• เจาะเส้นทางการเงิน! อัยการสูงสุดสั่ง ตร. ตรวจสอบบัญชี สส.ชนนพัฒฐ์ เชื่อมโยงผู้ต้องหาอื่นในคดีเว็บพนันอย่างละเอียด
    https://www.thai-tai.tv/news/22267/
    .
    #ไทยไท #ชนนพัฒฐ์นาคสั้ว #เว็บพนัน #อัยการสูงสุด #พรรคกล้าธรรม #สอบสวนเพิ่มเติม
    เจาะเส้นทางการเงิน! อัยการสูงสุดสั่ง ตร. ตรวจสอบบัญชี สส.ชนนพัฒฐ์ เชื่อมโยงผู้ต้องหาอื่นในคดีเว็บพนันอย่างละเอียด https://www.thai-tai.tv/news/22267/ . #ไทยไท #ชนนพัฒฐ์นาคสั้ว #เว็บพนัน #อัยการสูงสุด #พรรคกล้าธรรม #สอบสวนเพิ่มเติม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • รองเลขาธิการ ป.ป.ช. เผยมีตัวละครใหม่ 2 คน ในคดีทักษิณ ชั้น 14 เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ลุยสอบสวนเพิ่มเติม พร้อมแบ่งสอบ 2 ไทม์ไลน์ ช่วงส่งตัวโรงพยาบาลตำรวจ และช่วงพักโทษ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000096391

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    รองเลขาธิการ ป.ป.ช. เผยมีตัวละครใหม่ 2 คน ในคดีทักษิณ ชั้น 14 เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ลุยสอบสวนเพิ่มเติม พร้อมแบ่งสอบ 2 ไทม์ไลน์ ช่วงส่งตัวโรงพยาบาลตำรวจ และช่วงพักโทษ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000096391 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 403 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ร่วมก่อตั้ง Gojek ถูกกล่าวหาทุจริต Chromebook

    เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (4 ก.ย.) สำนักงานอัยการสูงสุดของอินโดนีเซีย (AGO RI) ควบคุมตัวนายนาดีม มาคาริม (Nadiem Makarim) อดีต รมว.ศึกษาธิการ วัฒนธรรม การวิจัย และเทคโนโลยีของอินโดนีเซีย ไปกักขังเพื่อสอบสวนเพิ่มเติมเป็นเวลา 20 วัน หลังจากตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย คดีทุจริตการจัดซื้อคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปสำหรับโรงเรียน เชื่อมโยงกับ Chromebook ของ Google มูลค่า 9.3 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 18,161 ล้านบาท

    โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2563-2565 สมัยรัฐบาลประธานาธิบดีโจโค วิโดโด มีการแจกจ่าย Chromebook จำนวน 1.2 ล้านเครื่องให้กับโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล ตามนโยบายเปลี่ยนผ่านการศึกษาสู่ระบบดิจิทัล แต่อัยการชี้ว่าอุปกรณ์ดังกล่าวไม่เหมาะสำหรับโครงการนี้ เนื่องจาก Chromebook จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เสถียร แต่กลับไม่สามารถใช้ได้ในพื้นที่เป้าหมายหลายแห่ง ซึ่งมีไฟฟ้าจำกัดและการเชื่อมต่อที่ย่ำแย่ ส่งผลให้รัฐบาลอินโดนีเซียเสียหายกว่า 1.98 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 3,866 ล้านบาท

    จากการเปิดเผยของนายนูร์คาห์โย จุงกุง มาดโย (Nurcahyo Jungkung Madyo) ผู้อำนวยการฝ่ายสืบสวนการทุจริตของสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า นายนาดีม ถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีโดยมิชอบ มีการประชุมแบบปิดผ่าน Zoom เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2563 สั่งการให้คนใกล้ชิดนำระบบปฏิบัติการ Chrome ของ Google มาใช้ในการจัดซื้อแล็ปท็อปของกระทรวงศึกษาธิการฯ ทั่วประเทศ อีกทั้งในเดือน ก.พ.2564 นายนาดีมได้ออกกฎกระทรวง กำหนดให้ใช้ระบบปฎิบัติการ ChromeOS และฟีเจอร์ที่เชื่อมโยงกับบริการด้านการศึกษาของ Google กลายเป็นการล็อกสเปก ทำให้เกิดการแข่งขันไม่เป็นธรรม

    ด้านนายนาดีมตะโกนบอกผู้สื่อข่าวระหว่างถูกควบคุมตัวว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ขอพระเจ้าคุ้มครองผม ความจริงจะปรากฏ อัลลอฮ์จะทรงทราบความจริง” ขณะที่ทนายความของนายนาดีม ยืนยันว่านายนาดีมไม่ได้รับแม้แต่เซ็นต์เดียว ทั้งนี้ หากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง โทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิต

    สำหรับนายนาดีม มาคาริม อายุ 41 ปี เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทโกเจ็ก (Gojek) แพลตฟอร์มเรียกรถโดยสาร สั่งอาหาร และชำระเงินออนไลน์ของอินโดนีเซีย ก่อนจะลาออกในปี 2562 เพื่อเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี หลังจากนั้นบริษัทฯ ได้ควบรวมกิจการกับ Tokopedia ในปี 2564 เป็น GoTo Gojek Tokopedia บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ชี้แจงว่า หลังนายนาดีมลาออก เขาก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายบริหาร หรือการดำเนินงานของบริษัทฯ อีกต่อไป

    #Newskit
    ผู้ร่วมก่อตั้ง Gojek ถูกกล่าวหาทุจริต Chromebook เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (4 ก.ย.) สำนักงานอัยการสูงสุดของอินโดนีเซีย (AGO RI) ควบคุมตัวนายนาดีม มาคาริม (Nadiem Makarim) อดีต รมว.ศึกษาธิการ วัฒนธรรม การวิจัย และเทคโนโลยีของอินโดนีเซีย ไปกักขังเพื่อสอบสวนเพิ่มเติมเป็นเวลา 20 วัน หลังจากตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย คดีทุจริตการจัดซื้อคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปสำหรับโรงเรียน เชื่อมโยงกับ Chromebook ของ Google มูลค่า 9.3 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 18,161 ล้านบาท โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2563-2565 สมัยรัฐบาลประธานาธิบดีโจโค วิโดโด มีการแจกจ่าย Chromebook จำนวน 1.2 ล้านเครื่องให้กับโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล ตามนโยบายเปลี่ยนผ่านการศึกษาสู่ระบบดิจิทัล แต่อัยการชี้ว่าอุปกรณ์ดังกล่าวไม่เหมาะสำหรับโครงการนี้ เนื่องจาก Chromebook จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เสถียร แต่กลับไม่สามารถใช้ได้ในพื้นที่เป้าหมายหลายแห่ง ซึ่งมีไฟฟ้าจำกัดและการเชื่อมต่อที่ย่ำแย่ ส่งผลให้รัฐบาลอินโดนีเซียเสียหายกว่า 1.98 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 3,866 ล้านบาท จากการเปิดเผยของนายนูร์คาห์โย จุงกุง มาดโย (Nurcahyo Jungkung Madyo) ผู้อำนวยการฝ่ายสืบสวนการทุจริตของสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า นายนาดีม ถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีโดยมิชอบ มีการประชุมแบบปิดผ่าน Zoom เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2563 สั่งการให้คนใกล้ชิดนำระบบปฏิบัติการ Chrome ของ Google มาใช้ในการจัดซื้อแล็ปท็อปของกระทรวงศึกษาธิการฯ ทั่วประเทศ อีกทั้งในเดือน ก.พ.2564 นายนาดีมได้ออกกฎกระทรวง กำหนดให้ใช้ระบบปฎิบัติการ ChromeOS และฟีเจอร์ที่เชื่อมโยงกับบริการด้านการศึกษาของ Google กลายเป็นการล็อกสเปก ทำให้เกิดการแข่งขันไม่เป็นธรรม ด้านนายนาดีมตะโกนบอกผู้สื่อข่าวระหว่างถูกควบคุมตัวว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ขอพระเจ้าคุ้มครองผม ความจริงจะปรากฏ อัลลอฮ์จะทรงทราบความจริง” ขณะที่ทนายความของนายนาดีม ยืนยันว่านายนาดีมไม่ได้รับแม้แต่เซ็นต์เดียว ทั้งนี้ หากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง โทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิต สำหรับนายนาดีม มาคาริม อายุ 41 ปี เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทโกเจ็ก (Gojek) แพลตฟอร์มเรียกรถโดยสาร สั่งอาหาร และชำระเงินออนไลน์ของอินโดนีเซีย ก่อนจะลาออกในปี 2562 เพื่อเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี หลังจากนั้นบริษัทฯ ได้ควบรวมกิจการกับ Tokopedia ในปี 2564 เป็น GoTo Gojek Tokopedia บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ชี้แจงว่า หลังนายนาดีมลาออก เขาก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายบริหาร หรือการดำเนินงานของบริษัทฯ อีกต่อไป #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 536 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก 175 ล้านสู่ 200 ล้าน: เมื่อ TikTok กลายเป็นสื่อหลักของยุโรป แต่ต้องแลกด้วยค่าปรับมหาศาล

    TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่พัฒนาโดย ByteDance จากจีน ประกาศว่ามีผู้ใช้งานประจำในยุโรปมากกว่า 200 ล้านคนต่อเดือนแล้วในเดือนกันยายน 2025 เพิ่มขึ้นจาก 175 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว โดยครอบคลุมผู้ใช้ใน 32 ประเทศทั่วทวีป—เท่ากับประมาณหนึ่งในสามของประชากรยุโรปทั้งหมด

    การเติบโตนี้สะท้อนถึงความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ที่ใช้ TikTok เป็นช่องทางหลักในการรับข่าวสาร ความบันเทิง และการแสดงออกส่วนตัว ขณะเดียวกัน TikTok ก็มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือนแล้ว

    แต่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะในยุโรปที่ TikTok ถูกปรับเป็นเงิน 530 ล้านยูโร (ประมาณ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป (GDPR) โดยเฉพาะการจัดการข้อมูลของผู้ใช้เยาวชน และการเข้าถึงข้อมูลจากพนักงานในจีน

    TikTok ยืนยันว่าได้ใช้มาตรการป้องกันข้อมูลตามมาตรฐาน EU และไม่เคยส่งข้อมูลให้รัฐบาลจีน แต่หน่วยงานกำกับดูแลยังคงเปิดการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้ในยุโรปบนเซิร์ฟเวอร์ในจีน ซึ่งอาจขัดต่อข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและอธิปไตยข้อมูล

    ในขณะเดียวกัน ByteDance กำลังเตรียมเปิดโครงการซื้อหุ้นคืนจากพนักงาน ซึ่งจะประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่กว่า 330 พันล้านดอลลาร์—สะท้อนถึงความมั่นใจในอนาคตของแพลตฟอร์ม แม้จะเผชิญแรงกดดันจากทั้งสหรัฐฯ และยุโรป

    การเติบโตของ TikTok ในยุโรป
    มีผู้ใช้งานประจำมากกว่า 200 ล้านคนต่อเดือนใน 32 ประเทศ
    เพิ่มขึ้นจาก 175 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว
    คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของประชากรยุโรปทั้งหมด

    สถานะของ TikTok ทั่วโลก
    มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน
    เป็นแพลตฟอร์มหลักของวัยรุ่นในการรับข่าวสารและความบันเทิง
    ByteDance เตรียมเปิดโครงการซื้อหุ้นคืน มูลค่าบริษัทกว่า $330B

    ปัญหาด้านข้อมูลและการกำกับดูแล
    ถูกปรับ 530 ล้านยูโรจากการละเมิด GDPR โดยเฉพาะข้อมูลเยาวชน
    หน่วยงาน EU กังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลโดยพนักงานในจีน
    มีการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์จีน

    การตอบสนองของ TikTok
    ยืนยันว่าใช้มาตรฐาน EU และไม่เคยส่งข้อมูลให้รัฐบาลจีน
    ใช้สัญญาแบบ EU-standard clauses และระบบความปลอดภัยที่ปรับปรุงในปี 2023
    กำลังอุทธรณ์คำตัดสินและเตือนว่าอาจเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อบริษัทระดับโลก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/05/tiktok-users-top-200-million-in-europe-firm-says
    🎙️ เรื่องเล่าจาก 175 ล้านสู่ 200 ล้าน: เมื่อ TikTok กลายเป็นสื่อหลักของยุโรป แต่ต้องแลกด้วยค่าปรับมหาศาล TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่พัฒนาโดย ByteDance จากจีน ประกาศว่ามีผู้ใช้งานประจำในยุโรปมากกว่า 200 ล้านคนต่อเดือนแล้วในเดือนกันยายน 2025 เพิ่มขึ้นจาก 175 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว โดยครอบคลุมผู้ใช้ใน 32 ประเทศทั่วทวีป—เท่ากับประมาณหนึ่งในสามของประชากรยุโรปทั้งหมด การเติบโตนี้สะท้อนถึงความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ที่ใช้ TikTok เป็นช่องทางหลักในการรับข่าวสาร ความบันเทิง และการแสดงออกส่วนตัว ขณะเดียวกัน TikTok ก็มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือนแล้ว แต่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะในยุโรปที่ TikTok ถูกปรับเป็นเงิน 530 ล้านยูโร (ประมาณ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป (GDPR) โดยเฉพาะการจัดการข้อมูลของผู้ใช้เยาวชน และการเข้าถึงข้อมูลจากพนักงานในจีน TikTok ยืนยันว่าได้ใช้มาตรการป้องกันข้อมูลตามมาตรฐาน EU และไม่เคยส่งข้อมูลให้รัฐบาลจีน แต่หน่วยงานกำกับดูแลยังคงเปิดการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้ในยุโรปบนเซิร์ฟเวอร์ในจีน ซึ่งอาจขัดต่อข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและอธิปไตยข้อมูล ในขณะเดียวกัน ByteDance กำลังเตรียมเปิดโครงการซื้อหุ้นคืนจากพนักงาน ซึ่งจะประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่กว่า 330 พันล้านดอลลาร์—สะท้อนถึงความมั่นใจในอนาคตของแพลตฟอร์ม แม้จะเผชิญแรงกดดันจากทั้งสหรัฐฯ และยุโรป ✅ การเติบโตของ TikTok ในยุโรป ➡️ มีผู้ใช้งานประจำมากกว่า 200 ล้านคนต่อเดือนใน 32 ประเทศ ➡️ เพิ่มขึ้นจาก 175 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว ➡️ คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของประชากรยุโรปทั้งหมด ✅ สถานะของ TikTok ทั่วโลก ➡️ มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน ➡️ เป็นแพลตฟอร์มหลักของวัยรุ่นในการรับข่าวสารและความบันเทิง ➡️ ByteDance เตรียมเปิดโครงการซื้อหุ้นคืน มูลค่าบริษัทกว่า $330B ✅ ปัญหาด้านข้อมูลและการกำกับดูแล ➡️ ถูกปรับ 530 ล้านยูโรจากการละเมิด GDPR โดยเฉพาะข้อมูลเยาวชน ➡️ หน่วยงาน EU กังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลโดยพนักงานในจีน ➡️ มีการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์จีน ✅ การตอบสนองของ TikTok ➡️ ยืนยันว่าใช้มาตรฐาน EU และไม่เคยส่งข้อมูลให้รัฐบาลจีน ➡️ ใช้สัญญาแบบ EU-standard clauses และระบบความปลอดภัยที่ปรับปรุงในปี 2023 ➡️ กำลังอุทธรณ์คำตัดสินและเตือนว่าอาจเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อบริษัทระดับโลก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/05/tiktok-users-top-200-million-in-europe-firm-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    TikTok users top 200 million in Europe, firm says
    LONDON (Reuters) -TikTok has more than 200 million monthly users in Europe, or roughly one in three citizens on the continent, the short video app platform said on Friday, the latest sign of its rapid growth among teenagers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 416 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่วน!
    จับ 'สายลับเขมร' ยศร้อยโทสังกัดหน่วยข่าวกรอง คอยแจ้งพิกัดทหารไทยแนวชายแดนจันทบุรี-ตราด

    29 ก.ค.68 รายงานข่าวจากหน่วยความมั่นคงทางทหารจันทบุรี-ตราด เปิดเผยว่า ทางเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน จังหวัดจันทบุรี(ฉก.นย.จันทบุรี) ได้ทำการเชิญตัว MR.OEUN KHOEM หรือนายคึม เอือน อายุ 43 ปี สัญชาติกัมพูชา ที่ถือวีซ่า NON-LA เดินทางเข้ามาเมื่อ 12 MAR 2025 วันที่การอนุญาตสิ้นสุด 11 MAR 2027 แจ้งที่พักอาศัยหมู่ 1 ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี มาทำการตรวจสอบที่ฝ่ายสืบสวน สภ.โป่งน้ำร้อน โดยมีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี และกองกำกับการสืบสวนภูธรจังหวัดจันทบุรี ร่วมตรวจสอบและสอบปากคำ

    ทั้งนี้ เนื่องจากจาก เจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.นย.จันทบุรี ได้สืบทราบว่า นาย OEUN KHOEM ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับทหารกัมพูชา เนื่องจากได้โพสต์ข้อความใน FB พร้อมภาพถ่ายว่า “THAILAND ATTACKS FIRST CAMBODIA DEFEDS” และพบชุดเครื่องแบบทหารกัมพูชาในรถยนต์กระบะยี่ห้อมาสด้า หมายเลขทะเบียน กล 2141 จันทบุรี และที่บ้านพักที่นาย OEUN KHOEM อาศัยอยู่

    จากการตรวจสอบสวนเบื้องต้นของทางเจ้าหน้าที่ พบว่าหนังสือเดินทางและวีซ่ายังไม่หมดอายุ และจะส่ง โทรศัพท์มือถือให้ผู้เชี่ยวชาญ ทำการตรวจสอบข้อมูลในทั้งหมด ทำการสอบสวนเพิ่มเติม

    จนกระทั่ง ให้การรับสารภาพว่าเป็นทหารหน่วยข่าวของกองทัพกัมพูชา คือ ร้อยโท คึม เอือน หมายเลขประจำตัว 157625 เข้ามาสอดแนมหาข่าว ความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ทหารฝั่งประเทศไทย แล้วส่งไปยังกองทัพกัมพูชา ใช้ในการสู้รบกับทหารไทย

    เครดิตข่าว: แนวหน้า
    ด่วน! จับ 'สายลับเขมร' ยศร้อยโทสังกัดหน่วยข่าวกรอง คอยแจ้งพิกัดทหารไทยแนวชายแดนจันทบุรี-ตราด 29 ก.ค.68 รายงานข่าวจากหน่วยความมั่นคงทางทหารจันทบุรี-ตราด เปิดเผยว่า ทางเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน จังหวัดจันทบุรี(ฉก.นย.จันทบุรี) ได้ทำการเชิญตัว MR.OEUN KHOEM หรือนายคึม เอือน อายุ 43 ปี สัญชาติกัมพูชา ที่ถือวีซ่า NON-LA เดินทางเข้ามาเมื่อ 12 MAR 2025 วันที่การอนุญาตสิ้นสุด 11 MAR 2027 แจ้งที่พักอาศัยหมู่ 1 ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี มาทำการตรวจสอบที่ฝ่ายสืบสวน สภ.โป่งน้ำร้อน โดยมีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี และกองกำกับการสืบสวนภูธรจังหวัดจันทบุรี ร่วมตรวจสอบและสอบปากคำ ทั้งนี้ เนื่องจากจาก เจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.นย.จันทบุรี ได้สืบทราบว่า นาย OEUN KHOEM ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับทหารกัมพูชา เนื่องจากได้โพสต์ข้อความใน FB พร้อมภาพถ่ายว่า “THAILAND ATTACKS FIRST CAMBODIA DEFEDS” และพบชุดเครื่องแบบทหารกัมพูชาในรถยนต์กระบะยี่ห้อมาสด้า หมายเลขทะเบียน กล 2141 จันทบุรี และที่บ้านพักที่นาย OEUN KHOEM อาศัยอยู่ จากการตรวจสอบสวนเบื้องต้นของทางเจ้าหน้าที่ พบว่าหนังสือเดินทางและวีซ่ายังไม่หมดอายุ และจะส่ง โทรศัพท์มือถือให้ผู้เชี่ยวชาญ ทำการตรวจสอบข้อมูลในทั้งหมด ทำการสอบสวนเพิ่มเติม จนกระทั่ง ให้การรับสารภาพว่าเป็นทหารหน่วยข่าวของกองทัพกัมพูชา คือ ร้อยโท คึม เอือน หมายเลขประจำตัว 157625 เข้ามาสอดแนมหาข่าว ความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ทหารฝั่งประเทศไทย แล้วส่งไปยังกองทัพกัมพูชา ใช้ในการสู้รบกับทหารไทย เครดิตข่าว: แนวหน้า
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 458 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากตะกร้าช้อปปิ้ง: เมื่อ Temu ถูก EU จับตาอย่างเข้มงวด

    Temu ซึ่งมีผู้ใช้งานในยุโรปกว่า 90 ล้านคนต่อเดือน ถูกกล่าวหาว่าไม่ได้ประเมินความเสี่ยงของสินค้าบนแพลตฟอร์มอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะสินค้าประเภทของเล่นเด็กและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก ที่อาจไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของ EU

    การตรวจสอบของ EU ผ่านการ “mystery shopping” พบว่าสินค้าจำนวนมากไม่เป็นไปตามข้อกำหนด และ Temu ใช้ข้อมูลทั่วไปของอุตสาหกรรมในการประเมินความเสี่ยง แทนที่จะใช้ข้อมูลเฉพาะของแพลตฟอร์มตนเอง

    นอกจากนี้ Temu ยังถูกสอบสวนในประเด็นอื่น ๆ เช่น การออกแบบแอปให้มีลักษณะเสพติด (เช่น ระบบรางวัลแบบเกม), ความโปร่งใสของระบบแนะนำสินค้า, และการเปิดให้เข้าถึงข้อมูลเพื่อการวิจัย ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำคัญของ DSA สำหรับแพลตฟอร์มขนาดใหญ่

    หากพบว่ามีการละเมิดจริง Temu อาจถูกปรับสูงสุดถึง 6% ของรายได้ทั่วโลกต่อปี และอาจถูกสั่งให้ปรับปรุงระบบ พร้อมเข้าสู่ช่วง “การกำกับดูแลแบบเข้มข้น”

    คณะกรรมาธิการยุโรปพบว่า Temu อาจละเมิดกฎหมาย Digital Services Act (DSA)
    ไม่ประเมินความเสี่ยงของสินค้าบนแพลตฟอร์มอย่างเหมาะสม
    ใช้ข้อมูลทั่วไปแทนข้อมูลเฉพาะของ Temu ในการประเมิน

    การตรวจสอบพบสินค้าผิดกฎหมายจำนวนมาก เช่น ของเล่นเด็กและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    ผ่านการทดลองซื้อจริงโดย EU (“mystery shopping”)
    สินค้าไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของ EU

    Temu ถูกสอบสวนเพิ่มเติมในหลายประเด็นภายใต้ DSA
    การออกแบบแอปให้เสพติด เช่น ระบบรางวัลแบบเกม
    ความโปร่งใสของระบบแนะนำสินค้าและโฆษณา
    การเปิดให้เข้าถึงข้อมูลเพื่อการวิจัย

    หากพบว่าละเมิดจริง อาจถูกปรับสูงสุด 6% ของรายได้ทั่วโลกต่อปี
    พร้อมคำสั่งให้ปรับปรุงระบบและเข้าสู่ช่วงกำกับดูแล
    Temu มีสิทธิ์ตอบกลับข้อกล่าวหาในช่วงสัปดาห์ถัดไป

    DSA เป็นกฎหมายใหม่ของ EU ที่ควบคุมแพลตฟอร์มขนาดใหญ่โดยเฉพาะ
    Temu ถูกจัดเป็น “Very Large Online Platform” (VLOP)
    ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เข้มงวดกว่าปกติ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/28/eu-says-temu-in-breach-of-rules-to-prevent-sale-of-illegal-products
    🛒 เรื่องเล่าจากตะกร้าช้อปปิ้ง: เมื่อ Temu ถูก EU จับตาอย่างเข้มงวด Temu ซึ่งมีผู้ใช้งานในยุโรปกว่า 90 ล้านคนต่อเดือน ถูกกล่าวหาว่าไม่ได้ประเมินความเสี่ยงของสินค้าบนแพลตฟอร์มอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะสินค้าประเภทของเล่นเด็กและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก ที่อาจไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของ EU การตรวจสอบของ EU ผ่านการ “mystery shopping” พบว่าสินค้าจำนวนมากไม่เป็นไปตามข้อกำหนด และ Temu ใช้ข้อมูลทั่วไปของอุตสาหกรรมในการประเมินความเสี่ยง แทนที่จะใช้ข้อมูลเฉพาะของแพลตฟอร์มตนเอง นอกจากนี้ Temu ยังถูกสอบสวนในประเด็นอื่น ๆ เช่น การออกแบบแอปให้มีลักษณะเสพติด (เช่น ระบบรางวัลแบบเกม), ความโปร่งใสของระบบแนะนำสินค้า, และการเปิดให้เข้าถึงข้อมูลเพื่อการวิจัย ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำคัญของ DSA สำหรับแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ หากพบว่ามีการละเมิดจริง Temu อาจถูกปรับสูงสุดถึง 6% ของรายได้ทั่วโลกต่อปี และอาจถูกสั่งให้ปรับปรุงระบบ พร้อมเข้าสู่ช่วง “การกำกับดูแลแบบเข้มข้น” ✅ คณะกรรมาธิการยุโรปพบว่า Temu อาจละเมิดกฎหมาย Digital Services Act (DSA) ➡️ ไม่ประเมินความเสี่ยงของสินค้าบนแพลตฟอร์มอย่างเหมาะสม ➡️ ใช้ข้อมูลทั่วไปแทนข้อมูลเฉพาะของ Temu ในการประเมิน ✅ การตรวจสอบพบสินค้าผิดกฎหมายจำนวนมาก เช่น ของเล่นเด็กและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ➡️ ผ่านการทดลองซื้อจริงโดย EU (“mystery shopping”) ➡️ สินค้าไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของ EU ✅ Temu ถูกสอบสวนเพิ่มเติมในหลายประเด็นภายใต้ DSA ➡️ การออกแบบแอปให้เสพติด เช่น ระบบรางวัลแบบเกม ➡️ ความโปร่งใสของระบบแนะนำสินค้าและโฆษณา ➡️ การเปิดให้เข้าถึงข้อมูลเพื่อการวิจัย ✅ หากพบว่าละเมิดจริง อาจถูกปรับสูงสุด 6% ของรายได้ทั่วโลกต่อปี ➡️ พร้อมคำสั่งให้ปรับปรุงระบบและเข้าสู่ช่วงกำกับดูแล ➡️ Temu มีสิทธิ์ตอบกลับข้อกล่าวหาในช่วงสัปดาห์ถัดไป ✅ DSA เป็นกฎหมายใหม่ของ EU ที่ควบคุมแพลตฟอร์มขนาดใหญ่โดยเฉพาะ ➡️ Temu ถูกจัดเป็น “Very Large Online Platform” (VLOP) ➡️ ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เข้มงวดกว่าปกติ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/28/eu-says-temu-in-breach-of-rules-to-prevent-sale-of-illegal-products
    WWW.THESTAR.COM.MY
    EU says Temu in breach of rules to prevent sale of illegal products
    BRUSSELS (Reuters) -The European Commission on Monday said Chinese online marketplace Temu was breaking EU rules by not doing enough to prevent the sale of illegal products through its platform.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 306 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังไฟล์: เมื่อ Dell ถูกเจาะแบบไม่ต้องล็อกไฟล์

    World Leaks ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่เคยใช้ชื่อว่า Hunters International ได้เปลี่ยนกลยุทธ์จาก ransomware มาเป็นการขโมยข้อมูลโดยตรง — แล้วขู่เปิดเผยต่อสาธารณะเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยไม่ต้องใช้การเข้ารหัสไฟล์อีกต่อไป

    ในกรณีของ Dell:
    - กลุ่มนี้อ้างว่าได้ข้อมูลภายในจากระบบทั่วโลกของ Dell ทั้งในอเมริกา, ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก
    - มีไฟล์กว่า 416,103 รายการ รวมถึงสคริปต์ Terraform, เครื่องมือ VMware, โค้ดทดสอบ, และข้อมูลระบบเฝ้าระวัง
    - มีการกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ของ Dell เช่น PowerPath, PowerStore และ firmware สำหรับฮาร์ดแวร์ของ Dell
    - Dell ยืนยันว่ามีการเข้าถึงระบบ “Solution Center” ซึ่งใช้สำหรับการสาธิตและทดสอบเท่านั้น — ไม่เกี่ยวกับระบบบริการลูกค้าหรือพันธมิตร

    แม้ Dell จะไม่ใช้คำว่า “ถูกเจาะระบบ” โดยตรง แต่ก็ยอมรับว่ามีการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต และกำลังสอบสวนเพิ่มเติม

    กลุ่ม World Leaks อ้างว่าเจาะระบบของ Dell และนำข้อมูลภายในกว่า 1.3 TB ออกมาเผยแพร่
    มีไฟล์กว่า 416,103 รายการที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือภายในและข้อมูลระบบ

    ข้อมูลครอบคลุมจากหลายภูมิภาคทั่วโลก เช่นอเมริกา, ยุโรป, เอเชียแปซิฟิก
    มีสคริปต์ระบบ, โค้ดทดสอบ, และข้อมูลการพัฒนาและสนับสนุน

    Dell ยืนยันว่ามีการเข้าถึงระบบ “Solution Center” ที่ใช้สำหรับการสาธิตและทดสอบ
    ระบบนี้แยกจากเครือข่ายลูกค้าและพันธมิตร และมีข้อมูลสังเคราะห์เป็นหลัก

    World Leaks เปลี่ยนกลยุทธ์จาก ransomware มาเป็นการขโมยข้อมูลและขู่เปิดเผย
    ลดความเสี่ยงจากการถูกติดตามโดยหน่วยงานรัฐ และเพิ่มแรงกดดันต่อเหยื่อ

    ใช้เครื่องมือ exfiltration แบบใหม่ที่สามารถดึงข้อมูลจำนวนมากโดยอัตโนมัติ
    เป็นเวอร์ชันที่พัฒนาจากเครื่องมือเดิมของ Hunters International

    Dell เคยถูกเจาะระบบมาก่อน เช่นในปี 2024 ที่มีข้อมูลลูกค้าและพนักงานรั่วไหล
    รวมถึงข้อมูลจาก 49 ล้านบัญชี และพนักงานกว่า 10,000 คน

    https://hackread.com/world-leaks-dell-data-breach-leaks-1-3-tb-of-files/
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลังไฟล์: เมื่อ Dell ถูกเจาะแบบไม่ต้องล็อกไฟล์ World Leaks ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่เคยใช้ชื่อว่า Hunters International ได้เปลี่ยนกลยุทธ์จาก ransomware มาเป็นการขโมยข้อมูลโดยตรง — แล้วขู่เปิดเผยต่อสาธารณะเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยไม่ต้องใช้การเข้ารหัสไฟล์อีกต่อไป ในกรณีของ Dell: - กลุ่มนี้อ้างว่าได้ข้อมูลภายในจากระบบทั่วโลกของ Dell ทั้งในอเมริกา, ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก - มีไฟล์กว่า 416,103 รายการ รวมถึงสคริปต์ Terraform, เครื่องมือ VMware, โค้ดทดสอบ, และข้อมูลระบบเฝ้าระวัง - มีการกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ของ Dell เช่น PowerPath, PowerStore และ firmware สำหรับฮาร์ดแวร์ของ Dell - Dell ยืนยันว่ามีการเข้าถึงระบบ “Solution Center” ซึ่งใช้สำหรับการสาธิตและทดสอบเท่านั้น — ไม่เกี่ยวกับระบบบริการลูกค้าหรือพันธมิตร แม้ Dell จะไม่ใช้คำว่า “ถูกเจาะระบบ” โดยตรง แต่ก็ยอมรับว่ามีการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต และกำลังสอบสวนเพิ่มเติม ✅ กลุ่ม World Leaks อ้างว่าเจาะระบบของ Dell และนำข้อมูลภายในกว่า 1.3 TB ออกมาเผยแพร่ ➡️ มีไฟล์กว่า 416,103 รายการที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือภายในและข้อมูลระบบ ✅ ข้อมูลครอบคลุมจากหลายภูมิภาคทั่วโลก เช่นอเมริกา, ยุโรป, เอเชียแปซิฟิก ➡️ มีสคริปต์ระบบ, โค้ดทดสอบ, และข้อมูลการพัฒนาและสนับสนุน ✅ Dell ยืนยันว่ามีการเข้าถึงระบบ “Solution Center” ที่ใช้สำหรับการสาธิตและทดสอบ ➡️ ระบบนี้แยกจากเครือข่ายลูกค้าและพันธมิตร และมีข้อมูลสังเคราะห์เป็นหลัก ✅ World Leaks เปลี่ยนกลยุทธ์จาก ransomware มาเป็นการขโมยข้อมูลและขู่เปิดเผย ➡️ ลดความเสี่ยงจากการถูกติดตามโดยหน่วยงานรัฐ และเพิ่มแรงกดดันต่อเหยื่อ ✅ ใช้เครื่องมือ exfiltration แบบใหม่ที่สามารถดึงข้อมูลจำนวนมากโดยอัตโนมัติ ➡️ เป็นเวอร์ชันที่พัฒนาจากเครื่องมือเดิมของ Hunters International ✅ Dell เคยถูกเจาะระบบมาก่อน เช่นในปี 2024 ที่มีข้อมูลลูกค้าและพนักงานรั่วไหล ➡️ รวมถึงข้อมูลจาก 49 ล้านบัญชี และพนักงานกว่า 10,000 คน https://hackread.com/world-leaks-dell-data-breach-leaks-1-3-tb-of-files/
    HACKREAD.COM
    World Leaks Claims Dell Data Breach, Leaks 1.3 TB of Files
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17 มิถุนายน 2568 รายงานข่าวเนชั่นระบุว่า มินนี่” และพวกถูกปล่อยตัวจากคุก เพราะตำรวจทำสำนวนส่งฟ้อง “คดีเว็บพนัน-ฟอกเงิน” ไม่ทันก่อนครบกำหนดฝากขัง ผู้การตำรวจไซเบอร์แจงสาเหตุเพราะอะไร?17 มิถุนายน 2568 พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท. กล่าวถึงกรณีที่คดีร่วมกันจัดให้มีการเล่นหรือทำอุบายล่อช่วยประกาศโฆษณา หรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่น หรือเข้าพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือ คดีเว็บพนัน ร่วมกันฟอกเงิน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่มีการสมคบกัน หรือคดีฟอกเงิน ที่มี น.ส.ธันยนันท์ สุจริตชินศรี อายุ 28 ปี หรือ มินนี่ กับพวกรวม 10 คน เป็นผู้ต้องหาในคดี ยังไม่สามารถฟ้องได้ จนครบกำหนดขาดขัง ต้องปล่อยตัวไปว่า คดีนี้ทางพนักงานสอบสวน ได้ยื่นคำร้องฝากขังผู้ต้องหากับพวกครั้งเเรก ไปเมื่อวันที่ 6 มี.ค.โดยผู้ต้องหาไม่ได้การปล่อยชั่วคราวจากศาลต่อมาพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ทำความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา ไปส่งยังพนักงานอัยการคดีพิเศษในช่วงฝากขังครั้งที่ 7 ทางพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนพิจารณาเเล้วยังเห็นว่า การสอบสวนยังไม่เเล้วเสร็จ ยังมีประเด็นเกี่ยวกับการเดินบัญชี ที่พนักงานสอบสวนปริ๊นมาจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ ยังไม่ได้สอบสวนธนาคาร จึงจะต้องไปสอบธนาคารเพิ่ม รวมถึงเจ้าหน้าที่ธนาคารรวมกว่า 14 บัญชี ซึ่งคืนสำนวนให้พนักงานสอบสวน มาก่อนที่จะครบฝากขังครั้งสุดท้ายในวันที่ 28 พ.ค.ประมาณ 2-3 วัน พนักงานสอบสวนไม่สามารถทำได้ทัน พนักงานอัยการจึงไม่สามารถยื่นฟ้องได้ทัน ศาลจึงปล่อยตัวมินนี่ กับพวกรวม 10 คน ในวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมาพล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ยืนยันว่า การปล่อยขาดตรงนี้ก็ไม่ถือว่า ได้รับความเสียหาย เนื่องจากเป็นอำนาจพิจารณาของอัยการ ที่จะคืนสำนวนให้ตำรวจสอบสวนเพิ่มเติมได้ โดยในวันพรุ่งนี้ (18 มิ.ย.) ตนจะเข้าปรึกษากับอัยการเจ้าของสำนวน เพื่อปรึกษาแนวทางเพื่อเร่งรัดการสอบสวนให้รอบคอบรัดกุมครบถ้วน ตามการสั่งสอบเพิ่มเติมของอัยการ เพื่อจะได้เสนอต่อพนักงานอัยการคดีพิเศษอีกครั้งหนึ่ง
    17 มิถุนายน 2568 รายงานข่าวเนชั่นระบุว่า มินนี่” และพวกถูกปล่อยตัวจากคุก เพราะตำรวจทำสำนวนส่งฟ้อง “คดีเว็บพนัน-ฟอกเงิน” ไม่ทันก่อนครบกำหนดฝากขัง ผู้การตำรวจไซเบอร์แจงสาเหตุเพราะอะไร?17 มิถุนายน 2568 พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท. กล่าวถึงกรณีที่คดีร่วมกันจัดให้มีการเล่นหรือทำอุบายล่อช่วยประกาศโฆษณา หรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่น หรือเข้าพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือ คดีเว็บพนัน ร่วมกันฟอกเงิน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่มีการสมคบกัน หรือคดีฟอกเงิน ที่มี น.ส.ธันยนันท์ สุจริตชินศรี อายุ 28 ปี หรือ มินนี่ กับพวกรวม 10 คน เป็นผู้ต้องหาในคดี ยังไม่สามารถฟ้องได้ จนครบกำหนดขาดขัง ต้องปล่อยตัวไปว่า คดีนี้ทางพนักงานสอบสวน ได้ยื่นคำร้องฝากขังผู้ต้องหากับพวกครั้งเเรก ไปเมื่อวันที่ 6 มี.ค.โดยผู้ต้องหาไม่ได้การปล่อยชั่วคราวจากศาลต่อมาพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ทำความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา ไปส่งยังพนักงานอัยการคดีพิเศษในช่วงฝากขังครั้งที่ 7 ทางพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนพิจารณาเเล้วยังเห็นว่า การสอบสวนยังไม่เเล้วเสร็จ ยังมีประเด็นเกี่ยวกับการเดินบัญชี ที่พนักงานสอบสวนปริ๊นมาจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ ยังไม่ได้สอบสวนธนาคาร จึงจะต้องไปสอบธนาคารเพิ่ม รวมถึงเจ้าหน้าที่ธนาคารรวมกว่า 14 บัญชี ซึ่งคืนสำนวนให้พนักงานสอบสวน มาก่อนที่จะครบฝากขังครั้งสุดท้ายในวันที่ 28 พ.ค.ประมาณ 2-3 วัน พนักงานสอบสวนไม่สามารถทำได้ทัน พนักงานอัยการจึงไม่สามารถยื่นฟ้องได้ทัน ศาลจึงปล่อยตัวมินนี่ กับพวกรวม 10 คน ในวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมาพล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ยืนยันว่า การปล่อยขาดตรงนี้ก็ไม่ถือว่า ได้รับความเสียหาย เนื่องจากเป็นอำนาจพิจารณาของอัยการ ที่จะคืนสำนวนให้ตำรวจสอบสวนเพิ่มเติมได้ โดยในวันพรุ่งนี้ (18 มิ.ย.) ตนจะเข้าปรึกษากับอัยการเจ้าของสำนวน เพื่อปรึกษาแนวทางเพื่อเร่งรัดการสอบสวนให้รอบคอบรัดกุมครบถ้วน ตามการสั่งสอบเพิ่มเติมของอัยการ เพื่อจะได้เสนอต่อพนักงานอัยการคดีพิเศษอีกครั้งหนึ่ง
    Haha
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 530 มุมมอง 0 รีวิว
  • องค์กร Whistleblower Aid ได้เปิดเผยว่าอาจมี การละเมิดความปลอดภัยทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ ที่หน่วยงานกำกับดูแลแรงงานของสหรัฐฯ (NLRB) โดยมีข้อกล่าวหาว่า ทีมเทคโนโลยีของ Elon Musk อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้

    Whistleblower Aid เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดความปลอดภัย
    - ข้อร้องเรียนถูกส่งไปยัง Tom Cotton และ Mark Warner ซึ่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ
    - แหล่งข้อมูลหลักคือ Daniel Berulis เจ้าหน้าที่ไอทีของ NLRB

    ความเป็นไปได้ที่ข้อมูลสำคัญถูกละเมิด
    - อาจมี ไฟล์คดีที่ละเอียดอ่อน ถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
    - ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการโจมตี

    ผลกระทบต่อหน่วยงานรัฐบาล
    - หากข้อกล่าวหาเป็นจริง อาจส่งผลกระทบต่อ ความน่าเชื่อถือของระบบความปลอดภัยไซเบอร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ
    - อาจมีการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทของทีมเทคโนโลยีของ Musk

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/16/whistleblower-org-says-doge-may-have-caused-039significant-cyber-breach039-at-us-labor-watchdog
    องค์กร Whistleblower Aid ได้เปิดเผยว่าอาจมี การละเมิดความปลอดภัยทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ ที่หน่วยงานกำกับดูแลแรงงานของสหรัฐฯ (NLRB) โดยมีข้อกล่าวหาว่า ทีมเทคโนโลยีของ Elon Musk อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ✅ Whistleblower Aid เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดความปลอดภัย - ข้อร้องเรียนถูกส่งไปยัง Tom Cotton และ Mark Warner ซึ่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ - แหล่งข้อมูลหลักคือ Daniel Berulis เจ้าหน้าที่ไอทีของ NLRB ✅ ความเป็นไปได้ที่ข้อมูลสำคัญถูกละเมิด - อาจมี ไฟล์คดีที่ละเอียดอ่อน ถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต - ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการโจมตี ✅ ผลกระทบต่อหน่วยงานรัฐบาล - หากข้อกล่าวหาเป็นจริง อาจส่งผลกระทบต่อ ความน่าเชื่อถือของระบบความปลอดภัยไซเบอร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ - อาจมีการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทของทีมเทคโนโลยีของ Musk https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/16/whistleblower-org-says-doge-may-have-caused-039significant-cyber-breach039-at-us-labor-watchdog
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Whistleblower org says DOGE may have caused 'significant cyber breach' at US labor watchdog
    WASHINGTON (Reuters) -A whistleblower complaint says that billionaire Elon Musk's team of technologists may have been responsible for a "significant cybersecurity breach," likely of sensitive case files, at America's federal labor watchdog.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 349 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้ออกมาขอโทษและคืนสถานะให้กับปลั๊กอินยอดนิยมสองตัวใน Visual Studio Code Marketplace ได้แก่ "Material Theme – Free" และ "Material Theme Icons – Free" หลังจากที่ก่อนหน้านี้ถูกถอดออกเพราะสงสัยว่ามีโค้ดอันตราย

    เมื่อต้นปีนี้ นักวิจัยของ Microsoft ตรวจพบโค้ดที่ถูกเข้ารหัส (Obfuscated Code) ในปลั๊กอินทั้งสองตัว ซึ่งถูกมองว่าอาจมีเจตนาร้าย โดยโค้ดนี้อยู่ในไฟล์ "release-notes.js" ซึ่งมีการเรียกใช้ความสามารถในการรันโค้ดจากที่อื่น ทั้งนี้ ปลั๊กอินเหล่านี้ถูกใช้งานมากกว่า 9 ล้านครั้งทั่วโลก

    เมื่อปลั๊กอินถูกถอดออก ผู้พัฒนาปลั๊กอินชื่อ Mattia Astorino หรือ "equinusocio" ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ โดยกล่าวว่าปัญหาเกิดจากการใช้งาน Library เก่าที่ชื่อ "sanity.io" ซึ่งไม่ได้ถูกอัปเดตมานานหลายปี แม้โค้ดจะดูเหมือนน่าสงสัย แต่ไม่ได้มีเจตนาร้ายเลย และสามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ หาก Microsoft แจ้งก่อน

    Microsoft ยอมรับผิดพลาด ภายหลังจากการสอบสวนเพิ่มเติม Microsoft ได้ค้นพบว่าการประเมินในครั้งแรกเป็นการสรุปผลที่ผิดพลาด โดยไม่มีเจตนาร้ายจากผู้พัฒนา ทำให้พวกเขาตัดสินใจคืนสถานะให้ปลั๊กอินอีกครั้ง พร้อมขอโทษผู้พัฒนาอย่างเป็นทางการ

    สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติม
    - การพัฒนาเครื่องมือ AI ในการตรวจสอบโค้ด: เหตุการณ์นี้แสดงถึงความสำคัญของ AI ที่ใช้สำหรับตรวจจับความเสี่ยง แต่ก็ชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดหากไม่มีการตรวจสอบเพิ่มเติมจากมนุษย์
    - การเปลี่ยนแปลงนโยบายในอนาคต: Microsoft มีแผนปรับปรุงนโยบายเกี่ยวกับโค้ดที่ถูกเข้ารหัสและเพิ่มความแม่นยำให้กับเครื่องมือสแกน เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสินใจผิดพลาดในอนาคต

    https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-apologizes-for-removing-vscode-extensions-used-by-millions/
    Microsoft ได้ออกมาขอโทษและคืนสถานะให้กับปลั๊กอินยอดนิยมสองตัวใน Visual Studio Code Marketplace ได้แก่ "Material Theme – Free" และ "Material Theme Icons – Free" หลังจากที่ก่อนหน้านี้ถูกถอดออกเพราะสงสัยว่ามีโค้ดอันตราย เมื่อต้นปีนี้ นักวิจัยของ Microsoft ตรวจพบโค้ดที่ถูกเข้ารหัส (Obfuscated Code) ในปลั๊กอินทั้งสองตัว ซึ่งถูกมองว่าอาจมีเจตนาร้าย โดยโค้ดนี้อยู่ในไฟล์ "release-notes.js" ซึ่งมีการเรียกใช้ความสามารถในการรันโค้ดจากที่อื่น ทั้งนี้ ปลั๊กอินเหล่านี้ถูกใช้งานมากกว่า 9 ล้านครั้งทั่วโลก เมื่อปลั๊กอินถูกถอดออก ผู้พัฒนาปลั๊กอินชื่อ Mattia Astorino หรือ "equinusocio" ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ โดยกล่าวว่าปัญหาเกิดจากการใช้งาน Library เก่าที่ชื่อ "sanity.io" ซึ่งไม่ได้ถูกอัปเดตมานานหลายปี แม้โค้ดจะดูเหมือนน่าสงสัย แต่ไม่ได้มีเจตนาร้ายเลย และสามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ หาก Microsoft แจ้งก่อน Microsoft ยอมรับผิดพลาด ภายหลังจากการสอบสวนเพิ่มเติม Microsoft ได้ค้นพบว่าการประเมินในครั้งแรกเป็นการสรุปผลที่ผิดพลาด โดยไม่มีเจตนาร้ายจากผู้พัฒนา ทำให้พวกเขาตัดสินใจคืนสถานะให้ปลั๊กอินอีกครั้ง พร้อมขอโทษผู้พัฒนาอย่างเป็นทางการ สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติม - การพัฒนาเครื่องมือ AI ในการตรวจสอบโค้ด: เหตุการณ์นี้แสดงถึงความสำคัญของ AI ที่ใช้สำหรับตรวจจับความเสี่ยง แต่ก็ชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดหากไม่มีการตรวจสอบเพิ่มเติมจากมนุษย์ - การเปลี่ยนแปลงนโยบายในอนาคต: Microsoft มีแผนปรับปรุงนโยบายเกี่ยวกับโค้ดที่ถูกเข้ารหัสและเพิ่มความแม่นยำให้กับเครื่องมือสแกน เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสินใจผิดพลาดในอนาคต https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-apologizes-for-removing-vscode-extensions-used-by-millions/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Microsoft apologizes for removing VSCode extensions used by millions
    Microsoft has reinstated the 'Material Theme - Free' and 'Material Theme Icons - Free' extensions on the Visual Studio Marketplace after finding that the obfuscated code they contained wasn't actually malicious.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 309 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลอาญาให้ประกันตัว "แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์" สามีภรรยา จำเลยคดีหลอกขายทองคำไม่ได้คุณภาพผ่านออนไลน์ โดยวางเงินประกันคนละ 2 ล้านบาท ติดกำไล EM ห้ามไขข่าวกระทบพิจารณาคดี และห้ามออกนอกประเทศ
    .
    วันนี้ (31 ม.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งในคำร้องขอปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2-3 คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด โดยนายกานต์พล เรืองอร่าม หรือป๋าเบียร์ และ น.ส.กรกนก สุวรรณบุตร หรือเเม่ตั๊ก เป็น จำเลยที่ 1-3 ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันโฆษณาโดยใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค โดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณาหรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น
    .
    ร่วมกันขายสินค้าที่ควบคุมฉลากโดยไม่มีฉลากหรือมีฉลากแต่ฉลากหรือการแสดงฉลากนั้นไม่ถูกต้อง และร่วมกันประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343, 83, 91 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) พรบ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 22, 30, 47 และ 52, พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 27, 47 ที่แก้ไขแล้ว กรณีที่จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำผิดโฆษณาหลอกลวง ขายทองคำที่ไม่ได้มาตรฐาน จนมีผู้เสียหายจำนวนมากหลงเชื่อซื้อทองคำจากพวกจำเลยไป มูลค่าความเสียหายสูง นัดฟังคำสั่งวันนี้ โจทก์ จำเลยที่ 2-3 ทนายจำเลยที่ 2-3 มาศาล
    .
    มีรายงานเบื้องต้นว่า ศาลอาญาอนุญาตให้ทั้งสองประกันตัว โดยวางหลักประกันเป็นเงินสดคนละ 2 ล้านบาท พร้อมกับให้ติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ หรือ กำไลอีเอ็ม (EM), ให้นำหนังสือเดินทางที่ยังไม่หมดอายุมาวางศาล โดยห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และห้ามให้สัมภาษณ์ ไขข่าว หรือเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับคดีต่อสื่อมวลชน กระทบการพิจารณาคดี
    .
    สำหรับ น.ส.กรกนก หรือแม่ตั๊ก และนายกานต์พล หรือป๋าเบียร์ ถูกตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) จับกุมเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2567 ที่บ้านพักในซอยรามอินทรา 65 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ หลังมีผู้เสียหายจากการซื้อทองคำออนไลน์ แล้วพบว่าคุณภาพทองคำต่ำกว่ามาตรฐาน เข้าแจ้งความที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อขอให้ดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ก่อนที่จะฝากขัง น.ส.กรกนกที่ทัณฑสถานหญิงกลาง และนายกานต์พลที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2567 ศาลอาญาไม่อนุญาตให้ประกันตัวทั้งสองมาแล้วครั้งหนึ่ง เนื่องจากพฤติการณ์แห่งคดีก่อความเสียหายแก่ผู้เสียหายหลายคน และในชั้นสอบสวนยังมีพยานบุคคลที่ต้องสอบสวนเพิ่มเติม ผู้ต้องหาอาจหลบหนีหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จึงยกคำร้อง รวมระยะเวลาที่ทั้งสองถูกจำคุกประมาณ 4 เดือน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010118
    .........
    Sondhi X
    ศาลอาญาให้ประกันตัว "แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์" สามีภรรยา จำเลยคดีหลอกขายทองคำไม่ได้คุณภาพผ่านออนไลน์ โดยวางเงินประกันคนละ 2 ล้านบาท ติดกำไล EM ห้ามไขข่าวกระทบพิจารณาคดี และห้ามออกนอกประเทศ . วันนี้ (31 ม.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งในคำร้องขอปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2-3 คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด โดยนายกานต์พล เรืองอร่าม หรือป๋าเบียร์ และ น.ส.กรกนก สุวรรณบุตร หรือเเม่ตั๊ก เป็น จำเลยที่ 1-3 ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันโฆษณาโดยใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค โดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณาหรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น . ร่วมกันขายสินค้าที่ควบคุมฉลากโดยไม่มีฉลากหรือมีฉลากแต่ฉลากหรือการแสดงฉลากนั้นไม่ถูกต้อง และร่วมกันประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343, 83, 91 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) พรบ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 22, 30, 47 และ 52, พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 27, 47 ที่แก้ไขแล้ว กรณีที่จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำผิดโฆษณาหลอกลวง ขายทองคำที่ไม่ได้มาตรฐาน จนมีผู้เสียหายจำนวนมากหลงเชื่อซื้อทองคำจากพวกจำเลยไป มูลค่าความเสียหายสูง นัดฟังคำสั่งวันนี้ โจทก์ จำเลยที่ 2-3 ทนายจำเลยที่ 2-3 มาศาล . มีรายงานเบื้องต้นว่า ศาลอาญาอนุญาตให้ทั้งสองประกันตัว โดยวางหลักประกันเป็นเงินสดคนละ 2 ล้านบาท พร้อมกับให้ติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ หรือ กำไลอีเอ็ม (EM), ให้นำหนังสือเดินทางที่ยังไม่หมดอายุมาวางศาล โดยห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และห้ามให้สัมภาษณ์ ไขข่าว หรือเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับคดีต่อสื่อมวลชน กระทบการพิจารณาคดี . สำหรับ น.ส.กรกนก หรือแม่ตั๊ก และนายกานต์พล หรือป๋าเบียร์ ถูกตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) จับกุมเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2567 ที่บ้านพักในซอยรามอินทรา 65 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ หลังมีผู้เสียหายจากการซื้อทองคำออนไลน์ แล้วพบว่าคุณภาพทองคำต่ำกว่ามาตรฐาน เข้าแจ้งความที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อขอให้ดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ก่อนที่จะฝากขัง น.ส.กรกนกที่ทัณฑสถานหญิงกลาง และนายกานต์พลที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2567 ศาลอาญาไม่อนุญาตให้ประกันตัวทั้งสองมาแล้วครั้งหนึ่ง เนื่องจากพฤติการณ์แห่งคดีก่อความเสียหายแก่ผู้เสียหายหลายคน และในชั้นสอบสวนยังมีพยานบุคคลที่ต้องสอบสวนเพิ่มเติม ผู้ต้องหาอาจหลบหนีหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จึงยกคำร้อง รวมระยะเวลาที่ทั้งสองถูกจำคุกประมาณ 4 เดือน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010118 ......... Sondhi X
    Like
    Love
    Sad
    Haha
    Yay
    27
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3212 มุมมอง 1 รีวิว
  • หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของอิตาลี (Garante) ได้ประกาศบล็อกแอปพลิเคชัน AI จากจีนชื่อ DeepSeek เนื่องจากขาดข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ DeepSeek ไม่สามารถเข้าถึงได้ในร้านค้าแอปของ Apple และ Google ในอิตาลี หลังจากที่ Garante ขอข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ แต่ข้อมูลที่ได้รับจากบริษัทจีนที่ให้บริการแชทบอทแก่ DeepSeek นั้นไม่เพียงพอ

    การตัดสินใจนี้มีผลทันทีและ Garante ได้เปิดการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ การบล็อกแอปพลิเคชันนี้เป็นการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานในอิตาลี

    เตะตัดขา Deepseek กันใหญ่เลยครับ ถ้ามันอันตรายจริง Google play หรือ Apple store คงไม่ยอมให้ขึ้น play store อยู่แล้ว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/31/italy039s-privacy-watchdog-blocks-chinese-ai-app-deepseek
    หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของอิตาลี (Garante) ได้ประกาศบล็อกแอปพลิเคชัน AI จากจีนชื่อ DeepSeek เนื่องจากขาดข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ DeepSeek ไม่สามารถเข้าถึงได้ในร้านค้าแอปของ Apple และ Google ในอิตาลี หลังจากที่ Garante ขอข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ แต่ข้อมูลที่ได้รับจากบริษัทจีนที่ให้บริการแชทบอทแก่ DeepSeek นั้นไม่เพียงพอ การตัดสินใจนี้มีผลทันทีและ Garante ได้เปิดการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ การบล็อกแอปพลิเคชันนี้เป็นการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานในอิตาลี เตะตัดขา Deepseek กันใหญ่เลยครับ ถ้ามันอันตรายจริง Google play หรือ Apple store คงไม่ยอมให้ขึ้น play store อยู่แล้ว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/31/italy039s-privacy-watchdog-blocks-chinese-ai-app-deepseek
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Italy's privacy watchdog blocks Chinese AI app DeepSeek
    MILAN (Reuters) - Italy's data protection authority said on Thursday it had blocked Chinese artificial intelligence model DeepSeek over a lack of information on its use of personal data.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 580 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศุลกากรฮ่องกงได้ยึดรถบรรทุกที่บรรทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ได้แจ้งหรือไม่ได้ตรวจสอบมูลค่าประมาณ 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (14 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง) โดยในจำนวนนี้มีชิปประมาณ 670,000 ชิ้น และส่วนประกอบฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ประมาณ 80,000 ชิ้น รวมถึง CPU, RAM และเมนบอร์ด

    การตรวจสอบพบว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ถูกซ่อนอยู่ในกล่องที่บรรจุสินค้าที่แจ้งถูกต้องภายในตู้คอนเทนเนอร์ของรถบรรทุกเมื่อวันพุธที่ผ่านมา คนขับรถบรรทุกวัย 47 ปีที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ถูกปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการสอบสวนเพิ่มเติม

    ฮ่องกงและมาเก๊าเป็นเขตปกครองพิเศษของจีนที่ไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับสินค้าผู้บริโภค ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้อยู่อาศัยและนักท่องเที่ยว แต่ผู้คนจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ต้องเผชิญกับภาษีมูลค่าเพิ่ม 13% อาจถูกล่อลวงให้นำสินค้าจากฮ่องกงกลับบ้านโดยไม่แจ้งต่อศุลกากร

    การลักลอบนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์นี้อาจทำให้ผู้กระทำผิดต้องเผชิญกับค่าปรับสูงถึง 2 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 257,000 ดอลลาร์สหรัฐ) และโทษจำคุกสูงสุดถึงเจ็ดปี

    การยึดสินค้าลักลอบนำเข้าครั้งนี้เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวดของศุลกากรฮ่องกงในการตรวจจับและป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/truck-with-usd1-8m-in-smuggled-electronics-seized-by-hong-kong-customs-670-000-undeclared-chips-670-000-chips-and-about-80-000-pc-hardware-components
    ศุลกากรฮ่องกงได้ยึดรถบรรทุกที่บรรทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ได้แจ้งหรือไม่ได้ตรวจสอบมูลค่าประมาณ 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (14 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง) โดยในจำนวนนี้มีชิปประมาณ 670,000 ชิ้น และส่วนประกอบฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ประมาณ 80,000 ชิ้น รวมถึง CPU, RAM และเมนบอร์ด การตรวจสอบพบว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ถูกซ่อนอยู่ในกล่องที่บรรจุสินค้าที่แจ้งถูกต้องภายในตู้คอนเทนเนอร์ของรถบรรทุกเมื่อวันพุธที่ผ่านมา คนขับรถบรรทุกวัย 47 ปีที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ถูกปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการสอบสวนเพิ่มเติม ฮ่องกงและมาเก๊าเป็นเขตปกครองพิเศษของจีนที่ไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับสินค้าผู้บริโภค ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้อยู่อาศัยและนักท่องเที่ยว แต่ผู้คนจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ต้องเผชิญกับภาษีมูลค่าเพิ่ม 13% อาจถูกล่อลวงให้นำสินค้าจากฮ่องกงกลับบ้านโดยไม่แจ้งต่อศุลกากร การลักลอบนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์นี้อาจทำให้ผู้กระทำผิดต้องเผชิญกับค่าปรับสูงถึง 2 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 257,000 ดอลลาร์สหรัฐ) และโทษจำคุกสูงสุดถึงเจ็ดปี การยึดสินค้าลักลอบนำเข้าครั้งนี้เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวดของศุลกากรฮ่องกงในการตรวจจับและป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ https://www.tomshardware.com/pc-components/truck-with-usd1-8m-in-smuggled-electronics-seized-by-hong-kong-customs-670-000-undeclared-chips-670-000-chips-and-about-80-000-pc-hardware-components
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 513 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘วัชรินทร์’ รอง อธ.อัยการสอบสวน เรียกสอบ "เจ๊อ้อย" พร้อมเลขาฯ คดีทนายตั้มฉ้อโกง-ฟอกเงิน เพิ่มเติม แย้มอาจมีคนโดนคดีเพิ่ม เร่งสรุปสำนวนส่ง อสส.สั่งคดี 15 ม.ค.นี้ เผยยังต้องสอบพยานเพิ่มอีก 15 ปาก

    วันนี้ (7 ม.ค.) ที่สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารถนนบรมราชชนนี คณะทำงานอัยการเเละพนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปราม ร่วมสอบสวนคดี นอกราชอาณาจักร ในคดีที่ นางจตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เจ้าของธุรกิจที่ประเทศฝรั่งเศส กล่าวหา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวก ผู้ต้องหา ในความผิดฐาน ฉ้อโกงฯร่วมกันฟอกเงิน และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง

    โดยมี นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน เป็นหัวหน้าคณะทำงานคดีนอกราชอาณาจักร

    โดยวันนี้ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เศรษฐินีพร้อมด้วย น.ส.ปัทมพร แสงฤทธิ์ หรือคุณน้อย เลขานุการส่วนตัวเดินทางมาตามนัดสอบสวนเพิ่มเติม

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000001772

    #MGROnline #เจ๊อ้อย #ทนายตั้ม #ฉ้อโกง #ฟอกเงิน
    ‘วัชรินทร์’ รอง อธ.อัยการสอบสวน เรียกสอบ "เจ๊อ้อย" พร้อมเลขาฯ คดีทนายตั้มฉ้อโกง-ฟอกเงิน เพิ่มเติม แย้มอาจมีคนโดนคดีเพิ่ม เร่งสรุปสำนวนส่ง อสส.สั่งคดี 15 ม.ค.นี้ เผยยังต้องสอบพยานเพิ่มอีก 15 ปาก • วันนี้ (7 ม.ค.) ที่สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารถนนบรมราชชนนี คณะทำงานอัยการเเละพนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปราม ร่วมสอบสวนคดี นอกราชอาณาจักร ในคดีที่ นางจตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เจ้าของธุรกิจที่ประเทศฝรั่งเศส กล่าวหา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวก ผู้ต้องหา ในความผิดฐาน ฉ้อโกงฯร่วมกันฟอกเงิน และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง • โดยมี นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน เป็นหัวหน้าคณะทำงานคดีนอกราชอาณาจักร • โดยวันนี้ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เศรษฐินีพร้อมด้วย น.ส.ปัทมพร แสงฤทธิ์ หรือคุณน้อย เลขานุการส่วนตัวเดินทางมาตามนัดสอบสวนเพิ่มเติม • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000001772 • #MGROnline #เจ๊อ้อย #ทนายตั้ม #ฉ้อโกง #ฟอกเงิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 971 มุมมอง 0 รีวิว
  • บช.ก.ร่วมอัยการประชุมคดี "ทนายตั้ม"โกง "พี่อ้อย" นัดแรก หารืออุดช่องโหว่ปิดทางไม่ให้ผู้ต้องหาดิ้นหลุด ตั้งกรอบเวลาสรุปสำนวนภายใน 6 ม.ค.นี้ ก่อนส่งอัยการสูงสุดสั่งฟ้องคดี

    วันนี้ (23 ธ.ค.) ที่ กองปราบปราม พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. พล.ต.ต. มนตรี เทศขัน ผบก.ป.พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวน ร่วมกับนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รอง อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน ประชุมคดี นาย ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ฉ้อโกง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ พี่อ้อย เพื่อร่วมกันทำสำนวนคดีเป็นนัดแรก เนื่องจากมีการส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาและเล็งเห็นว่าพฤติการณ์ของทนายตั้ม เข้าข่ายเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ทำให้ต้องมีคณะทำงานของอัยการร่วมสอบสวน

    นายวัชรินทร์ เปิดเผยว่า จากการตรวจดูสำนวน พิจารณาพยานหลักฐานที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้สอบสวนไปแล้วทั้งหมดพบว่ามีความละเอียดเรียบร้อยดี แต่ในความเห็นของอัยการก็ยังมีอีกหลายประเด็นที่จำเป็นต้องสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อให้สำนวนเกิดความสมบูรณ์ รัดกุม และไม่เป็นช่องโหว่ให้ผู้ต้องหานำมาเป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาลได้ ซึ่งเบื้องต้นจะต้องมีการเรียก คุณอ้อย และ คุณน้อย เลขาคนสนิท รวมถึงพยานบางส่วนมาสอบปากคำเพิ่มเติม

    นายวัชรินทร์ กล่าวต่อว่า กระบวนการทำสำนวนทั้งหมดจะต้องแล้วเสร็จประมาณวันที่ 6 มกราคม ซึ่งเป็นช่วงขึ้นฝากขังผัดที่ 6 ของผู้ต้องหา และสำนวนจะต้องถูกส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้สั่งคดีแต่เพียงผู้เดียว และสุดท้ายหากพบความผิดข้อหาอื่น ๆ ก็จะต้องมีการแจ้งข้อหากับทนายตั้มและผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติมในเรือนจำ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000122919

    #MGROnline #ทนายตั้ม #พี่อ้อย
    บช.ก.ร่วมอัยการประชุมคดี "ทนายตั้ม"โกง "พี่อ้อย" นัดแรก หารืออุดช่องโหว่ปิดทางไม่ให้ผู้ต้องหาดิ้นหลุด ตั้งกรอบเวลาสรุปสำนวนภายใน 6 ม.ค.นี้ ก่อนส่งอัยการสูงสุดสั่งฟ้องคดี • วันนี้ (23 ธ.ค.) ที่ กองปราบปราม พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. พล.ต.ต. มนตรี เทศขัน ผบก.ป.พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวน ร่วมกับนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รอง อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน ประชุมคดี นาย ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ฉ้อโกง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ พี่อ้อย เพื่อร่วมกันทำสำนวนคดีเป็นนัดแรก เนื่องจากมีการส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาและเล็งเห็นว่าพฤติการณ์ของทนายตั้ม เข้าข่ายเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ทำให้ต้องมีคณะทำงานของอัยการร่วมสอบสวน • นายวัชรินทร์ เปิดเผยว่า จากการตรวจดูสำนวน พิจารณาพยานหลักฐานที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้สอบสวนไปแล้วทั้งหมดพบว่ามีความละเอียดเรียบร้อยดี แต่ในความเห็นของอัยการก็ยังมีอีกหลายประเด็นที่จำเป็นต้องสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อให้สำนวนเกิดความสมบูรณ์ รัดกุม และไม่เป็นช่องโหว่ให้ผู้ต้องหานำมาเป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาลได้ ซึ่งเบื้องต้นจะต้องมีการเรียก คุณอ้อย และ คุณน้อย เลขาคนสนิท รวมถึงพยานบางส่วนมาสอบปากคำเพิ่มเติม • นายวัชรินทร์ กล่าวต่อว่า กระบวนการทำสำนวนทั้งหมดจะต้องแล้วเสร็จประมาณวันที่ 6 มกราคม ซึ่งเป็นช่วงขึ้นฝากขังผัดที่ 6 ของผู้ต้องหา และสำนวนจะต้องถูกส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้สั่งคดีแต่เพียงผู้เดียว และสุดท้ายหากพบความผิดข้อหาอื่น ๆ ก็จะต้องมีการแจ้งข้อหากับทนายตั้มและผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติมในเรือนจำ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000122919 • #MGROnline #ทนายตั้ม #พี่อ้อย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 808 มุมมอง 0 รีวิว
  • อัยการศาลเเขวงใต้เลื่อนฟังคำสั่ง ‘เชน ธนา’ครั้งที่ 4 ไป 19 ธ.ค.นี้ก่อนครบผัดฟ้อง รองโฆษกอัยการ เผยได้รับผลสอบเพิ่มเจ้าของสำนวนมีความเห็นคดีเเล้ว แต่ส่งอธิบดีอัยการศาลเเขวงพิจารณา

    วันนี้ (13 ธ.ค.) อัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 4 นัดฟังคำสั่งในคำร้องขอความเป็นธรรม นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ หรือ เชน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด อดีตนักร้องชื่อดัง อายุ 37 ปี ในคดีที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ได้ยื่นคำร้องพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องในคดีที่มีการกล่าวหาบริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัดโดย นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ ,นายธนาตรัยฉัตร หรือเชน ภูโชคอนันต์ อดีตนักร้องชื่อดัง อายุ 37 ปี น.ส.กาลกัลยา ภูโชคอนันต์ อายุ 34 ปี เป็นผู้ต้องหาที่ 1 - 3 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง บริษัท ไทยยินตันความเสียหายกว่า 79 ล้านบาท

    นายกุญช์ฐาน์ ทัดทูน รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า วันนี้พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 4 ได้เลื่อนฟังคำสั่งทางคดีออกไปอีกครั้งเป็นวันที่ 19 ธ.ค.นี้ เนื่องจากเดิมคดีนี้ผู้ต้องหาทั้ง3ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ซึ่งพนักงานอัยการได้พิจารณาประเด็นตามหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาแล้ว เห็นว่าเพื่อให้การพิจารณาสั่งคดีของพนักงานอัยการเป็นไปอย่างเที่ยงธรรม จึงได้สั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 143 ประกอบระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการ้องขอความเป็นธรรมในคดีอาญา พ.ศ. 2567 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งทางผลสอบเพิ่มได้ส่งกลับมายังสำนักงานอัยการศาลเเขวง 4 เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยขณะนี้ทางพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนได้ทำความเห็นทางคดีเสร็จสิ้นเเล้วและมีการเสนอหัวหน้าพนักงานอัยการเพื่อมีคำสั่งต่อไป เเต่เนื่องจากคดีนี้ผู้ต้องหาทั้งสามร้องขอความความเป็นธรรม ซึ่งจะต้องเสนอให้อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลเเขวง ตามระเบียบด้วย จึงอนุญาตเลื่อนนัดสั่งคดีเป็นวันที่ 19 ธ.ค.นี้ เวลา 10.00 น.

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000119724

    #MGROnline #เชนธนา #อัยการ #เลื่อนสั่งฟ้อง
    อัยการศาลเเขวงใต้เลื่อนฟังคำสั่ง ‘เชน ธนา’ครั้งที่ 4 ไป 19 ธ.ค.นี้ก่อนครบผัดฟ้อง รองโฆษกอัยการ เผยได้รับผลสอบเพิ่มเจ้าของสำนวนมีความเห็นคดีเเล้ว แต่ส่งอธิบดีอัยการศาลเเขวงพิจารณา • วันนี้ (13 ธ.ค.) อัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 4 นัดฟังคำสั่งในคำร้องขอความเป็นธรรม นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ หรือ เชน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด อดีตนักร้องชื่อดัง อายุ 37 ปี ในคดีที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ได้ยื่นคำร้องพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องในคดีที่มีการกล่าวหาบริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัดโดย นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ ,นายธนาตรัยฉัตร หรือเชน ภูโชคอนันต์ อดีตนักร้องชื่อดัง อายุ 37 ปี น.ส.กาลกัลยา ภูโชคอนันต์ อายุ 34 ปี เป็นผู้ต้องหาที่ 1 - 3 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง บริษัท ไทยยินตันความเสียหายกว่า 79 ล้านบาท • นายกุญช์ฐาน์ ทัดทูน รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า วันนี้พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 4 ได้เลื่อนฟังคำสั่งทางคดีออกไปอีกครั้งเป็นวันที่ 19 ธ.ค.นี้ เนื่องจากเดิมคดีนี้ผู้ต้องหาทั้ง3ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ซึ่งพนักงานอัยการได้พิจารณาประเด็นตามหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาแล้ว เห็นว่าเพื่อให้การพิจารณาสั่งคดีของพนักงานอัยการเป็นไปอย่างเที่ยงธรรม จึงได้สั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 143 ประกอบระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการ้องขอความเป็นธรรมในคดีอาญา พ.ศ. 2567 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งทางผลสอบเพิ่มได้ส่งกลับมายังสำนักงานอัยการศาลเเขวง 4 เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยขณะนี้ทางพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนได้ทำความเห็นทางคดีเสร็จสิ้นเเล้วและมีการเสนอหัวหน้าพนักงานอัยการเพื่อมีคำสั่งต่อไป เเต่เนื่องจากคดีนี้ผู้ต้องหาทั้งสามร้องขอความความเป็นธรรม ซึ่งจะต้องเสนอให้อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลเเขวง ตามระเบียบด้วย จึงอนุญาตเลื่อนนัดสั่งคดีเป็นวันที่ 19 ธ.ค.นี้ เวลา 10.00 น. • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000119724 • #MGROnline #เชนธนา #อัยการ #เลื่อนสั่งฟ้อง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 555 มุมมอง 0 รีวิว
  • อัยการศาลเเขวงใต้เลื่อนฟังคำสั่ง ‘เชน ธนา’ครั้งที่ 3 ไป 13 ธ.ค.นี้ ’กุญช์ฐาน์‘รองโฆษกอัยการ เผยยังสั่งสอบเพิ่มเติมไม่เเล้วเสร็จ

    วันนี้ (6 ธ.ค.) ที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 4 (พระนครใต้) พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 4 (พระนครใต้) นัดฟังคำสั่งในคำร้องขอความเป็นธรรม นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ หรือ เชน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด อดีตนักร้องชื่อดัง อายุ 37 ปี ในคดีที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ได้ยื่นคำร้องพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องในคดีที่มีการกล่าวหาบริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัดโดย นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ ,นายธนาตรัยฉัตร หรือเชน ภูโชคอนันต์ อดีตนักร้องชื่อดัง อายุ 37 ปี น.ส.กาลกัลยา ภูโชคอนันต์ อายุ 34 ปี เป็นผู้ต้องหาที่ 1 - 3 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง บริษัท ไทยยินตันความเสียหายกว่า 79 ล้านบาท

    โดยครั้งนี้ถือเป็นนัดครั้งที่ 3 หลังจากครั้งเเรกมีการนัดฟังคำสั่งฟ้องเเต่นายธนาตรัยฉัตร ได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมเข้ามา โดยเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมาทางพนักงานอัยการได้อนุญาตให้เลื่อนฟังคำสั่งเนื่องจากมีการสั่งสอบสวนเพิ่มเติมตามคำร้องขอความเป็นธรรม

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000117440

    #MGROnline #อมาโด้ #เชนธนา
    อัยการศาลเเขวงใต้เลื่อนฟังคำสั่ง ‘เชน ธนา’ครั้งที่ 3 ไป 13 ธ.ค.นี้ ’กุญช์ฐาน์‘รองโฆษกอัยการ เผยยังสั่งสอบเพิ่มเติมไม่เเล้วเสร็จ • วันนี้ (6 ธ.ค.) ที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 4 (พระนครใต้) พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 4 (พระนครใต้) นัดฟังคำสั่งในคำร้องขอความเป็นธรรม นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ หรือ เชน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด อดีตนักร้องชื่อดัง อายุ 37 ปี ในคดีที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ได้ยื่นคำร้องพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องในคดีที่มีการกล่าวหาบริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัดโดย นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ ,นายธนาตรัยฉัตร หรือเชน ภูโชคอนันต์ อดีตนักร้องชื่อดัง อายุ 37 ปี น.ส.กาลกัลยา ภูโชคอนันต์ อายุ 34 ปี เป็นผู้ต้องหาที่ 1 - 3 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง บริษัท ไทยยินตันความเสียหายกว่า 79 ล้านบาท • โดยครั้งนี้ถือเป็นนัดครั้งที่ 3 หลังจากครั้งเเรกมีการนัดฟังคำสั่งฟ้องเเต่นายธนาตรัยฉัตร ได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมเข้ามา โดยเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมาทางพนักงานอัยการได้อนุญาตให้เลื่อนฟังคำสั่งเนื่องจากมีการสั่งสอบสวนเพิ่มเติมตามคำร้องขอความเป็นธรรม • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000117440 • #MGROnline #อมาโด้ #เชนธนา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 446 มุมมอง 0 รีวิว


  • 7 พฤศจิกายน 2567- รายงานสำนักข่าวอิศราระบุว่า คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ (6 พ.ย. 2567) คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ดำเนินการเข้าตรวจตู้นิรภัยจำนวน 21 ตู้ของธนาคารพาณิชย์ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มนายทุนที่เชื่อมโยงกับธุรกิจพนันออนไลน์ในเครือข่าย “แม่มนต์” คดีพิเศษที่ 76/2566 และ 89/2567 โดยมีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหา จำนวน 38 ราย ในข้อหาที่รวมถึงการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ การจัดให้มีการพนันที่ไม่ได้รับอนุญาต และการฟอกเงิน อ้างอิงตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมตามหมายจับแล้วรวม 20 ราย ภายหลังจากการขยายผล พบว่ามีการกระทำความผิดเพิ่มเติม โดยกลุ่มบุคคลทำหน้าที่โยกย้ายเงินที่ได้จากเว็บพนันไปยังบัญชีธนาคารอื่น ซึ่งเกี่ยวข้องกับนายทุนใหญ่ 5 ราย โดยการกระทำดังกล่าวมีลักษณะการฟอกเงินและละเมิดพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้อนุมัติให้ทำการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมเป็นคดีพิเศษที่ 89/2567

    จากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มนายทุนได้เช่าตู้นิรภัยไว้ที่ธนาคารในพื้นที่จังหวัดลพบุรี ทางคณะพนักงานสอบสวนจึงขออนุมัติศาลจังหวัดลพบุรีเพื่อทำการเปิดตู้นิรภัยทั้ง 21 ตู้ พบทรัพย์สิน มูลค่าประเมินกว่า 200 ล้านบาท อาทิ ทรัพย์สินที่มีลักษณะสีคล้ายทองคำ เช่น สร้อยคอ กำไล ต่างหู แหวน สร้อยข้อมือ กำไลคอ เข็มขัด โลหะแท่ง ปิ่นโต แก้ว ชาม จาน ช้อนส้อม กระเป๋าถือ สร้อยคล้ายเพชร โฉนดที่ดิน เงินสดกว่า 15 ล้านบาท และพระเครื่อง รวมทั้งสิ้นประมาณ 300 ล้านบาท

    ที่มา : สำนักข่าวอิศรา
    https://www.isranews.org/article/isranews/133189-government-10.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0iJiORYEJns_S4fqAey0WQrVPeUAKT6HXQDwBcfhOTlmnBEIltKzAKMs8_aem_6sVgMMuvJg2RKvO0rDqBcA

    #Thaitimes
    7 พฤศจิกายน 2567- รายงานสำนักข่าวอิศราระบุว่า คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ (6 พ.ย. 2567) คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ดำเนินการเข้าตรวจตู้นิรภัยจำนวน 21 ตู้ของธนาคารพาณิชย์ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มนายทุนที่เชื่อมโยงกับธุรกิจพนันออนไลน์ในเครือข่าย “แม่มนต์” คดีพิเศษที่ 76/2566 และ 89/2567 โดยมีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหา จำนวน 38 ราย ในข้อหาที่รวมถึงการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ การจัดให้มีการพนันที่ไม่ได้รับอนุญาต และการฟอกเงิน อ้างอิงตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมตามหมายจับแล้วรวม 20 ราย ภายหลังจากการขยายผล พบว่ามีการกระทำความผิดเพิ่มเติม โดยกลุ่มบุคคลทำหน้าที่โยกย้ายเงินที่ได้จากเว็บพนันไปยังบัญชีธนาคารอื่น ซึ่งเกี่ยวข้องกับนายทุนใหญ่ 5 ราย โดยการกระทำดังกล่าวมีลักษณะการฟอกเงินและละเมิดพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้อนุมัติให้ทำการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมเป็นคดีพิเศษที่ 89/2567 จากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มนายทุนได้เช่าตู้นิรภัยไว้ที่ธนาคารในพื้นที่จังหวัดลพบุรี ทางคณะพนักงานสอบสวนจึงขออนุมัติศาลจังหวัดลพบุรีเพื่อทำการเปิดตู้นิรภัยทั้ง 21 ตู้ พบทรัพย์สิน มูลค่าประเมินกว่า 200 ล้านบาท อาทิ ทรัพย์สินที่มีลักษณะสีคล้ายทองคำ เช่น สร้อยคอ กำไล ต่างหู แหวน สร้อยข้อมือ กำไลคอ เข็มขัด โลหะแท่ง ปิ่นโต แก้ว ชาม จาน ช้อนส้อม กระเป๋าถือ สร้อยคล้ายเพชร โฉนดที่ดิน เงินสดกว่า 15 ล้านบาท และพระเครื่อง รวมทั้งสิ้นประมาณ 300 ล้านบาท ที่มา : สำนักข่าวอิศรา https://www.isranews.org/article/isranews/133189-government-10.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0iJiORYEJns_S4fqAey0WQrVPeUAKT6HXQDwBcfhOTlmnBEIltKzAKMs8_aem_6sVgMMuvJg2RKvO0rDqBcA #Thaitimes
    WWW.ISRANEWS.ORG
    ‘ดีเอสไอ’ ค้นตู้นิรภัย 21 ตู้ ขยายผลพนันอนนไลน์ ‘แม่มนต์’ พบทรัพย์สินกว่า 300 ล้าน
    ‘ดีเอสไอ’ ขยายผลเครือข่ายพนันออนไลน์ ‘แม่มนต์’ เปิดตู้นิรภัย 21 ตู้ที่ฝากไว้กับธนาคาร พบทรัพย์สินมูลค่ารวม 300 ล้านบาท
    Like
    Wow
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1594 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดคำฟ้อง "พล.ต.อ.สมยศ" กับพวก 8 คนปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ใช้อำนาจกดดันลูกน้องเปลี่ยนความเร็ว ส่วน "เนตร นาคสุข" ใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจสั่งไม่ฟ้อง ศาลนัดสอบคำให้การจำเลย 10 กันยายนนี้

    29 สิงหาคม 2567 - เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบ อัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดี ปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ยืนฟ้องพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง กับพวกรวม 8 คน เป็นจำเลยในคดีอาญา หมายเลขดำที่ อท 131 /2567 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 , 157 , 200 , 83 , 86 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123 /1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2563 มาตรา 172,192
    พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่า คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่3 ก.ย.2555 เวลาประมาณ 05.20 น. เกิดเหตุนายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหา ขับขี่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อเฟอรารี่ ไปตามถนนสุขุมวิทฝั่งขาออก มุ่งหน้าไปทางพระโขนง เมื่อถึงบริเวณระหว่างปากซอยสุขุมวิท 47 และปากซอยสุขุมวิท 49 ได้ชนท้ายรถจักรยานยนต์ตราโล่ซึ่งมีด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐเป็นผู้ขับขี่ เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์คันที่ ด.ต.วิเชียร ขับขี่ส้มลงครูดไถลไปตามพื้นถนน หยุดอยู่ที่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 49 ห่างจากจุดชนประมาณ 164.45 เมตร เป็นเหตุให้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ ได้รับความเสียหาย ด.ต.วิเชียร ถึงแก่ความตาย
    ต่อมาพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานในคดีจราจรโดยมีพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนรวบรวมได้เองและรวบรวมพยานเอกสารประกอบสำนวนการสอบสวน โดยมีรายงานกองพิสูจน์หลักฐาน กลุ่มงานตรวจทางเคมีฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ตรวจสอบรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่จากภาพของกล้องวงจรปิด และจากการวัดระยะจริง ในสถานที่เดียวกับที่ปรากฏในภาพ คำนวณอัตราเร็วเฉลี่ยในช่วงที่รถยนต์ในภาพเคลื่อนที่เข้ามาทางของภาพด้านขวาจนถึงจุดที่เคลื่อนที่ออกจากภาพทางด้านซ้ายเมื่อคำนวณอัตราเร็วอัตราเร็วโดยเฉลี่ย มีค่าเท่ากับ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    โดยการคำนวณดังกล่าวอาจจะมีความคลาดเคลื่อนมากขึ้นหรือน้อยลงประมาณ 17 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และได้สรุปหลักฐานทางคดีและความเห็นของพนักงานสอบสวนส่งไปยังพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้
    โดยมีความเห็นควรสั่งฟ้อง นายวรยุทธ ฐานขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สิน ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือและแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ เห็นควรสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ฐานขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เห็นควรสั่งไม่ฟ้อง ด.ต.วิเชียร ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถผู้อื่นเสียหาย เนื่องจากถึงแก่ความตาย

    ต่อมาเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2556 อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ พิจารณาแล้ว มีคำสั่งฟ้องนายวรยุทธ ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถของผู้อื่นเสียหาย และ มีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรฯ และมีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ในข้อหาขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ยุติการดำเนินคดีกับ ด.ต.วิเชียร ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ขนรถของผู้อื่นเสียหาย ต่อมาผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้พิจารณาแล้วไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธฐานขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่น ถึงแก่ความตาย คำสั่งไม่ฟ้องจึงเด็ดขาดเป็นที่ยุติ

    ในระหว่างนั้นความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้รถของผู้อื่นเสียหาย ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินผู้อื่น ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรฯ ได้ล่วงเลยพ้นกำหนดระยะเวลาอายุความตามกฎหมาย คงเหลือความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

    ต่อมาจำเลยที่ 8 ในฐานะพนักงานอัยการผู้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาสั่งคดี ที่มีการร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดได้พิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมของนายวรยุทธและมีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา291 และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติโดยผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ได้รับมอบหมาย ไม่แย้งคำสั่งพนักงานอัยการ คำสั่งไม่ฟ้อง จึงเป็น อันเด็ดขาด
    ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและเป็นคณะกรรมาธิการการกฎหมายกระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จำเลยที่ 2 ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจำเลยที่ 3 ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ กองบังคับการตำรวจนครบาล4 กองบัญชาการตำรวจนครบาลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยที่4-7 ในขณะเกิดเหตุมิได้มีสถานะหรือได้กระทำการในสถานะเป็นเจ้าพนักงาน แต่เป็นบุคคลผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานตามกฎหมาย หรือเจ้าพนักงานของรัฐในการกระทำผิด จำเลยที่ 8 ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอัยการศาลสูง รักษาการในตำแหน่งรองอัยการสูงสุด ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด

    เมื่อระหว่างวันที่ 29 ก.พ. 2559 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 13 มิ.ย.2563 เวลากลางวัน จำเลยทั้งแปดได้กระทำความผิดจำเลยที่1-3 ได้อาศัยโอกาสที่ตนเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบร่วมกับจำเลยที่ 4-7 สมคบกันกระทำผิดด้วยการวางแผนร่วมกันเปลี่ยนแปลงความเร็วของรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่ในวันเกิดเหตุเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์คันที่ ด.ต.วิเชียร ขับขี่จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและ ด.ต.วิเชียรถึงแก่ความตาย จากความเร็วของรถยนต์ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ของกลุ่มงานตรวจทางเคมีฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ลงวันที่ 26 ก.ย. 2555 ซึ่งมี พ.ต.อ. ธ เป็นผู้จัดทำรายงานไว้ว่ารถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่มีความเร็วโดยเฉลี่ย 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีความคลาดเคลื่อนมากขึ้นหรือ น้อยลงประมาณ 17 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้เป็นความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามที่ได้วางแผนกัน
    โดยให้จำเลยที่5 ดำเนินการยื่นคำร้องขอความเป็นธรรม ครั้งที่ 9 ต่อพนักงานอัยการในคดีที่นายวรยุทธเป็นผู้ต้องหา ขอให้สอบพยาน พ.ต.อ. ธ. ในประเด็นเกี่ยวกับการคำนวณความเร็วของรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่ เมื่อพนักงานอัยการมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ. ตามที่ร้องขอ จำเลยที่5 และจำเลยที่6 ได้ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับจำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย ให้ดำเนินการคิดวิธีคำนวณความเร็วของรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่ให้มีความเร็ว ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจำเลยที่ 7 ได้คิดค้นหาวิธีคำนวณโดยใช้วิธีนำความยาวของรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่แล่นผ่านจุดใดจุดหนึ่งตามภาพที่ได้จากคลิปไฟล์ภาพที่ไม่ใช่ไฟล์ภาพต้นฉบับมาใช้คำนวณจนทำให้คำนวณความเร็วรถยนต์ได้ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อันเป็นการคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอย่างมาก

    จากนั้นจำเลยที่ 3 อาศัยโอกาสที่ตนเป็นพนักงานสอบสวนมีหน้าที่สอบสวนเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ. ตามคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมของพนักงานอัยการ โดยนัดแนะและให้จำเลยที่ 1 ,2,4,5,7 เข้าร่วมการสอบปากคำดังกล่าวด้วย จากนั้นในขณะการสอบปากคำเพิ่มเติมจำเลยที่ 3 ได้ปล่อยให้จำเลยที่ 7 ได้แสดงวิธีคิดคำนวณความเร็วรถยนต์ตามที่ได้นัดแนะกับจำเลยที่5-6 ให้ พ.ต.อ. ธ.ดูเพื่อโน้มน้าว พ.ต.อ. ธ. ให้เชื่อคล้อยตามวิธีคิดคำนวณของจำเลยที่ 7 ที่ตระเตรียมมา โดยจำเลยที่ 1 ซึ่งร่วมกับจำเลยที่ 2 ในฐานะ ผู้บังคับบัญชาของ พ.ต.อ. ธ. อาศัยโอกาสที่มีอำนาจหน้าที่ร่วมกับจำเลยที่ 4-5 ทำการใช้อิทธิพลบังคับกดดันและโน้มน้าว พ.ต.อ. ธ. ให้ยึดถือวิธีการคิดคำนวณตามที่จำเลยที่นำเสนอ
    โดยจำเลยที่ 1 ได้ทำการพูดในขณะร่วมสนทนาและสอบปากคำว่า "สิ่งหนึ่งที่ผมพูดกับคุยน้อง มันไว้ ก็คือน้องเนี่ยคำนวณจากระยะ แล้วก็ออกมาเป็นความเร็ว ความเร็วที่คิดมันคิดจากทฤษฎีที่เป็นทฤษฎีที่คิดในห้องทดลอง ห้องทดลองก็จะอากาศเบาบาง คือมันพยายามให้คิดความเร็วเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เพื่อการทำมาร์เก็ตติ้งความเร็วเท่าไหร่ เร่งเท่าไหร่ แต่ว่าในความเป็นจริง ในทัศนวิสัยเช่นว่ายามเช้าอากาศหนักอะไรอย่างเนี่ย ความเร็วไม่เป็นไปตามทฤษฎี นี่คือสิ่งที่ผมคิดนะ อย่างที่สองคือระยะทางที่ใช้คำนวณหน้ากล้องหลังกล้อง ความเร็วอาจจะเปลี่ยน อาจจะเร็วขึ้นก็ได้ อาจจะลดลงก็ได้ลดลงเพราะว่าทัศนวิสัยการจราจรอะไรก็แล้วแต่ที่มันอยู่ข้างหน้า ซึ่งในกล้องมันไม่ปรากฏ นี่ผมคิดในมุมมองผมแบบนี้" กับให้ พล.ต.ท. ม. ซึ่งดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจพิสูจน์หลักฐาน ในฐานะผู้บังคับบัญชาของ พ.ต.อ. ธ. พูดกับ พ.ต.อ. ธ. ว่า "ทางพี่ อ.(ซึ่งหมายถึงชื่อเล่นของจำเลยที่ 1 ) เค้าอยากให้จบในชั้นอัยการเค้าจะได้จบเลยจะได้ไม่ต้องสืบ"

    ส่วนจำเลยที่2 ในฐานะผู้บริหารมีหน้าที่ต้องตรวจสอบถึงความบกพร่องของรายงานตรวจพิสูจน์หากเกิดความผิดพลาดขึ้นจริงรวมถึงตรวจสอบการคิดคำนวณตามวิธีของจำเลยที่ 7 ซึ่งใช้ไฟล์ที่มิใช่ต้นฉบับ อันเป็นข้อสงสัยถึงวิธีการคิดคำนวณว่ามิได้อยู่บนรากฐานของความถูกต้อง แต่จำเลยที่ 2 กลับไม่ดำเนินการตรวจสอบและได้พูดว่า "เราคำนวณตามอาจารย์ (ซึ่งหมายถึงจำเลยที่7 ) ได้มั้ย อาจารย์คิดได้ 79.22 เราไปลองดูซิว่าคิดตามแบบเค้าได้ไหม" สอดคล้องกับจำเลยที่ 4 ที่พูดว่า "อยากขอให้เป็น 79.22 ตามที่ อาจารย์ ส. คำนวณ"
    ซึ่งพฤติการณ์ทั้งมวลนี้แสดงถึงเจตนาประสงค์จะหักล้างหลักฐานตามที่ พ.ต.อ. ธ. ได้จัดทำรายงานเกี่ยวกับความเร็วรถยนต์ไว้ โดยใช้อิทธิพลบังคับกดดันให้ พ.ต.อ. ธ. เชื่อและยอมที่จะให้การเปลี่ยนแปลงความเร็วรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่ เป็นเหตุให้ พ.ต.อ. ธ. ต้องจำยอมและให้การต่อจำเลยที่ 3 เปลี่ยนแปลงวิธีคิดคำนวณความเร็วรถยนต์จากเดิมที่คิดคำนวณไว้ความเร็วที่ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความคลาดเคลื่อนมากขึ้นหรือน้อยลง 17 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมาเป็นให้การว่าการคำนวณดังกล่าวนั้นคลาดเคลื่อนและทำการคำนวณความเร็วใหม่ได้ความเร็วรถยนต์ 79.22 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังที่จำเลยที่ 7 นำเสนอ จากนั้นจำเลยที่ 3 โดยคำแนะนำของจำเลยที่ 4 ได้จัดทำคำให้การพร้อมกับทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขวันที่ให้การโดยคำให้การฉบับแรกจากวันที่ 29 ก.พ.2559 เป็นวันที่ 26 ก.พ.2559 และคำให้การฉบับที่สองจากวันที่ 6 มี.ค. 59 มาเป็น 1 มี.ค.59 ให้ พ.ต.อ. ธ. ลงลายมือชื่อ เป็นหลักฐานเพื่อนำส่งให้แก่พนักงานอัยการพิจารณาต่อไป
    ต่อมาจำเลยที่ 1 ในฐานะกรรมาธิการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีหน้าที่พิจารณารายงานผลการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียนนายวรยุทธขอความเป็นธรรม กรณีการใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการ ต่อคณะกรรมาธิการๆ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา จำเลยที่1 ควรใช้อำนาจรวบรวมข้อเท็จจริง พิจารณาสอบสวนหรือศึกษาเรื่องร้องเรียนโดยไม่มีการชี้ขาดหรือเลือกปฏิบัติ แต่จำเลยที่1 กลับอ้าง ข้อมูลในเหตุการณ์สอบปากคำเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ. มิชอบดังกล่าวที่ตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วยเพื่อสนับสนุนการร้องขอความเป็นธรรมให้กับนายวรยุทธ
    การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1-7 จึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดโดยมีเจตนามุ่งเพื่อจะช่วยเหลือนายวรยุทธ ผู้ต้องหาซึ่งถูกกล่าวหากระทำผิดฐาน ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง อันเป็นการ มิชอบต่อกฎหมาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ. ธ. ญาติของ ด.ต.วิเชียร ผู้ตายและบุคคลหรือประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำเลยที่ 8

    ต่อมาจำเลยที่ 1 ในฐานะกรรมาธิการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีหน้าที่พิจารณารายงานผลการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียนนายวรยุทธขอความเป็นธรรม กรณีการใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการ ต่อคณะกรรมาธิการๆ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา จำเลยที่1 ควรใช้อำนาจรวบรวมข้อเท็จจริง พิจารณาสอบสวนหรือศึกษาเรื่องร้องเรียนโดยไม่มีการชี้ขาดหรือเลือกปฏิบัติ แต่จำเลยที่1 กลับอ้าง ข้อมูลในเหตุการณ์สอบปากคำเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ. มิชอบดังกล่าวที่ตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วยเพื่อสนับสนุนการร้องขอความเป็นธรรมให้กับนายวรยุทธ การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1-7 จึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดโดยมีเจตนามุ่งเพื่อจะช่วยเหลือนายวรยุทธ ผู้ต้องหา ซึ่งถูกกล่าวหากระทำผิดฐาน ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง อันเป็นการ มิชอบต่อกฎหมาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ. ธ. ญาติของ ด.ต.วิเชียร ผู้ตายและบุคคลหรือประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
    จำเลยที่ 8 ขณะนั้นเป็นพนักงานอัยการ รักษาการตำแหน่งรองอัยการสูงสุดได้อาศัยโอกาสที่ตนได้รับมอบหมายและมอบอำนาจ ให้ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุดในงานด้านคดีร้องขอความเป็นธรรม ตามคำสั่งอัยการสูงสุดที่1515/2562 ลงวันที่ 1 ต.ค.62 มีอำนาจพิจารณาสำนวนคดีอาญาที่มีการร้องขอความเป็นธรรม ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรม ที่ยื่นต่อพนักงานอัยการเป็นครั้งที่ 14 ในคดีที่นายวรยุทธ ผู้ต้องหา ในข้อหาความผิดขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้มีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม พลอากาศโท จ. และนาย จ. เมื่อได้รับผลการสอบสวนเพิ่มเติมจำเลยที่ 8 ได้ใช้อำนาจวินิจฉัยสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ผู้ต้องหาคดีดังกล่าว

    ทั้งที่ผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุ รายงานการตรวจสภาพรถคันเกิดเหตุรายงานการเก็บวัตถุพยาน ภาพถ่ายประกอบรายงานการตรวจพิสูจน์ ภาพถ่ายรถยนต์คันเกิดเหตุ และภาพถ่ายรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุ พยานใกล้ชิดเหตุการณ์ปากนาย จ. ซึ่งความเห็นอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้และอดีตอัยการสูงสุด หรืออดีตรองอัยการสูงสุดได้วินิจฉัยพยานไว้ก่อนโดยละเอียดแล้ว ว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุซึ่งปรากฏผลการพิสูจน์ความเร็วของนายวรยุทธขับขี่ ความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมีเหตุอันสมควรเพียงพอที่จะนำนายวรยุทธ ผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา แต่จำเลยที่ 8 กลับพิจารณาอาศัยพยานปาก พลอากาศโท จ. ซึ่งให้การหลังเกิดเหตุนานกว่า 2 ปี เศษ และพยานผู้เชี่ยวชาญอื่น อันเป็นการเลือกหยิบยกพยานหลักฐานดังกล่าวมาพิจารณา

    ทั้งที่อดีตอัยการสูงสุดและอดีตรองอัยการสูงสุดได้วินิจฉัยไว้ก่อนแล้วว่าไม่ควรนำมารับฟังเนื่องจากไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ โดยจำเลยที่ 8 มิได้ให้เหตุผลหักล้างหรือแสดงผลเป็นอย่างอื่น และไม่รับฟังพยานหลักฐานอื่นในสำนวนที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ อันเป็นการวินิจฉัย มูลความผิด โดยใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจด่วนวินิจฉัยคดีเสียเอง ไม่ได้ใช้เกณฑ์วินิจฉัยมูลความผิดอย่าง ที่พนักงานอัยการพึงใช้ อันผิดปกติวิสัยของพนักงานอัยการโดยทั่วไป เป็นการกระทำการมิชอบ โดยมีเจตนา เพื่อจะช่วยนายวรยุทธผู้ต้องหามิให้ต้องโทษหรือรับโทษน้อยลงอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานอัยการสูงสุด ญาติของ ด.ต.วิเชียร ผู้ตาย และผู้อื่นหรือประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
    เหตุตามฟ้องเกิดที่ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ถนนอังรีดูนังต์ แขวงวังใหม่เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร, อาคารรัฐสภา (หลังเก่า) ถนนอู่ทองใน แขวงดุสิต เขตดุสิตกรุงเทพมหานคร, สำนักงานอัยการสูงสุด (อาคารถนนแจ้งวัฒนะ) ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
    ชั้นไต่สวน จำเลยทั้งแปดให้การปฏิเสธ ข้อกล่าวหา
    คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่าการกระทำของจำเลยทั้งแปด มีมูลความผิด ทางอาญาตามข้อกล่าวหาและได้ส่งรายงาน เอกสาร พร้อมความเห็นมายังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการ ฟ้องคดี โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งแปดเป็นคดีนี้
    ในการฟ้องคดีนี้ อัยการสูงสุด มีคำสั่งมอบหมายให้ พนักงานอัยการสำนักงานอัยการคดีปราบปรามการทุจริต เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินคดีจนคดีถึงที่สุด

    ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางรับคดีไว้พิจารณา เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 131/2567 ให้จำเลยทั้งแปดแต่งทนายความ และให้นัดสอบคำให้การจำเลย ในวันที่ 10 ก.ย.2567 เวลา09.30น.
    ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งแปดและมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งแปดออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล

    #Thaitimes
    เปิดคำฟ้อง "พล.ต.อ.สมยศ" กับพวก 8 คนปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ใช้อำนาจกดดันลูกน้องเปลี่ยนความเร็ว ส่วน "เนตร นาคสุข" ใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจสั่งไม่ฟ้อง ศาลนัดสอบคำให้การจำเลย 10 กันยายนนี้ 29 สิงหาคม 2567 - เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบ อัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดี ปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ยืนฟ้องพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง กับพวกรวม 8 คน เป็นจำเลยในคดีอาญา หมายเลขดำที่ อท 131 /2567 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 , 157 , 200 , 83 , 86 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123 /1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2563 มาตรา 172,192 พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่า คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่3 ก.ย.2555 เวลาประมาณ 05.20 น. เกิดเหตุนายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหา ขับขี่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อเฟอรารี่ ไปตามถนนสุขุมวิทฝั่งขาออก มุ่งหน้าไปทางพระโขนง เมื่อถึงบริเวณระหว่างปากซอยสุขุมวิท 47 และปากซอยสุขุมวิท 49 ได้ชนท้ายรถจักรยานยนต์ตราโล่ซึ่งมีด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐเป็นผู้ขับขี่ เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์คันที่ ด.ต.วิเชียร ขับขี่ส้มลงครูดไถลไปตามพื้นถนน หยุดอยู่ที่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 49 ห่างจากจุดชนประมาณ 164.45 เมตร เป็นเหตุให้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ ได้รับความเสียหาย ด.ต.วิเชียร ถึงแก่ความตาย ต่อมาพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานในคดีจราจรโดยมีพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนรวบรวมได้เองและรวบรวมพยานเอกสารประกอบสำนวนการสอบสวน โดยมีรายงานกองพิสูจน์หลักฐาน กลุ่มงานตรวจทางเคมีฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ตรวจสอบรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่จากภาพของกล้องวงจรปิด และจากการวัดระยะจริง ในสถานที่เดียวกับที่ปรากฏในภาพ คำนวณอัตราเร็วเฉลี่ยในช่วงที่รถยนต์ในภาพเคลื่อนที่เข้ามาทางของภาพด้านขวาจนถึงจุดที่เคลื่อนที่ออกจากภาพทางด้านซ้ายเมื่อคำนวณอัตราเร็วอัตราเร็วโดยเฉลี่ย มีค่าเท่ากับ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยการคำนวณดังกล่าวอาจจะมีความคลาดเคลื่อนมากขึ้นหรือน้อยลงประมาณ 17 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และได้สรุปหลักฐานทางคดีและความเห็นของพนักงานสอบสวนส่งไปยังพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ โดยมีความเห็นควรสั่งฟ้อง นายวรยุทธ ฐานขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สิน ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือและแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ เห็นควรสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ฐานขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เห็นควรสั่งไม่ฟ้อง ด.ต.วิเชียร ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถผู้อื่นเสียหาย เนื่องจากถึงแก่ความตาย ต่อมาเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2556 อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ พิจารณาแล้ว มีคำสั่งฟ้องนายวรยุทธ ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถของผู้อื่นเสียหาย และ มีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรฯ และมีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ในข้อหาขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ยุติการดำเนินคดีกับ ด.ต.วิเชียร ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ขนรถของผู้อื่นเสียหาย ต่อมาผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้พิจารณาแล้วไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธฐานขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่น ถึงแก่ความตาย คำสั่งไม่ฟ้องจึงเด็ดขาดเป็นที่ยุติ ในระหว่างนั้นความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้รถของผู้อื่นเสียหาย ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินผู้อื่น ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรฯ ได้ล่วงเลยพ้นกำหนดระยะเวลาอายุความตามกฎหมาย คงเหลือความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต่อมาจำเลยที่ 8 ในฐานะพนักงานอัยการผู้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาสั่งคดี ที่มีการร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดได้พิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมของนายวรยุทธและมีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา291 และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติโดยผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ได้รับมอบหมาย ไม่แย้งคำสั่งพนักงานอัยการ คำสั่งไม่ฟ้อง จึงเป็น อันเด็ดขาด ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและเป็นคณะกรรมาธิการการกฎหมายกระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จำเลยที่ 2 ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจำเลยที่ 3 ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ กองบังคับการตำรวจนครบาล4 กองบัญชาการตำรวจนครบาลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยที่4-7 ในขณะเกิดเหตุมิได้มีสถานะหรือได้กระทำการในสถานะเป็นเจ้าพนักงาน แต่เป็นบุคคลผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานตามกฎหมาย หรือเจ้าพนักงานของรัฐในการกระทำผิด จำเลยที่ 8 ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอัยการศาลสูง รักษาการในตำแหน่งรองอัยการสูงสุด ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด เมื่อระหว่างวันที่ 29 ก.พ. 2559 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 13 มิ.ย.2563 เวลากลางวัน จำเลยทั้งแปดได้กระทำความผิดจำเลยที่1-3 ได้อาศัยโอกาสที่ตนเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบร่วมกับจำเลยที่ 4-7 สมคบกันกระทำผิดด้วยการวางแผนร่วมกันเปลี่ยนแปลงความเร็วของรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่ในวันเกิดเหตุเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์คันที่ ด.ต.วิเชียร ขับขี่จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและ ด.ต.วิเชียรถึงแก่ความตาย จากความเร็วของรถยนต์ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ของกลุ่มงานตรวจทางเคมีฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ลงวันที่ 26 ก.ย. 2555 ซึ่งมี พ.ต.อ. ธ เป็นผู้จัดทำรายงานไว้ว่ารถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่มีความเร็วโดยเฉลี่ย 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีความคลาดเคลื่อนมากขึ้นหรือ น้อยลงประมาณ 17 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้เป็นความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามที่ได้วางแผนกัน โดยให้จำเลยที่5 ดำเนินการยื่นคำร้องขอความเป็นธรรม ครั้งที่ 9 ต่อพนักงานอัยการในคดีที่นายวรยุทธเป็นผู้ต้องหา ขอให้สอบพยาน พ.ต.อ. ธ. ในประเด็นเกี่ยวกับการคำนวณความเร็วของรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่ เมื่อพนักงานอัยการมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ. ตามที่ร้องขอ จำเลยที่5 และจำเลยที่6 ได้ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับจำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย ให้ดำเนินการคิดวิธีคำนวณความเร็วของรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่ให้มีความเร็ว ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจำเลยที่ 7 ได้คิดค้นหาวิธีคำนวณโดยใช้วิธีนำความยาวของรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่แล่นผ่านจุดใดจุดหนึ่งตามภาพที่ได้จากคลิปไฟล์ภาพที่ไม่ใช่ไฟล์ภาพต้นฉบับมาใช้คำนวณจนทำให้คำนวณความเร็วรถยนต์ได้ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อันเป็นการคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอย่างมาก จากนั้นจำเลยที่ 3 อาศัยโอกาสที่ตนเป็นพนักงานสอบสวนมีหน้าที่สอบสวนเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ. ตามคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมของพนักงานอัยการ โดยนัดแนะและให้จำเลยที่ 1 ,2,4,5,7 เข้าร่วมการสอบปากคำดังกล่าวด้วย จากนั้นในขณะการสอบปากคำเพิ่มเติมจำเลยที่ 3 ได้ปล่อยให้จำเลยที่ 7 ได้แสดงวิธีคิดคำนวณความเร็วรถยนต์ตามที่ได้นัดแนะกับจำเลยที่5-6 ให้ พ.ต.อ. ธ.ดูเพื่อโน้มน้าว พ.ต.อ. ธ. ให้เชื่อคล้อยตามวิธีคิดคำนวณของจำเลยที่ 7 ที่ตระเตรียมมา โดยจำเลยที่ 1 ซึ่งร่วมกับจำเลยที่ 2 ในฐานะ ผู้บังคับบัญชาของ พ.ต.อ. ธ. อาศัยโอกาสที่มีอำนาจหน้าที่ร่วมกับจำเลยที่ 4-5 ทำการใช้อิทธิพลบังคับกดดันและโน้มน้าว พ.ต.อ. ธ. ให้ยึดถือวิธีการคิดคำนวณตามที่จำเลยที่นำเสนอ โดยจำเลยที่ 1 ได้ทำการพูดในขณะร่วมสนทนาและสอบปากคำว่า "สิ่งหนึ่งที่ผมพูดกับคุยน้อง มันไว้ ก็คือน้องเนี่ยคำนวณจากระยะ แล้วก็ออกมาเป็นความเร็ว ความเร็วที่คิดมันคิดจากทฤษฎีที่เป็นทฤษฎีที่คิดในห้องทดลอง ห้องทดลองก็จะอากาศเบาบาง คือมันพยายามให้คิดความเร็วเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เพื่อการทำมาร์เก็ตติ้งความเร็วเท่าไหร่ เร่งเท่าไหร่ แต่ว่าในความเป็นจริง ในทัศนวิสัยเช่นว่ายามเช้าอากาศหนักอะไรอย่างเนี่ย ความเร็วไม่เป็นไปตามทฤษฎี นี่คือสิ่งที่ผมคิดนะ อย่างที่สองคือระยะทางที่ใช้คำนวณหน้ากล้องหลังกล้อง ความเร็วอาจจะเปลี่ยน อาจจะเร็วขึ้นก็ได้ อาจจะลดลงก็ได้ลดลงเพราะว่าทัศนวิสัยการจราจรอะไรก็แล้วแต่ที่มันอยู่ข้างหน้า ซึ่งในกล้องมันไม่ปรากฏ นี่ผมคิดในมุมมองผมแบบนี้" กับให้ พล.ต.ท. ม. ซึ่งดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจพิสูจน์หลักฐาน ในฐานะผู้บังคับบัญชาของ พ.ต.อ. ธ. พูดกับ พ.ต.อ. ธ. ว่า "ทางพี่ อ.(ซึ่งหมายถึงชื่อเล่นของจำเลยที่ 1 ) เค้าอยากให้จบในชั้นอัยการเค้าจะได้จบเลยจะได้ไม่ต้องสืบ" ส่วนจำเลยที่2 ในฐานะผู้บริหารมีหน้าที่ต้องตรวจสอบถึงความบกพร่องของรายงานตรวจพิสูจน์หากเกิดความผิดพลาดขึ้นจริงรวมถึงตรวจสอบการคิดคำนวณตามวิธีของจำเลยที่ 7 ซึ่งใช้ไฟล์ที่มิใช่ต้นฉบับ อันเป็นข้อสงสัยถึงวิธีการคิดคำนวณว่ามิได้อยู่บนรากฐานของความถูกต้อง แต่จำเลยที่ 2 กลับไม่ดำเนินการตรวจสอบและได้พูดว่า "เราคำนวณตามอาจารย์ (ซึ่งหมายถึงจำเลยที่7 ) ได้มั้ย อาจารย์คิดได้ 79.22 เราไปลองดูซิว่าคิดตามแบบเค้าได้ไหม" สอดคล้องกับจำเลยที่ 4 ที่พูดว่า "อยากขอให้เป็น 79.22 ตามที่ อาจารย์ ส. คำนวณ" ซึ่งพฤติการณ์ทั้งมวลนี้แสดงถึงเจตนาประสงค์จะหักล้างหลักฐานตามที่ พ.ต.อ. ธ. ได้จัดทำรายงานเกี่ยวกับความเร็วรถยนต์ไว้ โดยใช้อิทธิพลบังคับกดดันให้ พ.ต.อ. ธ. เชื่อและยอมที่จะให้การเปลี่ยนแปลงความเร็วรถยนต์คันที่นายวรยุทธขับขี่ เป็นเหตุให้ พ.ต.อ. ธ. ต้องจำยอมและให้การต่อจำเลยที่ 3 เปลี่ยนแปลงวิธีคิดคำนวณความเร็วรถยนต์จากเดิมที่คิดคำนวณไว้ความเร็วที่ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความคลาดเคลื่อนมากขึ้นหรือน้อยลง 17 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมาเป็นให้การว่าการคำนวณดังกล่าวนั้นคลาดเคลื่อนและทำการคำนวณความเร็วใหม่ได้ความเร็วรถยนต์ 79.22 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังที่จำเลยที่ 7 นำเสนอ จากนั้นจำเลยที่ 3 โดยคำแนะนำของจำเลยที่ 4 ได้จัดทำคำให้การพร้อมกับทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขวันที่ให้การโดยคำให้การฉบับแรกจากวันที่ 29 ก.พ.2559 เป็นวันที่ 26 ก.พ.2559 และคำให้การฉบับที่สองจากวันที่ 6 มี.ค. 59 มาเป็น 1 มี.ค.59 ให้ พ.ต.อ. ธ. ลงลายมือชื่อ เป็นหลักฐานเพื่อนำส่งให้แก่พนักงานอัยการพิจารณาต่อไป ต่อมาจำเลยที่ 1 ในฐานะกรรมาธิการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีหน้าที่พิจารณารายงานผลการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียนนายวรยุทธขอความเป็นธรรม กรณีการใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการ ต่อคณะกรรมาธิการๆ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา จำเลยที่1 ควรใช้อำนาจรวบรวมข้อเท็จจริง พิจารณาสอบสวนหรือศึกษาเรื่องร้องเรียนโดยไม่มีการชี้ขาดหรือเลือกปฏิบัติ แต่จำเลยที่1 กลับอ้าง ข้อมูลในเหตุการณ์สอบปากคำเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ. มิชอบดังกล่าวที่ตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วยเพื่อสนับสนุนการร้องขอความเป็นธรรมให้กับนายวรยุทธ การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1-7 จึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดโดยมีเจตนามุ่งเพื่อจะช่วยเหลือนายวรยุทธ ผู้ต้องหาซึ่งถูกกล่าวหากระทำผิดฐาน ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง อันเป็นการ มิชอบต่อกฎหมาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ. ธ. ญาติของ ด.ต.วิเชียร ผู้ตายและบุคคลหรือประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำเลยที่ 8 ต่อมาจำเลยที่ 1 ในฐานะกรรมาธิการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีหน้าที่พิจารณารายงานผลการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียนนายวรยุทธขอความเป็นธรรม กรณีการใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการ ต่อคณะกรรมาธิการๆ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา จำเลยที่1 ควรใช้อำนาจรวบรวมข้อเท็จจริง พิจารณาสอบสวนหรือศึกษาเรื่องร้องเรียนโดยไม่มีการชี้ขาดหรือเลือกปฏิบัติ แต่จำเลยที่1 กลับอ้าง ข้อมูลในเหตุการณ์สอบปากคำเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ. มิชอบดังกล่าวที่ตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วยเพื่อสนับสนุนการร้องขอความเป็นธรรมให้กับนายวรยุทธ การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1-7 จึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดโดยมีเจตนามุ่งเพื่อจะช่วยเหลือนายวรยุทธ ผู้ต้องหา ซึ่งถูกกล่าวหากระทำผิดฐาน ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง อันเป็นการ มิชอบต่อกฎหมาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ. ธ. ญาติของ ด.ต.วิเชียร ผู้ตายและบุคคลหรือประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จำเลยที่ 8 ขณะนั้นเป็นพนักงานอัยการ รักษาการตำแหน่งรองอัยการสูงสุดได้อาศัยโอกาสที่ตนได้รับมอบหมายและมอบอำนาจ ให้ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุดในงานด้านคดีร้องขอความเป็นธรรม ตามคำสั่งอัยการสูงสุดที่1515/2562 ลงวันที่ 1 ต.ค.62 มีอำนาจพิจารณาสำนวนคดีอาญาที่มีการร้องขอความเป็นธรรม ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรม ที่ยื่นต่อพนักงานอัยการเป็นครั้งที่ 14 ในคดีที่นายวรยุทธ ผู้ต้องหา ในข้อหาความผิดขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้มีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม พลอากาศโท จ. และนาย จ. เมื่อได้รับผลการสอบสวนเพิ่มเติมจำเลยที่ 8 ได้ใช้อำนาจวินิจฉัยสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ผู้ต้องหาคดีดังกล่าว ทั้งที่ผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุ รายงานการตรวจสภาพรถคันเกิดเหตุรายงานการเก็บวัตถุพยาน ภาพถ่ายประกอบรายงานการตรวจพิสูจน์ ภาพถ่ายรถยนต์คันเกิดเหตุ และภาพถ่ายรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุ พยานใกล้ชิดเหตุการณ์ปากนาย จ. ซึ่งความเห็นอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้และอดีตอัยการสูงสุด หรืออดีตรองอัยการสูงสุดได้วินิจฉัยพยานไว้ก่อนโดยละเอียดแล้ว ว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุซึ่งปรากฏผลการพิสูจน์ความเร็วของนายวรยุทธขับขี่ ความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมีเหตุอันสมควรเพียงพอที่จะนำนายวรยุทธ ผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา แต่จำเลยที่ 8 กลับพิจารณาอาศัยพยานปาก พลอากาศโท จ. ซึ่งให้การหลังเกิดเหตุนานกว่า 2 ปี เศษ และพยานผู้เชี่ยวชาญอื่น อันเป็นการเลือกหยิบยกพยานหลักฐานดังกล่าวมาพิจารณา ทั้งที่อดีตอัยการสูงสุดและอดีตรองอัยการสูงสุดได้วินิจฉัยไว้ก่อนแล้วว่าไม่ควรนำมารับฟังเนื่องจากไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ โดยจำเลยที่ 8 มิได้ให้เหตุผลหักล้างหรือแสดงผลเป็นอย่างอื่น และไม่รับฟังพยานหลักฐานอื่นในสำนวนที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ อันเป็นการวินิจฉัย มูลความผิด โดยใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจด่วนวินิจฉัยคดีเสียเอง ไม่ได้ใช้เกณฑ์วินิจฉัยมูลความผิดอย่าง ที่พนักงานอัยการพึงใช้ อันผิดปกติวิสัยของพนักงานอัยการโดยทั่วไป เป็นการกระทำการมิชอบ โดยมีเจตนา เพื่อจะช่วยนายวรยุทธผู้ต้องหามิให้ต้องโทษหรือรับโทษน้อยลงอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายและเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานอัยการสูงสุด ญาติของ ด.ต.วิเชียร ผู้ตาย และผู้อื่นหรือประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เหตุตามฟ้องเกิดที่ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ถนนอังรีดูนังต์ แขวงวังใหม่เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร, อาคารรัฐสภา (หลังเก่า) ถนนอู่ทองใน แขวงดุสิต เขตดุสิตกรุงเทพมหานคร, สำนักงานอัยการสูงสุด (อาคารถนนแจ้งวัฒนะ) ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ชั้นไต่สวน จำเลยทั้งแปดให้การปฏิเสธ ข้อกล่าวหา คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่าการกระทำของจำเลยทั้งแปด มีมูลความผิด ทางอาญาตามข้อกล่าวหาและได้ส่งรายงาน เอกสาร พร้อมความเห็นมายังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการ ฟ้องคดี โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งแปดเป็นคดีนี้ ในการฟ้องคดีนี้ อัยการสูงสุด มีคำสั่งมอบหมายให้ พนักงานอัยการสำนักงานอัยการคดีปราบปรามการทุจริต เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินคดีจนคดีถึงที่สุด ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางรับคดีไว้พิจารณา เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 131/2567 ให้จำเลยทั้งแปดแต่งทนายความ และให้นัดสอบคำให้การจำเลย ในวันที่ 10 ก.ย.2567 เวลา09.30น. ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งแปดและมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งแปดออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล #Thaitimes
    อัยการปราบทุจริตยื่นฟ้อง “สมยศ-เนตร” กับพวกรวม 8 คน ช่วยเหลือกลับคำสั่งคดี “บอส” ขับรถชนตำรวจจราจรทองหล่อดับ ด้านอดีต ผบ.ตร.ยอมรับกังวลใจ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000079981

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1002 มุมมอง 0 รีวิว