• แผ่นดินไหวที่พม่า ปรับขึ้นจากเบื้องต้น 7.7 เป็น 8.2 ริกเตอร์ เรียกได้ว่ารุนแรงที่สุดของรอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault)

    สำหรับ รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) นับเป็นหนึ่งใน รอยเลื่อนที่มีพลัง (active fault) สำคัญอันดับต้นๆ ในแถบประเทศอาเซียน

    รอยเลื่อนสะกายมีความยาวประมาณ 1,200 กิโลเมตร วางตัวอยู่ในแนวเหนือ-ใต้ ผ่ากลางอก ของประเทศเมียนมา และพาดผ่านแทบทุกเมืองสำคัญ เริ่มจากเมืองมิตจีนา (Myitkyina) มัณฑะเลย์ (Mandalay) ตองยี (Tounggyi) เนปิดอว์ (Naypyidaw) พะโค (Bago) ย่างกุ้ง (Yangon) และยังลากยาวต่อลงไปในทะเลอันดามัน จึงถูกขนานให้เป็น "ยักษ์หลับกลางเมืองเมียนมา
    แผ่นดินไหวที่พม่า ปรับขึ้นจากเบื้องต้น 7.7 เป็น 8.2 ริกเตอร์ เรียกได้ว่ารุนแรงที่สุดของรอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) สำหรับ รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) นับเป็นหนึ่งใน รอยเลื่อนที่มีพลัง (active fault) สำคัญอันดับต้นๆ ในแถบประเทศอาเซียน รอยเลื่อนสะกายมีความยาวประมาณ 1,200 กิโลเมตร วางตัวอยู่ในแนวเหนือ-ใต้ ผ่ากลางอก ของประเทศเมียนมา และพาดผ่านแทบทุกเมืองสำคัญ เริ่มจากเมืองมิตจีนา (Myitkyina) มัณฑะเลย์ (Mandalay) ตองยี (Tounggyi) เนปิดอว์ (Naypyidaw) พะโค (Bago) ย่างกุ้ง (Yangon) และยังลากยาวต่อลงไปในทะเลอันดามัน จึงถูกขนานให้เป็น "ยักษ์หลับกลางเมืองเมียนมา
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน

    ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌

    จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา

    📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭

    🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍

    นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅

    ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา

    📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈

    แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌

    ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง

    📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞

    วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร

    พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง

    🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮

    นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง

    📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸

    แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨

    📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉

    ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน

    🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑

    พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย

    🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า...

    “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์”

    ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱

    💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน

    เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘

    📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐

    เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞

    และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568

    📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌 จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา 📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭 🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍 นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅 ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา 📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈 แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌ ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง 📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞 วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง 🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮 นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง 📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨ 📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉 ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน 🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑 พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย 🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า... “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์” ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱ 💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘 📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐 เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞 และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568 📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 353 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานวิเคราะห์จากเพจลงทุนแมน เกี่ยวกับสรุปวิกฤติค่าเงิน อินโดนีเซีย อ่อนสุดตั้งแต่ต้มยำกุ้ง ในโพสต์เดียว /โดย ลงทุนแมน
    ถ้าบอกว่า อินโดนีเซียยังเป็นประเทศดาวรุ่งพุ่งแรง ที่ทุกอย่างกำลังดูดี โพสต์นี้อาจทำให้หลายคนมองภาพประเทศนี้เปลี่ยนไป

    เพราะตอนนี้ อินโดนีเซียกำลังเจอวิกฤติเงินรูเปียอ่อนค่าอย่างหนัก ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากที่สุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เลยทีเดียว

    จนธนาคารกลางอินโดนีเซีย ต้องนำเงินทุนสำรองมาพยุงค่าเงินรูเปียไม่ให้อ่อนค่าไปมากกว่านี้

    วิกฤติค่าเงินของอินโดนีเซียรุนแรงแค่ไหน ?
    แล้วเกิดขึ้นเพราะอะไร ?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

    ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงไปแตะระดับ 16,600 รูเปียต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่ามากที่สุด ระดับเดียวกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540

    สถานการณ์ของอินโดนีเซียในครั้งนี้ อาจไม่ได้ซ้ำรอยกับวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เริ่มต้นจากการถล่มค่าเงินในภูมิภาค แต่เกิดขึ้นจากรากฐานเศรษฐกิจของอินโดนีเซียที่อ่อนแอลง และถูกซ้ำเติมด้วยนโยบายภาครัฐ

    ก่อนหน้านี้ อินโดนีเซีย คือหนึ่งในประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนและการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง

    โดยในปี 2566 มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากถึง 1.88 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า และมี GDP เติบโตเฉลี่ย 5% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

    เมื่อมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บวกกับเศรษฐกิจที่เติบโตดี มีฐานประชากรกว่า 281 ล้านคน คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

    อีกทั้งรัฐบาลอินโดนีเซีย ดำเนินนโยบายแบบขาดดุลตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอินโดนีเซียมีกรอบนโยบายขาดดุลงบประมาณราว -3% ต่อ GDP อย่างยาวนาน

    จนมาถึงยุคของ ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต
    ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในช่วงปลายปี 2567 ก็ยังคงเดินตามแบบแผนเดิม ๆ คือ การตั้งงบประมาณแบบขาดดุล

    พร้อมกับนโยบายประชานิยมหลากหลายอย่าง ที่เขาได้ประกาศใช้ ไม่ว่าจะเป็น

    - ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 6.5% สูงกว่าข้อเสนอของกระทรวงแรงงานที่เสนอไว้ 6%

    - อาหารกลางวันฟรี ให้กับประชาชนกว่า 83 ล้านคน โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เด็ก และสตรีมีครรภ์ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 950,000 ล้านบาทต่อปี

    - สั่งเบรกอัตราภาษี VAT ที่จะต้องปรับขึ้นเป็น 12% ในสินค้าทุกรายการ เป็นบังคับใช้เพียงสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น

    แน่นอนว่า การทำนโยบายประชานิยม ก็ยิ่งกดดันให้อินโดนีเซียต้องขาดดุลมากขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะเลยกรอบ 3% ต่อ GDP ที่วางไว้

    ซึ่งในปี 2568 รัฐบาลอินโดนีเซีย ตั้งเป้างบประมาณขาดดุลไว้ที่ 2.53% เพิ่มขึ้นจาก 2.29% ในปี 2567

    แล้วภาพเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย เป็นอย่างไร ?

    สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ในปี 2567 อยู่ที่ 39% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ หรือ มาเลเซีย

    แต่หากดูในภาพรวม จะพบว่า GDP ของอินโดนีเซีย กำลังเติบโตลดลงทีละน้อย จาก 5.31% ในปี 2565 เหลือ 5.03% ในปี 2567

    ในขณะที่รายได้ของรัฐ เริ่มส่งสัญญาณโตไม่ทันรายจ่าย ทำให้ภาครัฐขาดดุลมากขึ้น

    ปี 2565 ขาดดุล 943,236 ล้านบาท
    ปี 2566 ขาดดุล 994,387 ล้านบาท
    ปี 2567 ขาดดุล 1,070,091 ล้านบาท

    เมื่อมีแนวโน้มขาดดุลงบประมาณมากขึ้น แต่การเติบโตของเศรษฐกิจกลับเริ่มอ่อนแรง การกู้เงินมาใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้น

    ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีปราโบโวเอง ก็เคยบอกไว้ว่ามีแผนจะปรับระดับเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ไปอยู่ในระดับ 50% ภายในเวลา 5 ปี

    นอกจากเรื่องการขาดดุลอย่างต่อเนื่องแล้ว ประธานาธิบดีคนนี้ ยังต้องการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ชื่อว่า Danantara ที่คาดว่าจะมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการกว่า 30 ล้านล้านบาท

    Danantara มีโมเดลคล้าย Temasek กองทุน
    ความมั่งคั่งแห่งชาติสิงคโปร์ ที่เน้นนำเงินของประเทศ
    ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลก

    รวมถึง รัฐวิสาหกิจของอินโดนีเซีย กว่า 40 แห่ง ที่จะถูกรวมเข้ามาเป็นสินทรัพย์ภายใต้กองทุน เช่น
    - Pertamina บริษัทน้ำมันและก๊าซ
    - PLN บริษัทไฟฟ้า
    - Telkom Indonesia บริษัทโทรคมนาคม

    แต่ปัญหาคือ กองทุนนี้ต้องใช้เงินมหาศาลในการจัดตั้งกองทุน ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลอินโดนีเซียทำ เป็นความเสี่ยงที่หลายคนกังวล

    เพราะรัฐบาลหาเงินมาทำกองทุนนี้ ด้วยการตัดงบประมาณบริการสาธารณะที่จำเป็น รวมถึงการลดเงินทุนสำหรับการศึกษาระดับประถมลง 24% และลดงบประมาณการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยลง 39% ลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพลง 19% และที่สำคัญคือ การลดโครงการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานลง 73%

    เรียกได้ว่า กองทุนนี้มีเงินตั้งต้นจากการลดค่าใช้จ่าย
    ในเศรษฐกิจ ที่เป็นอนาคตสำคัญของประเทศ

    จากปัญหาหลักทั้ง 2 เรื่องนี้ นั่นก็คือ การขาดดุลงบประมาณ และการลดค่าใช้จ่ายที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ก็ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มกังวลกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจ และศักยภาพการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาวของอินโดนีเซีย

    ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย จนดัชนีตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย (IDX Composite) ปรับตัวลงไปแล้ว -10% นับจากต้นปี (ยังดีกว่าดัชนี SET ของไทยที่ -14%)

    ซึ่งวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียได้มีการประกาศหยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราว หลังจากดัชนีหลักทรัพย์ร่วงไป -5%

    โดยแรงขายหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติ ยังเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียอ่อนค่าลงอีกทาง

    ในที่สุด ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียก็อ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนตอนนี้อยู่ในระดับที่ต่ำสุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในช่วงปี 2540 ไปแล้ว (ในขณะที่ค่าเงินบาทไทยยังห่างไกลจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่อ่อนค่าลงไปแตะ 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)

    อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ก็อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา และความท้าทายทางเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลาย

    แต่ถ้ารัฐบาลอินโดนีเซียภายใต้ผู้นำที่ชื่อว่า ปราโบโว
    ซูเบียนโต ยังทำแบบเดิม ๆ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ยังไม่ฟื้นคืน

    สุดท้าย ก็อาจทำให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงหนักไปมากกว่านี้ก็ได้..

    ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ

    รู้ไหมว่า กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Danantara
    ของอินโดนีเซีย มีคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาอีกด้วย
    ╔═══════════╗
    ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - facebook.com/longtunman
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    TikTok - tiktok.com/@longtunman
    Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
    Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
    Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
    References
    -https://www.reuters.com/markets/currencies/indonesia-cbank-says-rupiah-weakness-reflects-global-domestic-factors-2025-03-25/?utm_source=chatgpt.com
    -https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-03-26/indonesia-stock-market-why-are-investors-fleeing-what-role-has-prabowo-played
    -https://tradingeconomics.com/indonesia/indicators
    -https://www.bps.go.id/en/statistics-table/2/MTA4NSMy/actual-government-expenditures--finance-.html
    -https://asiatimes.com/2025/03/danantara-indonesias-ticking-financial-time-bomb
    รายงานวิเคราะห์จากเพจลงทุนแมน เกี่ยวกับสรุปวิกฤติค่าเงิน อินโดนีเซีย อ่อนสุดตั้งแต่ต้มยำกุ้ง ในโพสต์เดียว /โดย ลงทุนแมน ถ้าบอกว่า อินโดนีเซียยังเป็นประเทศดาวรุ่งพุ่งแรง ที่ทุกอย่างกำลังดูดี โพสต์นี้อาจทำให้หลายคนมองภาพประเทศนี้เปลี่ยนไป เพราะตอนนี้ อินโดนีเซียกำลังเจอวิกฤติเงินรูเปียอ่อนค่าอย่างหนัก ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากที่สุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เลยทีเดียว จนธนาคารกลางอินโดนีเซีย ต้องนำเงินทุนสำรองมาพยุงค่าเงินรูเปียไม่ให้อ่อนค่าไปมากกว่านี้ วิกฤติค่าเงินของอินโดนีเซียรุนแรงแค่ไหน ? แล้วเกิดขึ้นเพราะอะไร ? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงไปแตะระดับ 16,600 รูเปียต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่ามากที่สุด ระดับเดียวกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 สถานการณ์ของอินโดนีเซียในครั้งนี้ อาจไม่ได้ซ้ำรอยกับวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เริ่มต้นจากการถล่มค่าเงินในภูมิภาค แต่เกิดขึ้นจากรากฐานเศรษฐกิจของอินโดนีเซียที่อ่อนแอลง และถูกซ้ำเติมด้วยนโยบายภาครัฐ ก่อนหน้านี้ อินโดนีเซีย คือหนึ่งในประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนและการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากถึง 1.88 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า และมี GDP เติบโตเฉลี่ย 5% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บวกกับเศรษฐกิจที่เติบโตดี มีฐานประชากรกว่า 281 ล้านคน คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อีกทั้งรัฐบาลอินโดนีเซีย ดำเนินนโยบายแบบขาดดุลตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอินโดนีเซียมีกรอบนโยบายขาดดุลงบประมาณราว -3% ต่อ GDP อย่างยาวนาน จนมาถึงยุคของ ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในช่วงปลายปี 2567 ก็ยังคงเดินตามแบบแผนเดิม ๆ คือ การตั้งงบประมาณแบบขาดดุล พร้อมกับนโยบายประชานิยมหลากหลายอย่าง ที่เขาได้ประกาศใช้ ไม่ว่าจะเป็น - ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 6.5% สูงกว่าข้อเสนอของกระทรวงแรงงานที่เสนอไว้ 6% - อาหารกลางวันฟรี ให้กับประชาชนกว่า 83 ล้านคน โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เด็ก และสตรีมีครรภ์ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 950,000 ล้านบาทต่อปี - สั่งเบรกอัตราภาษี VAT ที่จะต้องปรับขึ้นเป็น 12% ในสินค้าทุกรายการ เป็นบังคับใช้เพียงสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น แน่นอนว่า การทำนโยบายประชานิยม ก็ยิ่งกดดันให้อินโดนีเซียต้องขาดดุลมากขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะเลยกรอบ 3% ต่อ GDP ที่วางไว้ ซึ่งในปี 2568 รัฐบาลอินโดนีเซีย ตั้งเป้างบประมาณขาดดุลไว้ที่ 2.53% เพิ่มขึ้นจาก 2.29% ในปี 2567 แล้วภาพเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย เป็นอย่างไร ? สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ในปี 2567 อยู่ที่ 39% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ หรือ มาเลเซีย แต่หากดูในภาพรวม จะพบว่า GDP ของอินโดนีเซีย กำลังเติบโตลดลงทีละน้อย จาก 5.31% ในปี 2565 เหลือ 5.03% ในปี 2567 ในขณะที่รายได้ของรัฐ เริ่มส่งสัญญาณโตไม่ทันรายจ่าย ทำให้ภาครัฐขาดดุลมากขึ้น ปี 2565 ขาดดุล 943,236 ล้านบาท ปี 2566 ขาดดุล 994,387 ล้านบาท ปี 2567 ขาดดุล 1,070,091 ล้านบาท เมื่อมีแนวโน้มขาดดุลงบประมาณมากขึ้น แต่การเติบโตของเศรษฐกิจกลับเริ่มอ่อนแรง การกู้เงินมาใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้น ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีปราโบโวเอง ก็เคยบอกไว้ว่ามีแผนจะปรับระดับเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ไปอยู่ในระดับ 50% ภายในเวลา 5 ปี นอกจากเรื่องการขาดดุลอย่างต่อเนื่องแล้ว ประธานาธิบดีคนนี้ ยังต้องการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ชื่อว่า Danantara ที่คาดว่าจะมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการกว่า 30 ล้านล้านบาท Danantara มีโมเดลคล้าย Temasek กองทุน ความมั่งคั่งแห่งชาติสิงคโปร์ ที่เน้นนำเงินของประเทศ ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึง รัฐวิสาหกิจของอินโดนีเซีย กว่า 40 แห่ง ที่จะถูกรวมเข้ามาเป็นสินทรัพย์ภายใต้กองทุน เช่น - Pertamina บริษัทน้ำมันและก๊าซ - PLN บริษัทไฟฟ้า - Telkom Indonesia บริษัทโทรคมนาคม แต่ปัญหาคือ กองทุนนี้ต้องใช้เงินมหาศาลในการจัดตั้งกองทุน ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลอินโดนีเซียทำ เป็นความเสี่ยงที่หลายคนกังวล เพราะรัฐบาลหาเงินมาทำกองทุนนี้ ด้วยการตัดงบประมาณบริการสาธารณะที่จำเป็น รวมถึงการลดเงินทุนสำหรับการศึกษาระดับประถมลง 24% และลดงบประมาณการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยลง 39% ลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพลง 19% และที่สำคัญคือ การลดโครงการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานลง 73% เรียกได้ว่า กองทุนนี้มีเงินตั้งต้นจากการลดค่าใช้จ่าย ในเศรษฐกิจ ที่เป็นอนาคตสำคัญของประเทศ จากปัญหาหลักทั้ง 2 เรื่องนี้ นั่นก็คือ การขาดดุลงบประมาณ และการลดค่าใช้จ่ายที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ก็ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มกังวลกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจ และศักยภาพการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาวของอินโดนีเซีย ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย จนดัชนีตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย (IDX Composite) ปรับตัวลงไปแล้ว -10% นับจากต้นปี (ยังดีกว่าดัชนี SET ของไทยที่ -14%) ซึ่งวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียได้มีการประกาศหยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราว หลังจากดัชนีหลักทรัพย์ร่วงไป -5% โดยแรงขายหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติ ยังเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียอ่อนค่าลงอีกทาง ในที่สุด ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียก็อ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนตอนนี้อยู่ในระดับที่ต่ำสุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในช่วงปี 2540 ไปแล้ว (ในขณะที่ค่าเงินบาทไทยยังห่างไกลจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่อ่อนค่าลงไปแตะ 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ก็อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา และความท้าทายทางเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลาย แต่ถ้ารัฐบาลอินโดนีเซียภายใต้ผู้นำที่ชื่อว่า ปราโบโว ซูเบียนโต ยังทำแบบเดิม ๆ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ยังไม่ฟื้นคืน สุดท้าย ก็อาจทำให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงหนักไปมากกว่านี้ก็ได้.. ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ รู้ไหมว่า กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Danantara ของอินโดนีเซีย มีคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาอีกด้วย ╔═══════════╗ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download ╚═══════════╝ ติดตามลงทุนแมนได้ที่ Website - longtunman.com Blockdit - blockdit.com/longtunman Facebook - facebook.com/longtunman Twitter - twitter.com/longtunman Instagram - instagram.com/longtunman YouTube - youtube.com/longtunman TikTok - tiktok.com/@longtunman Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829 Soundcloud - soundcloud.com/longtunman References -https://www.reuters.com/markets/currencies/indonesia-cbank-says-rupiah-weakness-reflects-global-domestic-factors-2025-03-25/?utm_source=chatgpt.com -https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-03-26/indonesia-stock-market-why-are-investors-fleeing-what-role-has-prabowo-played -https://tradingeconomics.com/indonesia/indicators -https://www.bps.go.id/en/statistics-table/2/MTA4NSMy/actual-government-expenditures--finance-.html -https://asiatimes.com/2025/03/danantara-indonesias-ticking-financial-time-bomb
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงนี้ใครที่อยากได้การ์ดจอ RTX 5090 หรือ RX 9070 อาจต้องเจอกับราคาที่พุ่งสูงจนตกใจ ASUS เพิ่งปรับขึ้นราคาการ์ดจอรุ่น RTX 5090 Astral OC ไปถึง $280 ภายในเดือนเดียว ทำให้ราคาขึ้นไปแตะ $3,359.99 แล้ว ส่วน RX 9070 XT รุ่น Prime ก็ขึ้นเป็น $719 ซึ่งเกือบ $120 จากราคาต้นทาง สาเหตุหลักมาจากต้นทุนการผลิต GPU และ VRAM ที่แพงขึ้น รวมถึงความต้องการสินค้าในตลาดที่สูงมาก แต่การ์ดจอราคาพุ่งแบบนี้ คงทำให้ผู้บริโภคหนักใจกันไม่น้อยแน่ ๆ

    https://wccftech.com/asus-increases-its-radeon-rx-9070-series-and-rtx-5090-price/
    ช่วงนี้ใครที่อยากได้การ์ดจอ RTX 5090 หรือ RX 9070 อาจต้องเจอกับราคาที่พุ่งสูงจนตกใจ ASUS เพิ่งปรับขึ้นราคาการ์ดจอรุ่น RTX 5090 Astral OC ไปถึง $280 ภายในเดือนเดียว ทำให้ราคาขึ้นไปแตะ $3,359.99 แล้ว ส่วน RX 9070 XT รุ่น Prime ก็ขึ้นเป็น $719 ซึ่งเกือบ $120 จากราคาต้นทาง สาเหตุหลักมาจากต้นทุนการผลิต GPU และ VRAM ที่แพงขึ้น รวมถึงความต้องการสินค้าในตลาดที่สูงมาก แต่การ์ดจอราคาพุ่งแบบนี้ คงทำให้ผู้บริโภคหนักใจกันไม่น้อยแน่ ๆ https://wccftech.com/asus-increases-its-radeon-rx-9070-series-and-rtx-5090-price/
    WCCFTECH.COM
    ASUS Increases Its Radeon RX 9070 Series And RTX 5090 Prices: Prime RX 9070 XT Model Now Costs $719 While RTX 5090 Starts At $2759
    AMD's board partner, ASUS, has increased the prices of its Radeon RX 9070 series and RTX 5090 drastically. Now the cheapest RX 9070 XT card starts at $719.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ประกันสังคม' ลดกระแส เตรียมปรับสูตรบำนาญ เยียวยาคนทำงานเกษียณ
    .
    ชั่วโมงนี้คงไม่มีหน่วยงานไหนมีรถทัวร์ไปลงมากเท่ากับสำนักงานประกันสังคม ภายหลังมีกระแสเรียกร้องให้มีการปรับสูตรคำนวณบำนาญชราภาพให้กับผู้ประกันตนใหม่ โดยเฉพาะผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ซึ่งได้รับบำนาญน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ในเรื่องนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยืนยันกลางที่ประชุมวุฒิสภาว่า เตรียมจะมีการกำหนดแนวทางในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวเร็วๆนี้
    .
    ทั้งนี้ การประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม นายชูชีพ เอื้อการณ์ สมาชิกวุฒิสภา ได้ตั้งกระทู้ถามเรื่อง เรื่องผลกระทบการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ หากไม่ทันค่าของชีพที่สูงขึ้น และแนวทางลดค่าของชีพของประชาชน การดูแล SME ทั้งระยะสั้นระยะยาว โดยนายพิพัฒน์ ตอบชี้แจงตอนหนึ่งระบุว่า จะหารือกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย ในหลายประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับเอสเอ็มอี (SME) ควรจะดูแลอย่างไร ขณะเดียวกันนอกจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแล้วจะต้องดูแล 13 อาชีพ ให้ได้รับการอัพสกิล รีสกิลยกระดับฝีมือแรงงาน เว้นกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่นอกเหนืออำนาจตามกฎหมาย แต่ก็จะพยามดูแลให้ได้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับสูตรคำนวณดูแลเยียวยา ของผู้ทำงานประกันตนมาตรา 33 และ มาตรา 39
    .
    "กระทรวงแรงงานได้คิดว่าเมื่อผู้ใช้แรงงานได้เกษียณอายุไปจะทำอย่างไร ขณะนี้อยู่ในช่วงของการทำประชาพิจารณ์คาดว่าน่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนมี.ค.นี้ ว่าหากเกษียณอายุ 60 ปีไปแล้ว ยังมีอายุอีก 20 ถึง30 ปี เงินในส่วนนั้นจะทำอย่างไรให้สามารถยังชีพอยู่ได้หากไม่มีบุตรหลานคอยดูแล หากยืดอายุกองทุนประกันสังคมได้ จากนั้นจะคิดสูตรว่า ในแต่ละปีการประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 จะมีการขยายสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนได้อย่างไร หากอีก2 ปีข้างหน้ามีการเดินสู่เป้าหมายที่ชัดเจน จะพิจารณาต่อว่ากองทุนประกันสังคมจะให้เงินสำหรับสงเคราะห์ผู้เกษียณอายุเพิ่มขึ้นจำนวนเท่าไหร่เพื่อยังชีพ" นายพิพัฒน์ ระบุ
    .
    ขณะที่ นางสาวรักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. พรรคประชาชน ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับปัญหาการบริหารกองทุนประกันสังคมโดยเฉพาะเรื่องการลงทุนที่ขาดธรรมาภิบาล โดยการใช้เงินกองทุนประกันสังคมจำนวน 2.6 ล้านล้านบาท ที่ไม่โปร่งใสโดยเฉพาะการลงทุนที่อาจจะไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เช่น การซื้ออาคารย่านพระราม 9 มูลค่า 7,000 ล้านบาทในขณะที่ราคาช่วงประเมินปี 2565 อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท โดยปีแรกมีอัตราการเช่าเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น และปัจจุบันก็มีผู้เช่าไม่ถึงครึ่ง
    .
    ด้าน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชี้แจงว่า รัฐมนตรีไม่มีสิทธิเข้าไปยุ่งเกี่ยวแม้กระทั่งรับรู้ ไม่มีสิทธิไปแต่งตั้งบอร์ดต่างๆ จนเมื่อเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม พิจารณาเสร็จแล้ว ตนถึงจะมีสิทธิลงนามแต่งตั้งเท่านั้น ราคาดังกล่าวเป็นราคาประเมินตอนวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 แล้วคนที่ซื้อมาลงทุน มีการรีโนเวทอย่างไร ส่วนตัวไม่ทราบ เนื่องจากการซื้อขายนั้นจะใช้การประเมินโดยบริษัทที่มีใบอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์เป็นผู้ประเมิน
    ............
    Sondhi X
    'ประกันสังคม' ลดกระแส เตรียมปรับสูตรบำนาญ เยียวยาคนทำงานเกษียณ . ชั่วโมงนี้คงไม่มีหน่วยงานไหนมีรถทัวร์ไปลงมากเท่ากับสำนักงานประกันสังคม ภายหลังมีกระแสเรียกร้องให้มีการปรับสูตรคำนวณบำนาญชราภาพให้กับผู้ประกันตนใหม่ โดยเฉพาะผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ซึ่งได้รับบำนาญน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ในเรื่องนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยืนยันกลางที่ประชุมวุฒิสภาว่า เตรียมจะมีการกำหนดแนวทางในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวเร็วๆนี้ . ทั้งนี้ การประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม นายชูชีพ เอื้อการณ์ สมาชิกวุฒิสภา ได้ตั้งกระทู้ถามเรื่อง เรื่องผลกระทบการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ หากไม่ทันค่าของชีพที่สูงขึ้น และแนวทางลดค่าของชีพของประชาชน การดูแล SME ทั้งระยะสั้นระยะยาว โดยนายพิพัฒน์ ตอบชี้แจงตอนหนึ่งระบุว่า จะหารือกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย ในหลายประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับเอสเอ็มอี (SME) ควรจะดูแลอย่างไร ขณะเดียวกันนอกจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแล้วจะต้องดูแล 13 อาชีพ ให้ได้รับการอัพสกิล รีสกิลยกระดับฝีมือแรงงาน เว้นกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่นอกเหนืออำนาจตามกฎหมาย แต่ก็จะพยามดูแลให้ได้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับสูตรคำนวณดูแลเยียวยา ของผู้ทำงานประกันตนมาตรา 33 และ มาตรา 39 . "กระทรวงแรงงานได้คิดว่าเมื่อผู้ใช้แรงงานได้เกษียณอายุไปจะทำอย่างไร ขณะนี้อยู่ในช่วงของการทำประชาพิจารณ์คาดว่าน่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนมี.ค.นี้ ว่าหากเกษียณอายุ 60 ปีไปแล้ว ยังมีอายุอีก 20 ถึง30 ปี เงินในส่วนนั้นจะทำอย่างไรให้สามารถยังชีพอยู่ได้หากไม่มีบุตรหลานคอยดูแล หากยืดอายุกองทุนประกันสังคมได้ จากนั้นจะคิดสูตรว่า ในแต่ละปีการประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 จะมีการขยายสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนได้อย่างไร หากอีก2 ปีข้างหน้ามีการเดินสู่เป้าหมายที่ชัดเจน จะพิจารณาต่อว่ากองทุนประกันสังคมจะให้เงินสำหรับสงเคราะห์ผู้เกษียณอายุเพิ่มขึ้นจำนวนเท่าไหร่เพื่อยังชีพ" นายพิพัฒน์ ระบุ . ขณะที่ นางสาวรักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. พรรคประชาชน ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับปัญหาการบริหารกองทุนประกันสังคมโดยเฉพาะเรื่องการลงทุนที่ขาดธรรมาภิบาล โดยการใช้เงินกองทุนประกันสังคมจำนวน 2.6 ล้านล้านบาท ที่ไม่โปร่งใสโดยเฉพาะการลงทุนที่อาจจะไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เช่น การซื้ออาคารย่านพระราม 9 มูลค่า 7,000 ล้านบาทในขณะที่ราคาช่วงประเมินปี 2565 อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท โดยปีแรกมีอัตราการเช่าเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น และปัจจุบันก็มีผู้เช่าไม่ถึงครึ่ง . ด้าน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชี้แจงว่า รัฐมนตรีไม่มีสิทธิเข้าไปยุ่งเกี่ยวแม้กระทั่งรับรู้ ไม่มีสิทธิไปแต่งตั้งบอร์ดต่างๆ จนเมื่อเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม พิจารณาเสร็จแล้ว ตนถึงจะมีสิทธิลงนามแต่งตั้งเท่านั้น ราคาดังกล่าวเป็นราคาประเมินตอนวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 แล้วคนที่ซื้อมาลงทุน มีการรีโนเวทอย่างไร ส่วนตัวไม่ทราบ เนื่องจากการซื้อขายนั้นจะใช้การประเมินโดยบริษัทที่มีใบอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์เป็นผู้ประเมิน ............ Sondhi X
    Like
    Love
    Sad
    Angry
    12
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2245 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD ได้เปิดตัวการ์ดจอรุ่นใหม่ RX 9070 และ RX 9070 XT ซึ่งทำงานบนสถาปัตยกรรม RDNA 4 โดย RX 9070 ถูกตั้งราคาสุดคุ้มที่ $549 ซึ่งเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับเกมเมอร์ อย่างไรก็ตาม ข่าวล่าสุดชี้ว่า ราคานี้จะมีให้เฉพาะสำหรับชุดล็อตแรกของการ์ดจอนี้เท่านั้น หลังจากนี้ ผู้ผลิตและร้านค้าต่าง ๆ จะมีสิทธิ์กำหนดราคาใหม่ที่อาจสูงขึ้น

    ในกรณีนี้ ผู้ค้าปลีกจากหลายประเทศ เช่น สวีเดน และสหราชอาณาจักร ได้เปิดเผยว่า การ์ดจอ RX 9070 จะคงราคา MSRP ($549) เฉพาะสำหรับล็อตแรกของการผลิตเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ร้าน Inet.se ในสวีเดนได้ชี้แจงว่าหลังจากล็อตแรกหมด ราคาจะถูกปรับเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตบางราย เช่น PowerColor ซึ่งได้ยืนยันว่า สินค้าจากล็อตสองจะมีราคาสูงขึ้น และไม่สามารถขายในราคามาตรฐานได้อีก

    ปัจจุบัน RX 9070 มีราคาถูกกว่า RX 9070 XT เพียง $50 (XT ราคา $599) การที่ RX 9070 มีราคาที่ใกล้เคียงกับ XT ทำให้ความน่าสนใจลดลง หากเกมเมอร์พลาดโอกาสล็อตแรกในราคา $549 ก็อาจต้องจ่ายแพงขึ้น ซึ่งในกรณีนี้ RX 9070 XT อาจดูคุ้มค่ากว่า เกมเมอร์ที่ต้องการ RX 9070 ในราคามาตรฐานควรรีบตัดสินใจซื้อในล็อตแรกก่อนที่ราคาจะปรับขึ้น

    การตั้งราคาของ RX 9070 ที่ต่ำกว่า NVIDIA RTX ซีรีส์ 50 แสดงให้เห็นว่า AMD พยายามแข่งขันในตลาดการ์ดจอกลุ่มราคาประหยัด แต่นโยบายการปรับราคานี้อาจสร้างความสับสนและส่งผลกระทบต่อความไว้วางใจของผู้บริโภคในระยะยาว

    การ์ดจอ RX 9070 รุ่นแรกในราคาสุดคุ้มนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจสำหรับเกมเมอร์ที่มองหาประสิทธิภาพสูงในราคาสมเหตุสมผล หากคุณสนใจและอยากเป็นเจ้าของ อย่าลืมติดตามร้านค้าต่าง ๆ ที่ยังมีล็อตแรกเหลืออยู่

    https://www.techradar.com/computing/gpu/bad-news-pc-gamers-it-seems-amds-aggressively-low-price-for-its-radeon-rx-9070-gpu-will-only-be-for-a-limited-time
    AMD ได้เปิดตัวการ์ดจอรุ่นใหม่ RX 9070 และ RX 9070 XT ซึ่งทำงานบนสถาปัตยกรรม RDNA 4 โดย RX 9070 ถูกตั้งราคาสุดคุ้มที่ $549 ซึ่งเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับเกมเมอร์ อย่างไรก็ตาม ข่าวล่าสุดชี้ว่า ราคานี้จะมีให้เฉพาะสำหรับชุดล็อตแรกของการ์ดจอนี้เท่านั้น หลังจากนี้ ผู้ผลิตและร้านค้าต่าง ๆ จะมีสิทธิ์กำหนดราคาใหม่ที่อาจสูงขึ้น ในกรณีนี้ ผู้ค้าปลีกจากหลายประเทศ เช่น สวีเดน และสหราชอาณาจักร ได้เปิดเผยว่า การ์ดจอ RX 9070 จะคงราคา MSRP ($549) เฉพาะสำหรับล็อตแรกของการผลิตเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ร้าน Inet.se ในสวีเดนได้ชี้แจงว่าหลังจากล็อตแรกหมด ราคาจะถูกปรับเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตบางราย เช่น PowerColor ซึ่งได้ยืนยันว่า สินค้าจากล็อตสองจะมีราคาสูงขึ้น และไม่สามารถขายในราคามาตรฐานได้อีก ปัจจุบัน RX 9070 มีราคาถูกกว่า RX 9070 XT เพียง $50 (XT ราคา $599) การที่ RX 9070 มีราคาที่ใกล้เคียงกับ XT ทำให้ความน่าสนใจลดลง หากเกมเมอร์พลาดโอกาสล็อตแรกในราคา $549 ก็อาจต้องจ่ายแพงขึ้น ซึ่งในกรณีนี้ RX 9070 XT อาจดูคุ้มค่ากว่า เกมเมอร์ที่ต้องการ RX 9070 ในราคามาตรฐานควรรีบตัดสินใจซื้อในล็อตแรกก่อนที่ราคาจะปรับขึ้น การตั้งราคาของ RX 9070 ที่ต่ำกว่า NVIDIA RTX ซีรีส์ 50 แสดงให้เห็นว่า AMD พยายามแข่งขันในตลาดการ์ดจอกลุ่มราคาประหยัด แต่นโยบายการปรับราคานี้อาจสร้างความสับสนและส่งผลกระทบต่อความไว้วางใจของผู้บริโภคในระยะยาว การ์ดจอ RX 9070 รุ่นแรกในราคาสุดคุ้มนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจสำหรับเกมเมอร์ที่มองหาประสิทธิภาพสูงในราคาสมเหตุสมผล หากคุณสนใจและอยากเป็นเจ้าของ อย่าลืมติดตามร้านค้าต่าง ๆ ที่ยังมีล็อตแรกเหลืออยู่ https://www.techradar.com/computing/gpu/bad-news-pc-gamers-it-seems-amds-aggressively-low-price-for-its-radeon-rx-9070-gpu-will-only-be-for-a-limited-time
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จะยกเว้นบรรดาผู้ผลิตรถยนต์จากมาตรการรีดภาษี 25% สินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกเป็นเวลา 1 เดือน ตราบใดที่พวกเขาปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเสรีที่มีอยู่ในปัจจุบัน จากการเปิดเผยของทำเนียบขาว
    .
    นกอจากนี้ ทำเนียบขาวยังเผยด้วยว่าประธานาธิบดีทรัมป์ เปิดกว้างสำหรับพิจารณามอบข้อยกเว้นจากการรีดภาษีสำหรับสินค้าอื่นๆ ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อวันอังคาร (4 มี.ค.) ที่ผ่านมา
    .
    อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ แสดงจุดยืนว่าเขายังไม่ล้มเลิกสงครามการค้ากับแคนาดาและเม็กซิโก ในขณะที่เขาพยายามกดดันทั้ง 2 ประเทศ ที่ปราบปรามการลักลอบขนยาเฟนทานิล ทั้งนี้หลังจากพุดคุยทางโทรศัพท์กับ จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ทรัมป์บอกว่าเขาไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ดีขึ้นแล้วหรือไม่
    .
    "เขาบอกว่ามันดีขึ้นแล้ว แต่ผมบอกกลับไปว่า มันยังไม่เพียงพอ" ทรัมป์เขียนบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง ส่วนทำเนียบนายกรัฐมนตรีแคนาดาระบุว่า "การพูดคุยทางโทรศัพท์จบลงด้วยรูปแบบความเป็นมิตร!" พร้อมบอกว่าจะมีการเดินหน้าเจรจากันต่อไป
    .
    ข้อยกเว้นจากการถูกรีดภาษี กระตุ้นให้บรรดาหุ้นยานยนต์ฟื้นตัวถ้วนหน้า หลังจากความตึงเครียดทางการค้าที่ก่อความไม่แน่นอนแก่เหล่าผู้ประกอบการสหรัฐฯ และกัดเซาะความเชื่อมั่นผู้บริโภค ได้นำมาซึ่งแรงขายในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
    .
    ความเคลื่อนไหวยกเว้นภาษีเป็นเวลา 1 เดือน สำหรับรถยนต์และรถกระบะที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ในเนื้อหาของข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา ตามกรอบของทรัมป์ จะเป็นประโยชน์กับฟอร์ดและจีเอ็ม 2 ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกา ตามความเห็นของนักวิเคราะห์
    .
    ขณะเดียวกัน ทรัมป์ อาจละเว้นรีดภาษี 10% พลังงานนำเข้าจากแคนาดา อย่างเช่นน้ำมันดิบและเบนซิน ที่ปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเสรีที่มีชื่อว่า USMCA
    .
    คำขู่รีดภาษีของทรัมป์ ก่อความเสียหายร้ายแรงในความสัมพันธ์ระหว่าง 3 ชาติคู่หูทางการค้า แคนาดาตอบโต้ด้วยว่าการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ อย่างเจาะจง ส่วน เม็กซิโก ก็ประกาศแก้แค้นเช่นกัน
    .
    การรีดภาษีเสี่ยงบั่นทอนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของแคนาดา และยิ่งไปกว่านั้นอาจโหมกระพือภาวะถดถอย เนื่องจากประเทศแห่งนี้พึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ ในการส่งออก คิดเป็นสัดส่วนถึง 75% และนำเข้าสินค้าจากอเมริกา คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของสินค้านำเข้าทั้งหมด
    .
    ความตึงเครียดทางการค้าอาจก่อความเจ็บปวดแก่สหรัฐฯ เช่นกัน จากข้อมูลใหม่ที่เผยแพร่ในวันพุธ (5 มี.ค.) พบว่าการเติบโตของการจ้างงานกำลังชะลอตัว เช่นเดียวกับค่าจ้างสำหรับแรงงานที่เปลี่ยนงานใหม่ก็ลดลง ขณะที่รายงานของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) พบความไม่แน่ใจอย่างกว้างขวางในหมู่ภาคธุรกิจทั่วอเมริกาต่อนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ และบางธุรกิจถึงขั้นตัดสินใจปรับขึ้นราคาไปแล้ว โดยไม่รอให้มาตรการรีดภาษีมีผลบังคับใช้
    .
    นอกจากแคนาดาและเม็กซิโกแล้ว ทรัมป์ยังกำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 10% กระตุ้นให้ปักกิ่งตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมเช่นกัน
    .
    ถ้อยแถลงเกี่ยวกับการยกเว้นภาษี มีขึ้น 1 วันหลังจากทรัมป์พูดคุยทางโทรศัพท์กับซีอีโอของฟอร์ด จีเอ็ม และสเตลแลนทิส
    .
    รถยนต์ที่ผลิตโดยทั้ง 3 บริษัท จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของ USMCA ที่กำหนดให้ต้องมีชิ้นส่วนที่ผลิตในอเมริกาเหนือ 75% เพื่อที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ตลาดอเมริกา โดยไม่จำเป็นต้องเสียภาษีใดๆ
    .
    นอกจากนี้ กฎเกณฑ์ดังกล่าวยังบังคับให้ส่วนประกอบ 40% ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลต้องผลิตในสหรัฐฯ หรือแคนาดา และต้องเป็นชิ้นส่วนหลักๆ ในนั้นรวมถึงเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ ตัวถังและโครงช่วงล่าง ในขณะที่รถกระบะนั้น กำหนดไว้ที่ 45%
    .
    แหล่งข่าวในภาคอุตสาหกรรมเผยว่าบรรดาผู้ผลิตรถยนต์สนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนของสหรัฐฯ แต่ต้องการความแน่นอนเกี่ยวกับนโยบายรีดภาษี เช่นเดียวกับกฎเกณฑ์ด้านมลพิษ ก่อนดำเนินการเปลี่ยนแปลงใดๆ
    .
    มาตรการยกเว้นนี้ ยังก่อประโยชน์กับรถยนต์แบรนด์ต่างชาติบางส่วน ที่มีฐานการผลิตขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ในนั้นรวมถึงฮอนด้าและโตโยต้า แต่คู่แข่งบางแห่งที่ไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกรีดภาษี 25% เต็มจำนวน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021625
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จะยกเว้นบรรดาผู้ผลิตรถยนต์จากมาตรการรีดภาษี 25% สินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกเป็นเวลา 1 เดือน ตราบใดที่พวกเขาปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเสรีที่มีอยู่ในปัจจุบัน จากการเปิดเผยของทำเนียบขาว . นกอจากนี้ ทำเนียบขาวยังเผยด้วยว่าประธานาธิบดีทรัมป์ เปิดกว้างสำหรับพิจารณามอบข้อยกเว้นจากการรีดภาษีสำหรับสินค้าอื่นๆ ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อวันอังคาร (4 มี.ค.) ที่ผ่านมา . อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ แสดงจุดยืนว่าเขายังไม่ล้มเลิกสงครามการค้ากับแคนาดาและเม็กซิโก ในขณะที่เขาพยายามกดดันทั้ง 2 ประเทศ ที่ปราบปรามการลักลอบขนยาเฟนทานิล ทั้งนี้หลังจากพุดคุยทางโทรศัพท์กับ จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ทรัมป์บอกว่าเขาไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ดีขึ้นแล้วหรือไม่ . "เขาบอกว่ามันดีขึ้นแล้ว แต่ผมบอกกลับไปว่า มันยังไม่เพียงพอ" ทรัมป์เขียนบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง ส่วนทำเนียบนายกรัฐมนตรีแคนาดาระบุว่า "การพูดคุยทางโทรศัพท์จบลงด้วยรูปแบบความเป็นมิตร!" พร้อมบอกว่าจะมีการเดินหน้าเจรจากันต่อไป . ข้อยกเว้นจากการถูกรีดภาษี กระตุ้นให้บรรดาหุ้นยานยนต์ฟื้นตัวถ้วนหน้า หลังจากความตึงเครียดทางการค้าที่ก่อความไม่แน่นอนแก่เหล่าผู้ประกอบการสหรัฐฯ และกัดเซาะความเชื่อมั่นผู้บริโภค ได้นำมาซึ่งแรงขายในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา . ความเคลื่อนไหวยกเว้นภาษีเป็นเวลา 1 เดือน สำหรับรถยนต์และรถกระบะที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ในเนื้อหาของข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา ตามกรอบของทรัมป์ จะเป็นประโยชน์กับฟอร์ดและจีเอ็ม 2 ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกา ตามความเห็นของนักวิเคราะห์ . ขณะเดียวกัน ทรัมป์ อาจละเว้นรีดภาษี 10% พลังงานนำเข้าจากแคนาดา อย่างเช่นน้ำมันดิบและเบนซิน ที่ปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเสรีที่มีชื่อว่า USMCA . คำขู่รีดภาษีของทรัมป์ ก่อความเสียหายร้ายแรงในความสัมพันธ์ระหว่าง 3 ชาติคู่หูทางการค้า แคนาดาตอบโต้ด้วยว่าการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ อย่างเจาะจง ส่วน เม็กซิโก ก็ประกาศแก้แค้นเช่นกัน . การรีดภาษีเสี่ยงบั่นทอนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของแคนาดา และยิ่งไปกว่านั้นอาจโหมกระพือภาวะถดถอย เนื่องจากประเทศแห่งนี้พึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ ในการส่งออก คิดเป็นสัดส่วนถึง 75% และนำเข้าสินค้าจากอเมริกา คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของสินค้านำเข้าทั้งหมด . ความตึงเครียดทางการค้าอาจก่อความเจ็บปวดแก่สหรัฐฯ เช่นกัน จากข้อมูลใหม่ที่เผยแพร่ในวันพุธ (5 มี.ค.) พบว่าการเติบโตของการจ้างงานกำลังชะลอตัว เช่นเดียวกับค่าจ้างสำหรับแรงงานที่เปลี่ยนงานใหม่ก็ลดลง ขณะที่รายงานของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) พบความไม่แน่ใจอย่างกว้างขวางในหมู่ภาคธุรกิจทั่วอเมริกาต่อนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ และบางธุรกิจถึงขั้นตัดสินใจปรับขึ้นราคาไปแล้ว โดยไม่รอให้มาตรการรีดภาษีมีผลบังคับใช้ . นอกจากแคนาดาและเม็กซิโกแล้ว ทรัมป์ยังกำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 10% กระตุ้นให้ปักกิ่งตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมเช่นกัน . ถ้อยแถลงเกี่ยวกับการยกเว้นภาษี มีขึ้น 1 วันหลังจากทรัมป์พูดคุยทางโทรศัพท์กับซีอีโอของฟอร์ด จีเอ็ม และสเตลแลนทิส . รถยนต์ที่ผลิตโดยทั้ง 3 บริษัท จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของ USMCA ที่กำหนดให้ต้องมีชิ้นส่วนที่ผลิตในอเมริกาเหนือ 75% เพื่อที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ตลาดอเมริกา โดยไม่จำเป็นต้องเสียภาษีใดๆ . นอกจากนี้ กฎเกณฑ์ดังกล่าวยังบังคับให้ส่วนประกอบ 40% ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลต้องผลิตในสหรัฐฯ หรือแคนาดา และต้องเป็นชิ้นส่วนหลักๆ ในนั้นรวมถึงเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ ตัวถังและโครงช่วงล่าง ในขณะที่รถกระบะนั้น กำหนดไว้ที่ 45% . แหล่งข่าวในภาคอุตสาหกรรมเผยว่าบรรดาผู้ผลิตรถยนต์สนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนของสหรัฐฯ แต่ต้องการความแน่นอนเกี่ยวกับนโยบายรีดภาษี เช่นเดียวกับกฎเกณฑ์ด้านมลพิษ ก่อนดำเนินการเปลี่ยนแปลงใดๆ . มาตรการยกเว้นนี้ ยังก่อประโยชน์กับรถยนต์แบรนด์ต่างชาติบางส่วน ที่มีฐานการผลิตขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ในนั้นรวมถึงฮอนด้าและโตโยต้า แต่คู่แข่งบางแห่งที่ไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกรีดภาษี 25% เต็มจำนวน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021625 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    17
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2445 มุมมอง 0 รีวิว
  • แพงทั้งแผ่นดิน!!! น้ำมันปาล์มราคาพุ่ง ร้านลูกชิ้นยืนกินอั้นไม่ไหว ขอปรับขึ้นราคา
    https://www.thai-tai.tv/news/17387/
    แพงทั้งแผ่นดิน!!! น้ำมันปาล์มราคาพุ่ง ร้านลูกชิ้นยืนกินอั้นไม่ไหว ขอปรับขึ้นราคา https://www.thai-tai.tv/news/17387/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • Acer กลายเป็นผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายแรกที่ประกาศเพิ่มราคาผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้บริโภคขึ้น 10% เนื่องจากผลกระทบจากภาษีศุลกากรของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ โดยบริษัทอื่นๆ เช่น ASUS, HP และ Dell คาดว่าจะทำตามอย่างแน่นอน

    Jason Chen ซีอีโอและประธานของ Acer เปิดเผยว่าภาษีศุลกากรที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดขึ้นสำหรับสินค้านำเข้าจากจีนทำให้ต้นทุนการผลิตในจีนเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นบริษัทจึงต้องปรับขึ้นราคา 10% สำหรับสินค้าทุกชนิดที่ผลิตในจีน การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลบังคับใช้ประมาณเดือนมีนาคม 2025

    เหตุการณ์นี้ทำให้ Acer เป็นบริษัทแรกในกลุ่มผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ที่ประกาศปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์ และคาดว่าบริษัทอื่นๆ เช่น ASUS, Dell และ HP จะทำตาม

    เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีที่อาจสูงขึ้นอีก Acer ยังมีแผนย้ายโรงงานผลิตจากจีนไปยังประเทศอื่นๆ โดยหนึ่งในตัวเลือกคือสหรัฐฯ แม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันในขณะนี้

    สำหรับผู้บริโภค ราคาผลิตภัณฑ์ของ Acer จะยังไม่ปรับขึ้นทันที โดยจะใช้เวลาสักระยะจนกว่าสินค้าใหม่จะเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน การปรับขึ้นราคาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นประมาณเดือนมีนาคม 2025 เมื่อสินค้าที่มีภาษีสูงเข้าสู่ช่องทางการจัดจำหน่าย

    นอกจากนี้ยังมีข่าวว่า บริษัทอื่นๆ เช่น Microsoft, HP และ Dell ได้เร่งการผลิตก่อนที่รัฐบาลทรัมป์จะเข้ามาเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่รุนแรง ดังนั้นบริษัทเหล่านี้อาจพยายามใช้ประโยชน์จากผู้บริโภคโดยการเพิ่มราคาสินค้าคงคลังที่มีอยู่

    การที่ภาษีศุลกากรทำให้ราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการส่งสัญญาณถึงความสำคัญของการปรับตัวในธุรกิจโลกให้ทันสถานการณ์และข้อกำหนดทางการค้า

    https://wccftech.com/acer-becomes-the-first-manufacturer-to-announce-10-price-increase-amid-trump-tariffs/
    Acer กลายเป็นผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายแรกที่ประกาศเพิ่มราคาผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้บริโภคขึ้น 10% เนื่องจากผลกระทบจากภาษีศุลกากรของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ โดยบริษัทอื่นๆ เช่น ASUS, HP และ Dell คาดว่าจะทำตามอย่างแน่นอน Jason Chen ซีอีโอและประธานของ Acer เปิดเผยว่าภาษีศุลกากรที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดขึ้นสำหรับสินค้านำเข้าจากจีนทำให้ต้นทุนการผลิตในจีนเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นบริษัทจึงต้องปรับขึ้นราคา 10% สำหรับสินค้าทุกชนิดที่ผลิตในจีน การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลบังคับใช้ประมาณเดือนมีนาคม 2025 เหตุการณ์นี้ทำให้ Acer เป็นบริษัทแรกในกลุ่มผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ที่ประกาศปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์ และคาดว่าบริษัทอื่นๆ เช่น ASUS, Dell และ HP จะทำตาม เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีที่อาจสูงขึ้นอีก Acer ยังมีแผนย้ายโรงงานผลิตจากจีนไปยังประเทศอื่นๆ โดยหนึ่งในตัวเลือกคือสหรัฐฯ แม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันในขณะนี้ สำหรับผู้บริโภค ราคาผลิตภัณฑ์ของ Acer จะยังไม่ปรับขึ้นทันที โดยจะใช้เวลาสักระยะจนกว่าสินค้าใหม่จะเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน การปรับขึ้นราคาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นประมาณเดือนมีนาคม 2025 เมื่อสินค้าที่มีภาษีสูงเข้าสู่ช่องทางการจัดจำหน่าย นอกจากนี้ยังมีข่าวว่า บริษัทอื่นๆ เช่น Microsoft, HP และ Dell ได้เร่งการผลิตก่อนที่รัฐบาลทรัมป์จะเข้ามาเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่รุนแรง ดังนั้นบริษัทเหล่านี้อาจพยายามใช้ประโยชน์จากผู้บริโภคโดยการเพิ่มราคาสินค้าคงคลังที่มีอยู่ การที่ภาษีศุลกากรทำให้ราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการส่งสัญญาณถึงความสำคัญของการปรับตัวในธุรกิจโลกให้ทันสถานการณ์และข้อกำหนดทางการค้า https://wccftech.com/acer-becomes-the-first-manufacturer-to-announce-10-price-increase-amid-trump-tariffs/
    WCCFTECH.COM
    Acer Becomes The First Manufacturer To Announce 10% Price Increase On Consumer Products Amid Trump Tariffs; ASUS, HP & Dell To Likely Follow
    Acer has become one of the first hardware manufacturers to show the influence of Trump tariffs on consumer product pricing.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อเร็วๆ นี้ มีข่าวว่าหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ซื้อกิจการอยู่กำลังแข่งขันเพื่อซื้อกิจการของบริษัท Trend Micro บริษัทที่ทำงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของญี่ปุ่น ซึ่งมีมูลค่าตลาดประมาณ 1.32 ล้านล้านเยน (8.54 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์ออกนามกล่าวว่า บริษัท Bain Capital, Advent International, EQT AB รวมถึง KKR ได้แสดงความสนใจในการเข้าซื้อกิจการนี้

    หุ้นของ Trend Micro ในตลาดโตเกียวเพิ่มขึ้นมากกว่า 12% หลังจากมีข่าวการสนใจซื้อกิจการออกมา ความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการนี้จะเป็นหนึ่งในการซื้อกิจการที่ใหญ่ที่สุดในช่วงนี้ และส่งสัญญาณว่า การซื้อกิจการด้วยการกู้ยืมเงินอาจจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งหลังจากที่ถูกกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

    Trend Micro ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 1988 โดยสามผู้บริหารในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ได้แก่ Steve Chang, Jenny Chang และ Eva Chen บริษัทเริ่มต้นจากการทำซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส และได้ขยายกิจการมาสู่การให้บริการด้านความปลอดภัยของระบบคลาวด์ เครือข่าย และอุปกรณ์ปลายทาง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/13/exclusive-buyout-firms-vie-for-cybersecurity-firm-trend-micro-sources-say
    เมื่อเร็วๆ นี้ มีข่าวว่าหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ซื้อกิจการอยู่กำลังแข่งขันเพื่อซื้อกิจการของบริษัท Trend Micro บริษัทที่ทำงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของญี่ปุ่น ซึ่งมีมูลค่าตลาดประมาณ 1.32 ล้านล้านเยน (8.54 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์ออกนามกล่าวว่า บริษัท Bain Capital, Advent International, EQT AB รวมถึง KKR ได้แสดงความสนใจในการเข้าซื้อกิจการนี้ หุ้นของ Trend Micro ในตลาดโตเกียวเพิ่มขึ้นมากกว่า 12% หลังจากมีข่าวการสนใจซื้อกิจการออกมา ความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการนี้จะเป็นหนึ่งในการซื้อกิจการที่ใหญ่ที่สุดในช่วงนี้ และส่งสัญญาณว่า การซื้อกิจการด้วยการกู้ยืมเงินอาจจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งหลังจากที่ถูกกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Trend Micro ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 1988 โดยสามผู้บริหารในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ได้แก่ Steve Chang, Jenny Chang และ Eva Chen บริษัทเริ่มต้นจากการทำซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส และได้ขยายกิจการมาสู่การให้บริการด้านความปลอดภัยของระบบคลาวด์ เครือข่าย และอุปกรณ์ปลายทาง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/13/exclusive-buyout-firms-vie-for-cybersecurity-firm-trend-micro-sources-say
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Exclusive-Buyout firms vie for cybersecurity firm Trend Micro, sources say
    NEW YORK (Reuters) -Bain Capital, Advent International and EQT AB are among the private equity firms competing to acquire Japanese cybersecurity firm Trend Micro, which has a market value of 1.32 trillion yen ($8.54 billion), according to people familiar with the matter.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • "หมาป่ากับลูกแกะ"

    - สหรัฐส่งผู้อพยพผิดกฎหมายชาวโคลอมเบียกลับประเทศด้วยเครื่องบินขนส่งทหาร C- 17 จำนวน 2 ลำ แต่ละลำมีผู้อพยพประมาณ 80 คนต่อลำ แต่ถูกประธานาธิบดีกุสตาโว เปตรอฟแห่งโคลัมเบียปฏิเสธการลงจอด ทำให้ต้องบินกลับสหรัฐ

    - เปตรอฟอ้างเหตุผลว่า ผู้อพยพเหล่านั้นไม่ควรถูกปฏิบัติเยี่ยงอาชญากรรุนแรง ที่ต้องใส่กุญแจมือ บางรายถึงกับตีตรวนที่ขา และการใช้เครื่องบินทหารไม่มีประเทศไหนทำกัน การส่งผู้อพยพกลับควรเป็นไปในช่องทางการทูต

    - โดนัลด์ ทรัมป์ โกรธจัด และถือว่านี่เป็นการท้าทายอำนาจสหรัฐ ประกาศภาษีนำเข้า 25% จะถูกปรับขึ้นเป็น 50% ใน 1 สัปดาห์

    - มีคำสั่งปิดแผนกวีซ่าที่สถานทูตสหรัฐฯ ในเมืองหลวงของโคลอมเบีย เพื่อยกเลิกการเดินทางเข้าสหรัฐ

    - เปโตรตอบโต้ทรัมป์ ด้วยการโพสต์ท้าทายบน "X" โดยขู่ว่าจะตอบโต้ภาษีของทรัมป์ในลักษณะเดียวกัน “ผมรับแจ้งว่าคุณกำลังกำหนดภาษี เป็น 50% และผมจะทำเช่นเดียวกัน”

    - แม้ว่าเปโตรจะออกแถลงการณ์ตอบโต้ทรัมป์ ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลโคลอมเบียกำลังเร่งเจรจากับสหรัฐอย่างจริงจังเพื่อหาข้อตกลงในการรับผู้อพยพกลับโคลอมเบีย

    - หลังการเจรจาสิ้นสุดลง ประธานาธิบดีโคลอมเบีย "ยอมจำนน" โดยประกาศส่งเครื่องบินจำนวน 2 ลำไปรับผู้อพยพทั้งหมด และทำเนียบขาวยืนยันโคลอมเบียตกลงตามเงื่อนไขทั้งหมดของทรัมป์

    - และไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ประธานาธิบดีกุสตาโว เปตรอฟแห่งโคลัมเบียยอมจำนนต่อภาษีศุลกากรและข้อจำกัดด้านวีซ่าของทรัมป์ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์ภาพตัวเองสวมหมวกคาวบอยลงโซเชียล (รูป-1)

    "หมาป่ากับลูกแกะ" - สหรัฐส่งผู้อพยพผิดกฎหมายชาวโคลอมเบียกลับประเทศด้วยเครื่องบินขนส่งทหาร C- 17 จำนวน 2 ลำ แต่ละลำมีผู้อพยพประมาณ 80 คนต่อลำ แต่ถูกประธานาธิบดีกุสตาโว เปตรอฟแห่งโคลัมเบียปฏิเสธการลงจอด ทำให้ต้องบินกลับสหรัฐ - เปตรอฟอ้างเหตุผลว่า ผู้อพยพเหล่านั้นไม่ควรถูกปฏิบัติเยี่ยงอาชญากรรุนแรง ที่ต้องใส่กุญแจมือ บางรายถึงกับตีตรวนที่ขา และการใช้เครื่องบินทหารไม่มีประเทศไหนทำกัน การส่งผู้อพยพกลับควรเป็นไปในช่องทางการทูต - โดนัลด์ ทรัมป์ โกรธจัด และถือว่านี่เป็นการท้าทายอำนาจสหรัฐ ประกาศภาษีนำเข้า 25% จะถูกปรับขึ้นเป็น 50% ใน 1 สัปดาห์ - มีคำสั่งปิดแผนกวีซ่าที่สถานทูตสหรัฐฯ ในเมืองหลวงของโคลอมเบีย เพื่อยกเลิกการเดินทางเข้าสหรัฐ - เปโตรตอบโต้ทรัมป์ ด้วยการโพสต์ท้าทายบน "X" โดยขู่ว่าจะตอบโต้ภาษีของทรัมป์ในลักษณะเดียวกัน “ผมรับแจ้งว่าคุณกำลังกำหนดภาษี เป็น 50% และผมจะทำเช่นเดียวกัน” - แม้ว่าเปโตรจะออกแถลงการณ์ตอบโต้ทรัมป์ ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลโคลอมเบียกำลังเร่งเจรจากับสหรัฐอย่างจริงจังเพื่อหาข้อตกลงในการรับผู้อพยพกลับโคลอมเบีย - หลังการเจรจาสิ้นสุดลง ประธานาธิบดีโคลอมเบีย "ยอมจำนน" โดยประกาศส่งเครื่องบินจำนวน 2 ลำไปรับผู้อพยพทั้งหมด และทำเนียบขาวยืนยันโคลอมเบียตกลงตามเงื่อนไขทั้งหมดของทรัมป์ - และไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ประธานาธิบดีกุสตาโว เปตรอฟแห่งโคลัมเบียยอมจำนนต่อภาษีศุลกากรและข้อจำกัดด้านวีซ่าของทรัมป์ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์ภาพตัวเองสวมหมวกคาวบอยลงโซเชียล (รูป-1)
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
  • ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามคาด ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายขึ้นไปอยู่ที่ 0.5% สูงสุดนับจากปีค.ศ. 2008 เป็นการขึ้นดอกเบี้ยแรงสุดนับจากปี 2007
    ปัจจัยที่ทำให้ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้แก่ สัญญาณการปรับขึ้นค่าแรงที่มีแนวโน้มจะดำรงต่อเนื่อง
    คณะกรรมการ ระบุ ระดับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังคงต่ำมาก (ติดลบ) แม้จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาแล้ว จะยังคงนโยบายปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไปถ้าเศรษฐกิจและระดับราคายังเดินหน้าไปตามคาดการณ์ของธนาคารกลาง และจะดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับเป้าหมายคือ ทำให้เงินเฟ้อแตะระดับเป้าหมายที่ 2% อย่างมีเสถียรภาพ ขณะนี้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวระดับปานกลางแต่มีความอ่อนแออยู่ เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากราคาสินค้านำเข้าราคาสูงเนื่องจากการอ่อนค่าของค่าเงินเยนและราคาข้าวที่สูงขึ้น

    ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นนาย Ueda ออกแนวเหยี่ยวมากกว่าที่เคย
    หลังประกาศ ค่าเยนแข็งค่าขึ้นแตะ 155.23 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ

    ............................
    จีน
    ปี 2024 ธนาคารกลางจีน (PBoC) เก็บทองคำเข้าทุนสำรองเพิ่ม 44.17 ตัน ทำให้ระดับการถือครองโดยรวมอยู่ที่ 2,279.57 ตัน ทำให้จีนเป็นประเทศที่ถือครองทองคำมากสูดเป็นลำดับที่ 6 ของโลก
    และปี 2024 จีนมีการผลิตทองคำได้ 377.24 ตัน การบริโภคแตะ 985.31 ตัน นำเข้าทองคำทั้งสิ้น 156.864 ตัน เพิ่มขึ้น 8.83% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
    #เศรษฐกิจ #ทอง #gold

    ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามคาด ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายขึ้นไปอยู่ที่ 0.5% สูงสุดนับจากปีค.ศ. 2008 เป็นการขึ้นดอกเบี้ยแรงสุดนับจากปี 2007 ปัจจัยที่ทำให้ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้แก่ สัญญาณการปรับขึ้นค่าแรงที่มีแนวโน้มจะดำรงต่อเนื่อง คณะกรรมการ ระบุ ระดับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังคงต่ำมาก (ติดลบ) แม้จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาแล้ว จะยังคงนโยบายปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไปถ้าเศรษฐกิจและระดับราคายังเดินหน้าไปตามคาดการณ์ของธนาคารกลาง และจะดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับเป้าหมายคือ ทำให้เงินเฟ้อแตะระดับเป้าหมายที่ 2% อย่างมีเสถียรภาพ ขณะนี้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวระดับปานกลางแต่มีความอ่อนแออยู่ เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากราคาสินค้านำเข้าราคาสูงเนื่องจากการอ่อนค่าของค่าเงินเยนและราคาข้าวที่สูงขึ้น ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นนาย Ueda ออกแนวเหยี่ยวมากกว่าที่เคย หลังประกาศ ค่าเยนแข็งค่าขึ้นแตะ 155.23 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ............................ จีน ปี 2024 ธนาคารกลางจีน (PBoC) เก็บทองคำเข้าทุนสำรองเพิ่ม 44.17 ตัน ทำให้ระดับการถือครองโดยรวมอยู่ที่ 2,279.57 ตัน ทำให้จีนเป็นประเทศที่ถือครองทองคำมากสูดเป็นลำดับที่ 6 ของโลก และปี 2024 จีนมีการผลิตทองคำได้ 377.24 ตัน การบริโภคแตะ 985.31 ตัน นำเข้าทองคำทั้งสิ้น 156.864 ตัน เพิ่มขึ้น 8.83% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า #เศรษฐกิจ #ทอง #gold
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 449 มุมมอง 0 รีวิว
  • บอร์ดประกันสังคมเห็นชอบ ปรับเพดานค่าจ้าง ส่งเงินสมทบ บันได 3 ขั้น สูงสุด 23,000 บาท ตั้งแต่ปี 2569-2575 เป็นต้นไป เตรียมเข้าขั้นตอน ชง ครม. ก่อนเริ่มใช้ปี 2569

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 มีการประชุมคณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา (ชุดที่ 14) ครั้งที่ 1/2568 หนึ่งในวาระที่น่าสนใจคือการรับทราบ สรุปผลการรับฟังความคิดเห็นการปรับปรุงเพดานค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม และเห็นชอบหลักการของร่างกฎกระกรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. …. และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของการเสนอร่างกฎหมายต่อไป

    การปรับปรุงเพดานค่าจ้าง เพื่อคำนวณเงินสมทบประกันสังคม จะเป็นรูปแบบบันได 3 ขั้น จากเพดานค่าจ้างสูงสุดเดิม 15,000 บาท เป็น 17,500 บาทในปี 2569-2571 จากนั้นปรับเป็น 20,000 บาทในปี 2572-2574 และสูงสุด 23,000 บาท ตั้งแต่ปี 2575 เป็นต้นไป โดยก่อนหน้านี้มีการเปิดรับฟังความเห็นประเด็นดังกล่าวจากภาคส่วนต่าง ๆ และผู้แสดงความเห็นมากกว่า 2 แสนคน ในจำนวนดังกล่าวมีผู้เห็นด้วยในสัดส่วนถึง 95%

    นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดประกันสังคม) กล่าวว่า หลังจากบอร์ดเห็นชอบแล้ว จะส่งกฎกระทรวงเข้าคณะกรรมการกฎหมายของกระทรวงแรงงาน ก่อนนำเสนอต่อ รมว.แรงงาน พิจารณา และนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ต่อไป ซึ่งคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายใน 4-5 เดือนนี้ และจะเริ่มดำเนินการในปี 2569 ซึ่งกฎกระทรวงต้องออกมาก่อนการบังคับใช้ 6 เดือน

    สำหรับสิทธิประโยชน์ จะมีการปรับเพิ่มขึ้นตามการปรับเพดานค่าจ้างที่ปรับขึ้นแบบขั้นบันได ดังนี้

    ปี 2569-2571

    ส่งเงินสมทบสูงสุด 875 บาทต่อเดือน
    เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 8,750 บาทต่อเดือน (291 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 52,500 บาท)
    เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 26,250 บาทต่อครั้ง
    เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 8,750 บาทต่อเดือน
    เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 105,000 บาท
    เงินทดแทนกรณีว่างงาน 8,750 บาทต่อเดือน
    เงินบำนาญ สูงสุด 6,125 บาทต่อเดือน

    ปี 2572-2574

    ส่งเงินสมทบสูงสุด 1,000 บาทต่อเดือน
    เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 10,000 บาทต่อเดือน (333 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 60,000 บาท)
    เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 30,000 บาทต่อครั้ง
    เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 10,000 บาทต่อเดือน
    เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 120,000 บาท
    เงินทดแทนกรณีว่างงาน 10,000 บาทต่อเดือน
    เงินบำนาญ สูงสุด 7,000 บาทต่อเดือน

    ปี 2575 เป็นต้นไป

    ส่งเงินสมทบสูงสุด 1,150 บาทต่อเดือน
    เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 11,500 บาทต่อเดือน (383 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 69,000 บาท)
    เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 34,500 บาทต่อครั้ง
    เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 11,500 บาทต่อเดือน
    เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 138,000 บาท
    เงินทดแทนกรณีว่างงาน 11,500 บาทต่อเดือน
    เงินบำนาญ สูงสุด 8,050 บาทต่อเดือน

    ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
    https://www.prachachat.net/sd-plus/sdplus-hr/news-1739962
    บอร์ดประกันสังคมเห็นชอบ ปรับเพดานค่าจ้าง ส่งเงินสมทบ บันได 3 ขั้น สูงสุด 23,000 บาท ตั้งแต่ปี 2569-2575 เป็นต้นไป เตรียมเข้าขั้นตอน ชง ครม. ก่อนเริ่มใช้ปี 2569 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 มีการประชุมคณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา (ชุดที่ 14) ครั้งที่ 1/2568 หนึ่งในวาระที่น่าสนใจคือการรับทราบ สรุปผลการรับฟังความคิดเห็นการปรับปรุงเพดานค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม และเห็นชอบหลักการของร่างกฎกระกรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. …. และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของการเสนอร่างกฎหมายต่อไป การปรับปรุงเพดานค่าจ้าง เพื่อคำนวณเงินสมทบประกันสังคม จะเป็นรูปแบบบันได 3 ขั้น จากเพดานค่าจ้างสูงสุดเดิม 15,000 บาท เป็น 17,500 บาทในปี 2569-2571 จากนั้นปรับเป็น 20,000 บาทในปี 2572-2574 และสูงสุด 23,000 บาท ตั้งแต่ปี 2575 เป็นต้นไป โดยก่อนหน้านี้มีการเปิดรับฟังความเห็นประเด็นดังกล่าวจากภาคส่วนต่าง ๆ และผู้แสดงความเห็นมากกว่า 2 แสนคน ในจำนวนดังกล่าวมีผู้เห็นด้วยในสัดส่วนถึง 95% นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดประกันสังคม) กล่าวว่า หลังจากบอร์ดเห็นชอบแล้ว จะส่งกฎกระทรวงเข้าคณะกรรมการกฎหมายของกระทรวงแรงงาน ก่อนนำเสนอต่อ รมว.แรงงาน พิจารณา และนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ต่อไป ซึ่งคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายใน 4-5 เดือนนี้ และจะเริ่มดำเนินการในปี 2569 ซึ่งกฎกระทรวงต้องออกมาก่อนการบังคับใช้ 6 เดือน สำหรับสิทธิประโยชน์ จะมีการปรับเพิ่มขึ้นตามการปรับเพดานค่าจ้างที่ปรับขึ้นแบบขั้นบันได ดังนี้ ปี 2569-2571 ส่งเงินสมทบสูงสุด 875 บาทต่อเดือน เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 8,750 บาทต่อเดือน (291 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 52,500 บาท) เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 26,250 บาทต่อครั้ง เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 8,750 บาทต่อเดือน เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 105,000 บาท เงินทดแทนกรณีว่างงาน 8,750 บาทต่อเดือน เงินบำนาญ สูงสุด 6,125 บาทต่อเดือน ปี 2572-2574 ส่งเงินสมทบสูงสุด 1,000 บาทต่อเดือน เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 10,000 บาทต่อเดือน (333 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 60,000 บาท) เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 30,000 บาทต่อครั้ง เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 10,000 บาทต่อเดือน เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 120,000 บาท เงินทดแทนกรณีว่างงาน 10,000 บาทต่อเดือน เงินบำนาญ สูงสุด 7,000 บาทต่อเดือน ปี 2575 เป็นต้นไป ส่งเงินสมทบสูงสุด 1,150 บาทต่อเดือน เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 11,500 บาทต่อเดือน (383 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 69,000 บาท) เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 34,500 บาทต่อครั้ง เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 11,500 บาทต่อเดือน เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 138,000 บาท เงินทดแทนกรณีว่างงาน 11,500 บาทต่อเดือน เงินบำนาญ สูงสุด 8,050 บาทต่อเดือน ที่มา ประชาชาติธุรกิจ https://www.prachachat.net/sd-plus/sdplus-hr/news-1739962
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 312 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐ
    ทรัมป์ขู่ปูตินให้รีบยุติสงครามกับยูเครน ถ้าไม่ยุติจะคว่ำบาตรครั้งใหม่
    ทรัมป์ 1.0 ไม่มีสงครามสู้รบ มีแต่ trade war ครั้งนี้มองว่าอาจจะเหมือนเดิม แต่อาจจะมีการเดินเกมเพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้สหรัฐเพิ่ม เช่น ความต้องการพื้นที่ greenland คลองปานามา

    Elon แฉ stargate Masayoshi Son (ที่จะเป็นประธานโครงการ) ไม่มีเงินลงทุนสูงตามที่โครงการต้องการ (หุ้นเทสล่า -2% เมื่อคืน สวนกับหุ้นอื่นในกลุ่ม MEG 7 อาจจะเกิดจากนโยบายทรัมป์ที่ยกเลิกคำสั่งใช้รถยนต์ไฟฟ้าของไบเดน และอาจจะประเด็นการออกมาแฉครั้งนี้)

    เจมี่ ไดมอน ผู้บริหาร JP Morgan: มองราคาหุ้นสหรัฐสูงเกิน แม้พื้นฐานหุ้นจะยังดี ความเสี่ยงเงินเฟ้อ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังอยู่ เตือนว่าท้ายสุดราคาหุ้นอาจจะกลับไปสะท้อนมูลค่าพื้นฐานที่แท้จริง (หุ้นตก)
    *ก่อนหน้านี้ เซียน Howard Mask, วอร์เรน ผ่าน เบิร์คไชน์ เตือนภาวะฟองสบู่

    ค่าเงินดอลลาร์ อ่อนค่า

    ทอง ราคาเพิ่มต่อ จากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ความเสี่ยงการเมืองของโลก ทองทะลุ $2720 มีโอกาสทดสอบ $2780, $2800 ถ้าผ่านเป้าทดสอบถัดไปคือ $3022/oz. แต่ต้องระวังปัจจัยความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์อาจจะลดลงจากนโยบายทรัมป์ที่ต้องการลดความร้อนแรงความขัดแย้งระหว่างประเทศ ดังนั้นปัจจัยสำคัญกับราคาทองคำจะโฟกัสที่การแข็งค่า-อ่อนค่าของดอลลาร์เป็นหลัก
    ทองไทย เพิ่มได้ไม่แรงเนื่องจากเงินบาทแข็งค่า รับ: 44,150, 44,000 บาท << 2 แนว, ต้าน: 44,450, 44,650 บาท << 2 แนว

    น้ำมัน ราคาลดลง รับแรงกดดันจากนโยบายทรัมป์ที่จะขยายการผลิตเพิ่มในสหรัฐ

    อัตราผลตอบแทน
    ...................................
    วันนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นประชุม ลุ้นนโยบายดอกเบี้ย (ปีที่แล้วจขึ้นดอกเบี้ย เกิด black monday) อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า มีโอกาสจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ จากค่าแรงงานขึ้นในทุกภาคส่วน
    .........................................................
    จีน ตลาดเงิน ตลาดทุน หยุดตรุษจีน 28 มค. - 4 กพ.
    ช่วงก่อนเข้าวันหยุดยาว PBoC (ธนาคารกลางจีน) จะอัดฉีดเงินเข้าระบบ เพื่อดูแลสภาพคล่อง เนื่องจาก

    1. ความต้องการเงินสดเพิ่ม คนจีนจะถอนเงินสดเพื่อใช้ในการเดินทาง ท่องเที่ยว ของขวัญ (อั่งเปา) (红包, hóngbāo)
    2. ความต้องการเงินทุนจากบริษัทต่าง ๆ ช่วงตรุษจีนเป็นช่วงที่บริษัทจ่ายโบนัสให้กับพนักงานก่อนวันหยุดยาว และอาจจะต้องจ่ายคืนเงินกู้ (ล่วงหน้า) ก่อนจะหยุดยาวด้วย
    3. สภาพคล่องธนาคารที่ตึง จากการถอนเงินสดที่เร่งตัวและการใช้จ่ายจากบริษัทเอกชน ทำให้สภาพคล่องของธนาคารมีภาวะตึง ทำให้ต้องการเงินทุนระยะสั้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของการดำเนินการและการให้กู้ยืม
    4. ป้องกันความผันผวนในตลาดเงิน เนื่องจากถ้าเกิดภาวะสภาพคล่องหายไปจากระบบ อัตรากู้ยืมระหว่างสถาบันการเงิน (เช่น SHIBOR) อาจจะพุ่งแรงกระทบเสถียรภาพของตลาดเงิน
    5. สนับสุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น ตรุษจีนเป็นเทศกาลหลักที่มียอดใช้จ่ายสูงและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเยอะ
    การดูแลภาพรวมสภาพคล่องของตลาดเงินจะช่วยสนับสนุนโมเมนตัมของเศรษฐกิจโดยรวม

    PBoC เตรียมวงเงินให้บริษัทกู้ยืมเพื่อซื้อหุ้นคืน ตอนนี้มีบริษัทตอบรับร่วมโครงการมากกว่า 300 แห่ง มาร์เก็ตแคปรวมกว่า 10 พันล้านหยวน อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมโครงการนี้ ~2%
    ................................
    ไทย
    คาดส่งออกเดือนธ.ค. $24,000 ล้าน +7.4% y/y (พย. ~$25,000 ล้าน) ส่วนส่งออกปี 2568 ถ้านโยบายทรัมป์ไม่กระทบแรงมาก มองส่งออกยังไปได้
    สหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของสินค้าไทย (~18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด) ปี 67 ไทยส่งออกไปสหรัฐ $54,956.2 ล้าน // นำเข้าสินค้าจากสหรัฐเป็นอันดับ 4 (6% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด) $19,528.6 ล้าน ไทยเป็นฝ่าย “เกินดุล” การค้ากับสหรัฐ $35,427.6 ล้าน ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐต่อเนื่อง ~5 ปี (2561-2566)
    - สินค้าไทยที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงจนทำให้สหรัฐตกเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับไทย และมีความเสี่ยงถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้า ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ, โทรศัพท์มือถือ, ไดโอด-ทรานซิสเตอร์/อุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบไวแสง (โซลาร์เซลส์), ยางนอกชนิดอัดลมที่เป็นของใหม่,
    เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดคงที่, เครื่องพิมพ์ป้อนกระดาษเป็นม้วน, หม้อแปลงไฟฟ้า, เครื่องส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์, เครื่องปรับอากาศ, แผงวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์, เพชร พลอย และรูปพรรณพร้อมส่วนประกอบ, เครื่องจักรไฟฟ้า, ตู้เย็น/ตู้แช่แข็ง, เฟอร์นิเจอร์, ผลิตภัณฑ์จากไม้, ขนมหวานที่ไม่มีส่วนผสมของโกโก้ และสินค้าเกษตร/แปรรูป
    #เศรษฐกิจ

    สหรัฐ ทรัมป์ขู่ปูตินให้รีบยุติสงครามกับยูเครน ถ้าไม่ยุติจะคว่ำบาตรครั้งใหม่ ทรัมป์ 1.0 ไม่มีสงครามสู้รบ มีแต่ trade war ครั้งนี้มองว่าอาจจะเหมือนเดิม แต่อาจจะมีการเดินเกมเพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้สหรัฐเพิ่ม เช่น ความต้องการพื้นที่ greenland คลองปานามา Elon แฉ stargate Masayoshi Son (ที่จะเป็นประธานโครงการ) ไม่มีเงินลงทุนสูงตามที่โครงการต้องการ (หุ้นเทสล่า -2% เมื่อคืน สวนกับหุ้นอื่นในกลุ่ม MEG 7 อาจจะเกิดจากนโยบายทรัมป์ที่ยกเลิกคำสั่งใช้รถยนต์ไฟฟ้าของไบเดน และอาจจะประเด็นการออกมาแฉครั้งนี้) เจมี่ ไดมอน ผู้บริหาร JP Morgan: มองราคาหุ้นสหรัฐสูงเกิน แม้พื้นฐานหุ้นจะยังดี ความเสี่ยงเงินเฟ้อ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังอยู่ เตือนว่าท้ายสุดราคาหุ้นอาจจะกลับไปสะท้อนมูลค่าพื้นฐานที่แท้จริง (หุ้นตก) *ก่อนหน้านี้ เซียน Howard Mask, วอร์เรน ผ่าน เบิร์คไชน์ เตือนภาวะฟองสบู่ ค่าเงินดอลลาร์ อ่อนค่า ทอง ราคาเพิ่มต่อ จากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ความเสี่ยงการเมืองของโลก ทองทะลุ $2720 มีโอกาสทดสอบ $2780, $2800 ถ้าผ่านเป้าทดสอบถัดไปคือ $3022/oz. แต่ต้องระวังปัจจัยความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์อาจจะลดลงจากนโยบายทรัมป์ที่ต้องการลดความร้อนแรงความขัดแย้งระหว่างประเทศ ดังนั้นปัจจัยสำคัญกับราคาทองคำจะโฟกัสที่การแข็งค่า-อ่อนค่าของดอลลาร์เป็นหลัก ทองไทย เพิ่มได้ไม่แรงเนื่องจากเงินบาทแข็งค่า รับ: 44,150, 44,000 บาท << 2 แนว, ต้าน: 44,450, 44,650 บาท << 2 แนว น้ำมัน ราคาลดลง รับแรงกดดันจากนโยบายทรัมป์ที่จะขยายการผลิตเพิ่มในสหรัฐ อัตราผลตอบแทน ................................... วันนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นประชุม ลุ้นนโยบายดอกเบี้ย (ปีที่แล้วจขึ้นดอกเบี้ย เกิด black monday) อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า มีโอกาสจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ จากค่าแรงงานขึ้นในทุกภาคส่วน ......................................................... จีน ตลาดเงิน ตลาดทุน หยุดตรุษจีน 28 มค. - 4 กพ. ช่วงก่อนเข้าวันหยุดยาว PBoC (ธนาคารกลางจีน) จะอัดฉีดเงินเข้าระบบ เพื่อดูแลสภาพคล่อง เนื่องจาก 1. ความต้องการเงินสดเพิ่ม คนจีนจะถอนเงินสดเพื่อใช้ในการเดินทาง ท่องเที่ยว ของขวัญ (อั่งเปา) (红包, hóngbāo) 2. ความต้องการเงินทุนจากบริษัทต่าง ๆ ช่วงตรุษจีนเป็นช่วงที่บริษัทจ่ายโบนัสให้กับพนักงานก่อนวันหยุดยาว และอาจจะต้องจ่ายคืนเงินกู้ (ล่วงหน้า) ก่อนจะหยุดยาวด้วย 3. สภาพคล่องธนาคารที่ตึง จากการถอนเงินสดที่เร่งตัวและการใช้จ่ายจากบริษัทเอกชน ทำให้สภาพคล่องของธนาคารมีภาวะตึง ทำให้ต้องการเงินทุนระยะสั้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของการดำเนินการและการให้กู้ยืม 4. ป้องกันความผันผวนในตลาดเงิน เนื่องจากถ้าเกิดภาวะสภาพคล่องหายไปจากระบบ อัตรากู้ยืมระหว่างสถาบันการเงิน (เช่น SHIBOR) อาจจะพุ่งแรงกระทบเสถียรภาพของตลาดเงิน 5. สนับสุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น ตรุษจีนเป็นเทศกาลหลักที่มียอดใช้จ่ายสูงและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเยอะ การดูแลภาพรวมสภาพคล่องของตลาดเงินจะช่วยสนับสนุนโมเมนตัมของเศรษฐกิจโดยรวม PBoC เตรียมวงเงินให้บริษัทกู้ยืมเพื่อซื้อหุ้นคืน ตอนนี้มีบริษัทตอบรับร่วมโครงการมากกว่า 300 แห่ง มาร์เก็ตแคปรวมกว่า 10 พันล้านหยวน อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมโครงการนี้ ~2% ................................ ไทย คาดส่งออกเดือนธ.ค. $24,000 ล้าน +7.4% y/y (พย. ~$25,000 ล้าน) ส่วนส่งออกปี 2568 ถ้านโยบายทรัมป์ไม่กระทบแรงมาก มองส่งออกยังไปได้ สหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของสินค้าไทย (~18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด) ปี 67 ไทยส่งออกไปสหรัฐ $54,956.2 ล้าน // นำเข้าสินค้าจากสหรัฐเป็นอันดับ 4 (6% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด) $19,528.6 ล้าน ไทยเป็นฝ่าย “เกินดุล” การค้ากับสหรัฐ $35,427.6 ล้าน ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐต่อเนื่อง ~5 ปี (2561-2566) - สินค้าไทยที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงจนทำให้สหรัฐตกเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับไทย และมีความเสี่ยงถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้า ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ, โทรศัพท์มือถือ, ไดโอด-ทรานซิสเตอร์/อุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบไวแสง (โซลาร์เซลส์), ยางนอกชนิดอัดลมที่เป็นของใหม่, เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดคงที่, เครื่องพิมพ์ป้อนกระดาษเป็นม้วน, หม้อแปลงไฟฟ้า, เครื่องส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์, เครื่องปรับอากาศ, แผงวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์, เพชร พลอย และรูปพรรณพร้อมส่วนประกอบ, เครื่องจักรไฟฟ้า, ตู้เย็น/ตู้แช่แข็ง, เฟอร์นิเจอร์, ผลิตภัณฑ์จากไม้, ขนมหวานที่ไม่มีส่วนผสมของโกโก้ และสินค้าเกษตร/แปรรูป #เศรษฐกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 930 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายจ้างสวนกลับ 'ทักษิณ' ขึ้นค่าแรงใจไม่แคบ แต่ภาครัฐไร้เยียวยา
    .
    การปราศรัยหาเสียงของ 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะพูดในเรื่องใดก็ล้วนแต่เป็นประเด็นแทบทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่เรื่องประเด็นเศรษฐกิจ โดยก่อนหน้านี้ระหว่างหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นจังหวัดหนองคายได้พูดถึงปัญหาการขึ้นค่าแรงตอนหนึ่งว่า “ค่าแรงขอขึ้นไปแล้ว แต่มีคนขวางอยู่ คนพวกนี้ไม่รู้หัวใจทำด้วยอะไร ชอบจ้างคนค่าแรงถูก นายจ้างเฮงซวย แบบนี้ไม่น่ารัก นายจ้างต้องใจกว้างกับลูกจ้าง ลูกจ้างจะได้ทุ่มเททำงาน” ซึ่งจากประเด็นนี้เองทำให้ฝ่ายเอกชนออกมาตอบโต้ด้วยข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ
    .
    นายอรรถยุทธ ลียะวณิช กรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 (บอร์ดค่าจ้าง) ฝ่ายนายจ้าง อธิบายว่า ฝ่ายนายจ้างไม่ได้ขัดขวางการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแต่อย่างใด แต่การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศในบางอาชีพหรือบางกิจการนั้น ต้องพิจารณาตามความเหมาะสม และหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
    .
    “ไม่ได้เกี่ยวกับฝ่ายนายจ้างใจกว้าง หรือใจแคบ ถ้าหากพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมาย ตัวเลขอาจจะไม่ถึง 400 บาทอยู่แล้ว แต่เราก็ยังให้มีการปรับขึ้นถึง 400 บาทไปในหลายๆจังหวัด แล้วอย่างนี้จะเรียกว่า ใจแคบอยู่อีกหรือ ทางฝ่ายนายจ้างก็ให้มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำมาโดยตลอดทุกปี ไม่เคยไม่ให้ปรับ แต่ว่าต้องปรับตามเกณฑ์และสูตรที่กฎหมาย คือ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 กำหนดเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการปรับตามอำเภอใจ” นายอรรถยุทธ กล่าว
    .
    นายอรรถยุทธ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของมาตรการที่ช่วยเหลือนายจ้างสถานประกอบการ จะต้องทวงถามไปถึงฝ่ายรัฐบาล แต่เบื้องต้นยังไม่เห็นรายละเอียดมาตรการการช่วยเหลือนายจ้างออกมา โดยนายจ้างที่อยู่ในจังหวัดที่มีกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท ใน 4 จังหวัด และ 1 อำเภอ ได้แก่ ภูเก็ต ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และอ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ก็อาจจะได้รับผลกระทบบ้าง
    .
    นางสาวศุภานัน ปลอดเหตุ กรรมการค่าจ้าง ฝ่ายนายจ้าง ยืนยันว่า ฝ่ายนายจ้างได้มองถึงภาพรวมภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และความเป็นอยู่ของคนไทย โดยการประชุมพิจารณาการปรับค่าจ้างขั้นต่ำแต่ละครั้ง มีหน่วยงานหลายส่วนหารือกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้แทนจากกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็เป็นการพิจารณาข้อมูลตัวเลขตามความเหมาะสมและตามกฎหมาย
    .
    “ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริง ณ ขณะนั้น เราทำเพื่อลูกจ้างและประเทศชาติให้อยู่ได้ ไม่ได้ทำเพื่อนายจ้างฝ่ายเดียว ยังยืนยันว่าฝ่ายนายจ้างไม่ได้มีการขัดขวางแต่อย่างใด ทุกคนสนับสนุนให้ปรับตามสภาพเศรษฐกิจที่เป็นจริง ไม่ใช่ปรับค่าจ้างให้ตัวเลขสูง ลูกจ้างอยู่ได้ชั่วคราว นายจ้างอาจจะต้องปรับตัวหาวิธีการจ้างงานแบบใหม่ๆ หรืออาจจะไม่ใช้กำลังคนเป็นแรงงาน แล้วแรงงานจะอยู่อย่างไร” นางสาวศุภานัน กล่าว
    ..............
    Sondhi X
    นายจ้างสวนกลับ 'ทักษิณ' ขึ้นค่าแรงใจไม่แคบ แต่ภาครัฐไร้เยียวยา . การปราศรัยหาเสียงของ 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะพูดในเรื่องใดก็ล้วนแต่เป็นประเด็นแทบทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่เรื่องประเด็นเศรษฐกิจ โดยก่อนหน้านี้ระหว่างหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นจังหวัดหนองคายได้พูดถึงปัญหาการขึ้นค่าแรงตอนหนึ่งว่า “ค่าแรงขอขึ้นไปแล้ว แต่มีคนขวางอยู่ คนพวกนี้ไม่รู้หัวใจทำด้วยอะไร ชอบจ้างคนค่าแรงถูก นายจ้างเฮงซวย แบบนี้ไม่น่ารัก นายจ้างต้องใจกว้างกับลูกจ้าง ลูกจ้างจะได้ทุ่มเททำงาน” ซึ่งจากประเด็นนี้เองทำให้ฝ่ายเอกชนออกมาตอบโต้ด้วยข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ . นายอรรถยุทธ ลียะวณิช กรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 (บอร์ดค่าจ้าง) ฝ่ายนายจ้าง อธิบายว่า ฝ่ายนายจ้างไม่ได้ขัดขวางการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแต่อย่างใด แต่การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศในบางอาชีพหรือบางกิจการนั้น ต้องพิจารณาตามความเหมาะสม และหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด . “ไม่ได้เกี่ยวกับฝ่ายนายจ้างใจกว้าง หรือใจแคบ ถ้าหากพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมาย ตัวเลขอาจจะไม่ถึง 400 บาทอยู่แล้ว แต่เราก็ยังให้มีการปรับขึ้นถึง 400 บาทไปในหลายๆจังหวัด แล้วอย่างนี้จะเรียกว่า ใจแคบอยู่อีกหรือ ทางฝ่ายนายจ้างก็ให้มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำมาโดยตลอดทุกปี ไม่เคยไม่ให้ปรับ แต่ว่าต้องปรับตามเกณฑ์และสูตรที่กฎหมาย คือ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 กำหนดเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการปรับตามอำเภอใจ” นายอรรถยุทธ กล่าว . นายอรรถยุทธ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของมาตรการที่ช่วยเหลือนายจ้างสถานประกอบการ จะต้องทวงถามไปถึงฝ่ายรัฐบาล แต่เบื้องต้นยังไม่เห็นรายละเอียดมาตรการการช่วยเหลือนายจ้างออกมา โดยนายจ้างที่อยู่ในจังหวัดที่มีกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท ใน 4 จังหวัด และ 1 อำเภอ ได้แก่ ภูเก็ต ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และอ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ก็อาจจะได้รับผลกระทบบ้าง . นางสาวศุภานัน ปลอดเหตุ กรรมการค่าจ้าง ฝ่ายนายจ้าง ยืนยันว่า ฝ่ายนายจ้างได้มองถึงภาพรวมภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และความเป็นอยู่ของคนไทย โดยการประชุมพิจารณาการปรับค่าจ้างขั้นต่ำแต่ละครั้ง มีหน่วยงานหลายส่วนหารือกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้แทนจากกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็เป็นการพิจารณาข้อมูลตัวเลขตามความเหมาะสมและตามกฎหมาย . “ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริง ณ ขณะนั้น เราทำเพื่อลูกจ้างและประเทศชาติให้อยู่ได้ ไม่ได้ทำเพื่อนายจ้างฝ่ายเดียว ยังยืนยันว่าฝ่ายนายจ้างไม่ได้มีการขัดขวางแต่อย่างใด ทุกคนสนับสนุนให้ปรับตามสภาพเศรษฐกิจที่เป็นจริง ไม่ใช่ปรับค่าจ้างให้ตัวเลขสูง ลูกจ้างอยู่ได้ชั่วคราว นายจ้างอาจจะต้องปรับตัวหาวิธีการจ้างงานแบบใหม่ๆ หรืออาจจะไม่ใช้กำลังคนเป็นแรงงาน แล้วแรงงานจะอยู่อย่างไร” นางสาวศุภานัน กล่าว .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1441 มุมมอง 0 รีวิว
  • * สัปดาห์นี้ ธนาคารกลาง 4 แห่งการเงินประชุม

    Bank of Japan (BoJ): ประชุม 23-24 มค. คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย

    Federal Reserve (Fed): ธ.กลางสหรัฐ ประชุม 28-29 คาดคงดอกเบี้ย

    European Central Bank (ECB): ประชุม 30 มค. คาดลดดอกเบี้ย

    Bank of Canada (BoC): ธ.กลางแคนาดา ประชุม 29 มค. คาดลดดอกเบี้ย
    .........................
    วานนี้ทรัมป์เข้าสาบานตนรับตำแหน่ง เบื้องต้นยังไม่การออก executive orders ที่เกี่ยวกับมาตรการภาษี ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง (กระทบราคาทองคำไม่ดึดตัว เงินไหลเข้าตลาดเงิน ตลาดทุน)

    - งดเพิ่มจำนวนข้าราชการ ยกเว้นด้านความมั่นคง (ทหาร)
    - งด work from home ของข้าราชการ
    - ถอนตัวจาก Paris Climate Treaty
    - ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า เม็กซิโก แคนาดา สูงสุดแตะ 50% ส่วนจีนรอดูดีล tiktok ถ้าล้มอาจจะมีมาตรการภาษีออกมา (คาดเดาจากนวค.ว่า ทรัมป์ที่โทรหาสี จิ้นผิง อาจจะมีบางดีลที่รออยู่)
    * Tiktok ถูกแบนในสหรัฐ แต่ทรัมป์ยืดเวลาให้ใช้ต่อได้ 75 วัน แต่ต่อรองให้ tiktok ขายหุ้น 50% ให้สหรัฐ แต่ยังไม่ระบุว่าให้ขายให้ใคร ระบุเป็น Joint Venture
    - ยกเลิกคำสั่งและเมมโมฯขอไบเดน 78 ฉบับ (ในนั้นรวม LGBTQ)
    - เพิกถอนคำสั่งไบเดนที่ตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ EB 50% ภายในปี 2030
    - ประกาศภาวะฉุกเฉินชายแดนตอนใต้ เนรเทศผู้เข้าเมืองไม่ถูกกฏหมาย
    - นิรโทษกรรมผู้ต้องหา 1500 คนที่บุกรัฐสภาเมื่อ 4 ปีก่อน (ตอนทรัมป์แพ้เลือกตั้งให้ไบเดน)
    - ขุดเจาะน้ำมันดิบ กระทบราคาน้ำมันดิบจากคาดการณ์ซัพพลายในตลาดจะเพิ่ม
    - ถอนตัวจาก WHO
    - กดดัน EU ต้องการลดระดับการขาดดุลการค้า ขู่ใช้มาตรการภาษี หรือ EU ต้องนำเข้าน้ำมันและแก๊สจากสหรัฐ
    - สหรัฐจะไปปักธงที่ดาวอังคาร

    DXY ดัชนีดอลลาร์ คาดค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในระยะสั้นจาก
    1. จำนวนการเปิดสัญญา "Long" ค่าเงินดอลลาร์สูงสุดนับจากปี 2019
    2. ประเด็นกำแพงภาษีน่าจะไม่แรงเหมือนตอนหาเสียง
    3. การกระตุ้นผ่านมาตรการการคลังไม่น่าจะสูงเหมือนตอนที่หาเสียง

    ............................................
    จีน ราคาบ้านน่าจะเจอจุดต่ำสุดแล้ว ราคาบ้านเริ่มกระตุก จำนวนธุรกรรมเกี่ยวกับอสังหาฯ ในเมืองใหญ่เริ่มเพิ่มขึ้น
    ................................
    ทอง โทนเงินเฟ้อจากนโยบายภาษีทรัมป์ไม่แรงอย่างที่หาเสียง ไม่กดดัน เฟดอาจจะดำเนินนโยบายการเงินได้ตามภาวะตลาดไม่ผันผวน + มุมมองดอลลาร์อ่อนค่า เทคนิคที่เบรคกรอบสามเหลี่ยม
    #เศรษฐกิจ
    * สัปดาห์นี้ ธนาคารกลาง 4 แห่งการเงินประชุม Bank of Japan (BoJ): ประชุม 23-24 มค. คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย Federal Reserve (Fed): ธ.กลางสหรัฐ ประชุม 28-29 คาดคงดอกเบี้ย European Central Bank (ECB): ประชุม 30 มค. คาดลดดอกเบี้ย Bank of Canada (BoC): ธ.กลางแคนาดา ประชุม 29 มค. คาดลดดอกเบี้ย ......................... วานนี้ทรัมป์เข้าสาบานตนรับตำแหน่ง เบื้องต้นยังไม่การออก executive orders ที่เกี่ยวกับมาตรการภาษี ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง (กระทบราคาทองคำไม่ดึดตัว เงินไหลเข้าตลาดเงิน ตลาดทุน) - งดเพิ่มจำนวนข้าราชการ ยกเว้นด้านความมั่นคง (ทหาร) - งด work from home ของข้าราชการ - ถอนตัวจาก Paris Climate Treaty - ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า เม็กซิโก แคนาดา สูงสุดแตะ 50% ส่วนจีนรอดูดีล tiktok ถ้าล้มอาจจะมีมาตรการภาษีออกมา (คาดเดาจากนวค.ว่า ทรัมป์ที่โทรหาสี จิ้นผิง อาจจะมีบางดีลที่รออยู่) * Tiktok ถูกแบนในสหรัฐ แต่ทรัมป์ยืดเวลาให้ใช้ต่อได้ 75 วัน แต่ต่อรองให้ tiktok ขายหุ้น 50% ให้สหรัฐ แต่ยังไม่ระบุว่าให้ขายให้ใคร ระบุเป็น Joint Venture - ยกเลิกคำสั่งและเมมโมฯขอไบเดน 78 ฉบับ (ในนั้นรวม LGBTQ) - เพิกถอนคำสั่งไบเดนที่ตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ EB 50% ภายในปี 2030 - ประกาศภาวะฉุกเฉินชายแดนตอนใต้ เนรเทศผู้เข้าเมืองไม่ถูกกฏหมาย - นิรโทษกรรมผู้ต้องหา 1500 คนที่บุกรัฐสภาเมื่อ 4 ปีก่อน (ตอนทรัมป์แพ้เลือกตั้งให้ไบเดน) - ขุดเจาะน้ำมันดิบ กระทบราคาน้ำมันดิบจากคาดการณ์ซัพพลายในตลาดจะเพิ่ม - ถอนตัวจาก WHO - กดดัน EU ต้องการลดระดับการขาดดุลการค้า ขู่ใช้มาตรการภาษี หรือ EU ต้องนำเข้าน้ำมันและแก๊สจากสหรัฐ - สหรัฐจะไปปักธงที่ดาวอังคาร DXY ดัชนีดอลลาร์ คาดค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในระยะสั้นจาก 1. จำนวนการเปิดสัญญา "Long" ค่าเงินดอลลาร์สูงสุดนับจากปี 2019 2. ประเด็นกำแพงภาษีน่าจะไม่แรงเหมือนตอนหาเสียง 3. การกระตุ้นผ่านมาตรการการคลังไม่น่าจะสูงเหมือนตอนที่หาเสียง ............................................ จีน ราคาบ้านน่าจะเจอจุดต่ำสุดแล้ว ราคาบ้านเริ่มกระตุก จำนวนธุรกรรมเกี่ยวกับอสังหาฯ ในเมืองใหญ่เริ่มเพิ่มขึ้น ................................ ทอง โทนเงินเฟ้อจากนโยบายภาษีทรัมป์ไม่แรงอย่างที่หาเสียง ไม่กดดัน เฟดอาจจะดำเนินนโยบายการเงินได้ตามภาวะตลาดไม่ผันผวน + มุมมองดอลลาร์อ่อนค่า เทคนิคที่เบรคกรอบสามเหลี่ยม #เศรษฐกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 611 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรภาคพลังงานของรัสเซียครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์!!

    มาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวของสหรัฐมุ่งเป้าไปที่กลุ่มค้าขายน้ำมันของรัสเซียเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะส่งผลต่อการขนส่งไปยังผู้ซื้อรายใหญ่ เช่น อินเดียและจีน
    โดยมีบริษัทเป้าหมายที่ถูกคว่ำบาตร ได้แก่:
    ➖ "Surgutneftegaz" และ "Gazprom Neft"
    ➖ เรือบรรทุกน้ำมันมากกว่า 180 ลำของกองเรือ "เงา" ของรัสเซีย
    ➖ บริษัทประกันภัย "Alfastrakhovanie" และ "Ingosstrakh"
    ➖ ตัวแทนต่างชาติที่ค้าขายน้ำมันของรัสเซียและผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานเหล่านี้

    การดำเนินการคว่ำบาตรครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมันโลกแล้ว โดยดันให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งสูงกว่า 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนตุลาคม

    ในคำประกาศจากกระทรวงการคลังสหรัฐ มีความคาดหวังที่สำคัญที่ต้องการให้บรรลุผล ได้แก่:

    ⭕️ คาดว่ามาตรการใหม่นี้จะทำให้รัสเซียสูญเสียเงิน "หลายพันล้านดอลลาร์" ทุกเดือน ส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนรูเบิล และอาจส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยหลักของธนาคารกลางรัสเซียปรับขึ้นขนานใหญ่

    ⭕️ มาตรการคว่ำบาตรภาคพลังงานของรัสเซียครั้งใหญ่ที่สุดครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงของตลาดน้ำมันโลก เนื่องจากไม่มีภัยคุกคามจากการขาดแคลนอุปทาน และผลผลิตน้ำมันของสหรัฐในขณะนี้อยู่ในระดับที่สูงมาก ตลาดภายในประเทศยังคงมีอุปทานที่ล้นตลาดอยู่

    ⭕️ การคว่ำบาตรภาคพลังงานของรัสเซียครั้งนี้ จะสร้างเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ให้ตลาดภายในประเทศของสหรัฐ สามารถส่งออกน้ำมันที่ล้นตลาดอยู่ขณะนี้ออกนอกประเทศได้

    https://home.treasury.gov/news/press-releases/jy2777
    สหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรภาคพลังงานของรัสเซียครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์!! มาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวของสหรัฐมุ่งเป้าไปที่กลุ่มค้าขายน้ำมันของรัสเซียเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะส่งผลต่อการขนส่งไปยังผู้ซื้อรายใหญ่ เช่น อินเดียและจีน โดยมีบริษัทเป้าหมายที่ถูกคว่ำบาตร ได้แก่: ➖ "Surgutneftegaz" และ "Gazprom Neft" ➖ เรือบรรทุกน้ำมันมากกว่า 180 ลำของกองเรือ "เงา" ของรัสเซีย ➖ บริษัทประกันภัย "Alfastrakhovanie" และ "Ingosstrakh" ➖ ตัวแทนต่างชาติที่ค้าขายน้ำมันของรัสเซียและผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานเหล่านี้ การดำเนินการคว่ำบาตรครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมันโลกแล้ว โดยดันให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งสูงกว่า 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนตุลาคม ในคำประกาศจากกระทรวงการคลังสหรัฐ มีความคาดหวังที่สำคัญที่ต้องการให้บรรลุผล ได้แก่: ⭕️ คาดว่ามาตรการใหม่นี้จะทำให้รัสเซียสูญเสียเงิน "หลายพันล้านดอลลาร์" ทุกเดือน ส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนรูเบิล และอาจส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยหลักของธนาคารกลางรัสเซียปรับขึ้นขนานใหญ่ ⭕️ มาตรการคว่ำบาตรภาคพลังงานของรัสเซียครั้งใหญ่ที่สุดครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงของตลาดน้ำมันโลก เนื่องจากไม่มีภัยคุกคามจากการขาดแคลนอุปทาน และผลผลิตน้ำมันของสหรัฐในขณะนี้อยู่ในระดับที่สูงมาก ตลาดภายในประเทศยังคงมีอุปทานที่ล้นตลาดอยู่ ⭕️ การคว่ำบาตรภาคพลังงานของรัสเซียครั้งนี้ จะสร้างเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ให้ตลาดภายในประเทศของสหรัฐ สามารถส่งออกน้ำมันที่ล้นตลาดอยู่ขณะนี้ออกนอกประเทศได้ https://home.treasury.gov/news/press-releases/jy2777
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 579 มุมมอง 0 รีวิว
  • โบรกเกอร์ ประเมินกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กระทบหนักสุด หลังรัฐบาลปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 68 อัตรา 7-55 บาท โดยเฉพาะ STECON หวั่นฉุดกำไร 6-13.5% แต่ยังมองผลกระทบน้อยกว่าคาด เหตุจ่ายค่าสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว แนะนำ Neutral กลุ่ม และให้ CK เป็น Top Pick ขณะที่กลุ่มเกษตร -อาหาร และกลุ่มอุตฯ ที่มีโรงงานในพื้นที่ EEC กระทบกำไรด้วย แต่หุ้นค้าปลีก-ไฟแนนซ์ รับอานิสงส์เชิงบวก จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000123419

    #MGROnline #ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
    โบรกเกอร์ ประเมินกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กระทบหนักสุด หลังรัฐบาลปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 68 อัตรา 7-55 บาท โดยเฉพาะ STECON หวั่นฉุดกำไร 6-13.5% แต่ยังมองผลกระทบน้อยกว่าคาด เหตุจ่ายค่าสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว แนะนำ Neutral กลุ่ม และให้ CK เป็น Top Pick ขณะที่กลุ่มเกษตร -อาหาร และกลุ่มอุตฯ ที่มีโรงงานในพื้นที่ EEC กระทบกำไรด้วย แต่หุ้นค้าปลีก-ไฟแนนซ์ รับอานิสงส์เชิงบวก จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000123419 • #MGROnline #ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 390 มุมมอง 0 รีวิว
  • 22 ธันวาคม วันนี้ดอนเมืองโทลล์เวย์ปรับราคาค่าผ่านทางเรียบร้อยแล้วครับ สำหรับรถ 4 ล้อ ปรับเพิ่มขึ้น 5-10 บาท ด่านไหนจ่ายเท่าไหร่บ้าง ผมทำภาพมาให้ดูกันครับ 😀

    สำหรับการขึ้นราคารอบนี้เป็นไปตามสัญญาสัมปทานระหว่างกรมทางหลวง กับบริษัททางยกระดับดอนเมือง ซึ่งตามสัญญาจะมีการปรับทุก 5 ปี โดยรอบต่อไปที่จะปรับขึ้นอีกคือวันที่ 22 ธันวาคม 2572 ซึ่งจะเป็นการปรับราคาครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะหมดสัมปทานลงในปี 2577 ครับ

    หลังจากปี 2577 เส้นทางทั้งหมดจะกลับไปอยู่ในการบริหารของกรมทางหลวง ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างก็ต้องดูกันต่อไปครับ

    แต่เบื้องต้นตอนนี้ทางกรมทางหลวงเตรียมจะต่อขยายจากรังสิตออกไปจนถึงแยกต่างระดับบางปะอิน ไปเชื่อมกับถนนวงแหวนกาญจนาภิเษกและมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-โคราช ในชื่อ "มอเตอร์เวย์สาย M5" ซึ่งเป็นแผนงานที่กำลังต่อคิวรออนุมัติจาก ครม. กันอยู่ครับ
    22 ธันวาคม วันนี้ดอนเมืองโทลล์เวย์ปรับราคาค่าผ่านทางเรียบร้อยแล้วครับ สำหรับรถ 4 ล้อ ปรับเพิ่มขึ้น 5-10 บาท ด่านไหนจ่ายเท่าไหร่บ้าง ผมทำภาพมาให้ดูกันครับ 😀 สำหรับการขึ้นราคารอบนี้เป็นไปตามสัญญาสัมปทานระหว่างกรมทางหลวง กับบริษัททางยกระดับดอนเมือง ซึ่งตามสัญญาจะมีการปรับทุก 5 ปี โดยรอบต่อไปที่จะปรับขึ้นอีกคือวันที่ 22 ธันวาคม 2572 ซึ่งจะเป็นการปรับราคาครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะหมดสัมปทานลงในปี 2577 ครับ หลังจากปี 2577 เส้นทางทั้งหมดจะกลับไปอยู่ในการบริหารของกรมทางหลวง ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างก็ต้องดูกันต่อไปครับ แต่เบื้องต้นตอนนี้ทางกรมทางหลวงเตรียมจะต่อขยายจากรังสิตออกไปจนถึงแยกต่างระดับบางปะอิน ไปเชื่อมกับถนนวงแหวนกาญจนาภิเษกและมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-โคราช ในชื่อ "มอเตอร์เวย์สาย M5" ซึ่งเป็นแผนงานที่กำลังต่อคิวรออนุมัติจาก ครม. กันอยู่ครับ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 341 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะกรรมการไตรภาคีค่าจ้าง มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทุกจังหวัด แต่ได้ถึง 400 บาทเฉพาะจังหวัดภูเก็ต, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง กับ 1 อำเภอ คือ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2568

    วันนี้(23 ธ.ค.) ที่กระทรวงแรงงาน ได้มีการประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) ชุดที่ 22 ประกอบด้วยฝ่ายภาครัฐ ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง มาประชุมครบองค์ประชุมเพื่อพิจารณาการปรับค่าจ้าง 400 บาททั่วประเทศในบางอาชีพ และบางกิจการ ตามนโยบายของรัฐบาล โดยเป็นการประชุมบอร์ดไตรภาคีครั้งที่ 2 หลังเลื่อนจากวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ออกมาระบุว่า ต้องการที่จะได้ตัวเลข 400 บาททั่วประเทศ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000123098

    #MGROnline #ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ #400บาท
    คณะกรรมการไตรภาคีค่าจ้าง มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทุกจังหวัด แต่ได้ถึง 400 บาทเฉพาะจังหวัดภูเก็ต, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง กับ 1 อำเภอ คือ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2568 • วันนี้(23 ธ.ค.) ที่กระทรวงแรงงาน ได้มีการประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) ชุดที่ 22 ประกอบด้วยฝ่ายภาครัฐ ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง มาประชุมครบองค์ประชุมเพื่อพิจารณาการปรับค่าจ้าง 400 บาททั่วประเทศในบางอาชีพ และบางกิจการ ตามนโยบายของรัฐบาล โดยเป็นการประชุมบอร์ดไตรภาคีครั้งที่ 2 หลังเลื่อนจากวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ออกมาระบุว่า ต้องการที่จะได้ตัวเลข 400 บาททั่วประเทศ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000123098 • #MGROnline #ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ #400บาท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 640 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เจ้าของขายเอง อาคารพาณิชย์ 5 ชั้นตรงข้ามศรีไทยคอนโด ประชาอุทิศ 33 ชั้นล่างแบ่งให้ 7-11 เช่าสัญญากับ CP all 10 ปีต่อ 10 ปี ค่าเช่าปรับขึ้น 10% ทุก 3 ปี ปีนี้เป็นปีที่ 3 เหลือสัญญาอีก 7 ปี
    - สภาพทรัพย์เป็นทรัพย์ที่มีรายได้ระยะยาว ต่อเติมเต็มพื้นที่ มีปั๊มน้ำและแทงค์น้ำความจุ 1000 ลิตร มีแอร์ทุกห้อง ส่วนดาดฟ้าต่อเติมกั้นห้องทำเป็นห้องพระ พื้นและบันไดปูกระเบื้องเกรดดี มีห้องน้ำทุกชั้นสุขภัณฑ์อย่างดีเครื่องทำน้ำร้อนทุกห้องเจ้าของพักอยู่เอง สภาพพร้อมอยู่ไม่ได้ปล่อยทิ้งร้าง
    *************************)
    #แหล่งที่มาของรายได้ต่อเดือน
    1.รับรายได้จากค่าเช่า 7-11 และแผงนัดหน้าบ้าน 2 แผง รวมรับรายได้เดือนละ 24,200 บาท
    2.รับรายได้จากค่าเช่าแผงนัดหน้าบ้าน 6,000 บาท/เดือน
    3.สามารถกั้นห้องเช่าชั้น 2 - ชั้น 5 ได้อีก 4-8 ห้อง มีห้องน้ำทุกชั้น รับรายได้เพิ่ม
    - รวมซื้ออาคารแล้วรับรายได้ 2 ทางจำนวน 30,200 บาท/เดือน หรือ 362,400 บาท/ปี
    - ขายทรัพย์ราคา 7.2 ล้าน
    - ทำเลค้าขายดีมากอยู่ตรงข้ามศรีไทยคอนโด
    *************************
    ท่านใดสนใจ ซื้อตึก-รับรายได้ทุกเดือน-ค้าขายได้-คุ้มกว่าฝากประจำ
    ติดต่อเจ้าของอาคาร
    👉 097-1819111 อ.จุรินทร์
    👉 083-0614654 คุณกรณ์

    #ขายอาคารพานิชย์ #รับค่าเช่า #ทำเลดี #ค้าขายได้ #เซเว่น #ย่านชุมชน #ศรีไทยคอนโด #ประชาอุทฺศ #ทุ่งครุ #บางมด
    #เจ้าของขายเอง อาคารพาณิชย์ 5 ชั้นตรงข้ามศรีไทยคอนโด ประชาอุทิศ 33 ชั้นล่างแบ่งให้ 7-11 เช่าสัญญากับ CP all 10 ปีต่อ 10 ปี ค่าเช่าปรับขึ้น 10% ทุก 3 ปี ปีนี้เป็นปีที่ 3 เหลือสัญญาอีก 7 ปี - สภาพทรัพย์เป็นทรัพย์ที่มีรายได้ระยะยาว ต่อเติมเต็มพื้นที่ มีปั๊มน้ำและแทงค์น้ำความจุ 1000 ลิตร มีแอร์ทุกห้อง ส่วนดาดฟ้าต่อเติมกั้นห้องทำเป็นห้องพระ พื้นและบันไดปูกระเบื้องเกรดดี มีห้องน้ำทุกชั้นสุขภัณฑ์อย่างดีเครื่องทำน้ำร้อนทุกห้องเจ้าของพักอยู่เอง สภาพพร้อมอยู่ไม่ได้ปล่อยทิ้งร้าง *************************) #แหล่งที่มาของรายได้ต่อเดือน 1.รับรายได้จากค่าเช่า 7-11 และแผงนัดหน้าบ้าน 2 แผง รวมรับรายได้เดือนละ 24,200 บาท 2.รับรายได้จากค่าเช่าแผงนัดหน้าบ้าน 6,000 บาท/เดือน 3.สามารถกั้นห้องเช่าชั้น 2 - ชั้น 5 ได้อีก 4-8 ห้อง มีห้องน้ำทุกชั้น รับรายได้เพิ่ม - รวมซื้ออาคารแล้วรับรายได้ 2 ทางจำนวน 30,200 บาท/เดือน หรือ 362,400 บาท/ปี - ขายทรัพย์ราคา 7.2 ล้าน - ทำเลค้าขายดีมากอยู่ตรงข้ามศรีไทยคอนโด ************************* ท่านใดสนใจ ซื้อตึก-รับรายได้ทุกเดือน-ค้าขายได้-คุ้มกว่าฝากประจำ ติดต่อเจ้าของอาคาร 👉 097-1819111 อ.จุรินทร์ 👉 083-0614654 คุณกรณ์ #ขายอาคารพานิชย์ #รับค่าเช่า #ทำเลดี #ค้าขายได้ #เซเว่น #ย่านชุมชน #ศรีไทยคอนโด #ประชาอุทฺศ #ทุ่งครุ #บางมด
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 921 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เห็นด้วยกับการยกระดับรายได้ของแรงงานไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่มีความกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยมีความผันผวน และเปราะบางจากภูมิรัฐศาสตร์ ที่ส่งผลต่อประเทศและภาคธุรกิจไทยให้เผชิญกับความท้าทายรอบด้าน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000118127

    #MGROnline #แรงงานไทย
    คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เห็นด้วยกับการยกระดับรายได้ของแรงงานไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่มีความกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยมีความผันผวน และเปราะบางจากภูมิรัฐศาสตร์ ที่ส่งผลต่อประเทศและภาคธุรกิจไทยให้เผชิญกับความท้าทายรอบด้าน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000118127 • #MGROnline #แรงงานไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 381 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงแนวคิดการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของรัฐบาล จากที่ปัจจุบันเก็บอยู่ที่อัตรา 7% ว่า นายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงในเรื่องนี้ ซึ่งรัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาศึกษา อย่างไรก็ดี ต้องรอให้มีข้อสรุปที่ชัดเจนออกมาก่อน เนื่องจากขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการ

    "ยังอยู่ในกระบวนการ กำลังจะทำ และคำนึงถึงหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ซึ่งเราประคองมาระยะหนึ่งแล้ว ต้องดูว่าเป็นไปต่อได้ในระดับไหน อย่างไร แค่ไหน" นายภูมิธรรม กล่าว

    พร้อมปฏิเสธว่า แนวคิดการปรับขึ้นภาษีไม่ได้เป็นไปตามที่มีการวิจารณ์ว่ารัฐบาลถังแตก เพราะนำเงินไปใช้กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่กระบวนการปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษี จะต้องทำให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกหน่วย ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังที่จะไปพิจารณา

    "ส่วนสำคัญอยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้พี่น้องประชาชนไม่เดือดร้อนมากที่สุด เพียงแต่ว่าให้กระบวนการภาษีเป็นธรรมมากขึ้น" รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าว

    พร้อมระบุว่า หากจะมีการปรับขึ้นภาษีจริงนั้น ต้องให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เป็นผู้ชี้แจง เพราะมีข้อมูลทั้งระบบอยู่แล้ว เชื่อว่าหากมีความพร้อม และมีข้อสรุปที่ชัดเจน กระทรวงการคลังคงจะออกมาชี้แจงให้รับทราบ

    "ถ้านายพิชัยพร้อม และตัดสินใจเมื่อไร หรือมีข้อสรุปที่ชัดเจนคงมีการชี้แจงออกมา แต่ยืนยันว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลคำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก ถ้าไม่เป็นปัญหาใดๆ" นายภูมิธรรม กล่าว

    #MGROnline #ภาษีเงินได้15 #ภาษี #Vat15
    นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงแนวคิดการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของรัฐบาล จากที่ปัจจุบันเก็บอยู่ที่อัตรา 7% ว่า นายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงในเรื่องนี้ ซึ่งรัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาศึกษา อย่างไรก็ดี ต้องรอให้มีข้อสรุปที่ชัดเจนออกมาก่อน เนื่องจากขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการ • "ยังอยู่ในกระบวนการ กำลังจะทำ และคำนึงถึงหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ซึ่งเราประคองมาระยะหนึ่งแล้ว ต้องดูว่าเป็นไปต่อได้ในระดับไหน อย่างไร แค่ไหน" นายภูมิธรรม กล่าว • พร้อมปฏิเสธว่า แนวคิดการปรับขึ้นภาษีไม่ได้เป็นไปตามที่มีการวิจารณ์ว่ารัฐบาลถังแตก เพราะนำเงินไปใช้กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่กระบวนการปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษี จะต้องทำให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกหน่วย ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังที่จะไปพิจารณา • "ส่วนสำคัญอยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้พี่น้องประชาชนไม่เดือดร้อนมากที่สุด เพียงแต่ว่าให้กระบวนการภาษีเป็นธรรมมากขึ้น" รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าว • พร้อมระบุว่า หากจะมีการปรับขึ้นภาษีจริงนั้น ต้องให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เป็นผู้ชี้แจง เพราะมีข้อมูลทั้งระบบอยู่แล้ว เชื่อว่าหากมีความพร้อม และมีข้อสรุปที่ชัดเจน กระทรวงการคลังคงจะออกมาชี้แจงให้รับทราบ • "ถ้านายพิชัยพร้อม และตัดสินใจเมื่อไร หรือมีข้อสรุปที่ชัดเจนคงมีการชี้แจงออกมา แต่ยืนยันว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลคำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก ถ้าไม่เป็นปัญหาใดๆ" นายภูมิธรรม กล่าว • #MGROnline #ภาษีเงินได้15 #ภาษี #Vat15
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 524 มุมมอง 0 รีวิว
  • ของมันร้อน! "นายกฯอิ๊งค์" ถอยปรับขึ้น VAT15% 06/12/67 #นายกฯอิ๊งค์ #ปรับขึ้น VAT15% #รัฐบาล #เพื่อไทย
    ของมันร้อน! "นายกฯอิ๊งค์" ถอยปรับขึ้น VAT15% 06/12/67 #นายกฯอิ๊งค์ #ปรับขึ้น VAT15% #รัฐบาล #เพื่อไทย
    Sad
    Like
    Angry
    Haha
    Wow
    13
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1305 มุมมอง 35 0 รีวิว
  • เส้นกาญจนาฯ เตรียมอัมพาต สร้างมอเตอร์เวย์ M9

    โซนกรุงเทพมหานครและปริมณฑลด้านตะวันตก ประสบปัญหาการจราจรติดขัดเนื่องจากการก่อสร้างมายาวนาน ตั้งแต่โครงการทางยกระดับถนนพระรามที่ 2 โครงการก่อสร้างสะพานข้ามคลองมหาสวัสดิ์ ถนนราชพฤกษ์ โครงการขยายถนนชัยพฤกษ์ โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 81 บางใหญ่-กาญจนบุรี กระทบกับทางแยกต่างระดับบางใหญ่ ส่วนถนนกาญจนาภิเษก ปรับปรุงผิวทางเป็นคอนกรีตช่วงบางขุนเทียน-บางแค ตั้งแต่ปี 2563 ยังไม่แล้วเสร็จเพราะแก้ไขแบบเพิ่มเติม

    มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 3 ธ.ค. เห็นชอบให้กรมทางหลวงดำเนินการก่อสร้างโครงการมอเตอร์เวย์ทางยกระดับสายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ช่วงบางขุนเทียน-บางบัวทอง (M9) ตามหลักการที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนได้ให้ความเห็นชอบแล้ว มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยแบ่งเบาปริมาณจราจรบนถนนกาญจนาภิเษกด้านตะวันตก และเชื่อมต่อโครงข่ายทางหลวงพิเศษรอบกรุงเทพมหานคร คาดว่าจะก่อสร้างในปี 2568 แล้วเสร็จในปี 2571

    จุดเริ่มต้นบริเวณทางแยกต่างระดับบางขุนเทียน กทม. จุดสิ้นสุดบริเวณจุดตัดทางแยกต่างระดับบางบัวทอง จ.นนทบุรี ระยะทาง 35.85 กิโลเมตร เป็นทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร มีทางขึ้น 8 จุด ทางลง 6 จุด ทางแยกต่างระดับ 5 แห่ง เป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในรูปแบบ PPP NET Cost (ให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ) กรอบวงเงินร่วมลงทุน 47,521.04 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 4,253.30 ล้านบาท มีการเวนคืนที่ดิน 3 จุด รวม 33 ไร่ 2 งาน 75 ตารางวา

    ส่วนการเก็บค่าผ่านทาง ใช้ระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow) คิดค่าผ่านทางรถยนต์ 4 ล้อ คิด 10 บาท + 1.50 บาทต่อกิโลเมตร รถยนต์ 6 ล้อ คิด 15 บาท + 2.40 บาทต่อกิโลเมตร รถยนต์มากกว่า 6 ล้อ คิด 25 บาท + 3.45 บาทต่อกิโลเมตร โดยเอกชนเป็นผู้จัดเก็บค่าผ่านทาง ปรับขึ้นค่าผ่านทางทุก 5 ปี ระยะเวลาโครงการรวม 34 ปี แบ่งเป็นก่อสร้าง 4 ปี ดำเนินงานและบำรุงรักษา 30 ปี

    ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากเริ่มต้นก่อสร้างก็คือ ถนนกาญจนาภิเษกตั้งแต่บางขุนเทียนถึงบางบัวทอง โดยเฉพาะทางแยกต่างระดับบางขุนเทียน ทางแยกต่างระดับฉิมพลี และทางแยกต่างระดับบางใหญ่ ที่มีลักษณะเป็นคอขวดอาจติดขัด บางวันถึงขั้นเป็นอัมพาต หากบริหารจัดการจราจรไม่ดี ส่วนถนนราชพฤกษ์ต้องแบกรับการจราจรมากขึ้น และอุบัติเหตุจากการก่อสร้างที่เกิดขึ้นซ้ำซาก เฉกเช่นถนนพระรามที่ 2 อาจซ้ำรอยเกิดขึ้นกับถนนกาญจนาภิเษก โดยที่หน่วยงานผู้รับผิดชอบอย่างกรมทางหลวง และกระทรวงคมนาคม ทำได้แค่ วัวหายแล้วล้อมคอก

    #Newskit
    เส้นกาญจนาฯ เตรียมอัมพาต สร้างมอเตอร์เวย์ M9 โซนกรุงเทพมหานครและปริมณฑลด้านตะวันตก ประสบปัญหาการจราจรติดขัดเนื่องจากการก่อสร้างมายาวนาน ตั้งแต่โครงการทางยกระดับถนนพระรามที่ 2 โครงการก่อสร้างสะพานข้ามคลองมหาสวัสดิ์ ถนนราชพฤกษ์ โครงการขยายถนนชัยพฤกษ์ โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 81 บางใหญ่-กาญจนบุรี กระทบกับทางแยกต่างระดับบางใหญ่ ส่วนถนนกาญจนาภิเษก ปรับปรุงผิวทางเป็นคอนกรีตช่วงบางขุนเทียน-บางแค ตั้งแต่ปี 2563 ยังไม่แล้วเสร็จเพราะแก้ไขแบบเพิ่มเติม มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 3 ธ.ค. เห็นชอบให้กรมทางหลวงดำเนินการก่อสร้างโครงการมอเตอร์เวย์ทางยกระดับสายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ช่วงบางขุนเทียน-บางบัวทอง (M9) ตามหลักการที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนได้ให้ความเห็นชอบแล้ว มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยแบ่งเบาปริมาณจราจรบนถนนกาญจนาภิเษกด้านตะวันตก และเชื่อมต่อโครงข่ายทางหลวงพิเศษรอบกรุงเทพมหานคร คาดว่าจะก่อสร้างในปี 2568 แล้วเสร็จในปี 2571 จุดเริ่มต้นบริเวณทางแยกต่างระดับบางขุนเทียน กทม. จุดสิ้นสุดบริเวณจุดตัดทางแยกต่างระดับบางบัวทอง จ.นนทบุรี ระยะทาง 35.85 กิโลเมตร เป็นทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร มีทางขึ้น 8 จุด ทางลง 6 จุด ทางแยกต่างระดับ 5 แห่ง เป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในรูปแบบ PPP NET Cost (ให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ) กรอบวงเงินร่วมลงทุน 47,521.04 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 4,253.30 ล้านบาท มีการเวนคืนที่ดิน 3 จุด รวม 33 ไร่ 2 งาน 75 ตารางวา ส่วนการเก็บค่าผ่านทาง ใช้ระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow) คิดค่าผ่านทางรถยนต์ 4 ล้อ คิด 10 บาท + 1.50 บาทต่อกิโลเมตร รถยนต์ 6 ล้อ คิด 15 บาท + 2.40 บาทต่อกิโลเมตร รถยนต์มากกว่า 6 ล้อ คิด 25 บาท + 3.45 บาทต่อกิโลเมตร โดยเอกชนเป็นผู้จัดเก็บค่าผ่านทาง ปรับขึ้นค่าผ่านทางทุก 5 ปี ระยะเวลาโครงการรวม 34 ปี แบ่งเป็นก่อสร้าง 4 ปี ดำเนินงานและบำรุงรักษา 30 ปี ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากเริ่มต้นก่อสร้างก็คือ ถนนกาญจนาภิเษกตั้งแต่บางขุนเทียนถึงบางบัวทอง โดยเฉพาะทางแยกต่างระดับบางขุนเทียน ทางแยกต่างระดับฉิมพลี และทางแยกต่างระดับบางใหญ่ ที่มีลักษณะเป็นคอขวดอาจติดขัด บางวันถึงขั้นเป็นอัมพาต หากบริหารจัดการจราจรไม่ดี ส่วนถนนราชพฤกษ์ต้องแบกรับการจราจรมากขึ้น และอุบัติเหตุจากการก่อสร้างที่เกิดขึ้นซ้ำซาก เฉกเช่นถนนพระรามที่ 2 อาจซ้ำรอยเกิดขึ้นกับถนนกาญจนาภิเษก โดยที่หน่วยงานผู้รับผิดชอบอย่างกรมทางหลวง และกระทรวงคมนาคม ทำได้แค่ วัวหายแล้วล้อมคอก #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 776 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts