• เชียงรายหนาวต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 พื้นราบอุณหภูมิ 15-18 องศาฯ หมอกเช้าหนาจนรถต้องระวัง ขณะที่ภูชี้ฟ้า อุณหภูมิลดฮวบเหลือ 8 องศาฯ ฟ้าใสลมหนาวพัดแรง นักท่องเที่ยวทยอยขึ้นชมวิวคึกคัก

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110838

    #เชียงราย #ภูชี้ฟ้า #อากาศหนาว #หมอกหนา #ท่องเที่ยว #ภาคเหนือ #News1live #News1
    เชียงรายหนาวต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 พื้นราบอุณหภูมิ 15-18 องศาฯ หมอกเช้าหนาจนรถต้องระวัง ขณะที่ภูชี้ฟ้า อุณหภูมิลดฮวบเหลือ 8 องศาฯ ฟ้าใสลมหนาวพัดแรง นักท่องเที่ยวทยอยขึ้นชมวิวคึกคัก • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110838 • #เชียงราย #ภูชี้ฟ้า #อากาศหนาว #หมอกหนา #ท่องเที่ยว #ภาคเหนือ #News1live #News1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • “กรีนแลนด์: ดินแดนสวยงามที่ไม่ต้อนรับมนุษย์ — บันทึกการเดินทางสุดโหดจากเดนมาร์กสู่ขั้วโลกเหนือ”

    เมื่อชาวเดนมาร์กคนหนึ่งตัดสินใจพาครอบครัวเดินทางไปเยือนกรีนแลนด์ ดินแดนที่เคยเป็นอาณานิคมของเดนมาร์กและยังคงมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอยู่จนถึงทุกวันนี้ เขาได้พบกับประสบการณ์ที่ทั้งงดงามและโหดร้ายในเวลาเดียวกัน

    การเดินทางเริ่มต้นด้วยความวุ่นวายที่สนามบินโคเปนเฮเกน ก่อนจะบินไปยังกรีนแลนด์ แต่กลับต้องวนรอบสนามบินถึง 3 ชั่วโมงเพราะหมอกหนา และสุดท้ายต้องบินไปเติมน้ำมันที่ไอซ์แลนด์ก่อนกลับเดนมาร์กอีกครั้ง รวมเวลาบินกว่า 15 ชั่วโมงโดยไม่ได้ลงจอดเลย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ชาวกรีนแลนด์ดูจะชินเสียแล้ว

    เมื่อไปถึงเมือง Nuuk เมืองหลวงของกรีนแลนด์ ผู้เขียนพบกับความสงบแบบเหนือจริง ผู้คนไม่เร่งรีบ อากาศหนาวจัดแต่มีแสงแดดแรงจนรู้สึกเหมือนอยู่ในเตาอบกลางวัน และหนาวจัดในทันทีเมื่อเปิดหน้าต่างตอนกลางคืน เป็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว

    จากนั้นเดินทางต่อไปยัง Ilulissat เมืองที่เต็มไปด้วยธารน้ำแข็งและภูมิประเทศที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิยายไซไฟ แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจที่สุดคือฝูงยุงที่ดุร้ายจนต้องใส่ตาข่ายคลุมหน้า และสุนัขลากเลื่อนที่ถูกล่ามไว้กลางแจ้งเหมือนอยู่ในคุกกลางธรรมชาติ

    แม้จะมีความงดงามของธารน้ำแข็งและการได้เห็นวาฬในทะเลที่สงบที่สุดเท่าที่เคยเจอ แต่ก็มีภาพที่สะเทือนใจ เช่น การโยนซากสุนัขที่ตายแล้วลงหน้าผาต่อหน้ากลุ่มเด็ก และการล่าวาฬที่ยังคงดำเนินอยู่ในรูปแบบอุตสาหกรรม

    กรีนแลนด์จึงเป็นดินแดนที่ทั้งงดงามและโหดร้าย เป็นสถานที่ที่ธรรมชาติยังคงควบคุมทุกอย่าง และมนุษย์ต้องปรับตัวอย่างสุดขั้วเพื่ออยู่รอด

    https://matduggan.com/greenland-is-a-beautiful-nightmare/
    🧊 “กรีนแลนด์: ดินแดนสวยงามที่ไม่ต้อนรับมนุษย์ — บันทึกการเดินทางสุดโหดจากเดนมาร์กสู่ขั้วโลกเหนือ” เมื่อชาวเดนมาร์กคนหนึ่งตัดสินใจพาครอบครัวเดินทางไปเยือนกรีนแลนด์ ดินแดนที่เคยเป็นอาณานิคมของเดนมาร์กและยังคงมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอยู่จนถึงทุกวันนี้ เขาได้พบกับประสบการณ์ที่ทั้งงดงามและโหดร้ายในเวลาเดียวกัน การเดินทางเริ่มต้นด้วยความวุ่นวายที่สนามบินโคเปนเฮเกน ก่อนจะบินไปยังกรีนแลนด์ แต่กลับต้องวนรอบสนามบินถึง 3 ชั่วโมงเพราะหมอกหนา และสุดท้ายต้องบินไปเติมน้ำมันที่ไอซ์แลนด์ก่อนกลับเดนมาร์กอีกครั้ง รวมเวลาบินกว่า 15 ชั่วโมงโดยไม่ได้ลงจอดเลย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ชาวกรีนแลนด์ดูจะชินเสียแล้ว เมื่อไปถึงเมือง Nuuk เมืองหลวงของกรีนแลนด์ ผู้เขียนพบกับความสงบแบบเหนือจริง ผู้คนไม่เร่งรีบ อากาศหนาวจัดแต่มีแสงแดดแรงจนรู้สึกเหมือนอยู่ในเตาอบกลางวัน และหนาวจัดในทันทีเมื่อเปิดหน้าต่างตอนกลางคืน เป็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว จากนั้นเดินทางต่อไปยัง Ilulissat เมืองที่เต็มไปด้วยธารน้ำแข็งและภูมิประเทศที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิยายไซไฟ แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจที่สุดคือฝูงยุงที่ดุร้ายจนต้องใส่ตาข่ายคลุมหน้า และสุนัขลากเลื่อนที่ถูกล่ามไว้กลางแจ้งเหมือนอยู่ในคุกกลางธรรมชาติ แม้จะมีความงดงามของธารน้ำแข็งและการได้เห็นวาฬในทะเลที่สงบที่สุดเท่าที่เคยเจอ แต่ก็มีภาพที่สะเทือนใจ เช่น การโยนซากสุนัขที่ตายแล้วลงหน้าผาต่อหน้ากลุ่มเด็ก และการล่าวาฬที่ยังคงดำเนินอยู่ในรูปแบบอุตสาหกรรม กรีนแลนด์จึงเป็นดินแดนที่ทั้งงดงามและโหดร้าย เป็นสถานที่ที่ธรรมชาติยังคงควบคุมทุกอย่าง และมนุษย์ต้องปรับตัวอย่างสุดขั้วเพื่ออยู่รอด https://matduggan.com/greenland-is-a-beautiful-nightmare/
    MATDUGGAN.COM
    matduggan.com
    It's JSON all the way down
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 370 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันที่สมองซีกซ้ายกับซีกขวาคืนดีกัน

    ชีวิตของ "อ๋อง" เคยเหมือนเรือลำเล็กที่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเลหมอกหนาทึบ เขามักจมอยู่กับ "อดีต" (Past) วนเวียนคิดถึงแต่ "สาเหตุ" (Cause) ของความผิดพลาด ความล้มเหลวต่างๆ ที่ฝังใจ จนกลายเป็น "อาการ" (Symptoms) ของความท้อแท้ ไม่มั่นใจ และมองไม่เห็นทางไปต่อในปัจจุบัน สมองซีกซ้ายที่เต็มไปด้วยเหตุผลและคำตำหนิ กับสมองซีกขวาที่โหยหาความฝันและความสุข ดูเหมือนจะทำงานขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา
    วันหนึ่ง อ๋องได้รู้จักกับแนวคิด NLP Coaching ผ่านเว็บไซต์หนึ่ง เหมือนมีแสงสว่างเล็กๆ ส่องเข้ามาในม่านหมอก เขาลองเปิดใจศึกษา ค่อยๆ เรียนรู้วิธีสำรวจความคิด ความเชื่อที่จำกัดตัวเอง และทำความเข้าใจว่าสิ่งที่คอยฉุดรั้งเขาไว้นั้นมาจากไหน

    กระบวนการโค้ชชิ่งพาอ๋องกลับมาโฟกัสที่ "ปัจจุบัน" (Now) สอนให้เขาใช้ "พลังสร้างสรรค์ปัจจุบัน" ที่มีอยู่ในตัว ดึงเอาศักยภาพที่ซ่อนอยู่ออกมา เขาเริ่มฝึกตั้ง "เป้าหมาย" (Outcome) ที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น "เป้าหมายในอีก 10 สัปดาห์ข้างหน้า" หรือการใช้หลักการ "10.10.10" เพื่อมองภาพความสำเร็จในระยะสั้น กลาง ยาว รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญด้วย "Rule of 5" หรือ 5 สิ่งที่สำคัญที่สุดในแต่ละวัน

    อ๋องเริ่มฝึกมอง "ผลลัพธ์" ที่ต้องการ และจินตนาการถึง "ผลกระทบ" (Impact) ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเขาทำสำเร็จ ภาพความสำเร็จที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นแรงผลักดันมหาศาล แม้ในช่วงแรกจะมีบางวันที่เขาท้อแท้ หรือเผลอกลับไปคิดถึงเรื่องเก่าๆ แต่เขาก็ถูกสอนให้ใช้มุมมองที่ว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นมันดีเสมอ" เพื่อเป็นบทเรียนและก้าวต่อไป

    จากคนที่เคยมองโลกในแง่ลบ อ๋องค่อยๆ เปลี่ยนไป เขามีพลังมากขึ้น มีความหวัง มองเห็นเส้นทางข้างหน้าชัดเจนขึ้น เขารู้สึกเหมือนได้ปลดล็อกตัวเอง (Breakthrough Success) และก้าวข้ามกำแพงที่มองไม่เห็นซึ่งเคยขวางกั้นเขาไว้มานาน ชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล...

    หลายปีผ่านไป...
    ชายคนหนึ่งกำลังวาด Mind Map แผ่นนั้นอย่างตั้งใจ บนกระดาษปรากฏภาพสมองซีกซ้าย-ขวา ก้อนเมฆแห่งความคิด และลูกศรที่ชี้จากอดีตสู่อนาคต เขาวาดมันขึ้นมาเพื่อเตรียมใช้สอนและโค้ชชิ่งให้กับลูกศิษย์คนใหม่ ที่กำลังเผชิญกับปัญหาคล้ายๆ กับที่เขาเคยเจอ

    เขามอง Mind Map แผ่นนั้นด้วยรอยยิ้มบางๆ นึกถึงการเดินทางของตัวเอง จาก "อ๋อง" เด็กหนุ่มที่เคยหลงทาง สู่ "อ.หม่อม" หรือ ศาสตราจารย์พิศิษฐ์ ดร.วสิษฐ์ พรหมบุตร ผู้ก่อตั้งแบรนด์ “Life Alignmentor” (www.lifealignmentor.com) ในวันนี้

    ใช่แล้ว... เรื่องราวทั้งหมดคือประสบการณ์ตรงของเขาเอง วันที่สมองซีกซ้ายกับซีกขวาของเขาได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกันอย่างทรงพลัง และเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล เพื่อส่งต่อพลังนั้นให้กับคนอื่นๆ ต่อไป

    www.lifealignmentor.com
    วันที่สมองซีกซ้ายกับซีกขวาคืนดีกัน ชีวิตของ "อ๋อง" เคยเหมือนเรือลำเล็กที่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเลหมอกหนาทึบ เขามักจมอยู่กับ "อดีต" (Past) วนเวียนคิดถึงแต่ "สาเหตุ" (Cause) ของความผิดพลาด ความล้มเหลวต่างๆ ที่ฝังใจ จนกลายเป็น "อาการ" (Symptoms) ของความท้อแท้ ไม่มั่นใจ และมองไม่เห็นทางไปต่อในปัจจุบัน สมองซีกซ้ายที่เต็มไปด้วยเหตุผลและคำตำหนิ กับสมองซีกขวาที่โหยหาความฝันและความสุข ดูเหมือนจะทำงานขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่ง อ๋องได้รู้จักกับแนวคิด NLP Coaching ผ่านเว็บไซต์หนึ่ง เหมือนมีแสงสว่างเล็กๆ ส่องเข้ามาในม่านหมอก เขาลองเปิดใจศึกษา ค่อยๆ เรียนรู้วิธีสำรวจความคิด ความเชื่อที่จำกัดตัวเอง และทำความเข้าใจว่าสิ่งที่คอยฉุดรั้งเขาไว้นั้นมาจากไหน กระบวนการโค้ชชิ่งพาอ๋องกลับมาโฟกัสที่ "ปัจจุบัน" (Now) สอนให้เขาใช้ "พลังสร้างสรรค์ปัจจุบัน" ที่มีอยู่ในตัว ดึงเอาศักยภาพที่ซ่อนอยู่ออกมา เขาเริ่มฝึกตั้ง "เป้าหมาย" (Outcome) ที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น "เป้าหมายในอีก 10 สัปดาห์ข้างหน้า" หรือการใช้หลักการ "10.10.10" เพื่อมองภาพความสำเร็จในระยะสั้น กลาง ยาว รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญด้วย "Rule of 5" หรือ 5 สิ่งที่สำคัญที่สุดในแต่ละวัน อ๋องเริ่มฝึกมอง "ผลลัพธ์" ที่ต้องการ และจินตนาการถึง "ผลกระทบ" (Impact) ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเขาทำสำเร็จ ภาพความสำเร็จที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นแรงผลักดันมหาศาล แม้ในช่วงแรกจะมีบางวันที่เขาท้อแท้ หรือเผลอกลับไปคิดถึงเรื่องเก่าๆ แต่เขาก็ถูกสอนให้ใช้มุมมองที่ว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นมันดีเสมอ" เพื่อเป็นบทเรียนและก้าวต่อไป จากคนที่เคยมองโลกในแง่ลบ อ๋องค่อยๆ เปลี่ยนไป เขามีพลังมากขึ้น มีความหวัง มองเห็นเส้นทางข้างหน้าชัดเจนขึ้น เขารู้สึกเหมือนได้ปลดล็อกตัวเอง (Breakthrough Success) และก้าวข้ามกำแพงที่มองไม่เห็นซึ่งเคยขวางกั้นเขาไว้มานาน ชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล... หลายปีผ่านไป... ชายคนหนึ่งกำลังวาด Mind Map แผ่นนั้นอย่างตั้งใจ บนกระดาษปรากฏภาพสมองซีกซ้าย-ขวา ก้อนเมฆแห่งความคิด และลูกศรที่ชี้จากอดีตสู่อนาคต เขาวาดมันขึ้นมาเพื่อเตรียมใช้สอนและโค้ชชิ่งให้กับลูกศิษย์คนใหม่ ที่กำลังเผชิญกับปัญหาคล้ายๆ กับที่เขาเคยเจอ เขามอง Mind Map แผ่นนั้นด้วยรอยยิ้มบางๆ นึกถึงการเดินทางของตัวเอง จาก "อ๋อง" เด็กหนุ่มที่เคยหลงทาง สู่ "อ.หม่อม" หรือ ศาสตราจารย์พิศิษฐ์ ดร.วสิษฐ์ พรหมบุตร ผู้ก่อตั้งแบรนด์ “Life Alignmentor” (www.lifealignmentor.com) ในวันนี้ ใช่แล้ว... เรื่องราวทั้งหมดคือประสบการณ์ตรงของเขาเอง วันที่สมองซีกซ้ายกับซีกขวาของเขาได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกันอย่างทรงพลัง และเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล เพื่อส่งต่อพลังนั้นให้กับคนอื่นๆ ต่อไป www.lifealignmentor.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 845 มุมมอง 0 รีวิว
  • 48 ปี โศกนาฏกรรมกลางรันเวย์ “โบอิง 747” ชนกันที่เตเนริเฟ สำเนียงสเปนพ่นพิษ นักบินสื่อสารผิดพลาด 583 ศพ บทเรียนราคาแพงจากท่าอากาศยาน ท่ามกลางหมอกหนา ความเครียด และสำเนียงที่ฟังยาก

    โศกนาฏกรรมแห่งเตเนริเฟ ย้อนไปเมื่อ 48 ปี ที่ผ่านมา ช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2520 เป็นวันที่โลกต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การบิน เมื่อเครื่องบินโดยสารขนาดยักษ์ โบอิง 747 ของสายการบิน KLM และ Pan Am ชนกันกลางรันเวย์ที่สนามบินโลสโรเดโอส ปัจจุบันคือท่าอากาศยานเตเนริเฟนอร์เต เกาะเตเนริเฟ ประเทศสเปน

    ผลที่ตามมาคือ ผู้เสียชีวิต 583 ราย และบาดเจ็บ 61 คน เป็นอุบัติเหตุทางอากาศ ที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในโลก เหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีขัดข้อง หากแต่เป็นผลพวงจากปัจจัยมนุษย์ (Human Error) และการสื่อสารที่ผิดพลาด ท่ามกลางความกดดัน

    บริบทก่อนเกิดเหตุ ในช่วงบ่ายของวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2520 "สนามบินกรันกานาเรีย" ซึ่งเป็นสนามบินหลักของหมู่เกาะคานารี ถูกขู่วางระเบิด ทำให้ต้องปิดการใช้งานชั่วคราว

    เครื่องบินหลายลำ รวมถึงเที่ยวบิน KLM 4805 และ Pan Am 1736 จำเป็นต้องลงจอดที่สนามบินสำรองอย่าง “โลสโรเดโอส” ซึ่งเป็นสนามบินขนาดเล็ก ที่ไม่มีความพร้อมรองรับ เครื่องบินลำใหญ่จำนวนมาก

    จุดเริ่มต้นของหายนะ
    - KLM 4805 เดินทางจากอัมสเตอร์ดัม พร้อมผู้โดยสาร 234 คน และลูกเรือ 14 คน
    - Pan Am 1736:เดินทางจากลอสแอนเจลิส แวะนิวยอร์ก มุ่งหน้ากรุงมาดริด พร้อมผู้โดยสาร 380 คน และลูกเรือ 16 คน

    หลังจากเครื่องบินหลายลำลงจอด และจอดเรียงรายกันในพื้นที่จำกัด เจ้าหน้าที่ต้องบริหารพื้นที่ อย่างเร่งด่วน ก่อให้เกิดความเครียด ทั้งในหอบังคับการบินและลูกเรือ

    จุดเปลี่ยนสำคัญคือ กัปตันของ KLM ตัดสินใจเติมน้ำมันให้เต็มถัง เพื่อเลี่ยงเติมที่สนามบินปลายทางเ พราะราคาถูกกว่า ทำให้ต้องจอดนานกว่าเดิม และขัดขวางการเคลื่อนตัวของ Pan Am

    หมอกและความสับสน ภัยเงียบแห่งรันเวย์ เมื่อสนามบินกรันกานาเรียเปิดใช้งานอีกครั้ง การจราจรทางอากาศในโลสโรเดโอส วุ่นวายทันที

    หอบังคับการบิน ต้องจัดการเครื่องบินหลายลำ แต่ขาดเรดาร์ภาคพื้นดิน ทำให้พวกเขามองไม่เห็นตำแหน่งเครื่องบิน ต้องอาศัยการสื่อสารวิทยุแทน

    จุดวิกฤตเกิดขึ้นเมื่อ KLM เข้าใจผิดว่า สามารถนำเครื่องขึ้นได้ทันที ขณะที่ Pan Am ยังอยู่บนรันเวย์เดียวกัน!

    สำเนียงสเปน กับความคลุมเครือของคำว่า “Takeoff”

    ขณะที่ KLM กำลังเตรียมนำเครื่องขึ้น นักบินผู้ช่วยพูดว่า

    “We are now at takeoff.”

    ซึ่งไม่ใช่ประโยคขออนุญาตขึ้นบินโดยตรง แต่เป็นการสื่อสารที่ทำให้เข้าใจคลุมเครือ หอบังคับการบินตอบกลับว่า

    “OK, stand by for takeoff, I will call you.”

    แต่...เสียงตอบกลับนั้น ถูกกลืนหายไปกับคลื่นรบกวน ทำให้นักบิน KLM ไม่ได้ยินคำสั่งเต็ม ๆ

    การชนที่ไม่ควรเกิดขึ้น KLM เร่งนำเครื่องขึ้น โดยเข้าใจว่าได้รับอนุญาต ขณะที่ Pan Am กำลังเคลื่อนผ่านทางแยก วิ่งบนรันเวย์เดียวกัน หมอกหนาทำให้มองไม่เห็น

    ผลลัพธ์คือ

    เครื่องบิน KLM ชนเข้ากลางลำ Pan Am อย่างรุนแรง

    ไฟลุกท่วมเครื่องบินทั้งสองลำในทันที

    - เสียชีวิตจาก KLM 248 ศพ (รอด = 0)
    - เสียชีวิตจาก Pan Am 335 ศพ (รอด = 61 คน)

    บทวิเคราะห์: สาเหตุแห่งหายนะ
    ปัจจัยมนุษย์ (Human Error)
    - ความเครียดของกัปตัน KLM ที่ต้องรับแรงกดดัน จากบริษัทห้ามดีเลย์
    - ขาดการสื่อสารชัดเจน ระหว่างนักบินกับหอบังคับการบิน
    - สำเนียงสเปน ทำให้สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ชัดเจน

    ปัจจัยสิ่งแวดล้อม
    - สนามบินโลสโรเดโอส ไม่มีเรดาร์พื้นดิน
    - หมอกลงจัด มองไม่เห็นปลายรันเวย์
    - พื้นที่สนามบิน ไม่พร้อมรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่หลายลำ

    หลังเหตุการณ์นี้ อุตสาหกรรมการบินทั่วโลก ได้ปรับปรุงมาตรการอย่างจริงจัง
    การสื่อสารต้องใช้ภาษามาตรฐาน และชัดเจนมากขึ้น (Standard Phraseology)
    ห้ามนักบินตีความเอง โดยไม่มีการอนุญาตชัดเจน
    มีการพัฒนา Cockpit Resource Management (CRM) เพื่อเน้นการทำงานเป็นทีมระหว่างลูกเรือ
    ระบบเรดาร์พื้นดิน (Ground Radar) ถูกติดตั้งในสนามบินใหญ่ ๆ ทั่วโลก

    เหตุการณ์ที่เกือบซ้ำรอยในปี 2542
    เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2542 ที่สนามบินโอแฮร์ สหรัฐอเมริกา
    - Korean Air เที่ยวบิน 36 Boeing 747 พร้อมผู้โดยสาร 340 คน
    - China Airlines เที่ยวบิน 9018 Boeing 747 เช่นกัน

    เกือบชนกันกลางรันเวย์ เนื่องจากความเข้าใจผิด ในการจราจรทางอากาศ แต่โชคดีที่หลีกเลี่ยงได้ทันโดยเครื่องบินอยู่ห่างกันเพียง 75 ฟุตเท่านั้น

    583 ชีวิต กับบทเรียนที่ไม่มีวันลืม “โศกนาฏกรรมเตเนริเฟ” เป็นบทเรียนราคาแพงที่สุดครั้งหนึ่งของมนุษยชาติ ที่สอนเราให้ระมัดระวังในการสื่อสาร การจัดการความเสี่ยง และให้ความสำคัญ กับมาตรฐานความปลอดภัยการบิน

    แม้เวลาจะผ่านไป 48 ปี... แต่ความสูญเสีย และบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ ยังคงส่องแสงเป็นคำเตือน ถึงทุกคนในวงการการบินเสมอ

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 271250 มี.ค. 2568

    #TenerifeDisaster #Boeing747 #PlaneCrashHistory #AirlineSafety #KLM4805 #PanAm1736 #AirCrashInvestigation #อุบัติเหตุทางการบิน #โบอิง747ชนกัน #บทเรียนการบิน
    48 ปี โศกนาฏกรรมกลางรันเวย์ “โบอิง 747” ชนกันที่เตเนริเฟ 🇪🇸✈️ สำเนียงสเปนพ่นพิษ นักบินสื่อสารผิดพลาด 583 ศพ บทเรียนราคาแพงจากท่าอากาศยาน ท่ามกลางหมอกหนา ความเครียด และสำเนียงที่ฟังยาก 🌫️ โศกนาฏกรรมแห่งเตเนริเฟ 🔥 ย้อนไปเมื่อ 48 ปี ที่ผ่านมา ช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2520 เป็นวันที่โลกต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การบิน เมื่อเครื่องบินโดยสารขนาดยักษ์ โบอิง 747 ของสายการบิน KLM และ Pan Am ชนกันกลางรันเวย์ที่สนามบินโลสโรเดโอส ปัจจุบันคือท่าอากาศยานเตเนริเฟนอร์เต เกาะเตเนริเฟ ประเทศสเปน ผลที่ตามมาคือ ผู้เสียชีวิต 583 ราย และบาดเจ็บ 61 คน เป็นอุบัติเหตุทางอากาศ ที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในโลก เหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีขัดข้อง หากแต่เป็นผลพวงจากปัจจัยมนุษย์ (Human Error) และการสื่อสารที่ผิดพลาด ท่ามกลางความกดดัน ✈️💥 บริบทก่อนเกิดเหตุ ในช่วงบ่ายของวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2520 "สนามบินกรันกานาเรีย" ซึ่งเป็นสนามบินหลักของหมู่เกาะคานารี ถูกขู่วางระเบิด ทำให้ต้องปิดการใช้งานชั่วคราว ✋🔴 เครื่องบินหลายลำ รวมถึงเที่ยวบิน KLM 4805 และ Pan Am 1736 จำเป็นต้องลงจอดที่สนามบินสำรองอย่าง “โลสโรเดโอส” ซึ่งเป็นสนามบินขนาดเล็ก ที่ไม่มีความพร้อมรองรับ เครื่องบินลำใหญ่จำนวนมาก 🕰️ จุดเริ่มต้นของหายนะ 🧨 - KLM 4805 เดินทางจากอัมสเตอร์ดัม พร้อมผู้โดยสาร 234 คน และลูกเรือ 14 คน - Pan Am 1736:เดินทางจากลอสแอนเจลิส แวะนิวยอร์ก มุ่งหน้ากรุงมาดริด พร้อมผู้โดยสาร 380 คน และลูกเรือ 16 คน หลังจากเครื่องบินหลายลำลงจอด และจอดเรียงรายกันในพื้นที่จำกัด เจ้าหน้าที่ต้องบริหารพื้นที่ อย่างเร่งด่วน ก่อให้เกิดความเครียด ทั้งในหอบังคับการบินและลูกเรือ 🚧 จุดเปลี่ยนสำคัญคือ กัปตันของ KLM ตัดสินใจเติมน้ำมันให้เต็มถัง เพื่อเลี่ยงเติมที่สนามบินปลายทางเ พราะราคาถูกกว่า ทำให้ต้องจอดนานกว่าเดิม และขัดขวางการเคลื่อนตัวของ Pan Am ☁️ หมอกและความสับสน ภัยเงียบแห่งรันเวย์ 🗣️ เมื่อสนามบินกรันกานาเรียเปิดใช้งานอีกครั้ง การจราจรทางอากาศในโลสโรเดโอส วุ่นวายทันที 📻 หอบังคับการบิน ต้องจัดการเครื่องบินหลายลำ แต่ขาดเรดาร์ภาคพื้นดิน ทำให้พวกเขามองไม่เห็นตำแหน่งเครื่องบิน ต้องอาศัยการสื่อสารวิทยุแทน ✋ จุดวิกฤตเกิดขึ้นเมื่อ KLM เข้าใจผิดว่า สามารถนำเครื่องขึ้นได้ทันที ขณะที่ Pan Am ยังอยู่บนรันเวย์เดียวกัน! สำเนียงสเปน กับความคลุมเครือของคำว่า “Takeoff” 😓📡 📌 ขณะที่ KLM กำลังเตรียมนำเครื่องขึ้น นักบินผู้ช่วยพูดว่า “We are now at takeoff.” ซึ่งไม่ใช่ประโยคขออนุญาตขึ้นบินโดยตรง แต่เป็นการสื่อสารที่ทำให้เข้าใจคลุมเครือ หอบังคับการบินตอบกลับว่า “OK, stand by for takeoff, I will call you.” แต่...❗เสียงตอบกลับนั้น ถูกกลืนหายไปกับคลื่นรบกวน ทำให้นักบิน KLM ไม่ได้ยินคำสั่งเต็ม ๆ 🔥 การชนที่ไม่ควรเกิดขึ้น 💔 KLM เร่งนำเครื่องขึ้น โดยเข้าใจว่าได้รับอนุญาต ขณะที่ Pan Am กำลังเคลื่อนผ่านทางแยก วิ่งบนรันเวย์เดียวกัน หมอกหนาทำให้มองไม่เห็น ผลลัพธ์คือ ❌ ✈️ เครื่องบิน KLM ชนเข้ากลางลำ Pan Am อย่างรุนแรง 💥 ไฟลุกท่วมเครื่องบินทั้งสองลำในทันที - เสียชีวิตจาก KLM 248 ศพ (รอด = 0) - เสียชีวิตจาก Pan Am 335 ศพ (รอด = 61 คน) 😢 บทวิเคราะห์: สาเหตุแห่งหายนะ 🔍 ปัจจัยมนุษย์ (Human Error) - ความเครียดของกัปตัน KLM ที่ต้องรับแรงกดดัน จากบริษัทห้ามดีเลย์ 🕒 - ขาดการสื่อสารชัดเจน ระหว่างนักบินกับหอบังคับการบิน 📻 - สำเนียงสเปน ทำให้สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ชัดเจน 🗣️ ปัจจัยสิ่งแวดล้อม - สนามบินโลสโรเดโอส ไม่มีเรดาร์พื้นดิน ❌ - หมอกลงจัด มองไม่เห็นปลายรันเวย์ 🌫️ - พื้นที่สนามบิน ไม่พร้อมรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่หลายลำ 🚫 📚🛫 หลังเหตุการณ์นี้ อุตสาหกรรมการบินทั่วโลก ได้ปรับปรุงมาตรการอย่างจริงจัง ✅ การสื่อสารต้องใช้ภาษามาตรฐาน และชัดเจนมากขึ้น (Standard Phraseology) ✅ ห้ามนักบินตีความเอง โดยไม่มีการอนุญาตชัดเจน ✅ มีการพัฒนา Cockpit Resource Management (CRM) เพื่อเน้นการทำงานเป็นทีมระหว่างลูกเรือ ✅ ระบบเรดาร์พื้นดิน (Ground Radar) ถูกติดตั้งในสนามบินใหญ่ ๆ ทั่วโลก 😨 เหตุการณ์ที่เกือบซ้ำรอยในปี 2542 🛬 เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2542 ที่สนามบินโอแฮร์ สหรัฐอเมริกา ✈️ - Korean Air เที่ยวบิน 36 Boeing 747 พร้อมผู้โดยสาร 340 คน - China Airlines เที่ยวบิน 9018 Boeing 747 เช่นกัน เกือบชนกันกลางรันเวย์ เนื่องจากความเข้าใจผิด ในการจราจรทางอากาศ แต่โชคดีที่หลีกเลี่ยงได้ทันโดยเครื่องบินอยู่ห่างกันเพียง 75 ฟุตเท่านั้น 😱 🕯️ 583 ชีวิต กับบทเรียนที่ไม่มีวันลืม ✈️ “โศกนาฏกรรมเตเนริเฟ” เป็นบทเรียนราคาแพงที่สุดครั้งหนึ่งของมนุษยชาติ ที่สอนเราให้ระมัดระวังในการสื่อสาร การจัดการความเสี่ยง และให้ความสำคัญ กับมาตรฐานความปลอดภัยการบิน ✈️🧠 แม้เวลาจะผ่านไป 48 ปี... แต่ความสูญเสีย และบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ ยังคงส่องแสงเป็นคำเตือน ถึงทุกคนในวงการการบินเสมอ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 271250 มี.ค. 2568 📲 #TenerifeDisaster #Boeing747 #PlaneCrashHistory #AirlineSafety #KLM4805 #PanAm1736 #AirCrashInvestigation #อุบัติเหตุทางการบิน #โบอิง747ชนกัน #บทเรียนการบิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1506 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตารางอันดับหนังทำเงินตลอดกาลในจีน แตกก !!!!!!
    "Nezha 2" ผงาดยึดอันดับหนึ่ง
    ล้มแชมป์ด้วยเวลาที่สั้นกว่า และอาจไปได้ไกลถึง 10,000 ล้านหยวน

    "Nezha 2" เข้าฉายมาตั้งแต่วันพุธที่ 29 มกราคม ในเทศกาลตรุษจีน ใช้เวลาเพียง 9 วัน สามารถทำเงินล้มแชมป์หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลในจีน ที่เดิมเป็นของ The Battle at Lake Changjin หนังสงครามที่รวม 3 ผู้กำกับ ฉีเคอะ เฉินข่ายเกอ และ ดันเต้ แลม โดยตัวเลขที่ทำได้ ถึงวันนี้ (6 กุมภาพันธ์) ในครึ่งวันแรก อยู่ที่ 5800 ล้านหยวน (796 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

    มีบทวิเคราะห์ที่ว่ากันว่า นาจาภาคนี้ มีคนที่ดูแล้วชื่นชอบถึงขนาดต้องดูรอบสอง หรือบางคนมีถึงรอบที่สาม

    นาจา เป็นตัวละครพื้นฐานมาจากนวนิยายจีนสมัยศตวรรษที่ 17 ชื่อ (ห้องสิน-The Investiture of the Gods) ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานวรรณกรรมสําคัญชิ้นแรกที่มี "เทพ" และ "ปีศาจ" ในลัทธิเต๋าและพุทธศาสนา

    Nezha 2 เป็นสัญลักษณ์ของการขบถ ภาพลักษณ์ของ "นาจา" ได้เปลี่ยนจากวีรบุรุษโศกนาฏกรรมแบบดั้งเดิม "กลับไปหาพ่อ" มาเป็นขบถสมัยใหม่ที่ "เปลี่ยนโชคชะตาที่ขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า" ซึ่งสอดคล้องกับความทะเยอทะยานทางจิตวิญญาณของเยาวชนในปัจจุบัน ความมุ่งมั่นในการต่อต้านระบบและการแสวงหาเป้าหมาย การดัดแปลงนี้ทำลายมายาคติความศักดิ์สิทธิ์ของตัวละคร ให้สามารถสะท้อนและเข้าใกล้กับผู้ชมได้มากยิ่งขึ้น

    ภาพยนตร์เรื่องนี้ผสมผสานสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน โดยผสมผสานสไตล์พังก์ ภาษาพูดสมัยใหม่ มีม และองค์ประกอบอื่นๆ เช่น สำเนียง "ภาษาจีนกลางสไตล์เสฉวน" ของอาจารย์ไท่ยี่ ผู้เป็นครูของนาจา วิธีการนี้ผสมผสานสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมดั้งเดิมเข้ากับวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์เพื่อให้ภาพยนตร์ดึงดูดผู้ชม ขณะเดียวกันก็ปลูกฝังอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์

    Nezha 2 เป็นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ในด้านสุนทรียศาสตร์ทางภาพ ภาพยนตร์เรื่องนี้ขับเคลื่อนสิ่งต่างๆด้วย เทคโนโลยี 5G และเทคโนโลยีอัจฉริยะ พร้อมด้วยทิศทางศิลปะที่สร้างสรรค์อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะทิวทัศน์ที่มีหมอกหนา ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการที่ต้องชมในโรงภาพยนตร์ ตัวละคร นาจา ถูกสร้างขึ้นด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดจากข้อเท็จจริงที่ว่าตัวละครบนหน้าจอยังคงอารมณ์ การแสดงออกในแบบตะวันออกเอาไว้ได้ แท้จริงแล้ว นาจา อาจกลายเป็นแบรนด์ทางวัฒนธรรมใหม่ของจีน

    ภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเฉพาะตัวเอกของเรื่อง แสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจต่อ "ผู้ถูกละเลย" ประสบการณ์การถูกเลือกปฏิบัติของ นาจา เป็นคําอุปมาอุปมัยของสังคมร่วมสมัย ที่ปฏิเสธ "คนนอกรีต" และปลูกฝังจิตวิญญาณของ "การขจัดอคติ" ให้กับผู้คน

    หนังยังแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจริยธรรมของครอบครัว ด้วยการเปลี่ยนบทบาทพ่อแม่ของนาจา จากคนที่เคร่งครัดตามขนบธรรมเนียมมาเป็น พ่อและแม่ ที่รักลูกและ "ฝ่าฝืนพระประสงค์ของพระเจ้าเพื่อปกป้องลูก" ผู้สร้างภาพยนตร์ได้สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวจีนขึ้นใหม่ สะท้อนถึงการแสวงหา "รากฐานของครอบครัว" ของคนรุ่นใหม่ และสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ระหว่างรุ่น

    ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางเทคโนโลยีของนักสร้างภาพเคลื่อนไหวชาวจีน ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจในวัฒนธรรมของผู้สร้างภาพยนตร์ชาวจีน นอกจากนี้ ทีมงานสร้างภาพยนตร์ยังได้เพิ่มจำนวนตัวละครขึ้นสามเท่าจากภาคก่อน ซึ่งดูเหมือนว่าจะสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ ผู้ชมได้รับประสบการณ์ทางภาพที่งดงามตระการตา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเดินทางในภาพยนตร์ที่ดื่มด่ำและน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น

    ในภาคนี้ นาจา ถูกเปลี่ยนบุคลิกจากคนดื้อรั้น เป็นผู้แบกรับภาระหนัก พร้อมสาบานที่จะ "ทำลายสวรรค์และโลก" และ "ปกป้องช่องเขาเฉินถังกวน" อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณของปัจเจกชน ไม่ได้สูญหายไปอย่างสมบูรณ์ เพราะมันสะท้อนถึงจิตวิญญาณแบบดั้งเดิมของความกล้าหาญ และดึงดูดผู้คนจํานวนมากไปชมดูภาพยนตร์

    ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเกมระหว่างความเชื่อเรื่องโชคชะตา และเจตจำนงเสรี คำกล่าวของนาจาที่ว่า "ฉันคือเจ้านายของชะตากรรมตนเอง" ผสมผสานแนวคิดของลัทธิเต๋าที่ว่า "การเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเองโดยขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า" ซึ่งสะท้อนถึงปรัชญาของลัทธิอัตถิภาวนิยม ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเติมความมีชีวิตชีวาในแบบสมัยใหม่ให้กับวัฒนธรรมดั้งเดิมอีกด้วย

    Nezha 2 ได้แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของแอนิเมชั่นจีนที่ทันสมัย ​​การเล่าเรื่องทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และความเชื่อมั่นของชาติอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างความหวังว่าภาพยนตร์แอนิเมชั่นจีนจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในอนาคตทั้งในประเทศและต่างประเทศ
    ตารางอันดับหนังทำเงินตลอดกาลในจีน แตกก !!!!!! "Nezha 2" ผงาดยึดอันดับหนึ่ง ล้มแชมป์ด้วยเวลาที่สั้นกว่า และอาจไปได้ไกลถึง 10,000 ล้านหยวน "Nezha 2" เข้าฉายมาตั้งแต่วันพุธที่ 29 มกราคม ในเทศกาลตรุษจีน ใช้เวลาเพียง 9 วัน สามารถทำเงินล้มแชมป์หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลในจีน ที่เดิมเป็นของ The Battle at Lake Changjin หนังสงครามที่รวม 3 ผู้กำกับ ฉีเคอะ เฉินข่ายเกอ และ ดันเต้ แลม โดยตัวเลขที่ทำได้ ถึงวันนี้ (6 กุมภาพันธ์) ในครึ่งวันแรก อยู่ที่ 5800 ล้านหยวน (796 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มีบทวิเคราะห์ที่ว่ากันว่า นาจาภาคนี้ มีคนที่ดูแล้วชื่นชอบถึงขนาดต้องดูรอบสอง หรือบางคนมีถึงรอบที่สาม นาจา เป็นตัวละครพื้นฐานมาจากนวนิยายจีนสมัยศตวรรษที่ 17 ชื่อ (ห้องสิน-The Investiture of the Gods) ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานวรรณกรรมสําคัญชิ้นแรกที่มี "เทพ" และ "ปีศาจ" ในลัทธิเต๋าและพุทธศาสนา Nezha 2 เป็นสัญลักษณ์ของการขบถ ภาพลักษณ์ของ "นาจา" ได้เปลี่ยนจากวีรบุรุษโศกนาฏกรรมแบบดั้งเดิม "กลับไปหาพ่อ" มาเป็นขบถสมัยใหม่ที่ "เปลี่ยนโชคชะตาที่ขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า" ซึ่งสอดคล้องกับความทะเยอทะยานทางจิตวิญญาณของเยาวชนในปัจจุบัน ความมุ่งมั่นในการต่อต้านระบบและการแสวงหาเป้าหมาย การดัดแปลงนี้ทำลายมายาคติความศักดิ์สิทธิ์ของตัวละคร ให้สามารถสะท้อนและเข้าใกล้กับผู้ชมได้มากยิ่งขึ้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ผสมผสานสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน โดยผสมผสานสไตล์พังก์ ภาษาพูดสมัยใหม่ มีม และองค์ประกอบอื่นๆ เช่น สำเนียง "ภาษาจีนกลางสไตล์เสฉวน" ของอาจารย์ไท่ยี่ ผู้เป็นครูของนาจา วิธีการนี้ผสมผสานสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมดั้งเดิมเข้ากับวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์เพื่อให้ภาพยนตร์ดึงดูดผู้ชม ขณะเดียวกันก็ปลูกฝังอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ Nezha 2 เป็นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ในด้านสุนทรียศาสตร์ทางภาพ ภาพยนตร์เรื่องนี้ขับเคลื่อนสิ่งต่างๆด้วย เทคโนโลยี 5G และเทคโนโลยีอัจฉริยะ พร้อมด้วยทิศทางศิลปะที่สร้างสรรค์อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะทิวทัศน์ที่มีหมอกหนา ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการที่ต้องชมในโรงภาพยนตร์ ตัวละคร นาจา ถูกสร้างขึ้นด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดจากข้อเท็จจริงที่ว่าตัวละครบนหน้าจอยังคงอารมณ์ การแสดงออกในแบบตะวันออกเอาไว้ได้ แท้จริงแล้ว นาจา อาจกลายเป็นแบรนด์ทางวัฒนธรรมใหม่ของจีน ภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเฉพาะตัวเอกของเรื่อง แสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจต่อ "ผู้ถูกละเลย" ประสบการณ์การถูกเลือกปฏิบัติของ นาจา เป็นคําอุปมาอุปมัยของสังคมร่วมสมัย ที่ปฏิเสธ "คนนอกรีต" และปลูกฝังจิตวิญญาณของ "การขจัดอคติ" ให้กับผู้คน หนังยังแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจริยธรรมของครอบครัว ด้วยการเปลี่ยนบทบาทพ่อแม่ของนาจา จากคนที่เคร่งครัดตามขนบธรรมเนียมมาเป็น พ่อและแม่ ที่รักลูกและ "ฝ่าฝืนพระประสงค์ของพระเจ้าเพื่อปกป้องลูก" ผู้สร้างภาพยนตร์ได้สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวจีนขึ้นใหม่ สะท้อนถึงการแสวงหา "รากฐานของครอบครัว" ของคนรุ่นใหม่ และสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ระหว่างรุ่น ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางเทคโนโลยีของนักสร้างภาพเคลื่อนไหวชาวจีน ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจในวัฒนธรรมของผู้สร้างภาพยนตร์ชาวจีน นอกจากนี้ ทีมงานสร้างภาพยนตร์ยังได้เพิ่มจำนวนตัวละครขึ้นสามเท่าจากภาคก่อน ซึ่งดูเหมือนว่าจะสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ ผู้ชมได้รับประสบการณ์ทางภาพที่งดงามตระการตา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเดินทางในภาพยนตร์ที่ดื่มด่ำและน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น ในภาคนี้ นาจา ถูกเปลี่ยนบุคลิกจากคนดื้อรั้น เป็นผู้แบกรับภาระหนัก พร้อมสาบานที่จะ "ทำลายสวรรค์และโลก" และ "ปกป้องช่องเขาเฉินถังกวน" อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณของปัจเจกชน ไม่ได้สูญหายไปอย่างสมบูรณ์ เพราะมันสะท้อนถึงจิตวิญญาณแบบดั้งเดิมของความกล้าหาญ และดึงดูดผู้คนจํานวนมากไปชมดูภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเกมระหว่างความเชื่อเรื่องโชคชะตา และเจตจำนงเสรี คำกล่าวของนาจาที่ว่า "ฉันคือเจ้านายของชะตากรรมตนเอง" ผสมผสานแนวคิดของลัทธิเต๋าที่ว่า "การเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเองโดยขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า" ซึ่งสะท้อนถึงปรัชญาของลัทธิอัตถิภาวนิยม ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเติมความมีชีวิตชีวาในแบบสมัยใหม่ให้กับวัฒนธรรมดั้งเดิมอีกด้วย Nezha 2 ได้แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของแอนิเมชั่นจีนที่ทันสมัย ​​การเล่าเรื่องทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และความเชื่อมั่นของชาติอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างความหวังว่าภาพยนตร์แอนิเมชั่นจีนจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในอนาคตทั้งในประเทศและต่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1456 มุมมอง 0 รีวิว
  • #อันตรายจากราแป้ง: ศัตรูร้ายทำลายความหวานเมล่อน!

    สัญญาณเตือนการระบาดของราแป้ง:
    - หมอกหนาในตอนเช้า
    - ลมพัดเบาๆ
    - อากาศเย็นชื้น

    ลักษณะอาการที่พบ:
    - คราบผงสีขาวคล้ายแป้งบนใบ
    - เส้นใยฟูสีขาวเป็นหย่อมๆ
    - ใบเริ่มเหลืองและแห้ง

    ผลกระทบต่อผลผลิต:
    1. เชื้อราแทงเส้นใยดูดอาหารจากใบ
    2. ต้นเมล่อนชะงักการเจริญเติบโต
    3. ความหวานของผลลดลงอย่างมาก
    4. ผลผลิตเสียหายรุนแรง

    แนวทางการป้องกัน:
    1. ก่อนปลูก:
    - ทำความสะอาดโรงเรือนด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
    - กำจัดเศษพืชที่เป็นแหล่งสะสมโรค

    2. ระหว่างปลูก:
    - พ่น #ไตรโคบิวพลัส ทุก 5 วัน
    - ควบคุมความชื้นในโรงเรือน
    - ตรวจสอบต้นเมล่อนสม่ำเสมอ

    วิธีรักษาเมื่อพบการระบาด:
    1. ระบาดเล็กน้อย:
    - พ่น #ไตรโคบิวพลัส ทุก 3 วัน
    - ตัดใบที่เป็นโรครุนแรงทิ้ง

    2. ระบาดรุนแรง:
    - ผสมกำมะถัน 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
    - พ่นทุก 3 วันจนควบคุมได้
    - กำจัดใบที่เป็นโรคเผาทำลาย

    ข้อควรระวัง:
    - ราแป้งสามารถระบาดได้ทุกระยะการเจริญเติบโต
    - เชื้อสามารถพักตัวและกลับมาระบาดซ้ำได้
    - ต้องป้องกันอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

    ลิตเติ้ลฟาร์ม พร้อมให้คำปรึกษา:
    - เมล็ดพันธุ์เมล่อนคุณภาพ
    - ชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดโรค
    - ปุ๋ย AB คุณภาพสูง
    - ธาตุอาหารเสริม

    สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
    - Inbox
    - โทร: 093-696-2691

    #การปลูกเมล่อน #โรคพืช #เกษตรปลอดภัย #ลิตเติ้ลฟาร์ม
    🚨 #อันตรายจากราแป้ง: ศัตรูร้ายทำลายความหวานเมล่อน! 🔍 สัญญาณเตือนการระบาดของราแป้ง: - หมอกหนาในตอนเช้า - ลมพัดเบาๆ - อากาศเย็นชื้น 🌿 ลักษณะอาการที่พบ: - คราบผงสีขาวคล้ายแป้งบนใบ - เส้นใยฟูสีขาวเป็นหย่อมๆ - ใบเริ่มเหลืองและแห้ง ⚠️ ผลกระทบต่อผลผลิต: 1. เชื้อราแทงเส้นใยดูดอาหารจากใบ 2. ต้นเมล่อนชะงักการเจริญเติบโต 3. ความหวานของผลลดลงอย่างมาก 4. ผลผลิตเสียหายรุนแรง 🛡️ แนวทางการป้องกัน: 1. ก่อนปลูก: - ทำความสะอาดโรงเรือนด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ - กำจัดเศษพืชที่เป็นแหล่งสะสมโรค 2. ระหว่างปลูก: - พ่น #ไตรโคบิวพลัส ทุก 5 วัน - ควบคุมความชื้นในโรงเรือน - ตรวจสอบต้นเมล่อนสม่ำเสมอ 🏥 วิธีรักษาเมื่อพบการระบาด: 1. ระบาดเล็กน้อย: - พ่น #ไตรโคบิวพลัส ทุก 3 วัน - ตัดใบที่เป็นโรครุนแรงทิ้ง 2. ระบาดรุนแรง: - ผสมกำมะถัน 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร - พ่นทุก 3 วันจนควบคุมได้ - กำจัดใบที่เป็นโรคเผาทำลาย ⚡ ข้อควรระวัง: - ราแป้งสามารถระบาดได้ทุกระยะการเจริญเติบโต - เชื้อสามารถพักตัวและกลับมาระบาดซ้ำได้ - ต้องป้องกันอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ 🌱 ลิตเติ้ลฟาร์ม พร้อมให้คำปรึกษา: - เมล็ดพันธุ์เมล่อนคุณภาพ - ชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดโรค - ปุ๋ย AB คุณภาพสูง - ธาตุอาหารเสริม 📱 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: - Inbox - โทร: 093-696-2691 #การปลูกเมล่อน #โรคพืช #เกษตรปลอดภัย #ลิตเติ้ลฟาร์ม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1064 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจาน อาลีเยฟ ปฏิเสธที่จะจัดการสอบสวนร่วมกับรัสเซียกรณีเครื่องบินพลเรือนตก แม้ว่าเครมลินและคาดีรอฟจะยื่นอุทธรณ์ก็ตาม

    “เครื่องบินถูกยิงตกในดินแดนรัสเซีย บนท้องฟ้าของกรอซนีย์ ไม่สามารถปฏิเสธได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ก่อเหตุต้องรับโทษทางอาญาและต้องจ่ายค่าชดเชย” นักการเมืองของอาเซอร์ไบจานกล่าว

    ตามแหล่งข่าว ขีปนาวุธจากระบบป้องกันภัยทางอากาศ Pantsir-S ยิงไปที่เครื่องบินลำดังกล่าว ระหว่างที่บินอยู่เหนือเมืองกรอซนีย์ และสะเก็ดระเบิดทะลุผ่านเข้าไปในห้องผู้โดยสารและลูกเรือขณะที่ระเบิดอยู่ด้านข้างของเครื่องบินระหว่างที่เครื่องกำลังบิน

    แหล่งข่าวของรัฐบาลอาเซอร์ไบจานกล่าวว่า หลังจากเครื่องบินถูกยิงจนได้รับความเสียหาย พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ลงจอดที่สนามบินใดๆ ของรัสเซีย แม้ว่านักบินจะร้องขอให้ลงจอดฉุกเฉินก็ตาม และเครื่องบินได้รับคำสั่งให้บินข้ามทะเลแคสเปียนไปยังเมืองอักเตาในคาซัคสถาน ซึ่งระบบนำทางของเครื่องบินติดขัดตลอดเส้นทางบินเหนือทะเล

    ทางด้านหัวหน้าการบินพลเรือนของรัสเซีย ดิมิทรี ยาดรอฟ กล่าวว่า รัสเซียพร้อมเข้าร่วมการสอบสวนถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทราบรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    นอกจากนี้ ในช่วงเวลานั้นเกิดภัยคุกคามจากโดรนโจมตีของยูเครน ซึ่งไม่ปลอดภัยต่ออากาศยานทุกประเภท ประกอบกับสภาพอากาศท้องฟ้าปิด เนื่องจากมีหมอกหนาทึบ ทำให้ไม่สามารถให้เครื่องบินลำดังกล่าวลงจอดได้ หลังจากมีการพยายามลงจอดนกรอซนีย์ถึง 2 ครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงได้แนะนำให้หาสถานที่อื่นในการลงจอด แต่นักบินเป็นฝ่ายเลือกที่จะเปลี่ยนเส้นทางไปที่อักเตา ประเทศคาซัคสถาน

    ผู้รอดชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกของสายการบินอาเซอร์ไบจานแอร์ไลน์ใกล้เมืองอักเตา ประเทศคาซัคสถาน เล่าว่าได้ยินเสียงดังปัง! ก่อนเครื่องบินจะสูญเสียการควบคุม และตกในที่สุด
    ประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจาน อาลีเยฟ ปฏิเสธที่จะจัดการสอบสวนร่วมกับรัสเซียกรณีเครื่องบินพลเรือนตก แม้ว่าเครมลินและคาดีรอฟจะยื่นอุทธรณ์ก็ตาม “เครื่องบินถูกยิงตกในดินแดนรัสเซีย บนท้องฟ้าของกรอซนีย์ ไม่สามารถปฏิเสธได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ก่อเหตุต้องรับโทษทางอาญาและต้องจ่ายค่าชดเชย” นักการเมืองของอาเซอร์ไบจานกล่าว ตามแหล่งข่าว ขีปนาวุธจากระบบป้องกันภัยทางอากาศ Pantsir-S ยิงไปที่เครื่องบินลำดังกล่าว ระหว่างที่บินอยู่เหนือเมืองกรอซนีย์ และสะเก็ดระเบิดทะลุผ่านเข้าไปในห้องผู้โดยสารและลูกเรือขณะที่ระเบิดอยู่ด้านข้างของเครื่องบินระหว่างที่เครื่องกำลังบิน แหล่งข่าวของรัฐบาลอาเซอร์ไบจานกล่าวว่า หลังจากเครื่องบินถูกยิงจนได้รับความเสียหาย พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ลงจอดที่สนามบินใดๆ ของรัสเซีย แม้ว่านักบินจะร้องขอให้ลงจอดฉุกเฉินก็ตาม และเครื่องบินได้รับคำสั่งให้บินข้ามทะเลแคสเปียนไปยังเมืองอักเตาในคาซัคสถาน ซึ่งระบบนำทางของเครื่องบินติดขัดตลอดเส้นทางบินเหนือทะเล ทางด้านหัวหน้าการบินพลเรือนของรัสเซีย ดิมิทรี ยาดรอฟ กล่าวว่า รัสเซียพร้อมเข้าร่วมการสอบสวนถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทราบรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ในช่วงเวลานั้นเกิดภัยคุกคามจากโดรนโจมตีของยูเครน ซึ่งไม่ปลอดภัยต่ออากาศยานทุกประเภท ประกอบกับสภาพอากาศท้องฟ้าปิด เนื่องจากมีหมอกหนาทึบ ทำให้ไม่สามารถให้เครื่องบินลำดังกล่าวลงจอดได้ หลังจากมีการพยายามลงจอดนกรอซนีย์ถึง 2 ครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงได้แนะนำให้หาสถานที่อื่นในการลงจอด แต่นักบินเป็นฝ่ายเลือกที่จะเปลี่ยนเส้นทางไปที่อักเตา ประเทศคาซัคสถาน ผู้รอดชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกของสายการบินอาเซอร์ไบจานแอร์ไลน์ใกล้เมืองอักเตา ประเทศคาซัคสถาน เล่าว่าได้ยินเสียงดังปัง! ก่อนเครื่องบินจะสูญเสียการควบคุม และตกในที่สุด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 501 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องบินโดยสาร Embraer E190AR ของสายการบินอาเซอร์ไบจาน เที่ยวบิน J28243 บากู-กรอซนี ตกในคาซัคสถาน

    - เครื่องบินกำลังบินจากบากู อาเซอร์ไบจาน แต่เนื่องจากมีหมอกหนาในกรอซนี เครื่องบินจึงถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังมาคัชคาลา (Makhachkala) เมืองหลวงของภูมิภาคดาเกสถาน (Dagestan) ของรัสเซีย จากนั้นจึงบินต่อไปยังอัคเทา ประเทศคาซัคสถาน

    - เบื้องต้นมีรายงาน บนเครื่องมีผู้โดยสาร 62 คน และลูกเรือ 5 คน มีผู้รอดชีวิต 6 ราย

    - สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ มีรายงานเบื้องต้นว่าเกิดจากการชนกับฝูงนก ทำให้เครื่องสูญเสียการทรงตัวและลดระดับลงอย่างรวดเร็ว

    - มีการส่งสัญญาณ "7700" ก่อนตก ซึ่งระบุว่ามีสถานการณ์ฉุกเฉินบนเครื่อง

    - กระทรวงคมนาคมของคาซัคสถานกล่าวว่าจะมีการสอบสวนพิเศษเกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนี้
    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องบินโดยสาร Embraer E190AR ของสายการบินอาเซอร์ไบจาน เที่ยวบิน J28243 บากู-กรอซนี ตกในคาซัคสถาน - เครื่องบินกำลังบินจากบากู อาเซอร์ไบจาน แต่เนื่องจากมีหมอกหนาในกรอซนี เครื่องบินจึงถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังมาคัชคาลา (Makhachkala) เมืองหลวงของภูมิภาคดาเกสถาน (Dagestan) ของรัสเซีย จากนั้นจึงบินต่อไปยังอัคเทา ประเทศคาซัคสถาน - เบื้องต้นมีรายงาน บนเครื่องมีผู้โดยสาร 62 คน และลูกเรือ 5 คน มีผู้รอดชีวิต 6 ราย - สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ มีรายงานเบื้องต้นว่าเกิดจากการชนกับฝูงนก ทำให้เครื่องสูญเสียการทรงตัวและลดระดับลงอย่างรวดเร็ว - มีการส่งสัญญาณ "7700" ก่อนตก ซึ่งระบุว่ามีสถานการณ์ฉุกเฉินบนเครื่อง - กระทรวงคมนาคมของคาซัคสถานกล่าวว่าจะมีการสอบสวนพิเศษเกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 340 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม้ชีวิตตอนนี้จะดูเหมือน
    มีหมอกหนาทึบปกคลุมรอบด้าน
    แต่จำไว้ว่ามีอาวุธที่ทรงอานุภาพ
    อยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือความเยาว์วัย
    ความเยาว์วัย ก็เหมือนกับดวงอาทิตย์
    แค่ปรากฏตัวก็ทำให้โลกสว่างได้แล้ว

    จากหนังสือ |ไม่เป็นไรถ้าเธอยังไม่มีฝัน

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #ไม่เป็นไรถ้าเธอยังไม่มีฝัน #ความฝัน #เป้าหมาย
    แม้ชีวิตตอนนี้จะดูเหมือน มีหมอกหนาทึบปกคลุมรอบด้าน แต่จำไว้ว่ามีอาวุธที่ทรงอานุภาพ อยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือความเยาว์วัย ความเยาว์วัย ก็เหมือนกับดวงอาทิตย์ แค่ปรากฏตัวก็ทำให้โลกสว่างได้แล้ว จากหนังสือ |ไม่เป็นไรถ้าเธอยังไม่มีฝัน #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #ไม่เป็นไรถ้าเธอยังไม่มีฝัน #ความฝัน #เป้าหมาย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 381 มุมมอง 0 รีวิว