• ด่วน!
    กองทัพอากาศยูเครนยืนยันเครื่องบินรบมิราจ 2000 (Mirage 2000) ที่ได้รับมาจากฝรั่งเศส ตกในพื้นที่ของภูมิภาคโวลิน (Volyn) โดยอ้างว่าเนื่องจากเหตุ “ขัดข้องทางเทคนิค” พร้อมทั้งระบุว่า นักบินดีดตัวออกมาอย่างปลอดภัย

    นับเป็นความสูญเสียครั้งแรกในยูเครนของเครื่องบินขับไล่มิราจ 2000 ซึ่งรัฐบาลเคียฟรับมอบเครื่องบินรุ่นดังกล่าวมาจากฝรั่งเศสไม่ถึงหกลำเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา

    ทางการยูเครนมีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อสอบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุทางการบินครั้งนี้แล้ว
    ด่วน! กองทัพอากาศยูเครนยืนยันเครื่องบินรบมิราจ 2000 (Mirage 2000) ที่ได้รับมาจากฝรั่งเศส ตกในพื้นที่ของภูมิภาคโวลิน (Volyn) โดยอ้างว่าเนื่องจากเหตุ “ขัดข้องทางเทคนิค” พร้อมทั้งระบุว่า นักบินดีดตัวออกมาอย่างปลอดภัย นับเป็นความสูญเสียครั้งแรกในยูเครนของเครื่องบินขับไล่มิราจ 2000 ซึ่งรัฐบาลเคียฟรับมอบเครื่องบินรุ่นดังกล่าวมาจากฝรั่งเศสไม่ถึงหกลำเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ทางการยูเครนมีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อสอบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุทางการบินครั้งนี้แล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Evidence shows Jeju Air pilots shut off less-damaged engine before crash, source says อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวที่รู้ข้อมูลการสอบสวน ซึ่งระบุว่า การสอบสวนที่นำโดยเกาหลีใต้เกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกของสายการบินเจจูแอร์เมื่อเดือน ธ.ค. 2567 มีหลักฐานชัดเจนว่า นักบินได้ดับเครื่องยนต์ที่ได้รับความเสียหายน้อยกว่าหลังจากถูกนกชน

    “หลักฐานต่างๆ ซึ่งรวมถึงเครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน ข้อมูลคอมพิวเตอร์ และสวิตช์เครื่องยนต์ที่พบในซากเครื่องบิน แสดงให้เห็นว่า นักบินได้ดับเครื่องยนต์ด้านซ้ายแทนที่จะเป็นด้านขวาขณะกำลังดำเนินการฉุกเฉินหลังจากถูกนกชนก่อนกำหนดลงจอด ทีมสอบสวนมีหลักฐานชัดเจนและข้อมูลสำรอง ดังนั้นผลการตรวจสอบจะไม่เปลี่ยนแปลง” แหล่งข่าวกล่าว ซึ่งขอให้ข้อมูลโดยไม่เปิดเผยชื่อ เนื่องจากคณะทำงานสอบสวนยังไม่ได้เผยแพร่รายงานอย่างเป็นทางการซึ่งรวมถึงหลักฐานนี้

    เหตุการณ์เครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ตกที่สนามบินมูอัน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2567 คร่าชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือเกือบทั้งหมด โดยเหลือผู้รอดชีวิตเพียง 2 ราย ถือเป็นภัยพิบัติทางอากาศที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ ซึ่งแหล่งข่าวจากรัฐบาลกล่าวว่า จากการตรวจสอบเครื่องยนต์ของเครื่องบินที่กู้คืนมา พบว่าไม่มีข้อบกพร่องใดๆ เกิดขึ้นก่อนเกิดเหตุนกชนและตก

    ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวอีกรายหนึ่งที่เข้าร่วมการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 เจ้าหน้าที่สอบสวนได้แจ้งต่อสมาชิกในครอบครัวของผู้เสียชีวิตว่า เครื่องยนต์ด้านขวาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการถูกนกชนมากกว่าเครื่องยนต์ด้านซ้าย แต่กลับมีหลักฐานแวดล้อมที่บ่งชี้ว่านักบินได้ปิดเครื่องยนต์ด้านซ้ายซึ่งได้รับความเสียหายน้อยกว่า ซึ่งช่วงวันที่ 19 – 20 ก.ค. 2568 สื่อเกาหลีใต้หลายสำนัก รวมถึง MBN และยอนฮัป รายงานข้อมูลดังกล่าว

    คณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุทางการบินและทางรถไฟของเกาหลีใต้ (ARAIB) ซึ่งเป็นผู้นำการสอบสวน ไม่ได้ตอบสนองต่อคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที ขณะที่โบอิ้งได้ส่งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกไปยัง ARAIB ส่วน CFM International ผู้ผลิตเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง GE และ Safran ของฝรั่งเศส ก็ยังไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที ด้านสายการบินเจจูแอร์ระบุว่ากำลังให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันกับการสอบสวนของ ARAIB และกำลังรอการประกาศผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการ

    รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า อุบัติเหตุทางอากาศส่วนใหญ่เกิดจากหลายปัจจัย และภายใต้กฎระเบียบระหว่างประเทศ คาดว่าจะมีรายงานสรุปภายใน 1 ปีนับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุ ส่วนรายงานเบื้องต้นที่เผยแพร่ในเดือน ม.ค. 2568 ระบุว่าพบซากเป็ดในเครื่องยนต์ทั้งสองข้างของเครื่องบินสายการบินเจจูแอร์หลังจากเที่ยวบินที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ตกที่สนามบินมวน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับขอบเขตของซากเป็ดหรือความเสียหายที่พบในเครื่องยนต์แต่ละเครื่อง

    อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 หน่วยงานสอบสวนของเกาหลีใต้ได้ยกเลิกแผนการเผยแพร่รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเครื่องยนต์เท่าที่ทราบมาจนถึงปัจจุบันต่อสื่อมวลชน ขณะที่ทนายความของกลุ่มญาติเหยื่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ให้ข้อมูลว่า ญาติของเหยื่อได้รับแจ้งเกี่ยวกับรายงานดังกล่าวก่อนที่จะเผยแพร่ตามแผน แต่คัดค้านการเผยแพร่ โดยระบุว่ารายงานดูเหมือนจะโยนความผิดให้กับนักบินโดยไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

    เที่ยวบินของสายการบินเจจูแอร์ได้พุ่งออกนอกรันเวย์ของสนามบินมูอันขณะลงจอดฉุกเฉินและชนเข้ากับคันดินที่ติดตั้งอุปกรณ์นำทาง ทำให้เกิดเพลิงไหม้และระเบิดบางส่วน ซึ่งตัวแทนของครอบครัวเหยื่อและสหภาพนักบินของสายการบินเจจูแอร์กล่าวเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การสอบสวนจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่คันดินดังกล่าวด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการบินระบุว่าน่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจำนวนมาก

    สหภาพนักบินสายการบินเจจูแอร์ กล่าวว่า ARAIB กำลังทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด โดยระบุว่าเครื่องยนต์ด้านซ้ายไม่มีปัญหา เนื่องจากพบร่องรอยซากนกในเครื่องยนต์ทั้ง 2 เครื่อง อีกทั้ง พยายามทำให้นักบินกลายเป็นแพะรับบาปด้วยการไม่ให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ระบุว่าเครื่องบินสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัยหากติดเครื่องยนต์ด้านซ้ายเพียงอย่างเดียว

    “อุบัติเหตุทางอากาศเป็นเหตุการณ์ที่ซับซ้อนซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยหลายประการ และจนถึงขณะนี้ผู้สอบสวนยังไม่ได้นำเสนอหลักฐานที่สนับสนุนนัยที่ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นผลมาจากความผิดพลาดของนักบิน และจนถึงขณะนี้ผู้สอบสวนยังคงนิ่งเฉยต่อความรับผิดชอบขององค์กร” สหภาพนักบินสายการบินเจจูแอร์ กล่าว

    รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า หน่วยงานที่เป็นตัวแทนของครอบครัวผู้สูญเสียกล่าวในแถลงการณ์ว่ามีข้อความบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุของอุบัติเหตุในข่าวประชาสัมพันธ์ที่วางแผนไว้ ซึ่งอาจตีความได้ว่าได้ข้อสรุปขั้นสุดท้ายแล้ว และข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ต้องได้รับการชี้แจงให้ชัดเจน

    ที่มา :
    https://www.reuters.com/business/aerospace-defense/evidence-shows-jeju-air-pilots-shut-off-less-damaged-engine-before-crash-source-2025-07-21/
    สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Evidence shows Jeju Air pilots shut off less-damaged engine before crash, source says อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวที่รู้ข้อมูลการสอบสวน ซึ่งระบุว่า การสอบสวนที่นำโดยเกาหลีใต้เกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกของสายการบินเจจูแอร์เมื่อเดือน ธ.ค. 2567 มีหลักฐานชัดเจนว่า นักบินได้ดับเครื่องยนต์ที่ได้รับความเสียหายน้อยกว่าหลังจากถูกนกชน “หลักฐานต่างๆ ซึ่งรวมถึงเครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน ข้อมูลคอมพิวเตอร์ และสวิตช์เครื่องยนต์ที่พบในซากเครื่องบิน แสดงให้เห็นว่า นักบินได้ดับเครื่องยนต์ด้านซ้ายแทนที่จะเป็นด้านขวาขณะกำลังดำเนินการฉุกเฉินหลังจากถูกนกชนก่อนกำหนดลงจอด ทีมสอบสวนมีหลักฐานชัดเจนและข้อมูลสำรอง ดังนั้นผลการตรวจสอบจะไม่เปลี่ยนแปลง” แหล่งข่าวกล่าว ซึ่งขอให้ข้อมูลโดยไม่เปิดเผยชื่อ เนื่องจากคณะทำงานสอบสวนยังไม่ได้เผยแพร่รายงานอย่างเป็นทางการซึ่งรวมถึงหลักฐานนี้ เหตุการณ์เครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ตกที่สนามบินมูอัน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2567 คร่าชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือเกือบทั้งหมด โดยเหลือผู้รอดชีวิตเพียง 2 ราย ถือเป็นภัยพิบัติทางอากาศที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ ซึ่งแหล่งข่าวจากรัฐบาลกล่าวว่า จากการตรวจสอบเครื่องยนต์ของเครื่องบินที่กู้คืนมา พบว่าไม่มีข้อบกพร่องใดๆ เกิดขึ้นก่อนเกิดเหตุนกชนและตก ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวอีกรายหนึ่งที่เข้าร่วมการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 เจ้าหน้าที่สอบสวนได้แจ้งต่อสมาชิกในครอบครัวของผู้เสียชีวิตว่า เครื่องยนต์ด้านขวาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการถูกนกชนมากกว่าเครื่องยนต์ด้านซ้าย แต่กลับมีหลักฐานแวดล้อมที่บ่งชี้ว่านักบินได้ปิดเครื่องยนต์ด้านซ้ายซึ่งได้รับความเสียหายน้อยกว่า ซึ่งช่วงวันที่ 19 – 20 ก.ค. 2568 สื่อเกาหลีใต้หลายสำนัก รวมถึง MBN และยอนฮัป รายงานข้อมูลดังกล่าว คณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุทางการบินและทางรถไฟของเกาหลีใต้ (ARAIB) ซึ่งเป็นผู้นำการสอบสวน ไม่ได้ตอบสนองต่อคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที ขณะที่โบอิ้งได้ส่งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกไปยัง ARAIB ส่วน CFM International ผู้ผลิตเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง GE และ Safran ของฝรั่งเศส ก็ยังไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที ด้านสายการบินเจจูแอร์ระบุว่ากำลังให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันกับการสอบสวนของ ARAIB และกำลังรอการประกาศผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการ รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า อุบัติเหตุทางอากาศส่วนใหญ่เกิดจากหลายปัจจัย และภายใต้กฎระเบียบระหว่างประเทศ คาดว่าจะมีรายงานสรุปภายใน 1 ปีนับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุ ส่วนรายงานเบื้องต้นที่เผยแพร่ในเดือน ม.ค. 2568 ระบุว่าพบซากเป็ดในเครื่องยนต์ทั้งสองข้างของเครื่องบินสายการบินเจจูแอร์หลังจากเที่ยวบินที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ตกที่สนามบินมวน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับขอบเขตของซากเป็ดหรือความเสียหายที่พบในเครื่องยนต์แต่ละเครื่อง อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 หน่วยงานสอบสวนของเกาหลีใต้ได้ยกเลิกแผนการเผยแพร่รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเครื่องยนต์เท่าที่ทราบมาจนถึงปัจจุบันต่อสื่อมวลชน ขณะที่ทนายความของกลุ่มญาติเหยื่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ให้ข้อมูลว่า ญาติของเหยื่อได้รับแจ้งเกี่ยวกับรายงานดังกล่าวก่อนที่จะเผยแพร่ตามแผน แต่คัดค้านการเผยแพร่ โดยระบุว่ารายงานดูเหมือนจะโยนความผิดให้กับนักบินโดยไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เที่ยวบินของสายการบินเจจูแอร์ได้พุ่งออกนอกรันเวย์ของสนามบินมูอันขณะลงจอดฉุกเฉินและชนเข้ากับคันดินที่ติดตั้งอุปกรณ์นำทาง ทำให้เกิดเพลิงไหม้และระเบิดบางส่วน ซึ่งตัวแทนของครอบครัวเหยื่อและสหภาพนักบินของสายการบินเจจูแอร์กล่าวเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การสอบสวนจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่คันดินดังกล่าวด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการบินระบุว่าน่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจำนวนมาก สหภาพนักบินสายการบินเจจูแอร์ กล่าวว่า ARAIB กำลังทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด โดยระบุว่าเครื่องยนต์ด้านซ้ายไม่มีปัญหา เนื่องจากพบร่องรอยซากนกในเครื่องยนต์ทั้ง 2 เครื่อง อีกทั้ง พยายามทำให้นักบินกลายเป็นแพะรับบาปด้วยการไม่ให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ระบุว่าเครื่องบินสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัยหากติดเครื่องยนต์ด้านซ้ายเพียงอย่างเดียว “อุบัติเหตุทางอากาศเป็นเหตุการณ์ที่ซับซ้อนซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยหลายประการ และจนถึงขณะนี้ผู้สอบสวนยังไม่ได้นำเสนอหลักฐานที่สนับสนุนนัยที่ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นผลมาจากความผิดพลาดของนักบิน และจนถึงขณะนี้ผู้สอบสวนยังคงนิ่งเฉยต่อความรับผิดชอบขององค์กร” สหภาพนักบินสายการบินเจจูแอร์ กล่าว รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า หน่วยงานที่เป็นตัวแทนของครอบครัวผู้สูญเสียกล่าวในแถลงการณ์ว่ามีข้อความบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุของอุบัติเหตุในข่าวประชาสัมพันธ์ที่วางแผนไว้ ซึ่งอาจตีความได้ว่าได้ข้อสรุปขั้นสุดท้ายแล้ว และข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ต้องได้รับการชี้แจงให้ชัดเจน ที่มา : https://www.reuters.com/business/aerospace-defense/evidence-shows-jeju-air-pilots-shut-off-less-damaged-engine-before-crash-source-2025-07-21/
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 350 มุมมอง 0 รีวิว
  • 48 ปี โศกนาฏกรรมกลางรันเวย์ “โบอิง 747” ชนกันที่เตเนริเฟ สำเนียงสเปนพ่นพิษ นักบินสื่อสารผิดพลาด 583 ศพ บทเรียนราคาแพงจากท่าอากาศยาน ท่ามกลางหมอกหนา ความเครียด และสำเนียงที่ฟังยาก

    โศกนาฏกรรมแห่งเตเนริเฟ ย้อนไปเมื่อ 48 ปี ที่ผ่านมา ช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2520 เป็นวันที่โลกต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การบิน เมื่อเครื่องบินโดยสารขนาดยักษ์ โบอิง 747 ของสายการบิน KLM และ Pan Am ชนกันกลางรันเวย์ที่สนามบินโลสโรเดโอส ปัจจุบันคือท่าอากาศยานเตเนริเฟนอร์เต เกาะเตเนริเฟ ประเทศสเปน

