• 11/3/68

    ภัยเงียบจาก "อาหารยอดฮิต" แค่ 1 ชิ้น อายุสั้นลง 36 นาที คนไทยกินแทบทุกวัน

    { กินอาหารไม่เป็น อายุลดลง }

    ผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐฯ เตือน "อาหารยอดฮิต" กินแค่ 1 ชิ้น อายุขัยสั้นลง 36 นาที เป็นเมนูโปรดคนไทยที่กินแทบทุกวัน

    การเลือกอาหารของคุณไม่เพียงแค่มีผลต่อสุขภาพปัจจุบันของคุณ แต่ยังมีผลต่ออายุขัยในอนาคตด้วย ดังนั้น ควรพิจารณาอย่างรอบคอบเมื่อกินอาหาร 6 อย่างนี้

    เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องว่า "โรคมาจากปาก" เพราะการเลือกอาหารของแต่ละคนไม่เพียงแค่ตอบสนองต่อรสชาติและให้พลังงานเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพและอายุขัยของคุณด้วย อาหารที่ดีและการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีและมีอายุยืนยาว ในขณะที่การมีนิสัยการกินที่ไม่ดีจะมีผลในทางตรงกันข้าม

    การวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนและมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก พบว่าอาหารบางประเภท "กิน" ชีวิตคุณได้อย่างรวดเร็ว แต่เป็นอาหารที่หลายคนชื่นชอบ ดร. โอลิเวียร์ โจลิเยต์ หัวหน้าผู้วิจัยกล่าวว่าอาหารที่อยู่ในอันดับต้นๆ ได้แก่ อาหารแปรรูปขั้นสูง (UFOs) ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือดและมะเร็ง 34 ชนิด รวมถึงปัญหาสุขภาพอื่นๆ

    1.ไส้กรอก: กิน 1 ชิ้นเท่ากับการตัดเวลาในชีวิตออกไป 36 นาที ไส้กรอกอยู่ในอันดับต้นๆ ของอาหารที่ทำให้ชีวิตสั้นลง ดร. ดาริน เดตไวเลอร์ (มหาวิทยาลัยมิชิแกน) อธิบายว่าเป็นเพราะเนื้อสัตว์แปรรูปประเภทนี้มีไขมัน ไนไตรต์และไนเตรตจำนวนมาก พร้อมทั้งอาจมีสารแต่งรสและสารกันบูด เมื่อกินมากขึ้น ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วน โรคหัวใจ และเบาหวาน การแปรรูปมักใช้ไขมันและน้ำมันจำนวนมาก โดยการใช้ความร้อนสูงอาจทำให้เกิดสารก่อมะเร็งบางประเภท

    2.แซนด์วิชเช้า: ลดอายุขัย 13 นาทีต่อมื้อ แซนด์วิชเช้าพร้อมทานอาจสะดวก แต่ถ้ากินเป็นประจำไม่ดีต่อสุขภาพ ขนมปังขาวเป็นแป้งที่ผ่านการขัดสี - ขนมปังที่ผลิตในปริมาณมากซึ่งมีแคลอรีที่ว่างเปล่าและสารเติมแต่งที่ไม่ดี สำหรับไข่, เนื้อสัตว์แปรรูป, ชีส และเนยในแซนด์วิชก็ทำให้ได้รับไขมันอิ่มตัวมากเกินไป

    3.น้ำอัดลม: ลดอายุขัย 12 นาทีต่อกระป๋อง ดร. โอลิเวียร์ โจลิเยต์เตือนว่าน้ำตาลที่เติมลงไปในเครื่องดื่มเป็น "ศัตรูที่ซ่อนอยู่" ในหลายๆ เครื่องดื่ม เช่น น้ำอัดลมหรือแม้แต่น้ำผลไม้บรรจุกระป๋อง/ขวด การดื่มน้ำอัดลม 355 มล. จะทำให้คุณสูญเสียเวลาไป 24 นาทีจากชีวิต แต่ถ้าคุณดื่มมันเป็นประจำตั้งแต่อายุยังน้อย ก็อาจทำให้ชีวิตสั้นลงเกือบปีภายในอายุ 55 ปี น้ำตาลไม่ได้ทำให้เกิดโรคอ้วนเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และมะเร็ง

    4.ขนมปังชีส: กิน 1 ชิ้นเท่ากับการตัดเวลาในชีวิต 9 นาที ขนมปังชีสโดยเฉพาะแบบที่ผลิตจำนวนมากและบรรจุหีบห่อไว้จะทำให้คุณสูญเสียเวลาไป 9 นาทีจากชีวิตทุกคำที่กัด ขนมปังชิ้นเล็กๆ หนักแค่ 150 กรัม หากขนมปังนั้นมีเนื้อหรือไส้กรอกและเสิร์ฟพร้อมชีส ก็จะยิ่งเพิ่มผลกระทบต่อสุขภาพและอายุขัย

    5.เบคอน: ลดเวลา 6 นาทีต่อการเสิร์ฟ ดร. ดาริน เดตไวเลอร์กล่าวว่าเบคอนมีเกลือและสารกันบูดมาก การบริโภคเบคอนเป็นประจำจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ การศึกษานี้พบว่าแค่การกินเบคอน 1 เสิร์ฟ (ประมาณ 15-20 กรัม) ก็สามารถทำให้ลดอายุขัยลง 26 นาที
    cr:sanook.com
    https://www.sanook.com/news/9672670/
    #ฐิติพรก้อนแก้วข้อมูลพลิกชีวิต
    #ฐิติพรก้อนแก้วกินอาหารเป็นไม่ต้องกินยา
    20 ธันวาคม 2567
    #เพจสุขภาพและความงามโดยเยาว์
    11/3/68 ภัยเงียบจาก "อาหารยอดฮิต" แค่ 1 ชิ้น อายุสั้นลง 36 นาที คนไทยกินแทบทุกวัน { กินอาหารไม่เป็น อายุลดลง } ผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐฯ เตือน "อาหารยอดฮิต" กินแค่ 1 ชิ้น อายุขัยสั้นลง 36 นาที เป็นเมนูโปรดคนไทยที่กินแทบทุกวัน การเลือกอาหารของคุณไม่เพียงแค่มีผลต่อสุขภาพปัจจุบันของคุณ แต่ยังมีผลต่ออายุขัยในอนาคตด้วย ดังนั้น ควรพิจารณาอย่างรอบคอบเมื่อกินอาหาร 6 อย่างนี้ เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องว่า "โรคมาจากปาก" เพราะการเลือกอาหารของแต่ละคนไม่เพียงแค่ตอบสนองต่อรสชาติและให้พลังงานเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพและอายุขัยของคุณด้วย อาหารที่ดีและการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีและมีอายุยืนยาว ในขณะที่การมีนิสัยการกินที่ไม่ดีจะมีผลในทางตรงกันข้าม การวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนและมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก พบว่าอาหารบางประเภท "กิน" ชีวิตคุณได้อย่างรวดเร็ว แต่เป็นอาหารที่หลายคนชื่นชอบ ดร. โอลิเวียร์ โจลิเยต์ หัวหน้าผู้วิจัยกล่าวว่าอาหารที่อยู่ในอันดับต้นๆ ได้แก่ อาหารแปรรูปขั้นสูง (UFOs) ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือดและมะเร็ง 34 ชนิด รวมถึงปัญหาสุขภาพอื่นๆ 1.ไส้กรอก: กิน 1 ชิ้นเท่ากับการตัดเวลาในชีวิตออกไป 36 นาที ไส้กรอกอยู่ในอันดับต้นๆ ของอาหารที่ทำให้ชีวิตสั้นลง ดร. ดาริน เดตไวเลอร์ (มหาวิทยาลัยมิชิแกน) อธิบายว่าเป็นเพราะเนื้อสัตว์แปรรูปประเภทนี้มีไขมัน ไนไตรต์และไนเตรตจำนวนมาก พร้อมทั้งอาจมีสารแต่งรสและสารกันบูด เมื่อกินมากขึ้น ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วน โรคหัวใจ และเบาหวาน การแปรรูปมักใช้ไขมันและน้ำมันจำนวนมาก โดยการใช้ความร้อนสูงอาจทำให้เกิดสารก่อมะเร็งบางประเภท 2.แซนด์วิชเช้า: ลดอายุขัย 13 นาทีต่อมื้อ แซนด์วิชเช้าพร้อมทานอาจสะดวก แต่ถ้ากินเป็นประจำไม่ดีต่อสุขภาพ ขนมปังขาวเป็นแป้งที่ผ่านการขัดสี - ขนมปังที่ผลิตในปริมาณมากซึ่งมีแคลอรีที่ว่างเปล่าและสารเติมแต่งที่ไม่ดี สำหรับไข่, เนื้อสัตว์แปรรูป, ชีส และเนยในแซนด์วิชก็ทำให้ได้รับไขมันอิ่มตัวมากเกินไป 3.น้ำอัดลม: ลดอายุขัย 12 นาทีต่อกระป๋อง ดร. โอลิเวียร์ โจลิเยต์เตือนว่าน้ำตาลที่เติมลงไปในเครื่องดื่มเป็น "ศัตรูที่ซ่อนอยู่" ในหลายๆ เครื่องดื่ม เช่น น้ำอัดลมหรือแม้แต่น้ำผลไม้บรรจุกระป๋อง/ขวด การดื่มน้ำอัดลม 355 มล. จะทำให้คุณสูญเสียเวลาไป 24 นาทีจากชีวิต แต่ถ้าคุณดื่มมันเป็นประจำตั้งแต่อายุยังน้อย ก็อาจทำให้ชีวิตสั้นลงเกือบปีภายในอายุ 55 ปี น้ำตาลไม่ได้ทำให้เกิดโรคอ้วนเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และมะเร็ง 4.ขนมปังชีส: กิน 1 ชิ้นเท่ากับการตัดเวลาในชีวิต 9 นาที ขนมปังชีสโดยเฉพาะแบบที่ผลิตจำนวนมากและบรรจุหีบห่อไว้จะทำให้คุณสูญเสียเวลาไป 9 นาทีจากชีวิตทุกคำที่กัด ขนมปังชิ้นเล็กๆ หนักแค่ 150 กรัม หากขนมปังนั้นมีเนื้อหรือไส้กรอกและเสิร์ฟพร้อมชีส ก็จะยิ่งเพิ่มผลกระทบต่อสุขภาพและอายุขัย 5.เบคอน: ลดเวลา 6 นาทีต่อการเสิร์ฟ ดร. ดาริน เดตไวเลอร์กล่าวว่าเบคอนมีเกลือและสารกันบูดมาก การบริโภคเบคอนเป็นประจำจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ การศึกษานี้พบว่าแค่การกินเบคอน 1 เสิร์ฟ (ประมาณ 15-20 กรัม) ก็สามารถทำให้ลดอายุขัยลง 26 นาที cr:sanook.com https://www.sanook.com/news/9672670/ #ฐิติพรก้อนแก้วข้อมูลพลิกชีวิต #ฐิติพรก้อนแก้วกินอาหารเป็นไม่ต้องกินยา 20 ธันวาคม 2567 #เพจสุขภาพและความงามโดยเยาว์
    WWW.SANOOK.COM
    ภัยเงียบจาก "อาหารยอดฮิต" แค่ 1 ชิ้น อายุสั้นลง 36 นาที คนไทยกินแทบทุกวัน
    ผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐฯ เตือน "อาหารยอดฮิต" กินแค่ 1 ชิ้น อายุขัยสั้นลง 36 นาที เป็นเมนูโปรดคนไทยที่กินแทบทุกวัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้องการขายทีส่วนผลไม้ทุเรียนมงคุตมะปราง
    ต้องการขายทีส่วนผลไม้ทุเรียนมงคุตมะปราง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • จะให้ปลูกกล้วยอย่างเดียวเพื่อ ไม่ส่งเสริมให้ทำเกษตรทฤษฎีใหม่แล้วหรือ คือปลูกพืชกินได้หลายชนิด ผัก-ผลไม้ อินทรีย์ ที่ผมกำลังทุ่มทำปลูกไว้หน้าบ้านไปแล้วหลายชนิดนะครับ
    จะให้ปลูกกล้วยอย่างเดียวเพื่อ ไม่ส่งเสริมให้ทำเกษตรทฤษฎีใหม่แล้วหรือ คือปลูกพืชกินได้หลายชนิด ผัก-ผลไม้ อินทรีย์ ที่ผมกำลังทุ่มทำปลูกไว้หน้าบ้านไปแล้วหลายชนิดนะครับ
    พิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ตอบกระทู้ถามสดปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ผุดไอเดียให้ชาวนาปลูกกล้วยแทนข้าว อ้างญี่ปุ่นต้องการกล้วยนับล้านตันต่อปี โวปลูกแล้วได้ผลตอบแทนหลักแสนบาทต่อไร่ อีกด้านเตรียมไปคุยกับอินเดียและเวียดนาม ร้องขอไม่ให้เกิดการแข่งขันเพื่อช่วยเกษตรกร

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000021788

    #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาหากใครได้ขับรถไปทางเส้นสุขุมวิท บริเวณจุดเชื่อมต่อระยอง – จันทบุรี เราอาจได้เห็นล้งทุเรียนมากมายริมถนนสุขุมวิท และยิ่งใครได้เดินทางมาช่วงมีนาคม – เมษายน ก็จะได้สัมผัสประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยรถขนทุเรียนรายล้อม ล้งทุเรียนที่คึกคักตลอดวันตลอดคืน หรือแม้แต่การชิงตัดราคากันบนถนนระหว่างรถจอดติดไฟแดงเอง ก็เป็นเหตุการณ์ที่คนในพื้นที่คุ้นเคยกันดี หรือหลายคนอาจจะเคยได้ยินอย่างอาชีพคนวิ่งทุเรียนย้อนกลับไปก่อนการเฟื่องฟูของล้งทุเรียนที่หมายถึงพ่อค้าคนกลางที่เป็นเหมือนโรงคัดแยกและบรรจุทุเรียนเพื่อส่งไปขายต่อ จริงๆ แล้ว ‘ล้ง’ นั้นถูกใช้งานกับการเป็นพ่อค้าคนกลางสำหรับผลไม้ประเภทอื่นๆ ด้วยจากข้อมูลในรายงานศึกษา ได้ชี้ให้เห็นตัวเลขว่า ก่อนปี พ.ศ. 2550 ทุเรียนส่วนใหญ่ยังเน้นบริโภคในประเทศ โดยส่งออกน้อยกว่า 30% ของผลผลิตทั้งหมด แต่หลังปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา เมื่อเริ่มมีความต้องการจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ทำให้ล้งเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยแรกเริ่มมีล้งของคนไทย ล้งของคนจีน และล้งของคนเวียดนาม จนกระทั่งตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 70% ของผลผลิตทั้งหมด นำไปสู่การเปลี่ยนวิถีการขายทุเรียนที่เน้นเหมาสวนส่งให้ล้ง มีนายหน้าตกลงราคาก่อนผลผลิตจะออกผลและส่งขายโดยข้อมูลในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 กองพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าพืช กรมวิชาการเกษตร ได้แสดงสถิติไว้ว่า ล้งที่ส่งออกไปขายที่จีนทั่วประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น 2,122 ราย หากสโคปลงมาที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออกแบ่งเป็น จันทบุรี 909 ราย ระยอง 50 ราย และตราด 29 ราย รวมเป็น 988 ราย หรือคิดเป็น 42.84% ของจำนวนล้งทั้งประเทศแต่นี่เป็นเพียงตัวเลขที่มีการขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานรัฐเท่านั้น เพราะตามรายงานศึกษาของ Land Watch และ EEC Watch พบว่า ในการรายงานข่าวจากสำนักข่าว ThaiPBS ได้ลงพื้นที่สอบถามเจ้าของสวนทุเรียน และพบว่าจำนวนล้งใน 3 จังหวัด จันทบุรี ระยอง ตราด นั้นมีมากกว่า 1,200 ล้งในรายงานศึกษายังได้อธิบายรูปแบบการทำธุรกิจของล้ง โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบ คือ ล้งจีน ล้งไทย และล้งไทยที่มีการร่วมทุนกับต่างชาติ (ซึ่งก็คือจีน) โดยในรูปแบบที่เป็นการร่วมทุน จะมาในลักษณะของ ทุนต่างชาติเป็นผู้ลงเงิน ส่วนคนไทยจะเป็นคนจัดหาลูกทุเรียน และจัดการเรื่องส่งออกโดยข้อมูลจากแหล่งข้อมูลในพื้นที่กรณีศึกษา พบว่า ล้งที่เป็นการร่วมทุนจะตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอเขาคิชกูฏ จ.จันทบุรี ในขณะที่ล้งจีน 100% จะพบได้ที่อำเภอท่าใหม่ และอำเภอนายายอาม จังหวัดจันทบุรี โดยใช้ทุนหมุนเวียนวันละไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท โดยใน 3 จังหวัดภาคตะวันออกมีการคาดการณ์ว่ามีล้งจีนกว่า 600 ล้ง ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร แต่ก็ยังมีที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกมากเช่นกันในขณะที่ล้งไทยส่วนใหญ่ จะเป็นคนมีตำแหน่งอย่างผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนัน โดยจะเป็นพ่อค้าคนกลางส่งต่อให้กับบริษัทส่งออกของจีนอีกทอดหนึ่ง และมักใช้วิธีการซื้อผ่านการ ‘เกี๊ยว’ หรือมัดจำเอาไว้กับสวนทุเรียนตั้งแต่ช่วงออกดอกหรือที่เรียกว่าช่วง หางแย้ โดยอาศัยความเป็นคนในพื้นที่ในการมีข้อมูลว่าบ้านไหนทำสวน และล้งไทยจะต้องหาให้ได้ตามดีลที่มักนับหน่วยเป็นเต็ม 1 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 18 ตันปัจจุบันจากรายงานข่าวของ ThaiPBS ในเดือนมีนาคม 2567 พบว่าในจังหวัดจันทบุรีมีล้งไทยเหลือไม่ถึง 10% ของจำนวนล้งในจันทบุรี ส่วนใหญ่ได้ผันตัวเป็นล้งที่ร่วมทุนระหว่างไทย-จีน ไปแล้วแต่ดูเหมือนว่าแม้ล้งจะเป็นผู้กำหนดราคาคนสำคัญ แต่ทุนจีนมองการณ์ไกลกว่านั้น โดยเริ่มทำล้งที่มีสวนทุเรียนไปด้วยนั่นเอง‘เขา’ มาซื้อสวนทุเรียนจากปลายน้ำอย่างการรับซื้อผลทุเรียน สู่กลางน้ำที่เป็นพ่อค้าคนกลางเองในการเป็นล้ง การทำธุรกิจทุเรียนของจีนได้รุกคืบเข้ามาในอุตสาหกรรมทุเรียนของไทยสู่ต้นน้ำ หรือคือการเป็นผู้ผลิตเสียเอง โดยเริ่มมีการครอบครองสวนทุเรียนโดยทุนจีน ซึ่งจากรายงานศึกษานี้พบว่ากลุ่มทุนจีนที่มาทำธุรกิจล้งทุเรียนมักเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่มาซื้อสวนทุเรียนและทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะมีผลผลิตสำหรับการส่งออกที่เพียงพอ แต่อีกเหตุผลที่สำคัญกว่าก็คือการทำกำไรมหาศาล เนื่องจากสามารถกำหนดราคาได้เอง และควบคุมตลาดได้เบ็ดเสร็จโดยในรายงานศึกษาได้นำเสนอวิธีการครอบครองที่ดินของทุนจีน โดยพื้นที่ที่ทุนจีนเล็งไว้มักมีลักษณะที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำเนื่องจากทุเรียนต้องใช้น้ำจำนวนมากในการดูแล นอกจากนี้ทุนจีนมักไม่สนใจที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์เนื่องจากมีราคาสูง แต่มักเลือกที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เช่นในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติซึ่งการเริ่มต้นเข้าไปครอบครองทำสวนทุเรียนจะเริ่มจากมีนายหน้าคนไทยที่คอยเป็นนอมินีให้ทุนจีนโพสต์ตามหาที่ดินตามกบุ่มซื้อ-ขายที่ดินในโซเชียลมีเดีย และมีนายหน้าคนไทยเข้ามาคอมเมนต์เสนอขายที่ดิน ซึ่งนายหน้าที่มาขายที่ดินส่วนใหญ่ก็มักเป็นผู้นำชุมชน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนันที่รู้จักพื้นที่เป็นอย่างดีหลังจากได้ข้อมูลที่ดินก็จะมีการนัดแนะ และคนจีนจะเข้าไปดูพื้นที่และตัดสินใจด้วยตัวเองทันทีไม่ผ่านนายหน้า โดยมีข้อสังเกตว่าบางครั้งในการซื้อขายบนโซเชียลมีเดียเอง ก็อาจเป็นคนจีนที่ใช้แอคเคาต์อวตารเป็นคนไทยเพื่อลดค่าใช้จ่ายผ่านนายหน้า ซึ่งที่ดินที่ทุนจีนสนใจมักเป็นสวนที่ต้นทุเรียนให้ผลผลิตแล้ว หลังจากถูกใจในที่ดินก็มีการตกลงซื้อขาย ทำสัญญาเป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษ มีทนายมาร่วมในกระบวนการ โดยจะดำเนินการทำสัญญาที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน และมีผู้ใหญ่บ้านเป็นพยาน เพื่อเป็นหลักประกันว่าที่ดินนี้เชื่อถือได้ โดยผู้ใหญ่บ้านก็จะได้รับเงินในการทำสัญญาครั้งละ 3,000 – 5,000 บาทhttps://epigramnews.co/environment/cross-border-land-acquisition-by-chinese-capital/
    ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาหากใครได้ขับรถไปทางเส้นสุขุมวิท บริเวณจุดเชื่อมต่อระยอง – จันทบุรี เราอาจได้เห็นล้งทุเรียนมากมายริมถนนสุขุมวิท และยิ่งใครได้เดินทางมาช่วงมีนาคม – เมษายน ก็จะได้สัมผัสประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยรถขนทุเรียนรายล้อม ล้งทุเรียนที่คึกคักตลอดวันตลอดคืน หรือแม้แต่การชิงตัดราคากันบนถนนระหว่างรถจอดติดไฟแดงเอง ก็เป็นเหตุการณ์ที่คนในพื้นที่คุ้นเคยกันดี หรือหลายคนอาจจะเคยได้ยินอย่างอาชีพคนวิ่งทุเรียนย้อนกลับไปก่อนการเฟื่องฟูของล้งทุเรียนที่หมายถึงพ่อค้าคนกลางที่เป็นเหมือนโรงคัดแยกและบรรจุทุเรียนเพื่อส่งไปขายต่อ จริงๆ แล้ว ‘ล้ง’ นั้นถูกใช้งานกับการเป็นพ่อค้าคนกลางสำหรับผลไม้ประเภทอื่นๆ ด้วยจากข้อมูลในรายงานศึกษา ได้ชี้ให้เห็นตัวเลขว่า ก่อนปี พ.ศ. 2550 ทุเรียนส่วนใหญ่ยังเน้นบริโภคในประเทศ โดยส่งออกน้อยกว่า 30% ของผลผลิตทั้งหมด แต่หลังปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา เมื่อเริ่มมีความต้องการจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ทำให้ล้งเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยแรกเริ่มมีล้งของคนไทย ล้งของคนจีน และล้งของคนเวียดนาม จนกระทั่งตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 70% ของผลผลิตทั้งหมด นำไปสู่การเปลี่ยนวิถีการขายทุเรียนที่เน้นเหมาสวนส่งให้ล้ง มีนายหน้าตกลงราคาก่อนผลผลิตจะออกผลและส่งขายโดยข้อมูลในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 กองพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าพืช กรมวิชาการเกษตร ได้แสดงสถิติไว้ว่า ล้งที่ส่งออกไปขายที่จีนทั่วประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น 2,122 ราย หากสโคปลงมาที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออกแบ่งเป็น จันทบุรี 909 ราย ระยอง 50 ราย และตราด 29 ราย รวมเป็น 988 ราย หรือคิดเป็น 42.84% ของจำนวนล้งทั้งประเทศแต่นี่เป็นเพียงตัวเลขที่มีการขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานรัฐเท่านั้น เพราะตามรายงานศึกษาของ Land Watch และ EEC Watch พบว่า ในการรายงานข่าวจากสำนักข่าว ThaiPBS ได้ลงพื้นที่สอบถามเจ้าของสวนทุเรียน และพบว่าจำนวนล้งใน 3 จังหวัด จันทบุรี ระยอง ตราด นั้นมีมากกว่า 1,200 ล้งในรายงานศึกษายังได้อธิบายรูปแบบการทำธุรกิจของล้ง โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบ คือ ล้งจีน ล้งไทย และล้งไทยที่มีการร่วมทุนกับต่างชาติ (ซึ่งก็คือจีน) โดยในรูปแบบที่เป็นการร่วมทุน จะมาในลักษณะของ ทุนต่างชาติเป็นผู้ลงเงิน ส่วนคนไทยจะเป็นคนจัดหาลูกทุเรียน และจัดการเรื่องส่งออกโดยข้อมูลจากแหล่งข้อมูลในพื้นที่กรณีศึกษา พบว่า ล้งที่เป็นการร่วมทุนจะตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอเขาคิชกูฏ จ.จันทบุรี ในขณะที่ล้งจีน 100% จะพบได้ที่อำเภอท่าใหม่ และอำเภอนายายอาม จังหวัดจันทบุรี โดยใช้ทุนหมุนเวียนวันละไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท โดยใน 3 จังหวัดภาคตะวันออกมีการคาดการณ์ว่ามีล้งจีนกว่า 600 ล้ง ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร แต่ก็ยังมีที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกมากเช่นกันในขณะที่ล้งไทยส่วนใหญ่ จะเป็นคนมีตำแหน่งอย่างผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนัน โดยจะเป็นพ่อค้าคนกลางส่งต่อให้กับบริษัทส่งออกของจีนอีกทอดหนึ่ง และมักใช้วิธีการซื้อผ่านการ ‘เกี๊ยว’ หรือมัดจำเอาไว้กับสวนทุเรียนตั้งแต่ช่วงออกดอกหรือที่เรียกว่าช่วง หางแย้ โดยอาศัยความเป็นคนในพื้นที่ในการมีข้อมูลว่าบ้านไหนทำสวน และล้งไทยจะต้องหาให้ได้ตามดีลที่มักนับหน่วยเป็นเต็ม 1 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 18 ตันปัจจุบันจากรายงานข่าวของ ThaiPBS ในเดือนมีนาคม 2567 พบว่าในจังหวัดจันทบุรีมีล้งไทยเหลือไม่ถึง 10% ของจำนวนล้งในจันทบุรี ส่วนใหญ่ได้ผันตัวเป็นล้งที่ร่วมทุนระหว่างไทย-จีน ไปแล้วแต่ดูเหมือนว่าแม้ล้งจะเป็นผู้กำหนดราคาคนสำคัญ แต่ทุนจีนมองการณ์ไกลกว่านั้น โดยเริ่มทำล้งที่มีสวนทุเรียนไปด้วยนั่นเอง‘เขา’ มาซื้อสวนทุเรียนจากปลายน้ำอย่างการรับซื้อผลทุเรียน สู่กลางน้ำที่เป็นพ่อค้าคนกลางเองในการเป็นล้ง การทำธุรกิจทุเรียนของจีนได้รุกคืบเข้ามาในอุตสาหกรรมทุเรียนของไทยสู่ต้นน้ำ หรือคือการเป็นผู้ผลิตเสียเอง โดยเริ่มมีการครอบครองสวนทุเรียนโดยทุนจีน ซึ่งจากรายงานศึกษานี้พบว่ากลุ่มทุนจีนที่มาทำธุรกิจล้งทุเรียนมักเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่มาซื้อสวนทุเรียนและทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะมีผลผลิตสำหรับการส่งออกที่เพียงพอ แต่อีกเหตุผลที่สำคัญกว่าก็คือการทำกำไรมหาศาล เนื่องจากสามารถกำหนดราคาได้เอง และควบคุมตลาดได้เบ็ดเสร็จโดยในรายงานศึกษาได้นำเสนอวิธีการครอบครองที่ดินของทุนจีน โดยพื้นที่ที่ทุนจีนเล็งไว้มักมีลักษณะที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำเนื่องจากทุเรียนต้องใช้น้ำจำนวนมากในการดูแล นอกจากนี้ทุนจีนมักไม่สนใจที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์เนื่องจากมีราคาสูง แต่มักเลือกที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เช่นในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติซึ่งการเริ่มต้นเข้าไปครอบครองทำสวนทุเรียนจะเริ่มจากมีนายหน้าคนไทยที่คอยเป็นนอมินีให้ทุนจีนโพสต์ตามหาที่ดินตามกบุ่มซื้อ-ขายที่ดินในโซเชียลมีเดีย และมีนายหน้าคนไทยเข้ามาคอมเมนต์เสนอขายที่ดิน ซึ่งนายหน้าที่มาขายที่ดินส่วนใหญ่ก็มักเป็นผู้นำชุมชน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนันที่รู้จักพื้นที่เป็นอย่างดีหลังจากได้ข้อมูลที่ดินก็จะมีการนัดแนะ และคนจีนจะเข้าไปดูพื้นที่และตัดสินใจด้วยตัวเองทันทีไม่ผ่านนายหน้า โดยมีข้อสังเกตว่าบางครั้งในการซื้อขายบนโซเชียลมีเดียเอง ก็อาจเป็นคนจีนที่ใช้แอคเคาต์อวตารเป็นคนไทยเพื่อลดค่าใช้จ่ายผ่านนายหน้า ซึ่งที่ดินที่ทุนจีนสนใจมักเป็นสวนที่ต้นทุเรียนให้ผลผลิตแล้ว หลังจากถูกใจในที่ดินก็มีการตกลงซื้อขาย ทำสัญญาเป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษ มีทนายมาร่วมในกระบวนการ โดยจะดำเนินการทำสัญญาที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน และมีผู้ใหญ่บ้านเป็นพยาน เพื่อเป็นหลักประกันว่าที่ดินนี้เชื่อถือได้ โดยผู้ใหญ่บ้านก็จะได้รับเงินในการทำสัญญาครั้งละ 3,000 – 5,000 บาทhttps://epigramnews.co/environment/cross-border-land-acquisition-by-chinese-capital/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📣 ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี❓️มันยาวนะ แต่อ่านจบแล้วจะรู้คำตอบ

    👉ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี เป็นข้อความที่ยั่วยุให้คนไทยเปิดอ่านหนังสือชื่อนี้ ซึ่งฟังแปลกหูและแปลกใหม่

    คนญี่ปุ่นก็เป็นเช่นเดียวกันเพราะเป็นหนังสือยอดฮิตในประเทศนั้น โดยมีเนื้อหาปลุกเร้าให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและต่อกระเป๋า

    หนังสือ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” แปลจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งผู้เขียนคือนายแพทย์โยะชิ โนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo) ผู้แปลคือคุณพิมพ์รัก สุขสวัสดิ์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น

    ปิยมิตรของผมคนหนึ่งคือ คุณอดิศร ธรรมาพฤทธิ นักธุรกิจใหญ่แนวหน้าของไทยในเรื่องการหล่อโลหะ ได้ซื้อหนังสือเล่มนี้เป็นร้อยเล่มเพื่อแจกเพื่อนๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังได้เขียนสรุปเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้และโพสต์ออนไลน์เมื่อเร็วๆ นี้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณชน ผมขอนำเอาสิ่งที่คุณอดิศรเขียนไว้มานำเสนอดังต่อไปนี้

    “ผู้เขียนเป็นนายแพทย์และเป็นผู้อำนวยการใหญ่ในโรงพยาบาลสี่แห่งในญี่ปุ่น เป็นนักเขียนชื่อดังในญี่ปุ่น และเป็นแขกประจำรายการทีวีหลายรายการ เป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Anti-Aging Medicine World Congress ผู้เขียนค้นพบวิธีการลดน้ำหนักด้วยการทานเหลือวันละมื้อ และพบว่าความหิวเป็นกระบวนการที่ทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอด้วยยีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา

    คุณหมอบอกว่า “...สิ่งที่ผมมุ่งหวังคือการวางแผนสำหรับชีวิตที่มีอายุยืนถึงหนึ่งร้อยปี โดยยังมีหน้าท้องที่แบนราบและมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนเยาว์ บางคนบอกว่าไม่อยากอายุยืนขนาดนั้น... แต่คนที่พูดแบบนั้นพอถึงคราวเจ็บป่วยก็รีบวิ่งโร่มาหาหมอทุกราย …เมื่อเข้าสู่วัยชรา ทุกวันจะมีแต่ความทุกข์ทรมาน ซึ่งเป็นผลจากการละเลยสุขภาพ.... …ผมว่าต้องเลือกแล้วละว่า จะใช้เวลานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแล้วทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน หรือจะมีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรง มีกำลังวังชา รูปลักษณ์ภายนอกดูอ่อนเยาว์จนถึงวาระสุดท้าย แล้วจากไปอย่างสง่างาม…”

    ในบทนำมีการเกริ่นว่าผู้เขียนเริ่มทานอาหารเหลือวันละมื้อเมื่ออายุ 45 ปีเพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ ผ่านไปสิบปีเมื่อเขาไปตรวจร่างกายพบว่าอายุหลอดเลือดของเขาเท่ากับคนอายุ 26 ปี

    เขาเล่าว่ามนุษย์ในอดีตไม่ได้มีกินอุดมสมบูรณ์โดยกินสามมื้อเหมือนปัจจุบันนี้ ในอดีตเรากินวันละมื้อก็บุญแล้ว ดังนั้น ร่างกายเราจึงมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง เมื่อเราหิวไม่มีกินเราจะมียีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ออกมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ ภายในร่างกาย ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา ซึ่งเจ้า Growth Hormone นี้ทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวมากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อการอยู่รอด

    ปัญหาก็คือ เมื่อร่างกายอิ่ม กลไกนี้ไม่เกิด เราจึงแก่ไปเรื่อยๆ สรุปง่ายๆ ก็คือ การกินมากไปคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ และที่สำคัญร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้กินอิ่ม เราจึงปรับตัวให้การกินอิ่มได้ไม่ดี ทำให้กระบวนการธรรมชาติของร่างกายเรารวนนั่นเอง

    ในเรื่องการกินวันละมื้อ ผู้เขียนได้แนะนำสิ่งที่เขาทำมาแล้วได้ผล เขาบอกว่าเขาเพลิดเพลินกับการที่ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ เพราะว่าเขารู้ว่าร่างกายเรากำลังซ่อมแซมและปรับตัวให้เยาว์วัยด้วยกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้น

    ในเชิงหลักการทางวิทยาศาสตร์เขาอธิบายดังนี้

    (1) ปากทางเข้าลำไส้เล็กจะมีเซนเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่ ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมาเสียที ลำไส้เล็กก็จะรีบหลั่งฮอร์โมนสำหรับย่อยอาหาร โมลิติน (Molitin) ออกมา ทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว เพื่อส่งของกินที่อาจจะตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก เรียกว่า “การบีบตัวเมื่อหิว” และเป็นตัวการที่แท้จริงของอาการท้องร้องจ๊อกๆ

    (2) เมื่อกระเพาะรู้ตัวว่าหิวจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกมา เกรลินจะถูกหลั่งออกมาจากเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งถูกกระตุ้นเพราะความหิว โดยจะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้เกิดความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่ง Growth Hormone ออกมา เจ้า Growth Hormone นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮอร์โมนที่ทำให้กลับไปเป็น หนุ่มสาว” นั่นหมายความว่าตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ เพราะหิว คุณจะค่อยๆ มีเสน่ห์ขึ้นจากฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว ถึงท้องจะร้องก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ให้มาลองเพลิดเพลินกับประสิทธิภาพของการกลับเป็นหนุ่มสาวที่ได้จาก Growth Hormone กันสักครู่หนึ่งก่อน

    (3) ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ นั้น ความสามารถในการอยู่รอดอันยอดเยี่ยมกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา นั่นก็คือ “ยีนเซอร์ทูอิน” ที่มีสมญาว่า “ยีนต่ออายุขัย” หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยีนที่ทำให้อายุยืน” กำลังทำงาน จากการทดลองกับสัตว์หลายชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า ทว่ายีนนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขบางประการ นั่นคือ “ความหิว” ตราบใดที่ท้องไม่ร้องจ๊อกเพราะหิว ยีนนี้ก็จะไม่ทำงาน ดังนั้นการกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิวจึงหมายถึงการมีของดีอยู่กับตัวแต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ มาทำให้ท้องร้องจ๊อกด้วยการกินอาหารวันละมื้อดีกว่า แล้วยีนเซอร์ทูอินนี้จะช่วยสแกนยีนในร่างกายอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งค่อยๆ ฟื้นฟูส่วนที่เสียหาย กล่าวกันว่าความแก่ชราและโรคมะเร็งก็มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน ดังนั้นเราสามารถทำให้กลับเป็นหนุ่มสาวและป้องกันโรคมะเร็งด้วยการกินอาหารวันละมื้อ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหิวแล้วอาหารยังตกไม่ถึงท้อง ร่างกายจะนำไขมันที่สะสมไว้ในช่องท้องมาเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ทำให้หน้าท้องแบนราบ

    นอกจากการกินวันละมื้อแล้ว ผู้เขียนมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมอีกว่าการนอนที่ดีคือนอนในช่วงร่างกายผลิต Growth Hormone ได้ดีที่สุดนั่นก็คือช่วงเวลาระหว่างสี่ทุ่มถึงตีสอง

    หลังอ่านจบผมมีความเห็นส่วนตัวว่าสิ่งที่จะทำคือ

    (1) รอให้ท้องร้องจ๊อกๆ บ่อยๆ เพื่อซ่อมแซมตัวเองและทำให้เยาว์วัยลง และ (2) ทานน้อยลง 60% ของแต่ละมื้อ.......”

    นอกจากที่คุณอดิศรเขียนแล้ว ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมและพบว่าเมื่อตอนคุณหมอ Nagumo มีอายุ 37 ปี เขาหนัก 77 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 57 ปี หนัก 62 กิโลกรัม ความดันโลหิตเท่ากับคนอายุ 26 ปี อายุมวลกระดูกเท่ากับคนอายุ 28 ปี และสมองมีอายุเท่ากับคนอายุ 38 ปี จากที่ดูรูปในอินเทอร์เน็ตถึงแม้ขณะนี้คุณหมออายุ 59 ปี แต่หน้าตาเหมือนไม่ถึง 40 ปี ด้วยซ้ำ

    คุณหมอพูดในโทรทัศน์ว่าแค่เริ่มต้นไม่กี่วันก็จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพแล้ว กลิ่นตัวจะหายไป ผิวหนังจะเนียนขึ้น หน้าท้องจะเรียบขึ้น รูปลักษณ์ของคนผอมจะเริ่มปรากฏ และจิตใจคึกคักขึ้นกว่าเก่า

    คุณหมอแนะนำให้ทำติดต่อกัน 52 วัน โดยกินอาหารวันละหนึ่งมื้อคือมื้อกลางวัน ในมื้อนี้อยากกินอะไรก็ตามใจตัวเองได้ หากหิวมากก็อาจเสริมด้วยผลไม้และอาหารเบาๆ ก่อนอาหารเย็น

    การกินอาหารน้อยลงมีประโยชน์อย่างแน่นอนเพราะมนุษย์เราโดยทั่วไปก็กินกันเกินพอดีอยู่แล้ว การทำตามคำแนะนำของคุณหมอแค่กินอาหารน้อยลง กินหลังจากที่ท้องร้องนานพอควร และหากแถมด้วยการเดินและออกกำลังกายก็ย่อมดีต่อสุขภาพ

    ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ

    ที่มา: คอลัมน์ "อาหารสมอง" | กรุงเทพธุรกิจ | 20 ม.ค. 58

    Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    📣 ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี❓️มันยาวนะ แต่อ่านจบแล้วจะรู้คำตอบ 👉ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี เป็นข้อความที่ยั่วยุให้คนไทยเปิดอ่านหนังสือชื่อนี้ ซึ่งฟังแปลกหูและแปลกใหม่ คนญี่ปุ่นก็เป็นเช่นเดียวกันเพราะเป็นหนังสือยอดฮิตในประเทศนั้น โดยมีเนื้อหาปลุกเร้าให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและต่อกระเป๋า หนังสือ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” แปลจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งผู้เขียนคือนายแพทย์โยะชิ โนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo) ผู้แปลคือคุณพิมพ์รัก สุขสวัสดิ์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น ปิยมิตรของผมคนหนึ่งคือ คุณอดิศร ธรรมาพฤทธิ นักธุรกิจใหญ่แนวหน้าของไทยในเรื่องการหล่อโลหะ ได้ซื้อหนังสือเล่มนี้เป็นร้อยเล่มเพื่อแจกเพื่อนๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังได้เขียนสรุปเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้และโพสต์ออนไลน์เมื่อเร็วๆ นี้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณชน ผมขอนำเอาสิ่งที่คุณอดิศรเขียนไว้มานำเสนอดังต่อไปนี้ “ผู้เขียนเป็นนายแพทย์และเป็นผู้อำนวยการใหญ่ในโรงพยาบาลสี่แห่งในญี่ปุ่น เป็นนักเขียนชื่อดังในญี่ปุ่น และเป็นแขกประจำรายการทีวีหลายรายการ เป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Anti-Aging Medicine World Congress ผู้เขียนค้นพบวิธีการลดน้ำหนักด้วยการทานเหลือวันละมื้อ และพบว่าความหิวเป็นกระบวนการที่ทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอด้วยยีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา คุณหมอบอกว่า “...สิ่งที่ผมมุ่งหวังคือการวางแผนสำหรับชีวิตที่มีอายุยืนถึงหนึ่งร้อยปี โดยยังมีหน้าท้องที่แบนราบและมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนเยาว์ บางคนบอกว่าไม่อยากอายุยืนขนาดนั้น... แต่คนที่พูดแบบนั้นพอถึงคราวเจ็บป่วยก็รีบวิ่งโร่มาหาหมอทุกราย …เมื่อเข้าสู่วัยชรา ทุกวันจะมีแต่ความทุกข์ทรมาน ซึ่งเป็นผลจากการละเลยสุขภาพ.... …ผมว่าต้องเลือกแล้วละว่า จะใช้เวลานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแล้วทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน หรือจะมีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรง มีกำลังวังชา รูปลักษณ์ภายนอกดูอ่อนเยาว์จนถึงวาระสุดท้าย แล้วจากไปอย่างสง่างาม…” ในบทนำมีการเกริ่นว่าผู้เขียนเริ่มทานอาหารเหลือวันละมื้อเมื่ออายุ 45 ปีเพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ ผ่านไปสิบปีเมื่อเขาไปตรวจร่างกายพบว่าอายุหลอดเลือดของเขาเท่ากับคนอายุ 26 ปี เขาเล่าว่ามนุษย์ในอดีตไม่ได้มีกินอุดมสมบูรณ์โดยกินสามมื้อเหมือนปัจจุบันนี้ ในอดีตเรากินวันละมื้อก็บุญแล้ว ดังนั้น ร่างกายเราจึงมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง เมื่อเราหิวไม่มีกินเราจะมียีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ออกมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ ภายในร่างกาย ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา ซึ่งเจ้า Growth Hormone นี้ทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวมากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อการอยู่รอด ปัญหาก็คือ เมื่อร่างกายอิ่ม กลไกนี้ไม่เกิด เราจึงแก่ไปเรื่อยๆ สรุปง่ายๆ ก็คือ การกินมากไปคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ และที่สำคัญร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้กินอิ่ม เราจึงปรับตัวให้การกินอิ่มได้ไม่ดี ทำให้กระบวนการธรรมชาติของร่างกายเรารวนนั่นเอง ในเรื่องการกินวันละมื้อ ผู้เขียนได้แนะนำสิ่งที่เขาทำมาแล้วได้ผล เขาบอกว่าเขาเพลิดเพลินกับการที่ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ เพราะว่าเขารู้ว่าร่างกายเรากำลังซ่อมแซมและปรับตัวให้เยาว์วัยด้วยกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้น ในเชิงหลักการทางวิทยาศาสตร์เขาอธิบายดังนี้ (1) ปากทางเข้าลำไส้เล็กจะมีเซนเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่ ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมาเสียที ลำไส้เล็กก็จะรีบหลั่งฮอร์โมนสำหรับย่อยอาหาร โมลิติน (Molitin) ออกมา ทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว เพื่อส่งของกินที่อาจจะตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก เรียกว่า “การบีบตัวเมื่อหิว” และเป็นตัวการที่แท้จริงของอาการท้องร้องจ๊อกๆ (2) เมื่อกระเพาะรู้ตัวว่าหิวจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกมา เกรลินจะถูกหลั่งออกมาจากเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งถูกกระตุ้นเพราะความหิว โดยจะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้เกิดความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่ง Growth Hormone ออกมา เจ้า Growth Hormone นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮอร์โมนที่ทำให้กลับไปเป็น หนุ่มสาว” นั่นหมายความว่าตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ เพราะหิว คุณจะค่อยๆ มีเสน่ห์ขึ้นจากฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว ถึงท้องจะร้องก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ให้มาลองเพลิดเพลินกับประสิทธิภาพของการกลับเป็นหนุ่มสาวที่ได้จาก Growth Hormone กันสักครู่หนึ่งก่อน (3) ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ นั้น ความสามารถในการอยู่รอดอันยอดเยี่ยมกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา นั่นก็คือ “ยีนเซอร์ทูอิน” ที่มีสมญาว่า “ยีนต่ออายุขัย” หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยีนที่ทำให้อายุยืน” กำลังทำงาน จากการทดลองกับสัตว์หลายชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า ทว่ายีนนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขบางประการ นั่นคือ “ความหิว” ตราบใดที่ท้องไม่ร้องจ๊อกเพราะหิว ยีนนี้ก็จะไม่ทำงาน ดังนั้นการกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิวจึงหมายถึงการมีของดีอยู่กับตัวแต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ มาทำให้ท้องร้องจ๊อกด้วยการกินอาหารวันละมื้อดีกว่า แล้วยีนเซอร์ทูอินนี้จะช่วยสแกนยีนในร่างกายอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งค่อยๆ ฟื้นฟูส่วนที่เสียหาย กล่าวกันว่าความแก่ชราและโรคมะเร็งก็มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน ดังนั้นเราสามารถทำให้กลับเป็นหนุ่มสาวและป้องกันโรคมะเร็งด้วยการกินอาหารวันละมื้อ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหิวแล้วอาหารยังตกไม่ถึงท้อง ร่างกายจะนำไขมันที่สะสมไว้ในช่องท้องมาเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ทำให้หน้าท้องแบนราบ นอกจากการกินวันละมื้อแล้ว ผู้เขียนมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมอีกว่าการนอนที่ดีคือนอนในช่วงร่างกายผลิต Growth Hormone ได้ดีที่สุดนั่นก็คือช่วงเวลาระหว่างสี่ทุ่มถึงตีสอง หลังอ่านจบผมมีความเห็นส่วนตัวว่าสิ่งที่จะทำคือ (1) รอให้ท้องร้องจ๊อกๆ บ่อยๆ เพื่อซ่อมแซมตัวเองและทำให้เยาว์วัยลง และ (2) ทานน้อยลง 60% ของแต่ละมื้อ.......” นอกจากที่คุณอดิศรเขียนแล้ว ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมและพบว่าเมื่อตอนคุณหมอ Nagumo มีอายุ 37 ปี เขาหนัก 77 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 57 ปี หนัก 62 กิโลกรัม ความดันโลหิตเท่ากับคนอายุ 26 ปี อายุมวลกระดูกเท่ากับคนอายุ 28 ปี และสมองมีอายุเท่ากับคนอายุ 38 ปี จากที่ดูรูปในอินเทอร์เน็ตถึงแม้ขณะนี้คุณหมออายุ 59 ปี แต่หน้าตาเหมือนไม่ถึง 40 ปี ด้วยซ้ำ คุณหมอพูดในโทรทัศน์ว่าแค่เริ่มต้นไม่กี่วันก็จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพแล้ว กลิ่นตัวจะหายไป ผิวหนังจะเนียนขึ้น หน้าท้องจะเรียบขึ้น รูปลักษณ์ของคนผอมจะเริ่มปรากฏ และจิตใจคึกคักขึ้นกว่าเก่า คุณหมอแนะนำให้ทำติดต่อกัน 52 วัน โดยกินอาหารวันละหนึ่งมื้อคือมื้อกลางวัน ในมื้อนี้อยากกินอะไรก็ตามใจตัวเองได้ หากหิวมากก็อาจเสริมด้วยผลไม้และอาหารเบาๆ ก่อนอาหารเย็น การกินอาหารน้อยลงมีประโยชน์อย่างแน่นอนเพราะมนุษย์เราโดยทั่วไปก็กินกันเกินพอดีอยู่แล้ว การทำตามคำแนะนำของคุณหมอแค่กินอาหารน้อยลง กินหลังจากที่ท้องร้องนานพอควร และหากแถมด้วยการเดินและออกกำลังกายก็ย่อมดีต่อสุขภาพ ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ที่มา: คอลัมน์ "อาหารสมอง" | กรุงเทพธุรกิจ | 20 ม.ค. 58 Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • .......📌#ว่าด้วยเรื่องหัวไชเท้า.........
    .........................................
    ใครที่ชอบ ทาน หัวไชเท้า เป็นชีวิตจิตใจ ได้โปรดอ่านให้ละเอียดเลย

    เมื่อทานผักผลไม้และสมุนไพรได้ อาหารเสริมจึงไม่ได้มีความจำเป็นอีกต่อไป เพราะอาหารเสริมก็สกัดมาจากพืชผัก ผลไม้และสมุนไพรเช่นเดียวกัน ตามคำนิยามที่ว่า ทานอาหารเป็นยานั่นเอง

    สำหรับหัวไชเท้านี้เป็นอาหารทางการแพทย์ที่มีมากเป็นอันดับสองของโลก เป็นผักตระกูลกระหล่ำ ความพิเศษและแตกต่างจากไม้ตระกูลกะหล่ำที่เหลือคือ หัวไชเท้ามีองค์ประกอบสองส่วน คือมีรากและหัวไชเท้าช่วยเติมเต็มระบบภูมิคุ้มกัน

    เมื่อเราทานเข้าไป กำมะถันที่มีอยู่ในหัวไชเท้าจะขับไล่เชื้อโรคทุกชนิดและทำหน้าที่เป็นมูลไส้เดือน มันจะช่วยฆ่าหนอนพยาธิในลำไส้และปรสิตอื่น ๆ ทั้งหมดได้อีกด้วย

    หัวไชเท้ามีส่วนประกอบของ ออร์กาโนซัลเฟอร์ช่วยให้หลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำสะอาดและสร้างเกราะป้องกันในตัวเพื่อป้องกันไม่ให้คราบจุลินทรีย์เกาะติดกับเยื่อบุ

    หัวไชเท้าช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยป้องกันโรคหัวใจและปัญหาหลอดเลือดหัวใจอื่น ๆ ได้ดี เพราะหัวไชเท้าช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอล ชนิดที่ดี และลดคอเลสเตอรอล ชนิดที่ไม่ดี

    หัวไชเท้าช่วยขับไล่มะเร็งได้เกือบทุกชนิด เพราะสามารถฟื้นฟูไต ตับ ตับอ่อน และม้ามได้เป็นอย่างดี

    ใบของหัวไชเท้าไม่ต้องทิ้งเพราะเป็นหนึ่งในอาหารรักษาร่างกาย ที่ดีมาก เช่นกัน เพราะใบไม้หัวไชเท้าเป็นพรีไบโอติกที่มีประสิทธิภาพมากเป็นอันดับสองรองจาก บลูเบอร์รี่ป่า เลยทีเดียว

    ทั้งหัวไชเท้าและใบและมีสารอาหารจำนวนมาก เช่น วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ ไฟโตเคมิคอล และอัลคาลอยด์ ต้านมะเร็ง และมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส

    ช่วยซ่อมแซมลำไส้ใหญ่ และส่วนอื่น ๆ ของลำไส้ที่สูญเสียความสามารถในการดูดซึมสารอาหาร สารอาหารของมันนั้นถูกดูดซึมโดยระบบย่อยอาหารที่ทำงานผิดปกติมากที่สุด และดูดซึมได้ดีกว่าอาหารอื่น ๆ เนื่องจากมีเอนไซม์สูง

    จริง ๆ แล้ว ใบหัวไชเท้าเป็นอาหารป่า แม้ว่าจะปลูกในสวนหรือในฟาร์มก็ตาม ใบไม้เหล่านี้ช่วยกำจัดสารพิษทั้ง 4 อย่างออกจากร่างกาย คือ กำจัดดีดีที รังสี โลหะหนัก ไวรัส ทานได้ทั้งสดและต้มใส่ซุบน้ำก๋วยเตี๋ยวต้มจืดหรือแกงส้ม ส่วนทานสดโดยจิ้มน้ำพริกหรือทานกับชูชิ ปั่นดื่มจะดีมาก

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำความสะอาดโลหะหนักในระดับที่รุนแรง และกำจัดสารปรอท ตะกั่ว สารหนู และอะลูมิเนียมออกจากร่างกาย มีพลังเกือบเท่าผักชี

    ใบและหัวไชเท้าช่วยป้องกันโรคทางระบบประสาทรวมถึงโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง เอแอลเอส ( ALS ) และโรคไลม์ ( Lyme ) ทางระบบประสาท หัวไชเท้าจึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผักใบที่ทรงพลังที่สุดสำหรับสุขภาพของผู้คนนั่นเอง

    Cr: Boos Day ❤️
    ด้วยความรักและปรารถนาดีจากแพทย์และทีมงานสถาบันสุขภาพครอบครัวองค์รวมดร.อรวรรณ
    .......📌#ว่าด้วยเรื่องหัวไชเท้า......... ......................................... ใครที่ชอบ ทาน หัวไชเท้า เป็นชีวิตจิตใจ ได้โปรดอ่านให้ละเอียดเลย เมื่อทานผักผลไม้และสมุนไพรได้ อาหารเสริมจึงไม่ได้มีความจำเป็นอีกต่อไป เพราะอาหารเสริมก็สกัดมาจากพืชผัก ผลไม้และสมุนไพรเช่นเดียวกัน ตามคำนิยามที่ว่า ทานอาหารเป็นยานั่นเอง สำหรับหัวไชเท้านี้เป็นอาหารทางการแพทย์ที่มีมากเป็นอันดับสองของโลก เป็นผักตระกูลกระหล่ำ ความพิเศษและแตกต่างจากไม้ตระกูลกะหล่ำที่เหลือคือ หัวไชเท้ามีองค์ประกอบสองส่วน คือมีรากและหัวไชเท้าช่วยเติมเต็มระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อเราทานเข้าไป กำมะถันที่มีอยู่ในหัวไชเท้าจะขับไล่เชื้อโรคทุกชนิดและทำหน้าที่เป็นมูลไส้เดือน มันจะช่วยฆ่าหนอนพยาธิในลำไส้และปรสิตอื่น ๆ ทั้งหมดได้อีกด้วย หัวไชเท้ามีส่วนประกอบของ ออร์กาโนซัลเฟอร์ช่วยให้หลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำสะอาดและสร้างเกราะป้องกันในตัวเพื่อป้องกันไม่ให้คราบจุลินทรีย์เกาะติดกับเยื่อบุ หัวไชเท้าช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยป้องกันโรคหัวใจและปัญหาหลอดเลือดหัวใจอื่น ๆ ได้ดี เพราะหัวไชเท้าช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอล ชนิดที่ดี และลดคอเลสเตอรอล ชนิดที่ไม่ดี หัวไชเท้าช่วยขับไล่มะเร็งได้เกือบทุกชนิด เพราะสามารถฟื้นฟูไต ตับ ตับอ่อน และม้ามได้เป็นอย่างดี ใบของหัวไชเท้าไม่ต้องทิ้งเพราะเป็นหนึ่งในอาหารรักษาร่างกาย ที่ดีมาก เช่นกัน เพราะใบไม้หัวไชเท้าเป็นพรีไบโอติกที่มีประสิทธิภาพมากเป็นอันดับสองรองจาก บลูเบอร์รี่ป่า เลยทีเดียว ทั้งหัวไชเท้าและใบและมีสารอาหารจำนวนมาก เช่น วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ ไฟโตเคมิคอล และอัลคาลอยด์ ต้านมะเร็ง และมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ช่วยซ่อมแซมลำไส้ใหญ่ และส่วนอื่น ๆ ของลำไส้ที่สูญเสียความสามารถในการดูดซึมสารอาหาร สารอาหารของมันนั้นถูกดูดซึมโดยระบบย่อยอาหารที่ทำงานผิดปกติมากที่สุด และดูดซึมได้ดีกว่าอาหารอื่น ๆ เนื่องจากมีเอนไซม์สูง จริง ๆ แล้ว ใบหัวไชเท้าเป็นอาหารป่า แม้ว่าจะปลูกในสวนหรือในฟาร์มก็ตาม ใบไม้เหล่านี้ช่วยกำจัดสารพิษทั้ง 4 อย่างออกจากร่างกาย คือ กำจัดดีดีที รังสี โลหะหนัก ไวรัส ทานได้ทั้งสดและต้มใส่ซุบน้ำก๋วยเตี๋ยวต้มจืดหรือแกงส้ม ส่วนทานสดโดยจิ้มน้ำพริกหรือทานกับชูชิ ปั่นดื่มจะดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำความสะอาดโลหะหนักในระดับที่รุนแรง และกำจัดสารปรอท ตะกั่ว สารหนู และอะลูมิเนียมออกจากร่างกาย มีพลังเกือบเท่าผักชี ใบและหัวไชเท้าช่วยป้องกันโรคทางระบบประสาทรวมถึงโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง เอแอลเอส ( ALS ) และโรคไลม์ ( Lyme ) ทางระบบประสาท หัวไชเท้าจึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผักใบที่ทรงพลังที่สุดสำหรับสุขภาพของผู้คนนั่นเอง Cr: Boos Day ❤️ ด้วยความรักและปรารถนาดีจากแพทย์และทีมงานสถาบันสุขภาพครอบครัวองค์รวมดร.อรวรรณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌ข้อคิดดีๆฝากถึง Gen-Y และ Gen-Xตลอดจน ผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่ผู้สูงวัยจาก
    ➡️นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) เจ้าของผลงานหนังสือ
    “อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้”

    1. ผมเริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 35 ปี ผมเป็นนักกีฬา ไม่เคยป่วย ไม่เคยเจ็บ ตอนทำงานคนอื่นเขาลาป่วยกัน ผมไม่เคยลา ผมวิ่ง ว่ายน้ำ ขึ้นเขาลงห้วยมาหมด พอเป็นอย่างนั้นผมก็มาตั้งเป้าหมายของตัวเองว่าอยากมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี

    2. ที่ผมตั้งเป้าหมายว่าอยากมีอายุถึง 120 ปี ก็เพราะ หนึ่งผมเป็นหมอ เลยอยากทดลองกับตัวเอง และสองเป็นการทำให้ตัวเองไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่นอนป่วย ถ้าเป็นคนอื่นที่มีอายุขนาดนี้เขาป่วยตายกันไปเเล้ว แต่ผมยังเเข็งแรง ขับรถทางไกลไปหัวหิน ไปไหนมาไหนได้สบายๆ

    3. ผมกินแบบช้าง ม้า วัว ควาย ไม่ได้กินแบบเสือ สิงโต หมา แมว เนื้อสัตว์ผมจะกินให้น้อยที่สุด กินเเต่ผัก กินผลไม้ ก็ทำให้แข็งแรงน่ะสิ ตลอดชีวิตผมให้เลือดไปทั้งหมด 114 ครั้ง ได้เลือดรวม 60 ลิตร ผมให้เลือดจนถึงอายุ 70 กว่าปีเพราะแข็งแรง คนปกติแค่อายุ 60 เขาก็หยุดให้เเล้ว เพราะกรุ๊ปเลือดผมเป็นเอบี หายาก มีน้อย

    4. สุขภาพที่ดีมาจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ น้ำหนักส่วนสูงต้องเป๊ะ คนอ้วนๆ ตายเร็วทั้งนั้นแหละ สังเกตดีๆ คนอายุยืนรูปร่างจะสูงเพรียว แต่ถ้าอ้วน ความดัน เบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคอะไรร้อยแปด สุดท้ายก็ตายเร็ว

    5. ถ้าอยากดูแลสุขภาพตัวเอง เริ่มต้นง่ายๆ แค่ดูน้ำหนักกับส่วนสูง ผู้ชายสูงกี่เซนติเมตรให้เอา 100 ลบ แก้ผ้าชั่งน้ำหนักเลยนะ สมมติสูง 170 หัวเด็ดตีนขาดอย่าเกิน 70 กิโลกรัม ถ้าจะให้ดียิ่งไปอีกเอา 105 ลบ ส่วนผู้หญิงให้เอา 110 ลบ หุ่นนางงามอย่าง อาภัสรา หงสกุล สูง 170 น้ำหนัก 50 กิโลกรัม เห็นไหมเขาถึงได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส

    6. การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องมีสระว่ายน้ำ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร นอกจากไปซื้อรองเท้ามาคู่หนึ่ง คนวัยทำงานควรหาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยๆ 3-4 วันใน 1 สัปดาห์ ก็ไปวิ่งสิ ให้ได้สักวันละ 5 กิโลเมตร วิ่งแล้วหัวใจก็แข็งแรง กล้ามเนื้อเเข็งแรง เหงื่อออก น้ำหนักตัวก็จะลดลง

    7. คนเราก็มีอยู่สองอย่าง มีคิดผิดกับคิดถูก ที่บอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหมดไฟในการมีชีวิต ก็คนแบบนั้นมันคิดไม่เป็นไง หรือไม่ได้คิด เอาแต่เที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา สูบบุหรี่ เที่ยวหามรุ่งหามค่ำ แต่ผมไม่ ทุกวันนี้สนุกจะตาย ทดลองใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ

    8. คำว่า ‘ความสุข’ กับ ‘อายุยืน’ นั้นมาคู่กัน สุขอื่นใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เพราะฉะนั้น เราก็ทำจิตใจให้สบาย สงบ ไม่เครียด ไม่จุ้นจ้าน ไม่หาเรื่อง ไม่โกรธ จิตใจมันก็สบาย แล้วสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศล คนชั่ว คนใจบาปหยาบช้าไม่มีทางมีความสุขและอายุยืนยาวได้เลย คุณต้องทำจิตใจให้สบาย สร้างแต่บุญกุศล และทำแต่ความดี

    9. ผมแทบไม่มีเรื่องที่เสียดายในชีวิต เพราะผมวางแผนไว้หมดทุกอย่าง ผมเริ่มต้นดูแลสุขภาพมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ วางแผนทุกอย่างตั้งแต่การออกกำลังกาย การกินอาหาร และพักผ่อนนอนหลับ เรื่องที่เสียดายเกือบจะไม่มี เพราะชีวิตมันคือการวางแผน ผมวางแผนไว้ตั้งแต่หนุ่มๆ และมันเป็นไปตามแผนหมดทุกอย่าง หนังสืองานศพก็มี ความหมายของการมีหนังสืองานศพของตัวเองคือ การเตรียมตัวเตรียมใจ พูดง่ายๆ ว่าเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว คนเขียนคำไว้อาลัยให้เสร็จสรรพเรียบร้อยหมด

    10. สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนวัยผมก็คือ การเห็นความก้าวหน้าของลูกหลานและเหลน ลูกทุกคนมีครอบครัวที่ดี เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เห็นต้นไม้ออกดอกผล ไม่มีด้วงไม่มีแมลงมาเกาะมันก็คือความสุข

    11. ชีวิตคนเราไม่ต้องมีต้นแบบ ตัวเราเป็นต้นแบบของตัวเองได้ อย่างผมไง ผมดูแลสุขภาพ วางแผนชีวิตตัวเองมาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ไม่จำเป็นต้องหาต้นแบบจากที่ไหน

    นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี)

    ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์

    FB: โต๊ะป้าศรี CH Table

    (แอดมินเดือน)
    📌ข้อคิดดีๆฝากถึง Gen-Y และ Gen-Xตลอดจน ผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่ผู้สูงวัยจาก ➡️นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) เจ้าของผลงานหนังสือ “อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้” 1. ผมเริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 35 ปี ผมเป็นนักกีฬา ไม่เคยป่วย ไม่เคยเจ็บ ตอนทำงานคนอื่นเขาลาป่วยกัน ผมไม่เคยลา ผมวิ่ง ว่ายน้ำ ขึ้นเขาลงห้วยมาหมด พอเป็นอย่างนั้นผมก็มาตั้งเป้าหมายของตัวเองว่าอยากมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี 2. ที่ผมตั้งเป้าหมายว่าอยากมีอายุถึง 120 ปี ก็เพราะ หนึ่งผมเป็นหมอ เลยอยากทดลองกับตัวเอง และสองเป็นการทำให้ตัวเองไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่นอนป่วย ถ้าเป็นคนอื่นที่มีอายุขนาดนี้เขาป่วยตายกันไปเเล้ว แต่ผมยังเเข็งแรง ขับรถทางไกลไปหัวหิน ไปไหนมาไหนได้สบายๆ 3. ผมกินแบบช้าง ม้า วัว ควาย ไม่ได้กินแบบเสือ สิงโต หมา แมว เนื้อสัตว์ผมจะกินให้น้อยที่สุด กินเเต่ผัก กินผลไม้ ก็ทำให้แข็งแรงน่ะสิ ตลอดชีวิตผมให้เลือดไปทั้งหมด 114 ครั้ง ได้เลือดรวม 60 ลิตร ผมให้เลือดจนถึงอายุ 70 กว่าปีเพราะแข็งแรง คนปกติแค่อายุ 60 เขาก็หยุดให้เเล้ว เพราะกรุ๊ปเลือดผมเป็นเอบี หายาก มีน้อย 4. สุขภาพที่ดีมาจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ น้ำหนักส่วนสูงต้องเป๊ะ คนอ้วนๆ ตายเร็วทั้งนั้นแหละ สังเกตดีๆ คนอายุยืนรูปร่างจะสูงเพรียว แต่ถ้าอ้วน ความดัน เบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคอะไรร้อยแปด สุดท้ายก็ตายเร็ว 5. ถ้าอยากดูแลสุขภาพตัวเอง เริ่มต้นง่ายๆ แค่ดูน้ำหนักกับส่วนสูง ผู้ชายสูงกี่เซนติเมตรให้เอา 100 ลบ แก้ผ้าชั่งน้ำหนักเลยนะ สมมติสูง 170 หัวเด็ดตีนขาดอย่าเกิน 70 กิโลกรัม ถ้าจะให้ดียิ่งไปอีกเอา 105 ลบ ส่วนผู้หญิงให้เอา 110 ลบ หุ่นนางงามอย่าง อาภัสรา หงสกุล สูง 170 น้ำหนัก 50 กิโลกรัม เห็นไหมเขาถึงได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส 6. การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องมีสระว่ายน้ำ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร นอกจากไปซื้อรองเท้ามาคู่หนึ่ง คนวัยทำงานควรหาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยๆ 3-4 วันใน 1 สัปดาห์ ก็ไปวิ่งสิ ให้ได้สักวันละ 5 กิโลเมตร วิ่งแล้วหัวใจก็แข็งแรง กล้ามเนื้อเเข็งแรง เหงื่อออก น้ำหนักตัวก็จะลดลง 7. คนเราก็มีอยู่สองอย่าง มีคิดผิดกับคิดถูก ที่บอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหมดไฟในการมีชีวิต ก็คนแบบนั้นมันคิดไม่เป็นไง หรือไม่ได้คิด เอาแต่เที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา สูบบุหรี่ เที่ยวหามรุ่งหามค่ำ แต่ผมไม่ ทุกวันนี้สนุกจะตาย ทดลองใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ 8. คำว่า ‘ความสุข’ กับ ‘อายุยืน’ นั้นมาคู่กัน สุขอื่นใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เพราะฉะนั้น เราก็ทำจิตใจให้สบาย สงบ ไม่เครียด ไม่จุ้นจ้าน ไม่หาเรื่อง ไม่โกรธ จิตใจมันก็สบาย แล้วสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศล คนชั่ว คนใจบาปหยาบช้าไม่มีทางมีความสุขและอายุยืนยาวได้เลย คุณต้องทำจิตใจให้สบาย สร้างแต่บุญกุศล และทำแต่ความดี 9. ผมแทบไม่มีเรื่องที่เสียดายในชีวิต เพราะผมวางแผนไว้หมดทุกอย่าง ผมเริ่มต้นดูแลสุขภาพมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ วางแผนทุกอย่างตั้งแต่การออกกำลังกาย การกินอาหาร และพักผ่อนนอนหลับ เรื่องที่เสียดายเกือบจะไม่มี เพราะชีวิตมันคือการวางแผน ผมวางแผนไว้ตั้งแต่หนุ่มๆ และมันเป็นไปตามแผนหมดทุกอย่าง หนังสืองานศพก็มี ความหมายของการมีหนังสืองานศพของตัวเองคือ การเตรียมตัวเตรียมใจ พูดง่ายๆ ว่าเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว คนเขียนคำไว้อาลัยให้เสร็จสรรพเรียบร้อยหมด 10. สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนวัยผมก็คือ การเห็นความก้าวหน้าของลูกหลานและเหลน ลูกทุกคนมีครอบครัวที่ดี เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เห็นต้นไม้ออกดอกผล ไม่มีด้วงไม่มีแมลงมาเกาะมันก็คือความสุข 11. ชีวิตคนเราไม่ต้องมีต้นแบบ ตัวเราเป็นต้นแบบของตัวเองได้ อย่างผมไง ผมดูแลสุขภาพ วางแผนชีวิตตัวเองมาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ไม่จำเป็นต้องหาต้นแบบจากที่ไหน นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์ FB: โต๊ะป้าศรี CH Table (แอดมินเดือน)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผักสดผลไม้นมอัลมอลโยเกิตจ้า
    ผักสดผลไม้นมอัลมอลโยเกิตจ้า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • ❤️ขัอคิดดีๆฝากถึง Gen-Y Gen-X และผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่สูงวัยจาก
    👉นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) เจ้าของผลงานหนังสือ
    “อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้”

    1. ผมเริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 35 ปี ผมเป็นนักกีฬา ไม่เคยป่วย ไม่เคยเจ็บ ตอนทำงานคนอื่นเขาลาป่วยกัน ผมไม่เคยลา ผมวิ่ง ว่ายน้ำ ขึ้นเขาลงห้วยมาหมด พอเป็นอย่างนั้นผมก็มาตั้งเป้าหมายของตัวเองว่าอยากมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี

    2. ที่ผมตั้งเป้าหมายว่าอยากมีอายุถึง 120 ปี ก็เพราะ หนึ่งผมเป็นหมอ เลยอยากทดลองกับตัวเอง และสองเป็นการทำให้ตัวเองไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่นอนป่วย ถ้าเป็นคนอื่นที่มีอายุขนาดนี้เขาป่วยตายกันไปเเล้ว แต่ผมยังเเข็งแรง ขับรถทางไกลไปหัวหิน ไปไหนมาไหนได้สบายๆ

    3. ผมกินแบบช้าง ม้า วัว ควาย ไม่ได้กินแบบเสือ สิงโต หมา แมว เนื้อสัตว์ผมจะกินให้น้อยที่สุด กินเเต่ผัก กินผลไม้ ก็ทำให้แข็งแรงน่ะสิ ตลอดชีวิตผมให้เลือดไปทั้งหมด 114 ครั้ง ได้เลือดรวม 60 ลิตร ผมให้เลือดจนถึงอายุ 70 กว่าปีเพราะแข็งแรง คนปกติแค่อายุ 60 เขาก็หยุดให้เเล้ว เพราะกรุ๊ปเลือดผมเป็นเอบี หายาก มีน้อย

    4. สุขภาพที่ดีมาจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ น้ำหนักส่วนสูงต้องเป๊ะ คนอ้วนๆ ตายเร็วทั้งนั้นแหละ สังเกตดีๆ คนอายุยืนรูปร่างจะสูงเพรียว แต่ถ้าอ้วน ความดัน เบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคอะไรร้อยแปด สุดท้ายก็ตายเร็ว

    5. ถ้าอยากดูแลสุขภาพตัวเอง เริ่มต้นง่ายๆ แค่ดูน้ำหนักกับส่วนสูง ผู้ชายสูงกี่เซนติเมตรให้เอา 100 ลบ แก้ผ้าชั่งน้ำหนักเลยนะ สมมติสูง 170 หัวเด็ดตีนขาดอย่าเกิน 70 กิโลกรัม ถ้าจะให้ดียิ่งไปอีกเอา 105 ลบ ส่วนผู้หญิงให้เอา 110 ลบ หุ่นนางงามอย่าง อาภัสรา หงสกุล สูง 170 น้ำหนัก 50 กิโลกรัม เห็นไหมเขาถึงได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส

    6. การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องมีสระว่ายน้ำ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร นอกจากไปซื้อรองเท้ามาคู่หนึ่ง คนวัยทำงานควรหาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยๆ 3-4 วันใน 1 สัปดาห์ ก็ไปวิ่งสิ ให้ได้สักวันละ 5 กิโลเมตร วิ่งแล้วหัวใจก็แข็งแรง กล้ามเนื้อเเข็งแรง เหงื่อออก น้ำหนักตัวก็จะลดลง

    7. คนเราก็มีอยู่สองอย่าง มีคิดผิดกับคิดถูก ที่บอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหมดไฟในการมีชีวิต ก็คนแบบนั้นมันคิดไม่เป็นไง หรือไม่ได้คิด เอาแต่เที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา สูบบุหรี่ เที่ยวหามรุ่งหามค่ำ แต่ผมไม่ ทุกวันนี้สนุกจะตาย ทดลองใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ

    8. คำว่า ‘ความสุข’ กับ ‘อายุยืน’ นั้นมาคู่กัน สุขอื่นใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เพราะฉะนั้น เราก็ทำจิตใจให้สบาย สงบ ไม่เครียด ไม่จุ้นจ้าน ไม่หาเรื่อง ไม่โกรธ จิตใจมันก็สบาย แล้วสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศล คนชั่ว คนใจบาปหยาบช้าไม่มีทางมีความสุขและอายุยืนยาวได้เลย คุณต้องทำจิตใจให้สบาย สร้างแต่บุญกุศล และทำแต่ความดี

    9. ผมแทบไม่มีเรื่องที่เสียดายในชีวิต เพราะผมวางแผนไว้หมดทุกอย่าง ผมเริ่มต้นดูแลสุขภาพมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ วางแผนทุกอย่างตั้งแต่การออกกำลังกาย การกินอาหาร และพักผ่อนนอนหลับ เรื่องที่เสียดายเกือบจะไม่มี เพราะชีวิตมันคือการวางแผน ผมวางแผนไว้ตั้งแต่หนุ่มๆ และมันเป็นไปตามแผนหมดทุกอย่าง หนังสืองานศพก็มี ความหมายของการมีหนังสืองานศพของตัวเองคือ การเตรียมตัวเตรียมใจ พูดง่ายๆ ว่าเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว คนเขียนคำไว้อาลัยให้เสร็จสรรพเรียบร้อยหมด

    10. สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนวัยผมก็คือ การเห็นความก้าวหน้าของลูกหลานและเหลน ลูกทุกคนมีครอบครัวที่ดี เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เห็นต้นไม้ออกดอกผล ไม่มีด้วงไม่มีแมลงมาเกาะมันก็คือความสุข

    11. ชีวิตคนเราไม่ต้องมีต้นแบบ ตัวเราเป็นต้นแบบของตัวเองได้ อย่างผมไง ผมดูแลสุขภาพ วางแผนชีวิตตัวเองมาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ไม่จำเป็นต้องหาต้นแบบจากที่ไหน

    นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99ปี
    ❤️ขัอคิดดีๆฝากถึง Gen-Y Gen-X และผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่สูงวัยจาก 👉นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99 ปี) เจ้าของผลงานหนังสือ “อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้” 1. ผมเริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 35 ปี ผมเป็นนักกีฬา ไม่เคยป่วย ไม่เคยเจ็บ ตอนทำงานคนอื่นเขาลาป่วยกัน ผมไม่เคยลา ผมวิ่ง ว่ายน้ำ ขึ้นเขาลงห้วยมาหมด พอเป็นอย่างนั้นผมก็มาตั้งเป้าหมายของตัวเองว่าอยากมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี 2. ที่ผมตั้งเป้าหมายว่าอยากมีอายุถึง 120 ปี ก็เพราะ หนึ่งผมเป็นหมอ เลยอยากทดลองกับตัวเอง และสองเป็นการทำให้ตัวเองไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่นอนป่วย ถ้าเป็นคนอื่นที่มีอายุขนาดนี้เขาป่วยตายกันไปเเล้ว แต่ผมยังเเข็งแรง ขับรถทางไกลไปหัวหิน ไปไหนมาไหนได้สบายๆ 3. ผมกินแบบช้าง ม้า วัว ควาย ไม่ได้กินแบบเสือ สิงโต หมา แมว เนื้อสัตว์ผมจะกินให้น้อยที่สุด กินเเต่ผัก กินผลไม้ ก็ทำให้แข็งแรงน่ะสิ ตลอดชีวิตผมให้เลือดไปทั้งหมด 114 ครั้ง ได้เลือดรวม 60 ลิตร ผมให้เลือดจนถึงอายุ 70 กว่าปีเพราะแข็งแรง คนปกติแค่อายุ 60 เขาก็หยุดให้เเล้ว เพราะกรุ๊ปเลือดผมเป็นเอบี หายาก มีน้อย 4. สุขภาพที่ดีมาจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ น้ำหนักส่วนสูงต้องเป๊ะ คนอ้วนๆ ตายเร็วทั้งนั้นแหละ สังเกตดีๆ คนอายุยืนรูปร่างจะสูงเพรียว แต่ถ้าอ้วน ความดัน เบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคอะไรร้อยแปด สุดท้ายก็ตายเร็ว 5. ถ้าอยากดูแลสุขภาพตัวเอง เริ่มต้นง่ายๆ แค่ดูน้ำหนักกับส่วนสูง ผู้ชายสูงกี่เซนติเมตรให้เอา 100 ลบ แก้ผ้าชั่งน้ำหนักเลยนะ สมมติสูง 170 หัวเด็ดตีนขาดอย่าเกิน 70 กิโลกรัม ถ้าจะให้ดียิ่งไปอีกเอา 105 ลบ ส่วนผู้หญิงให้เอา 110 ลบ หุ่นนางงามอย่าง อาภัสรา หงสกุล สูง 170 น้ำหนัก 50 กิโลกรัม เห็นไหมเขาถึงได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส 6. การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องมีสระว่ายน้ำ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไร นอกจากไปซื้อรองเท้ามาคู่หนึ่ง คนวัยทำงานควรหาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยๆ 3-4 วันใน 1 สัปดาห์ ก็ไปวิ่งสิ ให้ได้สักวันละ 5 กิโลเมตร วิ่งแล้วหัวใจก็แข็งแรง กล้ามเนื้อเเข็งแรง เหงื่อออก น้ำหนักตัวก็จะลดลง 7. คนเราก็มีอยู่สองอย่าง มีคิดผิดกับคิดถูก ที่บอกว่ายิ่งแก่ยิ่งหมดไฟในการมีชีวิต ก็คนแบบนั้นมันคิดไม่เป็นไง หรือไม่ได้คิด เอาแต่เที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา สูบบุหรี่ เที่ยวหามรุ่งหามค่ำ แต่ผมไม่ ทุกวันนี้สนุกจะตาย ทดลองใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ 8. คำว่า ‘ความสุข’ กับ ‘อายุยืน’ นั้นมาคู่กัน สุขอื่นใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เพราะฉะนั้น เราก็ทำจิตใจให้สบาย สงบ ไม่เครียด ไม่จุ้นจ้าน ไม่หาเรื่อง ไม่โกรธ จิตใจมันก็สบาย แล้วสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศล คนชั่ว คนใจบาปหยาบช้าไม่มีทางมีความสุขและอายุยืนยาวได้เลย คุณต้องทำจิตใจให้สบาย สร้างแต่บุญกุศล และทำแต่ความดี 9. ผมแทบไม่มีเรื่องที่เสียดายในชีวิต เพราะผมวางแผนไว้หมดทุกอย่าง ผมเริ่มต้นดูแลสุขภาพมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ วางแผนทุกอย่างตั้งแต่การออกกำลังกาย การกินอาหาร และพักผ่อนนอนหลับ เรื่องที่เสียดายเกือบจะไม่มี เพราะชีวิตมันคือการวางแผน ผมวางแผนไว้ตั้งแต่หนุ่มๆ และมันเป็นไปตามแผนหมดทุกอย่าง หนังสืองานศพก็มี ความหมายของการมีหนังสืองานศพของตัวเองคือ การเตรียมตัวเตรียมใจ พูดง่ายๆ ว่าเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว คนเขียนคำไว้อาลัยให้เสร็จสรรพเรียบร้อยหมด 10. สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนวัยผมก็คือ การเห็นความก้าวหน้าของลูกหลานและเหลน ลูกทุกคนมีครอบครัวที่ดี เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เห็นต้นไม้ออกดอกผล ไม่มีด้วงไม่มีแมลงมาเกาะมันก็คือความสุข 11. ชีวิตคนเราไม่ต้องมีต้นแบบ ตัวเราเป็นต้นแบบของตัวเองได้ อย่างผมไง ผมดูแลสุขภาพ วางแผนชีวิตตัวเองมาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ไม่จำเป็นต้องหาต้นแบบจากที่ไหน นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ (ปัจจุบันอายุ 99ปี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • #การย่อยและลำดับ

    สุขภาพทางเดินอาหารมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเป็นอยู่ที่ดีโดยทั่วไปของเรา การย่อยอาหารและกระบวนการย่อยอาหารทำให้ร่างกายได้รับพลังงานและสารอาหารสำคัญที่จำเป็นสำหรับการทำงานตามปกติ

    เนื่องจากการย่อยอาหารเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน บางครั้งผู้คนจึงสงสัยว่าพวกเขาแปรรูปอาหารด้วยวิธีที่ถูกต้องหรือไม่ ใช้เวลานานเท่าไหร่

    โดยทั่วไป กระบวนการย่อยอาหารจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงแต่ ระยะเวลาการเดินทางในระบบทางเดินอาหารทั้งหมด อาจใช้เวลา 24 ถึง 72 ชั่วโมง แม้ว่าเวลาที่แท้จริงอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ก็ตาม

    การเดินทางของอาหารผ่านระบบย่อยอาหาร

    การย่อยอาหารเริ่มต้นที่ปากของคุณ เมื่อคุณเคี้ยวอาหาร น้ำลายจะย่อยแป้งในแต่ละคำด้วยเอนไซม์ ทำให้คุณกลืนสิ่งที่คุณกินได้ง่ายขึ้น

    เมื่อคุณกลืนอาหารเข้าไป อาหารจะไหลผ่านหลอดอาหาร จากนั้นกล้ามเนื้อที่เรียกว่ากล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างจะคลายตัวและปล่อยให้เข้าสู่กระเพาะอาหารของคุณ ซึ่งกล้ามเนื้อดังกล่าวจะปิดลงทันทีเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารจะไม่เดินทางกลับเข้าไปในปากของคุณ จำได้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ากล้ามเนื้อนี้กระตือรือร้นที่จะผ่อนคลายมากเกินไป

    ในกระเพาะของคุณ อาหารและเชื้อแบคทีเรียต่างๆจะถูกทำลายเนื่องจากกรดในกระเพาะ และส่วนผสมของอาหารที่ย่อยได้บางส่วนจะเข้าไปในลำไส้เล็กของคุณ

    ในลำไส้เล็ก ตับอ่อนและตับจะเพิ่มน้ำย่อยที่ช่วยเร่งกระบวนการทั้งหมด ผนังของมันดูดซึมสารอาหารและน้ำและทำให้ร่างกายได้รับสิ่งดีๆ (สารอาหาร) จากอาหารที่คุณบริโภค (หวังว่าสิ่งที่คุณกิน จะเป็นสิ่งที่ดี) ส่วนอาหารที่เหลือที่ไม่ได้ย่อยจะดำเนินต่อไปยังลำไส้ใหญ่ของคุณ

    โดยปกติจะใช้เวลา 6 ถึง 8 ชั่วโมงก่อนที่อาหารจะเดินทางผ่านกระเพาะอาหารไปจนถึงลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ อาหารนั้นจะคงอยู่นานกว่าหนึ่งวันและสลายตัวมากยิ่งขึ้น น้ำและสารอาหารที่เหลือซึ่งร่างกายของคุณอาจได้รับประโยชน์จากการดูดซึมและต่อมาส่วนที่เหลือคืออุจจาระที่จะออกจากร่างกายของคุณเมื่อคุณพร้อมที่จะขับถ่าย

    ในเวลาประมาณสามวัน อาหารที่คุณกินควรจะเคลื่อนผ่านทางเดินอาหารไปยังสถานีสุดท้าย

    อาหารใช้เวลาย่อยนานแค่ไหน

    เวลาที่ใช้ในการย่อยอาหารยังขึ้นอยู่กับอายุ เพศ ระบบการเผาผลาญ และเหนือสิ่งอื่นใด ประเภทและปริมาณของอาหารที่เป็นปัญหา

    การย่อยน้ำเกิดขึ้นในเวลาไม่นาน

    หากดื่มน้ำในขณะท้องว่าง น้ำจะเดินทางเข้าสู่ลำไส้ทันที นี่คือสาเหตุว่าทำไมการดื่มน้ำตอนตื่นนอนจึงเป็นเรื่องดี เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว และว่าด้วยวิชา วงจรชีวิต (Circadian rhythm) ในช่วงเวลาระหว่าง 5:00 น ถึง 7:00 น ร่างกายจะไม่ดูดซึมน้ำแต่จะปล่อยน้ำทั้งหมดลงไปยังลำไส้ใหญ่เพื่อช่วยในการขับถ่าย

    เราสามารถย่อยของเหลวอื่นๆ ได้เร็วแค่ไหน

    หากคุณดื่มน้ำผลไม้บ่อยกว่าน้ำเปล่า น้ำผลไม้นั้นจะถูกย่อยและถูกขับออกจากร่างกายในเวลาประมาณ 20 นาที เนื่องจากร่างกายไม่ต้องการน้ำตาลฟรักโตส

    สมูทตี้ต่างจากน้ำผลไม้ โดยคงเส้นใยจากผักและผลไม้ที่ผสมเข้าด้วยกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกมันจึงทำให้คุณอิ่มมากขึ้นและกระบวนการย่อยอาหารก็ใช้เวลานานขึ้น (ประมาณ 30 นาที) อาหารที่มีเส้นใยสูงอาจจะดีต่อระบบย่อยอาหารเนื่องจากช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ถ้ามีน้ำตาลฟรักโตสร่วมด้วย ก็จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

    เกี่ยวกับการย่อยผลไม้

    แตงโมเป็นผลไม้ที่เร็วที่สุดในการย่อยผลไม้ เนื่องจากแตงโมใช้เวลาเพียง 20 นาทีในการออกจากกระเพาะอาหาร ลูกพี่ลูกน้องของมัน เช่น แตง ส้ม เกรฟฟรุต กล้วย และองุ่น จะออกจากท้องคุณในเวลาประมาณ 30 นาที

    หากคุณต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาทางเดินอาหาร ไม่ควรผสมผลไม้กับกับผักเหตุเพราะเวลาในการย่อยอาหารที่แตกต่างกัน

    การย่อยผัก

    ผักใช้เวลาย่อยนานกว่าผลไม้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ผักกาดหอม แตงกวา พริก มะเขือเทศ และผักอื่นๆ ที่มีน้ำปริมาณมากจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที

    ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น ผักเคล กะหล่ำดอก บรอกโคลี ฯลฯ มักจะย่อยภายใน 40 นาที

    และแบบช้าๆ ได้แก่ แครอท บีทรูท และผักที่มีรากอื่นๆ จะถูกย่อยภายในเวลาประมาณ 50 นาที ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผักที่มีรากที่เป็นแป้ง เช่น มันฝรั่ง ซึ่งร่วมกับสควอชบัตเตอร์นัท อาร์ติโชค มันเทศ ข้าวโพด ฯลฯ ใช้เวลาในการย่อยถึง 60 นาที

    การย่อยเมล็ดพืชจะใช้เวลานานกว่าเล็กน้อย

    การย่อยธัญพืชและคาร์โบไฮเดรตต่างๆ จะใช้เวลานานกว่าการแปรรูปผักและผลไม้ ธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง บักวีต และข้าวโอ๊ตอาจใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งในการออกจากท้อง ในขณะที่พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วชิกพี ถั่วเลนทิล ถั่วต่างๆ ฯลฯ ใช้เวลามากกว่านั้น – ประมาณสองชั่วโมง

    การย่อยเนื้อสัตว์

    ถ้ากำลังมองหาเนื้อสัตว์ที่ใช้เวลาย่อยน้อยที่สุด

    ..ปลาที่ไม่มีน้ำมัน (เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลานิล อาหารทะเล ฯลฯ) ซึ่งจะออกจากกระเพาะในเวลาประมาณ 30 นาที ในขณะที่ปลาที่มีไขมัน (เช่น ปลาทู ปลาซาร์ดีน ปลาโอ ปลาสวาย แซลมอน ฯลฯ) จะย่อยในเวลาประมาณ 50 นาที

    เนื้อสัตว์ประเภทอื่นๆ ใช้เวลาย่อยนานกว่าเนื่องจากกระบวนการอาจใช้เวลานานถึงสองวัน ไก่และไก่งวงเป็นตัวเลือกที่เร็วที่สุด ในขณะที่เนื้อวัว เนื้อแกะ และโดยเฉพาะเนื้อหมูต้องใช้เวลานานกว่ามากในการย่อยให้เต็มที่

    การย่อยนม

    โดยเฉลี่ยแล้ว นมพร่องมันเนยและชีสไขมันต่ำ (เช่น คอทเทจชีสไขมันต่ำหรือริคอตต้า) จะใช้เวลาย่อย 1.5 ชั่วโมง ในขณะที่คอตเทจชีสจากนมทั้งตัวและซอฟต์ชีสจะออกจากกระเพาะภายใน 2 ชั่วโมง ชีสแข็งจากนมเต็มตัวอาจใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมงในการย่อยอย่างเหมาะสม

    ย่อยไข่นานแค่ไหน

    ไข่แดงจะใช้เวลาย่อย 30 นาที ในขณะที่การย่อยไข่ทั้งฟองจะใช้เวลา 45 นาที

    เมล็ดพืชและถั่ว

    เมล็ดพืชที่มีไขมันสูง (เช่น งา ทานตะวัน รวมถึงเมล็ดฟักทอง) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการย่อย

    ถั่วต่างๆ (ถั่วลิสงดิบ อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ วอลนัท ฯลฯ) ต้องใช้เวลาในการย่อยประมาณ 2.5 ถึง 3 ชั่วโมง

    เวลาที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดเป็นเวลาโดยประมาณ พวกเขาอธิบายว่าโดยปกติแล้วอาหารบางประเภทจะคงอยู่ได้นานแค่ไหน แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งหมายความว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องตื่นตระหนกหากประสบการณ์ของคุณแตกต่างไปจากคำอธิบายข้างต้น

    อย่างไรก็ตาม หากคุณคิดว่าระบบย่อยอาหารของคุณค่อนข้างเชื่องช้า และหากคุณต้องการป้องกันไม่ให้การย่อยอาหารของคุณช้าลงกว่าที่เป็นอยู่ ให้ค้นหาว่าอาหารชนิดใดที่คุณควรหลีกเลี่ยง

    อาหารที่ย่อยยาก

    อาหารทอดที่มีไขมันสูงและมีเส้นใยต่ำ อาหารเหล่านี้ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับการย่อยอาหารของคุณและสุขภาพโดยทั่วไป มีสองสถานการณ์ที่เป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากรับประทานอาหารทอด ซึ่งอาจเคลื่อนตัวไปทั่วร่างกายเร็วเกินไปและส่งผลให้เกิดอาการท้องเสียหรืออยู่ในระบบทางเดินอาหารเป็นเวลานานจน ส่งผลให้ท้องอืดและรู้สึกอิ่ม

    ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว

    โดยทั่วไปแล้ว ผลไม้รสเปรี้ยวนั้นดีต่อการย่อยอาหารเนื่องจากมีไฟเบอร์สูง อย่างไรก็ตาม บางคนอาจประสบปัญหาทางเดินอาหารด้วยเหตุผลดังกล่าว ดังนั้นอย่ารับประทานผลไม้รสเปรี้ยวมากเกินไปในคราวเดียว

    น้ำตาลเทียมและฟรุกโตส

    น้ำตาลเทียมนั้นย่อยยากและมักจะเดินทางผ่านระบบโดยไม่ได้รับการย่อย ดังนั้นจึงไม่ให้สารอาหารแก่ร่างกายมากนัก นอกจากนี้ พวกมันยังส่งผลเสียต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ที่พบในระบบทางเดินอาหารของคุณ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมายได้ เมื่อบริโภคน้ำตาลมากเกินไป คุณอาจมีอาการตะคริวและท้องร่วงได้ และเพิ่มน้ำหนักแน่นอน

    ถั่ว

    ถั่วเป็นแหล่งอาหารที่ดีอย่างแน่นอน เนื่องจากมีโปรตีนและไฟเบอร์ที่ดีต่อสุขภาพมากมาย แต่อาจย่อยยากและมักทำให้เกิดแก๊สรวมถึงเป็นตะคริวเนื่องจากร่างกายของคุณขาดเอนไซม์ที่จำเป็นในการสลายน้ำตาลในนั้น

    ผักตระกูลกะหล่ำ

    ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น บรอกโคลี กะหล่ำปลี และอื่นๆ มีน้ำตาลแบบเดียวกับที่พบในถั่ว ดังนั้นจึงย่อยได้ยาก พยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารดิบเพราะจะช่วยให้การย่อยอาหารง่ายขึ้น

    อาหารรสเผ็ด

    สำหรับบางคนการย่อยอาหารช้าและอาการเสียดท้องเป็นเรื่องปกติหลังจากรับประทานอาหารรสเผ็ด ซึ่งมีสาเหตุมาจากแคปไซซินที่พบในพริก

    ผลิตภัณฑ์นม

    ผลิตภัณฑ์จากนมย่อยยากและช้า จึงทำให้รู้สึกอิ่มนานและสามารถก่อให้เกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหารได้ง่าย สำหรับผู้ที่แพ้แลคโตส หากคุณไม่สามารถกำจัดอาหารดังกล่าวออกจากอาหารได้ คุณก็ต้องหาเอนไซม์จากภายนอกเพื่อย่อยนมนั้น

    เนื่องจากเราทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

    ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณพบผู้ร้ายที่ทำให้เกิดปัญหาในระบบย่อยอาหาร และวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในการบรรลุภารกิจนี้คือการจดบันทึกอาหาร กำจัดอาหารบางชนิดที่คุณสงสัยว่าจะทำให้การย่อยอาหารช้าลง และสังเกตปฏิกิริยาของร่างกาย เมื่อคุณจับฝ่ายที่มีความผิดได้แล้ว ให้หลีกเลี่ยงหรือค้นหาทางเลือกอื่นที่ไม่ทำให้คุณเกิดปัญหา

    และอาหารชนิดใดที่ย่อยง่าย

    หากคุณสงสัยว่าจะย่อยอาหารอย่างรวดเร็วและหลีกเลี่ยงการย่อยช้า ได้อย่างไร ให้เน้นไปที่อาหารที่ย่อยเร็ว เช่น:

    • ข้าวขาว : หากคุณพยายามหาธัญพืชที่ย่อยง่าย ให้เลือกข้าวขาวและหลีกเลี่ยงข้าวกล้อง สีดำ หรือสีแดง

    • ไข่ : ไข่ไม่เพียงแต่ปรุงง่าย แต่ยังย่อยง่ายอีกด้วย

    • มันเทศ : มันเทศเป็นแหล่งของเส้นใยที่ละลายน้ำได้ซึ่งย่อยได้ง่ายกว่าเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำ และยังเพิ่มแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ของคุณด้วย

    • ไก่ : หากคุณต้องการเก็บเนื้อสัตว์ไว้ในอาหาร ให้เลือกไก่เพราะเป็นแหล่งโปรตีนไร้ไขมันที่ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองและใช้เวลาย่อยน้อยลง

    • ปลา อย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่าใช้เวลาในการย่อยน้อย

    ปัญหาและเงื่อนไขทางเดินอาหาร

    หากคุณเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพทางเดินอาหารของคุณแต่ยังคงมีอาการอาหารไม่ย่อยอยู่บ้าง คุณอาจมีปัญหาในการย่อยอาหารบางประเภทหรือแม้กระทั่งต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคประจำตัว หากปัญหาของคุณมีเพียงกรดไหลย้อน ท้องอืด ปวดท้อง ท้องผูกมีลมในท้อง ท้องร่วง และอื่นๆ เป็นครั้งคราว ก็มักจะไม่มีอะไรต้องกังวล อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นค่อนข้างสม่ำเสมอหรือกลายเป็นโรคเรื้อรัง ควรแน่ใจว่าคุณติดต่อแพทย์โดยเร็วที่สุด

    นี่เป็นเพียงเงื่อนไขบางประการที่อาจทำให้เกิดอาการของคุณ:

    แพ้แลคโตส

    ผลิตภัณฑ์นมอาจย่อยยากสำหรับผู้ที่ขาดเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับการย่อยน้ำตาลที่พบในนมและผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ ส่งผลให้เกิดอาการท้องเสีย ปวดท้อง มีแก๊สในท้อง และท้องอืด

    โรค Celiac

    กลูเตนในอาหารที่มีข้าวสาลี ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์เป็นสาเหตุของปัญหาสำหรับผู้ที่เป็นโรคเซลิแอก ร่างกายของพวกเขาระบุว่ากลูเตนเป็นสิ่งแปลกปลอมและตอบสนองโดยการโจมตีโปรตีนนี้และทำลายลำไส้ทันทีที่กลูเตนไปถึงลำไส้เล็ก

    หากคุณมีอาการต่างๆ เช่น เหนื่อยล้า ท้องอืดและปวดท้อง ท้องร่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุจจาระมีกลิ่นเหม็นหรือดูเป็นไขมัน และน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ คุณอาจเป็นโรคเซลิแอก

    กรดไหลย้อน

    กรดไหลย้อนเป็นอาการทางการแพทย์ทั่วไปที่เกิดจากกรดในกระเพาะไหลย้อนเข้าไปในปาก หากกรดไหลย้อนปรากฏในรูปแบบเรื้อรังและรุนแรงมากขึ้น คุณมีอาการแสบร้อนกลางอกเนื่องจากกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างปิดไม่สนิท แต่ถ้าหูรูดคุณทำงานได้ดีแต่ในระบบคุณมีแก๊ส แก๊สเหล่านี้ก็จะหาทางไปที่อื่น ซึ่ง อาจจะทำให้เกิดอาการปวดคอ บ่าไหล่ ชามือ อาการนี้อาจสร้างความรำคาญแต่ก็เป็นปัญหาเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีอาการดังกล่าวมากกว่าสองครั้งต่อสัปดาห์ หากเป็นกรณีนี้ โปรดติดต่อ ผู้เชี่ยวชาญของคุณเนื่องจากคุณอาจได้รับผลกระทบจากโรคกรดไหลย้อนจริงๆ

    อาการลำไส้แปรปรวน (IBS)

    ภาวะนี้ทำให้ลำไส้ระคายเคืองและมาพร้อมกับอาการต่างๆ เช่น ตะคริว ปวดท้อง ท้องผูก ท้องเสีย ท้องอืด และมีแก๊สในช่องท้อง เช่นเดียวกับโรค Celiac การเปลี่ยนแปลงอาหารสามารถช่วยให้คุณรักษาอาการให้สมดุลได้

    บทสรุป

    จะเห็นได้ว่าอาหารแต่ละอย่างใช้เวลาในการย่อยแตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรกินอาหารตามลำดับ

    วิธีการที่ดี ให้เริ่มต้นที่ผักร้อยละ 40 ตามด้วยข้าวหรือแป้งขัดขาว ไม่ว่าจะเป็นเส้นขนมจีน เส้นก๋วยเตี๋ยวหรือเส้นต่างๆ แล้วค่อยตามด้วยโปรตีน จากนั้นปล่อยให้ไขมันเป็นลำดับสุดท้าย

    วิธีการนี้ร่างกายคุณจะย่อยตามลำดับและสิ่งที่คุณกินเข้าไปจะไม่ถูกหมักหมมจนทำให้เกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหาร

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    #การย่อยและลำดับ สุขภาพทางเดินอาหารมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเป็นอยู่ที่ดีโดยทั่วไปของเรา การย่อยอาหารและกระบวนการย่อยอาหารทำให้ร่างกายได้รับพลังงานและสารอาหารสำคัญที่จำเป็นสำหรับการทำงานตามปกติ เนื่องจากการย่อยอาหารเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน บางครั้งผู้คนจึงสงสัยว่าพวกเขาแปรรูปอาหารด้วยวิธีที่ถูกต้องหรือไม่ ใช้เวลานานเท่าไหร่ โดยทั่วไป กระบวนการย่อยอาหารจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงแต่ ระยะเวลาการเดินทางในระบบทางเดินอาหารทั้งหมด อาจใช้เวลา 24 ถึง 72 ชั่วโมง แม้ว่าเวลาที่แท้จริงอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ก็ตาม การเดินทางของอาหารผ่านระบบย่อยอาหาร การย่อยอาหารเริ่มต้นที่ปากของคุณ เมื่อคุณเคี้ยวอาหาร น้ำลายจะย่อยแป้งในแต่ละคำด้วยเอนไซม์ ทำให้คุณกลืนสิ่งที่คุณกินได้ง่ายขึ้น เมื่อคุณกลืนอาหารเข้าไป อาหารจะไหลผ่านหลอดอาหาร จากนั้นกล้ามเนื้อที่เรียกว่ากล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างจะคลายตัวและปล่อยให้เข้าสู่กระเพาะอาหารของคุณ ซึ่งกล้ามเนื้อดังกล่าวจะปิดลงทันทีเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารจะไม่เดินทางกลับเข้าไปในปากของคุณ จำได้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ากล้ามเนื้อนี้กระตือรือร้นที่จะผ่อนคลายมากเกินไป ในกระเพาะของคุณ อาหารและเชื้อแบคทีเรียต่างๆจะถูกทำลายเนื่องจากกรดในกระเพาะ และส่วนผสมของอาหารที่ย่อยได้บางส่วนจะเข้าไปในลำไส้เล็กของคุณ ในลำไส้เล็ก ตับอ่อนและตับจะเพิ่มน้ำย่อยที่ช่วยเร่งกระบวนการทั้งหมด ผนังของมันดูดซึมสารอาหารและน้ำและทำให้ร่างกายได้รับสิ่งดีๆ (สารอาหาร) จากอาหารที่คุณบริโภค (หวังว่าสิ่งที่คุณกิน จะเป็นสิ่งที่ดี) ส่วนอาหารที่เหลือที่ไม่ได้ย่อยจะดำเนินต่อไปยังลำไส้ใหญ่ของคุณ โดยปกติจะใช้เวลา 6 ถึง 8 ชั่วโมงก่อนที่อาหารจะเดินทางผ่านกระเพาะอาหารไปจนถึงลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ อาหารนั้นจะคงอยู่นานกว่าหนึ่งวันและสลายตัวมากยิ่งขึ้น น้ำและสารอาหารที่เหลือซึ่งร่างกายของคุณอาจได้รับประโยชน์จากการดูดซึมและต่อมาส่วนที่เหลือคืออุจจาระที่จะออกจากร่างกายของคุณเมื่อคุณพร้อมที่จะขับถ่าย ในเวลาประมาณสามวัน อาหารที่คุณกินควรจะเคลื่อนผ่านทางเดินอาหารไปยังสถานีสุดท้าย อาหารใช้เวลาย่อยนานแค่ไหน เวลาที่ใช้ในการย่อยอาหารยังขึ้นอยู่กับอายุ เพศ ระบบการเผาผลาญ และเหนือสิ่งอื่นใด ประเภทและปริมาณของอาหารที่เป็นปัญหา การย่อยน้ำเกิดขึ้นในเวลาไม่นาน หากดื่มน้ำในขณะท้องว่าง น้ำจะเดินทางเข้าสู่ลำไส้ทันที นี่คือสาเหตุว่าทำไมการดื่มน้ำตอนตื่นนอนจึงเป็นเรื่องดี เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว และว่าด้วยวิชา วงจรชีวิต (Circadian rhythm) ในช่วงเวลาระหว่าง 5:00 น ถึง 7:00 น ร่างกายจะไม่ดูดซึมน้ำแต่จะปล่อยน้ำทั้งหมดลงไปยังลำไส้ใหญ่เพื่อช่วยในการขับถ่าย เราสามารถย่อยของเหลวอื่นๆ ได้เร็วแค่ไหน หากคุณดื่มน้ำผลไม้บ่อยกว่าน้ำเปล่า น้ำผลไม้นั้นจะถูกย่อยและถูกขับออกจากร่างกายในเวลาประมาณ 20 นาที เนื่องจากร่างกายไม่ต้องการน้ำตาลฟรักโตส สมูทตี้ต่างจากน้ำผลไม้ โดยคงเส้นใยจากผักและผลไม้ที่ผสมเข้าด้วยกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกมันจึงทำให้คุณอิ่มมากขึ้นและกระบวนการย่อยอาหารก็ใช้เวลานานขึ้น (ประมาณ 30 นาที) อาหารที่มีเส้นใยสูงอาจจะดีต่อระบบย่อยอาหารเนื่องจากช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ถ้ามีน้ำตาลฟรักโตสร่วมด้วย ก็จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เกี่ยวกับการย่อยผลไม้ แตงโมเป็นผลไม้ที่เร็วที่สุดในการย่อยผลไม้ เนื่องจากแตงโมใช้เวลาเพียง 20 นาทีในการออกจากกระเพาะอาหาร ลูกพี่ลูกน้องของมัน เช่น แตง ส้ม เกรฟฟรุต กล้วย และองุ่น จะออกจากท้องคุณในเวลาประมาณ 30 นาที หากคุณต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาทางเดินอาหาร ไม่ควรผสมผลไม้กับกับผักเหตุเพราะเวลาในการย่อยอาหารที่แตกต่างกัน การย่อยผัก ผักใช้เวลาย่อยนานกว่าผลไม้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ผักกาดหอม แตงกวา พริก มะเขือเทศ และผักอื่นๆ ที่มีน้ำปริมาณมากจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น ผักเคล กะหล่ำดอก บรอกโคลี ฯลฯ มักจะย่อยภายใน 40 นาที และแบบช้าๆ ได้แก่ แครอท บีทรูท และผักที่มีรากอื่นๆ จะถูกย่อยภายในเวลาประมาณ 50 นาที ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผักที่มีรากที่เป็นแป้ง เช่น มันฝรั่ง ซึ่งร่วมกับสควอชบัตเตอร์นัท อาร์ติโชค มันเทศ ข้าวโพด ฯลฯ ใช้เวลาในการย่อยถึง 60 นาที การย่อยเมล็ดพืชจะใช้เวลานานกว่าเล็กน้อย การย่อยธัญพืชและคาร์โบไฮเดรตต่างๆ จะใช้เวลานานกว่าการแปรรูปผักและผลไม้ ธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง บักวีต และข้าวโอ๊ตอาจใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งในการออกจากท้อง ในขณะที่พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วชิกพี ถั่วเลนทิล ถั่วต่างๆ ฯลฯ ใช้เวลามากกว่านั้น – ประมาณสองชั่วโมง การย่อยเนื้อสัตว์ ถ้ากำลังมองหาเนื้อสัตว์ที่ใช้เวลาย่อยน้อยที่สุด ..ปลาที่ไม่มีน้ำมัน (เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลานิล อาหารทะเล ฯลฯ) ซึ่งจะออกจากกระเพาะในเวลาประมาณ 30 นาที ในขณะที่ปลาที่มีไขมัน (เช่น ปลาทู ปลาซาร์ดีน ปลาโอ ปลาสวาย แซลมอน ฯลฯ) จะย่อยในเวลาประมาณ 50 นาที เนื้อสัตว์ประเภทอื่นๆ ใช้เวลาย่อยนานกว่าเนื่องจากกระบวนการอาจใช้เวลานานถึงสองวัน ไก่และไก่งวงเป็นตัวเลือกที่เร็วที่สุด ในขณะที่เนื้อวัว เนื้อแกะ และโดยเฉพาะเนื้อหมูต้องใช้เวลานานกว่ามากในการย่อยให้เต็มที่ การย่อยนม โดยเฉลี่ยแล้ว นมพร่องมันเนยและชีสไขมันต่ำ (เช่น คอทเทจชีสไขมันต่ำหรือริคอตต้า) จะใช้เวลาย่อย 1.5 ชั่วโมง ในขณะที่คอตเทจชีสจากนมทั้งตัวและซอฟต์ชีสจะออกจากกระเพาะภายใน 2 ชั่วโมง ชีสแข็งจากนมเต็มตัวอาจใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมงในการย่อยอย่างเหมาะสม ย่อยไข่นานแค่ไหน ไข่แดงจะใช้เวลาย่อย 30 นาที ในขณะที่การย่อยไข่ทั้งฟองจะใช้เวลา 45 นาที เมล็ดพืชและถั่ว เมล็ดพืชที่มีไขมันสูง (เช่น งา ทานตะวัน รวมถึงเมล็ดฟักทอง) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการย่อย ถั่วต่างๆ (ถั่วลิสงดิบ อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ วอลนัท ฯลฯ) ต้องใช้เวลาในการย่อยประมาณ 2.5 ถึง 3 ชั่วโมง เวลาที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดเป็นเวลาโดยประมาณ พวกเขาอธิบายว่าโดยปกติแล้วอาหารบางประเภทจะคงอยู่ได้นานแค่ไหน แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งหมายความว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องตื่นตระหนกหากประสบการณ์ของคุณแตกต่างไปจากคำอธิบายข้างต้น อย่างไรก็ตาม หากคุณคิดว่าระบบย่อยอาหารของคุณค่อนข้างเชื่องช้า และหากคุณต้องการป้องกันไม่ให้การย่อยอาหารของคุณช้าลงกว่าที่เป็นอยู่ ให้ค้นหาว่าอาหารชนิดใดที่คุณควรหลีกเลี่ยง อาหารที่ย่อยยาก อาหารทอดที่มีไขมันสูงและมีเส้นใยต่ำ อาหารเหล่านี้ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับการย่อยอาหารของคุณและสุขภาพโดยทั่วไป มีสองสถานการณ์ที่เป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากรับประทานอาหารทอด ซึ่งอาจเคลื่อนตัวไปทั่วร่างกายเร็วเกินไปและส่งผลให้เกิดอาการท้องเสียหรืออยู่ในระบบทางเดินอาหารเป็นเวลานานจน ส่งผลให้ท้องอืดและรู้สึกอิ่ม ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว โดยทั่วไปแล้ว ผลไม้รสเปรี้ยวนั้นดีต่อการย่อยอาหารเนื่องจากมีไฟเบอร์สูง อย่างไรก็ตาม บางคนอาจประสบปัญหาทางเดินอาหารด้วยเหตุผลดังกล่าว ดังนั้นอย่ารับประทานผลไม้รสเปรี้ยวมากเกินไปในคราวเดียว น้ำตาลเทียมและฟรุกโตส น้ำตาลเทียมนั้นย่อยยากและมักจะเดินทางผ่านระบบโดยไม่ได้รับการย่อย ดังนั้นจึงไม่ให้สารอาหารแก่ร่างกายมากนัก นอกจากนี้ พวกมันยังส่งผลเสียต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ที่พบในระบบทางเดินอาหารของคุณ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมายได้ เมื่อบริโภคน้ำตาลมากเกินไป คุณอาจมีอาการตะคริวและท้องร่วงได้ และเพิ่มน้ำหนักแน่นอน ถั่ว ถั่วเป็นแหล่งอาหารที่ดีอย่างแน่นอน เนื่องจากมีโปรตีนและไฟเบอร์ที่ดีต่อสุขภาพมากมาย แต่อาจย่อยยากและมักทำให้เกิดแก๊สรวมถึงเป็นตะคริวเนื่องจากร่างกายของคุณขาดเอนไซม์ที่จำเป็นในการสลายน้ำตาลในนั้น ผักตระกูลกะหล่ำ ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น บรอกโคลี กะหล่ำปลี และอื่นๆ มีน้ำตาลแบบเดียวกับที่พบในถั่ว ดังนั้นจึงย่อยได้ยาก พยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารดิบเพราะจะช่วยให้การย่อยอาหารง่ายขึ้น อาหารรสเผ็ด สำหรับบางคนการย่อยอาหารช้าและอาการเสียดท้องเป็นเรื่องปกติหลังจากรับประทานอาหารรสเผ็ด ซึ่งมีสาเหตุมาจากแคปไซซินที่พบในพริก ผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์จากนมย่อยยากและช้า จึงทำให้รู้สึกอิ่มนานและสามารถก่อให้เกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหารได้ง่าย สำหรับผู้ที่แพ้แลคโตส หากคุณไม่สามารถกำจัดอาหารดังกล่าวออกจากอาหารได้ คุณก็ต้องหาเอนไซม์จากภายนอกเพื่อย่อยนมนั้น เนื่องจากเราทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณพบผู้ร้ายที่ทำให้เกิดปัญหาในระบบย่อยอาหาร และวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในการบรรลุภารกิจนี้คือการจดบันทึกอาหาร กำจัดอาหารบางชนิดที่คุณสงสัยว่าจะทำให้การย่อยอาหารช้าลง และสังเกตปฏิกิริยาของร่างกาย เมื่อคุณจับฝ่ายที่มีความผิดได้แล้ว ให้หลีกเลี่ยงหรือค้นหาทางเลือกอื่นที่ไม่ทำให้คุณเกิดปัญหา และอาหารชนิดใดที่ย่อยง่าย หากคุณสงสัยว่าจะย่อยอาหารอย่างรวดเร็วและหลีกเลี่ยงการย่อยช้า ได้อย่างไร ให้เน้นไปที่อาหารที่ย่อยเร็ว เช่น: • ข้าวขาว : หากคุณพยายามหาธัญพืชที่ย่อยง่าย ให้เลือกข้าวขาวและหลีกเลี่ยงข้าวกล้อง สีดำ หรือสีแดง • ไข่ : ไข่ไม่เพียงแต่ปรุงง่าย แต่ยังย่อยง่ายอีกด้วย • มันเทศ : มันเทศเป็นแหล่งของเส้นใยที่ละลายน้ำได้ซึ่งย่อยได้ง่ายกว่าเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำ และยังเพิ่มแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ของคุณด้วย • ไก่ : หากคุณต้องการเก็บเนื้อสัตว์ไว้ในอาหาร ให้เลือกไก่เพราะเป็นแหล่งโปรตีนไร้ไขมันที่ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองและใช้เวลาย่อยน้อยลง • ปลา อย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่าใช้เวลาในการย่อยน้อย ปัญหาและเงื่อนไขทางเดินอาหาร หากคุณเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพทางเดินอาหารของคุณแต่ยังคงมีอาการอาหารไม่ย่อยอยู่บ้าง คุณอาจมีปัญหาในการย่อยอาหารบางประเภทหรือแม้กระทั่งต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคประจำตัว หากปัญหาของคุณมีเพียงกรดไหลย้อน ท้องอืด ปวดท้อง ท้องผูกมีลมในท้อง ท้องร่วง และอื่นๆ เป็นครั้งคราว ก็มักจะไม่มีอะไรต้องกังวล อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นค่อนข้างสม่ำเสมอหรือกลายเป็นโรคเรื้อรัง ควรแน่ใจว่าคุณติดต่อแพทย์โดยเร็วที่สุด นี่เป็นเพียงเงื่อนไขบางประการที่อาจทำให้เกิดอาการของคุณ: แพ้แลคโตส ผลิตภัณฑ์นมอาจย่อยยากสำหรับผู้ที่ขาดเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับการย่อยน้ำตาลที่พบในนมและผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ ส่งผลให้เกิดอาการท้องเสีย ปวดท้อง มีแก๊สในท้อง และท้องอืด โรค Celiac กลูเตนในอาหารที่มีข้าวสาลี ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์เป็นสาเหตุของปัญหาสำหรับผู้ที่เป็นโรคเซลิแอก ร่างกายของพวกเขาระบุว่ากลูเตนเป็นสิ่งแปลกปลอมและตอบสนองโดยการโจมตีโปรตีนนี้และทำลายลำไส้ทันทีที่กลูเตนไปถึงลำไส้เล็ก หากคุณมีอาการต่างๆ เช่น เหนื่อยล้า ท้องอืดและปวดท้อง ท้องร่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุจจาระมีกลิ่นเหม็นหรือดูเป็นไขมัน และน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ คุณอาจเป็นโรคเซลิแอก กรดไหลย้อน กรดไหลย้อนเป็นอาการทางการแพทย์ทั่วไปที่เกิดจากกรดในกระเพาะไหลย้อนเข้าไปในปาก หากกรดไหลย้อนปรากฏในรูปแบบเรื้อรังและรุนแรงมากขึ้น คุณมีอาการแสบร้อนกลางอกเนื่องจากกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างปิดไม่สนิท แต่ถ้าหูรูดคุณทำงานได้ดีแต่ในระบบคุณมีแก๊ส แก๊สเหล่านี้ก็จะหาทางไปที่อื่น ซึ่ง อาจจะทำให้เกิดอาการปวดคอ บ่าไหล่ ชามือ อาการนี้อาจสร้างความรำคาญแต่ก็เป็นปัญหาเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีอาการดังกล่าวมากกว่าสองครั้งต่อสัปดาห์ หากเป็นกรณีนี้ โปรดติดต่อ ผู้เชี่ยวชาญของคุณเนื่องจากคุณอาจได้รับผลกระทบจากโรคกรดไหลย้อนจริงๆ อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) ภาวะนี้ทำให้ลำไส้ระคายเคืองและมาพร้อมกับอาการต่างๆ เช่น ตะคริว ปวดท้อง ท้องผูก ท้องเสีย ท้องอืด และมีแก๊สในช่องท้อง เช่นเดียวกับโรค Celiac การเปลี่ยนแปลงอาหารสามารถช่วยให้คุณรักษาอาการให้สมดุลได้ บทสรุป จะเห็นได้ว่าอาหารแต่ละอย่างใช้เวลาในการย่อยแตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรกินอาหารตามลำดับ วิธีการที่ดี ให้เริ่มต้นที่ผักร้อยละ 40 ตามด้วยข้าวหรือแป้งขัดขาว ไม่ว่าจะเป็นเส้นขนมจีน เส้นก๋วยเตี๋ยวหรือเส้นต่างๆ แล้วค่อยตามด้วยโปรตีน จากนั้นปล่อยให้ไขมันเป็นลำดับสุดท้าย วิธีการนี้ร่างกายคุณจะย่อยตามลำดับและสิ่งที่คุณกินเข้าไปจะไม่ถูกหมักหมมจนทำให้เกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหาร ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผักผลไม้โยเกิตดีนะ
    ผักผลไม้โยเกิตดีนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปั้นผักผลไม้6ชนิดเพื่อคุณแม่
    ปั้นผักผลไม้6ชนิดเพื่อคุณแม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลงานวิจัยเกิดโรคมะเร็งของรัสเซีย
    -----
    รัสเซียทำอะไรชอบเปิดเผยให้โลกรู้ทุกอย่างไม่เหมือนอเมริกาที่รู้อะไรเก็บเป็นความลับหมด แล้วมนุษย์บนโลกใบนี้จะเชื่อว่าระบอบการปกครองแบบไหนดีที่สุดของมนุษยชาติ หรือถูกอเมริกาหลอกมาตลอดว่าระบอบเขาดีสุด หรือระบอบรัสเซีย-จีนดีสุดกันแน่ ในท้ายสุดมนุษย์รุ่นต่อๆไปจะอยู่กับระบอบไหนถึงจะมีชีวิตรอดยาวนาน ไม่ใช่ผลาญทรัพย์กรธรรมชาติโลกที่ว่ายุโรปและอเมริกาผลาญจนประเทศตัวเองไม่มีอะไรเหลือ แล้วไปปล้นคนอื่นกินเข้าประเทศตัวเอง


    คนที่เป็นมะเร็งเสียชีวิตเพราะอะไร

    ผลงานวิจัยฯ ของรัสเซีย อ้างว่าเหตุผลการเสียชีวิตมิได้เกิดจากมะเร็ง ยกเว้นความสะเพร่าของผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยทราบว่ามีเซลล์มะเร็ง ให้รีบปฏิบัติ

    1. ขั้นตอนแรกคือ การหยุดน้ำตาลทั้งหมด ถ้าไม่มีน้ำตาล ในร่างกายของคุณจำนวนมาก เซลล์มะเร็ง ก็จะตาย อย่างเป็นธรรมชาติ

    2. ผสมผลไม้ มะนาว ทั้งหมด กับน้ำร้อนสักแก้ว แล้วดื่มมัน ประมาณ 3 เดือน เซลล์มะเร็งจะแพ้ การปฏิบัติดังกล่าวดีกว่าการรักษาด้วยคีโม

    3. ขั้นตอนที่ 3 คือ การดื่มน้ำมันมะพร้าว อินทรีย์ 3 ช้อนโต๊ะ เช้าและกลางคืน เซลล์มะเร็งจะค่อยๆ หายไป ท่านสามารถเลือก 1 ใน 2 วิธีนี้ หลังจากหลีกเลี่ยงน้ำตาล ที่ผ่านมา ความไม่รู้ ไม่ใช่ความผิด ข้อมูลนี้เผยแพร่มานานกว่า 5 ปี ซึ่งปัจจุบันนี้ เพิ่งมาถึงคุณ แต่ที่สำคัญที่สุด มันยังช้ากว่าการที่คุณไม่เคยให้ข้อมูลนี้กับทุกคนรอบตัวคุณเพื่อได้รู้เห็นงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมอสโก รัสเซีย ผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงขอให้ทุกท่านที่ได้รับข้อมูลนี้ กรุณาส่งต่อบทความนี้ให้กับคน ที่ท่านรักอีก 1 คน ผมเชื่อว่าแน่นอน! อย่างน้อย 1 ชีวิต จะได้รับประโยชน์ และจะบันทึกไว้ ส่วน

    ผมได้ทำในส่วนของผมแล้ว หวังว่าท่านจะสามารถช่วยเผยแพร่ โดยการทำส่วนของคุณ กล่าวคือ

    1. การดื่มน้ำมะนาว สามารถป้องกันมะเร็งได้ แต่จำไว้ว่า อย่าผสมน้ำตาล น้ำมะนาวร้อน มีประโยชน์กว่า น้ำมะนาวเย็นๆ

    2. หั่นเป็นแว่น 5 ชิ้น แล้วแช่ด้วยน้ำร้อนสักแก้วทิ้งไว้ 20- 30 นาที แล้วค่อยดื่ม

    3. มันสำปะหลัง นำไปต้ม แต่ต้องต้มด้วย เปิดฝาหม้อวิตามิน B 17 อยู่ในมันสำปะหลัง ที่สามารถปิดเซลล์มะเร็งได้

    บ่อยครั้ง การกินมื้อเย็นสามารถเพิ่มความเป็นไปได้ ของมะเร็งลำไส้ - มะเร็งกระเพาะอาหาร - ผู้หญิง

    อย่าดื่มชาในช่วงมีรอบเดือน และ

    การดื่มน้ำถั่วเหลือง นั้น ไม่ควรเพิ่มน้ำตาล หรือไข่ ในน้ำถั่วเหลือง ไม่กินมะเขือเทศ ตอนท้องว่าง ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว ทุกเช้า ก่อนอาหาร เพื่อป้องกันนิ่ว

    ไม่กินอาหารในช่วง 3 ชั่วโมง ก่อนนอน

    หลีกเลี่ยงสุรา เพราะไม่มีประสิทธิภาพ ทางโภชนาการ แต่สามารถทำให้เกิดโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงได้ อย่ากินขนมปัง ในขณะที่ร้อนจาก เตาอบ หรือเครื่องปิ้งขนมปัง

    ไม่ชาร์จมือถือหรืออุปกรณ์ใดๆ ที่อยู่ข้างๆ ตัวคุณ ในขณะที่คุณหลับ ดื่มน้ำเปล่าวันละ 10 แก้ว ป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ ให้ดื่มน้ำต่อเนื่องระหว่างวัน ลดช่วงกลางคืน และ

    อย่าดื่มกาแฟ มากกว่า 2 แก้วต่อวัน เพราะมันสามารถทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ และมีปัญหาต่อกระเพาะอาหารได้

    กินอาหารที่เลี่ยนได้เล็กน้อย หรือหลีกเลี่ยงมัน เพราะต้องใช้เวลา 5-7 ชั่วโมงในการย่อย ทั้งยังทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย

    หลัง 17:00 น.กินอาหารให้น้อยลง ประการสำคัญอาหาร 6 ชนิด ที่ทำให้คุณมีความสุข ได้แก่ กล้วย, ส้มบาหลี, ผักโขม, ฟักทอง, ลูกพีช อนึ่ง การนอนไม่ถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลให้มีการทำงานของสมองเสื่อมสภาพ พยายามนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะจะทำให้เราอ่อนกว่าวัย อย่าลืม น้ำมะนาวที่ไม่มีน้ำตาล สามารถดูแลสุขภาพของคุณและทำให้คุณรู้สึกสดชื่น

    น้ำมะนาวร้อนฆ่าเซลล์มะเร็ง

    แช่มะนาวชิ้นเท่าๆกัน 5 ชิ้นกับน้ำร้อน ดื่มเป็นประจำทุกวัน anti-oxsidan

    รสชาติขมในน้ำมะนาวร้อนเป็นสารที่ดีที่สุดในการฆ่าเซลล์มะเร็ง

    น้ำมะนาวเย็นประกอบด้วยวิตามินซีเท่านั้น ซึ่งไม่ช่วยป้องกันมะเร็ง น้ำมะนาวร้อนสามารถควบคุมการเติบโตของเนื้องอกมะเร็งได้

    การทดสอบทางคลินิก พิสูจน์แล้วว่า น้ำมะนาวร้อน ทำงานได้ดี เพื่อยับยั้งเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยน้ำมะนาวร้อน จะทำลายเซลล์ที่ชั่วร้าย เท่านั้น แต่ไม่มีผลกระทบต่อเซลล์ที่ดี กรด citric และมะนาว polyphenol ในน้ำมะนาว ช่วยลดความดันสูง และป้องกันการเกิดลิ่มเลือด และป้องกันการแข็งตัวของเลือด ถึงแม้ คุณจะยุ่งแค่ไหน เมื่ออ่านข้อความนี้ของผมแล้ว ช่วยถ่ายทอดให้ผู้อื่นด้วยครับ❤

    การแบ่งปัน ถือเป็นวิทยาทาน ด้วยความปรารถนาดี
    ผศ.ดร.ศ.สำเร็จผล
    #มะเร็ง #โรคมะเร็ง #มะเร็งหายได้
    ผลงานวิจัยเกิดโรคมะเร็งของรัสเซีย ----- รัสเซียทำอะไรชอบเปิดเผยให้โลกรู้ทุกอย่างไม่เหมือนอเมริกาที่รู้อะไรเก็บเป็นความลับหมด แล้วมนุษย์บนโลกใบนี้จะเชื่อว่าระบอบการปกครองแบบไหนดีที่สุดของมนุษยชาติ หรือถูกอเมริกาหลอกมาตลอดว่าระบอบเขาดีสุด หรือระบอบรัสเซีย-จีนดีสุดกันแน่ ในท้ายสุดมนุษย์รุ่นต่อๆไปจะอยู่กับระบอบไหนถึงจะมีชีวิตรอดยาวนาน ไม่ใช่ผลาญทรัพย์กรธรรมชาติโลกที่ว่ายุโรปและอเมริกาผลาญจนประเทศตัวเองไม่มีอะไรเหลือ แล้วไปปล้นคนอื่นกินเข้าประเทศตัวเอง คนที่เป็นมะเร็งเสียชีวิตเพราะอะไร ผลงานวิจัยฯ ของรัสเซีย อ้างว่าเหตุผลการเสียชีวิตมิได้เกิดจากมะเร็ง ยกเว้นความสะเพร่าของผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยทราบว่ามีเซลล์มะเร็ง ให้รีบปฏิบัติ 1. ขั้นตอนแรกคือ การหยุดน้ำตาลทั้งหมด ถ้าไม่มีน้ำตาล ในร่างกายของคุณจำนวนมาก เซลล์มะเร็ง ก็จะตาย อย่างเป็นธรรมชาติ 2. ผสมผลไม้ มะนาว ทั้งหมด กับน้ำร้อนสักแก้ว แล้วดื่มมัน ประมาณ 3 เดือน เซลล์มะเร็งจะแพ้ การปฏิบัติดังกล่าวดีกว่าการรักษาด้วยคีโม 3. ขั้นตอนที่ 3 คือ การดื่มน้ำมันมะพร้าว อินทรีย์ 3 ช้อนโต๊ะ เช้าและกลางคืน เซลล์มะเร็งจะค่อยๆ หายไป ท่านสามารถเลือก 1 ใน 2 วิธีนี้ หลังจากหลีกเลี่ยงน้ำตาล ที่ผ่านมา ความไม่รู้ ไม่ใช่ความผิด ข้อมูลนี้เผยแพร่มานานกว่า 5 ปี ซึ่งปัจจุบันนี้ เพิ่งมาถึงคุณ แต่ที่สำคัญที่สุด มันยังช้ากว่าการที่คุณไม่เคยให้ข้อมูลนี้กับทุกคนรอบตัวคุณเพื่อได้รู้เห็นงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมอสโก รัสเซีย ผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงขอให้ทุกท่านที่ได้รับข้อมูลนี้ กรุณาส่งต่อบทความนี้ให้กับคน ที่ท่านรักอีก 1 คน ผมเชื่อว่าแน่นอน! อย่างน้อย 1 ชีวิต จะได้รับประโยชน์ และจะบันทึกไว้ ส่วน ผมได้ทำในส่วนของผมแล้ว หวังว่าท่านจะสามารถช่วยเผยแพร่ โดยการทำส่วนของคุณ กล่าวคือ 1. การดื่มน้ำมะนาว สามารถป้องกันมะเร็งได้ แต่จำไว้ว่า อย่าผสมน้ำตาล น้ำมะนาวร้อน มีประโยชน์กว่า น้ำมะนาวเย็นๆ 2. หั่นเป็นแว่น 5 ชิ้น แล้วแช่ด้วยน้ำร้อนสักแก้วทิ้งไว้ 20- 30 นาที แล้วค่อยดื่ม 3. มันสำปะหลัง นำไปต้ม แต่ต้องต้มด้วย เปิดฝาหม้อวิตามิน B 17 อยู่ในมันสำปะหลัง ที่สามารถปิดเซลล์มะเร็งได้ บ่อยครั้ง การกินมื้อเย็นสามารถเพิ่มความเป็นไปได้ ของมะเร็งลำไส้ - มะเร็งกระเพาะอาหาร - ผู้หญิง อย่าดื่มชาในช่วงมีรอบเดือน และ การดื่มน้ำถั่วเหลือง นั้น ไม่ควรเพิ่มน้ำตาล หรือไข่ ในน้ำถั่วเหลือง ไม่กินมะเขือเทศ ตอนท้องว่าง ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว ทุกเช้า ก่อนอาหาร เพื่อป้องกันนิ่ว ไม่กินอาหารในช่วง 3 ชั่วโมง ก่อนนอน หลีกเลี่ยงสุรา เพราะไม่มีประสิทธิภาพ ทางโภชนาการ แต่สามารถทำให้เกิดโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงได้ อย่ากินขนมปัง ในขณะที่ร้อนจาก เตาอบ หรือเครื่องปิ้งขนมปัง ไม่ชาร์จมือถือหรืออุปกรณ์ใดๆ ที่อยู่ข้างๆ ตัวคุณ ในขณะที่คุณหลับ ดื่มน้ำเปล่าวันละ 10 แก้ว ป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ ให้ดื่มน้ำต่อเนื่องระหว่างวัน ลดช่วงกลางคืน และ อย่าดื่มกาแฟ มากกว่า 2 แก้วต่อวัน เพราะมันสามารถทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ และมีปัญหาต่อกระเพาะอาหารได้ กินอาหารที่เลี่ยนได้เล็กน้อย หรือหลีกเลี่ยงมัน เพราะต้องใช้เวลา 5-7 ชั่วโมงในการย่อย ทั้งยังทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย หลัง 17:00 น.กินอาหารให้น้อยลง ประการสำคัญอาหาร 6 ชนิด ที่ทำให้คุณมีความสุข ได้แก่ กล้วย, ส้มบาหลี, ผักโขม, ฟักทอง, ลูกพีช อนึ่ง การนอนไม่ถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลให้มีการทำงานของสมองเสื่อมสภาพ พยายามนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะจะทำให้เราอ่อนกว่าวัย อย่าลืม น้ำมะนาวที่ไม่มีน้ำตาล สามารถดูแลสุขภาพของคุณและทำให้คุณรู้สึกสดชื่น น้ำมะนาวร้อนฆ่าเซลล์มะเร็ง แช่มะนาวชิ้นเท่าๆกัน 5 ชิ้นกับน้ำร้อน ดื่มเป็นประจำทุกวัน anti-oxsidan รสชาติขมในน้ำมะนาวร้อนเป็นสารที่ดีที่สุดในการฆ่าเซลล์มะเร็ง น้ำมะนาวเย็นประกอบด้วยวิตามินซีเท่านั้น ซึ่งไม่ช่วยป้องกันมะเร็ง น้ำมะนาวร้อนสามารถควบคุมการเติบโตของเนื้องอกมะเร็งได้ การทดสอบทางคลินิก พิสูจน์แล้วว่า น้ำมะนาวร้อน ทำงานได้ดี เพื่อยับยั้งเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยน้ำมะนาวร้อน จะทำลายเซลล์ที่ชั่วร้าย เท่านั้น แต่ไม่มีผลกระทบต่อเซลล์ที่ดี กรด citric และมะนาว polyphenol ในน้ำมะนาว ช่วยลดความดันสูง และป้องกันการเกิดลิ่มเลือด และป้องกันการแข็งตัวของเลือด ถึงแม้ คุณจะยุ่งแค่ไหน เมื่ออ่านข้อความนี้ของผมแล้ว ช่วยถ่ายทอดให้ผู้อื่นด้วยครับ❤ การแบ่งปัน ถือเป็นวิทยาทาน ด้วยความปรารถนาดี ผศ.ดร.ศ.สำเร็จผล #มะเร็ง #โรคมะเร็ง #มะเร็งหายได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 368 มุมมอง 0 รีวิว
  • #วัดธาตุทอง
    #กรุงเทพมหานครฯ

    วัดธาตุ​ทอง​ -​ ผมว่าหลาย​ ๆ​ ท่านที่โดยสารรถไฟฟ้า​ BTS.​ เป็น​ประจำ​ เมื่อผ่านสถานีเอกมัย​ มองไปจะเห็นเจดีย์​สีทองอร่าม​ ประดิษฐาน​ อยู่​ไกล​ๆ​ สวยงามมาก ที่สำคัญ​ดู​ contrast. กับตึกรามห้างสรรพสินค้า​ที่ตั้งตรงข้ามราวกับ​ โลกในอดีตกับปัจจุบัน​ประจันหน้ากันแบบ​ ไม่เกรงใจ

    ส่วนตัว​ จำได้ว่าเคยลงภาพและเรื่องราวของวัดธาตุทองไปแล้ว​ แต่ตอนนั้น​ พระมหาเจดีย์​กำลัง​บูรณะ​ วันนี้ขอแก้ตัว​ นำภาพสวย​ ๆ​ และเรื่องราววัดในเมือง​ ของชาวสุขุมวิท​แห่งนี้กลับมาอีกครั้ง​ มาฟังกันครับ​ วัดธาตุทอง

    พื้นที่แห่งนี้​ แต่เดิมเป็นที่ตั้งของวัดหน้าพระธาตุกับวัดทองล่าง ซึ่งวัดหน้าพระธาตุเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยที่มาของชื่อวัดก็มาจากหน้าวัดมีพระเจดีย์องค์ใหญ่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ภายใน ส่วนวัดทองล่างนั้นเดิมทีเป็นสวนผลไม้ที่มีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางสวน เจ้าของสวนเห็นว่าต้นโพธิ์ควรเป็นต้นไม้ในวัดมากกว่าที่จะปลูกไว้ในบ้าน ประกอบกับไม่ต้องการโค่นทิ้ง เพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเองและครอบครัว จึงได้บริจาคที่ดินในบริเวณนั้นเพื่อสร้างเป็นวัดเล็ก ๆ ขึ้นมาและตั้งชื่อว่า วัดโพธิ์สุวรรณาราม หรือ วัดโพธิ์ทอง ต่อมาชาวบ้านในแถบนั้นเรียกชื่ออย่างสั้น ๆ ว่า วัดทอง แต่ทว่าตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งตอนบนและตอนล่างมีวัดทองอยู่หลายแห่ง ชาวบ้านจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วัดทองล่าง นั่นเอง

    ต่อมาในปี พ.ศ. 2480 รัฐบาลในสมัยนั้นต้องการขอเวนคืนพื้นที่วัดหน้าพระธาตุและวัดทองล่าง เพื่อสร้างท่าเรือกรุงเทพฯ โดยชดเชยเงินให้ทั้ง 2 วัด เพื่อไปรวมกับวัดอื่นหรือสร้างวัดใหม่ขึ้นมา ทำให้คณะสงฆ์มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้น และมีความเห็นพ้องต้องกันในการซื้อที่ดินปัจจุบัน พร้อมกับย้ายเสนาสนะถาวรวัตถุของทั้ง 2 วัดมาปลูกสร้างรวมกันที่ตำบล คลองบ้านกล้วย โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นองค์อุปถัมภ์ และตั้งชื่อว่า วัดธาตุทอง โดยมีที่มาจากการนำชื่อของทั้ง 2 วัดรวมเข้าด้วยกัน เมื่อปี พ.ศ. 2481

    ในปี พ.ศ. 2550 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับวัดธาตุทองไว้ในพระอุปถัมภ์ และประทานตราสัญลักษณ์ใหม่ให้แก่วัด จากนั้นในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกให้ วัดธาตุทอง เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ มาจนถึงปัจจุบัน

    สิ่งที่ห้ามพลาด​ ไปกราบพระในพระอุโบสถ ภายใน​ ประดิษฐาน พระสัพพัญญู พระประธานประจำพระอุโบสถ มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 70 นิ้ว สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2495 พระพุทธชินินทร ที่เป็นพระประจำอุโบสถ สมัยอู่ทอง และพระพุทธมนต์ปรีชา สุโขทัย ที่เป็นพระประธานหอประชุม

    ถัดจากนั้น​เดินไปด้านหลัง​ ไปสักการะ​ พระมหาเจดีย์ 84 พรรษา ราชนครินทร์ เป็นพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2553 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปจากทั่วโลก รวมถึงพระบรมสารีริกธาตุจากหลวงพ่อไจทีเซา เจ้าอาวาสวัดไจทีเซา ในประเทศพม่าด้วยครับ​

    เป็น​ไงครับ​ แค่ลงรถไฟฟ้า​ สถานีเอกมัย​ มาไม่กี่ก้าว​ ก็จะพบกับ ความยิ่งใหญ่​ ความงาม​ และ​ความสงบ​ วัดธาตุ​ทอง​ ใกล้แค่นี้เอง

    #ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #temple #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip
    #วัดธาตุทอง #กรุงเทพมหานครฯ วัดธาตุ​ทอง​ -​ ผมว่าหลาย​ ๆ​ ท่านที่โดยสารรถไฟฟ้า​ BTS.​ เป็น​ประจำ​ เมื่อผ่านสถานีเอกมัย​ มองไปจะเห็นเจดีย์​สีทองอร่าม​ ประดิษฐาน​ อยู่​ไกล​ๆ​ สวยงามมาก ที่สำคัญ​ดู​ contrast. กับตึกรามห้างสรรพสินค้า​ที่ตั้งตรงข้ามราวกับ​ โลกในอดีตกับปัจจุบัน​ประจันหน้ากันแบบ​ ไม่เกรงใจ ส่วนตัว​ จำได้ว่าเคยลงภาพและเรื่องราวของวัดธาตุทองไปแล้ว​ แต่ตอนนั้น​ พระมหาเจดีย์​กำลัง​บูรณะ​ วันนี้ขอแก้ตัว​ นำภาพสวย​ ๆ​ และเรื่องราววัดในเมือง​ ของชาวสุขุมวิท​แห่งนี้กลับมาอีกครั้ง​ มาฟังกันครับ​ วัดธาตุทอง พื้นที่แห่งนี้​ แต่เดิมเป็นที่ตั้งของวัดหน้าพระธาตุกับวัดทองล่าง ซึ่งวัดหน้าพระธาตุเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยที่มาของชื่อวัดก็มาจากหน้าวัดมีพระเจดีย์องค์ใหญ่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ภายใน ส่วนวัดทองล่างนั้นเดิมทีเป็นสวนผลไม้ที่มีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางสวน เจ้าของสวนเห็นว่าต้นโพธิ์ควรเป็นต้นไม้ในวัดมากกว่าที่จะปลูกไว้ในบ้าน ประกอบกับไม่ต้องการโค่นทิ้ง เพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเองและครอบครัว จึงได้บริจาคที่ดินในบริเวณนั้นเพื่อสร้างเป็นวัดเล็ก ๆ ขึ้นมาและตั้งชื่อว่า วัดโพธิ์สุวรรณาราม หรือ วัดโพธิ์ทอง ต่อมาชาวบ้านในแถบนั้นเรียกชื่ออย่างสั้น ๆ ว่า วัดทอง แต่ทว่าตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งตอนบนและตอนล่างมีวัดทองอยู่หลายแห่ง ชาวบ้านจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วัดทองล่าง นั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. 2480 รัฐบาลในสมัยนั้นต้องการขอเวนคืนพื้นที่วัดหน้าพระธาตุและวัดทองล่าง เพื่อสร้างท่าเรือกรุงเทพฯ โดยชดเชยเงินให้ทั้ง 2 วัด เพื่อไปรวมกับวัดอื่นหรือสร้างวัดใหม่ขึ้นมา ทำให้คณะสงฆ์มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้น และมีความเห็นพ้องต้องกันในการซื้อที่ดินปัจจุบัน พร้อมกับย้ายเสนาสนะถาวรวัตถุของทั้ง 2 วัดมาปลูกสร้างรวมกันที่ตำบล คลองบ้านกล้วย โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นองค์อุปถัมภ์ และตั้งชื่อว่า วัดธาตุทอง โดยมีที่มาจากการนำชื่อของทั้ง 2 วัดรวมเข้าด้วยกัน เมื่อปี พ.ศ. 2481 ในปี พ.ศ. 2550 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับวัดธาตุทองไว้ในพระอุปถัมภ์ และประทานตราสัญลักษณ์ใหม่ให้แก่วัด จากนั้นในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกให้ วัดธาตุทอง เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ มาจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่ห้ามพลาด​ ไปกราบพระในพระอุโบสถ ภายใน​ ประดิษฐาน พระสัพพัญญู พระประธานประจำพระอุโบสถ มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 70 นิ้ว สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2495 พระพุทธชินินทร ที่เป็นพระประจำอุโบสถ สมัยอู่ทอง และพระพุทธมนต์ปรีชา สุโขทัย ที่เป็นพระประธานหอประชุม ถัดจากนั้น​เดินไปด้านหลัง​ ไปสักการะ​ พระมหาเจดีย์ 84 พรรษา ราชนครินทร์ เป็นพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2553 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปจากทั่วโลก รวมถึงพระบรมสารีริกธาตุจากหลวงพ่อไจทีเซา เจ้าอาวาสวัดไจทีเซา ในประเทศพม่าด้วยครับ​ เป็น​ไงครับ​ แค่ลงรถไฟฟ้า​ สถานีเอกมัย​ มาไม่กี่ก้าว​ ก็จะพบกับ ความยิ่งใหญ่​ ความงาม​ และ​ความสงบ​ วัดธาตุ​ทอง​ ใกล้แค่นี้เอง #ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #temple #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 731 มุมมอง 0 รีวิว
  • 21/2/68

    วันนี้ช่วงเวลา 11 โมงไปถึงวัดตลาดศาลเจ้า ปทุมธานี ไปทานก๋วยเตี๋ยวหมูถูกมากชามละ 25& 30฿

    ได้ซื้อขนมหลายๆอย่าง รวมถึงห่อหมกตาเรศ

    ก่อนกลับแวะไปกราบอากงเซียนแปะโรงสี
    ได้เป็นผลไม้ที่ไหว้อากงมา 1 ถุง
    เอาบุญมาฝากกัลยามิตรทุกท่าน ให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว ร่ำรวยเงินทอง&ความดีงามกันทั่วทุกๆท่านนะคะ
    สาธุ สาธุ สาธุค่ะ
    21/2/68 วันนี้ช่วงเวลา 11 โมงไปถึงวัดตลาดศาลเจ้า ปทุมธานี ไปทานก๋วยเตี๋ยวหมูถูกมากชามละ 25& 30฿ ได้ซื้อขนมหลายๆอย่าง รวมถึงห่อหมกตาเรศ ก่อนกลับแวะไปกราบอากงเซียนแปะโรงสี ได้เป็นผลไม้ที่ไหว้อากงมา 1 ถุง เอาบุญมาฝากกัลยามิตรทุกท่าน ให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว ร่ำรวยเงินทอง&ความดีงามกันทั่วทุกๆท่านนะคะ สาธุ สาธุ สาธุค่ะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • ธรรมชาติสร้างสรรค์ วิทยาศาสตร์เป็นตัวกำหนด ทุกความอร่อยต้องมีเรื่องราว…
    ..ช็อกโกแลตคือของทานเล่นที่ทำให้ทุกคนมีความสุข…ในทุกเพศทุกวัยเพื่อสุขภาพที่ดี

    COCORA ….Premium Chocolate.
    ..Taste note: Nutty>Floral>Fruitty
    เข้มข้น กลิ่นหอม กลมกล่อม ละมุนลิ้น ไม่มีเปรี้ยว

    ความจริงที่ควรรู้กี่ยวกับ…Craft chocolate …สำหรับคนรัก Chocolate
    ..….ถ้าเป็นCraft Chocolate มันต้องเปรี้ยวสิ !!..คำนี้หลายท่านคงได้ยินกันมาจนชิน จนหลายท่านอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมมันถึงเปรี้ยว ...คราฟท์ช็อกโกแลตที่เปรี้ยวนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการหมักเมล็ดโกโก้ในกระบวนการแบบ Natural process ไปในทิศทางที่ไม่สมบูรณ์แบบ จนทำให้ในขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการหมักยังคงมีกรดอะซิติก(กรดนำ้ส้มสายชู)คงตกค้างอยู่ในเมล็ดจำนวนหนึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความพิถีพิถันของผู้หมัก ซึ่งขั้นตอนนี้จะทำค่อนข้างยาก การหมักโกโก้จึงเป็นงานศิลปะที่ต้องใช้ความรู้และเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ (food science )เข้ามาช่วยและต้องมีความละเอียดความเข้าใจในทุกขั้นตอนอย่างลึกซึ้ง ส่วนใหญ่กว่า90%มักจะทำให้เกิดรสชาติที่เปรี้ยวนำเพราะไม่สามารถกำจัดกรดอะซิติกออกไปจนหมด…ความเปรี้ยวที่เกิดขึ้นนี้รสชาติจะเปรี้ยวโดดแตกต่างจากเมล็ดโกโก้ที่มีโอกาสเกิดความเปรี้ยวเล็กน้อยหรือเปรี้ยวปลายแบบรสชาติผลไม้นานาชนิดที่มี taste note เรียกว่า fruity ซึ่งรสชาตินี้จะเกิดขึ้นได้จริงๆจากการหมักที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น เมื่อการหมักสมบูรณ์ปัจจัยปลีกย่อยอีกหลายอย่างก็ตามมากำหนดรสชาติความเป็นพื้นถิ่น เช่นสายพันธุ์เมล็ดโกโก้ที่ปลูก ,แหล่งที่ปลูก ,สภาพพื้นดินที่เป็นกรดเป็นด่าง ,ปุ๋ยที่ใ้ช้ และสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันในแต่ฤดูกาล และยังมีอีกหลายด้านที่ยังคงเป็นความลับของธรรมชาติ ที่มีผลทำให้เกิดรสชาติเฉพาะในพื้นถิ่นนั้นๆ(origin) ซึ่งอาจจะได้ taste note ในอีกหลากหลายรสชาติเช่น Nutty,Herbal,Spicy,Fruity,Vegetal
    ,Dark, Sweet ซึ่งเป็นเสน่ห์ของ craft chocolate ดังนั้นความอร่อยของรสชาติที่แท้จริงของช็อกโกแลตจึงต้องมาจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากต้นทาง โดยเฉพาะกระบวนการหมักที่จะเป็นตัวกำหนดรสชาติ
    ซึ่งก็ไม่ต่างจากการหมักเบียร์ หมักไวน์ หรือการหมักอาหาร ที่ยังต้องใช้เทคนิคทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหารเข้ามาช่วย

    แตกต่างกับ Factory chocolate (กระบวนการหมักแบบDutch Proceess)ที่ต้องใช้สารเคมีโปแตสเซียม ,อัลคาไรด์ ที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง เพื่อมาลดความเป็นกรด คือลดความเปรี้ยวเป็นหลัก รสชาติส่วนใหญ่จึงออกมาคลา้ยๆกันจนส่งผลกระทบต่อความหลากหลายของรสชาติอื่นๆ(taste note)ไปด้วย
    …ซึ่งไม่ว่าจะมาจากพื้นถิ่นไหน แถบใดของโลก สรุปได้ว่าถ้าเมล็ดที่หมักไม่สมบูรณ์ ก็จะเกิดความเปรี้ยวแบบลิ้นสัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่รสชาติโกโก้ที่ทุกคนคุ้นเคยจนน่าแปลก ยิ่งถ้าเปรี้ยวโดดเปรี้ยวดีดแล้ว จะหารสชาติที่เป็น single origin นั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะความเปรี้ยวจะไปลดทอน taste noteที่แท้จริง ทำให้ยากที่จะหาความชัดเจนของรสชาติโกโก้เฉพาะถิ่นนั้นๆ ซึ่งบางท่านอาจจะเข้าใจผิดในสิ่งที่รับรู้มาจากการสร้างเรื่องราวของการอ้างดินฟ้าอากาศ พื้นที่ที่ปลูก ฯลฯ ซึ่งเป็นstory ที่เป็นเรื่องเล่าถูกสร้างมาแบบไม่มีวิทยาศาสตร์มารองรับ เอาจริงๆมันก็เกี่ยวในแง่ของรสชาติพื้นถิ่น แต่คนละเรื่องกับความเปรี้ยวที่ว่านี้ อย่าลืมนะครับว่าเรากำลังทานโกโก้ที่ผ่านกระบวนการหมักแล้ว ไม่ใช่ทานผลสด ที่จะอมเปรี้ยว อมหวาน….หรือว่าบางท่านอาจหลงไหลชื่นชอบในรสชาติความแปลกใหม่ของรสชาติเปรี้ยวนำ เปรี้ยวโดด ซึ่งเป็นความชอบเฉพาะตัว จนบางท่านหลงคิดว่าเป็นรสชาติ Fruitty แต่อย่าลืมว่ามันคือ…ช็อกโกแลตที่ใส่นำ้ส้มสายชู..ดีดีนี่เอง….

    -กระบวนการหมักที่สมบูรณ์แบบ Natural process
    = เกิดรสชาติโกโก้แท้ๆอาจมี taste noteและกลิ่นที่หลากหลายของผลไม้ ดอกไม้ สมุนไพรหรือถั่วต่างๆ และไม่มีรสชาติเปรี้ยวโดดที่เกิดจากกรดนำ้ส้มสายชูตกค้าง
    -กระบวนการหมักไม่สมบูรณ์แบบ Natural process
    =โกโก้+นำ้ส้มสายชูตกค้าง ทำให้มีรสชาติเปรี้ยวนำ เปรี้ยวโดด จนสูญเสียรสชาติช็อกโกแลตที่แท้จริงไป
    -กระบวนการหมักแบบ Dutch Process = โกโก้ + โปแตสเซียม + (อัลคาไลน์) หรือสารเคมีชนิดอื่น ที่มีคุณสมบัติเป็นด่างเพื่อลดกรดจะทำให้ไม่มีรสชาติเปรี้ยว ออกแนวขมเข้มข้น กลิ่นหอม มักจะคั่วที่อุณภูมิสูงขาดจนความหลากหลายของ taste note

    **การคั่วเข้มคั่วอ่อนก็ยังมีผลต่อรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ
    -คั่วอ่อน เมล็ดโกโก้แห้งจะมีกลิ่นหอมขึ้นระดับหนึ่ง รสชาติจะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากยังคงได้taste note แบบดั้งเดิม และยังคงมีคุณค่าทางอาหารได้มากกว่าคั่วเข้ม
    -คั่วเข้ม รสชาติจะเข้มข้นขึ้น(dark)ออกไปทางขม(bitter) เพิ่มกลิ่นหอมของโกโก้ แต่จะเสียคุณค่าทางโภชนาการไปมากกว่า
    ….เรื่องราวทั้งหมดนี้ หวังว่าคงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนรัก craft chocolate ที่ต้องการทราบความจริงที่มีหนึ่งเดียว จริงๆแล้ววิทยาศาสตร์อยู่รอบตัวเรา การใช้ศาสตร์มาคิดวิเคราะห์ ด้วยหลักของเหตุผล เราก็จะได้ทราบถึงที่มาที่ไปและเข้าใจมันอย่างแท้จริง
    …หากท่านใดคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ ฝากกด Like กดShare ให้ผู้ที่รักและชื่นชอบ craft chocolate ได้เปิดโลกทัศน์ในโลกของโกโก้ด้วยครับ ขอบคุณครับ
    #cocora
    #craftchocolate
    #perfectfermentation
    #ไม่เปรี้ยวแน่นอน
    #rareitem

    ….ความสะอาด พิถีพิถัน คือหัวใจของเรา
    อร่อยมาจากข้างในเพราะเราใส่ใจทุกกระบวนการผลิต

    ..สุขภาพดี …แค่เพียงปลายนิ้ว
    ..ส่งตรงถึงบ้าน..ไม่มีละลายด้วยการบรรจุหีบห่ออย่างดี

    สนใจสั่งซื้อรายละเอียดตามนี้ครับ
    Inbox messenger ….จะตอบกลับโดยเร็วที่สุด ง่ายต่อการสื่อสารและต้องการข้อมูลรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติม สามารถดูเมนูได้ตามลิ้งค์ครับ

    https://www.facebook.com/share/p/1DqByxv8wA/?mibextid=wwXIfr

    ลิงค์ Lazada Shoppee (21/2/68 ปิดร้าน1วัน)

    https://s.lazada.co.th/s.Oi1un

    https://shope.ee/30OIXwR87J
    ธรรมชาติสร้างสรรค์ วิทยาศาสตร์เป็นตัวกำหนด ทุกความอร่อยต้องมีเรื่องราว… ..ช็อกโกแลตคือของทานเล่นที่ทำให้ทุกคนมีความสุข…ในทุกเพศทุกวัยเพื่อสุขภาพที่ดี COCORA ….Premium Chocolate. ..Taste note: Nutty>Floral>Fruitty เข้มข้น กลิ่นหอม กลมกล่อม ละมุนลิ้น ไม่มีเปรี้ยว ความจริงที่ควรรู้กี่ยวกับ…Craft chocolate …สำหรับคนรัก Chocolate ..….ถ้าเป็นCraft Chocolate มันต้องเปรี้ยวสิ !!..คำนี้หลายท่านคงได้ยินกันมาจนชิน จนหลายท่านอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมมันถึงเปรี้ยว ...คราฟท์ช็อกโกแลตที่เปรี้ยวนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการหมักเมล็ดโกโก้ในกระบวนการแบบ Natural process ไปในทิศทางที่ไม่สมบูรณ์แบบ จนทำให้ในขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการหมักยังคงมีกรดอะซิติก(กรดนำ้ส้มสายชู)คงตกค้างอยู่ในเมล็ดจำนวนหนึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความพิถีพิถันของผู้หมัก ซึ่งขั้นตอนนี้จะทำค่อนข้างยาก การหมักโกโก้จึงเป็นงานศิลปะที่ต้องใช้ความรู้และเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ (food science )เข้ามาช่วยและต้องมีความละเอียดความเข้าใจในทุกขั้นตอนอย่างลึกซึ้ง ส่วนใหญ่กว่า90%มักจะทำให้เกิดรสชาติที่เปรี้ยวนำเพราะไม่สามารถกำจัดกรดอะซิติกออกไปจนหมด…ความเปรี้ยวที่เกิดขึ้นนี้รสชาติจะเปรี้ยวโดดแตกต่างจากเมล็ดโกโก้ที่มีโอกาสเกิดความเปรี้ยวเล็กน้อยหรือเปรี้ยวปลายแบบรสชาติผลไม้นานาชนิดที่มี taste note เรียกว่า fruity ซึ่งรสชาตินี้จะเกิดขึ้นได้จริงๆจากการหมักที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น เมื่อการหมักสมบูรณ์ปัจจัยปลีกย่อยอีกหลายอย่างก็ตามมากำหนดรสชาติความเป็นพื้นถิ่น เช่นสายพันธุ์เมล็ดโกโก้ที่ปลูก ,แหล่งที่ปลูก ,สภาพพื้นดินที่เป็นกรดเป็นด่าง ,ปุ๋ยที่ใ้ช้ และสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันในแต่ฤดูกาล และยังมีอีกหลายด้านที่ยังคงเป็นความลับของธรรมชาติ ที่มีผลทำให้เกิดรสชาติเฉพาะในพื้นถิ่นนั้นๆ(origin) ซึ่งอาจจะได้ taste note ในอีกหลากหลายรสชาติเช่น Nutty,Herbal,Spicy,Fruity,Vegetal ,Dark, Sweet ซึ่งเป็นเสน่ห์ของ craft chocolate ดังนั้นความอร่อยของรสชาติที่แท้จริงของช็อกโกแลตจึงต้องมาจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากต้นทาง โดยเฉพาะกระบวนการหมักที่จะเป็นตัวกำหนดรสชาติ ซึ่งก็ไม่ต่างจากการหมักเบียร์ หมักไวน์ หรือการหมักอาหาร ที่ยังต้องใช้เทคนิคทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหารเข้ามาช่วย แตกต่างกับ Factory chocolate (กระบวนการหมักแบบDutch Proceess)ที่ต้องใช้สารเคมีโปแตสเซียม ,อัลคาไรด์ ที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง เพื่อมาลดความเป็นกรด คือลดความเปรี้ยวเป็นหลัก รสชาติส่วนใหญ่จึงออกมาคลา้ยๆกันจนส่งผลกระทบต่อความหลากหลายของรสชาติอื่นๆ(taste note)ไปด้วย …ซึ่งไม่ว่าจะมาจากพื้นถิ่นไหน แถบใดของโลก สรุปได้ว่าถ้าเมล็ดที่หมักไม่สมบูรณ์ ก็จะเกิดความเปรี้ยวแบบลิ้นสัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่รสชาติโกโก้ที่ทุกคนคุ้นเคยจนน่าแปลก ยิ่งถ้าเปรี้ยวโดดเปรี้ยวดีดแล้ว จะหารสชาติที่เป็น single origin นั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะความเปรี้ยวจะไปลดทอน taste noteที่แท้จริง ทำให้ยากที่จะหาความชัดเจนของรสชาติโกโก้เฉพาะถิ่นนั้นๆ ซึ่งบางท่านอาจจะเข้าใจผิดในสิ่งที่รับรู้มาจากการสร้างเรื่องราวของการอ้างดินฟ้าอากาศ พื้นที่ที่ปลูก ฯลฯ ซึ่งเป็นstory ที่เป็นเรื่องเล่าถูกสร้างมาแบบไม่มีวิทยาศาสตร์มารองรับ เอาจริงๆมันก็เกี่ยวในแง่ของรสชาติพื้นถิ่น แต่คนละเรื่องกับความเปรี้ยวที่ว่านี้ อย่าลืมนะครับว่าเรากำลังทานโกโก้ที่ผ่านกระบวนการหมักแล้ว ไม่ใช่ทานผลสด ที่จะอมเปรี้ยว อมหวาน….หรือว่าบางท่านอาจหลงไหลชื่นชอบในรสชาติความแปลกใหม่ของรสชาติเปรี้ยวนำ เปรี้ยวโดด ซึ่งเป็นความชอบเฉพาะตัว จนบางท่านหลงคิดว่าเป็นรสชาติ Fruitty แต่อย่าลืมว่ามันคือ…ช็อกโกแลตที่ใส่นำ้ส้มสายชู..ดีดีนี่เอง…. -กระบวนการหมักที่สมบูรณ์แบบ Natural process = เกิดรสชาติโกโก้แท้ๆอาจมี taste noteและกลิ่นที่หลากหลายของผลไม้ ดอกไม้ สมุนไพรหรือถั่วต่างๆ และไม่มีรสชาติเปรี้ยวโดดที่เกิดจากกรดนำ้ส้มสายชูตกค้าง -กระบวนการหมักไม่สมบูรณ์แบบ Natural process =โกโก้+นำ้ส้มสายชูตกค้าง ทำให้มีรสชาติเปรี้ยวนำ เปรี้ยวโดด จนสูญเสียรสชาติช็อกโกแลตที่แท้จริงไป -กระบวนการหมักแบบ Dutch Process = โกโก้ + โปแตสเซียม + (อัลคาไลน์) หรือสารเคมีชนิดอื่น ที่มีคุณสมบัติเป็นด่างเพื่อลดกรดจะทำให้ไม่มีรสชาติเปรี้ยว ออกแนวขมเข้มข้น กลิ่นหอม มักจะคั่วที่อุณภูมิสูงขาดจนความหลากหลายของ taste note **การคั่วเข้มคั่วอ่อนก็ยังมีผลต่อรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ -คั่วอ่อน เมล็ดโกโก้แห้งจะมีกลิ่นหอมขึ้นระดับหนึ่ง รสชาติจะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากยังคงได้taste note แบบดั้งเดิม และยังคงมีคุณค่าทางอาหารได้มากกว่าคั่วเข้ม -คั่วเข้ม รสชาติจะเข้มข้นขึ้น(dark)ออกไปทางขม(bitter) เพิ่มกลิ่นหอมของโกโก้ แต่จะเสียคุณค่าทางโภชนาการไปมากกว่า ….เรื่องราวทั้งหมดนี้ หวังว่าคงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนรัก craft chocolate ที่ต้องการทราบความจริงที่มีหนึ่งเดียว จริงๆแล้ววิทยาศาสตร์อยู่รอบตัวเรา การใช้ศาสตร์มาคิดวิเคราะห์ ด้วยหลักของเหตุผล เราก็จะได้ทราบถึงที่มาที่ไปและเข้าใจมันอย่างแท้จริง …หากท่านใดคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ ฝากกด Like กดShare ให้ผู้ที่รักและชื่นชอบ craft chocolate ได้เปิดโลกทัศน์ในโลกของโกโก้ด้วยครับ ขอบคุณครับ #cocora #craftchocolate #perfectfermentation #ไม่เปรี้ยวแน่นอน #rareitem ….ความสะอาด พิถีพิถัน คือหัวใจของเรา อร่อยมาจากข้างในเพราะเราใส่ใจทุกกระบวนการผลิต ..สุขภาพดี …แค่เพียงปลายนิ้ว ..ส่งตรงถึงบ้าน..ไม่มีละลายด้วยการบรรจุหีบห่ออย่างดี สนใจสั่งซื้อรายละเอียดตามนี้ครับ Inbox messenger ….จะตอบกลับโดยเร็วที่สุด ง่ายต่อการสื่อสารและต้องการข้อมูลรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติม สามารถดูเมนูได้ตามลิ้งค์ครับ https://www.facebook.com/share/p/1DqByxv8wA/?mibextid=wwXIfr ลิงค์ Lazada Shoppee (21/2/68 ปิดร้าน1วัน) https://s.lazada.co.th/s.Oi1un https://shope.ee/30OIXwR87J
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 582 มุมมอง 0 รีวิว
  • แค่โดดร่ม โลกไม่จำ : [News story]

    กิจกรรมเอ็กซ์ตรีมโดดร่มที่โลกต้องจำ ทั้งกินผลไม้ ดื่มไวน์ กลางอากาศ ก่อนจะโดดร่มด้วยความมั่นใจ พาคนดูหวาดเสียวไปตามๆกัน
    แค่โดดร่ม โลกไม่จำ : [News story] กิจกรรมเอ็กซ์ตรีมโดดร่มที่โลกต้องจำ ทั้งกินผลไม้ ดื่มไวน์ กลางอากาศ ก่อนจะโดดร่มด้วยความมั่นใจ พาคนดูหวาดเสียวไปตามๆกัน
    Like
    Love
    Haha
    Wow
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1221 มุมมอง 34 0 รีวิว
  • ## รู้จัก NCDs โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง...ก่อนสายเกินไป!

    รู้หรือไม่? โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) กำลังเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของคนไทยและทั่วโลก! อย่ามองข้าม เพราะมันอาจใกล้ตัวคุณมากกว่าที่คิด

    **NCDs คืออะไร?** รวมโรคเรื้อรังที่เกิดจากหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดี ได้แก่

    * **โรคหัวใจและหลอดเลือด:** อันตรายถึงชีวิต! อาการเริ่มต้นอาจไม่ชัดเจน ต้องหมั่นตรวจเช็กสุขภาพเป็นประจำ
    * **โรคมะเร็ง:** ตัวร้ายที่คร่าชีวิตคนเป็นอันดับต้นๆ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการตรวจสุขภาพและดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี
    * **โรคเบาหวาน:** ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ควบคุมได้ด้วยการรับประทานอาหารและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
    * **โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD):** หายใจลำบาก มักเกิดจากการสูบบุหรี่ เลิกบุหรี่เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า

    **ป้องกันได้นะ! ด้วยวิธีง่ายๆเหล่านี้**

    * **กินดีอยู่ดี:** เน้นผักผลไม้ ลดอาหารมัน เค็ม หวาน
    * **ออกกำลังกายสม่ำเสมอ:** อย่างน้อย 30 นาที ต่อวัน
    * **หลีกเลี่ยงอบายมุข:** เลิกบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    * **ตรวจสุขภาพประจำปี:** รู้เท่าทันสุขภาพตัวเอง

    **อย่าปล่อยให้ NCDs มาทำลายสุขภาพของคุณ!** เริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่มีสุขภาพดีและยืนยาว

    #NCDs #โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง #สุขภาพดี #สุขภาพ #ดูแลตัวเอง

    #พลังZeeds
    ## รู้จัก NCDs โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง...ก่อนสายเกินไป! รู้หรือไม่? โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) กำลังเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของคนไทยและทั่วโลก! อย่ามองข้าม เพราะมันอาจใกล้ตัวคุณมากกว่าที่คิด **NCDs คืออะไร?** รวมโรคเรื้อรังที่เกิดจากหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดี ได้แก่ * **โรคหัวใจและหลอดเลือด:** อันตรายถึงชีวิต! อาการเริ่มต้นอาจไม่ชัดเจน ต้องหมั่นตรวจเช็กสุขภาพเป็นประจำ * **โรคมะเร็ง:** ตัวร้ายที่คร่าชีวิตคนเป็นอันดับต้นๆ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการตรวจสุขภาพและดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี * **โรคเบาหวาน:** ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ควบคุมได้ด้วยการรับประทานอาหารและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม * **โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD):** หายใจลำบาก มักเกิดจากการสูบบุหรี่ เลิกบุหรี่เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า **ป้องกันได้นะ! ด้วยวิธีง่ายๆเหล่านี้** * **กินดีอยู่ดี:** เน้นผักผลไม้ ลดอาหารมัน เค็ม หวาน * **ออกกำลังกายสม่ำเสมอ:** อย่างน้อย 30 นาที ต่อวัน * **หลีกเลี่ยงอบายมุข:** เลิกบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ * **ตรวจสุขภาพประจำปี:** รู้เท่าทันสุขภาพตัวเอง **อย่าปล่อยให้ NCDs มาทำลายสุขภาพของคุณ!** เริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่มีสุขภาพดีและยืนยาว #NCDs #โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง #สุขภาพดี #สุขภาพ #ดูแลตัวเอง #พลังZeeds
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 467 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพ-คลิปเครื่องจริงเพิ่ม สอดไส้ไอคลาวด์แตงโม : [NEWS UPDATE]
    พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เข้าให้ข้อมูลกับหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของ แตงโม นิดา กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในฐานะพยานใน 2 ประเด็น คือผ้าขาวและโทรศัพท์มือถือของแตงโมที่ได้จากบังแจ็ค มอบเอกสารให้ดีเอสไอเกี่ยวกับเส้นทางของผ้า แชทข้อมูลการติดต่อผ่าน LINE คลิปวิดีโอคอลพูดคุยระหว่างผู้ส่งกับบังแจ็คก่อนส่งผ้า มีคนชื่อเป็นผลไม้ชนิด ติดต่อหาบังแจ็คผ่าน LINE พูดถึงหลักฐานและขอที่อยู่เพื่อจัดส่งผ้าให้ จากนั้นมีคนทักบังแจ็คถามว่าผ้าถึงแล้วหรือ ขอให้ไลฟ์สดร่วมกัน โดยมีทนายมาร่วมพูดคุย ส่วนโทรศัพท์มือถือ iPhone 13 Pro ของแตงโม ยืนยัน เครื่องที่ได้รับจากบังแจ็คเป็นเครื่องโคลนนิ่งจากเครื่องจริง เมื่อกู้ข้อมูลจาก iCloud พบ มีภาพและวีดีโอเพิ่มจากเครื่องจริงจำนวนมาก ส่วนโทรศัพท์มือถือเครื่องจริงอยู่ที่ไหน ไม่ทราบ อาจอยู่ที่ผู้ร้าย คนดีๆ ที่ไหนจะเปลี่ยนสลับเครื่องมาให้ ต้องกลับไปดูไทม์ไลน์ว่าโคลนนิ่งช่วงไหน



    กันคนไทยหมกมุ่นพนัน

    ห้ามออกหมายจับสส.เพื่อใคร

    สะกิดแบงก์ชาติดึงจีดีพี

    รับมืออากาศแปรปรวน
    ภาพ-คลิปเครื่องจริงเพิ่ม สอดไส้ไอคลาวด์แตงโม : [NEWS UPDATE] พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เข้าให้ข้อมูลกับหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของ แตงโม นิดา กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในฐานะพยานใน 2 ประเด็น คือผ้าขาวและโทรศัพท์มือถือของแตงโมที่ได้จากบังแจ็ค มอบเอกสารให้ดีเอสไอเกี่ยวกับเส้นทางของผ้า แชทข้อมูลการติดต่อผ่าน LINE คลิปวิดีโอคอลพูดคุยระหว่างผู้ส่งกับบังแจ็คก่อนส่งผ้า มีคนชื่อเป็นผลไม้ชนิด ติดต่อหาบังแจ็คผ่าน LINE พูดถึงหลักฐานและขอที่อยู่เพื่อจัดส่งผ้าให้ จากนั้นมีคนทักบังแจ็คถามว่าผ้าถึงแล้วหรือ ขอให้ไลฟ์สดร่วมกัน โดยมีทนายมาร่วมพูดคุย ส่วนโทรศัพท์มือถือ iPhone 13 Pro ของแตงโม ยืนยัน เครื่องที่ได้รับจากบังแจ็คเป็นเครื่องโคลนนิ่งจากเครื่องจริง เมื่อกู้ข้อมูลจาก iCloud พบ มีภาพและวีดีโอเพิ่มจากเครื่องจริงจำนวนมาก ส่วนโทรศัพท์มือถือเครื่องจริงอยู่ที่ไหน ไม่ทราบ อาจอยู่ที่ผู้ร้าย คนดีๆ ที่ไหนจะเปลี่ยนสลับเครื่องมาให้ ต้องกลับไปดูไทม์ไลน์ว่าโคลนนิ่งช่วงไหน กันคนไทยหมกมุ่นพนัน ห้ามออกหมายจับสส.เพื่อใคร สะกิดแบงก์ชาติดึงจีดีพี รับมืออากาศแปรปรวน
    Like
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 934 มุมมอง 32 0 รีวิว
  • Kombucha ที่หมัก F2 (การหมักครั้งที่สอง)
    ด้วยชาพาสชั่นฟรุต และพีช มีประโยชน์หลายประการ ดังนี้:

    1. **เพิ่มรสชาติ**: การเติมชาพาสชั่นฟรุตและพีชในขั้นตอน F2 ช่วยเพิ่มรสชาติที่หลากหลายและน่าดึงดูด ทำให้ Kombucha มีรสหวานอมเปรี้ยวพร้อมกลิ่นผลไม้สดชื่น
    2. **เพิ่มสารอาหาร**: ชาพาสชั่นฟรุตและพีชอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยเสริมคุณค่าทางโภชนาการของ Kombucha
    3. **ช่วยระบบย่อยอาหาร**: Kombucha มีโปรไบโอติกที่ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
    4. **เสริมภูมิคุ้มกัน**: สารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินจากชาพาสชั่นฟรุตและพีชช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
    5. **ดีท็อกซ์ร่างกาย**: Kombucha ช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกาย และการเติมชาพาสชั่นฟรุตและพีชยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการนี้
    6. **ลดความเครียด**: ชาพาสชั่นฟรุตมีคุณสมบัติช่วยคลายความเครียดและทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
    7. **เพิ่มพลังงาน**: Kombucha มีวิตามินบีและคาเฟอีนจากชาที่ช่วยเพิ่มพลังงานและความตื่นตัว
    8. **ดีต่อผิวพรรณ**: สารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซีจากพีชและชาพาสชั่นฟรุตช่วยบำรุงผิวให้สุขภาพดี


    สรุปแล้ว Kombucha ที่หมัก F2 ด้วยชาพาสชั่นฟรุตและพีชไม่เพียงแต่มีรสชาติที่ดี แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ทั้งระบบย่อยอาหาร ภูมิคุ้มกัน และผิวพรรณ

    https://s.shopee.co.th/1g3sU0Y2KZ
    Kombucha ที่หมัก F2 (การหมักครั้งที่สอง) ด้วยชาพาสชั่นฟรุต และพีช มีประโยชน์หลายประการ ดังนี้: 1. **เพิ่มรสชาติ**: การเติมชาพาสชั่นฟรุตและพีชในขั้นตอน F2 ช่วยเพิ่มรสชาติที่หลากหลายและน่าดึงดูด ทำให้ Kombucha มีรสหวานอมเปรี้ยวพร้อมกลิ่นผลไม้สดชื่น 2. **เพิ่มสารอาหาร**: ชาพาสชั่นฟรุตและพีชอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยเสริมคุณค่าทางโภชนาการของ Kombucha 3. **ช่วยระบบย่อยอาหาร**: Kombucha มีโปรไบโอติกที่ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น 4. **เสริมภูมิคุ้มกัน**: สารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินจากชาพาสชั่นฟรุตและพีชช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย 5. **ดีท็อกซ์ร่างกาย**: Kombucha ช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกาย และการเติมชาพาสชั่นฟรุตและพีชยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการนี้ 6. **ลดความเครียด**: ชาพาสชั่นฟรุตมีคุณสมบัติช่วยคลายความเครียดและทำให้รู้สึกผ่อนคลาย 7. **เพิ่มพลังงาน**: Kombucha มีวิตามินบีและคาเฟอีนจากชาที่ช่วยเพิ่มพลังงานและความตื่นตัว 8. **ดีต่อผิวพรรณ**: สารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซีจากพีชและชาพาสชั่นฟรุตช่วยบำรุงผิวให้สุขภาพดี สรุปแล้ว Kombucha ที่หมัก F2 ด้วยชาพาสชั่นฟรุตและพีชไม่เพียงแต่มีรสชาติที่ดี แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ทั้งระบบย่อยอาหาร ภูมิคุ้มกัน และผิวพรรณ https://s.shopee.co.th/1g3sU0Y2KZ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใหม่ !!!

    น้ำส้มสายชูหมักธรรมชาติ จากมะขามป้อม
    Indian Gooseberry Cider Vinegar

    ORGANIC & WITH THE MOTHER
    ไม่กรอง ไม่พาสเจอร์ไรส์ อุดมไปด้วย Probiotics
    และจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ต่อร่างกาย

    สรรพคุณ :
    - ต้านการอักเสบ ยังยั้งการสร้างเมลานินได้
    - มีสารต้านอนุมูลอิสระ และ วิตามินซี
    - แก้ไอ ละลายเสมหะ -แก้กระหายน้ำ
    - ช่วยขับปัสสาวะ เป็นยาระบายอ่อนๆ
    - ช่วยลด และรักษาเลือดออกตามไรฟัน
    - แก้คลื่นไส้ อาเจียน
    - ช่วยชะลอความแก่ บำรุงผิวพรรณ


    วิธีการใช้ Indian Gooseberry Cider Vinegar: GBCV Keto Friendly
    ==============================
    1 🥤 ผสมกับเครื่องดื่มเย็นๆ อาจจะเป็นน้ำเย็นธรรมดา หรือ น้ำผลไม้ , น้ำสมุนไพร หรือ น้ำโซดา โดยผสมวีนีก้าร์เพียง 2-3 ช้อนชา เท่านั้น
    2 🥘 ใช้เป็นส่วนผสมในปรุง หรือการหมักอาหาร
    3 🥗 ใช้เป็นส่วนผสมในการปรุง น้ำสลัด , น้ำซอส หรือ น้ำจิ้ม
    4 🥨 ใช้เป็นส่วนผสมในการอบขนม เช่น คุกกี้ หรือ เบเกอรี่ต่างๆ
    5 👧 ใช้เป็นโทนเนอร์ทำความสะอาดผิวหน้า โดยมีอัตราส่วน 1:1 น้ำวีนีก้าร์ กับ น้ำสะอาด


    สั่งซื้อได้แล้วตอนนี้ ที่ Shopee : https://s.shopee.co.th/6V8qkraHos
    ใหม่ !!! น้ำส้มสายชูหมักธรรมชาติ จากมะขามป้อม Indian Gooseberry Cider Vinegar ORGANIC & WITH THE MOTHER ไม่กรอง ไม่พาสเจอร์ไรส์ อุดมไปด้วย Probiotics และจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ต่อร่างกาย สรรพคุณ : - ต้านการอักเสบ ยังยั้งการสร้างเมลานินได้ - มีสารต้านอนุมูลอิสระ และ วิตามินซี - แก้ไอ ละลายเสมหะ -แก้กระหายน้ำ - ช่วยขับปัสสาวะ เป็นยาระบายอ่อนๆ - ช่วยลด และรักษาเลือดออกตามไรฟัน - แก้คลื่นไส้ อาเจียน - ช่วยชะลอความแก่ บำรุงผิวพรรณ วิธีการใช้ Indian Gooseberry Cider Vinegar: GBCV Keto Friendly ============================== 1 🥤 ผสมกับเครื่องดื่มเย็นๆ อาจจะเป็นน้ำเย็นธรรมดา หรือ น้ำผลไม้ , น้ำสมุนไพร หรือ น้ำโซดา โดยผสมวีนีก้าร์เพียง 2-3 ช้อนชา เท่านั้น 2 🥘 ใช้เป็นส่วนผสมในปรุง หรือการหมักอาหาร 3 🥗 ใช้เป็นส่วนผสมในการปรุง น้ำสลัด , น้ำซอส หรือ น้ำจิ้ม 4 🥨 ใช้เป็นส่วนผสมในการอบขนม เช่น คุกกี้ หรือ เบเกอรี่ต่างๆ 5 👧 ใช้เป็นโทนเนอร์ทำความสะอาดผิวหน้า โดยมีอัตราส่วน 1:1 น้ำวีนีก้าร์ กับ น้ำสะอาด สั่งซื้อได้แล้วตอนนี้ ที่ Shopee : https://s.shopee.co.th/6V8qkraHos
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 335 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณประโยชน์จากอาหาร(พืช+ผัก+ผลไม้)
    คุณประโยชน์จากอาหาร(พืช+ผัก+ผลไม้)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 5 0 รีวิว
  • พ.อ.นพ. ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เข้าให้ข้อมูลกับหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของ แตงโม นิดา กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในฐานะพยานใน 2 ประเด็น คือผ้าขาวและโทรศัพท์มือถือของแตงโมที่ได้จากบังแจ็ค มอบเอกสารให้ดีเอสไอเกี่ยวกับเส้นทางของผ้า แชทข้อมูลการติดต่อผ่าน LINE คลิปวิดีโอคอลพูดคุยระหว่างผู้ส่งกับบังแจ็คก่อนส่งผ้า มีคนชื่อเป็นผลไม้ชนิด ติดต่อหาบังแจ็คผ่าน LINE พูดถึงหลักฐานและขอที่อยู่เพื่อจัดส่งผ้าให้ จากนั้นมีคนทักบังแจ็คถามว่าผ้าถึงแล้วหรือ ขอให้ไลฟ์สดร่วมกัน โดยมีทนายมาร่วมพูดคุย ส่วนโทรศัพท์มือถือ iPhone 13 Pro ของแตงโม ยืนยัน เครื่องที่ได้รับจากบังแจ็คเป็นเครื่องโคลนนิ่งจากเครื่องจริง เมื่อกู้ข้อมูลจาก iCloud พบ มีภาพและวีดีโอเพิ่มจากเครื่องจริงจำนวนมาก ส่วนโทรศัพท์มือถือเครื่องจริงอยู่ที่ไหน ไม่ทราบ อาจอยู่ที่ผู้ร้าย คนดีๆ ที่ไหนจะเปลี่ยนสลับเครื่องมาให้ ต้องกลับไปดูไทม์ไลน์ว่าโคลนนิ่งช่วงไหน
    พ.อ.นพ. ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เข้าให้ข้อมูลกับหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของ แตงโม นิดา กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในฐานะพยานใน 2 ประเด็น คือผ้าขาวและโทรศัพท์มือถือของแตงโมที่ได้จากบังแจ็ค มอบเอกสารให้ดีเอสไอเกี่ยวกับเส้นทางของผ้า แชทข้อมูลการติดต่อผ่าน LINE คลิปวิดีโอคอลพูดคุยระหว่างผู้ส่งกับบังแจ็คก่อนส่งผ้า มีคนชื่อเป็นผลไม้ชนิด ติดต่อหาบังแจ็คผ่าน LINE พูดถึงหลักฐานและขอที่อยู่เพื่อจัดส่งผ้าให้ จากนั้นมีคนทักบังแจ็คถามว่าผ้าถึงแล้วหรือ ขอให้ไลฟ์สดร่วมกัน โดยมีทนายมาร่วมพูดคุย ส่วนโทรศัพท์มือถือ iPhone 13 Pro ของแตงโม ยืนยัน เครื่องที่ได้รับจากบังแจ็คเป็นเครื่องโคลนนิ่งจากเครื่องจริง เมื่อกู้ข้อมูลจาก iCloud พบ มีภาพและวีดีโอเพิ่มจากเครื่องจริงจำนวนมาก ส่วนโทรศัพท์มือถือเครื่องจริงอยู่ที่ไหน ไม่ทราบ อาจอยู่ที่ผู้ร้าย คนดีๆ ที่ไหนจะเปลี่ยนสลับเครื่องมาให้ ต้องกลับไปดูไทม์ไลน์ว่าโคลนนิ่งช่วงไหน
    Like
    13
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 981 มุมมอง 27 0 รีวิว
  • "อาหารเป็นยา" เป็นคำกล่าวที่สะท้อนถึงความสำคัญของอาหารที่มีต่อสุขภาพ โดยเน้นว่าอาหารไม่เพียงแต่ให้พลังงานและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยป้องกันและรักษาโรคได้อีกด้วย แนวคิดนี้มีรากฐานมาจากทั้งภูมิปัญญาดั้งเดิมและวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

    ### ตัวอย่างอาหารที่เป็นยา
    1. **กระเทียม**: ช่วยลดความดันโลหิตและคอเลสเตอรอล มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
    2. **ขิง**: ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียน ลดการอักเสบในร่างกาย
    3. **ขมิ้น**: มีสารเคอร์คูมินที่ช่วยต้านการอักเสบและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
    4. **ผักใบเขียว**: เช่น คะน้า ผักโขม อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพ
    5. **ผลไม้ตระกูลเบอร์รี**: เช่น บลูเบอร์รี สตรอเบอร์รี มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอวัยและป้องกันโรค

    ### หลักการบริโภคอาหารเป็นยา
    - **สมดุล**: บริโภคอาหารให้หลากหลายและครบ 5 หมู่
    - **ปริมาณที่เหมาะสม**: ไม่บริโภคมากหรือน้อยเกินไป
    - **คุณภาพ**: เลือกอาหารสด สะอาด และปราศจากสารเคมี
    - **การปรุงอย่างเหมาะสม**: หลีกเลี่ยงการทอดหรือใช้น้ำมันมากเกินไป

    ### ข้อควรระวัง
    แม้อาหารจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ควรใช้แทนการรักษาทางการแพทย์เมื่อมีอาการป่วยรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนปรับเปลี่ยนการบริโภคอาหารเพื่อการรักษาโรคใดๆ

    การเลือกรับประทานอาหารอย่างถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือหัวใจของแนวคิด "อาหารเป็นยา"
    "อาหารเป็นยา" เป็นคำกล่าวที่สะท้อนถึงความสำคัญของอาหารที่มีต่อสุขภาพ โดยเน้นว่าอาหารไม่เพียงแต่ให้พลังงานและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยป้องกันและรักษาโรคได้อีกด้วย แนวคิดนี้มีรากฐานมาจากทั้งภูมิปัญญาดั้งเดิมและวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ### ตัวอย่างอาหารที่เป็นยา 1. **กระเทียม**: ช่วยลดความดันโลหิตและคอเลสเตอรอล มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง 2. **ขิง**: ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียน ลดการอักเสบในร่างกาย 3. **ขมิ้น**: มีสารเคอร์คูมินที่ช่วยต้านการอักเสบและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน 4. **ผักใบเขียว**: เช่น คะน้า ผักโขม อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพ 5. **ผลไม้ตระกูลเบอร์รี**: เช่น บลูเบอร์รี สตรอเบอร์รี มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอวัยและป้องกันโรค ### หลักการบริโภคอาหารเป็นยา - **สมดุล**: บริโภคอาหารให้หลากหลายและครบ 5 หมู่ - **ปริมาณที่เหมาะสม**: ไม่บริโภคมากหรือน้อยเกินไป - **คุณภาพ**: เลือกอาหารสด สะอาด และปราศจากสารเคมี - **การปรุงอย่างเหมาะสม**: หลีกเลี่ยงการทอดหรือใช้น้ำมันมากเกินไป ### ข้อควรระวัง แม้อาหารจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ควรใช้แทนการรักษาทางการแพทย์เมื่อมีอาการป่วยรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนปรับเปลี่ยนการบริโภคอาหารเพื่อการรักษาโรคใดๆ การเลือกรับประทานอาหารอย่างถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือหัวใจของแนวคิด "อาหารเป็นยา"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 382 มุมมอง 0 รีวิว
  • #การอักเสบ

    ส่งผลกระทบต่อทุกแง่มุมด้านสุขภาพของคุณได้อย่างไร

    การอักเสบควบคุมชีวิตของเรา ถ้าคุณหรือคนที่คุณรักกำลังต่อสู้กับอาการปวด โรคอ้วน โรคสมาธิสั้น ปลายประสาทอักเสบ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ไมเกรน ปัญหาต่อมไทรอยด์ ปัญหาทางทันตกรรมหรือโรคมะเร็ง

    น่าเศร้าที่คนส่วนใหญ่กำลังทุกข์ทรมานจากหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งของความผิดปกติเหล่านี้ แต่ไม่มีแนวความคิดหรือวิธีการที่จะกำจัดการอักเสบ แพทย์ส่วนใหญ่ใช้ยาแทนการมุ่งเป้าไปที่ต้นตอของสาเหตุ

    มันมักจะดูเหมือนว่า..มันเป็นเรื่องแปลกเป็นอย่างยิ่งเมื่อตระหนักว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของการอักเสบเริ่มต้นในลำไส้จากปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันซึ่งจะดำเนินการอักเสบไปยังระบบต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการจัดการอย่างแท้จริงและหวังว่าจะเอาชนะโรค

    การมองให้ลึกถึงขั้นตอนแห่งการเริ่มต้นเป็นกุญแจที่สำคัญที่สุด

    ....การอักเสบเริ่มต้นที่ใด.....

    ลำไส้ของคุณประกอบขึ้นด้วยเยื่อบุกึ่งซึมผ่านที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ พื้นที่ผิวของลำไส้ของคุณสามารถครอบคลุมพื้นที่เท่ากับสนามเทนนิส 2 สนามเมื่อแผ่ออกให้แบน

    ระดับของการซึมผ่านผันผวนตามการตอบสนองต่อความหลากหลายของสภาพสารเคมี... ตัวอย่างเช่นเมื่อฮอร์โมน cortisol สูงขึ้นเนื่องจากความเครียดจากการโต้แย้งหรือระดับฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ของคุณเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการเผาผลาญน้ำมันในตอนเที่ยงคืน เยื่อบุลำไส้ของคุณจะซึมผ่านได้มากขึ้น ณ เวลานั้น ๆ

    จากนั้นเมื่อกินอาหารที่ไม่สามารถย่อยได้บางส่วน อาหารที่มีสารพิษ... ไวรัส ยีสต์และแบคทีเรียก็มีโอกาสที่จะผ่านลำไส้และการเข้าไปยังกระแสเลือด..สิ่งนี้รู้จักกันว่าเป็นกลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่วหรือ leaky gut syndrome (LGS)

    เมื่อเยื่อบุลำไส้ได้รับความเสียหายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เซลล์ที่เสียหายเรียกกันว่า microvilli จะไม่สามารถทำงานของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง พวกเขาไม่สามารถดำเนินการและใช้ประโยชน์จากสารอาหารและเอนไซม์ที่มีความสำคัญในการย่อยอาหารที่เหมาะสม ในท้ายที่สุดการย่อยอาหารและการดูดซึมของสารอาหารจะลดลง นี่คือผลกระทบในเชิงลบ เมื่อเยื่อบุลำไส้ของคุณสัมผัสกับสิ่งที่กล่าวมามากขึ้น..ร่างกายของคุณก็เริ่มต้นการถูกโจมตีจากผู้รุกรานเหล่านี้ และร่างกายจะตอบสนองด้วยการอักเสบที่ก่อให้เกิด ภูมิแพ้ แพ้ภูมิ และอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอีกมากมาย

    ดังนั้นคุณอาจจะถามว่า : การอักเสบเป็นอันตรายได้อย่างไรและเกิดอาการแพ้อย่างต่อเนื่องหรือไม่

    มันอาจฟังดูเหมือนว่าค่อนข้างจะไม่อันตรายสักเท่าไหร่..แต่สถานการณ์นี้สามารถนำไปสู่โรคร้ายแรงและบั่นทอนได้อีกมากมาย เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะมีภาระมากเกินไป การอักเสบเหล่านี้จะเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่องผ่านทางเลือดของคุณที่พวกเขาสามารถส่งผลกระทบต่อเส้นประสาท อวัยวะ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ข้อต่อและกล้ามเนื้อ

    การอักเสบก่ออาการของโรคอื่นๆ

    การปรากฏตัวของการอักเสบเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดโรคส่วนใหญ่ มันมักจะเกิดขึ้นมานานหลายปีก่อนที่มันจะอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนหรือมีนัยสำคัญทางคลินิก

    รายการต่อไปนี้มีความเกี่ยวข้องกับการอักเสบเสมอ

    โรคภูมิแพ้----ภูมิคุ้มกัน 4 ประเภท + ความไว..ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดการอักเสบ

    อัลไซม์เมอร์----การอักเสบเรื้อรังทำลายเซลล์สมอง

    โรคโลหิตจาง---- cytokinesที่กระตุ้นการอักเสบโจมตีการผลิต erythropoietin

    Ankylosing Spondylitis (โรคกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด)----cytokines ที่กระตุ้นการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองในข้อต่างๆ

    หอบหืด---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาของภูมิต้านทานให้ตอบสนองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ

    ออทิสติก---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาของภูมิต้านทานที่ผิดปกติเข้าไปควบคุมการพัฒนาสมองซีกขวา

    โรคข้ออักเสบ---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำลายกระดูกอ่อนและของเหลว synovial

    Carpal Tunnel Syndrome (โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ) เกิดจากการอักเสบเรื้อรังในความเครียดของกล้ามเนื้อที่มากเกินไปทำให้เส้นเอ็นแขนหดตัวและข้อมือบีบอัดเส้นประสาท

    Celiac Chronic (โรคแพ้กลูเตน)----ภูมิคุ้มกันจัดการกับความเสียหายและก่อให้เกิดการอักเสบที่เยื่อบุลำไส้

    โรค Crohn ----โรคเรื้อรังจากระบบภูมิคุ้มกันเกิดความเสียหายและเกิดการอักเสบเยื่อบุลำไส้

    หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน----การอักเสบเรื้อรังก่อให้เกิดการเสียหายต่อกล้ามเนื้อหัวใจ

    กลาก สิวเอ็กซิม่า----การอักเสบเรื้อรังของลำไส้และตับกำจัดสารพิษได้ไม่ดีและมักจะเกิดจากแอนติบอดีต่อสู้กับ Transglutaminase-3

    Fibromyalgia (ปวดทั่วสรรพางค์กาย)---- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันอักเสบ เกิดจากความเป็นกรดของร่างกายที่ยินยอมให้จุลชีพฝั่งเลวเข้าเล่นงานเนื้อเยื่ออ่อนและมาจากความไม่สมดุลทางโภชนาการและระบบประสาทรอง

    โรคปอดอักเสบ---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเข้าโจมตีเนื้อเยื่อที่บอบช้ำ

    โรคถุงน้ำดี----การอักเสบของท่อน้ำดีหรือคอเลสเตอรอลส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการตอบสนองต่อการอักเสบในลำไส้

    โรคกรดไหลย้อน----การอักเสบของหลอดอาหารและระบบทางเดินอาหารเกือบตลอดเวลา ความไวต่ออาหารและค่า pH เป็นตัวขับเคลื่อน

    โรคจีบีเอส โรคกิลแลงบาร์เร GBS Guillain-Barre syndrome ภูมิคุ้มกันอัตโนมัติเข้าโจมตีระบบประสาทมักจะเกิดโดยการตอบสนองของ autoimmune ต่อความเครียดภายนอกเช่นการฉีดวัคซีน

    Hashimoto's Thyroiditis (ต่อมไทรอยด์อักเสบ)----ภูมิคุ้มกันเกิดปฏิกิริยาในลำไส้โดยเรียกแอนติบอดีมาต่อต้านเอนไซม์และของต่อมไทรอยด์และโปรตีน

    หัวใจวาย----การอักเสบเรื้อรังก่อให้เกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ

    ไตวาย----cytokines ที่ก่อการอักเสบจำกัด การไหลเวียนและก่อความเสียหายต่อ nephrons และท่อไต

    โรคลูปัส พุ่มพวง SLE---- cytokines ที่ก่ออักเสบเหนี่ยวนำให้ autoimmune เกิดการโจมตีต่อเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน

    โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง Multiple Sclerosis ----cytokinesที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับไมอีลิน myelin

    โรคระบบประสาท---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับไมอีลินและหลอดเลือดและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งทำให้ระคายเคืองเส้นประสาท

    ตับอ่อนอักเสบ---- cytokinesที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดการบาดเจ็บของเซลล์ตับอ่อน

    โรคสะเก็ดเงิน Psoriasis ----การอักเสบเรื้อรังของลำไส้และตับล้างพิษได้ไม่เต็มความสามารถ

    ปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออ่อนเหตุอักเสบเรื้อรัง Polymyalgia rheumatic PMR ----cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน

    โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับข้อต่อ

    โรคหนังแข็ง scleroderma---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้ autoimmune เกิดการโจมตีกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน

    โรคหลอดเลือดสมอง----การอักเสบเรื้อรังส่งเสริมให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน

    ทำไมการอักเสบจะต้องอยู่ที่รากเหง้าของปัญหา

    ความจริงที่ว่าระบบภูมิคุ้มกันของคุณขับเคลื่อนกระบวนการอักเสบในโรคต่างๆเป็นที่ยอมรับกันมานาน แต่น่าเสียดายที่การแพทย์ตะวันตกมีคำตอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในการจัดการหรือการเอาชนะกระบวนการของภูมิต้านทานน้อยเกินไป

    วิธีการโดยทั่วไปในการรักษาคือการปราบปรามการตอบสนองของภูมิคุ้มกันด้วยยาปราบภูมิคุ้มกันหรือบางครั้งก็สเตียรอยด์ วิธีการทั้งสองได้รับการออกแบบเพื่อลดการอักเสบ แต่ไม่ได้หยุดกระบวนการของโรคประจำตัวหรือช่วยให้เนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการกู้คืน

    ถ้าคุณปิดกั้นสาเหตุที่แท้จริงของการก่อโรค (การอักเสบ) ทั้งหมดที่คุณต้องทำคือการหยุดการทำลายเซลล์ทุกเซลล์ของร่างกายและปล่อยให้ร่างกายของคุณสร้างเซลล์ใหม่ที่ไม่ก่อการอักเสบ

    การเชื่อมโยงระหว่างการทำงานที่ผิดปกติของลำไส้และโรคทั้งหลายที่มาจากการอักเสบ

    คำว่าการอักเสบมักจะไม่ค่อยทำให้ใครหลายคนนึกเห็นภาพที่ถูกต้องอย่างแท้จริงในใจของพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะประสบกับมันจริงๆ จากนั้นก็จะเริ่มทำให้รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ

    จะเห็นได้ว่าหลายโรคที่เกิดจากการอักเสบและสร้างความทุกข์ทรมาน มันมาจากลำไส้

    แต่การรักษาทั่วไปไม่นำเสนอประเด็นนี้.. Dr. Maios Hadjivassiliou แห่งอังกฤษ- ผู้ค้นพบกลูแตน-ได้รายงานใน The Lancet ว่า"ความไวต่อกลูแตนสามารถเป็นหลักในการวินิจฉัยเบื้องต้นและในบางครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางระบบประสาท" ซึ่งหมายความว่าคนที่ไวต่อกลูแตนจะมีปัญหากับการทำงานของสมองแม้จะไม่มีปัญหาระบบทางเดินอาหารแต่อย่างใด ดร. Hadjivassiliou แสดงให้เห็นว่าแอนติบอดี้จะเกิดขึ้นในร่างกายเมื่อพวกเขามีความไวต่อกลูแตนและสามารถส่งความเป็นพิษเข้าสู่สมองได้โดยตรง สำหรับสิ่งนี้การทดสอบพิเศษจึงถูกพัฒนาขึ้น

    ผู้เขียนอีกคนที่ตีพิมพ์ในฉบับล่าสุดของ Pediatrics กล่าวว่า "การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าความแปรปรวนของความผิดปกติทางระบบประสาทที่เกิดขึ้นในโรคแพ้กลูแตนขยายวงกว้างกว่ารายงานที่มีก่อนหน้านี้และรวมถึงความผิดปกติของระบบประสาทรวมทั้งอาการปวดหัวเรื้อรัง พัฒนาการล่าช้า hypotonia(ความตึงตัวของกล้ามเนื้อต่ำ) และความผิดปกติของการเรียนรู้หรือ ADHD " เห็นได้ชัดว่าเราควรจะขยายเกณฑ์การประเมินของเราและบางทีความหมายของโรคเมื่อผู้ป่วยมีอาการไม่เหมาะสมกับการวินิจฉัยตามกรอบทางคลินิกทั่วไป

    วิธีการประเมินโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบ

    เนื่องจากการอักเสบโดยทั่วไปผ่านมาจากลำไส้ซึ่งมันควรจะเป็นจุดเริ่มต้นของตรรกะในขั้นตอนการประเมินผู้ป่วยใด ๆ

    มี 7 พื้นที่ที่ควรพิจารณาเพื่อมองไปที่ปัจจัยอันก่อให้เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเพื่อประเมินสภาพแวดล้อมสำหรับการอักเสบเรื้อรัง รายการด้านล่างนี้เป็นส่วนสำคัญในหมวดหมู่ของของอาหารและการประเมินอื่น ๆ :

    อาหาร: เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กลูแตน เคซีน อาหารแปรรูป น้ำตาล นม เห็ด ผลไม้หวานไขมันโอเมก้า 6 ไขมันทรานส์ อาหารจานด่วน

    ยา: Corticosteroids ยาปฏิชีวนะ ยาลดกรด สารแปลกปลอม(ผงปรุสรส สารให้ความหวานเทียม และอื่น ๆ )

    การติดเชื้อ: เช่น H-Pylori ยีสต์ หรือแบคทีเรียมากเกินขนาด ไวรัสหรือการติดเชื้อปรสิต

    ความเครียด :เพิ่มฮอร์โมน Cortisol และ catecholamines
    ฮอร์โมน : ไทรอยด์ โพรเจสเตอโรน เอสโตรเจน เทสโทสเทอโรน

    ระบบประสาท : สมองบาดเจ็บ โรคหลอดเลือดสมอง ประสาทเสื่อม

    เมตาบอลิก: Glycosylated End Products (ผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่ก่อการอักเสบจากการเผาผลาญน้ำตาล) ลำไส้อักเสบ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง

    โรคจากการอักเสบและโรคภูมิต้านทาน

    ความจริงของสถานการณ์นี้ล้วนมาจากอาหาร-การซึมผ่านในลำไส้ที่มากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงว่าคุณจะสามารถจะรู้สึกได้หรือไม่มักจะเป็นสาเหตุสำคัญของการเติบโตของเงื่อนไขที่ก่อโรคต่าง ๆ รายการที่กล่าวมาด้านบน (อาหาร ยา การติดเชื้อ ความเครียดฮอร์โมน ระบบประสาทหรือการเผาผลาญ) สามารถทำลายการซึมผ่านของลำไส้ ก่อการอักเสบและสุดท้ายช่วยให้กลไกของลำไส้รั่วเริ่มต้น

    Autoimmunity (การไม่ตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อแอนติเจนของตนเอง) สามารถปรับเปลี่ยนได้และจะมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งรวมทั้งให้ชีวิตที่ดีขึ้นถ้าวิถีชีวิตเปลี่ยน

    มันเคยเชื่อกันว่า "รักษาไม่หาย" แต่มันไม่จริงด้วยความรู้ที่เปลี่ยนไป

    ดังนั้น ถ้าใครกำลังทนทุกข์ทรมานจากโรคที่กล่าวมาแล้ว แนะนำให้ระงับเหตุ ก่อนที่สารเคมีหรือยาใด ๆ ซึ่งไม่ใช่ส่วนประกอบของร่างกายตั้งแต่เริ่มต้นจะเล่นงานคุณ

    อาหารต้านการอักเสบที่ดี

    อาหาร เช่น ผลไม้ ผัก และเครื่องเทศ มีสารต้านการอักเสบและอาจช่วยลดการอักเสบได้ อาหารต้านการอักเสบที่ดีที่สุด ได้แก่:

    • เบอร์รี่

    • ปลาที่มีไขมันโอเมก้า3

    • บรอกโคลี

    • อะโวคาโด

    • ชาเขียว

    • พริก

    • ขมิ้น

    • น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ

    • ช็อกโกแลตดำและโกโก้

    • มะเขือเทศ

    • เชอร์รี่

    เบอร์รี่

    เบอร์รี่เป็นผลไม้ขนาดเล็กที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุ

    มีมากมายหลายพันธุ์ โดยพันธุ์ที่พบมากที่สุด ได้แก่:

    • สตรอว์เบอร์รี่

    • บลูเบอร์รี่

    • ราสเบอร์รี

    • แบล็กเบอร์รี่

    เบอร์รี่

    มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าแอนโธไซยานิน สารเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้

    บทวิจารณ์การวิจัยในปี 2018 แสดงให้เห็นว่าไฟโตเคมีคัลที่พบในผลเบอร์รี่อาจช่วยชะลอการพัฒนาและการลุกลามของมะเร็ง แม้ว่าจะต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม แต่ไฟโตเคมีคัลอาจเป็นประโยชน์ต่อภูมิคุ้มกันบำบัด

    ร่างกายของคุณสร้างเซลล์ NK ตามธรรมชาติ และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างถูกต้อง

    ในการศึกษาวิจัยอีกกรณีหนึ่ง พบว่าผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินซึ่งกิน
    สตรอเบอร์รี่มีระดับของเครื่องหมายการอักเสบเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน

    ปลาที่มีไขมันโอเมก้า3

    ปลาที่มีไขมันเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีและกรดไขมันโอเมก้า 3 สายยาว เช่น กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (EPA) และกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA)
    แม้ว่าปลาทุกชนิดจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 อยู่บ้าง แต่ปลาที่มีไขมันเหล่านี้ก็เป็นแหล่งที่ดีที่สุด:

    • ปลาแซลมอน

    • ปลาซาร์ดีน

    • ปลาแมกเคอเรล

    • ปลาสวาย

    EPA และ DHA ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา เช่น :

    • กลุ่มอาการเมตาบอลิก

    • โรคหัวใจ

    • โรคเบาหวาน

    • โรคไต

    ร่างกายของคุณเผาผลาญกรดไขมันเหล่านี้เป็นสารประกอบที่เรียกว่าเรโซลวินและโปรเทกติน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ

    จากการศึกษาพบว่าผู้ที่รับประทานปลาแซลมอนหรืออาหารเสริม EPA และ DHA มีปริมาณโปรตีนซีรีแอคทีฟ (CRP) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อาการอักเสบลดลง

    อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งรับประทาน EPA และ DHA ทุกวันไม่พบความแตกต่างในตัวบ่งชี้การอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับยาหลอก

    บร็อคโคลี

    บร็อคโคลีมีคุณค่าทางโภชนาการสูง

    เป็นผักตระกูลกะหล่ำเช่นเดียวกับกะหล่ำดอก กะหล่ำบรัสเซลส์ และคะน้า

    การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับประทานผักตระกูลกะหล่ำหลายชนิดมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและมะเร็งที่ลดลง
    ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับผลต้านการอักเสบของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในผักเหล่านั้น

    บร็อคโคลีอุดมไปด้วยซัลโฟราเฟน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดการอักเสบโดยลดระดับไซโตไคน์และแฟกเตอร์นิวเคลียร์แคปปาบี (NF-κB) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่กระตุ้นการอักเสบในร่างกายของคุณ

    อะโวคาโด

    มีโพแทสเซียม แมกนีเซียม ไฟเบอร์ และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ ยังมีแคโรทีนอยด์และโทโคฟีรอล ซึ่งเชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งและโรคหัวใจที่ลดลง
    นอกจากนี้ สารประกอบชนิดหนึ่งในอะโวคาโดอาจช่วยลดการอักเสบในเซลล์ผิวหนังที่เพิ่งก่อตัวได้

    ในการศึกษาคุณภาพสูงครั้งหนึ่งซึ่งทำการศึกษากับผู้ใหญ่ 51 คนที่มีน้ำหนักเกิน พบว่าผู้ที่รับประทานอะโวคาโดเป็นเวลา 12 สัปดาห์มีระดับของสารบ่งชี้การอักเสบอย่างอินเตอร์ลิวคิน 1 เบตา (IL-1β) และซีอาร์พี ลดลง

    ชาเขียว

    งานวิจัยพบว่าการดื่มชาเขียวช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ มะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ โรคอ้วน และโรคอื่นๆ

    ประโยชน์หลายประการของชาเขียวมาจากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ โดยเฉพาะสารที่เรียกว่า epigallocatechin-3-gallate (EGCG)

    EGCG ยับยั้งการอักเสบโดยลดการผลิตไซโตไคน์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบและความเสียหายต่อกรดไขมันในเซลล์ของคุณ

    พริก

    พริกหยวกและพริกชี้ฟ้าอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบอย่างทรงพลัง

    พริกหยวกยังมีสารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิตินซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน

    พริกมีกรดซินาปิกและกรดเฟอรูลิกซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบและช่วยให้มีอายุยืนยาวขึ้น

    ขมิ้น

    ขมิ้นเป็นเครื่องเทศที่มีรสชาติอบอุ่นและมีกลิ่นดิน มักใช้ในแกงและอาหารอื่นๆ

    ขมิ้นได้รับความสนใจมากเนื่องจากมีสารเคอร์คูมิน ซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ

    การวิจัยแสดงให้เห็นว่าขมิ้นชันช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบ เบาหวาน และโรคอื่นๆ

    จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีอาการเมตาบอลิกซินโดรมรับประทานเคอร์คูมิน 1 กรัมต่อวันร่วมกับไพเพอรีนจากพริกไทยดำ พบว่าระดับซีอาร์พี ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อาการอักเสบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

    การได้รับเคอร์คูมินจากขมิ้นเพียงอย่างเดียวอาจเป็นเรื่องยากที่จะเห็นผลชัดเจน การรับประทานอาหารเสริมที่มีเคอร์คูมินแยกเดี่ยวอาจมีประสิทธิภาพมากกว่ามาก

    อาหารเสริมเคอร์คูมินมักประกอบด้วยไพเพอรีน ซึ่งสามารถกระตุ้นการดูดซึมเคอร์คูมินได้ถึง 2,000%

    น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ

    น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษเป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุดชนิดหนึ่งที่คุณสามารถรับประทานได้

    น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเป็นอาหารหลักในอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย

    การศึกษาวิจัยแนะนำว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ มะเร็งสมอง โรคอ้วน และปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่นๆ ได้

    การวิจัยแนะนำว่าการรับประทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนและการเสริมด้วยน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษสามารถลดตัวบ่งชี้การอักเสบได้อย่างมาก

    ผลของโอเลโอแคนธัล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในน้ำมันมะกอก ได้รับการเปรียบเทียบกับยาต้านการอักเสบ เช่น ไอบูโพรเฟน

    โปรดจำไว้ว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษมีประโยชน์ในการต้านการอักเสบมากกว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์

    ช็อกโกแลตดำและโกโก้

    ช็อกโกแลตดำมีรสชาติอร่อย เข้มข้น และน่าพอใจ

    นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคและนำไปสู่การมีอายุยืนยาวขึ้น

    ฟลาโวนอลเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบของช็อกโกแลต และช่วยให้เซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดแดงแข็งแรง

    มะเขือเทศ

    มะเขือเทศเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง

    มะเขือเทศมีวิตามินซี โพแทสเซียม และไลโคปีนสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่น่าประทับใจ

    ไลโคปีนอาจมีประโยชน์อย่างยิ่งในการลดสารประกอบที่ก่อให้เกิดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งหลายชนิด

    การปรุงมะเขือเทศในน้ำมันมะกอกสามารถช่วยให้คุณดูดซึมไลโคปีนได้มากขึ้น

    นั่นเป็นเพราะไลโคปีนเป็นแคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารอาหารที่ดูดซึมได้ดีกว่าในแหล่งของไขมันและโปรดควักไส้มะเขือเทศทิ้งเมื่อประกอบอาหาร

    เชอร์รี่

    เชอร์รี่มีรสชาติดีและอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอนโธไซยานินและคาเทชิน ซึ่งช่วยลดการอักเสบ

    แม้ว่าจะมีการศึกษาวิจัยคุณสมบัติในการส่งเสริมสุขภาพของเชอร์รี่เปรี้ยวมากกว่าพันธุ์อื่น แต่เชอร์รี่หวานก็อาจมีประโยชน์เช่นกัน

    การศึกษาวิจัยในปี 2019 ที่ทำการศึกษาผู้สูงอายุ 37 คน พบว่าผู้ที่ดื่มน้ำเชอร์รี่ทาร์ต 16 ออนซ์ (480 มล.) ทุกวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ มีระดับของสารบ่งชี้การอักเสบ CRP ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

    อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยอีกกรณีหนึ่งพบว่าน้ำเชอร์รี่ทาร์ตไม่มีผลต่อการอักเสบในผู้ใหญ่ที่อายุน้อยที่มีสุขภาพแข็งแรง หลังจากที่พวกเขาดื่มน้ำเชอร์รี่ทาร์ตทุกวันเป็นเวลา 30 วัน

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ

    ถ้าอักเสบจากน้ำตาลและผลไม้หรือแอลกอฮอล์: K cal
    ถ้าอักเสบในลำไส้จากการกินเห็ดและยีสต์: Paa vill,Synbc
    ถ้าอักเสบจากการกินของปิ้งย่างหรือน้ำมันโอเมก้า 6:Paa super h
    ถ้าเกิดการอักเสบจากการติดเชื้อ:Glube,Whole c
    ถ้าอักเสบจากการใช้งานร่างกายหรืออวัยวะมากเกินไป:ชาขิงขมิ้น
    ถ้าอักเสบในดวงตาและระบบสืบพันธุ์:Glap
    ถ้าอักเสบในหลอดเลือด: โกโก้ป๋า

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    #การอักเสบ ส่งผลกระทบต่อทุกแง่มุมด้านสุขภาพของคุณได้อย่างไร การอักเสบควบคุมชีวิตของเรา ถ้าคุณหรือคนที่คุณรักกำลังต่อสู้กับอาการปวด โรคอ้วน โรคสมาธิสั้น ปลายประสาทอักเสบ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ไมเกรน ปัญหาต่อมไทรอยด์ ปัญหาทางทันตกรรมหรือโรคมะเร็ง น่าเศร้าที่คนส่วนใหญ่กำลังทุกข์ทรมานจากหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งของความผิดปกติเหล่านี้ แต่ไม่มีแนวความคิดหรือวิธีการที่จะกำจัดการอักเสบ แพทย์ส่วนใหญ่ใช้ยาแทนการมุ่งเป้าไปที่ต้นตอของสาเหตุ มันมักจะดูเหมือนว่า..มันเป็นเรื่องแปลกเป็นอย่างยิ่งเมื่อตระหนักว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของการอักเสบเริ่มต้นในลำไส้จากปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันซึ่งจะดำเนินการอักเสบไปยังระบบต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการจัดการอย่างแท้จริงและหวังว่าจะเอาชนะโรค การมองให้ลึกถึงขั้นตอนแห่งการเริ่มต้นเป็นกุญแจที่สำคัญที่สุด ....การอักเสบเริ่มต้นที่ใด..... ลำไส้ของคุณประกอบขึ้นด้วยเยื่อบุกึ่งซึมผ่านที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ พื้นที่ผิวของลำไส้ของคุณสามารถครอบคลุมพื้นที่เท่ากับสนามเทนนิส 2 สนามเมื่อแผ่ออกให้แบน ระดับของการซึมผ่านผันผวนตามการตอบสนองต่อความหลากหลายของสภาพสารเคมี... ตัวอย่างเช่นเมื่อฮอร์โมน cortisol สูงขึ้นเนื่องจากความเครียดจากการโต้แย้งหรือระดับฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ของคุณเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการเผาผลาญน้ำมันในตอนเที่ยงคืน เยื่อบุลำไส้ของคุณจะซึมผ่านได้มากขึ้น ณ เวลานั้น ๆ จากนั้นเมื่อกินอาหารที่ไม่สามารถย่อยได้บางส่วน อาหารที่มีสารพิษ... ไวรัส ยีสต์และแบคทีเรียก็มีโอกาสที่จะผ่านลำไส้และการเข้าไปยังกระแสเลือด..สิ่งนี้รู้จักกันว่าเป็นกลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่วหรือ leaky gut syndrome (LGS) เมื่อเยื่อบุลำไส้ได้รับความเสียหายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เซลล์ที่เสียหายเรียกกันว่า microvilli จะไม่สามารถทำงานของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง พวกเขาไม่สามารถดำเนินการและใช้ประโยชน์จากสารอาหารและเอนไซม์ที่มีความสำคัญในการย่อยอาหารที่เหมาะสม ในท้ายที่สุดการย่อยอาหารและการดูดซึมของสารอาหารจะลดลง นี่คือผลกระทบในเชิงลบ เมื่อเยื่อบุลำไส้ของคุณสัมผัสกับสิ่งที่กล่าวมามากขึ้น..ร่างกายของคุณก็เริ่มต้นการถูกโจมตีจากผู้รุกรานเหล่านี้ และร่างกายจะตอบสนองด้วยการอักเสบที่ก่อให้เกิด ภูมิแพ้ แพ้ภูมิ และอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอีกมากมาย ดังนั้นคุณอาจจะถามว่า : การอักเสบเป็นอันตรายได้อย่างไรและเกิดอาการแพ้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ มันอาจฟังดูเหมือนว่าค่อนข้างจะไม่อันตรายสักเท่าไหร่..แต่สถานการณ์นี้สามารถนำไปสู่โรคร้ายแรงและบั่นทอนได้อีกมากมาย เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะมีภาระมากเกินไป การอักเสบเหล่านี้จะเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่องผ่านทางเลือดของคุณที่พวกเขาสามารถส่งผลกระทบต่อเส้นประสาท อวัยวะ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ข้อต่อและกล้ามเนื้อ การอักเสบก่ออาการของโรคอื่นๆ การปรากฏตัวของการอักเสบเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดโรคส่วนใหญ่ มันมักจะเกิดขึ้นมานานหลายปีก่อนที่มันจะอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนหรือมีนัยสำคัญทางคลินิก รายการต่อไปนี้มีความเกี่ยวข้องกับการอักเสบเสมอ โรคภูมิแพ้----ภูมิคุ้มกัน 4 ประเภท + ความไว..ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดการอักเสบ อัลไซม์เมอร์----การอักเสบเรื้อรังทำลายเซลล์สมอง โรคโลหิตจาง---- cytokinesที่กระตุ้นการอักเสบโจมตีการผลิต erythropoietin Ankylosing Spondylitis (โรคกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด)----cytokines ที่กระตุ้นการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองในข้อต่างๆ หอบหืด---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาของภูมิต้านทานให้ตอบสนองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ ออทิสติก---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาของภูมิต้านทานที่ผิดปกติเข้าไปควบคุมการพัฒนาสมองซีกขวา โรคข้ออักเสบ---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำลายกระดูกอ่อนและของเหลว synovial Carpal Tunnel Syndrome (โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ) เกิดจากการอักเสบเรื้อรังในความเครียดของกล้ามเนื้อที่มากเกินไปทำให้เส้นเอ็นแขนหดตัวและข้อมือบีบอัดเส้นประสาท Celiac Chronic (โรคแพ้กลูเตน)----ภูมิคุ้มกันจัดการกับความเสียหายและก่อให้เกิดการอักเสบที่เยื่อบุลำไส้ โรค Crohn ----โรคเรื้อรังจากระบบภูมิคุ้มกันเกิดความเสียหายและเกิดการอักเสบเยื่อบุลำไส้ หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน----การอักเสบเรื้อรังก่อให้เกิดการเสียหายต่อกล้ามเนื้อหัวใจ กลาก สิวเอ็กซิม่า----การอักเสบเรื้อรังของลำไส้และตับกำจัดสารพิษได้ไม่ดีและมักจะเกิดจากแอนติบอดีต่อสู้กับ Transglutaminase-3 Fibromyalgia (ปวดทั่วสรรพางค์กาย)---- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันอักเสบ เกิดจากความเป็นกรดของร่างกายที่ยินยอมให้จุลชีพฝั่งเลวเข้าเล่นงานเนื้อเยื่ออ่อนและมาจากความไม่สมดุลทางโภชนาการและระบบประสาทรอง โรคปอดอักเสบ---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเข้าโจมตีเนื้อเยื่อที่บอบช้ำ โรคถุงน้ำดี----การอักเสบของท่อน้ำดีหรือคอเลสเตอรอลส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการตอบสนองต่อการอักเสบในลำไส้ โรคกรดไหลย้อน----การอักเสบของหลอดอาหารและระบบทางเดินอาหารเกือบตลอดเวลา ความไวต่ออาหารและค่า pH เป็นตัวขับเคลื่อน โรคจีบีเอส โรคกิลแลงบาร์เร GBS Guillain-Barre syndrome ภูมิคุ้มกันอัตโนมัติเข้าโจมตีระบบประสาทมักจะเกิดโดยการตอบสนองของ autoimmune ต่อความเครียดภายนอกเช่นการฉีดวัคซีน Hashimoto's Thyroiditis (ต่อมไทรอยด์อักเสบ)----ภูมิคุ้มกันเกิดปฏิกิริยาในลำไส้โดยเรียกแอนติบอดีมาต่อต้านเอนไซม์และของต่อมไทรอยด์และโปรตีน หัวใจวาย----การอักเสบเรื้อรังก่อให้เกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ ไตวาย----cytokines ที่ก่อการอักเสบจำกัด การไหลเวียนและก่อความเสียหายต่อ nephrons และท่อไต โรคลูปัส พุ่มพวง SLE---- cytokines ที่ก่ออักเสบเหนี่ยวนำให้ autoimmune เกิดการโจมตีต่อเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง Multiple Sclerosis ----cytokinesที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับไมอีลิน myelin โรคระบบประสาท---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับไมอีลินและหลอดเลือดและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งทำให้ระคายเคืองเส้นประสาท ตับอ่อนอักเสบ---- cytokinesที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดการบาดเจ็บของเซลล์ตับอ่อน โรคสะเก็ดเงิน Psoriasis ----การอักเสบเรื้อรังของลำไส้และตับล้างพิษได้ไม่เต็มความสามารถ ปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออ่อนเหตุอักเสบเรื้อรัง Polymyalgia rheumatic PMR ----cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับข้อต่อ โรคหนังแข็ง scleroderma---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้ autoimmune เกิดการโจมตีกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โรคหลอดเลือดสมอง----การอักเสบเรื้อรังส่งเสริมให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน ทำไมการอักเสบจะต้องอยู่ที่รากเหง้าของปัญหา ความจริงที่ว่าระบบภูมิคุ้มกันของคุณขับเคลื่อนกระบวนการอักเสบในโรคต่างๆเป็นที่ยอมรับกันมานาน แต่น่าเสียดายที่การแพทย์ตะวันตกมีคำตอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในการจัดการหรือการเอาชนะกระบวนการของภูมิต้านทานน้อยเกินไป วิธีการโดยทั่วไปในการรักษาคือการปราบปรามการตอบสนองของภูมิคุ้มกันด้วยยาปราบภูมิคุ้มกันหรือบางครั้งก็สเตียรอยด์ วิธีการทั้งสองได้รับการออกแบบเพื่อลดการอักเสบ แต่ไม่ได้หยุดกระบวนการของโรคประจำตัวหรือช่วยให้เนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการกู้คืน ถ้าคุณปิดกั้นสาเหตุที่แท้จริงของการก่อโรค (การอักเสบ) ทั้งหมดที่คุณต้องทำคือการหยุดการทำลายเซลล์ทุกเซลล์ของร่างกายและปล่อยให้ร่างกายของคุณสร้างเซลล์ใหม่ที่ไม่ก่อการอักเสบ การเชื่อมโยงระหว่างการทำงานที่ผิดปกติของลำไส้และโรคทั้งหลายที่มาจากการอักเสบ คำว่าการอักเสบมักจะไม่ค่อยทำให้ใครหลายคนนึกเห็นภาพที่ถูกต้องอย่างแท้จริงในใจของพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะประสบกับมันจริงๆ จากนั้นก็จะเริ่มทำให้รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ จะเห็นได้ว่าหลายโรคที่เกิดจากการอักเสบและสร้างความทุกข์ทรมาน มันมาจากลำไส้ แต่การรักษาทั่วไปไม่นำเสนอประเด็นนี้.. Dr. Maios Hadjivassiliou แห่งอังกฤษ- ผู้ค้นพบกลูแตน-ได้รายงานใน The Lancet ว่า"ความไวต่อกลูแตนสามารถเป็นหลักในการวินิจฉัยเบื้องต้นและในบางครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางระบบประสาท" ซึ่งหมายความว่าคนที่ไวต่อกลูแตนจะมีปัญหากับการทำงานของสมองแม้จะไม่มีปัญหาระบบทางเดินอาหารแต่อย่างใด ดร. Hadjivassiliou แสดงให้เห็นว่าแอนติบอดี้จะเกิดขึ้นในร่างกายเมื่อพวกเขามีความไวต่อกลูแตนและสามารถส่งความเป็นพิษเข้าสู่สมองได้โดยตรง สำหรับสิ่งนี้การทดสอบพิเศษจึงถูกพัฒนาขึ้น ผู้เขียนอีกคนที่ตีพิมพ์ในฉบับล่าสุดของ Pediatrics กล่าวว่า "การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าความแปรปรวนของความผิดปกติทางระบบประสาทที่เกิดขึ้นในโรคแพ้กลูแตนขยายวงกว้างกว่ารายงานที่มีก่อนหน้านี้และรวมถึงความผิดปกติของระบบประสาทรวมทั้งอาการปวดหัวเรื้อรัง พัฒนาการล่าช้า hypotonia(ความตึงตัวของกล้ามเนื้อต่ำ) และความผิดปกติของการเรียนรู้หรือ ADHD " เห็นได้ชัดว่าเราควรจะขยายเกณฑ์การประเมินของเราและบางทีความหมายของโรคเมื่อผู้ป่วยมีอาการไม่เหมาะสมกับการวินิจฉัยตามกรอบทางคลินิกทั่วไป วิธีการประเมินโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบ เนื่องจากการอักเสบโดยทั่วไปผ่านมาจากลำไส้ซึ่งมันควรจะเป็นจุดเริ่มต้นของตรรกะในขั้นตอนการประเมินผู้ป่วยใด ๆ มี 7 พื้นที่ที่ควรพิจารณาเพื่อมองไปที่ปัจจัยอันก่อให้เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเพื่อประเมินสภาพแวดล้อมสำหรับการอักเสบเรื้อรัง รายการด้านล่างนี้เป็นส่วนสำคัญในหมวดหมู่ของของอาหารและการประเมินอื่น ๆ : อาหาร: เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กลูแตน เคซีน อาหารแปรรูป น้ำตาล นม เห็ด ผลไม้หวานไขมันโอเมก้า 6 ไขมันทรานส์ อาหารจานด่วน ยา: Corticosteroids ยาปฏิชีวนะ ยาลดกรด สารแปลกปลอม(ผงปรุสรส สารให้ความหวานเทียม และอื่น ๆ ) การติดเชื้อ: เช่น H-Pylori ยีสต์ หรือแบคทีเรียมากเกินขนาด ไวรัสหรือการติดเชื้อปรสิต ความเครียด :เพิ่มฮอร์โมน Cortisol และ catecholamines ฮอร์โมน : ไทรอยด์ โพรเจสเตอโรน เอสโตรเจน เทสโทสเทอโรน ระบบประสาท : สมองบาดเจ็บ โรคหลอดเลือดสมอง ประสาทเสื่อม เมตาบอลิก: Glycosylated End Products (ผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่ก่อการอักเสบจากการเผาผลาญน้ำตาล) ลำไส้อักเสบ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคจากการอักเสบและโรคภูมิต้านทาน ความจริงของสถานการณ์นี้ล้วนมาจากอาหาร-การซึมผ่านในลำไส้ที่มากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงว่าคุณจะสามารถจะรู้สึกได้หรือไม่มักจะเป็นสาเหตุสำคัญของการเติบโตของเงื่อนไขที่ก่อโรคต่าง ๆ รายการที่กล่าวมาด้านบน (อาหาร ยา การติดเชื้อ ความเครียดฮอร์โมน ระบบประสาทหรือการเผาผลาญ) สามารถทำลายการซึมผ่านของลำไส้ ก่อการอักเสบและสุดท้ายช่วยให้กลไกของลำไส้รั่วเริ่มต้น Autoimmunity (การไม่ตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อแอนติเจนของตนเอง) สามารถปรับเปลี่ยนได้และจะมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งรวมทั้งให้ชีวิตที่ดีขึ้นถ้าวิถีชีวิตเปลี่ยน มันเคยเชื่อกันว่า "รักษาไม่หาย" แต่มันไม่จริงด้วยความรู้ที่เปลี่ยนไป ดังนั้น ถ้าใครกำลังทนทุกข์ทรมานจากโรคที่กล่าวมาแล้ว แนะนำให้ระงับเหตุ ก่อนที่สารเคมีหรือยาใด ๆ ซึ่งไม่ใช่ส่วนประกอบของร่างกายตั้งแต่เริ่มต้นจะเล่นงานคุณ อาหารต้านการอักเสบที่ดี อาหาร เช่น ผลไม้ ผัก และเครื่องเทศ มีสารต้านการอักเสบและอาจช่วยลดการอักเสบได้ อาหารต้านการอักเสบที่ดีที่สุด ได้แก่: • เบอร์รี่ • ปลาที่มีไขมันโอเมก้า3 • บรอกโคลี • อะโวคาโด • ชาเขียว • พริก • ขมิ้น • น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ • ช็อกโกแลตดำและโกโก้ • มะเขือเทศ • เชอร์รี่ เบอร์รี่ เบอร์รี่เป็นผลไม้ขนาดเล็กที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุ มีมากมายหลายพันธุ์ โดยพันธุ์ที่พบมากที่สุด ได้แก่: • สตรอว์เบอร์รี่ • บลูเบอร์รี่ • ราสเบอร์รี • แบล็กเบอร์รี่ เบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าแอนโธไซยานิน สารเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ บทวิจารณ์การวิจัยในปี 2018 แสดงให้เห็นว่าไฟโตเคมีคัลที่พบในผลเบอร์รี่อาจช่วยชะลอการพัฒนาและการลุกลามของมะเร็ง แม้ว่าจะต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม แต่ไฟโตเคมีคัลอาจเป็นประโยชน์ต่อภูมิคุ้มกันบำบัด ร่างกายของคุณสร้างเซลล์ NK ตามธรรมชาติ และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างถูกต้อง ในการศึกษาวิจัยอีกกรณีหนึ่ง พบว่าผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินซึ่งกิน สตรอเบอร์รี่มีระดับของเครื่องหมายการอักเสบเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน ปลาที่มีไขมันโอเมก้า3 ปลาที่มีไขมันเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีและกรดไขมันโอเมก้า 3 สายยาว เช่น กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (EPA) และกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA) แม้ว่าปลาทุกชนิดจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 อยู่บ้าง แต่ปลาที่มีไขมันเหล่านี้ก็เป็นแหล่งที่ดีที่สุด: • ปลาแซลมอน • ปลาซาร์ดีน • ปลาแมกเคอเรล • ปลาสวาย EPA และ DHA ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา เช่น : • กลุ่มอาการเมตาบอลิก • โรคหัวใจ • โรคเบาหวาน • โรคไต ร่างกายของคุณเผาผลาญกรดไขมันเหล่านี้เป็นสารประกอบที่เรียกว่าเรโซลวินและโปรเทกติน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่รับประทานปลาแซลมอนหรืออาหารเสริม EPA และ DHA มีปริมาณโปรตีนซีรีแอคทีฟ (CRP) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อาการอักเสบลดลง อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งรับประทาน EPA และ DHA ทุกวันไม่พบความแตกต่างในตัวบ่งชี้การอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับยาหลอก บร็อคโคลี บร็อคโคลีมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นผักตระกูลกะหล่ำเช่นเดียวกับกะหล่ำดอก กะหล่ำบรัสเซลส์ และคะน้า การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับประทานผักตระกูลกะหล่ำหลายชนิดมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและมะเร็งที่ลดลง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับผลต้านการอักเสบของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในผักเหล่านั้น บร็อคโคลีอุดมไปด้วยซัลโฟราเฟน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดการอักเสบโดยลดระดับไซโตไคน์และแฟกเตอร์นิวเคลียร์แคปปาบี (NF-κB) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่กระตุ้นการอักเสบในร่างกายของคุณ อะโวคาโด มีโพแทสเซียม แมกนีเซียม ไฟเบอร์ และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ ยังมีแคโรทีนอยด์และโทโคฟีรอล ซึ่งเชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งและโรคหัวใจที่ลดลง นอกจากนี้ สารประกอบชนิดหนึ่งในอะโวคาโดอาจช่วยลดการอักเสบในเซลล์ผิวหนังที่เพิ่งก่อตัวได้ ในการศึกษาคุณภาพสูงครั้งหนึ่งซึ่งทำการศึกษากับผู้ใหญ่ 51 คนที่มีน้ำหนักเกิน พบว่าผู้ที่รับประทานอะโวคาโดเป็นเวลา 12 สัปดาห์มีระดับของสารบ่งชี้การอักเสบอย่างอินเตอร์ลิวคิน 1 เบตา (IL-1β) และซีอาร์พี ลดลง ชาเขียว งานวิจัยพบว่าการดื่มชาเขียวช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ มะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ โรคอ้วน และโรคอื่นๆ ประโยชน์หลายประการของชาเขียวมาจากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ โดยเฉพาะสารที่เรียกว่า epigallocatechin-3-gallate (EGCG) EGCG ยับยั้งการอักเสบโดยลดการผลิตไซโตไคน์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบและความเสียหายต่อกรดไขมันในเซลล์ของคุณ พริก พริกหยวกและพริกชี้ฟ้าอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบอย่างทรงพลัง พริกหยวกยังมีสารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิตินซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน พริกมีกรดซินาปิกและกรดเฟอรูลิกซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบและช่วยให้มีอายุยืนยาวขึ้น ขมิ้น ขมิ้นเป็นเครื่องเทศที่มีรสชาติอบอุ่นและมีกลิ่นดิน มักใช้ในแกงและอาหารอื่นๆ ขมิ้นได้รับความสนใจมากเนื่องจากมีสารเคอร์คูมิน ซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าขมิ้นชันช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบ เบาหวาน และโรคอื่นๆ จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีอาการเมตาบอลิกซินโดรมรับประทานเคอร์คูมิน 1 กรัมต่อวันร่วมกับไพเพอรีนจากพริกไทยดำ พบว่าระดับซีอาร์พี ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อาการอักเสบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การได้รับเคอร์คูมินจากขมิ้นเพียงอย่างเดียวอาจเป็นเรื่องยากที่จะเห็นผลชัดเจน การรับประทานอาหารเสริมที่มีเคอร์คูมินแยกเดี่ยวอาจมีประสิทธิภาพมากกว่ามาก อาหารเสริมเคอร์คูมินมักประกอบด้วยไพเพอรีน ซึ่งสามารถกระตุ้นการดูดซึมเคอร์คูมินได้ถึง 2,000% น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษเป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุดชนิดหนึ่งที่คุณสามารถรับประทานได้ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเป็นอาหารหลักในอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การศึกษาวิจัยแนะนำว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ มะเร็งสมอง โรคอ้วน และปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่นๆ ได้ การวิจัยแนะนำว่าการรับประทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนและการเสริมด้วยน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษสามารถลดตัวบ่งชี้การอักเสบได้อย่างมาก ผลของโอเลโอแคนธัล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในน้ำมันมะกอก ได้รับการเปรียบเทียบกับยาต้านการอักเสบ เช่น ไอบูโพรเฟน โปรดจำไว้ว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษมีประโยชน์ในการต้านการอักเสบมากกว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ช็อกโกแลตดำและโกโก้ ช็อกโกแลตดำมีรสชาติอร่อย เข้มข้น และน่าพอใจ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคและนำไปสู่การมีอายุยืนยาวขึ้น ฟลาโวนอลเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบของช็อกโกแลต และช่วยให้เซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดแดงแข็งแรง มะเขือเทศ มะเขือเทศเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มะเขือเทศมีวิตามินซี โพแทสเซียม และไลโคปีนสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่น่าประทับใจ ไลโคปีนอาจมีประโยชน์อย่างยิ่งในการลดสารประกอบที่ก่อให้เกิดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งหลายชนิด การปรุงมะเขือเทศในน้ำมันมะกอกสามารถช่วยให้คุณดูดซึมไลโคปีนได้มากขึ้น นั่นเป็นเพราะไลโคปีนเป็นแคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารอาหารที่ดูดซึมได้ดีกว่าในแหล่งของไขมันและโปรดควักไส้มะเขือเทศทิ้งเมื่อประกอบอาหาร เชอร์รี่ เชอร์รี่มีรสชาติดีและอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอนโธไซยานินและคาเทชิน ซึ่งช่วยลดการอักเสบ แม้ว่าจะมีการศึกษาวิจัยคุณสมบัติในการส่งเสริมสุขภาพของเชอร์รี่เปรี้ยวมากกว่าพันธุ์อื่น แต่เชอร์รี่หวานก็อาจมีประโยชน์เช่นกัน การศึกษาวิจัยในปี 2019 ที่ทำการศึกษาผู้สูงอายุ 37 คน พบว่าผู้ที่ดื่มน้ำเชอร์รี่ทาร์ต 16 ออนซ์ (480 มล.) ทุกวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ มีระดับของสารบ่งชี้การอักเสบ CRP ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยอีกกรณีหนึ่งพบว่าน้ำเชอร์รี่ทาร์ตไม่มีผลต่อการอักเสบในผู้ใหญ่ที่อายุน้อยที่มีสุขภาพแข็งแรง หลังจากที่พวกเขาดื่มน้ำเชอร์รี่ทาร์ตทุกวันเป็นเวลา 30 วัน ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ ถ้าอักเสบจากน้ำตาลและผลไม้หรือแอลกอฮอล์: K cal ถ้าอักเสบในลำไส้จากการกินเห็ดและยีสต์: Paa vill,Synbc ถ้าอักเสบจากการกินของปิ้งย่างหรือน้ำมันโอเมก้า 6:Paa super h ถ้าเกิดการอักเสบจากการติดเชื้อ:Glube,Whole c ถ้าอักเสบจากการใช้งานร่างกายหรืออวัยวะมากเกินไป:ชาขิงขมิ้น ถ้าอักเสบในดวงตาและระบบสืบพันธุ์:Glap ถ้าอักเสบในหลอดเลือด: โกโก้ป๋า ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 915 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts