• ศาลไม่รับคดีล้มล้าง ขาดหลักฐานชัดเจน จับตาคดีในมือ กกต.-ปปช.
    .
    ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีมติยกคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องนี้ไว้วินิจฉัย
    .
    สำหรับคำร้องที่นายธีรยุทธยื่นมี 6 ประเด็น ประกอบด้วย ประเด็นที่ 1 นายทักษิณสั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่นายทักษิณ ให้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อให้ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤต
    .
    ประเด็นที่ 2 นายทักษิณสั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของประเทศไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา
    .
    ประเด็นที่ 3 นายทักษิณสั่งการให้พรรคเพื่อไทยร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองของพรรคก้าวไกลเดิม ที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
    .
    ประเด็นที่ 4 นายทักษิณสั่งการแทนพรรคเพื่อไทย โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมตรี เพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของนายทักษิณ
    .
    ประเด็นที่ 5 นายทักษิณสั่งการให้พรรคเพื่อไทยมีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล
    .
    ประเด็นที่ 6 นายทักษิณสั่งการให้พรรคเพื่อไทยนำนโยบายของนายทักษิณที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา
    .
    ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ร้องจะใช้สิทธิยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดแล้วและอัยการสูงสุดไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ อันทำให้ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ก็ตาม แต่การพิจารณาว่า บุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมาย และความประสงค์ระดับที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่าน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการกระทำนั้นจะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ
    .
    ข้อกล่าวอ้างในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3 ถึงประเด็นที่ 6 ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ดังนั้น กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ ไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัยในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3 ถึงประเด็นที่ 6
    .
    สำหรับประเด็นที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
    .
    ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 7 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ เห็นว่า ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
    .
    ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 2 คน คือ นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายนภดล เทพพิทักษ์ เห็นว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผล เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาวินิจฉัยได้
    .
    ด้านดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ประธานสถาบันสุจริตไทย อดีตส.ว. แสดงความคิดเห็นว่าแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งไม่รับคำร้องของนายธีรยุทธ์ สุวรรณเกษรที่ขอให้สั่งหยุดการกระทำของคุณทักษิณและ พท.ทั้ง 6 ประเด็น เพราะข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอที่จะชี้ว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯแต่ข้อเท็จจริงทั้ง 6 ประเด็นก็ยังมีผู้ยื่นคำร้องต่อ ปปช.และ กกต.กล่าวหานายทักษิณ พรรคเพื่อไทยและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องร่วมทำผิดตามกฎหมายอื่นที่มีโทษรุนแรงทั้งต่อบุคคลและพรรคการเมือง ที่อยู่ระหว่างการเสนอเรื่องไปสิ้นสุดการพิจารณาที่ศาลยุติธรรมหรือ ศาลรัฐธรรมนูญได้อีกเป็นหลายกรณี ประชาชนพลเมืองดีของไทยจึงยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องติดตามกันต่อไป
    ..............
    Sondhi X
    ศาลไม่รับคดีล้มล้าง ขาดหลักฐานชัดเจน จับตาคดีในมือ กกต.-ปปช. . ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีมติยกคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องนี้ไว้วินิจฉัย . สำหรับคำร้องที่นายธีรยุทธยื่นมี 6 ประเด็น ประกอบด้วย ประเด็นที่ 1 นายทักษิณสั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่นายทักษิณ ให้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อให้ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤต . ประเด็นที่ 2 นายทักษิณสั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของประเทศไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา . ประเด็นที่ 3 นายทักษิณสั่งการให้พรรคเพื่อไทยร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองของพรรคก้าวไกลเดิม ที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข . ประเด็นที่ 4 นายทักษิณสั่งการแทนพรรคเพื่อไทย โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมตรี เพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของนายทักษิณ . ประเด็นที่ 5 นายทักษิณสั่งการให้พรรคเพื่อไทยมีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล . ประเด็นที่ 6 นายทักษิณสั่งการให้พรรคเพื่อไทยนำนโยบายของนายทักษิณที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา . ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ร้องจะใช้สิทธิยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดแล้วและอัยการสูงสุดไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ อันทำให้ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ก็ตาม แต่การพิจารณาว่า บุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมาย และความประสงค์ระดับที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่าน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการกระทำนั้นจะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ . ข้อกล่าวอ้างในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3 ถึงประเด็นที่ 6 ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ดังนั้น กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ ไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัยในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3 ถึงประเด็นที่ 6 . สำหรับประเด็นที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย . ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 7 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ เห็นว่า ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง . ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 2 คน คือ นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายนภดล เทพพิทักษ์ เห็นว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผล เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ . ด้านดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ประธานสถาบันสุจริตไทย อดีตส.ว. แสดงความคิดเห็นว่าแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งไม่รับคำร้องของนายธีรยุทธ์ สุวรรณเกษรที่ขอให้สั่งหยุดการกระทำของคุณทักษิณและ พท.ทั้ง 6 ประเด็น เพราะข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอที่จะชี้ว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯแต่ข้อเท็จจริงทั้ง 6 ประเด็นก็ยังมีผู้ยื่นคำร้องต่อ ปปช.และ กกต.กล่าวหานายทักษิณ พรรคเพื่อไทยและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องร่วมทำผิดตามกฎหมายอื่นที่มีโทษรุนแรงทั้งต่อบุคคลและพรรคการเมือง ที่อยู่ระหว่างการเสนอเรื่องไปสิ้นสุดการพิจารณาที่ศาลยุติธรรมหรือ ศาลรัฐธรรมนูญได้อีกเป็นหลายกรณี ประชาชนพลเมืองดีของไทยจึงยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องติดตามกันต่อไป .............. Sondhi X
    Sad
    3
    1 Comments 0 Shares 279 Views 0 Reviews
  • 'ฟิล์ม รัฐภูมิ' ยื่นหนังสือลาออกสมาชิกพรรคพลังประชารัฐกับ กกต.แล้ว หลังมีคลิปเสียงหลุด เรียกรับเงินบอสดิไอคอน จับตาจะมีหมายจับ-หมายเรียกจากตำรวจหรือไม่•วันนี้(18 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ "ฟิล์ม รัฐภูมิ" อดีตรองโฆษก และอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยเป็นการยื่นลาออกต่อ กกต. หลังมีคลิปเสียงพัวพันการแอบอ้างชื่อพิธีกรรายการข่าวดังกรณีดิไอคอนกรุ๊ป•พร้อมกันนี้ยังมีรายงานว่า วันนี้ (18 พ.ย. 67) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จะเรียกประชุมพนักงานสอบสวนว่าจะออกหมายเรียกหรือออกหมายจับนายรัฐภูมิ หรือไม่ อีกด้วย•#MGROnline #ดิไอคอน #ฟิมล์รัฐภูมิ
    'ฟิล์ม รัฐภูมิ' ยื่นหนังสือลาออกสมาชิกพรรคพลังประชารัฐกับ กกต.แล้ว หลังมีคลิปเสียงหลุด เรียกรับเงินบอสดิไอคอน จับตาจะมีหมายจับ-หมายเรียกจากตำรวจหรือไม่•วันนี้(18 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ "ฟิล์ม รัฐภูมิ" อดีตรองโฆษก และอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยเป็นการยื่นลาออกต่อ กกต. หลังมีคลิปเสียงพัวพันการแอบอ้างชื่อพิธีกรรายการข่าวดังกรณีดิไอคอนกรุ๊ป•พร้อมกันนี้ยังมีรายงานว่า วันนี้ (18 พ.ย. 67) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จะเรียกประชุมพนักงานสอบสวนว่าจะออกหมายเรียกหรือออกหมายจับนายรัฐภูมิ หรือไม่ อีกด้วย•#MGROnline #ดิไอคอน #ฟิมล์รัฐภูมิ
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
  • MOU44 กับความจริงที่รบ.ไม่กล้าพูด - คืบหน้าเปลี่ยนมาตรฐานความปลอดภัยรถ NGV : คนเคาะข่าว 14-11-67
    : ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ
    : กิตติชัย ไพโรจน์ไชยกุล ดำเนินรายการ
    MOU44 กับความจริงที่รบ.ไม่กล้าพูด - คืบหน้าเปลี่ยนมาตรฐานความปลอดภัยรถ NGV : คนเคาะข่าว 14-11-67 : ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ : กิตติชัย ไพโรจน์ไชยกุล ดำเนินรายการ
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 890 Views 16 0 Reviews
  • MOU44 กับความจริงที่รบ.ไม่กล้าพูด - คืบหน้าเปลี่ยนมาตรฐานความปลอดภัยรถ NGV : คนเคาะข่าว 14-11-67
    : ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ
    : กิตติชัย ไพโรจน์ไชยกุล ดำเนินรายการ
    https://youtu.be/R7XvMxtw9S4?si=Hrx5hhX0LSHORfyn

    #Thaitimes
    MOU44 กับความจริงที่รบ.ไม่กล้าพูด - คืบหน้าเปลี่ยนมาตรฐานความปลอดภัยรถ NGV : คนเคาะข่าว 14-11-67 : ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ : กิตติชัย ไพโรจน์ไชยกุล ดำเนินรายการ https://youtu.be/R7XvMxtw9S4?si=Hrx5hhX0LSHORfyn #Thaitimes
    Like
    Yay
    3
    0 Comments 0 Shares 305 Views 0 Reviews
  • ชีวิตพระเอกฟิล์มรัฐภูมิ เดินมาถึงวันชี้ชะตาที่ดูแล้ว อนาคตของอดีตนักแสดงคนนี้คงจะจบไม่สวย เขาเป็นคนดัง ที่เดิมพันชีวิตแบบกล้าได้กล้าเสียแล้วผลออกมาคือ เสีย หวังรวยทางลัด หนุ่มกรรชัยซึ่งถือเป็นผู้เสียหายอย่างแรงจากการถูกฟิล์มแอบอ้างชื่อไปตบทรัพย์20 ล้านจากบอสปันแห่งดิไอคอน ที่น่าแปลกใจฟิล์มมาจับคู่ดูโอ้กับนักร้องเรียนหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเสียงพูดในคลิปลับฟังละม้ายคล้าย เจ๊ภัทร กิจอนงค์ ซึ่งเจ๊แกเองก็จ่อจะโดนคดีตบทรัพย์ดิไอคอนอยู่ก่อนแล้ว จึงทำให้ทั้งสองคนกลายสภาพจากฝ่ายผู้ล่ากลายเป็นผู้ถูกล่าโดยไม่รู้ตัว โดนบอสปั่นซ้อนแผนอัดเสียงไว้นานถึง29 นาทีครึ่ง คําแถลงคําชี้แจงต่างๆ นานาของฟิล์มมันช่างไร้ตรรกะเต็มไปด้วยความสับสนอลหม่านฟังไม่ขึ้นอย่างสิ้นเชิง งานนี้นอกจากจะถูกหนุ่มกรรชัยดําเนินคดีแล้ว ฟิล์มรัฐภูมิอาจจะโดนคดีจุกจุกฉ่ําฉ่ําจากฝ่ายบอสพอล
    หากย้อนประวัติไปจะเห็นว่าฟิล์มเป็นซุปตาร์ที่มีพฤติกรรมล่อแหลมมาหลายครั้งเขาเป็นพระเอกก็แค่ในจอแต่นอกจอออกจะมอมแมมเปรอะเปื้อน เขาเคยถูกเปิดโปงถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งนานนับปีกับเสี่ยอู๊ดเซียนพระคนดัง ตอนนั้นเป็นข่าวฮือฮามาก ตอนนั้นเสี่ยอู๊ดคลั่งรักไปหนักๆ ให้ฟิล์มทั้งไถ่ถอนบ้านให้พ่อแม่ฟิล์ม ซื้อรถหรูๆ แพงๆ ปนเปรอให้ฟิล์มโดยเสน่หาจริงๆ แต่ฟิล์มปฏิเสธเขาไม่มีเยื่อใยบอกไม่รู้จักเสี่ยอู๊ด เล่นเอาเสี่ยอู๊ดของขึ้นปล่อยภาพสวีทรัวๆที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันกับฟิล์ม ทำเอาชาวบ้านร้อง อ้าว นี่มันของแทร่นี่หว่า พอชีวิตเสี่ยอู๊ดตกต่ําถึงขั้นติดคุกจากธุรกิจพระเครื่อง ฟิล์มไม่เคยคิดจะไปเยี่ยมดูดําดูดีถือว่าผ่านแล้วผ่านเลย จากนั้นก็เข้าสู่สนามการเมือง เป็นจอมพเนจร ในหลายพรรคไม่ว่าจะพรรคพลังท้องถิ่นไทย พรรคเพื่อไทย พรรคไทยสร้างไทยและล่าสุดพรรคพลังประชารัฐ โดยไม่เคยแจ้งเกิดเป็นส สแม้แต่สมัยเดียวแล้วดันมาก่อคดีตบซับดิไอคอน พรรคพลังประชารัฐของลุงป้อม ซวยเลย กลายเป็นพรรคมาแรงกว่าใครที่ สมาชิกมีทั้งเทวดารับสวยดีไอคอน ทั้ง 18 มงกุฎตบซ้ําดีไอคอน ภาพลักษณ์ติดลบซ้ําๆ กู่ไม่กลับ บรัยกันไปยาวๆๆ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    ชีวิตพระเอกฟิล์มรัฐภูมิ เดินมาถึงวันชี้ชะตาที่ดูแล้ว อนาคตของอดีตนักแสดงคนนี้คงจะจบไม่สวย เขาเป็นคนดัง ที่เดิมพันชีวิตแบบกล้าได้กล้าเสียแล้วผลออกมาคือ เสีย หวังรวยทางลัด หนุ่มกรรชัยซึ่งถือเป็นผู้เสียหายอย่างแรงจากการถูกฟิล์มแอบอ้างชื่อไปตบทรัพย์20 ล้านจากบอสปันแห่งดิไอคอน ที่น่าแปลกใจฟิล์มมาจับคู่ดูโอ้กับนักร้องเรียนหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเสียงพูดในคลิปลับฟังละม้ายคล้าย เจ๊ภัทร กิจอนงค์ ซึ่งเจ๊แกเองก็จ่อจะโดนคดีตบทรัพย์ดิไอคอนอยู่ก่อนแล้ว จึงทำให้ทั้งสองคนกลายสภาพจากฝ่ายผู้ล่ากลายเป็นผู้ถูกล่าโดยไม่รู้ตัว โดนบอสปั่นซ้อนแผนอัดเสียงไว้นานถึง29 นาทีครึ่ง คําแถลงคําชี้แจงต่างๆ นานาของฟิล์มมันช่างไร้ตรรกะเต็มไปด้วยความสับสนอลหม่านฟังไม่ขึ้นอย่างสิ้นเชิง งานนี้นอกจากจะถูกหนุ่มกรรชัยดําเนินคดีแล้ว ฟิล์มรัฐภูมิอาจจะโดนคดีจุกจุกฉ่ําฉ่ําจากฝ่ายบอสพอล หากย้อนประวัติไปจะเห็นว่าฟิล์มเป็นซุปตาร์ที่มีพฤติกรรมล่อแหลมมาหลายครั้งเขาเป็นพระเอกก็แค่ในจอแต่นอกจอออกจะมอมแมมเปรอะเปื้อน เขาเคยถูกเปิดโปงถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งนานนับปีกับเสี่ยอู๊ดเซียนพระคนดัง ตอนนั้นเป็นข่าวฮือฮามาก ตอนนั้นเสี่ยอู๊ดคลั่งรักไปหนักๆ ให้ฟิล์มทั้งไถ่ถอนบ้านให้พ่อแม่ฟิล์ม ซื้อรถหรูๆ แพงๆ ปนเปรอให้ฟิล์มโดยเสน่หาจริงๆ แต่ฟิล์มปฏิเสธเขาไม่มีเยื่อใยบอกไม่รู้จักเสี่ยอู๊ด เล่นเอาเสี่ยอู๊ดของขึ้นปล่อยภาพสวีทรัวๆที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันกับฟิล์ม ทำเอาชาวบ้านร้อง อ้าว นี่มันของแทร่นี่หว่า พอชีวิตเสี่ยอู๊ดตกต่ําถึงขั้นติดคุกจากธุรกิจพระเครื่อง ฟิล์มไม่เคยคิดจะไปเยี่ยมดูดําดูดีถือว่าผ่านแล้วผ่านเลย จากนั้นก็เข้าสู่สนามการเมือง เป็นจอมพเนจร ในหลายพรรคไม่ว่าจะพรรคพลังท้องถิ่นไทย พรรคเพื่อไทย พรรคไทยสร้างไทยและล่าสุดพรรคพลังประชารัฐ โดยไม่เคยแจ้งเกิดเป็นส สแม้แต่สมัยเดียวแล้วดันมาก่อคดีตบซับดิไอคอน พรรคพลังประชารัฐของลุงป้อม ซวยเลย กลายเป็นพรรคมาแรงกว่าใครที่ สมาชิกมีทั้งเทวดารับสวยดีไอคอน ทั้ง 18 มงกุฎตบซ้ําดีไอคอน ภาพลักษณ์ติดลบซ้ําๆ กู่ไม่กลับ บรัยกันไปยาวๆๆ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 Comments 0 Shares 399 Views 0 Reviews
  • สุไหงโก-ลกเละเทะ มาเลย์ฯ ลอบเข้าไทย

    การจับกุมผู้ต้องหาชาวมาเลเซีย 6 คน หนึ่งในนั้นคือ น.ส.วัน โนรชาฮีดา อัซลิน บินตี วัน อิสมาอีล นักร้องเพลงลิเกบารัตวัย 28 ปี ที่มีผลงานเพลง Cinta Setandan Pisang เพลงฮิตที่มีผู้ฟังในยูทูบมากถึง 23 ล้านวิว พร้อมของกลางยาบ้า 6,000 เม็ด ภายในห้องพักโรงแรมเก็นติ้ง อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อเวลา 03.30 น. วันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ การลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายของชาวมาเลเซีย เพื่อไปหาความสำราญในประเทศไทย เพราะมีผู้ต้องหา 2 คน ถูกดำเนินคดีเพิ่มในข้อหาเข้าประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต หลังไม่พบตราประทับบนหนังสือเดินทาง

    ดาโต๊ะ โมฮัมหมัด ยูซอฟ มามัต ผู้บัญชาการตำรวจแห่งรัฐกลันตัน ยอมรับว่าคนในพื้นที่จำนวนมากข้ามพรมแดนเข้ามายังประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อแสวงหาความบันเทิงที่ไนต์คลับ แม้ตำรวจรัฐกลันตันจะระงับยับยั้งเรื่องนี้ แต่โดยหน้าที่จำกัดแค่การจับกุมชาวต่างชาติลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเท่านั้น วัยรุ่นเหล่านี้เดินทางมายังประเทศไทยช่วงเย็นวันพฤหัสบดี (31 ต.ค.) แล้วกลับรัฐกลันตันในวันเสาร์ (2 พ.ย.) โดยจอดรถที่ด่านรันเตาปันจัง ข้ามแม่น้ำโกลกเพื่อเข้าประเทศไทย แทนการเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง (ICQS) รันเตาปันจัง

    ด้านนายโมฮัมเหม็ด ฟาดซิล ฮัสซัน รองมุขมนตรีรัฐกลันตัน จะเสนอรัฐบาลกลางมาเลเซียก่อสร้างกำแพงตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ความยาวเกือบ 100 กิโลเมตร เพื่อปราบปรามการลักลอบขนสิ่งผิดกฎหมายและป้องกันน้ำท่วม เนื่องจากการใช้กองกำลังความมั่นคงป้องกันชายแดนทั้งหมดทำได้ยาก แม้ทางการจะควบคุมอย่างเข้มงวดที่ชายแดน แต่ช่องทางผิดกฎหมายมีหลายแห่ง ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ทำให้การเฝ้าระวังเป็นไปได้ยาก ซึ่งการลักลอบเข้า-ออกโดยผิดกฎหมายจะใช้เส้นทางที่ไม่ได้รับการควบคุม หรือควบคุมได้ยาก ทำให้เจ้าหน้าที่ยากลำบากในการปราบปราม

    ส่วนนายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการควบคุมดูแล และป้องกันยาเสพติดในฝั่งประเทศไทย ที่ปล่อยปะละเลยให้มีการแพร่ระบาดของยาเสพติด ตามแหล่งท่องเที่ยวและสถานบันเทิง ทั้งดิสโก้เทค ผับ บาร์ คาราโอเกะ ยากต่อการควบคุมของเจ้าหน้าที่ฝั่งมาเลเซีย และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเรียกร้องให้กระทรวงมหาดไทย ดูแลป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง เพราะตลอดระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงสุไหงโก-ลก กว่า 1,200 กิโลเมตร ไม่มีการตรวจค้นอย่างเข้มงวดและจริงจัง ทำให้มีการลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่สุไหงโก-ลกได้

    #Newskit #สุไหงโกลก #Kelantan
    สุไหงโก-ลกเละเทะ มาเลย์ฯ ลอบเข้าไทย การจับกุมผู้ต้องหาชาวมาเลเซีย 6 คน หนึ่งในนั้นคือ น.ส.วัน โนรชาฮีดา อัซลิน บินตี วัน อิสมาอีล นักร้องเพลงลิเกบารัตวัย 28 ปี ที่มีผลงานเพลง Cinta Setandan Pisang เพลงฮิตที่มีผู้ฟังในยูทูบมากถึง 23 ล้านวิว พร้อมของกลางยาบ้า 6,000 เม็ด ภายในห้องพักโรงแรมเก็นติ้ง อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อเวลา 03.30 น. วันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ การลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายของชาวมาเลเซีย เพื่อไปหาความสำราญในประเทศไทย เพราะมีผู้ต้องหา 2 คน ถูกดำเนินคดีเพิ่มในข้อหาเข้าประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต หลังไม่พบตราประทับบนหนังสือเดินทาง ดาโต๊ะ โมฮัมหมัด ยูซอฟ มามัต ผู้บัญชาการตำรวจแห่งรัฐกลันตัน ยอมรับว่าคนในพื้นที่จำนวนมากข้ามพรมแดนเข้ามายังประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อแสวงหาความบันเทิงที่ไนต์คลับ แม้ตำรวจรัฐกลันตันจะระงับยับยั้งเรื่องนี้ แต่โดยหน้าที่จำกัดแค่การจับกุมชาวต่างชาติลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเท่านั้น วัยรุ่นเหล่านี้เดินทางมายังประเทศไทยช่วงเย็นวันพฤหัสบดี (31 ต.ค.) แล้วกลับรัฐกลันตันในวันเสาร์ (2 พ.ย.) โดยจอดรถที่ด่านรันเตาปันจัง ข้ามแม่น้ำโกลกเพื่อเข้าประเทศไทย แทนการเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง (ICQS) รันเตาปันจัง ด้านนายโมฮัมเหม็ด ฟาดซิล ฮัสซัน รองมุขมนตรีรัฐกลันตัน จะเสนอรัฐบาลกลางมาเลเซียก่อสร้างกำแพงตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ความยาวเกือบ 100 กิโลเมตร เพื่อปราบปรามการลักลอบขนสิ่งผิดกฎหมายและป้องกันน้ำท่วม เนื่องจากการใช้กองกำลังความมั่นคงป้องกันชายแดนทั้งหมดทำได้ยาก แม้ทางการจะควบคุมอย่างเข้มงวดที่ชายแดน แต่ช่องทางผิดกฎหมายมีหลายแห่ง ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ทำให้การเฝ้าระวังเป็นไปได้ยาก ซึ่งการลักลอบเข้า-ออกโดยผิดกฎหมายจะใช้เส้นทางที่ไม่ได้รับการควบคุม หรือควบคุมได้ยาก ทำให้เจ้าหน้าที่ยากลำบากในการปราบปราม ส่วนนายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการควบคุมดูแล และป้องกันยาเสพติดในฝั่งประเทศไทย ที่ปล่อยปะละเลยให้มีการแพร่ระบาดของยาเสพติด ตามแหล่งท่องเที่ยวและสถานบันเทิง ทั้งดิสโก้เทค ผับ บาร์ คาราโอเกะ ยากต่อการควบคุมของเจ้าหน้าที่ฝั่งมาเลเซีย และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเรียกร้องให้กระทรวงมหาดไทย ดูแลป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง เพราะตลอดระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงสุไหงโก-ลก กว่า 1,200 กิโลเมตร ไม่มีการตรวจค้นอย่างเข้มงวดและจริงจัง ทำให้มีการลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่สุไหงโก-ลกได้ #Newskit #สุไหงโกลก #Kelantan
    Like
    Love
    Angry
    6
    0 Comments 0 Shares 465 Views 0 Reviews
  • “ธีระชัย” เปิดหลักฐาน กัมพูชาลากเส้นในทะเล ผิดทั้งสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ที่ระบุถึงการเล็งยอดเขาบนเกาะกูดสำหรับแบ่งเขตบนแผ่นดินเท่านั้น และผิดอนุสัญญาเจนีวา 1958 ที่ห้ามมิให้อ้างเหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์ในการประกาศเขตไหล่ทวีป MOU2544 จึงส่อผิดกฎหมายไปด้วย

    4 พฤศจิกายน 2567-นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala - - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ในหัวข้อด่วน! กัมพูชาไม่อาจอ้างสนธิสัญญาฯ มีรายละเอียดดังนี้

    อาจารย์พนัส ทัศนียานนท์ อดีตอัยการและอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กรุณาส่งข้อมูลแจ้งผม ทำให้ผมเห็นว่ากัมพูชาไม่อาจอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907

    อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วย “ไหล่ทวีป” 1958 ไม่มีการรับรองสิทธิทางประวัติศาสตร์ รับรองไว้เฉพาะกรณีของ “ทะเลอาณาเขต”

    เว็บไซต์ของกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ระบุว่า
    [“ทะเลอาณาเขต” (territorial sea) มีความกว้างไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล โดยวัดจากเส้นฐานออกไป
    รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตย (sovereignty) เหนือทะเลอาณาเขต

    “ไหล่ทวีป” (continental shelf) หมายถึง พื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินของบริเวณใต้ทะเล ซึ่งขยายเลยทะเลอาณาเขตออกไปตามธรรมชาติของดินแดนจนถึงริมนอกของขอบทวีป หรือจนถึงระยะ 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต…

    ในบริเวณไหล่ทวีป รัฐชายฝั่งสามารถใช้สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติบน ไหล่ทวีป]

    ดังนั้น พื้นที่ในอ่าวไทย บริเวณที่ระบุอ้างกันว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ดังปรากฏใน MOU44 นั้น จึงไม่ใช่พื้นที่ “ทะเลอาณาเขต” ที่ครอบคลุมความกว้างเพียง 12 ไมล์ทะเล

    แต่เป็นพื้นที่ “ไหล่ทวีป” ที่ครอบคลุมความกว้างถึง 200 ไมล์ทะเล และเป็นอาณาเขตสำหรับพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียม

    รูป 1-4 ในประกาศ เรื่อง ใช้อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ซึ่งมีพระบรมราชโองการโดยล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 รับสนองฯ โดย จอมพล ถนอม กิตติขจร เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2512 ในหัวข้อ ทะเลอาณาเขต ข้อ 12 ข้อย่อย 1 อนุญาตให้ยกเว้นได้สำหรับ “เหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์”

    รูป 5-6 กฤษฎีกาของรัฐบาลกัมพูชา ที่ลากเส้น “ไหล่ทวีป” พาดผ่านเกาะกูดนั้น ระบุชัดเจนว่า เป็นการประกาศพื้นที่ Plateau Continental ซึ่งแปลว่า ไหล่ทวีป และมิใช่อ้างอิงอนุสัญญากรุงเจนีวา 1958 อย่างเดียว แต่อ้างอิงสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ค.ศ. 1907 ประกอบด้วย

    “ สาเหตุที่กัมพูชาอ้างอิงสนธิสัญญาฯ เพื่อลากเส้นผ่านเกาะกูดนั้น เป็นเพราะสนธิสัญญาฯ มีเอกสารแนบที่ระบุข้อความ “ตั้งแต่ชายทะเลที่ตรงข้ามจากยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดเป็นหลัก” จึงได้ลากเส้นจากชายทะเลผ่านยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดไปทางทิศตะวันตกกินแดนเข้ามาในอ่าวไทย

    ** ผิดกฎหมายกระทงที่หนึ่ง
    การกระทำดังกล่าวผิดกฏหมายกระทงที่หนึ่ง เพราะเนื้อความในสนธิสัญญาฯ บรรยายถึงการแบ่งเขตแดนบนแผ่นดิน มิได้เกี่ยวข้องกับการแบ่งเขตแดนในทะเล จึงเป็นการอ้างอิงสนธิสัญญาฯ ที่บิดเบือน

    อีกทั้งเกาะกูดอยู่ห่างชายฝั่ง 44 ไมล์ทะเล จึงอยู่นอก “ทะเลอาณาเขต” อยู่แล้วด้วย

    ** ผิดกฎหมายกระทงที่สอง
    การกำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปพาดผ่านเกาะกูดโดยอ้างสนธิสัญญาฯ เป็น “เหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์” นั้น ก็เป็นการบิดเบือน เอาข้อยกเว้นในเรื่องของ “ทะเลอาณาเขต” มาใช้กับเรื่องของ “ไหล่ทวีป”

    สรุปแล้ว กฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา ขัดกับอนุสัญญากรุงเจนีวา 1958 โดยสิ้นเชิง

    เป็นการอ้างผิดมาตราอย่างจัง!

    และการที่รัฐบาลไทยในสมัยของอดีตนายกทักษิณ ไปทำ MOU44 โดยไม่ได้คำนึงถึงประเด็นนี้ ผมมีความเห็นว่า อาจเป็นการผิดกฎหมาย

    กัมพูชาจะลากเส้นที่ไม่ตรงกับอนุสัญญากรุงเจนีวา อย่างไรก็ได้ ถ้าไทยไม่รับ ข้ออ้างดังกล่าวก็จะค้างอยู่ในอากาศ แต่การที่รัฐบาลไทยไปรับรู้เส้นที่ไม่ตรงกับอนุสัญญากรุงเจนีวา เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง

    จึงขอขอบคุณอาจารย์พนัส ทัศนียานนท์ เป็นอย่างยิ่ง ที่ได้กรุณาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชน”

    ที่มา News1
    https://news1live.com/detail/9670000106288?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2E5ivC8YLJ80XZFnfxkqNzQw-E48lM3Ly7iYy_GAtAVxhcMf3h4UJzl_o_aem_oBxuft0VBnaCm-WW-Z_8rw

    #Thaitimes
    “ธีระชัย” เปิดหลักฐาน กัมพูชาลากเส้นในทะเล ผิดทั้งสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ที่ระบุถึงการเล็งยอดเขาบนเกาะกูดสำหรับแบ่งเขตบนแผ่นดินเท่านั้น และผิดอนุสัญญาเจนีวา 1958 ที่ห้ามมิให้อ้างเหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์ในการประกาศเขตไหล่ทวีป MOU2544 จึงส่อผิดกฎหมายไปด้วย 4 พฤศจิกายน 2567-นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala - - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ในหัวข้อด่วน! กัมพูชาไม่อาจอ้างสนธิสัญญาฯ มีรายละเอียดดังนี้ อาจารย์พนัส ทัศนียานนท์ อดีตอัยการและอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กรุณาส่งข้อมูลแจ้งผม ทำให้ผมเห็นว่ากัมพูชาไม่อาจอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วย “ไหล่ทวีป” 1958 ไม่มีการรับรองสิทธิทางประวัติศาสตร์ รับรองไว้เฉพาะกรณีของ “ทะเลอาณาเขต” เว็บไซต์ของกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ระบุว่า [“ทะเลอาณาเขต” (territorial sea) มีความกว้างไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล โดยวัดจากเส้นฐานออกไป รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตย (sovereignty) เหนือทะเลอาณาเขต “ไหล่ทวีป” (continental shelf) หมายถึง พื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินของบริเวณใต้ทะเล ซึ่งขยายเลยทะเลอาณาเขตออกไปตามธรรมชาติของดินแดนจนถึงริมนอกของขอบทวีป หรือจนถึงระยะ 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต… ในบริเวณไหล่ทวีป รัฐชายฝั่งสามารถใช้สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติบน ไหล่ทวีป] ดังนั้น พื้นที่ในอ่าวไทย บริเวณที่ระบุอ้างกันว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ดังปรากฏใน MOU44 นั้น จึงไม่ใช่พื้นที่ “ทะเลอาณาเขต” ที่ครอบคลุมความกว้างเพียง 12 ไมล์ทะเล แต่เป็นพื้นที่ “ไหล่ทวีป” ที่ครอบคลุมความกว้างถึง 200 ไมล์ทะเล และเป็นอาณาเขตสำหรับพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียม รูป 1-4 ในประกาศ เรื่อง ใช้อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ซึ่งมีพระบรมราชโองการโดยล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 รับสนองฯ โดย จอมพล ถนอม กิตติขจร เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2512 ในหัวข้อ ทะเลอาณาเขต ข้อ 12 ข้อย่อย 1 อนุญาตให้ยกเว้นได้สำหรับ “เหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์” รูป 5-6 กฤษฎีกาของรัฐบาลกัมพูชา ที่ลากเส้น “ไหล่ทวีป” พาดผ่านเกาะกูดนั้น ระบุชัดเจนว่า เป็นการประกาศพื้นที่ Plateau Continental ซึ่งแปลว่า ไหล่ทวีป และมิใช่อ้างอิงอนุสัญญากรุงเจนีวา 1958 อย่างเดียว แต่อ้างอิงสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ค.ศ. 1907 ประกอบด้วย “ สาเหตุที่กัมพูชาอ้างอิงสนธิสัญญาฯ เพื่อลากเส้นผ่านเกาะกูดนั้น เป็นเพราะสนธิสัญญาฯ มีเอกสารแนบที่ระบุข้อความ “ตั้งแต่ชายทะเลที่ตรงข้ามจากยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดเป็นหลัก” จึงได้ลากเส้นจากชายทะเลผ่านยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดไปทางทิศตะวันตกกินแดนเข้ามาในอ่าวไทย ** ผิดกฎหมายกระทงที่หนึ่ง การกระทำดังกล่าวผิดกฏหมายกระทงที่หนึ่ง เพราะเนื้อความในสนธิสัญญาฯ บรรยายถึงการแบ่งเขตแดนบนแผ่นดิน มิได้เกี่ยวข้องกับการแบ่งเขตแดนในทะเล จึงเป็นการอ้างอิงสนธิสัญญาฯ ที่บิดเบือน อีกทั้งเกาะกูดอยู่ห่างชายฝั่ง 44 ไมล์ทะเล จึงอยู่นอก “ทะเลอาณาเขต” อยู่แล้วด้วย ** ผิดกฎหมายกระทงที่สอง การกำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปพาดผ่านเกาะกูดโดยอ้างสนธิสัญญาฯ เป็น “เหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์” นั้น ก็เป็นการบิดเบือน เอาข้อยกเว้นในเรื่องของ “ทะเลอาณาเขต” มาใช้กับเรื่องของ “ไหล่ทวีป” สรุปแล้ว กฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา ขัดกับอนุสัญญากรุงเจนีวา 1958 โดยสิ้นเชิง เป็นการอ้างผิดมาตราอย่างจัง! และการที่รัฐบาลไทยในสมัยของอดีตนายกทักษิณ ไปทำ MOU44 โดยไม่ได้คำนึงถึงประเด็นนี้ ผมมีความเห็นว่า อาจเป็นการผิดกฎหมาย กัมพูชาจะลากเส้นที่ไม่ตรงกับอนุสัญญากรุงเจนีวา อย่างไรก็ได้ ถ้าไทยไม่รับ ข้ออ้างดังกล่าวก็จะค้างอยู่ในอากาศ แต่การที่รัฐบาลไทยไปรับรู้เส้นที่ไม่ตรงกับอนุสัญญากรุงเจนีวา เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จึงขอขอบคุณอาจารย์พนัส ทัศนียานนท์ เป็นอย่างยิ่ง ที่ได้กรุณาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชน” ที่มา News1 https://news1live.com/detail/9670000106288?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2E5ivC8YLJ80XZFnfxkqNzQw-E48lM3Ly7iYy_GAtAVxhcMf3h4UJzl_o_aem_oBxuft0VBnaCm-WW-Z_8rw #Thaitimes
    NEWS1LIVE.COM
    “ธีระชัย” เปิดข้อมูล กัมพูชาลากเส้นในทะเลผิดหลักสากล 2 เด้ง MOU44 ส่อผิดไปด้วย
    “ธีระชัย” เปิดหลักฐาน กัมพูชาลากเส้นในทะเล ผิดทั้งสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ที่ระบุถึงการเล็งยอดเขาบนเกาะกูดสำหรับแบ่งเขตบนแผ่นดินเท่านั้น และผิดอนุสัญญาเจนีวา 1958 ที่ห้ามมิให้อ้างเหตุแห่งสิทธิทางประวัติศาสตร์ในการประกาศเขตไหล่ทวีป
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 677 Views 0 Reviews
  • ผบ.ทร. ลงพื้นที่เกาะกูด ย้ำปกป้องอธิปไตยชาติ มั่นใจปัญหาไม่บายปลาย
    .
    เรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา กลายเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงอย่างมากในสังคมเวลานี้ โดยเฉพาะท่าทีขององค์กรภาคประชาชนและพรรคการเมืองฝ่ายค้านอย่างพรรคพลังประชารัฐที่ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าประเทศไทยมีความสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดน ซึ่งเป็นเหตุผลที่สืบเนื่องมาจากการที่ไทยยังไม่ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักไทยทย-กัมพูชา เกี่ยวกับอ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ปี พ.ศ. 2544 (MOU 2544)
    .
    ในเรื่องนี้มีท่าทีจากฝ่ายกองทัพออกมาแสดงความคิดเห็น โดยพล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ตรวจเยี่ยมหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด พร้อมรับฟังบรรยายสรุปถึงการปฏิบัติงานของหน่วย และการดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตกำลังพล และประสิทธิภาพของหน่วย เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่กำลังพลที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ห่างไกลต่อไป โดยมี พล.ร.ต.ชรัมม์ภากร พรหมภากร รองผู้บัญชาการกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด คณะผู้บังคับบัญชาและกำลังพลของหน่วย ให้การต้อนรับ
    .
    ทั้งนี้ พล.ร.อ. จิรพล ระบุว่า หน้าที่ของกองทัพเรือ คือการดูแลรักษาผลประโยชน์ของชาติ รัฐบาลไทยได้ประกาศเขต เอาไว้แล้วเมื่อปี พุทธศักราช 2516 เราจะดูแลพื้นที่ตามเขตแดนที่รัฐบาลประกาศไว้ ส่วนความคืบหน้าหรือข้อตกลงอะไรนั้น เป็นเรื่องของรัฐบาล เราทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ที่จะดูแลเขตแดนอธิปไตยของชาติและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลให้กับประชาชน
    .
    “ขอให้มั่นใจกองทัพเรือดูแลเขตแดนอธิปไตยของชาติ และรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างเต็มที่ ยืนยันความสัมพันธ์ ทั้งสองประเทศ พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน ไม่มีความขัดแย้งใดๆ”
    .
    สำหรับกรณีที่ประชาชนออกมาเคลื่อนไหวนั้น ผบ.ทร. กล่าวว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจ ว่ากองทัพเรือจะดูแลพื้นที่ตรงนี้ได้ ไม่ต้องเดินทางไกลมาถึงที่นี่ ซึ่งชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนฝั่ง และบนเกาะมีความมั่นใจกับกองทัพเรืออยู่แล้ว อย่างไรก็ตามพื้นที่ของเรามีความสงบ ปลอดภัย ชาวประมงสามารถทำมาหากินได้ปกติ ขณะที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านมีความเข้าใจ และก็หากินในพื้นที่ของตนเอง ส่วนเราก็ทำมาหากินในพื้นที่ของเราไม่มีความขัดแย้งใดๆ
    ..............
    Sondhi X
    ผบ.ทร. ลงพื้นที่เกาะกูด ย้ำปกป้องอธิปไตยชาติ มั่นใจปัญหาไม่บายปลาย . เรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา กลายเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงอย่างมากในสังคมเวลานี้ โดยเฉพาะท่าทีขององค์กรภาคประชาชนและพรรคการเมืองฝ่ายค้านอย่างพรรคพลังประชารัฐที่ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าประเทศไทยมีความสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดน ซึ่งเป็นเหตุผลที่สืบเนื่องมาจากการที่ไทยยังไม่ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักไทยทย-กัมพูชา เกี่ยวกับอ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ปี พ.ศ. 2544 (MOU 2544) . ในเรื่องนี้มีท่าทีจากฝ่ายกองทัพออกมาแสดงความคิดเห็น โดยพล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ตรวจเยี่ยมหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด พร้อมรับฟังบรรยายสรุปถึงการปฏิบัติงานของหน่วย และการดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตกำลังพล และประสิทธิภาพของหน่วย เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่กำลังพลที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ห่างไกลต่อไป โดยมี พล.ร.ต.ชรัมม์ภากร พรหมภากร รองผู้บัญชาการกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด คณะผู้บังคับบัญชาและกำลังพลของหน่วย ให้การต้อนรับ . ทั้งนี้ พล.ร.อ. จิรพล ระบุว่า หน้าที่ของกองทัพเรือ คือการดูแลรักษาผลประโยชน์ของชาติ รัฐบาลไทยได้ประกาศเขต เอาไว้แล้วเมื่อปี พุทธศักราช 2516 เราจะดูแลพื้นที่ตามเขตแดนที่รัฐบาลประกาศไว้ ส่วนความคืบหน้าหรือข้อตกลงอะไรนั้น เป็นเรื่องของรัฐบาล เราทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ที่จะดูแลเขตแดนอธิปไตยของชาติและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลให้กับประชาชน . “ขอให้มั่นใจกองทัพเรือดูแลเขตแดนอธิปไตยของชาติ และรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างเต็มที่ ยืนยันความสัมพันธ์ ทั้งสองประเทศ พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน ไม่มีความขัดแย้งใดๆ” . สำหรับกรณีที่ประชาชนออกมาเคลื่อนไหวนั้น ผบ.ทร. กล่าวว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจ ว่ากองทัพเรือจะดูแลพื้นที่ตรงนี้ได้ ไม่ต้องเดินทางไกลมาถึงที่นี่ ซึ่งชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนฝั่ง และบนเกาะมีความมั่นใจกับกองทัพเรืออยู่แล้ว อย่างไรก็ตามพื้นที่ของเรามีความสงบ ปลอดภัย ชาวประมงสามารถทำมาหากินได้ปกติ ขณะที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านมีความเข้าใจ และก็หากินในพื้นที่ของตนเอง ส่วนเราก็ทำมาหากินในพื้นที่ของเราไม่มีความขัดแย้งใดๆ .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 614 Views 0 Reviews
  • นาย ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ แสดงทัศนะประเด็นอดีตโฆษกทร. สนับสนุน MOU44 ว่าดูละเอียดหรือยัง? เนื้อหาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนระบุว่า

    “ผมท้าทาย เชิญชวน นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม และรัฐมนตรีต่างประเทศ ให้ออกมาโต้แย้งประเด็นเทคนิคที่ทีมพรรคพลังประชารัฐเปิดเผยปัญหาแก่ประชาชนเรื่อง MOU44

    ยังไม่มีคนใดคนหนึ่งออกมาชี้แจง มีแต่พลเรือเอกจุมพล ลุมพิกานนท์ อดีตโฆษกกองทัพเรือ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการรักษาประโยชน์ของชาติทางทะเล ติดต่อขอให้ข้อมูลแก่ PPTV ในคลิปข้างล่าง PPTV ระบุว่า

    หลังจากที่ PPTV นำเสนอเรื่องข้อตกลงความร่วมมือ MOU44 ระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่หลายคนออกมาให้ความเห็นว่า อาจจะทำให้ไทยเสียเขตแดนทางทะเลให้กับกัมพูชาในอนาคต ซึ่งรวมถึงเกาะกูดด้วย เพราะเส้นเขตแดนที่ทางกัมพูชาลากมามันข้ามเกาะกูดมาเลย หลายคนจึงอยากจะให้ยกเลิก MOU44 ฉบับนี้ แต่ล่าสุด หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ ออกมาให้ความเห็นอีกทาง ว่าไม่ควรจะยกเลิก MOU44 เพราะไม่ได้ทำให้ไทยเสียเปรียบ ตรงกันข้าม นี่คือสารตั้งต้นที่จะทำให้เกิดการเจรจา แต่ถ้ายกเลิกต่างหากอาจจะมีผลเสียตามมาเพียบ

    ผมเชื่อว่าพลเรือเอกจุมพล ในฐานะเจ้าหน้าที่กองทัพเรือระดับสูง ย่อมมีเลือดรักชาติอยู่เต็มเปี่ยม แต่ขอเรียนด้วยความเคารพว่า คนไทยไม่ควรฝากความหวังไว้กับนักการเมืองมากเกินไป

    รูป 1 ท่านกล่าวว่า ชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของไทย จบตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ชัดเจน ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907

    รูป 2 แสดงขั้นตอนเวลาที่เวียดนาม กัมพูชา และไทยประกาศเขตแดนไหล่ทวีป

    รูป 3 ท่านกล่าวว่า MOU44 ฉบับนี้จะเป็นกรอบที่ทั้งสองประเทศจะหยิบขึ้นมาเจรจากันต่อว่า เขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน รวมถึงเจรจาผลประโยชน์ในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมกัน

    รูป 4 แสดงเขตพื้นที่พัฒนาร่วมกัน Joint Development Area (สีแดง) ส่วนพื้นที่ที่อยู่เหนือเส้นรุ้งที่ 11 องศา (สีน้ำเงิน) เป็นพื้นที่ทำการแบ่งเขต

    ผมให้ข้อสังเกตแก่ท่านพลเรือเอกจุมพล ในประเด็นจุดแยบยลทางกฎหมาย ดังนี้

    **หนึ่ง MOU44 ยอมรับกรอบขอบเขต boundaries พื้นที่สีแดงไปแล้ว

    ในรูป 5 จะเห็นได้ว่า คำบรรยายพื้นที่สีน้ำเงิน ข้อ 2 (ข) คือเพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน ตามที่ท่านว่า ส่วนคำบรรยายพื้นที่สีแดง ข้อ 2 (ก) คือเพื่อเจรจาผลประโยชน์

    ถ้อยคำในรูป 5 ไม่มีข้อใดที่สามารถอ่านได้ว่า สำหรับพื้นที่สีแดงนั้น "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน"

    ในรูป 6 จะเห็นได้ว่า คำบรรยายหน้าที่ของคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค พื้นที่สีน้ำเงิน ข้อ 3 (ข) คือเพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน ตามที่ท่านว่า ส่วนคำบรรยายพื้นที่สีแดง ข้อ 3 (ก) คือเพื่อเจรจาผลประโยชน์ล้วนๆ

    ถ้อยคำในรูป 6 ไม่มีข้อใดที่สามารถอ่านได้ว่า สำหรับพื้นที่สีแดงนั้น "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน"

    สรุปแล้ว ใน MOU44 ทั้งสองประเทศได้กำหนด "พื้นที่พัฒนาร่วม" "Joint Development Area" ขึ้นมา มิใช่ "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน" แต่ "เพื่อเจรจาผลประโยชน์"

    ดังนั้น ใน MOU44 ทั้งสองประเทศจึงพอใจในกรอบขอบเขต boundaries ของพื้นที่พัฒนาร่วมไปแล้ว

    **สอง กรอบขอบเขตของพื้นที่พัฒนาร่วมที่ยอมรับกันไปแล้วนั้น ไม่ตรงตามสนธิสัญญาฯ

    ทั้งนี้ กรอบขอบเขต boundaries ของพื้นที่พัฒนาร่วม ด้านทิศตะวันตก ในรูป 7 เส้นสีแดง นั้น เส้นสีแดงดังกล่าว เกิดขึ้นได้ มีสารตั้งต้น มีต้นกำเนิด เกิดจากเส้นแบ่งเขตที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูด ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ

    อธิบายแบบชาวบ้าน ถ้าไม่มีเส้นแบ่งเขตที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูดไปจนถึงตำแหน่ง P เส้นแบ่งเขตทิศเหนือ-ใต้ ย่อมไม่สามารถตั้งต้นจากตำแหน่ง P เกิดขึ้นได้

    ดังนั้น เส้นแบ่งเขตทิศเหนือ-ใต้ ที่ตั้งต้นจากตำแหน่ง P จึงไม่ตรงตามจุดเริ่มต้นในสนธิสัญญาฯ และ

    การที่รัฐบาลไทยไปยอมรับเส้นแบ่งเขตสีแดงดังกล่าว ก็ย่อมแสดงว่า ** ไม่ขัดข้องกับตำแหน่ง P ** ทั้งที่ไม่ตรงตามจุดเริ่มต้นในสนธิสัญญาฯ **

    **สาม JDA ตีกรอบขอบเขต boundaries ด้วยเส้นเขตแดน

    ถ้าดูแผนที่ JDA ไทย-มาเลเซีย จะเห็นได้ว่า ตีกรอบขอบเขต boundaries ด้วยเส้นเขตแดน ที่ทั้งสองประเทศอ้างอนุสัญญาสหประชาชาติฯ แตกต่างกัน โดยไทยถือโขดหิน โลซิน เป็นเกาะ ที่สามารถใช้วางอาณาเขตกินแดนได้ แต่มาเลเซียไม่ถือว่าเป็นเกาะ

    ต่อมามีการแก้ไขอนุสัญญาสหประชาชาติฯ ไม่ถือโขดหิน โลซิน เป็นเกาะ ที่สามารถใช้วางอาณาเขตกินแดนได้ แต่เนื่องจาก JDA ไทย-มาเลเซียได้เกิดขึ้นลงนามไปก่อนหน้า ไทยจึงได้ประโยชน์ระหว่างที่ JDA มีผลบังคับ

    แต่กรณีเส้นที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูดนั้น เป็นการลากเส้นโดยอ้างสนธิสัญญาฯ อย่างที่ไม่ถูกต้อง

    ดังนั้น บัดนี้เมื่อคนไทยทราบถึงปัญหา จึงย่อมต้องเรียกร้องให้ ยกเลิกการอ้างที่ไม่ถูกต้อง การลากเส้นที่ขัดเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ออกไปก่อนเริ่มต้นเจรจาแบ่งผลประโยชน์

    ทั้งนี้ การเจรจาแบ่งผลประโยชน์ จะสามารถทำได้เร็วถ้าทั้งสองประเทศยึดมั่นในความเป็นธรรม ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสัมพันธ์ครอบครัว แต่ถ้ามีวาระซ่อนเร้น ถ้าคนไทยจะเสียเปรียบ ผมก็จะคัดค้านต่อไป

    ผมจึงขอสรุปว่า ประชาชนคนไทยไม่ควรฝากความหวังไว้กับนักการเมืองที่ไปเจรจาโดยยอมรับสิ่งที่กัมพูชา ดำเนินการไปผิดกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ

    MOU44 ยอมรับพื้นที่พัฒนาร่วมที่กินล้ำทะเลจากตำแหน่ง P ที่ทำให้ไทยเสียประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นของประชาชนทุกคน

    การยอมรับเส้นกรอบขอบเขตของพื้นที่พัฒนาร่วม ที่เริ่มจากตำแหน่ง P อันสืบเนื่องมากจากเส้นที่ผิดเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ย่อมจะทำให้ไทยเสี่ยงเสียดินแดนได้ในอนาคต

    ถ้าท่านพลเรือเอกจุมพลไม่เชื่อผม ขอให้ท่านอ่านถ้อยคำใน MOU44 เองได้เลยครับ”

    วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567

    นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
    ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ

    https://youtu.be/PEArT6M-wDE?si=NuuT8XefJDmOCmnO

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/1EgDTTKTHn/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    นาย ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ แสดงทัศนะประเด็นอดีตโฆษกทร. สนับสนุน MOU44 ว่าดูละเอียดหรือยัง? เนื้อหาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนระบุว่า “ผมท้าทาย เชิญชวน นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม และรัฐมนตรีต่างประเทศ ให้ออกมาโต้แย้งประเด็นเทคนิคที่ทีมพรรคพลังประชารัฐเปิดเผยปัญหาแก่ประชาชนเรื่อง MOU44 ยังไม่มีคนใดคนหนึ่งออกมาชี้แจง มีแต่พลเรือเอกจุมพล ลุมพิกานนท์ อดีตโฆษกกองทัพเรือ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการรักษาประโยชน์ของชาติทางทะเล ติดต่อขอให้ข้อมูลแก่ PPTV ในคลิปข้างล่าง PPTV ระบุว่า หลังจากที่ PPTV นำเสนอเรื่องข้อตกลงความร่วมมือ MOU44 ระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่หลายคนออกมาให้ความเห็นว่า อาจจะทำให้ไทยเสียเขตแดนทางทะเลให้กับกัมพูชาในอนาคต ซึ่งรวมถึงเกาะกูดด้วย เพราะเส้นเขตแดนที่ทางกัมพูชาลากมามันข้ามเกาะกูดมาเลย หลายคนจึงอยากจะให้ยกเลิก MOU44 ฉบับนี้ แต่ล่าสุด หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ ออกมาให้ความเห็นอีกทาง ว่าไม่ควรจะยกเลิก MOU44 เพราะไม่ได้ทำให้ไทยเสียเปรียบ ตรงกันข้าม นี่คือสารตั้งต้นที่จะทำให้เกิดการเจรจา แต่ถ้ายกเลิกต่างหากอาจจะมีผลเสียตามมาเพียบ ผมเชื่อว่าพลเรือเอกจุมพล ในฐานะเจ้าหน้าที่กองทัพเรือระดับสูง ย่อมมีเลือดรักชาติอยู่เต็มเปี่ยม แต่ขอเรียนด้วยความเคารพว่า คนไทยไม่ควรฝากความหวังไว้กับนักการเมืองมากเกินไป รูป 1 ท่านกล่าวว่า ชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของไทย จบตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ชัดเจน ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 รูป 2 แสดงขั้นตอนเวลาที่เวียดนาม กัมพูชา และไทยประกาศเขตแดนไหล่ทวีป รูป 3 ท่านกล่าวว่า MOU44 ฉบับนี้จะเป็นกรอบที่ทั้งสองประเทศจะหยิบขึ้นมาเจรจากันต่อว่า เขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน รวมถึงเจรจาผลประโยชน์ในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมกัน รูป 4 แสดงเขตพื้นที่พัฒนาร่วมกัน Joint Development Area (สีแดง) ส่วนพื้นที่ที่อยู่เหนือเส้นรุ้งที่ 11 องศา (สีน้ำเงิน) เป็นพื้นที่ทำการแบ่งเขต ผมให้ข้อสังเกตแก่ท่านพลเรือเอกจุมพล ในประเด็นจุดแยบยลทางกฎหมาย ดังนี้ **หนึ่ง MOU44 ยอมรับกรอบขอบเขต boundaries พื้นที่สีแดงไปแล้ว ในรูป 5 จะเห็นได้ว่า คำบรรยายพื้นที่สีน้ำเงิน ข้อ 2 (ข) คือเพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน ตามที่ท่านว่า ส่วนคำบรรยายพื้นที่สีแดง ข้อ 2 (ก) คือเพื่อเจรจาผลประโยชน์ ถ้อยคำในรูป 5 ไม่มีข้อใดที่สามารถอ่านได้ว่า สำหรับพื้นที่สีแดงนั้น "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน" ในรูป 6 จะเห็นได้ว่า คำบรรยายหน้าที่ของคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค พื้นที่สีน้ำเงิน ข้อ 3 (ข) คือเพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน ตามที่ท่านว่า ส่วนคำบรรยายพื้นที่สีแดง ข้อ 3 (ก) คือเพื่อเจรจาผลประโยชน์ล้วนๆ ถ้อยคำในรูป 6 ไม่มีข้อใดที่สามารถอ่านได้ว่า สำหรับพื้นที่สีแดงนั้น "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน" สรุปแล้ว ใน MOU44 ทั้งสองประเทศได้กำหนด "พื้นที่พัฒนาร่วม" "Joint Development Area" ขึ้นมา มิใช่ "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน" แต่ "เพื่อเจรจาผลประโยชน์" ดังนั้น ใน MOU44 ทั้งสองประเทศจึงพอใจในกรอบขอบเขต boundaries ของพื้นที่พัฒนาร่วมไปแล้ว **สอง กรอบขอบเขตของพื้นที่พัฒนาร่วมที่ยอมรับกันไปแล้วนั้น ไม่ตรงตามสนธิสัญญาฯ ทั้งนี้ กรอบขอบเขต boundaries ของพื้นที่พัฒนาร่วม ด้านทิศตะวันตก ในรูป 7 เส้นสีแดง นั้น เส้นสีแดงดังกล่าว เกิดขึ้นได้ มีสารตั้งต้น มีต้นกำเนิด เกิดจากเส้นแบ่งเขตที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูด ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ อธิบายแบบชาวบ้าน ถ้าไม่มีเส้นแบ่งเขตที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูดไปจนถึงตำแหน่ง P เส้นแบ่งเขตทิศเหนือ-ใต้ ย่อมไม่สามารถตั้งต้นจากตำแหน่ง P เกิดขึ้นได้ ดังนั้น เส้นแบ่งเขตทิศเหนือ-ใต้ ที่ตั้งต้นจากตำแหน่ง P จึงไม่ตรงตามจุดเริ่มต้นในสนธิสัญญาฯ และ การที่รัฐบาลไทยไปยอมรับเส้นแบ่งเขตสีแดงดังกล่าว ก็ย่อมแสดงว่า ** ไม่ขัดข้องกับตำแหน่ง P ** ทั้งที่ไม่ตรงตามจุดเริ่มต้นในสนธิสัญญาฯ ** **สาม JDA ตีกรอบขอบเขต boundaries ด้วยเส้นเขตแดน ถ้าดูแผนที่ JDA ไทย-มาเลเซีย จะเห็นได้ว่า ตีกรอบขอบเขต boundaries ด้วยเส้นเขตแดน ที่ทั้งสองประเทศอ้างอนุสัญญาสหประชาชาติฯ แตกต่างกัน โดยไทยถือโขดหิน โลซิน เป็นเกาะ ที่สามารถใช้วางอาณาเขตกินแดนได้ แต่มาเลเซียไม่ถือว่าเป็นเกาะ ต่อมามีการแก้ไขอนุสัญญาสหประชาชาติฯ ไม่ถือโขดหิน โลซิน เป็นเกาะ ที่สามารถใช้วางอาณาเขตกินแดนได้ แต่เนื่องจาก JDA ไทย-มาเลเซียได้เกิดขึ้นลงนามไปก่อนหน้า ไทยจึงได้ประโยชน์ระหว่างที่ JDA มีผลบังคับ แต่กรณีเส้นที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูดนั้น เป็นการลากเส้นโดยอ้างสนธิสัญญาฯ อย่างที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น บัดนี้เมื่อคนไทยทราบถึงปัญหา จึงย่อมต้องเรียกร้องให้ ยกเลิกการอ้างที่ไม่ถูกต้อง การลากเส้นที่ขัดเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ออกไปก่อนเริ่มต้นเจรจาแบ่งผลประโยชน์ ทั้งนี้ การเจรจาแบ่งผลประโยชน์ จะสามารถทำได้เร็วถ้าทั้งสองประเทศยึดมั่นในความเป็นธรรม ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสัมพันธ์ครอบครัว แต่ถ้ามีวาระซ่อนเร้น ถ้าคนไทยจะเสียเปรียบ ผมก็จะคัดค้านต่อไป ผมจึงขอสรุปว่า ประชาชนคนไทยไม่ควรฝากความหวังไว้กับนักการเมืองที่ไปเจรจาโดยยอมรับสิ่งที่กัมพูชา ดำเนินการไปผิดกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ MOU44 ยอมรับพื้นที่พัฒนาร่วมที่กินล้ำทะเลจากตำแหน่ง P ที่ทำให้ไทยเสียประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นของประชาชนทุกคน การยอมรับเส้นกรอบขอบเขตของพื้นที่พัฒนาร่วม ที่เริ่มจากตำแหน่ง P อันสืบเนื่องมากจากเส้นที่ผิดเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ย่อมจะทำให้ไทยเสี่ยงเสียดินแดนได้ในอนาคต ถ้าท่านพลเรือเอกจุมพลไม่เชื่อผม ขอให้ท่านอ่านถ้อยคำใน MOU44 เองได้เลยครับ” วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ https://youtu.be/PEArT6M-wDE?si=NuuT8XefJDmOCmnO ที่มา https://www.facebook.com/share/p/1EgDTTKTHn/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Love
    1
    0 Comments 1 Shares 608 Views 0 Reviews
  • “สามารถ” ชิงลาออกพ้นพรรค​ พปชร.​ เซ่นปมคลิปฉาว เรียกรับทรัพย์ดิไอคอน​ “ไพบูลย์” บอกยื่นตั้งแต่ 25 ต.ค.แต่ไม่ได้แจ้งพรรค

    วันนี้ (29 ต.ค.) ที่พรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐรัฐ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ถึงกรณี นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช​ อดีตรองโฆษกพรรค พปชร.ถูกพาดพิงเรื่องคลิปเสียงคดีดิไอคอน ว่า นายสามารถ ได้ลาออกจากสมาชิกพรรค พปชร.แล้ว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กกต. ได้ส่งหนังสือลาออกมาแล้ว ยืนยันว่า นายสามารถ ลาออกเอง

    ด้าน นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พปชร.เปิดเผยว่า นายสามารถ​ ได้ยื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรคต่​อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แล้ว​ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 ต.ค. โดยที่ไม่ได้แจ้งพรรค ขณะที่หนังสือลาออกได้มาถึงพรรคในวันนี้

    ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยในที่ประชุมพรรคได้มีการพูดคุยถึงนายสามารถ แต่เนื่องจากมีหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคของนายสามารถส่งมา พรรคจึงมีมติรับทราบ ทำให้พรรคไม่ต้องใช้มติพรรคในการขับนายสามารถ

    #MGROnline #พรรคพลังประชารัฐ
    “สามารถ” ชิงลาออกพ้นพรรค​ พปชร.​ เซ่นปมคลิปฉาว เรียกรับทรัพย์ดิไอคอน​ “ไพบูลย์” บอกยื่นตั้งแต่ 25 ต.ค.แต่ไม่ได้แจ้งพรรค • วันนี้ (29 ต.ค.) ที่พรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐรัฐ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ถึงกรณี นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช​ อดีตรองโฆษกพรรค พปชร.ถูกพาดพิงเรื่องคลิปเสียงคดีดิไอคอน ว่า นายสามารถ ได้ลาออกจากสมาชิกพรรค พปชร.แล้ว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กกต. ได้ส่งหนังสือลาออกมาแล้ว ยืนยันว่า นายสามารถ ลาออกเอง • ด้าน นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พปชร.เปิดเผยว่า นายสามารถ​ ได้ยื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรคต่​อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แล้ว​ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 ต.ค. โดยที่ไม่ได้แจ้งพรรค ขณะที่หนังสือลาออกได้มาถึงพรรคในวันนี้ • ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยในที่ประชุมพรรคได้มีการพูดคุยถึงนายสามารถ แต่เนื่องจากมีหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคของนายสามารถส่งมา พรรคจึงมีมติรับทราบ ทำให้พรรคไม่ต้องใช้มติพรรคในการขับนายสามารถ • #MGROnline #พรรคพลังประชารัฐ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 232 Views 0 Reviews
  • ข้ออ้างความมั่นคงทางพลังงาน เปิดทางทำไทยเสียดินแดน? : คนเคาะข่าว 24-10-67
    : ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ
    : กิตติชัย ไพโรจน์ไชยกุล ดำเนินรายการ
    ข้ออ้างความมั่นคงทางพลังงาน เปิดทางทำไทยเสียดินแดน? : คนเคาะข่าว 24-10-67 : ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ : กิตติชัย ไพโรจน์ไชยกุล ดำเนินรายการ
    0 Comments 0 Shares 259 Views 272 0 Reviews
  • ศาลรัฐธรรมนูญมีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุด ขอทราบการดำเนินการ-รวบรวมหลักฐาน ตามคำร้อง "ธีรยุทธ " ปม "ทักษิณ-เพื่อไทย" ล้มล้างการปกครองฯ ภายใน 15 วัน

    22 ตุลาคม .2567- ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดีที่สำคัญและเป็นที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นเป็นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 (เรื่องพิจารณาที่ 36/2567)

    นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธธรรมนูญ วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 3) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 6 ประเด็น ดังนี้

    ประเด็นที่ 1 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ให้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อให้ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำ ทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤต

    ประเด็นที่ 2 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของประเทศไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา

    ประเด็นที่ 3 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองของพรรคก้าวไกลเดิมที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธธธรรมนูญว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

    ประเด็นที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการแทนผู้ถูกร้องที่ 2 โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมตรี เพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1

    ประเด็นที่ 5 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล

    ประเด็นที่ 6 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 นำนโยบายของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา

    ผู้ร้องยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 24 ก.ย.2567 ขอให้อัยการสูงสุดร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการกระทำ แต่อัยการสูงสุดมิได้ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสาม ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญญเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 1 เลิกกระทำการดังกล่าวและให้ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้เป็นเครื่องมือกระทำการดังกล่าว

    ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ ในชั้นนี้ ให้มีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบว่าได้ดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้องไปแล้วอย่างไร และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด โดยให้จัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/AQ6ESAWFP4idRqEr/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    ศาลรัฐธรรมนูญมีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุด ขอทราบการดำเนินการ-รวบรวมหลักฐาน ตามคำร้อง "ธีรยุทธ " ปม "ทักษิณ-เพื่อไทย" ล้มล้างการปกครองฯ ภายใน 15 วัน 22 ตุลาคม .2567- ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดีที่สำคัญและเป็นที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นเป็นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 (เรื่องพิจารณาที่ 36/2567) นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธธรรมนูญ วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 3) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 6 ประเด็น ดังนี้ ประเด็นที่ 1 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ให้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อให้ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำ ทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤต ประเด็นที่ 2 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของประเทศไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา ประเด็นที่ 3 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองของพรรคก้าวไกลเดิมที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธธธรรมนูญว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประเด็นที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการแทนผู้ถูกร้องที่ 2 โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมตรี เพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1 ประเด็นที่ 5 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ประเด็นที่ 6 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 นำนโยบายของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา ผู้ร้องยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 24 ก.ย.2567 ขอให้อัยการสูงสุดร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการกระทำ แต่อัยการสูงสุดมิได้ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสาม ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญญเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 1 เลิกกระทำการดังกล่าวและให้ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้เป็นเครื่องมือกระทำการดังกล่าว ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ ในชั้นนี้ ให้มีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบว่าได้ดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้องไปแล้วอย่างไร และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด โดยให้จัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ ที่มา https://www.facebook.com/share/p/AQ6ESAWFP4idRqEr/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 479 Views 0 Reviews
  • ลาสบอสของแก๊งตบทรัพย์ พอล ดิไอคอน
    ถึงตัวจะติดคุกแต่บอสพอล ดิ ไอคอน
    ไม่วายทําคนนอกคุกป่วนไปตามๆ กัน
    เมื่อไปแฉให้ตํารวจฟังว่าตัวเองถูกตบทรัพย์ 10 ล้านบาท
    จากนักร้องเรียนหญิงจึงอ้างว่าเชี่ยวชาญด้านแชร์
    มีเครือข่ายนักการเมืองและใช้มูลนิธิในการรับเงิน
    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่the icon
    จะถูกทลายอาณาจักรในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์
    ปี 2567 สเปคที่ว่านั้น
    ทําเอาหน้าสวยๆของต้นอ้อเป็นหนึ่งลอยขึ้นมาทันที
    เพราะต้นอ้อไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านแชร์ธรรมดา
    แต่เชี่ยวชาญระดับถูกแจ้งจับข้อหายังเคลียร์ผู้เสียหายไม่หมดด้วยซ้ํา
    ไหนจะยังมีพฤติกรรมหากินกับนักการเมือง
    ทั้งบัตรเข้าออกสภาเก้าอี้ที่ปรึกษาในคณะกรรมาธิการขายปริญญาบัตรปลอมทุกสเปคสอดรับกับตัวเธอไปทุกอย่าง
    เล่นเอาต้นอ้อเต้นผางออกมาชี้แจงทันควันว่า
    นักร้องหญิงที่ไปตบทรัพย์บอสพอลไม่ใช่เธอแน่นอน
    ถ้าไม่ใช่ต้นอ้อแล้วจะเป็นใคร

    ก็พอดีมีผู้หญิงอีกคนนึงโพสต์โต้ข่าวนี้
    เธอคือเจ๊พัชกฤษณ์อนงค์ สุวรรณวงศ์
    หัวหน้าพรรคสุวรรณภูมิ
    ต้องบอกว่าคนนี้สิมาแรง
    การติดต่อระหว่างเจ๊พัชและบอสพอล
    เคยเกิดขึ้นจริงแต่ไม่เป็นข่าว
    ครั้งนั้นมีเหยื่อของ the iconมาร้องเรียนขอความช่วยเหลือ
    จากเจ๊พัชรวม 89 รายเจ๊พัชรับเป็นธุระเดินเรื่องให้
    จนสามารถลากบอสพอลมาเปิดเจรจากัน
    ที่ทําการพักสุวรรณภูมิย่านลําลูกกา

    ครั้งนั้นบอสพอลว่านอนสอนง่าย
    จึงยอมควักเงินเคลียร์ให้เหยื่อ
    the iconภายใต้การดูแลของเจ๊พัชแต่โดยดี
    รวมเป็นเงิน 8 ล้านบาทเงินเหล่านั้นจ่ายตรงให้กับเหยื่อโดยไม่ผ่านมูลนิธิแต่อย่างใด
    และเหยื่อทั้ง 89 รายก็แยกย้ายสลายตัว
    ไม่คิดจะเอาเรื่องใด ๆ กับบอสพอล
    อย่างไรก็ตาม
    อย่างไรก็ตามเจ๊พัชยังได้เตือนบอสพอลไว้ด้วยว่าอย่าเชื่อทนายความมาก
    เพราะทนายความของบอสพอลพยายามให้ความมั่นใจว่า
    ธุรกิจแบบดิไอคอนไม่เข้าข่ายผิดกฎหมายควรจะยอมเสียเงิน
    เคลียร์กับผู้เสียหายรายอื่นอื่นให้ครบถ้วนถ้าไม่อยากให้มีปัญหาเกิดขึ้น
    แต่บอสพอลเชื่อมั่นในทนายความของตัวเองมากกว่า
    ก็เลยพบจุดจบตามคําเตือนของเจ๊พัชจริงจริง
    หลายๆคนคงมีคําถามว่านักการเมืองพรรคเล็กไม่มี สส
    ในสภาแม้แต่คนเดียวอย่างเจ๊พัชจะมีพาวเวอร์อะไรไปคุกคามบอสพอล
    ให้ยอมจ่ายเงินเคลียร์จริงๆและที่ผ่านมาเธอชอบตั้งพรรคการเมืองโน่นนี่นั่นมาแล้วหลายพรรค
    เพราะมุ่งมั่นจะทํางานการเมืองอย่างชัดเจน
    พรรคที่เธอตั้งขึ้นกับมือก็เช่นพรรคพลังเครือข่ายประชาชน
    ตามด้วยพรรคภาคีเครือข่ายไทย
    ปรากฏว่าพรรคพลังเครือข่ายประชาชนของเธอนี่แหละ
    เป็นบันไดขั้นแรกของจ๊อบ สามารถ เจนชัยจิตรวนิช
    ในการลงเล่นการเมืองจนชีวิตรุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาลย์
    ได้เป็นคนใกล้ชิดลุงป้อมในพรรคพลังประชารัฐกลายเป็นตัวละครไม่ลับ
    ที่ถูกรุมเปิดโปงผ่านคลิปลับว่าไปรับงานจากบอสพอล
    ทั้งที่ตั้งตัวเป็นมือปราบแชร์ลูกโซ่
    อาจกล่าวได้ว่าเหนือสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ก็ยังมีกฤษณ์อนงค์ สุวรรณวงศ์ก็ไม่เกินความจริงเลย
    ติดตามข่าวซีฟแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    ลาสบอสของแก๊งตบทรัพย์ พอล ดิไอคอน ถึงตัวจะติดคุกแต่บอสพอล ดิ ไอคอน ไม่วายทําคนนอกคุกป่วนไปตามๆ กัน เมื่อไปแฉให้ตํารวจฟังว่าตัวเองถูกตบทรัพย์ 10 ล้านบาท จากนักร้องเรียนหญิงจึงอ้างว่าเชี่ยวชาญด้านแชร์ มีเครือข่ายนักการเมืองและใช้มูลนิธิในการรับเงิน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่the icon จะถูกทลายอาณาจักรในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2567 สเปคที่ว่านั้น ทําเอาหน้าสวยๆของต้นอ้อเป็นหนึ่งลอยขึ้นมาทันที เพราะต้นอ้อไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านแชร์ธรรมดา แต่เชี่ยวชาญระดับถูกแจ้งจับข้อหายังเคลียร์ผู้เสียหายไม่หมดด้วยซ้ํา ไหนจะยังมีพฤติกรรมหากินกับนักการเมือง ทั้งบัตรเข้าออกสภาเก้าอี้ที่ปรึกษาในคณะกรรมาธิการขายปริญญาบัตรปลอมทุกสเปคสอดรับกับตัวเธอไปทุกอย่าง เล่นเอาต้นอ้อเต้นผางออกมาชี้แจงทันควันว่า นักร้องหญิงที่ไปตบทรัพย์บอสพอลไม่ใช่เธอแน่นอน ถ้าไม่ใช่ต้นอ้อแล้วจะเป็นใคร ก็พอดีมีผู้หญิงอีกคนนึงโพสต์โต้ข่าวนี้ เธอคือเจ๊พัชกฤษณ์อนงค์ สุวรรณวงศ์ หัวหน้าพรรคสุวรรณภูมิ ต้องบอกว่าคนนี้สิมาแรง การติดต่อระหว่างเจ๊พัชและบอสพอล เคยเกิดขึ้นจริงแต่ไม่เป็นข่าว ครั้งนั้นมีเหยื่อของ the iconมาร้องเรียนขอความช่วยเหลือ จากเจ๊พัชรวม 89 รายเจ๊พัชรับเป็นธุระเดินเรื่องให้ จนสามารถลากบอสพอลมาเปิดเจรจากัน ที่ทําการพักสุวรรณภูมิย่านลําลูกกา ครั้งนั้นบอสพอลว่านอนสอนง่าย จึงยอมควักเงินเคลียร์ให้เหยื่อ the iconภายใต้การดูแลของเจ๊พัชแต่โดยดี รวมเป็นเงิน 8 ล้านบาทเงินเหล่านั้นจ่ายตรงให้กับเหยื่อโดยไม่ผ่านมูลนิธิแต่อย่างใด และเหยื่อทั้ง 89 รายก็แยกย้ายสลายตัว ไม่คิดจะเอาเรื่องใด ๆ กับบอสพอล อย่างไรก็ตาม อย่างไรก็ตามเจ๊พัชยังได้เตือนบอสพอลไว้ด้วยว่าอย่าเชื่อทนายความมาก เพราะทนายความของบอสพอลพยายามให้ความมั่นใจว่า ธุรกิจแบบดิไอคอนไม่เข้าข่ายผิดกฎหมายควรจะยอมเสียเงิน เคลียร์กับผู้เสียหายรายอื่นอื่นให้ครบถ้วนถ้าไม่อยากให้มีปัญหาเกิดขึ้น แต่บอสพอลเชื่อมั่นในทนายความของตัวเองมากกว่า ก็เลยพบจุดจบตามคําเตือนของเจ๊พัชจริงจริง หลายๆคนคงมีคําถามว่านักการเมืองพรรคเล็กไม่มี สส ในสภาแม้แต่คนเดียวอย่างเจ๊พัชจะมีพาวเวอร์อะไรไปคุกคามบอสพอล ให้ยอมจ่ายเงินเคลียร์จริงๆและที่ผ่านมาเธอชอบตั้งพรรคการเมืองโน่นนี่นั่นมาแล้วหลายพรรค เพราะมุ่งมั่นจะทํางานการเมืองอย่างชัดเจน พรรคที่เธอตั้งขึ้นกับมือก็เช่นพรรคพลังเครือข่ายประชาชน ตามด้วยพรรคภาคีเครือข่ายไทย ปรากฏว่าพรรคพลังเครือข่ายประชาชนของเธอนี่แหละ เป็นบันไดขั้นแรกของจ๊อบ สามารถ เจนชัยจิตรวนิช ในการลงเล่นการเมืองจนชีวิตรุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาลย์ ได้เป็นคนใกล้ชิดลุงป้อมในพรรคพลังประชารัฐกลายเป็นตัวละครไม่ลับ ที่ถูกรุมเปิดโปงผ่านคลิปลับว่าไปรับงานจากบอสพอล ทั้งที่ตั้งตัวเป็นมือปราบแชร์ลูกโซ่ อาจกล่าวได้ว่าเหนือสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ก็ยังมีกฤษณ์อนงค์ สุวรรณวงศ์ก็ไม่เกินความจริงเลย ติดตามข่าวซีฟแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Wow
    1
    0 Comments 0 Shares 281 Views 0 Reviews
  • ทักษิณ พท.มีเสียว คดีล้มล้าง ยุบพรรค ศาล รธน.ขอเคลียร์ อสส. ก่อน 15 วัน
    .
    วันนี้ (22ต.ค.) ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการอภิปรายในคำร้องที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยกล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข 6 ประเด็น ประกอบด้วย ประเด็นที่ 1 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาล ตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ให้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในระหว่างรับโทษ จำคุก เพื่อให้ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำ ทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤต
    .
    ประเด็นที่ 2 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตย ทางทะเลของประเทศไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา
    .
    ประเด็นที่ 3 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองของพรรคก้าวไกลเดิมที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญว่ามีพฤติการณ์ล้มล้าง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
    .
    ประเด็นที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการแทนผู้ถูกร้องที่ 2 โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่น ที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1
    .
    ประเด็นที่ 5 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล
    .
    ประเด็นที่ 6 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 นำนโยบายของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา
    .
    โดยนายธีรยุทธได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 24 ก.ย. 67 ขอให้อัยการสูงสุดร้องขอให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการกระทำ แต่อัยการสูงสุดมิได้ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสาม นายธีรยุทธจึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 1 เลิกกระทำการดังกล่าว และให้ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้เป็นเครื่องมือกระทำการดังกล่าว
    .
    ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาของ ศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ ในชั้นนี้ ให้มีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบว่า ได้ดำเนินการตามคำร้องของนายธีรยุทธไปแล้วอย่างไร และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด โดยให้จัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ
    ..............
    Sondhi X
    ทักษิณ พท.มีเสียว คดีล้มล้าง ยุบพรรค ศาล รธน.ขอเคลียร์ อสส. ก่อน 15 วัน . วันนี้ (22ต.ค.) ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการอภิปรายในคำร้องที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยกล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข 6 ประเด็น ประกอบด้วย ประเด็นที่ 1 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาล ตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ให้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในระหว่างรับโทษ จำคุก เพื่อให้ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำ ทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤต . ประเด็นที่ 2 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตย ทางทะเลของประเทศไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา . ประเด็นที่ 3 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองของพรรคก้าวไกลเดิมที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญว่ามีพฤติการณ์ล้มล้าง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข . ประเด็นที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการแทนผู้ถูกร้องที่ 2 โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่น ที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1 . ประเด็นที่ 5 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล . ประเด็นที่ 6 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 นำนโยบายของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา . โดยนายธีรยุทธได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 24 ก.ย. 67 ขอให้อัยการสูงสุดร้องขอให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการกระทำ แต่อัยการสูงสุดมิได้ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสาม นายธีรยุทธจึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 1 เลิกกระทำการดังกล่าว และให้ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้เป็นเครื่องมือกระทำการดังกล่าว . ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาของ ศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ ในชั้นนี้ ให้มีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบว่า ได้ดำเนินการตามคำร้องของนายธีรยุทธไปแล้วอย่างไร และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด โดยให้จัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ .............. Sondhi X
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 865 Views 0 Reviews
  • จะเขี่ย“สามารถ” ถาม “ลุงป้อม”หรือยัง

    พรรคพลังประชารัฐกำลังปั่นป่วนไปกับกระแส แชร์ลูกโซ่ฉาว “ดิไอคอน” และการพยายามเขี่ย “จ๊อบ-สามารถ” ออกจากพรรค มันดูลุกลี้ลุกลนผิดปกติ

    #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #สามารถ #ดิไอคอน #พรรคพลังประชารัฐ #ลุงป้อม
    จะเขี่ย“สามารถ” ถาม “ลุงป้อม”หรือยัง พรรคพลังประชารัฐกำลังปั่นป่วนไปกับกระแส แชร์ลูกโซ่ฉาว “ดิไอคอน” และการพยายามเขี่ย “จ๊อบ-สามารถ” ออกจากพรรค มันดูลุกลี้ลุกลนผิดปกติ #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #สามารถ #ดิไอคอน #พรรคพลังประชารัฐ #ลุงป้อม
    Like
    Haha
    5
    0 Comments 0 Shares 1120 Views 467 0 Reviews

  • กกต.ขีดเส้น 30 วัน ยุบ6พรรคการเมือง เพื่อไทยโวยโดนล้างแค้น
    .
    คดียุบพรรคการเมืองกลับมาเป็นประเด็นทางการเมืองอีกครั้งภายหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคำร้องยุบพรรคเพื่อไทยและ6พรรคร่วมรัฐบาลเดิม จากกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยได้ครอบงำพรรคเพื่อไทย
    .
    ทั้งนี้ มีรายงานว่า กระบวนการหลังจากนี้ ทางคณะกรรมการสอบสวนจะต้องตรวจสอบเอกสาร หลักฐานต่างๆ พยานบุคคล ซึ่งอาจจะต้องเชิญผู้ร้องและผู้ถูกร้องมาชี้แจงข้อเท็จจริง โดยจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่หากข้อมูล พยานเอกสาร และหลักฐาน ยังไม่ครบถ้วนที่จะสรุปความเห็นของสำนวนเสนอนายทะเบียนพรรคได้ สามารถยื่นขอขยายระยะเวลาได้อีกครั้ง ครั้งละไม่เกิน 30 วัน จนกว่าจะพิจารณาแล้วเสร็จ
    .
    ขณะที่ มีท่าทีจากเลขาธิการพรรคเพื่อไทยอย่างนายสรวงศ์ เทียนทอง ระบุว่า พรรคมีข้อมูลและหลักฐานเพียงพอที่จะต่อสู้ประเด็นนี้ แต่ในฐานะประชาชนคนหนึ่งอยากให้หน่วยงานต่างๆ คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติ เพราะทุกครั้งที่มีการร้องเรียนและหน่วยงานที่รับผิดชอบรับมาเป็นประเด็น ความเชื่อมั่นของนักลงทุนตลอดจนนักท่องเที่ยวก็จะหายไปทันที
    .
    "ชัดเจนอยู่แล้ว เพราะทุกอย่างประดังเข้ามาหลังจากที่เราประกาศไม่ร่วมงานกับพรรคการเมืองนี้" นายสรวงศ์ ตอบคำถามที่ถามว่ามองว่าเป็นเกมการเมืองหลังจากที่เราผลักพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่
    ..............
    Sondhi X
    กกต.ขีดเส้น 30 วัน ยุบ6พรรคการเมือง เพื่อไทยโวยโดนล้างแค้น . คดียุบพรรคการเมืองกลับมาเป็นประเด็นทางการเมืองอีกครั้งภายหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคำร้องยุบพรรคเพื่อไทยและ6พรรคร่วมรัฐบาลเดิม จากกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยได้ครอบงำพรรคเพื่อไทย . ทั้งนี้ มีรายงานว่า กระบวนการหลังจากนี้ ทางคณะกรรมการสอบสวนจะต้องตรวจสอบเอกสาร หลักฐานต่างๆ พยานบุคคล ซึ่งอาจจะต้องเชิญผู้ร้องและผู้ถูกร้องมาชี้แจงข้อเท็จจริง โดยจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่หากข้อมูล พยานเอกสาร และหลักฐาน ยังไม่ครบถ้วนที่จะสรุปความเห็นของสำนวนเสนอนายทะเบียนพรรคได้ สามารถยื่นขอขยายระยะเวลาได้อีกครั้ง ครั้งละไม่เกิน 30 วัน จนกว่าจะพิจารณาแล้วเสร็จ . ขณะที่ มีท่าทีจากเลขาธิการพรรคเพื่อไทยอย่างนายสรวงศ์ เทียนทอง ระบุว่า พรรคมีข้อมูลและหลักฐานเพียงพอที่จะต่อสู้ประเด็นนี้ แต่ในฐานะประชาชนคนหนึ่งอยากให้หน่วยงานต่างๆ คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติ เพราะทุกครั้งที่มีการร้องเรียนและหน่วยงานที่รับผิดชอบรับมาเป็นประเด็น ความเชื่อมั่นของนักลงทุนตลอดจนนักท่องเที่ยวก็จะหายไปทันที . "ชัดเจนอยู่แล้ว เพราะทุกอย่างประดังเข้ามาหลังจากที่เราประกาศไม่ร่วมงานกับพรรคการเมืองนี้" นายสรวงศ์ ตอบคำถามที่ถามว่ามองว่าเป็นเกมการเมืองหลังจากที่เราผลักพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ .............. Sondhi X
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 728 Views 0 Reviews
  • เปิดโปงคลิปตบทรัพย์"บอสพอล ดิ ไอคอน"
    .
    เรื่องคลิปเสียงนี้มี 2 แง่มุมให้คิดคือ 1.-นายพอลต้องการจะเบรกไม่ให้กลุ่มคน นักร้อง ทนาย นักการเมือง วิ่งเข้ามากระทืบซ้ำ หรือตบทรัพย์ซ้ำสอง และ2.-ล็อกคอคนที่เคยวิ่งตบทรัพย์ว่าในระยะยาวต้องช่วยเหลือตัวเองและ"ดิ ไอคอน"ให้รอดพ้นจากคดีความ มิฉะนั้นอาจจะมีคลิปเสียงลับของใครหลุดออกมาอีกก็เป็นได้
    .
    คลิปเสียงไถเงินค่าดูแลแชร์ลูกโซ่ในคราบขายตรง "ดิ ไอคอน" ที่ฉาวโฉ่นี้ นายพอล วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ออกมายอมรับเองกลางรายการโหนกระแส ทางช่อง 3ว่าเป็นเสียงตนเอง ดังนั้นจึงเป็นคลิปจริง ไม่ได้มีการตัดต่อ ขณะที่คู่สนทนายังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่นายสามารถ เจนชัยจิตรวณิชออกมาปฏิเสธ ขู่ฟ้องหากถูกพาดพิง
    .
    ความน่าสนใจคลิปเสียง นอกจากเรื่องตบทรัพย์เพื่อเคลียร์คดีเรียกเงิน 30 ล้านบาทและรายเดือนอีกหลักแสนบาทแล้ว ยังอวดอ้างเสนอแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง สคบ. ก่อนถึงท่อนที่ว่าปลายสายที่เป็นนักการเมือง ก็หล่นชื่อ "ประทีป”ตัวละครลับที่ถูกขนานนามว่าเป็น "เทวดา" ของ สคบ. ออกมา
    .
    พูดตรงๆ ชื่อเสียงของ "จ๊อบ สามารถ" ในวงการขายตรง แชร์ลูกโซ่ ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน บังเอิญช่วงที่สามารถ อุปโลกน์ตัวเองเป็นพ่อพระ ช่วยเหลือเหยื่อธุรกิจขายตรง ก็เป็นช่วงที่ พ.ต.อ.ประทีป เจริญกัลป์ จับงานด้านนี้ในตำแหน่งผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง แหม ช่างพอดิบพอดีเลย
    .
    ผมนี่ไม่รู้และไม่เชื่อเลยจริงๆที่เขาว่า สามารถ กับ ประทีป นั้นคือหมาล่าเนื้อที่ช่วยกันล่าเหยื่อบรรดาแก๊งแชร์ลูกโซ่ พอได้เหยื่อแล้วก็คาบเศษเนื้อไปถวาย "เทวดาบ้านป่าฯ" ที่ยืนจังก้ารับส่วนแบ่งอยู่ข้างหลัง ท่านผู้ชมครับ พฤติกรรมอย่างนี้ถ้าเป็นจริง ต้องถือว่าชั่วช้าเลวทรามเกินกว่าที่ใครจะรับได้จริง
    .
    อย่างไรก็ตาม เมื่อวันอังคารที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา "พอล" ออกมาเปลี่ยนคำพูด กลับลำว่าไม่เคยให้เงิน "นักการเมือง ส." แม้แต่บาทเดียว
    .
    ตรงนี้ผมต้องเห็นใจ"คุณจ๊อบ" สามารถ เจนชัยจิตรวณิช รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ที่หลายคนไปจับว่าเสียงคล้ายในคลิปเป็นอย่างมาก ผมว่านะ คุณสามารถครับ เอาคลิปเสียงส่งไปให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบเลยดีกว่าไหม จะได้รู้กันไปเลยว่า ถ้าคุณสามารถไม่ใช่คนในคลิป จะได้พ้นมลทิน ผมเชื่อว่าตำรวจจะทำงานเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว โปร่งใส และสุดซอยแน่นอน ไม่ต้องห่วงครับคุณสามารถ
    เปิดโปงคลิปตบทรัพย์"บอสพอล ดิ ไอคอน" . เรื่องคลิปเสียงนี้มี 2 แง่มุมให้คิดคือ 1.-นายพอลต้องการจะเบรกไม่ให้กลุ่มคน นักร้อง ทนาย นักการเมือง วิ่งเข้ามากระทืบซ้ำ หรือตบทรัพย์ซ้ำสอง และ2.-ล็อกคอคนที่เคยวิ่งตบทรัพย์ว่าในระยะยาวต้องช่วยเหลือตัวเองและ"ดิ ไอคอน"ให้รอดพ้นจากคดีความ มิฉะนั้นอาจจะมีคลิปเสียงลับของใครหลุดออกมาอีกก็เป็นได้ . คลิปเสียงไถเงินค่าดูแลแชร์ลูกโซ่ในคราบขายตรง "ดิ ไอคอน" ที่ฉาวโฉ่นี้ นายพอล วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ออกมายอมรับเองกลางรายการโหนกระแส ทางช่อง 3ว่าเป็นเสียงตนเอง ดังนั้นจึงเป็นคลิปจริง ไม่ได้มีการตัดต่อ ขณะที่คู่สนทนายังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่นายสามารถ เจนชัยจิตรวณิชออกมาปฏิเสธ ขู่ฟ้องหากถูกพาดพิง . ความน่าสนใจคลิปเสียง นอกจากเรื่องตบทรัพย์เพื่อเคลียร์คดีเรียกเงิน 30 ล้านบาทและรายเดือนอีกหลักแสนบาทแล้ว ยังอวดอ้างเสนอแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง สคบ. ก่อนถึงท่อนที่ว่าปลายสายที่เป็นนักการเมือง ก็หล่นชื่อ "ประทีป”ตัวละครลับที่ถูกขนานนามว่าเป็น "เทวดา" ของ สคบ. ออกมา . พูดตรงๆ ชื่อเสียงของ "จ๊อบ สามารถ" ในวงการขายตรง แชร์ลูกโซ่ ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน บังเอิญช่วงที่สามารถ อุปโลกน์ตัวเองเป็นพ่อพระ ช่วยเหลือเหยื่อธุรกิจขายตรง ก็เป็นช่วงที่ พ.ต.อ.ประทีป เจริญกัลป์ จับงานด้านนี้ในตำแหน่งผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง แหม ช่างพอดิบพอดีเลย . ผมนี่ไม่รู้และไม่เชื่อเลยจริงๆที่เขาว่า สามารถ กับ ประทีป นั้นคือหมาล่าเนื้อที่ช่วยกันล่าเหยื่อบรรดาแก๊งแชร์ลูกโซ่ พอได้เหยื่อแล้วก็คาบเศษเนื้อไปถวาย "เทวดาบ้านป่าฯ" ที่ยืนจังก้ารับส่วนแบ่งอยู่ข้างหลัง ท่านผู้ชมครับ พฤติกรรมอย่างนี้ถ้าเป็นจริง ต้องถือว่าชั่วช้าเลวทรามเกินกว่าที่ใครจะรับได้จริง . อย่างไรก็ตาม เมื่อวันอังคารที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา "พอล" ออกมาเปลี่ยนคำพูด กลับลำว่าไม่เคยให้เงิน "นักการเมือง ส." แม้แต่บาทเดียว . ตรงนี้ผมต้องเห็นใจ"คุณจ๊อบ" สามารถ เจนชัยจิตรวณิช รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ที่หลายคนไปจับว่าเสียงคล้ายในคลิปเป็นอย่างมาก ผมว่านะ คุณสามารถครับ เอาคลิปเสียงส่งไปให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบเลยดีกว่าไหม จะได้รู้กันไปเลยว่า ถ้าคุณสามารถไม่ใช่คนในคลิป จะได้พ้นมลทิน ผมเชื่อว่าตำรวจจะทำงานเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว โปร่งใส และสุดซอยแน่นอน ไม่ต้องห่วงครับคุณสามารถ
    Like
    7
    0 Comments 0 Shares 650 Views 0 Reviews
  • เตือนนายกฯครั้งที่ 5 ! นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟสบุ๊ก “Thirachai Phuvanatnaranubala – – ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” ระบุว่า
    จดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ เรื่องกองทุนวายุภักษ์ ๑

    ด่วนที่สุด

    วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๗

    เรื่อง กองทุนรวมวายุภักษ์ ๑ อาจจะฝ่าฝืนกฎหมาย (ฉบับที่ ๖)

    เรียน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

    ตามที่ข้าพเจ้าได้มีหนังสือ ๕ ฉบับ ฉบับหลังสุดลงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๗ (ฉบับที่ ๕) ร้องเรียนกรณีกระทรวงการคลังประกาศเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อกองทุนรวมวายุภักษ์ ๑ (กองทุนฯ) วงเงิน ๑.๕ แสนล้านบาท ในวันที่ ๑๖-๒๐ กันยายนนี้ และให้นักลงทุนสถาบันจองซื้อในวันที่ ๑๘-๒๐ กันยายนนี้

    ซึ่งข้าพเจ้ามีความเห็นว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวอาจจะฝ่าฝืนกฎหมาย นั้น

    ข้าพเจ้าขอเรียนข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง ดังนี้

    ๑. พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑

    “มาตรา ๒๘ การมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐดําเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการโดยรัฐบาลรับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดําเนินการนั้น ให้กระทําได้เฉพาะกรณีที่อยู่ในหน้าที่และอํานาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐนั้น เพื่อฟื้นฟูหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพหรือยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยหรือการก่อวินาศกรรม

    ในการมอบหมายตามวรรคหนึ่ง คณะรัฐมนตรีต้องพิจารณาภาระทางการคลังของรัฐที่อาจเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ผลกระทบต่อการดําเนินงานของหน่วยงานของรัฐซึ่งได้รับมอบหมายนั้น และแนวทางการบริหารจัดการภาระทางการคลังของรัฐและผลกระทบจากการดําเนินการดังกล่าว ภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายในการดําเนินการตามวรรคหนึ่ง ต้องมียอดคงค้างทั้งหมดรวมกันไม่เกินอัตราที่คณะกรรมการกําหนด

    ให้หน่วยงานของรัฐซึ่งได้รับมอบหมายตามมาตรานี้ ไม่ว่าการมอบหมายนั้นจะเกิดขึ้นก่อนพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับหรือไม่ จัดทําประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการที่รัฐจะต้องรับภาระทั้งหมดสําหรับกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการนั้น ๆ และแจ้งให้คณะกรรมการและกระทรวงการคลังทราบ”

    ๒. ประเด็นที่อาจฝ่าฝืนกฎหมาย

    เนื่องจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๗ ได้รับทราบโครงการกองทุนรวมวายุภักษ์ ๑ (กองทุนฯ) และโดยที่เงื่อนไขในการประกาศเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อกองทุนฯ

    มีผลโดยอัตโนมัติเป็นการที่กระทรวงการคลังรับภาระจะชดใช้ให้ผู้ลงทุนซึ่งถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้รับผลตอบแทนแต่ละปีไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๓ ต่อปี ทั้งจากรายได้แต่ละปี และจากกำไรสะสมของกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. และมีผลโดยอัตโนมัติเป็นการที่กระทรวงการคลังรับภาระจะชดใช้ให้ผู้ลงทุนซึ่งถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้รับคืนเงินลงทุนก่อนหน้ากระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข.

    ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า กรณีนี้เข้าข่ายเป็นการที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการคลัง”ดําเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการโดยรัฐบาลรับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดําเนินการนั้น” ตามวรรคหนึ่ง มาตรา ๒๘

    ๒.๑ ไม่ใช่กรณีที่อยู่ในหน้าที่และอํานาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของกระทรวงการคลัง

    พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๐ กำหนดหน้าที่และอำนาจของกระทรวงการคลังไว้ว่า “กระทรวงการคลัง มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการคลังแผ่นดิน การประเมินราคาทรัพย์สิน การบริหารพัสดุภาครัฐ กิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ ทรัพย์สินของแผ่นดิน ภาษีอากร การรัษฎากร กิจการหารายได้ที่รัฐมีอำนาจดำเนินการได้แต่ผู้เดียวตามกฎหมายและไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่น การบริหารหนี้สาธารณะ การบริหารและการพัฒนารัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการคลังหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงการคลัง”

    ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า เรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ไม่ใช่กรณีที่อยู่ในหน้าที่และอํานาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของกระทรวงการคลังข้างต้น จึงกระทำมิได้

    ส่วนการที่กองทุนฯ จะแบ่งปันรายได้และกำหนดลำดับสิทธิในการคืนเงินลงทุนนั้น ถึงแม้อาจจะอยู่ในหน้าที่และอํานาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ แต่กองทุนฯ ไม่มีหน้าที่และอำนาจที่ครอบคลุมไปถึงการดำเนินการให้มีผลเป็นการทำให้กระทรวงการคลังรับภาระจะชดใช้ให้ผู้ลงทุนซึ่งถือหน่วยลงทุนประเภท ก.

    ๒.๒ คณะรัฐมนตรีอาจมิได้พิจารณาภาระทางการคลังของรัฐที่อาจเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต หรือผลกระทบต่อการดําเนินงานของกระทรวงการคลัง

    ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า คณะรัฐมนตรีอาจมิได้พิจารณาภาระทางการคลังของรัฐที่อาจเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต หรือผลกระทบต่อการดําเนินงานของกระทรวงการคลัง อันไม่เป็นการปฏิบัติตามวรรคสองของมาตรา ๒๘ เพราะข้าพเจ้าสืบค้นไม่พบการนำเสนอตัวเลขภาระที่เกี่ยวข้องต่อคณะรัฐมนตรี

    ๒.๓ อาจไม่มีการจัดทําประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการที่รัฐจะต้องรับภาระทั้งหมดสําหรับกิจกรรมกองทุนฯ

    ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า กระทรวงการคลังอาจไม่มีการจัดทําประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการที่รัฐจะต้องรับภาระทั้งหมดสําหรับกิจกรรมกองทุนฯ เสนอต่อคณะรัฐมนตรี อันไม่เป็นการปฏิบัติตามวรรตสามของมาตรา ๒๘ เพราะข้าพเจ้าสืบค้นไม่พบการนำเสนอตัวเลขประมาณการที่เกี่ยวข้องต่อคณะรัฐมนตรี

    ๓. ขอให้สั่งการแก้ไข

    กรณีที่ถ้าหากท่านตรวจสอบแล้ว พบว่ามีการปฏิบัติที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้าพเจ้าขอเรียนว่า ท่านมีหน้าที่สั่งการให้แก้ไข และลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องโดยพลัน

    จึงขอให้ท่านโปรดพิจารณาว่าการกระทำที่เกี่ยวข้องถูกต้องตามกฎหมายและหลักธรรมาภิบาลหรือไม่

    จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

    ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

    (นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล)
    อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

    สำเนาเรียน
    ประธาน ป.ป.ช. เพื่อประกอบการพิจารณาหนังสือร้องเรียน ฉบับหลังสุดวันที่ ๑๔ ต.ค. ๒๕๖๗
    ประธาน ค.ต.ง. เพื่อประกอบการพิจารณาหนังสือร้องเรียน ฉบับหลังสุดวันที่ ๑๔ ต.ค. ๒๕๖๗
    ประธาน ก.ก.ต. เพื่อประกอบการพิจารณาหนังสือร้องเรียน ฉบับหลังสุดวันที่ ๑๔ ต.ค. ๒๕๖๗“
    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/Ti8aaMp5mLUDpy1U/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    เตือนนายกฯครั้งที่ 5 ! นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟสบุ๊ก “Thirachai Phuvanatnaranubala – – ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” ระบุว่า จดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ เรื่องกองทุนวายุภักษ์ ๑ ด่วนที่สุด วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๗ เรื่อง กองทุนรวมวายุภักษ์ ๑ อาจจะฝ่าฝืนกฎหมาย (ฉบับที่ ๖) เรียน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามที่ข้าพเจ้าได้มีหนังสือ ๕ ฉบับ ฉบับหลังสุดลงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๗ (ฉบับที่ ๕) ร้องเรียนกรณีกระทรวงการคลังประกาศเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อกองทุนรวมวายุภักษ์ ๑ (กองทุนฯ) วงเงิน ๑.๕ แสนล้านบาท ในวันที่ ๑๖-๒๐ กันยายนนี้ และให้นักลงทุนสถาบันจองซื้อในวันที่ ๑๘-๒๐ กันยายนนี้ ซึ่งข้าพเจ้ามีความเห็นว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวอาจจะฝ่าฝืนกฎหมาย นั้น ข้าพเจ้าขอเรียนข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง ดังนี้ ๑. พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ “มาตรา ๒๘ การมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐดําเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการโดยรัฐบาลรับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดําเนินการนั้น ให้กระทําได้เฉพาะกรณีที่อยู่ในหน้าที่และอํานาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐนั้น เพื่อฟื้นฟูหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพหรือยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยหรือการก่อวินาศกรรม ในการมอบหมายตามวรรคหนึ่ง คณะรัฐมนตรีต้องพิจารณาภาระทางการคลังของรัฐที่อาจเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ผลกระทบต่อการดําเนินงานของหน่วยงานของรัฐซึ่งได้รับมอบหมายนั้น และแนวทางการบริหารจัดการภาระทางการคลังของรัฐและผลกระทบจากการดําเนินการดังกล่าว ภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายในการดําเนินการตามวรรคหนึ่ง ต้องมียอดคงค้างทั้งหมดรวมกันไม่เกินอัตราที่คณะกรรมการกําหนด ให้หน่วยงานของรัฐซึ่งได้รับมอบหมายตามมาตรานี้ ไม่ว่าการมอบหมายนั้นจะเกิดขึ้นก่อนพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับหรือไม่ จัดทําประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการที่รัฐจะต้องรับภาระทั้งหมดสําหรับกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการนั้น ๆ และแจ้งให้คณะกรรมการและกระทรวงการคลังทราบ” ๒. ประเด็นที่อาจฝ่าฝืนกฎหมาย เนื่องจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๗ ได้รับทราบโครงการกองทุนรวมวายุภักษ์ ๑ (กองทุนฯ) และโดยที่เงื่อนไขในการประกาศเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อกองทุนฯ มีผลโดยอัตโนมัติเป็นการที่กระทรวงการคลังรับภาระจะชดใช้ให้ผู้ลงทุนซึ่งถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้รับผลตอบแทนแต่ละปีไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๓ ต่อปี ทั้งจากรายได้แต่ละปี และจากกำไรสะสมของกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. และมีผลโดยอัตโนมัติเป็นการที่กระทรวงการคลังรับภาระจะชดใช้ให้ผู้ลงทุนซึ่งถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้รับคืนเงินลงทุนก่อนหน้ากระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า กรณีนี้เข้าข่ายเป็นการที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการคลัง”ดําเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการโดยรัฐบาลรับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดําเนินการนั้น” ตามวรรคหนึ่ง มาตรา ๒๘ ๒.๑ ไม่ใช่กรณีที่อยู่ในหน้าที่และอํานาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของกระทรวงการคลัง พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๐ กำหนดหน้าที่และอำนาจของกระทรวงการคลังไว้ว่า “กระทรวงการคลัง มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการคลังแผ่นดิน การประเมินราคาทรัพย์สิน การบริหารพัสดุภาครัฐ กิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ ทรัพย์สินของแผ่นดิน ภาษีอากร การรัษฎากร กิจการหารายได้ที่รัฐมีอำนาจดำเนินการได้แต่ผู้เดียวตามกฎหมายและไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่น การบริหารหนี้สาธารณะ การบริหารและการพัฒนารัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการคลังหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงการคลัง” ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า เรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ไม่ใช่กรณีที่อยู่ในหน้าที่และอํานาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของกระทรวงการคลังข้างต้น จึงกระทำมิได้ ส่วนการที่กองทุนฯ จะแบ่งปันรายได้และกำหนดลำดับสิทธิในการคืนเงินลงทุนนั้น ถึงแม้อาจจะอยู่ในหน้าที่และอํานาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ แต่กองทุนฯ ไม่มีหน้าที่และอำนาจที่ครอบคลุมไปถึงการดำเนินการให้มีผลเป็นการทำให้กระทรวงการคลังรับภาระจะชดใช้ให้ผู้ลงทุนซึ่งถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ๒.๒ คณะรัฐมนตรีอาจมิได้พิจารณาภาระทางการคลังของรัฐที่อาจเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต หรือผลกระทบต่อการดําเนินงานของกระทรวงการคลัง ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า คณะรัฐมนตรีอาจมิได้พิจารณาภาระทางการคลังของรัฐที่อาจเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต หรือผลกระทบต่อการดําเนินงานของกระทรวงการคลัง อันไม่เป็นการปฏิบัติตามวรรคสองของมาตรา ๒๘ เพราะข้าพเจ้าสืบค้นไม่พบการนำเสนอตัวเลขภาระที่เกี่ยวข้องต่อคณะรัฐมนตรี ๒.๓ อาจไม่มีการจัดทําประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการที่รัฐจะต้องรับภาระทั้งหมดสําหรับกิจกรรมกองทุนฯ ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า กระทรวงการคลังอาจไม่มีการจัดทําประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการที่รัฐจะต้องรับภาระทั้งหมดสําหรับกิจกรรมกองทุนฯ เสนอต่อคณะรัฐมนตรี อันไม่เป็นการปฏิบัติตามวรรตสามของมาตรา ๒๘ เพราะข้าพเจ้าสืบค้นไม่พบการนำเสนอตัวเลขประมาณการที่เกี่ยวข้องต่อคณะรัฐมนตรี ๓. ขอให้สั่งการแก้ไข กรณีที่ถ้าหากท่านตรวจสอบแล้ว พบว่ามีการปฏิบัติที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้าพเจ้าขอเรียนว่า ท่านมีหน้าที่สั่งการให้แก้ไข และลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องโดยพลัน จึงขอให้ท่านโปรดพิจารณาว่าการกระทำที่เกี่ยวข้องถูกต้องตามกฎหมายและหลักธรรมาภิบาลหรือไม่ จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ขอแสดงความนับถืออย่างสูง (นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สำเนาเรียน ประธาน ป.ป.ช. เพื่อประกอบการพิจารณาหนังสือร้องเรียน ฉบับหลังสุดวันที่ ๑๔ ต.ค. ๒๕๖๗ ประธาน ค.ต.ง. เพื่อประกอบการพิจารณาหนังสือร้องเรียน ฉบับหลังสุดวันที่ ๑๔ ต.ค. ๒๕๖๗ ประธาน ก.ก.ต. เพื่อประกอบการพิจารณาหนังสือร้องเรียน ฉบับหลังสุดวันที่ ๑๔ ต.ค. ๒๕๖๗“ ที่มา https://www.facebook.com/share/p/Ti8aaMp5mLUDpy1U/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 384 Views 0 Reviews
  • ♣ แว่วมาว่า บรรดาสมาชิกอาวุโส สส.รุ่นใหญ่ ในพรรคพลังประชารัฐ ใช้จังหวะที่นายสามารถพลาดพลั้ง และทำให้พรรคเสื่อมเสียไปด้วย ได้เสนอให้ลุงป้อมพิจารณามอบหมายกรรมการบริหารพรรค ให้มีมติขับนายสามารถออกจากพรรค งานนี้อาจต้องวัดใจลุงป้อม ว่าจะตัดเนื้อร้าย หรือจะเลี้ยงไว้ใช้งาน
    #7ดอกจิก
    ♣ แว่วมาว่า บรรดาสมาชิกอาวุโส สส.รุ่นใหญ่ ในพรรคพลังประชารัฐ ใช้จังหวะที่นายสามารถพลาดพลั้ง และทำให้พรรคเสื่อมเสียไปด้วย ได้เสนอให้ลุงป้อมพิจารณามอบหมายกรรมการบริหารพรรค ให้มีมติขับนายสามารถออกจากพรรค งานนี้อาจต้องวัดใจลุงป้อม ว่าจะตัดเนื้อร้าย หรือจะเลี้ยงไว้ใช้งาน #7ดอกจิก
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 247 Views 0 Reviews
  • ปัญหาไฟไหม้รถบัส ต้นตอจากนโยบายรัฐ เอื้อประโยชน์ทุนพลังงาน
    .
    หากจะมีประเด็นให้พูดถึงอยู่บ้างสำหรับกรณีรถบัสเพลิงไหม้ที่คร่าครูและเด็กนักเรียนไปมากกว่า 20 ชีวิต นอกเหนือไปจากเรื่องคดีความแล้วนั้นน่าจะเป็นมาตรกระบวนการล้อมคอกของหน่วยงานภาครัฐ ที่เวลาดูเหมือนว่ากำลังจะใกล้เป็นปรากฎการณ์ไฟไหม้ฟางมากขึ้นไปทุกที
    .
    โดยจากที่เคยขึงขังประกาศโรดแมปจัดระเบียบรถโดยสารขับเคลื่อนพลังก๊าซของ 'สุริยะจึงรุ่งเรืองกิจ' รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปรากฎว่าความขึงขังที่เคยมีนั้นกำลังมีแนวโน้มไปสู่การหย่อนยานมากขึ้นตามลำดับ
    .
    อย่างไรก็ตาม แก่นแท้ของปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่ความประมาทของเจ้าของรถบัสต้นเหตุแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ด้านหนึ่งต้องยอมรับว่านโยบายของภาครัฐในภาพใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนให้รถโดยสารใช้ก๊าซ ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหาไม่ต่างกัน โดยในเรื่องนี้มีการแสดงความคิดเห็นและให้แง่มุมมาจาก หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ เกษมศรี นักวิชาการและกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ
    .
    โดยนักวิชาการด้านพลังงานรายนี้ เป็นคนแรกๆที่ออกมาฉายภาพของปัญหาผ่านเฟซบุ๊กตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า เนื่องจากรัฐมุ่งโปรโมตขายก๊าซ NGV ใช้ในรถขนส่งผู้โดยสาร จนชะล่าใจ วางมาตรฐานความปลอดภัยต่ำ โดยเฉพาะมาตรฐานวาล์วที่หัวถังอันตรายมาก ดังนั้นการโยนความผิดให้เอกชนฝ่ายเดียวจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ก่อนอื่นเลยเราต้องเข้าใจว่า หลายประเทศในทวีปยุโรป นั้นใช้ก๊าซในยานยนต์มานานก่อนประเทศไทย ได้มีบทเรียนและสร้างมาตรฐานยุโรป ที่เรียกว่า ECE R110 ซึ่งกำหนดว่า ยานพาหนะที่ติดก๊าซ NGV ทุกชนิด จะต้องใช้วาล์วที่ต้องปิดเปิดอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า โซลินอยด์ วาล์ว และเมื่อเกิดเหตุก๊าซรั่ว หรือปิดเครื่องยนต์ หรือใช้น้ำมัน จะต้องปิดวาล์ทันทีแบบอัตโนมัติ ซึ่งช้าสุดต้องไม่เกิน 2 วินาที
    .
    มาตรฐานการติดตั้งก๊าซ LPG ในยานยนต์ของประเทศไทยนั้น ได้ปรากฏเป็นประกาศกรมขนส่งทางบก ลงประกาศราชกิจจานุเบกษามีมาตั้งแต่ วันที่ 17 ธันวาคม 2551 กำหนดให้รถที่ติดก๊าซ LPG ใช้ “ลิ้นปิดเปิดอัตโนมัติ” ที่หัวถัง หากก๊าซรั่วแม้แต่เพียงเล็กน้อย หากสลับใช้น้ำมัน และหากดับเครื่องยนต์ วาล์วโซลินอยด์จะปิดอัตโนมัติทันที แต่การติดก๊าซ NGV ในยานยนต์ของประเทศไทยนั้น กลับเป็นเรื่องแปลกประหลาด
    .
    เพราะได้มีการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยต่ำกว่ายุโรป และต่ำกว่าก๊าซ LPG ด้วย คือ กำหนดให้ผู้ติดตั้งก๊าซ NGV ในยานยนต์เลือกได้ ว่าจะใช้วาล์วแบบไหนก็คือ จะเป็น “วาล์วแบบอัตโนมัติ” ก็ได้ หรือจะเป็น “วาล์วแบบใช้มือปิดเปิด” ก็ได้
    .
    "เมื่อกำหนดให้เลือกได้ว่าจะให้มีมาตรฐานความปลอดภัยปิดเปิดแก๊สอัตโนมัติตามแบบยุโรปก็ได้ หรือจะเป็นวาล์วที่ใช้มือปิดเปิดก็ได้ ผู้ติดตั้งก๊าซ NGV ในเมืองไทย ส่วนใหญ่จึงเลือก “วาล์วอัตโนมือ - ที่ใช้มือปิดเปิด” เกือบทั้งหมด เพราะ ถูกกว่า-ประหยัดกว่า และภาครัฐอนุญาตให้ทำอย่างนั้น" ประเด็นสำคัญที่หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ ชี้ให้เห็น
    .
    ไม่เพียงเท่านี้ นโยบายดังกล่าวยังได้มาซึ่งความอู้ฟู่อของปตท.อีกด้วยภายใต้แผนการขยายการใช้ NGV เพื่อเป็นทางเลือกเชื้อเพลิงในภาคขนส่งในปี 2548 ซึ่งเป็นช่วงเวลาของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ขณะนั้น โดยเป็นสารตั้งต้นที่นำมาซึ่งการส่งเสริมการใช้ก๊าซNGVครั้งใหญ่
    .
    โดยหม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ อธิบายในประเด็นนี้ว่า สามารถทำให้รัฐบาลมีมาตรการสั่งไปได้หลายกระทรวง รวมถึงมาตรการบังคับ ให้ยานยนต์ขนส่งมวลชน ให้มาติดก๊าซ NGV ให้หมด คือ แท็กซี่ในกรุงเทพ, รถให้บริการในสนามบินสุวรรณภูมิ, รถเมล์, รถบขส., รถตู้โดยสาร, รถบัส, รถเก็บขยะใน กทม., รถของหน่วยราชการ, รถของรัฐวิสากิจ ปตท. และรัฐบาลถึงขนาดประชาสัมพันธ์ว่า ก๊าซ NGV ทนความร้อนได้สูงกว่า ก๊าซลอยตัวขึ้นสูงจึงปลอดภัยกว่า ทำให้คนหลงเชื่อผิด ๆ และอยากติดก๊าซ NGV มากขึ้น
    .
    ไม่รู้เหมือนกันว่าข้อคิดเห็นของหม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ ซึ่งมีความน่าสนใจและชี้ให้เห็นถึงประเด็นปัญหานั้นจะไปถึงผู้มีอำนาจในรัฐบาลหรือไม่ในยามที่เรื่องนี้กำลังจะเลือนหายไปจากสังคม หรือบางทีอาจจะไปถึงโต๊ะของรัฐมนตรี แต่ก็ถูกโยนทิ้งเพราะมองว่าเป็นข้อเสนอจากคนของพรรคพลังประชารัฐที่เป็นคู่แข่งในทางการเมืองเท่านั้น
    ..............
    Sondhi X
    ปัญหาไฟไหม้รถบัส ต้นตอจากนโยบายรัฐ เอื้อประโยชน์ทุนพลังงาน . หากจะมีประเด็นให้พูดถึงอยู่บ้างสำหรับกรณีรถบัสเพลิงไหม้ที่คร่าครูและเด็กนักเรียนไปมากกว่า 20 ชีวิต นอกเหนือไปจากเรื่องคดีความแล้วนั้นน่าจะเป็นมาตรกระบวนการล้อมคอกของหน่วยงานภาครัฐ ที่เวลาดูเหมือนว่ากำลังจะใกล้เป็นปรากฎการณ์ไฟไหม้ฟางมากขึ้นไปทุกที . โดยจากที่เคยขึงขังประกาศโรดแมปจัดระเบียบรถโดยสารขับเคลื่อนพลังก๊าซของ 'สุริยะจึงรุ่งเรืองกิจ' รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปรากฎว่าความขึงขังที่เคยมีนั้นกำลังมีแนวโน้มไปสู่การหย่อนยานมากขึ้นตามลำดับ . อย่างไรก็ตาม แก่นแท้ของปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่ความประมาทของเจ้าของรถบัสต้นเหตุแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ด้านหนึ่งต้องยอมรับว่านโยบายของภาครัฐในภาพใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนให้รถโดยสารใช้ก๊าซ ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหาไม่ต่างกัน โดยในเรื่องนี้มีการแสดงความคิดเห็นและให้แง่มุมมาจาก หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ เกษมศรี นักวิชาการและกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ . โดยนักวิชาการด้านพลังงานรายนี้ เป็นคนแรกๆที่ออกมาฉายภาพของปัญหาผ่านเฟซบุ๊กตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า เนื่องจากรัฐมุ่งโปรโมตขายก๊าซ NGV ใช้ในรถขนส่งผู้โดยสาร จนชะล่าใจ วางมาตรฐานความปลอดภัยต่ำ โดยเฉพาะมาตรฐานวาล์วที่หัวถังอันตรายมาก ดังนั้นการโยนความผิดให้เอกชนฝ่ายเดียวจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ก่อนอื่นเลยเราต้องเข้าใจว่า หลายประเทศในทวีปยุโรป นั้นใช้ก๊าซในยานยนต์มานานก่อนประเทศไทย ได้มีบทเรียนและสร้างมาตรฐานยุโรป ที่เรียกว่า ECE R110 ซึ่งกำหนดว่า ยานพาหนะที่ติดก๊าซ NGV ทุกชนิด จะต้องใช้วาล์วที่ต้องปิดเปิดอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า โซลินอยด์ วาล์ว และเมื่อเกิดเหตุก๊าซรั่ว หรือปิดเครื่องยนต์ หรือใช้น้ำมัน จะต้องปิดวาล์ทันทีแบบอัตโนมัติ ซึ่งช้าสุดต้องไม่เกิน 2 วินาที . มาตรฐานการติดตั้งก๊าซ LPG ในยานยนต์ของประเทศไทยนั้น ได้ปรากฏเป็นประกาศกรมขนส่งทางบก ลงประกาศราชกิจจานุเบกษามีมาตั้งแต่ วันที่ 17 ธันวาคม 2551 กำหนดให้รถที่ติดก๊าซ LPG ใช้ “ลิ้นปิดเปิดอัตโนมัติ” ที่หัวถัง หากก๊าซรั่วแม้แต่เพียงเล็กน้อย หากสลับใช้น้ำมัน และหากดับเครื่องยนต์ วาล์วโซลินอยด์จะปิดอัตโนมัติทันที แต่การติดก๊าซ NGV ในยานยนต์ของประเทศไทยนั้น กลับเป็นเรื่องแปลกประหลาด . เพราะได้มีการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยต่ำกว่ายุโรป และต่ำกว่าก๊าซ LPG ด้วย คือ กำหนดให้ผู้ติดตั้งก๊าซ NGV ในยานยนต์เลือกได้ ว่าจะใช้วาล์วแบบไหนก็คือ จะเป็น “วาล์วแบบอัตโนมัติ” ก็ได้ หรือจะเป็น “วาล์วแบบใช้มือปิดเปิด” ก็ได้ . "เมื่อกำหนดให้เลือกได้ว่าจะให้มีมาตรฐานความปลอดภัยปิดเปิดแก๊สอัตโนมัติตามแบบยุโรปก็ได้ หรือจะเป็นวาล์วที่ใช้มือปิดเปิดก็ได้ ผู้ติดตั้งก๊าซ NGV ในเมืองไทย ส่วนใหญ่จึงเลือก “วาล์วอัตโนมือ - ที่ใช้มือปิดเปิด” เกือบทั้งหมด เพราะ ถูกกว่า-ประหยัดกว่า และภาครัฐอนุญาตให้ทำอย่างนั้น" ประเด็นสำคัญที่หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ ชี้ให้เห็น . ไม่เพียงเท่านี้ นโยบายดังกล่าวยังได้มาซึ่งความอู้ฟู่อของปตท.อีกด้วยภายใต้แผนการขยายการใช้ NGV เพื่อเป็นทางเลือกเชื้อเพลิงในภาคขนส่งในปี 2548 ซึ่งเป็นช่วงเวลาของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ขณะนั้น โดยเป็นสารตั้งต้นที่นำมาซึ่งการส่งเสริมการใช้ก๊าซNGVครั้งใหญ่ . โดยหม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ อธิบายในประเด็นนี้ว่า สามารถทำให้รัฐบาลมีมาตรการสั่งไปได้หลายกระทรวง รวมถึงมาตรการบังคับ ให้ยานยนต์ขนส่งมวลชน ให้มาติดก๊าซ NGV ให้หมด คือ แท็กซี่ในกรุงเทพ, รถให้บริการในสนามบินสุวรรณภูมิ, รถเมล์, รถบขส., รถตู้โดยสาร, รถบัส, รถเก็บขยะใน กทม., รถของหน่วยราชการ, รถของรัฐวิสากิจ ปตท. และรัฐบาลถึงขนาดประชาสัมพันธ์ว่า ก๊าซ NGV ทนความร้อนได้สูงกว่า ก๊าซลอยตัวขึ้นสูงจึงปลอดภัยกว่า ทำให้คนหลงเชื่อผิด ๆ และอยากติดก๊าซ NGV มากขึ้น . ไม่รู้เหมือนกันว่าข้อคิดเห็นของหม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ ซึ่งมีความน่าสนใจและชี้ให้เห็นถึงประเด็นปัญหานั้นจะไปถึงผู้มีอำนาจในรัฐบาลหรือไม่ในยามที่เรื่องนี้กำลังจะเลือนหายไปจากสังคม หรือบางทีอาจจะไปถึงโต๊ะของรัฐมนตรี แต่ก็ถูกโยนทิ้งเพราะมองว่าเป็นข้อเสนอจากคนของพรรคพลังประชารัฐที่เป็นคู่แข่งในทางการเมืองเท่านั้น .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    5
    0 Comments 0 Shares 811 Views 0 Reviews
  • จุดต้นตอรถบัสมรณะ คมนาคม-ขนส่งแก้ไม่ถูกจุด
    .
    ที่นี่จะเป็นที่แรกที่อธิบายเบื้องหน้าเบื้องหลังจริงๆว่าต้นเหตุจริงๆ มาจากไหน ? หลังจากรถบัสคันเกิดเหตุ เจ้าของชื่อ ชินบุตรทัวร์ จังหวัดสิงห์บุรี เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานไปตรวจสอบ พบว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้เพลิงลุกไหม้ เพราะว่าแก๊ส NGV รั่วไหลบริเวณส่วนหน้าของรถคันนี้ ที่ติดถังแก๊สถึง 11 ถัง เกินไปจากใบอนุญาตจากกรมการขนส่งฯ กะว่าวิ่งยาวโดยไม่ต้องเติมแก๊ส และตรงประตูฉุกเฉินท้ายรถด้านซ้ายเปิดไม่ได้ นี่คือความหละหลวมฉ้อฉลของกรมการขนส่งทางบก ที่ไม่ตรวจสอบอย่างละเอียด
    .
    เมื่อ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา คุณจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบกที่ได้รับต่ออายุราชการอีก 1 ปี ออกประกาศลงราชกิจจานุเบกษาว่า ให้รถขนส่งผู้โดยสารที่ติดก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือ LPG และก๊าซธรรมชาติอัดหรือ NGV เข้ารับการตรวจสภาพใหม่ให้เสร็จสิ้นภายใน 30 พฤศจิกายน 2567
    .
    ประกาศฉบับนี้ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา มันเป็นมาตรการเฉพาะหน้า เพราะต่อให้ทำตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบก อุบัติเหตุก็ยังเกิดขึ้นอยู่ เพราะว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด หัวขบวนอย่างคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และอธิบดีกรมการขนส่งทางบก จะไม่รับผิดชอบอะไรเลยหรือ หรือมัวแต่หมกมุ่นกับโครงการแสนล้านอยู่ ไม่มีเวลามาดูแลเรื่องที่มันส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชน
    .
    ทำไมประเทศไทยถึงมีความถี่การเกิดไฟไหม้รถ ยานยนต์ บ่อยครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอด 16 ปีที่ผ่านมา แตกต่างจากประเทศที่รถเขาติดแก๊สกันทั่วโลกเลย ปัญหานี้คือปัญหาเส้นผมบังภูเขา ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มันเกิดขึ้นจากภาครัฐ ระยำตำบอนมาก
    .
    หม่อมกรกสิวัฒน์ เกษมศรี นักวิชาการ และกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เป็นคนออกมาโพสต์ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2567 สรุปสาระสำคัญได้ว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะว่ารัฐมุ่งโปรโมตขายแก๊ส NGV ใช้ในรถขนส่งผู้โดยสารจนชะล่าใจ ลดมาตรฐานความปลอดภัยต่ำ โดยเฉพาะมาตรฐานวาล์วที่หัวถัง อันตรายมาก เพราะฉะนั้นแล้ว การโยนความผิดให้เอกชนฝ่ายเดียวนั้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
    .
    19 ปีที่แล้ว ในปีนั้น เป็นยุครัฐบาลชุดทักษิณ ชินวัตรที่สนับสนุนบังคับยานยนต์ขนส่งมวลชนใช้ NGV ในมาตรการการลงทุนท่อแก๊ส สถานี NGV มาตรการลดภาษีอุปกรณ์ มาตรการเงินกู้ มาตรการขายราคาต่ำช่วงแรก แต่ค่าถัง อุปกรณ์ แพงกว่า LPG มากก็เลยทำให้มีการลดมาตรฐานความปลอดภัยตามประกาศกรมขนส่ง29มกราคม2551 แล้วก็มาระเบิดในยุคทักษิณ ชินวัตร อีกเช่นกัน มันช่างบังเอิญเสียเช่นนี้

    การตัดสินใจของ มาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) คือตัวการ และกรมการขนส่งทางบก กับ ปตท. เท่ากับเป็นการถอยออกจากมาตรฐานยุโรปECE R110ที่กำหนดไว้ว่า ยานพาหนะที่ติดแก๊ส NGV ทุกชนิด จะต้องใช้วาล์วที่ปิดและเปิดอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า เขาเรียกวาล์วนี้ว่า โซลินอยด์วาล์ว (Solenoid Valve) หรือ มาตรฐาน มอก. 2333 มาเป็นการลดต้นทุนในการติดตั้งแก๊ส NGV บนมาตรฐานความไม่ปลอดภัยต่อผู้โดยสารจะเลือกวาล์วลิ้นเปิด-ปิดด้วยมือ หรือแบบอัตโนมัติก็ได้ เป็นการโปรโมตการใช้แก๊ส NGV โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของชีวิตประชาชน
    .
    หวังเพียงแต่ว่าภาคการขนส่งไม่ต้องมาแย่งแก๊ส LPG แล้วให้ไปใช้แก๊ส NGV มากขึ้น เพื่ออะไร ? เพื่อให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมิคัลใน ปตท. จะได้รวยขึ้น ทำให้ผู้ถือหุ้นใน ปตท. ซึ่งยุคนั้นเป็นคนของทักษิณทั้งสิ้น ร่ำรวยมากขึ้น
    .
    ถ้าเรามีวาล์วปิด-เปิดอัตโนมัติ เด็กที่เสียชีวิตไปและครูคงไม่เสียชีวิตแบบนี้ พ่อแม่พี่น้อง ญาติพี่น้องของคนที่ตาย ให้รับทราบว่าลูกๆ คุณเสียชีวิตไปเพราะกรมการขนส่งทางบก มอก. และ ปตท. ยุคนั้น เห็นแก่เงิน แค่พวงหรีดไม่กี่พวงหรืออย่างไร แล้วแค่ตั้งกรรมการสอบหรืออย่างไร หรือว่าคุณสุริยะมัวแต่หมกมุ่นกับโครงการแสนล้านอยู่ ไม่มีเวลามาดูแลเรื่องที่มันส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชน แต่หลักการของการแก้ที่ถูกต้องมันไม่ทำอะไรเลย ท่านผู้ชมครับ นี่ล่ะคือ "ความจริงที่มีหนึ่งเดียว" หาได้เฉพาะที่นี่
    จุดต้นตอรถบัสมรณะ คมนาคม-ขนส่งแก้ไม่ถูกจุด . ที่นี่จะเป็นที่แรกที่อธิบายเบื้องหน้าเบื้องหลังจริงๆว่าต้นเหตุจริงๆ มาจากไหน ? หลังจากรถบัสคันเกิดเหตุ เจ้าของชื่อ ชินบุตรทัวร์ จังหวัดสิงห์บุรี เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานไปตรวจสอบ พบว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้เพลิงลุกไหม้ เพราะว่าแก๊ส NGV รั่วไหลบริเวณส่วนหน้าของรถคันนี้ ที่ติดถังแก๊สถึง 11 ถัง เกินไปจากใบอนุญาตจากกรมการขนส่งฯ กะว่าวิ่งยาวโดยไม่ต้องเติมแก๊ส และตรงประตูฉุกเฉินท้ายรถด้านซ้ายเปิดไม่ได้ นี่คือความหละหลวมฉ้อฉลของกรมการขนส่งทางบก ที่ไม่ตรวจสอบอย่างละเอียด . เมื่อ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา คุณจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบกที่ได้รับต่ออายุราชการอีก 1 ปี ออกประกาศลงราชกิจจานุเบกษาว่า ให้รถขนส่งผู้โดยสารที่ติดก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือ LPG และก๊าซธรรมชาติอัดหรือ NGV เข้ารับการตรวจสภาพใหม่ให้เสร็จสิ้นภายใน 30 พฤศจิกายน 2567 . ประกาศฉบับนี้ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา มันเป็นมาตรการเฉพาะหน้า เพราะต่อให้ทำตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบก อุบัติเหตุก็ยังเกิดขึ้นอยู่ เพราะว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด หัวขบวนอย่างคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และอธิบดีกรมการขนส่งทางบก จะไม่รับผิดชอบอะไรเลยหรือ หรือมัวแต่หมกมุ่นกับโครงการแสนล้านอยู่ ไม่มีเวลามาดูแลเรื่องที่มันส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชน . ทำไมประเทศไทยถึงมีความถี่การเกิดไฟไหม้รถ ยานยนต์ บ่อยครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอด 16 ปีที่ผ่านมา แตกต่างจากประเทศที่รถเขาติดแก๊สกันทั่วโลกเลย ปัญหานี้คือปัญหาเส้นผมบังภูเขา ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มันเกิดขึ้นจากภาครัฐ ระยำตำบอนมาก . หม่อมกรกสิวัฒน์ เกษมศรี นักวิชาการ และกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เป็นคนออกมาโพสต์ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2567 สรุปสาระสำคัญได้ว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะว่ารัฐมุ่งโปรโมตขายแก๊ส NGV ใช้ในรถขนส่งผู้โดยสารจนชะล่าใจ ลดมาตรฐานความปลอดภัยต่ำ โดยเฉพาะมาตรฐานวาล์วที่หัวถัง อันตรายมาก เพราะฉะนั้นแล้ว การโยนความผิดให้เอกชนฝ่ายเดียวนั้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ . 19 ปีที่แล้ว ในปีนั้น เป็นยุครัฐบาลชุดทักษิณ ชินวัตรที่สนับสนุนบังคับยานยนต์ขนส่งมวลชนใช้ NGV ในมาตรการการลงทุนท่อแก๊ส สถานี NGV มาตรการลดภาษีอุปกรณ์ มาตรการเงินกู้ มาตรการขายราคาต่ำช่วงแรก แต่ค่าถัง อุปกรณ์ แพงกว่า LPG มากก็เลยทำให้มีการลดมาตรฐานความปลอดภัยตามประกาศกรมขนส่ง29มกราคม2551 แล้วก็มาระเบิดในยุคทักษิณ ชินวัตร อีกเช่นกัน มันช่างบังเอิญเสียเช่นนี้ การตัดสินใจของ มาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) คือตัวการ และกรมการขนส่งทางบก กับ ปตท. เท่ากับเป็นการถอยออกจากมาตรฐานยุโรปECE R110ที่กำหนดไว้ว่า ยานพาหนะที่ติดแก๊ส NGV ทุกชนิด จะต้องใช้วาล์วที่ปิดและเปิดอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า เขาเรียกวาล์วนี้ว่า โซลินอยด์วาล์ว (Solenoid Valve) หรือ มาตรฐาน มอก. 2333 มาเป็นการลดต้นทุนในการติดตั้งแก๊ส NGV บนมาตรฐานความไม่ปลอดภัยต่อผู้โดยสารจะเลือกวาล์วลิ้นเปิด-ปิดด้วยมือ หรือแบบอัตโนมัติก็ได้ เป็นการโปรโมตการใช้แก๊ส NGV โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของชีวิตประชาชน . หวังเพียงแต่ว่าภาคการขนส่งไม่ต้องมาแย่งแก๊ส LPG แล้วให้ไปใช้แก๊ส NGV มากขึ้น เพื่ออะไร ? เพื่อให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมิคัลใน ปตท. จะได้รวยขึ้น ทำให้ผู้ถือหุ้นใน ปตท. ซึ่งยุคนั้นเป็นคนของทักษิณทั้งสิ้น ร่ำรวยมากขึ้น . ถ้าเรามีวาล์วปิด-เปิดอัตโนมัติ เด็กที่เสียชีวิตไปและครูคงไม่เสียชีวิตแบบนี้ พ่อแม่พี่น้อง ญาติพี่น้องของคนที่ตาย ให้รับทราบว่าลูกๆ คุณเสียชีวิตไปเพราะกรมการขนส่งทางบก มอก. และ ปตท. ยุคนั้น เห็นแก่เงิน แค่พวงหรีดไม่กี่พวงหรืออย่างไร แล้วแค่ตั้งกรรมการสอบหรืออย่างไร หรือว่าคุณสุริยะมัวแต่หมกมุ่นกับโครงการแสนล้านอยู่ ไม่มีเวลามาดูแลเรื่องที่มันส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชน แต่หลักการของการแก้ที่ถูกต้องมันไม่ทำอะไรเลย ท่านผู้ชมครับ นี่ล่ะคือ "ความจริงที่มีหนึ่งเดียว" หาได้เฉพาะที่นี่
    Like
    Angry
    4
    0 Comments 0 Shares 791 Views 0 Reviews
  • สนธิไขปม “ทักษิณ” กินข้าว “เนวิน” รับมือคดี-อุ๊งอิ๊งขึ้นศาลรธน. ชงอนุทินนายกฯ คนต่อไป
    .
    วันนี้ (9 ต.ค.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวในรายการสนธิเล่าเรื่อง กรณีที่นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไปกินข้าวกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตนักโทษคดีทุจริต และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า จรัญสนิทวงศ์ 69 เมื่อวันที่ 6 ต.ค. ว่า เรื่องนี้ต้องโทษนายทักษิณ ตนไม่อยากพูดถึงเพราะนายทักษิณกำลังรับเวรกรรมอยู่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลูกสาวนายทักษิณจะเอาตัวรอดเปล่าไม่รู้ และนายทักษิณกำลังถูกรุกหนัก ถึงขั้นถ้าเรื่องถึงศาลและชี้ว่ามีมูล เท่ากับว่าจะต้องถูกตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงประกบตลอดเวลา และมีการคาดคะเนว่านายทักษิณอาจต้องหนีออกนอกประเทศอีกครั้ง ตนไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง คนที่เกลียดนายทักษิณตั้งข้อสังเกตเยอะแยะ ตนไม่ได้เกลียดนายทักษิณ แต่ขณะนี้เขาต้องรับเวรรับกรรม และขณะนี้รับเวรกรรมอยู่อย่างมาก
    .
    ทั้งนี้ เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา นายทักษิณเงียบสนิทไม่ออกไปไหน มีแต่เรียกรัฐมนตรีที่ตัวเองสั่งการได้เข้าไปพบ บางกรณีไปดุด่าว่าอนุมัติโครงการบางโครงการได้อย่างไร แม้กระทั่งมีข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่หลังม่านอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีคนวิ่งเต้นเข้าหาตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าฯ ท่าอากาศยานไทย แม้กระทั่งหลายคนต้องการเลื่อนตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ปตท. ถึงขั้นโทรศัพท์ไปหาผู้บริหาร ปตท. ขอให้ซื้อโฆษณาสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวีเพิ่ม ซึ่งนายทักษิณได้มอบหมายดูแล 2 กระทรวง คือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และกระทรวงยุติธรรม ที่กำลังโยกย้ายแต่งตั้ง เพราะต้องดูว่าใครช่วยนายทักษิณ
    .
    นายสนธิ กล่าวว่า นายเนวินเคยสนิทสนมกับนายทักษิณ เคยเป็นมือให้นายทักษิณทำงานทุกงาน ออกมาปะฉะดะ แม้กระทั่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เคยถูกนายเนวินกลั่นแกล้งตลอดเวลา เคยให้นายศุภชัย ใจสมุทร แจ้งความจับตนในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตำแหน่งสำคัญของนายเนวินหลุดออกไป เป็นทำให้นายเนวินหักหลังนายทักษิณ และจัดตั้งรัฐบาลที่ค่ายทหาร ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็น รมว.กลาโหม โดยนายเนวินเจรจากับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ทำให้กลุ่มนายเนวินมีอำนาจขึ้นมา เส้นทางการเมืองนายทักษิณอยู่ต่างประเทศ นายเนวินกับนายอนุทินตั้งพรรคภูมิใจไทยขึ้นมา
    .
    นายสนธิเห็นว่า การที่นายเนวินและนายอนุทินกินข้าวกับนายทักษิณ เพราะเวรกรรมกำลังเข้ามาที่นายทักษิณ ทั้งกรมราชทัณฑ์กำลังจะถูกสอบ เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์อาจมีส่วนร่วมกระทำความผิดด้วย แม้กระทั่ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ในฐานะ รมว.ยุติธรรม ที่ออกมาให้ความช่วยเหลือนายทักษิณในเรื่องชั้น 14 เพราะฉะนั้นตอนนี้กรมราชทัณฑ์เริ่มระส่ำระส่ายอย่างมาก คนที่เคยช่วยนายทักษิณเพราะหวังได้เลื่อนตำแหน่ง และหลายคนได้เลื่อนตำแหน่งเพราะการช่วยนายทักษิณ เช่น อธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้ขึ้นตำแหน่งเต็มตัวเพราะช่วยนายทักษิณ และเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ 5-6 คน ใช้วิชามารและหลักการช่วยนายทักษิณ จึงถูกนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายนิติธร ล้ำเหลือ เคลื่อนไหวเอาผิด
    .
    ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีคนต่อว่าทำไมไม่พูดถึงนายทักษิณเลย ตนตอบว่า ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเขาแล้ว เพราะเขากำลังรับเวรกรรม มีโจทก์เต็มไปหมด ไล่ล่านายทักษิณตลอดเวลา นายทักษิณไม่รู้จะทำอย่างไรในขณะนี้ ซึ่งเรื่องร้องเรียนไปทุกช่องทาง ทั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ตรวจการแผ่นดิน สำนักงาน ปปช. ไปกระทั่งหน่วยงานองค์กรอิสระนั้นไม่เพิกเฉยต่อคำร้องเหล่านี้ได้ แต่ละองค์กรจึงมีการตั้งเรื่องเพื่อสืบเสาะข้อกล่าวหาที่แต่ละคนกล่าวหาทุกช่องทาง ล่าสุดได้ข่าวว่านายทักษิณกำลังจะถูกแจ้งข้อกล่าวหา
    .
    ขณะเดียวกัน น.ส.แพทองธาร กำลังจะถูกดำเนินคดีถือหุ้นในบริษัท อัลไพน์ฯ มีรายงานการประชุมชัดเจน มีชื่อ น.ส.แพทองธารประชุมอยู่ด้วย และโยงไปถึง คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร มารดา น.ส.แพทองธาร หาก น.ส.แพทองธารเป็นนายกฯ แล้วเรื่องนี้ถูกส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าชี้ว่า น.ส.แพทองธารมีความผิด ไม่ใช่แค่ลาออกอย่างเดียว ยังถูกดำเนินคดีอาญาด้วย แต่ถ้าก่อนศาลรัฐธรรมนูญพิพากษา น.ส.แพทองธารลาออกไปก่อน คดีนี้ก็จบไป จึงเป็นที่มาของการกินข้าวครั้งนี้
    .
    "ขณะนี้พรรคภูมิใจไทยได้เปรียบกว่าพรรคเพื่อไทยและทักษิณ เป็นพรรคที่คุม สว. เสียงข้างมากในวุฒิสภา ด้วยเหตุนี้ เนวินถือไพ่ตรงนี้เหนือกว่าทักษิณ ในขณะเดียวกัน ทักษิณก็ยังถือเสียง 140 เสียงของพรรคเพื่อไทยอยู่ ซึ่งถ้าเนวินต้องการให้อนุทินขึ้นมาเป็นนายกฯ ก็ต้องพึ่งเสียงของทักษิณ ผมเชื่อว่าเป็นการทำความเข้าใจถึงสถานการณ์ร่วมกัน และเจรจากันอย่างเงียบๆ ว่าถ้าสมมติอุ๊งอิ๊งจำเป็นต้องออก ก้าวข้าม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไปได้เลย เพราะพรรคพลังประชารัฐมีเสียง สส. อยู่ 40 เสียง 20 กว่าเสียงอยู่กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เสียงของพรรคพลังประชารัฐมีจริงๆ ก็แค่ 10 กว่าเสียง ตีให้ตายชาติหน้า พล.อ.ปนระวิตร ก็เป็นนายกฯ ไม่ได้ คิวต่อไปก็เป็นอนุทิน ชาญวีรกูล ถ้าอนุทินเป็นนายกฯ แล้วไม่มีเสียงของทักษิณสนับสนุน ก็ไม่รู้จะทำยังไง นั่นคือที่มาของการกินข้าว คือการปูทางก่อน ทำความเข้าใจ ก่อนละครลิเกโรงใหญ่" นายสนธิ กล่าว
    .
    ทั้งนี้ หลายคนบอกว่าเหตุการณ์นี้จะเริ่มต้นช่วงต้นเดือน ธ.ค. 2567 แต่ตนเห็นว่าอย่างเร็วที่สุดต้นปี 2568 เพราะนายทักษิณอยากให้ น.ส.แพทองธาร ลากต่อไป จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้าย ถ้ายังอยู่ต่อต้องถูกศาลพิพากษาแน่ ถ้าลาออกตอนนี้แล้วเรื่องก็จบ ไม่มีแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญก็แทงเรื่องว่าจบ ปิดคดี เพราะคนที่ถูกกล่าวหาเป็นนายกฯ โดยมิชอบต้องลาออกแล้ว ข้อกล่าวหาก็ต้องตกไปเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนที่นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ กล่าวว่า กลางเดือนนี้จะมีนายกฯ คนนอก คือนายวีรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการ ธปท. ลูกชาย พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ตนดูการเมืองเมืองไทยกว่า 50 ปีแล้วยังดูไม่ออกเลย นายดนัยก็ดูไม่ออกแต่เชื่อ ทฤษฎีนายดนัยต้องฟังหูไว้หู ตนไม่ประหลาดใจว่ากลางเดือนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ที่แน่ๆ กระบวนการไล่ล่า น.ส.แพทองธารและนายทักษิณยังคงดำเนินต่อไป
    .
    ส่วนการที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. มาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ปกป้อง น.ส.แพทองธาร นั้น วันนี้กับสมัยก่อนไม่เหมือนกัน สมัยก่อนมีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ร่วมรบ แต่วันนี้ นายจตุพรเป็นศัตรูกับนายทักษิณ นายณัฐวุฒิเข้ามาให้สัมภาษณ์ไป โกหกทุกเรื่อง กระทั่งโซเชียลมีเดียตัดคลิปในอดีตออกมา นายณัฐวุฒิอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว ก็เอาคลิปเก่าที่เคยพูดเรื่องจำนำข้าวมาจี้นายณัฐวุฒิ สรุปแล้วเป็นนักการเมืองที่โกหกเก่งคนหนึ่ง ตนไม่เห็นว่านายณัฐวุฒิจะมาปกป้องอะไรนายกฯ ได้เลยแม้แต่นิดเดียว สรุปแล้วเดือนตุลาคมเป็นเดือนตุลาอาถรรพ์ และอาถรรพ์ถึงสิ้นปีนี้ ทั้งหมดถ้ามองย้อนหลังเป็นละคร ลิเกโรงใหญ่ ต่างฝ่ายต่างมีผลประโยชน์แลกกัน เป็นการจับมือสองฝ่ายที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน นายทักษิณทางเลือกมีน้อยมาก เหมือนหลังชนกำแพงแล้ว
    ..............
    Sondhi X
    สนธิไขปม “ทักษิณ” กินข้าว “เนวิน” รับมือคดี-อุ๊งอิ๊งขึ้นศาลรธน. ชงอนุทินนายกฯ คนต่อไป . วันนี้ (9 ต.ค.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวในรายการสนธิเล่าเรื่อง กรณีที่นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไปกินข้าวกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตนักโทษคดีทุจริต และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า จรัญสนิทวงศ์ 69 เมื่อวันที่ 6 ต.ค. ว่า เรื่องนี้ต้องโทษนายทักษิณ ตนไม่อยากพูดถึงเพราะนายทักษิณกำลังรับเวรกรรมอยู่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลูกสาวนายทักษิณจะเอาตัวรอดเปล่าไม่รู้ และนายทักษิณกำลังถูกรุกหนัก ถึงขั้นถ้าเรื่องถึงศาลและชี้ว่ามีมูล เท่ากับว่าจะต้องถูกตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงประกบตลอดเวลา และมีการคาดคะเนว่านายทักษิณอาจต้องหนีออกนอกประเทศอีกครั้ง ตนไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง คนที่เกลียดนายทักษิณตั้งข้อสังเกตเยอะแยะ ตนไม่ได้เกลียดนายทักษิณ แต่ขณะนี้เขาต้องรับเวรรับกรรม และขณะนี้รับเวรกรรมอยู่อย่างมาก . ทั้งนี้ เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา นายทักษิณเงียบสนิทไม่ออกไปไหน มีแต่เรียกรัฐมนตรีที่ตัวเองสั่งการได้เข้าไปพบ บางกรณีไปดุด่าว่าอนุมัติโครงการบางโครงการได้อย่างไร แม้กระทั่งมีข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่หลังม่านอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีคนวิ่งเต้นเข้าหาตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าฯ ท่าอากาศยานไทย แม้กระทั่งหลายคนต้องการเลื่อนตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ปตท. ถึงขั้นโทรศัพท์ไปหาผู้บริหาร ปตท. ขอให้ซื้อโฆษณาสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวีเพิ่ม ซึ่งนายทักษิณได้มอบหมายดูแล 2 กระทรวง คือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และกระทรวงยุติธรรม ที่กำลังโยกย้ายแต่งตั้ง เพราะต้องดูว่าใครช่วยนายทักษิณ . นายสนธิ กล่าวว่า นายเนวินเคยสนิทสนมกับนายทักษิณ เคยเป็นมือให้นายทักษิณทำงานทุกงาน ออกมาปะฉะดะ แม้กระทั่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เคยถูกนายเนวินกลั่นแกล้งตลอดเวลา เคยให้นายศุภชัย ใจสมุทร แจ้งความจับตนในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตำแหน่งสำคัญของนายเนวินหลุดออกไป เป็นทำให้นายเนวินหักหลังนายทักษิณ และจัดตั้งรัฐบาลที่ค่ายทหาร ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็น รมว.กลาโหม โดยนายเนวินเจรจากับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ทำให้กลุ่มนายเนวินมีอำนาจขึ้นมา เส้นทางการเมืองนายทักษิณอยู่ต่างประเทศ นายเนวินกับนายอนุทินตั้งพรรคภูมิใจไทยขึ้นมา . นายสนธิเห็นว่า การที่นายเนวินและนายอนุทินกินข้าวกับนายทักษิณ เพราะเวรกรรมกำลังเข้ามาที่นายทักษิณ ทั้งกรมราชทัณฑ์กำลังจะถูกสอบ เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์อาจมีส่วนร่วมกระทำความผิดด้วย แม้กระทั่ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ในฐานะ รมว.ยุติธรรม ที่ออกมาให้ความช่วยเหลือนายทักษิณในเรื่องชั้น 14 เพราะฉะนั้นตอนนี้กรมราชทัณฑ์เริ่มระส่ำระส่ายอย่างมาก คนที่เคยช่วยนายทักษิณเพราะหวังได้เลื่อนตำแหน่ง และหลายคนได้เลื่อนตำแหน่งเพราะการช่วยนายทักษิณ เช่น อธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้ขึ้นตำแหน่งเต็มตัวเพราะช่วยนายทักษิณ และเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ 5-6 คน ใช้วิชามารและหลักการช่วยนายทักษิณ จึงถูกนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายนิติธร ล้ำเหลือ เคลื่อนไหวเอาผิด . ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีคนต่อว่าทำไมไม่พูดถึงนายทักษิณเลย ตนตอบว่า ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเขาแล้ว เพราะเขากำลังรับเวรกรรม มีโจทก์เต็มไปหมด ไล่ล่านายทักษิณตลอดเวลา นายทักษิณไม่รู้จะทำอย่างไรในขณะนี้ ซึ่งเรื่องร้องเรียนไปทุกช่องทาง ทั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ตรวจการแผ่นดิน สำนักงาน ปปช. ไปกระทั่งหน่วยงานองค์กรอิสระนั้นไม่เพิกเฉยต่อคำร้องเหล่านี้ได้ แต่ละองค์กรจึงมีการตั้งเรื่องเพื่อสืบเสาะข้อกล่าวหาที่แต่ละคนกล่าวหาทุกช่องทาง ล่าสุดได้ข่าวว่านายทักษิณกำลังจะถูกแจ้งข้อกล่าวหา . ขณะเดียวกัน น.ส.แพทองธาร กำลังจะถูกดำเนินคดีถือหุ้นในบริษัท อัลไพน์ฯ มีรายงานการประชุมชัดเจน มีชื่อ น.ส.แพทองธารประชุมอยู่ด้วย และโยงไปถึง คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร มารดา น.ส.แพทองธาร หาก น.ส.แพทองธารเป็นนายกฯ แล้วเรื่องนี้ถูกส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าชี้ว่า น.ส.แพทองธารมีความผิด ไม่ใช่แค่ลาออกอย่างเดียว ยังถูกดำเนินคดีอาญาด้วย แต่ถ้าก่อนศาลรัฐธรรมนูญพิพากษา น.ส.แพทองธารลาออกไปก่อน คดีนี้ก็จบไป จึงเป็นที่มาของการกินข้าวครั้งนี้ . "ขณะนี้พรรคภูมิใจไทยได้เปรียบกว่าพรรคเพื่อไทยและทักษิณ เป็นพรรคที่คุม สว. เสียงข้างมากในวุฒิสภา ด้วยเหตุนี้ เนวินถือไพ่ตรงนี้เหนือกว่าทักษิณ ในขณะเดียวกัน ทักษิณก็ยังถือเสียง 140 เสียงของพรรคเพื่อไทยอยู่ ซึ่งถ้าเนวินต้องการให้อนุทินขึ้นมาเป็นนายกฯ ก็ต้องพึ่งเสียงของทักษิณ ผมเชื่อว่าเป็นการทำความเข้าใจถึงสถานการณ์ร่วมกัน และเจรจากันอย่างเงียบๆ ว่าถ้าสมมติอุ๊งอิ๊งจำเป็นต้องออก ก้าวข้าม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไปได้เลย เพราะพรรคพลังประชารัฐมีเสียง สส. อยู่ 40 เสียง 20 กว่าเสียงอยู่กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เสียงของพรรคพลังประชารัฐมีจริงๆ ก็แค่ 10 กว่าเสียง ตีให้ตายชาติหน้า พล.อ.ปนระวิตร ก็เป็นนายกฯ ไม่ได้ คิวต่อไปก็เป็นอนุทิน ชาญวีรกูล ถ้าอนุทินเป็นนายกฯ แล้วไม่มีเสียงของทักษิณสนับสนุน ก็ไม่รู้จะทำยังไง นั่นคือที่มาของการกินข้าว คือการปูทางก่อน ทำความเข้าใจ ก่อนละครลิเกโรงใหญ่" นายสนธิ กล่าว . ทั้งนี้ หลายคนบอกว่าเหตุการณ์นี้จะเริ่มต้นช่วงต้นเดือน ธ.ค. 2567 แต่ตนเห็นว่าอย่างเร็วที่สุดต้นปี 2568 เพราะนายทักษิณอยากให้ น.ส.แพทองธาร ลากต่อไป จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้าย ถ้ายังอยู่ต่อต้องถูกศาลพิพากษาแน่ ถ้าลาออกตอนนี้แล้วเรื่องก็จบ ไม่มีแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญก็แทงเรื่องว่าจบ ปิดคดี เพราะคนที่ถูกกล่าวหาเป็นนายกฯ โดยมิชอบต้องลาออกแล้ว ข้อกล่าวหาก็ต้องตกไปเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนที่นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ กล่าวว่า กลางเดือนนี้จะมีนายกฯ คนนอก คือนายวีรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการ ธปท. ลูกชาย พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ตนดูการเมืองเมืองไทยกว่า 50 ปีแล้วยังดูไม่ออกเลย นายดนัยก็ดูไม่ออกแต่เชื่อ ทฤษฎีนายดนัยต้องฟังหูไว้หู ตนไม่ประหลาดใจว่ากลางเดือนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ที่แน่ๆ กระบวนการไล่ล่า น.ส.แพทองธารและนายทักษิณยังคงดำเนินต่อไป . ส่วนการที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. มาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ปกป้อง น.ส.แพทองธาร นั้น วันนี้กับสมัยก่อนไม่เหมือนกัน สมัยก่อนมีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ร่วมรบ แต่วันนี้ นายจตุพรเป็นศัตรูกับนายทักษิณ นายณัฐวุฒิเข้ามาให้สัมภาษณ์ไป โกหกทุกเรื่อง กระทั่งโซเชียลมีเดียตัดคลิปในอดีตออกมา นายณัฐวุฒิอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว ก็เอาคลิปเก่าที่เคยพูดเรื่องจำนำข้าวมาจี้นายณัฐวุฒิ สรุปแล้วเป็นนักการเมืองที่โกหกเก่งคนหนึ่ง ตนไม่เห็นว่านายณัฐวุฒิจะมาปกป้องอะไรนายกฯ ได้เลยแม้แต่นิดเดียว สรุปแล้วเดือนตุลาคมเป็นเดือนตุลาอาถรรพ์ และอาถรรพ์ถึงสิ้นปีนี้ ทั้งหมดถ้ามองย้อนหลังเป็นละคร ลิเกโรงใหญ่ ต่างฝ่ายต่างมีผลประโยชน์แลกกัน เป็นการจับมือสองฝ่ายที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน นายทักษิณทางเลือกมีน้อยมาก เหมือนหลังชนกำแพงแล้ว .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Wow
    21
    0 Comments 2 Shares 1591 Views 0 Reviews
  • ขาดประชุมเป็นอาจิน 'บิ๊กป้อม' ไม่หนีแต่ไม่มา ขอคืนเงินเดือนแทน
    .
    เหมือนจะดูดี แต่พอพิจารณาแล้วกลับกลายเป็นว่าเรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำ เรื่องที่ไม่ควรดันกลับทำ ภายหลังพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ส่งหนังสือถือสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแจ้งความประสงค์ว่าไม่ขอรับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง พร้อมกับเงินดังกล่าวที่รับมาแล้วจะนำส่งคืนให้ทั้งหมด
    .
    เหตุที่บอกว่าเรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำ เรื่องที่ไม่ควรดันกลับทำ เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดให้ส.ส.มีหน้าที่มาประชุมเพื่อพิจารณากฎหมายและตรวจสอบฝ่ายบริหารให้สมกับผู้แทนราษฎร เมื่อทำงานให้กับประเทศ จึงเป็นความชอบธรรมอยู่ในตัวที่ผู้แทนราษฎรสมควรได้รับเงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ เพื่อให้สามารถทำงานให้กับประชาชนได้เต็มที่โดยไม่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลัง แต่การที่พล.อ.ประวิตร ถูกตรวจสอบเรื่องการขาดประชุมมากจนผิดปกติแล้วใช้วิธีการไม่รับและคืนเงินเดือนส.ส. เพื่อหวังลดกระแสนั้น ดูเหมือนว่าจะดูแคลนสติปัญญาของประชาชนมากไปหน่อย
    .
    ในเรื่องนี้ นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพปชร. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรค พปชร. มีความประสงค์ขอไม่รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.67 ไปจนถึงวันสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
    .
    นายไพบูลย์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตรให้เหตุผลว่า การทำเช่นนี้เพื่อเป็นตัวอย่างให้ ส.ส.ที่มีภารกิจมากและอาจต้องลากิจกับสภาบ่อย จึงอาจใช้วิธีเช่นเดียวกันนี้เพื่อประหยัดงบประมาณแผ่นดินก็จะเป็นการดี นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตรยังระบุว่า ภูมิใจมากในฐานะที่ได้ดำรงตำแหน่ง ส.ส.และได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง และยืนยันว่าจะเดินทางไปสภาให้มากขึ้น และขอแจ้งให้ทราบว่า ในวันที่ 3 ต.ค.นี้ พล.อ.ประวิตรได้ยื่นหนังสือลาไว้แล้วเนื่องจากติดภารกิจสำคัญมาก
    ............
    Sondhi X
    ขาดประชุมเป็นอาจิน 'บิ๊กป้อม' ไม่หนีแต่ไม่มา ขอคืนเงินเดือนแทน . เหมือนจะดูดี แต่พอพิจารณาแล้วกลับกลายเป็นว่าเรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำ เรื่องที่ไม่ควรดันกลับทำ ภายหลังพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ส่งหนังสือถือสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแจ้งความประสงค์ว่าไม่ขอรับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง พร้อมกับเงินดังกล่าวที่รับมาแล้วจะนำส่งคืนให้ทั้งหมด . เหตุที่บอกว่าเรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำ เรื่องที่ไม่ควรดันกลับทำ เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดให้ส.ส.มีหน้าที่มาประชุมเพื่อพิจารณากฎหมายและตรวจสอบฝ่ายบริหารให้สมกับผู้แทนราษฎร เมื่อทำงานให้กับประเทศ จึงเป็นความชอบธรรมอยู่ในตัวที่ผู้แทนราษฎรสมควรได้รับเงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ เพื่อให้สามารถทำงานให้กับประชาชนได้เต็มที่โดยไม่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลัง แต่การที่พล.อ.ประวิตร ถูกตรวจสอบเรื่องการขาดประชุมมากจนผิดปกติแล้วใช้วิธีการไม่รับและคืนเงินเดือนส.ส. เพื่อหวังลดกระแสนั้น ดูเหมือนว่าจะดูแคลนสติปัญญาของประชาชนมากไปหน่อย . ในเรื่องนี้ นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพปชร. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรค พปชร. มีความประสงค์ขอไม่รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.67 ไปจนถึงวันสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) . นายไพบูลย์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตรให้เหตุผลว่า การทำเช่นนี้เพื่อเป็นตัวอย่างให้ ส.ส.ที่มีภารกิจมากและอาจต้องลากิจกับสภาบ่อย จึงอาจใช้วิธีเช่นเดียวกันนี้เพื่อประหยัดงบประมาณแผ่นดินก็จะเป็นการดี นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตรยังระบุว่า ภูมิใจมากในฐานะที่ได้ดำรงตำแหน่ง ส.ส.และได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง และยืนยันว่าจะเดินทางไปสภาให้มากขึ้น และขอแจ้งให้ทราบว่า ในวันที่ 3 ต.ค.นี้ พล.อ.ประวิตรได้ยื่นหนังสือลาไว้แล้วเนื่องจากติดภารกิจสำคัญมาก ............ Sondhi X
    Sad
    Like
    Angry
    4
    0 Comments 0 Shares 1043 Views 0 Reviews
  • พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ทำหนังสือถึงสภา ขอคืน‘เงินเดือน สส.’ตั้งแต่รับตำแหน่งและจะไม่รับเงินเดือนอีกต่อไป ตั้งใจให้เป็นตัวอย่างของ‘สส.’ที่ชอบลาประชุม แต่ต่อไปจากนี้จะไปสภาฯมากขึ้น

    1 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวแนวหน้าระบุว่าเมื่อ ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พปชร. พร้อมด้วยนายภัครธรณ์ เทียนไชย และ น.ส.กาญจนา จังหวะ รองเลขาธิการพรรค แถลงข่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค พปชร. มีความประสงค์ขอไม่รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.67 ไปจนถึงวันสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)

    นอกจากนี้ยังส่งได้ส่งหนังสือแจ้งความประสงค์ ขอคืนเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของ สส.ทั้งหมดที่ได้รับ ตั้งแต่เป็นสมาชิกภาพจนถึงวันที่ 30 ก.ย.67 โดยให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แจ้งจำนวนเงินทั้งหมดให้ทราบโดยเร็วเพื่อนำส่งคืนให้ครบถ้วน

    “พล.อ.ประวิตรให้เหตุผลว่า การทำเช่นนี้เพื่อเป็นตัวอย่างให้ สส.ที่มีภารกิจมาก และอาจต้องลากิจกับสภาฯ บ่อย จึงอาจใช้วิธีเช่นเดียวกันนี้เพื่อประหยัดงบประมาณแผ่นดินก็จะเป็นการดี นอกจากนี้พล.อ.ประวิตร ยังระบุว่าภูมิใจมากในฐานะที่ได้ดำรงตำแหน่ง สส.และได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง และยืนยันว่าจะเดินทางไปสภาฯ ให้มากขึ้น และขอแจ้งให้ทราบว่าในวันที่ 3 ต.ค.นี้ พล.อ.ประวิตรได้ยื่นหนังสือลาไว้แล้ว เนื่องจากติดภารกิจสำคัญมาก” นายไพบูลย์ กล่าว

    ด้าน ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่สภาฯว่า พล.อ.ประวิตร ได้ทำหนังสือถึงสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 2 ฉบับ แจ้งว่าจะไม่ขอรับเงินเดือน และเงินประจำตำแหน่งในการทำหน้าที่สส. นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปและอีกฉบับหนึ่งแจ้งว่า ในส่วนของเงินเดือนที่รับไปแล้ว นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งสส. จะขอคืนกลับมาให้ทั้งหมด ซึ่งหลังจากได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการแล้ว จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

    ที่มา : https://www.naewna.com/politic/832653

    #Thaitimes
    พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ทำหนังสือถึงสภา ขอคืน‘เงินเดือน สส.’ตั้งแต่รับตำแหน่งและจะไม่รับเงินเดือนอีกต่อไป ตั้งใจให้เป็นตัวอย่างของ‘สส.’ที่ชอบลาประชุม แต่ต่อไปจากนี้จะไปสภาฯมากขึ้น 1 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวแนวหน้าระบุว่าเมื่อ ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พปชร. พร้อมด้วยนายภัครธรณ์ เทียนไชย และ น.ส.กาญจนา จังหวะ รองเลขาธิการพรรค แถลงข่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค พปชร. มีความประสงค์ขอไม่รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.67 ไปจนถึงวันสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) นอกจากนี้ยังส่งได้ส่งหนังสือแจ้งความประสงค์ ขอคืนเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของ สส.ทั้งหมดที่ได้รับ ตั้งแต่เป็นสมาชิกภาพจนถึงวันที่ 30 ก.ย.67 โดยให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แจ้งจำนวนเงินทั้งหมดให้ทราบโดยเร็วเพื่อนำส่งคืนให้ครบถ้วน “พล.อ.ประวิตรให้เหตุผลว่า การทำเช่นนี้เพื่อเป็นตัวอย่างให้ สส.ที่มีภารกิจมาก และอาจต้องลากิจกับสภาฯ บ่อย จึงอาจใช้วิธีเช่นเดียวกันนี้เพื่อประหยัดงบประมาณแผ่นดินก็จะเป็นการดี นอกจากนี้พล.อ.ประวิตร ยังระบุว่าภูมิใจมากในฐานะที่ได้ดำรงตำแหน่ง สส.และได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง และยืนยันว่าจะเดินทางไปสภาฯ ให้มากขึ้น และขอแจ้งให้ทราบว่าในวันที่ 3 ต.ค.นี้ พล.อ.ประวิตรได้ยื่นหนังสือลาไว้แล้ว เนื่องจากติดภารกิจสำคัญมาก” นายไพบูลย์ กล่าว ด้าน ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่สภาฯว่า พล.อ.ประวิตร ได้ทำหนังสือถึงสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 2 ฉบับ แจ้งว่าจะไม่ขอรับเงินเดือน และเงินประจำตำแหน่งในการทำหน้าที่สส. นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปและอีกฉบับหนึ่งแจ้งว่า ในส่วนของเงินเดือนที่รับไปแล้ว นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งสส. จะขอคืนกลับมาให้ทั้งหมด ซึ่งหลังจากได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการแล้ว จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ที่มา : https://www.naewna.com/politic/832653 #Thaitimes
    Like
    Love
    9
    0 Comments 0 Shares 628 Views 0 Reviews
  • คณิตศาสตร์การเมือง สนามเลือกตั้งราชบุรี

    การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2567 นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา หรือกำนันตุ้ย อดีตนายก อบจ.ราชบุรี ได้ 242,297 คะแนน เอาชนะ นายชัยรัตน์ ศักดิ์อิสระพงศ์ หรือ หวุน ผู้สมัครจากพรรคประชาชน อดีตพรรคก้าวไกล ได้ 175,353 คะแนน ห่างกัน 66,944 คะแนน โดยมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 455,400 คน คิดเป็น 67.31% จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 676,526 คน มีบัตรดี 417,650 ใบ บัตรเสีย 16,500 ใบ และบัตรไม่เลือกผู้สมัครรายใด 21,250 ใบ คิดเป็น 4.67%

    เมื่อพิจารณาผลคะแนนเลือกตั้งแบบรายอำเภอทั้ง 10 อำเภอ พบว่านายชัยรัตน์มีคะแนนสูสีกับนายวิวัฒน์ในอำเภอเมืองราชบุรี นายชัยรัตน์ได้ 43,584 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 45,390 คะแนน ห่างกัน 1,806 คะแนน หรือ 3.98% และอำเภอสวนผึ้ง นายชัยรัตน์ได้ 7,468 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 8,027 คะแนน ห่างกัน 559 คะแนน หรือ 6.96% ส่วนอำเภอที่มีคะแนนห่างกันมากที่สุด คืออำเภอโพธาราม นายชัยรัตน์ได้ 27,833 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 46,354 คะแนน ห่างกัน 18,521 คะแนน หรือ 39.96%

    ถึงกระนั้น เมื่อเทียบกับผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2563 หรือเมื่อ 4 ปีก่อน พบว่า นายวิวัฒน์ได้ 241,952 คะแนน เทียบกับการเลือกตั้งครั้งนี้ เพิ่มขึ้น 345 คะแนน ส่วนนางภรมน นรการกุมพล ผู้สมัครจากคณะก้าวหน้าของนายธนาธร ได้ 74,929 คะแนน เทียบกับการเลือกตั้งครั้งนี้ เพิ่มขึ้น 100,424 คะแนน อันดับสาม นายอรรถพงศ์ ห้องริ้ว ผู้สมัครกลุ่ม New Gen ที่พรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุน ได้ 54,153 คะแนน

    เนื่องจากการเลือกตั้ง อบจ.ราชบุรีครั้งนี้ พรรคประชาชนและผู้สนับสนุนคนสำคัญลงพื้นที่ อาทิ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และ สส.พรรคคนอื่นๆ รวมทั้งสื่อมวลชนให้พื้นที่ข่าวนายชัยรัตน์ เปรียบได้กับสนามการเมืองระดับชาติ แต่นายวิวัฒน์แทบไม่มีพื้นที่ข่าวบนหน้าสื่อมวลชนเลย จึงต้องพิจารณาสนามเลือกตั้ง สส.ราชบุรี เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา

    แม้เก้าอี้ สส.แบบแบ่งเขตจะเป็นของพรรคพลังประชารัฐ 3 ที่นั่ง และพรรครวมไทยสร้างชาติ 2 ที่นั่ง แต่คะแนนบัตรเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) พบว่า พรรคก้าวไกลนำเป็นอันดับหนึ่ง รวม 5 เขตได้ไป 233,608 คะแนน ส่วนอันดับ 2 เป็นของพรรคเพื่อไทย แม้จะไม่ได้ สส. แต่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์มากถึง 102,757 คะแนน ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ 90,598 คะแนน และพรรคพลังประชารัฐ ได้ 10,192 คะแนน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คะแนนพรรคก้าวไกลหายไป 58,255 คะแนน

    นักการเมืองในพื้นที่ราชบุรีวิเคราะห์กันว่า คะแนนนิยมของนายชัยรัตน์และพรรคประชาชนช่วงแรก โดยเฉพาะหลังยุบพรรคก้าวไกลคะแนนดีมาก ทำให้ตระกูลนิติกาญจนาหวั่นไหวพอสมควร แต่ถูกโจมตีจากการปราศรัยพาดพิงโรงเรียนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ขณะที่หลายกลุ่มการเมืองในราชบุรีช่วยกันจับมือช่วยนายวิวัฒน์สู้กับพรรคประชาชน หลังพรรคก้าวไกลแม้ไม่ได้ สส.เขต แต่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์อันดับหนึ่ง จึงช่วยกันสกัดไม่ให้พรรคประชาชนแจ้งเกิดการเมืองท้องถิ่นที่นี่

    #Newskit #อบจราชบุรี #เลือกตั้งราชบุรี
    คณิตศาสตร์การเมือง สนามเลือกตั้งราชบุรี การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2567 นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา หรือกำนันตุ้ย อดีตนายก อบจ.ราชบุรี ได้ 242,297 คะแนน เอาชนะ นายชัยรัตน์ ศักดิ์อิสระพงศ์ หรือ หวุน ผู้สมัครจากพรรคประชาชน อดีตพรรคก้าวไกล ได้ 175,353 คะแนน ห่างกัน 66,944 คะแนน โดยมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 455,400 คน คิดเป็น 67.31% จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 676,526 คน มีบัตรดี 417,650 ใบ บัตรเสีย 16,500 ใบ และบัตรไม่เลือกผู้สมัครรายใด 21,250 ใบ คิดเป็น 4.67% เมื่อพิจารณาผลคะแนนเลือกตั้งแบบรายอำเภอทั้ง 10 อำเภอ พบว่านายชัยรัตน์มีคะแนนสูสีกับนายวิวัฒน์ในอำเภอเมืองราชบุรี นายชัยรัตน์ได้ 43,584 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 45,390 คะแนน ห่างกัน 1,806 คะแนน หรือ 3.98% และอำเภอสวนผึ้ง นายชัยรัตน์ได้ 7,468 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 8,027 คะแนน ห่างกัน 559 คะแนน หรือ 6.96% ส่วนอำเภอที่มีคะแนนห่างกันมากที่สุด คืออำเภอโพธาราม นายชัยรัตน์ได้ 27,833 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 46,354 คะแนน ห่างกัน 18,521 คะแนน หรือ 39.96% ถึงกระนั้น เมื่อเทียบกับผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2563 หรือเมื่อ 4 ปีก่อน พบว่า นายวิวัฒน์ได้ 241,952 คะแนน เทียบกับการเลือกตั้งครั้งนี้ เพิ่มขึ้น 345 คะแนน ส่วนนางภรมน นรการกุมพล ผู้สมัครจากคณะก้าวหน้าของนายธนาธร ได้ 74,929 คะแนน เทียบกับการเลือกตั้งครั้งนี้ เพิ่มขึ้น 100,424 คะแนน อันดับสาม นายอรรถพงศ์ ห้องริ้ว ผู้สมัครกลุ่ม New Gen ที่พรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุน ได้ 54,153 คะแนน เนื่องจากการเลือกตั้ง อบจ.ราชบุรีครั้งนี้ พรรคประชาชนและผู้สนับสนุนคนสำคัญลงพื้นที่ อาทิ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และ สส.พรรคคนอื่นๆ รวมทั้งสื่อมวลชนให้พื้นที่ข่าวนายชัยรัตน์ เปรียบได้กับสนามการเมืองระดับชาติ แต่นายวิวัฒน์แทบไม่มีพื้นที่ข่าวบนหน้าสื่อมวลชนเลย จึงต้องพิจารณาสนามเลือกตั้ง สส.ราชบุรี เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา แม้เก้าอี้ สส.แบบแบ่งเขตจะเป็นของพรรคพลังประชารัฐ 3 ที่นั่ง และพรรครวมไทยสร้างชาติ 2 ที่นั่ง แต่คะแนนบัตรเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) พบว่า พรรคก้าวไกลนำเป็นอันดับหนึ่ง รวม 5 เขตได้ไป 233,608 คะแนน ส่วนอันดับ 2 เป็นของพรรคเพื่อไทย แม้จะไม่ได้ สส. แต่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์มากถึง 102,757 คะแนน ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ 90,598 คะแนน และพรรคพลังประชารัฐ ได้ 10,192 คะแนน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คะแนนพรรคก้าวไกลหายไป 58,255 คะแนน นักการเมืองในพื้นที่ราชบุรีวิเคราะห์กันว่า คะแนนนิยมของนายชัยรัตน์และพรรคประชาชนช่วงแรก โดยเฉพาะหลังยุบพรรคก้าวไกลคะแนนดีมาก ทำให้ตระกูลนิติกาญจนาหวั่นไหวพอสมควร แต่ถูกโจมตีจากการปราศรัยพาดพิงโรงเรียนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ขณะที่หลายกลุ่มการเมืองในราชบุรีช่วยกันจับมือช่วยนายวิวัฒน์สู้กับพรรคประชาชน หลังพรรคก้าวไกลแม้ไม่ได้ สส.เขต แต่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์อันดับหนึ่ง จึงช่วยกันสกัดไม่ให้พรรคประชาชนแจ้งเกิดการเมืองท้องถิ่นที่นี่ #Newskit #อบจราชบุรี #เลือกตั้งราชบุรี
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 1144 Views 0 Reviews
More Results