    ผลที่ตามมาคือ ผู้เสียชีวิต 583 ราย และบาดเจ็บ 61 คน เป็นอุบัติเหตุทางอากาศ ที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในโลก เหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีขัดข้อง หากแต่เป็นผลพวงจากปัจจัยมนุษย์ (Human Error) และการสื่อสารที่ผิดพลาด ท่ามกลางความกดดัน

    บริบทก่อนเกิดเหตุ ในช่วงบ่ายของวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2520 "สนามบินกรันกานาเรีย" ซึ่งเป็นสนามบินหลักของหมู่เกาะคานารี ถูกขู่วางระเบิด ทำให้ต้องปิดการใช้งานชั่วคราว

    เครื่องบินหลายลำ รวมถึงเที่ยวบิน KLM 4805 และ Pan Am 1736 จำเป็นต้องลงจอดที่สนามบินสำรองอย่าง “โลสโรเดโอส” ซึ่งเป็นสนามบินขนาดเล็ก ที่ไม่มีความพร้อมรองรับ เครื่องบินลำใหญ่จำนวนมาก

    จุดเริ่มต้นของหายนะ
    - KLM 4805 เดินทางจากอัมสเตอร์ดัม พร้อมผู้โดยสาร 234 คน และลูกเรือ 14 คน
    - Pan Am 1736:เดินทางจากลอสแอนเจลิส แวะนิวยอร์ก มุ่งหน้ากรุงมาดริด พร้อมผู้โดยสาร 380 คน และลูกเรือ 16 คน

    หลังจากเครื่องบินหลายลำลงจอด และจอดเรียงรายกันในพื้นที่จำกัด เจ้าหน้าที่ต้องบริหารพื้นที่ อย่างเร่งด่วน ก่อให้เกิดความเครียด ทั้งในหอบังคับการบินและลูกเรือ

    จุดเปลี่ยนสำคัญคือ กัปตันของ KLM ตัดสินใจเติมน้ำมันให้เต็มถัง เพื่อเลี่ยงเติมที่สนามบินปลายทางเ พราะราคาถูกกว่า ทำให้ต้องจอดนานกว่าเดิม และขัดขวางการเคลื่อนตัวของ Pan Am

    หมอกและความสับสน ภัยเงียบแห่งรันเวย์ เมื่อสนามบินกรันกานาเรียเปิดใช้งานอีกครั้ง การจราจรทางอากาศในโลสโรเดโอส วุ่นวายทันที

    หอบังคับการบิน ต้องจัดการเครื่องบินหลายลำ แต่ขาดเรดาร์ภาคพื้นดิน ทำให้พวกเขามองไม่เห็นตำแหน่งเครื่องบิน ต้องอาศัยการสื่อสารวิทยุแทน

    จุดวิกฤตเกิดขึ้นเมื่อ KLM เข้าใจผิดว่า สามารถนำเครื่องขึ้นได้ทันที ขณะที่ Pan Am ยังอยู่บนรันเวย์เดียวกัน!

    สำเนียงสเปน กับความคลุมเครือของคำว่า “Takeoff”

    ขณะที่ KLM กำลังเตรียมนำเครื่องขึ้น นักบินผู้ช่วยพูดว่า

    “We are now at takeoff.”

    ซึ่งไม่ใช่ประโยคขออนุญาตขึ้นบินโดยตรง แต่เป็นการสื่อสารที่ทำให้เข้าใจคลุมเครือ หอบังคับการบินตอบกลับว่า

    “OK, stand by for takeoff, I will call you.”

    แต่...เสียงตอบกลับนั้น ถูกกลืนหายไปกับคลื่นรบกวน ทำให้นักบิน KLM ไม่ได้ยินคำสั่งเต็ม ๆ

    การชนที่ไม่ควรเกิดขึ้น KLM เร่งนำเครื่องขึ้น โดยเข้าใจว่าได้รับอนุญาต ขณะที่ Pan Am กำลังเคลื่อนผ่านทางแยก วิ่งบนรันเวย์เดียวกัน หมอกหนาทำให้มองไม่เห็น

    ผลลัพธ์คือ

    เครื่องบิน KLM ชนเข้ากลางลำ Pan Am อย่างรุนแรง

    ไฟลุกท่วมเครื่องบินทั้งสองลำในทันที

    - เสียชีวิตจาก KLM 248 ศพ (รอด = 0)
    - เสียชีวิตจาก Pan Am 335 ศพ (รอด = 61 คน)

    บทวิเคราะห์: สาเหตุแห่งหายนะ
    ปัจจัยมนุษย์ (Human Error)
    - ความเครียดของกัปตัน KLM ที่ต้องรับแรงกดดัน จากบริษัทห้ามดีเลย์
    - ขาดการสื่อสารชัดเจน ระหว่างนักบินกับหอบังคับการบิน
    - สำเนียงสเปน ทำให้สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ชัดเจน

    ปัจจัยสิ่งแวดล้อม
    - สนามบินโลสโรเดโอส ไม่มีเรดาร์พื้นดิน
    - หมอกลงจัด มองไม่เห็นปลายรันเวย์
    - พื้นที่สนามบิน ไม่พร้อมรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่หลายลำ

    หลังเหตุการณ์นี้ อุตสาหกรรมการบินทั่วโลก ได้ปรับปรุงมาตรการอย่างจริงจัง
    การสื่อสารต้องใช้ภาษามาตรฐาน และชัดเจนมากขึ้น (Standard Phraseology)
    ห้ามนักบินตีความเอง โดยไม่มีการอนุญาตชัดเจน
    มีการพัฒนา Cockpit Resource Management (CRM) เพื่อเน้นการทำงานเป็นทีมระหว่างลูกเรือ
    ระบบเรดาร์พื้นดิน (Ground Radar) ถูกติดตั้งในสนามบินใหญ่ ๆ ทั่วโลก

    เหตุการณ์ที่เกือบซ้ำรอยในปี 2542
    เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2542 ที่สนามบินโอแฮร์ สหรัฐอเมริกา
    - Korean Air เที่ยวบิน 36 Boeing 747 พร้อมผู้โดยสาร 340 คน
    - China Airlines เที่ยวบิน 9018 Boeing 747 เช่นกัน

    เกือบชนกันกลางรันเวย์ เนื่องจากความเข้าใจผิด ในการจราจรทางอากาศ แต่โชคดีที่หลีกเลี่ยงได้ทันโดยเครื่องบินอยู่ห่างกันเพียง 75 ฟุตเท่านั้น

    583 ชีวิต กับบทเรียนที่ไม่มีวันลืม “โศกนาฏกรรมเตเนริเฟ” เป็นบทเรียนราคาแพงที่สุดครั้งหนึ่งของมนุษยชาติ ที่สอนเราให้ระมัดระวังในการสื่อสาร การจัดการความเสี่ยง และให้ความสำคัญ กับมาตรฐานความปลอดภัยการบิน

    แม้เวลาจะผ่านไป 48 ปี... แต่ความสูญเสีย และบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ ยังคงส่องแสงเป็นคำเตือน ถึงทุกคนในวงการการบินเสมอ

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 271250 มี.ค. 2568

    #TenerifeDisaster #Boeing747 #PlaneCrashHistory #AirlineSafety #KLM4805 #PanAm1736 #AirCrashInvestigation #อุบัติเหตุทางการบิน #โบอิง747ชนกัน #บทเรียนการบิน
    48 ปี โศกนาฏกรรมกลางรันเวย์ “โบอิง 747” ชนกันที่เตเนริเฟ 🇪🇸✈️ สำเนียงสเปนพ่นพิษ นักบินสื่อสารผิดพลาด 583 ศพ บทเรียนราคาแพงจากท่าอากาศยาน ท่ามกลางหมอกหนา ความเครียด และสำเนียงที่ฟังยาก 🌫️ โศกนาฏกรรมแห่งเตเนริเฟ 🔥 ย้อนไปเมื่อ 48 ปี ที่ผ่านมา ช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2520 เป็นวันที่โลกต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การบิน เมื่อเครื่องบินโดยสารขนาดยักษ์ โบอิง 747 ของสายการบิน KLM และ Pan Am ชนกันกลางรันเวย์ที่สนามบินโลสโรเดโอส ปัจจุบันคือท่าอากาศยานเตเนริเฟนอร์เต เกาะเตเนริเฟ ประเทศสเปน ผลที่ตามมาคือ ผู้เสียชีวิต 583 ราย และบาดเจ็บ 61 คน เป็นอุบัติเหตุทางอากาศ ที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในโลก เหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีขัดข้อง หากแต่เป็นผลพวงจากปัจจัยมนุษย์ (Human Error) และการสื่อสารที่ผิดพลาด ท่ามกลางความกดดัน ✈️💥 บริบทก่อนเกิดเหตุ ในช่วงบ่ายของวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2520 "สนามบินกรันกานาเรีย" ซึ่งเป็นสนามบินหลักของหมู่เกาะคานารี ถูกขู่วางระเบิด ทำให้ต้องปิดการใช้งานชั่วคราว ✋🔴 เครื่องบินหลายลำ รวมถึงเที่ยวบิน KLM 4805 และ Pan Am 1736 จำเป็นต้องลงจอดที่สนามบินสำรองอย่าง “โลสโรเดโอส” ซึ่งเป็นสนามบินขนาดเล็ก ที่ไม่มีความพร้อมรองรับ เครื่องบินลำใหญ่จำนวนมาก 🕰️ จุดเริ่มต้นของหายนะ 🧨 - KLM 4805 เดินทางจากอัมสเตอร์ดัม พร้อมผู้โดยสาร 234 คน และลูกเรือ 14 คน - Pan Am 1736:เดินทางจากลอสแอนเจลิส แวะนิวยอร์ก มุ่งหน้ากรุงมาดริด พร้อมผู้โดยสาร 380 คน และลูกเรือ 16 คน หลังจากเครื่องบินหลายลำลงจอด และจอดเรียงรายกันในพื้นที่จำกัด เจ้าหน้าที่ต้องบริหารพื้นที่ อย่างเร่งด่วน ก่อให้เกิดความเครียด ทั้งในหอบังคับการบินและลูกเรือ 🚧 จุดเปลี่ยนสำคัญคือ กัปตันของ KLM ตัดสินใจเติมน้ำมันให้เต็มถัง เพื่อเลี่ยงเติมที่สนามบินปลายทางเ พราะราคาถูกกว่า ทำให้ต้องจอดนานกว่าเดิม และขัดขวางการเคลื่อนตัวของ Pan Am ☁️ หมอกและความสับสน ภัยเงียบแห่งรันเวย์ 🗣️ เมื่อสนามบินกรันกานาเรียเปิดใช้งานอีกครั้ง การจราจรทางอากาศในโลสโรเดโอส วุ่นวายทันที 📻 หอบังคับการบิน ต้องจัดการเครื่องบินหลายลำ แต่ขาดเรดาร์ภาคพื้นดิน ทำให้พวกเขามองไม่เห็นตำแหน่งเครื่องบิน ต้องอาศัยการสื่อสารวิทยุแทน ✋ จุดวิกฤตเกิดขึ้นเมื่อ KLM เข้าใจผิดว่า สามารถนำเครื่องขึ้นได้ทันที ขณะที่ Pan Am ยังอยู่บนรันเวย์เดียวกัน! สำเนียงสเปน กับความคลุมเครือของคำว่า “Takeoff” 😓📡 📌 ขณะที่ KLM กำลังเตรียมนำเครื่องขึ้น นักบินผู้ช่วยพูดว่า “We are now at takeoff.” ซึ่งไม่ใช่ประโยคขออนุญาตขึ้นบินโดยตรง แต่เป็นการสื่อสารที่ทำให้เข้าใจคลุมเครือ หอบังคับการบินตอบกลับว่า “OK, stand by for takeoff, I will call you.” แต่...❗เสียงตอบกลับนั้น ถูกกลืนหายไปกับคลื่นรบกวน ทำให้นักบิน KLM ไม่ได้ยินคำสั่งเต็ม ๆ 🔥 การชนที่ไม่ควรเกิดขึ้น 💔 KLM เร่งนำเครื่องขึ้น โดยเข้าใจว่าได้รับอนุญาต ขณะที่ Pan Am กำลังเคลื่อนผ่านทางแยก วิ่งบนรันเวย์เดียวกัน หมอกหนาทำให้มองไม่เห็น ผลลัพธ์คือ ❌ ✈️ เครื่องบิน KLM ชนเข้ากลางลำ Pan Am อย่างรุนแรง 💥 ไฟลุกท่วมเครื่องบินทั้งสองลำในทันที - เสียชีวิตจาก KLM 248 ศพ (รอด = 0) - เสียชีวิตจาก Pan Am 335 ศพ (รอด = 61 คน) 😢 บทวิเคราะห์: สาเหตุแห่งหายนะ 🔍 ปัจจัยมนุษย์ (Human Error) - ความเครียดของกัปตัน KLM ที่ต้องรับแรงกดดัน จากบริษัทห้ามดีเลย์ 🕒 - ขาดการสื่อสารชัดเจน ระหว่างนักบินกับหอบังคับการบิน 📻 - สำเนียงสเปน ทำให้สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ชัดเจน 🗣️ ปัจจัยสิ่งแวดล้อม - สนามบินโลสโรเดโอส ไม่มีเรดาร์พื้นดิน ❌ - หมอกลงจัด มองไม่เห็นปลายรันเวย์ 🌫️ - พื้นที่สนามบิน ไม่พร้อมรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่หลายลำ 🚫 📚🛫 หลังเหตุการณ์นี้ อุตสาหกรรมการบินทั่วโลก ได้ปรับปรุงมาตรการอย่างจริงจัง ✅ การสื่อสารต้องใช้ภาษามาตรฐาน และชัดเจนมากขึ้น (Standard Phraseology) ✅ ห้ามนักบินตีความเอง โดยไม่มีการอนุญาตชัดเจน ✅ มีการพัฒนา Cockpit Resource Management (CRM) เพื่อเน้นการทำงานเป็นทีมระหว่างลูกเรือ ✅ ระบบเรดาร์พื้นดิน (Ground Radar) ถูกติดตั้งในสนามบินใหญ่ ๆ ทั่วโลก 😨 เหตุการณ์ที่เกือบซ้ำรอยในปี 2542 🛬 เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2542 ที่สนามบินโอแฮร์ สหรัฐอเมริกา ✈️ - Korean Air เที่ยวบิน 36 Boeing 747 พร้อมผู้โดยสาร 340 คน - China Airlines เที่ยวบิน 9018 Boeing 747 เช่นกัน เกือบชนกันกลางรันเวย์ เนื่องจากความเข้าใจผิด ในการจราจรทางอากาศ แต่โชคดีที่หลีกเลี่ยงได้ทันโดยเครื่องบินอยู่ห่างกันเพียง 75 ฟุตเท่านั้น 😱 🕯️ 583 ชีวิต กับบทเรียนที่ไม่มีวันลืม ✈️ “โศกนาฏกรรมเตเนริเฟ” เป็นบทเรียนราคาแพงที่สุดครั้งหนึ่งของมนุษยชาติ ที่สอนเราให้ระมัดระวังในการสื่อสาร การจัดการความเสี่ยง และให้ความสำคัญ กับมาตรฐานความปลอดภัยการบิน ✈️🧠 แม้เวลาจะผ่านไป 48 ปี... แต่ความสูญเสีย และบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ ยังคงส่องแสงเป็นคำเตือน ถึงทุกคนในวงการการบินเสมอ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 271250 มี.ค. 2568 📲 #TenerifeDisaster #Boeing747 #PlaneCrashHistory #AirlineSafety #KLM4805 #PanAm1736 #AirCrashInvestigation #อุบัติเหตุทางการบิน #โบอิง747ชนกัน #บทเรียนการบิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1302 มุมมอง 0 รีวิว