• ศาลอาญากรุงเทพใต้ อนุมัติออกหมายจับ "เจ๊หนิง-สามี-หลานชาย" เมียบิ๊กโจ๊ก ข้อหาร่วมกันแจ้งความเท็จ ล่าสุดเจ้าตัวติดต่อมอบตัวพรุ่งนี้ เวลา 09.00 น.

    จากกรณี น.ส.ธณัฏฐา ยอดเยี่ยม หรือ หนิง อดีตอาจารย์พิเศษสาวโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แจ้งความให้ดำเนินคดีกับ “มาดามกุ๊บกิ๊บ” นางศิรินัดดา หักพาล ภรรยาพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีต รองผบ.ตร. ก่อเหตุลักเงินสดและทองคำมูลค่าเกือบ 6 ล้านที่จะใช้ไว้เป็นสินสอดในงานแต่งงาน ในข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานและบุกรุกเคหสถาน ขณะเดียวกันนางศิรินัดดา แจ้งความกลับคู่กรณีแจ้งความเท็จกลั่นแกล้งผู้อื่นให้รับโทษทางอาญา

    ล่าสุด วันนี้ (22 พ.ย.) เมื่อเวลา 17.00 น.พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ ประดับไทย ผกก.สน.พระโขนง เปิดเผยถึงคดีดังกล่าวว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนสน.พระโขนง ได้รวบรวมพยานหลักฐานเสนอต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลพิจารณาได้อนุมัติออกหมายจับที่ 1118/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ให้จับกุม น.ส.ธณัฏฐา ยอดเยี่ยม หรือ เจ๊หนิง หมายจับที่ 1119/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ให้จับกุม พ.ต.อ.ภีมพจน์ น้อมชอบพิทักษ์ อดีตอาจารย์ (สบ4) กลุ่มงานคณาจารย์ คณะตำรวจศาสตร์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ปฏิบัติราชการที่ ศปก. บช.รร.นรต และหมายจับที่ 1120/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ให้จับกุมนายพงษ์พัฒน์ วรเกต หลานเจ๊หนิง ข้อหา ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนเป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษหรือรับโทษหนัก

    พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ข้อหาดังกล่าวมีอัตราโทษเกิน 3 ปี ณ เวลานี้ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนยังไม่ได้ติดต่อมอบตัวเจ้าหน้าที่พบเห็นที่ไหนสามารถจับกุมได้ทันที

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ธณัฏฐา หรือ เจ๊หนิง ติดต่อตำรวจมาแล้ว ทั้ง 3 คนจะเข้ามอบตัวตำรวจพรุ่งนี้วันที่ 23 พ.ย. เวลา 09.00 น.

    #MGROnline #จ๊หนิง #สามี #หลานชาย #เมียบิ๊กโจ๊ก
    ศาลอาญากรุงเทพใต้ อนุมัติออกหมายจับ "เจ๊หนิง-สามี-หลานชาย" เมียบิ๊กโจ๊ก ข้อหาร่วมกันแจ้งความเท็จ ล่าสุดเจ้าตัวติดต่อมอบตัวพรุ่งนี้ เวลา 09.00 น. • จากกรณี น.ส.ธณัฏฐา ยอดเยี่ยม หรือ หนิง อดีตอาจารย์พิเศษสาวโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แจ้งความให้ดำเนินคดีกับ “มาดามกุ๊บกิ๊บ” นางศิรินัดดา หักพาล ภรรยาพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีต รองผบ.ตร. ก่อเหตุลักเงินสดและทองคำมูลค่าเกือบ 6 ล้านที่จะใช้ไว้เป็นสินสอดในงานแต่งงาน ในข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานและบุกรุกเคหสถาน ขณะเดียวกันนางศิรินัดดา แจ้งความกลับคู่กรณีแจ้งความเท็จกลั่นแกล้งผู้อื่นให้รับโทษทางอาญา • ล่าสุด วันนี้ (22 พ.ย.) เมื่อเวลา 17.00 น.พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ ประดับไทย ผกก.สน.พระโขนง เปิดเผยถึงคดีดังกล่าวว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนสน.พระโขนง ได้รวบรวมพยานหลักฐานเสนอต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลพิจารณาได้อนุมัติออกหมายจับที่ 1118/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ให้จับกุม น.ส.ธณัฏฐา ยอดเยี่ยม หรือ เจ๊หนิง หมายจับที่ 1119/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ให้จับกุม พ.ต.อ.ภีมพจน์ น้อมชอบพิทักษ์ อดีตอาจารย์ (สบ4) กลุ่มงานคณาจารย์ คณะตำรวจศาสตร์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ปฏิบัติราชการที่ ศปก. บช.รร.นรต และหมายจับที่ 1120/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ให้จับกุมนายพงษ์พัฒน์ วรเกต หลานเจ๊หนิง ข้อหา ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนเป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษหรือรับโทษหนัก • พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ข้อหาดังกล่าวมีอัตราโทษเกิน 3 ปี ณ เวลานี้ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนยังไม่ได้ติดต่อมอบตัวเจ้าหน้าที่พบเห็นที่ไหนสามารถจับกุมได้ทันที • ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ธณัฏฐา หรือ เจ๊หนิง ติดต่อตำรวจมาแล้ว ทั้ง 3 คนจะเข้ามอบตัวตำรวจพรุ่งนี้วันที่ 23 พ.ย. เวลา 09.00 น. • #MGROnline #จ๊หนิง #สามี #หลานชาย #เมียบิ๊กโจ๊ก
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 390 Views 0 Reviews
  • นายกฯ นั่งหัวโต๊ะ ประชุม ก.ตร. จับตาแต่งตั้งนายพลสีกากี ระดับ “รอง ผบ.ตร.- ผู้ช่วย ผบ.ตร.- ผู้บัญชาการ” รวม 25 ตำแหน่ง กำชับพิจารณาให้รอบคอบ-ตรงกรอบกฎหมาย

    วันนี้ (20 พ.ย.) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 10/2567 ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถนนพระรามที่ 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ

    โดยวันนี้มีวาระที่น่าใจ คือ การพิจารณาบัญชีรายชื่อแต่งตั้งตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) และจเรตำรวจแห่งชาติ ถึงผู้บัญชาการ (ผบช.) ยศ พล.ต.อ.- พล.ต.ท. วาระประจำปี 2567

    โดยก่อนเริ่มการประชุม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมข้าราชการตำรวจในวันนี้ มีเรื่องพิจารณาหลายเรื่อง ตามกรอบของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกำหนด ทั้งนี้ เรื่องของการพิจารณาให้ความเห็นชอบ คัดเลือกแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง ระดับผู้บัญชาการขึ้นไป ที่มีความจำเป็นที่ต้องได้บุคลากรที่มีความสามารถ บริหารจัดการ รับผิดชอบ และตอบสนองต่อการบริการประชาชน และรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยให้พิจารณาให้ตรงตามที่กรอบกฎหมายกำหนด จึงขอให้ที่ประชุมร่วมกันพิจารณา ให้รอบคอบ เพื่อให้การ บริหารงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของราชการเป็นสำคัญ

    ทั้งนี้ เป็นที่จับตาว่า ในการประชุมครั้งนี้ จะสามารถเคาะรายชื่อผู้ได้รับการแต่งตั้งตามที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ เนื่องจากมีหลายกระแสว่ามีการปรับเปลี่ยน

    #MGROnline #แต่งตั้ง #นายพลสีกากี
    นายกฯ นั่งหัวโต๊ะ ประชุม ก.ตร. จับตาแต่งตั้งนายพลสีกากี ระดับ “รอง ผบ.ตร.- ผู้ช่วย ผบ.ตร.- ผู้บัญชาการ” รวม 25 ตำแหน่ง กำชับพิจารณาให้รอบคอบ-ตรงกรอบกฎหมาย • วันนี้ (20 พ.ย.) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 10/2567 ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถนนพระรามที่ 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ • โดยวันนี้มีวาระที่น่าใจ คือ การพิจารณาบัญชีรายชื่อแต่งตั้งตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) และจเรตำรวจแห่งชาติ ถึงผู้บัญชาการ (ผบช.) ยศ พล.ต.อ.- พล.ต.ท. วาระประจำปี 2567 • โดยก่อนเริ่มการประชุม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมข้าราชการตำรวจในวันนี้ มีเรื่องพิจารณาหลายเรื่อง ตามกรอบของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกำหนด ทั้งนี้ เรื่องของการพิจารณาให้ความเห็นชอบ คัดเลือกแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง ระดับผู้บัญชาการขึ้นไป ที่มีความจำเป็นที่ต้องได้บุคลากรที่มีความสามารถ บริหารจัดการ รับผิดชอบ และตอบสนองต่อการบริการประชาชน และรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยให้พิจารณาให้ตรงตามที่กรอบกฎหมายกำหนด จึงขอให้ที่ประชุมร่วมกันพิจารณา ให้รอบคอบ เพื่อให้การ บริหารงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของราชการเป็นสำคัญ • ทั้งนี้ เป็นที่จับตาว่า ในการประชุมครั้งนี้ จะสามารถเคาะรายชื่อผู้ได้รับการแต่งตั้งตามที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ เนื่องจากมีหลายกระแสว่ามีการปรับเปลี่ยน • #MGROnline #แต่งตั้ง #นายพลสีกากี
    0 Comments 0 Shares 374 Views 0 Reviews
  • สนธิเล่าเรื่อง "ทนายตั้ม" ทำตัวผู้จัดการมรดก ส่อง GPS รถเบนซ์ เปิดแผนลวงเข้าป่า-ล่องแพ
    .
    รายการสนธิเล่าเรื่องเช้านี้ พบทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก เขียนพินัยกรรมเอง ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ พบให้พยานเซ็นเฉพาะหน้าสุดท้าย ไม่คืนคู่ฉบับ ซื้อรถเบนซ์คุณอ้อย ติด GPS ดูทุกความเคลื่อนไหว แถมชักชวนไปเที่ยวไกลๆ ไปเชียงราย แม้กระทั่งไปเขื่อนเชี่ยวหลาน สุราษฎร์ธานี ไม่มีสัญญาณมือถือ ผวาหากตายไปอ้างได้ว่าอุบัติเหตุ สุดท้ายทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองสกัดกั้น
    .
    วันนี้ (20 พ.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวในรายการสนธิเล่าเรื่อง ทางยูทูบ Sondhitalk ถึงความคืบหน้าคดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เศรษฐีชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แจ้งความดำเนินคดีกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ไฮไสต์สำคัญอยู่ที่การที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก โดยสรุปดังนี้
    .
    - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มต้องการเป็นผู้จัดการมรดกในการเขียนพินัยกรรม พอได้รับการแต่งตั้งก็พยายามชวนคุณอ้อยไปเที่ยวไกลๆ เช่น เขื่อนรัชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งอะไรก็เกิดขึ้นได้โดยไม่มีใครคาดคิด หากคุณอ้อยเสียชีวิต ทนายตั้มจะได้เป็นผู้จัดการมรดก มีอำนาจเด็ดขาดแต่ผู้เดียว แต่โชคดีที่คุณอ้อยไหวตัวทัน
    .
    - ก่อนหน้านี้บริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด ได้รับว่าจ้างจากคุณอ้อยเดือนละ 300,000 บาทให้เป็นที่ปรึกษาดูแลผลประโยชน์ธุรกิจ เมื่อ 2 ปีก่อน หลังจากนั้นทนายตั้มอาศัยความไว้ใจจากพี่อ้อยช่วยเหลือดำเนินการ เช่น ยกลูกตัวเองคนหนึ่งให้เป็นลูกบุญธรรม แต่ลูกชายคุณอ้อยไม่เห็นด้วย
    .
    - เมื่อรู้ว่าคุณอ้อยร่ำรวยเป็นหมื่นล้านบาท และการศึกษาน้อย ร่ำรวยจากการเสี่ยงโชค คุณอ้อยพลาดตรงที่หาทนายความจากเฟซบุ๊ก เห็นว่าทนายตั้มหน้าตาดี เป็นทนายความเพื่อประชาชน แต่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ นึกไม่ถึงว่าเป็นคนเลวถึงขนาดนั้น
    .
    - พอได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแค่ 9 วัน ทนายตั้มก็คิดจะฮุบเงินฮุบทอง ทำพินัยกรรมที่สำนักงาน ษิทรา ลอว์เฟิร์ม มีทั้งหมด 7 ข้อ โดยมีทนายตั้มเป็นผู้เขียนและพิมพ์พินัยกรรม คุณเดวิดสามีคุณอ้อย และคุณน้อย เป็นพยาน ทีแรกไม่ผิดสังเกต แต่ภายหลังพบว่าทนายตั้มไม่ได้ทำงานสมค่าจ้าง ยกครอบครัวเที่ยวหรูอยู่สบาย รวมทั้งสำนักงาน ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จัดทริปพาพนักงาน 20 คนเที่ยวญี่ปุ่น ก็ขอเงินคุณอ้อยหลายล้านบาท และขอเงินยิบย่อย
    .
    - ผ่านไป 1 ปี คุณอ้อยเห็นว่าทำงานไม่คุ้ม ไม่ไหว เลยยกเลิกสัญญาเป็นที่ปรึกษา แต่ทนายตั้มยังตื้อขอต่อสัญญาอีก 1 ปี พร้อมข้อเสนอการลงทุนตามมา เป็นที่มาของเงิน 2 ล้านยูโร ทำแอปฯ นาคี ต่อด้วยคดีสมคบกับนายนุวัฒน์และ น.ส.สาลินีหลอกลวงว่าถูกแฮกคริปโตฯ สูญ 39 ล้านบาท ฉ้อโกงเขียนแบบโรงแรม และอื่นๆ
    .
    - ทนายตั้มร่างพินัยกรรมคุณอ้อยฉบับใหม่ ทำที่บ้านชีวา ลงวันที่ 7 ส.ค. 2566 แก้ไขจากฉบับแรก แต่พินัยกรรมมีปัญหารายละเอียดสำคัญว่า สินทรัพย์ที่อยู่ต่างประเทศให้ลูกชายคนเดียว แต่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ ติด GPS เอาไว้ โดยทนายตั้มติดเอง แสดงว่าจะตามว่ารถคันนี้ไปที่ไหนบ้าง จึงสงสัยว่าทำไมถึงติด GPS เอาไว้ แต่ทนายตั้มยังโกหก
    .
    - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มเคยชวนไปเชียงราย อ้างว่าทำบุญที่วัดห้วยปลากั้ง แต่ไม่ไปเพราะไกล เป็นห่วงความปลอดภัยของแฟน และไม่ได้รู้จักคนทางโน้น และชวนไปล่องแพที่ภาคใต้ เขื่อนรัชประภา จ.สุราษฎร์ธานี แต่ไม่ไปเพราะกลัวเป็นน้ำ ไปลำบากเลยปฎิเสธ ไม่ได้คิดเบื้องหน้าเบื้องหลัง พอรู้จากคนใกล้ชิดก็กลัวว่าอยู่ใต้แพ
    .
    - ในสัญญาติดตั้ง GPS ใช้ชื่อทนายตั้ม ทำสัญญารายปี และมีหลักฐานว่าทนายตั้มแอบดูข้อมูลการเดินทางว่าไปไหนบ้าง เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาหลังมีเรื่อง นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาทนายตั้มยังแอบเข้าไปดู GPS ว่ารถคุณอ้อยเดินทางไปที่ไหน
    .
    - คุณอ้อยและคุณน้อยพบว่า หลังทำพินัยกรรมฉบับที่ 2 ทนายตั้มยังชักชวนไปเที่ยวแพที่เขื่อนรัชประภา อ้างว่าจะพาไปรู้จักนายตำรวจคนหนึ่งซึ่งเป็นคนใต้ คือ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือโจ๊ก เหมือนกับที่ไปฮ่องกง ไปเจอนายอนุทิน ชาญวีรกุล และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ แต่คุณอ้อยไม่อยากไป เพราะไม่อยากลำบาก และไม่อยากรู้จักใคร
    .
    - เขื่อนรัชชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ต ใครจะทำอะไรก็ไม่มีใครรู้ สมมติกรณีที่จัดการกับเจ้าของมรดกก็ไม่มีใครรู้ อ้างได้ว่าอุบัติเหตุทางน้ำ
    .
    - หลังจากทำพินัยกรรมฉบับที่ 2 คุณอ้อยและคุณน้อยพยายามทวงถามพินัยกรรมคู่ฉบับก็ไม่นำมาให้ กระทั่งแตกหักเรื่องรถเบนซ์ ได้ทำหนังสือทวงถามพินัยกรรม แต่ทนายตั้มตอบกลับว่า ทำลายไปหมดแล้ว ทั้งที่ไม่ได้ถามหรือทำลายต่อหน้า และพบว่าสัญญามีช่องโหว่ อีกทั้งให้ลงนามเฉพาะหน้าสุดท้าย แทนที่จะลงนามสัญญาทุกหน้า เพราะฉะนั้นเป็นพินัยกรรมปลอมและพินัยกรรมสอดไส้
    .
    - ต้นปี 2567 หลังจากคุณอ้อยใจสลาย ก็ได้ยกเลิกพินัยกรรมกับทนายตั้มทุกฉบับ แล้วไปทำพินัยกรรมฝ่ายเมือง จัดทำที่อำเภอ มีเจ้าหน้าที่รัฐรับรอง
    ..............
    Sondhi X
    สนธิเล่าเรื่อง "ทนายตั้ม" ทำตัวผู้จัดการมรดก ส่อง GPS รถเบนซ์ เปิดแผนลวงเข้าป่า-ล่องแพ . รายการสนธิเล่าเรื่องเช้านี้ พบทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก เขียนพินัยกรรมเอง ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ พบให้พยานเซ็นเฉพาะหน้าสุดท้าย ไม่คืนคู่ฉบับ ซื้อรถเบนซ์คุณอ้อย ติด GPS ดูทุกความเคลื่อนไหว แถมชักชวนไปเที่ยวไกลๆ ไปเชียงราย แม้กระทั่งไปเขื่อนเชี่ยวหลาน สุราษฎร์ธานี ไม่มีสัญญาณมือถือ ผวาหากตายไปอ้างได้ว่าอุบัติเหตุ สุดท้ายทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองสกัดกั้น . วันนี้ (20 พ.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวในรายการสนธิเล่าเรื่อง ทางยูทูบ Sondhitalk ถึงความคืบหน้าคดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เศรษฐีชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แจ้งความดำเนินคดีกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ไฮไสต์สำคัญอยู่ที่การที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก โดยสรุปดังนี้ . - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มต้องการเป็นผู้จัดการมรดกในการเขียนพินัยกรรม พอได้รับการแต่งตั้งก็พยายามชวนคุณอ้อยไปเที่ยวไกลๆ เช่น เขื่อนรัชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งอะไรก็เกิดขึ้นได้โดยไม่มีใครคาดคิด หากคุณอ้อยเสียชีวิต ทนายตั้มจะได้เป็นผู้จัดการมรดก มีอำนาจเด็ดขาดแต่ผู้เดียว แต่โชคดีที่คุณอ้อยไหวตัวทัน . - ก่อนหน้านี้บริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด ได้รับว่าจ้างจากคุณอ้อยเดือนละ 300,000 บาทให้เป็นที่ปรึกษาดูแลผลประโยชน์ธุรกิจ เมื่อ 2 ปีก่อน หลังจากนั้นทนายตั้มอาศัยความไว้ใจจากพี่อ้อยช่วยเหลือดำเนินการ เช่น ยกลูกตัวเองคนหนึ่งให้เป็นลูกบุญธรรม แต่ลูกชายคุณอ้อยไม่เห็นด้วย . - เมื่อรู้ว่าคุณอ้อยร่ำรวยเป็นหมื่นล้านบาท และการศึกษาน้อย ร่ำรวยจากการเสี่ยงโชค คุณอ้อยพลาดตรงที่หาทนายความจากเฟซบุ๊ก เห็นว่าทนายตั้มหน้าตาดี เป็นทนายความเพื่อประชาชน แต่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ นึกไม่ถึงว่าเป็นคนเลวถึงขนาดนั้น . - พอได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแค่ 9 วัน ทนายตั้มก็คิดจะฮุบเงินฮุบทอง ทำพินัยกรรมที่สำนักงาน ษิทรา ลอว์เฟิร์ม มีทั้งหมด 7 ข้อ โดยมีทนายตั้มเป็นผู้เขียนและพิมพ์พินัยกรรม คุณเดวิดสามีคุณอ้อย และคุณน้อย เป็นพยาน ทีแรกไม่ผิดสังเกต แต่ภายหลังพบว่าทนายตั้มไม่ได้ทำงานสมค่าจ้าง ยกครอบครัวเที่ยวหรูอยู่สบาย รวมทั้งสำนักงาน ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จัดทริปพาพนักงาน 20 คนเที่ยวญี่ปุ่น ก็ขอเงินคุณอ้อยหลายล้านบาท และขอเงินยิบย่อย . - ผ่านไป 1 ปี คุณอ้อยเห็นว่าทำงานไม่คุ้ม ไม่ไหว เลยยกเลิกสัญญาเป็นที่ปรึกษา แต่ทนายตั้มยังตื้อขอต่อสัญญาอีก 1 ปี พร้อมข้อเสนอการลงทุนตามมา เป็นที่มาของเงิน 2 ล้านยูโร ทำแอปฯ นาคี ต่อด้วยคดีสมคบกับนายนุวัฒน์และ น.ส.สาลินีหลอกลวงว่าถูกแฮกคริปโตฯ สูญ 39 ล้านบาท ฉ้อโกงเขียนแบบโรงแรม และอื่นๆ . - ทนายตั้มร่างพินัยกรรมคุณอ้อยฉบับใหม่ ทำที่บ้านชีวา ลงวันที่ 7 ส.ค. 2566 แก้ไขจากฉบับแรก แต่พินัยกรรมมีปัญหารายละเอียดสำคัญว่า สินทรัพย์ที่อยู่ต่างประเทศให้ลูกชายคนเดียว แต่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ ติด GPS เอาไว้ โดยทนายตั้มติดเอง แสดงว่าจะตามว่ารถคันนี้ไปที่ไหนบ้าง จึงสงสัยว่าทำไมถึงติด GPS เอาไว้ แต่ทนายตั้มยังโกหก . - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มเคยชวนไปเชียงราย อ้างว่าทำบุญที่วัดห้วยปลากั้ง แต่ไม่ไปเพราะไกล เป็นห่วงความปลอดภัยของแฟน และไม่ได้รู้จักคนทางโน้น และชวนไปล่องแพที่ภาคใต้ เขื่อนรัชประภา จ.สุราษฎร์ธานี แต่ไม่ไปเพราะกลัวเป็นน้ำ ไปลำบากเลยปฎิเสธ ไม่ได้คิดเบื้องหน้าเบื้องหลัง พอรู้จากคนใกล้ชิดก็กลัวว่าอยู่ใต้แพ . - ในสัญญาติดตั้ง GPS ใช้ชื่อทนายตั้ม ทำสัญญารายปี และมีหลักฐานว่าทนายตั้มแอบดูข้อมูลการเดินทางว่าไปไหนบ้าง เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาหลังมีเรื่อง นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาทนายตั้มยังแอบเข้าไปดู GPS ว่ารถคุณอ้อยเดินทางไปที่ไหน . - คุณอ้อยและคุณน้อยพบว่า หลังทำพินัยกรรมฉบับที่ 2 ทนายตั้มยังชักชวนไปเที่ยวแพที่เขื่อนรัชประภา อ้างว่าจะพาไปรู้จักนายตำรวจคนหนึ่งซึ่งเป็นคนใต้ คือ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือโจ๊ก เหมือนกับที่ไปฮ่องกง ไปเจอนายอนุทิน ชาญวีรกุล และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ แต่คุณอ้อยไม่อยากไป เพราะไม่อยากลำบาก และไม่อยากรู้จักใคร . - เขื่อนรัชชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ต ใครจะทำอะไรก็ไม่มีใครรู้ สมมติกรณีที่จัดการกับเจ้าของมรดกก็ไม่มีใครรู้ อ้างได้ว่าอุบัติเหตุทางน้ำ . - หลังจากทำพินัยกรรมฉบับที่ 2 คุณอ้อยและคุณน้อยพยายามทวงถามพินัยกรรมคู่ฉบับก็ไม่นำมาให้ กระทั่งแตกหักเรื่องรถเบนซ์ ได้ทำหนังสือทวงถามพินัยกรรม แต่ทนายตั้มตอบกลับว่า ทำลายไปหมดแล้ว ทั้งที่ไม่ได้ถามหรือทำลายต่อหน้า และพบว่าสัญญามีช่องโหว่ อีกทั้งให้ลงนามเฉพาะหน้าสุดท้าย แทนที่จะลงนามสัญญาทุกหน้า เพราะฉะนั้นเป็นพินัยกรรมปลอมและพินัยกรรมสอดไส้ . - ต้นปี 2567 หลังจากคุณอ้อยใจสลาย ก็ได้ยกเลิกพินัยกรรมกับทนายตั้มทุกฉบับ แล้วไปทำพินัยกรรมฝ่ายเมือง จัดทำที่อำเภอ มีเจ้าหน้าที่รัฐรับรอง .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    10
    2 Comments 0 Shares 1326 Views 0 Reviews

  • แฉเหลี่ยมกลับลำ ตั้มเดินหมากถอย จะได้ไม่ติดคุกยาว
    .
    แม้กำลังจะจนตรอก ไม่เหลือหนทางสู้แล้ว แต่หมากล่าสุดที่ก๊วนทนายตั้ม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ขยับเดิน นับว่าเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเหมือนเดิม
    .
    เป็นความเคลื่อนไหวแบบ 2 ประสาน ลงมือพร้อมๆ กัน
    .
    สายหนึ่งคือ ทนายปาเกียว นายสายหยุด เพ็งบุญชู จัดการต่อสายถึงทนายความของพี่อ้อย จตุพร อุบลเลิศ เพื่อเปิดเจรจา จะขอคืนเงินทั้งหมดให้พี่อ้อย
    .
    จากเดิมที่ทนายตั้ม เคยโวยใส่ทนายความของพี่อ้อย “กล้าดียังไงมาแจ้งจับผม” ทั้งขู่จะแจ้งความกลับพี่อ้อย โวยว่าทำให้ชื่อเสียงแบรนด์เนมเสียหาย
    .
    ตอนนี้ ทนายตั้มกลับลำ จะขอคืนเงินที่โกงมาทุกบาททุกสตางค์ จนถูกแซวเจ็บๆ “กล้าดียังไงจะคืนเงิน”
    .
    พอพี่อ้อยรับสารจากทนายปาเกียว ก็แจ้งกลับเบื้องต้นไปว่า งานนี้แล้วแต่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” จะตัดสินใจ
    .
    ถือว่าพี่อ้อยฝากชีวิต และเชื่อมั่นในสื่ออาวุโส ว่าจะตัดสินใจได้ดีที่สุด
    .
    ถามว่าพี่อ้อย อยากได้เงินกว่า 100 ล้านบาท ที่ถูกทนายตั้มโกงไปหรือไม่? ใครก็คาดเดาได้ว่า ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะนั่นมันแค่เศษเงินของจำนวนทั้งหมดที่พี่อ้อยมี
    .
    อีกทั้งกระบวนการทางคดี ก็เดินหน้ามาไกล จนเกินกว่าจะหันหลังกลับได้แล้ว
    .
    ท่ามกลางเสียงเชียร์กระหึ่มโลกโซเชียล พี่อ้อยอย่าไปใจอ่อนให้กับคนเนรคุณเด็ดขาด จัดหนัก “สุดซอย” เท่านั้น
    .
    เพราะต่างแน่ใจ คนอย่างทนายตั้ม เป็นภัยสังคมร้ายแรง ขืนปล่อยออกจากคุก ก็เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า จะมีคนต้องตกเป็นเหยื่อของทนายตั้ม อีกไม่รู้เท่าไร
    .
    นอกจากนี้ ทรัพย์สินเงินในธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์ ที่ ป.ป.ง. อายัดไว้เรียบร้อยแล้วนับร้อยล้านบาทนั้น เมื่อคดีถึงที่สุด ก็ต้องตกเป็นของพี่อ้อยอยู่ดี พี่อ้อยไม่จำเป็นต้องไปรับการชดใช้ใดๆ จากทนายตั้ม
    .
    ในแง่ของจังหวะเวลา ก็ถือว่าสายเกินไป พอรู้ว่าตัวเองจะแพ้แน่นอน จึงจะยอมขอคืนเงิน การแสดงออกแบบนี้ มันไม่น่าสงสาร
    กมลสันดานของโจรที่มาเป็นทนาย ก็คงไม่รู้สึกสำนึกผิดใดๆ การจะขอคืนเงินจึงแค่เป็นหมาก เพื่อหวังดิ้นให้หลุดจากการ “ติดคุกยาว” ก็เท่านั้น
    .
    อีกสายของทนายตั้ม ที่เคลื่อนไหวอย่างสอดประสานกัน คือการปรากฏตัวออกสื่อของพี่ชายคนสนิทที่ชื่อ “โอ๋” คนสมุทรสาครบ้านเดียวกัน ที่ย้ายไปตั้งรกรากที่ จ.เชียงราย
    ก่อนหน้านี้ สนธิ ลิ้มทองกุล ประกาศให้ช่วยกันติดตามค้นหาที่ซ่อนสมบัติของทนายตั้ม ที่ถูกยักย้ายถ่ายเทไป จนตู้เซฟยักษ์เหลือแต่ความว่างเปล่า
    .
    หนึ่งในรายชื่อที่สนธิชี้เป้า ก็คือ นายโอ๋ คนนี้เอง
    .
    โอ๋เหมือนเตรียมตัวมาอย่างดี ในการพูดกับสื่อ ยอมรับว่าสนิทกันจริงกับทนายตั้ม แต่ไม่รู้เรื่องทรัพย์สินใดๆ
    .
    แล้วก็พยายามเคลียร์ให้ทนายตั้ม ดูชั่วช้าสารเลวน้อยลง เช่น อ้างว่าทนายตั้ม ไม่ใช่ลูกน้องของบิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล แค่มาร่วมงานกันเท่านั้น
    .
    แต่เมื่อมองย้อนพฤติกรรมของทนายตั้ม ไม่ว่าจะสร้างเรื่องใส่ร้ายบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา สมัยเป็น ผบ.ตร. เรื่องจัดซื้อไบโอเมตริกซ์
    .
    โผล่มาอาละวาดกับบิ๊กต่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล หรือไปตอแยยียวนใส่บิ๊กเต่า พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ระหว่างทำคดีบิ๊กโจ๊กฟอกเงิน
    .
    แต่ละบิ๊กที่ถูกทนายตั้มตามราวี ล้วนแต่เป็นคู่ปรับของบิ๊กโจ๊กทั้งสิ้น และคนที่ได้ประโยชน์เต็มๆ จากลีลาของทนายตั้ม ก็มีแต่บิ๊กโจ๊กคนเดียว
    .
    พฤติกรรมที่ผ่านมามันชัดเจน ไม่มีอะไรต้องสงสัย ทนายตั้มเป็นแค่ “ม้าใช้” ของบิ๊กโจ๊ก
    พี่โอ๋ของน้องตั้ม ยังพยายามเคลียร์ใจสนธิ ลิ้มทองกุล แทนให้ด้วย ถึงขนาดร่ำไห้แบบไม่มีน้ำตาออกมา
    .
    ชาวเนตได้เห็นได้ฟังทุกสิ่งที่โอ๋พร่ำพูดออกมา ก็มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ว่าคนๆ นี้ เชื่อถือไม่ได้
    .
    หลายคนวิเคราะห์ว่า โอ๋น่าจะกลัวโดนกองปราบฯ ขุดไปถึงตัวเขาทางใดทางหนึ่ง เพราะเขาเองก็ดูร่ำรวย มีทรงของคนไม่ขาวปลอดสักเท่าไร
    .
    ตรรกะง่ายๆ ใครที่จะสนิทสนมซี้ปึ้กกับทนายตั้ม ก็ต้องมีศีลเสมอกัน มิฉะนั้น คงคบกันไม่ได้ยาวนานขนาดนี้
    .
    อย่างพี่อ้อย ไปสนิทกับทนายตั้ม ความสัมพันธ์ก็พังครืนในเวลาแค่ปีเดียวเท่านั้น เพราะทนายตั้มไม่ได้นับพี่อ้อยเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นผู้มีพระคุณใดๆ
    .
    แต่มองพี่อ้อยเป็นเหยื่อโอชะ วางแผนที่จะฮุบทรัพย์สินมหาศาลของพี่อ้อย อย่างเป็นระบบ
    ...........
    Sondhi X
    แฉเหลี่ยมกลับลำ ตั้มเดินหมากถอย จะได้ไม่ติดคุกยาว . แม้กำลังจะจนตรอก ไม่เหลือหนทางสู้แล้ว แต่หมากล่าสุดที่ก๊วนทนายตั้ม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ขยับเดิน นับว่าเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเหมือนเดิม . เป็นความเคลื่อนไหวแบบ 2 ประสาน ลงมือพร้อมๆ กัน . สายหนึ่งคือ ทนายปาเกียว นายสายหยุด เพ็งบุญชู จัดการต่อสายถึงทนายความของพี่อ้อย จตุพร อุบลเลิศ เพื่อเปิดเจรจา จะขอคืนเงินทั้งหมดให้พี่อ้อย . จากเดิมที่ทนายตั้ม เคยโวยใส่ทนายความของพี่อ้อย “กล้าดียังไงมาแจ้งจับผม” ทั้งขู่จะแจ้งความกลับพี่อ้อย โวยว่าทำให้ชื่อเสียงแบรนด์เนมเสียหาย . ตอนนี้ ทนายตั้มกลับลำ จะขอคืนเงินที่โกงมาทุกบาททุกสตางค์ จนถูกแซวเจ็บๆ “กล้าดียังไงจะคืนเงิน” . พอพี่อ้อยรับสารจากทนายปาเกียว ก็แจ้งกลับเบื้องต้นไปว่า งานนี้แล้วแต่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” จะตัดสินใจ . ถือว่าพี่อ้อยฝากชีวิต และเชื่อมั่นในสื่ออาวุโส ว่าจะตัดสินใจได้ดีที่สุด . ถามว่าพี่อ้อย อยากได้เงินกว่า 100 ล้านบาท ที่ถูกทนายตั้มโกงไปหรือไม่? ใครก็คาดเดาได้ว่า ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะนั่นมันแค่เศษเงินของจำนวนทั้งหมดที่พี่อ้อยมี . อีกทั้งกระบวนการทางคดี ก็เดินหน้ามาไกล จนเกินกว่าจะหันหลังกลับได้แล้ว . ท่ามกลางเสียงเชียร์กระหึ่มโลกโซเชียล พี่อ้อยอย่าไปใจอ่อนให้กับคนเนรคุณเด็ดขาด จัดหนัก “สุดซอย” เท่านั้น . เพราะต่างแน่ใจ คนอย่างทนายตั้ม เป็นภัยสังคมร้ายแรง ขืนปล่อยออกจากคุก ก็เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า จะมีคนต้องตกเป็นเหยื่อของทนายตั้ม อีกไม่รู้เท่าไร . นอกจากนี้ ทรัพย์สินเงินในธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์ ที่ ป.ป.ง. อายัดไว้เรียบร้อยแล้วนับร้อยล้านบาทนั้น เมื่อคดีถึงที่สุด ก็ต้องตกเป็นของพี่อ้อยอยู่ดี พี่อ้อยไม่จำเป็นต้องไปรับการชดใช้ใดๆ จากทนายตั้ม . ในแง่ของจังหวะเวลา ก็ถือว่าสายเกินไป พอรู้ว่าตัวเองจะแพ้แน่นอน จึงจะยอมขอคืนเงิน การแสดงออกแบบนี้ มันไม่น่าสงสาร กมลสันดานของโจรที่มาเป็นทนาย ก็คงไม่รู้สึกสำนึกผิดใดๆ การจะขอคืนเงินจึงแค่เป็นหมาก เพื่อหวังดิ้นให้หลุดจากการ “ติดคุกยาว” ก็เท่านั้น . อีกสายของทนายตั้ม ที่เคลื่อนไหวอย่างสอดประสานกัน คือการปรากฏตัวออกสื่อของพี่ชายคนสนิทที่ชื่อ “โอ๋” คนสมุทรสาครบ้านเดียวกัน ที่ย้ายไปตั้งรกรากที่ จ.เชียงราย ก่อนหน้านี้ สนธิ ลิ้มทองกุล ประกาศให้ช่วยกันติดตามค้นหาที่ซ่อนสมบัติของทนายตั้ม ที่ถูกยักย้ายถ่ายเทไป จนตู้เซฟยักษ์เหลือแต่ความว่างเปล่า . หนึ่งในรายชื่อที่สนธิชี้เป้า ก็คือ นายโอ๋ คนนี้เอง . โอ๋เหมือนเตรียมตัวมาอย่างดี ในการพูดกับสื่อ ยอมรับว่าสนิทกันจริงกับทนายตั้ม แต่ไม่รู้เรื่องทรัพย์สินใดๆ . แล้วก็พยายามเคลียร์ให้ทนายตั้ม ดูชั่วช้าสารเลวน้อยลง เช่น อ้างว่าทนายตั้ม ไม่ใช่ลูกน้องของบิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล แค่มาร่วมงานกันเท่านั้น . แต่เมื่อมองย้อนพฤติกรรมของทนายตั้ม ไม่ว่าจะสร้างเรื่องใส่ร้ายบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา สมัยเป็น ผบ.ตร. เรื่องจัดซื้อไบโอเมตริกซ์ . โผล่มาอาละวาดกับบิ๊กต่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล หรือไปตอแยยียวนใส่บิ๊กเต่า พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ระหว่างทำคดีบิ๊กโจ๊กฟอกเงิน . แต่ละบิ๊กที่ถูกทนายตั้มตามราวี ล้วนแต่เป็นคู่ปรับของบิ๊กโจ๊กทั้งสิ้น และคนที่ได้ประโยชน์เต็มๆ จากลีลาของทนายตั้ม ก็มีแต่บิ๊กโจ๊กคนเดียว . พฤติกรรมที่ผ่านมามันชัดเจน ไม่มีอะไรต้องสงสัย ทนายตั้มเป็นแค่ “ม้าใช้” ของบิ๊กโจ๊ก พี่โอ๋ของน้องตั้ม ยังพยายามเคลียร์ใจสนธิ ลิ้มทองกุล แทนให้ด้วย ถึงขนาดร่ำไห้แบบไม่มีน้ำตาออกมา . ชาวเนตได้เห็นได้ฟังทุกสิ่งที่โอ๋พร่ำพูดออกมา ก็มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ว่าคนๆ นี้ เชื่อถือไม่ได้ . หลายคนวิเคราะห์ว่า โอ๋น่าจะกลัวโดนกองปราบฯ ขุดไปถึงตัวเขาทางใดทางหนึ่ง เพราะเขาเองก็ดูร่ำรวย มีทรงของคนไม่ขาวปลอดสักเท่าไร . ตรรกะง่ายๆ ใครที่จะสนิทสนมซี้ปึ้กกับทนายตั้ม ก็ต้องมีศีลเสมอกัน มิฉะนั้น คงคบกันไม่ได้ยาวนานขนาดนี้ . อย่างพี่อ้อย ไปสนิทกับทนายตั้ม ความสัมพันธ์ก็พังครืนในเวลาแค่ปีเดียวเท่านั้น เพราะทนายตั้มไม่ได้นับพี่อ้อยเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นผู้มีพระคุณใดๆ . แต่มองพี่อ้อยเป็นเหยื่อโอชะ วางแผนที่จะฮุบทรัพย์สินมหาศาลของพี่อ้อย อย่างเป็นระบบ ........... Sondhi X
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 1095 Views 0 Reviews
  • ผู้เสียหายกว่า 20 ราย ร้องผบ.ตร.ช่วยเร่งรัดคดี หลังถูกหลอกลงทุนแชร์ลูกโซ่แอบอ้างบริษัทอสังหาชื่อดัง มีผู้เสียหายทั่วประเทศกว่า 8 พันคน บางรายหลงเชื่อลงทุนจนหมดตัวเครียดล้มป่วยเสียชีวิต มูลค่าความเสียหายกว่า 1 พันล้าน พบนักร้องเรียนหญิงคนดังอาจมีเอี่ยว•วันนี้ (18 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร หรือ เคนโด้ พาตัวแทนผู้เสียหาย 20 คนเข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เพื่อให้ดำเนินการเร่งรัดติดตามคดีกรณีแชร์ลูกโซ่ หลอกลงทุนอสังหาริมทรัพย์ พบมีผู้เสียหายทั่วประเทศกว่า 8 พันคน เสียหายกว่า 1 พันล้านบาท พบมีความเชื่อมโยงกับนักร้องเรียนหญิงคนดังอักษรย่อ ก.ไก่ โดยมีผู้เสียหายบางรายเครียดจนล้มป่วยเสียชีวิตเพราะหาทางออกไม่ได้ โดยมี พ.ต.อ.ชัยพร ออฟูวงศ์ รองผบก.ผก.นายตำรวจเวรอำนวยการเป็นตัวแทนรับหนังสือร้องเรียน•คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000110820•#MGROnline #ลงทุน #แชร์ลูกโซ่ #แอบอ้าง #บริษัทอสังหา
    ผู้เสียหายกว่า 20 ราย ร้องผบ.ตร.ช่วยเร่งรัดคดี หลังถูกหลอกลงทุนแชร์ลูกโซ่แอบอ้างบริษัทอสังหาชื่อดัง มีผู้เสียหายทั่วประเทศกว่า 8 พันคน บางรายหลงเชื่อลงทุนจนหมดตัวเครียดล้มป่วยเสียชีวิต มูลค่าความเสียหายกว่า 1 พันล้าน พบนักร้องเรียนหญิงคนดังอาจมีเอี่ยว•วันนี้ (18 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร หรือ เคนโด้ พาตัวแทนผู้เสียหาย 20 คนเข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เพื่อให้ดำเนินการเร่งรัดติดตามคดีกรณีแชร์ลูกโซ่ หลอกลงทุนอสังหาริมทรัพย์ พบมีผู้เสียหายทั่วประเทศกว่า 8 พันคน เสียหายกว่า 1 พันล้านบาท พบมีความเชื่อมโยงกับนักร้องเรียนหญิงคนดังอักษรย่อ ก.ไก่ โดยมีผู้เสียหายบางรายเครียดจนล้มป่วยเสียชีวิตเพราะหาทางออกไม่ได้ โดยมี พ.ต.อ.ชัยพร ออฟูวงศ์ รองผบก.ผก.นายตำรวจเวรอำนวยการเป็นตัวแทนรับหนังสือร้องเรียน•คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000110820•#MGROnline #ลงทุน #แชร์ลูกโซ่ #แอบอ้าง #บริษัทอสังหา
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews
  • เส้นทาง‘สุรเชชษฐ์’หลังศาลยกคำร้องอุทธรณ์.เผอิญมันก็มีข่าวกระฉ่อนเลย ทุกวงการ ว่ามีคนทำเงินตก 100 ล้านบ้าง 200 ล้านบ้าง 250 ล้านบ้าง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าข่าวนี้มาจากไหน แต่มีผลทำให้ท่านประธานศาลปกครองสูงสุดเรียกประชุมองค์คณะใหญ่ทันที และเอาเรื่องที่องค์คณะเล็กพิจารณาแล้ว เข้าเลย ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมีมติไม่รับคำร้องของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล แล้วมิหนำซ้ำ คำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ออกจากตำรวจนั้น เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายทุกอย่าง ก็ค่อนข้างจะแน่ชัดแล้ว รอเพียงการแถลงของเจ้าของคดีอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง.วัตถุประสงค์ของสุรเชชษฐ์ หักพาล ที่ต้องการกลับไป มีอยู่ข้อเดียว ต้องการไปใช้สิทธิ์ของตัวเองในฐานะเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอาวุโสอันดับหนึ่งที่เขาภูมิใจมาก เขาน่าจะรู้ดีว่าในช่วง 2 ปีจากนี้ไป พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ นั้น อย่างไรก็ยังเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่ โดยที่ไม่มีใครสามารถจะโค่นล้มได้ เพราะถูกต้องตามกฎหมาย .จะเริ่มมีปัญหาก็ตอนที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ จะเกษียณอายุ แล้วต้องเสนอรายชื่อคนที่จะเข้าไปเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนต่อไป ซึ่งผมคิดว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ มองประเด็นนี้มากกว่า เพราะความเป็นคนช่างฟ้อง และภูมิใจมากกับการเป็นผู้อาวุโสอันดับหนึ่ง แต่ พล.ต.อ.สุรเชษษฐ์ เอง ก็ลืมนึกไปว่า ในพระราชบัญญัติตำรวจชุดใหม่นี้ เขาไม่ได้ห้ามให้คณะกรรมการสามารถคัดเลือกคนอื่นที่ไม่ใช่อาวุโสอันดับหนึ่งได้ เปิดช่องเอาไว้.ในกรณีนี้ผมคิดว่าไม่สำเร็จ เพราะว่า พ.ร.บ.ตำรวจ ชัดเจนว่า นอกจากอาวุโสแล้ว ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม คุณเอาตำรวจซึ่งถูกคดีอาญา ถูกหมายจับจากศาล แล้วมีคดีที่อยู่ใน ป.ป.ช. ถึงแม้จะยังไม่มีการชี้มูลว่าผิดหรือไม่ผิด แต่มีการกล่าวหาไปแล้ว ส่งเข้าไปให้ ป.ป.ช. พิจารณา แค่นี้ก็เป็นตำหนิที่สำคัญมากแล้ว คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ก็ต้องคำนึงถึง "ความเหมาะสม" ตรงนี้ด้วย.ณ วันนี้ สุรเชชษฐ์ หักพาล ไม่ได้กลับเข้าตำรวจ และไม่ได้มีอำนาจเหมือนแต่ก่อน ตำรวจซึ่งเป็นลูกน้อง สุรเชชษฐ์ หักพาล รวมไปถึงสื่อมวลชนที่ยืนข้างสุรเชชษฐ์ มาตลอด ก็คือคุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ตีปี๊บขยับปีกดีอกดีใจจังว่านายกูจะกลับมาแล้ว แต่พวกนี้ลืมไปอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกเขาจะต้องแช่แข็งเด็กสาย พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ลูกน้องคุณสุรเชชษฐ์ หักพาล และผมยังเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า หน่วยงานที่จะต้องรื้อถึงรากถึงโคนเลยก็คือ สตม. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพราะนั่นเป็นฐานอำนาจของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล.แล้วพอคนใหม่ขึ้นมาอีก หลังจากที่สุรเชชษฐ์ ฟ้องแล้ว ผมเชื่อว่าศาลปกครองเมื่อดูข้อมูล ดู พ.ร.บ.แล้ว ดูคำว่า "เหมาะสม" ว่าอาวุโสอันดับหนึ่งไม่เหมาะสม เพราะโดนหมายจับ โดนคดีอาญา โดนร้องไปที่ ป.ป.ช. ตั้ง 3-4 คดี เขาก็บอกว่าคนนี้ไม่เหมาะสม ให้ไปที่คนที่สอง ถ้าคนที่สองขึ้นมา เขาก็อยู่อีก 2 ปี ก็เช่นกัน สองปีนี้ตำรวจสายสุรเชชษฐ์ หักพาล ก็จะถูกแช่แข็งต่อไปอีก 2 ปี สรุปแล้วแช่แข็งไป 4 ปี นี่ผมเตือนด้วยความหวังดี
    เส้นทาง‘สุรเชชษฐ์’หลังศาลยกคำร้องอุทธรณ์.เผอิญมันก็มีข่าวกระฉ่อนเลย ทุกวงการ ว่ามีคนทำเงินตก 100 ล้านบ้าง 200 ล้านบ้าง 250 ล้านบ้าง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าข่าวนี้มาจากไหน แต่มีผลทำให้ท่านประธานศาลปกครองสูงสุดเรียกประชุมองค์คณะใหญ่ทันที และเอาเรื่องที่องค์คณะเล็กพิจารณาแล้ว เข้าเลย ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมีมติไม่รับคำร้องของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล แล้วมิหนำซ้ำ คำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ออกจากตำรวจนั้น เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายทุกอย่าง ก็ค่อนข้างจะแน่ชัดแล้ว รอเพียงการแถลงของเจ้าของคดีอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง.วัตถุประสงค์ของสุรเชชษฐ์ หักพาล ที่ต้องการกลับไป มีอยู่ข้อเดียว ต้องการไปใช้สิทธิ์ของตัวเองในฐานะเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอาวุโสอันดับหนึ่งที่เขาภูมิใจมาก เขาน่าจะรู้ดีว่าในช่วง 2 ปีจากนี้ไป พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ นั้น อย่างไรก็ยังเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่ โดยที่ไม่มีใครสามารถจะโค่นล้มได้ เพราะถูกต้องตามกฎหมาย .จะเริ่มมีปัญหาก็ตอนที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ จะเกษียณอายุ แล้วต้องเสนอรายชื่อคนที่จะเข้าไปเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนต่อไป ซึ่งผมคิดว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ มองประเด็นนี้มากกว่า เพราะความเป็นคนช่างฟ้อง และภูมิใจมากกับการเป็นผู้อาวุโสอันดับหนึ่ง แต่ พล.ต.อ.สุรเชษษฐ์ เอง ก็ลืมนึกไปว่า ในพระราชบัญญัติตำรวจชุดใหม่นี้ เขาไม่ได้ห้ามให้คณะกรรมการสามารถคัดเลือกคนอื่นที่ไม่ใช่อาวุโสอันดับหนึ่งได้ เปิดช่องเอาไว้.ในกรณีนี้ผมคิดว่าไม่สำเร็จ เพราะว่า พ.ร.บ.ตำรวจ ชัดเจนว่า นอกจากอาวุโสแล้ว ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม คุณเอาตำรวจซึ่งถูกคดีอาญา ถูกหมายจับจากศาล แล้วมีคดีที่อยู่ใน ป.ป.ช. ถึงแม้จะยังไม่มีการชี้มูลว่าผิดหรือไม่ผิด แต่มีการกล่าวหาไปแล้ว ส่งเข้าไปให้ ป.ป.ช. พิจารณา แค่นี้ก็เป็นตำหนิที่สำคัญมากแล้ว คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ก็ต้องคำนึงถึง "ความเหมาะสม" ตรงนี้ด้วย.ณ วันนี้ สุรเชชษฐ์ หักพาล ไม่ได้กลับเข้าตำรวจ และไม่ได้มีอำนาจเหมือนแต่ก่อน ตำรวจซึ่งเป็นลูกน้อง สุรเชชษฐ์ หักพาล รวมไปถึงสื่อมวลชนที่ยืนข้างสุรเชชษฐ์ มาตลอด ก็คือคุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ตีปี๊บขยับปีกดีอกดีใจจังว่านายกูจะกลับมาแล้ว แต่พวกนี้ลืมไปอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกเขาจะต้องแช่แข็งเด็กสาย พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ลูกน้องคุณสุรเชชษฐ์ หักพาล และผมยังเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า หน่วยงานที่จะต้องรื้อถึงรากถึงโคนเลยก็คือ สตม. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพราะนั่นเป็นฐานอำนาจของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล.แล้วพอคนใหม่ขึ้นมาอีก หลังจากที่สุรเชชษฐ์ ฟ้องแล้ว ผมเชื่อว่าศาลปกครองเมื่อดูข้อมูล ดู พ.ร.บ.แล้ว ดูคำว่า "เหมาะสม" ว่าอาวุโสอันดับหนึ่งไม่เหมาะสม เพราะโดนหมายจับ โดนคดีอาญา โดนร้องไปที่ ป.ป.ช. ตั้ง 3-4 คดี เขาก็บอกว่าคนนี้ไม่เหมาะสม ให้ไปที่คนที่สอง ถ้าคนที่สองขึ้นมา เขาก็อยู่อีก 2 ปี ก็เช่นกัน สองปีนี้ตำรวจสายสุรเชชษฐ์ หักพาล ก็จะถูกแช่แข็งต่อไปอีก 2 ปี สรุปแล้วแช่แข็งไป 4 ปี นี่ผมเตือนด้วยความหวังดี
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 270 Views 0 Reviews
  • เมื่อ ป.ป.ช ฟ้าเปลี่ยนสี
    .
    ไม่เกินธันวาคมนี้ ก็จะมีเลือกตั้ง กรรมการ ป.ป.ช. ใหม่ ขณะนี้ ป.ป.ช. มีความจำเป็นต้องการคนเข้ามาเป็นกรรมการอย่างน้อย 7 คน ใน 10 คน ทำไมต้องเยอะขนาดนั้น ? เหตุผลเพราะว่าการพิจารณาข้าราชการตำแหน่งระดับสูง ระดับพลตำรวจเอกนั้น ต้องใช้กรรมการ ป.ป.ช. ประมาณ 7 คน แล้วคนที่จะเข้ามาใหม่ก็จะได้รับการเลือกเป็นกรรมการ ป.ป.ช.ในเดือนธันวาคมนี้ 2 คน มีอยู่คนหนึ่ง คือท่านประภาศ คงเอียด อดีตข้าราชการกระทรวงการคลัง และท่านประภาศนั้นกำลังรอโปรดเกล้าฯ อยู่
    .
    ป.ป.ช. นั้น ฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว คนที่เข้ามาใหม่ คือท่านภัทรศักดิ์ วรรณแสง อดีตรองประธานศาลฎีกา และกรรมการ ป.ป.ช. ที่เข้ามาใหม่ทุกคนรับรู้ถึงความเน่าเฟะของ ป.ป.ช. ในอดีต ยุคที่ พล.ต.อ.วัชรพล เป็นประธาน ป.ป.ช. คุณนิวัติไชย เป็นเลขาธิการ ป.ป.ช.
    .
    แล้วท่านผู้ชมไม่คิดหรือว่าคนที่เข้ามาใหม่ ท่านประธาน ป.ป.ช. แล้วคนที่เพิ่งได้รับเลือกแล้วเข้ามา เขาไม่ต้องการจะล้างภาพพจน์เลวๆ ของ ป.ป.ช. ออกหรือ? เขาต้องการเช็ด ทำความสะอาด ป.ป.ช.
    .
    และท่านเลขาฯ ป.ป.ช. คนใหม่ ท่านเป็นคนลูกหม้อของ ป.ป.ช. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. คนไหนส่วนไหน ที่เป็นคณะอนุกรรมการคอยพิจารณาเรื่องของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ แล้วก็เก็บเรื่องเอาไว้ ช่วยเหลือเอาไว้ ผมถามว่าท่านเลขาฯ ป.ป.ช. คนใหม่ ท่านจะไม่รู้หรือว่าเป็นใครบ้าง ท่านรู้ ท่านรู้หมด ผมถึงกล้าพูดว่านี่คือฟ้าเปลี่ยนสี
    .
    เมื่อฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว ไม่เกิน 2 ปี (2568-2569) เราจะเริ่มเห็นคดีที่สุรเชชษฐ์ หักพาล จะต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่กระทำความผิดขึ้นมา อย่างน้อยที่สุดก็คือการแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จ จากการให้เช่าพระจากเฮียอั๊ง โดยอ้างว่าเฮียอั๊งให้สุรเชชษฐ์ ไปหาท่านผู้ว่าฯ ที่เกษียณแล้ว อายุ 90 ปี ท่านไปแจ้งความที่ สน.ตลิ่งชัน ว่าท่านไม่เคยรู้เรื่องเลย ท่านไม่เคยรู้จักสุรเชชษฐ์ หักพาล แล้วเฮียอั๊ง ก็ไม่ได้สนิท มาขอเช่าพระองค์หนึ่งมูลค่าหมื่นกว่าบาท แล้ว ป.ป.ช. ก็เข้าไปสอบท่านแล้วด้วย ท่านก็ให้การเป็นไปตามที่ผมพูด ตอนนี้รออย่างเดียว
    .
    คุณสุรเชชษฐ์ ครับ 2568-2569 ไม่เกินสองปีนี้ ชีวิตคุณจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะเลย เพราะว่าถ้ามีการเอาเรื่องแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จขึ้นมา เพราะว่าได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ใน ป.ป.ช. ปิดบังข้อเท็จจริงและไม่ยอมพิจารณา ถ้าพิจารณาแล้วมีความผิด เขาชี้มูลความผิดเลย เมื่อเขาชี้มูลความผิดปัง เผอิญท่านไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว เพราะท่านถูกให้ออก ไม่เป็นไร แต่สมมุติมองในมุมกลับ ถ้าท่านยังเป็นรอง ผบ.ตร. อยู่ ถ้าถูกชี้มูลความผิด ต้องให้ออกจากราชการเช่นกัน แล้วกระบวนการก็คือว่า เมื่อชี้มูลความผิดแล้ว ก็ส่งไปอัยการ อัยการพิจารณาแล้ว มีข้อมูลข้อเท็จจริง หลักฐานที่ฟ้องได้ ก็จะฟ้อง ถ้าอัยการถูกวิ่งเต้น จะโดยใครก็ตาม ไม่ยอมฟ้อง เรื่องก็กลับไปที่ ป.ป.ช. ป.ป.ช. ก็จำเป็นต้องฟ้องเอง
    .
    นี่คือภาพรวมทั้งหมดที่ผมตีแผ่ให้ดู ว่าชีวิตคุณจากนี้ไป ไม่ใช่สนุกสนาน คุณฟ้องผม 4-5 คดี เดี๋ยววันหน้าวันหลังผมจะเอาคดีที่คุณฟ้องผมมาว่ามีอะไรบ้าง แล้วคุณจงใจไปฟ้องผมที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะคุณรู้จักกับผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่นั่นหรือเปล่า ไม่เป็นไรครับ หนังเรื่องนี้ยังต้องดูกันอีกยาวนาน แต่อันหนึ่งที่แน่นอน ผมไม่ยอมแพ้คุณหรอก
    เมื่อ ป.ป.ช ฟ้าเปลี่ยนสี . ไม่เกินธันวาคมนี้ ก็จะมีเลือกตั้ง กรรมการ ป.ป.ช. ใหม่ ขณะนี้ ป.ป.ช. มีความจำเป็นต้องการคนเข้ามาเป็นกรรมการอย่างน้อย 7 คน ใน 10 คน ทำไมต้องเยอะขนาดนั้น ? เหตุผลเพราะว่าการพิจารณาข้าราชการตำแหน่งระดับสูง ระดับพลตำรวจเอกนั้น ต้องใช้กรรมการ ป.ป.ช. ประมาณ 7 คน แล้วคนที่จะเข้ามาใหม่ก็จะได้รับการเลือกเป็นกรรมการ ป.ป.ช.ในเดือนธันวาคมนี้ 2 คน มีอยู่คนหนึ่ง คือท่านประภาศ คงเอียด อดีตข้าราชการกระทรวงการคลัง และท่านประภาศนั้นกำลังรอโปรดเกล้าฯ อยู่ . ป.ป.ช. นั้น ฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว คนที่เข้ามาใหม่ คือท่านภัทรศักดิ์ วรรณแสง อดีตรองประธานศาลฎีกา และกรรมการ ป.ป.ช. ที่เข้ามาใหม่ทุกคนรับรู้ถึงความเน่าเฟะของ ป.ป.ช. ในอดีต ยุคที่ พล.ต.อ.วัชรพล เป็นประธาน ป.ป.ช. คุณนิวัติไชย เป็นเลขาธิการ ป.ป.ช. . แล้วท่านผู้ชมไม่คิดหรือว่าคนที่เข้ามาใหม่ ท่านประธาน ป.ป.ช. แล้วคนที่เพิ่งได้รับเลือกแล้วเข้ามา เขาไม่ต้องการจะล้างภาพพจน์เลวๆ ของ ป.ป.ช. ออกหรือ? เขาต้องการเช็ด ทำความสะอาด ป.ป.ช. . และท่านเลขาฯ ป.ป.ช. คนใหม่ ท่านเป็นคนลูกหม้อของ ป.ป.ช. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. คนไหนส่วนไหน ที่เป็นคณะอนุกรรมการคอยพิจารณาเรื่องของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ แล้วก็เก็บเรื่องเอาไว้ ช่วยเหลือเอาไว้ ผมถามว่าท่านเลขาฯ ป.ป.ช. คนใหม่ ท่านจะไม่รู้หรือว่าเป็นใครบ้าง ท่านรู้ ท่านรู้หมด ผมถึงกล้าพูดว่านี่คือฟ้าเปลี่ยนสี . เมื่อฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว ไม่เกิน 2 ปี (2568-2569) เราจะเริ่มเห็นคดีที่สุรเชชษฐ์ หักพาล จะต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่กระทำความผิดขึ้นมา อย่างน้อยที่สุดก็คือการแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จ จากการให้เช่าพระจากเฮียอั๊ง โดยอ้างว่าเฮียอั๊งให้สุรเชชษฐ์ ไปหาท่านผู้ว่าฯ ที่เกษียณแล้ว อายุ 90 ปี ท่านไปแจ้งความที่ สน.ตลิ่งชัน ว่าท่านไม่เคยรู้เรื่องเลย ท่านไม่เคยรู้จักสุรเชชษฐ์ หักพาล แล้วเฮียอั๊ง ก็ไม่ได้สนิท มาขอเช่าพระองค์หนึ่งมูลค่าหมื่นกว่าบาท แล้ว ป.ป.ช. ก็เข้าไปสอบท่านแล้วด้วย ท่านก็ให้การเป็นไปตามที่ผมพูด ตอนนี้รออย่างเดียว . คุณสุรเชชษฐ์ ครับ 2568-2569 ไม่เกินสองปีนี้ ชีวิตคุณจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะเลย เพราะว่าถ้ามีการเอาเรื่องแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จขึ้นมา เพราะว่าได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ใน ป.ป.ช. ปิดบังข้อเท็จจริงและไม่ยอมพิจารณา ถ้าพิจารณาแล้วมีความผิด เขาชี้มูลความผิดเลย เมื่อเขาชี้มูลความผิดปัง เผอิญท่านไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว เพราะท่านถูกให้ออก ไม่เป็นไร แต่สมมุติมองในมุมกลับ ถ้าท่านยังเป็นรอง ผบ.ตร. อยู่ ถ้าถูกชี้มูลความผิด ต้องให้ออกจากราชการเช่นกัน แล้วกระบวนการก็คือว่า เมื่อชี้มูลความผิดแล้ว ก็ส่งไปอัยการ อัยการพิจารณาแล้ว มีข้อมูลข้อเท็จจริง หลักฐานที่ฟ้องได้ ก็จะฟ้อง ถ้าอัยการถูกวิ่งเต้น จะโดยใครก็ตาม ไม่ยอมฟ้อง เรื่องก็กลับไปที่ ป.ป.ช. ป.ป.ช. ก็จำเป็นต้องฟ้องเอง . นี่คือภาพรวมทั้งหมดที่ผมตีแผ่ให้ดู ว่าชีวิตคุณจากนี้ไป ไม่ใช่สนุกสนาน คุณฟ้องผม 4-5 คดี เดี๋ยววันหน้าวันหลังผมจะเอาคดีที่คุณฟ้องผมมาว่ามีอะไรบ้าง แล้วคุณจงใจไปฟ้องผมที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะคุณรู้จักกับผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่นั่นหรือเปล่า ไม่เป็นไรครับ หนังเรื่องนี้ยังต้องดูกันอีกยาวนาน แต่อันหนึ่งที่แน่นอน ผมไม่ยอมแพ้คุณหรอก
    Like
    7
    0 Comments 0 Shares 721 Views 0 Reviews
  • เส้นทาง‘สุรเชชษฐ์’หลังศาลยกคำร้องอุทธรณ์
    .
    เผอิญมันก็มีข่าวกระฉ่อนเลย ทุกวงการ ว่ามีคนทำเงินตก 100 ล้านบ้าง 200 ล้านบ้าง 250 ล้านบ้าง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าข่าวนี้มาจากไหน แต่มีผลทำให้ท่านประธานศาลปกครองสูงสุดเรียกประชุมองค์คณะใหญ่ทันที และเอาเรื่องที่องค์คณะเล็กพิจารณาแล้ว เข้าเลย ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมีมติไม่รับคำร้องของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล แล้วมิหนำซ้ำ คำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ออกจากตำรวจนั้น เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายทุกอย่าง ก็ค่อนข้างจะแน่ชัดแล้ว รอเพียงการแถลงของเจ้าของคดีอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง
    .
    วัตถุประสงค์ของสุรเชชษฐ์ หักพาล ที่ต้องการกลับไป มีอยู่ข้อเดียว ต้องการไปใช้สิทธิ์ของตัวเองในฐานะเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอาวุโสอันดับหนึ่งที่เขาภูมิใจมาก เขาน่าจะรู้ดีว่าในช่วง 2 ปีจากนี้ไป พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ นั้น อย่างไรก็ยังเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่ โดยที่ไม่มีใครสามารถจะโค่นล้มได้ เพราะถูกต้องตามกฎหมาย
    .
    จะเริ่มมีปัญหาก็ตอนที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ จะเกษียณอายุ แล้วต้องเสนอรายชื่อคนที่จะเข้าไปเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนต่อไป ซึ่งผมคิดว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ มองประเด็นนี้มากกว่า เพราะความเป็นคนช่างฟ้อง และภูมิใจมากกับการเป็นผู้อาวุโสอันดับหนึ่ง แต่ พล.ต.อ.สุรเชษษฐ์ เอง ก็ลืมนึกไปว่า ในพระราชบัญญัติตำรวจชุดใหม่นี้ เขาไม่ได้ห้ามให้คณะกรรมการสามารถคัดเลือกคนอื่นที่ไม่ใช่อาวุโสอันดับหนึ่งได้ เปิดช่องเอาไว้
    .
    ในกรณีนี้ผมคิดว่าไม่สำเร็จ เพราะว่า พ.ร.บ.ตำรวจ ชัดเจนว่า นอกจากอาวุโสแล้ว ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม คุณเอาตำรวจซึ่งถูกคดีอาญา ถูกหมายจับจากศาล แล้วมีคดีที่อยู่ใน ป.ป.ช. ถึงแม้จะยังไม่มีการชี้มูลว่าผิดหรือไม่ผิด แต่มีการกล่าวหาไปแล้ว ส่งเข้าไปให้ ป.ป.ช. พิจารณา แค่นี้ก็เป็นตำหนิที่สำคัญมากแล้ว คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ก็ต้องคำนึงถึง "ความเหมาะสม" ตรงนี้ด้วย
    .
    ณ วันนี้ สุรเชชษฐ์ หักพาล ไม่ได้กลับเข้าตำรวจ และไม่ได้มีอำนาจเหมือนแต่ก่อน ตำรวจซึ่งเป็นลูกน้อง สุรเชชษฐ์ หักพาล รวมไปถึงสื่อมวลชนที่ยืนข้างสุรเชชษฐ์ มาตลอด ก็คือคุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ตีปี๊บขยับปีกดีอกดีใจจังว่านายกูจะกลับมาแล้ว แต่พวกนี้ลืมไปอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกเขาจะต้องแช่แข็งเด็กสาย พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ลูกน้องคุณสุรเชชษฐ์ หักพาล และผมยังเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า หน่วยงานที่จะต้องรื้อถึงรากถึงโคนเลยก็คือ สตม. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพราะนั่นเป็นฐานอำนาจของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล
    .
    แล้วพอคนใหม่ขึ้นมาอีก หลังจากที่สุรเชชษฐ์ ฟ้องแล้ว ผมเชื่อว่าศาลปกครองเมื่อดูข้อมูล ดู พ.ร.บ.แล้ว ดูคำว่า "เหมาะสม" ว่าอาวุโสอันดับหนึ่งไม่เหมาะสม เพราะโดนหมายจับ โดนคดีอาญา โดนร้องไปที่ ป.ป.ช. ตั้ง 3-4 คดี เขาก็บอกว่าคนนี้ไม่เหมาะสม ให้ไปที่คนที่สอง ถ้าคนที่สองขึ้นมา เขาก็อยู่อีก 2 ปี ก็เช่นกัน สองปีนี้ตำรวจสายสุรเชชษฐ์ หักพาล ก็จะถูกแช่แข็งต่อไปอีก 2 ปี สรุปแล้วแช่แข็งไป 4 ปี นี่ผมเตือนด้วยความหวังดี
    เส้นทาง‘สุรเชชษฐ์’หลังศาลยกคำร้องอุทธรณ์ . เผอิญมันก็มีข่าวกระฉ่อนเลย ทุกวงการ ว่ามีคนทำเงินตก 100 ล้านบ้าง 200 ล้านบ้าง 250 ล้านบ้าง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าข่าวนี้มาจากไหน แต่มีผลทำให้ท่านประธานศาลปกครองสูงสุดเรียกประชุมองค์คณะใหญ่ทันที และเอาเรื่องที่องค์คณะเล็กพิจารณาแล้ว เข้าเลย ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมีมติไม่รับคำร้องของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล แล้วมิหนำซ้ำ คำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ออกจากตำรวจนั้น เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายทุกอย่าง ก็ค่อนข้างจะแน่ชัดแล้ว รอเพียงการแถลงของเจ้าของคดีอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง . วัตถุประสงค์ของสุรเชชษฐ์ หักพาล ที่ต้องการกลับไป มีอยู่ข้อเดียว ต้องการไปใช้สิทธิ์ของตัวเองในฐานะเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอาวุโสอันดับหนึ่งที่เขาภูมิใจมาก เขาน่าจะรู้ดีว่าในช่วง 2 ปีจากนี้ไป พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ นั้น อย่างไรก็ยังเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่ โดยที่ไม่มีใครสามารถจะโค่นล้มได้ เพราะถูกต้องตามกฎหมาย . จะเริ่มมีปัญหาก็ตอนที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ จะเกษียณอายุ แล้วต้องเสนอรายชื่อคนที่จะเข้าไปเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนต่อไป ซึ่งผมคิดว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ มองประเด็นนี้มากกว่า เพราะความเป็นคนช่างฟ้อง และภูมิใจมากกับการเป็นผู้อาวุโสอันดับหนึ่ง แต่ พล.ต.อ.สุรเชษษฐ์ เอง ก็ลืมนึกไปว่า ในพระราชบัญญัติตำรวจชุดใหม่นี้ เขาไม่ได้ห้ามให้คณะกรรมการสามารถคัดเลือกคนอื่นที่ไม่ใช่อาวุโสอันดับหนึ่งได้ เปิดช่องเอาไว้ . ในกรณีนี้ผมคิดว่าไม่สำเร็จ เพราะว่า พ.ร.บ.ตำรวจ ชัดเจนว่า นอกจากอาวุโสแล้ว ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม คุณเอาตำรวจซึ่งถูกคดีอาญา ถูกหมายจับจากศาล แล้วมีคดีที่อยู่ใน ป.ป.ช. ถึงแม้จะยังไม่มีการชี้มูลว่าผิดหรือไม่ผิด แต่มีการกล่าวหาไปแล้ว ส่งเข้าไปให้ ป.ป.ช. พิจารณา แค่นี้ก็เป็นตำหนิที่สำคัญมากแล้ว คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ก็ต้องคำนึงถึง "ความเหมาะสม" ตรงนี้ด้วย . ณ วันนี้ สุรเชชษฐ์ หักพาล ไม่ได้กลับเข้าตำรวจ และไม่ได้มีอำนาจเหมือนแต่ก่อน ตำรวจซึ่งเป็นลูกน้อง สุรเชชษฐ์ หักพาล รวมไปถึงสื่อมวลชนที่ยืนข้างสุรเชชษฐ์ มาตลอด ก็คือคุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ตีปี๊บขยับปีกดีอกดีใจจังว่านายกูจะกลับมาแล้ว แต่พวกนี้ลืมไปอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกเขาจะต้องแช่แข็งเด็กสาย พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ลูกน้องคุณสุรเชชษฐ์ หักพาล และผมยังเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า หน่วยงานที่จะต้องรื้อถึงรากถึงโคนเลยก็คือ สตม. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพราะนั่นเป็นฐานอำนาจของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล . แล้วพอคนใหม่ขึ้นมาอีก หลังจากที่สุรเชชษฐ์ ฟ้องแล้ว ผมเชื่อว่าศาลปกครองเมื่อดูข้อมูล ดู พ.ร.บ.แล้ว ดูคำว่า "เหมาะสม" ว่าอาวุโสอันดับหนึ่งไม่เหมาะสม เพราะโดนหมายจับ โดนคดีอาญา โดนร้องไปที่ ป.ป.ช. ตั้ง 3-4 คดี เขาก็บอกว่าคนนี้ไม่เหมาะสม ให้ไปที่คนที่สอง ถ้าคนที่สองขึ้นมา เขาก็อยู่อีก 2 ปี ก็เช่นกัน สองปีนี้ตำรวจสายสุรเชชษฐ์ หักพาล ก็จะถูกแช่แข็งต่อไปอีก 2 ปี สรุปแล้วแช่แข็งไป 4 ปี นี่ผมเตือนด้วยความหวังดี
    Like
    5
    1 Comments 0 Shares 684 Views 0 Reviews
  • อัยการสูงสุดชี้ขาดฟ้อง 4 ผู้ต้องหาผิดสมคบฟอกเงินคดีพัวพันเว็บพนัน เครือข่าย ‘มินนี่’ ตามความเห็นแย้ง ผบ.ตร. ส่วนคดีที่ ‘บิ๊กโจ๊ก’ และตัว "มินนี่" ตกเป็นผู้ต้องหา สำนวนคดียังอยู่ ป.ป.ช.ไม่คืบหน้าวันนี้ (13 พ.ย.) นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองกำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ได้ส่งสำนวนสอบสวนคดีที่ 724/2566 คดีระหว่าง พ.ต.ท.มนต์ชัย บุญเลิศ กล่าวหา นายณัฐวัตร พิมพ์สวัสดิ์ กับพวกรวม 61 คน ผู้ต้องหา ฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน อันขัดต่อบทแห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน มายังสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 เพื่อพิจารณาดำเนินการโดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 4 - 7, 15 - 19, 27, 31 – 32, 38 – 39, 44, 49 – 51, 53, 55 และที่ 59 รวม 21 คน และมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ยังไม่ได้ตัวมา รวม 20 คน คือ ผู้ต้องหาที่ 28, 30, 33 – 36, 40 – 43, 45 – 48, 52, 54, 56 – 58, ที่ 60 ตามข้อกล่าวหาและมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 8 –11 รวม 4 คน (ผู้ต้องหาที่ 9 และ 10 หลบหนี) ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงินต่อมา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 8 - 11 และส่งสำนวนมายังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1อัยการสูงสุด พิจารณาแล้วมีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง ผู้ต้องหาที่ 8 และผู้ต้องหาที่ 11 และชี้ขาดควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 9 และผู้ต้องหาที่ 10 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 9, 60 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 มาตรา 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ตามความเห็นแย้งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมทั้งแจ้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจัดการให้ได้ตัวผู้ต้องหาที่ 9 และ 10 มาดำเนินคดีภายในอายุความ 15 ปี นับแต่วันกระทำความผิดผู้ต้องหาที่ 1 - 3, ที่ 12 - 14, ที่ 20 - 26 และที่ 61 รวม 14 คน สำนวนอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงาน ป.ป.ช. และผู้ต้องหาที่ 29 และ 37 อีก 2 คน เป็นเยาวชน ส่วนผลความคืบหน้าทางคดีเป็นประการใด สำนักงานอัยการสูงสุดจะแจ้งให้ทราบต่อไปผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับ ผู้ต้องหาที่ 1 - 3, ที่ 12 - 14, ที่ 20 - 26 และ ที่ 61 รวม 14 คน ซึ่งมี พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล เเละ น.ส.ธันยนันท์ หรือสุชานันท์ หรือ "มินนี่" รวมอยู่ด้วยนั้นเป็นกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่ง ป.ป.ช.ขอสำนวนคืนจากอัยการไป ขณะนี้ยังไม่ปรากฎความคืบหน้า
    อัยการสูงสุดชี้ขาดฟ้อง 4 ผู้ต้องหาผิดสมคบฟอกเงินคดีพัวพันเว็บพนัน เครือข่าย ‘มินนี่’ ตามความเห็นแย้ง ผบ.ตร. ส่วนคดีที่ ‘บิ๊กโจ๊ก’ และตัว "มินนี่" ตกเป็นผู้ต้องหา สำนวนคดียังอยู่ ป.ป.ช.ไม่คืบหน้าวันนี้ (13 พ.ย.) นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองกำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ได้ส่งสำนวนสอบสวนคดีที่ 724/2566 คดีระหว่าง พ.ต.ท.มนต์ชัย บุญเลิศ กล่าวหา นายณัฐวัตร พิมพ์สวัสดิ์ กับพวกรวม 61 คน ผู้ต้องหา ฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน อันขัดต่อบทแห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน มายังสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 เพื่อพิจารณาดำเนินการโดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 4 - 7, 15 - 19, 27, 31 – 32, 38 – 39, 44, 49 – 51, 53, 55 และที่ 59 รวม 21 คน และมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ยังไม่ได้ตัวมา รวม 20 คน คือ ผู้ต้องหาที่ 28, 30, 33 – 36, 40 – 43, 45 – 48, 52, 54, 56 – 58, ที่ 60 ตามข้อกล่าวหาและมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 8 –11 รวม 4 คน (ผู้ต้องหาที่ 9 และ 10 หลบหนี) ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงินต่อมา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 8 - 11 และส่งสำนวนมายังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1อัยการสูงสุด พิจารณาแล้วมีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง ผู้ต้องหาที่ 8 และผู้ต้องหาที่ 11 และชี้ขาดควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 9 และผู้ต้องหาที่ 10 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 9, 60 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 มาตรา 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ตามความเห็นแย้งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมทั้งแจ้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจัดการให้ได้ตัวผู้ต้องหาที่ 9 และ 10 มาดำเนินคดีภายในอายุความ 15 ปี นับแต่วันกระทำความผิดผู้ต้องหาที่ 1 - 3, ที่ 12 - 14, ที่ 20 - 26 และที่ 61 รวม 14 คน สำนวนอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงาน ป.ป.ช. และผู้ต้องหาที่ 29 และ 37 อีก 2 คน เป็นเยาวชน ส่วนผลความคืบหน้าทางคดีเป็นประการใด สำนักงานอัยการสูงสุดจะแจ้งให้ทราบต่อไปผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับ ผู้ต้องหาที่ 1 - 3, ที่ 12 - 14, ที่ 20 - 26 และ ที่ 61 รวม 14 คน ซึ่งมี พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล เเละ น.ส.ธันยนันท์ หรือสุชานันท์ หรือ "มินนี่" รวมอยู่ด้วยนั้นเป็นกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่ง ป.ป.ช.ขอสำนวนคืนจากอัยการไป ขณะนี้ยังไม่ปรากฎความคืบหน้า
    Like
    Love
    3
    0 Comments 0 Shares 373 Views 0 Reviews
  • ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดถกเครียด ปมคดี ‘บิ๊กโจ๊ก’ ขอคืนตำแหน่งหลังกระแสข่าวองค์คณะฯ ชุดเล็กมีมติเห็นว่าคำสั่งให้ออกจากราชการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

    วันนี้( 13 พ.ย.) ที่ศาลปกครองกลาง ถนนเเจ้งวัฒนะ ตั้งแต่เวลา 09.30น. นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธานการประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด โดยมีรายงานว่าจะมีการนำประเด็นข้อกฎหมายในคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 ที่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ยื่นฟ้อง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.), นายกรัฐมนตรีเป็น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 เมื่อวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมาเข้สพิจารณา

    ซึ่งปรากฏว่าตั้งแต่เช้ามีผู้สื่อข่าวมาติดตามผลการประชุมจำนวนมาก

    โดยเจ้าหน้าที่ศาลปกครอง เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมใหญ่ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดและเป็นการประชุมภายใน มีตุลาการศาลปกครองสูงสุดเข้าร่วม 40-50 คน โดยวาระที่จะพิจารณาในวันนี้มี 4-5 วาระ เป็นความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/politics/detail/9670000109260

    #MGROnline #ศาลปกครอง #บิ๊กโจ๊ก #ขอคืนตำแหน่ง
    ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดถกเครียด ปมคดี ‘บิ๊กโจ๊ก’ ขอคืนตำแหน่งหลังกระแสข่าวองค์คณะฯ ชุดเล็กมีมติเห็นว่าคำสั่งให้ออกจากราชการไม่ชอบด้วยกฎหมาย • วันนี้( 13 พ.ย.) ที่ศาลปกครองกลาง ถนนเเจ้งวัฒนะ ตั้งแต่เวลา 09.30น. นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธานการประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด โดยมีรายงานว่าจะมีการนำประเด็นข้อกฎหมายในคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 ที่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ยื่นฟ้อง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.), นายกรัฐมนตรีเป็น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 เมื่อวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมาเข้สพิจารณา • ซึ่งปรากฏว่าตั้งแต่เช้ามีผู้สื่อข่าวมาติดตามผลการประชุมจำนวนมาก • โดยเจ้าหน้าที่ศาลปกครอง เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมใหญ่ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดและเป็นการประชุมภายใน มีตุลาการศาลปกครองสูงสุดเข้าร่วม 40-50 คน โดยวาระที่จะพิจารณาในวันนี้มี 4-5 วาระ เป็นความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9670000109260 • #MGROnline #ศาลปกครอง #บิ๊กโจ๊ก #ขอคืนตำแหน่ง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 306 Views 0 Reviews
  • 'กมธ.มั่นคง' กุมขมับ หน่วยงานรัฐตีกรรเชียง ไม่ให้ข้อมูลกรณีชั้น 14
    .
    การสืบสาวราวของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ในเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นที่พักพิงแทนเรือนจำของนายทักษิณ ชินวัตร นั้น ปรากฎว่าคณะกรรมาธิการฯ ใกล้เคียงกับคำว่าคว้าน้ำเหลวเข้าไปทุกที
    .
    ทั้งนี้ เป็นเพราะไม่มีหน่วยงานของรัฐให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล หรือแม้แต่บุคคลสำคัญอย่างพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. รวมไปถึง พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯคาดว่าจะมาให้ข้อมูล สุดท้ายคดีพลิก เนื่องจากไม่ได้มาร่วมประชุมแต่อย่างใด
    .
    นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ ยอมรับว่า ตลอดการทำหน้าที่ของประธาน กมธ. 53 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการน้อยที่สุด และหน่วยงานราชการไม่อยากจะตอบอะไร ทำให้ความสงสัยของสังคมกรณีชั้น 14 ก็คงจะต้องมีอยู่ต่อไป
    .
    "ความจำเป็นที่จะหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ต่อไป ตนเชื่อว่า ศรัทธาและความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ทุกฝ่ายต้องมีส่วนช่วยให้กระบวนการยุติธรรมของเราได้รับความเชื่อมั่นอย่างมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" นายรังสิมันต์ ระบุ
    .
    ขณะที่ การประชุมคณะกรรมาธิการฯ มีเพียงการมาให้ข้อมูลของอดีตผู้บริหารโรงพยาบาลตำรวจอย่าง พล.ต.ต.สรวุฒิ เหล่ารัตนวรพงษ์ อดีตรองนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ แต่คณะกรรมาธิการฯก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรมากนัก เนื่องจากอดีตนายตำรวจรายนี้ แจ้งเพียงว่า ช่วงที่ทำหน้าที่เป็นรองนายแพทย์ใหญ่ ไม่ทราบข้อมูลผู้ป่วย เพราะกำลังทำเรื่องเออรี่รีไทร์ และพักร้อนในช่วงนั้น เมื่อมีหนังสือส่งตัวมาให้รักษา เราก็รักษา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะผู้ป่วยและความเห็นของแพทย์ที่ดูแลด้วย โดยส่วนตัวเชี่ยวชาญด้านผ่าตัดผ่านกล้อง ไม่ได้เป็นผู้ผ่าตัดนายทักษิณ ส่วนนายทักษิณจะผ่าตัดหรือไม่ ตนเองไม่ทราบ เพราะตอนนั้นลาพักร้อน 3 สัปดาห์ ส่วนการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจจะสั้นหรือยาว ขึ้นอยู่กับภาวะของโรค ส่วนตัวไม่เคยไปรักษาชั้น 14 ไม่สามารถตอบได้ ขณะที่เรื่องการบันทึกภาพระหว่างรักษาตัว ก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่จากประสบการณ์ที่เคยรักษาผู้ต้องขังนั้น ไม่เคยเห็นต้องบันทึกภาพ
    ..............
    Sondhi X
    'กมธ.มั่นคง' กุมขมับ หน่วยงานรัฐตีกรรเชียง ไม่ให้ข้อมูลกรณีชั้น 14 . การสืบสาวราวของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ในเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นที่พักพิงแทนเรือนจำของนายทักษิณ ชินวัตร นั้น ปรากฎว่าคณะกรรมาธิการฯ ใกล้เคียงกับคำว่าคว้าน้ำเหลวเข้าไปทุกที . ทั้งนี้ เป็นเพราะไม่มีหน่วยงานของรัฐให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล หรือแม้แต่บุคคลสำคัญอย่างพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. รวมไปถึง พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯคาดว่าจะมาให้ข้อมูล สุดท้ายคดีพลิก เนื่องจากไม่ได้มาร่วมประชุมแต่อย่างใด . นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ ยอมรับว่า ตลอดการทำหน้าที่ของประธาน กมธ. 53 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการน้อยที่สุด และหน่วยงานราชการไม่อยากจะตอบอะไร ทำให้ความสงสัยของสังคมกรณีชั้น 14 ก็คงจะต้องมีอยู่ต่อไป . "ความจำเป็นที่จะหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ต่อไป ตนเชื่อว่า ศรัทธาและความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ทุกฝ่ายต้องมีส่วนช่วยให้กระบวนการยุติธรรมของเราได้รับความเชื่อมั่นอย่างมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" นายรังสิมันต์ ระบุ . ขณะที่ การประชุมคณะกรรมาธิการฯ มีเพียงการมาให้ข้อมูลของอดีตผู้บริหารโรงพยาบาลตำรวจอย่าง พล.ต.ต.สรวุฒิ เหล่ารัตนวรพงษ์ อดีตรองนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ แต่คณะกรรมาธิการฯก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรมากนัก เนื่องจากอดีตนายตำรวจรายนี้ แจ้งเพียงว่า ช่วงที่ทำหน้าที่เป็นรองนายแพทย์ใหญ่ ไม่ทราบข้อมูลผู้ป่วย เพราะกำลังทำเรื่องเออรี่รีไทร์ และพักร้อนในช่วงนั้น เมื่อมีหนังสือส่งตัวมาให้รักษา เราก็รักษา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะผู้ป่วยและความเห็นของแพทย์ที่ดูแลด้วย โดยส่วนตัวเชี่ยวชาญด้านผ่าตัดผ่านกล้อง ไม่ได้เป็นผู้ผ่าตัดนายทักษิณ ส่วนนายทักษิณจะผ่าตัดหรือไม่ ตนเองไม่ทราบ เพราะตอนนั้นลาพักร้อน 3 สัปดาห์ ส่วนการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจจะสั้นหรือยาว ขึ้นอยู่กับภาวะของโรค ส่วนตัวไม่เคยไปรักษาชั้น 14 ไม่สามารถตอบได้ ขณะที่เรื่องการบันทึกภาพระหว่างรักษาตัว ก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่จากประสบการณ์ที่เคยรักษาผู้ต้องขังนั้น ไม่เคยเห็นต้องบันทึกภาพ .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    2
    0 Comments 0 Shares 759 Views 0 Reviews
  • ผช.ผบ.ตร.เผย "ทนายตั้ม-ภรรยา" เตรียมหลบหนีออกนอกประเทศ หลังทราบข่าวศาลออกหมายจับ ยันไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

    วันนี้ (7 พ.ย.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 16.12 น. พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยกรณีการจับกุมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาว่า คดีดังกล่าวทาง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้กำชับเข้ามาดูแล ให้ตำรวจสอบสวนด้วยความรัดกุม รอบคอบ โดยที่ผ่านมาตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานมาระยะหนึ่งจนแน่นหนาก่อนจะออกหมายจับในวันนี้

    พล.ต.ท.อัคราเดช กล่าวต่อว่าเท่าที่ทราบ ทนายตั้มและภรรยามีพฤติการณ์จะหลบหนีออกนอกประเทศ เพราะอาจตัวรู้ว่าศาลจะออกหมายจับ เนื่องจากทางตำรวจ ขอหมายจับช่วงเวลา 11.00 น. แต่ทนายตั้มออกจากบ้านย่านตลิ่งชันในเวลา 09.00 น. วันเดียวกัน โดยขับรถมุ่งหน้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตะวันออก แต่ตำรวจได้ติดตามจนประสานตำรวจทางหลวงในพื้นที่ช่วยกันสกัดจับก่อนจะหนีออกนอกประเทศไปได้ โดยตำรวจเริ่มสะกดรอยจนพบว่าเริ่มขับออกจากกรุงเทพมหานครและเขตปริมณฑลจึงตัดสินใจเข้าจับกุมเนื่องจากสมรรถนะรถตำรวจไม่เทียบเท่ารถที่ทนายตั้มและภรรยาใช้เดินทาง และมีแนวโน้มออกนอกประเทศ หากปล่อยไว้เนิ่นนานอาจจะติดตามได้ยาก

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000107393

    #MGROnline #ทนายตั้ม #ทนายตั้มโดนจับ
    ผช.ผบ.ตร.เผย "ทนายตั้ม-ภรรยา" เตรียมหลบหนีออกนอกประเทศ หลังทราบข่าวศาลออกหมายจับ ยันไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม • วันนี้ (7 พ.ย.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 16.12 น. พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยกรณีการจับกุมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาว่า คดีดังกล่าวทาง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้กำชับเข้ามาดูแล ให้ตำรวจสอบสวนด้วยความรัดกุม รอบคอบ โดยที่ผ่านมาตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานมาระยะหนึ่งจนแน่นหนาก่อนจะออกหมายจับในวันนี้ • พล.ต.ท.อัคราเดช กล่าวต่อว่าเท่าที่ทราบ ทนายตั้มและภรรยามีพฤติการณ์จะหลบหนีออกนอกประเทศ เพราะอาจตัวรู้ว่าศาลจะออกหมายจับ เนื่องจากทางตำรวจ ขอหมายจับช่วงเวลา 11.00 น. แต่ทนายตั้มออกจากบ้านย่านตลิ่งชันในเวลา 09.00 น. วันเดียวกัน โดยขับรถมุ่งหน้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตะวันออก แต่ตำรวจได้ติดตามจนประสานตำรวจทางหลวงในพื้นที่ช่วยกันสกัดจับก่อนจะหนีออกนอกประเทศไปได้ โดยตำรวจเริ่มสะกดรอยจนพบว่าเริ่มขับออกจากกรุงเทพมหานครและเขตปริมณฑลจึงตัดสินใจเข้าจับกุมเนื่องจากสมรรถนะรถตำรวจไม่เทียบเท่ารถที่ทนายตั้มและภรรยาใช้เดินทาง และมีแนวโน้มออกนอกประเทศ หากปล่อยไว้เนิ่นนานอาจจะติดตามได้ยาก • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000107393 • #MGROnline #ทนายตั้ม #ทนายตั้มโดนจับ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • ตำรวจสอบสวนกลาง รวบ "ทนายตั้ม" พร้อมภรรยา ขณะขับปอร์เช่กลางถนน หลังพบพากันขยับหลบหนีไปพื้นที่ อ.พนมสารคาม แจ้งข้อหาหนักฐานฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน หิ้วตัวเข้ากองปราบเค้นสอบ

    วันนี้ (7 พ.ย.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์ุเพ็ชร์ ผบ.ตร.และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ 238/2567 นำพยานและหลักฐาน ไปยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ในข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน

    นอกจากนี้ยัง ยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา "ทนายตั้ม" ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน จากคดีที่มาดามอ้อย เข้าแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม รวบตัวเอาไว้ได้ขณะพากัน ขับขี่รถเก๋งปอร์เช่รุ่น Cayenne สีน้ำตาลทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออกผ่านอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะนำตัวทั้ง 2 ราย เข้าไปสอบปากคำดำเนินคดีที่กอง

    #MGROnline #ทนายตั้ม #ทนายตั้มโดนจับ
    ตำรวจสอบสวนกลาง รวบ "ทนายตั้ม" พร้อมภรรยา ขณะขับปอร์เช่กลางถนน หลังพบพากันขยับหลบหนีไปพื้นที่ อ.พนมสารคาม แจ้งข้อหาหนักฐานฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน หิ้วตัวเข้ากองปราบเค้นสอบ • วันนี้ (7 พ.ย.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์ุเพ็ชร์ ผบ.ตร.และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ 238/2567 นำพยานและหลักฐาน ไปยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ในข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน • นอกจากนี้ยัง ยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา "ทนายตั้ม" ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน จากคดีที่มาดามอ้อย เข้าแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม รวบตัวเอาไว้ได้ขณะพากัน ขับขี่รถเก๋งปอร์เช่รุ่น Cayenne สีน้ำตาลทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออกผ่านอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะนำตัวทั้ง 2 ราย เข้าไปสอบปากคำดำเนินคดีที่กอง • #MGROnline #ทนายตั้ม #ทนายตั้มโดนจับ
    0 Comments 0 Shares 307 Views 0 Reviews

  • จับแล้ว "ทนายตั้ม-เมีย" !ตำรวจตั้ง 3 ข้อหาหนัก “ฉ้อโกง-ฟอกเงิน-ร่วมกันฟอกเงิน”

    7 พฤศจิกายน 2567-รายงานข่าวSondhiX ระบุว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ 238/2567 นำพยานและหลักฐาน ไปยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5337/2567 ลง วันที่ 7 พ.ย. 67 เพื่อให้จับกุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ในข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน
    .
    นอกจากนี้ยัง ยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา "ทนายตั้ม" ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน จากคดีที่มาดามอ้อย เข้าแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม รวบตัวเอาไว้ได้ขณะพากัน ขับขี่รถเก๋งปอร์เช่รุ่น Cayenne สีน้ำตาลทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออกผ่านอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะนำตัวทั้ง 2 ราย เข้าไปสอบปากคำดำเนินคดีที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในช่วงเย็นต่อไป

    ที่มา Sondhi X

    #Thaitimes
    จับแล้ว "ทนายตั้ม-เมีย" !ตำรวจตั้ง 3 ข้อหาหนัก “ฉ้อโกง-ฟอกเงิน-ร่วมกันฟอกเงิน” 7 พฤศจิกายน 2567-รายงานข่าวSondhiX ระบุว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ 238/2567 นำพยานและหลักฐาน ไปยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5337/2567 ลง วันที่ 7 พ.ย. 67 เพื่อให้จับกุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ในข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน . นอกจากนี้ยัง ยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา "ทนายตั้ม" ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน จากคดีที่มาดามอ้อย เข้าแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม รวบตัวเอาไว้ได้ขณะพากัน ขับขี่รถเก๋งปอร์เช่รุ่น Cayenne สีน้ำตาลทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออกผ่านอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะนำตัวทั้ง 2 ราย เข้าไปสอบปากคำดำเนินคดีที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในช่วงเย็นต่อไป ที่มา Sondhi X #Thaitimes
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 635 Views 0 Reviews
  • เดชากลับลำแทบไม่ทัน ระบุคดีทนายตั้มรอดยาก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ตำรวจ
    .
    ทนายเดชากลับลำไม่อุ้มษิทรา ชี้หลักฐานจากเพจ "ดาวแปดแฉก" สแกมเมอร์คือใคร อาจเป็นจุดจบทนายดัง น่าจะรอดยากปล่อยให้เป็นหน้าที่ตำรวจ ชาวเน็ตแห่แซวพลิกลิ้น 360 องศา ถามหันหัวเรือแล้วหรือ พบเมื่อคืนตำหนิน้องรักทะเลาะกับสื่อขาดสติทำให้เพิ่มศัตรู
    .
    วันนี้ (6 พ.ย.) เฟซบุ๊ก "ทนายเดชา" ของนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ และประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ โพสต์ข้อความถึงคดีฉ้อโกงของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ระบุว่า "จุดจบทนายตั้มคดีฉ้อโกงลูกความ? ให้ไปดูที่ #เพจดาวแปดแฉก #อาจเป็นจุดจบทนายดัง" พร้อมระบุคอมเมนต์เพิ่มเติมว่า "พยานหลักฐานที่เพจดาวแปดแฉกนำมาเสนอ มีข้อเท็จจริงที่น่าสนใจว่า สแกมเมอร์คือใคร คือผู้ต้องหาในคดีนี้หรือไม่ และที่สำคัญมีการนำแคชเชียร์เช็คไปเบิกเงิน หลังจากนั้นใครรับแคชเชียร์เช็คไป ทุกคนแบ่งหน้าที่กันทำ แคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีใคร ใครได้เงินจากการหลอกลวง อาจเป็นจุดจบทนายดัง พยานหลักฐานสำคัญกว่าน้ำลาย บิ๊กโจ๊ก (พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล) กล่าวไว้ว่ากรรมใครกรรมมัน" และว่า "พยานหลักฐานล่าสุดจนถึงวันนี้ทนายตั้มน่าจะรอดยากแล้วครับ"
    .
    เมื่อชาวเน็ตถามว่า "วันนี้อาจารย์เดชากินยาผิดเหรอครับ" นายเดชา กล่าวว่า "ข้อมูลเพิ่มเติม การวิพากษ์วิจารณ์ก็ต้องเปลี่ยนไป ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่ได้รับมา" เมื่อถามว่า คิดว่าทนายตั้มจะรอดไหม นายเดชา กล่าวว่า "จนถึงเวลานี้เท่าที่ได้ข้อมูลรอดยาก" นอกจากนี้ ยังมีชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นอื่นๆ เช่น "ถ้าหลักฐานไม่แน่นพอ คุณสนธิไม่ลงเล่นด้วยหรอก ระดับไหนแล้ว" "น่าจะมีคนพลิกลิ้น 360 องศาแล้วล่ะครับ" "โดนลุงสนธิพูดไปหน่อย หันหัวเรือเเล้วหรอครับ" "ตอนแรกเหมือนเข้าข้างทนายด้วยกันอยู่เลย" "อาจารย์จะมาทิ้งน้องรักแบบนี้ไม่ได้นะครับ" "อ้าวน้าเดย์ สละเรือแล้วเหรอครับ ไม่หนุกเลย" เป็นต้น
    .
    ต่อมานายเดชาโพสต์ภาพเซลฟี่ตัวเอง ภายในท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ พร้อมข้อความระบุว่า "รอขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองไปว่าความที่พิษณุโลกครับ คดีทนายดังปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจครับ ชีวิตมีอะไรที่น่าค้นหามากกว่านี้ เย็นนี้แเพื่อนัดเพื่อนดื่มไวน์ตามประสาคนขี้เมาครับ"
    .
    รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า เมื่อวานนี้ (5 พ.ย.) เวลาประมาณ 22.11 น. นายเดชาโพสต์ข้อความว่า "วันนี้ทนายตั้มพลาดเป็นอย่างมาก ทะเลาะกับสื่อขาดสติทำให้เพิ่มศัตรู" และคอมเมนต์ว่า "ศัตรูเก่าศัตรูใหม่รวมทั้งสื่อมวลชนสหบาทาเล่นงานทนายตั้มจนแทบไม่มีที่ยืนในสังคม" "ทนายตั้มเติบโตมาจากโซเชียลเติบโตมาจากการใช้ประโยชน์จากสื่อมวลชนแต่วันนี้กลับไปพูดในลักษณะดูถูกสื่อมวลชนโดยเฉพาะคุณพุทธอภิวันท์เป็นเรื่องที่ผิดพลาดเป็นอย่างมาก" และ "การไม่ควบคุมอารมณ์ขณะให้สัมภาษณ์เช่นกรณีไม่ให้ดาวแปดแฉกสัมภาษณ์ ส่วนตัวผมถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติสื่อมวลชน"
    .
    ข้อความดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากที่นายพุทธอภิวรรณ องค์พระบารมี ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 จัดรายการลุยชนข่าว ตอบโต้นายษิทราที่ไปกล่าวหาว่ามีนักข่าวไปคุกคามชีวิตถึงบ้าน และขอให้นายพุทธอภิวรรณเลิกคุกคามชีวิตส่วนตัวก่อน และยังกล่าวว่า ไม่ให้สัมภาษณ์กับเพจดาวแปดแฉก ระหว่างปรากฎตัวครั้งแรกหลังตกเป็นข่าวคดีฉ้อโกง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ที่กองปราบปราม โดยนายพุทธอภิวรรณยืนยันว่าตนและทีมข่าวช่อง 8 ไม่เคยคุกคาม อีกทั้งคดีหวย 30 ล้าน นายษิทราเคยแนะให้ถามคู่กรณี และฝ่ายคู่กรณีก็ไม่เคยพูดว่าสื่อคุกคาม
    ..............
    Sondhi X
    เดชากลับลำแทบไม่ทัน ระบุคดีทนายตั้มรอดยาก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ตำรวจ . ทนายเดชากลับลำไม่อุ้มษิทรา ชี้หลักฐานจากเพจ "ดาวแปดแฉก" สแกมเมอร์คือใคร อาจเป็นจุดจบทนายดัง น่าจะรอดยากปล่อยให้เป็นหน้าที่ตำรวจ ชาวเน็ตแห่แซวพลิกลิ้น 360 องศา ถามหันหัวเรือแล้วหรือ พบเมื่อคืนตำหนิน้องรักทะเลาะกับสื่อขาดสติทำให้เพิ่มศัตรู . วันนี้ (6 พ.ย.) เฟซบุ๊ก "ทนายเดชา" ของนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ และประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ โพสต์ข้อความถึงคดีฉ้อโกงของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ระบุว่า "จุดจบทนายตั้มคดีฉ้อโกงลูกความ? ให้ไปดูที่ #เพจดาวแปดแฉก #อาจเป็นจุดจบทนายดัง" พร้อมระบุคอมเมนต์เพิ่มเติมว่า "พยานหลักฐานที่เพจดาวแปดแฉกนำมาเสนอ มีข้อเท็จจริงที่น่าสนใจว่า สแกมเมอร์คือใคร คือผู้ต้องหาในคดีนี้หรือไม่ และที่สำคัญมีการนำแคชเชียร์เช็คไปเบิกเงิน หลังจากนั้นใครรับแคชเชียร์เช็คไป ทุกคนแบ่งหน้าที่กันทำ แคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีใคร ใครได้เงินจากการหลอกลวง อาจเป็นจุดจบทนายดัง พยานหลักฐานสำคัญกว่าน้ำลาย บิ๊กโจ๊ก (พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล) กล่าวไว้ว่ากรรมใครกรรมมัน" และว่า "พยานหลักฐานล่าสุดจนถึงวันนี้ทนายตั้มน่าจะรอดยากแล้วครับ" . เมื่อชาวเน็ตถามว่า "วันนี้อาจารย์เดชากินยาผิดเหรอครับ" นายเดชา กล่าวว่า "ข้อมูลเพิ่มเติม การวิพากษ์วิจารณ์ก็ต้องเปลี่ยนไป ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่ได้รับมา" เมื่อถามว่า คิดว่าทนายตั้มจะรอดไหม นายเดชา กล่าวว่า "จนถึงเวลานี้เท่าที่ได้ข้อมูลรอดยาก" นอกจากนี้ ยังมีชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นอื่นๆ เช่น "ถ้าหลักฐานไม่แน่นพอ คุณสนธิไม่ลงเล่นด้วยหรอก ระดับไหนแล้ว" "น่าจะมีคนพลิกลิ้น 360 องศาแล้วล่ะครับ" "โดนลุงสนธิพูดไปหน่อย หันหัวเรือเเล้วหรอครับ" "ตอนแรกเหมือนเข้าข้างทนายด้วยกันอยู่เลย" "อาจารย์จะมาทิ้งน้องรักแบบนี้ไม่ได้นะครับ" "อ้าวน้าเดย์ สละเรือแล้วเหรอครับ ไม่หนุกเลย" เป็นต้น . ต่อมานายเดชาโพสต์ภาพเซลฟี่ตัวเอง ภายในท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ พร้อมข้อความระบุว่า "รอขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองไปว่าความที่พิษณุโลกครับ คดีทนายดังปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจครับ ชีวิตมีอะไรที่น่าค้นหามากกว่านี้ เย็นนี้แเพื่อนัดเพื่อนดื่มไวน์ตามประสาคนขี้เมาครับ" . รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า เมื่อวานนี้ (5 พ.ย.) เวลาประมาณ 22.11 น. นายเดชาโพสต์ข้อความว่า "วันนี้ทนายตั้มพลาดเป็นอย่างมาก ทะเลาะกับสื่อขาดสติทำให้เพิ่มศัตรู" และคอมเมนต์ว่า "ศัตรูเก่าศัตรูใหม่รวมทั้งสื่อมวลชนสหบาทาเล่นงานทนายตั้มจนแทบไม่มีที่ยืนในสังคม" "ทนายตั้มเติบโตมาจากโซเชียลเติบโตมาจากการใช้ประโยชน์จากสื่อมวลชนแต่วันนี้กลับไปพูดในลักษณะดูถูกสื่อมวลชนโดยเฉพาะคุณพุทธอภิวันท์เป็นเรื่องที่ผิดพลาดเป็นอย่างมาก" และ "การไม่ควบคุมอารมณ์ขณะให้สัมภาษณ์เช่นกรณีไม่ให้ดาวแปดแฉกสัมภาษณ์ ส่วนตัวผมถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติสื่อมวลชน" . ข้อความดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากที่นายพุทธอภิวรรณ องค์พระบารมี ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 จัดรายการลุยชนข่าว ตอบโต้นายษิทราที่ไปกล่าวหาว่ามีนักข่าวไปคุกคามชีวิตถึงบ้าน และขอให้นายพุทธอภิวรรณเลิกคุกคามชีวิตส่วนตัวก่อน และยังกล่าวว่า ไม่ให้สัมภาษณ์กับเพจดาวแปดแฉก ระหว่างปรากฎตัวครั้งแรกหลังตกเป็นข่าวคดีฉ้อโกง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ที่กองปราบปราม โดยนายพุทธอภิวรรณยืนยันว่าตนและทีมข่าวช่อง 8 ไม่เคยคุกคาม อีกทั้งคดีหวย 30 ล้าน นายษิทราเคยแนะให้ถามคู่กรณี และฝ่ายคู่กรณีก็ไม่เคยพูดว่าสื่อคุกคาม .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    Yay
    11
    1 Comments 0 Shares 1155 Views 0 Reviews
  • ถึงเวลาแก้กฏหมายยุบอำนาจ DSI มีไปทำไม
    .
    29 ตุลาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการกลั่นกรองการรับคดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มีมติรับ "ดิ ไอคอน" เป็นคดีพิเศษ พร้อมเห็นพ้องแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในความผิดที่เข้าข่าย พ.ร.ก.กู้ยืมเงินเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่
    .
    ในยุคของทวี สอดส่อง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมไม่เคยมีความโปร่งใส ทำอะไรมีเงื่อนงำตลอด การแก้ตัวปกป้องทักษิณ ชินวัตรพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจนั้น ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคนสั่งการให้กับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้ดำเนินการเช่นนี้
    .
    พอมาถึงดีเอสไอแล้ว การที่รับโอนเรื่องดิไอคอนมา ผมยังตั้งคำถามเดิมๆอยู่เหมือนเดิม คือผมบอกว่าดีเอสไอทำงานชิ้นนี้ไม่สำเร็จ ผมฟันธงไว้ตอนนี้ ผมให้ไม่เกิน 6 เดือน เพราะ หนึ่ง ดีเอสไอไม่มีคน เรื่องนี้เป็นเรื่องการฉ้อโกงประชาชนทั่วประเทศ มีผู้ที่มากล่าวหาเป็นหมื่นคน ดีเอสไอจะมีปัญญาอะไร ถ้าไม่ได้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านช่วยเหลือ บอกว่ายังจะใช้โรงพักรับเรื่องอยู่ แล้วก็ส่งมาให้ดีเอสไอ
    .
    อีกเรื่องหนึ่งที่ดีเอสไอเองก็น้ำท่วมปาก พูดไม่ออก เพราะว่าดีเอสไอนั่งทับขี้ไว้เยอะ ผมถามต่อ ว่า แล้วทำไมคดีเก่าๆ อย่างเช่น FOREX-3D สิบกว่าปีแล้ว จนถึงวันนี้ ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่ายังทำไม่จบเลย ,คดีการปั่นหุ้น STARK ทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์ไปเป็นพันๆ คน ไปไหนแล้วก็ไม่รู้,ตอนนี้ คดี THE EARTH ก็เงียบกริบและเรื่องของบางคนเข้าไปโกงบริษัท GGC ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในเครือ ปตท. สร้างสต๊อกลม มูลค่าความเสียหายสองพันกว่าล้าน แล้วพอตำรวจสอบสวนกลางเอาเรื่องนี้เข้าไปทำจวนจะจบแล้ว จะส่งฟ้องอัยการแต่ใครก็ไม่รู้วิ่งเต้นให้ดีเอสไอ ใช้อำนาจทางกฎหมายรับเรื่องนี้ไปให้ดีเอสไอ มาถึงวันนี้ก็ไม่ได้ไปไหน แช่ไว้เฉยๆ
    .
    เราจะมีดีเอสไอไปทำไมแบบนี้ ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าดีเอสไอ ผู้ใหญ่ในดีเอสไอบางคน นักการเมืองบางคน มันรับเงินรับทองของผู้ที่ทำผิด พอเงินทองมา การสอบสวนมันก็อ่อนด้อย นี่คือจุดอ่อนของพวกคุณ คุณยุทธนา แพรดำ คุณก็คงจะออกมาแก้ตัว รับประกันนู่นนี่
    .
    ขอโทษ ท่านอธิบดีดีเอสไอ คุณยุทธนา แพรดำ ผมจำเป็นต้องพูด เพราะนี่คือความจริงมีหนึ่งเดียว ประชาชนเขารู้กันหมด ท่านผู้ชมฟังเรื่องนี้ให้ดีๆ เรานอกจากจะต้องดิ้นรนต่อต้านดีเอสไอแล้ว ต้องหาทางยุบมัน หรือแก้กฎหมาย แล้วก็ให้สอบสวนกลางมีอำนาจมากขึ้น มีการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น มีการฝึกอบรมมากขึ้น เพื่อให้คนในสอบสวนกลางสามารถที่จะมีทักษะ มีศักยภาพ มีทรัพยากร มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยในการเป็นเสาหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    .
    จำคำพูดผมไว้ ผมเคยทำนายอะไรเอาไว้ ไม่เคยผิดพลาด คุณยุทธนา แพรดำ คุณทำไม่สำเร็จหรอก และผมจะดูการยื่นขอประกันตัวของนายบอสพอล งวดนี้ ผมหวังว่าดีเอสไอจะยังค้านการประกันตัวเหมือนเดิมนะครับ ที่ผมกลัวก็คือว่า พอยื่นประกันตัวอีกครั้งหนึ่ง ศาลท่านถามว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ โจทก์ว่าอย่างไร ดีเอสไอไม่ค้านครับ ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะ มันเป็นไปได้

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/15TCsxyisV/

    #Thaitimes
    ถึงเวลาแก้กฏหมายยุบอำนาจ DSI มีไปทำไม . 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการกลั่นกรองการรับคดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มีมติรับ "ดิ ไอคอน" เป็นคดีพิเศษ พร้อมเห็นพ้องแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในความผิดที่เข้าข่าย พ.ร.ก.กู้ยืมเงินเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่ . ในยุคของทวี สอดส่อง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมไม่เคยมีความโปร่งใส ทำอะไรมีเงื่อนงำตลอด การแก้ตัวปกป้องทักษิณ ชินวัตรพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจนั้น ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคนสั่งการให้กับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้ดำเนินการเช่นนี้ . พอมาถึงดีเอสไอแล้ว การที่รับโอนเรื่องดิไอคอนมา ผมยังตั้งคำถามเดิมๆอยู่เหมือนเดิม คือผมบอกว่าดีเอสไอทำงานชิ้นนี้ไม่สำเร็จ ผมฟันธงไว้ตอนนี้ ผมให้ไม่เกิน 6 เดือน เพราะ หนึ่ง ดีเอสไอไม่มีคน เรื่องนี้เป็นเรื่องการฉ้อโกงประชาชนทั่วประเทศ มีผู้ที่มากล่าวหาเป็นหมื่นคน ดีเอสไอจะมีปัญญาอะไร ถ้าไม่ได้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านช่วยเหลือ บอกว่ายังจะใช้โรงพักรับเรื่องอยู่ แล้วก็ส่งมาให้ดีเอสไอ . อีกเรื่องหนึ่งที่ดีเอสไอเองก็น้ำท่วมปาก พูดไม่ออก เพราะว่าดีเอสไอนั่งทับขี้ไว้เยอะ ผมถามต่อ ว่า แล้วทำไมคดีเก่าๆ อย่างเช่น FOREX-3D สิบกว่าปีแล้ว จนถึงวันนี้ ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่ายังทำไม่จบเลย ,คดีการปั่นหุ้น STARK ทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์ไปเป็นพันๆ คน ไปไหนแล้วก็ไม่รู้,ตอนนี้ คดี THE EARTH ก็เงียบกริบและเรื่องของบางคนเข้าไปโกงบริษัท GGC ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในเครือ ปตท. สร้างสต๊อกลม มูลค่าความเสียหายสองพันกว่าล้าน แล้วพอตำรวจสอบสวนกลางเอาเรื่องนี้เข้าไปทำจวนจะจบแล้ว จะส่งฟ้องอัยการแต่ใครก็ไม่รู้วิ่งเต้นให้ดีเอสไอ ใช้อำนาจทางกฎหมายรับเรื่องนี้ไปให้ดีเอสไอ มาถึงวันนี้ก็ไม่ได้ไปไหน แช่ไว้เฉยๆ . เราจะมีดีเอสไอไปทำไมแบบนี้ ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าดีเอสไอ ผู้ใหญ่ในดีเอสไอบางคน นักการเมืองบางคน มันรับเงินรับทองของผู้ที่ทำผิด พอเงินทองมา การสอบสวนมันก็อ่อนด้อย นี่คือจุดอ่อนของพวกคุณ คุณยุทธนา แพรดำ คุณก็คงจะออกมาแก้ตัว รับประกันนู่นนี่ . ขอโทษ ท่านอธิบดีดีเอสไอ คุณยุทธนา แพรดำ ผมจำเป็นต้องพูด เพราะนี่คือความจริงมีหนึ่งเดียว ประชาชนเขารู้กันหมด ท่านผู้ชมฟังเรื่องนี้ให้ดีๆ เรานอกจากจะต้องดิ้นรนต่อต้านดีเอสไอแล้ว ต้องหาทางยุบมัน หรือแก้กฎหมาย แล้วก็ให้สอบสวนกลางมีอำนาจมากขึ้น มีการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น มีการฝึกอบรมมากขึ้น เพื่อให้คนในสอบสวนกลางสามารถที่จะมีทักษะ มีศักยภาพ มีทรัพยากร มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยในการเป็นเสาหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ . จำคำพูดผมไว้ ผมเคยทำนายอะไรเอาไว้ ไม่เคยผิดพลาด คุณยุทธนา แพรดำ คุณทำไม่สำเร็จหรอก และผมจะดูการยื่นขอประกันตัวของนายบอสพอล งวดนี้ ผมหวังว่าดีเอสไอจะยังค้านการประกันตัวเหมือนเดิมนะครับ ที่ผมกลัวก็คือว่า พอยื่นประกันตัวอีกครั้งหนึ่ง ศาลท่านถามว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ โจทก์ว่าอย่างไร ดีเอสไอไม่ค้านครับ ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะ มันเป็นไปได้ ที่มา https://www.facebook.com/share/p/15TCsxyisV/ #Thaitimes
    Like
    Yay
    3
    0 Comments 0 Shares 635 Views 0 Reviews
  • ถึงเวลาแก้กฏหมายยุบอำนาจ DSI มีไปทำไม
    .
    29 ตุลาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการกลั่นกรองการรับคดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มีมติรับ "ดิ ไอคอน" เป็นคดีพิเศษ พร้อมเห็นพ้องแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในความผิดที่เข้าข่าย พ.ร.ก.กู้ยืมเงินเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่
    .
    ในยุคของทวี สอดส่อง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมไม่เคยมีความโปร่งใส ทำอะไรมีเงื่อนงำตลอด การแก้ตัวปกป้องทักษิณ ชินวัตรพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจนั้น ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคนสั่งการให้กับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้ดำเนินการเช่นนี้
    .
    พอมาถึงดีเอสไอแล้ว การที่รับโอนเรื่องดิไอคอนมา ผมยังตั้งคำถามเดิมๆอยู่เหมือนเดิม คือผมบอกว่าดีเอสไอทำงานชิ้นนี้ไม่สำเร็จ ผมฟันธงไว้ตอนนี้ ผมให้ไม่เกิน 6 เดือน เพราะ หนึ่ง ดีเอสไอไม่มีคน เรื่องนี้เป็นเรื่องการฉ้อโกงประชาชนทั่วประเทศ มีผู้ที่มากล่าวหาเป็นหมื่นคน ดีเอสไอจะมีปัญญาอะไร ถ้าไม่ได้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านช่วยเหลือ บอกว่ายังจะใช้โรงพักรับเรื่องอยู่ แล้วก็ส่งมาให้ดีเอสไอ
    .
    อีกเรื่องหนึ่งที่ดีเอสไอเองก็น้ำท่วมปาก พูดไม่ออก เพราะว่าดีเอสไอนั่งทับขี้ไว้เยอะ ผมถามต่อ ว่า แล้วทำไมคดีเก่าๆ อย่างเช่น FOREX-3D สิบกว่าปีแล้ว จนถึงวันนี้ ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่ายังทำไม่จบเลย ,คดีการปั่นหุ้น STARK ทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์ไปเป็นพันๆ คน ไปไหนแล้วก็ไม่รู้,ตอนนี้ คดี THE EARTTH ก็เงียบกริบและเรื่องของบางคนเข้าไปโกงบริษัท GGC ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในเครือ ปตท. สร้างสต๊อกลม มูลค่าความเสียหายสองพันกว่าล้าน แล้วพอตำรวจสอบสวนกลางเอาเรื่องนี้เข้าไปทำจวนจะจบแล้ว จะส่งฟ้องอัยการแต่ใครก็ไม่รู้วิ่งเต้นให้ดีเอสไอ ใช้อำนาจทางกฎหมายรับเรื่องนี้ไปให้ดีเอสไอ มาถึงวันนี้ก็ไม่ได้ไปไหน แช่ไว้เฉยๆ
    .
    เราจะมีดีเอสไอไปทำไมแบบนี้ ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าดีเอสไอ ผู้ใหญ่ในดีเอสไอบางคน นักการเมืองบางคน มันรับเงินรับทองของผู้ที่ทำผิด พอเงินทองมา การสอบสวนมันก็อ่อนด้อย นี่คือจุดอ่อนของพวกคุณ คุณยุทธนา แพรดำ คุณก็คงจะออกมาแก้ตัว รับประกันนู่นนี่
    .
    ขอโทษ ท่านอธิบดีดีเอสไอ คุณยุทธนา แพรดำ ผมจำเป็นต้องพูด เพราะนี่คือความจริงมีหนึ่งเดียว ประชาชนเขารู้กันหมด ท่านผู้ชมฟังเรื่องนี้ให้ดีๆ เรานอกจากจะต้องดิ้นรนต่อต้านดีเอสไอแล้ว ต้องหาทางยุบมัน หรือแก้กฎหมาย แล้วก็ให้สอบสวนกลางมีอำนาจมากขึ้น มีการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น มีการฝึกอบรมมากขึ้น เพื่อให้คนในสอบสวนกลางสามารถที่จะมีทักษะ มีศักยภาพ มีทรัพยากร มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยในการเป็นเสาหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    .
    จำคำพูดผมไว้ ผมเคยทำนายอะไรเอาไว้ ไม่เคยผิดพลาด คุณยุทธนา แพรดำ คุณทำไม่สำเร็จหรอก และผมจะดูการยื่นขอประกันตัวของนายบอสพอล งวดนี้ ผมหวังว่าดีเอสไอจะยังค้านการประกันตัวเหมือนเดิมนะครับ ที่ผมกลัวก็คือว่า พอยื่นประกันตัวอีกครั้งหนึ่ง ศาลท่านถามว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ โจทก์ว่าอย่างไร ดีเอสไอไม่ค้านครับ ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะ มันเป็นไปได้
    ถึงเวลาแก้กฏหมายยุบอำนาจ DSI มีไปทำไม . 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการกลั่นกรองการรับคดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มีมติรับ "ดิ ไอคอน" เป็นคดีพิเศษ พร้อมเห็นพ้องแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในความผิดที่เข้าข่าย พ.ร.ก.กู้ยืมเงินเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่ . ในยุคของทวี สอดส่อง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมไม่เคยมีความโปร่งใส ทำอะไรมีเงื่อนงำตลอด การแก้ตัวปกป้องทักษิณ ชินวัตรพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจนั้น ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคนสั่งการให้กับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้ดำเนินการเช่นนี้ . พอมาถึงดีเอสไอแล้ว การที่รับโอนเรื่องดิไอคอนมา ผมยังตั้งคำถามเดิมๆอยู่เหมือนเดิม คือผมบอกว่าดีเอสไอทำงานชิ้นนี้ไม่สำเร็จ ผมฟันธงไว้ตอนนี้ ผมให้ไม่เกิน 6 เดือน เพราะ หนึ่ง ดีเอสไอไม่มีคน เรื่องนี้เป็นเรื่องการฉ้อโกงประชาชนทั่วประเทศ มีผู้ที่มากล่าวหาเป็นหมื่นคน ดีเอสไอจะมีปัญญาอะไร ถ้าไม่ได้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านช่วยเหลือ บอกว่ายังจะใช้โรงพักรับเรื่องอยู่ แล้วก็ส่งมาให้ดีเอสไอ . อีกเรื่องหนึ่งที่ดีเอสไอเองก็น้ำท่วมปาก พูดไม่ออก เพราะว่าดีเอสไอนั่งทับขี้ไว้เยอะ ผมถามต่อ ว่า แล้วทำไมคดีเก่าๆ อย่างเช่น FOREX-3D สิบกว่าปีแล้ว จนถึงวันนี้ ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่ายังทำไม่จบเลย ,คดีการปั่นหุ้น STARK ทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์ไปเป็นพันๆ คน ไปไหนแล้วก็ไม่รู้,ตอนนี้ คดี THE EARTTH ก็เงียบกริบและเรื่องของบางคนเข้าไปโกงบริษัท GGC ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในเครือ ปตท. สร้างสต๊อกลม มูลค่าความเสียหายสองพันกว่าล้าน แล้วพอตำรวจสอบสวนกลางเอาเรื่องนี้เข้าไปทำจวนจะจบแล้ว จะส่งฟ้องอัยการแต่ใครก็ไม่รู้วิ่งเต้นให้ดีเอสไอ ใช้อำนาจทางกฎหมายรับเรื่องนี้ไปให้ดีเอสไอ มาถึงวันนี้ก็ไม่ได้ไปไหน แช่ไว้เฉยๆ . เราจะมีดีเอสไอไปทำไมแบบนี้ ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าดีเอสไอ ผู้ใหญ่ในดีเอสไอบางคน นักการเมืองบางคน มันรับเงินรับทองของผู้ที่ทำผิด พอเงินทองมา การสอบสวนมันก็อ่อนด้อย นี่คือจุดอ่อนของพวกคุณ คุณยุทธนา แพรดำ คุณก็คงจะออกมาแก้ตัว รับประกันนู่นนี่ . ขอโทษ ท่านอธิบดีดีเอสไอ คุณยุทธนา แพรดำ ผมจำเป็นต้องพูด เพราะนี่คือความจริงมีหนึ่งเดียว ประชาชนเขารู้กันหมด ท่านผู้ชมฟังเรื่องนี้ให้ดีๆ เรานอกจากจะต้องดิ้นรนต่อต้านดีเอสไอแล้ว ต้องหาทางยุบมัน หรือแก้กฎหมาย แล้วก็ให้สอบสวนกลางมีอำนาจมากขึ้น มีการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น มีการฝึกอบรมมากขึ้น เพื่อให้คนในสอบสวนกลางสามารถที่จะมีทักษะ มีศักยภาพ มีทรัพยากร มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยในการเป็นเสาหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ . จำคำพูดผมไว้ ผมเคยทำนายอะไรเอาไว้ ไม่เคยผิดพลาด คุณยุทธนา แพรดำ คุณทำไม่สำเร็จหรอก และผมจะดูการยื่นขอประกันตัวของนายบอสพอล งวดนี้ ผมหวังว่าดีเอสไอจะยังค้านการประกันตัวเหมือนเดิมนะครับ ที่ผมกลัวก็คือว่า พอยื่นประกันตัวอีกครั้งหนึ่ง ศาลท่านถามว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ โจทก์ว่าอย่างไร ดีเอสไอไม่ค้านครับ ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะ มันเป็นไปได้
    Love
    Angry
    2
    1 Comments 0 Shares 853 Views 0 Reviews
  • คดีขโมยทรัพย์หักสวาทกับกลิ่นตุๆ 10 ปมพิรุธ ปกปิดทรัพย์สินเมียบิ๊กตำรวจ
    .
    22 ตุลาคมนี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ คุณธนัฎฐา ยอดเยี่ยม หรือ หนิง อายุ 50 ปี อาชีพเป็นถึงอาจารย์พิเศษ อยู่ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน นครปฐมไปออกรายการ ถกไม่เถียง มีคุณทิน โชคกมลกิจ เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ผู้หญิงคนนี้มาแฉว่าเมียบิ๊กตำรวจมาเล่นชู้กับสามีตัวเองที่เป็นตำรวจเช่นกัน ในคอนโดฯ ที่ตัวเองเป็นเจ้าของ มิหนำซ้ำยังขโมยทรัพย์สินเป็นทองคำกว่า 120 บาท และเงินสดอีก 6 แสนบาท มูลค่ารวม 5 ล้านกว่าบาท
    .
    ผมอยากให้ท่านผู้ชมเห็นพิรุธของคนทั้งสามคนนี้ คือในเรื่องขโมยทรัพย์หักสวาทเรื่องนี้มันมีกลิ่นตุๆ ซุกซ่อนอยู่ในนี้หลายประเด็น
    .
    หนึ่ง เท่าที่ผมรู้ ดร.ศิรินัดดา ขจัดพาล ให้การกับตำรวจขณะมามอบตัวว่ามีการเช่าคอนโดฯ ห้องที่เกิดเหตุกับพ.ต.อ.ภีมพจน์ น้อมชอบพิทักษ์ สามีคุณหนิงตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2567ต้นปี ตกลงเช่ากันไว้ 1 ปี ในราคาเดือนละ 10,000 บาท แต่ได้จ่ายค่าเช่าเป็นเงิน 120,000 บาท แสดงว่าการเช่าสิ้นสุดลงในเดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้า (2568) เพราะฉะนั้นแล้วการเอากระสอบสีรุ้ง 5 ใบ ก็สามารถเก็บไว้ได้ตามอายุสัญญาเช่า ไม่จำเป็นต้องเอาออกไปแต่อย่างใด
    .
    สอง ตามคำให้การของคุณหนิง พบว่าคุณหนิงกับสามี พ.ต.อ.ภีมพจน์ มีการเข้าห้องที่เกิดเหตุตั้งหลายครั้ง ทำไม ดร.ศิรินัดดา ไม่มีการแจ้งความในข้อหาบุกรุกกับสองคนผัวเมีย
    .
    สาม ถ้ามีการเช่า ทำไมไม่เปลี่ยนกุญแจคีย์การ์ดล็อกได้อีกชั้น ถ้าไม่ต้องการให้ใครเข้ามาวุ่นวายในห้องนี้
    .
    สี่ ในซอยสุขุมวิท 101 ซอยย่อย 47 ดร.ศิรินัดดา มีคอนโดฯอีก 3 ห้อง ซึ่งใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุอยู่ซอย 21 ทำไมถึงไม่เอาเงินทอง 5 ถุงไปเก็บไว้ที่มีตำรวจตัวเอง
    .
    ห้า ข้อมูลเชิงลึก ดร.ศิรินัดดาหรือมาดามกุ๊กคบหารู้จักสามีคุณหนิงตั้งแต่เป็นสารวัตร รับราชการที่จังหวัดสงขลา จนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง
    .
    หก เรื่องซื้อขายทองตามปรากฏ post-it ในถุงสีรุ้ง ดันไปตรงกับข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ที่ พ.ต.ต.ชานนท์ รายงานการซื้อขายทอง ตรงกับหลักฐานที่ ปปง. มีอยู่ จึงเชื่อได้ว่าทองคำที่คุณหนิงอ้างว่าถูกมาดามกุ๊กขโมยไปนั้น ไม่น่าจะเป็นทองของคุณหนิง แต่เป็นทองของสุรเชชษฐ์ กับมาดามกุ๊กมากกว่า แต่ทำไมคุณหนิงแต่งเรื่องเพื่อแบล็กเมล ใช่หรือเปล่า
    .
    เจ็ด ตัวคุณหนิงเองก็เคยมีประวัติถูกแจ้งความดำเนินคดี ถูกฟ้องร้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์เกือบสิบคดี และเบื้องหลังคุณหนิงกับสามีก็ขาดสภาพคล่องทางการเงิน จะเอาทองคำ 120 บาท กับเงิน 6 แสนบาท มาจากไหนครับและหลักฐานที่จะแสดงถึงว่าคุณซื้อทองยังไม่มีเลย
    .
    แปด ตรรกะง่ายๆ เมียที่ไหนจับได้ว่าผู้หญิงเอาผัวตัวไปทำชู้พร้อมหลักฐานชัดเจน แต่ไม่อาละวาด เคลียร์กันเงียบๆ แล้วแยกย้ายจากกัน ดูเป็นแม่พระเหลือเกิน ต่างกับตอนมาออกรายการโหนกระแส ธาตุแท้ยิ่งกว่าตลาด บุคลากรแบบนี้หรือที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจนำมาสั่งสอนนักเรียนนายร้อยตำรวจ ดีแล้วที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจไม่ให้คุณทำการสอนต่อ
    .
    เก้า คุณหนิงกับสามีรับลูกกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยในรายการ “โหนกระแส” ทั้งๆ ที่มันเป็นความผิดร้ายแรงของระบบราชการที่มีการคบซ้อนเชิงชู้สาว ร้ายแรงถึงออกจากราชการ แต่ทั้งคู่ไม่ได้แคร์ เหมือนกับรู้ว่าจะได้ลาภก้อนใหญ่จนกระทั่งไม่สนชีวิตราชการ แม้กระทั่งเงินบำเหน็จบำนาญ
    .
    สิบ ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ มันขมวดถึงข้อพิรุธและความน่าสงสัยของการพยายามปกปิดทรัพย์สิน ร่ำรวยเกินกว่าเหตุของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล และ ดร.ศิรินัดดา รวมถึงเส้นทางทางการเงินที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายเว็บพนันทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายมินนี่ หรือ BNK Master เรื่องคดีพวกนี้ของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ผมก็ยังงงกับหน่วยงานที่ไปตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. หรือ ปปง. ที่ยังเชื่องช้าเหมือนเด็กหัดเดิน ทำอะไร พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ไม่ได้เต็มข้อเสียที ทั้งๆ ที่ตำรวจขนหลักฐานไปให้ไม่รู้เท่าไร พวกคุณรออะไรกันอยู่ หรือจะรอให้มันโยกเงินโยกทองหนีออกนอกประเทศไปก่อน
    .
    เรื่องคดีอาญาที่ ปปง. ดำเนินการ ไปถึงไหนแล้ว บทเรียนมีไม่ใช่หรือ ว่ามันโยกเงินแม้กระทั่งจากกรมธรรม์ประกันชีวิต มันก็ทำไปแล้ว ไม่เห็นหรือ นี่คือข้อสังเกตของผม ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่าเรื่องนี้มันทะแม่งๆ น่าสนใจมาก
    คดีขโมยทรัพย์หักสวาทกับกลิ่นตุๆ 10 ปมพิรุธ ปกปิดทรัพย์สินเมียบิ๊กตำรวจ . 22 ตุลาคมนี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ คุณธนัฎฐา ยอดเยี่ยม หรือ หนิง อายุ 50 ปี อาชีพเป็นถึงอาจารย์พิเศษ อยู่ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน นครปฐมไปออกรายการ ถกไม่เถียง มีคุณทิน โชคกมลกิจ เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ผู้หญิงคนนี้มาแฉว่าเมียบิ๊กตำรวจมาเล่นชู้กับสามีตัวเองที่เป็นตำรวจเช่นกัน ในคอนโดฯ ที่ตัวเองเป็นเจ้าของ มิหนำซ้ำยังขโมยทรัพย์สินเป็นทองคำกว่า 120 บาท และเงินสดอีก 6 แสนบาท มูลค่ารวม 5 ล้านกว่าบาท . ผมอยากให้ท่านผู้ชมเห็นพิรุธของคนทั้งสามคนนี้ คือในเรื่องขโมยทรัพย์หักสวาทเรื่องนี้มันมีกลิ่นตุๆ ซุกซ่อนอยู่ในนี้หลายประเด็น . หนึ่ง เท่าที่ผมรู้ ดร.ศิรินัดดา ขจัดพาล ให้การกับตำรวจขณะมามอบตัวว่ามีการเช่าคอนโดฯ ห้องที่เกิดเหตุกับพ.ต.อ.ภีมพจน์ น้อมชอบพิทักษ์ สามีคุณหนิงตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2567ต้นปี ตกลงเช่ากันไว้ 1 ปี ในราคาเดือนละ 10,000 บาท แต่ได้จ่ายค่าเช่าเป็นเงิน 120,000 บาท แสดงว่าการเช่าสิ้นสุดลงในเดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้า (2568) เพราะฉะนั้นแล้วการเอากระสอบสีรุ้ง 5 ใบ ก็สามารถเก็บไว้ได้ตามอายุสัญญาเช่า ไม่จำเป็นต้องเอาออกไปแต่อย่างใด . สอง ตามคำให้การของคุณหนิง พบว่าคุณหนิงกับสามี พ.ต.อ.ภีมพจน์ มีการเข้าห้องที่เกิดเหตุตั้งหลายครั้ง ทำไม ดร.ศิรินัดดา ไม่มีการแจ้งความในข้อหาบุกรุกกับสองคนผัวเมีย . สาม ถ้ามีการเช่า ทำไมไม่เปลี่ยนกุญแจคีย์การ์ดล็อกได้อีกชั้น ถ้าไม่ต้องการให้ใครเข้ามาวุ่นวายในห้องนี้ . สี่ ในซอยสุขุมวิท 101 ซอยย่อย 47 ดร.ศิรินัดดา มีคอนโดฯอีก 3 ห้อง ซึ่งใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุอยู่ซอย 21 ทำไมถึงไม่เอาเงินทอง 5 ถุงไปเก็บไว้ที่มีตำรวจตัวเอง . ห้า ข้อมูลเชิงลึก ดร.ศิรินัดดาหรือมาดามกุ๊กคบหารู้จักสามีคุณหนิงตั้งแต่เป็นสารวัตร รับราชการที่จังหวัดสงขลา จนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง . หก เรื่องซื้อขายทองตามปรากฏ post-it ในถุงสีรุ้ง ดันไปตรงกับข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ที่ พ.ต.ต.ชานนท์ รายงานการซื้อขายทอง ตรงกับหลักฐานที่ ปปง. มีอยู่ จึงเชื่อได้ว่าทองคำที่คุณหนิงอ้างว่าถูกมาดามกุ๊กขโมยไปนั้น ไม่น่าจะเป็นทองของคุณหนิง แต่เป็นทองของสุรเชชษฐ์ กับมาดามกุ๊กมากกว่า แต่ทำไมคุณหนิงแต่งเรื่องเพื่อแบล็กเมล ใช่หรือเปล่า . เจ็ด ตัวคุณหนิงเองก็เคยมีประวัติถูกแจ้งความดำเนินคดี ถูกฟ้องร้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์เกือบสิบคดี และเบื้องหลังคุณหนิงกับสามีก็ขาดสภาพคล่องทางการเงิน จะเอาทองคำ 120 บาท กับเงิน 6 แสนบาท มาจากไหนครับและหลักฐานที่จะแสดงถึงว่าคุณซื้อทองยังไม่มีเลย . แปด ตรรกะง่ายๆ เมียที่ไหนจับได้ว่าผู้หญิงเอาผัวตัวไปทำชู้พร้อมหลักฐานชัดเจน แต่ไม่อาละวาด เคลียร์กันเงียบๆ แล้วแยกย้ายจากกัน ดูเป็นแม่พระเหลือเกิน ต่างกับตอนมาออกรายการโหนกระแส ธาตุแท้ยิ่งกว่าตลาด บุคลากรแบบนี้หรือที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจนำมาสั่งสอนนักเรียนนายร้อยตำรวจ ดีแล้วที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจไม่ให้คุณทำการสอนต่อ . เก้า คุณหนิงกับสามีรับลูกกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยในรายการ “โหนกระแส” ทั้งๆ ที่มันเป็นความผิดร้ายแรงของระบบราชการที่มีการคบซ้อนเชิงชู้สาว ร้ายแรงถึงออกจากราชการ แต่ทั้งคู่ไม่ได้แคร์ เหมือนกับรู้ว่าจะได้ลาภก้อนใหญ่จนกระทั่งไม่สนชีวิตราชการ แม้กระทั่งเงินบำเหน็จบำนาญ . สิบ ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ มันขมวดถึงข้อพิรุธและความน่าสงสัยของการพยายามปกปิดทรัพย์สิน ร่ำรวยเกินกว่าเหตุของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล และ ดร.ศิรินัดดา รวมถึงเส้นทางทางการเงินที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายเว็บพนันทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายมินนี่ หรือ BNK Master เรื่องคดีพวกนี้ของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ผมก็ยังงงกับหน่วยงานที่ไปตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. หรือ ปปง. ที่ยังเชื่องช้าเหมือนเด็กหัดเดิน ทำอะไร พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ไม่ได้เต็มข้อเสียที ทั้งๆ ที่ตำรวจขนหลักฐานไปให้ไม่รู้เท่าไร พวกคุณรออะไรกันอยู่ หรือจะรอให้มันโยกเงินโยกทองหนีออกนอกประเทศไปก่อน . เรื่องคดีอาญาที่ ปปง. ดำเนินการ ไปถึงไหนแล้ว บทเรียนมีไม่ใช่หรือ ว่ามันโยกเงินแม้กระทั่งจากกรมธรรม์ประกันชีวิต มันก็ทำไปแล้ว ไม่เห็นหรือ นี่คือข้อสังเกตของผม ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่าเรื่องนี้มันทะแม่งๆ น่าสนใจมาก
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 805 Views 0 Reviews
  • สนธิเล่าเรื่อง 30-10-67
    .
    วันนี้ (30 ต.ค.) นอกจากเรื่อง "ทนายตั้ม" กับ "พี่อ้อย" ที่หลายท่านรอชมรอฟังแล้ว คุณสนธิจะมาพูดถึงเรื่องงานศพของ คุณโสภณ องค์การณ์ ที่เพิ่งมีพิธีฌาปนกิจไปเมื่อวานนี้ (29 ต.ค.) เพราะคุณโสภณเป็นสื่อมวลชนอาวุโสที่มีประสบการณ์โชกโชน เคยทำงานร่วมกับสื่อมวลชนที่มีชื่อเสียงมากมาย ทั้งในเครือ ASTV NEWS1-ผู้จัดการ และ The Nation ไม่ว่าจะเป็น คุณสุทธิชัย หยุ่น, คุณเทพชัย หย่อง, คุณสุภาพ คลี่ขจาย คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา, คุณกนก รัตน์วงศ์สกุล ซึ่งคนเหล่านี้ก็มาร่วมงานศพของพี่โสทั้งสิ้น ไม่นับรวมกับเพื่อนร่วมงาน และลูกศิษย์ลูกหาในแวดวงสื่อมวลชนอีกจำนวนมาก ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอีกหลายคนเช่น คุณชวน หลีกภัย, คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เป็นต้น
    .
    #SondhiTalk #สนธิเล่าเรื่อง
    สนธิเล่าเรื่อง 30-10-67 . วันนี้ (30 ต.ค.) นอกจากเรื่อง "ทนายตั้ม" กับ "พี่อ้อย" ที่หลายท่านรอชมรอฟังแล้ว คุณสนธิจะมาพูดถึงเรื่องงานศพของ คุณโสภณ องค์การณ์ ที่เพิ่งมีพิธีฌาปนกิจไปเมื่อวานนี้ (29 ต.ค.) เพราะคุณโสภณเป็นสื่อมวลชนอาวุโสที่มีประสบการณ์โชกโชน เคยทำงานร่วมกับสื่อมวลชนที่มีชื่อเสียงมากมาย ทั้งในเครือ ASTV NEWS1-ผู้จัดการ และ The Nation ไม่ว่าจะเป็น คุณสุทธิชัย หยุ่น, คุณเทพชัย หย่อง, คุณสุภาพ คลี่ขจาย คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา, คุณกนก รัตน์วงศ์สกุล ซึ่งคนเหล่านี้ก็มาร่วมงานศพของพี่โสทั้งสิ้น ไม่นับรวมกับเพื่อนร่วมงาน และลูกศิษย์ลูกหาในแวดวงสื่อมวลชนอีกจำนวนมาก ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอีกหลายคนเช่น คุณชวน หลีกภัย, คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เป็นต้น . #SondhiTalk #สนธิเล่าเรื่อง
    Like
    Love
    Haha
    Yay
    Sad
    94
    4 Comments 5 Shares 4998 Views 4 Reviews
  • สนธิเล่าเรื่อง 30-10-67
    .
    วันนี้ (30 ต.ค.) นอกจากเรื่อง "ทนายตั้ม" กับ "พี่อ้อย" ที่หลายท่านรอชมรอฟังแล้ว คุณสนธิจะมาพูดถึงเรื่องงานศพของ คุณโสภณ องค์การณ์ ที่เพิ่งมีพิธีฌาปนกิจไปเมื่อวานนี้ (29 ต.ค.) เพราะคุณโสภณเป็นสื่อมวลชนอาวุโสที่มีประสบการณ์โชกโชน เคยทำงานร่วมกับสื่อมวลชนที่มีชื่อเสียงมากมาย ทั้งในเครือ ASTV NEWS1-ผู้จัดการ และ The Nation ไม่ว่าจะเป็น คุณสุทธิชัย หยุ่น, คุณเทพชัย หย่อง, คุณสุภาพ คลี่ขจาย คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา, คุณกนก รัตน์วงศ์สกุล ซึ่งคนเหล่านี้ก็มาร่วมงานศพของพี่โสทั้งสิ้น ไม่นับรวมกับเพื่อนร่วมงาน และลูกศิษย์ลูกหาในแวดวงสื่อมวลชนอีกจำนวนมาก ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอีกหลายคนเช่น คุณชวน หลีกภัย, คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เป็นต้น
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=4HEOL_HcTio
    .
    #SondhiTalk #สนธิเล่าเรื่อง
    สนธิเล่าเรื่อง 30-10-67 . วันนี้ (30 ต.ค.) นอกจากเรื่อง "ทนายตั้ม" กับ "พี่อ้อย" ที่หลายท่านรอชมรอฟังแล้ว คุณสนธิจะมาพูดถึงเรื่องงานศพของ คุณโสภณ องค์การณ์ ที่เพิ่งมีพิธีฌาปนกิจไปเมื่อวานนี้ (29 ต.ค.) เพราะคุณโสภณเป็นสื่อมวลชนอาวุโสที่มีประสบการณ์โชกโชน เคยทำงานร่วมกับสื่อมวลชนที่มีชื่อเสียงมากมาย ทั้งในเครือ ASTV NEWS1-ผู้จัดการ และ The Nation ไม่ว่าจะเป็น คุณสุทธิชัย หยุ่น, คุณเทพชัย หย่อง, คุณสุภาพ คลี่ขจาย คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา, คุณกนก รัตน์วงศ์สกุล ซึ่งคนเหล่านี้ก็มาร่วมงานศพของพี่โสทั้งสิ้น ไม่นับรวมกับเพื่อนร่วมงาน และลูกศิษย์ลูกหาในแวดวงสื่อมวลชนอีกจำนวนมาก ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอีกหลายคนเช่น คุณชวน หลีกภัย, คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เป็นต้น . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=4HEOL_HcTio . #SondhiTalk #สนธิเล่าเรื่อง
    Like
    Love
    23
    0 Comments 2 Shares 1487 Views 0 Reviews
  • ประมวลภาพ : พิธีฌาปนกิจ "โสภณ องค์การณ์" สื่อมวลชนอาวุโส เผยฝากให้ช่วยกันดูแลบ้านเมือง

    บุคคลในแวดวงสื่อมวลชน นักการเมือง นักธุรกิจ และแฟนคลับแห่เข้าร่วมพิธีฌาปนกิจ ส่งดวงวิญญาณ "โสภณ องค์การณ์" เป็นครั้งสุดท้าย เผยฝากให้ช่วยกันดูแลบ้านเมือง ไม่ว่าใครจะมาใครจะไป ชี้สื่อมวลชนไม่มีวันเกษียณ สิ่งที่ต้องมีคือความน่าเชื่อถือ

    29 ตุลาคม 2567- ที่วัดโสมนัสราชวรวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ได้มีพิธีฌาปนกิจ นายโสภณ องค์การณ์ สื่อมวลชนอาวุโส อดีตบรรณาธิการบริหาร และผู้ดำเนินรายการ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมนิวส์วัน ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 ต.ค. ที่สถาบันประสาทวิทยา ถนนราชวิถี กรุงเทพฯ ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตกที่ก้านสมอง รวมอายุได้ 75 ปี โดยมีบุคคลในแวดวงสื่อมวลชน นักการเมือง นักธุรกิจ เพื่อนร่วมงานทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งแฟนคลับที่ติดตามผลงานทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ เข้าร่วมพิธีฌาปนกิจอย่างเนืองแน่น เพื่อร่วมกันส่งดวงวิญญาณของนายโสภณเป็นครั้งสุดท้าย

    ภายในงานมีพิธีทอดผ้าบังสกุล อาทิ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ นายธะนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ อดีตประธานกรรมการเครือเนชั่น นายเทพชัย หย่อง อดีตนายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และอดีตบรรณาธิการบริหารเครือเนชั่น นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต สว.กรุงเทพมหานคร นายเกียรติ สิทธิอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต น.ส.สุดากาญจน์ กลีบบัว กรรมการบริหาร บริษัท พี.อี. คอนเทนเนอร์ ผู้ผลิตและจำหน่ายถังน้ำตราดอกบัว และนายพันเทพ ชวาลา เป็นต้น

    ที่มา
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000104288

    #Thaitimes
    ประมวลภาพ : พิธีฌาปนกิจ "โสภณ องค์การณ์" สื่อมวลชนอาวุโส เผยฝากให้ช่วยกันดูแลบ้านเมือง • บุคคลในแวดวงสื่อมวลชน นักการเมือง นักธุรกิจ และแฟนคลับแห่เข้าร่วมพิธีฌาปนกิจ ส่งดวงวิญญาณ "โสภณ องค์การณ์" เป็นครั้งสุดท้าย เผยฝากให้ช่วยกันดูแลบ้านเมือง ไม่ว่าใครจะมาใครจะไป ชี้สื่อมวลชนไม่มีวันเกษียณ สิ่งที่ต้องมีคือความน่าเชื่อถือ • 29 ตุลาคม 2567- ที่วัดโสมนัสราชวรวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ได้มีพิธีฌาปนกิจ นายโสภณ องค์การณ์ สื่อมวลชนอาวุโส อดีตบรรณาธิการบริหาร และผู้ดำเนินรายการ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมนิวส์วัน ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 ต.ค. ที่สถาบันประสาทวิทยา ถนนราชวิถี กรุงเทพฯ ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตกที่ก้านสมอง รวมอายุได้ 75 ปี โดยมีบุคคลในแวดวงสื่อมวลชน นักการเมือง นักธุรกิจ เพื่อนร่วมงานทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งแฟนคลับที่ติดตามผลงานทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ เข้าร่วมพิธีฌาปนกิจอย่างเนืองแน่น เพื่อร่วมกันส่งดวงวิญญาณของนายโสภณเป็นครั้งสุดท้าย • ภายในงานมีพิธีทอดผ้าบังสกุล อาทิ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ นายธะนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ อดีตประธานกรรมการเครือเนชั่น นายเทพชัย หย่อง อดีตนายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และอดีตบรรณาธิการบริหารเครือเนชั่น นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต สว.กรุงเทพมหานคร นายเกียรติ สิทธิอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต น.ส.สุดากาญจน์ กลีบบัว กรรมการบริหาร บริษัท พี.อี. คอนเทนเนอร์ ผู้ผลิตและจำหน่ายถังน้ำตราดอกบัว และนายพันเทพ ชวาลา เป็นต้น • ที่มา https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000104288 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    ฌาปนกิจ "โสภณ องค์การณ์" สื่อมวลชนอาวุโส เผยฝากให้ช่วยกันดูแลบ้านเมือง
    บุคคลในแวดวงสื่อมวลชน นักการเมือง นักธุรกิจ และแฟนคลับแห่เข้าร่วมพิธีฌาปนกิจ ส่งดวงวิญญาณ โสภณ องค์การณ์ เป็นครั้งสุดท้าย เผยฝากให้ช่วยกันดูแลบ้านเมือง ไม่ว่าใครจะมาใครจะไป ชี้สื่อมวลชนไม่มีวันเกษียณ สิ่งที่ต้องมีคือความน่าเชื่อ
    Sad
    Like
    Love
    7
    0 Comments 0 Shares 885 Views 0 Reviews
  • ประมวลภาพ : ฌาปนกิจ "โสภณ องค์การณ์" สื่อมวลชนอาวุโส เผยฝากให้ช่วยกันดูแลบ้านเมือง

    บุคคลในแวดวงสื่อมวลชน นักการเมือง นักธุรกิจ และแฟนคลับแห่เข้าร่วมพิธีฌาปนกิจ ส่งดวงวิญญาณ "โสภณ องค์การณ์" เป็นครั้งสุดท้าย เผยฝากให้ช่วยกันดูแลบ้านเมือง ไม่ว่าใครจะมาใครจะไป ชี้สื่อมวลชนไม่มีวันเกษียณ สิ่งที่ต้องมีคือความน่าเชื่อถือ

    วันนี้ (29 ต.ค.) ที่วัดโสมนัสราชวรวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ได้มีพิธีฌาปนกิจ นายโสภณ องค์การณ์ สื่อมวลชนอาวุโส อดีตบรรณาธิการบริหาร และผู้ดำเนินรายการ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมนิวส์วัน ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 ต.ค. ที่สถาบันประสาทวิทยา ถนนราชวิถี กรุงเทพฯ ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตกที่ก้านสมอง รวมอายุได้ 75 ปี โดยมีบุคคลในแวดวงสื่อมวลชน นักการเมือง นักธุรกิจ เพื่อนร่วมงานทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งแฟนคลับที่ติดตามผลงานทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ เข้าร่วมพิธีฌาปนกิจอย่างเนืองแน่น เพื่อร่วมกันส่งดวงวิญญาณของนายโสภณเป็นครั้งสุดท้าย

    ภายในงานมีพิธีทอดผ้าบังสกุล อาทิ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ นายธะนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ อดีตประธานกรรมการเครือเนชั่น นายเทพชัย หย่อง อดีตนายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และอดีตบรรณาธิการบริหารเครือเนชั่น นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต สว.กรุงเทพมหานคร นายเกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต น.ส.สุดากาญจน์ กลีบบัว กรรมการบริหาร บริษัท พี.อี. คอนเทนเนอร์ ผู้ผลิตและจำหน่ายถังน้ำตราดอกบัว นายพันเทพ ชวาลา เป็นต้น

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000104288

    #MGROnline #โสภณองค์การณ์
    ประมวลภาพ : ฌาปนกิจ "โสภณ องค์การณ์" สื่อมวลชนอาวุโส เผยฝากให้ช่วยกันดูแลบ้านเมือง • บุคคลในแวดวงสื่อมวลชน นักการเมือง นักธุรกิจ และแฟนคลับแห่เข้าร่วมพิธีฌาปนกิจ ส่งดวงวิญญาณ "โสภณ องค์การณ์" เป็นครั้งสุดท้าย เผยฝากให้ช่วยกันดูแลบ้านเมือง ไม่ว่าใครจะมาใครจะไป ชี้สื่อมวลชนไม่มีวันเกษียณ สิ่งที่ต้องมีคือความน่าเชื่อถือ • วันนี้ (29 ต.ค.) ที่วัดโสมนัสราชวรวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ได้มีพิธีฌาปนกิจ นายโสภณ องค์การณ์ สื่อมวลชนอาวุโส อดีตบรรณาธิการบริหาร และผู้ดำเนินรายการ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมนิวส์วัน ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 ต.ค. ที่สถาบันประสาทวิทยา ถนนราชวิถี กรุงเทพฯ ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตกที่ก้านสมอง รวมอายุได้ 75 ปี โดยมีบุคคลในแวดวงสื่อมวลชน นักการเมือง นักธุรกิจ เพื่อนร่วมงานทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งแฟนคลับที่ติดตามผลงานทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ เข้าร่วมพิธีฌาปนกิจอย่างเนืองแน่น เพื่อร่วมกันส่งดวงวิญญาณของนายโสภณเป็นครั้งสุดท้าย • ภายในงานมีพิธีทอดผ้าบังสกุล อาทิ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ นายธะนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ อดีตประธานกรรมการเครือเนชั่น นายเทพชัย หย่อง อดีตนายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และอดีตบรรณาธิการบริหารเครือเนชั่น นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต สว.กรุงเทพมหานคร นายเกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต น.ส.สุดากาญจน์ กลีบบัว กรรมการบริหาร บริษัท พี.อี. คอนเทนเนอร์ ผู้ผลิตและจำหน่ายถังน้ำตราดอกบัว นายพันเทพ ชวาลา เป็นต้น • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000104288 • #MGROnline #โสภณองค์การณ์
    Love
    Like
    Yay
    Sad
    6
    0 Comments 0 Shares 595 Views 0 Reviews
  • ศาลทุจริตฯรับไต่สวนคดี ‘วีระ’ ฟ้อง ป.ป.ช.จงใจปกปิดสอบสวนสำนวนคดี ‘นาฬิกาเพื่อน’
    .
    อังคารที่ 22 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบ ภาค 1 มีคำสั่งให้รับคดีคุณวีระ สมความคิด ที่ฟ้อง ป.ป.ช. ไว้ไต่สวนมูลฟ้อง เป็นคดีหมายเลขดำที่ อท 95/2567 ลงวันที่ 22 ตุลาคม ในคำสั่งระบุว่า ตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วเห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาทุจริตภาค 1 ฟ้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตประพฤติมิชอบ 2559 มาตรา 15 จึงเห็นควรรับฟ้องโจทก์ไว้ไต่สวนมูลฟ้อง
    .
    กรณี "แหวนแม่-นาฬิกาเพื่อน" ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติตั้งแต่ปี 2561 ว่าคดีเรื่องการจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน หนี้สิน ข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงนั้น ป.ป.ช. มีมติว่าไม่มีมูลเพียงพอ สร้างแรงสั่นสะเทือนและข้อกังขาให้ผู้คนในสังคมวงกว้าง
    .
    จนกระทั่ง "นักร้องระดับชาติ" คุณวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ได้ยื่นเรื่องให้มีการเปิดเผยสำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าว แต่ ป.ป.ช. ไม่ยอมให้เสียที แม้กระทั่งมีคำสั่งศาลปกครองแล้ว ศาลสั่งปรับก็แล้ว องค์กร ป.ป.ช. ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กับนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. ที่เกษียณแล้วทั้งคู่ ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูล ยังใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆจงใจปกปิดข้อมูล
    .
    กรณีนี้เนื่องจากคุณวีระ สมความคิด เป็นผู้เสียหายโดยตรงอย่างชัดเจน เพราะมีคำสั่งศาลมาแล้วในหลายครั้ง กรณีนี้ศาลอาญาคดีทุจริตฯ จึงต้องรับไว้ไต่สวนมูลฟ้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    .
    อย่างไรก็ตาม คุณวีระ ก็มีข้อจำกัด คือต้องรวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดเพื่อส่งศาลให้ได้ภายใน 7 วัน คือภายในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2567 คุณวีระ ต้องรวบรวมเอกสารส่งศาลให้ครบถ้วน ซึ่งเวลาก็รวบรัดมาก คดีนี้พวกเรามาให้กำลังใจคุณวีระ กันหน่อยครับ ถือว่าเป็นคดีที่คุณวีระ สุ่มเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยในชีวิตอย่างมาก เพราะถ้าคุณวีระตายคนเดียว อีก 12 คน ก็จะรอด แต่ถ้าคุณวีระรอด อีก 12 คน ก็อาจจะตายแทนก็ได้ครับ

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/iXeVUMagHP8Ewo9T/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    ศาลทุจริตฯรับไต่สวนคดี ‘วีระ’ ฟ้อง ป.ป.ช.จงใจปกปิดสอบสวนสำนวนคดี ‘นาฬิกาเพื่อน’ . อังคารที่ 22 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบ ภาค 1 มีคำสั่งให้รับคดีคุณวีระ สมความคิด ที่ฟ้อง ป.ป.ช. ไว้ไต่สวนมูลฟ้อง เป็นคดีหมายเลขดำที่ อท 95/2567 ลงวันที่ 22 ตุลาคม ในคำสั่งระบุว่า ตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วเห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาทุจริตภาค 1 ฟ้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตประพฤติมิชอบ 2559 มาตรา 15 จึงเห็นควรรับฟ้องโจทก์ไว้ไต่สวนมูลฟ้อง . กรณี "แหวนแม่-นาฬิกาเพื่อน" ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติตั้งแต่ปี 2561 ว่าคดีเรื่องการจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน หนี้สิน ข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงนั้น ป.ป.ช. มีมติว่าไม่มีมูลเพียงพอ สร้างแรงสั่นสะเทือนและข้อกังขาให้ผู้คนในสังคมวงกว้าง . จนกระทั่ง "นักร้องระดับชาติ" คุณวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ได้ยื่นเรื่องให้มีการเปิดเผยสำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าว แต่ ป.ป.ช. ไม่ยอมให้เสียที แม้กระทั่งมีคำสั่งศาลปกครองแล้ว ศาลสั่งปรับก็แล้ว องค์กร ป.ป.ช. ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กับนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. ที่เกษียณแล้วทั้งคู่ ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูล ยังใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆจงใจปกปิดข้อมูล . กรณีนี้เนื่องจากคุณวีระ สมความคิด เป็นผู้เสียหายโดยตรงอย่างชัดเจน เพราะมีคำสั่งศาลมาแล้วในหลายครั้ง กรณีนี้ศาลอาญาคดีทุจริตฯ จึงต้องรับไว้ไต่สวนมูลฟ้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ . อย่างไรก็ตาม คุณวีระ ก็มีข้อจำกัด คือต้องรวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดเพื่อส่งศาลให้ได้ภายใน 7 วัน คือภายในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2567 คุณวีระ ต้องรวบรวมเอกสารส่งศาลให้ครบถ้วน ซึ่งเวลาก็รวบรัดมาก คดีนี้พวกเรามาให้กำลังใจคุณวีระ กันหน่อยครับ ถือว่าเป็นคดีที่คุณวีระ สุ่มเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยในชีวิตอย่างมาก เพราะถ้าคุณวีระตายคนเดียว อีก 12 คน ก็จะรอด แต่ถ้าคุณวีระรอด อีก 12 คน ก็อาจจะตายแทนก็ได้ครับ ที่มา https://www.facebook.com/share/p/iXeVUMagHP8Ewo9T/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Love
    4
    0 Comments 0 Shares 657 Views 0 Reviews
  • เบื้องหลังดีเอสไอ รับคดี The Icon ตำรวจถอยรอรับคำสั่ง
    .
    คดี The Icon มาถึงประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายต้องจับตา ภายหลังมีการส่งมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มารับไม้ต่อในฐานะคดีพิเศษ โดยเรื่องนี้ลำดับขั้นตอนที่น่าสนใจ คือ เรื่องนี้เป็นกระบวนการและขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเมื่อความผิดใดความผิดหนึ่งเข้าลักษณะตาม พรบ.การสอบสวนคดีพิเศษพ.ศ. 2547 และเป็นความผิดที่มีลักษณะตามประกาศของคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ตำรวจจึงต้องถือปฏิบัติตามกฏหมายที่ต้องส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมพยานหลักฐานต่างๆ ในความรับผิดชอบเบื้องต้น ให้กับ dsi ตามกำหนดเวลาเพื่อไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
    .
    ที่สำคัญคดีนี้หลังจากที่ตำรวจได้รับแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ มาตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2567 ได้มีการสอบสวนปากคำประชาชนที่เชื่อว่าตกเป็นผู้เสียหาย และรวบรวมพยานหลักฐานมาโดยตลอด ซึ่งก็เริ่มมีประชาชนเดินทางมาแจ้งความมากขึ้น จนปริมาณงานไม่สัมพันธ์กับจำนวนพนักงานสอบสวนของ บช.ก. ที่ต้องทำงานตั้งแต่ 9.00 - 02.00 ของวันรุ่งขึ้น จากปริมาณประชาชนที่มาแจ้งความและการรอคอยเพื่อให้ปากคำ ทำให้ประชาชนต้องรอเป็นเวลานาน บางรายรอจนข้ามวัน ด้วยเหตุนี้ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงสั่งให้มีการเปิดศูนย์รับแจ้งความขึ้นทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เชื่อว่าเป็นผู้เสียหาย จนถึง ณ วันนี้ มีการสอบสวนผู้เสียหายไปกว่า 9,000 คน และมีมูลค่าที่เชื่อว่าเสียหายถึง 2,900 ล้านบาทเศษ
    .
    นับตั้งแต่วันที่มีการสอบสวนปากคำและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายเป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดของ บช.ก. ได้มีการประชุม ,การวิเคราะห์ พิจารณาคำให้การ, การตรวจค้น , ออกหมายจับและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพื่อรวบรวมและแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมมาโดยตลอด ถือว่าได้ดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายอย่างเต็มที่ไปถึง 80% แล้ว ดังนั้นในการดำเนินการเบื้องต้น ตำรวจก็มีความมั่นใจว่า ได้ดำเนินการอย่างรอบคอบและรัดกุมมากพอสมควรที่จะส่งให้ดีเอสไอรับไปดำเนินการตามกฏหมาย
    .
    โดยเมื่อดีเอสไอรับคดีไปแล้วตำรวจก็อาจจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการสืบสวนสอบสวนได้ โดยดีเอสไออาจร้องขอให้ตำรวจหรือหน่วยงานใด เข้าช่วยเหลือ หรือปฏิบัติงานร่วมกันตามข้อบังคับของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้ ซึ่งตำรวจได้ยืนยันไปแล้วว่า มีความพร้อมและยินดีที่จะยังร่วมดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายกับดีเอสไอต่อไป
    .
    อย่างไรก็ตามเมื่อส่งสำนวนการสอบสวนในคดีดิไอคอนกรุ๊ป ไปให้ดีเอสไอแล้ว ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวน ก็อาจใช้มาตรา 33 แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ รัฐมนตรีอาจเสนอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมีคำสั่งตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานอื่นมาปฏิบัติหน้าที่ในกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อช่วยเหลือในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษนั้นได้” ซึ่งถือเป็นวิธีการที่ หน่วยงานต่างๆ จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ ช่วยเหลือ เพื่อประโยชน์แห่งการสืบสวนสอบสวน ในคดีนี้ต่อไป
    .............
    Sondhi X
    เบื้องหลังดีเอสไอ รับคดี The Icon ตำรวจถอยรอรับคำสั่ง . คดี The Icon มาถึงประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายต้องจับตา ภายหลังมีการส่งมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มารับไม้ต่อในฐานะคดีพิเศษ โดยเรื่องนี้ลำดับขั้นตอนที่น่าสนใจ คือ เรื่องนี้เป็นกระบวนการและขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเมื่อความผิดใดความผิดหนึ่งเข้าลักษณะตาม พรบ.การสอบสวนคดีพิเศษพ.ศ. 2547 และเป็นความผิดที่มีลักษณะตามประกาศของคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ตำรวจจึงต้องถือปฏิบัติตามกฏหมายที่ต้องส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมพยานหลักฐานต่างๆ ในความรับผิดชอบเบื้องต้น ให้กับ dsi ตามกำหนดเวลาเพื่อไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป . ที่สำคัญคดีนี้หลังจากที่ตำรวจได้รับแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ มาตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2567 ได้มีการสอบสวนปากคำประชาชนที่เชื่อว่าตกเป็นผู้เสียหาย และรวบรวมพยานหลักฐานมาโดยตลอด ซึ่งก็เริ่มมีประชาชนเดินทางมาแจ้งความมากขึ้น จนปริมาณงานไม่สัมพันธ์กับจำนวนพนักงานสอบสวนของ บช.ก. ที่ต้องทำงานตั้งแต่ 9.00 - 02.00 ของวันรุ่งขึ้น จากปริมาณประชาชนที่มาแจ้งความและการรอคอยเพื่อให้ปากคำ ทำให้ประชาชนต้องรอเป็นเวลานาน บางรายรอจนข้ามวัน ด้วยเหตุนี้ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงสั่งให้มีการเปิดศูนย์รับแจ้งความขึ้นทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เชื่อว่าเป็นผู้เสียหาย จนถึง ณ วันนี้ มีการสอบสวนผู้เสียหายไปกว่า 9,000 คน และมีมูลค่าที่เชื่อว่าเสียหายถึง 2,900 ล้านบาทเศษ . นับตั้งแต่วันที่มีการสอบสวนปากคำและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายเป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดของ บช.ก. ได้มีการประชุม ,การวิเคราะห์ พิจารณาคำให้การ, การตรวจค้น , ออกหมายจับและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพื่อรวบรวมและแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมมาโดยตลอด ถือว่าได้ดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายอย่างเต็มที่ไปถึง 80% แล้ว ดังนั้นในการดำเนินการเบื้องต้น ตำรวจก็มีความมั่นใจว่า ได้ดำเนินการอย่างรอบคอบและรัดกุมมากพอสมควรที่จะส่งให้ดีเอสไอรับไปดำเนินการตามกฏหมาย . โดยเมื่อดีเอสไอรับคดีไปแล้วตำรวจก็อาจจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการสืบสวนสอบสวนได้ โดยดีเอสไออาจร้องขอให้ตำรวจหรือหน่วยงานใด เข้าช่วยเหลือ หรือปฏิบัติงานร่วมกันตามข้อบังคับของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้ ซึ่งตำรวจได้ยืนยันไปแล้วว่า มีความพร้อมและยินดีที่จะยังร่วมดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายกับดีเอสไอต่อไป . อย่างไรก็ตามเมื่อส่งสำนวนการสอบสวนในคดีดิไอคอนกรุ๊ป ไปให้ดีเอสไอแล้ว ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวน ก็อาจใช้มาตรา 33 แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ รัฐมนตรีอาจเสนอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมีคำสั่งตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานอื่นมาปฏิบัติหน้าที่ในกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อช่วยเหลือในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษนั้นได้” ซึ่งถือเป็นวิธีการที่ หน่วยงานต่างๆ จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ ช่วยเหลือ เพื่อประโยชน์แห่งการสืบสวนสอบสวน ในคดีนี้ต่อไป ............. Sondhi X
    Like
    Angry
    7
    0 Comments 0 Shares 895 Views 1 Reviews
  • ศาลทุจริตฯรับไต่สวนคดี ‘วีระ’ ฟ้อง ป.ป.ช.จงใจปกปิดสอบสวนสำนวนคดี ‘นาฬิกาเพื่อน’
    .
    อังคารที่ 22 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบ ภาค 1 มีคำสั่งให้รับคดีคุณวีระ สมความคิด ที่ฟ้อง ป.ป.ช. ไว้ไต่สวนมูลฟ้อง เป็นคดีหมายเลขดำที่ อท 95/2567 ลงวันที่ 22 ตุลาคม ในคำสั่งระบุว่า ตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วเห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาทุจริตภาค 1 ฟ้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตประพฤติมิชอบ 2559 มาตรา 15 จึงเห็นควรรับฟ้องโจทก์ไว้ไต่สวนมูลฟ้อง
    .
    กรณี "แหวนแม่-นาฬิกาเพื่อน" ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติตั้งแต่ปี 2561 ว่าคดีเรื่องการจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน หนี้สิน ข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงนั้น ป.ป.ช. มีมติว่าไม่มีมูลเพียงพอ สร้างแรงสั่นสะเทือนและข้อกังขาให้ผู้คนในสังคมวงกว้าง
    .
    จนกระทั่ง "นักร้องระดับชาติ" คุณวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ได้ยื่นเรื่องให้มีการเปิดเผยสำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าว แต่ ป.ป.ช. ไม่ยอมให้เสียที แม้กระทั่งมีคำสั่งศาลปกครองแล้ว ศาลสั่งปรับก็แล้ว องค์กร ป.ป.ช. ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กับนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. ที่เกษียณแล้วทั้งคู่ ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูล ยังใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆจงใจปกปิดข้อมูล
    .
    กรณีนี้เนื่องจากคุณวีระ สมความคิด เป็นผู้เสียหายโดยตรงอย่างชัดเจน เพราะมีคำสั่งศาลมาแล้วในหลายครั้ง กรณีนี้ศาลอาญาคดีทุจริตฯ จึงต้องรับไว้ไต่สวนมูลฟ้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    .
    อย่างไรก็ตาม คุณวีระ ก็มีข้อจำกัด คือต้องรวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดเพื่อส่งศาลให้ได้ภายใน 7 วัน คือภายในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2567 คุณวีระ ต้องรวบรวมเอกสารส่งศาลให้ครบถ้วน ซึ่งเวลาก็รวบรัดมาก คดีนี้พวกเรามาให้กำลังใจคุณวีระ กันหน่อยครับ ถือว่าเป็นคดีที่คุณวีระ สุ่มเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยในชีวิตอย่างมาก เพราะถ้าคุณวีระตายคนเดียว อีก 12 คน ก็จะรอด แต่ถ้าคุณวีระรอด อีก 12 คน ก็อาจจะตายแทนก็ได้ครับ
    ศาลทุจริตฯรับไต่สวนคดี ‘วีระ’ ฟ้อง ป.ป.ช.จงใจปกปิดสอบสวนสำนวนคดี ‘นาฬิกาเพื่อน’ . อังคารที่ 22 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบ ภาค 1 มีคำสั่งให้รับคดีคุณวีระ สมความคิด ที่ฟ้อง ป.ป.ช. ไว้ไต่สวนมูลฟ้อง เป็นคดีหมายเลขดำที่ อท 95/2567 ลงวันที่ 22 ตุลาคม ในคำสั่งระบุว่า ตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วเห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาทุจริตภาค 1 ฟ้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตประพฤติมิชอบ 2559 มาตรา 15 จึงเห็นควรรับฟ้องโจทก์ไว้ไต่สวนมูลฟ้อง . กรณี "แหวนแม่-นาฬิกาเพื่อน" ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติตั้งแต่ปี 2561 ว่าคดีเรื่องการจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน หนี้สิน ข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงนั้น ป.ป.ช. มีมติว่าไม่มีมูลเพียงพอ สร้างแรงสั่นสะเทือนและข้อกังขาให้ผู้คนในสังคมวงกว้าง . จนกระทั่ง "นักร้องระดับชาติ" คุณวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ได้ยื่นเรื่องให้มีการเปิดเผยสำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าว แต่ ป.ป.ช. ไม่ยอมให้เสียที แม้กระทั่งมีคำสั่งศาลปกครองแล้ว ศาลสั่งปรับก็แล้ว องค์กร ป.ป.ช. ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กับนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. ที่เกษียณแล้วทั้งคู่ ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูล ยังใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆจงใจปกปิดข้อมูล . กรณีนี้เนื่องจากคุณวีระ สมความคิด เป็นผู้เสียหายโดยตรงอย่างชัดเจน เพราะมีคำสั่งศาลมาแล้วในหลายครั้ง กรณีนี้ศาลอาญาคดีทุจริตฯ จึงต้องรับไว้ไต่สวนมูลฟ้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ . อย่างไรก็ตาม คุณวีระ ก็มีข้อจำกัด คือต้องรวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดเพื่อส่งศาลให้ได้ภายใน 7 วัน คือภายในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2567 คุณวีระ ต้องรวบรวมเอกสารส่งศาลให้ครบถ้วน ซึ่งเวลาก็รวบรัดมาก คดีนี้พวกเรามาให้กำลังใจคุณวีระ กันหน่อยครับ ถือว่าเป็นคดีที่คุณวีระ สุ่มเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยในชีวิตอย่างมาก เพราะถ้าคุณวีระตายคนเดียว อีก 12 คน ก็จะรอด แต่ถ้าคุณวีระรอด อีก 12 คน ก็อาจจะตายแทนก็ได้ครับ
    Like
    8
    0 Comments 0 Shares 929 Views 0 Reviews
More Results