• “UbuCon India ครั้งแรก! รวมพลังชุมชน Ubuntu และ FOSS ที่ Bengaluru — จุดเริ่มต้นใหม่ของโอเพ่นซอร์สในอินเดีย”

    อินเดียกำลังจะมีงาน UbuCon ครั้งแรกในประวัติศาสตร์! งานนี้จัดขึ้นโดยกลุ่ม Ubuntu India LoCo ซึ่งเป็นชุมชนท้องถิ่นที่ส่งเสริมการใช้ Ubuntu และซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส (FOSS) ในภูมิภาคของตน โดยงานจะจัดขึ้นวันที่ 15–16 พฤศจิกายน 2025 ที่สถาบัน Indian Institute of Science (IISc) เมือง Bengaluru

    UbuCon เป็นงานสัมมนาแบบอาสาสมัครที่เน้นชุมชน ไม่ใช่งานโชว์ของบริษัท โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงนักพัฒนา ผู้ใช้ และผู้สนับสนุน FOSS ให้มาแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่ายร่วมกัน

    หัวข้อที่จะพูดถึงในงานมีหลากหลาย ตั้งแต่ desktop environments, cloud infrastructure, IoT, documentation ไปจนถึง AI โดยมี It’s FOSS เป็นพันธมิตรสื่ออย่างเป็นทางการของงานนี้

    UbuCon India 2025 เป็นงาน UbuCon ครั้งแรกในอินเดีย
    จัดโดยกลุ่ม Ubuntu India LoCo

    งานจัดขึ้นวันที่ 15–16 พฤศจิกายน 2025
    สถานที่คือ IISc Bengaluru

    เป็นงานที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน ไม่ใช่บริษัท
    เน้นการแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่าย

    หัวข้อในงานครอบคลุมหลายด้านของเทคโนโลยี FOSS
    เช่น desktop, cloud, IoT, documentation, AI

    It’s FOSS เป็นพันธมิตรสื่ออย่างเป็นทางการ
    เตรียมรายงานข่าวและบทวิเคราะห์จากงาน

    เปิดให้ลงทะเบียนผ่าน KonfHub พร้อมส่วนลดสำหรับนักเรียน
    ราคาบัตรเข้าร่วมงานอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้

    https://news.itsfoss.com/events/first-ubucon-india/
    🐧 “UbuCon India ครั้งแรก! รวมพลังชุมชน Ubuntu และ FOSS ที่ Bengaluru — จุดเริ่มต้นใหม่ของโอเพ่นซอร์สในอินเดีย” อินเดียกำลังจะมีงาน UbuCon ครั้งแรกในประวัติศาสตร์! งานนี้จัดขึ้นโดยกลุ่ม Ubuntu India LoCo ซึ่งเป็นชุมชนท้องถิ่นที่ส่งเสริมการใช้ Ubuntu และซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส (FOSS) ในภูมิภาคของตน โดยงานจะจัดขึ้นวันที่ 15–16 พฤศจิกายน 2025 ที่สถาบัน Indian Institute of Science (IISc) เมือง Bengaluru UbuCon เป็นงานสัมมนาแบบอาสาสมัครที่เน้นชุมชน ไม่ใช่งานโชว์ของบริษัท โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงนักพัฒนา ผู้ใช้ และผู้สนับสนุน FOSS ให้มาแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่ายร่วมกัน หัวข้อที่จะพูดถึงในงานมีหลากหลาย ตั้งแต่ desktop environments, cloud infrastructure, IoT, documentation ไปจนถึง AI โดยมี It’s FOSS เป็นพันธมิตรสื่ออย่างเป็นทางการของงานนี้ ✅ UbuCon India 2025 เป็นงาน UbuCon ครั้งแรกในอินเดีย ➡️ จัดโดยกลุ่ม Ubuntu India LoCo ✅ งานจัดขึ้นวันที่ 15–16 พฤศจิกายน 2025 ➡️ สถานที่คือ IISc Bengaluru ✅ เป็นงานที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน ไม่ใช่บริษัท ➡️ เน้นการแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่าย ✅ หัวข้อในงานครอบคลุมหลายด้านของเทคโนโลยี FOSS ➡️ เช่น desktop, cloud, IoT, documentation, AI ✅ It’s FOSS เป็นพันธมิตรสื่ออย่างเป็นทางการ ➡️ เตรียมรายงานข่าวและบทวิเคราะห์จากงาน ✅ เปิดให้ลงทะเบียนผ่าน KonfHub พร้อมส่วนลดสำหรับนักเรียน ➡️ ราคาบัตรเข้าร่วมงานอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ https://news.itsfoss.com/events/first-ubucon-india/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Gcore ป้องกัน DDoS ระดับ 6 Tbps ได้สำเร็จ — บอทเน็ต AISURU โจมตีโครงสร้างพื้นฐานเกมแบบสายฟ้าแลบ”

    Gcore ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และความปลอดภัยระดับโลก เปิดเผยว่าได้ป้องกันการโจมตีแบบ DDoS ที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยมีปริมาณข้อมูลพุ่งสูงถึง 6 Tbps และอัตราแพ็กเกตสูงถึง 5.3 พันล้านแพ็กเกตต่อวินาที (Bpps) การโจมตีนี้ใช้โปรโตคอล UDP และมีลักษณะเป็น short-burst flood ที่กินเวลาราว 30–45 วินาที

    เป้าหมายของการโจมตีคือผู้ให้บริการโฮสติ้งในอุตสาหกรรมเกม แต่ลักษณะของการโจมตีชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่กว้างขึ้นของการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก โดยเฉพาะจากบอทเน็ต AISURU ซึ่งมีต้นทางหลักจากบราซิล (51%) และสหรัฐอเมริกา (23.7%)

    Gcore ระบุว่าการโจมตีลักษณะนี้ไม่เพียงแต่ต้องการทำให้ระบบล่ม แต่ยังเป็นการ “ทดสอบความทนทาน” ของระบบก่อนการโจมตีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นในอนาคต

    Gcore ป้องกัน DDoS ขนาด 6 Tbps ได้สำเร็จ
    อัตราแพ็กเกตสูงถึง 5.3 Bpps

    การโจมตีใช้โปรโตคอล UDP แบบ volumetric flood
    ลักษณะเป็น short-burst flood 30–45 วินาที

    เป้าหมายคือผู้ให้บริการโฮสติ้งในอุตสาหกรรมเกม
    แต่ลักษณะการโจมตีชี้ถึงแนวโน้มที่กว้างขึ้น

    แหล่งที่มาหลักของทราฟฟิกคือบราซิล (51%) และสหรัฐฯ (23.7%)
    รวมกันคิดเป็นเกือบ 75% ของทราฟฟิกทั้งหมด

    บอทเน็ตที่ใช้คือ AISURU
    เคยเกี่ยวข้องกับการโจมตีระดับสูงหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา

    Gcore ใช้โครงสร้างพื้นฐานกว่า 210 PoPs และระบบกรองที่รองรับ 200 Tbps
    ป้องกันการโจมตีได้โดยไม่มีการหยุดให้บริการ

    รายงาน Gcore Radar Q1–Q2 2025 พบว่า DDoS เพิ่มขึ้น 41% ในไตรมาสเดียว
    การโจมตีที่พุ่งเป้าไปยังบริษัทเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นเป็น 30% ของทั้งหมด

    การโจมตีแบบ short-burst flood อาจไม่ถูกตรวจจับโดยระบบทั่วไป
    เพราะเกิดขึ้นเร็วและจบก่อนระบบจะตอบสนอง

    โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่มีระบบป้องกันแบบ adaptive อาจล่มได้ทันที
    โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกม, โฮสติ้ง และองค์กรขนาดใหญ่

    บอทเน็ต AISURU ใช้อุปกรณ์ที่มีความปลอดภัยต่ำในภูมิภาคที่มีความหนาแน่นสูง
    เช่น บราซิลและสหรัฐฯ ซึ่งมีอุปกรณ์ IoT จำนวนมาก

    การโจมตีลักษณะนี้อาจเป็นเพียงการเริ่มต้นของแคมเปญที่ใหญ่กว่า
    อาจมีการโจมตีแบบ multi-vector หรือเจาะระบบในขั้นต่อไป

    การพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานแบบรวมศูนย์โดยไม่มี edge filtering
    อาจทำให้ระบบล่มก่อนถึงศูนย์ข้อมูลหลัก

    https://securityonline.info/gcore-mitigates-record-breaking-6-tbps-ddos-attack/
    🌐 “Gcore ป้องกัน DDoS ระดับ 6 Tbps ได้สำเร็จ — บอทเน็ต AISURU โจมตีโครงสร้างพื้นฐานเกมแบบสายฟ้าแลบ” Gcore ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และความปลอดภัยระดับโลก เปิดเผยว่าได้ป้องกันการโจมตีแบบ DDoS ที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยมีปริมาณข้อมูลพุ่งสูงถึง 6 Tbps และอัตราแพ็กเกตสูงถึง 5.3 พันล้านแพ็กเกตต่อวินาที (Bpps) การโจมตีนี้ใช้โปรโตคอล UDP และมีลักษณะเป็น short-burst flood ที่กินเวลาราว 30–45 วินาที เป้าหมายของการโจมตีคือผู้ให้บริการโฮสติ้งในอุตสาหกรรมเกม แต่ลักษณะของการโจมตีชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่กว้างขึ้นของการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก โดยเฉพาะจากบอทเน็ต AISURU ซึ่งมีต้นทางหลักจากบราซิล (51%) และสหรัฐอเมริกา (23.7%) Gcore ระบุว่าการโจมตีลักษณะนี้ไม่เพียงแต่ต้องการทำให้ระบบล่ม แต่ยังเป็นการ “ทดสอบความทนทาน” ของระบบก่อนการโจมตีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นในอนาคต ✅ Gcore ป้องกัน DDoS ขนาด 6 Tbps ได้สำเร็จ ➡️ อัตราแพ็กเกตสูงถึง 5.3 Bpps ✅ การโจมตีใช้โปรโตคอล UDP แบบ volumetric flood ➡️ ลักษณะเป็น short-burst flood 30–45 วินาที ✅ เป้าหมายคือผู้ให้บริการโฮสติ้งในอุตสาหกรรมเกม ➡️ แต่ลักษณะการโจมตีชี้ถึงแนวโน้มที่กว้างขึ้น ✅ แหล่งที่มาหลักของทราฟฟิกคือบราซิล (51%) และสหรัฐฯ (23.7%) ➡️ รวมกันคิดเป็นเกือบ 75% ของทราฟฟิกทั้งหมด ✅ บอทเน็ตที่ใช้คือ AISURU ➡️ เคยเกี่ยวข้องกับการโจมตีระดับสูงหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา ✅ Gcore ใช้โครงสร้างพื้นฐานกว่า 210 PoPs และระบบกรองที่รองรับ 200 Tbps ➡️ ป้องกันการโจมตีได้โดยไม่มีการหยุดให้บริการ ✅ รายงาน Gcore Radar Q1–Q2 2025 พบว่า DDoS เพิ่มขึ้น 41% ในไตรมาสเดียว ➡️ การโจมตีที่พุ่งเป้าไปยังบริษัทเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นเป็น 30% ของทั้งหมด ‼️ การโจมตีแบบ short-burst flood อาจไม่ถูกตรวจจับโดยระบบทั่วไป ⛔ เพราะเกิดขึ้นเร็วและจบก่อนระบบจะตอบสนอง ‼️ โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่มีระบบป้องกันแบบ adaptive อาจล่มได้ทันที ⛔ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกม, โฮสติ้ง และองค์กรขนาดใหญ่ ‼️ บอทเน็ต AISURU ใช้อุปกรณ์ที่มีความปลอดภัยต่ำในภูมิภาคที่มีความหนาแน่นสูง ⛔ เช่น บราซิลและสหรัฐฯ ซึ่งมีอุปกรณ์ IoT จำนวนมาก ‼️ การโจมตีลักษณะนี้อาจเป็นเพียงการเริ่มต้นของแคมเปญที่ใหญ่กว่า ⛔ อาจมีการโจมตีแบบ multi-vector หรือเจาะระบบในขั้นต่อไป ‼️ การพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานแบบรวมศูนย์โดยไม่มี edge filtering ⛔ อาจทำให้ระบบล่มก่อนถึงศูนย์ข้อมูลหลัก https://securityonline.info/gcore-mitigates-record-breaking-6-tbps-ddos-attack/
    SECURITYONLINE.INFO
    Gcore Mitigates Record-Breaking 6 Tbps DDoS Attack
    Luxembourg, Luxembourg, 14th October 2025, CyberNewsWire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่วน!! สหรัฐฯ สั่งยึด Bitcoin มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ (4.9 แสนล้านบาท) ของนายเฉิน จื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา ซึ่งมีฐานเปิดศูนย์หลอกลวงในกัมพูชา บังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกาย ทรมานและฉ้อโกงเงินดิจิทัล หนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงของฮุนเซน ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า เป็น "การริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ"
    .
    มีรานงานล่าสุดว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) สั่งยึด Bitcoin ของนายเฉินจื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา มูลค่าหลายพันล้านจากกลโกงคริปโต ครั้งใหญ่ในกัมพูชา
    .
    นายเฉิน จื้อ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าดำเนินค่ายแรงงานบังคับในกัมพูชา โดยบังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกายและทรมาน ที่ถูกค้ามนุษย์ดำเนินการฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัล และสามารถกวาดเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์
    .
    สหรัฐ กล่าวว่า เฉิน จื้อ แห่ง Prince Holding Group และพวกพ้องของเขาถูกกล่าวหาว่าสร้างรายได้มากถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวันจากการหลอกลวงครั้งหนึ่ง และฉินเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต และบิดาของเขา อดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน และได้รับเกียรติด้วยบรรดาศักดิ์ “ออกญา” ซึ่งเทียบเท่ากับขุนนางอังกฤษ และไทยในอดีต
    .
    เฉิน จื้อ ชายวัย 37 ปี ซึ่งรู้จักกันในชื่อวินเซนต์ เป็นผู้ก่อตั้ง Prince Holding Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่ทางการระบุว่าทำหน้าที่เป็นฉากหน้าของ "หนึ่งในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย" ตามข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ
    .
    กระทรวงยุติธรรมยังได้ยื่นฟ้องริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยยึด Bitcoin ได้ประมาณ 127,271 บิตคอยน์ คิดเป็นมูลค่าราว 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 4.9 แสนล้านบาท ในราคาปัจจุบัน
    .
    “การดำเนินการในวันนี้ถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่สุดในการปราบปรามการค้ามนุษย์และการฉ้อโกงทางการเงินผ่านไซเบอร์ ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงระดับโลก” อัยการสูงสุด แพม บอนดี กล่าว
    .
    มีรายงานว่าเฉินได้สั่งการให้มีการบังคับใช้แรงงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วกัมพูชา โดยมีการกักขังแรงงานค้ามนุษย์หลายร้อยคนไว้ในสถานที่คล้ายเรือนจำที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและลวดหนาม
    .
    ปีที่แล้ว ชาวอเมริกันสูญเสียเงินอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับการหลอกลวงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 66% จากปี 2023 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุ และเรียก Prince Holding Group ว่าเป็น “ผู้เล่นหลัก” ในอุตสาหกรรมนี้ ทางการจีนได้ดำเนินการสืบสวนบริษัทนี้ในข้อหาหลอกลวงทางไซเบอร์และการฟอกเงินมาตั้งแต่ต้นปี 2020 ตามบันทึกของศาลที่ตรวจสอบโดยสถาบันสันติภาพสหรัฐฯ
    .
    ภายใต้การคุกคามของความรุนแรง พวกเขาถูกบังคับให้ดำเนินการตามกลลวงที่เรียกว่า "การฆ่าหมู" ซึ่งเป็นแผนการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างความไว้วางใจกับเหยื่อในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะขโมยเงินของพวกเขาไป แผนการดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่เหยื่อทั่วโลก ทำให้เกิดการสูญเสียนับพันล้าน
    .
    ศูนย์หลอกลวงทั่วทั้งกัมพูชา เมียนมาร์ และภูมิภาคอื่นๆ ใช้โฆษณาหางานปลอมเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติ ซึ่งหลายคนเป็นชาวจีน ให้มาทำงานในสถานที่ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ โดยคนเหล่านี้ถูกบังคับให้ฉ้อโกงทางออนไลน์ภายใต้ภัยคุกคามของการทรมาน
    .
    เฉินเป็นผู้ดูแลสถานที่ดังกล่าว ติดตามผลกำไรและแผนการต่างๆ และยังมีภาพการทุบตีและการทรมานเหยื่ออีกด้วย เขาพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับการลงโทษผู้ที่ “ก่อปัญหา” แต่เน้นย้ำว่าคนงาน “ไม่ควรถูกตีจนตาย” ผู้หลอกลวงมักติดต่อเหยื่อผ่านแอปส่งข้อความหรือโซเชียลมีเดีย โดยสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงจากการลงทุน ตามที่ฟ้องระบุ
    .
    นับตั้งแต่ประมาณปี 2015 Prince Group ได้ดำเนินกิจการในกว่า 30 ประเทศภายใต้ข้ออ้างของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และผู้บริโภคที่ถูกกฎหมาย อัยการกล่าว
    .
    เฉินและผู้บริหารระดับสูงถูกกล่าวหาว่าใช้อิทธิพลทางการเมืองและติดสินบนเจ้าหน้าที่ในหลายประเทศเพื่อปกป้องการดำเนินงาน รายได้ส่วนหนึ่งถูกฟอกเงินผ่านการพนันและการขุดสกุลเงินดิจิทัลของ Prince Group เอง
    .
    เจ้าหน้าที่เผยว่าเงินที่ถูกขโมยไปนั้นจะถูกนำไปใช้ในการซื้อของหรูหราต่างๆ รวมถึงนาฬิกา เรือยอทช์ เครื่องบินส่วนตัว บ้านพักตากอากาศ และภาพวาดของปิกัสโซที่ซื้อจากบ้านประมูลแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก
    .
    เฉินอาจต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุด 40 ปี หากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงทางสายโทรศัพท์และสมคบคิดฟอกเงิน
    .
    ในการดำเนินการประสานงานกัน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อังกฤษได้อายัดทรัพย์สิน 19 แห่งในลอนดอน มูลค่ากว่า 100 ล้านปอนด์ ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายของเฉิน รวมถึงคฤหาสน์มูลค่า 12 ล้านปอนด์ในลอนดอนตอนเหนือ
    .
    มาตรการคว่ำบาตรยังมุ่งเป้าไปที่ Qiu Wei Ren ผู้ร่วมงานของ Chen ซึ่งเป็นคนสัญชาติจีนที่มีสัญชาติกัมพูชา ไซปรัส และฮ่องกงอีกด้วย
    .
    การสืบสวนของ AFP เมื่อวันอังคารพบว่าศูนย์หลอกลวงในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาร์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่เดือนหลังจากการปราบปรามในประเทศดังกล่าว
    .
    จีน ไทย และเมียนมาร์ บังคับให้กองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนรัฐบาลทหารของเมียนมาร์ซึ่งปกป้องศูนย์เหล่านี้สัญญาว่าจะปิดศูนย์เหล่านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยปล่อยตัวผู้คนไปประมาณ 7,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเมืองจีน
    .
    แต่ระบบคอลเซ็นเตอร์แบบโหดกำลังกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในเมียนมาร์ โดยขณะนี้ใช้ระบบดาวเทียม Starlink ของ Elon Musk เพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
    ด่วน!! สหรัฐฯ สั่งยึด Bitcoin มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ (4.9 แสนล้านบาท) ของนายเฉิน จื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา ซึ่งมีฐานเปิดศูนย์หลอกลวงในกัมพูชา บังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกาย ทรมานและฉ้อโกงเงินดิจิทัล หนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงของฮุนเซน ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า เป็น "การริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ" . มีรานงานล่าสุดว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) สั่งยึด Bitcoin ของนายเฉินจื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา มูลค่าหลายพันล้านจากกลโกงคริปโต ครั้งใหญ่ในกัมพูชา . นายเฉิน จื้อ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าดำเนินค่ายแรงงานบังคับในกัมพูชา โดยบังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกายและทรมาน ที่ถูกค้ามนุษย์ดำเนินการฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัล และสามารถกวาดเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์ . สหรัฐ กล่าวว่า เฉิน จื้อ แห่ง Prince Holding Group และพวกพ้องของเขาถูกกล่าวหาว่าสร้างรายได้มากถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวันจากการหลอกลวงครั้งหนึ่ง และฉินเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต และบิดาของเขา อดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน และได้รับเกียรติด้วยบรรดาศักดิ์ “ออกญา” ซึ่งเทียบเท่ากับขุนนางอังกฤษ และไทยในอดีต . เฉิน จื้อ ชายวัย 37 ปี ซึ่งรู้จักกันในชื่อวินเซนต์ เป็นผู้ก่อตั้ง Prince Holding Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่ทางการระบุว่าทำหน้าที่เป็นฉากหน้าของ "หนึ่งในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย" ตามข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ . กระทรวงยุติธรรมยังได้ยื่นฟ้องริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยยึด Bitcoin ได้ประมาณ 127,271 บิตคอยน์ คิดเป็นมูลค่าราว 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 4.9 แสนล้านบาท ในราคาปัจจุบัน . “การดำเนินการในวันนี้ถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่สุดในการปราบปรามการค้ามนุษย์และการฉ้อโกงทางการเงินผ่านไซเบอร์ ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงระดับโลก” อัยการสูงสุด แพม บอนดี กล่าว . มีรายงานว่าเฉินได้สั่งการให้มีการบังคับใช้แรงงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วกัมพูชา โดยมีการกักขังแรงงานค้ามนุษย์หลายร้อยคนไว้ในสถานที่คล้ายเรือนจำที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและลวดหนาม . ปีที่แล้ว ชาวอเมริกันสูญเสียเงินอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับการหลอกลวงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 66% จากปี 2023 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุ และเรียก Prince Holding Group ว่าเป็น “ผู้เล่นหลัก” ในอุตสาหกรรมนี้ ทางการจีนได้ดำเนินการสืบสวนบริษัทนี้ในข้อหาหลอกลวงทางไซเบอร์และการฟอกเงินมาตั้งแต่ต้นปี 2020 ตามบันทึกของศาลที่ตรวจสอบโดยสถาบันสันติภาพสหรัฐฯ . ภายใต้การคุกคามของความรุนแรง พวกเขาถูกบังคับให้ดำเนินการตามกลลวงที่เรียกว่า "การฆ่าหมู" ซึ่งเป็นแผนการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างความไว้วางใจกับเหยื่อในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะขโมยเงินของพวกเขาไป แผนการดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่เหยื่อทั่วโลก ทำให้เกิดการสูญเสียนับพันล้าน . ศูนย์หลอกลวงทั่วทั้งกัมพูชา เมียนมาร์ และภูมิภาคอื่นๆ ใช้โฆษณาหางานปลอมเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติ ซึ่งหลายคนเป็นชาวจีน ให้มาทำงานในสถานที่ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ โดยคนเหล่านี้ถูกบังคับให้ฉ้อโกงทางออนไลน์ภายใต้ภัยคุกคามของการทรมาน . เฉินเป็นผู้ดูแลสถานที่ดังกล่าว ติดตามผลกำไรและแผนการต่างๆ และยังมีภาพการทุบตีและการทรมานเหยื่ออีกด้วย เขาพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับการลงโทษผู้ที่ “ก่อปัญหา” แต่เน้นย้ำว่าคนงาน “ไม่ควรถูกตีจนตาย” ผู้หลอกลวงมักติดต่อเหยื่อผ่านแอปส่งข้อความหรือโซเชียลมีเดีย โดยสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงจากการลงทุน ตามที่ฟ้องระบุ . นับตั้งแต่ประมาณปี 2015 Prince Group ได้ดำเนินกิจการในกว่า 30 ประเทศภายใต้ข้ออ้างของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และผู้บริโภคที่ถูกกฎหมาย อัยการกล่าว . เฉินและผู้บริหารระดับสูงถูกกล่าวหาว่าใช้อิทธิพลทางการเมืองและติดสินบนเจ้าหน้าที่ในหลายประเทศเพื่อปกป้องการดำเนินงาน รายได้ส่วนหนึ่งถูกฟอกเงินผ่านการพนันและการขุดสกุลเงินดิจิทัลของ Prince Group เอง . เจ้าหน้าที่เผยว่าเงินที่ถูกขโมยไปนั้นจะถูกนำไปใช้ในการซื้อของหรูหราต่างๆ รวมถึงนาฬิกา เรือยอทช์ เครื่องบินส่วนตัว บ้านพักตากอากาศ และภาพวาดของปิกัสโซที่ซื้อจากบ้านประมูลแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก . เฉินอาจต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุด 40 ปี หากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงทางสายโทรศัพท์และสมคบคิดฟอกเงิน . ในการดำเนินการประสานงานกัน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อังกฤษได้อายัดทรัพย์สิน 19 แห่งในลอนดอน มูลค่ากว่า 100 ล้านปอนด์ ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายของเฉิน รวมถึงคฤหาสน์มูลค่า 12 ล้านปอนด์ในลอนดอนตอนเหนือ . มาตรการคว่ำบาตรยังมุ่งเป้าไปที่ Qiu Wei Ren ผู้ร่วมงานของ Chen ซึ่งเป็นคนสัญชาติจีนที่มีสัญชาติกัมพูชา ไซปรัส และฮ่องกงอีกด้วย . การสืบสวนของ AFP เมื่อวันอังคารพบว่าศูนย์หลอกลวงในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาร์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่เดือนหลังจากการปราบปรามในประเทศดังกล่าว . จีน ไทย และเมียนมาร์ บังคับให้กองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนรัฐบาลทหารของเมียนมาร์ซึ่งปกป้องศูนย์เหล่านี้สัญญาว่าจะปิดศูนย์เหล่านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยปล่อยตัวผู้คนไปประมาณ 7,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเมืองจีน . แต่ระบบคอลเซ็นเตอร์แบบโหดกำลังกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในเมียนมาร์ โดยขณะนี้ใช้ระบบดาวเทียม Starlink ของ Elon Musk เพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชมอีกครั้งคลิปเหตุการณ์หาดูยากย้อนรอยประวัติศาสตร์การลี้ภัยครั้งใหญ่ของชาวกัมพูชากว่าครึ่งล้านคน ที่ต้องหนีสงครามกลางเมืองและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จากยุคเขมรแดง (พ.ศ. 2518 และ 2522) เข้ามาอาศัยในค่ายอพยพตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีรัฐบาลไทยและองค์กรโลกคอยให้ความช่วยเหลือดูแลถึง 7 ค่ายอพยพหลัก อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่ยังคงดำเนินอยู่ในปัจจุบัน เมื่อผู้ลี้ภัยบางส่วนไม่ยอมกลับประเทศ และมีกรณีพิพาทอ้างสิทธิ์ครอบครองและรุกล้ำที่ดินของคนไทย ซึ่งเป็นเจ้าของดั้งเดิมตามแนวชายแดน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000098169

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    ชมอีกครั้งคลิปเหตุการณ์หาดูยากย้อนรอยประวัติศาสตร์การลี้ภัยครั้งใหญ่ของชาวกัมพูชากว่าครึ่งล้านคน ที่ต้องหนีสงครามกลางเมืองและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จากยุคเขมรแดง (พ.ศ. 2518 และ 2522) เข้ามาอาศัยในค่ายอพยพตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีรัฐบาลไทยและองค์กรโลกคอยให้ความช่วยเหลือดูแลถึง 7 ค่ายอพยพหลัก อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่ยังคงดำเนินอยู่ในปัจจุบัน เมื่อผู้ลี้ภัยบางส่วนไม่ยอมกลับประเทศ และมีกรณีพิพาทอ้างสิทธิ์ครอบครองและรุกล้ำที่ดินของคนไทย ซึ่งเป็นเจ้าของดั้งเดิมตามแนวชายแดน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000098169 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทรานซิสเตอร์ — สิ่งประดิษฐ์ที่ถูกผลิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ”

    เมื่อพูดถึงสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์ผลิตมากที่สุด หลายคนอาจนึกถึงล้อเกวียน, ตะปู, หรือแม้แต่ถุงเท้า แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่ถูกผลิตมากที่สุดในโลกคือ “ทรานซิสเตอร์” — อุปกรณ์ขนาดเล็กที่เป็นหัวใจของอิเล็กทรอนิกส์ยุคใหม่

    ทรานซิสเตอร์ตัวแรกถูกสร้างขึ้นในปี 1947 โดย Bell Labs และมีขนาดใหญ่พอจะวางบนโต๊ะได้ แต่ปัจจุบันทรานซิสเตอร์มีขนาดเล็กกว่าเศษฝุ่น และถูกผลิตไปแล้วมากกว่า 13 เซ็กทิลเลียนตัว (13 ตามด้วยศูนย์อีก 21 ตัว) ระหว่างปี 1947 ถึง 2018 ซึ่งจำนวนนี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกปี

    ทรานซิสเตอร์ทำหน้าที่เป็นสวิตช์สองสถานะ — เปิดหรือปิด — ซึ่งเป็นพื้นฐานของระบบเลขฐานสองที่ใช้ในคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ดิจิทัลทั้งหมด โดยทรานซิสเตอร์สมัยใหม่เป็นแบบ MOS (Metal-Oxide Semiconductor) ที่ใช้ซิลิคอนเป็นวัสดุหลัก และมีขนาดเล็กระดับนาโนเมตร เช่น 3–5 nm หรือแม้แต่ 1 nm ในบางกรณี

    ในคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องอาจมีทรานซิสเตอร์หลายพันล้านตัว เช่น CPU รุ่นใหม่ของ Intel มีมากถึง 40 พันล้านตัว ขณะที่ชิปในปี 1971 มีเพียง 2,300 ตัวเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีการผลิต

    แม้ขนาดของทรานซิสเตอร์จะใกล้เคียงกับอะตอมของซิลิคอน (0.2 nm) ซึ่งเป็นขีดจำกัดทางฟิสิกส์ แต่ยังมีความหวังในการใช้วัสดุใหม่ เช่น ทรานซิสเตอร์แบบ 2D หรือวัสดุเหนือธรรมดาอื่น ๆ เพื่อผลักดันขีดจำกัดนี้ให้ไกลออกไป

    อย่างไรก็ตาม หากโลกเปลี่ยนไปใช้ควอนตัมคอมพิวติ้งอย่างเต็มรูปแบบ ทรานซิสเตอร์อาจถูกแทนที่ด้วย “คิวบิต” ซึ่งเป็นหน่วยข้อมูลที่สามารถอยู่ในหลายสถานะพร้อมกันได้ — และนั่นอาจเป็นจุดสิ้นสุดของยุคทรานซิสเตอร์ที่ครองโลกมายาวนานกว่า 75 ปี

    ทรานซิสเตอร์เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกผลิตมากที่สุดในโลก
    มากกว่า 13 เซ็กทิลเลียนตัวระหว่างปี 1947–2018

    ทรานซิสเตอร์ตัวแรกถูกสร้างโดย Bell Labs ในปี 1947
    เป็นแบบ point-contact transistor ขนาดใหญ่

    ทรานซิสเตอร์สมัยใหม่เป็นแบบ MOS ที่ใช้ซิลิคอน
    มีขนาดเล็กระดับ 3–5 nm หรือแม้แต่ 1 nm

    CPU รุ่นใหม่มีทรานซิสเตอร์มากถึง 40 พันล้านตัว
    เทียบกับชิป Intel ปี 1971 ที่มีเพียง 2,300 ตัว

    ทรานซิสเตอร์ทำหน้าที่เป็นสวิตช์สองสถานะ
    เป็นพื้นฐานของระบบเลขฐานสองในคอมพิวเตอร์

    มีความพยายามพัฒนา 2D transistors และวัสดุใหม่
    เพื่อผลักดันขีดจำกัดของขนาดและประสิทธิภาพ

    คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดใช้ทรานซิสเตอร์
    เช่น CPU, RAM, GPU, SSD

    https://www.slashgear.com/1992406/about-most-produced-invention-in-the-world-transistors/
    🔌 “ทรานซิสเตอร์ — สิ่งประดิษฐ์ที่ถูกผลิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ” เมื่อพูดถึงสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์ผลิตมากที่สุด หลายคนอาจนึกถึงล้อเกวียน, ตะปู, หรือแม้แต่ถุงเท้า แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่ถูกผลิตมากที่สุดในโลกคือ “ทรานซิสเตอร์” — อุปกรณ์ขนาดเล็กที่เป็นหัวใจของอิเล็กทรอนิกส์ยุคใหม่ ทรานซิสเตอร์ตัวแรกถูกสร้างขึ้นในปี 1947 โดย Bell Labs และมีขนาดใหญ่พอจะวางบนโต๊ะได้ แต่ปัจจุบันทรานซิสเตอร์มีขนาดเล็กกว่าเศษฝุ่น และถูกผลิตไปแล้วมากกว่า 13 เซ็กทิลเลียนตัว (13 ตามด้วยศูนย์อีก 21 ตัว) ระหว่างปี 1947 ถึง 2018 ซึ่งจำนวนนี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกปี ทรานซิสเตอร์ทำหน้าที่เป็นสวิตช์สองสถานะ — เปิดหรือปิด — ซึ่งเป็นพื้นฐานของระบบเลขฐานสองที่ใช้ในคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ดิจิทัลทั้งหมด โดยทรานซิสเตอร์สมัยใหม่เป็นแบบ MOS (Metal-Oxide Semiconductor) ที่ใช้ซิลิคอนเป็นวัสดุหลัก และมีขนาดเล็กระดับนาโนเมตร เช่น 3–5 nm หรือแม้แต่ 1 nm ในบางกรณี ในคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องอาจมีทรานซิสเตอร์หลายพันล้านตัว เช่น CPU รุ่นใหม่ของ Intel มีมากถึง 40 พันล้านตัว ขณะที่ชิปในปี 1971 มีเพียง 2,300 ตัวเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีการผลิต แม้ขนาดของทรานซิสเตอร์จะใกล้เคียงกับอะตอมของซิลิคอน (0.2 nm) ซึ่งเป็นขีดจำกัดทางฟิสิกส์ แต่ยังมีความหวังในการใช้วัสดุใหม่ เช่น ทรานซิสเตอร์แบบ 2D หรือวัสดุเหนือธรรมดาอื่น ๆ เพื่อผลักดันขีดจำกัดนี้ให้ไกลออกไป อย่างไรก็ตาม หากโลกเปลี่ยนไปใช้ควอนตัมคอมพิวติ้งอย่างเต็มรูปแบบ ทรานซิสเตอร์อาจถูกแทนที่ด้วย “คิวบิต” ซึ่งเป็นหน่วยข้อมูลที่สามารถอยู่ในหลายสถานะพร้อมกันได้ — และนั่นอาจเป็นจุดสิ้นสุดของยุคทรานซิสเตอร์ที่ครองโลกมายาวนานกว่า 75 ปี ✅ ทรานซิสเตอร์เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกผลิตมากที่สุดในโลก ➡️ มากกว่า 13 เซ็กทิลเลียนตัวระหว่างปี 1947–2018 ✅ ทรานซิสเตอร์ตัวแรกถูกสร้างโดย Bell Labs ในปี 1947 ➡️ เป็นแบบ point-contact transistor ขนาดใหญ่ ✅ ทรานซิสเตอร์สมัยใหม่เป็นแบบ MOS ที่ใช้ซิลิคอน ➡️ มีขนาดเล็กระดับ 3–5 nm หรือแม้แต่ 1 nm ✅ CPU รุ่นใหม่มีทรานซิสเตอร์มากถึง 40 พันล้านตัว ➡️ เทียบกับชิป Intel ปี 1971 ที่มีเพียง 2,300 ตัว ✅ ทรานซิสเตอร์ทำหน้าที่เป็นสวิตช์สองสถานะ ➡️ เป็นพื้นฐานของระบบเลขฐานสองในคอมพิวเตอร์ ✅ มีความพยายามพัฒนา 2D transistors และวัสดุใหม่ ➡️ เพื่อผลักดันขีดจำกัดของขนาดและประสิทธิภาพ ✅ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดใช้ทรานซิสเตอร์ ➡️ เช่น CPU, RAM, GPU, SSD https://www.slashgear.com/1992406/about-most-produced-invention-in-the-world-transistors/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Most Mass-Produced Invention In The World Isn't What You Think - SlashGear
    The humble transistor - smaller than a speck of dust — has been made more than any other invention in history, powering nearly all modern electronics.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..วัดหมัดวัดใจกันแล้ว,ใครก็ตามที่ล้อมรอบนายกฯอนุทิน แล้วทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนอธิปไตยไทยไปเพราะการรังเรสงสัยไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาดในการยกเลิกmou43,44นี้ของนายกฯชุดปัจจุบัน ข้าราชการและนักการเมืองที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องถูกลงโทษทันทีที่ทำให้ไทยเสียดินแดนอธิปไตยไทยไปอีกครั้งและครั้งใหญ่ด้วยนับจากประวัติศาสตร์การเสียดินแดนให้ฝรั่งเศสไป,เพราะด้วยมติคณะครม.ชุดปัจจุบันที่นายกฯคนปัจจุบันมีอำนาจเต็มมือแต่ไม่กระทำการปกป้องอธิปไตยชาติตามกาล แถมผลักภาระการตัดสินใจถ่วงเวลาด้วยการหมายทำประชามติจากประชาชนเห็นอย่างชัดเจน,เจตนานี้สามารถบ่งบอกนัยยะอันตรายส่อไปทางไม่ซื่อสัตย์สุจริตเช่นกัน.
    ..บ้านเมืองไทยเราอันตรายมากจากนักปกครองทางการเมืองและข้าราชการในระบบรัฐบาลไทยที่ประจำการนานกว่านักการเมืองด้วย,ระบบปกครองเรามีปัญหาจริงๆ,คนอายุน้อยมาปกครองคนอายุมากนี้คือของจริง,อายุนักการเมืองมาปกครอง มาไม่กี่ปีแล้วก็ไป,แต่ข้าราชการรัฐบาลมีอายุงานจนถึงอายุ60ปีกันเลยซึ่งขัดกันมาก,สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนได้มากเช่นกันในคนของราชการเองอย่างเช่นตั้งแต่อธิบดีลงมาหรือปลัดลงมาทั้งหมดที่ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาสายข้าราชการประจำทั้งหมดมันอันตรายมากหากคนชั่วดำรงตำแหน่งในนั้น.,การลงโทษนี้จึงสำคัญมากจริงๆแก่บรรดาคนราชการเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อมิให้ก่อการชั่วเลวต่อบ้านเมืองอย่างไม่เกรงใจประชาชนและแผ่นดินไทยตนเองที่ต้องร่วมกันดำรงไว้ซึ่งความสงบสุขทั้งทางกายและใจ ฐานะร่ำรวยไม่ยากจนเต็มประเทศแบบปัจจุบัน,ซึ่งในปัจจุบันเลวชั่วเป็นอันมาก.

    ..การตัดสินใจของนายกฯชุดรัฐบาลปัจจุบันส่ออาการไม่ต่างจากรัฐบาลชุดก่อนเช่นกัน,ไม่เด็ดขาดตัดสินใจจริงทั้งที่ตนสามารถตัดสินใจได้ ถ่วงเวลาไปวันๆเลอะเทอะมาก ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ชัดเจนด้วย,ถ่วงเวลาก็เสมือนมีเจตนาจงใจให้ไทยตนสูญเสียดินแดนอธิปไตยไทยก็ด้วยเข้าม.119อาญาแผ่นดินไทยชัดเจน นอกจาก ม.157 จะระดับข้าราชการประจำเองและหรือนักการเมืองทั้งรัฐบาลก็ด้วยหมดทุกๆชุดทุกๆฝ่ายที่ตนเป็นรัฐบาล ต้องโทษประหารชีวิตเช่นกันเพราะอยู่ในอำนาจตนเองร่วมสมัยนี้เวลานี้จังหวะนี้ชัดเจน แต่ไม่สามัคคีร่วมใจในชุดรัฐบาลตนปกป้องอธิปไตยดินแดนไทยตนทันท่วงทีใดๆเลย,พวกนี้จึงเป็นเหตุสมควรต้องถูกลงโทษทั้งหมด กบฎร่วมทรยศดินแดนอธิปไตยไทยตนร่วมกัยเขมรนั้นเอง.เขมรยิงระเบิดฆ่าเด็กๆคนไทย ฆ่าตายคนไทยเกือบหมดครอบครัว รัฐบาลชุดปัจจุบันนึกว่ามีดีกว่า"ชุดทหารคือฝ่ายตรงข้ามเรา" สุดท้ายแสดงธาตุแท้จริงออกมาโดยไม่ตั้งใจยกเลิกmou43,44ทันทีด้วยมติคณะครม.ตนชุดปัจจุบันถือว่าเป็นรัฐบาลชุดที่ไม่ซื่อสัตย์ไม่ต่างอะไรกับชุดอุ๊งอิ๊งที่ผ่านมาเลย,
    ..นายกฯถ้าหลงผิดเตรียมพาสส.ทั้งรัฐบาลลงเหวด้วยเลย,คนไทยจะไม่ละเว้นทั้งหมดเช่นกัน.,มันบันทึกการกระทำไว้หมดแล้ว ย้อนหลังกี่ปีก็เห็นได้ตลอดเวลาแน่นอน ในการกระทำตนนั้นที่เสือกตอนมีอำนาจลีลา,ตอนยังไม่มีเสือกกระตือรือร้นให้คนอื่นรีบยกเลิกทันทีเช่นกัน.
    ..เครดิตนี้ต้องร่วมเป็นกำลังใจแก่คนดีทุกๆท่านที่ต่อสู้ฟันธงชัดเจนให้ต้องยกเลิกmou43,44นี้จนถึงปัจจุบัน จะทางประชาชนเราเองและหัวเรือใหญ่เดินหมากตรานี้ในกระดานด้วยก็ใช่เช่นกัน,การต่อสู้กับคนชั่วระดับสากลโลกล้อมไทย ที่คิดไม่ดีต่อแผ่นดินไทยมันไม่ง่ายแน่นอน,รวมพวกคนเนรคุณทรยศชาติด้วย ใฝ่ใจแก่เขมรสาระพัดจริตกิริยาการแสดงออกมากมายด้วย


    https://youtube.com/watch?v=z_klubRRzN0&si=n1oV9KmDHDluCDR3
    ..วัดหมัดวัดใจกันแล้ว,ใครก็ตามที่ล้อมรอบนายกฯอนุทิน แล้วทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนอธิปไตยไทยไปเพราะการรังเรสงสัยไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาดในการยกเลิกmou43,44นี้ของนายกฯชุดปัจจุบัน ข้าราชการและนักการเมืองที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องถูกลงโทษทันทีที่ทำให้ไทยเสียดินแดนอธิปไตยไทยไปอีกครั้งและครั้งใหญ่ด้วยนับจากประวัติศาสตร์การเสียดินแดนให้ฝรั่งเศสไป,เพราะด้วยมติคณะครม.ชุดปัจจุบันที่นายกฯคนปัจจุบันมีอำนาจเต็มมือแต่ไม่กระทำการปกป้องอธิปไตยชาติตามกาล แถมผลักภาระการตัดสินใจถ่วงเวลาด้วยการหมายทำประชามติจากประชาชนเห็นอย่างชัดเจน,เจตนานี้สามารถบ่งบอกนัยยะอันตรายส่อไปทางไม่ซื่อสัตย์สุจริตเช่นกัน. ..บ้านเมืองไทยเราอันตรายมากจากนักปกครองทางการเมืองและข้าราชการในระบบรัฐบาลไทยที่ประจำการนานกว่านักการเมืองด้วย,ระบบปกครองเรามีปัญหาจริงๆ,คนอายุน้อยมาปกครองคนอายุมากนี้คือของจริง,อายุนักการเมืองมาปกครอง มาไม่กี่ปีแล้วก็ไป,แต่ข้าราชการรัฐบาลมีอายุงานจนถึงอายุ60ปีกันเลยซึ่งขัดกันมาก,สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนได้มากเช่นกันในคนของราชการเองอย่างเช่นตั้งแต่อธิบดีลงมาหรือปลัดลงมาทั้งหมดที่ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาสายข้าราชการประจำทั้งหมดมันอันตรายมากหากคนชั่วดำรงตำแหน่งในนั้น.,การลงโทษนี้จึงสำคัญมากจริงๆแก่บรรดาคนราชการเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อมิให้ก่อการชั่วเลวต่อบ้านเมืองอย่างไม่เกรงใจประชาชนและแผ่นดินไทยตนเองที่ต้องร่วมกันดำรงไว้ซึ่งความสงบสุขทั้งทางกายและใจ ฐานะร่ำรวยไม่ยากจนเต็มประเทศแบบปัจจุบัน,ซึ่งในปัจจุบันเลวชั่วเป็นอันมาก. ..การตัดสินใจของนายกฯชุดรัฐบาลปัจจุบันส่ออาการไม่ต่างจากรัฐบาลชุดก่อนเช่นกัน,ไม่เด็ดขาดตัดสินใจจริงทั้งที่ตนสามารถตัดสินใจได้ ถ่วงเวลาไปวันๆเลอะเทอะมาก ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ชัดเจนด้วย,ถ่วงเวลาก็เสมือนมีเจตนาจงใจให้ไทยตนสูญเสียดินแดนอธิปไตยไทยก็ด้วยเข้าม.119อาญาแผ่นดินไทยชัดเจน นอกจาก ม.157 จะระดับข้าราชการประจำเองและหรือนักการเมืองทั้งรัฐบาลก็ด้วยหมดทุกๆชุดทุกๆฝ่ายที่ตนเป็นรัฐบาล ต้องโทษประหารชีวิตเช่นกันเพราะอยู่ในอำนาจตนเองร่วมสมัยนี้เวลานี้จังหวะนี้ชัดเจน แต่ไม่สามัคคีร่วมใจในชุดรัฐบาลตนปกป้องอธิปไตยดินแดนไทยตนทันท่วงทีใดๆเลย,พวกนี้จึงเป็นเหตุสมควรต้องถูกลงโทษทั้งหมด กบฎร่วมทรยศดินแดนอธิปไตยไทยตนร่วมกัยเขมรนั้นเอง.เขมรยิงระเบิดฆ่าเด็กๆคนไทย ฆ่าตายคนไทยเกือบหมดครอบครัว รัฐบาลชุดปัจจุบันนึกว่ามีดีกว่า"ชุดทหารคือฝ่ายตรงข้ามเรา" สุดท้ายแสดงธาตุแท้จริงออกมาโดยไม่ตั้งใจยกเลิกmou43,44ทันทีด้วยมติคณะครม.ตนชุดปัจจุบันถือว่าเป็นรัฐบาลชุดที่ไม่ซื่อสัตย์ไม่ต่างอะไรกับชุดอุ๊งอิ๊งที่ผ่านมาเลย, ..นายกฯถ้าหลงผิดเตรียมพาสส.ทั้งรัฐบาลลงเหวด้วยเลย,คนไทยจะไม่ละเว้นทั้งหมดเช่นกัน.,มันบันทึกการกระทำไว้หมดแล้ว ย้อนหลังกี่ปีก็เห็นได้ตลอดเวลาแน่นอน ในการกระทำตนนั้นที่เสือกตอนมีอำนาจลีลา,ตอนยังไม่มีเสือกกระตือรือร้นให้คนอื่นรีบยกเลิกทันทีเช่นกัน. ..เครดิตนี้ต้องร่วมเป็นกำลังใจแก่คนดีทุกๆท่านที่ต่อสู้ฟันธงชัดเจนให้ต้องยกเลิกmou43,44นี้จนถึงปัจจุบัน จะทางประชาชนเราเองและหัวเรือใหญ่เดินหมากตรานี้ในกระดานด้วยก็ใช่เช่นกัน,การต่อสู้กับคนชั่วระดับสากลโลกล้อมไทย ที่คิดไม่ดีต่อแผ่นดินไทยมันไม่ง่ายแน่นอน,รวมพวกคนเนรคุณทรยศชาติด้วย ใฝ่ใจแก่เขมรสาระพัดจริตกิริยาการแสดงออกมากมายด้วย https://youtube.com/watch?v=z_klubRRzN0&si=n1oV9KmDHDluCDR3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 7
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 7

    ผ่านไป 5 ปี ถึง ค.ศ.2013 ทั้ง Ukraine และ Georgia ก็ยังไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ใครนะ มันกักกันได้เด็ดขาดขนาดนั้น อเมริกาหงุดหงิด ก็ท่อส่งไงคุณพี่ มันเป็นเครื่องมือที่ได้ผลชะงัด เรื่อง Georgia ยังพอทน แต่เรื่อง Ukraine นี่ เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย มันเป็นการวัดกำลัง ระหว่างอเมริกากับรัสเซียอย่างเห็นชัด เรียกว่าเป็นรายการชกโชว์ ก่อนรายการชกชิงแชมป์แล้วกัน แล้วอเมริกาจะอยู่เฉยๆได้หรือ

    เมื่ออเมริกาเอากองทัพของ NATO เข้าไปอยู่ใน Ukraine ตรงๆไม่ได้ อเมริกาก็ต้องใช้แผนเข้าทางหลังบ้าน แผนสกปรกเดิมๆที่อเมริกาถนัดใช้ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution รอบ 2 จึงถูกนำไปใช้อีกรอบ คราวนี้อเมริกาส่งนางเหยี่ยว Victoria Nuland อดีตที่ปรึกษา **** Cheney และเป็นผู้ชำนาญด้านรัสเซียมาคุมเกม Ukraine เอง เพื่อให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ของ Ukraine เป็นคนของอเมริกาให้ได้

    แต่คราวนี้ไม่ง่ายเหมือนคราวก่อนๆ เพราะสหภาพยุโรปเริ่มยื่นหน้าเข้ามาใน Ukraine ด้วย ปัญหาของ Ukraine อันที่จริงมีผลกระทบกับชาวยุโรปโดยตรง หาก Ukraine ถูก แทรกแซงจนทำให้รัสเซียระงับการส่งแก๊ส ชาวยุโรปเป็นฝ่ายเดือดร้อน ไม่ใช่อเมริกา ครั้งนี้สหภาพยุโรปกับอเมริกา จึงไม่ได้ร้องเพลงเดียวกันที่ Ukraine

    เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2014 ชาว Ukraine ออก มาทำการประท้วงใหญ่ เป็นการประท้วงที่รุนแรง แต่สับสน ไม่รู้ว่าผู้ประท้วงต้องการอะไรกันแน่ ผู้กำกับเพียงบอกว่า ออกมากันให้เยอะๆและให้มีความรุนแรง ขนาด NATO หน่วย Gladio ซึ่งเป็นกองกำลังนอกระบบของตนมารวมด้วย ความรุนแรงจึงยกระดับ การเผาตึกรามบ้านช่องขยายวง มันต่างกันกับปฏิวัติสีส้ม เมื่อปี ค.ศ.2004 อย่างมาก มันเป็นการเดินหมากที่มุ่งจะเขี่ยรัสเซียให้ออกไปจาก Ukraine ให้จงได้ อเมริกาคิดว่ารัสเซียกล้ามยังไม่ขึ้น ไม่แน่ว่าอเมริกาเดินหมากตานี้ถูก !

    แม้จะมีข่าวว่า จะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2014 ซึ่งรัสเซียก็มีสิทธิลุ้น ส่งคนของตัวเองเข้าประกวดเหมือ นกัน แต่ปูตินไม่เสี่ยงรอ รัสเซียไม่มีทางเลือกมาก หากเสีย Ukraine หมายถึงเสีย Crimea ด้วย การแก้เกม โดยปูตินให้ชาว Crimea ทำประชามติว่า ต้องการจะแยกตัวจาก Ukraine หรือไม่ จึงเกิดขึ้น และเมื่อชาว Crimea ต้องการกลับมาสู่อ้อมอกรัสเซีย รัสเซียจึงยกกองทัพเข้าไปปกป้อง Crimea และยึด Crimea กลับมาสู่รัสเซีย เมื่อ 21 มีนาคม 2014

    Crimea นอก จากเป็นฐานทัพเรือใหญ่ของรัสเซียแล้ว ซึ่งที่รัสเซียพยายามปิดปากเงียบคือ รัสเซียยังมีคลังอาวุธใหญ่ ที่ลือกันว่าเป็นคลังอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย และมีคลังน้ำมันใหญ่อยู่ที่ Crimea ด้วย เสีย Crimea คงเหมือนเสียแขนขวา รัสเซียจึงไม่ยอมเสี่ยง การตัดสินใจของปูตินในการยึด Crimea เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ.2014 จึงไม่ต่างกับการจับตัวนาย Kho เมื่อปี 2003 เมื่อนาย Kho กำลัง จะเอาพลังงานของรัสเซียไปยกให้อเมริกา ปูตินและรัสเซียยอมถูกชาวโลกด่าประนาม และยอมถูกคว่ำบาตร ดีกว่าที่จะต้องเสียมากกว่า ถึงขนาดเสียประเทศ
    การยึด Crimea ของ รัสเซีย จึงเป็นการส่งสัญญาณยืนยันกับอเมริกาครั้งที่ 2 ว่า รัสเซียแม้หลังชนฝา แต่พร้อมที่จะสู้กับการรุมกินโต๊ะของอเมริกาและพวก ทุกรูปแบบ และคำตอบของอเมริกาคืออะไร?

    คำตอบเบื้องต้น ตามฟอร์มของอเมริกาและพวกคือ จัดการบีบให้สหประชาชาติคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม บาตรวางเรียงตั้งแต่ Crimea ไปถึงรัสเซีย รวมทั้งการประนามด่ารัสเซีย โดยสาระพัดสื่อของค่ายตะวันตก ไม่เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของรัสเซีย

    หลังจากนั้น เรื่อง Crimea ก็ดูจะจืด ทำท่าจะดังสู้เรื่อง Ukraine กับท่อแก๊สของรัสเซียไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่มีปฎิกริยาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากอเมริกา….

    ผ่านไปอีก 3 เดือน สิ่งที่โลกเห็นคือ ข่าวการเปิดตัวของ ISIS ในตะวันออกกลางในช่วงเดือนมิถุนาย น ค.ศ.2014 ที่บุกเข้าไปยึด Mosul เมืองน้ำมันดกของอิรัก และมีการขยายตัวของ ISIS ไปส่วนต่างๆของอิรัก หลังจากนั้นมีการเรียกร้อง จากพวกเสี่ยน้ำมันอาหรับค่ายอเมริกา ให้อเมริกาจัดการอย่างเด็ดขาดกับพวก ISIS ขณะที่ข้อเท็จจริงต่างชี้บอกว่า ISIS คือเมล็ดพันธุ์ที่อเมริกาเป็นผู้หว่านและเลี้ยงดูนั่นแหละ

    เมื่อทนเสียงเรียกร้องและความกดดันจากพวกเสี่ยน้ำมันไม่ไหว อเมริกาและพวก ก็ตกลงเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม ค.ศ.2014 ที่จะส่งปฏิบัติการถล่ม ISIS ทางอากาศ จนถึงวันนี้การเล่นไล่จับระหว่างอเมริกากับพวกและ ISIS ยังมีอยู่ โดยยังไม่มีผลสรุปว่าใครได้เปรียบ เสียบเปรียบกันชัดเจน จะแปลเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเป็นการกลับไปยึดพื้นที่ในตะวันออกกลางของอเมริกาและพวก ซึ่งอาจจะขยายจากอิรักไปซีเรียและอิหร่าน และอาจจะถึงตุรกี (ขึ้นอยู่กับตุรกีจะเลือกเล่นกับฝ่ายใด) ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่ใช่บ้านของพวกอเมริกา

    มันอาจเป็นคำตอบแบบหนึ่งของอเมริกาด้วยว่า จากการเดินหมาก Crimea ของรัสเซีย อเมริกาก็คิดว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 ไม่ใช่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย แต่ที่อาจเกินความคาดหมายของอเมริกา คืออเมริกาคิดว่า อเมริกาเท่านั้นที่เล่นเกมรุกเป็น….ดังนั้นอเมริกาคงต้องเตรียมพร้อม

    ดูได้จากฝั่งของ 2 คู่หู รัสเซียและจีน แสดงการรุกคืบด้านการค้าอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการทำสัญญาสร้างท่อส่งแก๊สและน้ำมันเพิ่ม การตกลงซื้อขายพลังงาน โดยตกลงชำระค่าซื้อขายกันเป็นรูเบิล/หยวน ดอลล่าร์ไม่เกี่ยว ปูตินเดินหน้า ชักชวนคู่ค้าทั้งหลายให้ชำระเงินซื้อขายเป็นสกุลอื่นที่ไม่ใช่ดอลล่าร์

    มันเป็นการส่งสัญญาณจากฝั่งรัสเซียและจีนว่า เราไม่ง้อดอลล่าร์ และเป็นการคว่ำบาตรดอลล่าร์ เป็นการตอบแทน จากฝ่ายที่ถูกอเมริกาและพวกหาเรื่องคว่ำบาตรข้างเดียวมาตลอด นี่นับเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์อเมริกา ที่ความเป็นเจ้าของดอลล่าร์ ถูกหักเสียหน้าแหก เสียตำแหน่ง อย่างน่าเอาปี๊บคลุมหัว

    อย่างนี้กลิ่นสงครามโลกครั้งที่ 3 จะจาง หรือยิ่งส่งกลิ่นฟุ้งกระจาย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    3 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 7 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 7 ผ่านไป 5 ปี ถึง ค.ศ.2013 ทั้ง Ukraine และ Georgia ก็ยังไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ใครนะ มันกักกันได้เด็ดขาดขนาดนั้น อเมริกาหงุดหงิด ก็ท่อส่งไงคุณพี่ มันเป็นเครื่องมือที่ได้ผลชะงัด เรื่อง Georgia ยังพอทน แต่เรื่อง Ukraine นี่ เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย มันเป็นการวัดกำลัง ระหว่างอเมริกากับรัสเซียอย่างเห็นชัด เรียกว่าเป็นรายการชกโชว์ ก่อนรายการชกชิงแชมป์แล้วกัน แล้วอเมริกาจะอยู่เฉยๆได้หรือ เมื่ออเมริกาเอากองทัพของ NATO เข้าไปอยู่ใน Ukraine ตรงๆไม่ได้ อเมริกาก็ต้องใช้แผนเข้าทางหลังบ้าน แผนสกปรกเดิมๆที่อเมริกาถนัดใช้ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution รอบ 2 จึงถูกนำไปใช้อีกรอบ คราวนี้อเมริกาส่งนางเหยี่ยว Victoria Nuland อดีตที่ปรึกษา Dick Cheney และเป็นผู้ชำนาญด้านรัสเซียมาคุมเกม Ukraine เอง เพื่อให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ของ Ukraine เป็นคนของอเมริกาให้ได้ แต่คราวนี้ไม่ง่ายเหมือนคราวก่อนๆ เพราะสหภาพยุโรปเริ่มยื่นหน้าเข้ามาใน Ukraine ด้วย ปัญหาของ Ukraine อันที่จริงมีผลกระทบกับชาวยุโรปโดยตรง หาก Ukraine ถูก แทรกแซงจนทำให้รัสเซียระงับการส่งแก๊ส ชาวยุโรปเป็นฝ่ายเดือดร้อน ไม่ใช่อเมริกา ครั้งนี้สหภาพยุโรปกับอเมริกา จึงไม่ได้ร้องเพลงเดียวกันที่ Ukraine เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2014 ชาว Ukraine ออก มาทำการประท้วงใหญ่ เป็นการประท้วงที่รุนแรง แต่สับสน ไม่รู้ว่าผู้ประท้วงต้องการอะไรกันแน่ ผู้กำกับเพียงบอกว่า ออกมากันให้เยอะๆและให้มีความรุนแรง ขนาด NATO หน่วย Gladio ซึ่งเป็นกองกำลังนอกระบบของตนมารวมด้วย ความรุนแรงจึงยกระดับ การเผาตึกรามบ้านช่องขยายวง มันต่างกันกับปฏิวัติสีส้ม เมื่อปี ค.ศ.2004 อย่างมาก มันเป็นการเดินหมากที่มุ่งจะเขี่ยรัสเซียให้ออกไปจาก Ukraine ให้จงได้ อเมริกาคิดว่ารัสเซียกล้ามยังไม่ขึ้น ไม่แน่ว่าอเมริกาเดินหมากตานี้ถูก ! แม้จะมีข่าวว่า จะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2014 ซึ่งรัสเซียก็มีสิทธิลุ้น ส่งคนของตัวเองเข้าประกวดเหมือ นกัน แต่ปูตินไม่เสี่ยงรอ รัสเซียไม่มีทางเลือกมาก หากเสีย Ukraine หมายถึงเสีย Crimea ด้วย การแก้เกม โดยปูตินให้ชาว Crimea ทำประชามติว่า ต้องการจะแยกตัวจาก Ukraine หรือไม่ จึงเกิดขึ้น และเมื่อชาว Crimea ต้องการกลับมาสู่อ้อมอกรัสเซีย รัสเซียจึงยกกองทัพเข้าไปปกป้อง Crimea และยึด Crimea กลับมาสู่รัสเซีย เมื่อ 21 มีนาคม 2014 Crimea นอก จากเป็นฐานทัพเรือใหญ่ของรัสเซียแล้ว ซึ่งที่รัสเซียพยายามปิดปากเงียบคือ รัสเซียยังมีคลังอาวุธใหญ่ ที่ลือกันว่าเป็นคลังอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย และมีคลังน้ำมันใหญ่อยู่ที่ Crimea ด้วย เสีย Crimea คงเหมือนเสียแขนขวา รัสเซียจึงไม่ยอมเสี่ยง การตัดสินใจของปูตินในการยึด Crimea เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ.2014 จึงไม่ต่างกับการจับตัวนาย Kho เมื่อปี 2003 เมื่อนาย Kho กำลัง จะเอาพลังงานของรัสเซียไปยกให้อเมริกา ปูตินและรัสเซียยอมถูกชาวโลกด่าประนาม และยอมถูกคว่ำบาตร ดีกว่าที่จะต้องเสียมากกว่า ถึงขนาดเสียประเทศ การยึด Crimea ของ รัสเซีย จึงเป็นการส่งสัญญาณยืนยันกับอเมริกาครั้งที่ 2 ว่า รัสเซียแม้หลังชนฝา แต่พร้อมที่จะสู้กับการรุมกินโต๊ะของอเมริกาและพวก ทุกรูปแบบ และคำตอบของอเมริกาคืออะไร? คำตอบเบื้องต้น ตามฟอร์มของอเมริกาและพวกคือ จัดการบีบให้สหประชาชาติคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม บาตรวางเรียงตั้งแต่ Crimea ไปถึงรัสเซีย รวมทั้งการประนามด่ารัสเซีย โดยสาระพัดสื่อของค่ายตะวันตก ไม่เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของรัสเซีย หลังจากนั้น เรื่อง Crimea ก็ดูจะจืด ทำท่าจะดังสู้เรื่อง Ukraine กับท่อแก๊สของรัสเซียไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่มีปฎิกริยาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากอเมริกา…. ผ่านไปอีก 3 เดือน สิ่งที่โลกเห็นคือ ข่าวการเปิดตัวของ ISIS ในตะวันออกกลางในช่วงเดือนมิถุนาย น ค.ศ.2014 ที่บุกเข้าไปยึด Mosul เมืองน้ำมันดกของอิรัก และมีการขยายตัวของ ISIS ไปส่วนต่างๆของอิรัก หลังจากนั้นมีการเรียกร้อง จากพวกเสี่ยน้ำมันอาหรับค่ายอเมริกา ให้อเมริกาจัดการอย่างเด็ดขาดกับพวก ISIS ขณะที่ข้อเท็จจริงต่างชี้บอกว่า ISIS คือเมล็ดพันธุ์ที่อเมริกาเป็นผู้หว่านและเลี้ยงดูนั่นแหละ เมื่อทนเสียงเรียกร้องและความกดดันจากพวกเสี่ยน้ำมันไม่ไหว อเมริกาและพวก ก็ตกลงเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม ค.ศ.2014 ที่จะส่งปฏิบัติการถล่ม ISIS ทางอากาศ จนถึงวันนี้การเล่นไล่จับระหว่างอเมริกากับพวกและ ISIS ยังมีอยู่ โดยยังไม่มีผลสรุปว่าใครได้เปรียบ เสียบเปรียบกันชัดเจน จะแปลเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเป็นการกลับไปยึดพื้นที่ในตะวันออกกลางของอเมริกาและพวก ซึ่งอาจจะขยายจากอิรักไปซีเรียและอิหร่าน และอาจจะถึงตุรกี (ขึ้นอยู่กับตุรกีจะเลือกเล่นกับฝ่ายใด) ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่ใช่บ้านของพวกอเมริกา มันอาจเป็นคำตอบแบบหนึ่งของอเมริกาด้วยว่า จากการเดินหมาก Crimea ของรัสเซีย อเมริกาก็คิดว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 ไม่ใช่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย แต่ที่อาจเกินความคาดหมายของอเมริกา คืออเมริกาคิดว่า อเมริกาเท่านั้นที่เล่นเกมรุกเป็น….ดังนั้นอเมริกาคงต้องเตรียมพร้อม ดูได้จากฝั่งของ 2 คู่หู รัสเซียและจีน แสดงการรุกคืบด้านการค้าอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการทำสัญญาสร้างท่อส่งแก๊สและน้ำมันเพิ่ม การตกลงซื้อขายพลังงาน โดยตกลงชำระค่าซื้อขายกันเป็นรูเบิล/หยวน ดอลล่าร์ไม่เกี่ยว ปูตินเดินหน้า ชักชวนคู่ค้าทั้งหลายให้ชำระเงินซื้อขายเป็นสกุลอื่นที่ไม่ใช่ดอลล่าร์ มันเป็นการส่งสัญญาณจากฝั่งรัสเซียและจีนว่า เราไม่ง้อดอลล่าร์ และเป็นการคว่ำบาตรดอลล่าร์ เป็นการตอบแทน จากฝ่ายที่ถูกอเมริกาและพวกหาเรื่องคว่ำบาตรข้างเดียวมาตลอด นี่นับเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์อเมริกา ที่ความเป็นเจ้าของดอลล่าร์ ถูกหักเสียหน้าแหก เสียตำแหน่ง อย่างน่าเอาปี๊บคลุมหัว อย่างนี้กลิ่นสงครามโลกครั้งที่ 3 จะจาง หรือยิ่งส่งกลิ่นฟุ้งกระจาย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 3 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ITER — สร้างดวงอาทิตย์บนโลกเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญ! เตรียมประกอบแกนปฏิกรณ์ฟิวชันครั้งประวัติศาสตร์”

    ในตอนใต้ของฝรั่งเศส มีโครงการหนึ่งที่อาจเปลี่ยนอนาคตพลังงานของมนุษยชาติไปตลอดกาล — ITER หรือ International Thermonuclear Experimental Reactor กำลังเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญที่สุดของการก่อสร้าง นั่นคือการประกอบแกนปฏิกรณ์ฟิวชัน ซึ่งเป็นหัวใจของการทดลองสร้าง “ดวงอาทิตย์จำลอง” บนโลก

    เป้าหมายของ ITER คือการสร้างพลังงานจากการหลอมรวมของไอโซโทปไฮโดรเจน (deuterium และ tritium) ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกับที่เกิดขึ้นในแกนของดวงอาทิตย์ โดยใช้ความร้อนสูงถึง 150 ล้านองศาเซลเซียสภายในเครื่อง tokamak — ห้องปฏิกรณ์ทรงโดนัทที่สามารถกักเก็บพลาสมาไว้ได้ด้วยสนามแม่เหล็กมหาศาล

    ล่าสุด Westinghouse Electric Company ได้รับสัญญามูลค่า 180 ล้านดอลลาร์ในการประกอบแกนปฏิกรณ์ โดยจะเชื่อมต่อชิ้นส่วนเหล็กหนักกว่า 400 ตันเข้าด้วยกันด้วยความแม่นยำระดับ 0.25 มิลลิเมตร พร้อมติดตั้งระบบแม่เหล็ก Central Solenoid ที่สามารถยกเรือบรรทุกเครื่องบินได้ และสร้างสนามแม่เหล็กแรงกว่าของโลกถึง 280,000 เท่า

    นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบกำจัดของเสียจากปฏิกิริยา เช่น divertor ที่สามารถทนความร้อนสูงถึง 20 เมกะวัตต์ต่อตารางเมตร โดยใช้วัสดุพิเศษอย่างทังสเตน

    แม้โครงการจะเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1985 และเผชิญกับความล่าช้าหลายครั้ง แต่ปัจจุบันมีความร่วมมือจาก 33 ประเทศทั่วโลก และตั้งเป้าเริ่มทดลองปฏิกิริยา deuterium-tritium ในปี 2039

    เป้าหมายของ ITER
    สร้างพลังงานจากการหลอมรวมไฮโดรเจนแบบเดียวกับดวงอาทิตย์
    ใช้ tokamak ในการกักเก็บพลาสมาที่อุณหภูมิ 150 ล้าน °C
    พลังงานที่ได้มากกว่าการเผาไหม้ถ่านหินถึง 4 ล้านเท่า

    ความคืบหน้าล่าสุด
    เริ่มขั้นตอนประกอบแกนปฏิกรณ์
    Westinghouse ได้รับสัญญา 180 ล้านดอลลาร์ในการดำเนินการ
    ใช้ชิ้นส่วนเหล็ก 9 ชิ้น หนักชิ้นละ 400 ตัน

    ระบบแม่เหล็ก Central Solenoid
    สูง 60 ฟุต ประกอบด้วยแม่เหล็ก superconducting
    สร้างสนามแม่เหล็กแรงกว่าของโลก 280,000 เท่า
    พร้อมติดตั้งในฝรั่งเศสแล้ว

    ระบบกำจัดของเสีย (Divertor)
    กำจัด helium ash และเชื้อเพลิงที่ไม่ถูกเผาไหม้
    ทนความร้อนสูงถึง 20 MW/m²
    ใช้วัสดุพิเศษอย่างทังสเตน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tokamak เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในหลายโครงการฟิวชัน เช่น JET, EAST, KSTAR
    Central Solenoid เป็นหัวใจของการควบคุมพลาสมาใน tokamak
    ทังสเตนมีจุดหลอมเหลวสูงสุดในบรรดาวัสดุโลหะทั้งหมด

    คำเตือนและข้อจำกัด
    โครงการล่าช้ามาตั้งแต่ปี 1985 และยังไม่เริ่มทดลองจริง
    งบประมาณพุ่งจาก 6 พันล้านเป็นกว่า 20 พันล้านดอลลาร์
    การประกอบชิ้นส่วนจากหลายประเทศมีปัญหาเรื่องความเข้ากันได้
    การทดลอง deuterium-tritium ตั้งเป้าไว้ปี 2039 ซึ่งยังอีกนาน

    https://www.slashgear.com/1989458/worlds-largest-fusion-energy-experiment-iter-critical-phase/
    ⚛️ “ITER — สร้างดวงอาทิตย์บนโลกเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญ! เตรียมประกอบแกนปฏิกรณ์ฟิวชันครั้งประวัติศาสตร์” ในตอนใต้ของฝรั่งเศส มีโครงการหนึ่งที่อาจเปลี่ยนอนาคตพลังงานของมนุษยชาติไปตลอดกาล — ITER หรือ International Thermonuclear Experimental Reactor กำลังเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญที่สุดของการก่อสร้าง นั่นคือการประกอบแกนปฏิกรณ์ฟิวชัน ซึ่งเป็นหัวใจของการทดลองสร้าง “ดวงอาทิตย์จำลอง” บนโลก เป้าหมายของ ITER คือการสร้างพลังงานจากการหลอมรวมของไอโซโทปไฮโดรเจน (deuterium และ tritium) ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกับที่เกิดขึ้นในแกนของดวงอาทิตย์ โดยใช้ความร้อนสูงถึง 150 ล้านองศาเซลเซียสภายในเครื่อง tokamak — ห้องปฏิกรณ์ทรงโดนัทที่สามารถกักเก็บพลาสมาไว้ได้ด้วยสนามแม่เหล็กมหาศาล ล่าสุด Westinghouse Electric Company ได้รับสัญญามูลค่า 180 ล้านดอลลาร์ในการประกอบแกนปฏิกรณ์ โดยจะเชื่อมต่อชิ้นส่วนเหล็กหนักกว่า 400 ตันเข้าด้วยกันด้วยความแม่นยำระดับ 0.25 มิลลิเมตร พร้อมติดตั้งระบบแม่เหล็ก Central Solenoid ที่สามารถยกเรือบรรทุกเครื่องบินได้ และสร้างสนามแม่เหล็กแรงกว่าของโลกถึง 280,000 เท่า นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบกำจัดของเสียจากปฏิกิริยา เช่น divertor ที่สามารถทนความร้อนสูงถึง 20 เมกะวัตต์ต่อตารางเมตร โดยใช้วัสดุพิเศษอย่างทังสเตน แม้โครงการจะเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1985 และเผชิญกับความล่าช้าหลายครั้ง แต่ปัจจุบันมีความร่วมมือจาก 33 ประเทศทั่วโลก และตั้งเป้าเริ่มทดลองปฏิกิริยา deuterium-tritium ในปี 2039 ✅ เป้าหมายของ ITER ➡️ สร้างพลังงานจากการหลอมรวมไฮโดรเจนแบบเดียวกับดวงอาทิตย์ ➡️ ใช้ tokamak ในการกักเก็บพลาสมาที่อุณหภูมิ 150 ล้าน °C ➡️ พลังงานที่ได้มากกว่าการเผาไหม้ถ่านหินถึง 4 ล้านเท่า ✅ ความคืบหน้าล่าสุด ➡️ เริ่มขั้นตอนประกอบแกนปฏิกรณ์ ➡️ Westinghouse ได้รับสัญญา 180 ล้านดอลลาร์ในการดำเนินการ ➡️ ใช้ชิ้นส่วนเหล็ก 9 ชิ้น หนักชิ้นละ 400 ตัน ✅ ระบบแม่เหล็ก Central Solenoid ➡️ สูง 60 ฟุต ประกอบด้วยแม่เหล็ก superconducting ➡️ สร้างสนามแม่เหล็กแรงกว่าของโลก 280,000 เท่า ➡️ พร้อมติดตั้งในฝรั่งเศสแล้ว ✅ ระบบกำจัดของเสีย (Divertor) ➡️ กำจัด helium ash และเชื้อเพลิงที่ไม่ถูกเผาไหม้ ➡️ ทนความร้อนสูงถึง 20 MW/m² ➡️ ใช้วัสดุพิเศษอย่างทังสเตน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tokamak เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในหลายโครงการฟิวชัน เช่น JET, EAST, KSTAR ➡️ Central Solenoid เป็นหัวใจของการควบคุมพลาสมาใน tokamak ➡️ ทังสเตนมีจุดหลอมเหลวสูงสุดในบรรดาวัสดุโลหะทั้งหมด ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ โครงการล่าช้ามาตั้งแต่ปี 1985 และยังไม่เริ่มทดลองจริง ⛔ งบประมาณพุ่งจาก 6 พันล้านเป็นกว่า 20 พันล้านดอลลาร์ ⛔ การประกอบชิ้นส่วนจากหลายประเทศมีปัญหาเรื่องความเข้ากันได้ ⛔ การทดลอง deuterium-tritium ตั้งเป้าไว้ปี 2039 ซึ่งยังอีกนาน https://www.slashgear.com/1989458/worlds-largest-fusion-energy-experiment-iter-critical-phase/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The World's Largest Fusion Energy Experiment Is Entering A Critical Phase In The Project - SlashGear
    The International Thermonuclear Experimental Reactor (ITER) project began the final assembly of its reactor core, a critical phase in the process.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel 18A พร้อมลุยผลิตจริง! บรรลุสถิติใหม่ด้านความแม่นยำ เตรียมท้าชน TSMC และ Samsung ในสนาม 2nm”

    ในงาน Intel Tech Tour ล่าสุด Intel ได้ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญของกระบวนการผลิตชิปรุ่นใหม่ “18A” (1.8 นาโนเมตร) ซึ่งสามารถลด “defect density” หรือความหนาแน่นของข้อบกพร่องในเวเฟอร์ลงสู่ระดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท ถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่า Intel พร้อมเข้าสู่การผลิตในระดับปริมาณมาก (volume production) ภายในไตรมาส 4 ปี 2025

    Defect density คือจำนวนข้อบกพร่องต่อพื้นที่ของเวเฟอร์ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อ “yield rate” หรืออัตราการผลิตชิปที่ใช้งานได้จริง หาก defect สูง ยิ่งทำให้ต้นทุนต่อชิปเพิ่มขึ้น และลดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในยุคที่ชิปมีขนาดใหญ่และซับซ้อนมากขึ้น เช่น ชิปสำหรับ AI และ HPC (High Performance Computing)

    ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า yield ของ 18A ต่ำเพียง 10% แต่ปัจจุบัน Intel ยืนยันว่าตัวเลขดังกล่าวไม่เป็นความจริง และบริษัทได้ปรับปรุงกระบวนการจนสามารถลด defect ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถผลิตชิป 18A ได้ในปริมาณมากภายในสิ้นปีนี้

    แม้ defect density จะเป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยที่กำหนดความสำเร็จของกระบวนการผลิต เช่น ความแม่นยำของหน้ากาก (mask error), ความลื่นไหลของกระบวนการ และอัตราความล้มเหลวของพารามิเตอร์ แต่การที่ Intel สามารถลด defect ได้มากขนาดนี้ ทำให้ 18A กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของ TSMC N2 และ Samsung SF2 ซึ่งเป็นกระบวนการระดับ 2nm เช่นกัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel ประกาศว่า 18A มี defect density ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท
    เตรียมเข้าสู่การผลิตระดับปริมาณมากในไตรมาส 4 ปี 2025
    Defect density ต่ำหมายถึง yield rate สูงขึ้น และต้นทุนต่อชิปลดลง
    18A ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับชิปขนาดใหญ่ เช่น สำหรับ HPC และ AI
    Intel ปฏิเสธข่าวลือว่า yield ต่ำเพียง 10% โดยระบุว่าตัวเลขดังกล่าวไม่เป็นจริง
    18A มีเป้าหมายแข่งขันกับ TSMC N2 และ Samsung SF2
    Defect density เป็นตัวชี้วัดสำคัญในการประเมินความพร้อมของกระบวนการผลิต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    18A ใช้เทคโนโลยี RibbonFET (GAA) และ PowerVia (backside power delivery)
    TSMC N2 มี yield ประมาณ 65% และใช้เทคโนโลยี nanosheet GAA
    Samsung SF2 มี yield ประมาณ 40% และยังไม่พร้อมผลิตจำนวนมากจนถึงปี 2026
    Intel วางแผนใช้ 18A กับชิปรุ่น Panther Lake (Core Ultra 300)
    ตลาดเป้าหมายของ 18A คือ HPC, AI, และลูกค้า Foundry ภายนอก เช่น Qualcomm

    https://wccftech.com/intel-18a-node-achieves-record-low-defect-density/
    🔬 “Intel 18A พร้อมลุยผลิตจริง! บรรลุสถิติใหม่ด้านความแม่นยำ เตรียมท้าชน TSMC และ Samsung ในสนาม 2nm” ในงาน Intel Tech Tour ล่าสุด Intel ได้ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญของกระบวนการผลิตชิปรุ่นใหม่ “18A” (1.8 นาโนเมตร) ซึ่งสามารถลด “defect density” หรือความหนาแน่นของข้อบกพร่องในเวเฟอร์ลงสู่ระดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท ถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่า Intel พร้อมเข้าสู่การผลิตในระดับปริมาณมาก (volume production) ภายในไตรมาส 4 ปี 2025 Defect density คือจำนวนข้อบกพร่องต่อพื้นที่ของเวเฟอร์ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อ “yield rate” หรืออัตราการผลิตชิปที่ใช้งานได้จริง หาก defect สูง ยิ่งทำให้ต้นทุนต่อชิปเพิ่มขึ้น และลดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในยุคที่ชิปมีขนาดใหญ่และซับซ้อนมากขึ้น เช่น ชิปสำหรับ AI และ HPC (High Performance Computing) ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า yield ของ 18A ต่ำเพียง 10% แต่ปัจจุบัน Intel ยืนยันว่าตัวเลขดังกล่าวไม่เป็นความจริง และบริษัทได้ปรับปรุงกระบวนการจนสามารถลด defect ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถผลิตชิป 18A ได้ในปริมาณมากภายในสิ้นปีนี้ แม้ defect density จะเป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยที่กำหนดความสำเร็จของกระบวนการผลิต เช่น ความแม่นยำของหน้ากาก (mask error), ความลื่นไหลของกระบวนการ และอัตราความล้มเหลวของพารามิเตอร์ แต่การที่ Intel สามารถลด defect ได้มากขนาดนี้ ทำให้ 18A กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของ TSMC N2 และ Samsung SF2 ซึ่งเป็นกระบวนการระดับ 2nm เช่นกัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel ประกาศว่า 18A มี defect density ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท ➡️ เตรียมเข้าสู่การผลิตระดับปริมาณมากในไตรมาส 4 ปี 2025 ➡️ Defect density ต่ำหมายถึง yield rate สูงขึ้น และต้นทุนต่อชิปลดลง ➡️ 18A ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับชิปขนาดใหญ่ เช่น สำหรับ HPC และ AI ➡️ Intel ปฏิเสธข่าวลือว่า yield ต่ำเพียง 10% โดยระบุว่าตัวเลขดังกล่าวไม่เป็นจริง ➡️ 18A มีเป้าหมายแข่งขันกับ TSMC N2 และ Samsung SF2 ➡️ Defect density เป็นตัวชี้วัดสำคัญในการประเมินความพร้อมของกระบวนการผลิต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 18A ใช้เทคโนโลยี RibbonFET (GAA) และ PowerVia (backside power delivery) ➡️ TSMC N2 มี yield ประมาณ 65% และใช้เทคโนโลยี nanosheet GAA ➡️ Samsung SF2 มี yield ประมาณ 40% และยังไม่พร้อมผลิตจำนวนมากจนถึงปี 2026 ➡️ Intel วางแผนใช้ 18A กับชิปรุ่น Panther Lake (Core Ultra 300) ➡️ ตลาดเป้าหมายของ 18A คือ HPC, AI, และลูกค้า Foundry ภายนอก เช่น Qualcomm https://wccftech.com/intel-18a-node-achieves-record-low-defect-density/
    WCCFTECH.COM
    Intel’s 'Highly-Anticipated' 18A Node Achieves Record-Low Defect Density, Signaling Readiness for Internal & External Customers
    Intel has revealed progress around the 18A chip at the Tech Tour, and the process is at an all-time low in defect density.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI โตเร็วกว่าอินเทอร์เน็ต 4 เท่า — รายงานใหม่เผยพฤติกรรมผู้ใช้ทั่วโลกเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน”

    รายงานจาก Financial Times เผยว่า “การใช้งาน AI ทั่วโลกเติบโตเร็วกว่าการใช้อินเทอร์เน็ตในยุคแรกถึง 4 เท่า” โดยเฉพาะ ChatGPT ที่มีผู้ใช้งานเกือบ 800 ล้านคนภายในเวลาเพียง 3 ปี ขณะที่อินเทอร์เน็ตใช้เวลากว่า 13 ปีจึงถึงระดับเดียวกัน

    Meta รายงานว่า AI Assistant ของตนที่ฝังอยู่ใน WhatsApp, Instagram และแว่น Ray-Ban มีผู้ใช้งานถึง 1 พันล้านคนต่อเดือน ขณะที่ Google ระบุว่า AI overview บนหน้าผลการค้นหามีผู้ใช้ถึง 2 พันล้านคนต่อเดือน และ 70% ของผู้ใช้ Google Docs และ Gmail ใช้ฟีเจอร์ช่วยเขียนเมื่อระบบแนะนำ

    Microsoft Copilot มีผู้ใช้งาน 100 ล้านคนต่อเดือน ส่วน Claude ของ Anthropic ถูกใช้เพื่อช่วยงานด้านวิทยาศาสตร์และโปรแกรมมิ่งเป็นหลัก โดยมีแนวโน้มถูกใช้เพื่อ “ทำงานแทน” มากขึ้นเรื่อย ๆ

    ประเทศที่มีอัตราการใช้งาน AI สูงสุดคือสิงคโปร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) โดยมีผู้ใช้งาน AI ถึง 60% ของประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต โดย UAE แจก ChatGPT Plus ให้ประชาชนใช้ฟรี และมีการสอน AI ตั้งแต่เด็กอายุ 4 ขวบ

    อย่างไรก็ตาม รายงานยังเตือนถึง “Shadow AI” หรือการใช้ AI โดยพนักงานโดยไม่แจ้งบริษัท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากหลายองค์กรยังติดอยู่ในขั้นทดลองและไม่สามารถบูรณาการ AI เข้ากับระบบงานได้จริง

    MIT ยังเผยผลวิจัยว่า การใช้ AI เขียนงานแบบเต็มรูปแบบอาจทำให้ผู้ใช้เกิด “หนี้ทางปัญญา” และลดทักษะการเรียนรู้ โดยผู้ใช้ไม่สามารถอธิบายงานที่ตนเอง “สร้างร่วมกับ AI” ได้อย่างชัดเจน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ChatGPT มีผู้ใช้งานเกือบ 800 ล้านคนภายใน 3 ปี
    Meta AI Assistant มีผู้ใช้งาน 1 พันล้านคนต่อเดือน
    Google AI overview มีผู้ใช้ 2 พันล้านคนต่อเดือน
    70% ของผู้ใช้ Google Docs และ Gmail ใช้ฟีเจอร์ช่วยเขียน
    Microsoft Copilot มีผู้ใช้งาน 100 ล้านคนต่อเดือน
    Claude ถูกใช้เพื่อช่วยงานด้านวิทยาศาสตร์และโปรแกรมมิ่ง
    สิงคโปร์และ UAE มีอัตราการใช้งาน AI สูงสุด (60%)
    UAE แจก ChatGPT Plus ฟรี และสอน AI ตั้งแต่เด็ก
    Shadow AI เพิ่มขึ้นในองค์กรที่ยังไม่บูรณาการ AI
    MIT พบว่าการใช้ AI เขียนงานเต็มรูปแบบอาจลดทักษะการเรียนรู้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ChatGPT เป็นแอปที่โตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีผู้ใช้ 100 ล้านคนภายใน 2 เดือน
    Claude ของ Anthropic เน้นความปลอดภัยและความแม่นยำในการตอบคำถาม
    Gemini ของ Google เป็น AI ผู้ช่วยที่เน้นบริบทและการเรียนรู้จากผู้ใช้
    Shadow AI เป็นปัญหาที่องค์กรต้องจัดการผ่านนโยบายและการอบรม
    การใช้ AI ในงานเขียนควรเป็น “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “ผู้แทน” เพื่อรักษาทักษะของผู้ใช้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/ai-adoption-far-outpaces-that-of-the-early-internet-report-sheds-light-on-worldwide-ai-penetration-and-usage-patterns
    🌍 “AI โตเร็วกว่าอินเทอร์เน็ต 4 เท่า — รายงานใหม่เผยพฤติกรรมผู้ใช้ทั่วโลกเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน” รายงานจาก Financial Times เผยว่า “การใช้งาน AI ทั่วโลกเติบโตเร็วกว่าการใช้อินเทอร์เน็ตในยุคแรกถึง 4 เท่า” โดยเฉพาะ ChatGPT ที่มีผู้ใช้งานเกือบ 800 ล้านคนภายในเวลาเพียง 3 ปี ขณะที่อินเทอร์เน็ตใช้เวลากว่า 13 ปีจึงถึงระดับเดียวกัน Meta รายงานว่า AI Assistant ของตนที่ฝังอยู่ใน WhatsApp, Instagram และแว่น Ray-Ban มีผู้ใช้งานถึง 1 พันล้านคนต่อเดือน ขณะที่ Google ระบุว่า AI overview บนหน้าผลการค้นหามีผู้ใช้ถึง 2 พันล้านคนต่อเดือน และ 70% ของผู้ใช้ Google Docs และ Gmail ใช้ฟีเจอร์ช่วยเขียนเมื่อระบบแนะนำ Microsoft Copilot มีผู้ใช้งาน 100 ล้านคนต่อเดือน ส่วน Claude ของ Anthropic ถูกใช้เพื่อช่วยงานด้านวิทยาศาสตร์และโปรแกรมมิ่งเป็นหลัก โดยมีแนวโน้มถูกใช้เพื่อ “ทำงานแทน” มากขึ้นเรื่อย ๆ ประเทศที่มีอัตราการใช้งาน AI สูงสุดคือสิงคโปร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) โดยมีผู้ใช้งาน AI ถึง 60% ของประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต โดย UAE แจก ChatGPT Plus ให้ประชาชนใช้ฟรี และมีการสอน AI ตั้งแต่เด็กอายุ 4 ขวบ อย่างไรก็ตาม รายงานยังเตือนถึง “Shadow AI” หรือการใช้ AI โดยพนักงานโดยไม่แจ้งบริษัท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากหลายองค์กรยังติดอยู่ในขั้นทดลองและไม่สามารถบูรณาการ AI เข้ากับระบบงานได้จริง MIT ยังเผยผลวิจัยว่า การใช้ AI เขียนงานแบบเต็มรูปแบบอาจทำให้ผู้ใช้เกิด “หนี้ทางปัญญา” และลดทักษะการเรียนรู้ โดยผู้ใช้ไม่สามารถอธิบายงานที่ตนเอง “สร้างร่วมกับ AI” ได้อย่างชัดเจน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ChatGPT มีผู้ใช้งานเกือบ 800 ล้านคนภายใน 3 ปี ➡️ Meta AI Assistant มีผู้ใช้งาน 1 พันล้านคนต่อเดือน ➡️ Google AI overview มีผู้ใช้ 2 พันล้านคนต่อเดือน ➡️ 70% ของผู้ใช้ Google Docs และ Gmail ใช้ฟีเจอร์ช่วยเขียน ➡️ Microsoft Copilot มีผู้ใช้งาน 100 ล้านคนต่อเดือน ➡️ Claude ถูกใช้เพื่อช่วยงานด้านวิทยาศาสตร์และโปรแกรมมิ่ง ➡️ สิงคโปร์และ UAE มีอัตราการใช้งาน AI สูงสุด (60%) ➡️ UAE แจก ChatGPT Plus ฟรี และสอน AI ตั้งแต่เด็ก ➡️ Shadow AI เพิ่มขึ้นในองค์กรที่ยังไม่บูรณาการ AI ➡️ MIT พบว่าการใช้ AI เขียนงานเต็มรูปแบบอาจลดทักษะการเรียนรู้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ChatGPT เป็นแอปที่โตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีผู้ใช้ 100 ล้านคนภายใน 2 เดือน ➡️ Claude ของ Anthropic เน้นความปลอดภัยและความแม่นยำในการตอบคำถาม ➡️ Gemini ของ Google เป็น AI ผู้ช่วยที่เน้นบริบทและการเรียนรู้จากผู้ใช้ ➡️ Shadow AI เป็นปัญหาที่องค์กรต้องจัดการผ่านนโยบายและการอบรม ➡️ การใช้ AI ในงานเขียนควรเป็น “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “ผู้แทน” เพื่อรักษาทักษะของผู้ใช้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/ai-adoption-far-outpaces-that-of-the-early-internet-report-sheds-light-on-worldwide-ai-penetration-and-usage-patterns
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenSSL 3.5.4 เตรียมผ่านมาตรฐาน FIPS 140-3 — พร้อมรับมือยุคควอนตัมด้วยโมดูลเข้ารหัสแบบเปิด”

    Lightship Security ร่วมกับ OpenSSL Corporation ได้ประกาศการส่ง OpenSSL เวอร์ชัน 3.5.4 เข้าสู่กระบวนการรับรองมาตรฐาน FIPS 140-3 โดย Cryptographic Module Validation Program (CMVP) ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนการออกใบรับรองอย่างเป็นทางการจาก NIST

    การส่งครั้งนี้ยืนยันว่าโค้ดของโมดูลเข้ารหัสได้ผ่านการทดสอบจากห้องแล็บอิสระและผ่านเกณฑ์ของ NIST แล้วทั้งหมด โดย OpenSSL 3.5.4 ถือเป็นโมดูลแบบ open-source ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน FIPS 140-3 ซึ่งจะช่วยให้องค์กรภาครัฐและเอกชนสามารถนำไปใช้งานได้อย่างมั่นใจในด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนด

    OpenSSL 3.5 ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนเมษายน 2025 ได้เพิ่มการรองรับอัลกอริธึมเข้ารหัสแบบ post-quantum เช่น ML-KEM, ML-DSA และ SLH-DSA ตามแนวทางการมาตรฐานของ NIST เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับยุคที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจทำลายระบบเข้ารหัสแบบเดิม

    Jason Lawlor ประธานของ Lightship Security กล่าวว่า “นี่คือก้าวสำคัญในการรักษาความปลอดภัยแบบมาตรฐานในหนึ่งในไลบรารีโอเพ่นซอร์สที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก” ขณะที่ Tim Hudson จาก OpenSSL Corporation ย้ำว่า “โมดูลนี้พร้อมใช้งานแล้ว แม้ใบรับรองจะยังไม่ออกก็ตาม”

    การร่วมมือครั้งนี้ยังสานต่อประวัติศาสตร์ของ OpenSSL ในการพัฒนาโมดูลที่ได้รับการรับรอง FIPS ซึ่งถูกใช้งานในระบบของรัฐบาล กลาโหม และองค์กรเชิงพาณิชย์ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenSSL 3.5.4 ถูกส่งเข้าสู่กระบวนการรับรอง FIPS 140-3 โดย CMVP
    โมดูลผ่านการทดสอบจาก NIST และห้องแล็บอิสระเรียบร้อยแล้ว
    เป็นโมดูลแบบ open-source ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน FIPS 140-3
    OpenSSL 3.5 รองรับอัลกอริธึม post-quantum เช่น ML-KEM, ML-DSA, SLH-DSA
    โมดูลนี้ถูกใช้งานในระบบของรัฐบาล กลาโหม และองค์กรเชิงพาณิชย์
    Jason Lawlor และ Tim Hudson ยืนยันว่าโมดูลพร้อมใช้งานแล้ว
    การรับรองจะช่วยให้องค์กรสามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจในด้าน compliance

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    FIPS 140-3 เป็นมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับโมดูลเข้ารหัสที่ใช้ในภาครัฐสหรัฐฯ
    Post-quantum cryptography คือการเข้ารหัสที่ทนต่อการโจมตีจากคอมพิวเตอร์ควอนตัม
    ML-KEM และ ML-DSA เป็นอัลกอริธึมที่ได้รับการเสนอโดย NIST สำหรับการใช้งานในอนาคต
    OpenSSL เป็นไลบรารีเข้ารหัสที่ใช้ในระบบอินเทอร์เน็ตและ embedded systems ทั่วโลก
    การรับรอง FIPS ช่วยให้องค์กรสามารถผ่านข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของหลายประเทศ

    https://securityonline.info/lightship-security-and-the-openssl-corporation-submit-openssl-3-5-4-for-fips-140-3-validation/
    🔐 “OpenSSL 3.5.4 เตรียมผ่านมาตรฐาน FIPS 140-3 — พร้อมรับมือยุคควอนตัมด้วยโมดูลเข้ารหัสแบบเปิด” Lightship Security ร่วมกับ OpenSSL Corporation ได้ประกาศการส่ง OpenSSL เวอร์ชัน 3.5.4 เข้าสู่กระบวนการรับรองมาตรฐาน FIPS 140-3 โดย Cryptographic Module Validation Program (CMVP) ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนการออกใบรับรองอย่างเป็นทางการจาก NIST การส่งครั้งนี้ยืนยันว่าโค้ดของโมดูลเข้ารหัสได้ผ่านการทดสอบจากห้องแล็บอิสระและผ่านเกณฑ์ของ NIST แล้วทั้งหมด โดย OpenSSL 3.5.4 ถือเป็นโมดูลแบบ open-source ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน FIPS 140-3 ซึ่งจะช่วยให้องค์กรภาครัฐและเอกชนสามารถนำไปใช้งานได้อย่างมั่นใจในด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนด OpenSSL 3.5 ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนเมษายน 2025 ได้เพิ่มการรองรับอัลกอริธึมเข้ารหัสแบบ post-quantum เช่น ML-KEM, ML-DSA และ SLH-DSA ตามแนวทางการมาตรฐานของ NIST เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับยุคที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจทำลายระบบเข้ารหัสแบบเดิม Jason Lawlor ประธานของ Lightship Security กล่าวว่า “นี่คือก้าวสำคัญในการรักษาความปลอดภัยแบบมาตรฐานในหนึ่งในไลบรารีโอเพ่นซอร์สที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก” ขณะที่ Tim Hudson จาก OpenSSL Corporation ย้ำว่า “โมดูลนี้พร้อมใช้งานแล้ว แม้ใบรับรองจะยังไม่ออกก็ตาม” การร่วมมือครั้งนี้ยังสานต่อประวัติศาสตร์ของ OpenSSL ในการพัฒนาโมดูลที่ได้รับการรับรอง FIPS ซึ่งถูกใช้งานในระบบของรัฐบาล กลาโหม และองค์กรเชิงพาณิชย์ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenSSL 3.5.4 ถูกส่งเข้าสู่กระบวนการรับรอง FIPS 140-3 โดย CMVP ➡️ โมดูลผ่านการทดสอบจาก NIST และห้องแล็บอิสระเรียบร้อยแล้ว ➡️ เป็นโมดูลแบบ open-source ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน FIPS 140-3 ➡️ OpenSSL 3.5 รองรับอัลกอริธึม post-quantum เช่น ML-KEM, ML-DSA, SLH-DSA ➡️ โมดูลนี้ถูกใช้งานในระบบของรัฐบาล กลาโหม และองค์กรเชิงพาณิชย์ ➡️ Jason Lawlor และ Tim Hudson ยืนยันว่าโมดูลพร้อมใช้งานแล้ว ➡️ การรับรองจะช่วยให้องค์กรสามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจในด้าน compliance ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ FIPS 140-3 เป็นมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับโมดูลเข้ารหัสที่ใช้ในภาครัฐสหรัฐฯ ➡️ Post-quantum cryptography คือการเข้ารหัสที่ทนต่อการโจมตีจากคอมพิวเตอร์ควอนตัม ➡️ ML-KEM และ ML-DSA เป็นอัลกอริธึมที่ได้รับการเสนอโดย NIST สำหรับการใช้งานในอนาคต ➡️ OpenSSL เป็นไลบรารีเข้ารหัสที่ใช้ในระบบอินเทอร์เน็ตและ embedded systems ทั่วโลก ➡️ การรับรอง FIPS ช่วยให้องค์กรสามารถผ่านข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของหลายประเทศ https://securityonline.info/lightship-security-and-the-openssl-corporation-submit-openssl-3-5-4-for-fips-140-3-validation/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระดับเหรียญหลวงปู่ ใครจะกล้าหาญลองดีทำเองโดยไม่ขออนุญาต ใครจัดทำ ต้องมีบันทึกทั้งหมดเพราะนั่นคือเกียรติประวัติดีงามแก่ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลตนเองว่าได้รับความไว้วางใจ เชื่อใจจึงสามารถได้งานบุญใหญ่นี้แก่วงศ์ตระกูล ,ได้หน้าขนาดนั้น ใครๆก็อยากโชว์ตนเองล่ะ ถ้าเหรียญไม่มีบันทึก ไม่มีประวัติศาสตร์การจัดสร้าง ตีตกไปหมดล่ะ.

    https://youtube.com/watch?v=yjhbxby3pYU&si=N5oQqGK0Wpy4r3s2
    ระดับเหรียญหลวงปู่ ใครจะกล้าหาญลองดีทำเองโดยไม่ขออนุญาต ใครจัดทำ ต้องมีบันทึกทั้งหมดเพราะนั่นคือเกียรติประวัติดีงามแก่ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลตนเองว่าได้รับความไว้วางใจ เชื่อใจจึงสามารถได้งานบุญใหญ่นี้แก่วงศ์ตระกูล ,ได้หน้าขนาดนั้น ใครๆก็อยากโชว์ตนเองล่ะ ถ้าเหรียญไม่มีบันทึก ไม่มีประวัติศาสตร์การจัดสร้าง ตีตกไปหมดล่ะ. https://youtube.com/watch?v=yjhbxby3pYU&si=N5oQqGK0Wpy4r3s2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อติดคอ ตอนที่ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ”
    ตอนที่ 6

    สงครามอิรักอิหร่าน ที่ถูกชักใยโดยอเมริกา ทำให้ชาวอิหร่านตายไปไม่น้อยกว่า 300,000 คน และชีวิตชาวอิรักอีกประมาณ 100,000 คน มีคนเจ็บประเทศละไม่น้อยกว่า 700,000 คน ส่วนการรบในอาฟกานิสถาน ระหว่าง ค.ศ.1979-1989 ชีวิตของคนอาฟกันต้องเสียไปประมาณ 1 ล้านคน (รวมทั้งทหารของสหภาพโซเวียตอีก 15,000 นาย) 1 ใน 3 ของชาวอาฟกันกลายเป็นผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ตามเต้นท์ และมันกลายเป็นการเริ่มต้นใหม่ของการต่อต้านการล่าอาณานิคม คราวนี้ไม่ใช่นักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แต่เป็นอเมริกา นักล่าหน้าใหม่ ใจเหี้ยมโหด จากแผ่นดินใหญ่ที่แย่งชิงมาจากอินเดียนแดง เป็นวีรกรรมที่ต้องบันทึกไว้

    เมื่อสหภาพโซเวียตล้มครืนในปี ค.ศ.1991 อเมริกากระหยิ่ม คิดว่าเส้นทางก้าวสู่การเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกสะดวกโล่ง เมื่อคู่แข่งคนสำคัญถูกเขี่ยตกไปจากลู่แข่ง มันอาจจะเป็นการตกจากลู่แข่งเป็นการชั่วคราวเท่านั้น แต่ตอนนั้นอเมริกาไม่ได้คิดอย่างนั้น ความเกลียด ความสะใจคงจะทำให้มองภาพไม่ชัด อเมริกาคิดว่านี่เป็นโอกาสเหมาะ ที่จะสยายปีกมาทางตะวันออกกลาง และยิ่งเมื่อ Khomeini ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว อิหร่านคงไม่แกร่งอย่างเดิม อเมริกาไม่จำเป็นต้อง “เลี้ยง” อิหร่านอีกต่อไป ยักษ์ล้มไปแล้ว ยันต์กันยักษ์ไม่มีความหมายเหมือนเก่า

    แต่ดูเหมือนอเมริกาจะอ่านไม่ขาด สงครามอิรัก อิหร่าน กลับทำให้การปกครองของ Khomeini เข้มแข็งขึ้น ชาวตะวันออกเห็นความอึดและเด็ดขาดของ Khomeini ชัดเจน มีการรวมตัวกันมากขึ้น เพราะเห็นเป้าหมายชัดเจน ยิ่งเมื่อสหภาพโซเวียตที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งคนเดียว ที่พอจะต่อกรกับอเมริกาได้ถูกน๊อคนับ 10 กลุ่มอิสลามกลับคิดรวมตัวกัน เพื่อป้องกันการครอบครองของอเมริกา และเริ่มเข้าไปมีส่วนในการเมืองในภูมิภาคของตนเอง

    นอกจากนั้น การที่อเมริกาอุดหนุนให้อาวุธ และทำการฝึกให้กลุ่มอาฟกันและ Mujahadeen เพื่อให้ไปโซ้ยกับรัสเซียแทนตนนั้น ทำให้กลุ่มอิสลามติดอาวุธพวกนี้ยิ่งฮึกเหิม พวกเขาเชื่อว่า เมื่อล้มยักษ์ได้ตัวหนึ่ง (สหภาพโซเวียต) ทำไมจะล้มยักษ์ตัวอื่นๆอีกไม่ได้ และเมื่อเริ่ม ค.ศ.1990 เป็นต้นมา กลุ่มอิสลามหัวรุนแรงก็ดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นเหยื่อที่มีก้าง ติดเสียบค้างอยู่กลางคอของอเมริกา

    การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ไม่ได้นำความสะใจมาให้อเมริกาแต่อย่างเดียว น่าจะนำความวุ่นวายใจมาให้ด้วย หลังสหภาพโซเวียตล่ม กลับมีการเกิดใหม่ของรัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยอยู่ในอ้อมแขนของสหภาพโซเวียต ทยอยออกมาตั้งเป็นรัฐอิสระ รัฐเล็กๆเหล่านี้เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากร จิ้มไปตรงไหน ไม่น้ำมันผุดก็แก๊สพุ่ง แบบนี้นักล่าต่างๆจะอดใจไหวอย่างไร แต่คราวนี้พวกที่จ้องกันน้ำลายไหลไม่ได้มีแต่นักล่าตะวันตก ประเทศที่เพิ่งโตเช่น จีน และแม้แต่เจ้าของเก่าเช่นรัสเซีย ก็ออกอาการ

    นาย Zbigniew Brzezinski ที่ปรึกษาใหญ่ ออกมากระตุกแขนอเมริกา อย่าลืมนะ รางวัลใหญ่คือ Eurasia ปล่อยให้หลุดมือไม่ได้

    อิหร่านที่มีเขตแดนติดอยู่กับสหภาพโซเวียตเดิม ยาวพันกว่ากิโลเมตร เป็นเพื่อนบ้านกันมากับรัฐเล็ก รัฐน้อยแถบนั้น ผูกพันกันทั้งด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และภาษา จะปล่อยให้คนแปลกหน้าต่างถิ่น เดินเข้าไปชิงตัดหน้าอย่างนั้นหรือ อิหร่านเริ่มเสนอโครงการท่อส่งสามัคคี ยาวตั้งแต่ Caspian Sea จากทางเหนือลงใต้ไปถึงอ่าว Persia ถ้าข้อเสนอของอิหร่านเกิดขึ้น ความฝันที่จะชิงรางวัลใหญ่ของอเมริกาก็คงริบหรี่ แล้วจะปล่อยไปได้อย่างไร
    อเมริกาพยายามคิดวิธีการที่จะจัดการกับอิหร่าน สมัยรัฐบาล Clinton เขาบอกว่า ไม่ต้องยกทัพไปขยี้อิหร่านหรอก อิหร่านไม่ใช่คู่แข่งของเรา เราเอาการค้านำหน้า เป็นการค้าเสรีให้มันทั่วโลก พวกเขาไม่ฉลาดเท่าเราหรอก เราเปิดให้ทุนเข้าไปไม่เท่าไร เดี๋ยวเราก็กินเขาได้หมดเองน่า เออ! มันก็ได้ผลหลายที่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกแห่งจะคี้ยวได้ง่าย แต่สายเหยี่ยวของอเมริกาไม่เห็นด้วย เขายืนยันว่าอิหร่านเป็นเป้าสำคัญในตะวันออกกลาง ถ้าเราปล่อยให้อิหร่านโตไปเรื่อยๆ และไม่รู้ว่าต่อไปอิหร่านจะหันหน้าไปซบใคร สู้ตัดตอนมันไปเสียก่อนไม่ดีกว่าหรือ

    เมื่อ George Bush ได้เป็นประธานาธิบดีใน ค.ศ.2000 หลังจากเกิดเหตุการณ์ 11 กันยา สายเหยี่ยวได้โอกาส (หรือสร้างโอกาส..!?) ประกาศว่า เราต้องจัดระเบียบโลกใหม่เกี่ยวกับเรื่องการก่อการร้าย แล้วอิหร่านและอิรักก็ได้รับเกียรติเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย ที่อเมริกาจะต้อง “จัดการ” รุ่นแรก

    รัฐมนตรีกลาโหม Donald Rumsfeld และผู้ช่วยตัวแสบ Paul Wolfowitz บอกว่าเราต้องสูบพวกนี้ออกมาให้หมดจากบริเวณตะวันออกกลาง “draining the swamp” แล้วพ่วงเอาผู้ปกครองอิรัก อิหร่าน และซีเรียไปด้วย เพราะพวกนี้แหละที่เป็นตัวขวางไม่ให้อเมริกาสยายปีกการล่าเหยื่อในตะวันออกกลาง

    การสูบน้ำออกจากหนอง แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน เริ่มแรกเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.2001 เมื่ออเมริกาทิ้งบอมบ์อาฟกานิสถาน และล้มรัฐบาลตาลีบัน (ซึ่งสร้างมากับมือ) อิรักเป็นขั้นตอนต่อไป แม้ Saddam จะไม่เป็นอิสลาม และไม่ได้เป็นพวกอัลกออิดะห์ แต่การอยู่ของ Saddam ทำให้อเมริการำคาญใจ เพราะเกะกะขวางทางการไปเอาน้ำมันในอิรัก ขั้นตอนสุดท้ายคืออิหร่าน ซึ่งไม่เกี่ยวกับรายการ 11 กันยา แถมยังยอมให้อเมริกาเข้ามาในเขตแดนของอิหร่าน ตอนกวาดพวกตาลีบันด้วย

    แต่อิหร่านเป็นแม่พิมพ์ของพวกอิสลามเคร่งครัด ถ้าแม่พิมพ์ยังอยู่ดี เดี๋ยวก็มีการถ่ายแบบกันไปทั่วตะวันออกกลาง อเมริการับไม่ได้ แต่ที่สำคัญ น่าจะเป็นข่าวที่เริ่มกระจายออกไปว่า อิหร่านก็คิดมีเพื่อน และเพื่อนที่อิหร่านอยากคบคือรัสเซียและจีน ซึ่งยืนตรงกันข้ามกับอเมริกา โดยเฉพาะรัสเซีย และจากสาเหตุสุดท้ายนี้ อิหร่านก็ได้ถูกเลื่อนอันดับอย่างรวดเร็ว โดยรัฐบาล Bush เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งที่จะต้องถูกจัดการสังเวยความกระหายน้ำมันและอำนาจ บวกความหมั่นไส้ที่ไม่รู้จักเลือกคบเพื่อน มองข้ามหัวอเมริกาอย่างท้าท้าย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 กันยายน 2557
    เหยื่อติดคอ ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ” ตอนที่ 6 สงครามอิรักอิหร่าน ที่ถูกชักใยโดยอเมริกา ทำให้ชาวอิหร่านตายไปไม่น้อยกว่า 300,000 คน และชีวิตชาวอิรักอีกประมาณ 100,000 คน มีคนเจ็บประเทศละไม่น้อยกว่า 700,000 คน ส่วนการรบในอาฟกานิสถาน ระหว่าง ค.ศ.1979-1989 ชีวิตของคนอาฟกันต้องเสียไปประมาณ 1 ล้านคน (รวมทั้งทหารของสหภาพโซเวียตอีก 15,000 นาย) 1 ใน 3 ของชาวอาฟกันกลายเป็นผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ตามเต้นท์ และมันกลายเป็นการเริ่มต้นใหม่ของการต่อต้านการล่าอาณานิคม คราวนี้ไม่ใช่นักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แต่เป็นอเมริกา นักล่าหน้าใหม่ ใจเหี้ยมโหด จากแผ่นดินใหญ่ที่แย่งชิงมาจากอินเดียนแดง เป็นวีรกรรมที่ต้องบันทึกไว้ เมื่อสหภาพโซเวียตล้มครืนในปี ค.ศ.1991 อเมริกากระหยิ่ม คิดว่าเส้นทางก้าวสู่การเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกสะดวกโล่ง เมื่อคู่แข่งคนสำคัญถูกเขี่ยตกไปจากลู่แข่ง มันอาจจะเป็นการตกจากลู่แข่งเป็นการชั่วคราวเท่านั้น แต่ตอนนั้นอเมริกาไม่ได้คิดอย่างนั้น ความเกลียด ความสะใจคงจะทำให้มองภาพไม่ชัด อเมริกาคิดว่านี่เป็นโอกาสเหมาะ ที่จะสยายปีกมาทางตะวันออกกลาง และยิ่งเมื่อ Khomeini ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว อิหร่านคงไม่แกร่งอย่างเดิม อเมริกาไม่จำเป็นต้อง “เลี้ยง” อิหร่านอีกต่อไป ยักษ์ล้มไปแล้ว ยันต์กันยักษ์ไม่มีความหมายเหมือนเก่า แต่ดูเหมือนอเมริกาจะอ่านไม่ขาด สงครามอิรัก อิหร่าน กลับทำให้การปกครองของ Khomeini เข้มแข็งขึ้น ชาวตะวันออกเห็นความอึดและเด็ดขาดของ Khomeini ชัดเจน มีการรวมตัวกันมากขึ้น เพราะเห็นเป้าหมายชัดเจน ยิ่งเมื่อสหภาพโซเวียตที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งคนเดียว ที่พอจะต่อกรกับอเมริกาได้ถูกน๊อคนับ 10 กลุ่มอิสลามกลับคิดรวมตัวกัน เพื่อป้องกันการครอบครองของอเมริกา และเริ่มเข้าไปมีส่วนในการเมืองในภูมิภาคของตนเอง นอกจากนั้น การที่อเมริกาอุดหนุนให้อาวุธ และทำการฝึกให้กลุ่มอาฟกันและ Mujahadeen เพื่อให้ไปโซ้ยกับรัสเซียแทนตนนั้น ทำให้กลุ่มอิสลามติดอาวุธพวกนี้ยิ่งฮึกเหิม พวกเขาเชื่อว่า เมื่อล้มยักษ์ได้ตัวหนึ่ง (สหภาพโซเวียต) ทำไมจะล้มยักษ์ตัวอื่นๆอีกไม่ได้ และเมื่อเริ่ม ค.ศ.1990 เป็นต้นมา กลุ่มอิสลามหัวรุนแรงก็ดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นเหยื่อที่มีก้าง ติดเสียบค้างอยู่กลางคอของอเมริกา การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ไม่ได้นำความสะใจมาให้อเมริกาแต่อย่างเดียว น่าจะนำความวุ่นวายใจมาให้ด้วย หลังสหภาพโซเวียตล่ม กลับมีการเกิดใหม่ของรัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยอยู่ในอ้อมแขนของสหภาพโซเวียต ทยอยออกมาตั้งเป็นรัฐอิสระ รัฐเล็กๆเหล่านี้เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากร จิ้มไปตรงไหน ไม่น้ำมันผุดก็แก๊สพุ่ง แบบนี้นักล่าต่างๆจะอดใจไหวอย่างไร แต่คราวนี้พวกที่จ้องกันน้ำลายไหลไม่ได้มีแต่นักล่าตะวันตก ประเทศที่เพิ่งโตเช่น จีน และแม้แต่เจ้าของเก่าเช่นรัสเซีย ก็ออกอาการ นาย Zbigniew Brzezinski ที่ปรึกษาใหญ่ ออกมากระตุกแขนอเมริกา อย่าลืมนะ รางวัลใหญ่คือ Eurasia ปล่อยให้หลุดมือไม่ได้ อิหร่านที่มีเขตแดนติดอยู่กับสหภาพโซเวียตเดิม ยาวพันกว่ากิโลเมตร เป็นเพื่อนบ้านกันมากับรัฐเล็ก รัฐน้อยแถบนั้น ผูกพันกันทั้งด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และภาษา จะปล่อยให้คนแปลกหน้าต่างถิ่น เดินเข้าไปชิงตัดหน้าอย่างนั้นหรือ อิหร่านเริ่มเสนอโครงการท่อส่งสามัคคี ยาวตั้งแต่ Caspian Sea จากทางเหนือลงใต้ไปถึงอ่าว Persia ถ้าข้อเสนอของอิหร่านเกิดขึ้น ความฝันที่จะชิงรางวัลใหญ่ของอเมริกาก็คงริบหรี่ แล้วจะปล่อยไปได้อย่างไร อเมริกาพยายามคิดวิธีการที่จะจัดการกับอิหร่าน สมัยรัฐบาล Clinton เขาบอกว่า ไม่ต้องยกทัพไปขยี้อิหร่านหรอก อิหร่านไม่ใช่คู่แข่งของเรา เราเอาการค้านำหน้า เป็นการค้าเสรีให้มันทั่วโลก พวกเขาไม่ฉลาดเท่าเราหรอก เราเปิดให้ทุนเข้าไปไม่เท่าไร เดี๋ยวเราก็กินเขาได้หมดเองน่า เออ! มันก็ได้ผลหลายที่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกแห่งจะคี้ยวได้ง่าย แต่สายเหยี่ยวของอเมริกาไม่เห็นด้วย เขายืนยันว่าอิหร่านเป็นเป้าสำคัญในตะวันออกกลาง ถ้าเราปล่อยให้อิหร่านโตไปเรื่อยๆ และไม่รู้ว่าต่อไปอิหร่านจะหันหน้าไปซบใคร สู้ตัดตอนมันไปเสียก่อนไม่ดีกว่าหรือ เมื่อ George Bush ได้เป็นประธานาธิบดีใน ค.ศ.2000 หลังจากเกิดเหตุการณ์ 11 กันยา สายเหยี่ยวได้โอกาส (หรือสร้างโอกาส..!?) ประกาศว่า เราต้องจัดระเบียบโลกใหม่เกี่ยวกับเรื่องการก่อการร้าย แล้วอิหร่านและอิรักก็ได้รับเกียรติเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย ที่อเมริกาจะต้อง “จัดการ” รุ่นแรก รัฐมนตรีกลาโหม Donald Rumsfeld และผู้ช่วยตัวแสบ Paul Wolfowitz บอกว่าเราต้องสูบพวกนี้ออกมาให้หมดจากบริเวณตะวันออกกลาง “draining the swamp” แล้วพ่วงเอาผู้ปกครองอิรัก อิหร่าน และซีเรียไปด้วย เพราะพวกนี้แหละที่เป็นตัวขวางไม่ให้อเมริกาสยายปีกการล่าเหยื่อในตะวันออกกลาง การสูบน้ำออกจากหนอง แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน เริ่มแรกเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.2001 เมื่ออเมริกาทิ้งบอมบ์อาฟกานิสถาน และล้มรัฐบาลตาลีบัน (ซึ่งสร้างมากับมือ) อิรักเป็นขั้นตอนต่อไป แม้ Saddam จะไม่เป็นอิสลาม และไม่ได้เป็นพวกอัลกออิดะห์ แต่การอยู่ของ Saddam ทำให้อเมริการำคาญใจ เพราะเกะกะขวางทางการไปเอาน้ำมันในอิรัก ขั้นตอนสุดท้ายคืออิหร่าน ซึ่งไม่เกี่ยวกับรายการ 11 กันยา แถมยังยอมให้อเมริกาเข้ามาในเขตแดนของอิหร่าน ตอนกวาดพวกตาลีบันด้วย แต่อิหร่านเป็นแม่พิมพ์ของพวกอิสลามเคร่งครัด ถ้าแม่พิมพ์ยังอยู่ดี เดี๋ยวก็มีการถ่ายแบบกันไปทั่วตะวันออกกลาง อเมริการับไม่ได้ แต่ที่สำคัญ น่าจะเป็นข่าวที่เริ่มกระจายออกไปว่า อิหร่านก็คิดมีเพื่อน และเพื่อนที่อิหร่านอยากคบคือรัสเซียและจีน ซึ่งยืนตรงกันข้ามกับอเมริกา โดยเฉพาะรัสเซีย และจากสาเหตุสุดท้ายนี้ อิหร่านก็ได้ถูกเลื่อนอันดับอย่างรวดเร็ว โดยรัฐบาล Bush เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งที่จะต้องถูกจัดการสังเวยความกระหายน้ำมันและอำนาจ บวกความหมั่นไส้ที่ไม่รู้จักเลือกคบเพื่อน มองข้ามหัวอเมริกาอย่างท้าท้าย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 กันยายน 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อไหร่คนที่ตะแบง จะยอมรับความจริง ที่มีหลักฐาน ผู้รู้ ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด ร่วมมือกันสร้างประวัติศาสตร์ความถูกต้อง ให้ล้างบาปที่ฝรั่งเศสที่ ทำกับคนสองชาติ เปิดช่องหมารอด ให้คนขายชาติ ไม่ก็หาประโยชน์เข้าตระกูล

    https://youtu.be/qIGKE-BJJM0?si=IYrfAS-19IHDlS9Y
    เมื่อไหร่คนที่ตะแบง จะยอมรับความจริง ที่มีหลักฐาน ผู้รู้ ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด ร่วมมือกันสร้างประวัติศาสตร์ความถูกต้อง ให้ล้างบาปที่ฝรั่งเศสที่ ทำกับคนสองชาติ เปิดช่องหมารอด ให้คนขายชาติ ไม่ก็หาประโยชน์เข้าตระกูล https://youtu.be/qIGKE-BJJM0?si=IYrfAS-19IHDlS9Y
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • “10 ยานพาหนะไซไฟในตำนานจากหนังและซีรีส์ — จาก Millennium Falcon ถึง Optimus Prime”

    โลกภาพยนตร์ไซไฟไม่เพียงแต่พาเราท่องไปในอวกาศหรืออนาคตอันไกลโพ้น แต่ยังสร้างสรรค์ “ยานพาหนะ” ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคและจินตนาการของผู้ชมทั่วโลก บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 10 ยานพาหนะไซไฟที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์และโทรทัศน์ ซึ่งแต่ละคันไม่เพียงมีดีไซน์ล้ำยุค แต่ยังมีเรื่องราวและเทคโนโลยีที่ทำให้แฟน ๆ จดจำไม่ลืม

    ยานพาหนะไซไฟในตำนาน
    Millennium Falcon — ยาน Corellian freighter ที่เร็วเกินกว่าความเร็วแสง
    KITT — รถ AI จาก Knight Rider ที่พูดได้ ขับเองได้ และวิเคราะห์อาชญากรรม
    Batmobile — เวอร์ชัน 1989 มี afterburner, bomb dispenser และระบบป้องกัน
    DeLorean — รถย้อนเวลาใน Back to the Future ที่บินได้และใช้ขยะเป็นพลังงาน
    Light Cycles — มอเตอร์ไซค์ดิจิทัลจาก Tron ที่ทิ้งแสงไว้เบื้องหลัง
    USS Enterprise — ยานสำรวจอวกาศจาก Star Trek ที่มี warp drive และ Holodeck
    TARDIS — กล่องโทรศัพท์ที่ใหญ่กว่าภายในจาก Doctor Who
    Spinners — รถบินจาก Blade Runner ที่หมุนตัวได้และบินแนวดิ่ง
    Optimus Prime — หุ่นยนต์ที่แปลงร่างเป็นรถบรรทุกจาก Transformers
    V8 Interceptor — รถกล้ามจาก Mad Max ที่เป็นสัญลักษณ์ของโลกหลังหายนะ

    https://www.slashgear.com/1679666/most-iconic-sci-fi-vehicles-movies-tv/
    🚀 “10 ยานพาหนะไซไฟในตำนานจากหนังและซีรีส์ — จาก Millennium Falcon ถึง Optimus Prime” โลกภาพยนตร์ไซไฟไม่เพียงแต่พาเราท่องไปในอวกาศหรืออนาคตอันไกลโพ้น แต่ยังสร้างสรรค์ “ยานพาหนะ” ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคและจินตนาการของผู้ชมทั่วโลก บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 10 ยานพาหนะไซไฟที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์และโทรทัศน์ ซึ่งแต่ละคันไม่เพียงมีดีไซน์ล้ำยุค แต่ยังมีเรื่องราวและเทคโนโลยีที่ทำให้แฟน ๆ จดจำไม่ลืม ✅ ยานพาหนะไซไฟในตำนาน ➡️ Millennium Falcon — ยาน Corellian freighter ที่เร็วเกินกว่าความเร็วแสง ➡️ KITT — รถ AI จาก Knight Rider ที่พูดได้ ขับเองได้ และวิเคราะห์อาชญากรรม ➡️ Batmobile — เวอร์ชัน 1989 มี afterburner, bomb dispenser และระบบป้องกัน ➡️ DeLorean — รถย้อนเวลาใน Back to the Future ที่บินได้และใช้ขยะเป็นพลังงาน ➡️ Light Cycles — มอเตอร์ไซค์ดิจิทัลจาก Tron ที่ทิ้งแสงไว้เบื้องหลัง ➡️ USS Enterprise — ยานสำรวจอวกาศจาก Star Trek ที่มี warp drive และ Holodeck ➡️ TARDIS — กล่องโทรศัพท์ที่ใหญ่กว่าภายในจาก Doctor Who ➡️ Spinners — รถบินจาก Blade Runner ที่หมุนตัวได้และบินแนวดิ่ง ➡️ Optimus Prime — หุ่นยนต์ที่แปลงร่างเป็นรถบรรทุกจาก Transformers ➡️ V8 Interceptor — รถกล้ามจาก Mad Max ที่เป็นสัญลักษณ์ของโลกหลังหายนะ https://www.slashgear.com/1679666/most-iconic-sci-fi-vehicles-movies-tv/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    10 Of The Most Iconic Sci-Fi Vehicles In Movies And TV - SlashGear
    Sci-Fi movies and TV have born so many examples of future-like technology, some of which that's led to real inventions. These are the most iconic examples.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • รูปหล่อหลวงพ่อท่านสุก รุ่น1 พ่อแก่เจ้าแสง วัดบ้านตรัง จ.ปัตตานี
    รูปหล่อหลวงพ่อท่านสุก รุ่น1 เนื้อทองผสม พ่อแก่เจ้าแสง วัดบ้านตรัง จ.ปัตตานี ปี2555 // พระดีพิธีใหญ่ จัดสร้างจำนวนน้อย เกจิดังแห่งจังหวัดชายแดนใต้ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ //

    ** พุทธคุณ เมตตาค้าขายดี เจรจาค้าขายดี ทำการสิ่งใดย่อมมีกำไร มีผลงอกเงยเสมอ จะเด่นด้านเมตตามหาเสน่ห์ โชคลาภ ใครบูชา นะจังงัง หลงไหล ประสบตวามสำเร็จ เสน่ห์เมตตามหานิยม เมตตาค้าขายดี เจรจาค้าขายดี ทำการสิ่งใดย่อมมีกำไร มีผลงอกเงยเสมอนัก >>

    ** หลวงพ่อสุข สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านตรัง วัดประเวศน์ภูผา (วัดบ้านตรัง) เป็นวัดเก่าแก่ สร้างเมื่อปีพ.ศ. ๒๒๔๐ มีอายุราว ๓๐๐ ปีเป็นโบราณสถานที่มากด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์และความศรัทธาของคนในชุมชนหอประไตรปิฎก เป็นอาคารไม้ยกพื้นสูงหลังคาทรงจัตุรมุข สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๙ สร้างโดยพ่อแก่เจ้าแสง (อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านตรัง)

    ** "พ่อแก่เจ้าแสง" พระเกจิดังปัตตานี ได้ศึกษาเวทย์มนต์ คาถาอาคมจากพ่อท่านทองแก้ว พระสงฆ์ผู้ทรงศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดบ้านตรัง พ่อท่านแสงท่านเป็นศิษย์ผู้พี่ของพ่อท่านหวาน วัดลานควาย ท่านยังสืบทอดสายวิชา ทำผงนะปถมังและนะปัดตลอด ได้อย่างเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ รูปหล่อหลวงพ่อสุข พ่อแก่เจ้าแสง วัดบ้านตรัง จ.ปัตตานี ส่วนใหญ่จะไปอยู่ต่างประเทศ มาเลย์ กับ สิงคโปร์ ..... **

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    รูปหล่อหลวงพ่อท่านสุก รุ่น1 พ่อแก่เจ้าแสง วัดบ้านตรัง จ.ปัตตานี รูปหล่อหลวงพ่อท่านสุก รุ่น1 เนื้อทองผสม พ่อแก่เจ้าแสง วัดบ้านตรัง จ.ปัตตานี ปี2555 // พระดีพิธีใหญ่ จัดสร้างจำนวนน้อย เกจิดังแห่งจังหวัดชายแดนใต้ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ // ** พุทธคุณ เมตตาค้าขายดี เจรจาค้าขายดี ทำการสิ่งใดย่อมมีกำไร มีผลงอกเงยเสมอ จะเด่นด้านเมตตามหาเสน่ห์ โชคลาภ ใครบูชา นะจังงัง หลงไหล ประสบตวามสำเร็จ เสน่ห์เมตตามหานิยม เมตตาค้าขายดี เจรจาค้าขายดี ทำการสิ่งใดย่อมมีกำไร มีผลงอกเงยเสมอนัก >> ** หลวงพ่อสุข สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านตรัง วัดประเวศน์ภูผา (วัดบ้านตรัง) เป็นวัดเก่าแก่ สร้างเมื่อปีพ.ศ. ๒๒๔๐ มีอายุราว ๓๐๐ ปีเป็นโบราณสถานที่มากด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์และความศรัทธาของคนในชุมชนหอประไตรปิฎก เป็นอาคารไม้ยกพื้นสูงหลังคาทรงจัตุรมุข สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๙ สร้างโดยพ่อแก่เจ้าแสง (อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านตรัง) ** "พ่อแก่เจ้าแสง" พระเกจิดังปัตตานี ได้ศึกษาเวทย์มนต์ คาถาอาคมจากพ่อท่านทองแก้ว พระสงฆ์ผู้ทรงศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดบ้านตรัง พ่อท่านแสงท่านเป็นศิษย์ผู้พี่ของพ่อท่านหวาน วัดลานควาย ท่านยังสืบทอดสายวิชา ทำผงนะปถมังและนะปัดตลอด ได้อย่างเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ รูปหล่อหลวงพ่อสุข พ่อแก่เจ้าแสง วัดบ้านตรัง จ.ปัตตานี ส่วนใหญ่จะไปอยู่ต่างประเทศ มาเลย์ กับ สิงคโปร์ ..... ** ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Voyager 1 เตรียมสร้างประวัติศาสตร์ — เป็นวัตถุจากมนุษย์ชิ้นแรกที่อยู่ห่างจากโลกหนึ่งวันแสงในพฤศจิกายน 2026”

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 กันยายน 1977 NASA ได้ส่งยาน Voyager 1 ขึ้นสู่อวกาศเพื่อศึกษาดาวเคราะห์รอบนอกของระบบสุริยะ โดยใช้เทคนิค “gravity assist” หรือการเหวี่ยงแรงโน้มถ่วงจากดาวเคราะห์เพื่อเพิ่มความเร็ว ซึ่งทำให้ยานสามารถเดินทางออกไปไกลกว่าที่เคยมีมา ปัจจุบัน Voyager 1 เคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 38,000 ไมล์ต่อชั่วโมง และอยู่ห่างจากโลกประมาณ 15.67 พันล้านไมล์

    ในเดือนพฤศจิกายน 2026 ยาน Voyager 1 จะกลายเป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นชิ้นแรกที่อยู่ห่างจากโลก “หนึ่งวันแสง” หรือระยะทางที่แสงเดินทางในสุญญากาศเป็นเวลา 24 ชั่วโมง คิดเป็นประมาณ 16.09 พันล้านไมล์ ซึ่งหมายความว่า สัญญาณวิทยุจากโลกจะใช้เวลาทั้งวันในการเดินทางไปถึงยาน และอีกวันในการตอบกลับกลับมายังโลก

    แม้จะอยู่ไกลขนาดนั้น ยานยังคงส่งข้อมูลกลับมาได้ เช่น ข้อมูลสนามแม่เหล็ก รังสีคอสมิก และคลื่นพลาสมา ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจสภาพแวดล้อมในอวกาศระหว่างดาวได้ดีขึ้น โดยใช้เครือข่ายเสาอากาศ Deep Space Network ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ สเปน และออสเตรเลีย

    Voyager 1 เคยผ่านขอบเขตของระบบสุริยะที่เรียกว่า “heliopause” ในปี 2012 และเข้าสู่อวกาศระหว่างดาวอย่างเป็นทางการ โดยในอีก 300 ปีข้างหน้า มันจะเข้าสู่บริเวณใกล้ของ Oort Cloud และอาจใช้เวลาอีก 30,000 ปีในการผ่านออกไปทั้งหมด

    แม้พลังงานของยานจะลดลงเรื่อย ๆ และคาดว่าจะหยุดทำงานในปี 2030–2036 แต่ Voyager 1 จะยังคงล่องลอยต่อไปในอวกาศอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีใครควบคุม มุ่งหน้าไปยังกลุ่มดาว Ophiuchus และจะเข้าใกล้ดาวในกลุ่ม Ursa Minor ในปี ค.ศ. 40,272

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Voyager 1 จะอยู่ห่างจากโลกหนึ่งวันแสงในเดือนพฤศจิกายน 2026
    หนึ่งวันแสงเท่ากับประมาณ 16.09 พันล้านไมล์
    สัญญาณวิทยุใช้เวลา 24 ชั่วโมงในการเดินทางไปยังยาน และอีก 24 ชั่วโมงในการตอบกลับ
    ยานเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 38,000 ไมล์ต่อชั่วโมง
    เคยผ่าน heliopause และเข้าสู่อวกาศระหว่างดาวในปี 2012
    ปัจจุบันยังส่งข้อมูลวิทยาศาสตร์กลับมายังโลกได้
    ใช้เครือข่าย Deep Space Network ใน 3 ประเทศเพื่อรับสัญญาณ
    จะเข้าสู่ Oort Cloud ในอีก 300 ปี และใช้เวลาอีก 30,000 ปีในการผ่านออกไป
    คาดว่าจะหยุดทำงานในปี 2030–2036 เนื่องจากพลังงานหมด
    จะเข้าใกล้ดาวในกลุ่ม Ursa Minor ในปี 40,272

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Voyager 1 ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ RTG ที่แปลงความร้อนจากพลูโตเนียมเป็นไฟฟ้า
    ข้อมูลที่ส่งกลับมาช่วยปรับปรุงโมเดลของสภาพแวดล้อมระหว่างดาว
    Apollo 10 เคยทำความเร็วสูงสุดที่มนุษย์สร้างได้คือ 25,000 ไมล์ต่อชั่วโมง
    แสงจากดวงอาทิตย์ใช้เวลาเพียง 8 นาทีในการเดินทางมายังโลก
    Voyager 1 ยังบรรจุแผ่นทองคำ “Golden Record” ที่บันทึกเสียงและภาพจากโลกเพื่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตต่างดาว

    https://www.slashgear.com/1984279/nasa-voyager-1-light-day-from-earth-november-2026/
    🚀 “Voyager 1 เตรียมสร้างประวัติศาสตร์ — เป็นวัตถุจากมนุษย์ชิ้นแรกที่อยู่ห่างจากโลกหนึ่งวันแสงในพฤศจิกายน 2026” ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 กันยายน 1977 NASA ได้ส่งยาน Voyager 1 ขึ้นสู่อวกาศเพื่อศึกษาดาวเคราะห์รอบนอกของระบบสุริยะ โดยใช้เทคนิค “gravity assist” หรือการเหวี่ยงแรงโน้มถ่วงจากดาวเคราะห์เพื่อเพิ่มความเร็ว ซึ่งทำให้ยานสามารถเดินทางออกไปไกลกว่าที่เคยมีมา ปัจจุบัน Voyager 1 เคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 38,000 ไมล์ต่อชั่วโมง และอยู่ห่างจากโลกประมาณ 15.67 พันล้านไมล์ ในเดือนพฤศจิกายน 2026 ยาน Voyager 1 จะกลายเป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นชิ้นแรกที่อยู่ห่างจากโลก “หนึ่งวันแสง” หรือระยะทางที่แสงเดินทางในสุญญากาศเป็นเวลา 24 ชั่วโมง คิดเป็นประมาณ 16.09 พันล้านไมล์ ซึ่งหมายความว่า สัญญาณวิทยุจากโลกจะใช้เวลาทั้งวันในการเดินทางไปถึงยาน และอีกวันในการตอบกลับกลับมายังโลก แม้จะอยู่ไกลขนาดนั้น ยานยังคงส่งข้อมูลกลับมาได้ เช่น ข้อมูลสนามแม่เหล็ก รังสีคอสมิก และคลื่นพลาสมา ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจสภาพแวดล้อมในอวกาศระหว่างดาวได้ดีขึ้น โดยใช้เครือข่ายเสาอากาศ Deep Space Network ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ สเปน และออสเตรเลีย Voyager 1 เคยผ่านขอบเขตของระบบสุริยะที่เรียกว่า “heliopause” ในปี 2012 และเข้าสู่อวกาศระหว่างดาวอย่างเป็นทางการ โดยในอีก 300 ปีข้างหน้า มันจะเข้าสู่บริเวณใกล้ของ Oort Cloud และอาจใช้เวลาอีก 30,000 ปีในการผ่านออกไปทั้งหมด แม้พลังงานของยานจะลดลงเรื่อย ๆ และคาดว่าจะหยุดทำงานในปี 2030–2036 แต่ Voyager 1 จะยังคงล่องลอยต่อไปในอวกาศอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีใครควบคุม มุ่งหน้าไปยังกลุ่มดาว Ophiuchus และจะเข้าใกล้ดาวในกลุ่ม Ursa Minor ในปี ค.ศ. 40,272 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Voyager 1 จะอยู่ห่างจากโลกหนึ่งวันแสงในเดือนพฤศจิกายน 2026 ➡️ หนึ่งวันแสงเท่ากับประมาณ 16.09 พันล้านไมล์ ➡️ สัญญาณวิทยุใช้เวลา 24 ชั่วโมงในการเดินทางไปยังยาน และอีก 24 ชั่วโมงในการตอบกลับ ➡️ ยานเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 38,000 ไมล์ต่อชั่วโมง ➡️ เคยผ่าน heliopause และเข้าสู่อวกาศระหว่างดาวในปี 2012 ➡️ ปัจจุบันยังส่งข้อมูลวิทยาศาสตร์กลับมายังโลกได้ ➡️ ใช้เครือข่าย Deep Space Network ใน 3 ประเทศเพื่อรับสัญญาณ ➡️ จะเข้าสู่ Oort Cloud ในอีก 300 ปี และใช้เวลาอีก 30,000 ปีในการผ่านออกไป ➡️ คาดว่าจะหยุดทำงานในปี 2030–2036 เนื่องจากพลังงานหมด ➡️ จะเข้าใกล้ดาวในกลุ่ม Ursa Minor ในปี 40,272 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Voyager 1 ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ RTG ที่แปลงความร้อนจากพลูโตเนียมเป็นไฟฟ้า ➡️ ข้อมูลที่ส่งกลับมาช่วยปรับปรุงโมเดลของสภาพแวดล้อมระหว่างดาว ➡️ Apollo 10 เคยทำความเร็วสูงสุดที่มนุษย์สร้างได้คือ 25,000 ไมล์ต่อชั่วโมง ➡️ แสงจากดวงอาทิตย์ใช้เวลาเพียง 8 นาทีในการเดินทางมายังโลก ➡️ Voyager 1 ยังบรรจุแผ่นทองคำ “Golden Record” ที่บันทึกเสียงและภาพจากโลกเพื่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตต่างดาว https://www.slashgear.com/1984279/nasa-voyager-1-light-day-from-earth-november-2026/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    NASA's Voyager 1 Is Set To Hit A Historic Landmark In November 2026 - SlashGear
    In November 2026, Voyager 1 will hit yet another milestone when it becomes the first manmade object to reach a distance of one light day from Earth.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • “StreetViewAI จาก Google ใช้ AI สนทนาเพื่อช่วยผู้พิการทางสายตาเดินทางผ่านภาพถนน — เมื่อการสำรวจโลกไม่ต้องพึ่งสายตาอีกต่อไป”

    Google Research และ DeepMind ได้เปิดตัวระบบใหม่ชื่อว่า “StreetViewAI” ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการพึ่งพาภาพในการใช้งาน Street View ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้พิการทางสายตา โดยระบบนี้ใช้โมเดลมัลติโหมด Gemini Flash 2.0 เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสำรวจภาพถนนกว่า 220 พันล้านภาพจากกว่า 100 ประเทศผ่านการสนทนาแบบธรรมชาติ

    StreetViewAI ประกอบด้วย 3 ระบบหลัก ได้แก่

    AI Describer: บรรยายสิ่งของ ความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ และคำแนะนำการเดินทางแบบเรียลไทม์
    AI Chat Agent: ให้ผู้ใช้ถามคำถามเชิงสถานการณ์ เช่น “ทางเดินมีร่มเงาไหม” หรือ “ทางเข้าร้านกาแฟใช้วีลแชร์ได้หรือเปล่า” แล้ว AI ตอบจากภาพก่อนหน้าและบริบทการสนทนา
    AI Tour Guide: เพิ่มข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมให้การสำรวจกลายเป็นการเรียนรู้

    ในการทดสอบจริง มีผู้พิการทางสายตา 11 คนเข้าร่วม โดยใช้ไม้เท้าและ screen reader เป็นประจำ พบว่าผู้ใช้สนทนากับ AI Chat Agent ถึง 917 ครั้ง เทียบกับ 136 ครั้งกับ AI Describer ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการสนทนาเป็นวิธีที่เข้าถึงง่ายและเป็นธรรมชาติที่สุด

    ระบบสามารถตอบคำถามได้ถูกต้องถึง 86.3% โดยคำถามส่วนใหญ่เกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ (27%), การตรวจสอบวัตถุ (26.5%) และการบรรยายภาพแบบเรียลไทม์ (18.4%) ผู้ใช้กว่า 90% เลือกใช้คำสั่งเสียงในการโต้ตอบ

    ผู้ทดสอบหลายคนกล่าวว่า StreetViewAI ไม่เพียงนำทางถึงจุดหมาย แต่ยังบรรยายลักษณะของสถานที่นั้น เช่น สีของประตูหรือความสูงของบันได ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบบนำทางทั่วไปไม่สามารถทำได้

    Google มองว่า StreetViewAI เป็นก้าวสำคัญของ AI ที่ไม่ใช่แค่เพื่อความบันเทิงหรือผลิตภาพ แต่เพื่อการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม และอาจขยายไปสู่การใช้งานในด้านการศึกษา การท่องเที่ยว และระบบเมืองอัจฉริยะในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    StreetViewAI ใช้โมเดล Gemini Flash 2.0 เพื่อช่วยผู้พิการทางสายตาใช้งาน Street View
    ครอบคลุมภาพถนนกว่า 220 พันล้านภาพจากกว่า 100 ประเทศ
    มี 3 ระบบหลัก: AI Describer, AI Chat Agent, AI Tour Guide
    AI Describer ให้คำบรรยายภาพแบบเรียลไทม์
    AI Chat Agent ตอบคำถามเชิงสถานการณ์จากภาพและบริบท
    AI Tour Guide ให้ข้อมูลเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์
    ผู้ใช้โต้ตอบกับ AI Chat Agent มากกว่าระบบอื่นถึง 917 ครั้ง
    ความแม่นยำของ AI อยู่ที่ 86.3% โดยมีข้อผิดพลาดเพียง 3.9%
    คำถามส่วนใหญ่เกี่ยวกับพื้นที่ วัตถุ และการบรรยายภาพ
    ผู้ใช้กว่า 90% เลือกใช้คำสั่งเสียงในการโต้ตอบ
    StreetViewAI บรรยายลักษณะของสถานที่ได้ละเอียดกว่าระบบนำทางทั่วไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini Flash 2.0 เป็นโมเดลมัลติโหมดที่รองรับภาพ เสียง และข้อความในบริบทเดียวกัน
    การใช้ AI ในการนำทางช่วยลดการพึ่งพาอุปกรณ์เสริม เช่น GPS หรือแอปแผนที่
    การบรรยายภาพแบบ contextual ช่วยให้ผู้พิการทางสายตาเข้าใจสภาพแวดล้อมได้ดีขึ้น
    StreetViewAI อาจนำไปใช้ในระบบเมืองอัจฉริยะ เช่น ป้ายบอกทางเสียงหรือแผนที่แบบสัมผัส
    การใช้ AI เพื่อการเข้าถึงเป็นแนวทางใหม่ที่กำลังเติบโตในวงการเทคโนโลยี

    https://securityonline.info/streetviewai-googles-multimodal-ai-brings-conversational-street-view-navigation-to-the-visually-impaired/
    🗺️ “StreetViewAI จาก Google ใช้ AI สนทนาเพื่อช่วยผู้พิการทางสายตาเดินทางผ่านภาพถนน — เมื่อการสำรวจโลกไม่ต้องพึ่งสายตาอีกต่อไป” Google Research และ DeepMind ได้เปิดตัวระบบใหม่ชื่อว่า “StreetViewAI” ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการพึ่งพาภาพในการใช้งาน Street View ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้พิการทางสายตา โดยระบบนี้ใช้โมเดลมัลติโหมด Gemini Flash 2.0 เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสำรวจภาพถนนกว่า 220 พันล้านภาพจากกว่า 100 ประเทศผ่านการสนทนาแบบธรรมชาติ StreetViewAI ประกอบด้วย 3 ระบบหลัก ได้แก่ 🔰 AI Describer: บรรยายสิ่งของ ความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ และคำแนะนำการเดินทางแบบเรียลไทม์ 🔰 AI Chat Agent: ให้ผู้ใช้ถามคำถามเชิงสถานการณ์ เช่น “ทางเดินมีร่มเงาไหม” หรือ “ทางเข้าร้านกาแฟใช้วีลแชร์ได้หรือเปล่า” แล้ว AI ตอบจากภาพก่อนหน้าและบริบทการสนทนา 🔰 AI Tour Guide: เพิ่มข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมให้การสำรวจกลายเป็นการเรียนรู้ ในการทดสอบจริง มีผู้พิการทางสายตา 11 คนเข้าร่วม โดยใช้ไม้เท้าและ screen reader เป็นประจำ พบว่าผู้ใช้สนทนากับ AI Chat Agent ถึง 917 ครั้ง เทียบกับ 136 ครั้งกับ AI Describer ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการสนทนาเป็นวิธีที่เข้าถึงง่ายและเป็นธรรมชาติที่สุด ระบบสามารถตอบคำถามได้ถูกต้องถึง 86.3% โดยคำถามส่วนใหญ่เกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ (27%), การตรวจสอบวัตถุ (26.5%) และการบรรยายภาพแบบเรียลไทม์ (18.4%) ผู้ใช้กว่า 90% เลือกใช้คำสั่งเสียงในการโต้ตอบ ผู้ทดสอบหลายคนกล่าวว่า StreetViewAI ไม่เพียงนำทางถึงจุดหมาย แต่ยังบรรยายลักษณะของสถานที่นั้น เช่น สีของประตูหรือความสูงของบันได ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบบนำทางทั่วไปไม่สามารถทำได้ Google มองว่า StreetViewAI เป็นก้าวสำคัญของ AI ที่ไม่ใช่แค่เพื่อความบันเทิงหรือผลิตภาพ แต่เพื่อการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม และอาจขยายไปสู่การใช้งานในด้านการศึกษา การท่องเที่ยว และระบบเมืองอัจฉริยะในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ StreetViewAI ใช้โมเดล Gemini Flash 2.0 เพื่อช่วยผู้พิการทางสายตาใช้งาน Street View ➡️ ครอบคลุมภาพถนนกว่า 220 พันล้านภาพจากกว่า 100 ประเทศ ➡️ มี 3 ระบบหลัก: AI Describer, AI Chat Agent, AI Tour Guide ➡️ AI Describer ให้คำบรรยายภาพแบบเรียลไทม์ ➡️ AI Chat Agent ตอบคำถามเชิงสถานการณ์จากภาพและบริบท ➡️ AI Tour Guide ให้ข้อมูลเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ➡️ ผู้ใช้โต้ตอบกับ AI Chat Agent มากกว่าระบบอื่นถึง 917 ครั้ง ➡️ ความแม่นยำของ AI อยู่ที่ 86.3% โดยมีข้อผิดพลาดเพียง 3.9% ➡️ คำถามส่วนใหญ่เกี่ยวกับพื้นที่ วัตถุ และการบรรยายภาพ ➡️ ผู้ใช้กว่า 90% เลือกใช้คำสั่งเสียงในการโต้ตอบ ➡️ StreetViewAI บรรยายลักษณะของสถานที่ได้ละเอียดกว่าระบบนำทางทั่วไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini Flash 2.0 เป็นโมเดลมัลติโหมดที่รองรับภาพ เสียง และข้อความในบริบทเดียวกัน ➡️ การใช้ AI ในการนำทางช่วยลดการพึ่งพาอุปกรณ์เสริม เช่น GPS หรือแอปแผนที่ ➡️ การบรรยายภาพแบบ contextual ช่วยให้ผู้พิการทางสายตาเข้าใจสภาพแวดล้อมได้ดีขึ้น ➡️ StreetViewAI อาจนำไปใช้ในระบบเมืองอัจฉริยะ เช่น ป้ายบอกทางเสียงหรือแผนที่แบบสัมผัส ➡️ การใช้ AI เพื่อการเข้าถึงเป็นแนวทางใหม่ที่กำลังเติบโตในวงการเทคโนโลยี https://securityonline.info/streetviewai-googles-multimodal-ai-brings-conversational-street-view-navigation-to-the-visually-impaired/
    SECURITYONLINE.INFO
    StreetViewAI: Google's Multimodal AI Brings Conversational Street View Navigation to the Visually Impaired
    Google unveiled StreetViewAI, an AI system using Gemini Flash 2.0 to provide visually impaired users with conversational, real-time descriptions and navigational cues for Street View images.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แข่งกับเวลาเพื่อรักษาเสียงแห่งปัญญา — โปรเจกต์ดิจิไทซ์ 100,000 ชั่วโมงบรรยายวิชาการจากยุคเทปอนาล็อก”

    ในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ มีคลังบันทึกเสียงวิชาการกว่า 100,000 ชั่วโมงที่บรรจุไว้ในเทปอนาล็อกตั้งแต่ยุค 1970s ซึ่งรวมถึงการบรรยาย การประชุม และการอภิปรายจากนักคิดระดับโลก เช่น Stephen Hawking, Roger Penrose, Alexandre Grothendieck, Karl Popper และอีกหลายร้อยคนที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และปรัชญา

    ปัญหาคือเทปเหล่านี้กำลังเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว ทั้งจากการใช้งานที่ยาวนาน สภาพแวดล้อม และการขาดเครื่องเล่นที่สามารถอ่านได้อย่างปลอดภัย หากไม่รีบดำเนินการดิจิไทซ์ ข้อมูลอันล้ำค่าเหล่านี้อาจสูญหายไปตลอดกาล

    ด้วยเหตุนี้ Roger Penrose นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลจึงร่วมกับทีมงานในเคมบริดจ์เปิดแคมเปญระดมทุนเพื่อแปลงเทปเหล่านี้เป็นไฟล์ดิจิทัล พร้อมฟื้นฟูคุณภาพเสียงด้วยซอฟต์แวร์ขั้นสูงอย่าง CEDAR และจัดเก็บในระบบคลาวด์ที่ปลอดภัย โดยมีเป้าหมายสร้างฐานข้อมูลที่ค้นหาได้ง่ายและเปิดให้สาธารณชนเข้าถึงฟรี

    แม้จะมีข้อจำกัดด้านลิขสิทธิ์ แต่ก็มีบันทึกหลายพันชั่วโมงที่สามารถเผยแพร่ได้ทันที และจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของเนื้อหา หรือเมื่อสิทธิ์หมดอายุ

    โครงการนี้ไม่ใช่แค่การเก็บรักษาเสียง — แต่คือการรักษาประวัติศาสตร์ของความคิดมนุษย์ และเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้จากต้นฉบับของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่เปลี่ยนโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    มีคลังบันทึกเสียงวิชาการกว่า 100,000 ชั่วโมงในรูปแบบเทปอนาล็อก
    รวมการบรรยายจากนักคิดระดับโลก เช่น Hawking, Penrose, Grothendieck, Popper
    เทปเสื่อมสภาพและเครื่องเล่นหายาก ทำให้เสี่ยงสูญหาย
    Roger Penrose เปิดแคมเปญระดมทุนเพื่อดิจิไทซ์และฟื้นฟูเสียง
    ใช้ซอฟต์แวร์ CEDAR เพื่อปรับปรุงคุณภาพเสียง
    สร้างฐานข้อมูลที่ค้นหาได้ง่ายและเปิดให้เข้าถึงฟรี
    มีบันทึกหลายพันชั่วโมงที่สามารถเผยแพร่ได้ทันที
    เป้าหมายคือการรักษาความรู้และเปิดให้คนรุ่นใหม่เข้าถึง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การดิจิไทซ์เทปต้องใช้เครื่องเล่นเฉพาะและการตรวจสอบคุณภาพเสียงอย่างละเอียด
    การฟื้นฟูเสียงต้องกรองคลื่นรบกวน เช่น เสียงฮัม คลิก และความผิดเพี้ยน
    การจัดเก็บในคลาวด์ช่วยให้ข้อมูลปลอดภัยและเข้าถึงได้ทั่วโลก
    การเปิดให้เข้าถึงฟรีช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และการวิจัย
    โครงการนี้อาจเป็นต้นแบบให้กับการอนุรักษ์ข้อมูลวิชาการในสถาบันอื่นทั่วโลก

    https://www.techradar.com/pro/security/nobel-laureate-backs-cambridge-based-crowdfunding-effort-to-digitize-100-000-hours-of-recordings-from-some-of-the-brightest-minds-humanity-has-ever-conceived
    📼 “แข่งกับเวลาเพื่อรักษาเสียงแห่งปัญญา — โปรเจกต์ดิจิไทซ์ 100,000 ชั่วโมงบรรยายวิชาการจากยุคเทปอนาล็อก” ในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ มีคลังบันทึกเสียงวิชาการกว่า 100,000 ชั่วโมงที่บรรจุไว้ในเทปอนาล็อกตั้งแต่ยุค 1970s ซึ่งรวมถึงการบรรยาย การประชุม และการอภิปรายจากนักคิดระดับโลก เช่น Stephen Hawking, Roger Penrose, Alexandre Grothendieck, Karl Popper และอีกหลายร้อยคนที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และปรัชญา ปัญหาคือเทปเหล่านี้กำลังเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว ทั้งจากการใช้งานที่ยาวนาน สภาพแวดล้อม และการขาดเครื่องเล่นที่สามารถอ่านได้อย่างปลอดภัย หากไม่รีบดำเนินการดิจิไทซ์ ข้อมูลอันล้ำค่าเหล่านี้อาจสูญหายไปตลอดกาล ด้วยเหตุนี้ Roger Penrose นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลจึงร่วมกับทีมงานในเคมบริดจ์เปิดแคมเปญระดมทุนเพื่อแปลงเทปเหล่านี้เป็นไฟล์ดิจิทัล พร้อมฟื้นฟูคุณภาพเสียงด้วยซอฟต์แวร์ขั้นสูงอย่าง CEDAR และจัดเก็บในระบบคลาวด์ที่ปลอดภัย โดยมีเป้าหมายสร้างฐานข้อมูลที่ค้นหาได้ง่ายและเปิดให้สาธารณชนเข้าถึงฟรี แม้จะมีข้อจำกัดด้านลิขสิทธิ์ แต่ก็มีบันทึกหลายพันชั่วโมงที่สามารถเผยแพร่ได้ทันที และจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของเนื้อหา หรือเมื่อสิทธิ์หมดอายุ โครงการนี้ไม่ใช่แค่การเก็บรักษาเสียง — แต่คือการรักษาประวัติศาสตร์ของความคิดมนุษย์ และเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้จากต้นฉบับของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่เปลี่ยนโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ มีคลังบันทึกเสียงวิชาการกว่า 100,000 ชั่วโมงในรูปแบบเทปอนาล็อก ➡️ รวมการบรรยายจากนักคิดระดับโลก เช่น Hawking, Penrose, Grothendieck, Popper ➡️ เทปเสื่อมสภาพและเครื่องเล่นหายาก ทำให้เสี่ยงสูญหาย ➡️ Roger Penrose เปิดแคมเปญระดมทุนเพื่อดิจิไทซ์และฟื้นฟูเสียง ➡️ ใช้ซอฟต์แวร์ CEDAR เพื่อปรับปรุงคุณภาพเสียง ➡️ สร้างฐานข้อมูลที่ค้นหาได้ง่ายและเปิดให้เข้าถึงฟรี ➡️ มีบันทึกหลายพันชั่วโมงที่สามารถเผยแพร่ได้ทันที ➡️ เป้าหมายคือการรักษาความรู้และเปิดให้คนรุ่นใหม่เข้าถึง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การดิจิไทซ์เทปต้องใช้เครื่องเล่นเฉพาะและการตรวจสอบคุณภาพเสียงอย่างละเอียด ➡️ การฟื้นฟูเสียงต้องกรองคลื่นรบกวน เช่น เสียงฮัม คลิก และความผิดเพี้ยน ➡️ การจัดเก็บในคลาวด์ช่วยให้ข้อมูลปลอดภัยและเข้าถึงได้ทั่วโลก ➡️ การเปิดให้เข้าถึงฟรีช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และการวิจัย ➡️ โครงการนี้อาจเป็นต้นแบบให้กับการอนุรักษ์ข้อมูลวิชาการในสถาบันอื่นทั่วโลก https://www.techradar.com/pro/security/nobel-laureate-backs-cambridge-based-crowdfunding-effort-to-digitize-100-000-hours-of-recordings-from-some-of-the-brightest-minds-humanity-has-ever-conceived
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenAI ผนึกกำลัง AMD สร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ แลกหุ้นสูงสุด 10% — ดีลประวัติศาสตร์ที่เขย่าอุตสาหกรรมชิป”

    OpenAI และ AMD ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2025 เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมา โดย OpenAI จะซื้อชิปจาก AMD รวมกำลังประมวลผลสูงถึง 6 กิกะวัตต์ เริ่มต้นด้วยชิป MI450 รุ่นใหม่ในปี 2026 ซึ่งจะใช้ทั้งการซื้อโดยตรงและผ่านผู้ให้บริการคลาวด์

    ดีลนี้ไม่ใช่แค่การซื้อขายชิป แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ โดย AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้น (warrant) ให้ OpenAI สูงสุดถึง 160 ล้านหุ้น หรือประมาณ 10% ของบริษัท ในราคาหุ้นละ $0.01 โดยจะทยอยมอบตาม milestone ที่ OpenAI ทำสำเร็จ เช่น การติดตั้งระบบ 1 กิกะวัตต์แรก และการขยายไปถึง 6 กิกะวัตต์

    Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่าดีลนี้จะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า และถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของ AMD ในการแข่งขันกับ Nvidia ซึ่งเพิ่งประกาศดีลมูลค่า $100 พันล้านกับ OpenAI เช่นกัน

    Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่าการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ผู้ผลิตชิปไปจนถึงซัพพลายเชน และ AMD คือพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้

    การติดตั้งชุดแรกของ MI450 จะเริ่มในครึ่งหลังของปี 2026 โดย OpenAI จะใช้ชิปเหล่านี้สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากผู้ใช้ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI และ AMD ร่วมมือสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์
    เริ่มต้นด้วยการติดตั้ง MI450 จำนวน 1 กิกะวัตต์ในปี 2026
    AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้นให้ OpenAI สูงสุด 160 ล้านหุ้น หรือ 10% ของบริษัท
    หุ้นจะทยอยมอบตาม milestone เช่น การติดตั้งระบบและเป้าหมายราคาหุ้น
    ดีลนี้คาดว่าจะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ให้ AMD ภายใน 5 ปี
    OpenAI จะใช้ชิป AMD สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการ AI
    ดีลนี้ถือเป็น “definitive agreement” ต่างจากดีลกับ Nvidia ที่ยังไม่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล
    AMD และ OpenAI จะร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีในหลายรุ่นต่อเนื่อง เช่น MI300X, MI350X

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MI450 เป็นชิปสถาปัตยกรรมใหม่ของ AMD ที่แข่งกับ Blackwell ของ Nvidia
    การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 1 กิกะวัตต์มีต้นทุนราว $50 พันล้าน โดยสองในสามเป็นค่าชิปและโครงสร้างพื้นฐาน
    OpenAI ยังมีดีลกับ Oracle มูลค่า $300 พันล้าน และ CoreWeave มูลค่า $22.4 พันล้าน
    การถือหุ้นของ OpenAI ใน AMD จะเกิดขึ้นเมื่อบรรลุเป้าหมายทั้งด้านเทคนิคและการตลาด
    หุ้น AMD ขึ้น 25% หลังประกาศดีลนี้ในตลาดก่อนเปิด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-and-amd-announce-multibillion-dollar-partnership-amd-to-supply-6-gigawatts-in-chips-openai-could-get-up-to-10-percent-of-amd-shares-in-return
    🚀 “OpenAI ผนึกกำลัง AMD สร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ แลกหุ้นสูงสุด 10% — ดีลประวัติศาสตร์ที่เขย่าอุตสาหกรรมชิป” OpenAI และ AMD ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2025 เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมา โดย OpenAI จะซื้อชิปจาก AMD รวมกำลังประมวลผลสูงถึง 6 กิกะวัตต์ เริ่มต้นด้วยชิป MI450 รุ่นใหม่ในปี 2026 ซึ่งจะใช้ทั้งการซื้อโดยตรงและผ่านผู้ให้บริการคลาวด์ ดีลนี้ไม่ใช่แค่การซื้อขายชิป แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ โดย AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้น (warrant) ให้ OpenAI สูงสุดถึง 160 ล้านหุ้น หรือประมาณ 10% ของบริษัท ในราคาหุ้นละ $0.01 โดยจะทยอยมอบตาม milestone ที่ OpenAI ทำสำเร็จ เช่น การติดตั้งระบบ 1 กิกะวัตต์แรก และการขยายไปถึง 6 กิกะวัตต์ Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่าดีลนี้จะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า และถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของ AMD ในการแข่งขันกับ Nvidia ซึ่งเพิ่งประกาศดีลมูลค่า $100 พันล้านกับ OpenAI เช่นกัน Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่าการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ผู้ผลิตชิปไปจนถึงซัพพลายเชน และ AMD คือพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ การติดตั้งชุดแรกของ MI450 จะเริ่มในครึ่งหลังของปี 2026 โดย OpenAI จะใช้ชิปเหล่านี้สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากผู้ใช้ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI และ AMD ร่วมมือสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ ➡️ เริ่มต้นด้วยการติดตั้ง MI450 จำนวน 1 กิกะวัตต์ในปี 2026 ➡️ AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้นให้ OpenAI สูงสุด 160 ล้านหุ้น หรือ 10% ของบริษัท ➡️ หุ้นจะทยอยมอบตาม milestone เช่น การติดตั้งระบบและเป้าหมายราคาหุ้น ➡️ ดีลนี้คาดว่าจะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ให้ AMD ภายใน 5 ปี ➡️ OpenAI จะใช้ชิป AMD สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการ AI ➡️ ดีลนี้ถือเป็น “definitive agreement” ต่างจากดีลกับ Nvidia ที่ยังไม่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล ➡️ AMD และ OpenAI จะร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีในหลายรุ่นต่อเนื่อง เช่น MI300X, MI350X ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MI450 เป็นชิปสถาปัตยกรรมใหม่ของ AMD ที่แข่งกับ Blackwell ของ Nvidia ➡️ การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 1 กิกะวัตต์มีต้นทุนราว $50 พันล้าน โดยสองในสามเป็นค่าชิปและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ OpenAI ยังมีดีลกับ Oracle มูลค่า $300 พันล้าน และ CoreWeave มูลค่า $22.4 พันล้าน ➡️ การถือหุ้นของ OpenAI ใน AMD จะเกิดขึ้นเมื่อบรรลุเป้าหมายทั้งด้านเทคนิคและการตลาด ➡️ หุ้น AMD ขึ้น 25% หลังประกาศดีลนี้ในตลาดก่อนเปิด https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-and-amd-announce-multibillion-dollar-partnership-amd-to-supply-6-gigawatts-in-chips-openai-could-get-up-to-10-percent-of-amd-shares-in-return
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • “75 ปีแห่งทรานซิสเตอร์ — จุดเริ่มต้นของยุคซิลิคอนที่เปลี่ยนโลกทั้งใบด้วยอุปกรณ์เล็กจิ๋วสามขั้ว”

    เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 1950 สามนักวิทยาศาสตร์จาก Bell Labs ได้แก่ John Bardeen, Walter Brattain และ William Shockley ได้รับสิทธิบัตรสหรัฐฯ สำหรับสิ่งประดิษฐ์ที่ดูเรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่างยิ่ง — “วงจรสามขั้วที่ใช้วัสดุกึ่งตัวนำ” หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “ทรานซิสเตอร์” ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุคซิลิคอนและซอฟต์แวร์ที่ยังคงขับเคลื่อนโลกมาจนถึงทุกวันนี้

    แม้ทรานซิสเตอร์ตัวแรกจะถูกสาธิตตั้งแต่ปี 1947 แต่การออกสิทธิบัตรในปี 1950 ถือเป็นการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าอุปกรณ์นี้จะเข้ามาแทนที่หลอดสุญญากาศที่ใหญ่ เปราะบาง และกินไฟมหาศาล โดยเฉพาะในระบบโทรศัพท์ วิทยุ และคอมพิวเตอร์ยุคแรก

    ทรานซิสเตอร์ไม่เพียงแต่ช่วยขยายสัญญาณได้ดีขึ้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น “สวิตช์เปิด–ปิด” ที่เล็กและประหยัดพลังงาน ซึ่งกลายเป็นหัวใจของวงจรดิจิทัลทุกชนิด ตั้งแต่ไมโครโปรเซสเซอร์ไปจนถึงสมาร์ตโฟน และในปัจจุบัน เรากำลังเข้าสู่ยุคที่ชิปหนึ่งตัวสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้ถึง “หนึ่งล้านล้านตัว”

    นอกจากนี้ยังมีการพูดถึง “กฎของมอร์” ซึ่ง Gordon Moore ผู้ร่วมก่อตั้ง Intel เคยคาดการณ์ไว้ในปี 1965 ว่า “จำนวนทรานซิสเตอร์ในวงจรรวมจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกสองปีโดยไม่เพิ่มต้นทุนมากนัก” ซึ่งกลายเป็นแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยีมาจนถึงปัจจุบัน

    แม้จะมีการพัฒนาไปไกล แต่ทรานซิสเตอร์ยังคงเป็นรากฐานของทุกสิ่งในโลกดิจิทัล และการครบรอบ 75 ปีของสิทธิบัตรนี้คือการเตือนใจว่า “อุปกรณ์เล็ก ๆ สามขั้ว” ได้เปลี่ยนโลกอย่างไร

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ทรานซิสเตอร์ได้รับสิทธิบัตรในวันที่ 3 ตุลาคม 1950 โดยนักวิทยาศาสตร์จาก Bell Labs
    สิทธิบัตรระบุว่าเป็น “วงจรสามขั้วที่ใช้วัสดุกึ่งตัวนำ”
    ทรานซิสเตอร์เข้ามาแทนที่หลอดสุญญากาศที่ใหญ่ เปราะบาง และกินไฟ
    อุปกรณ์นี้ช่วยขยายสัญญาณและทำหน้าที่เป็นสวิตช์เปิด–ปิดในวงจรดิจิทัล
    ทรานซิสเตอร์กลายเป็นรากฐานของไมโครโปรเซสเซอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด
    ปัจจุบันชิปหนึ่งตัวสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้ถึงหนึ่งล้านล้านตัว
    Gordon Moore คาดการณ์ในปี 1965 ว่าทรานซิสเตอร์จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกสองปี
    กฎของมอร์กลายเป็นแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยีมาจนถึงปัจจุบัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ทรานซิสเตอร์ตัวแรกใช้แผ่นเจอร์เมเนียมและแผ่นทองบาง ๆ กดด้วยสปริง
    ก่อนทรานซิสเตอร์ AT&T ใช้หลอดสุญญากาศ triode ในการขยายสัญญาณโทรศัพท์
    Julius Lilienfeld เคยจดสิทธิบัตรอุปกรณ์กึ่งตัวนำในปี 1925 แต่ยังไม่เข้าใจฟิสิกส์เบื้องหลัง
    ทรานซิสเตอร์แบบ junction ที่ Shockley พัฒนาต่อจากแบบ point-contact กลายเป็นมาตรฐาน
    ทรานซิสเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ผลิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/the-age-of-silicon-and-software-began-75-years-ago-with-the-patenting-of-the-transistor
    🔌 “75 ปีแห่งทรานซิสเตอร์ — จุดเริ่มต้นของยุคซิลิคอนที่เปลี่ยนโลกทั้งใบด้วยอุปกรณ์เล็กจิ๋วสามขั้ว” เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 1950 สามนักวิทยาศาสตร์จาก Bell Labs ได้แก่ John Bardeen, Walter Brattain และ William Shockley ได้รับสิทธิบัตรสหรัฐฯ สำหรับสิ่งประดิษฐ์ที่ดูเรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่างยิ่ง — “วงจรสามขั้วที่ใช้วัสดุกึ่งตัวนำ” หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “ทรานซิสเตอร์” ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุคซิลิคอนและซอฟต์แวร์ที่ยังคงขับเคลื่อนโลกมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ทรานซิสเตอร์ตัวแรกจะถูกสาธิตตั้งแต่ปี 1947 แต่การออกสิทธิบัตรในปี 1950 ถือเป็นการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าอุปกรณ์นี้จะเข้ามาแทนที่หลอดสุญญากาศที่ใหญ่ เปราะบาง และกินไฟมหาศาล โดยเฉพาะในระบบโทรศัพท์ วิทยุ และคอมพิวเตอร์ยุคแรก ทรานซิสเตอร์ไม่เพียงแต่ช่วยขยายสัญญาณได้ดีขึ้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น “สวิตช์เปิด–ปิด” ที่เล็กและประหยัดพลังงาน ซึ่งกลายเป็นหัวใจของวงจรดิจิทัลทุกชนิด ตั้งแต่ไมโครโปรเซสเซอร์ไปจนถึงสมาร์ตโฟน และในปัจจุบัน เรากำลังเข้าสู่ยุคที่ชิปหนึ่งตัวสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้ถึง “หนึ่งล้านล้านตัว” นอกจากนี้ยังมีการพูดถึง “กฎของมอร์” ซึ่ง Gordon Moore ผู้ร่วมก่อตั้ง Intel เคยคาดการณ์ไว้ในปี 1965 ว่า “จำนวนทรานซิสเตอร์ในวงจรรวมจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกสองปีโดยไม่เพิ่มต้นทุนมากนัก” ซึ่งกลายเป็นแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยีมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะมีการพัฒนาไปไกล แต่ทรานซิสเตอร์ยังคงเป็นรากฐานของทุกสิ่งในโลกดิจิทัล และการครบรอบ 75 ปีของสิทธิบัตรนี้คือการเตือนใจว่า “อุปกรณ์เล็ก ๆ สามขั้ว” ได้เปลี่ยนโลกอย่างไร ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ทรานซิสเตอร์ได้รับสิทธิบัตรในวันที่ 3 ตุลาคม 1950 โดยนักวิทยาศาสตร์จาก Bell Labs ➡️ สิทธิบัตรระบุว่าเป็น “วงจรสามขั้วที่ใช้วัสดุกึ่งตัวนำ” ➡️ ทรานซิสเตอร์เข้ามาแทนที่หลอดสุญญากาศที่ใหญ่ เปราะบาง และกินไฟ ➡️ อุปกรณ์นี้ช่วยขยายสัญญาณและทำหน้าที่เป็นสวิตช์เปิด–ปิดในวงจรดิจิทัล ➡️ ทรานซิสเตอร์กลายเป็นรากฐานของไมโครโปรเซสเซอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด ➡️ ปัจจุบันชิปหนึ่งตัวสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้ถึงหนึ่งล้านล้านตัว ➡️ Gordon Moore คาดการณ์ในปี 1965 ว่าทรานซิสเตอร์จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกสองปี ➡️ กฎของมอร์กลายเป็นแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยีมาจนถึงปัจจุบัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ทรานซิสเตอร์ตัวแรกใช้แผ่นเจอร์เมเนียมและแผ่นทองบาง ๆ กดด้วยสปริง ➡️ ก่อนทรานซิสเตอร์ AT&T ใช้หลอดสุญญากาศ triode ในการขยายสัญญาณโทรศัพท์ ➡️ Julius Lilienfeld เคยจดสิทธิบัตรอุปกรณ์กึ่งตัวนำในปี 1925 แต่ยังไม่เข้าใจฟิสิกส์เบื้องหลัง ➡️ ทรานซิสเตอร์แบบ junction ที่ Shockley พัฒนาต่อจากแบบ point-contact กลายเป็นมาตรฐาน ➡️ ทรานซิสเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ผลิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/the-age-of-silicon-and-software-began-75-years-ago-with-the-patenting-of-the-transistor
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 4 – อิยิปต์ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 4 ”
    อิยิปต์ 3
ตั้งแต่ ค.ศ.1882 เป็นต้นมา อียิปต์ก็กลายเป็นอาณานิคมของนักล่าชาวเกาะเต็มรูปแบบ แต่สถานะอียิปต์ภายนอกยังดูเหมือนเดิม ออตโตมานก็ยังนับอียิปต์เป็นส่วนหนึ่งของตนเหมือนเดิม อังกฤษเองในตอนนั้นกำลังคิดอยู่ว่าจะให้อียิปต์เป็นเมืองขึ้นของตนดีหรือไม่ คิดคำนวณรายรับรายจ่ายยังไม่ถูก เลยแค่ประกาศว่า ขณะนี้ เรา อังกฤษผู้เป็นจักรภพใหญ่ที่สุดในโลก อย่างที่ไม่มีผู้ใดจะเทียมทาน ได้มายึดครองอียิปต์เป็นการชั่วคราวแล้ว (Temporary occupation power) จึงประกาศมา ให้เป็นที่ทราบโดยทั่วกัน! นี่เป็นจักรภพ จักรวรรดิ เขาต้องประกาศแบบนี้ !
    ผู้ที่ใช้อำนาจปกครองอียิปต์ที่ผ่านมาคือ Khedive ก็เหมือนจะยอมรับในอำนาจอันยิ่งใหญ่ไพศาลของอังกฤษโดยไม่หือ อำนาจทั้งปวงในการบริหารและการฑูตก็เลยดูเหมือนเดินผ่านหน้า Khedive อย่างไม่เห็นหัว ตรงไปคุกเข่าต่อหน้าอังกฤษ ซึ่งให้ Major Baring มาเป็นผู้ดูแล ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1883-1907
    นายพัน Baring เป็นผู้มาทำหน้าที่ดูแลจัดเก็บเงินชำระหนี้ ( Commission of the Public Debt ) ทำหน้าที่อย่างดี เก็บเงินอียิปต์ไม่มีหล่นไปถึงชาวอียิปต์ จนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึง Lord Cromer ใครที่เป็นนักอ่านประวัติศาสตร์คงจะเคยได้ยินชื่อนายคนนี้ ใหญ่เหลือประมาณ เป็นที่รู้กันว่า ช่วงนั้นอียิปต์ปกครองโดยระบอบ Cromer ( Cromer Regime) แสดงให้เห็นถึงความไร้อำนาจของรัฐบาลอียิปต์โดยสิ้นเชิง
    เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่ม อังกฤษต้องแสดงอำนาจเหนืออียิปต์ย่างเต็มที่ อังกฤษประกาศอย่างเป็นทางการให้อียิปต์เป็นรัฐในอาณัติของอังกฤษ ( Protectorate ) เพราะอังกฤษต้องการควบคุมคลองสุเอช ไม่ให้ฝ่ายเยอรมันมาใช้เป็นทางผ่าน อังกฤษประกาศปิดคลอง และเมื่อออตโตมานประกาศตัวเข้าสู่สงครามอยู่ฝ่ายเยอรมัน อียิปต์ก็มึนหัวไม่รู้ว่าจะปฎิบัติตามคำสั่งของใคร ดีว่าในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 อียิปต์ไม่ได้ต้องเล่นบทเป็นตัวเอก
    แต่เมื่อสงครามโลกเสร็จสิ้น อียิปต์เห็นตัวอย่างของอาณาจักรออตโตมาน ความอยากเป็นอิสระจากออตโตมานและตะวันตกก็ค่อย ๆ เพาะตัวขึ้นในอียิปต์ อังกฤษต้องออกแรงยกทัพมาปราบหลายครั้ง ทั้งๆที่ช่วงนั้นอังกฤษอยากไปขุดน้ำมันที่ส่วนอื่นของตะวันออกกลางมากกว่า อียิปต์มีดีแค่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับป้องกันอินเดีย กล่องดวงใจ กับเป็นแหล่งฝ้าย แต่ฝ้ายมันจะเทียบน้ำมันได้อย่างไร อังกฤษจึงคิดหนักว่าจะจัดการกับอียิปต์อย่างไรดี
    ค.ศ.1922 อังกฤษตกลงใจว่า ควรจะให้อียิปต์เป็นอิสระ โดยมีผู้ปกครองประเทศเ ป็นพวกที่นิยมอังกฤษ ดีกว่าให้ชาวอียิปต์เรียกร้องอิสระภาพกันเอง แล้วเลือกพวกหัวรุนแรงรักชาติขึ้นปกครองอียิปต์ สมันน้อยอ่านตรงนี้แล้วคิดให้ลึก ๆ นะ
    แล้วอังกฤษก็ประกาศให้อียิปต์พ้นจากเป็นรัฐในอาณัติของอังกฤษในปีนั้นเอง โดยสงวนสิทธิไว้ 4 เรื่อง คือด้านการคมนาคม ความมั่นคง ผลประโยชน์ของชาวต่างชาติ และเรื่องซูดาน
    ดูเหมือนอียิปต์จะเป็นอิสระ แต่ก็เป็นภาพลวงตา เหมือนที่อังกฤษหลอกกับเหยื่อทุกราย ค.ศ. 1942 เมื่อกษัตริย์อียิปต์ต้องการจะแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ซึ่งในความเห็นของอังกฤษ เป็นผู้ที่ต่อต้านอังกฤษอย่างรุนแรง อังกฤษจึงใช้วิธีให้มีการปฏิวัติซ้อน และให้กษัตริย์ตัดสินใจใหม่ แน่นอนคณะรัฐมนตรีที่กษัตริย์เลือก ก็เป็นไปตามที่อังกฤษเห็นชอบ !
    ความสำคัญของอียิปต์ในสายตาของอังกฤษเริ่มเปลี่ยนไป เปรียบเทียบฝ้ายกันน้ำมัน อียิปต์ก็เหมือนนางงามตกรุ่น ต้องไปเล่นรำวงแทน แต่อย่างน้อยด้วยจุดยุทธศาสตร์ที่เอาไว้ระวังกล่องดวงใจ อังกฤษก็ยังเก็บอียิปต์ไว้ก่อน แต่เมื่อถึงปี ค.ศ.1942 เมื่ออินเดียประกาศอิสภาพ หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ การจะเก็บอียิปต์ไว้ ให้ต้องแบก ต้องเฝ้า มีค่าใช้จ่ายไม่คุ้มทุน เริ่มทำให้อังกฤษคิดหนัก แต่คลองสุเอชก็ไม่ได้ไร้ความหมายเสียสิ้นเชิง
    สาเหตุหนึ่งที่สร้างให้เกิดขบวนการมุสลิมหัวรุนแรงในอียิปต์ ก็มาจากการที่อังกฤษสร้างอิสราเอลให้ยิวมาจ่ออยู่ปลายจมูกของอียิปต์นั่นแหละ ชาวอียิปต์จะรับได้อย่างไร เดี๋ยวๆก็มีการมากระตุกขนจมูกกันอยู่เรื่อย มุสลิมหัวรุนแรง จึงต่อต้านชาวอียิปต์ที่นิยมอังกฤษและชาวอังกฤษเอง เหตุการณ์ประท้วงนี้เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขนาดนายกรัฐมนตรีอียิปต์ถูกลอบ ฆ่าในปี ค.ศ.1948 ปี ค.ศ.1951 อียิปต์อยู่ในภาวะฉุกเฉิน อังกฤษส่งกองทัพเข้ามาปราบ แต่ฝั่งอียิปต์ก็สู้ต่อ ในที่สุดก็ถึงจุดระเบิด ในปี ค.ศ.1952 เมื่อ Col. Nasser นำกองทัพเข้าไปยึดเมืองและขับไล่ราชวงศ์ออกไป
    Nasser เอง อันที่จริงไม่ได้เป็นฝ่ายที่ไม่เอาอังกฤษ เขาออกจะอยู่ตรงกลางและดูเหมือนจะไปกับตะวันตกได้เสียด้วยซ้ำในตอนแรก เขาพยายามเจรจาให้อังกฤษถอนทัพไปจากอียิปต์อย่างสวย และในปี ค.ศ. 1954 ก็ได้มีการลงนามในสัญญา Anglo Egyptian Treaty ซึ่งอังกฤษตกลงที่จะทยอยถอนทัพออกไปจากอียิปต์ แต่สงครามเย็นต่างหากที่ทำให้ Nasser เองทนคบกับฝั่งตะวันตกไม่ไหว
    การที่อิสราเอลกระแทกจมูกอียิปต์ที่ฉนวนกาซ่าบ่อยๆ มันเป็นสิ่งที่ Nasser รำคาญใจ แต่ยังเกรงใจอังกฤษ แม้อังกฤษจะเป็นคนเริ่มก่อเรื่อ ง Nasser เป็นคนมีเหตุผล เขาพยายามสาวจากผลไปหาเหตุ อิสราเอลเป็นซี้ของอเมริกา อเมริกาเป็นพวกกับอังกฤษ มันเป็นวงจรที่พัวพันแกะไม่ออกกระนั้นหรือ Nasser เริ่มหน่าย เมื่ออเมริกาสนับสนุนยิวให้กระทุ้งจมูกอียิปต์บ่อยๆ อียิปต์ก็หันไปหารัสเซียศัตรูของอเมริกาบ้าง เป็นการแก้แค้น
    รัสเซียตอบสนอง ให้การสนับสนุนอียิปต์ด้านการทหาร คราวนี้อเมริกาเป็นฝ่ายหงุดหงิดบ้าง และก็เป็นตามนิสัยสันดาน หงุดหงิดแล้วต้องแสดงอำนาจ อเมริการะงับการปล่อยเงินกู้สำหรับเขื่อน Aswan และสั่งให้อังกฤษหยุดปล่อยเงินกู้เช่นเดียวกัน อังกฤษไม่ขัดใจอเมริกา เพราะอังกฤษก็กำลังขัดใจ Nasser และ Nasser ก็เลยขัดใจบ้าง เลยประกาศยึดหุ้นคลองสุเอชทั้งหมดกลับมาเป็นของรัฐ
    คราวนี้อังกฤษขัดใจหนักกว่า ส่งกองทัพมาบุกอียิปต์ เดือนตุลาคม ค.ศ.1956 Suez war ก็เกิดขึ้น ฝั่งอังกฤษเช็คชื่อแล้วมาพร้อม หน้าทั้งอเมริกา ฝรั่งเศส และอิสราเอล Nasser ก็หันกลับไปยุอัลจีเรีย ให้ต่อต้านฝรั่งเศส ในที่สุด Suez war ก็สงบ กองทัพ Nasser น่วม แต่ Nasser ไม่คืนหุ้นและอียิปต์ก็ครอบครองคลองสุเอชแต่ผู้เดียว เป็นสมบัติของประเทศอียิปต์อย่างเต็มภาคภูมิ และก็ทำให้อังกฤษตัดใจได้ในที่สุด ที่จะล้างมือจากอียิปต์ ผลประโยชน์ที่ได้มีไม่มากพอ ขุดเขามาจนเกลี้ยงแล้ว ไปหาเหยื่อที่มีน้ำมันต่อดีกว่า แล้วอังกฤษก็ทิ้งอียิปต์ไปดื้อๆเช่นนั้น
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 4 – อิยิปต์ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 4 ” อิยิปต์ 3
ตั้งแต่ ค.ศ.1882 เป็นต้นมา อียิปต์ก็กลายเป็นอาณานิคมของนักล่าชาวเกาะเต็มรูปแบบ แต่สถานะอียิปต์ภายนอกยังดูเหมือนเดิม ออตโตมานก็ยังนับอียิปต์เป็นส่วนหนึ่งของตนเหมือนเดิม อังกฤษเองในตอนนั้นกำลังคิดอยู่ว่าจะให้อียิปต์เป็นเมืองขึ้นของตนดีหรือไม่ คิดคำนวณรายรับรายจ่ายยังไม่ถูก เลยแค่ประกาศว่า ขณะนี้ เรา อังกฤษผู้เป็นจักรภพใหญ่ที่สุดในโลก อย่างที่ไม่มีผู้ใดจะเทียมทาน ได้มายึดครองอียิปต์เป็นการชั่วคราวแล้ว (Temporary occupation power) จึงประกาศมา ให้เป็นที่ทราบโดยทั่วกัน! นี่เป็นจักรภพ จักรวรรดิ เขาต้องประกาศแบบนี้ ! ผู้ที่ใช้อำนาจปกครองอียิปต์ที่ผ่านมาคือ Khedive ก็เหมือนจะยอมรับในอำนาจอันยิ่งใหญ่ไพศาลของอังกฤษโดยไม่หือ อำนาจทั้งปวงในการบริหารและการฑูตก็เลยดูเหมือนเดินผ่านหน้า Khedive อย่างไม่เห็นหัว ตรงไปคุกเข่าต่อหน้าอังกฤษ ซึ่งให้ Major Baring มาเป็นผู้ดูแล ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1883-1907 นายพัน Baring เป็นผู้มาทำหน้าที่ดูแลจัดเก็บเงินชำระหนี้ ( Commission of the Public Debt ) ทำหน้าที่อย่างดี เก็บเงินอียิปต์ไม่มีหล่นไปถึงชาวอียิปต์ จนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึง Lord Cromer ใครที่เป็นนักอ่านประวัติศาสตร์คงจะเคยได้ยินชื่อนายคนนี้ ใหญ่เหลือประมาณ เป็นที่รู้กันว่า ช่วงนั้นอียิปต์ปกครองโดยระบอบ Cromer ( Cromer Regime) แสดงให้เห็นถึงความไร้อำนาจของรัฐบาลอียิปต์โดยสิ้นเชิง เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่ม อังกฤษต้องแสดงอำนาจเหนืออียิปต์ย่างเต็มที่ อังกฤษประกาศอย่างเป็นทางการให้อียิปต์เป็นรัฐในอาณัติของอังกฤษ ( Protectorate ) เพราะอังกฤษต้องการควบคุมคลองสุเอช ไม่ให้ฝ่ายเยอรมันมาใช้เป็นทางผ่าน อังกฤษประกาศปิดคลอง และเมื่อออตโตมานประกาศตัวเข้าสู่สงครามอยู่ฝ่ายเยอรมัน อียิปต์ก็มึนหัวไม่รู้ว่าจะปฎิบัติตามคำสั่งของใคร ดีว่าในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 อียิปต์ไม่ได้ต้องเล่นบทเป็นตัวเอก แต่เมื่อสงครามโลกเสร็จสิ้น อียิปต์เห็นตัวอย่างของอาณาจักรออตโตมาน ความอยากเป็นอิสระจากออตโตมานและตะวันตกก็ค่อย ๆ เพาะตัวขึ้นในอียิปต์ อังกฤษต้องออกแรงยกทัพมาปราบหลายครั้ง ทั้งๆที่ช่วงนั้นอังกฤษอยากไปขุดน้ำมันที่ส่วนอื่นของตะวันออกกลางมากกว่า อียิปต์มีดีแค่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับป้องกันอินเดีย กล่องดวงใจ กับเป็นแหล่งฝ้าย แต่ฝ้ายมันจะเทียบน้ำมันได้อย่างไร อังกฤษจึงคิดหนักว่าจะจัดการกับอียิปต์อย่างไรดี ค.ศ.1922 อังกฤษตกลงใจว่า ควรจะให้อียิปต์เป็นอิสระ โดยมีผู้ปกครองประเทศเ ป็นพวกที่นิยมอังกฤษ ดีกว่าให้ชาวอียิปต์เรียกร้องอิสระภาพกันเอง แล้วเลือกพวกหัวรุนแรงรักชาติขึ้นปกครองอียิปต์ สมันน้อยอ่านตรงนี้แล้วคิดให้ลึก ๆ นะ แล้วอังกฤษก็ประกาศให้อียิปต์พ้นจากเป็นรัฐในอาณัติของอังกฤษในปีนั้นเอง โดยสงวนสิทธิไว้ 4 เรื่อง คือด้านการคมนาคม ความมั่นคง ผลประโยชน์ของชาวต่างชาติ และเรื่องซูดาน ดูเหมือนอียิปต์จะเป็นอิสระ แต่ก็เป็นภาพลวงตา เหมือนที่อังกฤษหลอกกับเหยื่อทุกราย ค.ศ. 1942 เมื่อกษัตริย์อียิปต์ต้องการจะแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ซึ่งในความเห็นของอังกฤษ เป็นผู้ที่ต่อต้านอังกฤษอย่างรุนแรง อังกฤษจึงใช้วิธีให้มีการปฏิวัติซ้อน และให้กษัตริย์ตัดสินใจใหม่ แน่นอนคณะรัฐมนตรีที่กษัตริย์เลือก ก็เป็นไปตามที่อังกฤษเห็นชอบ ! ความสำคัญของอียิปต์ในสายตาของอังกฤษเริ่มเปลี่ยนไป เปรียบเทียบฝ้ายกันน้ำมัน อียิปต์ก็เหมือนนางงามตกรุ่น ต้องไปเล่นรำวงแทน แต่อย่างน้อยด้วยจุดยุทธศาสตร์ที่เอาไว้ระวังกล่องดวงใจ อังกฤษก็ยังเก็บอียิปต์ไว้ก่อน แต่เมื่อถึงปี ค.ศ.1942 เมื่ออินเดียประกาศอิสภาพ หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ การจะเก็บอียิปต์ไว้ ให้ต้องแบก ต้องเฝ้า มีค่าใช้จ่ายไม่คุ้มทุน เริ่มทำให้อังกฤษคิดหนัก แต่คลองสุเอชก็ไม่ได้ไร้ความหมายเสียสิ้นเชิง สาเหตุหนึ่งที่สร้างให้เกิดขบวนการมุสลิมหัวรุนแรงในอียิปต์ ก็มาจากการที่อังกฤษสร้างอิสราเอลให้ยิวมาจ่ออยู่ปลายจมูกของอียิปต์นั่นแหละ ชาวอียิปต์จะรับได้อย่างไร เดี๋ยวๆก็มีการมากระตุกขนจมูกกันอยู่เรื่อย มุสลิมหัวรุนแรง จึงต่อต้านชาวอียิปต์ที่นิยมอังกฤษและชาวอังกฤษเอง เหตุการณ์ประท้วงนี้เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขนาดนายกรัฐมนตรีอียิปต์ถูกลอบ ฆ่าในปี ค.ศ.1948 ปี ค.ศ.1951 อียิปต์อยู่ในภาวะฉุกเฉิน อังกฤษส่งกองทัพเข้ามาปราบ แต่ฝั่งอียิปต์ก็สู้ต่อ ในที่สุดก็ถึงจุดระเบิด ในปี ค.ศ.1952 เมื่อ Col. Nasser นำกองทัพเข้าไปยึดเมืองและขับไล่ราชวงศ์ออกไป Nasser เอง อันที่จริงไม่ได้เป็นฝ่ายที่ไม่เอาอังกฤษ เขาออกจะอยู่ตรงกลางและดูเหมือนจะไปกับตะวันตกได้เสียด้วยซ้ำในตอนแรก เขาพยายามเจรจาให้อังกฤษถอนทัพไปจากอียิปต์อย่างสวย และในปี ค.ศ. 1954 ก็ได้มีการลงนามในสัญญา Anglo Egyptian Treaty ซึ่งอังกฤษตกลงที่จะทยอยถอนทัพออกไปจากอียิปต์ แต่สงครามเย็นต่างหากที่ทำให้ Nasser เองทนคบกับฝั่งตะวันตกไม่ไหว การที่อิสราเอลกระแทกจมูกอียิปต์ที่ฉนวนกาซ่าบ่อยๆ มันเป็นสิ่งที่ Nasser รำคาญใจ แต่ยังเกรงใจอังกฤษ แม้อังกฤษจะเป็นคนเริ่มก่อเรื่อ ง Nasser เป็นคนมีเหตุผล เขาพยายามสาวจากผลไปหาเหตุ อิสราเอลเป็นซี้ของอเมริกา อเมริกาเป็นพวกกับอังกฤษ มันเป็นวงจรที่พัวพันแกะไม่ออกกระนั้นหรือ Nasser เริ่มหน่าย เมื่ออเมริกาสนับสนุนยิวให้กระทุ้งจมูกอียิปต์บ่อยๆ อียิปต์ก็หันไปหารัสเซียศัตรูของอเมริกาบ้าง เป็นการแก้แค้น รัสเซียตอบสนอง ให้การสนับสนุนอียิปต์ด้านการทหาร คราวนี้อเมริกาเป็นฝ่ายหงุดหงิดบ้าง และก็เป็นตามนิสัยสันดาน หงุดหงิดแล้วต้องแสดงอำนาจ อเมริการะงับการปล่อยเงินกู้สำหรับเขื่อน Aswan และสั่งให้อังกฤษหยุดปล่อยเงินกู้เช่นเดียวกัน อังกฤษไม่ขัดใจอเมริกา เพราะอังกฤษก็กำลังขัดใจ Nasser และ Nasser ก็เลยขัดใจบ้าง เลยประกาศยึดหุ้นคลองสุเอชทั้งหมดกลับมาเป็นของรัฐ คราวนี้อังกฤษขัดใจหนักกว่า ส่งกองทัพมาบุกอียิปต์ เดือนตุลาคม ค.ศ.1956 Suez war ก็เกิดขึ้น ฝั่งอังกฤษเช็คชื่อแล้วมาพร้อม หน้าทั้งอเมริกา ฝรั่งเศส และอิสราเอล Nasser ก็หันกลับไปยุอัลจีเรีย ให้ต่อต้านฝรั่งเศส ในที่สุด Suez war ก็สงบ กองทัพ Nasser น่วม แต่ Nasser ไม่คืนหุ้นและอียิปต์ก็ครอบครองคลองสุเอชแต่ผู้เดียว เป็นสมบัติของประเทศอียิปต์อย่างเต็มภาคภูมิ และก็ทำให้อังกฤษตัดใจได้ในที่สุด ที่จะล้างมือจากอียิปต์ ผลประโยชน์ที่ได้มีไม่มากพอ ขุดเขามาจนเกลี้ยงแล้ว ไปหาเหยื่อที่มีน้ำมันต่อดีกว่า แล้วอังกฤษก็ทิ้งอียิปต์ไปดื้อๆเช่นนั้น สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 ก.ย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 318 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พบซีพียู Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ที่ไม่เคยวางขาย — หลักฐานสุดท้ายของยุค NetBurst ก่อน Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์”

    ในโลกของนักสะสมฮาร์ดแวร์ มีการค้นพบซีพียูหายากที่ไม่เคยถูกวางขายจริง — Intel Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ซึ่งเป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) จากยุคสุดท้ายของสถาปัตยกรรม NetBurst ที่เคยเป็นความหวังของ Intel ในช่วงต้นยุค 2000

    ผู้ใช้ Reddit ชื่อ diegunguyman ได้โพสต์ภาพซีพียูตัวนี้ พร้อมข้อมูลจาก CPU-Z ซึ่งระบุว่าเป็นชิปแบบ dual-core พร้อม Hyper-Threading ใช้โค้ดเนม “Presler” และมีความเร็วสูงถึง 4.0 GHz แม้ CPU-Z จะไม่สามารถ validate ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ผู้เชี่ยวชาญในชุมชนต่างยืนยันว่าเป็นของจริง และน่าจะเป็น “loaner chip” ที่เคยถูกให้พนักงานยืมใช้งานภายใน

    ชิปนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นรุ่นสุดท้ายของ NetBurst ซึ่งถูกยกเลิกก่อนวางขายจริง เนื่องจากปัญหาด้านความร้อนและประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่ต่ำ ทำให้ Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปสู่สถาปัตยกรรม Core 2 ที่เน้นประสิทธิภาพต่อพลังงาน และสามารถหยุดการเติบโตของ AMD Athlon 64 ได้ในเวลานั้น

    ความหายากของชิปนี้ไม่ใช่แค่เพราะไม่วางขาย แต่ยังเป็นเพราะระบบการควบคุม loaner chip ของ Intel ที่เคยเข้มงวด แต่เริ่มหลวมลงหลังจากมีการปลดพนักงานจำนวนมากในช่วงหลัง ทำให้ชิปบางตัวหลุดออกสู่ตลาดมือสอง

    การค้นพบนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของฮาร์ดแวร์ — แต่มันคือ “หลักฐานทางประวัติศาสตร์” ที่บอกเล่าการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของ Intel จากยุคที่เน้นความเร็ว GHz สู่ยุคที่เน้นประสิทธิภาพและการออกแบบที่ยั่งยืน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    พบซีพียู Intel Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ที่ไม่เคยวางขาย
    เป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) ที่น่าจะเป็น loaner chip สำหรับพนักงาน
    ใช้สถาปัตยกรรม NetBurst โค้ดเนม “Presler” พร้อม Hyper-Threading
    CPU-Z ไม่สามารถ validate ได้เต็มรูปแบบ แต่ข้อมูลตรงกับชิปจริง
    ความเร็ว 4.0 GHz ถือว่าสูงมากในยุคนั้น แต่มีปัญหาด้านความร้อนและประสิทธิภาพ
    Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปใช้สถาปัตยกรรม Core 2 ที่เน้น performance-per-watt
    การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยหยุดการเติบโตของ AMD Athlon 64 ในตลาดเดสก์ท็อป
    ระบบควบคุม loaner chip ของ Intel เริ่มหลวมลงหลังการปลดพนักงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NetBurst เป็นสถาปัตยกรรมที่เน้นความเร็วสัญญาณนาฬิกา แต่มีข้อเสียด้านพลังงาน
    Core 2 ถูกพัฒนาโดยทีม Haifa ของ Intel และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
    Engineering sample มักมีพฤติกรรมไม่เสถียร และไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป
    Loaner chip มีข้อจำกัดด้านการใช้งานและไม่ควรหลุดออกสู่ตลาด
    ชิปนี้มี cache L2 ขนาด 2MB และ FSB 1066 MHz ซึ่งถือว่าล้ำหน้าในยุคนั้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ultra-rare-unreleased-pentium-4-with-4-0-ghz-clock-speed-discovered-cpu-z-confirms-it-is-an-intel-pentium-extreme-edition-980
    🧠 “พบซีพียู Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ที่ไม่เคยวางขาย — หลักฐานสุดท้ายของยุค NetBurst ก่อน Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์” ในโลกของนักสะสมฮาร์ดแวร์ มีการค้นพบซีพียูหายากที่ไม่เคยถูกวางขายจริง — Intel Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ซึ่งเป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) จากยุคสุดท้ายของสถาปัตยกรรม NetBurst ที่เคยเป็นความหวังของ Intel ในช่วงต้นยุค 2000 ผู้ใช้ Reddit ชื่อ diegunguyman ได้โพสต์ภาพซีพียูตัวนี้ พร้อมข้อมูลจาก CPU-Z ซึ่งระบุว่าเป็นชิปแบบ dual-core พร้อม Hyper-Threading ใช้โค้ดเนม “Presler” และมีความเร็วสูงถึง 4.0 GHz แม้ CPU-Z จะไม่สามารถ validate ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ผู้เชี่ยวชาญในชุมชนต่างยืนยันว่าเป็นของจริง และน่าจะเป็น “loaner chip” ที่เคยถูกให้พนักงานยืมใช้งานภายใน ชิปนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นรุ่นสุดท้ายของ NetBurst ซึ่งถูกยกเลิกก่อนวางขายจริง เนื่องจากปัญหาด้านความร้อนและประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่ต่ำ ทำให้ Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปสู่สถาปัตยกรรม Core 2 ที่เน้นประสิทธิภาพต่อพลังงาน และสามารถหยุดการเติบโตของ AMD Athlon 64 ได้ในเวลานั้น ความหายากของชิปนี้ไม่ใช่แค่เพราะไม่วางขาย แต่ยังเป็นเพราะระบบการควบคุม loaner chip ของ Intel ที่เคยเข้มงวด แต่เริ่มหลวมลงหลังจากมีการปลดพนักงานจำนวนมากในช่วงหลัง ทำให้ชิปบางตัวหลุดออกสู่ตลาดมือสอง การค้นพบนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของฮาร์ดแวร์ — แต่มันคือ “หลักฐานทางประวัติศาสตร์” ที่บอกเล่าการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของ Intel จากยุคที่เน้นความเร็ว GHz สู่ยุคที่เน้นประสิทธิภาพและการออกแบบที่ยั่งยืน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ พบซีพียู Intel Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ที่ไม่เคยวางขาย ➡️ เป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) ที่น่าจะเป็น loaner chip สำหรับพนักงาน ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม NetBurst โค้ดเนม “Presler” พร้อม Hyper-Threading ➡️ CPU-Z ไม่สามารถ validate ได้เต็มรูปแบบ แต่ข้อมูลตรงกับชิปจริง ➡️ ความเร็ว 4.0 GHz ถือว่าสูงมากในยุคนั้น แต่มีปัญหาด้านความร้อนและประสิทธิภาพ ➡️ Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปใช้สถาปัตยกรรม Core 2 ที่เน้น performance-per-watt ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยหยุดการเติบโตของ AMD Athlon 64 ในตลาดเดสก์ท็อป ➡️ ระบบควบคุม loaner chip ของ Intel เริ่มหลวมลงหลังการปลดพนักงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NetBurst เป็นสถาปัตยกรรมที่เน้นความเร็วสัญญาณนาฬิกา แต่มีข้อเสียด้านพลังงาน ➡️ Core 2 ถูกพัฒนาโดยทีม Haifa ของ Intel และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ➡️ Engineering sample มักมีพฤติกรรมไม่เสถียร และไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป ➡️ Loaner chip มีข้อจำกัดด้านการใช้งานและไม่ควรหลุดออกสู่ตลาด ➡️ ชิปนี้มี cache L2 ขนาด 2MB และ FSB 1066 MHz ซึ่งถือว่าล้ำหน้าในยุคนั้น https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ultra-rare-unreleased-pentium-4-with-4-0-ghz-clock-speed-discovered-cpu-z-confirms-it-is-an-intel-pentium-extreme-edition-980
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 4”
    ค.ศ. 1889 กลุ่มนักธุรกิจอุตสาหกรรมของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank ไปได้สัมปทานจากรัฐบาลออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟจากกรุงคอนแสตนติโนเปิลไปถึงแคว้นอนาโตเลีย (Anatolia) ซึ่งต่อมาตกลงขยายเส้นทาง เป็น Berlin Bagdad

เยอรมันนั้นอยากคบค้ากับออตโตมานมานานแล้ว เพื่อให้เป็นตลาดใหญ่ทางตะวันออกของประเทศทางด้านอุตสาหกรรม ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็น่าจะเป็นยุทธศาสตร์การค้าที่ดี แต่การหาแหล่งน้ำมันก็น่าจะเป็นสิ่งที่เยอรมันแอบซ่อนอยู่ อังกฤษคิดระแวงและพร้อมที่จะขวางทุกกระบวนท่า ความรู้สึกชิงชังเยอรมันที่อังกฤษแสดงในช่วง ค.ศ. 1890 เป็นต้นมาในตะวันออกกลาง ก็น่าจะงอกเงยมาจากทางรถไฟสายชิงชัง Berlin Bagdad และความระแวงเยอรมันเรื่องน้ำมัน
    เป็นครั้งแรกที่ทางรถไฟจะเชื่อมอาณาจักรออตโตมานด้วยกันได้หมด และเมื่อไปถึง Bagdad จะทำให้เป็นการเดินทางภาคพื้นดินที่เร็วที่สุด และถูกที่สุดด้วย
    อังกฤษก็มองเห็นจุดนี้และเห็นมากกว่า อังกฤษบอกว่าแบบนี้ผู้คนก็แห่กันไปใช้รถไฟหมด แล้วเรือเราจะขนอะไร และถ้าเยอรมันกับพวกเตอร์กเกิดเล่นกล จับมือกันบุกอียิปต์ ซึ่งอังกฤษมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ ผลประโยชน์ในอียิปต์เราจะเป็นอย่างไร
    มองดูจากแผนที่ เส้นทางที่รถไฟ Berlin Bagdad จะวิ่งผ่านเมืองใหญ่อะไรบ้าง เริ่มที่อาณาจักรเยอรมัน อาณาจักรออสเตรีย บูลกาเรีย และออตโตมาน (ตุรกี) และมีเมืองเล็ก ๆ คือ เซอร์เบีย (Serbia) ที่กั้นขวางระหว่าง ต้นทางกับปลายทางเซอร์เบีย อยู่ระหว่างเยอรมันกับทางเข้ากรุงแสตนติโนเปิลและ Salonika เหมือนเป็นประตูสู่ตะวันออก ถ้าเซอร์เบีย ถูกถล่ม หรือถูกนำเข้าไปเป็นตัวแสดง ขัดขวางทางเดินของรางรถไฟ Berlin Bagdad อาณานิคมอันกว้างใหญ่ของเรา คงถูกเยอรมันบุกเข้ามาขยี้แน่นอน… R.G.D Laffan ที่ปรึกษาการทหารของอังกฤษประจำกองทัพที่เซอร์เบีย รำพึง อึ่ม ! น่าสนใจ !
    อันที่จริงตลอดเวลาที่คิดก่อสร้างทางรถไฟสายชิงชังนี้ เยอรมันรู้ว่าอังกฤษไม่พอใจ และถ้าไม่มีอังกฤษร่วม เยอรมันก็เหนื่อยแน่ในการหาเงินมาสนับสนุนการก่อสร้าง Deutsche Bank รับรายเดียวคงหลังแอ่น เยอรมันลงทุนง้องอนอังกฤษให้ร่วมมือ ถึงขนาดปลายปี ค.ศ. 1899 พระเจ้า Kaiser Wilhelm ที่ II อุตส่าห์ไปหา พระนาง Victoria เป็นการส่วนตัวที่วังวินด์เซอร์ เพื่อขอให้แนะนำรัฐบาลอังกฤษ เข้าร่วมในการสร้างรถไฟรายนี้ แต่อังกฤษไม่รับไมตรี
ตลอดเวลา 15 ปี อังกฤษได้พยายาม ทั้งเสี้ยม ทั้งขวาง ทั้งขัด ทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ทางรถไฟนี้เกิดขึ้นได้ นักเขียนประวัติศาสตร์ต่างบอกว่า ทางรถไฟสายนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามโลก ครั้งที่ 1 อันที่จริงอังกฤษก็ขวางเกือบสำเร็จ หมากตัวสำคัญที่อังกฤษนำมาใช้ ชื่อคูเวต (Kuwait) !
    อังกฤษเลี้ยงดูคูเวตมานาน โดยเอาเรือรบมาจอดขวางอยู่ปากอ่าว เมื่อ ค.ศ. 1901 และประกาศให้ท่าเรือที่อยู่ใต้ไปนั้น Shaat al Arab ซึ่งปกครองโดย Sheikh Mubarak al-Sabah ให้เป็นรัฐที่อยู่ในความดูแลของอังกฤษ อย่างด้านๆ (British Protectorate) ระหว่างนั้น ออตโตมานป่วยเกินกว่าจะประท้วง ปล่อยเลยตามเลยและเห็นว่า Kuwait อยู่ไกลตัว Kuwait จึงเป็นหมากที่อังกฤษนำมาขวางไม่ให้ ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ผ่านเข้ามาที่อ่าว Persia ได้
    แต่นั่นคือหมากเปิด ที่อังกฤษปล่อยออกไปขู่เยอรมัน เกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟ !
    ค.ศ. 1902 อังกฤษรู้แล้วว่า ดินแดนที่อังกฤษเรียกว่าเมโสโปเตเมีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิรักและคูเวต นั้น เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมัน มีมากแค่ไหน และจะเข้าไปเอาอย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ว่ากันที่หลัง ที่สำคัญ ต้องกัน ต้องขวาง อย่าให้ใครเข้ามายุ่งไว้ก่อน โดยเฉพาะเยอรมัน
    ค.ศ. 1907 Sheikh Mubarak Al Sabah (ซึ่งยึดอำนาจปกครองทั้งแคว้นได้ตั้งแต่ปี ค.ศ 1896 โดยฆ่าพี่ชายน้องชาย 2 คน ขณะที่นอนหลับอยู่ในวัง และคงมีคนช่วยที่เราน่าจะพอเดาออก) ได้ตกลงทำสัญญาให้อังกฤษเช่าที่ดินบริเวณ Bander Shwaikh เป็นสัญญาเช่าประเภทที่ไม่วันหมดอายุ ! มีรายงานว่า Sheikh จอมโหด ได้ค่าทำสัญญาเป็นทองคำและปืนไรเฟิลจากรัฐบาลอังกฤษเป็นค่าลงลายมือไปโขอยู่
    เดือนตุลาคม ค.ศ. 1913 Sir Percy Cox ตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ ยังจับมือให้ Sheikh ทำสัญญาสำคัญอีกฉบับหนึ่ง ที่ทั้งผูกทั้งมัดคูเวต ว่าจะไม่ให้หน้าไหน มาได้สัมปทานน้ำมันในแถบนั้นไป เว้นแต่เป็นผู้ที่รัฐบาลอังกฤษส่งมา เข้าใจไหม Sheikh บอกเข้าใจแล้วนายท่าน ว่าแล้วก็ลูบคลำทองแท่งนุ่มมือชื่นใจ
    ในที่สุดในปี ค.ศ. 1912 Deutsche bank ก็สามารถเจรจาให้ ออตโตมานลงนามให้ Bagdad Rail Co. ได้รับสิทธิในพื้นที่ (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร สองข้างทางรถไฟยาวไปตลอดทาง เส้นทางนี้ยาวไปถึง Mosul ซึ่งเป็นอิรักในปัจจุบัน ถึงตอนนี้ เยอรมันรู้แล้วว่า น้ำมันเป็นสิ่งมีค่าและจำเป็น และเยอรมันแม้มีเหล็ก มีอุตสาหกรรมเข้มแข็งอยู่เต็มประเทศ แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง ทำให้ตนเองตกอยู่ในกำมือของบริษัทน้ำมันใหญ่ของอเมริกา Standard Oil Company ของนาย Rockefeller โคตรรวยนั่นเอง
    ค.ศ. 1912 เยอรมันตั้งบริษัทร่วมกับ Standard Oil โดยฝ่ายอเมริกัน ถือหุ้น 91% และ Deutsche ถือหุ้น 9% เป็นการเจรจาทางธุรกิจที่ล้มเหลวสุดแย่ของเยอรมัน และเยอรมันก็รู้ตัว แต่ไม่มีทางเลือกในตอนนั้น เรื่องการยืมจมูกคนอื่นหายใจ ใครก็คงยอมไม่ได้นาน ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปเต็มบ้านเมือง แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง มิน่า ชาวเกาะใหญ่ เขาถึงได้ว่า เฟอะฟะ ! น่าจะโดนด่ามากกว่านั้นนะ
    การสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็ดูเหมือนจะเป็นการเดินทางไปหาจมูกหายใจ ให้กับตนเองของเยอรมัน ที่ต้องไม่มีส่วนผสมของ Standard Oil เจือปนอีกต่อไป และไม่มีการอุดปากปิดจมูกขัดขวาง จากอังกฤษด้วยเช่นเดียวกัน
    อังกฤษเองก็ใช่ว่าจะมีแหล่งน้ำมันของตนเอง แต่อาศัยความเก๋าและการวางหมาก ที่แยบยล จึงหลอกได้แหล่งน้ำมัน Anglo Persian Oil มา และในค.ศ. 1915 ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยหลอด Churchill อังกฤษก็ซื้อหุ้นเพิ่มกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Anglo Persian Oil ซึ่งปัจจุบัน คือ British Petroleum นั่นแหละ
    อังกฤษบอกกับตัวเองว่า ถ้าเราไม่สามารถจะสร้าง Daimler ได้อย่างเยอรมัน สิ่งที่เราควรทำก็คือ ควบคุมวัตถุดิบ ที่ Daimler จำเป็นต้องใช้ในการวิ่ง เท่านั้นเอง !
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 4” ค.ศ. 1889 กลุ่มนักธุรกิจอุตสาหกรรมของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank ไปได้สัมปทานจากรัฐบาลออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟจากกรุงคอนแสตนติโนเปิลไปถึงแคว้นอนาโตเลีย (Anatolia) ซึ่งต่อมาตกลงขยายเส้นทาง เป็น Berlin Bagdad

เยอรมันนั้นอยากคบค้ากับออตโตมานมานานแล้ว เพื่อให้เป็นตลาดใหญ่ทางตะวันออกของประเทศทางด้านอุตสาหกรรม ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็น่าจะเป็นยุทธศาสตร์การค้าที่ดี แต่การหาแหล่งน้ำมันก็น่าจะเป็นสิ่งที่เยอรมันแอบซ่อนอยู่ อังกฤษคิดระแวงและพร้อมที่จะขวางทุกกระบวนท่า ความรู้สึกชิงชังเยอรมันที่อังกฤษแสดงในช่วง ค.ศ. 1890 เป็นต้นมาในตะวันออกกลาง ก็น่าจะงอกเงยมาจากทางรถไฟสายชิงชัง Berlin Bagdad และความระแวงเยอรมันเรื่องน้ำมัน เป็นครั้งแรกที่ทางรถไฟจะเชื่อมอาณาจักรออตโตมานด้วยกันได้หมด และเมื่อไปถึง Bagdad จะทำให้เป็นการเดินทางภาคพื้นดินที่เร็วที่สุด และถูกที่สุดด้วย อังกฤษก็มองเห็นจุดนี้และเห็นมากกว่า อังกฤษบอกว่าแบบนี้ผู้คนก็แห่กันไปใช้รถไฟหมด แล้วเรือเราจะขนอะไร และถ้าเยอรมันกับพวกเตอร์กเกิดเล่นกล จับมือกันบุกอียิปต์ ซึ่งอังกฤษมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ ผลประโยชน์ในอียิปต์เราจะเป็นอย่างไร มองดูจากแผนที่ เส้นทางที่รถไฟ Berlin Bagdad จะวิ่งผ่านเมืองใหญ่อะไรบ้าง เริ่มที่อาณาจักรเยอรมัน อาณาจักรออสเตรีย บูลกาเรีย และออตโตมาน (ตุรกี) และมีเมืองเล็ก ๆ คือ เซอร์เบีย (Serbia) ที่กั้นขวางระหว่าง ต้นทางกับปลายทางเซอร์เบีย อยู่ระหว่างเยอรมันกับทางเข้ากรุงแสตนติโนเปิลและ Salonika เหมือนเป็นประตูสู่ตะวันออก ถ้าเซอร์เบีย ถูกถล่ม หรือถูกนำเข้าไปเป็นตัวแสดง ขัดขวางทางเดินของรางรถไฟ Berlin Bagdad อาณานิคมอันกว้างใหญ่ของเรา คงถูกเยอรมันบุกเข้ามาขยี้แน่นอน… R.G.D Laffan ที่ปรึกษาการทหารของอังกฤษประจำกองทัพที่เซอร์เบีย รำพึง อึ่ม ! น่าสนใจ ! อันที่จริงตลอดเวลาที่คิดก่อสร้างทางรถไฟสายชิงชังนี้ เยอรมันรู้ว่าอังกฤษไม่พอใจ และถ้าไม่มีอังกฤษร่วม เยอรมันก็เหนื่อยแน่ในการหาเงินมาสนับสนุนการก่อสร้าง Deutsche Bank รับรายเดียวคงหลังแอ่น เยอรมันลงทุนง้องอนอังกฤษให้ร่วมมือ ถึงขนาดปลายปี ค.ศ. 1899 พระเจ้า Kaiser Wilhelm ที่ II อุตส่าห์ไปหา พระนาง Victoria เป็นการส่วนตัวที่วังวินด์เซอร์ เพื่อขอให้แนะนำรัฐบาลอังกฤษ เข้าร่วมในการสร้างรถไฟรายนี้ แต่อังกฤษไม่รับไมตรี
ตลอดเวลา 15 ปี อังกฤษได้พยายาม ทั้งเสี้ยม ทั้งขวาง ทั้งขัด ทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ทางรถไฟนี้เกิดขึ้นได้ นักเขียนประวัติศาสตร์ต่างบอกว่า ทางรถไฟสายนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามโลก ครั้งที่ 1 อันที่จริงอังกฤษก็ขวางเกือบสำเร็จ หมากตัวสำคัญที่อังกฤษนำมาใช้ ชื่อคูเวต (Kuwait) ! อังกฤษเลี้ยงดูคูเวตมานาน โดยเอาเรือรบมาจอดขวางอยู่ปากอ่าว เมื่อ ค.ศ. 1901 และประกาศให้ท่าเรือที่อยู่ใต้ไปนั้น Shaat al Arab ซึ่งปกครองโดย Sheikh Mubarak al-Sabah ให้เป็นรัฐที่อยู่ในความดูแลของอังกฤษ อย่างด้านๆ (British Protectorate) ระหว่างนั้น ออตโตมานป่วยเกินกว่าจะประท้วง ปล่อยเลยตามเลยและเห็นว่า Kuwait อยู่ไกลตัว Kuwait จึงเป็นหมากที่อังกฤษนำมาขวางไม่ให้ ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ผ่านเข้ามาที่อ่าว Persia ได้ แต่นั่นคือหมากเปิด ที่อังกฤษปล่อยออกไปขู่เยอรมัน เกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟ ! ค.ศ. 1902 อังกฤษรู้แล้วว่า ดินแดนที่อังกฤษเรียกว่าเมโสโปเตเมีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิรักและคูเวต นั้น เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมัน มีมากแค่ไหน และจะเข้าไปเอาอย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ว่ากันที่หลัง ที่สำคัญ ต้องกัน ต้องขวาง อย่าให้ใครเข้ามายุ่งไว้ก่อน โดยเฉพาะเยอรมัน ค.ศ. 1907 Sheikh Mubarak Al Sabah (ซึ่งยึดอำนาจปกครองทั้งแคว้นได้ตั้งแต่ปี ค.ศ 1896 โดยฆ่าพี่ชายน้องชาย 2 คน ขณะที่นอนหลับอยู่ในวัง และคงมีคนช่วยที่เราน่าจะพอเดาออก) ได้ตกลงทำสัญญาให้อังกฤษเช่าที่ดินบริเวณ Bander Shwaikh เป็นสัญญาเช่าประเภทที่ไม่วันหมดอายุ ! มีรายงานว่า Sheikh จอมโหด ได้ค่าทำสัญญาเป็นทองคำและปืนไรเฟิลจากรัฐบาลอังกฤษเป็นค่าลงลายมือไปโขอยู่ เดือนตุลาคม ค.ศ. 1913 Sir Percy Cox ตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ ยังจับมือให้ Sheikh ทำสัญญาสำคัญอีกฉบับหนึ่ง ที่ทั้งผูกทั้งมัดคูเวต ว่าจะไม่ให้หน้าไหน มาได้สัมปทานน้ำมันในแถบนั้นไป เว้นแต่เป็นผู้ที่รัฐบาลอังกฤษส่งมา เข้าใจไหม Sheikh บอกเข้าใจแล้วนายท่าน ว่าแล้วก็ลูบคลำทองแท่งนุ่มมือชื่นใจ ในที่สุดในปี ค.ศ. 1912 Deutsche bank ก็สามารถเจรจาให้ ออตโตมานลงนามให้ Bagdad Rail Co. ได้รับสิทธิในพื้นที่ (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร สองข้างทางรถไฟยาวไปตลอดทาง เส้นทางนี้ยาวไปถึง Mosul ซึ่งเป็นอิรักในปัจจุบัน ถึงตอนนี้ เยอรมันรู้แล้วว่า น้ำมันเป็นสิ่งมีค่าและจำเป็น และเยอรมันแม้มีเหล็ก มีอุตสาหกรรมเข้มแข็งอยู่เต็มประเทศ แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง ทำให้ตนเองตกอยู่ในกำมือของบริษัทน้ำมันใหญ่ของอเมริกา Standard Oil Company ของนาย Rockefeller โคตรรวยนั่นเอง ค.ศ. 1912 เยอรมันตั้งบริษัทร่วมกับ Standard Oil โดยฝ่ายอเมริกัน ถือหุ้น 91% และ Deutsche ถือหุ้น 9% เป็นการเจรจาทางธุรกิจที่ล้มเหลวสุดแย่ของเยอรมัน และเยอรมันก็รู้ตัว แต่ไม่มีทางเลือกในตอนนั้น เรื่องการยืมจมูกคนอื่นหายใจ ใครก็คงยอมไม่ได้นาน ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปเต็มบ้านเมือง แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง มิน่า ชาวเกาะใหญ่ เขาถึงได้ว่า เฟอะฟะ ! น่าจะโดนด่ามากกว่านั้นนะ การสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็ดูเหมือนจะเป็นการเดินทางไปหาจมูกหายใจ ให้กับตนเองของเยอรมัน ที่ต้องไม่มีส่วนผสมของ Standard Oil เจือปนอีกต่อไป และไม่มีการอุดปากปิดจมูกขัดขวาง จากอังกฤษด้วยเช่นเดียวกัน อังกฤษเองก็ใช่ว่าจะมีแหล่งน้ำมันของตนเอง แต่อาศัยความเก๋าและการวางหมาก ที่แยบยล จึงหลอกได้แหล่งน้ำมัน Anglo Persian Oil มา และในค.ศ. 1915 ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยหลอด Churchill อังกฤษก็ซื้อหุ้นเพิ่มกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Anglo Persian Oil ซึ่งปัจจุบัน คือ British Petroleum นั่นแหละ อังกฤษบอกกับตัวเองว่า ถ้าเราไม่สามารถจะสร้าง Daimler ได้อย่างเยอรมัน สิ่งที่เราควรทำก็คือ ควบคุมวัตถุดิบ ที่ Daimler จำเป็นต้องใช้ในการวิ่ง เท่านั้นเอง ! สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 309 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Red Hat ถูกเจาะ GitHub — แฮกเกอร์อ้างขโมยข้อมูลลูกค้า 800 ราย รวมถึงหน่วยงานรัฐสหรัฐฯ”

    กลุ่มแฮกเกอร์ชื่อ Crimson Collective ได้ออกมาอ้างว่าเจาะระบบ GitHub ส่วนตัวของ Red Hat และขโมยข้อมูลไปกว่า 570GB จากโปรเจกต์ภายในกว่า 28,000 รายการ โดยหนึ่งในข้อมูลที่ถูกกล่าวถึงคือเอกสาร Customer Engagement Records (CERs) จำนวนกว่า 800 ชุด ซึ่งเป็นเอกสารที่ใช้ในการให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าองค์กร และมักมีข้อมูลละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างระบบ, การตั้งค่าเครือข่าย, token สำหรับเข้าถึงระบบ, และคำแนะนำการใช้งานที่อาจนำไปใช้โจมตีต่อได้

    Red Hat ยืนยันว่ามีเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยเกิดขึ้นจริงในส่วนของธุรกิจที่ปรึกษา แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าข้อมูล CERs ถูกขโมยไปตามที่แฮกเกอร์กล่าวอ้างหรือไม่ และยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อบริการหรือผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัท

    Crimson Collective ยังอ้างว่าได้เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานของลูกค้าบางรายแล้ว โดยใช้ token และ URI ที่พบในเอกสาร CERs และโค้ดภายใน GitHub ซึ่งรวมถึงองค์กรใหญ่ระดับโลก เช่น Bank of America, T-Mobile, AT&T, Fidelity, Mayo Clinic, Walmart, กองทัพเรือสหรัฐฯ, FAA และหน่วยงานรัฐบาลอื่น ๆ

    แม้ Red Hat จะเริ่มดำเนินการแก้ไขแล้ว แต่การที่แฮกเกอร์เผยแพร่รายการไฟล์และตัวอย่างเอกสารบน Telegram ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าเหตุการณ์นี้อาจเป็นหนึ่งในการรั่วไหลของซอร์สโค้ดและข้อมูลลูกค้าครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการโอเพ่นซอร์ส

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Crimson Collective อ้างว่าเจาะ GitHub ส่วนตัวของ Red Hat และขโมยข้อมูล 570GB
    ข้อมูลที่ถูกขโมยมาจากกว่า 28,000 โปรเจกต์ภายใน
    มี CERs กว่า 800 ชุดที่อาจมีข้อมูลโครงสร้างระบบ, token, และคำแนะนำการใช้งาน
    Red Hat ยืนยันเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยในธุรกิจที่ปรึกษา แต่ไม่ยืนยันการขโมย CERs
    ข้อมูลที่ถูกอ้างว่ารั่วไหลมี URI ฐานข้อมูล, token, และข้อมูลที่เข้าถึงลูกค้า downstream
    รายชื่อองค์กรที่อาจได้รับผลกระทบรวมถึง Bank of America, T-Mobile, AT&T, FAA และหน่วยงานรัฐ
    แฮกเกอร์เผยแพร่รายการไฟล์และ CERs บน Telegram พร้อมตัวอย่างเอกสาร
    Red Hat ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการอื่น และมั่นใจในความปลอดภัยของซัพพลายเชนซอฟต์แวร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CERs เป็นเอกสารที่ปรึกษาภายในที่มักมีข้อมูลละเอียดเกี่ยวกับระบบของลูกค้า
    การรั่วไหลของ token และ URI อาจนำไปสู่การเข้าถึงระบบของลูกค้าโดยตรง
    GitHub ส่วนตัวขององค์กรมักมีโค้ดที่ยังไม่เปิดเผย, สคริปต์อัตโนมัติ, และข้อมูลการตั้งค่าระบบ
    การเจาะระบบผ่าน GitHub เป็นหนึ่งในช่องทางที่นิยมในกลุ่มแฮกเกอร์ยุคใหม่
    การโจมตีลักษณะนี้อาจนำไปสู่การโจมตี supply chain ที่กระทบต่อหลายองค์กรพร้อมกัน

    https://www.techradar.com/pro/security/red-hat-confirms-major-data-breach-after-hackers-claim-mega-haul
    🧨 “Red Hat ถูกเจาะ GitHub — แฮกเกอร์อ้างขโมยข้อมูลลูกค้า 800 ราย รวมถึงหน่วยงานรัฐสหรัฐฯ” กลุ่มแฮกเกอร์ชื่อ Crimson Collective ได้ออกมาอ้างว่าเจาะระบบ GitHub ส่วนตัวของ Red Hat และขโมยข้อมูลไปกว่า 570GB จากโปรเจกต์ภายในกว่า 28,000 รายการ โดยหนึ่งในข้อมูลที่ถูกกล่าวถึงคือเอกสาร Customer Engagement Records (CERs) จำนวนกว่า 800 ชุด ซึ่งเป็นเอกสารที่ใช้ในการให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าองค์กร และมักมีข้อมูลละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างระบบ, การตั้งค่าเครือข่าย, token สำหรับเข้าถึงระบบ, และคำแนะนำการใช้งานที่อาจนำไปใช้โจมตีต่อได้ Red Hat ยืนยันว่ามีเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยเกิดขึ้นจริงในส่วนของธุรกิจที่ปรึกษา แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าข้อมูล CERs ถูกขโมยไปตามที่แฮกเกอร์กล่าวอ้างหรือไม่ และยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อบริการหรือผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัท Crimson Collective ยังอ้างว่าได้เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานของลูกค้าบางรายแล้ว โดยใช้ token และ URI ที่พบในเอกสาร CERs และโค้ดภายใน GitHub ซึ่งรวมถึงองค์กรใหญ่ระดับโลก เช่น Bank of America, T-Mobile, AT&T, Fidelity, Mayo Clinic, Walmart, กองทัพเรือสหรัฐฯ, FAA และหน่วยงานรัฐบาลอื่น ๆ แม้ Red Hat จะเริ่มดำเนินการแก้ไขแล้ว แต่การที่แฮกเกอร์เผยแพร่รายการไฟล์และตัวอย่างเอกสารบน Telegram ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าเหตุการณ์นี้อาจเป็นหนึ่งในการรั่วไหลของซอร์สโค้ดและข้อมูลลูกค้าครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการโอเพ่นซอร์ส ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Crimson Collective อ้างว่าเจาะ GitHub ส่วนตัวของ Red Hat และขโมยข้อมูล 570GB ➡️ ข้อมูลที่ถูกขโมยมาจากกว่า 28,000 โปรเจกต์ภายใน ➡️ มี CERs กว่า 800 ชุดที่อาจมีข้อมูลโครงสร้างระบบ, token, และคำแนะนำการใช้งาน ➡️ Red Hat ยืนยันเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยในธุรกิจที่ปรึกษา แต่ไม่ยืนยันการขโมย CERs ➡️ ข้อมูลที่ถูกอ้างว่ารั่วไหลมี URI ฐานข้อมูล, token, และข้อมูลที่เข้าถึงลูกค้า downstream ➡️ รายชื่อองค์กรที่อาจได้รับผลกระทบรวมถึง Bank of America, T-Mobile, AT&T, FAA และหน่วยงานรัฐ ➡️ แฮกเกอร์เผยแพร่รายการไฟล์และ CERs บน Telegram พร้อมตัวอย่างเอกสาร ➡️ Red Hat ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการอื่น และมั่นใจในความปลอดภัยของซัพพลายเชนซอฟต์แวร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CERs เป็นเอกสารที่ปรึกษาภายในที่มักมีข้อมูลละเอียดเกี่ยวกับระบบของลูกค้า ➡️ การรั่วไหลของ token และ URI อาจนำไปสู่การเข้าถึงระบบของลูกค้าโดยตรง ➡️ GitHub ส่วนตัวขององค์กรมักมีโค้ดที่ยังไม่เปิดเผย, สคริปต์อัตโนมัติ, และข้อมูลการตั้งค่าระบบ ➡️ การเจาะระบบผ่าน GitHub เป็นหนึ่งในช่องทางที่นิยมในกลุ่มแฮกเกอร์ยุคใหม่ ➡️ การโจมตีลักษณะนี้อาจนำไปสู่การโจมตี supply chain ที่กระทบต่อหลายองค์กรพร้อมกัน https://www.techradar.com/pro/security/red-hat-confirms-major-data-breach-after-hackers-claim-mega-haul
    WWW.TECHRADAR.COM
    Red Hat confirms major data breach after hackers claim mega haul
    Red Hat breach is confirmed, but not claims of data theft
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts