและการตรวจสอบด้วยมนุษย์ยังไม่เพียงพอในการป้องกันปัญหานี้ Luca Bartlomiejczyk บรรณารักษ์จากห้องสมุด Edith Wheeler Memorial ใน Monroe, Connecticut กล่าวว่าความรับผิดชอบในการควบคุมเนื้อหาจาก AI เป็นสิ่งสำคัญ และเนื้อหาดังกล่าวควรมีป้ายกำกับชัดเจนในแคตาล็อก เพื่อให้ผู้อ่านทราบว่าพวกเขากำลังดาวน์โหลดอะไรมาอ่าน สรุปแล้ว หนังสือที่สร้างจาก AI กำลังเกลื่อนห้องสมุดสาธารณะ และยังไม่มีวิธีการแก้ไขปัญหานี้ที่ง่ายหรือแน่ชัด การควบคุมและการตรวจสอบเนื้อหายังคงเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปอย่างเร่งด่วน https://www.techspot.com/news/106656-ai-generated-books-have-overrun-public-libraries-no.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AI-generated books have overrun public libraries, with no easy solution in sight
    The internet is becoming a wasteland, devoid of human interaction, as bots consume global bandwidth with malicious and worthless traffic. According to those in the ebook lending...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • Paragon Solutions บริษัทผู้ผลิตสปายแวร์ชื่อดังของอิสราเอล ได้ยืนยันว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาเป็นลูกค้าของพวกเขา โดยประธานบริหารของ Paragon กล่าวว่า พวกเขาให้บริการเทคโนโลยีนี้กับกลุ่มประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก โดยหลัก ๆ คือ สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรของพวกเขา

    อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้ออกมาเพียงไม่กี่วันหลังจาก WhatsApp เปิดเผยว่า Paragon ได้พยายามติดตั้งสปายแวร์ในอุปกรณ์ของนักข่าวและสมาชิกในสังคมสูงสุดถึง 90 คน ผ่านการโจมตีแบบไม่ต้องคลิก Paragon อ้างว่าพวกเขามีนโยบายที่ชัดเจนในการห้ามการโจมตีนักข่าวและผู้คนในสังคม แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถปฏิบัติตามนโยบายได้อย่างเต็มที่

    ในข่าวนี้ยังพูดถึงกรณีของนักข่าวชาวอิตาลี Francesco Cancellato และนักเคลื่อนไหวชาวลิเบีย Husam El Gomati ที่ได้ถูก Paragon ติดตั้งสปายแวร์ในอุปกรณ์ของพวกเขา Francesco เคยเผยแพร่วิดีโอเกี่ยวกับการกล่าวทำนองเหยียดเชื้อชาติและสรรเสริญนาซีของกลุ่มเยาวชนในพรรคการเมืองของอิตาลี ในขณะที่ Husam ได้วิจารณ์ความพยายามในการหยุดยั้งผู้อพยพจากลิเบียเข้าสู่ยุโรป

    เรื่องราวนี้เป็นการย้ำถึงความซับซ้อนและความอันตรายของการใช้เทคโนโลยีสปายแวร์ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อมันถูกใช้ไปในทางที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของผู้คน

    https://www.techradar.com/pro/security/israeli-spyware-company-confirms-us-government-and-friends-are-customers
    Paragon Solutions บริษัทผู้ผลิตสปายแวร์ชื่อดังของอิสราเอล ได้ยืนยันว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาเป็นลูกค้าของพวกเขา โดยประธานบริหารของ Paragon กล่าวว่า พวกเขาให้บริการเทคโนโลยีนี้กับกลุ่มประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก โดยหลัก ๆ คือ สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้ออกมาเพียงไม่กี่วันหลังจาก WhatsApp เปิดเผยว่า Paragon ได้พยายามติดตั้งสปายแวร์ในอุปกรณ์ของนักข่าวและสมาชิกในสังคมสูงสุดถึง 90 คน ผ่านการโจมตีแบบไม่ต้องคลิก Paragon อ้างว่าพวกเขามีนโยบายที่ชัดเจนในการห้ามการโจมตีนักข่าวและผู้คนในสังคม แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถปฏิบัติตามนโยบายได้อย่างเต็มที่ ในข่าวนี้ยังพูดถึงกรณีของนักข่าวชาวอิตาลี Francesco Cancellato และนักเคลื่อนไหวชาวลิเบีย Husam El Gomati ที่ได้ถูก Paragon ติดตั้งสปายแวร์ในอุปกรณ์ของพวกเขา Francesco เคยเผยแพร่วิดีโอเกี่ยวกับการกล่าวทำนองเหยียดเชื้อชาติและสรรเสริญนาซีของกลุ่มเยาวชนในพรรคการเมืองของอิตาลี ในขณะที่ Husam ได้วิจารณ์ความพยายามในการหยุดยั้งผู้อพยพจากลิเบียเข้าสู่ยุโรป เรื่องราวนี้เป็นการย้ำถึงความซับซ้อนและความอันตรายของการใช้เทคโนโลยีสปายแวร์ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อมันถูกใช้ไปในทางที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของผู้คน https://www.techradar.com/pro/security/israeli-spyware-company-confirms-us-government-and-friends-are-customers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความลับของท่าเต้นต้านแรงโน้มถ่วง 45 องศา ของ “ไมเคิล แจ็กสัน”
    นวัตกรรม “รองเท้าต้านแรงโน้มถ่วง” ที่ช่วยให้เขาเต้นท่าเอียงตัวไปข้างหน้าไดัโดยไม่หกล้มหน้าคะมำ และไม่ต้องใช้สลิงช่วย ที่สำคัญ คือ ได้รับ “สิทธบัตร” หมายเลข 5,255,452 เมื่อ 26 ต.ค.1993
    ความลับของท่าเต้นต้านแรงโน้มถ่วง 45 องศา ของ “ไมเคิล แจ็กสัน” นวัตกรรม “รองเท้าต้านแรงโน้มถ่วง” ที่ช่วยให้เขาเต้นท่าเอียงตัวไปข้างหน้าไดัโดยไม่หกล้มหน้าคะมำ และไม่ต้องใช้สลิงช่วย ที่สำคัญ คือ ได้รับ “สิทธบัตร” หมายเลข 5,255,452 เมื่อ 26 ต.ค.1993
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 14 0 รีวิว
  • 📌 วิธีรักษา “โรคใจร้อน” ตามหลักพุทธ

    ใจร้อน เหมือนไฟเผาภายในตลอดเวลา

    คนที่ ชอบเร่งรีบ อยากได้อะไรด่วนๆ ทนรอไม่ได้

    เหมือนถูก ไฟเผาใจ จนไม่เป็นสุข

    ถ้าได้วิธีที่ถูกต้องมาเยียวยา จะเหมือนข้ามไปอีกโลกที่เย็นสบายขึ้น


    แต่ปัญหาคือ โรคใจร้อนรักษายาก

    ไม่เหมือนโรคทางกายที่ไปหาหมอแล้วหาย

    เป็นโรคที่ต้อง รู้เอง เห็นเอง เต็มใจรักษาเอง

    และที่สำคัญ ต้องใช้วิธีที่ถูกต้อง



    ---

    🎯 วิธีรักษา "ใจร้อน" ด้วยสติและลมหายใจ

    👉 ขั้นตอนที่ 1: สังเกตให้ได้ “ทุกครั้ง” ว่าเมื่อใจร้อนเกิดขึ้น...
    ✅ ลมหายใจจะ ห้วนและสั้น
    ✅ เนื้อตัวจะ เกร็ง
    ✅ ใบหน้าจะ ตึงเครียด

    👉 ขั้นตอนที่ 2: ใช้ลมหายใจเยียวยา
    ยาที่ใกล้ตัวที่สุด ง่ายที่สุด ฟรีที่สุด คือ "ลมหายใจช้าๆ"

    1️⃣ หายใจยาวๆ ช้าๆ นิ่มๆ ให้ได้ 3 ครั้ง
    2️⃣ แต่ละครั้ง ให้ช้ากว่าตอนใจร้อน "ครึ่งหนึ่ง"
    3️⃣ ตอนปล่อยลมหายใจออก ให้รู้สึกว่า "ลมเย็นลง" และใจนิ่งขึ้น
    4️⃣ สังเกตว่า ตอนหายใจยาว 3 ครั้งแล้ว อารมณ์ใจร้อนลดลงไหม?

    📌 ผลที่เกิดขึ้น:

    ถ้าทำถูก เพียง 3 ลมหายใจ จะรู้สึกถึงความแตกต่างทันที

    เหมือนออกจากห้องอบไอร้อน มาสู่อากาศเย็นสบายภายนอก

    ถ้าใช้บ่อย ใจจะเย็นขึ้นเร็วขึ้น โดยไม่ต้องพยายาม



    ---

    📍 วิธีป้องกันไม่ให้ใจร้อนกลับมาเร็ว

    หลังจากหายใจเย็นๆ แล้ว ต้อง “พอใจ” กับความสงบนั้น

    อย่าเผลอกลับไปเร่งรีบง่ายๆ

    ฝึกพอใจกับความเย็น นิ่ง สบาย

    ถ้าทำได้บ่อย คุณจะเกิดความเชื่อว่า “ตัวเองหายจากโรคใจร้อนได้”

    แค่ไม่ลืมใช้ยา (ลมหายใจ) ให้ต่อเนื่องเท่านั้น!



    ---

    💡 บทสรุป

    1️⃣ ใจร้อน = ใจถูกเผา ไม่เป็นสุข
    2️⃣ สังเกตตัวเองเมื่อใจร้อนขึ้น → ลมหายใจสั้น ตัวเกร็ง หน้าเครียด
    3️⃣ ใช้ลมหายใจเย็นๆ 3 ครั้ง → หายใจช้าๆ แล้วสังเกตว่าความร้อนลดลงไหม
    4️⃣ หลังจากสงบแล้ว ให้พอใจกับความเย็น → อย่ารีบกลับไปเร่งรีบอีก
    5️⃣ ทำบ่อยๆ จนเชื่อว่า “เรารักษาตัวเองได้”

    🎯 แค่ฝึก "3 ลมหายใจช้าๆ" ก็เริ่มเยียวยาใจร้อนได้แล้ว! 🔥➡❄

    📌 วิธีรักษา “โรคใจร้อน” ตามหลักพุทธ ใจร้อน เหมือนไฟเผาภายในตลอดเวลา คนที่ ชอบเร่งรีบ อยากได้อะไรด่วนๆ ทนรอไม่ได้ เหมือนถูก ไฟเผาใจ จนไม่เป็นสุข ถ้าได้วิธีที่ถูกต้องมาเยียวยา จะเหมือนข้ามไปอีกโลกที่เย็นสบายขึ้น แต่ปัญหาคือ โรคใจร้อนรักษายาก ไม่เหมือนโรคทางกายที่ไปหาหมอแล้วหาย เป็นโรคที่ต้อง รู้เอง เห็นเอง เต็มใจรักษาเอง และที่สำคัญ ต้องใช้วิธีที่ถูกต้อง --- 🎯 วิธีรักษา "ใจร้อน" ด้วยสติและลมหายใจ 👉 ขั้นตอนที่ 1: สังเกตให้ได้ “ทุกครั้ง” ว่าเมื่อใจร้อนเกิดขึ้น... ✅ ลมหายใจจะ ห้วนและสั้น ✅ เนื้อตัวจะ เกร็ง ✅ ใบหน้าจะ ตึงเครียด 👉 ขั้นตอนที่ 2: ใช้ลมหายใจเยียวยา ยาที่ใกล้ตัวที่สุด ง่ายที่สุด ฟรีที่สุด คือ "ลมหายใจช้าๆ" 1️⃣ หายใจยาวๆ ช้าๆ นิ่มๆ ให้ได้ 3 ครั้ง 2️⃣ แต่ละครั้ง ให้ช้ากว่าตอนใจร้อน "ครึ่งหนึ่ง" 3️⃣ ตอนปล่อยลมหายใจออก ให้รู้สึกว่า "ลมเย็นลง" และใจนิ่งขึ้น 4️⃣ สังเกตว่า ตอนหายใจยาว 3 ครั้งแล้ว อารมณ์ใจร้อนลดลงไหม? 📌 ผลที่เกิดขึ้น: ถ้าทำถูก เพียง 3 ลมหายใจ จะรู้สึกถึงความแตกต่างทันที เหมือนออกจากห้องอบไอร้อน มาสู่อากาศเย็นสบายภายนอก ถ้าใช้บ่อย ใจจะเย็นขึ้นเร็วขึ้น โดยไม่ต้องพยายาม --- 📍 วิธีป้องกันไม่ให้ใจร้อนกลับมาเร็ว หลังจากหายใจเย็นๆ แล้ว ต้อง “พอใจ” กับความสงบนั้น อย่าเผลอกลับไปเร่งรีบง่ายๆ ฝึกพอใจกับความเย็น นิ่ง สบาย ถ้าทำได้บ่อย คุณจะเกิดความเชื่อว่า “ตัวเองหายจากโรคใจร้อนได้” แค่ไม่ลืมใช้ยา (ลมหายใจ) ให้ต่อเนื่องเท่านั้น! --- 💡 บทสรุป 1️⃣ ใจร้อน = ใจถูกเผา ไม่เป็นสุข 2️⃣ สังเกตตัวเองเมื่อใจร้อนขึ้น → ลมหายใจสั้น ตัวเกร็ง หน้าเครียด 3️⃣ ใช้ลมหายใจเย็นๆ 3 ครั้ง → หายใจช้าๆ แล้วสังเกตว่าความร้อนลดลงไหม 4️⃣ หลังจากสงบแล้ว ให้พอใจกับความเย็น → อย่ารีบกลับไปเร่งรีบอีก 5️⃣ ทำบ่อยๆ จนเชื่อว่า “เรารักษาตัวเองได้” 🎯 แค่ฝึก "3 ลมหายใจช้าๆ" ก็เริ่มเยียวยาใจร้อนได้แล้ว! 🔥➡❄
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • 129 ปี สิ้น “เจ้าเหมพินธุไพจิตร” เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร ผู้ใฝ่ในเกษตรกรรม

    📅 ย้อนไปเมื่อ 129 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 นับเป็นวันที่ราชวงศ์ทิพย์จักร ต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อ "เจ้าเหมพินธุไพจิตร" เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 ได้เสด็จถึงแก่พิราลัย ด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ รวมสิริชนมายุได้ 75 ปี แม้จะทรงครองนครลำพูนเพียง 2 ปี แต่พระราชกรณียกิจที่ทรงฝากไว้ ยังคงเป็นที่จดจำ โดยเฉพาะบทบาท ในการส่งเสริมการเกษตรกรรม และพัฒนานครลำพูน ให้เจริญรุ่งเรือง ✨

    🛕 จาก "เจ้าน้อยคำหยาด" สู่ "เจ้าเหมพินธุไพจิตร" 👑
    พระนามเดิมของ เจ้าเหมพินธุไพจิตร คือ "เจ้าน้อยคำหยาด" ประสูติในปี พ.ศ. 2364 ณ เมืองนครลำพูน พระองค์เป็นโอรสใน เจ้าไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ (เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 6) กับ แม่เจ้าคำจ๋าราชเทวี และเป็นพระนัดดาของ พระยาคำฟั่น (เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 1 และเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 3)

    🩷 ราชอนุชาและราชขนิษฐา ของพระองค์ ได้แก่
    เจ้าหญิงแสน ณ ลำพูน (ชายา "เจ้าหนานยศ ณ ลำพูน")
    เจ้าน้อยบุ ณ ลำพูน
    เจ้าน้อยหล้า ณ ลำพูน (พิราลัยแต่เยาว์วัย)

    🏛 เส้นทางสู่ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครลำพูน 📜
    🔹 วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2405 ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง "เจ้าราชบุตร" เมืองนครลำพูน
    🔹 วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2418 ได้รับโปรดเกล้าฯ เลื่อนขึ้นเป็น "เจ้าอุปราช" เมืองนครลำพูน
    🔹 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 ได้รับโปรดเกล้าฯ ขึ้นเป็น "เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8" ต่อจาก เจ้าดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ ผู้เป็นราชเชษฐา ต่างพระราชมารดา

    พระนามเต็มของพระองค์ เมื่อขึ้นครองนครลำพูน คือ
    👉 "เจ้าเหมพินธุไพจิตร ศุภกิจเกียรติโศภน วิมลสัตยสวามิภักดิคุณ หริภุญไชยรัษฎารักษ ตทรรคเจดียบูชากร ราษฎรธุรธาดา เอกัจจโยนกาธิบดี"

    🚜 การเกษตรกรรม และระบบชลประทาน 🌾
    แม้จะครองนครลำพูนเพียง 2 ปี แต่เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงให้ความสำคัญ กับการพัฒนาเกษตรกรรม อย่างมาก พระองค์ทรงส่งเสริม ให้ราษฎรทำการเกษตร ในลักษณะที่มีการจัดการน้ำ อย่างเป็นระบบ เช่น
    ✅ สร้างเหมืองฝาย เพื่อทดน้ำเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก
    ✅ ขุดลอกเหมืองเก่า เพื่อให้น้ำไหลเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก ได้ดีขึ้น
    ✅ ปรับปรุงที่ดอน ให้สามารถใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกได้

    💡 พระองค์มีพระราชดำริให้ราษฎร ปลูกข้าวเป็นพืชหลัก และเมื่อนาเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ก็ให้ปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น เช่น หอม กระเทียม และใบยา เพื่อเพิ่มรายได้

    🛕 บำรุงพระพุทธศาสนา และโครงสร้างพื้นฐาน
    🙏 ศาสนาและศิลปวัฒนธรรม
    เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด และส่งเสริมให้ราษฎร บำรุงพระพุทธศาสนา เช่น
    ✔️ บูรณะวัดเก่าแก่ ให้มีสภาพมั่นคงแข็งแรง
    ✔️ สร้างวิหาร กุฏิ และโบสถ์ ตามวัดสำคัญทั้งในเมือง และนอกเมืองลำพูน
    ✔️ ชักชวนราษฎรปั้นอิฐ ก่อกำแพงวัด และขุดสระน้ำในวัด

    🛤 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
    พระองค์ยังทรงให้ความสำคัญ กับการพัฒนาเมืองลำพูน ให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น โดย
    🚧 สร้างสะพาน เพื่ออำนวยความสะดวก ในการเดินทาง
    🚧 ยกระดับถนนในหมู่บ้าน เพื่อให้ล้อเกวียนสัญจรได้สะดวก
    🚧 ขุดร่องระบายน้ำ เพื่อลดปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝน

    ⚰️ เสด็จสู่สวรรคาลัย และมรดกที่ฝากไว้
    วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 เจ้าเหมพินธุไพจิตรทรงประชวร ด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ และเสด็จสวรรคตด้วย สิริชนมายุ 75 ปี

    แม้รัชสมัยของพระองค์จะสั้นเพียง 2 ปี แต่พระราชกรณียกิจของพระองค์ ยังคงปรากฏ เป็นมรดกที่สำคัญ ของลำพูน ทั้งในด้านเกษตรกรรม การบำรุงพระพุทธศาสนา และการพัฒนาเมือง

    🌟 รดกของเจ้าเหมพินธุไพจิตร
    ✅ ส่งเสริมการเกษตร และระบบชลประทาน
    ✅ ฟื้นฟู และบูรณะพระพุทธศาสนา
    ✅ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ของนครลำพูน
    ✅ เป็นต้นแบบของผู้นำ ที่ใส่ใจประชาชน

    เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นบุคคลสำคัญ ที่ส่งผลต่อเมืองลำพูน ทั้งในด้านการเกษตร เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม 🏞

    📌 คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    ❓ เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่เท่าไหร่?
    ✅ พระองค์เป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร

    ❓ พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์ คืออะไร?
    ✅ การส่งเสริมการเกษตร บูรณะพระพุทธศาสนา และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

    ❓ เหตุใดพระองค์จึงเสด็จสวรรคต?
    ✅ ทรงประชวรด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439

    ❓ พระองค์ครองนครลำพูนกี่ปี?
    ✅ ครองนครลำพูนเพียง 2 ปี (พ.ศ. 2437 - พ.ศ. 2439)

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 052147 ก.พ. 2568

    🔖 #เจ้าเหมพินธุไพจิตร #นครลำพูน #ประวัติศาสตร์ไทย #ราชวงศ์ทิพย์จักร #เกษตรกรรม #วัฒนธรรมล้านนา #ผู้ปกครองล้านนา #เมืองลำพูน #เล่าเรื่องเมืองลำพูน #ล้านนาประวัติศาสตร์
    129 ปี สิ้น “เจ้าเหมพินธุไพจิตร” เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร ผู้ใฝ่ในเกษตรกรรม 📅 ย้อนไปเมื่อ 129 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 นับเป็นวันที่ราชวงศ์ทิพย์จักร ต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อ "เจ้าเหมพินธุไพจิตร" เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 ได้เสด็จถึงแก่พิราลัย ด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ รวมสิริชนมายุได้ 75 ปี แม้จะทรงครองนครลำพูนเพียง 2 ปี แต่พระราชกรณียกิจที่ทรงฝากไว้ ยังคงเป็นที่จดจำ โดยเฉพาะบทบาท ในการส่งเสริมการเกษตรกรรม และพัฒนานครลำพูน ให้เจริญรุ่งเรือง ✨ 🛕 จาก "เจ้าน้อยคำหยาด" สู่ "เจ้าเหมพินธุไพจิตร" 👑 พระนามเดิมของ เจ้าเหมพินธุไพจิตร คือ "เจ้าน้อยคำหยาด" ประสูติในปี พ.ศ. 2364 ณ เมืองนครลำพูน พระองค์เป็นโอรสใน เจ้าไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ (เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 6) กับ แม่เจ้าคำจ๋าราชเทวี และเป็นพระนัดดาของ พระยาคำฟั่น (เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 1 และเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 3) 🩷 ราชอนุชาและราชขนิษฐา ของพระองค์ ได้แก่ เจ้าหญิงแสน ณ ลำพูน (ชายา "เจ้าหนานยศ ณ ลำพูน") เจ้าน้อยบุ ณ ลำพูน เจ้าน้อยหล้า ณ ลำพูน (พิราลัยแต่เยาว์วัย) 🏛 เส้นทางสู่ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครลำพูน 📜 🔹 วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2405 ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง "เจ้าราชบุตร" เมืองนครลำพูน 🔹 วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2418 ได้รับโปรดเกล้าฯ เลื่อนขึ้นเป็น "เจ้าอุปราช" เมืองนครลำพูน 🔹 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 ได้รับโปรดเกล้าฯ ขึ้นเป็น "เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8" ต่อจาก เจ้าดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ ผู้เป็นราชเชษฐา ต่างพระราชมารดา พระนามเต็มของพระองค์ เมื่อขึ้นครองนครลำพูน คือ 👉 "เจ้าเหมพินธุไพจิตร ศุภกิจเกียรติโศภน วิมลสัตยสวามิภักดิคุณ หริภุญไชยรัษฎารักษ ตทรรคเจดียบูชากร ราษฎรธุรธาดา เอกัจจโยนกาธิบดี" 🚜 การเกษตรกรรม และระบบชลประทาน 🌾 แม้จะครองนครลำพูนเพียง 2 ปี แต่เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงให้ความสำคัญ กับการพัฒนาเกษตรกรรม อย่างมาก พระองค์ทรงส่งเสริม ให้ราษฎรทำการเกษตร ในลักษณะที่มีการจัดการน้ำ อย่างเป็นระบบ เช่น ✅ สร้างเหมืองฝาย เพื่อทดน้ำเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก ✅ ขุดลอกเหมืองเก่า เพื่อให้น้ำไหลเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก ได้ดีขึ้น ✅ ปรับปรุงที่ดอน ให้สามารถใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกได้ 💡 พระองค์มีพระราชดำริให้ราษฎร ปลูกข้าวเป็นพืชหลัก และเมื่อนาเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ก็ให้ปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น เช่น หอม กระเทียม และใบยา เพื่อเพิ่มรายได้ 🛕 บำรุงพระพุทธศาสนา และโครงสร้างพื้นฐาน 🙏 ศาสนาและศิลปวัฒนธรรม เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด และส่งเสริมให้ราษฎร บำรุงพระพุทธศาสนา เช่น ✔️ บูรณะวัดเก่าแก่ ให้มีสภาพมั่นคงแข็งแรง ✔️ สร้างวิหาร กุฏิ และโบสถ์ ตามวัดสำคัญทั้งในเมือง และนอกเมืองลำพูน ✔️ ชักชวนราษฎรปั้นอิฐ ก่อกำแพงวัด และขุดสระน้ำในวัด 🛤 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พระองค์ยังทรงให้ความสำคัญ กับการพัฒนาเมืองลำพูน ให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น โดย 🚧 สร้างสะพาน เพื่ออำนวยความสะดวก ในการเดินทาง 🚧 ยกระดับถนนในหมู่บ้าน เพื่อให้ล้อเกวียนสัญจรได้สะดวก 🚧 ขุดร่องระบายน้ำ เพื่อลดปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝน ⚰️ เสด็จสู่สวรรคาลัย และมรดกที่ฝากไว้ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 เจ้าเหมพินธุไพจิตรทรงประชวร ด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ และเสด็จสวรรคตด้วย สิริชนมายุ 75 ปี แม้รัชสมัยของพระองค์จะสั้นเพียง 2 ปี แต่พระราชกรณียกิจของพระองค์ ยังคงปรากฏ เป็นมรดกที่สำคัญ ของลำพูน ทั้งในด้านเกษตรกรรม การบำรุงพระพุทธศาสนา และการพัฒนาเมือง 🌟 รดกของเจ้าเหมพินธุไพจิตร ✅ ส่งเสริมการเกษตร และระบบชลประทาน ✅ ฟื้นฟู และบูรณะพระพุทธศาสนา ✅ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ของนครลำพูน ✅ เป็นต้นแบบของผู้นำ ที่ใส่ใจประชาชน เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นบุคคลสำคัญ ที่ส่งผลต่อเมืองลำพูน ทั้งในด้านการเกษตร เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม 🏞 📌 คำถามที่พบบ่อย (FAQs) ❓ เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่เท่าไหร่? ✅ พระองค์เป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร ❓ พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์ คืออะไร? ✅ การส่งเสริมการเกษตร บูรณะพระพุทธศาสนา และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ❓ เหตุใดพระองค์จึงเสด็จสวรรคต? ✅ ทรงประชวรด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 ❓ พระองค์ครองนครลำพูนกี่ปี? ✅ ครองนครลำพูนเพียง 2 ปี (พ.ศ. 2437 - พ.ศ. 2439) ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 052147 ก.พ. 2568 🔖 #เจ้าเหมพินธุไพจิตร #นครลำพูน #ประวัติศาสตร์ไทย #ราชวงศ์ทิพย์จักร #เกษตรกรรม #วัฒนธรรมล้านนา #ผู้ปกครองล้านนา #เมืองลำพูน #เล่าเรื่องเมืองลำพูน #ล้านนาประวัติศาสตร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อัจฉริยะ” เผยมือถือแตงโมหลักฐานสำคัญถึงไทยตี 2 ศุกร์นี้ หลังกู้ข้อมูลเสร็จเรียบร้อย “หมอธวัชชัย” เตรียมมอบให้ดีเอสไอทันทีที่สนามบิน เผยข้อมูลคนดัง-นักการเมืองติดต่อเพียบ “กระติก” โทร.หาตอน 2 ทุ่ม 40 นาที ทั้งที่บอกว่าอยู่บนเรือด้วยกัน ซัด “เต้” กระทำกับตนมา 3 ปี แถมพูดให้เสียหายทางคดี ขวางบังแจ๊คส่งมอบมือถือแตงโม ล่าสุดถูกห้ามเข้าบ้านพระอาทิตย์แล้ว

    วันนี้(5 ก.พ.) ที่สำนักงานการสอบสวนสำนักงานอัยการสูงสุด ตลิ่งชั่น นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้าพบคณะกรรมการตรวจสอบวินัยตามคำสั่งอัยการสูงสุดตั้งกรรมการสอบวินัยนายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการ ที่ไปออกสื่อโดยใช้เวลาราชการและได้ค่าตอบแทน โดยไม่ได้ขออนุญาตจากอัยการสูงสุด เพื่อยื่นหลักฐานและให้ถ้อยคำกับคณะกรรมการดังกล่าว

    หลังจากนั้น นายอัจฉริยะ เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า กรณีที่นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับคดีการเสียงชีวิตของ น.ส.ภัทรธิกา พัชระวีระพงษ์ หรือแตงโมว่า ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ตนถูกกระทำจากนายมงคลกิตติ์มาตลอด ในตอนที่ตนฟ้องคนบนเรือเกี่ยวกับเรื่องของฆาตกรรมอําพรางที่ศาลจังหวัดนนทบุรี โดยได้รับมอบอํานาจจากแม่ของแตงโมโดยชอบด้วยกฎหมาย หลังจากยื่นฟ้องเสร็จ นายมงคลกิตติ์ได้โทรศัพท์มาหา ตำหนิตนอย่างหนักว่าไปฟ้องโดยไม่มีการแจ้งแม่แตงโมให้ทราบ ทั้งที่จริงตนแจ้งแม่แตงโมให้ทราบแล้ว แล้วก็ได้นําหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องของการฆาตกรรมเมื่อ 3 ปีที่แล้วไปให้แม่แตงโมดูแล้ว ต่อมานายมงคลกิตติ์ก็ไปยุยงแม่แตงโมให้มีการถอนฟ้องโดยการอ้างว่าถ้าผมฟ้องไปแม่จะถูกฟ้องกลับ ทําให้คุณต้องติดคุก ซึ่งแม่แตงโมก็ได้หลงเชื่อแล้วก็ตามมาถอนฟ้อง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000011884

    #MGROnline #อัจฉริยะ #มือถือแตงโม #หลักฐานสำคัญ #หมอธวัชชัย #ดีเอสไอ
    “อัจฉริยะ” เผยมือถือแตงโมหลักฐานสำคัญถึงไทยตี 2 ศุกร์นี้ หลังกู้ข้อมูลเสร็จเรียบร้อย “หมอธวัชชัย” เตรียมมอบให้ดีเอสไอทันทีที่สนามบิน เผยข้อมูลคนดัง-นักการเมืองติดต่อเพียบ “กระติก” โทร.หาตอน 2 ทุ่ม 40 นาที ทั้งที่บอกว่าอยู่บนเรือด้วยกัน ซัด “เต้” กระทำกับตนมา 3 ปี แถมพูดให้เสียหายทางคดี ขวางบังแจ๊คส่งมอบมือถือแตงโม ล่าสุดถูกห้ามเข้าบ้านพระอาทิตย์แล้ว • วันนี้(5 ก.พ.) ที่สำนักงานการสอบสวนสำนักงานอัยการสูงสุด ตลิ่งชั่น นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้าพบคณะกรรมการตรวจสอบวินัยตามคำสั่งอัยการสูงสุดตั้งกรรมการสอบวินัยนายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการ ที่ไปออกสื่อโดยใช้เวลาราชการและได้ค่าตอบแทน โดยไม่ได้ขออนุญาตจากอัยการสูงสุด เพื่อยื่นหลักฐานและให้ถ้อยคำกับคณะกรรมการดังกล่าว • หลังจากนั้น นายอัจฉริยะ เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า กรณีที่นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับคดีการเสียงชีวิตของ น.ส.ภัทรธิกา พัชระวีระพงษ์ หรือแตงโมว่า ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ตนถูกกระทำจากนายมงคลกิตติ์มาตลอด ในตอนที่ตนฟ้องคนบนเรือเกี่ยวกับเรื่องของฆาตกรรมอําพรางที่ศาลจังหวัดนนทบุรี โดยได้รับมอบอํานาจจากแม่ของแตงโมโดยชอบด้วยกฎหมาย หลังจากยื่นฟ้องเสร็จ นายมงคลกิตติ์ได้โทรศัพท์มาหา ตำหนิตนอย่างหนักว่าไปฟ้องโดยไม่มีการแจ้งแม่แตงโมให้ทราบ ทั้งที่จริงตนแจ้งแม่แตงโมให้ทราบแล้ว แล้วก็ได้นําหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องของการฆาตกรรมเมื่อ 3 ปีที่แล้วไปให้แม่แตงโมดูแล้ว ต่อมานายมงคลกิตติ์ก็ไปยุยงแม่แตงโมให้มีการถอนฟ้องโดยการอ้างว่าถ้าผมฟ้องไปแม่จะถูกฟ้องกลับ ทําให้คุณต้องติดคุก ซึ่งแม่แตงโมก็ได้หลงเชื่อแล้วก็ตามมาถอนฟ้อง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000011884 • #MGROnline #อัจฉริยะ #มือถือแตงโม #หลักฐานสำคัญ #หมอธวัชชัย #ดีเอสไอ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถนนจูเชวี่ยแห่งนครฉางอัน

    สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเร็วหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันไปฉลองปีใหม่ พูดถึงเทศกาลคริสมาสและปีใหม่ ก็หนีไม่พ้นเรื่องของการซื้อของให้ของขวัญ ทำให้ Storyฯ นึกถึงถนนสายหนึ่งที่มักถูกกล่าวถึงในละครเรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เวลาที่นางเอกชวนสาวใช้ไปเดินช้อปปิ้ง

    ถนนสายนี้มีชื่อว่า ถนนจูเชวี่ย (朱雀街 / ถนนวิหคชาด) ซึ่งเป็นชื่อที่ปรากฏบ่อยมากในซีรีส์และนิยายจีน เพราะมันเป็นถนนที่โด่งดังมากแห่งนครฉางอัน และปัจจุบันยังคงมีถนนสายนี้อยู่ที่เมืองซีอัน แต่เรียกจริงๆ ว่าถนนใหญ่จูเชวี่ย (朱雀大街 / Zhuque Avenue)

    ถนนจูเชวี่ยที่เราเห็นในละครหลายเรื่องดูจะเป็นถนนเล็ก สองฟากเรียงรายด้วยแผงขายของ แต่จริงๆ แล้ว ถนนจูเชวี่ยเป็นถนนที่ใหญ่มาก เลยต้องเอารูปประกอบมาเสริมจากละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> ซึ่งถูกกล่าวขานยกย่องว่ามีการจำลองผังเมืองนครฉางอันมาอย่างดี

    ‘ฉางอัน’ ชื่อนี้แปลว่าสงบสุขยืนยาว และเมืองฉางอันมีอดีตยาวนานสมชื่อ มันเคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่หลายราชวงศ์ แต่ไม่ได้มีอาณาเขตเท่ากันในทุกยุคสมัย ในสมัยราชวงศ์สุยและถังมีการสร้างพระราชวังขึ้นเพิ่มและขยายอาณาเขตออกไป และในสมัยถังจัดได้ว่าเป็นช่วงที่เรืองรองที่สุดของนครฉางอัน ในช่วงที่เฟื่องฟูที่สุดนั้น นครฉางอันมีประชากรถึง 3 ล้านคน เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกในสมัยนั้น ใหญ่กว่ากรุงโรมโบราณถึง 7 เท่า เส้นผ่าศูนย์กลางตะวันออก-ตะวันตกของเมืองยาว 9.7 กิโลเมตร เหนือ-ใต้ยาว 8.7 กิโลเมตร

    ต่อมาในสมัยปลายถังมีการหนีข้าศึกย้ายราชธานีไปยังเมืองลั่วหยาง เมืองฉางอันก็ค่อยๆ เสื่อมโทรมลง ในสมัยหมิงมีการบูรณะฉางอันสร้างขึ้นอีกครั้งเป็นเมืองซีอัน แต่ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าฉางอันเดิม

    นครฉางอันสมัยถังแบ่งเป็นสองเขตใหญ่ คือฝั่งตะวันออกและตะวันตก มีถนนใหญ่คั่นกลางคือถนนจูเชวี่ย (ดูรูปประกอบ2) พื้นที่ทั้งหมดถูกแบ่งซอยย่อยเป็นเขตเล็กทรงสี่เหลี่ยมเรียกว่า ‘ฟาง’ มีหลายขนาด ยาวประมาณ 500-800 เมตร กว้าง 700-1,000 เมตร แต่ละเขตฟางมีกำแพงและคูระบายน้ำล้อมรอบ และมีประตูเข้าออกของมันเองเพื่อความปลอดภัย โดยประตูจะเปิดในตอนเช้าและปิดในตอนกลางคืน มีทั้งหมดด้วยกัน 108 เขตฟาง (ไม่รวมตลาดอีก 2 ฟาง) จนบางคนเปรียบผังเมืองฉางอันเป็นกระดานหมากล้อม เพื่อนเพจที่ได้ดู <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> น่าจะคุ้นเคยกับภาพของเขตฟางเหล่านี้

    นครฉางอันมีประตูเมือง 12 ประตู (Storyฯ เคยคุยถึงประตูเมืองโบราณแล้วใน https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/581451090649854 ) และประตูเมืองที่สำคัญเพราะเป็นประตูหลักในการเข้าออกเมืองนี้ก็คือประตูทิศใต้ที่มีชื่อว่า ประตูหมิงเต๋อ มันเป็นประตูเมืองประตูเดียวที่มีถึงห้าบาน โดยหนึ่งบานนั้นเป็นประตูที่เปิดใช้เฉพาะยามที่ฮ่องเต้เสด็จเข้าออกเมือง

    ถนนจูเชวี่ยนี้ ทิศใต้จรดประตูเมืองหมิงเต๋อที่กล่าวถึงข้างต้น ส่วนทิศเหนือนั้นจรดประตูเขตพระนครชื่อว่าประตูจูเชวี่ย และเลยผ่านเขตพระนครไปจรดประตูพระราชวังเฉิงเทียน อนึ่ง เขตพระนครหรือหวงเฉิง (皇城 / Royal City) นั้นคือส่วนที่เป็นบริเวณสถานที่ราชการต่างๆ ส่วนเขตพระราชวังหรือกงเฉิง (宫城 / Palace City) นั้นคือเขตที่ประทับของฮ่องเต้และเหล่าเชื้อพระวงศ์ ถนนจูเชวี่ยส่วนที่อยู่ในเขตพระนครนั้นเรียกว่า ถนนเฉิงเทียน ตามชื่อประตู และเป็นที่มาว่าถนนจูเชวี่ยถูกเรียกว่าถนน ‘เทียนเจีย’ (ถนนสวรรค์)

    ถนนจูเชวี่ยแห่งนครฉางอันในสมัยถังนั้น จริงแท้หน้าตาเป็นอย่างไรไม่ปรากฏภาพวาดเปรียบเทียบกับถนนอื่นอย่างชัดเจน แต่มีการขุดพบซากถนนเก่าที่ยืนยันขนาดของมันว่ามีความยาว กว่า 5 กม. ถนนหน้ากว้าง 150 เมตร (รวมคูข้างถนน ถ้าไม่รวมคือประมาณ 129-130 เมตร) และทุกระยะทาง 200 เมตรจะมีการขยายถนนออกไปเล็กน้อย คล้ายเป็นไหล่ทาง มีไว้ให้คนยืนหลบเวลาที่ฮ่องเต้เสด็จผ่าน --- ลองนึกเปรียบเทียบดูว่า ถนนบ้านเราปัจจุบันตามกฎหมายกว้าง 3 เมตร ดังนั้นความกว้างของถนนจูเชวี่ยเทียบเท่าถนนห้าสิบเลนปัจจุบันของเราเลยทีเดียว! ทีนี้เพื่อนเพจคงนึกภาพตามได้ไม่ยากแล้วว่า ในละครที่เราเห็นภาพฮ่องเต้ทรงอวยพรให้แม่ทัพและเหล่ากองกำลังทหารก่อนเดินทัพออกจากพระราชวังนั้น เขามีถนนใหญ่อย่างนี้จริง

    มีคนวิเคราะห์ไว้ว่า ขนาดความกว้างของถนนจูเชวี่ยนี้ เป็นเพราะระยะทางการยิงของธนูธรรมดาในสมัยนั้น ยิงได้ไกลประมาณ 60 เมตร ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของขบวนเสด็จของฮ่องเต้ ถนนจูเชวี่ยจึงต้องมีความกว้างถึง 150 เมตร

    แต่ไม่ใช่ถนนทุกสายที่มีหน้ากว้างขนาดนี้ ถนนสายรองของเมืองมีหน้ากว้างปกติ 40-70 เมตร และถนนเล็กเลียบกำแพงเมืองจะมีหน้ากว้างไม่เกิน 25 เมตร ส่วนถนนระหว่างเขตฟางส่วนใหญ่มีความกว้างเพียงให้รถเกวียนหรือรถม้าสองคันวิ่งสวนกัน

    ถนนจูเชวี่ยใหญ่ขนาดนี้ ใช่ถนนช้อปปิ้งหรือไม่?

    จากบันทึกโบราณ สถานช้อปปิ้งหลักของนครฉางอันคือตลาดตะวันตกและตลาดตะวันออก (ดูรูปผังเมืองที่แปะมา) โดยสินค้าในตลาดตะวันตกส่วนใหญ่เป็นสินค้าพื้นบ้านหรือของนำเข้าจากเมืองอื่นสำหรับชาวบ้านทั่วไป แต่สินค้าในตลาดตะวันออกจากมีราคาสูงขึ้นมาอีก เพราะกลุ่มลูกค้าจะเป็นชนชั้นสูง ส่วนถนนจูเชวี่ยนั้น สองฝั่งฟากส่วนใหญ่เป็นวัดวาอารามและหอชมวิว

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.niusnews.com/=P0123ga33
    https://n.znds.com/article/39071.html
    http://v.xiancity.cn/folder11/folder186/2016-11-25/89648.html
    https://m.planning.org.cn/zx_news/9888.htm
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://m.planning.org.cn/zx_news/9888.htm
    https://en.unesco.org/silkroad/content/did-you-know-cosmopolitan-city-changan-eastern-end-silk-roads
    https://i.ifeng.com/c/8NbyjwjSa8B
    https://kknews.cc/history/6o6lop.html
    https://kknews.cc/news/e8orjvn.html
    https://www.gugong.net/zhongguo/tangchao/29679.html

    #ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์ #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ฉางอัน #ถนนจูเชวี่ย #ถนนสวรรค์
    ถนนจูเชวี่ยแห่งนครฉางอัน สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเร็วหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันไปฉลองปีใหม่ พูดถึงเทศกาลคริสมาสและปีใหม่ ก็หนีไม่พ้นเรื่องของการซื้อของให้ของขวัญ ทำให้ Storyฯ นึกถึงถนนสายหนึ่งที่มักถูกกล่าวถึงในละครเรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เวลาที่นางเอกชวนสาวใช้ไปเดินช้อปปิ้ง ถนนสายนี้มีชื่อว่า ถนนจูเชวี่ย (朱雀街 / ถนนวิหคชาด) ซึ่งเป็นชื่อที่ปรากฏบ่อยมากในซีรีส์และนิยายจีน เพราะมันเป็นถนนที่โด่งดังมากแห่งนครฉางอัน และปัจจุบันยังคงมีถนนสายนี้อยู่ที่เมืองซีอัน แต่เรียกจริงๆ ว่าถนนใหญ่จูเชวี่ย (朱雀大街 / Zhuque Avenue) ถนนจูเชวี่ยที่เราเห็นในละครหลายเรื่องดูจะเป็นถนนเล็ก สองฟากเรียงรายด้วยแผงขายของ แต่จริงๆ แล้ว ถนนจูเชวี่ยเป็นถนนที่ใหญ่มาก เลยต้องเอารูปประกอบมาเสริมจากละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> ซึ่งถูกกล่าวขานยกย่องว่ามีการจำลองผังเมืองนครฉางอันมาอย่างดี ‘ฉางอัน’ ชื่อนี้แปลว่าสงบสุขยืนยาว และเมืองฉางอันมีอดีตยาวนานสมชื่อ มันเคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่หลายราชวงศ์ แต่ไม่ได้มีอาณาเขตเท่ากันในทุกยุคสมัย ในสมัยราชวงศ์สุยและถังมีการสร้างพระราชวังขึ้นเพิ่มและขยายอาณาเขตออกไป และในสมัยถังจัดได้ว่าเป็นช่วงที่เรืองรองที่สุดของนครฉางอัน ในช่วงที่เฟื่องฟูที่สุดนั้น นครฉางอันมีประชากรถึง 3 ล้านคน เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกในสมัยนั้น ใหญ่กว่ากรุงโรมโบราณถึง 7 เท่า เส้นผ่าศูนย์กลางตะวันออก-ตะวันตกของเมืองยาว 9.7 กิโลเมตร เหนือ-ใต้ยาว 8.7 กิโลเมตร ต่อมาในสมัยปลายถังมีการหนีข้าศึกย้ายราชธานีไปยังเมืองลั่วหยาง เมืองฉางอันก็ค่อยๆ เสื่อมโทรมลง ในสมัยหมิงมีการบูรณะฉางอันสร้างขึ้นอีกครั้งเป็นเมืองซีอัน แต่ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าฉางอันเดิม นครฉางอันสมัยถังแบ่งเป็นสองเขตใหญ่ คือฝั่งตะวันออกและตะวันตก มีถนนใหญ่คั่นกลางคือถนนจูเชวี่ย (ดูรูปประกอบ2) พื้นที่ทั้งหมดถูกแบ่งซอยย่อยเป็นเขตเล็กทรงสี่เหลี่ยมเรียกว่า ‘ฟาง’ มีหลายขนาด ยาวประมาณ 500-800 เมตร กว้าง 700-1,000 เมตร แต่ละเขตฟางมีกำแพงและคูระบายน้ำล้อมรอบ และมีประตูเข้าออกของมันเองเพื่อความปลอดภัย โดยประตูจะเปิดในตอนเช้าและปิดในตอนกลางคืน มีทั้งหมดด้วยกัน 108 เขตฟาง (ไม่รวมตลาดอีก 2 ฟาง) จนบางคนเปรียบผังเมืองฉางอันเป็นกระดานหมากล้อม เพื่อนเพจที่ได้ดู <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> น่าจะคุ้นเคยกับภาพของเขตฟางเหล่านี้ นครฉางอันมีประตูเมือง 12 ประตู (Storyฯ เคยคุยถึงประตูเมืองโบราณแล้วใน https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/581451090649854 ) และประตูเมืองที่สำคัญเพราะเป็นประตูหลักในการเข้าออกเมืองนี้ก็คือประตูทิศใต้ที่มีชื่อว่า ประตูหมิงเต๋อ มันเป็นประตูเมืองประตูเดียวที่มีถึงห้าบาน โดยหนึ่งบานนั้นเป็นประตูที่เปิดใช้เฉพาะยามที่ฮ่องเต้เสด็จเข้าออกเมือง ถนนจูเชวี่ยนี้ ทิศใต้จรดประตูเมืองหมิงเต๋อที่กล่าวถึงข้างต้น ส่วนทิศเหนือนั้นจรดประตูเขตพระนครชื่อว่าประตูจูเชวี่ย และเลยผ่านเขตพระนครไปจรดประตูพระราชวังเฉิงเทียน อนึ่ง เขตพระนครหรือหวงเฉิง (皇城 / Royal City) นั้นคือส่วนที่เป็นบริเวณสถานที่ราชการต่างๆ ส่วนเขตพระราชวังหรือกงเฉิง (宫城 / Palace City) นั้นคือเขตที่ประทับของฮ่องเต้และเหล่าเชื้อพระวงศ์ ถนนจูเชวี่ยส่วนที่อยู่ในเขตพระนครนั้นเรียกว่า ถนนเฉิงเทียน ตามชื่อประตู และเป็นที่มาว่าถนนจูเชวี่ยถูกเรียกว่าถนน ‘เทียนเจีย’ (ถนนสวรรค์) ถนนจูเชวี่ยแห่งนครฉางอันในสมัยถังนั้น จริงแท้หน้าตาเป็นอย่างไรไม่ปรากฏภาพวาดเปรียบเทียบกับถนนอื่นอย่างชัดเจน แต่มีการขุดพบซากถนนเก่าที่ยืนยันขนาดของมันว่ามีความยาว กว่า 5 กม. ถนนหน้ากว้าง 150 เมตร (รวมคูข้างถนน ถ้าไม่รวมคือประมาณ 129-130 เมตร) และทุกระยะทาง 200 เมตรจะมีการขยายถนนออกไปเล็กน้อย คล้ายเป็นไหล่ทาง มีไว้ให้คนยืนหลบเวลาที่ฮ่องเต้เสด็จผ่าน --- ลองนึกเปรียบเทียบดูว่า ถนนบ้านเราปัจจุบันตามกฎหมายกว้าง 3 เมตร ดังนั้นความกว้างของถนนจูเชวี่ยเทียบเท่าถนนห้าสิบเลนปัจจุบันของเราเลยทีเดียว! ทีนี้เพื่อนเพจคงนึกภาพตามได้ไม่ยากแล้วว่า ในละครที่เราเห็นภาพฮ่องเต้ทรงอวยพรให้แม่ทัพและเหล่ากองกำลังทหารก่อนเดินทัพออกจากพระราชวังนั้น เขามีถนนใหญ่อย่างนี้จริง มีคนวิเคราะห์ไว้ว่า ขนาดความกว้างของถนนจูเชวี่ยนี้ เป็นเพราะระยะทางการยิงของธนูธรรมดาในสมัยนั้น ยิงได้ไกลประมาณ 60 เมตร ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของขบวนเสด็จของฮ่องเต้ ถนนจูเชวี่ยจึงต้องมีความกว้างถึง 150 เมตร แต่ไม่ใช่ถนนทุกสายที่มีหน้ากว้างขนาดนี้ ถนนสายรองของเมืองมีหน้ากว้างปกติ 40-70 เมตร และถนนเล็กเลียบกำแพงเมืองจะมีหน้ากว้างไม่เกิน 25 เมตร ส่วนถนนระหว่างเขตฟางส่วนใหญ่มีความกว้างเพียงให้รถเกวียนหรือรถม้าสองคันวิ่งสวนกัน ถนนจูเชวี่ยใหญ่ขนาดนี้ ใช่ถนนช้อปปิ้งหรือไม่? จากบันทึกโบราณ สถานช้อปปิ้งหลักของนครฉางอันคือตลาดตะวันตกและตลาดตะวันออก (ดูรูปผังเมืองที่แปะมา) โดยสินค้าในตลาดตะวันตกส่วนใหญ่เป็นสินค้าพื้นบ้านหรือของนำเข้าจากเมืองอื่นสำหรับชาวบ้านทั่วไป แต่สินค้าในตลาดตะวันออกจากมีราคาสูงขึ้นมาอีก เพราะกลุ่มลูกค้าจะเป็นชนชั้นสูง ส่วนถนนจูเชวี่ยนั้น สองฝั่งฟากส่วนใหญ่เป็นวัดวาอารามและหอชมวิว (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.niusnews.com/=P0123ga33 https://n.znds.com/article/39071.html http://v.xiancity.cn/folder11/folder186/2016-11-25/89648.html https://m.planning.org.cn/zx_news/9888.htm Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://m.planning.org.cn/zx_news/9888.htm https://en.unesco.org/silkroad/content/did-you-know-cosmopolitan-city-changan-eastern-end-silk-roads https://i.ifeng.com/c/8NbyjwjSa8B https://kknews.cc/history/6o6lop.html https://kknews.cc/news/e8orjvn.html https://www.gugong.net/zhongguo/tangchao/29679.html #ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์ #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ฉางอัน #ถนนจูเชวี่ย #ถนนสวรรค์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts