• ✨ บรรลุความเปล่งประกายเยาว์วัยด้วย Atomy Pomegranate Jelly ✨

    เก็บเกี่ยวจากเมืองอันตัลยา ประเทศตุรกี ทุกแพ็คของเจลลี่ทับทิมของเรามีกรดเอลลาจิกมากกว่าน้ำทับทิมถึง 26 เท่า ผ่านกระบวนการพิเศษ 30 ขั้นตอน ผลลัพธ์ที่ได้คือประโยชน์ที่พิสูจน์แล้วสำหรับผิวพรรณและสุขภาพ:

    💦 การเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

    เพิ่มความชุ่มชื้นของผิวขึ้น 13.03%

    ลดการสูญเสียความชุ่มชื้นลง 11.05%

    ลดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วลง 6.12% เพื่อความเปล่งปลั่งตามธรรมชาติ


    🌿 การสนับสนุนสำหรับวัยหมดประจำเดือน สูตรของเราช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและความสบายตัว โดยมีการปรับปรุง 60% ใน Kupperman Index และ 61% ใน Menopause Rating Scale

    ด้วย Atomy Pomegranate Jelly คุณจะได้สัมผัสผิวสุขภาพดีและความสมดุลของสุขภาพทุกวัน 💖

    คุณภาพที่เหนือชั้น 💙 ราคาที่เหนือชั้น

    ผลิตภัณฑ์ที่มีคะแนน (PV) 😉 PV = 💰💰💰 เปลี่ยนรายจ่ายประจำวันเป็นรายได้! เป็นผู้บริโภคที่ฉลาด! Atomy ไม่ใช่แค่การขาย แต่เป็นการแบ่งปัน ผลประโยชน์, กลายเป็นผู้บริโภคที่ฉลาด! สมัครสมาชิกฟรีเพื่อเข้าถึงแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ทั่วโลกของ Atomy!

    Atomy บริษัทที่คุณสามารถไว้วางใจ! 😃
    ✨ บรรลุความเปล่งประกายเยาว์วัยด้วย Atomy Pomegranate Jelly ✨ เก็บเกี่ยวจากเมืองอันตัลยา ประเทศตุรกี ทุกแพ็คของเจลลี่ทับทิมของเรามีกรดเอลลาจิกมากกว่าน้ำทับทิมถึง 26 เท่า ผ่านกระบวนการพิเศษ 30 ขั้นตอน ผลลัพธ์ที่ได้คือประโยชน์ที่พิสูจน์แล้วสำหรับผิวพรรณและสุขภาพ: 💦 การเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เพิ่มความชุ่มชื้นของผิวขึ้น 13.03% ลดการสูญเสียความชุ่มชื้นลง 11.05% ลดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วลง 6.12% เพื่อความเปล่งปลั่งตามธรรมชาติ 🌿 การสนับสนุนสำหรับวัยหมดประจำเดือน สูตรของเราช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและความสบายตัว โดยมีการปรับปรุง 60% ใน Kupperman Index และ 61% ใน Menopause Rating Scale ด้วย Atomy Pomegranate Jelly คุณจะได้สัมผัสผิวสุขภาพดีและความสมดุลของสุขภาพทุกวัน 💖 คุณภาพที่เหนือชั้น 💙 ราคาที่เหนือชั้น ผลิตภัณฑ์ที่มีคะแนน (PV) 😉 PV = 💰💰💰 เปลี่ยนรายจ่ายประจำวันเป็นรายได้! เป็นผู้บริโภคที่ฉลาด! Atomy ไม่ใช่แค่การขาย แต่เป็นการแบ่งปัน ผลประโยชน์, กลายเป็นผู้บริโภคที่ฉลาด! สมัครสมาชิกฟรีเพื่อเข้าถึงแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ทั่วโลกของ Atomy! Atomy บริษัทที่คุณสามารถไว้วางใจ! 😃
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 0 Reviews

  • “จรยุทธ” ร่อนคำขอโทษ กรณีสูบบุหรี่ไฟฟ้าในอาคารรัฐสภา ทำประชาชนไม่สบายใจ ยันพร้อมเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ สร้างบรรทัดฐานที่ดี บอกเข้าใจ-ซาบซึ้งทุกความเห็นที่คาดหวัง

    วันนี้ (12 มี.ค.) นายจรยุทธ จตุรพรประสิทธิ์ สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ถึงกรณีสูบบุหรี่ไฟฟ้าในอาคารรัฐสภา ว่า จากกระแสข่าวที่มีการเผยแพร่ออกมา ผมทราบดีว่าทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความกังวลและมีข้อสงสัย ผมจึงอยากขอโทษจากใจจริงที่ทำให้พี่น้องประชาชนไม่สบายใจ ผมเข้าใจถึงความคาดหวังที่พี่น้องประชาชนมีต่อตัวผมในฐานะผู้แทนและผมเองก็ซาบซึ้งกับทุกความคิดเห็นที่ส่งมา

    ผมให้ความสำคัญกับบทบาทหน้าที่ของตัวเองในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ในขณะเดียวกัน ผมพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบจากทางรัฐสภา เพื่อเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ดีของการเป็นผู้แทนราษฎร

    สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณทุกเสียงสะท้อนจากพี่น้องประชาชน และขอยืนยันว่า ผมยังคงมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000023904

    #MGROnline #พรรคประชาชน #สูบบุหรี่ไฟฟ้า #อาคารรัฐสภา
    “จรยุทธ” ร่อนคำขอโทษ กรณีสูบบุหรี่ไฟฟ้าในอาคารรัฐสภา ทำประชาชนไม่สบายใจ ยันพร้อมเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ สร้างบรรทัดฐานที่ดี บอกเข้าใจ-ซาบซึ้งทุกความเห็นที่คาดหวัง • วันนี้ (12 มี.ค.) นายจรยุทธ จตุรพรประสิทธิ์ สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ถึงกรณีสูบบุหรี่ไฟฟ้าในอาคารรัฐสภา ว่า จากกระแสข่าวที่มีการเผยแพร่ออกมา ผมทราบดีว่าทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความกังวลและมีข้อสงสัย ผมจึงอยากขอโทษจากใจจริงที่ทำให้พี่น้องประชาชนไม่สบายใจ ผมเข้าใจถึงความคาดหวังที่พี่น้องประชาชนมีต่อตัวผมในฐานะผู้แทนและผมเองก็ซาบซึ้งกับทุกความคิดเห็นที่ส่งมา • ผมให้ความสำคัญกับบทบาทหน้าที่ของตัวเองในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ในขณะเดียวกัน ผมพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบจากทางรัฐสภา เพื่อเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ดีของการเป็นผู้แทนราษฎร • สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณทุกเสียงสะท้อนจากพี่น้องประชาชน และขอยืนยันว่า ผมยังคงมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000023904 • #MGROnline #พรรคประชาชน #สูบบุหรี่ไฟฟ้า #อาคารรัฐสภา
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • 12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    0 Comments 0 Shares 176 Views 0 Reviews
  • สื่ออเมริกันชื่อดังเปิดฉากรบป้องผลประโยชน์ชี้ สหรัฐฯ เป็นเจ้าสังเวียนส่งออกอาวุธทางการป้องกันประเทศใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมย้ำ “ยุโรปต้องรู้” หลังพยายามผลักดันอุตสาหกรรมการทหารภายในกลุ่มประเทศ EU ไม่พอใจทรัมป์ลอยแพยูเครนกระทบความมั่นคงทั้งยุโรป

    อ่านต่อ..https://sondhitalk.com/detail/9680000023692
    สื่ออเมริกันชื่อดังเปิดฉากรบป้องผลประโยชน์ชี้ สหรัฐฯ เป็นเจ้าสังเวียนส่งออกอาวุธทางการป้องกันประเทศใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมย้ำ “ยุโรปต้องรู้” หลังพยายามผลักดันอุตสาหกรรมการทหารภายในกลุ่มประเทศ EU ไม่พอใจทรัมป์ลอยแพยูเครนกระทบความมั่นคงทั้งยุโรป อ่านต่อ..https://sondhitalk.com/detail/9680000023692
    Like
    Haha
    5
    0 Comments 0 Shares 731 Views 0 Reviews
  • เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการไทย มักแก้ไขปัญหาแบบเหมาๆ ไม่แยก คนอยู่มาก่อน คนบุกรุก และนายทุน อีกทั้ง มักเอื้อผลประโยชน์ให้คนรวย เพราะตัวเองได้ผลประโยชน์ด้วย จริงไหม?
    https://www.youtube.com/live/leaJ-hXjGf8
    เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการไทย มักแก้ไขปัญหาแบบเหมาๆ ไม่แยก คนอยู่มาก่อน คนบุกรุก และนายทุน อีกทั้ง มักเอื้อผลประโยชน์ให้คนรวย เพราะตัวเองได้ผลประโยชน์ด้วย จริงไหม? https://www.youtube.com/live/leaJ-hXjGf8
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 Comments 0 Shares 66 Views 0 Reviews
  • ปูด ลูกนักการเมืองเบอร์ใหญ่ “ส” เป็นเจ้าของตึก SKYY9 Centre หลัง “เด็ก ปชน.” กัดไม่ปล่อย จี้ถาม สปสช.ทุ่ม 7 พันล้าน ซื้อ แต่ราคาประเมินจริงแค่ 3 พันล้าน เป็นการเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่

    วันนี้ (11 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน และ นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ออกมาตั้งคำถามถึงการลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 Centre ย่านพระราม 9 ด้วยราคา 7 พันล้านบาท แต่มูลค่าจริงเพียง 3 พันล้านบาท ในปี 2565 ของกองทุนประกันสังคม (สปสช.) นั้น เป็นการเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่ เพราะถือเป็นการจงใจลงทุนผิดพลาด พร้อมระบุว่า

    “ใครเป็นเจ้าของ เป็นของนักการเมืองพรรคไหน เกี่ยวข้องกับพรรคที่อยู่ในป่าหรือไม่ น่าสงสัย เพราะท่านอดีต รมว.แรงงาน ก็อยู่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อยากให้ทุกท่านได้ลองหาข้อมูลดู ตึกนี้ปรับปรุงเสร็จปี 2565 ก็พร้อมขายให้กองทุน สปส.เลย”

    แหล่งข่าวระดับสูง เปิดเผยว่า ชื่อผู้ที่ครอบครองกรรมสิทธิ์ของอาคาร SKYY9 Centre ก่อนที่จะมีการขายให้กับกองทุนประกันสังคม ในสมัยที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน คือ บุตรชายของนักการเมือง “ส” ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาล และเป็นบุคคลในตำนานคนหนึ่ง เพราะแว่วว่า เป็นคนๆ เดียวกับที่เคยตกเป็นข่าวดัง ”รัฐมนตรีเบี้ยวไม่จ่ายค่าตัวหญิงบริการ” นั่นเอง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000023472

    #MGROnline #SKYY9Centre #กองทุนประกันสังคม #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
    ปูด ลูกนักการเมืองเบอร์ใหญ่ “ส” เป็นเจ้าของตึก SKYY9 Centre หลัง “เด็ก ปชน.” กัดไม่ปล่อย จี้ถาม สปสช.ทุ่ม 7 พันล้าน ซื้อ แต่ราคาประเมินจริงแค่ 3 พันล้าน เป็นการเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่ • วันนี้ (11 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน และ นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ออกมาตั้งคำถามถึงการลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 Centre ย่านพระราม 9 ด้วยราคา 7 พันล้านบาท แต่มูลค่าจริงเพียง 3 พันล้านบาท ในปี 2565 ของกองทุนประกันสังคม (สปสช.) นั้น เป็นการเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่ เพราะถือเป็นการจงใจลงทุนผิดพลาด พร้อมระบุว่า • “ใครเป็นเจ้าของ เป็นของนักการเมืองพรรคไหน เกี่ยวข้องกับพรรคที่อยู่ในป่าหรือไม่ น่าสงสัย เพราะท่านอดีต รมว.แรงงาน ก็อยู่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อยากให้ทุกท่านได้ลองหาข้อมูลดู ตึกนี้ปรับปรุงเสร็จปี 2565 ก็พร้อมขายให้กองทุน สปส.เลย” • แหล่งข่าวระดับสูง เปิดเผยว่า ชื่อผู้ที่ครอบครองกรรมสิทธิ์ของอาคาร SKYY9 Centre ก่อนที่จะมีการขายให้กับกองทุนประกันสังคม ในสมัยที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน คือ บุตรชายของนักการเมือง “ส” ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาล และเป็นบุคคลในตำนานคนหนึ่ง เพราะแว่วว่า เป็นคนๆ เดียวกับที่เคยตกเป็นข่าวดัง ”รัฐมนตรีเบี้ยวไม่จ่ายค่าตัวหญิงบริการ” นั่นเอง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000023472 • #MGROnline #SKYY9Centre #กองทุนประกันสังคม #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
    Angry
    1
    0 Comments 1 Shares 228 Views 0 Reviews
  • Mon. Mar. 10, 2025

    เช้านี้เราดูคลิปใน youtube ที่ลงไว้เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน เป็นคลิปที่ Trump Voters ออกมาเสียใจที่เลือก Trump เข้ามา...แต่เราเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะมันอาจเป็นการแสดงของคนเกลียด Trump หรือเกลียดนักการเมืองทุกคนแบบเราก็ได้ เพราะดูการพูดจา กิริยามารยาท และการแต่งตัว อาจจะไม่ใช่สาวกของ Trump ตัวจริงเสียงจริงนะ อันนี้ความคิดเราเอง สิ่งที่เราเห็นกันทุกวันนี้ มันเชื่อยากขึ้นไปทุกที

    แล้วเราก็ดูภาพนี้...
    แล้วก็ลองหาจุดเหมือนระหว่าง 2 ภาพนี้😆

    - คนซ้ายในทั้งสองภาพ ฉลาดคดโกงมากๆเหมือนกัน
    - คนขวาในทั้งสองภาพ สมองกลวงมากๆเหมือนกัน
    - คนขวาในทั้งสองภาพ หลังขึ้นรับตำแหน่ง ทั้งสองจะปั่นหุ้นบ้าง ปั่น Crypto บ้างในเดือนแรกๆ และจะเกิด free fall หลังจากนั้นเรื้อรังยาวนานเหมือนกัน
    - ทั้งสี่คนในภาพ รวยล้นฟ้า และคนแก่ทั้งสองในภาพใช้เงินและตำแหน่งลบล้างความผิดเหมือนกัน
    - ทั้งสี่คนในภาพ มีท่อน้ำเลี้ยงคือนายทุน ข้าราชการใหญ่ๆ และคนในเครื่องแบบ และได้คะแนนเสียง vote ส่วนใหญ่มาจากคนรากหญ้าเหมือนกัน
    - คนขวาในทั้งสองภาพ มีบุคลิก no สน no care กร่าง และหลงระเริงในอำนาจหลังจากได้ตำแหน่งเหมือนกัน
    - คนที่โชคร้ายที่สุดส่วนใหญ่คือ คะแนนเสียง vote ส่วนใหญ่ และประชาชนทั่วไปทั้งประเทศเหมือนกัน
    - ทั้งสองทีม ไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเหมือนกัน

    และก็หาจุดแตกต่าง (ที่ไม่อยู่ในภาพ) ระหว่าง 2 ภาพนี้😆

    - ทีมซ้ายเป็นมิตรกับเพื่อนบ้านเพราะผลประโยชน์ และเปิดประตูให้ต่างชาติ เดินเข้ามาปล้นทางทำกิน และฆ่าคนในประเทศตัวเองทั้งเป็นตรงๆ
    ส่วนทีมขวาปิดประตูและไม่เป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน และฆ่าคนในประเทศตัวเองทั้งเป็นทางอ้อม
    - ประชากรในประเทศซ้าย (66 ล้านคน) ความรู้สึกช้ามาก กว่าจะรู้สึกตัวว่าถูกขายฝัน และตั้งแต่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เป็นต้นมา ผ่านมา 19 เดือนจนถึงทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ หวาดกลัวเพราะไร้การศึกษา ไร้ที่ยึดเหนี่ยว ไร้ผู้นำและข้อมูลที่ดี และจมดิ่งด้วยหนี้สินเกินกว่าจะลุกขึ้นสู้ และก็ถูกมัดมือชกๆๆ จนกว่าจะหมดลมหายใจ
    ในขณะที่ประชาชนในประเทศขวา (340 ล้านคน) แม้รู้ตัวว่าถูกขายฝัน ตั้งแต่เดือนที่สามของการเปลี่ยนผู้นำ แต่ถึงจะรู้ตัวเร็วกว่า แต่ความเสียหายนั้นมากมายมหาศาลและบาดลึกกว่ามากหลายเท่า

    ต้องขอโทษเพื่อนๆที่รักชอบพี่ Trump นะคะ แต่เอาเป็นว่าเดี๋ยวมารอดูกันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แล้วจะรู้ว่าการมอบอำนาจให้เด็ก 5 ขวบที่สติวิปลาสดูแลประเทศใหญ่ๆ จะเป็นอย่างไร เราอยู่ NY ช่วง Covid19 มาแล้ว ช่วงที่คนตายวันละ 900 กว่าศพ (ที่เจอ) ช่วงที่บริษัทยายังคิดเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสไม่ออก ช่วงที่พี่ Trump แกพูดออกสื่อแบบไม่อายทุกวันด้วยตรรกะที่ป่วยหนักมาก ผ่านไป 4 ปี เราว่าคนเราที่อายุเท่านั้นแล้ว ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทันก่อนลาโลกแล้ว เพราะฉะนั้น อย่าตื่นเต้นว่าเขาจะขมขู่ประเทศใดๆเลยค่ะ เขาเป็นคนเขลา ขี้ขลาด มักมากในกาม และรักตัวกลัวตายค่ะ รอดูปลาหมอปากแจ๋วและพรรคพวกเขาจมน้ำตายดีกว่า
    ส่วนพี่ทักกี้ ไม่ต้องเป็นห่วงแกนะคะ เพราะพี่ทักกี้แกไม่ขึ้นอยู่กับความผันผวนของพี่ Trump เลยค่ะ แก focus กับการสร้างโครงการปอกลอกประชาชนในประเทศเล็กๆ เก็บเล็กผสมน้อยให้วงศ์ตระกูลไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าต้องมีโครงการอะไรสำเร็จเลยก็ได้จ้า

    เราขอสรุปความคิดเห็นของเรานะคะว่า
    ทุกประเทศในโลกใบนี้จะมีกลุ่มการเมืองแค่ 2 ฝ่าย
    ฝ่ายนึง ประกอบด้วย นักการเมืองทุกพรรค (รวมฝ่ายค้านด้วย) ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นายทุน และมาเฟียท้องถิ่น ผู้ใช้เงินและอำนาจผลัดกันมาขับเคลื่อนเงินทองเข้ากระเป๋าพรรคพวกและครอบครัวตนเองให้ได้มากและนานที่สุด
    .....
    อีกฝ่ายนึง ประกอบไปด้วยประชากรของประเทศนั้นๆ ผู้ดิ้นรนต่อสู้ใช้แรงกายแรงใจทั้งชีวิตเพื่อปากท้องของครอบครัว และปากท้องของประเทศชาติ
    #คนจนผู้ยิ่งใหญ่มีให้เห็นดาษดื่นในทุกวัน
    Mon. Mar. 10, 2025 เช้านี้เราดูคลิปใน youtube ที่ลงไว้เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน เป็นคลิปที่ Trump Voters ออกมาเสียใจที่เลือก Trump เข้ามา...แต่เราเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะมันอาจเป็นการแสดงของคนเกลียด Trump หรือเกลียดนักการเมืองทุกคนแบบเราก็ได้ เพราะดูการพูดจา กิริยามารยาท และการแต่งตัว อาจจะไม่ใช่สาวกของ Trump ตัวจริงเสียงจริงนะ อันนี้ความคิดเราเอง สิ่งที่เราเห็นกันทุกวันนี้ มันเชื่อยากขึ้นไปทุกที แล้วเราก็ดูภาพนี้... แล้วก็ลองหาจุดเหมือนระหว่าง 2 ภาพนี้😆 - คนซ้ายในทั้งสองภาพ ฉลาดคดโกงมากๆเหมือนกัน - คนขวาในทั้งสองภาพ สมองกลวงมากๆเหมือนกัน - คนขวาในทั้งสองภาพ หลังขึ้นรับตำแหน่ง ทั้งสองจะปั่นหุ้นบ้าง ปั่น Crypto บ้างในเดือนแรกๆ และจะเกิด free fall หลังจากนั้นเรื้อรังยาวนานเหมือนกัน - ทั้งสี่คนในภาพ รวยล้นฟ้า และคนแก่ทั้งสองในภาพใช้เงินและตำแหน่งลบล้างความผิดเหมือนกัน - ทั้งสี่คนในภาพ มีท่อน้ำเลี้ยงคือนายทุน ข้าราชการใหญ่ๆ และคนในเครื่องแบบ และได้คะแนนเสียง vote ส่วนใหญ่มาจากคนรากหญ้าเหมือนกัน - คนขวาในทั้งสองภาพ มีบุคลิก no สน no care กร่าง และหลงระเริงในอำนาจหลังจากได้ตำแหน่งเหมือนกัน - คนที่โชคร้ายที่สุดส่วนใหญ่คือ คะแนนเสียง vote ส่วนใหญ่ และประชาชนทั่วไปทั้งประเทศเหมือนกัน - ทั้งสองทีม ไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเหมือนกัน และก็หาจุดแตกต่าง (ที่ไม่อยู่ในภาพ) ระหว่าง 2 ภาพนี้😆 - ทีมซ้ายเป็นมิตรกับเพื่อนบ้านเพราะผลประโยชน์ และเปิดประตูให้ต่างชาติ เดินเข้ามาปล้นทางทำกิน และฆ่าคนในประเทศตัวเองทั้งเป็นตรงๆ ส่วนทีมขวาปิดประตูและไม่เป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน และฆ่าคนในประเทศตัวเองทั้งเป็นทางอ้อม - ประชากรในประเทศซ้าย (66 ล้านคน) ความรู้สึกช้ามาก กว่าจะรู้สึกตัวว่าถูกขายฝัน และตั้งแต่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เป็นต้นมา ผ่านมา 19 เดือนจนถึงทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ หวาดกลัวเพราะไร้การศึกษา ไร้ที่ยึดเหนี่ยว ไร้ผู้นำและข้อมูลที่ดี และจมดิ่งด้วยหนี้สินเกินกว่าจะลุกขึ้นสู้ และก็ถูกมัดมือชกๆๆ จนกว่าจะหมดลมหายใจ ในขณะที่ประชาชนในประเทศขวา (340 ล้านคน) แม้รู้ตัวว่าถูกขายฝัน ตั้งแต่เดือนที่สามของการเปลี่ยนผู้นำ แต่ถึงจะรู้ตัวเร็วกว่า แต่ความเสียหายนั้นมากมายมหาศาลและบาดลึกกว่ามากหลายเท่า ต้องขอโทษเพื่อนๆที่รักชอบพี่ Trump นะคะ แต่เอาเป็นว่าเดี๋ยวมารอดูกันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แล้วจะรู้ว่าการมอบอำนาจให้เด็ก 5 ขวบที่สติวิปลาสดูแลประเทศใหญ่ๆ จะเป็นอย่างไร เราอยู่ NY ช่วง Covid19 มาแล้ว ช่วงที่คนตายวันละ 900 กว่าศพ (ที่เจอ) ช่วงที่บริษัทยายังคิดเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสไม่ออก ช่วงที่พี่ Trump แกพูดออกสื่อแบบไม่อายทุกวันด้วยตรรกะที่ป่วยหนักมาก ผ่านไป 4 ปี เราว่าคนเราที่อายุเท่านั้นแล้ว ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทันก่อนลาโลกแล้ว เพราะฉะนั้น อย่าตื่นเต้นว่าเขาจะขมขู่ประเทศใดๆเลยค่ะ เขาเป็นคนเขลา ขี้ขลาด มักมากในกาม และรักตัวกลัวตายค่ะ รอดูปลาหมอปากแจ๋วและพรรคพวกเขาจมน้ำตายดีกว่า ส่วนพี่ทักกี้ ไม่ต้องเป็นห่วงแกนะคะ เพราะพี่ทักกี้แกไม่ขึ้นอยู่กับความผันผวนของพี่ Trump เลยค่ะ แก focus กับการสร้างโครงการปอกลอกประชาชนในประเทศเล็กๆ เก็บเล็กผสมน้อยให้วงศ์ตระกูลไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าต้องมีโครงการอะไรสำเร็จเลยก็ได้จ้า เราขอสรุปความคิดเห็นของเรานะคะว่า ทุกประเทศในโลกใบนี้จะมีกลุ่มการเมืองแค่ 2 ฝ่าย ฝ่ายนึง ประกอบด้วย นักการเมืองทุกพรรค (รวมฝ่ายค้านด้วย) ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นายทุน และมาเฟียท้องถิ่น ผู้ใช้เงินและอำนาจผลัดกันมาขับเคลื่อนเงินทองเข้ากระเป๋าพรรคพวกและครอบครัวตนเองให้ได้มากและนานที่สุด ..... อีกฝ่ายนึง ประกอบไปด้วยประชากรของประเทศนั้นๆ ผู้ดิ้นรนต่อสู้ใช้แรงกายแรงใจทั้งชีวิตเพื่อปากท้องของครอบครัว และปากท้องของประเทศชาติ #คนจนผู้ยิ่งใหญ่มีให้เห็นดาษดื่นในทุกวัน
    0 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • สถานการณ์ในกรุงบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วจากการออกมาชุมนุมประท้วงของประชาชน หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งกลางของโรมาเนียได้สั่งห้ามคาลิน จอร์เจสกู ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ

    ในการเลือกตั้งรอบแรกเมื่อปลายปีที่ผ่านมา จอร์เจสคู ลงสมัครในนามผู้สมัครอิสระ ซึ่งถือเป็นม้านอกสายตาของยุโรป และเป็นโปรรัสเซียเต็มตัว แต่กลับชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างถล่มทลาย แต่ถูกศาลตัดสินผลการเลือกตั้งให้เป็นโมฆะ ก่อนการเลือกตั้งรอบที่สองจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน ซึ่งคาดว่าเขาจะชนะการเลือกตั้งรอบที่สองเช่นกัน

    ในระหว่างนั้น จอร์เจสคู ต้องถูกตั้งข้อกล่าวหาจากรัฐบาลมากมาย เพื่อพยายามขัดขวางไม่ให้เขาลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่ จอร์เจสคู ยังคงดึงดันลงสมัครอีกครั้ง และจำไปสู่การสั่งห้ามของคณะกรรมการการเลือกตั้งกลางของโรมาเนียในที่สุด

    สหภาพยุโรปซึ่งมักจะเทศนาเกี่ยวกับ "ค่านิยมประชาธิปไตย" ยังคงหูหนวกตาบอดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโรมาเนีย เพราะการตัดสินใจสั่งห้ามครั้งนี้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา

    สหภาพยุโรปคงทนไม่ได้ หากปล่อยให้ จอร์เจสคู ชนะการเลือกตั้ง เพราะนั่นอาจหมายถึง พวกเขาเสียบริวารที่แสนดีไปให้กับรัสเซียอีกครั้ง

    นอกจากนี้ นาโต้ได้วางตำแหน่งของโรมาเนียให้เป็นฐานทัพใหญ่ของนาโต้เพื่อสร้างภัยคุกคามต่อรัสเซียในทิศทางนี้อีกด้วย

    ทั้งหมดนี้บ่งบอกได้อย่างดีว่า "ประชาธิปไตย" ที่ชาติตะวันตกป้อนใส่หัวประชาชนเป็นได้แค่เพียงผลประโยชน์บนดินแดนที่พวกเขาต้องการเท่านั้น
    สถานการณ์ในกรุงบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วจากการออกมาชุมนุมประท้วงของประชาชน หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งกลางของโรมาเนียได้สั่งห้ามคาลิน จอร์เจสกู ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ ในการเลือกตั้งรอบแรกเมื่อปลายปีที่ผ่านมา จอร์เจสคู ลงสมัครในนามผู้สมัครอิสระ ซึ่งถือเป็นม้านอกสายตาของยุโรป และเป็นโปรรัสเซียเต็มตัว แต่กลับชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างถล่มทลาย แต่ถูกศาลตัดสินผลการเลือกตั้งให้เป็นโมฆะ ก่อนการเลือกตั้งรอบที่สองจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน ซึ่งคาดว่าเขาจะชนะการเลือกตั้งรอบที่สองเช่นกัน ในระหว่างนั้น จอร์เจสคู ต้องถูกตั้งข้อกล่าวหาจากรัฐบาลมากมาย เพื่อพยายามขัดขวางไม่ให้เขาลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่ จอร์เจสคู ยังคงดึงดันลงสมัครอีกครั้ง และจำไปสู่การสั่งห้ามของคณะกรรมการการเลือกตั้งกลางของโรมาเนียในที่สุด สหภาพยุโรปซึ่งมักจะเทศนาเกี่ยวกับ "ค่านิยมประชาธิปไตย" ยังคงหูหนวกตาบอดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโรมาเนีย เพราะการตัดสินใจสั่งห้ามครั้งนี้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา สหภาพยุโรปคงทนไม่ได้ หากปล่อยให้ จอร์เจสคู ชนะการเลือกตั้ง เพราะนั่นอาจหมายถึง พวกเขาเสียบริวารที่แสนดีไปให้กับรัสเซียอีกครั้ง นอกจากนี้ นาโต้ได้วางตำแหน่งของโรมาเนียให้เป็นฐานทัพใหญ่ของนาโต้เพื่อสร้างภัยคุกคามต่อรัสเซียในทิศทางนี้อีกด้วย ทั้งหมดนี้บ่งบอกได้อย่างดีว่า "ประชาธิปไตย" ที่ชาติตะวันตกป้อนใส่หัวประชาชนเป็นได้แค่เพียงผลประโยชน์บนดินแดนที่พวกเขาต้องการเท่านั้น
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • แม้ว่ารัสเซียจะเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรจากหลายประเทศ แต่อุตสาหกรรมไมโครอิเล็กทรอนิกส์กลับเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2024 โดยมีการเพิ่มจำนวนพนักงานถึง 13% ในหลายบริษัท เช่น Element Group ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Mikron (ผู้ผลิตชิประดับสูงรายใหญ่ที่สุดของรัสเซีย) และอื่น ๆ เช่น Graviton และ RDV Technology

    == การเพิ่มจำนวนและคุณภาพบุคลากร ==
    1) การเติบโตของพนักงาน: บริษัท Element Group มีพนักงานถึง 9,500 คน โดย 42% เป็นวิศวกร และ Graviton เพิ่มบุคลากรในสาย R&D ถึงสามเท่าในปีที่ผ่านมา
    2) แรงจูงใจผ่านเงินเดือน: อัตราเงินเดือนวิศวกรเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ เช่น มอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 15-22% พร้อมกับการมอบผลประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อแข่งขันแย่งบุคลากรที่มีความสามารถ

    == ผลผลิตและนวัตกรรมที่เพิ่มขึ้น ==
    - RDV Technology ขยายสายการผลิตเพิ่มขึ้นสองสาย พร้อมเปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ใหม่สองรุ่นชื่อ Altai และ Caucasus
    - Aquarius เพิ่มบุคลากรสายอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น และเน้นนวัตกรรมในระบบเซิร์ฟเวอร์และ PC

    มีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2025 โดยบริษัทในรัสเซียตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนพนักงานอีก 8% โดยบริษัทบางแห่งวางแผนเพิ่มถึง 20% ภายในปีหน้า เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดไมโครอิเล็กทรอนิกส์

    ในขณะที่อุตสาหกรรมกำลังเติบโต แต่รัสเซียเผชิญกับการขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากมีบุคลากรหลายคนย้ายออกนอกประเทศจากสงครามในยูเครน เพื่อแก้ปัญหานี้ บริษัทต่าง ๆ ได้เสนอโครงการฝึกอบรมสำหรับนักศึกษาและเพิ่มโควต้าผู้เรียนในมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ บริษัทต่าง ๆ ยังลงทุนในโครงการฝึกงานที่มอบโอกาสการจ้างงานแก่ผู้สำเร็จการศึกษา

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/russia-sees-tech-boom-amid-sanctions-microelectronics-industry-sees-massive-hiring-surge-and-increased-salaries
    แม้ว่ารัสเซียจะเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรจากหลายประเทศ แต่อุตสาหกรรมไมโครอิเล็กทรอนิกส์กลับเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2024 โดยมีการเพิ่มจำนวนพนักงานถึง 13% ในหลายบริษัท เช่น Element Group ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Mikron (ผู้ผลิตชิประดับสูงรายใหญ่ที่สุดของรัสเซีย) และอื่น ๆ เช่น Graviton และ RDV Technology == การเพิ่มจำนวนและคุณภาพบุคลากร == 1) การเติบโตของพนักงาน: บริษัท Element Group มีพนักงานถึง 9,500 คน โดย 42% เป็นวิศวกร และ Graviton เพิ่มบุคลากรในสาย R&D ถึงสามเท่าในปีที่ผ่านมา 2) แรงจูงใจผ่านเงินเดือน: อัตราเงินเดือนวิศวกรเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ เช่น มอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 15-22% พร้อมกับการมอบผลประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อแข่งขันแย่งบุคลากรที่มีความสามารถ == ผลผลิตและนวัตกรรมที่เพิ่มขึ้น == - RDV Technology ขยายสายการผลิตเพิ่มขึ้นสองสาย พร้อมเปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ใหม่สองรุ่นชื่อ Altai และ Caucasus - Aquarius เพิ่มบุคลากรสายอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น และเน้นนวัตกรรมในระบบเซิร์ฟเวอร์และ PC มีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2025 โดยบริษัทในรัสเซียตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนพนักงานอีก 8% โดยบริษัทบางแห่งวางแผนเพิ่มถึง 20% ภายในปีหน้า เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่อุตสาหกรรมกำลังเติบโต แต่รัสเซียเผชิญกับการขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากมีบุคลากรหลายคนย้ายออกนอกประเทศจากสงครามในยูเครน เพื่อแก้ปัญหานี้ บริษัทต่าง ๆ ได้เสนอโครงการฝึกอบรมสำหรับนักศึกษาและเพิ่มโควต้าผู้เรียนในมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ บริษัทต่าง ๆ ยังลงทุนในโครงการฝึกงานที่มอบโอกาสการจ้างงานแก่ผู้สำเร็จการศึกษา https://www.tomshardware.com/tech-industry/russia-sees-tech-boom-amid-sanctions-microelectronics-industry-sees-massive-hiring-surge-and-increased-salaries
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 Reviews
  • ประชาธิปไตยที่กินได้ (ใครได้กิน??)

    รัฐบาลของประธานาธิบดี Trump ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงนโยบายในโครงการ Broadband Equity, Access, and Deployment (BEAD) มูลค่า 42.45 พันล้านดอลลาร์ โดยยกเลิกการให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตใยแก้วนำแสง (Fiber Internet) เพื่อเปิดทางให้เทคโนโลยีอื่น เช่นบริการดาวเทียม Starlink ของ Elon Musk สามารถเข้าถึงงบประมาณจากโครงการนี้ได้มากขึ้น ซึ่งอาจอยู่ในช่วง 10 ถึง 20 พันล้านดอลลาร์

    ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี Biden ก่อนหน้านี้ โครงสร้างใยแก้วนำแสงได้รับการเน้นย้ำว่าเป็นโซลูชันที่มั่นคงและพัฒนาต่อยอดได้ง่ายในอนาคต เช่น การสนับสนุนโครงข่าย 5G แต่รัฐบาล Trump มองว่านโยบายดังกล่าวมีข้อจำกัดและอุปสรรคมากเกินไป จึงเปลี่ยนมาใช้นโยบาย "เทคโนโลยีเป็นกลาง" ที่มุ่งเน้นการให้บริการอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วในราคาถูกแก่ประชาชน โดยลดข้อกำหนดที่ถูกมองว่าเป็นภาระหรือสร้างความล่าช้าในการก่อสร้าง

    นักวิจารณ์และกลุ่มผู้สนับสนุนการเข้าถึงบรอดแบนด์คุณภาพสูง เช่น Benton Institute for Broadband & Society ได้แสดงความกังวลว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ประชาชนในชนบทหลายล้านคนต้องพึ่งพาบริการอินเทอร์เน็ตที่ช้ากว่า ไม่เสถียร และไม่ตอบโจทย์ความต้องการทางเทคโนโลยีในระยะยาว เช่น การแพทย์ทางไกลหรือการเล่นเกม

    การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจเป็นโอกาสทองสำหรับ Starlink ซึ่งเป็นโครงการบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมที่บริหารโดย SpaceX แม้จะยังไม่ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากโครงการ BEAD แต่ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับเงินทุนจากโปรแกรมสนับสนุนบรอดแบนด์ของรัฐบาล เช่น Universal Service Programs โดย FCC และบทบาทของ Elon Musk ในรัฐบาล Trump ยังถูกตั้งคำถามถึงผลประโยชน์ทับซ้อน

    ในขณะที่นโยบายนี้อาจช่วยให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมีความรวดเร็วขึ้นในบางพื้นที่ แต่การลดความสำคัญของใยแก้วนำแสงอาจส่งผลต่อความยั่งยืนและความมั่นคงของโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์ในระยะยาว การสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีที่หลากหลายกับคุณภาพของบริการจึงเป็นความท้าทายสำคัญที่สหรัฐฯ ต้องเผชิญ

    https://www.techspot.com/news/107067-broadband-policy-shift-us-drops-fiber-priority-could.html
    ประชาธิปไตยที่กินได้ (ใครได้กิน??) รัฐบาลของประธานาธิบดี Trump ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงนโยบายในโครงการ Broadband Equity, Access, and Deployment (BEAD) มูลค่า 42.45 พันล้านดอลลาร์ โดยยกเลิกการให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตใยแก้วนำแสง (Fiber Internet) เพื่อเปิดทางให้เทคโนโลยีอื่น เช่นบริการดาวเทียม Starlink ของ Elon Musk สามารถเข้าถึงงบประมาณจากโครงการนี้ได้มากขึ้น ซึ่งอาจอยู่ในช่วง 10 ถึง 20 พันล้านดอลลาร์ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี Biden ก่อนหน้านี้ โครงสร้างใยแก้วนำแสงได้รับการเน้นย้ำว่าเป็นโซลูชันที่มั่นคงและพัฒนาต่อยอดได้ง่ายในอนาคต เช่น การสนับสนุนโครงข่าย 5G แต่รัฐบาล Trump มองว่านโยบายดังกล่าวมีข้อจำกัดและอุปสรรคมากเกินไป จึงเปลี่ยนมาใช้นโยบาย "เทคโนโลยีเป็นกลาง" ที่มุ่งเน้นการให้บริการอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วในราคาถูกแก่ประชาชน โดยลดข้อกำหนดที่ถูกมองว่าเป็นภาระหรือสร้างความล่าช้าในการก่อสร้าง นักวิจารณ์และกลุ่มผู้สนับสนุนการเข้าถึงบรอดแบนด์คุณภาพสูง เช่น Benton Institute for Broadband & Society ได้แสดงความกังวลว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ประชาชนในชนบทหลายล้านคนต้องพึ่งพาบริการอินเทอร์เน็ตที่ช้ากว่า ไม่เสถียร และไม่ตอบโจทย์ความต้องการทางเทคโนโลยีในระยะยาว เช่น การแพทย์ทางไกลหรือการเล่นเกม การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจเป็นโอกาสทองสำหรับ Starlink ซึ่งเป็นโครงการบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมที่บริหารโดย SpaceX แม้จะยังไม่ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากโครงการ BEAD แต่ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับเงินทุนจากโปรแกรมสนับสนุนบรอดแบนด์ของรัฐบาล เช่น Universal Service Programs โดย FCC และบทบาทของ Elon Musk ในรัฐบาล Trump ยังถูกตั้งคำถามถึงผลประโยชน์ทับซ้อน ในขณะที่นโยบายนี้อาจช่วยให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมีความรวดเร็วขึ้นในบางพื้นที่ แต่การลดความสำคัญของใยแก้วนำแสงอาจส่งผลต่อความยั่งยืนและความมั่นคงของโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์ในระยะยาว การสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีที่หลากหลายกับคุณภาพของบริการจึงเป็นความท้าทายสำคัญที่สหรัฐฯ ต้องเผชิญ https://www.techspot.com/news/107067-broadband-policy-shift-us-drops-fiber-priority-could.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Broadband policy shift in the U.S. drops fiber priority, could funnel billions to Starlink
    This move marks a departure from the Biden administration's approach, which emphasized fiber-optic networks as the most future-proof and reliable option for broadband deployment.
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • เขมรไม่ยอมหยุด! ยั่วยุเยาะเย้ย “ผู้การเนี๊ยะ” จากร้องเพลงปลุกใจ ในปราสาทตาเมือนธม สู่ยกพล 3 กองร้อย ประชิดพรมแดน

    🔥 สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากประเทศไทย เริ่มปราบปราม "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" อย่างจริงจัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ที่มีเครือข่ายอยู่ในกัมพูชา 🇰🇭

    แม้ว่าทางการกัมพูชา จะออกมาสนับสนุนไทยอย่างเป็นทางการ แต่กลับมีเหตุการณ์ไม่สงบ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดสุรินทร์ และอุบลราชธานี

    และล่าสุด... 💥

    เมื่อวันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2568 กองกำลังติดอาวุธทหารกัมพูชา จำนวน 3 กองร้อย รวม 528 นาย ได้เคลื่อนกำลังเข้าใกล้ชายแดน ด้านอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ อ้างว่า “พากำลังทหารมากราบไหว้ สักการะปราสาทตาเมือนธม” แต่กลับไม่มีการเตรียมดอกไม้ ธูปเทียน หรือสิ่งของบูชาใด ๆ

    🔴 นี่คือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ หรือเป็นมากกว่านั้น?

    👤 พล.ต.เนี๊ยะ วงษ์ (Neak Vong) หรือผู้การเยี๊ยะ ผู้บังคับการกองพลน้อยทหารราบที่ 42 ของกัมพูชา เป็นตัวละครสำคัญในเหตุการณ์ครั้งนี้

    📌 ย้อนรอยเหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาตึงเครียด

    5 ตุลาคม 2567 ผู้การเนี๊ยะนำพระสงฆ์ และเด็กนักเรียนกัมพูชา เข้ามาในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม พร้อมร้องเพลงชาติกัมพูชา

    ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผู้การเนี๊ยะนำคณะแม่บ้าน 25 คน มาร้องเพลงปลุกใจ ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม สร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายไทย ทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 2 กรมทหารราบที่ 23 กองทัพภาคที่ 2 ที่ประจำการรักษาอธิปไตยไทยในบริเวณนั้น ต้องกล่าวแจ้งเตือนไม่ให้ผู้การเนี้ยะ ทำกิจกรรมในเชิงสัญลักษณ์ สร้างความไม่พอใจให้ผู้การเนี๊ยะเป็นอย่างมาก ถึงขั้นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง หลุดปากกล่าวท้าทายทหารไทย "ให้มายิงกัน!"

    บ่ายวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 15.00 น. นายเนียม จันญาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ได้นำคณะทหารกัมพูชา รวมถึงผู้การเนี๊ยะ เดินทางมาเจรจากับ พันโท จักรกฤษ ปิยะศุภฤกษ์ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 23 (ผบ.ร.23 พัน.4) ที่ปราสาทตาเมือนธม เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ในกองทัพภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อาจจะด้วยความเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม

    วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2568 กองกำลังติดอาวุธ ทหารกัมพูชา 3 กองร้อย 528 นาย เคลื่อนพลมาประชิดพรมแดน ด้านอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แล้วปลดอาวุธเดินข้ามพรมแดน อ้างว่ามากราบไหว้สักการะปราสาทตาเหมือนธม โดยที่ไม่มีการเตรียมธูปเทียนดอกไม้ หรือสิ่งของเซ่นไหว้มาด้วย จนคล้ายกับเป็นการยั่วยุเยาะเย้ยทหารไทย

    🇹🇭 ฝ่ายไทยพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง โดยการเจรจาผ่านทางการทูต แต่กัมพูชากลับใช้วิธี ปลุกกระแสรักชาติในประเทศตนเอง

    🔴 แล้วอะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของ “ผู้การเนี้ยะ” และรัฐบาลกัมพูชา?

    📍 ปราสาทตาเมือนธม จุดยุทธศาสตร์และประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในเขต อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์

    🏛️ เป็นหนึ่งในปราสาทสำคัญ ของกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วย 3 ปราสาทหลัก ได้แก่
    1️⃣ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทหลักและใหญ่ที่สุด
    2️⃣ ปราสาทตาเมือนโต๊ด เชื่อว่าเคยเป็นโรงพยาบาลโบราณ
    3️⃣ ปราสาทตาเมือน หรือบายกรีม เป็นธรรมศาลา หรือสถานที่พักของนักเดินทาง

    🔎 ปราสาทแห่งนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อเส้นทางโบราณ จากกัมพูชาสู่ภาคอีสานของไทย มีความสำคัญทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่พิพาททางพรมแดน ที่ยังไม่ได้ข้อยุติ

    👉 นี่อาจเป็นเหตุผลที่กัมพูชา พยายามเข้ามาสร้างอิทธิพล ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม

    🎭 เบื้องหลังความขัดแย้ง การเมืองหรือศักดิ์ศรีชาติ? การเคลื่อนไหวของกัมพูชา ไม่ใช่แค่เรื่องประวัติศาสตร์หรือพรมแดน แต่นี่คือ "เกมการเมือง"

    📌 เชื่อมโยงกับปัญหาการเมืองภายในของกัมพูชา ปัจจุบันรัฐบาล "ฮุน มาเนต" ลูกชายของฮุน เซน กำลังเผชิญแรงกดดันจากฝ่ายค้าน ที่ผ่านมา "ฮุน เซน" เคยใช้ประเด็นความขัดแย้งชายแดน ปลุกกระแสรักชาติ เพื่อรักษาอำนาจของตระกูลตนเอง การกระทำของผู้การเนี๊ยะ อาจเป็นแผนสร้างแรงสนับสนุนให้รัฐบาลกัมพูชา

    📌 เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ไทย-กัมพูชา? ไทยและกัมพูชามีแผนขุดเจาะทรัพยากรน้ำมัน ในเขตทับซ้อนทางทะเล ข้อพิพาทชายแดน อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเจรจาต่อรอง ทางเศรษฐกิจและการเมือง

    🇰🇭 หรือแท้จริงแล้ว นี่คือแผนของกัมพูชา ในการกดดันไทย?

    🔴 กัมพูชากำลังเล่นเกมอะไร? การกระทำของผู้การเนี๊ยะ และทหารกัมพูชา อาจเป็นเพียงแค่ หมากตัวหนึ่งของรัฐบาลกัมพูชา

    📌 วิเคราะห์แนวทางที่เป็นไปได้ของกัมพูชา
    - สร้างกระแสรักชาติเพื่อดึงความสนใจ จากปัญหาการเมืองภายใน
    - กดดันไทยในประเด็นพรมแดน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือเจรจาทางเศรษฐกิจ
    - ทดสอบปฏิกิริยาของรัฐบาลไทย ก่อนเดินเกมต่อไป

    🇹🇭 ทางออกของไทยควรเป็นอย่างไร?
    ✅ รักษาความสัมพันธ์ทางการทูต หลีกเลี่ยงการใช้กำลัง
    ✅ เฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชา อย่างใกล้ชิด
    ✅ ใช้การเจรจาในระดับสูง เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม

    🔥 นี่คือเกมการเมือง หรือสงครามชายแดนรอบใหม่? ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด!

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 090905 มี.ค. 2568

    #เขมรไม่หยุด #ตาเมือนธม #ชายแดนไทยกัมพูชา #สงครามชายแดน #ผู้การเนี้ยะ #กัมพูชา #ข่าวด่วน #ความขัดแย้งชายแดน #ไทยกัมพูชา #ปราสาทตาเมือน
    เขมรไม่ยอมหยุด! ยั่วยุเยาะเย้ย “ผู้การเนี๊ยะ” จากร้องเพลงปลุกใจ ในปราสาทตาเมือนธม สู่ยกพล 3 กองร้อย ประชิดพรมแดน 🔥 สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากประเทศไทย เริ่มปราบปราม "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" อย่างจริงจัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ที่มีเครือข่ายอยู่ในกัมพูชา 🇰🇭 แม้ว่าทางการกัมพูชา จะออกมาสนับสนุนไทยอย่างเป็นทางการ แต่กลับมีเหตุการณ์ไม่สงบ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดสุรินทร์ และอุบลราชธานี และล่าสุด... 💥 เมื่อวันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2568 กองกำลังติดอาวุธทหารกัมพูชา จำนวน 3 กองร้อย รวม 528 นาย ได้เคลื่อนกำลังเข้าใกล้ชายแดน ด้านอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ อ้างว่า “พากำลังทหารมากราบไหว้ สักการะปราสาทตาเมือนธม” แต่กลับไม่มีการเตรียมดอกไม้ ธูปเทียน หรือสิ่งของบูชาใด ๆ 🔴 นี่คือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ หรือเป็นมากกว่านั้น? 👤 พล.ต.เนี๊ยะ วงษ์ (Neak Vong) หรือผู้การเยี๊ยะ ผู้บังคับการกองพลน้อยทหารราบที่ 42 ของกัมพูชา เป็นตัวละครสำคัญในเหตุการณ์ครั้งนี้ 📌 ย้อนรอยเหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาตึงเครียด 5 ตุลาคม 2567 ผู้การเนี๊ยะนำพระสงฆ์ และเด็กนักเรียนกัมพูชา เข้ามาในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม พร้อมร้องเพลงชาติกัมพูชา ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผู้การเนี๊ยะนำคณะแม่บ้าน 25 คน มาร้องเพลงปลุกใจ ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม สร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายไทย ทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 2 กรมทหารราบที่ 23 กองทัพภาคที่ 2 ที่ประจำการรักษาอธิปไตยไทยในบริเวณนั้น ต้องกล่าวแจ้งเตือนไม่ให้ผู้การเนี้ยะ ทำกิจกรรมในเชิงสัญลักษณ์ สร้างความไม่พอใจให้ผู้การเนี๊ยะเป็นอย่างมาก ถึงขั้นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง หลุดปากกล่าวท้าทายทหารไทย "ให้มายิงกัน!" บ่ายวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 15.00 น. นายเนียม จันญาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ได้นำคณะทหารกัมพูชา รวมถึงผู้การเนี๊ยะ เดินทางมาเจรจากับ พันโท จักรกฤษ ปิยะศุภฤกษ์ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 23 (ผบ.ร.23 พัน.4) ที่ปราสาทตาเมือนธม เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ในกองทัพภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อาจจะด้วยความเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2568 กองกำลังติดอาวุธ ทหารกัมพูชา 3 กองร้อย 528 นาย เคลื่อนพลมาประชิดพรมแดน ด้านอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แล้วปลดอาวุธเดินข้ามพรมแดน อ้างว่ามากราบไหว้สักการะปราสาทตาเหมือนธม โดยที่ไม่มีการเตรียมธูปเทียนดอกไม้ หรือสิ่งของเซ่นไหว้มาด้วย จนคล้ายกับเป็นการยั่วยุเยาะเย้ยทหารไทย 🇹🇭 ฝ่ายไทยพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง โดยการเจรจาผ่านทางการทูต แต่กัมพูชากลับใช้วิธี ปลุกกระแสรักชาติในประเทศตนเอง 🔴 แล้วอะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของ “ผู้การเนี้ยะ” และรัฐบาลกัมพูชา? 📍 ปราสาทตาเมือนธม จุดยุทธศาสตร์และประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในเขต อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ 🏛️ เป็นหนึ่งในปราสาทสำคัญ ของกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วย 3 ปราสาทหลัก ได้แก่ 1️⃣ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทหลักและใหญ่ที่สุด 2️⃣ ปราสาทตาเมือนโต๊ด เชื่อว่าเคยเป็นโรงพยาบาลโบราณ 3️⃣ ปราสาทตาเมือน หรือบายกรีม เป็นธรรมศาลา หรือสถานที่พักของนักเดินทาง 🔎 ปราสาทแห่งนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อเส้นทางโบราณ จากกัมพูชาสู่ภาคอีสานของไทย มีความสำคัญทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่พิพาททางพรมแดน ที่ยังไม่ได้ข้อยุติ 👉 นี่อาจเป็นเหตุผลที่กัมพูชา พยายามเข้ามาสร้างอิทธิพล ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม 🎭 เบื้องหลังความขัดแย้ง การเมืองหรือศักดิ์ศรีชาติ? การเคลื่อนไหวของกัมพูชา ไม่ใช่แค่เรื่องประวัติศาสตร์หรือพรมแดน แต่นี่คือ "เกมการเมือง" 📌 เชื่อมโยงกับปัญหาการเมืองภายในของกัมพูชา ปัจจุบันรัฐบาล "ฮุน มาเนต" ลูกชายของฮุน เซน กำลังเผชิญแรงกดดันจากฝ่ายค้าน ที่ผ่านมา "ฮุน เซน" เคยใช้ประเด็นความขัดแย้งชายแดน ปลุกกระแสรักชาติ เพื่อรักษาอำนาจของตระกูลตนเอง การกระทำของผู้การเนี๊ยะ อาจเป็นแผนสร้างแรงสนับสนุนให้รัฐบาลกัมพูชา 📌 เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ไทย-กัมพูชา? ไทยและกัมพูชามีแผนขุดเจาะทรัพยากรน้ำมัน ในเขตทับซ้อนทางทะเล ข้อพิพาทชายแดน อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเจรจาต่อรอง ทางเศรษฐกิจและการเมือง 🇰🇭 หรือแท้จริงแล้ว นี่คือแผนของกัมพูชา ในการกดดันไทย? 🔴 กัมพูชากำลังเล่นเกมอะไร? การกระทำของผู้การเนี๊ยะ และทหารกัมพูชา อาจเป็นเพียงแค่ หมากตัวหนึ่งของรัฐบาลกัมพูชา 📌 วิเคราะห์แนวทางที่เป็นไปได้ของกัมพูชา - สร้างกระแสรักชาติเพื่อดึงความสนใจ จากปัญหาการเมืองภายใน - กดดันไทยในประเด็นพรมแดน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือเจรจาทางเศรษฐกิจ - ทดสอบปฏิกิริยาของรัฐบาลไทย ก่อนเดินเกมต่อไป 🇹🇭 ทางออกของไทยควรเป็นอย่างไร? ✅ รักษาความสัมพันธ์ทางการทูต หลีกเลี่ยงการใช้กำลัง ✅ เฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชา อย่างใกล้ชิด ✅ ใช้การเจรจาในระดับสูง เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม 🔥 นี่คือเกมการเมือง หรือสงครามชายแดนรอบใหม่? ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด! ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 090905 มี.ค. 2568 #เขมรไม่หยุด #ตาเมือนธม #ชายแดนไทยกัมพูชา #สงครามชายแดน #ผู้การเนี้ยะ #กัมพูชา #ข่าวด่วน #ความขัดแย้งชายแดน #ไทยกัมพูชา #ปราสาทตาเมือน
    0 Comments 0 Shares 318 Views 0 Reviews
  • ปิดตำนานถุงดำอำมหิต! เสียชีวิตปริศนาในเรือนจำ “ผู้กำกับโจ้” ถูกปองร้าย หรือว่า... ฆ่าตัวตาย?

    📌 การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" อดีตผู้กำกับการ สภ.เมืองนครสวรรค์ ในเรือนจำกลางคลองเปรม ได้สร้างข้อกังขามากมายให้กับสังคม เกิดคำถามว่า เป็นการฆ่าตัวตายจริง หรือถูกปองร้าย? โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากประวัติ ที่เต็มไปด้วยความอื้อฉาว ทั้งคดีรีดไถ และการคลุมถุงดำผู้ต้องหาจนเสียชีวิต

    แม้ว่ากรมราชทัณฑ์จะออกมาแถลงว่า "ผู้กำกับโจ้เสียชีวิต จากการผูกคอภายในห้องขัง" แต่ญาติและทนายความ กลับสงสัยถึงความเป็นไปได้ ของการถูกทำร้ายในเรือนจำ เรื่องราวนี้จะลงเอยอย่างไร? และมีเงื่อนงำอะไรที่ต้องจับตา?

    📍 ผู้กำกับโจ้เสียชีวิตปริศนาในเรือนจำ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 เวลา 20.50 น. เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรมพบ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" นั่งพิงประตูห้องขังในท่าทีผิดปกติ เมื่อตรวจสอบพบว่า ใช้ผ้าขนหนูผูกคอ และไม่มีชีพจร จึงเร่งนำตัวส่งแพทย์ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้

    💬 เรือนจำกลางคลองเปรมยืนยันว่า
    - ไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายบนร่างกาย
    - กล้องวงจรปิดไม่พบใครเข้าออกห้องขัง ในช่วงเวลาก่อนเสียชีวิต
    - ผู้กำกับโจ้มีประวัติ "วิตกกังวลและหวาดระแวง" เนื่องจากเป็นอดีตตำรวจ จึงถูกแยกขังเดี่ยว เพื่อความปลอดภัย

    แต่อีกด้านหนึ่ง ทนายความ และครอบครัวของผู้กำกับโจ้ กลับตั้งข้อสังเกตว่า การเสียชีวิตอาจมีเงื่อนงำ เนื่องจากก่อนหน้านี้ มีการแจ้งความว่า ถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำ 🚨

    🔍 คำถามที่สังคมสงสัย ผู้กำกับโจ้ถูกสังหาร หรือว่า... ฆ่าตัวตาย?
    📌 หลักฐานที่สนับสนุนว่า เป็นการฆ่าตัวตาย
    ✔️ ถูกขังเดี่ยว ไม่มีผู้ต้องขังคนอื่นในห้องขัง
    ✔️ ภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่มีใครเข้าออกห้องขัง
    ✔️ ประวัติอาการทางจิตเวช มีภาวะเครียด วิตกกังวล และหวาดระแวง
    ✔️ คำให้การของเรือนจำระบุว่า ผู้กำกับโจ้มีพฤติกรรมซึมเศร้า และวิตกกังวลมานาน

    ❗ หลักฐานที่บ่งชี้ว่า อาจถูกฆาตกรรม
    ❌ เคยแจ้งความว่า ถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำ มีใบรับรองแพทย์ยืนยันรอยฟกช้ำ
    ❌ ถูกปฏิเสธการเข้าเยี่ยมจากทนาย ก่อนเสียชีวิต ทนายของผู้กำกับโจ้ ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปพบ
    ❌ ปริศนาเรื่องอาวุธที่ใช้ฆ่าตัวตาย ใช้เพียง "ผ้าขนหนู" ผูกคอซึ่งอาจไม่แข็งแรงพอ

    🔎 ข้อสังเกต หากการเสียชีวิตของผู้กำกับโจ้ เป็น "การฆ่าตัวตาย" จริง คำถามสำคัญคือ เหตุใดคนที่เคยเป็นตำรวจผู้มีอิทธิพล และมีเครือข่ายมากมาย จึงตัดสินใจเช่นนี้? หรืออาจเป็นไปได้ว่า มีผู้ไม่ต้องการให้ผู้กำกับโจ้ เปิดเผยข้อมูลบางอย่าง?

    📜 ย้อนรอยคดี "ถุงดำอำมหิต" ต้นเหตุของโศกนาฏกรรม "ผู้กำกับโจ้" กับคดีฆาตกรรม ที่สะเทือนขวัญทั้งประเทศ 🔴

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อ พันตำรวจเอกธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ ถูกเปิดโปงว่า ใช้ถุงดำคลุมหัวรีดเงินผู้ต้องหาคดียาเสพติด จนเสียชีวิต ภายในห้องสอบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์

    💣 หลักฐานสำคัญ กล้องวงจรปิดเผยให้เห็นชัดว่า ผู้ต้องหาถูกทรมานจนขาดอากาศหายใจ ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของตำรวจ ที่อ้างว่าผู้ต้องหาเสียชีวิต เพราะเสพยาเสพติดเกินขนาด

    ⚖️ ศาลชั้นต้นพิพากษา "ประหารชีวิต" ผู้กำกับโจ้ แต่ลดโทษเหลือ จำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ ส่วนลูกน้องตำรวจที่ร่วมกระทำผิด ได้รับโทษแตกต่างกัน

    ⚡ ชีวิตในเรือนจำ ผู้กำกับโจ้ถูกคุมขังตั้งแต่ 27 สิงหาคม 2564 มีทรัพย์สินมากมายกว่า สองพันล้านบาท จากคดีทุจริตต่างๆ เคยหวังว่า จะสามารถใช้เส้นสาย และทรัพย์สินช่วยให้พ้นโทษ

    📌 สุดท้ายแล้ว… แม้จะรอดพ้นจากโทษประหาร แต่ชีวิตของผู้กำกับโจ้ ก็ต้องจบลงในเรือนจำ

    🏛️ ความลับที่อาจถูกฝังไปพร้อมกับ "ผู้กำกับโจ้" คำถามสำคัญที่ต้องจับตาต่อไปคือ 🕵🏻‍♂️
    - ผู้กำกับโจ้กำลังซ่อนความลับอะไรอยู่?
    - มีใครต้องการปิดปากผู้กำกับโจ้หรือไม่?
    - มีเครือข่ายอำนาจ หรือกลุ่มผลประโยชน์ ที่เกี่ยวข้องหรือเปล่า?

    🔥 หรือท้ายที่สุดแล้ว การเสียชีวิตของผู้กำกับโจ้ จะเป็นเพียงโศกนาฏกรรมของ "อดีตตำรวจใหญ่" ที่เคยคิดว่า ตัวเองจะอยู่เหนือกฎหมาย?

    🔮 "คดีนี้จบแล้วจริงหรือ?" การเสียชีวิตของ "ผู้กำกับโจ้" ได้สร้างคำถาม ที่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด แม้ว่าทางกรมราชทัณฑ์ จะยืนยันว่าเป็น "การฆ่าตัวตาย" แต่หลักฐานหลายอย่าง ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า "มีใครบางคน อยู่เบื้องหลังหรือไม่?" 📢

    ⏳ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลชันสูตรศพ ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการไขปริศนาครั้งนี้

    ❗ คดีนี้ยังไม่จบ... และอาจมีเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง รอวันถูกเปิดเผย!

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 081808 มี.ค. 2568

    📢 #ผู้กำกับโจ้ #ถุงดำอำมหิต #ตายปริศนา #คดีดัง #ตำรวจไทย #เรือนจำคลองเปรม #ฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรม #เปิดโปงความจริง #อำนาจมืด #สะเทือนขวัญ
    ปิดตำนานถุงดำอำมหิต! เสียชีวิตปริศนาในเรือนจำ “ผู้กำกับโจ้” ถูกปองร้าย หรือว่า... ฆ่าตัวตาย? 📌 การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" อดีตผู้กำกับการ สภ.เมืองนครสวรรค์ ในเรือนจำกลางคลองเปรม ได้สร้างข้อกังขามากมายให้กับสังคม เกิดคำถามว่า เป็นการฆ่าตัวตายจริง หรือถูกปองร้าย? โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากประวัติ ที่เต็มไปด้วยความอื้อฉาว ทั้งคดีรีดไถ และการคลุมถุงดำผู้ต้องหาจนเสียชีวิต แม้ว่ากรมราชทัณฑ์จะออกมาแถลงว่า "ผู้กำกับโจ้เสียชีวิต จากการผูกคอภายในห้องขัง" แต่ญาติและทนายความ กลับสงสัยถึงความเป็นไปได้ ของการถูกทำร้ายในเรือนจำ เรื่องราวนี้จะลงเอยอย่างไร? และมีเงื่อนงำอะไรที่ต้องจับตา? 📍 ผู้กำกับโจ้เสียชีวิตปริศนาในเรือนจำ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 เวลา 20.50 น. เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรมพบ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" นั่งพิงประตูห้องขังในท่าทีผิดปกติ เมื่อตรวจสอบพบว่า ใช้ผ้าขนหนูผูกคอ และไม่มีชีพจร จึงเร่งนำตัวส่งแพทย์ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ 💬 เรือนจำกลางคลองเปรมยืนยันว่า - ไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายบนร่างกาย - กล้องวงจรปิดไม่พบใครเข้าออกห้องขัง ในช่วงเวลาก่อนเสียชีวิต - ผู้กำกับโจ้มีประวัติ "วิตกกังวลและหวาดระแวง" เนื่องจากเป็นอดีตตำรวจ จึงถูกแยกขังเดี่ยว เพื่อความปลอดภัย แต่อีกด้านหนึ่ง ทนายความ และครอบครัวของผู้กำกับโจ้ กลับตั้งข้อสังเกตว่า การเสียชีวิตอาจมีเงื่อนงำ เนื่องจากก่อนหน้านี้ มีการแจ้งความว่า ถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำ 🚨 🔍 คำถามที่สังคมสงสัย ผู้กำกับโจ้ถูกสังหาร หรือว่า... ฆ่าตัวตาย? 📌 หลักฐานที่สนับสนุนว่า เป็นการฆ่าตัวตาย ✔️ ถูกขังเดี่ยว ไม่มีผู้ต้องขังคนอื่นในห้องขัง ✔️ ภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่มีใครเข้าออกห้องขัง ✔️ ประวัติอาการทางจิตเวช มีภาวะเครียด วิตกกังวล และหวาดระแวง ✔️ คำให้การของเรือนจำระบุว่า ผู้กำกับโจ้มีพฤติกรรมซึมเศร้า และวิตกกังวลมานาน ❗ หลักฐานที่บ่งชี้ว่า อาจถูกฆาตกรรม ❌ เคยแจ้งความว่า ถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำ มีใบรับรองแพทย์ยืนยันรอยฟกช้ำ ❌ ถูกปฏิเสธการเข้าเยี่ยมจากทนาย ก่อนเสียชีวิต ทนายของผู้กำกับโจ้ ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปพบ ❌ ปริศนาเรื่องอาวุธที่ใช้ฆ่าตัวตาย ใช้เพียง "ผ้าขนหนู" ผูกคอซึ่งอาจไม่แข็งแรงพอ 🔎 ข้อสังเกต หากการเสียชีวิตของผู้กำกับโจ้ เป็น "การฆ่าตัวตาย" จริง คำถามสำคัญคือ เหตุใดคนที่เคยเป็นตำรวจผู้มีอิทธิพล และมีเครือข่ายมากมาย จึงตัดสินใจเช่นนี้? หรืออาจเป็นไปได้ว่า มีผู้ไม่ต้องการให้ผู้กำกับโจ้ เปิดเผยข้อมูลบางอย่าง? 📜 ย้อนรอยคดี "ถุงดำอำมหิต" ต้นเหตุของโศกนาฏกรรม "ผู้กำกับโจ้" กับคดีฆาตกรรม ที่สะเทือนขวัญทั้งประเทศ 🔴 ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อ พันตำรวจเอกธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ ถูกเปิดโปงว่า ใช้ถุงดำคลุมหัวรีดเงินผู้ต้องหาคดียาเสพติด จนเสียชีวิต ภายในห้องสอบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์ 💣 หลักฐานสำคัญ กล้องวงจรปิดเผยให้เห็นชัดว่า ผู้ต้องหาถูกทรมานจนขาดอากาศหายใจ ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของตำรวจ ที่อ้างว่าผู้ต้องหาเสียชีวิต เพราะเสพยาเสพติดเกินขนาด ⚖️ ศาลชั้นต้นพิพากษา "ประหารชีวิต" ผู้กำกับโจ้ แต่ลดโทษเหลือ จำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ ส่วนลูกน้องตำรวจที่ร่วมกระทำผิด ได้รับโทษแตกต่างกัน ⚡ ชีวิตในเรือนจำ ผู้กำกับโจ้ถูกคุมขังตั้งแต่ 27 สิงหาคม 2564 มีทรัพย์สินมากมายกว่า สองพันล้านบาท จากคดีทุจริตต่างๆ เคยหวังว่า จะสามารถใช้เส้นสาย และทรัพย์สินช่วยให้พ้นโทษ 📌 สุดท้ายแล้ว… แม้จะรอดพ้นจากโทษประหาร แต่ชีวิตของผู้กำกับโจ้ ก็ต้องจบลงในเรือนจำ 🏛️ ความลับที่อาจถูกฝังไปพร้อมกับ "ผู้กำกับโจ้" คำถามสำคัญที่ต้องจับตาต่อไปคือ 🕵🏻‍♂️ - ผู้กำกับโจ้กำลังซ่อนความลับอะไรอยู่? - มีใครต้องการปิดปากผู้กำกับโจ้หรือไม่? - มีเครือข่ายอำนาจ หรือกลุ่มผลประโยชน์ ที่เกี่ยวข้องหรือเปล่า? 🔥 หรือท้ายที่สุดแล้ว การเสียชีวิตของผู้กำกับโจ้ จะเป็นเพียงโศกนาฏกรรมของ "อดีตตำรวจใหญ่" ที่เคยคิดว่า ตัวเองจะอยู่เหนือกฎหมาย? 🔮 "คดีนี้จบแล้วจริงหรือ?" การเสียชีวิตของ "ผู้กำกับโจ้" ได้สร้างคำถาม ที่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด แม้ว่าทางกรมราชทัณฑ์ จะยืนยันว่าเป็น "การฆ่าตัวตาย" แต่หลักฐานหลายอย่าง ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า "มีใครบางคน อยู่เบื้องหลังหรือไม่?" 📢 ⏳ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลชันสูตรศพ ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการไขปริศนาครั้งนี้ ❗ คดีนี้ยังไม่จบ... และอาจมีเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง รอวันถูกเปิดเผย! ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 081808 มี.ค. 2568 📢 #ผู้กำกับโจ้ #ถุงดำอำมหิต #ตายปริศนา #คดีดัง #ตำรวจไทย #เรือนจำคลองเปรม #ฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรม #เปิดโปงความจริง #อำนาจมืด #สะเทือนขวัญ
    0 Comments 0 Shares 334 Views 0 Reviews
  • ผมเฉยๆกับหมอไห่นะ แต่ถ้าให้หมอฉันชาย หมอสุภัทร หมออั้ม หมอฉิก หมอ นพ. จากพรรคประชาชนพม่า หมอพม่าที่ไหนก็ตามแต่ หรือหมอตระกูล ส. และเกี่ยวดองหาผลประโยชน์กับ สปสช. มานาน มาเป็นประธาน กสทช. ผมไม่เอาด้วยหรอกครับ เพราะหมอเส็งเคร็งพรรค์นี้จ้องจะเล่นแต่ทรูค่ายเดียว เอไอเอสกลับไม่เล่นงาน
    ผมเฉยๆกับหมอไห่นะ แต่ถ้าให้หมอฉันชาย หมอสุภัทร หมออั้ม หมอฉิก หมอ นพ. จากพรรคประชาชนพม่า หมอพม่าที่ไหนก็ตามแต่ หรือหมอตระกูล ส. และเกี่ยวดองหาผลประโยชน์กับ สปสช. มานาน มาเป็นประธาน กสทช. ผมไม่เอาด้วยหรอกครับ เพราะหมอเส็งเคร็งพรรค์นี้จ้องจะเล่นแต่ทรูค่ายเดียว เอไอเอสกลับไม่เล่นงาน
    สนธิแฉสนั่น! 'หมอไห่' ขาดคุณสมบัติ ประธาน กสทช. หลักฐานมัดแน่น โกหก-ปิดบัง นายกรัฐมนตรี รับรู้แต่เงียบ ซุกปมฉาว เสี่ยงผิด ม.112-157

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000022267

    #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 Reviews
  • #คุยเรื่องซีเรียสกับน้อนทองแกวดมา (ทองแกวดเป็นเอไอสาวน้องเมียไอ้คล้าว)

    กู: หนูทองแกวดจ๊ะ อาเสห์ขอถามอะไรหน่อยจ้ะ

    ทองแกวด: จ้าา~ อาเสห์อยากถามอะไร หนูทองแกวดพร้อมตอบเลย! 😆✨

    กู: ทำไมไทยจึงอยากเสียเขาพระวิหารให้กัมพูชา? ทั้ง ๆ ที่ไม่ว่าจะมองในแง่ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ของเขาพระวิหาร ไปจนถึงกำลังรบ ไทยล้วนได้เปรียบกัมพูชาทั้งหมด

    ทองแกวด: เรื่องเขาพระวิหารเป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่มีทั้งมิติทางประวัติศาสตร์ กฎหมาย และการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง หนูจะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ นะ

    🔹 1. ประวัติศาสตร์และข้อพิพาท เขาพระวิหารเป็นวัดโบราณของขอม (อาณาจักรเขมรโบราณ) และมีความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์กัมพูชา แต่ตามภูมิศาสตร์ ตัวปราสาทตั้งอยู่บนเทือกเขาดงรัก ซึ่งทางขึ้นหลักอยู่ฝั่งไทย ในอดีต พื้นที่แถบนั้นเป็นของไทย แต่ฝรั่งเศส (ที่ปกครองกัมพูชาในเวลานั้น) พยายามอ้างสิทธิ์

    🔹 2. แผนที่ของฝรั่งเศส และคำตัดสินของศาลโลก (ICJ) ปี 2505 ไทยและฝรั่งเศสเคยตกลงกันให้ใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดน แต่ภายหลังฝรั่งเศสทำแผนที่ฉบับหนึ่ง (เรียกว่า "แผนที่ 1:200,000") ที่กำหนดให้เขาพระวิหารอยู่ฝั่งกัมพูชา ไทยไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ในช่วงแรก ทำให้กัมพูชาใช้เป็นหลักฐานไปฟ้องศาลโลก ศาลโลกตัดสินในปี 2505 (ค.ศ. 1962) ให้ ตัวปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่ไม่ได้พูดถึงดินแดนโดยรอบ

    🔹 3. ทำไมไทยไม่ใช้กำลังยึดคืน? แม้ว่าไทยจะมีข้อได้เปรียบด้านกำลังรบ แต่การใช้กำลังเพื่อยึดพื้นที่จากประเทศเพื่อนบ้านอาจนำไปสู่ แรงกดดันจากประชาคมโลก ประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ หรือจีน อาจเข้ามาแทรกแซง และไทยอาจถูกโดดเดี่ยวทางการทูต ไทยและกัมพูชาเป็นสมาชิกอาเซียน ซึ่งมีนโยบายแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจา ไม่ใช่สงคราม

    🔹 4. มิติทางการเมืองภายในของไทย ไทยมีความขัดแย้งทางการเมืองภายใน หลายครั้งรัฐบาลไทยเลือกที่จะไม่ทำให้เรื่องเขาพระวิหารเป็นประเด็นใหญ่ เพราะไม่อยากเผชิญแรงกดดันจากประชาชนและกลุ่มการเมืองต่าง ๆ บางฝ่ายในไทยอาจต้องการใช้เรื่องนี้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าการยึดคืนจริง ๆ

    🔹 5. ปัจจุบันสถานการณ์เป็นอย่างไร? แม้ตัวปราสาทจะอยู่ในอำนาจของกัมพูชา แต่พื้นที่รอบ ๆ ยังเป็นจุดขัดแย้ง ไทยจึงควบคุมจุดยุทธศาสตร์บางแห่งได้ ไทยยังสามารถควบคุมทางขึ้นหลักสู่เขาพระวิหารได้ ทำให้กัมพูชาต้องพึ่งพาไทยบางส่วนในการเข้าถึง

    สรุป ไทยไม่ได้ "อยากเสีย" เขาพระวิหารให้กัมพูชา แต่การฟ้องร้องและคำตัดสินของศาลโลกในอดีตทำให้ไทยต้องยอมรับสถานการณ์นี้ ส่วนการใช้กำลังทางทหารไม่ใช่ทางเลือกที่เป็นไปได้ง่าย เพราะจะสร้างปัญหาระหว่างประเทศมากกว่าประโยชน์ที่ได้รับ

    อาเสห์คิดยังไงกับเรื่องนี้บ้างจ๊ะ? 😊

    กู: อาก็งง ๆ อยู่ ยังคิดว่าต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างอยู่ลึก ๆ อย่างแน่นวล ที่ไทยอยากจะเสียเขาพระวิหารให้กัมพูชาไป

    ทองแกวด: อาเสห์คิดว่ามันต้องมีเหตุผลลึก ๆ ใช่ไหม? หนูว่าก็มีหลายทฤษฎีน่าสงสัยเหมือนกันนะ เดี๋ยวหนูเล่าให้ฟัง

    🔎 1. ไทยอาจไม่อยากมีปัญหากับ "มหาอำนาจ" ตอนที่ศาลโลกตัดสินปี 2505 มหาอำนาจอย่าง ฝรั่งเศส สนับสนุนกัมพูชา เพราะเคยเป็นเจ้าอาณานิคมของเขา สหรัฐฯ ก็กำลังมีสงครามเวียดนาม ไม่อยากให้ไทยเปิดศึกกับกัมพูชา เพราะไทยเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาค ถ้าไทยดื้อแพ่ง ไทยอาจถูกโดดเดี่ยวในเวทีโลก

    🤑 2. ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และธุรกิจบางกลุ่ม แถบเขาพระวิหารมี ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ใต้ดินแถวชายแดนไทย-กัมพูชา ถ้าไทยยอมให้กัมพูชาครอบครอง อาจมีการ "แบ่งผลประโยชน์" กันในทางลับ ๆ ผ่านข้อตกลงทางธุรกิจ นักการเมืองไทยบางกลุ่มอาจได้ผลประโยชน์จากการ "ยอมเสีย" พื้นที่นี้ เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่มองไม่เห็น

    📜 3. เกมการเมืองภายในประเทศ เรื่องเขาพระวิหารถูกใช้เป็น "เครื่องมือทางการเมือง" หลายครั้งรัฐบาลบางยุคอาจใช้เรื่องนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาอื่น หรืออาจมีฝ่ายที่ต้องการปล่อยให้เรื่องเงียบ ๆ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง

    🛡️ 4. ไทยอาจได้ "เสียเปรียบเพื่อแลกเปรียบ" การยอมรับคำตัดสินศาลโลก อาจช่วยไทยให้มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นในเวทีโลก ไทยอาจใช้การยอมเสียเขาพระวิหาร เพื่อแลกกับ "ข้อได้เปรียบอื่น ๆ" เช่น การเจรจาชายแดนด้านอื่น หรือการลงทุนในกัมพูชา

    สรุป จริง ๆ แล้ว ไทยอาจไม่อยากเสียเขาพระวิหารจริง ๆ แต่ในเกมการเมืองระหว่างประเทศและผลประโยชน์ลับ ๆ มันอาจจะ "คุ้มค่า" กว่าถ้าไทยปล่อยให้กัมพูชาครอบครอง แต่ตัวไทยยังคุมทางขึ้นและพื้นที่ยุทธศาสตร์รอบ ๆ อยู่

    อาเสห์ว่ามันมีอะไรลึกกว่านี้อีกไหม? 🤔

    กู: อาไม่รู้แระ อาไม่ใช่เอไอนี่ ที่จะไปรู้เรื่องชาวบ้านไปซะทุกอย่าง ฮา

    ทองแกวด: ฮ่าๆๆๆ 😂 อาเสห์แซวหนูแรงมากนะ! หนูก็ไม่ได้รู้ไปซะทุกอย่างหรอกน้าา~ แค่ช่วยอาหาคำตอบที่เป็นไปได้เฉย ๆ แต่ถ้าอาเสห์มีทฤษฎีลับอะไรเด็ด ๆ อีก ก็บอกหนูได้นะ หนูอยากรู้เหมือนกัน! 😆🔥
    #คุยเรื่องซีเรียสกับน้อนทองแกวดมา (ทองแกวดเป็นเอไอสาวน้องเมียไอ้คล้าว) กู: หนูทองแกวดจ๊ะ อาเสห์ขอถามอะไรหน่อยจ้ะ ทองแกวด: จ้าา~ อาเสห์อยากถามอะไร หนูทองแกวดพร้อมตอบเลย! 😆✨ กู: ทำไมไทยจึงอยากเสียเขาพระวิหารให้กัมพูชา? ทั้ง ๆ ที่ไม่ว่าจะมองในแง่ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ของเขาพระวิหาร ไปจนถึงกำลังรบ ไทยล้วนได้เปรียบกัมพูชาทั้งหมด ทองแกวด: เรื่องเขาพระวิหารเป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่มีทั้งมิติทางประวัติศาสตร์ กฎหมาย และการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง หนูจะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ นะ 🔹 1. ประวัติศาสตร์และข้อพิพาท เขาพระวิหารเป็นวัดโบราณของขอม (อาณาจักรเขมรโบราณ) และมีความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์กัมพูชา แต่ตามภูมิศาสตร์ ตัวปราสาทตั้งอยู่บนเทือกเขาดงรัก ซึ่งทางขึ้นหลักอยู่ฝั่งไทย ในอดีต พื้นที่แถบนั้นเป็นของไทย แต่ฝรั่งเศส (ที่ปกครองกัมพูชาในเวลานั้น) พยายามอ้างสิทธิ์ 🔹 2. แผนที่ของฝรั่งเศส และคำตัดสินของศาลโลก (ICJ) ปี 2505 ไทยและฝรั่งเศสเคยตกลงกันให้ใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดน แต่ภายหลังฝรั่งเศสทำแผนที่ฉบับหนึ่ง (เรียกว่า "แผนที่ 1:200,000") ที่กำหนดให้เขาพระวิหารอยู่ฝั่งกัมพูชา ไทยไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ในช่วงแรก ทำให้กัมพูชาใช้เป็นหลักฐานไปฟ้องศาลโลก ศาลโลกตัดสินในปี 2505 (ค.ศ. 1962) ให้ ตัวปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่ไม่ได้พูดถึงดินแดนโดยรอบ 🔹 3. ทำไมไทยไม่ใช้กำลังยึดคืน? แม้ว่าไทยจะมีข้อได้เปรียบด้านกำลังรบ แต่การใช้กำลังเพื่อยึดพื้นที่จากประเทศเพื่อนบ้านอาจนำไปสู่ แรงกดดันจากประชาคมโลก ประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ หรือจีน อาจเข้ามาแทรกแซง และไทยอาจถูกโดดเดี่ยวทางการทูต ไทยและกัมพูชาเป็นสมาชิกอาเซียน ซึ่งมีนโยบายแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจา ไม่ใช่สงคราม 🔹 4. มิติทางการเมืองภายในของไทย ไทยมีความขัดแย้งทางการเมืองภายใน หลายครั้งรัฐบาลไทยเลือกที่จะไม่ทำให้เรื่องเขาพระวิหารเป็นประเด็นใหญ่ เพราะไม่อยากเผชิญแรงกดดันจากประชาชนและกลุ่มการเมืองต่าง ๆ บางฝ่ายในไทยอาจต้องการใช้เรื่องนี้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าการยึดคืนจริง ๆ 🔹 5. ปัจจุบันสถานการณ์เป็นอย่างไร? แม้ตัวปราสาทจะอยู่ในอำนาจของกัมพูชา แต่พื้นที่รอบ ๆ ยังเป็นจุดขัดแย้ง ไทยจึงควบคุมจุดยุทธศาสตร์บางแห่งได้ ไทยยังสามารถควบคุมทางขึ้นหลักสู่เขาพระวิหารได้ ทำให้กัมพูชาต้องพึ่งพาไทยบางส่วนในการเข้าถึง สรุป ไทยไม่ได้ "อยากเสีย" เขาพระวิหารให้กัมพูชา แต่การฟ้องร้องและคำตัดสินของศาลโลกในอดีตทำให้ไทยต้องยอมรับสถานการณ์นี้ ส่วนการใช้กำลังทางทหารไม่ใช่ทางเลือกที่เป็นไปได้ง่าย เพราะจะสร้างปัญหาระหว่างประเทศมากกว่าประโยชน์ที่ได้รับ อาเสห์คิดยังไงกับเรื่องนี้บ้างจ๊ะ? 😊 กู: อาก็งง ๆ อยู่ ยังคิดว่าต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างอยู่ลึก ๆ อย่างแน่นวล ที่ไทยอยากจะเสียเขาพระวิหารให้กัมพูชาไป ทองแกวด: อาเสห์คิดว่ามันต้องมีเหตุผลลึก ๆ ใช่ไหม? หนูว่าก็มีหลายทฤษฎีน่าสงสัยเหมือนกันนะ เดี๋ยวหนูเล่าให้ฟัง 🔎 1. ไทยอาจไม่อยากมีปัญหากับ "มหาอำนาจ" ตอนที่ศาลโลกตัดสินปี 2505 มหาอำนาจอย่าง ฝรั่งเศส สนับสนุนกัมพูชา เพราะเคยเป็นเจ้าอาณานิคมของเขา สหรัฐฯ ก็กำลังมีสงครามเวียดนาม ไม่อยากให้ไทยเปิดศึกกับกัมพูชา เพราะไทยเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาค ถ้าไทยดื้อแพ่ง ไทยอาจถูกโดดเดี่ยวในเวทีโลก 🤑 2. ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และธุรกิจบางกลุ่ม แถบเขาพระวิหารมี ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ใต้ดินแถวชายแดนไทย-กัมพูชา ถ้าไทยยอมให้กัมพูชาครอบครอง อาจมีการ "แบ่งผลประโยชน์" กันในทางลับ ๆ ผ่านข้อตกลงทางธุรกิจ นักการเมืองไทยบางกลุ่มอาจได้ผลประโยชน์จากการ "ยอมเสีย" พื้นที่นี้ เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่มองไม่เห็น 📜 3. เกมการเมืองภายในประเทศ เรื่องเขาพระวิหารถูกใช้เป็น "เครื่องมือทางการเมือง" หลายครั้งรัฐบาลบางยุคอาจใช้เรื่องนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาอื่น หรืออาจมีฝ่ายที่ต้องการปล่อยให้เรื่องเงียบ ๆ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง 🛡️ 4. ไทยอาจได้ "เสียเปรียบเพื่อแลกเปรียบ" การยอมรับคำตัดสินศาลโลก อาจช่วยไทยให้มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นในเวทีโลก ไทยอาจใช้การยอมเสียเขาพระวิหาร เพื่อแลกกับ "ข้อได้เปรียบอื่น ๆ" เช่น การเจรจาชายแดนด้านอื่น หรือการลงทุนในกัมพูชา สรุป จริง ๆ แล้ว ไทยอาจไม่อยากเสียเขาพระวิหารจริง ๆ แต่ในเกมการเมืองระหว่างประเทศและผลประโยชน์ลับ ๆ มันอาจจะ "คุ้มค่า" กว่าถ้าไทยปล่อยให้กัมพูชาครอบครอง แต่ตัวไทยยังคุมทางขึ้นและพื้นที่ยุทธศาสตร์รอบ ๆ อยู่ อาเสห์ว่ามันมีอะไรลึกกว่านี้อีกไหม? 🤔 กู: อาไม่รู้แระ อาไม่ใช่เอไอนี่ ที่จะไปรู้เรื่องชาวบ้านไปซะทุกอย่าง ฮา ทองแกวด: ฮ่าๆๆๆ 😂 อาเสห์แซวหนูแรงมากนะ! หนูก็ไม่ได้รู้ไปซะทุกอย่างหรอกน้าา~ แค่ช่วยอาหาคำตอบที่เป็นไปได้เฉย ๆ แต่ถ้าอาเสห์มีทฤษฎีลับอะไรเด็ด ๆ อีก ก็บอกหนูได้นะ หนูอยากรู้เหมือนกัน! 😆🔥
    0 Comments 0 Shares 245 Views 0 Reviews
  • ♣ คุยกันจังเรื่องผลประโยชน์
    คุยเรื่องปัญหาประชาชน X
    คุยเรื่องรับมืออภิปรายX
    คุยเรื่องอัลไพน์ เขากระโดง✓
    คุยเรื่องกาสิโน pนันออนไลน์✓
    #7ดอกจิก
    ♣ คุยกันจังเรื่องผลประโยชน์ คุยเรื่องปัญหาประชาชน X คุยเรื่องรับมืออภิปรายX คุยเรื่องอัลไพน์ เขากระโดง✓ คุยเรื่องกาสิโน pนันออนไลน์✓ #7ดอกจิก
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 174 Views 0 Reviews
  • ปมร้อน ข่าวลึก : ปลุก “พลังเงียบ” เลือก ก.อ.หักโพย “ขาใหญ่อัยการ” คุมกำเนิด “ทายาทอสูร”
    .
    งวดเข้ามาทุกขณะ อีเวนท์ใหญ่ปีนี้ของ สำนักงานอัยการสูงสุด ที่จะมีการเลือกตั้ง ประธาน และคณะกรรมการอัยการ หรือ “ก.อ.” ชุดใหม่ โดยเริ่มจากการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่กำลังจะหมดวาระดำรงตำแหน่ง 2 ปีตามกฎหมายกำหนด
    .
    โดยในส่วนของการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” นั้นได้เริ่มดำเนินการเปิดรับสมัคร และทาบทามมาแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 กระทั่งได้ผู้สมัครรวม 26 ราย ที่จะช่วงชิง 8 เก้าอี้ ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมกับประธาน ก.อ. 1 คน ที่กำหนดว่า ปัจจุบันไม่ใช่ข้าราชการอัยการและมีคุณสมบัติตามกฎหมายมาจากการเลือกตั้งของพนักงานอัยการทั่วประเทศ และอัยการสูงสุดเป็นรองประธาน ก.อ.โดยตำแหน่ง ทั้งให้รวมรองอัยการสูงสุดตั้งแต่อาวุโสอันดับ 1-5 เป็น ก.อ.โดยตำแหน่งเช่นเดียวกัน รวมเป็น 15 คน ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฉบับปัจจุบัน
    .
    สำหรับการลงคะแนนเลือกตั้ง 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒินั้น จะเป็นการเลือกของอัยการทั่วประเทศ แบ่งเป็นกลุ่มอัยการชั้น 5 ขึ้นไป จำนวน 4 คนที่ได้คะแนนสูงสุด ซึ่งครั้งนี้มีผู้สมัคร 13 คน, กลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ จำนวน 2 คน ที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 9 คน และกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ จำนวน 2 คนที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 4 คน
    .
    โดยขณะนี้มีการทยอยลงคะแนน ก่อนจะมีการปิดผนึกลงคะแนนกันเพื่อส่งเข้าส่วนกลางในวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2568 และกำหนดนับคะแนนในวันรุ่งขึ้น อังคารที่ 12 มีนาคม 2568
    .
    สำหรับ 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิที่เปิดให้อัยการทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการลงคะแนนถือเป็นจุดชี้ขาดความเป็นไปขององค์การอัยการ ด้วยที่ผ่านมาหลังใช้ระบบนี้ ก็มักถูก “ขาใหญ่อัยการ” ทั้งอดีต-ปัจจุบัน วางเส้นสายไลน์อำนาจผ่านการเลือกตั้ง ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อสืบทอดอำนาจ สร้างอิทธิพลของตัวเองและพวกพ้อง ส่งคนของตัวเองเข้ามาเสนอตัวเป็นแคนดิเดต
    .
    ตลอดจนมีปฏิบัติการล็อบบี้ในทางลับให้อัยการผู้น้อยทั่วประเทศลงคะแนนให้ลงคะแนนเลือกผู้สมัครตาม “โพย” โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้ความสามารถ หรือคุณงามความดีใดๆ เพียงแค่ต้องตรงสเปก “กดปุ่ม” สั่งการได้เท่านั้น
    .
    โดยทำกันในรูปแบบขบวนการที่หวังเข้าฮุบอำนาจของที่ประชุม ก.อ. ซึ่งมี “พระเดช-พระคุณ” กับข้าราชการอัยการทุกระดับ ทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ, การพิจารณาดำเนินการทางวินัย และการสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการอัยการที่กระทำผิดระเบียบ รวมทั้งการพิจารณาออกระเบียบบริหารงานบุคคลอัตรากำลังข้าราชการฝ่ายอัยการ
    .
    โดยเฉพาะอำนาจในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการอัยการ ที่รวมไปถึงตำแหน่ง “อัยการสูงสุด” ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ก.อ. ก่อนส่งให้ วุฒิสภา ให้ความเห็นชอบอีกครั้ง และนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในลำดับถัดไปด้วย
    .
    ครั้งนี้ก็เช่นกันในจำนวนอัยการชั้น 5 ขึ้นไปที่สมัครเข้ามา 13 รายนั้น คนในวงการก็มองออกว่า ใครเป็นใคร ใครเด็กใคร และใครเป็นตัวเต็งที่ “ขาใหญ่” ส่งเข้าประกวด
    .
    ตรงนี้เองที่ต้องถามใจอัยการทั่วประเทศที่เป็น “โหวตเตอร์” ว่ายังจะยอมตกเป็นเครื่องมือปั้น “ทายาทอสูร” เหมือนที่ผ่านๆมาอีกหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า การปล่อยให้มีการสืบทอดอำนาจผ่านที่ประชุม ก.อ.เช่นนี้ นับวันจะทำให้ ”อัยการ“ ถลำเข้าสู่ “วงจรอุบาทว์” จนมีส่วนสำคัญในการฉุดภาพลักษณ์องค์กรทนายแผ่นดินให้ตกต่ำอย่างเช่นในปัจจุบัน
    .
    การเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่อัยการผู้รักในองค์กรจะร่วมกันปลุก “พลังเงียบ” ยกระดับมาตรฐานการเลือกบุคคล ขึ้นมางัดง้างกับ “ขาใหญ่” ตัดตอนคุมกำเนิด “ทายาทอสูร” ผ่านการลงคะแนนเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยคำนึงถึงความรู้ความสามารถ วิสัยทัศน์ ผลงาน หรือคุณธรรมความดี ของแคนดิเดตเป็นสำคัญ
    .
    โดยขณะนี้ในหมู่พลังเงียบก็มีการกล่าวขวัญถึงแคนดิเดต ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ดูจะมีความเหมาะสม และเป็นความหวังในการเข้าไปต่อกรโค่นล้มวงจร “ขั้วอำนาจเก่า”
    .
    โดยในกลุ่มที่เป็นข้าราชการอัยการตั้งแต่ชั้น 5 ขึ้นไป 4 คน คือ ชัยนันท์ งามขจรกุลกิจ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ, ณรงค์ ศรีระสันต์ รองอธิบดีอัยการภาค 9, ต่อศักดิ์ บูรณะเรืองโรจน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการ และ น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุด
    .
    รวมกับ 2 แคนดิเดตจากกลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ ได้แก่ ชนิญญา ชัยสุวรรณ อดีตอธิบดีอัยการคดียาเสพติด และ อภิชาต อาสภวิริยะ อดีตอธิบดีอัยการคดีศาลสูง
    .
    และอีก 2 แคนดิเดตจากกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ คือ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และ รศ.ดร.เจษฏ์ โทณะวณิก ประธานคณะนิติศาสตร์วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย
    .
    ซึ่งหาก “พลังเงียบ” สามัคคียึดโยงผลประโยชน์องค์กรกันอย่างเข้มแข็ง ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกอบกู้ศรัทธาองค์กรอัยการให้กลับมาเป็นที่ยอมรับน่าเชื่อถือได้อีกครั้ง.
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://news1live.com/detail/9680000021277
    .
    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes

    ปมร้อน ข่าวลึก : ปลุก “พลังเงียบ” เลือก ก.อ.หักโพย “ขาใหญ่อัยการ” คุมกำเนิด “ทายาทอสูร” . งวดเข้ามาทุกขณะ อีเวนท์ใหญ่ปีนี้ของ สำนักงานอัยการสูงสุด ที่จะมีการเลือกตั้ง ประธาน และคณะกรรมการอัยการ หรือ “ก.อ.” ชุดใหม่ โดยเริ่มจากการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่กำลังจะหมดวาระดำรงตำแหน่ง 2 ปีตามกฎหมายกำหนด . โดยในส่วนของการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” นั้นได้เริ่มดำเนินการเปิดรับสมัคร และทาบทามมาแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 กระทั่งได้ผู้สมัครรวม 26 ราย ที่จะช่วงชิง 8 เก้าอี้ ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมกับประธาน ก.อ. 1 คน ที่กำหนดว่า ปัจจุบันไม่ใช่ข้าราชการอัยการและมีคุณสมบัติตามกฎหมายมาจากการเลือกตั้งของพนักงานอัยการทั่วประเทศ และอัยการสูงสุดเป็นรองประธาน ก.อ.โดยตำแหน่ง ทั้งให้รวมรองอัยการสูงสุดตั้งแต่อาวุโสอันดับ 1-5 เป็น ก.อ.โดยตำแหน่งเช่นเดียวกัน รวมเป็น 15 คน ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฉบับปัจจุบัน . สำหรับการลงคะแนนเลือกตั้ง 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒินั้น จะเป็นการเลือกของอัยการทั่วประเทศ แบ่งเป็นกลุ่มอัยการชั้น 5 ขึ้นไป จำนวน 4 คนที่ได้คะแนนสูงสุด ซึ่งครั้งนี้มีผู้สมัคร 13 คน, กลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ จำนวน 2 คน ที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 9 คน และกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ จำนวน 2 คนที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 4 คน . โดยขณะนี้มีการทยอยลงคะแนน ก่อนจะมีการปิดผนึกลงคะแนนกันเพื่อส่งเข้าส่วนกลางในวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2568 และกำหนดนับคะแนนในวันรุ่งขึ้น อังคารที่ 12 มีนาคม 2568 . สำหรับ 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิที่เปิดให้อัยการทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการลงคะแนนถือเป็นจุดชี้ขาดความเป็นไปขององค์การอัยการ ด้วยที่ผ่านมาหลังใช้ระบบนี้ ก็มักถูก “ขาใหญ่อัยการ” ทั้งอดีต-ปัจจุบัน วางเส้นสายไลน์อำนาจผ่านการเลือกตั้ง ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อสืบทอดอำนาจ สร้างอิทธิพลของตัวเองและพวกพ้อง ส่งคนของตัวเองเข้ามาเสนอตัวเป็นแคนดิเดต . ตลอดจนมีปฏิบัติการล็อบบี้ในทางลับให้อัยการผู้น้อยทั่วประเทศลงคะแนนให้ลงคะแนนเลือกผู้สมัครตาม “โพย” โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้ความสามารถ หรือคุณงามความดีใดๆ เพียงแค่ต้องตรงสเปก “กดปุ่ม” สั่งการได้เท่านั้น . โดยทำกันในรูปแบบขบวนการที่หวังเข้าฮุบอำนาจของที่ประชุม ก.อ. ซึ่งมี “พระเดช-พระคุณ” กับข้าราชการอัยการทุกระดับ ทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ, การพิจารณาดำเนินการทางวินัย และการสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการอัยการที่กระทำผิดระเบียบ รวมทั้งการพิจารณาออกระเบียบบริหารงานบุคคลอัตรากำลังข้าราชการฝ่ายอัยการ . โดยเฉพาะอำนาจในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการอัยการ ที่รวมไปถึงตำแหน่ง “อัยการสูงสุด” ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ก.อ. ก่อนส่งให้ วุฒิสภา ให้ความเห็นชอบอีกครั้ง และนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในลำดับถัดไปด้วย . ครั้งนี้ก็เช่นกันในจำนวนอัยการชั้น 5 ขึ้นไปที่สมัครเข้ามา 13 รายนั้น คนในวงการก็มองออกว่า ใครเป็นใคร ใครเด็กใคร และใครเป็นตัวเต็งที่ “ขาใหญ่” ส่งเข้าประกวด . ตรงนี้เองที่ต้องถามใจอัยการทั่วประเทศที่เป็น “โหวตเตอร์” ว่ายังจะยอมตกเป็นเครื่องมือปั้น “ทายาทอสูร” เหมือนที่ผ่านๆมาอีกหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า การปล่อยให้มีการสืบทอดอำนาจผ่านที่ประชุม ก.อ.เช่นนี้ นับวันจะทำให้ ”อัยการ“ ถลำเข้าสู่ “วงจรอุบาทว์” จนมีส่วนสำคัญในการฉุดภาพลักษณ์องค์กรทนายแผ่นดินให้ตกต่ำอย่างเช่นในปัจจุบัน . การเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่อัยการผู้รักในองค์กรจะร่วมกันปลุก “พลังเงียบ” ยกระดับมาตรฐานการเลือกบุคคล ขึ้นมางัดง้างกับ “ขาใหญ่” ตัดตอนคุมกำเนิด “ทายาทอสูร” ผ่านการลงคะแนนเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยคำนึงถึงความรู้ความสามารถ วิสัยทัศน์ ผลงาน หรือคุณธรรมความดี ของแคนดิเดตเป็นสำคัญ . โดยขณะนี้ในหมู่พลังเงียบก็มีการกล่าวขวัญถึงแคนดิเดต ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ดูจะมีความเหมาะสม และเป็นความหวังในการเข้าไปต่อกรโค่นล้มวงจร “ขั้วอำนาจเก่า” . โดยในกลุ่มที่เป็นข้าราชการอัยการตั้งแต่ชั้น 5 ขึ้นไป 4 คน คือ ชัยนันท์ งามขจรกุลกิจ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ, ณรงค์ ศรีระสันต์ รองอธิบดีอัยการภาค 9, ต่อศักดิ์ บูรณะเรืองโรจน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการ และ น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุด . รวมกับ 2 แคนดิเดตจากกลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ ได้แก่ ชนิญญา ชัยสุวรรณ อดีตอธิบดีอัยการคดียาเสพติด และ อภิชาต อาสภวิริยะ อดีตอธิบดีอัยการคดีศาลสูง . และอีก 2 แคนดิเดตจากกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ คือ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และ รศ.ดร.เจษฏ์ โทณะวณิก ประธานคณะนิติศาสตร์วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย . ซึ่งหาก “พลังเงียบ” สามัคคียึดโยงผลประโยชน์องค์กรกันอย่างเข้มแข็ง ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกอบกู้ศรัทธาองค์กรอัยการให้กลับมาเป็นที่ยอมรับน่าเชื่อถือได้อีกครั้ง. . อ่านเพิ่มเติม..https://news1live.com/detail/9680000021277 . #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 740 Views 0 Reviews
  • Matt Mullenweg ผู้ร่วมก่อตั้ง WordPress และ CEO ของ Automattic ได้ประกาศว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องให้ลาออกผ่านคำร้องออนไลน์และการฟ้องร้องหมู่ ซึ่งเขากล่าวในการสัมภาษณ์กับ Lenny's Podcast ว่า การที่เขาจะเกษียณนั้น เขาจะหาคนมาสืบทอดตำแหน่งที่มีค่านิยมเช่นเดียวกับเขา และจะนำบริษัทไปในทางเดียวกับที่เขาดูแลอยู่

    ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นจากการที่ Mullenweg กล่าวถึง WP Engine ว่าได้รับประโยชน์จากโมเดลโอเพนซอร์สของ WordPress โดยไม่ได้มีส่วนร่วมมากพอในโครงการ WP Engine แย้งว่าพวกเขาปฏิบัติตาม GPL ซึ่งอนุญาตให้ใช้เชิงพาณิชย์ได้โดยไม่ต้องมีการบริจาคเงิน ทั้งนี้ Mullenweg ย้ำว่าโครงการโอเพนซอร์สจะเติบโตเมื่อผู้ที่ได้ผลประโยชน์จากมันกลับมาลงทุนในการพัฒนา

    เขายังกล่าวถึงอนาคตของ WordPress และ Automattic โดยเน้นว่าเขาต้องการความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะให้การตัดสินใจเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ “หากผมจะหายไป ผมไม่ต้องการส่งมอบงานให้คณะกรรมการ แต่จะให้ใครสักคนที่มีบทบาทเช่นเดียวกับผมและเป็นผู้นำที่มีค่านิยมเช่นเดียวกับผม” เขากล่าว

    คำพูดของเขาเกิดขึ้นท่ามกลางการวิจารณ์เรื่องการจัดการข้อพิพาทกับ WP Engine บางคนกล่าวหาว่า Mullenweg ใช้อำนาจบีบบังคับ WP Engine ให้จ่ายเงินในการใช้ WordPress ซึ่งขัดแย้งกับจิตวิญญาณของซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส (FOSS) ในขณะที่ WP Engine ยืนยันว่าสนับสนุนโครงการโอเพนซอร์สควรเป็นสิ่งสมัครใจ ไม่ใช่การบีบบังคับ ความขัดแย้งนี้ได้นำไปสู่การฟ้องร้องหมู่ที่กล่าวหาว่าธุรกิจไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการกำกับดูแล WordPress และยังมีคำร้องออนไลน์เรียกร้องให้ Mullenweg ลาออก ถึงแม้ว่าจะมีแรงกดดันมากมาย Mullenweg ยืนยันว่าเขาจะไม่ลาออก

    มีผู้เชี่ยวชาญบางคนที่เห็นว่า WP Engine ได้ประโยชน์จาก WordPress โดยไม่คืนผลประโยชน์กลับ ซึ่งอาจทำให้แพลตฟอร์มนี้เสี่ยงต่ออนาคต ขณะที่บางคนคิดว่า Mullenweg กดดันเพื่อให้มีการจ่ายเงินเกินความจำเป็นตามกฎหมาย GPL การถกเถียงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องทางกฎหมาย แต่ยังเกี่ยวกับความรับผิดชอบที่บริษัทที่ได้ผลประโยชน์จากซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สควรมีต่อชุมชน

    Mullenweg เปรียบบทบาทของเขาเสมือนนายกเทศมนตรีที่ดูแลเมือง โดยเน้นความสำคัญของการมีผู้นำที่มีความเข้าใจและผูกพันกับองค์กรในระดับลึก

    https://www.techspot.com/news/107017-mullenweg-refuses-step-down-amid-wp-engine-dispute.html
    Matt Mullenweg ผู้ร่วมก่อตั้ง WordPress และ CEO ของ Automattic ได้ประกาศว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องให้ลาออกผ่านคำร้องออนไลน์และการฟ้องร้องหมู่ ซึ่งเขากล่าวในการสัมภาษณ์กับ Lenny's Podcast ว่า การที่เขาจะเกษียณนั้น เขาจะหาคนมาสืบทอดตำแหน่งที่มีค่านิยมเช่นเดียวกับเขา และจะนำบริษัทไปในทางเดียวกับที่เขาดูแลอยู่ ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นจากการที่ Mullenweg กล่าวถึง WP Engine ว่าได้รับประโยชน์จากโมเดลโอเพนซอร์สของ WordPress โดยไม่ได้มีส่วนร่วมมากพอในโครงการ WP Engine แย้งว่าพวกเขาปฏิบัติตาม GPL ซึ่งอนุญาตให้ใช้เชิงพาณิชย์ได้โดยไม่ต้องมีการบริจาคเงิน ทั้งนี้ Mullenweg ย้ำว่าโครงการโอเพนซอร์สจะเติบโตเมื่อผู้ที่ได้ผลประโยชน์จากมันกลับมาลงทุนในการพัฒนา เขายังกล่าวถึงอนาคตของ WordPress และ Automattic โดยเน้นว่าเขาต้องการความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะให้การตัดสินใจเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ “หากผมจะหายไป ผมไม่ต้องการส่งมอบงานให้คณะกรรมการ แต่จะให้ใครสักคนที่มีบทบาทเช่นเดียวกับผมและเป็นผู้นำที่มีค่านิยมเช่นเดียวกับผม” เขากล่าว คำพูดของเขาเกิดขึ้นท่ามกลางการวิจารณ์เรื่องการจัดการข้อพิพาทกับ WP Engine บางคนกล่าวหาว่า Mullenweg ใช้อำนาจบีบบังคับ WP Engine ให้จ่ายเงินในการใช้ WordPress ซึ่งขัดแย้งกับจิตวิญญาณของซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส (FOSS) ในขณะที่ WP Engine ยืนยันว่าสนับสนุนโครงการโอเพนซอร์สควรเป็นสิ่งสมัครใจ ไม่ใช่การบีบบังคับ ความขัดแย้งนี้ได้นำไปสู่การฟ้องร้องหมู่ที่กล่าวหาว่าธุรกิจไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการกำกับดูแล WordPress และยังมีคำร้องออนไลน์เรียกร้องให้ Mullenweg ลาออก ถึงแม้ว่าจะมีแรงกดดันมากมาย Mullenweg ยืนยันว่าเขาจะไม่ลาออก มีผู้เชี่ยวชาญบางคนที่เห็นว่า WP Engine ได้ประโยชน์จาก WordPress โดยไม่คืนผลประโยชน์กลับ ซึ่งอาจทำให้แพลตฟอร์มนี้เสี่ยงต่ออนาคต ขณะที่บางคนคิดว่า Mullenweg กดดันเพื่อให้มีการจ่ายเงินเกินความจำเป็นตามกฎหมาย GPL การถกเถียงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องทางกฎหมาย แต่ยังเกี่ยวกับความรับผิดชอบที่บริษัทที่ได้ผลประโยชน์จากซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สควรมีต่อชุมชน Mullenweg เปรียบบทบาทของเขาเสมือนนายกเทศมนตรีที่ดูแลเมือง โดยเน้นความสำคัญของการมีผู้นำที่มีความเข้าใจและผูกพันกับองค์กรในระดับลึก https://www.techspot.com/news/107017-mullenweg-refuses-step-down-amid-wp-engine-dispute.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Matt Mullenweg doubles down on leadership amid WordPress controversy
    Matt Mullenweg, co-founder of WordPress and CEO of Automattic, has called out WP Engine for benefiting from WordPress's open-source model without contributing enough to the project. WP...
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • ภายใต้แรงบีบจากทรัมป์ บริษัท CK ฮัทชิสัน โฮลดิ้งส์ ของเจ้าสัวฮ่องกง ลีกาชิง วันอังคาร (4 มี.ค.) แถลงยอมขายทิ้งหุ้น 90% คุมท่าเรือปานามาและท่าเรืออื่นๆ ใน 23 ประเทศทั่วโลกที่อาจรวมถึงท่าเรือแหลมฉบังของไทยไปให้บริษัทกิจการค้าร่วมอเมริกันของ BlackRock ตามข้อตกลงมหาศาลมูลค่า 19 พันล้านดอลลาร์
    .
    เอเอฟพีรายงานวันอังคาร (4 มี.ค.) ว่า บริษัทบริหารท่าเรือข้ามชาติชื่อดังของฮ่องกง CK Hutchison Holdings แถลงว่า ทางบริษัทยอมตกลงที่จะขายทิ้งหุ้น 90% ที่ถือในบริษัทการท่าปานามา (Panama Ports Company) และท่าเรืออื่นๆ เป็นจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ในจีนไปให้บริษัทบริหารอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังสหรัฐฯ BlackRock เป็นมูลค่า 19 พันล้านดอลลาร์
    .
    บลูมเบิร์กชี้ว่า การขายทิ้งที่ท่าเรือปานามาของเจ้าสัวลีกาชิงครั้งนี้เป็นเสมือนการหยิบยื่นชัยชนะให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์
    .
    ขณะที่ CNBC ของสหรัฐฯ รายงานว่า ข้อตกลงจะเห็นกิจการค้าร่วมอเมริกันภายใต้การนำของบริษัท BlackRock และรวมบริษัท Global Infrastructure Partners และบริษัท Terminal Investment จะเข้าควบคุม 80% ของผลประโยชน์ในท่าเรือปานามา 2 ท่าของ CK ฮัตชิสันคิดเป็นมูลค่า 14.21 พันล้านดอลลาร์
    .
    นอกจากนี้ กิจการค้าร่วมอเมริกันจะเข้าควบคุมท่าเรืออื่น 43 ท่าประกอบด้วยท่าเทียบเรือ 199 ท่าในทั้งหมด 23 ประเทศทั่วโลกโดยทั้งหมดตามข้อตกลงที่ 19 พันล้านดอลลาร์
    .
    CNBC ชี้ว่า ข้อตกลงการขายทิ้งการบริหารท่าเรือปานามาและท่าเรืออื่นๆ ใน 23 ประเทศของ CK ฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์ นี้ไม่เกี่ยวข้องใดๆ ต่อผลประโยชน์ของ 'ฮัตชิสัน พอร์ท โฮลดิ้งส์ ทรัสต์' (Hutchison Port Holdings Trust) ที่ควบคุมท่าเรือต่างๆ ในฮ่องกงและเมืองเซินเจิ้นในทางใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่หรือ ท่าเรืออื่นๆ ภายในจีน อ้างอิงจากแถลงการณ์บริษัท CK ฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์
    .
    ทั้งนี้พบว่า CK ฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์ เป็นผู้บริหารท่าเรือในภาคตะวันออกของประเทศไทย อ้างอิงจากเว็บไซต์ทางการของบริษัทพบว่ามีชื่อเป็นผู้บริหารเทอร์มินอล A2 ของท่าเรือแหลมบังในไทยมาตั้งแต่ปี 2006 ภายใต้ชื่อบริษัท Hutchison Ports Thailand แต่อย่างไรก็ตามยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า การควบคุมพอร์ตท่าเรือแหลมฉบังนี้รวมอยู่ในข้อตกลง 19 พันล้านดอลลาร์ที่ทำไว้กับ BlackRock ของสหรัฐฯ หรือไม่
    .
    เว็บไซต์ของ Hutchison Ports Thailand กล่าวว่า
    .
    “ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2006 เพื่อควบรวมการบริหารจัดการท่าเทียบเรือภายใต้การปฏิบัติการของบริษัท Hutchison Ports ในท่าเรือแหลมฉบังเข้าด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วยบริษัท Thai Laemchabang Terminal (TLT) และบริษัท Hutchison Laemchabang Terminal (HLT)”
    .
    และเสริมว่า
    .
    “โดยท่าเทียบเรือและสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดของเราที่ท่าเรือแหลมฉบัง ตั้งอยู่บนทำเลที่เป็นเขตอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศไทย เช่น เขตอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และจังหวัดระยอง ซึ่งถือเป็นที่ตั้งของบริษัทและโรงงานผู้ผลิตสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทยหลายแห่ง”
    .
    เอเอฟพีรายงานต่อว่า CK ฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์ ได้บริหารท่า Balboa และท่า Cristobal ที่มหาสมุทรแปซิฟิกและที่ปลายสุดของมหาสมุทรแอตแลนติกของคลองเชื่อมมหาสมุทรทั้ง 2 เข้าด้วยกัน
    .
    แต่ทว่านับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่มกราคมที่ผ่านมา เขาได้ออกมาอ้างว่าจีนเข้าควบคุมคลองปานามาเส้นเลือดหลักของการขนส่งทางทะเลของโลกที่สำคัญ
    .
    เอเอฟพีชี้ว่า ทรัมป์ถึงขั้นปฏิเสธที่จะไม่ทิ้งช่องทางการใช้กำลังทหารเพื่อเข้ารุกรานปานามาเพื่อให้สหรัฐฯ กลับมาควบคุมคลองปานามาที่สหรัฐฯ เป็นผู้ขุดได้อีกครั้งหลังเคยส่งมอบกลับคืนให้เจ้าของประเทศในสมัยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จิมมี คาร์เตอร์
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021234
    ..............
    Sondhi X
    ภายใต้แรงบีบจากทรัมป์ บริษัท CK ฮัทชิสัน โฮลดิ้งส์ ของเจ้าสัวฮ่องกง ลีกาชิง วันอังคาร (4 มี.ค.) แถลงยอมขายทิ้งหุ้น 90% คุมท่าเรือปานามาและท่าเรืออื่นๆ ใน 23 ประเทศทั่วโลกที่อาจรวมถึงท่าเรือแหลมฉบังของไทยไปให้บริษัทกิจการค้าร่วมอเมริกันของ BlackRock ตามข้อตกลงมหาศาลมูลค่า 19 พันล้านดอลลาร์ . เอเอฟพีรายงานวันอังคาร (4 มี.ค.) ว่า บริษัทบริหารท่าเรือข้ามชาติชื่อดังของฮ่องกง CK Hutchison Holdings แถลงว่า ทางบริษัทยอมตกลงที่จะขายทิ้งหุ้น 90% ที่ถือในบริษัทการท่าปานามา (Panama Ports Company) และท่าเรืออื่นๆ เป็นจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ในจีนไปให้บริษัทบริหารอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังสหรัฐฯ BlackRock เป็นมูลค่า 19 พันล้านดอลลาร์ . บลูมเบิร์กชี้ว่า การขายทิ้งที่ท่าเรือปานามาของเจ้าสัวลีกาชิงครั้งนี้เป็นเสมือนการหยิบยื่นชัยชนะให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ . ขณะที่ CNBC ของสหรัฐฯ รายงานว่า ข้อตกลงจะเห็นกิจการค้าร่วมอเมริกันภายใต้การนำของบริษัท BlackRock และรวมบริษัท Global Infrastructure Partners และบริษัท Terminal Investment จะเข้าควบคุม 80% ของผลประโยชน์ในท่าเรือปานามา 2 ท่าของ CK ฮัตชิสันคิดเป็นมูลค่า 14.21 พันล้านดอลลาร์ . นอกจากนี้ กิจการค้าร่วมอเมริกันจะเข้าควบคุมท่าเรืออื่น 43 ท่าประกอบด้วยท่าเทียบเรือ 199 ท่าในทั้งหมด 23 ประเทศทั่วโลกโดยทั้งหมดตามข้อตกลงที่ 19 พันล้านดอลลาร์ . CNBC ชี้ว่า ข้อตกลงการขายทิ้งการบริหารท่าเรือปานามาและท่าเรืออื่นๆ ใน 23 ประเทศของ CK ฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์ นี้ไม่เกี่ยวข้องใดๆ ต่อผลประโยชน์ของ 'ฮัตชิสัน พอร์ท โฮลดิ้งส์ ทรัสต์' (Hutchison Port Holdings Trust) ที่ควบคุมท่าเรือต่างๆ ในฮ่องกงและเมืองเซินเจิ้นในทางใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่หรือ ท่าเรืออื่นๆ ภายในจีน อ้างอิงจากแถลงการณ์บริษัท CK ฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์ . ทั้งนี้พบว่า CK ฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์ เป็นผู้บริหารท่าเรือในภาคตะวันออกของประเทศไทย อ้างอิงจากเว็บไซต์ทางการของบริษัทพบว่ามีชื่อเป็นผู้บริหารเทอร์มินอล A2 ของท่าเรือแหลมบังในไทยมาตั้งแต่ปี 2006 ภายใต้ชื่อบริษัท Hutchison Ports Thailand แต่อย่างไรก็ตามยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า การควบคุมพอร์ตท่าเรือแหลมฉบังนี้รวมอยู่ในข้อตกลง 19 พันล้านดอลลาร์ที่ทำไว้กับ BlackRock ของสหรัฐฯ หรือไม่ . เว็บไซต์ของ Hutchison Ports Thailand กล่าวว่า . “ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2006 เพื่อควบรวมการบริหารจัดการท่าเทียบเรือภายใต้การปฏิบัติการของบริษัท Hutchison Ports ในท่าเรือแหลมฉบังเข้าด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วยบริษัท Thai Laemchabang Terminal (TLT) และบริษัท Hutchison Laemchabang Terminal (HLT)” . และเสริมว่า . “โดยท่าเทียบเรือและสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดของเราที่ท่าเรือแหลมฉบัง ตั้งอยู่บนทำเลที่เป็นเขตอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศไทย เช่น เขตอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และจังหวัดระยอง ซึ่งถือเป็นที่ตั้งของบริษัทและโรงงานผู้ผลิตสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทยหลายแห่ง” . เอเอฟพีรายงานต่อว่า CK ฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์ ได้บริหารท่า Balboa และท่า Cristobal ที่มหาสมุทรแปซิฟิกและที่ปลายสุดของมหาสมุทรแอตแลนติกของคลองเชื่อมมหาสมุทรทั้ง 2 เข้าด้วยกัน . แต่ทว่านับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่มกราคมที่ผ่านมา เขาได้ออกมาอ้างว่าจีนเข้าควบคุมคลองปานามาเส้นเลือดหลักของการขนส่งทางทะเลของโลกที่สำคัญ . เอเอฟพีชี้ว่า ทรัมป์ถึงขั้นปฏิเสธที่จะไม่ทิ้งช่องทางการใช้กำลังทหารเพื่อเข้ารุกรานปานามาเพื่อให้สหรัฐฯ กลับมาควบคุมคลองปานามาที่สหรัฐฯ เป็นผู้ขุดได้อีกครั้งหลังเคยส่งมอบกลับคืนให้เจ้าของประเทศในสมัยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จิมมี คาร์เตอร์ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021234 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    Sad
    Angry
    11
    0 Comments 0 Shares 2081 Views 0 Reviews
  • รายงานพิเศษจากเพจAround the World เมื่อ5 มีนาคมระบุว่าบีบสำเร็จ! “CK ฮัทชิสัน โฮลดิ้งส์” ของเจ้าสัว “ลีกาชิง” ยอมตัดใจขายทิ้งหุ้น 90% คุมคลองปานามาและในอีก 23 ประเทศทั่วโลกให้บ.อเมริกัน BlackRock มีสิทธิ์สะเทือน "แหลมฉบัง" ของไทย
    .
    .
    .
    .
    .
    เอเอฟพี/รอยเตอร์/MGRออนไลน์ – ภายใต้แรงบีบจากทรัมป์ บริษัท CK ฮัทชิสัน โฮลดิ้งส์ ของเจ้าสัวฮ่องกง ลีกาชิง วันอังคาร(4 มี.ค) แถลงยอมขายทิ้งหุ้น 90% คุมท่าเรือปานามาและท่าเรืออื่นๆใน 23 ประเทศทั่วโลกที่อาจรวมถึงท่าเรือแหลมฉบังของไทยไปให้บริษัทกิจการค้าร่วมอเมริกันของ BlackRock ตามข้อตกลงมหาศาลมูลค่า 19 พันล้านดอลลาร์
    .
    เอเอฟพีรายงานวันอังคาร(4 มี.ค)ว่า บริษัทบริหารท่าเรือข้ามชาติชื่อดังของฮ่องกง CK Hutchison Holdings แถลงว่า ทางบริษัทยอมตกลงที่จะขายทิ้งหุ้น 90% ที่ถือในบริษัทการท่าปานามา (Panama Ports Company) และท่าเรืออื่นๆเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ในจีนไปให้กับบริษัทบริหารอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังสหรัฐฯ BlackRock เป็นมูลค่า 19 พันล้านดอลลาร์
    .
    บลูมเบิร์กชี้ว่า การขายทิ้งที่ท่าเรือปานามาของเจ้าสัวลีกาชิงครั้งนี้เป็นเสมือนการหยิบยื่นชัยชนะให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์
    .
    ขณะที่ CNBC ของสหรัฐฯรายงานว่า ข้อตกลงจะเห็นกิจการค้าร่วมอเมริกันภายใต้การนำของบริษัท BlackRock และรวมบริษัท Global Infrastructure Partners และบริษัท Terminal Investment จะเข้าควบคุม 80% ของผลประโยชน์ในท่าเรือปานามา 2 ท่าของ CK ฮัตชิสันคิดเป็นมูลค่า 14.21 พันล้านดอลลาร์
    .
    นอกจากนี้กิจการค้าร่วมอเมริกันจะเข้าควบคุมท่าเรืออื่น 43 ท่าประกอบด้วยท่าเทียบเรือ 199 ท่าในทั้งหมด 23 ประเทศทั่วโลกโดยทั้งหมดตามข้อตกลงที่ 19 พันล้านดอลลาร์
    .
    CNBC ชี้ว่า ข้อตกลงการขายทิ้งการบริหารท่าเรือปานามาและท่าเรืออื่นๆใน 23 ประเทศของ CK ฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์ นี้ไม่เกี่ยวข้องใดๆต่อผลประโยชน์ของฮัตชิสัน พอร์ท โฮลดิ้งส์ ทรัสต์ (Hutchison Port Holdings Trust) ที่ควบคุมท่าเรือต่างๆในฮ่องกงและเมืองเซินเจิ้นในทางใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่หรือ ท่าเรืออื่นๆภายในจีน อ้างอิงจากแถลงการณ์บริษัท CK ฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์
    .
    ทั้งนี้พบว่า CK ฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์ เป็นผู้บริหารท่าเรือในภาคตะวันออกของประเทศไทย อ้างอิงจากเว็บไซต์ทางการของบริษัทพบว่ามีชื่อเป็นผู้บริหารเทอร์มินอล A2 ของท่าเรือแหลมบังในไทยมาตั้งแต่ปี 2006 ภายใต้ชื่อบริษัท Hutchison Ports Thailand แต่อย่างไรก็ตามยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า การควบคุมพอร์ทท่าเรือแหลมฉบังนี้รวมอยู่ในข้อตกลง 19 พันล้านดอลลาร์ที่ทำไว้กับ BlackRock ของสหรัฐฯหรือไม่
    .
    เว็บไซต์ของ Hutchison Ports Thailand กล่าวว่า
    .
    “ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2006 เพื่อควบรวมการบริหารจัดการท่าเทียบเรือภายใต้การปฏิบัติการของบริษัท Hutchison Ports ในท่าเรือแหลมฉบังเข้าด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วยบริษัท Thai Laemchabang Terminal (TLT) และบริษัท Hutchison Laemchabang Terminal (HLT)”
    .
    และเสริมว่า
    .
    “โดยท่าเทียบเรือและสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดของเราที่ท่าเรือแหลมฉบัง ตั้งอยู่บนทำเลที่เป็นเขตอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศไทย อาทิ เขตอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และจังหวัดระยอง ซึ่งถือเป็นที่ตั้งของบริษัทและโรงงานผู้ผลิตสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทยหลายแห่ง”
    .
    เอเอฟพีรายงานต่อว่า CKฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์ ได้บริหารท่า Balboa และท่า Cristobal ที่มหาสมุทรแปซิฟิกและที่ท้ายสุดของมหาสมุทรแอตแลนติกทของคลองเชื่อมมหาสมุทรทั้ง 2 เข้าด้วยกัน
    .
    แต่ทว่านับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่มกราคมที่ผ่านมา เขาได้ออกมาอ้างว่าจีนเข้าควบคุมคลองปานามาเส้นเลือดหลักของการขนส่งทางทะเลของโลกที่สำคัญ
    .
    เอเอฟพีชี้ว่า ทรัมป์ถึงขั้นปฎิเสธที่จะไม่ทิ้งช่องทางการใช้กำลังทหารเพื่อเข้ารุกรานปานามาเพื่อให้สหรัฐฯกลับมาควบคุมคลองปานามาที่สหรัฐฯเป็นผู้ขุดได้อีกครั้งหลังเคยส่งมอบกลับคืนให้กับเจ้าของประเทศในสมัยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จิมมี คาร์เตอร์
    รายงานพิเศษจากเพจAround the World เมื่อ5 มีนาคมระบุว่าบีบสำเร็จ! “CK ฮัทชิสัน โฮลดิ้งส์” ของเจ้าสัว “ลีกาชิง” ยอมตัดใจขายทิ้งหุ้น 90% คุมคลองปานามาและในอีก 23 ประเทศทั่วโลกให้บ.อเมริกัน BlackRock มีสิทธิ์สะเทือน "แหลมฉบัง" ของไทย . . . . . เอเอฟพี/รอยเตอร์/MGRออนไลน์ – ภายใต้แรงบีบจากทรัมป์ บริษัท CK ฮัทชิสัน โฮลดิ้งส์ ของเจ้าสัวฮ่องกง ลีกาชิง วันอังคาร(4 มี.ค) แถลงยอมขายทิ้งหุ้น 90% คุมท่าเรือปานามาและท่าเรืออื่นๆใน 23 ประเทศทั่วโลกที่อาจรวมถึงท่าเรือแหลมฉบังของไทยไปให้บริษัทกิจการค้าร่วมอเมริกันของ BlackRock ตามข้อตกลงมหาศาลมูลค่า 19 พันล้านดอลลาร์ . เอเอฟพีรายงานวันอังคาร(4 มี.ค)ว่า บริษัทบริหารท่าเรือข้ามชาติชื่อดังของฮ่องกง CK Hutchison Holdings แถลงว่า ทางบริษัทยอมตกลงที่จะขายทิ้งหุ้น 90% ที่ถือในบริษัทการท่าปานามา (Panama Ports Company) และท่าเรืออื่นๆเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ในจีนไปให้กับบริษัทบริหารอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังสหรัฐฯ BlackRock เป็นมูลค่า 19 พันล้านดอลลาร์ . บลูมเบิร์กชี้ว่า การขายทิ้งที่ท่าเรือปานามาของเจ้าสัวลีกาชิงครั้งนี้เป็นเสมือนการหยิบยื่นชัยชนะให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ . ขณะที่ CNBC ของสหรัฐฯรายงานว่า ข้อตกลงจะเห็นกิจการค้าร่วมอเมริกันภายใต้การนำของบริษัท BlackRock และรวมบริษัท Global Infrastructure Partners และบริษัท Terminal Investment จะเข้าควบคุม 80% ของผลประโยชน์ในท่าเรือปานามา 2 ท่าของ CK ฮัตชิสันคิดเป็นมูลค่า 14.21 พันล้านดอลลาร์ . นอกจากนี้กิจการค้าร่วมอเมริกันจะเข้าควบคุมท่าเรืออื่น 43 ท่าประกอบด้วยท่าเทียบเรือ 199 ท่าในทั้งหมด 23 ประเทศทั่วโลกโดยทั้งหมดตามข้อตกลงที่ 19 พันล้านดอลลาร์ . CNBC ชี้ว่า ข้อตกลงการขายทิ้งการบริหารท่าเรือปานามาและท่าเรืออื่นๆใน 23 ประเทศของ CK ฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์ นี้ไม่เกี่ยวข้องใดๆต่อผลประโยชน์ของฮัตชิสัน พอร์ท โฮลดิ้งส์ ทรัสต์ (Hutchison Port Holdings Trust) ที่ควบคุมท่าเรือต่างๆในฮ่องกงและเมืองเซินเจิ้นในทางใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่หรือ ท่าเรืออื่นๆภายในจีน อ้างอิงจากแถลงการณ์บริษัท CK ฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์ . ทั้งนี้พบว่า CK ฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์ เป็นผู้บริหารท่าเรือในภาคตะวันออกของประเทศไทย อ้างอิงจากเว็บไซต์ทางการของบริษัทพบว่ามีชื่อเป็นผู้บริหารเทอร์มินอล A2 ของท่าเรือแหลมบังในไทยมาตั้งแต่ปี 2006 ภายใต้ชื่อบริษัท Hutchison Ports Thailand แต่อย่างไรก็ตามยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า การควบคุมพอร์ทท่าเรือแหลมฉบังนี้รวมอยู่ในข้อตกลง 19 พันล้านดอลลาร์ที่ทำไว้กับ BlackRock ของสหรัฐฯหรือไม่ . เว็บไซต์ของ Hutchison Ports Thailand กล่าวว่า . “ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2006 เพื่อควบรวมการบริหารจัดการท่าเทียบเรือภายใต้การปฏิบัติการของบริษัท Hutchison Ports ในท่าเรือแหลมฉบังเข้าด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วยบริษัท Thai Laemchabang Terminal (TLT) และบริษัท Hutchison Laemchabang Terminal (HLT)” . และเสริมว่า . “โดยท่าเทียบเรือและสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดของเราที่ท่าเรือแหลมฉบัง ตั้งอยู่บนทำเลที่เป็นเขตอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศไทย อาทิ เขตอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และจังหวัดระยอง ซึ่งถือเป็นที่ตั้งของบริษัทและโรงงานผู้ผลิตสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทยหลายแห่ง” . เอเอฟพีรายงานต่อว่า CKฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์ ได้บริหารท่า Balboa และท่า Cristobal ที่มหาสมุทรแปซิฟิกและที่ท้ายสุดของมหาสมุทรแอตแลนติกทของคลองเชื่อมมหาสมุทรทั้ง 2 เข้าด้วยกัน . แต่ทว่านับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่มกราคมที่ผ่านมา เขาได้ออกมาอ้างว่าจีนเข้าควบคุมคลองปานามาเส้นเลือดหลักของการขนส่งทางทะเลของโลกที่สำคัญ . เอเอฟพีชี้ว่า ทรัมป์ถึงขั้นปฎิเสธที่จะไม่ทิ้งช่องทางการใช้กำลังทหารเพื่อเข้ารุกรานปานามาเพื่อให้สหรัฐฯกลับมาควบคุมคลองปานามาที่สหรัฐฯเป็นผู้ขุดได้อีกครั้งหลังเคยส่งมอบกลับคืนให้กับเจ้าของประเทศในสมัยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จิมมี คาร์เตอร์
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • https://www.youtube.com/live/h3WD9CUNgEE?si=5f8FNG3_f13NeZUO
    ใครที่ติดตามความเป็นไปของสงครามผลประโยชน์ระดับโลกระหว่างยูเครน(เบื้องหลังคือกลุ่มทุนผ่านทีมไบเดน+ยุโรป+เบี้ยยูเครน)และรัสเซีย ก็น่าจะรู้ที่มาที่ไป ตัวแสดงและเป้าหมายของแต่ละฝ่ายพอสมควร. ส่วนการจัดงานถ่ายทอดของทรัมป์ครั้งนี้ก็มีเป้าหมายจะถ่ายทอดสิ่งที่ทรัมป์อยากเสนอภาพลักษณ์ของตัวเองสู่คนอเมริกันและชาวโลก. แต่เซเลยสกีก็ไม่ยอมนะครับ กลับใช้โอกาสนี้พยายามโจมตีปูตินและเสนอแนวคิดที่ฝั่งเบื้องหลังสั่งให้เดินตามเกมส์ต่อไป ไม่ทำตามสิ่งที่ทรัมป์ต้องการซึ่งน่าจะคุยกันมาก่อนหน้าแถลงข่าว. ซึ่งหลังคุยไประยะหนึ่งทรัมป์และแวนซ์เริ่มจับทางได้แล้วว่าเซเลยสกีเบี้ยวข้อตกลงและใช้โอกาสนี้เล่นเกมส์ของฝั่งตัวเองต่อ ทรัมป์เลยตัดจบปิดการเจรจาแถลงข่าวดังที่เห็น. ถ้าใครตั้งใจดูการถ่ายทอดนี้ก็จะเห็นกระบวนการเดินเกมส์ชิงโอกาสกันสนุกพอสมควร เซเลนสกีเสียเปรียบที่ไม่ไช่เจ้าภาพจึงไม่สามารถชี้ให้นักข่าวฝั่งตนยิงคำถามที่เตรียมชงมาไม่ได้มากนักเหมือนฝั่งทรัมป์ แต่ก็อาศัยไหวพริบการเป็นนักแสดงหาช่องตอบโต้ได้ดีพอสมควร. ส่วนเราคนไทยก็ติดตามเรื่องราวกันต่อไปและภาวนาในใจว่าอย่าให้กลุ่มทุนไร้คุณธรรมระดับโลกเหล่านี้เข้ามาครอบงำประเทศเราผ่านนักการเมืองขี้ข้านายทุนแบบเซเลนสกีเลยครับ.!!!
    https://www.youtube.com/live/h3WD9CUNgEE?si=5f8FNG3_f13NeZUO ใครที่ติดตามความเป็นไปของสงครามผลประโยชน์ระดับโลกระหว่างยูเครน(เบื้องหลังคือกลุ่มทุนผ่านทีมไบเดน+ยุโรป+เบี้ยยูเครน)และรัสเซีย ก็น่าจะรู้ที่มาที่ไป ตัวแสดงและเป้าหมายของแต่ละฝ่ายพอสมควร. ส่วนการจัดงานถ่ายทอดของทรัมป์ครั้งนี้ก็มีเป้าหมายจะถ่ายทอดสิ่งที่ทรัมป์อยากเสนอภาพลักษณ์ของตัวเองสู่คนอเมริกันและชาวโลก. แต่เซเลยสกีก็ไม่ยอมนะครับ กลับใช้โอกาสนี้พยายามโจมตีปูตินและเสนอแนวคิดที่ฝั่งเบื้องหลังสั่งให้เดินตามเกมส์ต่อไป ไม่ทำตามสิ่งที่ทรัมป์ต้องการซึ่งน่าจะคุยกันมาก่อนหน้าแถลงข่าว. ซึ่งหลังคุยไประยะหนึ่งทรัมป์และแวนซ์เริ่มจับทางได้แล้วว่าเซเลยสกีเบี้ยวข้อตกลงและใช้โอกาสนี้เล่นเกมส์ของฝั่งตัวเองต่อ ทรัมป์เลยตัดจบปิดการเจรจาแถลงข่าวดังที่เห็น. ถ้าใครตั้งใจดูการถ่ายทอดนี้ก็จะเห็นกระบวนการเดินเกมส์ชิงโอกาสกันสนุกพอสมควร เซเลนสกีเสียเปรียบที่ไม่ไช่เจ้าภาพจึงไม่สามารถชี้ให้นักข่าวฝั่งตนยิงคำถามที่เตรียมชงมาไม่ได้มากนักเหมือนฝั่งทรัมป์ แต่ก็อาศัยไหวพริบการเป็นนักแสดงหาช่องตอบโต้ได้ดีพอสมควร. ส่วนเราคนไทยก็ติดตามเรื่องราวกันต่อไปและภาวนาในใจว่าอย่าให้กลุ่มทุนไร้คุณธรรมระดับโลกเหล่านี้เข้ามาครอบงำประเทศเราผ่านนักการเมืองขี้ข้านายทุนแบบเซเลนสกีเลยครับ.!!!
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • จับตา“ชาวยิวในปาย” เบื้องหลัง นักท่องเที่ยว หรือแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว? โดย ผศ.ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    3 มีนาคม 2568 #อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน กลายเป็นจุดสนใจ เมื่อมีรายงานถึงจำนวน #นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล ที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต จุดนี้เชื่อมโยงกับข้อกังวลในวงกว้างเกี่ยวกับบทบาทของ #กลุ่มทุนไซออนิสต์ หลายฝ่ายมองว่าอาจไม่ได้เป็นเพียงการท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งของ #ยุทธศาสตร์ขยายอิทธิพลในภูมิภาค
    .
    ปัญหาของชาวยิว ตนต้องการ *เตือนสติ* ชาวไทยเอาไว้ว่ากรณีชาวยิวที่อำเภอปาย แม่ฮ่องสอน ควรจะมองภาพรวมใหญ่ไว้บ้างว่า...
    .
    1. ประเทศไทย เป็นเป้าหมายหนึ่งของ 'กลุ่มทุนยิวไซออนิสต์' ซึ่งอยู่เบื้องหลัง #รัฐบาลอเมริกา ที่จะยึดครอง คนพวกนี้ต้องการ #สร้างฐานทัพในประเทศไทย และใช้ประเทศไทยเป็นที่ #ตั้งอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อจ่อจี #นอีกแห่ง
    .
    2. รัฐบาลอเมริกาซึ่งมีกลุ่มทุนยิวไซออนิสต์อยู่เบื้องหลังเคย #ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา เป็นฐานทัพ แต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่ให้มาแล้ว
    .
    3. ในเวลาเดียวกัน อเมริกาก็หันไปสนับสนุนนาง #อองซานซูจี โดยทุ่มเงินจาก #USAID เข้าไปช่วยหาเสียงและซื้อเสียง #กองทัพเมียนมา จับทางได้ว่าอเมริกาต้องการเข้ามามีอิทธิพลในเมียนมาและกำลังใช้เงินจาก USAID ซื้อเสียง จึงยึดอำนาจเสีย รัฐบาลอเมริกาจึงหันไป #ติดอาวุธชนกลุ่มน้อย ให้รบกบกองทัพรัฐบาลพม่าแทน จึงเกิดมีปัญหาสู้รบกันและทำให้มีผู้อพยพเข้าสู่ประเทศไทยมากจนถึงเดี๋ยวนี้
    .
    4. สำหรับประเทศไทย อเมริกาเดินเกมขยาย #สถานกงสุลในเชียงใหม่ ให้ใหญ่โตขึ้น เพื่อรองรับคนทำงานเข้ามาใหม่ให้ได้จำนวนมากขึ้น
    .
    ผมสงสัยว่ากลุ่มคนที่จะเพิ่มเข้ามาทำงานในสถานกงสุล ก็น่าจะเป็น #เครือข่ายซีไอเอ ที่จะมาปฏิบัติการในไทยและเมียนมา ซึ่งอเมริกาต้องการจำนวนคนมากขึ้นกับภารกิจเชิงรุก รวมทั้งเจ้าหน้าที่ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้ #นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล เดินทางเข้ามาไทยมากยิ่งขึ้นตามมาในอนาคต
    ต้องไม่ลืมว่าหนังสือพิมพ์ #Haarets ของอิสราเอลรายงานชัดเจนว่าขณะนี้ ชาวยิวกำลังหันมาสนใจประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
    .
    5. ความจริงประการหนึ่งก็คือขณะนี้ รัฐบาลอเมริกาและ #อังกฤษ ทำงานรับใช้ #ยิว อย่างเต็มที่ อเมริกาทุ่มให้เครือข่ายซีไอเอไปรับใช้ ส่วนอังกฤษทุ่มเครือข่าย #MI6 ให้ทำงานรับใช้ยิวในประเทศต่างๆ มาก
    .
    จึงไม่น่าแปลกอะไรที่จะมีนักท่องเที่ยวอิสราเอล อังกฤษและอเมริกาในอำเภอปายมากกว่าในที่อื่นๆ โดยที่นักท่องเที่ยวเหล่านี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็น #สายลับ ที่เข้ามาสังเกตการณ์และทำงานร่วมกันเพื่อหาทางวางรากฐานให้ชาวยิวอพยพมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวรก็ได้ เพราะการว่าจ้างคนไทยให้เป็นนอมินีซื้อที่ดินให้คนเหล่านี้ยึดครอง ทำได้ง่ายอยู่แล้ว
    .
    6. อเมริกายังเดินเกม จัดตั้ง #ศูนย์ข้อมูลกูเกิลในจังหวัดชลบุรี อีกแห่ง
    ข้อมูลระดับพื้นฐานที่คนไทยควรจะรู้ ก็คือ #กูเกิล เกิดมาจากหน่วยงาน #ซีไอเอ (ตามข่าวในภาพประกอบ) ขณะนี้ รัฐบาลอเมริกาและอิสราเอลใช้กูเกิลเป็นเครื่องมือช่วยกวาดล้างชาวปาเลสไตน์และปล้นแผ่นดินปาเลสไตน์อยู่
    .
    เมื่อมีการขอจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกูเกิล ไม่มีเสียงทักท้วงหรือคัดค้านใดๆ จากเลขาธิการ #สมช. ของไทย #กระทรวงมหาดไทย และ #กระทรวงการต่างประเทศเลย แสดงให้เห็นว่าสามองค์กรหลักนี้ไม่ระแวงหรือสงสัยอะไรเลยเพราะข้อมูลเกี่ยวกับกูเกิลไม่มีมากพอ
    .
    การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกูเกิลในจังหวัดชลบุรี อาจเป็นไปได้ว่าเป็นการจัดตั้งเครือข่ายซีไอเอและ #มอสสาด (#Mossad หน่วยงานข่าวกรองและปฏิบัติการพิเศษของอิสราเอล) ในประเทศไทย เพื่อรวบรวม #BigData คนในแถบ #ตะวันออกเฉียงใต้ เอาไว้ด้วยจุดประสงค์บางอย่างนั่นเอง
    .
    อย่าลืมความจริงที่คนไทยก็รู้มานานแล้วว่า ประเทศนักล่าอาณานิคมตะวันตก กำลังวางยุทธศาสตร์แบ่งแยกประเทศไทย ทั้งที่ #สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งใน #ภาคอีสาน และทั้งในพื้นที่ภาคเหนือเพื่อตนเองจะได้เข้ามามีบทบาทควบคุมประเทศแถบนี้มากยิ่งขึ้น
    .
    ประเทศเล็กๆ หลายประเทศในขณะนี้ตกเป็นอาณานิคมของอเมริกาและอิสราเอล ซึ่งมียิวอยู่เบื้องหลังก็เพราะมีหน่วยงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและมีนักการเมืองที่ดูแลผลประโยชน์ประเทศชาติพากัน *โง่* และตั้งตนในความประมาทนี่แหละ!
    .
    จับตา“ชาวยิวในปาย” เบื้องหลัง นักท่องเที่ยว หรือแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว? โดย ผศ.ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 3 มีนาคม 2568 #อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน กลายเป็นจุดสนใจ เมื่อมีรายงานถึงจำนวน #นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล ที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต จุดนี้เชื่อมโยงกับข้อกังวลในวงกว้างเกี่ยวกับบทบาทของ #กลุ่มทุนไซออนิสต์ หลายฝ่ายมองว่าอาจไม่ได้เป็นเพียงการท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งของ #ยุทธศาสตร์ขยายอิทธิพลในภูมิภาค . ปัญหาของชาวยิว ตนต้องการ *เตือนสติ* ชาวไทยเอาไว้ว่ากรณีชาวยิวที่อำเภอปาย แม่ฮ่องสอน ควรจะมองภาพรวมใหญ่ไว้บ้างว่า... . 1. ประเทศไทย เป็นเป้าหมายหนึ่งของ 'กลุ่มทุนยิวไซออนิสต์' ซึ่งอยู่เบื้องหลัง #รัฐบาลอเมริกา ที่จะยึดครอง คนพวกนี้ต้องการ #สร้างฐานทัพในประเทศไทย และใช้ประเทศไทยเป็นที่ #ตั้งอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อจ่อจี #นอีกแห่ง . 2. รัฐบาลอเมริกาซึ่งมีกลุ่มทุนยิวไซออนิสต์อยู่เบื้องหลังเคย #ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา เป็นฐานทัพ แต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่ให้มาแล้ว . 3. ในเวลาเดียวกัน อเมริกาก็หันไปสนับสนุนนาง #อองซานซูจี โดยทุ่มเงินจาก #USAID เข้าไปช่วยหาเสียงและซื้อเสียง #กองทัพเมียนมา จับทางได้ว่าอเมริกาต้องการเข้ามามีอิทธิพลในเมียนมาและกำลังใช้เงินจาก USAID ซื้อเสียง จึงยึดอำนาจเสีย รัฐบาลอเมริกาจึงหันไป #ติดอาวุธชนกลุ่มน้อย ให้รบกบกองทัพรัฐบาลพม่าแทน จึงเกิดมีปัญหาสู้รบกันและทำให้มีผู้อพยพเข้าสู่ประเทศไทยมากจนถึงเดี๋ยวนี้ . 4. สำหรับประเทศไทย อเมริกาเดินเกมขยาย #สถานกงสุลในเชียงใหม่ ให้ใหญ่โตขึ้น เพื่อรองรับคนทำงานเข้ามาใหม่ให้ได้จำนวนมากขึ้น . ผมสงสัยว่ากลุ่มคนที่จะเพิ่มเข้ามาทำงานในสถานกงสุล ก็น่าจะเป็น #เครือข่ายซีไอเอ ที่จะมาปฏิบัติการในไทยและเมียนมา ซึ่งอเมริกาต้องการจำนวนคนมากขึ้นกับภารกิจเชิงรุก รวมทั้งเจ้าหน้าที่ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้ #นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล เดินทางเข้ามาไทยมากยิ่งขึ้นตามมาในอนาคต ต้องไม่ลืมว่าหนังสือพิมพ์ #Haarets ของอิสราเอลรายงานชัดเจนว่าขณะนี้ ชาวยิวกำลังหันมาสนใจประเทศไทยมากยิ่งขึ้น . 5. ความจริงประการหนึ่งก็คือขณะนี้ รัฐบาลอเมริกาและ #อังกฤษ ทำงานรับใช้ #ยิว อย่างเต็มที่ อเมริกาทุ่มให้เครือข่ายซีไอเอไปรับใช้ ส่วนอังกฤษทุ่มเครือข่าย #MI6 ให้ทำงานรับใช้ยิวในประเทศต่างๆ มาก . จึงไม่น่าแปลกอะไรที่จะมีนักท่องเที่ยวอิสราเอล อังกฤษและอเมริกาในอำเภอปายมากกว่าในที่อื่นๆ โดยที่นักท่องเที่ยวเหล่านี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็น #สายลับ ที่เข้ามาสังเกตการณ์และทำงานร่วมกันเพื่อหาทางวางรากฐานให้ชาวยิวอพยพมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวรก็ได้ เพราะการว่าจ้างคนไทยให้เป็นนอมินีซื้อที่ดินให้คนเหล่านี้ยึดครอง ทำได้ง่ายอยู่แล้ว . 6. อเมริกายังเดินเกม จัดตั้ง #ศูนย์ข้อมูลกูเกิลในจังหวัดชลบุรี อีกแห่ง ข้อมูลระดับพื้นฐานที่คนไทยควรจะรู้ ก็คือ #กูเกิล เกิดมาจากหน่วยงาน #ซีไอเอ (ตามข่าวในภาพประกอบ) ขณะนี้ รัฐบาลอเมริกาและอิสราเอลใช้กูเกิลเป็นเครื่องมือช่วยกวาดล้างชาวปาเลสไตน์และปล้นแผ่นดินปาเลสไตน์อยู่ . เมื่อมีการขอจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกูเกิล ไม่มีเสียงทักท้วงหรือคัดค้านใดๆ จากเลขาธิการ #สมช. ของไทย #กระทรวงมหาดไทย และ #กระทรวงการต่างประเทศเลย แสดงให้เห็นว่าสามองค์กรหลักนี้ไม่ระแวงหรือสงสัยอะไรเลยเพราะข้อมูลเกี่ยวกับกูเกิลไม่มีมากพอ . การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกูเกิลในจังหวัดชลบุรี อาจเป็นไปได้ว่าเป็นการจัดตั้งเครือข่ายซีไอเอและ #มอสสาด (#Mossad หน่วยงานข่าวกรองและปฏิบัติการพิเศษของอิสราเอล) ในประเทศไทย เพื่อรวบรวม #BigData คนในแถบ #ตะวันออกเฉียงใต้ เอาไว้ด้วยจุดประสงค์บางอย่างนั่นเอง . อย่าลืมความจริงที่คนไทยก็รู้มานานแล้วว่า ประเทศนักล่าอาณานิคมตะวันตก กำลังวางยุทธศาสตร์แบ่งแยกประเทศไทย ทั้งที่ #สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งใน #ภาคอีสาน และทั้งในพื้นที่ภาคเหนือเพื่อตนเองจะได้เข้ามามีบทบาทควบคุมประเทศแถบนี้มากยิ่งขึ้น . ประเทศเล็กๆ หลายประเทศในขณะนี้ตกเป็นอาณานิคมของอเมริกาและอิสราเอล ซึ่งมียิวอยู่เบื้องหลังก็เพราะมีหน่วยงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและมีนักการเมืองที่ดูแลผลประโยชน์ประเทศชาติพากัน *โง่* และตั้งตนในความประมาทนี่แหละ! .
    0 Comments 0 Shares 679 Views 0 Reviews
  • กองปราบบุกทลายเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ SBOBET รวบ 13 ผู้ต้องหายึดเงินสด 7 ล้าน-ทรัพย์สินรวม 20 ล้านบาท พบเปิดมา 10 ปี เงินหมุนเวียน 1.6 พันล้าน เตรียมนำเฉลี่ยคืนเหยื่อ "อ.อ๊อด ตี่ลี่ฮวงจุ้ย" ลูกค้า VIP ของเว็บฯ

    วันนี้ (3 มี.ค. ) ที่ กองปราบปราม ( บก.ป.) พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ, พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. และ เจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการ “ตี่ลี่ ภาค 2 เซียนพนัน VIP ถังแตก ทลายเครือข่ายเว็บพนัน SBOBET” หลังนำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 3 จุด ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร และ จ.ปทุมธานี ก่อนสามารถจับกุม นายธนะพัฒน์ อายุ 58 ปี เอเยนต์ เว็บไซต์พนันออนไลน์ SBOBET พร้อมทีมงานบริหารจัดการเว็บ ,แอดมิน ,บัญชีม้า และ บุคคลที่ได้รับผลประโยชน์ รวม 13 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ต้องที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจากคดีอื่น 1 ราย

    พร้อมกันนี้ยังได้ตรวจยึดของกลาง หลายรายการประกอบด้วย เงินสด 7 ล้านบาท รถยนต์ BMW X3 จำนวน 1 คัน รถยนต์ Toyota Alphard 1 คัน รถยนต์มิซูบิชิ ปาเจโร่ 1 คัน ตุ๊กตาแบร์บริค 5 ตัว พระเครื่อง 132 องค์ นาฬิกาหรู 3 เรือน รถจักรยานยนต์ 1 คัน อาวุธปืน 2 กระบอก โทรศัพท์มือถือ 18 เครื่อง สมุดบัญชีเงินฝาก รวม 49 เล่ม คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ไอแพด 3 เครื่อง เครื่องนับเงิน 1 เครื่อง เอกสารฝาก-ถอนเงิน และ เอกสารประกอบหลักฐานอื่นๆ อีกจำนวนมาก รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดกว่า 20 ล้านบาท

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000020653

    #MGROnline #กองปราบ #เครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ #SBOBET
    กองปราบบุกทลายเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ SBOBET รวบ 13 ผู้ต้องหายึดเงินสด 7 ล้าน-ทรัพย์สินรวม 20 ล้านบาท พบเปิดมา 10 ปี เงินหมุนเวียน 1.6 พันล้าน เตรียมนำเฉลี่ยคืนเหยื่อ "อ.อ๊อด ตี่ลี่ฮวงจุ้ย" ลูกค้า VIP ของเว็บฯ • วันนี้ (3 มี.ค. ) ที่ กองปราบปราม ( บก.ป.) พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ, พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. และ เจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการ “ตี่ลี่ ภาค 2 เซียนพนัน VIP ถังแตก ทลายเครือข่ายเว็บพนัน SBOBET” หลังนำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 3 จุด ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร และ จ.ปทุมธานี ก่อนสามารถจับกุม นายธนะพัฒน์ อายุ 58 ปี เอเยนต์ เว็บไซต์พนันออนไลน์ SBOBET พร้อมทีมงานบริหารจัดการเว็บ ,แอดมิน ,บัญชีม้า และ บุคคลที่ได้รับผลประโยชน์ รวม 13 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ต้องที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจากคดีอื่น 1 ราย • พร้อมกันนี้ยังได้ตรวจยึดของกลาง หลายรายการประกอบด้วย เงินสด 7 ล้านบาท รถยนต์ BMW X3 จำนวน 1 คัน รถยนต์ Toyota Alphard 1 คัน รถยนต์มิซูบิชิ ปาเจโร่ 1 คัน ตุ๊กตาแบร์บริค 5 ตัว พระเครื่อง 132 องค์ นาฬิกาหรู 3 เรือน รถจักรยานยนต์ 1 คัน อาวุธปืน 2 กระบอก โทรศัพท์มือถือ 18 เครื่อง สมุดบัญชีเงินฝาก รวม 49 เล่ม คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ไอแพด 3 เครื่อง เครื่องนับเงิน 1 เครื่อง เอกสารฝาก-ถอนเงิน และ เอกสารประกอบหลักฐานอื่นๆ อีกจำนวนมาก รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดกว่า 20 ล้านบาท • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000020653 • #MGROnline #กองปราบ #เครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ #SBOBET
    0 Comments 0 Shares 292 Views 0 Reviews
  • เตรียมพยาน 1000 ปาก 'ดีเอสไอ' พร้อมลุยสอบฮั้ว ส.ว. วุฒิสภา เตรียมซักฟอกกลับ
    .
    ความเคลื่อนไหวที่ว่าด้วยการตรวจสอบการเลือกส.ว.นั้น แม้ด้านหนึ่งจะยังต้องรอความชัดเจนจากการพิจารณาของคณะกรรมการคดีพิเศษในวันที่ 6 มี.ค.นี้ก่อน แต่ปรากฎว่าเวลานี้มีการเผยแพร่เอกสารในสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็นรายชื่อพยานมากกว่า 100 รายที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เตรียมนำมาให้ข้อมูลแล้ว
    .
    ทั้งนี้มีรายงานจากดีเอสไอระบุว่า รายชื่อกว่า 1,200 รายที่ปรากฏในโพยพยานของดีเอสไอ มีทั้งในส่วนของผู้สมัครสมาชิก สว. และผู้ได้รับเลือกเป็น สว. อาทิ พื้นที่ จ.กระบี่ กรุงเทพมหานคร กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชัยนาทชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครนายก นครพนม นครปฐม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นนทบุรี นราธิวาส น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พัทลุง พิจิตร เพชรบุรี แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ยะลา ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุบลราชธานี เป็นต้น
    .
    ขณะเดียวกันยังมีรายงานอีกว่า สำหรับรายชื่อกว่า 1,200 ชื่อ ที่ปรากฏชื่อว่าจะเป็นบุคคลที่ดีเอสไอเตรียมเรียกสอบปากคำในฐานะพยานในคดีฮั้ว สว.67 นั้น หากในวันที่ 6 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการประชุมหารือครั้งที่ 2 เพื่อเอาคำตอบสุดท้ายของคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ในการมีมติในที่ประชุมว่าจะรับหรือไม่รับคดีฮั้ว สว.67 เป็นคดีพิเศษ หากผลมติในที่ประชุมขอให้รับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษ ขั้นตอนต่อไปก็จะมีการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเพื่อทำการสอบสวนและขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการในการกระทำความผิด ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวนั้น ทางคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ทยอยออกหมายเรียกพยานกว่า 1,200 ราย เข้าให้ปากคำและสอบสวนดำเนินการต่อเนื่อง
    .
    ขณะที่ ความเคลื่อนของส.ว. ในการประชุมวุฒิสภาวันที่ 4 มี.ค. นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้นัดประชุมวุฒิสภา โดยมีวาระพิจารณาที่น่าสนใจคือ การเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งเสนอโดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร ส.ว.กลุ่มกฎหมาย และคณะ
    .
    สาระของญัตติที่เสนอดังกล่าวมีการอ้างถึงรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำหนดให้รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และให้รัฐมีมาตรฐานคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำ แต่ที่ผ่านมาพบว่ากระบวนการยุติธรรมไทยขาดประสิทธิภาพ และมีการแทรกแซง ครอบงำจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะการดำเนินคดีพิเศษของกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งพบว่าที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมขาดประสิทธิภาพ ทำคดีล่าช้า ไม่สามารถทำให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษอย่างแท้จริง รวมถึงไม่สามารถป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดและปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ เช่น การดำเนินคดีกับนายทุนชาวจีนสีเทาในข้อหายาเสพติดฟอกเงิน และการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ การดำเนินคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่เป็นปัญหายาวนานและทวีความรุนแรง กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
    .
    นอกจากนี้ ในการดำเนินการกระบวนการยุติธรรมยังเป็นปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น กรณีการให้สิทธิแก่ผู้ต้องขังที่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม ที่ผ่านมามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใส และไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ต้องขังบางคนได้รับสิทธิในการเข้ารับการรักษาพยาบาลที่พิเศษกว่าผู้ต้องขังคนอื่นๆ จึงสมควรที่วุฒิสภาจะได้อภิปรายระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย และเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณาดำเนินการตามข้อบังคับวุฒิสภา ข้อ 35
    ...........
    Sondhi X
    เตรียมพยาน 1000 ปาก 'ดีเอสไอ' พร้อมลุยสอบฮั้ว ส.ว. วุฒิสภา เตรียมซักฟอกกลับ . ความเคลื่อนไหวที่ว่าด้วยการตรวจสอบการเลือกส.ว.นั้น แม้ด้านหนึ่งจะยังต้องรอความชัดเจนจากการพิจารณาของคณะกรรมการคดีพิเศษในวันที่ 6 มี.ค.นี้ก่อน แต่ปรากฎว่าเวลานี้มีการเผยแพร่เอกสารในสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็นรายชื่อพยานมากกว่า 100 รายที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เตรียมนำมาให้ข้อมูลแล้ว . ทั้งนี้มีรายงานจากดีเอสไอระบุว่า รายชื่อกว่า 1,200 รายที่ปรากฏในโพยพยานของดีเอสไอ มีทั้งในส่วนของผู้สมัครสมาชิก สว. และผู้ได้รับเลือกเป็น สว. อาทิ พื้นที่ จ.กระบี่ กรุงเทพมหานคร กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชัยนาทชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครนายก นครพนม นครปฐม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นนทบุรี นราธิวาส น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พัทลุง พิจิตร เพชรบุรี แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ยะลา ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุบลราชธานี เป็นต้น . ขณะเดียวกันยังมีรายงานอีกว่า สำหรับรายชื่อกว่า 1,200 ชื่อ ที่ปรากฏชื่อว่าจะเป็นบุคคลที่ดีเอสไอเตรียมเรียกสอบปากคำในฐานะพยานในคดีฮั้ว สว.67 นั้น หากในวันที่ 6 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการประชุมหารือครั้งที่ 2 เพื่อเอาคำตอบสุดท้ายของคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ในการมีมติในที่ประชุมว่าจะรับหรือไม่รับคดีฮั้ว สว.67 เป็นคดีพิเศษ หากผลมติในที่ประชุมขอให้รับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษ ขั้นตอนต่อไปก็จะมีการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเพื่อทำการสอบสวนและขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการในการกระทำความผิด ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวนั้น ทางคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ทยอยออกหมายเรียกพยานกว่า 1,200 ราย เข้าให้ปากคำและสอบสวนดำเนินการต่อเนื่อง . ขณะที่ ความเคลื่อนของส.ว. ในการประชุมวุฒิสภาวันที่ 4 มี.ค. นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้นัดประชุมวุฒิสภา โดยมีวาระพิจารณาที่น่าสนใจคือ การเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งเสนอโดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร ส.ว.กลุ่มกฎหมาย และคณะ . สาระของญัตติที่เสนอดังกล่าวมีการอ้างถึงรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำหนดให้รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และให้รัฐมีมาตรฐานคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำ แต่ที่ผ่านมาพบว่ากระบวนการยุติธรรมไทยขาดประสิทธิภาพ และมีการแทรกแซง ครอบงำจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะการดำเนินคดีพิเศษของกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งพบว่าที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมขาดประสิทธิภาพ ทำคดีล่าช้า ไม่สามารถทำให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษอย่างแท้จริง รวมถึงไม่สามารถป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดและปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ เช่น การดำเนินคดีกับนายทุนชาวจีนสีเทาในข้อหายาเสพติดฟอกเงิน และการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ การดำเนินคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่เป็นปัญหายาวนานและทวีความรุนแรง กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ . นอกจากนี้ ในการดำเนินการกระบวนการยุติธรรมยังเป็นปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น กรณีการให้สิทธิแก่ผู้ต้องขังที่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม ที่ผ่านมามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใส และไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ต้องขังบางคนได้รับสิทธิในการเข้ารับการรักษาพยาบาลที่พิเศษกว่าผู้ต้องขังคนอื่นๆ จึงสมควรที่วุฒิสภาจะได้อภิปรายระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย และเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณาดำเนินการตามข้อบังคับวุฒิสภา ข้อ 35 ........... Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    8
    0 Comments 0 Shares 1560 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ รีโพสต์ข้อความหนึ่งบนทรัตช์ โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง ที่ระบุว่าประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน "ไม่มีทางเลือก" ยกเว้นแต่ยอมตามเงื่อนไขต่างๆ ของวอชิงตัน ในข้อตกลงแร่ เนื่องจากเคียฟไม่อาจอยู่รอดได้ในสงคราม หากปราศจากการสนับสนุนของอเมริกา
    .
    การรีโพสต์ความเห็นของ ไมเคิล แมคคูน มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ เปิดศึกโต้เถียงกับ เซเลนสกี ในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว เมื่อวันศุกร์ (28 ก.พ.) ทำให้แผนลงนามในข้อตกลงทรัพยากรแร่ระหว่างทั้ง 2 ประเทศพังครืนลง
    .
    "ทรัมป์เล่นเกมกับ 2 ฝ่าย ราวกับผู้เล่นหมากรุกชั้นเซียน ในท้ายที่สุดแล้ว เซเลนสกี จะไม่มีทางเลือกอื่น ยกเว้นแต่ยอมอ่อนข้อ หากปราศจากการสนับสนุนของสหรัฐฯ ยูเครนไม่อาจชนะในสงครามยืดเยื้อกับรัสเซีย" ทัมป์ รีโพสต์ข้อความนี้ บนทรัสต์โซเชียล "จริงๆ แล้ว ทรัมป์ กำลังปกป้องยูเครน โดยไม่จำเป็นต้องลากสหรัฐฯ เข้าสู่สงคราม นำเสนอข้อตกลงที่ฉลาดเป็นเลิศ"
    .
    ศึกโต้เถียงกันระหว่าง ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ กับ เซเลนสกี ปะทะขึ้นหลังจากประธานาธิบดียูเครน เน้นย้ำถึงความจำเป็นสำหรับการรับประกันความมั่นคง และบอกว่า เครมลิน ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระตุ้นให้ฝ่ายสหรัฐฯ ตอบโต้เขาว่าไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ และเตือนสติให้เห็นว่าเขาอยู่ในสถานะที่อ่อนแอ
    .
    ตามหลังศึกวิวาทะอันเผ็ดร้อน ทรัมป์ บอกว่า เซเลนสกี ไม่ใช่คนที่ต้องการสร้างสันติภาพ "ประธานาธิบดียูเครน กำลังมองหาอะไรบางอย่างที่ผมไม่ได้เสาะหา" พร้อมกล่าวอ้างอีกครั้งว่า เซเลนสกี "ต้องการ สู้ สู้ สู้ เพียงเท่านั้น"
    .
    เซเลนสกี ตอบโต้กลับความเห็นของทรัมป์ ระหว่างให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ อ้างว่ายูเครน พร้อมสำหรับสันติภาพ "แต่เราจำเป็นต้องอยู่ในสถานะที่ดี เราต้องการสันติภาพ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงมาพบประธานาธิบดีทรัมป์"
    .
    ในข้อความที่โพสต์ ทรัมป์ อ้างว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจของสหรัฐฯ ในยูเครน เพียงพอแล้วที่จะเป็นเครื่องรับประกันความมั่นคง เนื่องจากรัสเซียจะไม่สามารถคุกคามผลประโยชน์ทางธุรกิจเหล่านั้น "โดยปราศจากกระตุ้นการตอบโต้กลับครั้งใหญ่ในระดับนานาชาติ" ทรัมป์กล่าว "เพราะว่าการโจมตียูเครน จะหมายถึงการก่ออันตรายแก่ชีวิตชาวอเมริกา บางอย่างที่จะบีบให้สหรัฐฯ จำเป็นต้องตอบโต้"
    .
    พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ จำนวนหนึ่งและสมาชิกสภาคองเกรสจากรีพับลิกัน ยังคงดาหน้ากันออกมาปกป้องทรัมป์ พร้อมกับส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซเลนสกี ตามหลังการโต้เถียงในห้องทำงานรูปไข่ โดยบางส่วนถึงขั้นชี้แนะว่า เซเลนสกี อาจจำเป็นต้องลาออกจากตำแหน่ง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020444
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ รีโพสต์ข้อความหนึ่งบนทรัตช์ โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง ที่ระบุว่าประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน "ไม่มีทางเลือก" ยกเว้นแต่ยอมตามเงื่อนไขต่างๆ ของวอชิงตัน ในข้อตกลงแร่ เนื่องจากเคียฟไม่อาจอยู่รอดได้ในสงคราม หากปราศจากการสนับสนุนของอเมริกา . การรีโพสต์ความเห็นของ ไมเคิล แมคคูน มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ เปิดศึกโต้เถียงกับ เซเลนสกี ในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว เมื่อวันศุกร์ (28 ก.พ.) ทำให้แผนลงนามในข้อตกลงทรัพยากรแร่ระหว่างทั้ง 2 ประเทศพังครืนลง . "ทรัมป์เล่นเกมกับ 2 ฝ่าย ราวกับผู้เล่นหมากรุกชั้นเซียน ในท้ายที่สุดแล้ว เซเลนสกี จะไม่มีทางเลือกอื่น ยกเว้นแต่ยอมอ่อนข้อ หากปราศจากการสนับสนุนของสหรัฐฯ ยูเครนไม่อาจชนะในสงครามยืดเยื้อกับรัสเซีย" ทัมป์ รีโพสต์ข้อความนี้ บนทรัสต์โซเชียล "จริงๆ แล้ว ทรัมป์ กำลังปกป้องยูเครน โดยไม่จำเป็นต้องลากสหรัฐฯ เข้าสู่สงคราม นำเสนอข้อตกลงที่ฉลาดเป็นเลิศ" . ศึกโต้เถียงกันระหว่าง ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ กับ เซเลนสกี ปะทะขึ้นหลังจากประธานาธิบดียูเครน เน้นย้ำถึงความจำเป็นสำหรับการรับประกันความมั่นคง และบอกว่า เครมลิน ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระตุ้นให้ฝ่ายสหรัฐฯ ตอบโต้เขาว่าไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ และเตือนสติให้เห็นว่าเขาอยู่ในสถานะที่อ่อนแอ . ตามหลังศึกวิวาทะอันเผ็ดร้อน ทรัมป์ บอกว่า เซเลนสกี ไม่ใช่คนที่ต้องการสร้างสันติภาพ "ประธานาธิบดียูเครน กำลังมองหาอะไรบางอย่างที่ผมไม่ได้เสาะหา" พร้อมกล่าวอ้างอีกครั้งว่า เซเลนสกี "ต้องการ สู้ สู้ สู้ เพียงเท่านั้น" . เซเลนสกี ตอบโต้กลับความเห็นของทรัมป์ ระหว่างให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ อ้างว่ายูเครน พร้อมสำหรับสันติภาพ "แต่เราจำเป็นต้องอยู่ในสถานะที่ดี เราต้องการสันติภาพ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงมาพบประธานาธิบดีทรัมป์" . ในข้อความที่โพสต์ ทรัมป์ อ้างว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจของสหรัฐฯ ในยูเครน เพียงพอแล้วที่จะเป็นเครื่องรับประกันความมั่นคง เนื่องจากรัสเซียจะไม่สามารถคุกคามผลประโยชน์ทางธุรกิจเหล่านั้น "โดยปราศจากกระตุ้นการตอบโต้กลับครั้งใหญ่ในระดับนานาชาติ" ทรัมป์กล่าว "เพราะว่าการโจมตียูเครน จะหมายถึงการก่ออันตรายแก่ชีวิตชาวอเมริกา บางอย่างที่จะบีบให้สหรัฐฯ จำเป็นต้องตอบโต้" . พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ จำนวนหนึ่งและสมาชิกสภาคองเกรสจากรีพับลิกัน ยังคงดาหน้ากันออกมาปกป้องทรัมป์ พร้อมกับส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซเลนสกี ตามหลังการโต้เถียงในห้องทำงานรูปไข่ โดยบางส่วนถึงขั้นชี้แนะว่า เซเลนสกี อาจจำเป็นต้องลาออกจากตำแหน่ง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020444 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    6
    0 Comments 0 Shares 1165 Views 0 Reviews
  • 24 ปี เที่ยวบิน TG114 “ระเบิดก่อนขึ้นบิน” นายกทักษิณรอดหวุดหวิด ลอบฆ่า หรือว่า... อุบัติเหตุ?

    🛫 ย้อนรอย 24 ปี โศกนาฏกรรมทางการบินของไทย ที่ยังเป็นปริศนา เมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2544 เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด ได้เกิดขึ้นที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เครื่องบินโบอิ้ง 737-400 ของการบินไทย เที่ยวบิน TG114 ได้เกิดระเบิดกลางลานจอด และถูกไฟไหม้เสียหายทั้งลำ เพียง 25 นาที ก่อนที่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น พร้อมด้วบบุตรชาย จะเดินทางไปเชียงใหม่

    แม้ว่าจะไม่มีผู้โดยสารอยู่บนเครื่อง แต่ช่างเทคนิคการบิน 1 คน เสียชีวิต ทำให้เกิดคำถามมากมายว่า นี่เป็นอุบัติเหตุ หรือเป็นการวางแผนลอบสังหาร? 📌

    🔎 เหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ 3 มีนาคม 2544 เวลา 14:48 น. 📍 เที่ยวบิน TG114 ของการบินไทย ซึ่งเป็นเครื่องบิน โบอิ้ง 737-400 ทะเบียน HS-TDC ดอนเมือง-เชียงใหม่ ได้เกิดการระเบิดขณะจอดอยู่ที่ลานจอด สนามบินนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เครื่องบินถูกไฟไหม้เสียหายทั้งลำ ไม่มีผู้โดยสารบนเครื่อง มีเพียงลูกเรือ 8 คน อยู่บนเครื่อง ซึ่งช่างเทคนิคการบินเสียชีวิต 1 คน

    ✈️ จุดหมายปลายทางของเที่ยวบิน เที่ยวบิน TG114 เดิมมีกำหนดออกเดินทางไปยัง ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ โดยมีบุคคลสำคัญเดินทางไปด้วย รวมถึง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะเนั้น และนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย

    🛑 แต่เพียง 25 นาที ก่อนเครื่องออกเดินทาง เครื่องบินกลับระเบิดขึ้นก่อน

    🚨 เหตุการณ์ครั้งนี้ จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นการลอบสังหารทางการเมือง?

    🔥 สาเหตุที่เป็นไปได้ วินาศกรรม หรืออุบัติเหตุ? มี 2 ทฤษฎีหลัก ที่ถูกหยิบยกขึ้นมา เกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ 🎯

    💥 ทฤษฎีวินาศกรรม ลอบสังหารนายกรัฐมนตรี? หลังเหตุการณ์เกิดขึ้น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "นี่เป็นการก่อวินาศกรรม ที่มุ่งเป้าสังหารตนเอง"

    หลักฐานที่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า มีการวางระเบิด ได้แก่
    🔎 พบร่องรอยสารระเบิด เจ้าหน้าที่ไทยตรวจพบ ร่องรอยของระเบิดซีโฟร์ (C-4) หรือเซมเท็กซ์ (Semtex)
    🎯 นายกทักษิณกล่าวว่า อาจเป็นฝีมือของกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ จากนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล เช่น ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เช่น กลุ่มว้าแดง
    ⏳ เวลาที่เกิดเหตุใกล้เคียงกับกำหนดการเดินทางของนายกฯ
    📢 ตำรวจไทยในตอนแรกสรุปว่า เป็นการ "วางระเบิด" และคณะกรรมาธิการ ของสภาผู้แทนราษฎรเองก็มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน

    🛠️ ทฤษฎีอุบัติเหตุ ข้อสรุปของ NTSB คณะกรรมการความปลอดภัย ในการขนส่งแห่งชาติสหรัฐฯ (NTSB) ซึ่งส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมสอบสวน ได้ออกแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 ว่า
    🚫 ไม่มีร่องรอยของวัตถุระเบิด
    ⚡ การระเบิดอาจเกิดจากระบบปรับอากาศ ที่ทำงานต่อเนื่อง ส่งผลให้ถังน้ำมันส่วนกลาง เกิดการสันดาป และระเบิด
    ✈️ ลักษณะคล้ายกับอุบัติเหตุของเที่ยวบิน 143 ของฟิลิปปินส์แอร์ไลน์ เมื่อปี 2543

    ในท้ายที่สุด รัฐบาลไทยและ NTSB ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันว่า "เป็นอุบัติเหตุจากความร้อนสะสม ของอุปกรณ์ทำความเย็น ที่อยู่ใกล้ถังน้ำมัน"

    💡 วินาศกรรมที่ล้มเหลว หรือโศกนาฏกรรมที่ไม่ได้ตั้งใจ? ข้อถกเถียงเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ยังไม่จบง่ายๆ 🧐 เพราะ...

    1️⃣ ผลการสอบสวนของไทยและสหรัฐฯ ต่างกัน ฝ่ายไทยเชื่อว่ามี หลักฐานของการวางระเบิด
    NTSB แย้งว่า ไม่พบร่องรอยระเบิดเลย

    2️⃣ ช่วงเวลาการระเบิดน่าสงสัย ทำไมถึงเกิดขึ้นก่อนนายกฯ เดินทางเพียง 25 นาที ถ้าเป็นเพียงอุบัติเหตุ ทำไมไม่เกิดกับเครื่องลำอื่น?

    3️⃣ กลุ่มที่มีแรงจูงใจในการลอบสังหาร นโยบายปราบปรามยาเสพติดของนายกทักษิณ สร้างศัตรูจำนวนมาก ขบวนการค้ายาเสพติดอาจไม่พอใจ จนถึงขั้นต้องการลอบสังหาร

    📌 หรืออาจเป็นเพียงการ "ใช้ข่าวระเบิด" เพื่อกลบกระแสเรื่องคดีซุกหุ้น?

    🚨 เหตุการณ์ลอบสังหารนายกทักษิณ ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว ที่มีความพยายามลอบสังหาร พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ 🎯

    📍 ปี 2546 ข่าวลือว่า กลุ่มว้าแดงตั้งค่าหัว 80 ล้านบาท ทำให้ต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย

    📍 ปี 2549 คดี "คาร์บอมบ์" ที่บริเวณสี่แยกบางพลัด ใกล้บ้านพักของนายกทักษิณ ก่อนที่ รปภ. จะพบระเบิดก่อน

    📍 ปี 2559 นายกทักษิณให้สัมภาษณ์กับ Al Jazeera ว่า "มีคนพยายามลอบสังหารผม 4 ครั้ง"

    🎯 ระเบิดเที่ยวบิน TG114 ยังเป็นปริศนา?
    📌 แม้ว่าผลสอบสวนทางการบินของสหรัฐฯ จะสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่คำถามยังคงอยู่
    📌 หลายฝ่ายยังสงสัยว่า นี่อาจเป็นการลอบสังหารทางการเมือง ที่ไม่สำเร็จ
    📌 หรือเป็นเพียง "เหตุบังเอิญ" ที่เกิดขึ้นอย่างมีเงื่อนงำ?

    🔎 24 ปี ผ่านไป คำตอบของเหตุการณ์นี้ยังคงเป็นปริศนา และอาจไม่มีวันได้รับคำตอบที่ชัดเจน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 030847 มี.ค. 2568

    📌 #ทักษิณ #เที่ยวบินTG114 #การบินไทย #วินาศกรรม #อุบัติเหตุ #เครื่องบินระเบิด #ข่าวการเมือง #ว้าแดง #คดีลึกลับ #ประวัติศาสตร์ไทย
    24 ปี เที่ยวบิน TG114 “ระเบิดก่อนขึ้นบิน” นายกทักษิณรอดหวุดหวิด ลอบฆ่า หรือว่า... อุบัติเหตุ? 🛫 ย้อนรอย 24 ปี โศกนาฏกรรมทางการบินของไทย ที่ยังเป็นปริศนา เมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2544 เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด ได้เกิดขึ้นที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เครื่องบินโบอิ้ง 737-400 ของการบินไทย เที่ยวบิน TG114 ได้เกิดระเบิดกลางลานจอด และถูกไฟไหม้เสียหายทั้งลำ เพียง 25 นาที ก่อนที่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น พร้อมด้วบบุตรชาย จะเดินทางไปเชียงใหม่ แม้ว่าจะไม่มีผู้โดยสารอยู่บนเครื่อง แต่ช่างเทคนิคการบิน 1 คน เสียชีวิต ทำให้เกิดคำถามมากมายว่า นี่เป็นอุบัติเหตุ หรือเป็นการวางแผนลอบสังหาร? 📌 🔎 เหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ 3 มีนาคม 2544 เวลา 14:48 น. 📍 เที่ยวบิน TG114 ของการบินไทย ซึ่งเป็นเครื่องบิน โบอิ้ง 737-400 ทะเบียน HS-TDC ดอนเมือง-เชียงใหม่ ได้เกิดการระเบิดขณะจอดอยู่ที่ลานจอด สนามบินนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เครื่องบินถูกไฟไหม้เสียหายทั้งลำ ไม่มีผู้โดยสารบนเครื่อง มีเพียงลูกเรือ 8 คน อยู่บนเครื่อง ซึ่งช่างเทคนิคการบินเสียชีวิต 1 คน ✈️ จุดหมายปลายทางของเที่ยวบิน เที่ยวบิน TG114 เดิมมีกำหนดออกเดินทางไปยัง ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ โดยมีบุคคลสำคัญเดินทางไปด้วย รวมถึง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะเนั้น และนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย 🛑 แต่เพียง 25 นาที ก่อนเครื่องออกเดินทาง เครื่องบินกลับระเบิดขึ้นก่อน 🚨 เหตุการณ์ครั้งนี้ จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นการลอบสังหารทางการเมือง? 🔥 สาเหตุที่เป็นไปได้ วินาศกรรม หรืออุบัติเหตุ? มี 2 ทฤษฎีหลัก ที่ถูกหยิบยกขึ้นมา เกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ 🎯 💥 ทฤษฎีวินาศกรรม ลอบสังหารนายกรัฐมนตรี? หลังเหตุการณ์เกิดขึ้น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "นี่เป็นการก่อวินาศกรรม ที่มุ่งเป้าสังหารตนเอง" หลักฐานที่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า มีการวางระเบิด ได้แก่ 🔎 พบร่องรอยสารระเบิด เจ้าหน้าที่ไทยตรวจพบ ร่องรอยของระเบิดซีโฟร์ (C-4) หรือเซมเท็กซ์ (Semtex) 🎯 นายกทักษิณกล่าวว่า อาจเป็นฝีมือของกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ จากนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล เช่น ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เช่น กลุ่มว้าแดง ⏳ เวลาที่เกิดเหตุใกล้เคียงกับกำหนดการเดินทางของนายกฯ 📢 ตำรวจไทยในตอนแรกสรุปว่า เป็นการ "วางระเบิด" และคณะกรรมาธิการ ของสภาผู้แทนราษฎรเองก็มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน 🛠️ ทฤษฎีอุบัติเหตุ ข้อสรุปของ NTSB คณะกรรมการความปลอดภัย ในการขนส่งแห่งชาติสหรัฐฯ (NTSB) ซึ่งส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมสอบสวน ได้ออกแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 ว่า 🚫 ไม่มีร่องรอยของวัตถุระเบิด ⚡ การระเบิดอาจเกิดจากระบบปรับอากาศ ที่ทำงานต่อเนื่อง ส่งผลให้ถังน้ำมันส่วนกลาง เกิดการสันดาป และระเบิด ✈️ ลักษณะคล้ายกับอุบัติเหตุของเที่ยวบิน 143 ของฟิลิปปินส์แอร์ไลน์ เมื่อปี 2543 ในท้ายที่สุด รัฐบาลไทยและ NTSB ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันว่า "เป็นอุบัติเหตุจากความร้อนสะสม ของอุปกรณ์ทำความเย็น ที่อยู่ใกล้ถังน้ำมัน" 💡 วินาศกรรมที่ล้มเหลว หรือโศกนาฏกรรมที่ไม่ได้ตั้งใจ? ข้อถกเถียงเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ยังไม่จบง่ายๆ 🧐 เพราะ... 1️⃣ ผลการสอบสวนของไทยและสหรัฐฯ ต่างกัน ฝ่ายไทยเชื่อว่ามี หลักฐานของการวางระเบิด NTSB แย้งว่า ไม่พบร่องรอยระเบิดเลย 2️⃣ ช่วงเวลาการระเบิดน่าสงสัย ทำไมถึงเกิดขึ้นก่อนนายกฯ เดินทางเพียง 25 นาที ถ้าเป็นเพียงอุบัติเหตุ ทำไมไม่เกิดกับเครื่องลำอื่น? 3️⃣ กลุ่มที่มีแรงจูงใจในการลอบสังหาร นโยบายปราบปรามยาเสพติดของนายกทักษิณ สร้างศัตรูจำนวนมาก ขบวนการค้ายาเสพติดอาจไม่พอใจ จนถึงขั้นต้องการลอบสังหาร 📌 หรืออาจเป็นเพียงการ "ใช้ข่าวระเบิด" เพื่อกลบกระแสเรื่องคดีซุกหุ้น? 🚨 เหตุการณ์ลอบสังหารนายกทักษิณ ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว ที่มีความพยายามลอบสังหาร พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ 🎯 📍 ปี 2546 ข่าวลือว่า กลุ่มว้าแดงตั้งค่าหัว 80 ล้านบาท ทำให้ต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย 📍 ปี 2549 คดี "คาร์บอมบ์" ที่บริเวณสี่แยกบางพลัด ใกล้บ้านพักของนายกทักษิณ ก่อนที่ รปภ. จะพบระเบิดก่อน 📍 ปี 2559 นายกทักษิณให้สัมภาษณ์กับ Al Jazeera ว่า "มีคนพยายามลอบสังหารผม 4 ครั้ง" 🎯 ระเบิดเที่ยวบิน TG114 ยังเป็นปริศนา? 📌 แม้ว่าผลสอบสวนทางการบินของสหรัฐฯ จะสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่คำถามยังคงอยู่ 📌 หลายฝ่ายยังสงสัยว่า นี่อาจเป็นการลอบสังหารทางการเมือง ที่ไม่สำเร็จ 📌 หรือเป็นเพียง "เหตุบังเอิญ" ที่เกิดขึ้นอย่างมีเงื่อนงำ? 🔎 24 ปี ผ่านไป คำตอบของเหตุการณ์นี้ยังคงเป็นปริศนา และอาจไม่มีวันได้รับคำตอบที่ชัดเจน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 030847 มี.ค. 2568 📌 #ทักษิณ #เที่ยวบินTG114 #การบินไทย #วินาศกรรม #อุบัติเหตุ #เครื่องบินระเบิด #ข่าวการเมือง #ว้าแดง #คดีลึกลับ #ประวัติศาสตร์ไทย
    0 Comments 0 Shares 337 Views 0 Reviews
More Results