• "ของเล่นใหม่ของสหภาพยุโรป"

    ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรป ฮัจญะห์ ลาบิบ (Hadja Lahbib) เข้าพบกับผู้นำซีเรีย อาห์เหม็ด อัล-ชารา ในกรุงดามัสกัส เพื่อประกาศแพ็คเกจช่วยเหลือมูลค่า 235 ล้านยูโรจากสหภาพยุโรป

    พร้อมกันนี้ ฮัจญะห์ ลาบิบ ยังโพสต์วิดีโอการไปเยือนกรุงดามัสกัสของเธอ พร้อมข้อความ "ซาบซึ้งใจ" ที่ได้เห็นและได้ยินเรื่องราวแห่งความหวังสำหรับอนาคตที่สดใส ของประชาชนชาวซีเรียที่กำลังสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ พร้อมให้คำสัญญาว่า "สหภาพยุโรปจะยืนเคียงข้างคุณ"

    (รูปที่3-4) ในขณะที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนเพิ่มสูงขึ้น จากการกระทำของกลุ่มก่อการร้าย HTS ที่ปกครองซีเรีย แต่ยุโรปกลับมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป!



    "ของเล่นใหม่ของสหภาพยุโรป" ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรป ฮัจญะห์ ลาบิบ (Hadja Lahbib) เข้าพบกับผู้นำซีเรีย อาห์เหม็ด อัล-ชารา ในกรุงดามัสกัส เพื่อประกาศแพ็คเกจช่วยเหลือมูลค่า 235 ล้านยูโรจากสหภาพยุโรป พร้อมกันนี้ ฮัจญะห์ ลาบิบ ยังโพสต์วิดีโอการไปเยือนกรุงดามัสกัสของเธอ พร้อมข้อความ "ซาบซึ้งใจ" ที่ได้เห็นและได้ยินเรื่องราวแห่งความหวังสำหรับอนาคตที่สดใส ของประชาชนชาวซีเรียที่กำลังสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ พร้อมให้คำสัญญาว่า "สหภาพยุโรปจะยืนเคียงข้างคุณ" (รูปที่3-4) ในขณะที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนเพิ่มสูงขึ้น จากการกระทำของกลุ่มก่อการร้าย HTS ที่ปกครองซีเรีย แต่ยุโรปกลับมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💜 #รีวิว เส้นทาง #จอร์แดน #อัมมาน จากคุณลัดดาวรรณนะคะ💜 เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.67 - 02 ม.ค.68 ที่ผ่านมานะคะ📍
    ❤️ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com
    แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ😘

    📍จอร์แดน (Jordan) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในตะวันออกกลาง มีชื่อเสียงด้านประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัฒนธรรมที่หลากหลาย และธรรมชาติที่สวยงาม จอร์แดนเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจแหล่งโบราณคดีและประสบการณ์การผจญภัยในทะเลทราย

    ดูทัวร์จอร์แดนทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/c83f8e

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395

    #ทัวร์จอร์แดน #ทัวร์ต่างประเทศ #ทัวร์โปรไฟไหม้ #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ที่หลุด #ท่องเที่ยว #เที่ยว #ทัวร์ทั่วโลก #linetoday #linetimeline #linevoom #line #etravelway #ทัวร์ยุโรป #ทัวร์พรีเมี่ยม #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #ทัวร์ถูก #ทัวร์คุณภาพ #ทัวร์สุดคุ้ม #แพคเกจทัวร์ต่างประเทศ #กรุ๊ปเหมา
    💜 #รีวิว เส้นทาง #จอร์แดน #อัมมาน จากคุณลัดดาวรรณนะคะ💜 เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.67 - 02 ม.ค.68 ที่ผ่านมานะคะ📍 ❤️ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ😘 📍จอร์แดน (Jordan) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในตะวันออกกลาง มีชื่อเสียงด้านประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัฒนธรรมที่หลากหลาย และธรรมชาติที่สวยงาม จอร์แดนเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจแหล่งโบราณคดีและประสบการณ์การผจญภัยในทะเลทราย ดูทัวร์จอร์แดนทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/c83f8e LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์จอร์แดน #ทัวร์ต่างประเทศ #ทัวร์โปรไฟไหม้ #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ที่หลุด #ท่องเที่ยว #เที่ยว #ทัวร์ทั่วโลก #linetoday #linetimeline #linevoom #line #etravelway #ทัวร์ยุโรป #ทัวร์พรีเมี่ยม #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #ทัวร์ถูก #ทัวร์คุณภาพ #ทัวร์สุดคุ้ม #แพคเกจทัวร์ต่างประเทศ #กรุ๊ปเหมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ยุทธหัตถีแห่งหนองสาหร่าย”

    ดินแดนแห่งศักดิ์ศรี กรุงศรีอยุธยา เสียงกลองศึกดังก้อง พม่ายกทัพเข้ามา สมเด็จพระนเรศ ทรงนำทัพกู้แผ่นดิน ด้วยพระแสงของ้าวแสนพลพ่าย ชัยชนะเหนือศัตรู

    * ณ หนองสาหร่าย เสียงช้างร้องก้องไพร พระองค์ดำ พระองค์ขาว จารึกไว้ในหัวใจ ชนช้างฟาดฟัน บั่นคอมังสามเกียด เลือดหลั่งรินบนหลังช้าง เพื่อชาติไทยเรา

    พระองค์ขาวทรงพลายปราบไตรจักร ฟันมางจาชโร จบสิ้นศึกเหนือสายน้ำ ไพร่พลไทยลุกฮือ รวมพลังเกินขวางกั้น ประวัติศาสตร์ย้ำเตือนเรา ให้ยืนหยัดสู้เพื่อไทย

    ซ้ำ *

    พระองค์ขาวทรงพลายปราบไตรจักร

    ** ช้างศึกยิ่งใหญ่ ฟาดงวงฟาดงา วิญญาณนักรบสืบมา ด้วยเลือดนักสู้ไม่เสื่อมคลาย เกียรติยศของผืนแผ่นดิน ค่าควรเมืองแห่งชนไทย เพลงยุทธหัตถี ขับขานไปให้โลกรู้

    ซ้ำ *, **

    ดินแดนแห่งศักดิ์ศรี ไทยเรานี้ไม่มีวันลืม เสียงกลองศึกดังก้อง ในหัวใจเราตลอดไป ยุทธหัตถีแห่งหนองสาหร่าย คือความภาคภูมิของคนไทย

    ขอสดุดีแด่วีรชน ให้คงอยู่ในใจนิรันดร์

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 180850 ม.ค. 2568
    “ยุทธหัตถีแห่งหนองสาหร่าย” ดินแดนแห่งศักดิ์ศรี กรุงศรีอยุธยา เสียงกลองศึกดังก้อง พม่ายกทัพเข้ามา สมเด็จพระนเรศ ทรงนำทัพกู้แผ่นดิน ด้วยพระแสงของ้าวแสนพลพ่าย ชัยชนะเหนือศัตรู * ณ หนองสาหร่าย เสียงช้างร้องก้องไพร พระองค์ดำ พระองค์ขาว จารึกไว้ในหัวใจ ชนช้างฟาดฟัน บั่นคอมังสามเกียด เลือดหลั่งรินบนหลังช้าง เพื่อชาติไทยเรา พระองค์ขาวทรงพลายปราบไตรจักร ฟันมางจาชโร จบสิ้นศึกเหนือสายน้ำ ไพร่พลไทยลุกฮือ รวมพลังเกินขวางกั้น ประวัติศาสตร์ย้ำเตือนเรา ให้ยืนหยัดสู้เพื่อไทย ซ้ำ * พระองค์ขาวทรงพลายปราบไตรจักร ** ช้างศึกยิ่งใหญ่ ฟาดงวงฟาดงา วิญญาณนักรบสืบมา ด้วยเลือดนักสู้ไม่เสื่อมคลาย เกียรติยศของผืนแผ่นดิน ค่าควรเมืองแห่งชนไทย เพลงยุทธหัตถี ขับขานไปให้โลกรู้ ซ้ำ *, ** ดินแดนแห่งศักดิ์ศรี ไทยเรานี้ไม่มีวันลืม เสียงกลองศึกดังก้อง ในหัวใจเราตลอดไป ยุทธหัตถีแห่งหนองสาหร่าย คือความภาคภูมิของคนไทย ขอสดุดีแด่วีรชน ให้คงอยู่ในใจนิรันดร์ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 180850 ม.ค. 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 18 0 รีวิว
  • 433 ปี ยุทธหัตถีหนองสาหร่าย ศึกแห่งเกียรติยศขององค์ดำ-องค์ขาว 🇹🇭🐘

    ย้อนไปเมื่อ 433 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2135 เป็นวันที่ประวัติศาสตร์ไทย ต้องจารึกไว้ด้วยความภาคภูมิใจ นั่นคือเหตุการณ์ “ยุทธหัตถีหนองสาหร่าย” ที่แสดงถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พระองค์ดำ) และสมเด็จพระเอกาทศรถ (พระองค์ขาว) ในการต่อสู้กับทัพพม่า ณ ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี

    สงครามครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการต่อสู้ เพื่ออาณาจักรเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงถึง ศักดิ์ศรีของพระมหากษัตริย์ไทย ผู้ยอมเสี่ยงชีวิต เพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน และประชาชนชาวไทย การยุทธหัตถีครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ที่ยังคงมีการเล่าขาน และรำลึกถึงจนถึงทุกวันนี้

    สงครามบนหลังช้างที่สะท้อนศักดิ์ศรี
    ยุทธหัตถี หมายถึง การทำสงครามบนหลังช้าง โดยผู้บัญชาการสูงสุด ของกองทัพทั้งสองฝ่าย จะเผชิญหน้ากันบนหลังช้างศึก เป็นการต่อสู้ ที่ต้องอาศัยทั้งความสามารถ การฝึกฝน ความกล้าหาญของกษัตริย์ และช้างศึก การชนช้างนี้ถือว่า เป็นการทำศึกที่มีเกียรติยศ และเป็นที่ยอมรับ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย พม่า และกัมพูชา

    ในยุคโบราณ ช้างถือว่าเป็นสัตว์คู่บารมี ของพระมหากษัตริย์ และเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ การทำยุทธหัตถี จึงไม่เพียงแต่เป็นการต่อสู้ เพื่อชัยชนะทางการทหารเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความกล้าหาญและความสามารถของผู้ปกครอง ที่นำทัพด้วยตัวเอง

    สงครามยุทธหัตถีในปี พ.ศ. 2135 มีต้นเหตุจากการที่กรุงหงสาวดี (พม่า) มีความต้องการ จะยึดครองกรุงศรีอยุธยา พระเจ้านันทบุเรง ผู้ปกครองหงสาวดีในเวลานั้น จึงส่งกองทัพใหญ่กว่า 240,000 นาย นำโดย พระมหาอุปราชา (มังสามเกียด) และมางจาชโร เจ้าเมืองจาปะโร เข้ารุกรานกรุงศรีอยุธยา

    พระองค์ดำทรงทราบถึง การเคลื่อนทัพของพม่า จึงทรงระดมกำลังพลหนึ่งแสนนาย และเตรียมการป้องกันเมือง พร้อมกับทรงออกคำประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง ในปี พ.ศ. 2127 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้น ของการต่อต้านการปกครองของพม่า อย่างเต็มตัว

    เมื่อกองทัพของมังสามเกียด เคลื่อนมาถึงสุพรรณบุรี พระองค์ดำทรงนำทัพหลวงไปตั้งค่าย ที่ตำบลหนองสาหร่าย พร้อมกับพระองค์ขาว

    เช้าวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง องค์ดำและองค์ขาว ทรงเครื่องพิชัยยุทธเต็มยศ พร้อมด้วยช้างศึกทรง 2 เชือก คือ

    เจ้าพระยาไชยานุภาพ (พลายภูเขาทอง) ช้างทรงของพระองค์ดำ
    เจ้าพระยาปราบไตรจักร (พลายบุญเรือง) ช้างทรงของพระองค์ขาว

    ทั้งสองพระองค์ทรงนำช้างศึกเข้าสู่สนามรบ แต่ระหว่างที่เคลื่อนทัพเกิดความวุ่นวาย ทำให้ช้างทรงของทั้งสองพระองค์ หลุดเข้าไปในวงล้อมของทัพพม่า และเผชิญหน้ากับมังสามเกียด และมางจาชโร โดยตรง

    เผชิญหน้าบนหลังช้าง
    พระองค์ดำทรงเรียกท้ามังสามเกียด ซึ่งสนิทสนมกันตั้งแต่วัยพระเยาว์ เมื่อครั้งองค์ดำ ทรงเป็นองค์ประกัน อยู่ที่กรุงหงสาวดี ให้มาทำยุทธหัตถี ด้วยพระดำรัส ที่แสดงถึงความองอาจว่า

    “พระเจ้าพี่เรา จะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด”

    มังสามเกียดจึงไสช้าง เข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพ เกิดการต่อสู้ที่ดุเดือด เมื่อถึงจังหวะสำคัญ พระองค์ดำทรงใช้พระแสงของ้าวแสนพลพ่าย ฟันเข้าที่พระอังสะขวา ของมังสามเกียด จนสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง

    ในขณะเดียวกัน พระองค์ขาวทรงฟันมางจาชโร จนสิ้นพระชนม์บนหลังช้างเช่นกัน เป็นการปิดฉาก ศึกยุทธหัตถีอันยิ่งใหญ่

    ชัยชนะของพระองค์ดำ ในยุทธหัตถีครั้งนี้ ทำให้กรุงศรีอยุธยา สามารถรักษาเอกราชไว้ได้ และสร้างความเกรงขามให้แก่กรุงหงสาวดี จนไม่มีการรุกรานอีก เป็นเวลาหลายปี

    หลังสงคราม พระเจ้านันทบุเรงทรงเสียพระทัยอย่างยิ่ง ที่ต้องสูญเสียพระราชโอรสไป ในศึกครั้งนี้ และกรุงศรีอยุธยาก็ได้สร้าง พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์อันสำคัญนี้

    ความสำคัญของยุทธหัตถี ในประวัติศาสตร์ไทย
    สัญลักษณ์ของเอกราช ยุทธหัตถีครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึง ความสามัคคีและการต่อสู้ เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ

    พระปรีชาสามารถของกษัตริย์ไทย สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้ทรงแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถในการนำทัพ

    มรดกทางวัฒนธรรม การยุทธหัตถีได้กลายเป็นตำนาน ที่มีการเล่าขาน และเป็นแรงบันดาลใจในงานศิลปะ วรรณกรรม และภาพยนตร์

    คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยุทธหัตถี
    1. ยุทธหัตถีเกิดขึ้นที่ไหน?
    ยุทธหัตถีเกิดขึ้นที่ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี

    2. ช้างศึกคืออะไร?
    ช้างศึกคือช้างที่ได้รับการฝึกฝน เพื่อใช้ในการทำสงคราม มีลักษณะเด่นตามตำราคชลักษณ์

    3. ทำไมยุทธหัตถีถึงมีเกียรติ?
    เพราะเป็นการต่อสู้ ระหว่างกษัตริย์ทั้งสองฝ่าย อย่างตรงไปตรงมา และแสดงถึงความกล้าหาญ

    ยุทธหัตถีหนองสาหร่ายในปี พ.ศ. 2135 เป็นสงครามที่แสดงถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ ซึ่งทำให้กรุงศรีอยุธยา สามารถรักษาเอกราช และศักดิ์ศรีของชาติไว้ได้

    เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนไทย ในการต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง และรักษาเกียรติภูมิของตน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 180833 ม.ค. 2568

    #สมเด็จพระนเรศวร #ยุทธหัตถี #ประวัติศาสตร์ไทย #สงครามชนช้าง #กรุงศรีอยุธยา #ดอนเจดีย์ #หงสาวดี #ชาติไทย #วีรกรรมไทย #สงครามไทย

    🎉
    433 ปี ยุทธหัตถีหนองสาหร่าย ศึกแห่งเกียรติยศขององค์ดำ-องค์ขาว 🇹🇭🐘 ย้อนไปเมื่อ 433 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2135 เป็นวันที่ประวัติศาสตร์ไทย ต้องจารึกไว้ด้วยความภาคภูมิใจ นั่นคือเหตุการณ์ “ยุทธหัตถีหนองสาหร่าย” ที่แสดงถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พระองค์ดำ) และสมเด็จพระเอกาทศรถ (พระองค์ขาว) ในการต่อสู้กับทัพพม่า ณ ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี สงครามครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการต่อสู้ เพื่ออาณาจักรเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงถึง ศักดิ์ศรีของพระมหากษัตริย์ไทย ผู้ยอมเสี่ยงชีวิต เพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน และประชาชนชาวไทย การยุทธหัตถีครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ที่ยังคงมีการเล่าขาน และรำลึกถึงจนถึงทุกวันนี้ สงครามบนหลังช้างที่สะท้อนศักดิ์ศรี ยุทธหัตถี หมายถึง การทำสงครามบนหลังช้าง โดยผู้บัญชาการสูงสุด ของกองทัพทั้งสองฝ่าย จะเผชิญหน้ากันบนหลังช้างศึก เป็นการต่อสู้ ที่ต้องอาศัยทั้งความสามารถ การฝึกฝน ความกล้าหาญของกษัตริย์ และช้างศึก การชนช้างนี้ถือว่า เป็นการทำศึกที่มีเกียรติยศ และเป็นที่ยอมรับ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย พม่า และกัมพูชา ในยุคโบราณ ช้างถือว่าเป็นสัตว์คู่บารมี ของพระมหากษัตริย์ และเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ การทำยุทธหัตถี จึงไม่เพียงแต่เป็นการต่อสู้ เพื่อชัยชนะทางการทหารเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความกล้าหาญและความสามารถของผู้ปกครอง ที่นำทัพด้วยตัวเอง สงครามยุทธหัตถีในปี พ.ศ. 2135 มีต้นเหตุจากการที่กรุงหงสาวดี (พม่า) มีความต้องการ จะยึดครองกรุงศรีอยุธยา พระเจ้านันทบุเรง ผู้ปกครองหงสาวดีในเวลานั้น จึงส่งกองทัพใหญ่กว่า 240,000 นาย นำโดย พระมหาอุปราชา (มังสามเกียด) และมางจาชโร เจ้าเมืองจาปะโร เข้ารุกรานกรุงศรีอยุธยา พระองค์ดำทรงทราบถึง การเคลื่อนทัพของพม่า จึงทรงระดมกำลังพลหนึ่งแสนนาย และเตรียมการป้องกันเมือง พร้อมกับทรงออกคำประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง ในปี พ.ศ. 2127 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้น ของการต่อต้านการปกครองของพม่า อย่างเต็มตัว เมื่อกองทัพของมังสามเกียด เคลื่อนมาถึงสุพรรณบุรี พระองค์ดำทรงนำทัพหลวงไปตั้งค่าย ที่ตำบลหนองสาหร่าย พร้อมกับพระองค์ขาว เช้าวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง องค์ดำและองค์ขาว ทรงเครื่องพิชัยยุทธเต็มยศ พร้อมด้วยช้างศึกทรง 2 เชือก คือ เจ้าพระยาไชยานุภาพ (พลายภูเขาทอง) ช้างทรงของพระองค์ดำ เจ้าพระยาปราบไตรจักร (พลายบุญเรือง) ช้างทรงของพระองค์ขาว ทั้งสองพระองค์ทรงนำช้างศึกเข้าสู่สนามรบ แต่ระหว่างที่เคลื่อนทัพเกิดความวุ่นวาย ทำให้ช้างทรงของทั้งสองพระองค์ หลุดเข้าไปในวงล้อมของทัพพม่า และเผชิญหน้ากับมังสามเกียด และมางจาชโร โดยตรง เผชิญหน้าบนหลังช้าง พระองค์ดำทรงเรียกท้ามังสามเกียด ซึ่งสนิทสนมกันตั้งแต่วัยพระเยาว์ เมื่อครั้งองค์ดำ ทรงเป็นองค์ประกัน อยู่ที่กรุงหงสาวดี ให้มาทำยุทธหัตถี ด้วยพระดำรัส ที่แสดงถึงความองอาจว่า “พระเจ้าพี่เรา จะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด” มังสามเกียดจึงไสช้าง เข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพ เกิดการต่อสู้ที่ดุเดือด เมื่อถึงจังหวะสำคัญ พระองค์ดำทรงใช้พระแสงของ้าวแสนพลพ่าย ฟันเข้าที่พระอังสะขวา ของมังสามเกียด จนสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง ในขณะเดียวกัน พระองค์ขาวทรงฟันมางจาชโร จนสิ้นพระชนม์บนหลังช้างเช่นกัน เป็นการปิดฉาก ศึกยุทธหัตถีอันยิ่งใหญ่ ชัยชนะของพระองค์ดำ ในยุทธหัตถีครั้งนี้ ทำให้กรุงศรีอยุธยา สามารถรักษาเอกราชไว้ได้ และสร้างความเกรงขามให้แก่กรุงหงสาวดี จนไม่มีการรุกรานอีก เป็นเวลาหลายปี หลังสงคราม พระเจ้านันทบุเรงทรงเสียพระทัยอย่างยิ่ง ที่ต้องสูญเสียพระราชโอรสไป ในศึกครั้งนี้ และกรุงศรีอยุธยาก็ได้สร้าง พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์อันสำคัญนี้ ความสำคัญของยุทธหัตถี ในประวัติศาสตร์ไทย สัญลักษณ์ของเอกราช ยุทธหัตถีครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึง ความสามัคคีและการต่อสู้ เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ พระปรีชาสามารถของกษัตริย์ไทย สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้ทรงแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถในการนำทัพ มรดกทางวัฒนธรรม การยุทธหัตถีได้กลายเป็นตำนาน ที่มีการเล่าขาน และเป็นแรงบันดาลใจในงานศิลปะ วรรณกรรม และภาพยนตร์ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยุทธหัตถี 1. ยุทธหัตถีเกิดขึ้นที่ไหน? ยุทธหัตถีเกิดขึ้นที่ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี 2. ช้างศึกคืออะไร? ช้างศึกคือช้างที่ได้รับการฝึกฝน เพื่อใช้ในการทำสงคราม มีลักษณะเด่นตามตำราคชลักษณ์ 3. ทำไมยุทธหัตถีถึงมีเกียรติ? เพราะเป็นการต่อสู้ ระหว่างกษัตริย์ทั้งสองฝ่าย อย่างตรงไปตรงมา และแสดงถึงความกล้าหาญ ยุทธหัตถีหนองสาหร่ายในปี พ.ศ. 2135 เป็นสงครามที่แสดงถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ ซึ่งทำให้กรุงศรีอยุธยา สามารถรักษาเอกราช และศักดิ์ศรีของชาติไว้ได้ เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนไทย ในการต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง และรักษาเกียรติภูมิของตน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 180833 ม.ค. 2568 #สมเด็จพระนเรศวร #ยุทธหัตถี #ประวัติศาสตร์ไทย #สงครามชนช้าง #กรุงศรีอยุธยา #ดอนเจดีย์ #หงสาวดี #ชาติไทย #วีรกรรมไทย #สงครามไทย 🎉
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • Saloma Link สะพานที่มากกว่าไฟสวย

    มาเลเซียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีแหล่งท่องเที่ยวเพื่อนันทนาการ (Recreational Attraction) จำนวนมาก ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นเพื่อการพักผ่อนและเสริมสร้างสุขภาพ ให้ความสนุกสนาน บันเทิง และการศึกษาหาความรู้ แม้ไม่มีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรม แต่มีลักษณะเป็นแหล่งท่องเที่ยวร่วมสมัย ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ River of Life บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Masjid Jamek และสะพาน Saloma Link บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Kampung Baru

    กล่าวถึงสะพาน Saloma Link (ซาโลมาลิงก์) เป็นสะพานขนาดไม่ใหญ่ ยาว 69 เมตร กว้าง 3 เมตร สูง 7 เมตร ข้ามทางด่วนสาย E12 อัมปัง-กัวลาลัมเปอร์ (AKLEH) และแม่น้ำแคลงที่อยู่เกาะกลาง มีทางลาดลงไปยังด้านข้างสุสานอิสลามจาลันอัมปัง แล้วออกทางแยกหน้าอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์ ย่าน KLCC เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2563 โดยมีบริษัท VERITAS Design Group ออกแบบโครงสร้าง ใช้งบก่อสร้าง 31 ล้านริงกิต (237 ล้านบาท)

    จุดเด่นของสะพานซาโลมาลิงก์ คือการออกแบบโครงสร้างเหล็ก โดยได้แรงบันดาลใจจากการจัดช่อดอกไม้มงคลที่เรียกว่า ซิเระ จุนจุง (Sireh Junjung) ในพิธีแต่งงานของชาวมาเลย์ ประดับด้วยกระจกและแผงไฟ LED รูปทรงเพชร ฉายแสงในรูปแบบต่างๆ หลากสีสัน ชื่อสะพานมาจาก ซาโลมา ชื่อเรียกของ ซัลมาห์ อิสมาอิล (Salmah Ismail) นักร้อง นักแสดงชื่อดังชาวสิงคโปร์-มาเลเซีย ฉายามาริลิน มอนโรแห่งเอเชีย ที่เสียชีวิตเมื่อปี 2526 ด้วยวัย 48 ปี และถูกฝังอยู่ในสุสานอิสลามจาลันอัมปัง

    ก่อนจะมาเป็นสะพานที่สวยงามแห่งนี้ แต่เดิมเคยเป็นสะพานข้ามแม่น้ำแคลง จากกัวลาลัมเปอร์ไปยังกำปุงบารู (Kampung Baru) ชุมชนที่อยู่อีกฝั่ง แต่ได้รื้อสะพานเมื่อปี 2539 เพื่อก่อสร้างทางด่วนที่ยกสูงขึ้น เสมือนเป็นเขื่อนกั้นแม่น้ำที่อยู่ตรงกลาง

    ในยามค่ำคืน สะพานแห่งนี้จะเปิดไฟ LED หลากสีสันอย่างสวยงาม ล้อไปกับตึกแฝดปิโตรนาสทาวเวอร์ ที่เปิดไฟส่องไสวไปทั่วตึกเช่นกัน นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปสะพานโดยเฉพาะฝั่งกำปุงบารู จะเห็นด้านหลังทั้งสะพานและตึกปิโตรนาส เป็นจุดเช็กอินยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนมาเลเซียต้องไม่พลาด ซึ่งฝั่งกำปุงบารูจะเป็นชุมชนเก่าแก่ขนาดเล็ก มีร้านอาหารแบบสตรีทฟู้ดจำหน่าย ขึ้นลงได้จากบันไดและลิฟต์ และมีทางเดินไปถึงสถานีรถไฟฟ้า LRT Kampung Baru ซึ่งเป็นสถานีใต้ดิน

    สะพานแห่งนี้เปิดให้เข้าชมฟรี ตั้งแต่ 05.00-24.00 น. โปรดปฎิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ใช้ความระมัดระวังในการถ่ายรูป ไม่ปีนป่ายราวสะพาน และระวังสิ่งของที่ติดตัวตกจากสะพาน

    #Newskit
    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Saloma Link สะพานที่มากกว่าไฟสวย มาเลเซียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีแหล่งท่องเที่ยวเพื่อนันทนาการ (Recreational Attraction) จำนวนมาก ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นเพื่อการพักผ่อนและเสริมสร้างสุขภาพ ให้ความสนุกสนาน บันเทิง และการศึกษาหาความรู้ แม้ไม่มีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรม แต่มีลักษณะเป็นแหล่งท่องเที่ยวร่วมสมัย ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ River of Life บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Masjid Jamek และสะพาน Saloma Link บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Kampung Baru กล่าวถึงสะพาน Saloma Link (ซาโลมาลิงก์) เป็นสะพานขนาดไม่ใหญ่ ยาว 69 เมตร กว้าง 3 เมตร สูง 7 เมตร ข้ามทางด่วนสาย E12 อัมปัง-กัวลาลัมเปอร์ (AKLEH) และแม่น้ำแคลงที่อยู่เกาะกลาง มีทางลาดลงไปยังด้านข้างสุสานอิสลามจาลันอัมปัง แล้วออกทางแยกหน้าอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์ ย่าน KLCC เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2563 โดยมีบริษัท VERITAS Design Group ออกแบบโครงสร้าง ใช้งบก่อสร้าง 31 ล้านริงกิต (237 ล้านบาท) จุดเด่นของสะพานซาโลมาลิงก์ คือการออกแบบโครงสร้างเหล็ก โดยได้แรงบันดาลใจจากการจัดช่อดอกไม้มงคลที่เรียกว่า ซิเระ จุนจุง (Sireh Junjung) ในพิธีแต่งงานของชาวมาเลย์ ประดับด้วยกระจกและแผงไฟ LED รูปทรงเพชร ฉายแสงในรูปแบบต่างๆ หลากสีสัน ชื่อสะพานมาจาก ซาโลมา ชื่อเรียกของ ซัลมาห์ อิสมาอิล (Salmah Ismail) นักร้อง นักแสดงชื่อดังชาวสิงคโปร์-มาเลเซีย ฉายามาริลิน มอนโรแห่งเอเชีย ที่เสียชีวิตเมื่อปี 2526 ด้วยวัย 48 ปี และถูกฝังอยู่ในสุสานอิสลามจาลันอัมปัง ก่อนจะมาเป็นสะพานที่สวยงามแห่งนี้ แต่เดิมเคยเป็นสะพานข้ามแม่น้ำแคลง จากกัวลาลัมเปอร์ไปยังกำปุงบารู (Kampung Baru) ชุมชนที่อยู่อีกฝั่ง แต่ได้รื้อสะพานเมื่อปี 2539 เพื่อก่อสร้างทางด่วนที่ยกสูงขึ้น เสมือนเป็นเขื่อนกั้นแม่น้ำที่อยู่ตรงกลาง ในยามค่ำคืน สะพานแห่งนี้จะเปิดไฟ LED หลากสีสันอย่างสวยงาม ล้อไปกับตึกแฝดปิโตรนาสทาวเวอร์ ที่เปิดไฟส่องไสวไปทั่วตึกเช่นกัน นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปสะพานโดยเฉพาะฝั่งกำปุงบารู จะเห็นด้านหลังทั้งสะพานและตึกปิโตรนาส เป็นจุดเช็กอินยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนมาเลเซียต้องไม่พลาด ซึ่งฝั่งกำปุงบารูจะเป็นชุมชนเก่าแก่ขนาดเล็ก มีร้านอาหารแบบสตรีทฟู้ดจำหน่าย ขึ้นลงได้จากบันไดและลิฟต์ และมีทางเดินไปถึงสถานีรถไฟฟ้า LRT Kampung Baru ซึ่งเป็นสถานีใต้ดิน สะพานแห่งนี้เปิดให้เข้าชมฟรี ตั้งแต่ 05.00-24.00 น. โปรดปฎิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ใช้ความระมัดระวังในการถ่ายรูป ไม่ปีนป่ายราวสะพาน และระวังสิ่งของที่ติดตัวตกจากสะพาน #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงเวลาประวัติศาสตร์อีกครั้ง!

    รัสเซียและอิหร่านสองมหาอำนาจของโลกลงนามข้อตกลงความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ครอบคลุมรอบด้านเป็นระยะเวลา 20 ปี ที่เครมลิน
    ช่วงเวลาประวัติศาสตร์อีกครั้ง! รัสเซียและอิหร่านสองมหาอำนาจของโลกลงนามข้อตกลงความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ครอบคลุมรอบด้านเป็นระยะเวลา 20 ปี ที่เครมลิน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 15 0 รีวิว
  • ChatGPT ใช้น้ำเยอะเกินไปจนไม่พอดับไฟป่าแคลิฟอร์เนียจริงหรือ?

    ในช่วงที่เกิดไฟป่ารุนแรงในแคลิฟอร์เนีย ผู้ใช้โซเชียลมีเดียเริ่มมองหาผู้รับผิดชอบในการดับไฟป่า และมีการกล่าวโทษว่าโมเดล AI อย่าง ChatGPT ใช้น้ำเยอะเกินไปจนทำให้น้ำไม่พอดับไฟป่า โดยมีการรณรงค์ให้ชาวแคลิฟอร์เนียหยุดใช้งาน ChatGPT เพื่อประหยัดน้ำ

    การฝึกโมเดล AI ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล ซึ่งทำให้เกิดความร้อนสูงและต้องใช้น้ำในการระบายความร้อน ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ขอให้ ChatGPT เขียนอีเมล 1 ฉบับต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 1 ปี ChatGPT จะใช้น้ำ 27 ลิตร และหากชาวอเมริกัน 1 ใน 10 คน หรือ 16 ล้านคนทำเช่นเดียวกันนี้ จะต้องใช้น้ำมากกว่า 435 ล้านลิตร

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำในเขตเมืองออกความเห็นว่า การใช้น้ำของ AI ไม่ใช่ตัวการทำให้มีน้ำไม่พอดับไฟ แต่เป็นเพราะระบบน้ำที่มีอยู่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือภัยพิบัติระดับนี้ เหตุไฟไหม้ป่าลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย ถือว่ารุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมือง โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 25 คน และพื้นที่เสียหายกว่า 40,000 เอเคอร์

    ChatGPT รวมถึงโมเดล AI อื่นๆ มีรอยเท้าคาร์บอนจำนวนมาก ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดสภาพอากาศแห้งแล้งและอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดไฟป่าและลุกลามรวดเร็วเมื่อผนวกกับลมแรง

    การใช้น้ำของ ChatGPT และโมเดล AI อื่นๆ เป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดไฟป่าและน้ำไม่พอดับไฟ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการย้ายศูนย์ข้อมูลไปยังพื้นที่ที่อากาศหนาวเย็นกว่าเดิม หรือการใช้เทคโนโลยีการหล่อเย็นแบบจุ่ม (immersion cooling) อาจช่วยลดการใช้น้ำได้

    ในขณะที่นักรณรงค์บนโซเชียลมีเดียบอกว่า หากอยากประหยัดน้ำจริง หยุดใช้ ChatGPT คงไม่พอ คงต้องหยุดใช้โมเดล AI อื่นๆ ด้วย เช่น Claude, Grok, Gemini, Copilot, Midjourney, Leonardo, DALL-E, Firefly, ElevenLabs, Shortwave, Runway, Mem, Suno, Jasper, Notion, Bard, Alphacode, MetaAI, Wordtune และ Stable Diffusion

    การจัดการน้ำในแคลิฟอร์เนียยังคงเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดภัยพิบัติระดับใหญ่เช่นนี้

    ขอบคุณบทความจากเวบ Thairath ครับ

    https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/105099
    ChatGPT ใช้น้ำเยอะเกินไปจนไม่พอดับไฟป่าแคลิฟอร์เนียจริงหรือ? ในช่วงที่เกิดไฟป่ารุนแรงในแคลิฟอร์เนีย ผู้ใช้โซเชียลมีเดียเริ่มมองหาผู้รับผิดชอบในการดับไฟป่า และมีการกล่าวโทษว่าโมเดล AI อย่าง ChatGPT ใช้น้ำเยอะเกินไปจนทำให้น้ำไม่พอดับไฟป่า โดยมีการรณรงค์ให้ชาวแคลิฟอร์เนียหยุดใช้งาน ChatGPT เพื่อประหยัดน้ำ การฝึกโมเดล AI ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล ซึ่งทำให้เกิดความร้อนสูงและต้องใช้น้ำในการระบายความร้อน ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ขอให้ ChatGPT เขียนอีเมล 1 ฉบับต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 1 ปี ChatGPT จะใช้น้ำ 27 ลิตร และหากชาวอเมริกัน 1 ใน 10 คน หรือ 16 ล้านคนทำเช่นเดียวกันนี้ จะต้องใช้น้ำมากกว่า 435 ล้านลิตร อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำในเขตเมืองออกความเห็นว่า การใช้น้ำของ AI ไม่ใช่ตัวการทำให้มีน้ำไม่พอดับไฟ แต่เป็นเพราะระบบน้ำที่มีอยู่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือภัยพิบัติระดับนี้ เหตุไฟไหม้ป่าลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย ถือว่ารุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมือง โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 25 คน และพื้นที่เสียหายกว่า 40,000 เอเคอร์ ChatGPT รวมถึงโมเดล AI อื่นๆ มีรอยเท้าคาร์บอนจำนวนมาก ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดสภาพอากาศแห้งแล้งและอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดไฟป่าและลุกลามรวดเร็วเมื่อผนวกกับลมแรง การใช้น้ำของ ChatGPT และโมเดล AI อื่นๆ เป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดไฟป่าและน้ำไม่พอดับไฟ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการย้ายศูนย์ข้อมูลไปยังพื้นที่ที่อากาศหนาวเย็นกว่าเดิม หรือการใช้เทคโนโลยีการหล่อเย็นแบบจุ่ม (immersion cooling) อาจช่วยลดการใช้น้ำได้ ในขณะที่นักรณรงค์บนโซเชียลมีเดียบอกว่า หากอยากประหยัดน้ำจริง หยุดใช้ ChatGPT คงไม่พอ คงต้องหยุดใช้โมเดล AI อื่นๆ ด้วย เช่น Claude, Grok, Gemini, Copilot, Midjourney, Leonardo, DALL-E, Firefly, ElevenLabs, Shortwave, Runway, Mem, Suno, Jasper, Notion, Bard, Alphacode, MetaAI, Wordtune และ Stable Diffusion การจัดการน้ำในแคลิฟอร์เนียยังคงเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดภัยพิบัติระดับใหญ่เช่นนี้ ขอบคุณบทความจากเวบ Thairath ครับ https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/105099
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • 04-04-62/14 : หมี CNN / ระบอบกษัตริย์ชาติอื่นเป็นยังไง? กูไม่รู้ กูไม่สนใจ? แต่ระบบกษัตริย์ไทย หล่อมว๊าก! หัวใจล้วนๆ เทใจให้ราษฎรแบบที่ไหนในโลกก็ไม่มี? อย่าคิดว่าเหี้ยโปรยเศษเงินมาให้ แล้วพวกมรึงคิดจะล้มล้างสถาบัน ตราบใดที่ยังมีคนไทยหัวใจหล่อมว๊ากอยู่อีกมหาศาลเกลื่อนแผ่นดิน?

    พ่อสู้เรื่องระบบน้ำชลประทาน ให้น้ำหมุนเวียนไปทั่ว
    พ่อสู้เรื่องเขื่อน เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามแล้ง ยามท่วม
    พ่อสู้เรื่องฝนเทียม ให้ชาวนา ชาวไร่ มีน้ำใช้ยามแล้งหนัก
    พ่อสู้เรื่องความยากจน กระจายรายได้ โครงการท้องถิ่น
    พ่อสู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พึ่งพาตนเอง สอนช่วยตัวเอง
    พ่อสู้เรื่องความช่วยเหลือ อุทกภัย วาตภัย แผ่นดินไหว
    พ่อสู้เรื่องการเกษตร การใช้พื้นที่ การพัฒนายั่งยืน
    พ่อสู้เรื่องความเท่าเทียม แบ่งปัน และยกระดับการศึกษา
    พ่อสู้เรื่องการดนตรี ศิลปะ รากเหง้า อนุรักษ์ประเพณีไทย
    พ่อสู้เรื่องแนวคิด ปรัชญา สติ ปัญญา เหตุและผล สั่งสอน
    พ่อสู้เรื่องความประหยัด อดออมคุ้มค่า รีไซเคิล กลับมาใช้
    พ่อสู้เรื่องป่าไม้ สัตว์ป่า สมดุลธรรมชาติ พันธุ์ไทย ปลูกป่า
    พ่อสู้เรื่องสินค้าไทย แปรรูป อาหาร ทะเล ผ้าไหม ผ้าฝ้าย
    พ่อสู้เรื่องความสามัคคี ปองครอง ยุติความขัดแย้งภายใน
    พ่อสู้เรื่องความเป็นชาตินิยม ภูมิใจความเป็นไทย ชื่อเสียง
    พ่อปกป้องแผ่นดินไทย การรุกรานจากต่างชาติ และมั่นคง
    พ่อเสียสละตนเอง เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย
    พ่อเตือนสติ ให้ปัญญา พระบรมราโชวาททุกปี ตื่นคิด มีสติ
    พ่อแบ่งปันความรัก ความรู้ ไปยังเพื่อนบ้านรอบข้างด้วย
    พ่อสร้างมิตร เป็นที่รักชื่นชอบของทุกราชวงศ์ทั่วโลก
    พ่อไม่เคยโอ้อวดตนเอง และไม่ใช้อำนาจที่มี เพื่อแสดง
    พ่อทำนุบำรุงทุกศาสนาในชาติ อยู่ร่วมกันอย่างสันติได้
    พ่อเยี่ยมเยียนชาวบ้านทุกพื้นที่ทั้งแผ่นดิน ไปเยี่ยมเสมอ
    พ่อยึดถือทศพิษราชธรรมได้อย่างสมบูรณ์ จนวันสุดท้าย
    พ่อรู้ทุกอย่าง เข้าใจ เข้าถึง แก้ปัญหา พระบารมีเปี่ยมล้น

    มีอีกมากมายมหาศาล จนระลึกถึงน้ำพระคุณได้ไม่หมดสิ้น เป็นบุญของปวงชนชาวไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ที่หัวใจหล่อมว๊ากที่สุดใน 3 โลก ไม่มีพ่อ ก็คงไม่มีวันนี้ ไม่มีบรรพกษัตริย์ไทย ก็คงไม่มีวันนี้เช่นกัน "ราชวงศ์จักรี" จงเจริญยิ่งยืนนาน ตราบชั่วฟ้าดินสลาย!

    หมี CNN(ด้วยจิตสำนึกรักพ่อ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์)
    04 เม.ย. 62
    16.53 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    Jeerachart Jongsomchai / “ปฏิวัติฝรั่งเศส ของใคร โดยใคร เพื่อใคร ?”

    ... “สาเหตุของการปฏิวัติฝรั่งเศส” มีหลายแนวคิดหลักๆคือ

    ... มูลเหตุของการปฏิวัติมีความซับซ้อนและยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักประวัติศาสตร์ เช่นปัจจัยภายในต่าง ๆ ของระบอบเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจัยทางเศรษฐกิจรวมถึงความหิวโหยและทุพโภชนาการในประชากรกลุ่มที่ยากแค้นที่สุด ซึ่งบางส่วนเกิดจากสภาพอากาศผิดปกติจาก “สภาพอากาศ” ความหนาวเย็นผิดฤดู ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกิจกรรมของภูเขาไฟที่ลากีและกริมสวอทน์

    ... ใน ค.ศ. 1783-1784 ประกอบกับ “ราคาอาหารที่สูงขึ้น” และ “ระบบการขนส่งที่ไม่เพียงพอ” ซึ่งขัดขวาง “การส่งสินค้าอาหารปริมาณมากจากพื้นที่ชนบทไปยังศูนย์กลางประชากรขนาดใหญ่” ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนทำให้สังคมฝรั่งเศสขาดเสถียรภาพในช่วงก่อนการปฏิวัติอย่างยิ่ง

    ... สาเหตุอีกประการหนึ่งคือ “ภาวะใกล้จะล้มละลายของรัฐบาลจากค่าใช้จ่ายในสงครามที่ฝรั่งเศสเข้าร่วมรบจำนวนมหาศาล” โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามเจ็ดปี (1756 จนถึง 1763 หรือ “สงครามโลกครั้งที่ศูนย์” โดยเกี่ยวข้องกับทุกประเทศมหาอำนาจในยุโรป มีการสู้รบเกิดขึ้นในห้าทวีป สงครามเจ็ดปีเป็นสงครามระหว่างสองข้างด้วยกัน ข้างหนึ่งนำโดยบริเตนใหญ่ พร้อมด้วยปรัสเซียและกลุ่มนครรัฐเล็กในเยอรมัน กับอีกข้างหนึ่งที่นำด้วยฝรั่งเศส พร้อมด้วยออสเตรีย, รัสเซีย, สวีเดน และซัคเซิน โดยรัสเซียเปลี่ยนข้างอยู่ระยะหนึ่งในช่วงปลายของสงคราม ) และ “สงครามปฏิวัติอเมริกา” สงครามใหญ่เหล่านี้ก่อหนี้จำนวนมหาศาลให้แก่รัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงจากการสูญเสียการครอบครองพื้นที่อาณานิคมของฝรั่งเศสในทวีปอเมริกาเหนือ และการครอบงำทางพาณิชย์ของ “บริเตนใหญ่”ที่เพิ่มขึ้น ทั้ง “ระบบการเงิน” ที่ไม่มีประสิทธิภาพและล้าสมัยของฝรั่งเศสก็ไม่สามารถจัดการกับหนี้สาธารณะได้ ทางรัฐบาลพยายามจะแก้ไขสถานการณ์ทางการเงินด้วยการเก็บภาษีเพิ่ม

    … การที่ฝรั่งเศส ช่วย “อเมริกา” รบกับ “อังกฤษ” นั้น ไม่ได้ต้องการให้เอกราช กับอเมริกาแต่เพราะต้องการตัดกำลังของอังกฤษคู่แข่งอาณานิคมของตัวเอง ( เหมือนตอนที่ อเมริกา หลังได้เอกราช ก็ได้ช่วย “ฟิลิปปินส์” กับ “คิวบา” เป็นเอกราชจากสเปนนั้น ไม่ได้ต้องการให้ทั้งสองชาติสัมผัสกับอิสรภาพ หรือตัวเองซาบซึ้งกับระบอบปประชาธิปไตย แต่ต้องการจะเป็นเจ้าอาณานิคมแทนเจ้าเดิม )

    ... หลังการปฏิวัติมีการ ยกเลิกระบบศักดินา ยุบมณฑลต่าง ๆ แบ่งประเทศออกเป็น 83 จังหวัด มีการพยายาม “รวมศูนย์อำนาจ” เข้าสู่ศูนย์เดียวที่ปารีส ไม่ยินยอมให้เป็นเอกเทศ จึงมีการต่อต้านขัดขืน

    ... กระแสความตื่นตัวและอารมณ์ของประชาชนได้เปลี่ยนทิศทางของการปฏิวัติจนลึกลงไปถึงรากฐาน ซึ่งปูทางให้กับการขึ้นสู่อำนาจของ “มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์” ที่เป็นนักกฎหมาย นักการเมือง และ “กลุ่มฌากอแบ็ง” และกลายมาเป็น “เผด็จการโดยแท้” ภายใต้ “สมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว” ในระหว่างปี ค.ศ. 1793 ถึง 1794 มีผู้ต่อต้านพวกเขาถูกสังหารถึงระหว่าง 16,000 ถึง 40,000 คน ( ในตอนนั้นมันคือการเปลี่ยนจาก “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช” ไปสู่ระบอบ “เผด็จการ” )

    ... สโมสรฌากอแบ็ง Club des Jacobins เป็นสโมสรทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ก่อตั้งในช่วงการประชุมสภาฐานันดร ค.ศ. 1789 จากการรวมกลุ่มของ “พวกผู้แทน” จากแคว้น “ดัชชีเบรอตาญ” ที่เป็นแคว้นศักดินาแห่งหนึ่งนัฝรั่งเศส ที่เน้นการ “ต่อต้านราชวงศ์” หรือ “ล้มเจ้า” อันเป็นพวกต่อต้านระบอบกษัตริย์ เริ่มแรกมีสมาชิกไม่กี่คนและเป็นการรวมตัวอย่างลับ ๆ ก่อนที่ต่อมาได้พัฒนากลายเป็นขบวนการระดับชาติที่เคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้จัดตั้งสาธารณรัฐซึ่งมีสมาชิกมากกว่าครึ่งล้านคน อย่างไรก็ตาม หลังจากโค่นล้มระบบกษัตริย์สำเร็จและจัดตั&#3657
    04-04-62/14 : หมี CNN / ระบอบกษัตริย์ชาติอื่นเป็นยังไง? กูไม่รู้ กูไม่สนใจ? แต่ระบบกษัตริย์ไทย หล่อมว๊าก! หัวใจล้วนๆ เทใจให้ราษฎรแบบที่ไหนในโลกก็ไม่มี? อย่าคิดว่าเหี้ยโปรยเศษเงินมาให้ แล้วพวกมรึงคิดจะล้มล้างสถาบัน ตราบใดที่ยังมีคนไทยหัวใจหล่อมว๊ากอยู่อีกมหาศาลเกลื่อนแผ่นดิน? พ่อสู้เรื่องระบบน้ำชลประทาน ให้น้ำหมุนเวียนไปทั่ว พ่อสู้เรื่องเขื่อน เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามแล้ง ยามท่วม พ่อสู้เรื่องฝนเทียม ให้ชาวนา ชาวไร่ มีน้ำใช้ยามแล้งหนัก พ่อสู้เรื่องความยากจน กระจายรายได้ โครงการท้องถิ่น พ่อสู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พึ่งพาตนเอง สอนช่วยตัวเอง พ่อสู้เรื่องความช่วยเหลือ อุทกภัย วาตภัย แผ่นดินไหว พ่อสู้เรื่องการเกษตร การใช้พื้นที่ การพัฒนายั่งยืน พ่อสู้เรื่องความเท่าเทียม แบ่งปัน และยกระดับการศึกษา พ่อสู้เรื่องการดนตรี ศิลปะ รากเหง้า อนุรักษ์ประเพณีไทย พ่อสู้เรื่องแนวคิด ปรัชญา สติ ปัญญา เหตุและผล สั่งสอน พ่อสู้เรื่องความประหยัด อดออมคุ้มค่า รีไซเคิล กลับมาใช้ พ่อสู้เรื่องป่าไม้ สัตว์ป่า สมดุลธรรมชาติ พันธุ์ไทย ปลูกป่า พ่อสู้เรื่องสินค้าไทย แปรรูป อาหาร ทะเล ผ้าไหม ผ้าฝ้าย พ่อสู้เรื่องความสามัคคี ปองครอง ยุติความขัดแย้งภายใน พ่อสู้เรื่องความเป็นชาตินิยม ภูมิใจความเป็นไทย ชื่อเสียง พ่อปกป้องแผ่นดินไทย การรุกรานจากต่างชาติ และมั่นคง พ่อเสียสละตนเอง เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย พ่อเตือนสติ ให้ปัญญา พระบรมราโชวาททุกปี ตื่นคิด มีสติ พ่อแบ่งปันความรัก ความรู้ ไปยังเพื่อนบ้านรอบข้างด้วย พ่อสร้างมิตร เป็นที่รักชื่นชอบของทุกราชวงศ์ทั่วโลก พ่อไม่เคยโอ้อวดตนเอง และไม่ใช้อำนาจที่มี เพื่อแสดง พ่อทำนุบำรุงทุกศาสนาในชาติ อยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ พ่อเยี่ยมเยียนชาวบ้านทุกพื้นที่ทั้งแผ่นดิน ไปเยี่ยมเสมอ พ่อยึดถือทศพิษราชธรรมได้อย่างสมบูรณ์ จนวันสุดท้าย พ่อรู้ทุกอย่าง เข้าใจ เข้าถึง แก้ปัญหา พระบารมีเปี่ยมล้น มีอีกมากมายมหาศาล จนระลึกถึงน้ำพระคุณได้ไม่หมดสิ้น เป็นบุญของปวงชนชาวไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ที่หัวใจหล่อมว๊ากที่สุดใน 3 โลก ไม่มีพ่อ ก็คงไม่มีวันนี้ ไม่มีบรรพกษัตริย์ไทย ก็คงไม่มีวันนี้เช่นกัน "ราชวงศ์จักรี" จงเจริญยิ่งยืนนาน ตราบชั่วฟ้าดินสลาย! หมี CNN(ด้วยจิตสำนึกรักพ่อ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์) 04 เม.ย. 62 16.53 น. ------------------------------------------------------------------------— Jeerachart Jongsomchai / “ปฏิวัติฝรั่งเศส ของใคร โดยใคร เพื่อใคร ?” ... “สาเหตุของการปฏิวัติฝรั่งเศส” มีหลายแนวคิดหลักๆคือ ... มูลเหตุของการปฏิวัติมีความซับซ้อนและยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักประวัติศาสตร์ เช่นปัจจัยภายในต่าง ๆ ของระบอบเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจัยทางเศรษฐกิจรวมถึงความหิวโหยและทุพโภชนาการในประชากรกลุ่มที่ยากแค้นที่สุด ซึ่งบางส่วนเกิดจากสภาพอากาศผิดปกติจาก “สภาพอากาศ” ความหนาวเย็นผิดฤดู ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกิจกรรมของภูเขาไฟที่ลากีและกริมสวอทน์ ... ใน ค.ศ. 1783-1784 ประกอบกับ “ราคาอาหารที่สูงขึ้น” และ “ระบบการขนส่งที่ไม่เพียงพอ” ซึ่งขัดขวาง “การส่งสินค้าอาหารปริมาณมากจากพื้นที่ชนบทไปยังศูนย์กลางประชากรขนาดใหญ่” ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนทำให้สังคมฝรั่งเศสขาดเสถียรภาพในช่วงก่อนการปฏิวัติอย่างยิ่ง ... สาเหตุอีกประการหนึ่งคือ “ภาวะใกล้จะล้มละลายของรัฐบาลจากค่าใช้จ่ายในสงครามที่ฝรั่งเศสเข้าร่วมรบจำนวนมหาศาล” โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามเจ็ดปี (1756 จนถึง 1763 หรือ “สงครามโลกครั้งที่ศูนย์” โดยเกี่ยวข้องกับทุกประเทศมหาอำนาจในยุโรป มีการสู้รบเกิดขึ้นในห้าทวีป สงครามเจ็ดปีเป็นสงครามระหว่างสองข้างด้วยกัน ข้างหนึ่งนำโดยบริเตนใหญ่ พร้อมด้วยปรัสเซียและกลุ่มนครรัฐเล็กในเยอรมัน กับอีกข้างหนึ่งที่นำด้วยฝรั่งเศส พร้อมด้วยออสเตรีย, รัสเซีย, สวีเดน และซัคเซิน โดยรัสเซียเปลี่ยนข้างอยู่ระยะหนึ่งในช่วงปลายของสงคราม ) และ “สงครามปฏิวัติอเมริกา” สงครามใหญ่เหล่านี้ก่อหนี้จำนวนมหาศาลให้แก่รัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงจากการสูญเสียการครอบครองพื้นที่อาณานิคมของฝรั่งเศสในทวีปอเมริกาเหนือ และการครอบงำทางพาณิชย์ของ “บริเตนใหญ่”ที่เพิ่มขึ้น ทั้ง “ระบบการเงิน” ที่ไม่มีประสิทธิภาพและล้าสมัยของฝรั่งเศสก็ไม่สามารถจัดการกับหนี้สาธารณะได้ ทางรัฐบาลพยายามจะแก้ไขสถานการณ์ทางการเงินด้วยการเก็บภาษีเพิ่ม … การที่ฝรั่งเศส ช่วย “อเมริกา” รบกับ “อังกฤษ” นั้น ไม่ได้ต้องการให้เอกราช กับอเมริกาแต่เพราะต้องการตัดกำลังของอังกฤษคู่แข่งอาณานิคมของตัวเอง ( เหมือนตอนที่ อเมริกา หลังได้เอกราช ก็ได้ช่วย “ฟิลิปปินส์” กับ “คิวบา” เป็นเอกราชจากสเปนนั้น ไม่ได้ต้องการให้ทั้งสองชาติสัมผัสกับอิสรภาพ หรือตัวเองซาบซึ้งกับระบอบปประชาธิปไตย แต่ต้องการจะเป็นเจ้าอาณานิคมแทนเจ้าเดิม ) ... หลังการปฏิวัติมีการ ยกเลิกระบบศักดินา ยุบมณฑลต่าง ๆ แบ่งประเทศออกเป็น 83 จังหวัด มีการพยายาม “รวมศูนย์อำนาจ” เข้าสู่ศูนย์เดียวที่ปารีส ไม่ยินยอมให้เป็นเอกเทศ จึงมีการต่อต้านขัดขืน ... กระแสความตื่นตัวและอารมณ์ของประชาชนได้เปลี่ยนทิศทางของการปฏิวัติจนลึกลงไปถึงรากฐาน ซึ่งปูทางให้กับการขึ้นสู่อำนาจของ “มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์” ที่เป็นนักกฎหมาย นักการเมือง และ “กลุ่มฌากอแบ็ง” และกลายมาเป็น “เผด็จการโดยแท้” ภายใต้ “สมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว” ในระหว่างปี ค.ศ. 1793 ถึง 1794 มีผู้ต่อต้านพวกเขาถูกสังหารถึงระหว่าง 16,000 ถึง 40,000 คน ( ในตอนนั้นมันคือการเปลี่ยนจาก “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช” ไปสู่ระบอบ “เผด็จการ” ) ... สโมสรฌากอแบ็ง Club des Jacobins เป็นสโมสรทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ก่อตั้งในช่วงการประชุมสภาฐานันดร ค.ศ. 1789 จากการรวมกลุ่มของ “พวกผู้แทน” จากแคว้น “ดัชชีเบรอตาญ” ที่เป็นแคว้นศักดินาแห่งหนึ่งนัฝรั่งเศส ที่เน้นการ “ต่อต้านราชวงศ์” หรือ “ล้มเจ้า” อันเป็นพวกต่อต้านระบอบกษัตริย์ เริ่มแรกมีสมาชิกไม่กี่คนและเป็นการรวมตัวอย่างลับ ๆ ก่อนที่ต่อมาได้พัฒนากลายเป็นขบวนการระดับชาติที่เคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้จัดตั้งสาธารณรัฐซึ่งมีสมาชิกมากกว่าครึ่งล้านคน อย่างไรก็ตาม หลังจากโค่นล้มระบบกษัตริย์สำเร็จและจัดตั&#3657
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • 20 ปี รถไฟฟ้าใต้ดินชนกัน ที่ศูนย์วัฒนธรรม โทษคนเพื่อปกป้องระบบ ความสูญเสียที่กลายเป็นบทเรียนราคาแพง

    ย้อนไปเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2548 เกิดเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือน วงการคมนาคมไทย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินสองขบวน ชนกันที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จนทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน และกลายเป็นกรณีศึกษา เรื่องความปลอดภัย ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย

    เช้าวันที่ 17 มกราคม 2548 เวลา 9.15 น. ในชั่วโมงเร่งด่วน รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน ขบวนลาดพร้าว-หัวลำโพง หมายเลข 1015 ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารกว่า 700 คน ได้จอดรับส่งผู้โดยสา รที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยมีนายวิภูติ จันทนภริน เป็นพนักงานขับรถ ระหว่างที่ขบวนกำลังจะเคลื่อนออกจากสถานี กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รถไฟฟ้าอีกขบวนหนึ่ง หมายเลข 1028 ซึ่งเป็นขบวนเปล่าสำหรับซ่อมบำรุง มีนายนิติพนธ์ นิธิโยสิยานนท์ เป็นพนักงานขับรถ ได้ไหลลงมาจากทางลาดชัน และพุ่งชนกับขบวนที่กำลังให้บริการ

    แรงชนทำให้หน้าขบวนรถ 1028 ยุบเข้าไปกว่า 70 เซนติเมตร อัดก๊อบปี้พนักงานขับรถ ติดคาซา ประตูฉุกเฉินของขบวน 1015 ไม่สามารถใช้งานได้ ส่งผลให้การอพยพผู้โดยสา รต้องรอกุญแจสำรองกว่า 10 นาที

    แรงจากการชน ส่งผลให้ผนังอุโมงค์ใต้ดินิพังถล่มลงมาทับขบวน 1015 ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วสถานี โชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ แต่ผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ถูกนำส่งโรงพยาบาลพระราม 9 จำนวน 124 คน โรงพยาบาลกรุงเทพ 21 คน โรงพยาบาลราชวิถี 15 คน โรงพยาบาลตำรวจ 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดีรามคำแหง 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดี 11 คน โรงพยาบาลพระมงกุฏ 11 คน โรงพยาบาลเปาโลสยาม 11 คน โรงพยาบาลสมิติเวช 8 คน โรงพยาบาลเมโย 4 คน โรงพยาบาลปิยะเวท 3 คน โดยมีผู้บาดเจ็บสาหัสถึง 10 คน ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ จากกระดูกแตก และแรงกระแทก

    สาเหตุที่แท้จริง เมื่อระบบและคน ทำงานผิดพลาดร่วมกัน
    หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น มีการสืบสวนอย่างละเอียด ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน หลักฐานจากกล่องดำของรถไฟฟ้า เผยว่า การชนครั้งนี้ เกิดจากการผสมผสาน ความผิดพลาดของมนุษย์ และปัญหาของระบบควบคุมอัตโนมัติ

    1. ความผิดพลาดในการควบคุมการเดินรถ
    รถไฟขบวน 1028 ซึ่งจอดอยู่ในศูนย์ซ่อมบำรุง ถูกสั่งปลดเบรกมือ ในขณะที่รถยังอยู่บนทางลาด
    เจ้าหน้าที่ควบคุมการเดินรถได้สั่งการให้ "ดัน" ขบวน 1028 เพื่อกลับเข้าสู่รางที่ 3 ซึ่งเป็นรางจ่ายไฟ
    การสั่งการดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยง ที่รถอาจไหลลงมาด้วยความเร็วสูง

    2. ปัญหาจากระบบควบคุมอัตโนมัติ
    ระบบรถไฟฟ้าใต้ดินของกรุงเทพฯ ในขณะนั้น พึ่งพาระบบอัตโนมัติเป็นหลัก แต่กลับพบว่า เกิดการขัดข้องในระบบ ที่ทำให้การควบคุมทั้งสองขบวนรถ ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ขบวนรถไฟฟ้า หลุดจากการควบคุม และไหลไปชน

    3. การจัดการเบรก และการตัดสินใจที่ผิดพลาด
    รถไฟฟ้าขบวน 1028 ถูกสั่งปลดเบรกมือ โดยไม่ควบคุมความเร็ว ส่งผลให้รถพุ่งชนขบวน 1015 ที่กำลังจอดรับผู้โดยสาร

    รถไฟฟ้าใต้ดิน สายเฉลิมรัชมงคล หรือสายสีน้ำเงิน เปิดใช้เร็วกว่ากำหนดถึง 4 เดือน แต่วิ่งได้เพียง 2 วัน ก็เกิดอุบัติเหตุครั้งแรกขึ้น เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2547 ที่สถานีคลองเตย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินออกจากสถานีหัวลำโพง มุ่งหน้าสถานีบางซื่อ เมื่อระบบเบรกล็อกเองอัตโนมัติ ทำให้ล้อยางเสียดสีกับยาง จนเกิดกลุ่มควันพวยพุ่ง สร้างความแตกตื่นให้กับผู้โดยสาร ต้องอพยพกันชุลมุน

    ต่อมาวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ก็เกิดเหตุการณ์​การจ่ายกระแสไฟฟ้าขัดข้อง ที่สถานีหัวลำโพงถึง 3 จุด ทำให้ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้า ไปยังจุดสับเปลี่ยนรางได้ ทำให้ผู้โดยสารกว่าพันคน ต้องตกค้างที่สถานีสามย่าน และสถานีหัวลำโพง

    เหตุครั้งล่าสุดเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา 17 มกราคม 2548 รถไฟฟ้าใต้ดินขบวน 1028 พุ่งชนประสานงานขบวน 1015 ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ส่วนพนักงานขับรถขบวน 1028 บาดเจ็บสาหัส เรียกได้ว่าเปิดใช้งานมายังไม่ถึง 1 ปี ก็มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน

    เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงแต่ส่งผล ต่อภาพลักษณ์ของระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ยังทำให้เกิดการตั้งคำถาม ถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย

    1. ความเชื่อมั่นของประชาชนที่ลดลง
    หลังจากเหตุการณ์นี้ ผู้โดยสารจำนวนมาก เริ่มมีความกังวล เกี่ยวกับความปลอดภัย ของการใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการ ลดลงในช่วงเวลานั้น

    2. การปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย
    ตรวจสอบระบบควบคุมการเดินรถ หลังเหตุการณ์นี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามาเร่งตรวจสอบ ระบบความปลอดภัย ของรถไฟฟ้าใต้ดิน พนักงานควบคุมการเดินรถ และคนขับ รับการอบรมอย่างเข้มข้นมากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดข้อผิดพลาด ในอนาคต

    ผลการสอบสวนชี้ว่า เป็นความผิดพลาดของพนักงานควบคุมการเดินรถ ที่อนุญาตให้ปลดเบรกขบวนรถ 1028 ได้ แต่ก็เชื่อได้ว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เป็นเพราะระบบ ไม่ใช่คน เพราะระบบจะควบคุมทั้งหมด สามารถสั่งให้รถวิ่ง หรือหยุดก็ได้คนขับมีหน้าที่เดียว หรือกดเปิดปิดเครื่องเท่านั้น

    แต่จำเป็นต้องมีความพยายามเบี่ยงประเด็น ให้คนเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะหากผลการสอบสอวนระบุว่า เกิดจากระบบ บริษัทที่เกี่ยวข้อง ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทางแพ่ง จำนวนหลายพันล้านบาท

    ทั้งนี้ผ่านมา เคยเกิดเหตุ ขบวนรถที่กลับเข้าศูนย์ซ่อม หยุดที่บริเวณดังกล่าว 2-3 ครั้ง และก็มีการลากจูงเพื่อแก้ปัญหา โชคดีที่ไม่มีการปลดเบรก แต่ครั้งนี้พนักงานปลดเบรกมือ จึงทำให้รถไหลเข้าไปในอุโมงค์ จนชนกันขึ้น

    เหตุการณ์ชนกันของรถไฟใต้ดิน ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความผิดพลาด แต่เป็นบทเรียนสำคัญ ที่ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญ ของมาตรฐานความปลอดภัย ในการขนส่งมวลชน

    1. ความสำคัญของระบบสำรองฉุกเฉิน
    การที่ประตูฉุกเฉิน ไม่สามารถเปิดใช้งานได้ในทันที เป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข อย่างเร่งด่วน เหตุการณ์นี้ จึงนำไปสู่การปรับปรุง ระบบฉุกเฉินในรถไฟฟ้าทุกขบวน

    2. การฝึกอบรม และการปฏิบัติตามมาตรฐาน
    พนักงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีความรู้ และการฝึกอบรมอย่างละเอียด ในทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

    3. การพัฒนาระบบควบคุมอัตโนมัติ
    การพึ่งพาระบบอัตโนมัติอย่างเดียว ไม่เพียงพอ ต้องมีการตรวจสอบระบบ และอัปเดตเทคโนโลยี อย่างสม่ำเสมอ

    การรับมือในอนาคต
    ตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่อง มีการตรวจสอบระบบรถไฟฟ้า และศูนย์ซ่อมบำรุงเป็นประจำ
    เพิ่มอุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น การติดตั้งระบบเบรกฉุกเฉิน ที่สามารถหยุดรถไฟได้ทันที ในกรณีฉุกเฉิน
    สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน การสื่อสารและรายงานความคืบหน้า เกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัย จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ให้กับผู้ใช้บริการ

    เหตุการณ์รถไฟใต้ดินชนกัน เมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ในประวัติศาสตร์ของระบบขนส่งมวลชนไทย แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ก็เพียงพอที่จะทำให้เราตระหนักถึง ความสำคัญของมาตรการความปลอดภัย ที่เข้มงวดมากขึ้น

    การพัฒนา และปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน ให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จะเป็นสิ่งที่ช่วยลดโอกาส ในการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคต ได้อย่างแน่นอน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 170912 ม.ค. 2568

    #รถไฟใต้ดิน #เหตุการณ์สำคัญ #ความปลอดภัยในระบบขนส่ง #บทเรียนราคาแพง #ระบบควบคุมอัตโนมัติ #20ปีแห่งบทเรียน #เหตุรถไฟชนกัน #การพัฒนาระบบขนส่ง #มาตรการความปลอดภัย
    20 ปี รถไฟฟ้าใต้ดินชนกัน ที่ศูนย์วัฒนธรรม โทษคนเพื่อปกป้องระบบ ความสูญเสียที่กลายเป็นบทเรียนราคาแพง ย้อนไปเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2548 เกิดเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือน วงการคมนาคมไทย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินสองขบวน ชนกันที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จนทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน และกลายเป็นกรณีศึกษา เรื่องความปลอดภัย ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย เช้าวันที่ 17 มกราคม 2548 เวลา 9.15 น. ในชั่วโมงเร่งด่วน รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน ขบวนลาดพร้าว-หัวลำโพง หมายเลข 1015 ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารกว่า 700 คน ได้จอดรับส่งผู้โดยสา รที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยมีนายวิภูติ จันทนภริน เป็นพนักงานขับรถ ระหว่างที่ขบวนกำลังจะเคลื่อนออกจากสถานี กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รถไฟฟ้าอีกขบวนหนึ่ง หมายเลข 1028 ซึ่งเป็นขบวนเปล่าสำหรับซ่อมบำรุง มีนายนิติพนธ์ นิธิโยสิยานนท์ เป็นพนักงานขับรถ ได้ไหลลงมาจากทางลาดชัน และพุ่งชนกับขบวนที่กำลังให้บริการ แรงชนทำให้หน้าขบวนรถ 1028 ยุบเข้าไปกว่า 70 เซนติเมตร อัดก๊อบปี้พนักงานขับรถ ติดคาซา ประตูฉุกเฉินของขบวน 1015 ไม่สามารถใช้งานได้ ส่งผลให้การอพยพผู้โดยสา รต้องรอกุญแจสำรองกว่า 10 นาที แรงจากการชน ส่งผลให้ผนังอุโมงค์ใต้ดินิพังถล่มลงมาทับขบวน 1015 ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วสถานี โชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ แต่ผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ถูกนำส่งโรงพยาบาลพระราม 9 จำนวน 124 คน โรงพยาบาลกรุงเทพ 21 คน โรงพยาบาลราชวิถี 15 คน โรงพยาบาลตำรวจ 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดีรามคำแหง 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดี 11 คน โรงพยาบาลพระมงกุฏ 11 คน โรงพยาบาลเปาโลสยาม 11 คน โรงพยาบาลสมิติเวช 8 คน โรงพยาบาลเมโย 4 คน โรงพยาบาลปิยะเวท 3 คน โดยมีผู้บาดเจ็บสาหัสถึง 10 คน ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ จากกระดูกแตก และแรงกระแทก สาเหตุที่แท้จริง เมื่อระบบและคน ทำงานผิดพลาดร่วมกัน หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น มีการสืบสวนอย่างละเอียด ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน หลักฐานจากกล่องดำของรถไฟฟ้า เผยว่า การชนครั้งนี้ เกิดจากการผสมผสาน ความผิดพลาดของมนุษย์ และปัญหาของระบบควบคุมอัตโนมัติ 1. ความผิดพลาดในการควบคุมการเดินรถ รถไฟขบวน 1028 ซึ่งจอดอยู่ในศูนย์ซ่อมบำรุง ถูกสั่งปลดเบรกมือ ในขณะที่รถยังอยู่บนทางลาด เจ้าหน้าที่ควบคุมการเดินรถได้สั่งการให้ "ดัน" ขบวน 1028 เพื่อกลับเข้าสู่รางที่ 3 ซึ่งเป็นรางจ่ายไฟ การสั่งการดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยง ที่รถอาจไหลลงมาด้วยความเร็วสูง 2. ปัญหาจากระบบควบคุมอัตโนมัติ ระบบรถไฟฟ้าใต้ดินของกรุงเทพฯ ในขณะนั้น พึ่งพาระบบอัตโนมัติเป็นหลัก แต่กลับพบว่า เกิดการขัดข้องในระบบ ที่ทำให้การควบคุมทั้งสองขบวนรถ ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ขบวนรถไฟฟ้า หลุดจากการควบคุม และไหลไปชน 3. การจัดการเบรก และการตัดสินใจที่ผิดพลาด รถไฟฟ้าขบวน 1028 ถูกสั่งปลดเบรกมือ โดยไม่ควบคุมความเร็ว ส่งผลให้รถพุ่งชนขบวน 1015 ที่กำลังจอดรับผู้โดยสาร รถไฟฟ้าใต้ดิน สายเฉลิมรัชมงคล หรือสายสีน้ำเงิน เปิดใช้เร็วกว่ากำหนดถึง 4 เดือน แต่วิ่งได้เพียง 2 วัน ก็เกิดอุบัติเหตุครั้งแรกขึ้น เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2547 ที่สถานีคลองเตย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินออกจากสถานีหัวลำโพง มุ่งหน้าสถานีบางซื่อ เมื่อระบบเบรกล็อกเองอัตโนมัติ ทำให้ล้อยางเสียดสีกับยาง จนเกิดกลุ่มควันพวยพุ่ง สร้างความแตกตื่นให้กับผู้โดยสาร ต้องอพยพกันชุลมุน ต่อมาวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ก็เกิดเหตุการณ์​การจ่ายกระแสไฟฟ้าขัดข้อง ที่สถานีหัวลำโพงถึง 3 จุด ทำให้ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้า ไปยังจุดสับเปลี่ยนรางได้ ทำให้ผู้โดยสารกว่าพันคน ต้องตกค้างที่สถานีสามย่าน และสถานีหัวลำโพง เหตุครั้งล่าสุดเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา 17 มกราคม 2548 รถไฟฟ้าใต้ดินขบวน 1028 พุ่งชนประสานงานขบวน 1015 ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ส่วนพนักงานขับรถขบวน 1028 บาดเจ็บสาหัส เรียกได้ว่าเปิดใช้งานมายังไม่ถึง 1 ปี ก็มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงแต่ส่งผล ต่อภาพลักษณ์ของระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ยังทำให้เกิดการตั้งคำถาม ถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย 1. ความเชื่อมั่นของประชาชนที่ลดลง หลังจากเหตุการณ์นี้ ผู้โดยสารจำนวนมาก เริ่มมีความกังวล เกี่ยวกับความปลอดภัย ของการใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการ ลดลงในช่วงเวลานั้น 2. การปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย ตรวจสอบระบบควบคุมการเดินรถ หลังเหตุการณ์นี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามาเร่งตรวจสอบ ระบบความปลอดภัย ของรถไฟฟ้าใต้ดิน พนักงานควบคุมการเดินรถ และคนขับ รับการอบรมอย่างเข้มข้นมากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดข้อผิดพลาด ในอนาคต ผลการสอบสวนชี้ว่า เป็นความผิดพลาดของพนักงานควบคุมการเดินรถ ที่อนุญาตให้ปลดเบรกขบวนรถ 1028 ได้ แต่ก็เชื่อได้ว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เป็นเพราะระบบ ไม่ใช่คน เพราะระบบจะควบคุมทั้งหมด สามารถสั่งให้รถวิ่ง หรือหยุดก็ได้คนขับมีหน้าที่เดียว หรือกดเปิดปิดเครื่องเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมีความพยายามเบี่ยงประเด็น ให้คนเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะหากผลการสอบสอวนระบุว่า เกิดจากระบบ บริษัทที่เกี่ยวข้อง ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทางแพ่ง จำนวนหลายพันล้านบาท ทั้งนี้ผ่านมา เคยเกิดเหตุ ขบวนรถที่กลับเข้าศูนย์ซ่อม หยุดที่บริเวณดังกล่าว 2-3 ครั้ง และก็มีการลากจูงเพื่อแก้ปัญหา โชคดีที่ไม่มีการปลดเบรก แต่ครั้งนี้พนักงานปลดเบรกมือ จึงทำให้รถไหลเข้าไปในอุโมงค์ จนชนกันขึ้น เหตุการณ์ชนกันของรถไฟใต้ดิน ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความผิดพลาด แต่เป็นบทเรียนสำคัญ ที่ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญ ของมาตรฐานความปลอดภัย ในการขนส่งมวลชน 1. ความสำคัญของระบบสำรองฉุกเฉิน การที่ประตูฉุกเฉิน ไม่สามารถเปิดใช้งานได้ในทันที เป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข อย่างเร่งด่วน เหตุการณ์นี้ จึงนำไปสู่การปรับปรุง ระบบฉุกเฉินในรถไฟฟ้าทุกขบวน 2. การฝึกอบรม และการปฏิบัติตามมาตรฐาน พนักงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีความรู้ และการฝึกอบรมอย่างละเอียด ในทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น 3. การพัฒนาระบบควบคุมอัตโนมัติ การพึ่งพาระบบอัตโนมัติอย่างเดียว ไม่เพียงพอ ต้องมีการตรวจสอบระบบ และอัปเดตเทคโนโลยี อย่างสม่ำเสมอ การรับมือในอนาคต ตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่อง มีการตรวจสอบระบบรถไฟฟ้า และศูนย์ซ่อมบำรุงเป็นประจำ เพิ่มอุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น การติดตั้งระบบเบรกฉุกเฉิน ที่สามารถหยุดรถไฟได้ทันที ในกรณีฉุกเฉิน สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน การสื่อสารและรายงานความคืบหน้า เกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัย จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ให้กับผู้ใช้บริการ เหตุการณ์รถไฟใต้ดินชนกัน เมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ในประวัติศาสตร์ของระบบขนส่งมวลชนไทย แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ก็เพียงพอที่จะทำให้เราตระหนักถึง ความสำคัญของมาตรการความปลอดภัย ที่เข้มงวดมากขึ้น การพัฒนา และปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน ให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จะเป็นสิ่งที่ช่วยลดโอกาส ในการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคต ได้อย่างแน่นอน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 170912 ม.ค. 2568 #รถไฟใต้ดิน #เหตุการณ์สำคัญ #ความปลอดภัยในระบบขนส่ง #บทเรียนราคาแพง #ระบบควบคุมอัตโนมัติ #20ปีแห่งบทเรียน #เหตุรถไฟชนกัน #การพัฒนาระบบขนส่ง #มาตรการความปลอดภัย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • 29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง

    ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย

    ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม
    "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย

    บรรพชาในวัยเยาว์
    ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474

    อุปสมบท
    ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม”

    หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ

    วิถีแห่งวิปัสสนา
    หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ

    ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง

    พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง
    ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง

    ศรัทธาประชาชน
    ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง

    ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ
    หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน

    ปณิธานแห่งความเรียบง่าย
    คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น

    มรดกธรรมที่ยังคงอยู่
    แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568

    #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย บรรพชาในวัยเยาว์ ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474 อุปสมบท ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม” หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ วิถีแห่งวิปัสสนา หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง ศรัทธาประชาชน ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน ปณิธานแห่งความเรียบง่าย คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น มรดกธรรมที่ยังคงอยู่ แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568 #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุน ซ็อก-ย็อล (Yoon Suk-yeol) ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ถูกจับกุมแล้ว โดยเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตรวจสอบการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับสูง หรือ CIO

    นี่เป็นความพยายามจับกุมครั้งที่ 2 หลังจากความพยายามจับกุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา ไม่ประสบความสำเร็จ

    การจับกุมครั้งนี้ ทำให้ ยุน ซ็อก-ย็อล กลายเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนแรกในประวัติศาสตร์ที่ยังอยู่ในตำแหน่ง และขณะนี้เขากำลังถูกตำรวจสอบสวนเรื่องการประกาศกฎอัยการศึก เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งอาจเป็นความผิดเข้าข่ายการก่อกบฎ
    ยุน ซ็อก-ย็อล (Yoon Suk-yeol) ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ถูกจับกุมแล้ว โดยเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตรวจสอบการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับสูง หรือ CIO นี่เป็นความพยายามจับกุมครั้งที่ 2 หลังจากความพยายามจับกุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา ไม่ประสบความสำเร็จ การจับกุมครั้งนี้ ทำให้ ยุน ซ็อก-ย็อล กลายเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนแรกในประวัติศาสตร์ที่ยังอยู่ในตำแหน่ง และขณะนี้เขากำลังถูกตำรวจสอบสวนเรื่องการประกาศกฎอัยการศึก เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งอาจเป็นความผิดเข้าข่ายการก่อกบฎ
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • นับหนึ่งถึงอนาคต รถไฟฟ้าสายแรกปีนัง

    รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย กำลังจะมีรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) สายแรกเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ หลังจากเมื่อเดือน มี.ค.2567 รัฐบาลกลางมาเลเซีย รับช่วงต่อจากรัฐบาลท้องถิ่นรัฐปีนัง พัฒนาโครงการรถไฟรางเบาสายมูเทียร่า ไลน์ (Mutiara Line) โดยแต่งตั้งบริษัท เอ็มอาร์ที คอร์ป (MRT Corp) ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมด เป็นผู้พัฒนาโครงการ

    พิธีวางศิลาฤกษ์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2568 บริเวณสถานที่ก่อสร้างสถานีบันดาร์ ศรี ปีนัง (Bandar Sri Pinang) โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นประธาน

    จากการลงพื้นที่ของ Newskit พบว่า สถานที่ก่อสร้างสถานีบันดาร์ ศรี ปีนัง (Bandar Sri Pinang) ติดกับทางด่วนลิม ชอง ยู (Lim Chong Eu) ใกล้กับมัสยิดอัล บัคฮารี่ (Al Bukhary) และทางจักรยานเลียบชายทะเล บริเวณฝั่งตะวันออกของเกาะปีนัง เมื่อข้ามแม่น้ำปีนังไปแล้วจะเป็นสถานีแมคคัลลัม ก่อนแยกเป็นสองสาย แยกซ้ายไปสถานีคอมตาร์ แยกขวาข้ามทะเลไปสถานีปีนังเซ็นทรัล

    ก่อนที่เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2568 จะมีการลงนามสัญญาก่อสร้างช่วงคอมตาร์-เกาะซิลิคอน (Komtar-Silicon Island) ระยะทาง 24 กิโลเมตร รวม 19 สถานี มูลค่าประมาณ 8,310 ล้านริงกิต (64,000 ล้านบาท) โดยมีกลุ่มกิจการร่วมค้าเอสอาร์เอส ที่บริษัทก่อสร้างกามูดา (Gamuda) ถือหุ้น 60% เป็นผู้รับเหมาในการก่อสร้าง โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 6 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2574

    ส่วนช่วงคอมตาร์-ปีนังเซ็นทรัล (Komtar-Penang Sentral) จากสถานีแมคคัลลัม (Macallum) ในเมืองจอร์จทาวน์ ผ่านช่องแคบปีนัง ระยะทาง 5.8 กิโลเมตร คาดว่าจะเปิดประมูลในเดือน ก.ค. 2568 และประกาศผลการประมูลในต้นปี 2569 ส่วนการประมูลระบบรถไฟฟ้าและการบำรุงรักษา กำลังดำเนินการ โดยมีกำหนดส่งข้อเสนอขั้นสุดท้ายในวันที่ 14 เม.ย. 2568

    นายแอนโทนี ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย กล่าวว่า โครงการนี้ได้รับการวางแผนอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้สามารถเข้าถึงศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่สำคัญได้อย่างราบรื่น สนับสนุนโครงการ Penang Silicon Design @5km+ การยกระดับท่าอากาศยานนานาชาติปีนัง และเขตอุตสาหกรรมเสรีบายัน เลอปาส (Bayan Lepas)

    อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังมีปัญหาเรื่องที่ดินก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง บริเวณสถานีสุไหงนิบง (Sungai Nibong) ซึ่งเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มีการจัดงานเทศกาลประจำปี เพสต้า ปูเลา ปีนัง (Pesta Pulau Pinang) มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2509 แต่ทาง MRT Corp ยืนยันว่าจะใช้พื้นที่ไม่มาก ก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงรองและพื้นที่พัฒนารอบสถานี (TOD) เท่านั้น

    #Newskit

    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    นับหนึ่งถึงอนาคต รถไฟฟ้าสายแรกปีนัง รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย กำลังจะมีรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) สายแรกเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ หลังจากเมื่อเดือน มี.ค.2567 รัฐบาลกลางมาเลเซีย รับช่วงต่อจากรัฐบาลท้องถิ่นรัฐปีนัง พัฒนาโครงการรถไฟรางเบาสายมูเทียร่า ไลน์ (Mutiara Line) โดยแต่งตั้งบริษัท เอ็มอาร์ที คอร์ป (MRT Corp) ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมด เป็นผู้พัฒนาโครงการ พิธีวางศิลาฤกษ์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2568 บริเวณสถานที่ก่อสร้างสถานีบันดาร์ ศรี ปีนัง (Bandar Sri Pinang) โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นประธาน จากการลงพื้นที่ของ Newskit พบว่า สถานที่ก่อสร้างสถานีบันดาร์ ศรี ปีนัง (Bandar Sri Pinang) ติดกับทางด่วนลิม ชอง ยู (Lim Chong Eu) ใกล้กับมัสยิดอัล บัคฮารี่ (Al Bukhary) และทางจักรยานเลียบชายทะเล บริเวณฝั่งตะวันออกของเกาะปีนัง เมื่อข้ามแม่น้ำปีนังไปแล้วจะเป็นสถานีแมคคัลลัม ก่อนแยกเป็นสองสาย แยกซ้ายไปสถานีคอมตาร์ แยกขวาข้ามทะเลไปสถานีปีนังเซ็นทรัล ก่อนที่เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2568 จะมีการลงนามสัญญาก่อสร้างช่วงคอมตาร์-เกาะซิลิคอน (Komtar-Silicon Island) ระยะทาง 24 กิโลเมตร รวม 19 สถานี มูลค่าประมาณ 8,310 ล้านริงกิต (64,000 ล้านบาท) โดยมีกลุ่มกิจการร่วมค้าเอสอาร์เอส ที่บริษัทก่อสร้างกามูดา (Gamuda) ถือหุ้น 60% เป็นผู้รับเหมาในการก่อสร้าง โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 6 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2574 ส่วนช่วงคอมตาร์-ปีนังเซ็นทรัล (Komtar-Penang Sentral) จากสถานีแมคคัลลัม (Macallum) ในเมืองจอร์จทาวน์ ผ่านช่องแคบปีนัง ระยะทาง 5.8 กิโลเมตร คาดว่าจะเปิดประมูลในเดือน ก.ค. 2568 และประกาศผลการประมูลในต้นปี 2569 ส่วนการประมูลระบบรถไฟฟ้าและการบำรุงรักษา กำลังดำเนินการ โดยมีกำหนดส่งข้อเสนอขั้นสุดท้ายในวันที่ 14 เม.ย. 2568 นายแอนโทนี ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย กล่าวว่า โครงการนี้ได้รับการวางแผนอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้สามารถเข้าถึงศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่สำคัญได้อย่างราบรื่น สนับสนุนโครงการ Penang Silicon Design @5km+ การยกระดับท่าอากาศยานนานาชาติปีนัง และเขตอุตสาหกรรมเสรีบายัน เลอปาส (Bayan Lepas) อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังมีปัญหาเรื่องที่ดินก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง บริเวณสถานีสุไหงนิบง (Sungai Nibong) ซึ่งเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มีการจัดงานเทศกาลประจำปี เพสต้า ปูเลา ปีนัง (Pesta Pulau Pinang) มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2509 แต่ทาง MRT Corp ยืนยันว่าจะใช้พื้นที่ไม่มาก ก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงรองและพื้นที่พัฒนารอบสถานี (TOD) เท่านั้น #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • วลีจีน วิญญาณผู้กล้าหวนคืนมาตุภูมิ

    สวัสดีค่ะ Storyฯ เคยเขียนหลายบทความถึง ‘วลีเด็ด’ จากบทกวีจีนโบราณและวรรณกรรมจีนโบราณที่ถูกนำมาใช้ในหลายซีรีส์และนวนิยายจีน แต่จริงๆ แล้วก็มี ‘วลีเด็ด’ จากยุคปัจจุบันที่เคยถูกยกไปใช้ในซีรีส์หรือนิยายจีนโบราณด้วยเหมือนกัน

    วันนี้เรามาคุยกันถึงตัวอย่างหนึ่งจากซีรีส์ <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> เพื่อนเพจที่ได้ดูอาจพอจำได้ว่าในระหว่างการเดินทางของคณะฑูตแคว้นอู๋ไปยังแคว้นอันเพื่อช่วยกษัตริย์แคว้นอู๋นั้น พวกเขาพบซากศพและป้ายห้อยคอประจำตัวของเหล่าทหารจากหน่วยหกวิถีที่พลีชีพก่อนหน้านี้ในศึกที่แคว้นอู๋พ่ายแพ้ และได้จัดพิธีเผาศพให้กับพวกเขา (รูปประกอบ1) ในฉากนี้ หลี่อ๋องเซ่นสุราและกล่าวออกมาประโยคหนึ่งว่า “ดวงวิญญาณจงกลับมา อย่าได้โศกเศร้าไปชั่วนิรันดร์” (หมายเหตุ คำแปลตามซับไทย)

    ประโยคดังกล่าว ต้นฉบับภาษาจีนคือ ‘魂兮归来 维莫永伤 (หุนซีกุยหลาย เหวยม่อหย่งซัง)’ เป็นประโยคที่มาจากสุทรพจน์เมื่อปี 2021 เพื่อสดุดีทหารอาสาสมัครจีน โดยวรรคแรกถูกยกมาจากบทประพันธ์โบราณ

    ‘ดวงวิญญาณจงกลับมา’ วรรคนี้มาจากบทประพันธ์ที่มีชื่อว่า ‘เรียกดวงวิญญาณ’ (招魂 /จาวหุน) บ้างว่าเป็นผลงานของชวีหยวน ขุนนางและกวีแคว้นฉู่ในสมัยจ้านกั๋วหรือยุครณรัฐที่เพื่อนเพจอาจเคยได้ยินชื่อจากตำนานบ๊ะจ่าง บ้างว่าเป็นผลงานของซ่งอวี้ ขุนนางจากแคว้นฉู่เช่นกัน

    บทประพันธ์ ‘เรียกดวงวิญญาณ’ เป็นบทประพันธ์ที่ยาวมาก ลักษณะคล้ายเล่านิทาน ใจความของบทประพันธ์เป็นการเรียกและหว่านล้อมดวงวิญญาณให้กลับมาบ้าน อย่าได้ไปหยุดรั้งอยู่ในดินแดน ณ ทิศต่างๆ โดยบรรยายถึงภยันตรายและความยากลำบากในดินแดนนั้นๆ ที่อาจทำให้ดวงวิญญาณอาจดับสูญได้ และกล่าวถึงความคิดถึงของคนที่บ้านที่รอคอยให้ดวงวิญญาณนั้นหวนคืนมา ซึ่งสะท้อนถึงธรรมเนียมโบราณที่ต้องทำพิธีเรียกดวงวิญญาณของผู้ที่ตายในต่างแดนให้กลับบ้าน

    ว่ากันว่าบทประพันธ์ ‘เรียกดวงวิญญาณ’ นี้มีที่มาจากเรื่องราวของกษัตริย์ฉู่หวยหวางที่เสียท่าให้กับกุศโลบายของแคว้นฉิน ถูกจับเป็นตัวประกันหลังพ่ายศึกและพลีชีพที่นั่น ต่อมาสามปีให้หลังเมื่อสองแคว้นสงบศึกกันแล้วจึงมีการจัดพิธีศพให้แต่กษัตริย์ฉู่หวยหวาง และแม้ว่ากษัตริย์ฉู่หวยหวางจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าบริหารราชการแผ่นดินผิดพลาด แต่ในช่วงที่ถูกจับเป็นตัวประกันนั้นได้แสดงถึงความกล้าหาญยอมหักไม่ยอมงอ บทกวีนี้จึงถูกประพันธ์ขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงจิตวิญญาณอันหาญกล้าของผู้ที่พลีชีพในต่างแดนเพื่อแผ่นดินเกิด

    และวลี ‘ดวงวิญญาณจงกลับมา’ ได้ถูกนำมาใช้ในสุนทรพจน์สดุดีทหารจีนในงานพิธีฝังศพทหารอาสาสมัครจีนชุดที่ 8 จำนวน 109 นายที่พลีชีพในสงครามเกาหลีเมื่อกว่า 70 ปีที่แล้วและเพิ่งได้รับการส่งคืนจากเกาหลีใต้ในเดือนกันยายน 2021 มันเป็นสุนทรพจน์ของนายซุนส้าวเฉิงในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงการทหารผ่านศึก (Ministry of Veteran Affairs) ในสมัยนั้น โดยประโยคเต็ม ‘ดวงวิญญาณจงกลับมา อย่าได้โศกเศร้าไปชั่วนิรันดร์’ นี้คือประโยคจบของสุนทรพจน์ (รูปประกอบ2)

    บทสุนทรพจน์ดังกล่าวยาวและใช้ทักษะภาษาชั้นสูงถ้อยคำงดงาม ใจความโดยสรุปคือยกย่องเหล่าทหารอาสาสมัครที่ออกไปร่วบรบเพื่อเสถียรภาพของสาธารณรัฐจีนที่เพิ่งถูกก่อตั้งขึ้นใหม่ สดุดีความกล้าหาญของพวกเขาที่ต้องเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ที่มีอาวุธสงครามที่ร้ายกาจ สุดท้ายพลีชีพอยู่ต่างแดนไม่มีโอกาสได้กลับบ้านเกิดจวบจนวันนี้ ขอให้เหล่าดวงวิญญาณกลับมาสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของประชาชนที่รักเขาและยังไม่ลืมความเสียสละของพวกเขา ได้กลับมาเห็นความเจริญเข้มแข็งของประเทศที่เขาพลีกายปกปักษ์รักษา ขอเหล่าวิญญาณผู้กล้าจงกลับคืนสู่มาตุภูมิ กลับมาสู่ความสงบ ไม่ต้องเจ็บช้ำหรือโศกเศร้าอีกต่อไป

    สุนทรพจน์นี้ได้รับการยกย่องด้วยภาษาที่งดงามและความหมายลึกซึ้งกินใจ ไม่เพียงสดุดีความกล้าหาญ แต่ยังกระตุ้นอารมณ์รักและเคารพในผู้ฟังอีกด้วย และประโยคนี้เป็นคำพูดในยุคจีนปัจจุบันที่สะท้อนวัฒนธรรมที่สั่งสมผ่านกาลเวลาจากวลีจีนโบราณ กลายมาเป็นอีกประโยคหนึ่งที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.sohu.com/a/584621129_114988
    http://www.81.cn/tp_207717/10086482.html
    https://mgronline.com/china/detail/9670000114488
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://m.shangshiwen.com/71990.html
    https://www.gushiwen.cn/mingju_991.aspx
    https://baike.baidu.com/item/招魂/8176058
    http://www.81.cn/tp_207717/10086482.html

    #ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก #เรียกดวงวิญญาณ #ชวีหยวน #ทหารอาสาสมัครจีน #สาระจีน
    วลีจีน วิญญาณผู้กล้าหวนคืนมาตุภูมิ สวัสดีค่ะ Storyฯ เคยเขียนหลายบทความถึง ‘วลีเด็ด’ จากบทกวีจีนโบราณและวรรณกรรมจีนโบราณที่ถูกนำมาใช้ในหลายซีรีส์และนวนิยายจีน แต่จริงๆ แล้วก็มี ‘วลีเด็ด’ จากยุคปัจจุบันที่เคยถูกยกไปใช้ในซีรีส์หรือนิยายจีนโบราณด้วยเหมือนกัน วันนี้เรามาคุยกันถึงตัวอย่างหนึ่งจากซีรีส์ <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> เพื่อนเพจที่ได้ดูอาจพอจำได้ว่าในระหว่างการเดินทางของคณะฑูตแคว้นอู๋ไปยังแคว้นอันเพื่อช่วยกษัตริย์แคว้นอู๋นั้น พวกเขาพบซากศพและป้ายห้อยคอประจำตัวของเหล่าทหารจากหน่วยหกวิถีที่พลีชีพก่อนหน้านี้ในศึกที่แคว้นอู๋พ่ายแพ้ และได้จัดพิธีเผาศพให้กับพวกเขา (รูปประกอบ1) ในฉากนี้ หลี่อ๋องเซ่นสุราและกล่าวออกมาประโยคหนึ่งว่า “ดวงวิญญาณจงกลับมา อย่าได้โศกเศร้าไปชั่วนิรันดร์” (หมายเหตุ คำแปลตามซับไทย) ประโยคดังกล่าว ต้นฉบับภาษาจีนคือ ‘魂兮归来 维莫永伤 (หุนซีกุยหลาย เหวยม่อหย่งซัง)’ เป็นประโยคที่มาจากสุทรพจน์เมื่อปี 2021 เพื่อสดุดีทหารอาสาสมัครจีน โดยวรรคแรกถูกยกมาจากบทประพันธ์โบราณ ‘ดวงวิญญาณจงกลับมา’ วรรคนี้มาจากบทประพันธ์ที่มีชื่อว่า ‘เรียกดวงวิญญาณ’ (招魂 /จาวหุน) บ้างว่าเป็นผลงานของชวีหยวน ขุนนางและกวีแคว้นฉู่ในสมัยจ้านกั๋วหรือยุครณรัฐที่เพื่อนเพจอาจเคยได้ยินชื่อจากตำนานบ๊ะจ่าง บ้างว่าเป็นผลงานของซ่งอวี้ ขุนนางจากแคว้นฉู่เช่นกัน บทประพันธ์ ‘เรียกดวงวิญญาณ’ เป็นบทประพันธ์ที่ยาวมาก ลักษณะคล้ายเล่านิทาน ใจความของบทประพันธ์เป็นการเรียกและหว่านล้อมดวงวิญญาณให้กลับมาบ้าน อย่าได้ไปหยุดรั้งอยู่ในดินแดน ณ ทิศต่างๆ โดยบรรยายถึงภยันตรายและความยากลำบากในดินแดนนั้นๆ ที่อาจทำให้ดวงวิญญาณอาจดับสูญได้ และกล่าวถึงความคิดถึงของคนที่บ้านที่รอคอยให้ดวงวิญญาณนั้นหวนคืนมา ซึ่งสะท้อนถึงธรรมเนียมโบราณที่ต้องทำพิธีเรียกดวงวิญญาณของผู้ที่ตายในต่างแดนให้กลับบ้าน ว่ากันว่าบทประพันธ์ ‘เรียกดวงวิญญาณ’ นี้มีที่มาจากเรื่องราวของกษัตริย์ฉู่หวยหวางที่เสียท่าให้กับกุศโลบายของแคว้นฉิน ถูกจับเป็นตัวประกันหลังพ่ายศึกและพลีชีพที่นั่น ต่อมาสามปีให้หลังเมื่อสองแคว้นสงบศึกกันแล้วจึงมีการจัดพิธีศพให้แต่กษัตริย์ฉู่หวยหวาง และแม้ว่ากษัตริย์ฉู่หวยหวางจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าบริหารราชการแผ่นดินผิดพลาด แต่ในช่วงที่ถูกจับเป็นตัวประกันนั้นได้แสดงถึงความกล้าหาญยอมหักไม่ยอมงอ บทกวีนี้จึงถูกประพันธ์ขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงจิตวิญญาณอันหาญกล้าของผู้ที่พลีชีพในต่างแดนเพื่อแผ่นดินเกิด และวลี ‘ดวงวิญญาณจงกลับมา’ ได้ถูกนำมาใช้ในสุนทรพจน์สดุดีทหารจีนในงานพิธีฝังศพทหารอาสาสมัครจีนชุดที่ 8 จำนวน 109 นายที่พลีชีพในสงครามเกาหลีเมื่อกว่า 70 ปีที่แล้วและเพิ่งได้รับการส่งคืนจากเกาหลีใต้ในเดือนกันยายน 2021 มันเป็นสุนทรพจน์ของนายซุนส้าวเฉิงในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงการทหารผ่านศึก (Ministry of Veteran Affairs) ในสมัยนั้น โดยประโยคเต็ม ‘ดวงวิญญาณจงกลับมา อย่าได้โศกเศร้าไปชั่วนิรันดร์’ นี้คือประโยคจบของสุนทรพจน์ (รูปประกอบ2) บทสุนทรพจน์ดังกล่าวยาวและใช้ทักษะภาษาชั้นสูงถ้อยคำงดงาม ใจความโดยสรุปคือยกย่องเหล่าทหารอาสาสมัครที่ออกไปร่วบรบเพื่อเสถียรภาพของสาธารณรัฐจีนที่เพิ่งถูกก่อตั้งขึ้นใหม่ สดุดีความกล้าหาญของพวกเขาที่ต้องเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ที่มีอาวุธสงครามที่ร้ายกาจ สุดท้ายพลีชีพอยู่ต่างแดนไม่มีโอกาสได้กลับบ้านเกิดจวบจนวันนี้ ขอให้เหล่าดวงวิญญาณกลับมาสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของประชาชนที่รักเขาและยังไม่ลืมความเสียสละของพวกเขา ได้กลับมาเห็นความเจริญเข้มแข็งของประเทศที่เขาพลีกายปกปักษ์รักษา ขอเหล่าวิญญาณผู้กล้าจงกลับคืนสู่มาตุภูมิ กลับมาสู่ความสงบ ไม่ต้องเจ็บช้ำหรือโศกเศร้าอีกต่อไป สุนทรพจน์นี้ได้รับการยกย่องด้วยภาษาที่งดงามและความหมายลึกซึ้งกินใจ ไม่เพียงสดุดีความกล้าหาญ แต่ยังกระตุ้นอารมณ์รักและเคารพในผู้ฟังอีกด้วย และประโยคนี้เป็นคำพูดในยุคจีนปัจจุบันที่สะท้อนวัฒนธรรมที่สั่งสมผ่านกาลเวลาจากวลีจีนโบราณ กลายมาเป็นอีกประโยคหนึ่งที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.sohu.com/a/584621129_114988 http://www.81.cn/tp_207717/10086482.html https://mgronline.com/china/detail/9670000114488 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://m.shangshiwen.com/71990.html https://www.gushiwen.cn/mingju_991.aspx https://baike.baidu.com/item/招魂/8176058 http://www.81.cn/tp_207717/10086482.html #ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก #เรียกดวงวิญญาณ #ชวีหยวน #ทหารอาสาสมัครจีน #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ฟ้ารั่วหล่นมา”
    โดย... ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล

    เจ็ดร้อยสิบแปดปี ฟ้ายังร้องคำราม ราชันผู้งดงาม เส้นทางเปลี่ยนแผ่นดิน มะกะโท เด็กเลี้ยงช้าง สู่กษัตริย์แห่งเมาะตะมะ ปัญญานำทางสู่ฝัน ชัยชนะจากหัวใจ

    * ใต้ธงทองแห่งฟ้า รวบรวมมอญไว้เป็นหนึ่ง เปลี่ยนศึกเป็นพลัง ขับขานประวัติศาสตร์

    ** ฟ้ารั่วหล่นมา ดั่งดาราส่องนำ จากเถ้าฝุ่นแห่งสงคราม สู่บัลลังก์อันยิ่งใหญ่ พระนามก้องโลกา ราชันผู้สร้างทางใหม่ พระเจ้าฟ้ารั่วแห่งดินแดน ที่ไม่เคยลืม

    *** สงครามเปลี่ยนแผ่นดิน อำนาจวนเวียนหักร้าง แต่ราชันยังอยู่ในใจ "ฟ้ารั่ว" ส่องสว่างนิรันดร์

    **** บทสุดท้ายแห่งราชัน เสียงฟ้ายังคงจำ “ฟ้ารั่ว” คือคำขาน ราชาผู้เปลี่ยนชะตาแผ่นดิน

    ซ้ำ *, **, ***, ****

    142007 ม.ค. 2568
    “ฟ้ารั่วหล่นมา” โดย... ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล เจ็ดร้อยสิบแปดปี ฟ้ายังร้องคำราม ราชันผู้งดงาม เส้นทางเปลี่ยนแผ่นดิน มะกะโท เด็กเลี้ยงช้าง สู่กษัตริย์แห่งเมาะตะมะ ปัญญานำทางสู่ฝัน ชัยชนะจากหัวใจ * ใต้ธงทองแห่งฟ้า รวบรวมมอญไว้เป็นหนึ่ง เปลี่ยนศึกเป็นพลัง ขับขานประวัติศาสตร์ ** ฟ้ารั่วหล่นมา ดั่งดาราส่องนำ จากเถ้าฝุ่นแห่งสงคราม สู่บัลลังก์อันยิ่งใหญ่ พระนามก้องโลกา ราชันผู้สร้างทางใหม่ พระเจ้าฟ้ารั่วแห่งดินแดน ที่ไม่เคยลืม *** สงครามเปลี่ยนแผ่นดิน อำนาจวนเวียนหักร้าง แต่ราชันยังอยู่ในใจ "ฟ้ารั่ว" ส่องสว่างนิรันดร์ **** บทสุดท้ายแห่งราชัน เสียงฟ้ายังคงจำ “ฟ้ารั่ว” คือคำขาน ราชาผู้เปลี่ยนชะตาแผ่นดิน ซ้ำ *, **, ***, **** 142007 ม.ค. 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 55 0 รีวิว
  • 718 ปี แห่งประวัติศาสตร์ ลอบปลงพระชนม์ "พระเจ้าฟ้ารั่ว" จากเด็กเลี้ยงช้าง สู่ปฐมกษัตริย์แห่งรัฐมอญ

    วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 1850 หรือเมื่อ 718 ปี ที่ผ่านมา โลกได้จารึกเหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ ที่ยังคงถูกกล่าวถึง จนถึงปัจจุบัน นั่นคือ การลอบปลงพระชนม์ "พระเจ้าฟ้ารั่ว" หรือที่รู้จักในพระนาม "พระเจ้าวาเรรุ" กษัตริย์ผู้รวบรวมแผ่นดินมอญ ให้เป็นหนึ่งเดียว เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุด แห่งยุคของพระองค์ แต่ยังสะท้อนถึง การเปลี่ยนผ่านของอำนาจ ในยุคที่แผ่นดินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังเต็มไปด้วย การช่วงชิงราชบัลลังก์

    พระเจ้าฟ้ารั่ว หรือที่ชาวมอญเรียกพระองค์ว่า “พระเจ้าวาเรรุ” ทรงเป็นปฐมกษัตริย์ แห่งเมืองเมาะตะมะ (ปัจจุบันคือเมืองในประเทศเมียนมา) และทรงเป็นผู้นำ ที่รวบรวมชนชาติมอญ ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ในยุคที่อาณาจักรพุกาม กำลังล่มสลาย พระองค์ทรงครองราชย์ ระหว่างปี พ.ศ. 1830 - 1850 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และอำนาจในภูมิภาค

    พระเจ้าฟ้ารั่ว ประสูติเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 1796 ภายใต้ชื่อ มะกะโท (แมะกะตู) พระองค์เป็นบุตรของบิดาชาวไทยใหญ่ และมารดาชาวมอญ ณ เมืองสะโตง (บริเวณตอนล่างของพม่า ในปัจจุบัน) การเดินทางของพระองค์ เริ่มต้นเมื่ออายุ 19 พรรษา เมื่อมะกะโท เดินทางไปยังอาณาจักรสุโขทัย เพื่อค้าขาย ก่อนจะเริ่มชีวิตใหม่ ในราชสำนักสุโขทัย

    จากเด็กเลี้ยงช้าง สู่ตำแหน่งขุนวังแห่งสุโขทัย
    เมื่อมะกะโทเดินทางมายังสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนบานเมือง (พ.ศ. 1815) พระองค์เริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการเข้ารับราชการ ในตำแหน่งควาญช้าง ด้วยความขยันและเฉลียวฉลาด มะกะโทสามารถสร้างความประทับใจ แก่พระเจ้าแผ่นดิน และในที่สุด ได้รับตำแหน่งขุนวัง ในรัชสมัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

    ช่วงเวลานี้เอง ที่พระองค์ได้พบรักกับ "เจ้านางสร้อยดาว" (หรือพระนามในพงศาวดารไทยว่า นางสุวรรณเทวี) ธิดาของพ่อขุนรามคำแหง ทั้งสองแอบมีใจ ผูกสมัครรักใคร่ต่อกัน จนกระทั่งตัดสินใจ
    ลอบหนีออกจากสุโขทัย พร้อมทั้งข้าราชบริพารจำนวนมาก

    การตัดสินใจครั้งนี้ ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงชีวิตของมะกะโท แต่ยังส่งผลกระทบต่อประวัติศาสตร์ ของทั้งอาณาจักรมอญ และสุโขทัย

    ประกาศอิสรภาพจากพุกาม
    หลังจากที่มะกะโท หรือพระเจ้าฟ้ารั่ว กลับมายังเมืองเมาะตะมะ พระองค์ได้เผชิญหน้ากับ "อลิมามาง" เจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งจากอาณาจักรพุกาม ในปี พ.ศ. 1828 มะกะโทสามารถโค่นล้มอำนาจ ของอลิมามางได้สำเร็จ และในปี พ.ศ. 1830 พระองค์ได้ประกาศอิสรภาพ จากพุกาม พร้อมทั้งสถาปนาตนเองเป็น กษัตริย์แห่งเมืองเมาะตะมะ

    ยุทธศาสตร์บริหารแผ่นดิน
    หลังจากขึ้นครองราชย์ พระเจ้าฟ้ารั่วใช้เวลากว่า 10 ปีในการรวบรวมแผ่นดินมอญ ให้เป็นหนึ่งเดียว โดยทรงจัดการศัตรูทางการเมือง จนหมดสิ้น รวมถึงสร้างพันธมิตรทางการทูต กับราชวงศ์หยวนแห่งจีน เพื่อป้องกันการรุกราน จากมหาอำนาจภายนอก

    พระองค์ยังทรงชำระ "ประมวลกฎหมายวาเรรุ" ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรก ของอาณาจักรมอญ โดยมีเป้าหมาย เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม และปกครองประชาชนอย่างยุติธรรม

    ลอบปลงพระชนม์
    แม้พระเจ้าฟ้ารั่ว จะประสบความสำเร็จ ในการสร้างอาณาจักรมอญ แต่พระองค์ไม่สามารถหลีกเลี่ยง วัฏจักรแห่งการชิงอำนาจได้ ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 1850 พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ โดยพระราชโอรส 2 พระองค์ ของพระเจ้าตะยาพยาแห่งหงสาวดี ซึ่งต้องการแก้แค้นให้กับพระบิดา ที่ถูกพระเจ้าฟ้ารั่วสำเร็จโทษ

    การสิ้นพระชนม์ ของพระเจ้าฟ้ารั่ว นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของอาณาจักรมอญ ซึ่งภายหลัง ต้องเผชิญกับ ความแตกแยกทางการเมือง จนกระทั่งล่มสลาย

    ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าฟ้ารั่วและสุโขทัย
    หนึ่งในเหตุการณ์ ที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างอาณาจักรมอญ และสุโขทัยคือ การส่งพระราชสาสน์ ของพระเจ้าฟ้ารั่ว ไปยังพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เพื่อขอขมาในสิ่งที่พระองค์ล่วงละเมิด และยอมเป็นประเทศราช พระราชสาสน์ฉบับนี้ ไม่เพียงเป็นการแสดงความเคารพ แต่ยังยืนยันถึงบทบาทของสุโขทัย ในฐานะมหาอำนาจ ที่มีอิทธิพลต่อภูมิภาค

    มรดกพระเจ้าฟ้ารั่ว
    พระเจ้าฟ้ารั่วไม่เพียงเป็น กษัตริย์ผู้สร้างความเป็นหนึ่งเดียว ให้กับแผ่นดินมอญ แต่ยังเป็นตัวแทนของยุคสมัย ที่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีบทบาทสำคัญ ต่อประวัติศาสตร์โลก

    แม้ว่าพระองค์จะจากไป นานกว่า 718 ปี แต่เรื่องราวของพระเจ้าฟ้ารั่ว ยังคงสะท้อนถึงบทเรียน เกี่ยวกับความเป็นผู้นำ ความอดทนต่ออุปสรรค และความสำคัญของการรวมพลัง เพื่อสร้างความมั่นคง ให้แก่แผ่นดิน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 142006 ม.ค. 2568

    #ประวัติศาสตร์มอญ #พระเจ้าฟ้ารั่ว #วาเรรุ #พ่อขุนรามคำแหง #ประวัติศาสตร์ไทย #อาณาจักรพุกาม #การปฏิวัติมอญ #ความสัมพันธ์ไทยมอญ #กษัตริย์มอญ #ย้อนอดีต
    718 ปี แห่งประวัติศาสตร์ ลอบปลงพระชนม์ "พระเจ้าฟ้ารั่ว" จากเด็กเลี้ยงช้าง สู่ปฐมกษัตริย์แห่งรัฐมอญ วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 1850 หรือเมื่อ 718 ปี ที่ผ่านมา โลกได้จารึกเหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ ที่ยังคงถูกกล่าวถึง จนถึงปัจจุบัน นั่นคือ การลอบปลงพระชนม์ "พระเจ้าฟ้ารั่ว" หรือที่รู้จักในพระนาม "พระเจ้าวาเรรุ" กษัตริย์ผู้รวบรวมแผ่นดินมอญ ให้เป็นหนึ่งเดียว เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุด แห่งยุคของพระองค์ แต่ยังสะท้อนถึง การเปลี่ยนผ่านของอำนาจ ในยุคที่แผ่นดินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังเต็มไปด้วย การช่วงชิงราชบัลลังก์ พระเจ้าฟ้ารั่ว หรือที่ชาวมอญเรียกพระองค์ว่า “พระเจ้าวาเรรุ” ทรงเป็นปฐมกษัตริย์ แห่งเมืองเมาะตะมะ (ปัจจุบันคือเมืองในประเทศเมียนมา) และทรงเป็นผู้นำ ที่รวบรวมชนชาติมอญ ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ในยุคที่อาณาจักรพุกาม กำลังล่มสลาย พระองค์ทรงครองราชย์ ระหว่างปี พ.ศ. 1830 - 1850 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และอำนาจในภูมิภาค พระเจ้าฟ้ารั่ว ประสูติเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 1796 ภายใต้ชื่อ มะกะโท (แมะกะตู) พระองค์เป็นบุตรของบิดาชาวไทยใหญ่ และมารดาชาวมอญ ณ เมืองสะโตง (บริเวณตอนล่างของพม่า ในปัจจุบัน) การเดินทางของพระองค์ เริ่มต้นเมื่ออายุ 19 พรรษา เมื่อมะกะโท เดินทางไปยังอาณาจักรสุโขทัย เพื่อค้าขาย ก่อนจะเริ่มชีวิตใหม่ ในราชสำนักสุโขทัย จากเด็กเลี้ยงช้าง สู่ตำแหน่งขุนวังแห่งสุโขทัย เมื่อมะกะโทเดินทางมายังสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนบานเมือง (พ.ศ. 1815) พระองค์เริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการเข้ารับราชการ ในตำแหน่งควาญช้าง ด้วยความขยันและเฉลียวฉลาด มะกะโทสามารถสร้างความประทับใจ แก่พระเจ้าแผ่นดิน และในที่สุด ได้รับตำแหน่งขุนวัง ในรัชสมัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ช่วงเวลานี้เอง ที่พระองค์ได้พบรักกับ "เจ้านางสร้อยดาว" (หรือพระนามในพงศาวดารไทยว่า นางสุวรรณเทวี) ธิดาของพ่อขุนรามคำแหง ทั้งสองแอบมีใจ ผูกสมัครรักใคร่ต่อกัน จนกระทั่งตัดสินใจ ลอบหนีออกจากสุโขทัย พร้อมทั้งข้าราชบริพารจำนวนมาก การตัดสินใจครั้งนี้ ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงชีวิตของมะกะโท แต่ยังส่งผลกระทบต่อประวัติศาสตร์ ของทั้งอาณาจักรมอญ และสุโขทัย ประกาศอิสรภาพจากพุกาม หลังจากที่มะกะโท หรือพระเจ้าฟ้ารั่ว กลับมายังเมืองเมาะตะมะ พระองค์ได้เผชิญหน้ากับ "อลิมามาง" เจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งจากอาณาจักรพุกาม ในปี พ.ศ. 1828 มะกะโทสามารถโค่นล้มอำนาจ ของอลิมามางได้สำเร็จ และในปี พ.ศ. 1830 พระองค์ได้ประกาศอิสรภาพ จากพุกาม พร้อมทั้งสถาปนาตนเองเป็น กษัตริย์แห่งเมืองเมาะตะมะ ยุทธศาสตร์บริหารแผ่นดิน หลังจากขึ้นครองราชย์ พระเจ้าฟ้ารั่วใช้เวลากว่า 10 ปีในการรวบรวมแผ่นดินมอญ ให้เป็นหนึ่งเดียว โดยทรงจัดการศัตรูทางการเมือง จนหมดสิ้น รวมถึงสร้างพันธมิตรทางการทูต กับราชวงศ์หยวนแห่งจีน เพื่อป้องกันการรุกราน จากมหาอำนาจภายนอก พระองค์ยังทรงชำระ "ประมวลกฎหมายวาเรรุ" ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรก ของอาณาจักรมอญ โดยมีเป้าหมาย เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม และปกครองประชาชนอย่างยุติธรรม ลอบปลงพระชนม์ แม้พระเจ้าฟ้ารั่ว จะประสบความสำเร็จ ในการสร้างอาณาจักรมอญ แต่พระองค์ไม่สามารถหลีกเลี่ยง วัฏจักรแห่งการชิงอำนาจได้ ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 1850 พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ โดยพระราชโอรส 2 พระองค์ ของพระเจ้าตะยาพยาแห่งหงสาวดี ซึ่งต้องการแก้แค้นให้กับพระบิดา ที่ถูกพระเจ้าฟ้ารั่วสำเร็จโทษ การสิ้นพระชนม์ ของพระเจ้าฟ้ารั่ว นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของอาณาจักรมอญ ซึ่งภายหลัง ต้องเผชิญกับ ความแตกแยกทางการเมือง จนกระทั่งล่มสลาย ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าฟ้ารั่วและสุโขทัย หนึ่งในเหตุการณ์ ที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างอาณาจักรมอญ และสุโขทัยคือ การส่งพระราชสาสน์ ของพระเจ้าฟ้ารั่ว ไปยังพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เพื่อขอขมาในสิ่งที่พระองค์ล่วงละเมิด และยอมเป็นประเทศราช พระราชสาสน์ฉบับนี้ ไม่เพียงเป็นการแสดงความเคารพ แต่ยังยืนยันถึงบทบาทของสุโขทัย ในฐานะมหาอำนาจ ที่มีอิทธิพลต่อภูมิภาค มรดกพระเจ้าฟ้ารั่ว พระเจ้าฟ้ารั่วไม่เพียงเป็น กษัตริย์ผู้สร้างความเป็นหนึ่งเดียว ให้กับแผ่นดินมอญ แต่ยังเป็นตัวแทนของยุคสมัย ที่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีบทบาทสำคัญ ต่อประวัติศาสตร์โลก แม้ว่าพระองค์จะจากไป นานกว่า 718 ปี แต่เรื่องราวของพระเจ้าฟ้ารั่ว ยังคงสะท้อนถึงบทเรียน เกี่ยวกับความเป็นผู้นำ ความอดทนต่ออุปสรรค และความสำคัญของการรวมพลัง เพื่อสร้างความมั่นคง ให้แก่แผ่นดิน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 142006 ม.ค. 2568 #ประวัติศาสตร์มอญ #พระเจ้าฟ้ารั่ว #วาเรรุ #พ่อขุนรามคำแหง #ประวัติศาสตร์ไทย #อาณาจักรพุกาม #การปฏิวัติมอญ #ความสัมพันธ์ไทยมอญ #กษัตริย์มอญ #ย้อนอดีต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 249 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ตั้งใจเปลี่ยนตัวผู้พิพากษาคดีอิสราเอลฆ่าล้างเผ่าพันธุ์??"

    นาวาฟ ซาลาม ประธานศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้รับการโหวตให้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเลบานอน โดยที่ทำเนียบประธานาธิบดีกล่าวว่า ซาลามจะเดินทางกลับเลบานอนในวันอังคารนี้เลย

    นาวาฟ ซาลาม (Nawaf Salam) ประธานศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในกรุงเฮก ซึ่งกำลังพิจารณาคดีที่ยื่นโดยแอฟริกาใต้ ในข้อกล่าวหาว่าอิสราเอลก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ได้รับคะแนนโหวตในรัฐสภาเลบานอนให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งเป็นคนที่ 53 ของเลบานอน

    สมาชิกรัฐสภา 128 คน ลงคะแนนเลือก
    - นาวาฟ ซาลาม 85 เสียง
    - ขณะที่ นาจิบ มิคาติ นายกรัฐมนตรีคนเดิมได้รับความไว้วางใจเพียง 9 เสียง
    - ส่วนที่เหลืออีก 34 เสียง งดออกเสียง

    ซาลาม ว่าที่นายกรัฐมนตรีซึ่งมีสมาชิกครอบครัวในสาย "ซุนนี" สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขารัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Sciences Po ในฝรั่งเศส ปริญญาเอกสาขาประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Sorbonne และปริญญาโทสาขานิติศาสตร์จากโรงเรียนกฎหมายฮาร์วาร์ด

    ซาลามทำงานเป็นทนายความและอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งก่อนที่จะดำรงตำแหน่งผู้แทนถาวรของเลบานอนประจำสหประชาชาติในนิวยอร์กตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2017

    เขาเข้าเป็นสมาชิกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งเป็นศาลสูงสุดของสหประชาชาติ ในปี 2018 และได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีเป็นเวลา 3 ปีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ในขณะที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิจารณาคดีที่ยื่นโดยแอฟริกาใต้ ซึ่งกล่าวหาว่ากองกำลังอิสราเอลก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา
    "ตั้งใจเปลี่ยนตัวผู้พิพากษาคดีอิสราเอลฆ่าล้างเผ่าพันธุ์??" นาวาฟ ซาลาม ประธานศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้รับการโหวตให้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเลบานอน โดยที่ทำเนียบประธานาธิบดีกล่าวว่า ซาลามจะเดินทางกลับเลบานอนในวันอังคารนี้เลย นาวาฟ ซาลาม (Nawaf Salam) ประธานศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในกรุงเฮก ซึ่งกำลังพิจารณาคดีที่ยื่นโดยแอฟริกาใต้ ในข้อกล่าวหาว่าอิสราเอลก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ได้รับคะแนนโหวตในรัฐสภาเลบานอนให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งเป็นคนที่ 53 ของเลบานอน สมาชิกรัฐสภา 128 คน ลงคะแนนเลือก - นาวาฟ ซาลาม 85 เสียง - ขณะที่ นาจิบ มิคาติ นายกรัฐมนตรีคนเดิมได้รับความไว้วางใจเพียง 9 เสียง - ส่วนที่เหลืออีก 34 เสียง งดออกเสียง ซาลาม ว่าที่นายกรัฐมนตรีซึ่งมีสมาชิกครอบครัวในสาย "ซุนนี" สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขารัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Sciences Po ในฝรั่งเศส ปริญญาเอกสาขาประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Sorbonne และปริญญาโทสาขานิติศาสตร์จากโรงเรียนกฎหมายฮาร์วาร์ด ซาลามทำงานเป็นทนายความและอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งก่อนที่จะดำรงตำแหน่งผู้แทนถาวรของเลบานอนประจำสหประชาชาติในนิวยอร์กตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2017 เขาเข้าเป็นสมาชิกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งเป็นศาลสูงสุดของสหประชาชาติ ในปี 2018 และได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีเป็นเวลา 3 ปีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ในขณะที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิจารณาคดีที่ยื่นโดยแอฟริกาใต้ ซึ่งกล่าวหาว่ากองกำลังอิสราเอลก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 281 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าหน้าที่ดับเพลิงยังคงระดมกำลังต่อสู้กับไฟป่าที่เผาผลาญบ้านเรือนหลายพันหลัง และทำให้มีผู้เสียชีวิต 24 คนและสูญหายอย่างน้อย 16 คนในย่านเทศมณฑลลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียตอนใต้ ของสหรัฐฯเมื่อวันจันทร์ (13 ม.ค.) ท่ามกลางคำเตือนที่ว่าว่า สภาพอากาศอันตรายที่เอื้ออำนวยให้ไฟป่าลุกลามจะหวนกลับมาถึงช่วงกลางสัปดาห์นี้ โดยจะอันตรายอย่างยิ่งในวันอังคาร (14) ขณะที่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า ไฟป่าครั้งนี้อาจเป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา
    .
    สำนักงานบริการสภาพอากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (เอ็นดับเบิลยูเอส) ออกคำเตือนในวันอาทิตย์ (12) ว่า สภาพอากาศอันตรายจะหวนกลับมาและคงอยู่จนถึงวันพุธ (15) โดยมีความเร็วลมคงที่ที่ 80 กม./ชม. และความเร็วลมสูงสุด 113 กม./ชม. แต่จะอันตรายที่สุดในวันอังคาร
    .
    ริช ธอมป์สัน นักอุตุนิยมวิทยาของเอ็นดับเบิลยูเอส กล่าวในการประชุมชุมชนเมื่อคืนวันเสาร์ (11) ว่า ลอสแองเจลิสจะเผชิญกับลมซานตาแอนา ที่มีกำลังแรงมาก ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด ประกอบกับใบไม้ใบหญ้าแห้งมาก ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ไฟป่าลุกลามแรงขึ้น
    .
    อย่างไรก็ดี แอนโทนี ซี. มาร์โรน หัวหน้าแผนกดับเพลิงเทศมณฑลลอสแองเจลิส แถลงว่า มีรถบรรทุกน้ำมาเพิ่มอีก 70 คันเพื่อเตรียมรับมือลมกรรโชกแรงระลอกใหม่ และเสริมว่า การใช้เครื่องบินโปรยสารหน่วงไฟเมื่อวันอาทิตย์จะช่วยสร้างแนวป้องกันไฟบริเวณไหล่เขา
    .
    ลมซานตาแอน าที่โหมกระหน่ำรุนแรงถูกระบุว่า เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ไฟป่าที่ปะทุขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกลายเป็นไฟบรรลัยกัลป์ซึ่งเผาผลาญย่านต่างๆ ทั่วเมืองลอสแองเจลิสที่ไม่มีฝนตกหนักมากว่า 8 เดือน
    .
    โรเบิร์ต ลูนา เจ้าหน้าที่ปกครองเทศมณฑลลอสแองเจลิส แถลงว่า มีประชาชน 12 คนสูญหายในเขตที่เกิดไฟป่าอีตันไฟร์ และ 4 คนในเขตไฟป่าพาลิเซดส์ไฟร์ และอาจมีรายงานผู้สูญหายเพิ่มอีกนับสิบในช่วงเช้าวันอาทิตย์ ขณะที่พนักงานสอบสวนกำลังตรวจสอบว่า ผู้สูญหายบางคนอาจอยู่ในรายชื่อผู้เสียชีวิตหรือไม่
    .
    สำหรับยอดผู้เสียชีวิตจนถึงช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีทั้งหมด 24 คน และเจ้าหน้าที่คาดว่า ตัวเลขอาจเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันขณะที่ทีมค้นหาพร้อมสุนัขกู้ภัยที่เน้นดมกลิ่นทำการค้นหาอย่างเป็นระบบในย่านต่างๆ ซึ่งถูกไฟเผาเผลาญ
    .
    นอกจากนั้นยังมีการออกคำเตือนว่า เถ้าถ่านจากไฟป่าอาจมีสารตะกั่ว สารหนู แร่ใยหิน และวัสดุอันตรายอื่นๆ ปะปนอยู่ รวมทั้งมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการปล้นชิง โดยเจ้าหน้าที่เผยว่า จับกุมผู้กระทำผิดได้เพิ่มขึ้น
    .
    สำนักงานป่าไม้และการป้องกันอัคคีภัยรัฐแคลิฟอร์เนีย (แคลไฟร์) แถลงเมื่อเช้าวันอาทิตย์ว่า ไฟป่าพาลิเซดส์ อีตัน เคนเนธ และเฮิร์สต์ เผาผลาญพื้นที่รวม 160 ตารางกิโลเมตร หรือกว้างกว่าพื้นที่นครซานฟรานซิสโกเสียอีก ขณะที่ตอนนี้สามารถควบคุมเพลิงในพาลิเซดส์ไฟร์ได้ 11%, อีตันไฟร์ 27%
    .
    เจ้าหน้าที่จากแคลิฟอร์เนียและอีก 8 รัฐเป็นส่วนหนึ่งของทีมรับมือไฟป่าที่รวมถึงอุปกรณ์ดับเพลิงเกือบ 1,400 เครื่อง เครื่องบิน 84 ลำ และบุคลากรกว่า 14,000 คน โดยรวมถึงเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจากเม็กซิโกที่เพิ่งเดินทางมาสมทบช่วยเหลือ
    .
    ไฟป่าที่ปะทุขึ้นในวันอังคาร (7 ม.ค.) ทางด้านเหนือของตัวเมืองแอลเอขณะนี้เผาผลาญสิ่งปลูกสร้างไปแล้วกว่า 12,000 หลัง การประเมินเบื้องต้นของแอกคิวเวธเตอร์ระบุว่า ภัยพิบัตินี้อาจสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ 135,000-150,000 ล้านดอลลาร์
    .
    เกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุระหว่างให้สัมภาษณ์กับเอ็นบีซีที่ออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ว่า นี่อาจเป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา
    .
    นอกจากนั้นเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) นิวซัมยังสั่งให้ตรวจสอบว่า เหตุใดน้ำจึงหมดจากอ่างเก็บน้ำที่สามารถกักเก็บน้ำได้ 440 ล้านลิตร และหัวดับเพลิงบางแห่งจึงไม่มีน้ำ
    .
    คริสติน โครว์ลีย์ หัวหน้าแผนกดับเพลิงเมืองแอลเอ กล่าวหาว่า ผู้นำของแอลเอไม่จัดสรรงบประมาณให้หน่วยดับเพลิงเพียงพอ และยังวิจารณ์สถานการณ์ที่หน่วยดับเพลิงไม่มีน้ำมาใช้ดับไฟป่า
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003914
    ..............
    Sondhi X
    เจ้าหน้าที่ดับเพลิงยังคงระดมกำลังต่อสู้กับไฟป่าที่เผาผลาญบ้านเรือนหลายพันหลัง และทำให้มีผู้เสียชีวิต 24 คนและสูญหายอย่างน้อย 16 คนในย่านเทศมณฑลลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียตอนใต้ ของสหรัฐฯเมื่อวันจันทร์ (13 ม.ค.) ท่ามกลางคำเตือนที่ว่าว่า สภาพอากาศอันตรายที่เอื้ออำนวยให้ไฟป่าลุกลามจะหวนกลับมาถึงช่วงกลางสัปดาห์นี้ โดยจะอันตรายอย่างยิ่งในวันอังคาร (14) ขณะที่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า ไฟป่าครั้งนี้อาจเป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา . สำนักงานบริการสภาพอากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (เอ็นดับเบิลยูเอส) ออกคำเตือนในวันอาทิตย์ (12) ว่า สภาพอากาศอันตรายจะหวนกลับมาและคงอยู่จนถึงวันพุธ (15) โดยมีความเร็วลมคงที่ที่ 80 กม./ชม. และความเร็วลมสูงสุด 113 กม./ชม. แต่จะอันตรายที่สุดในวันอังคาร . ริช ธอมป์สัน นักอุตุนิยมวิทยาของเอ็นดับเบิลยูเอส กล่าวในการประชุมชุมชนเมื่อคืนวันเสาร์ (11) ว่า ลอสแองเจลิสจะเผชิญกับลมซานตาแอนา ที่มีกำลังแรงมาก ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด ประกอบกับใบไม้ใบหญ้าแห้งมาก ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ไฟป่าลุกลามแรงขึ้น . อย่างไรก็ดี แอนโทนี ซี. มาร์โรน หัวหน้าแผนกดับเพลิงเทศมณฑลลอสแองเจลิส แถลงว่า มีรถบรรทุกน้ำมาเพิ่มอีก 70 คันเพื่อเตรียมรับมือลมกรรโชกแรงระลอกใหม่ และเสริมว่า การใช้เครื่องบินโปรยสารหน่วงไฟเมื่อวันอาทิตย์จะช่วยสร้างแนวป้องกันไฟบริเวณไหล่เขา . ลมซานตาแอน าที่โหมกระหน่ำรุนแรงถูกระบุว่า เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ไฟป่าที่ปะทุขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกลายเป็นไฟบรรลัยกัลป์ซึ่งเผาผลาญย่านต่างๆ ทั่วเมืองลอสแองเจลิสที่ไม่มีฝนตกหนักมากว่า 8 เดือน . โรเบิร์ต ลูนา เจ้าหน้าที่ปกครองเทศมณฑลลอสแองเจลิส แถลงว่า มีประชาชน 12 คนสูญหายในเขตที่เกิดไฟป่าอีตันไฟร์ และ 4 คนในเขตไฟป่าพาลิเซดส์ไฟร์ และอาจมีรายงานผู้สูญหายเพิ่มอีกนับสิบในช่วงเช้าวันอาทิตย์ ขณะที่พนักงานสอบสวนกำลังตรวจสอบว่า ผู้สูญหายบางคนอาจอยู่ในรายชื่อผู้เสียชีวิตหรือไม่ . สำหรับยอดผู้เสียชีวิตจนถึงช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีทั้งหมด 24 คน และเจ้าหน้าที่คาดว่า ตัวเลขอาจเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันขณะที่ทีมค้นหาพร้อมสุนัขกู้ภัยที่เน้นดมกลิ่นทำการค้นหาอย่างเป็นระบบในย่านต่างๆ ซึ่งถูกไฟเผาเผลาญ . นอกจากนั้นยังมีการออกคำเตือนว่า เถ้าถ่านจากไฟป่าอาจมีสารตะกั่ว สารหนู แร่ใยหิน และวัสดุอันตรายอื่นๆ ปะปนอยู่ รวมทั้งมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการปล้นชิง โดยเจ้าหน้าที่เผยว่า จับกุมผู้กระทำผิดได้เพิ่มขึ้น . สำนักงานป่าไม้และการป้องกันอัคคีภัยรัฐแคลิฟอร์เนีย (แคลไฟร์) แถลงเมื่อเช้าวันอาทิตย์ว่า ไฟป่าพาลิเซดส์ อีตัน เคนเนธ และเฮิร์สต์ เผาผลาญพื้นที่รวม 160 ตารางกิโลเมตร หรือกว้างกว่าพื้นที่นครซานฟรานซิสโกเสียอีก ขณะที่ตอนนี้สามารถควบคุมเพลิงในพาลิเซดส์ไฟร์ได้ 11%, อีตันไฟร์ 27% . เจ้าหน้าที่จากแคลิฟอร์เนียและอีก 8 รัฐเป็นส่วนหนึ่งของทีมรับมือไฟป่าที่รวมถึงอุปกรณ์ดับเพลิงเกือบ 1,400 เครื่อง เครื่องบิน 84 ลำ และบุคลากรกว่า 14,000 คน โดยรวมถึงเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจากเม็กซิโกที่เพิ่งเดินทางมาสมทบช่วยเหลือ . ไฟป่าที่ปะทุขึ้นในวันอังคาร (7 ม.ค.) ทางด้านเหนือของตัวเมืองแอลเอขณะนี้เผาผลาญสิ่งปลูกสร้างไปแล้วกว่า 12,000 หลัง การประเมินเบื้องต้นของแอกคิวเวธเตอร์ระบุว่า ภัยพิบัตินี้อาจสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ 135,000-150,000 ล้านดอลลาร์ . เกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุระหว่างให้สัมภาษณ์กับเอ็นบีซีที่ออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ว่า นี่อาจเป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา . นอกจากนั้นเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) นิวซัมยังสั่งให้ตรวจสอบว่า เหตุใดน้ำจึงหมดจากอ่างเก็บน้ำที่สามารถกักเก็บน้ำได้ 440 ล้านลิตร และหัวดับเพลิงบางแห่งจึงไม่มีน้ำ . คริสติน โครว์ลีย์ หัวหน้าแผนกดับเพลิงเมืองแอลเอ กล่าวหาว่า ผู้นำของแอลเอไม่จัดสรรงบประมาณให้หน่วยดับเพลิงเพียงพอ และยังวิจารณ์สถานการณ์ที่หน่วยดับเพลิงไม่มีน้ำมาใช้ดับไฟป่า . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003914 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1072 มุมมอง 0 รีวิว
  • "มีรายงานการแจ้งเตือนประชาชนราว 10 ล้านคนให้เตรียมตัวอพยพ"

    เนื่องจากสภาพอากาศที่มีลมแรงถึง 70 ไมล์ต่อชั่วโมงในซานตาแอนาเตรียมกลับมามีกำลังแรงอีกครั้งในวันนี้ ทำให้ประชากรทั้งเทศมณฑลลอสแองเจลิส 10 ล้านคนต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษเพื่อเตรียมอพยพออกจากพื้นที่

    เจ้าหน้าที่กำลังเตรียมรับมือกับสิ่งที่เรียกว่า "สถานการณ์อันตรายเป็นพิเศษ" (particularly dangerous situation)

    ไฟป่าได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 24 ราย ทำลายอาคารบ้านเรือนไป 12,300 หลัง และประชาชน 100,000 คนต้องไร้ที่อยู่อาศัย

    ไฟป่าพาลิเซดส์ (Palisades Fire) ได้เผาผลาญพื้นที่ไปแล้ว 37 ตารางไมล์ (ควบคุมได้เพียง 14%) ขณะที่ไฟป่าอีตัน (Eaton Fire) ซึ่งมีขนาดพื้นที่เกือบเท่ากับแมนฮัตตัน ควบคุมได้ 33%

    นิวซัม ผู้ว่าการรัฐฯกล่าวว่า เหตุการณ์นี้อาจถือเป็นหนึ่งในภัยพิบัติที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ โดยประเมินความเสียหายไว้สูงถึง 150,000 ล้านดอลลาร์

    ด้วยลมแรงที่เตรียมโหมกระหน่ำไฟ การต่อสู้ยังไม่จบสิ้น
    "มีรายงานการแจ้งเตือนประชาชนราว 10 ล้านคนให้เตรียมตัวอพยพ" เนื่องจากสภาพอากาศที่มีลมแรงถึง 70 ไมล์ต่อชั่วโมงในซานตาแอนาเตรียมกลับมามีกำลังแรงอีกครั้งในวันนี้ ทำให้ประชากรทั้งเทศมณฑลลอสแองเจลิส 10 ล้านคนต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษเพื่อเตรียมอพยพออกจากพื้นที่ เจ้าหน้าที่กำลังเตรียมรับมือกับสิ่งที่เรียกว่า "สถานการณ์อันตรายเป็นพิเศษ" (particularly dangerous situation) ไฟป่าได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 24 ราย ทำลายอาคารบ้านเรือนไป 12,300 หลัง และประชาชน 100,000 คนต้องไร้ที่อยู่อาศัย ไฟป่าพาลิเซดส์ (Palisades Fire) ได้เผาผลาญพื้นที่ไปแล้ว 37 ตารางไมล์ (ควบคุมได้เพียง 14%) ขณะที่ไฟป่าอีตัน (Eaton Fire) ซึ่งมีขนาดพื้นที่เกือบเท่ากับแมนฮัตตัน ควบคุมได้ 33% นิวซัม ผู้ว่าการรัฐฯกล่าวว่า เหตุการณ์นี้อาจถือเป็นหนึ่งในภัยพิบัติที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ โดยประเมินความเสียหายไว้สูงถึง 150,000 ล้านดอลลาร์ ด้วยลมแรงที่เตรียมโหมกระหน่ำไฟ การต่อสู้ยังไม่จบสิ้น
    Like
    Sad
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • อันดากู รัตนชาติแห่งพระพุทธศาสนา
    หากกล่าวถึง อันดากู สำหรับสังคมของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธชาวเมียนมาร์ แล้ว หมายถึงองค์ปฏิมากรรมขนาดเล็กซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่คำว่าอันดากู เป็นชื่อของหินสบู่ชนิดหนึ่งที่มีแหล่งกำเนิดอยู่ในประเทศเมียนมาร์ แต่ด้วยความยาวนานของอายุศิลปะชนิดนี้ที่มีความต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันทำให้คำว่า อันดากู กลายเป็นสรรพนามของการเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งในพระพุทธศาสนา และวัฒนธรรมการเรียกอันดากู ที่มีความหมายทั้งชื่อของวัสดุ และศิลปะเพื่อศาสนาพุทธที่เกี่ยวกับปรัชญาทางพุทธประวัติที่ถูกยอมรับโดยนักประวัติศาสตร์ศิลปะและนักโบราณคดีทั่วโลกในทุกวันนี้
    อันดากูเป็นปฏิมากรรมขนาดเล็กมาก สืบเนื่องมาจากการที่เป็นแผ่นหินธรรมชาติขนาดเล็กทั้งขาดซึ่งเทคโนโลยี่ในการขุดในสมัยนั้น จึงทำให้ขนาดของอันดากูจึงเป็นเอกลักษณ์อีกชนิดหนึ่งของศิลปะชนิดนี้ เพราะโดยปรกติปฏิมากรชาวเมียนมาร์นิยมการและสลักหินขนาดใหญ่อย่างที่เรามักจะพบเห็นพระพุทธรูปที่แกะจากหินชนิดอื่นๆ ที่มีขนาดใหญ่มากในเมียนมาร์ที่มีอยู่จำนวนมากตามสถานที่ต่างๆ แต่สำหรับชาวเมียนมาร์แล้ว อันดากูถึงแม้จะมีขนาดเล็กแต่กลับซ่อนความศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ไว้ภายใน เหตุเพราะอันดากูถูกรังสรรค์ขึ้นจากปรัชญาที่ลุ่มลึกไม่เหมือนใคร หากผู้ใดเข้าถึงปรัชญาการสร้างนี้แล้ว เป็นธรรมดาที่จะต้องเกิดแรงศรัทธาที่มีต่อปฏิมากรรมชิ้นเล็กเหล่านี้ เพราะคำว่า อันดากู ในสังคมของชาวเมียนมาร์หมายถึงคำศักดิ์สิทธิ์คล้ายกับการเอ่ยพระนามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    อันดากู รัตนชาติแห่งพระพุทธศาสนา หากกล่าวถึง อันดากู สำหรับสังคมของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธชาวเมียนมาร์ แล้ว หมายถึงองค์ปฏิมากรรมขนาดเล็กซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่คำว่าอันดากู เป็นชื่อของหินสบู่ชนิดหนึ่งที่มีแหล่งกำเนิดอยู่ในประเทศเมียนมาร์ แต่ด้วยความยาวนานของอายุศิลปะชนิดนี้ที่มีความต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันทำให้คำว่า อันดากู กลายเป็นสรรพนามของการเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งในพระพุทธศาสนา และวัฒนธรรมการเรียกอันดากู ที่มีความหมายทั้งชื่อของวัสดุ และศิลปะเพื่อศาสนาพุทธที่เกี่ยวกับปรัชญาทางพุทธประวัติที่ถูกยอมรับโดยนักประวัติศาสตร์ศิลปะและนักโบราณคดีทั่วโลกในทุกวันนี้ อันดากูเป็นปฏิมากรรมขนาดเล็กมาก สืบเนื่องมาจากการที่เป็นแผ่นหินธรรมชาติขนาดเล็กทั้งขาดซึ่งเทคโนโลยี่ในการขุดในสมัยนั้น จึงทำให้ขนาดของอันดากูจึงเป็นเอกลักษณ์อีกชนิดหนึ่งของศิลปะชนิดนี้ เพราะโดยปรกติปฏิมากรชาวเมียนมาร์นิยมการและสลักหินขนาดใหญ่อย่างที่เรามักจะพบเห็นพระพุทธรูปที่แกะจากหินชนิดอื่นๆ ที่มีขนาดใหญ่มากในเมียนมาร์ที่มีอยู่จำนวนมากตามสถานที่ต่างๆ แต่สำหรับชาวเมียนมาร์แล้ว อันดากูถึงแม้จะมีขนาดเล็กแต่กลับซ่อนความศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ไว้ภายใน เหตุเพราะอันดากูถูกรังสรรค์ขึ้นจากปรัชญาที่ลุ่มลึกไม่เหมือนใคร หากผู้ใดเข้าถึงปรัชญาการสร้างนี้แล้ว เป็นธรรมดาที่จะต้องเกิดแรงศรัทธาที่มีต่อปฏิมากรรมชิ้นเล็กเหล่านี้ เพราะคำว่า อันดากู ในสังคมของชาวเมียนมาร์หมายถึงคำศักดิ์สิทธิ์คล้ายกับการเอ่ยพระนามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • ญี่ปุ่น 6 : โชเฮ โอทานิ (Shohei Ohtani)

    วันนี้วันดีปีใหม่ ผมอยากเล่าถึง “โชเฮ โอทานิ” นักเบสบอลมหัศจรรย์ของชาวญี่ปุ่น เอาไว้ให้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนที่อยากประสบความสำเร็จครับ

    โชเฮ โอทานิ หรือชื่อเล่นที่เรียกว่า “โชไทม์ (Sho-time)” นี้เป็นเด็กหนุ่มอายุ 30 ปีที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในฐานะนักเบสบอลอาชีพ ที่ตอนนี้ไปเล่นให้กับทีมแอลเอ ดอดเจอร์ในสหรัฐฯและพาทีมคว้าแชมป์ 2024 ไปเรียบร้อย

    ความมหัศจรรย์ของโอทานิก็คือ เขาเป็นนักเบสบอลที่เล่นเป็นมือขว้าง (พิทเชอร์) หรือมือตี (พัทเตอร์) ก็ได้ เรียกว่าเป็น Two-way player

    โอทานินั้นไม่ใช่แค่ว่า ”ขว้างลูกได้“ ครับแต่เป็นพิทเชอร์ที่ขว้างลูกได้ดีเลิศ คือ ขว้างได้สปีดถึง 160 กม./ชม. ลูกโค้งซ้าย-ขวา-บน-ล่าง นั้นทำได้หมด

    และในฐานะพัทเตอร์นั้น เขาตีลูกได้แรงและแม่นยำ ตีโฮมรันเป็นว่าเล่น พละกำลังมหาศาลด้วยร่างกายที่สูงใหญ่ถึง 195 ซม.

    โอทานินั้นถนัดทั้งมือซ้ายและขวา กล่าวคือ ขว้างด้วยมือขวา ตีด้วยมือซ้าย

    เมื่อเขามาเล่นเบสบอลในเมเจอร์ลีกที่อเมริกา ในปี 2021 เขาได้รับรางวัลนักกีฬาทรงคุณค่าสูงสุด (MVP) 2 รางวัล คือ ตำแหน่งพิทเชอร์กับตำแหน่งพัทเตอร์ในซีซั่นเดียว

    นักเบสบอลแบบนี้ 100 ปีจะมีสักหนึ่งคน

    สื่ออเมริกันถึงกับบอกว่า โอทานินั้นเหนือกว่าเบ๊บ รูท (Babe Ruth) นักเบสบอลอเมริกันในตำนานที่เป็น Two-way player เช่นกันเสียอีก

    นอกจากความเป็นยอดนักกีฬาแล้วคุณสมบัติที่ทำให้โอทานิโด่งดังในวงการนั้นมี 3 ประการครับ คือ

    หนึ่ง…..ความถ่อมตน (Humility)
    สอง…..ความขยันหมั่นเพียร
    สาม…..ความมุ่งมั่น
    .
    .
    .
    โอทานินั้นเป็นเด็กหนุ่มที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ”ยาคิว โชเนน - yakyu shonen“ แปลว่า ”เด็กที่หายใจเข้าออกเป็นเบสบอลทุกวินาที“ ครับ

    ความลุ่มหลงในเบสบอลของโอทานินั้น เกิดขึ้นตั้งแต่เป็นเด็กชายตัวเปี๊ยกเดียวครับ เพราะพ่อของโอทานิเป็นนักเบสบอลกึ่งอาชีพ ส่วนแม่นั้นเป็นนักแบดมินตันระดับมัธยม

    พ่อของโอทานินั้นสอนเทคนิคการขว้างลูกโดยใช้แรงจากสะโพกและการบิดตัว ทำให้โอทานิน้อยวัย 10 ขวบสามารถขว้างลูกได้เร็วเป็น 100 กม./ชม.เลยเชียว

    เมื่อโอทานิโตขึ้นมาถึงระดับมัธยม เขาก็เข้าไปเล่นเบสบอลในทีมโรงเรียนซึ่งมีโค้ชชื่อ “ซาซากิ”

    โค้ชซาซากินี้เองที่เป็นผู้บ่มเพาะนิสัยความถ่อมตนให้กับโอทานิ

    เมื่อโค้ชซาซากิเห็นฝีมือของโอทานิปร๊าดเดียว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือดาวรุ่งคนใหม่ของวงการ

    ดังนั้นหน้าที่ที่โค้ชซาซากิมอบหมายให้เด็กใหม่ที่ชื่อโอทานิทำก็คือ “ล้างห้องน้ำ” ครับ

    เหตุผลของโค้ชก็คือ “ตำแหน่งยืนของ
    พิทเชอร์คือจุดที่สูงสุดในสนามเบสบอล เปรียบได้กับเวที เมื่อคุณไปยืนอยู่บนเวที คุณจะได้รับความสนใจ มีนักข่าวมาสัมภาษณ์และเขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณมากที่สุด“

    “The mound is the most elevated place on the field, It’s a stage. If you’re on that stage, you receive the most attention. You get interviewed and written about the most.”

    นี่คือวิธีการสอนความถ่อมตนในสไตล์ของโค้ชซาซากิครับ

    โค้ชยังบอกเพิ่มเติมอีกว่า

    ”ความสะอาดของห้องน้ำนั้นบอกอะไรเราได้เยอะนะคุณ เวลาคุณไปเดินห้างสรรพสินค้าหรือไปสถานที่ต่างๆแล้วคุณไปเจอห้องน้ำที่สะอาดเอี่ยมน่ะ มันบอกอะไรบางอย่างกับคุณใช่ไหมว่า คนที่ทำงานที่นี่น่ะเป็นคนอย่างไร เขาให้ความสำคัญกับรายละเอียดเพียงใด“
    .
    .
    .
    การฝึกซ้อมของทีมเบสบอลโรงเรียนนี้หนักหนาสาหัสมาก นักเบสบอลวัยรุ่นเหล่านี้จะต้องกินนอนอยู่กับทีมตลอดปี ได้กลับบ้านแค่ปีละ 6 วันเท่านั้น

    ซึ่งนั่นก็ดูเหมือนจะถูกจริตของโอทานิซึ่งมีความสุขกับการซ้อม การแข่ง การล้างห้องน้ำและ ”การกิน“

    โค้ชซาซากิเล่าว่าโอทานิในเวลานั้นตัวเล็กมาก โค้ชจึงให้โอทานิกินอาหารให้เยอะที่สุด เพื่อนร่วมทีมคนไหนกินอาหารเหลือก็ส่งมาให้โอทานิกินต่อ

    กินจนกินไม่ไหวถึงจะเลิกกิน

    กินเสร็จก็ไปออกกำลังกาย ยกเวท จนโอทานิสูงใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่น ร่างกายสมบูรณ์เป็นนักกีฬาระดับโลก
    .
    .
    .
    จนเมื่อโอทานิแข่งเบสบอลในระดับมัธยมปลายทั่วประเทศ หรือ “โคชิเอ็น”

    โอทานิก็มุ่งมั่นชัดเจนว่าอยากจะเล่นเบสบอลอาชีพซี่งเขาก็เริ่มจากลีกญี่ปุ่น จนไปสู่เมเจอร์ลีกในสหรัฐอเมริกา

    กวาดรางวัลและทำลายสถิติมาทุกแห่ง

    แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนในตัวโอทานิเลยก็คือ ความสงบเสงี่ยม พูดน้อยและถ่อมตน

    ไปสัมภาษณ์ที่ไหนก็พูดนิดเดียว บางทีเมื่อไม่มีอะไรจะพูด โอทานิก็พูดสั้นๆเบาๆแค่ว่า ”ขอโทษนะครับ“

    ตอนที่โอทานิเริ่มได้เงินเดือนจากการแข่งอาชีพจากทีมไฟท์เตอร์ในลีกญี่ปุ่น 2.4 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น โอทานิให้แม่เป็นคนจัดการเรื่องเงินทองทั้งหมด

    และบอกแม่ว่าให้โอนเงินใส่บัญชีให้เขาใช้เดือนละ 1,000 ดอลล่าร์ หรือ 34,000 บาทก็พอ ซึ่งเอาจริงๆเขาก็ไม่ค่อยจะได้แตะเงินเท่าไร เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่กับการซ้อม การแข่งเบสบอล

    สื่อมวลชนกีฬาของญี่ปุ่นซึ่งชอบขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของนักกีฬามาแฉนั้น ก็ไม่รู้จะทำอะไรกับโอทานิ เพราะไม่มีอะไรจะให้แฉเลยสักนิด

    เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว โอทานิไม่ชอบเปิดเผยเรื่องส่วนตัวกับใคร

    วันๆเอาแต่ออกกำลังกายกับเล่นเบสบอล
    .
    .
    .
    ล่าสุดโอทานิก็สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งเมื่อเซ็นสัญญา 10 ปีด้วยค่าตัว 700 ล้านดอลล่าร์กับทีมแอลเอ ดอดเจอร์

    เป็นสัญญาที่แพงที่สุดประวัติศาสตร์วงการกีฬาโลก

    ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมโอทานิถึงได้กลายเป็นไอดอลของคนญี่ปุ่น

    ….พูดน้อย ถ่อมตน ซ้อมหนัก ผลงานเป็นเลิศ….

    คุณสมบัติที่หาได้ยากยิ่งในยุคที่คนส่วนใหญ่พูดเยอะแต่ไร้ผลงาน


    นัทแนะ
    ญี่ปุ่น 6 : โชเฮ โอทานิ (Shohei Ohtani) วันนี้วันดีปีใหม่ ผมอยากเล่าถึง “โชเฮ โอทานิ” นักเบสบอลมหัศจรรย์ของชาวญี่ปุ่น เอาไว้ให้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนที่อยากประสบความสำเร็จครับ โชเฮ โอทานิ หรือชื่อเล่นที่เรียกว่า “โชไทม์ (Sho-time)” นี้เป็นเด็กหนุ่มอายุ 30 ปีที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในฐานะนักเบสบอลอาชีพ ที่ตอนนี้ไปเล่นให้กับทีมแอลเอ ดอดเจอร์ในสหรัฐฯและพาทีมคว้าแชมป์ 2024 ไปเรียบร้อย ความมหัศจรรย์ของโอทานิก็คือ เขาเป็นนักเบสบอลที่เล่นเป็นมือขว้าง (พิทเชอร์) หรือมือตี (พัทเตอร์) ก็ได้ เรียกว่าเป็น Two-way player โอทานินั้นไม่ใช่แค่ว่า ”ขว้างลูกได้“ ครับแต่เป็นพิทเชอร์ที่ขว้างลูกได้ดีเลิศ คือ ขว้างได้สปีดถึง 160 กม./ชม. ลูกโค้งซ้าย-ขวา-บน-ล่าง นั้นทำได้หมด และในฐานะพัทเตอร์นั้น เขาตีลูกได้แรงและแม่นยำ ตีโฮมรันเป็นว่าเล่น พละกำลังมหาศาลด้วยร่างกายที่สูงใหญ่ถึง 195 ซม. โอทานินั้นถนัดทั้งมือซ้ายและขวา กล่าวคือ ขว้างด้วยมือขวา ตีด้วยมือซ้าย เมื่อเขามาเล่นเบสบอลในเมเจอร์ลีกที่อเมริกา ในปี 2021 เขาได้รับรางวัลนักกีฬาทรงคุณค่าสูงสุด (MVP) 2 รางวัล คือ ตำแหน่งพิทเชอร์กับตำแหน่งพัทเตอร์ในซีซั่นเดียว นักเบสบอลแบบนี้ 100 ปีจะมีสักหนึ่งคน สื่ออเมริกันถึงกับบอกว่า โอทานินั้นเหนือกว่าเบ๊บ รูท (Babe Ruth) นักเบสบอลอเมริกันในตำนานที่เป็น Two-way player เช่นกันเสียอีก นอกจากความเป็นยอดนักกีฬาแล้วคุณสมบัติที่ทำให้โอทานิโด่งดังในวงการนั้นมี 3 ประการครับ คือ หนึ่ง…..ความถ่อมตน (Humility) สอง…..ความขยันหมั่นเพียร สาม…..ความมุ่งมั่น . . . โอทานินั้นเป็นเด็กหนุ่มที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ”ยาคิว โชเนน - yakyu shonen“ แปลว่า ”เด็กที่หายใจเข้าออกเป็นเบสบอลทุกวินาที“ ครับ ความลุ่มหลงในเบสบอลของโอทานินั้น เกิดขึ้นตั้งแต่เป็นเด็กชายตัวเปี๊ยกเดียวครับ เพราะพ่อของโอทานิเป็นนักเบสบอลกึ่งอาชีพ ส่วนแม่นั้นเป็นนักแบดมินตันระดับมัธยม พ่อของโอทานินั้นสอนเทคนิคการขว้างลูกโดยใช้แรงจากสะโพกและการบิดตัว ทำให้โอทานิน้อยวัย 10 ขวบสามารถขว้างลูกได้เร็วเป็น 100 กม./ชม.เลยเชียว เมื่อโอทานิโตขึ้นมาถึงระดับมัธยม เขาก็เข้าไปเล่นเบสบอลในทีมโรงเรียนซึ่งมีโค้ชชื่อ “ซาซากิ” โค้ชซาซากินี้เองที่เป็นผู้บ่มเพาะนิสัยความถ่อมตนให้กับโอทานิ เมื่อโค้ชซาซากิเห็นฝีมือของโอทานิปร๊าดเดียว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือดาวรุ่งคนใหม่ของวงการ ดังนั้นหน้าที่ที่โค้ชซาซากิมอบหมายให้เด็กใหม่ที่ชื่อโอทานิทำก็คือ “ล้างห้องน้ำ” ครับ เหตุผลของโค้ชก็คือ “ตำแหน่งยืนของ พิทเชอร์คือจุดที่สูงสุดในสนามเบสบอล เปรียบได้กับเวที เมื่อคุณไปยืนอยู่บนเวที คุณจะได้รับความสนใจ มีนักข่าวมาสัมภาษณ์และเขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณมากที่สุด“ “The mound is the most elevated place on the field, It’s a stage. If you’re on that stage, you receive the most attention. You get interviewed and written about the most.” นี่คือวิธีการสอนความถ่อมตนในสไตล์ของโค้ชซาซากิครับ โค้ชยังบอกเพิ่มเติมอีกว่า ”ความสะอาดของห้องน้ำนั้นบอกอะไรเราได้เยอะนะคุณ เวลาคุณไปเดินห้างสรรพสินค้าหรือไปสถานที่ต่างๆแล้วคุณไปเจอห้องน้ำที่สะอาดเอี่ยมน่ะ มันบอกอะไรบางอย่างกับคุณใช่ไหมว่า คนที่ทำงานที่นี่น่ะเป็นคนอย่างไร เขาให้ความสำคัญกับรายละเอียดเพียงใด“ . . . การฝึกซ้อมของทีมเบสบอลโรงเรียนนี้หนักหนาสาหัสมาก นักเบสบอลวัยรุ่นเหล่านี้จะต้องกินนอนอยู่กับทีมตลอดปี ได้กลับบ้านแค่ปีละ 6 วันเท่านั้น ซึ่งนั่นก็ดูเหมือนจะถูกจริตของโอทานิซึ่งมีความสุขกับการซ้อม การแข่ง การล้างห้องน้ำและ ”การกิน“ โค้ชซาซากิเล่าว่าโอทานิในเวลานั้นตัวเล็กมาก โค้ชจึงให้โอทานิกินอาหารให้เยอะที่สุด เพื่อนร่วมทีมคนไหนกินอาหารเหลือก็ส่งมาให้โอทานิกินต่อ กินจนกินไม่ไหวถึงจะเลิกกิน กินเสร็จก็ไปออกกำลังกาย ยกเวท จนโอทานิสูงใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่น ร่างกายสมบูรณ์เป็นนักกีฬาระดับโลก . . . จนเมื่อโอทานิแข่งเบสบอลในระดับมัธยมปลายทั่วประเทศ หรือ “โคชิเอ็น” โอทานิก็มุ่งมั่นชัดเจนว่าอยากจะเล่นเบสบอลอาชีพซี่งเขาก็เริ่มจากลีกญี่ปุ่น จนไปสู่เมเจอร์ลีกในสหรัฐอเมริกา กวาดรางวัลและทำลายสถิติมาทุกแห่ง แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนในตัวโอทานิเลยก็คือ ความสงบเสงี่ยม พูดน้อยและถ่อมตน ไปสัมภาษณ์ที่ไหนก็พูดนิดเดียว บางทีเมื่อไม่มีอะไรจะพูด โอทานิก็พูดสั้นๆเบาๆแค่ว่า ”ขอโทษนะครับ“ ตอนที่โอทานิเริ่มได้เงินเดือนจากการแข่งอาชีพจากทีมไฟท์เตอร์ในลีกญี่ปุ่น 2.4 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น โอทานิให้แม่เป็นคนจัดการเรื่องเงินทองทั้งหมด และบอกแม่ว่าให้โอนเงินใส่บัญชีให้เขาใช้เดือนละ 1,000 ดอลล่าร์ หรือ 34,000 บาทก็พอ ซึ่งเอาจริงๆเขาก็ไม่ค่อยจะได้แตะเงินเท่าไร เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่กับการซ้อม การแข่งเบสบอล สื่อมวลชนกีฬาของญี่ปุ่นซึ่งชอบขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของนักกีฬามาแฉนั้น ก็ไม่รู้จะทำอะไรกับโอทานิ เพราะไม่มีอะไรจะให้แฉเลยสักนิด เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว โอทานิไม่ชอบเปิดเผยเรื่องส่วนตัวกับใคร วันๆเอาแต่ออกกำลังกายกับเล่นเบสบอล . . . ล่าสุดโอทานิก็สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งเมื่อเซ็นสัญญา 10 ปีด้วยค่าตัว 700 ล้านดอลล่าร์กับทีมแอลเอ ดอดเจอร์ เป็นสัญญาที่แพงที่สุดประวัติศาสตร์วงการกีฬาโลก ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมโอทานิถึงได้กลายเป็นไอดอลของคนญี่ปุ่น ….พูดน้อย ถ่อมตน ซ้อมหนัก ผลงานเป็นเลิศ…. คุณสมบัติที่หาได้ยากยิ่งในยุคที่คนส่วนใหญ่พูดเยอะแต่ไร้ผลงาน นัทแนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประวัติศาสตร์ต้องจารึก การผนึกกำลังทวงคืนความยุติธรรมให้แตงโม
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    ประวัติศาสตร์ต้องจารึก การผนึกกำลังทวงคืนความยุติธรรมให้แตงโม #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 11 0 รีวิว
  • COAC(H)EOlogist ผสานศาสตร์ซึ่งเป็นความสำเร็จและความล้มเหลวของ CEO และวิธีการที่ CEO สร้างผลงานและผลลัพธ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นผ่านกระบวนการโค้ชหลากมิติแบบองค์รวม ถ่ายทอดผ่านเรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรงที่ถอดรหัสด้วยวิธีการ “INSIGTSHACK”

    วันนี้เราเริ่มต้นกันด้วยกรณีศึกษาที่น่าสนใจขององค์กรชั้นนำ
    ย้อนกลับไปในยุค 80s Michael Dell หนุ่มน้อยไฟแรง ได้ก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์ Dell จากห้องพักในหอพักมหาวิทยาลัย ด้วยวิสัยทัศน์อันเฉียบคมและกลยุทธ์ที่ไม่เหมือนใคร Dell เติบโตอย่างก้าวกระโดด สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการธุรกิจ
    แล้ววันหนึ่ง เมื่อ Michael Dell ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO Dell ก็เริ่มสูญเสียพลังแห่งการบุกเบิก บริษัทเติบโตเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ความคล่องตัวลดลง และเริ่มห่างเหินจากลูกค้า Michael Dell ตัดสินใจครั้งสำคัญ เขากลับมาบริหารงานอีกครั้ง และนำ Dell ออกจากตลาดหลักทรัพย์ เพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กร เสริมสร้าง "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" และพา Dell กลับสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จอีกครั้ง

    ไม่เพียงแค่ Dell เท่านั้น บริษัทไอทีชั้นนำอย่าง HP และ Apple ก็เคยประสบปัญหาจากการสูญเสีย "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" เช่นกัน

    Meg Whitman CEO ของ HP ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการฟื้นฟู HP ด้วยการย้อนกลับไปสู่หลักการดั้งเดิมของผู้ก่อตั้ง ลดขนาดองค์กร และเพิ่มการลงทุนใน R&D

    ส่วน Apple ทุกคนคงทราบดีถึงเรื่องราวของ Steve Jobs ที่ออกจาก Apple แล้วบริษัทเริ่มมีปัญหา แต่เมื่อเขากลับมา Apple ก็กลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม

    เรื่องราวของ Dell, HP และ Apple สะท้อนให้เห็นว่า "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จขององค์กร

    คำถามที่น่าใจคือแล้ว "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" คืออะไร? องค์ประกอบสำคัญมีอะไรบ้าง? และองค์กรของคุณจะรักษาจิตวิญญาณนี้ไว้ได้อย่างไร?

    🎯 ตอนนี้…คำถามสำหรับองค์กรของคุณ:
    •คุณยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งหรือไม่?
    •องค์กรของคุณมีความคล่องตัว รวดเร็ว และปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ดีหรือไม่?
    •พนักงานของคุณมีแรงบันดาลใจและรู้สึกเป็นเจ้าขององค์กรหรือไม่?
    .
    ประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาแนะนำกว่า 30 ปี ทำให้ได้รับโแกาส และความไว้วางใจจากผู้ก่อตั้งองค์กรก่อนส่งต่อยังรุ่นลูกรุ่นหลาน ได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับบรรดาผู้ก่อตะ้งองค์กรหลายประเภท หลายขนาด ในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งต่างปรารถนาที่จะให้ “องค์กรที่ปลุกปั้นมากับมือเติบโต แข็งแกร่ง”
    บ้างก็สมตามเจตนาและความตั้งใจ บางแห่ง บางองค์กรรู้สึกอึดอัดใจ
    ในฐานะของผู้มีจิตวิญญาณของนักวินิจฉัย ที่ปรึกษาองค์กร โค้ชทางธุรกิจ และนักวิจัยองค์กรที่ศึกษาวิธีปฏิบัติที่ดีมามากมายย่อมต้องหาโซลูชั่นที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า
    คำถามบอกทิศ ... คำตอบบอกทาง ดังนั้นคำถามที่ดีมีชียไปกว่าครึ่ง “องค์กรในระดับโลกทำอย่างไร?”

    ในโลกธุรกิจ พลังขับเคลื่อนที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งคือพลังงาน ความมุ่งมั่น และวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" นี้สามารถสร้างมูลค่ามหาศาลให้กับบริษัท แม้ผู้ก่อตั้งจะไม่ได้บริหารงานแล้วก็ตาม แต่หากสูญเสียจิตวิญญาณนี้ไป บริษัทก็อาจสูญเสียคุณค่าอย่างรวดเร็ว
    องค์กรชั้นนำ Dell, Hewlett-Packard และ Apple ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร และการเติบโตขององค์กร ทำให้บริษัทเหล่านี้เริ่มสูญเสียจิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง จนประสบปัญหาต่างๆ
    •Dell
    หลัง Michael Dell ลาออกจากตำแหน่ง CEO Dell เริ่มชะลอตัว จนเขาต้องกลับมาบริหารงานอีกครั้ง และตัดสินใจนำบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ (private) เพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กร
    •HP
    Meg Whitman CEO ของ HP พยายามกอบกู้บริษัทด้วยการย้อนกลับไปสู่หลักการดั้งเดิมของผู้ก่อตั้ง แยก HP ออกเป็นสองบริษัท ลดจำนวนพนักงาน และเพิ่มการลงทุนใน R&D
    • Apple
    เรื่องราวของ Steve Jobs ที่ออกจาก Apple แล้วบริษัทเริ่มมีปัญหา แต่เมื่อเขากลับมา Apple ก็กลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม

    จากการวิจัยพบว่า "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก
    1.พันธกิจแห่งการบุกเบิก: สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงาน
    2.ความมุ่งมั่นในแนวหน้า: ให้ความสำคัญกับลูกค้าและพนักงานที่สัมผัสลูกค้าโดยตรง
    3.กรอบความคิดแบบเจ้าของ: รับผิดชอบต่อผลลัพธ์และเติบโตอย่างยั่งยืน
    .
    องค์กรที่รักษาจิตวิญญาณผู้ก่อตั้งไว้ได้ แม้เติบโตเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ก็ยังคงความคล่องตัว มีพลัง และดึงดูดคนเก่งได้
    .
    คำถามสำหรับองค์กรของคุณ:
    •คุณยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งหรือไม่?
    •องค์กรของคุณมีความคล่องตัว รวดเร็ว และปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ดีหรือไม่?
    •พนักงานของคุณมีแรงบันดาลใจและรู้สึกเป็นเจ้าขององค์กรหรือไม่?
    หากคำตอบคือ ... "ไม่"
    ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องฟื้นฟู "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" เพื่อพาองค์กรกลับสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จอีกครั้ง

    Dell, HP และ Apple
    ค้นพบวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งอีกครั้ง
    และทำไมองค์กรคุณจึงควรทำเช่นเดียวกัน

    ค้นพบวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งและฟื้นคืนชีพองค์กรสู่วิสัยทัศน์ผู้ก่อตั้งกับบริการของเรา:
    เราช่วยองค์กรวิเคราะห์และฟื้นฟู "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" ผ่านกระบวนการที่เข้มข้น
    •สัมภาษณ์ผู้บริหาร: เพื่อทำความเข้าใจวิสัยทัศน์ ปัญหา และเป้าหมายขององค์กร
    •วิเคราะห์ข้อมูล: เพื่อประเมินสถานะ "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" ในองค์กร
    •จัด Workshop: เพื่อสร้างความเข้าใจและแรงบันดาลใจให้กับพนักงาน
    •พัฒนาแผนปฏิบัติการ: เพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กรและขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความสำเร็จ
    ติดต่อเราวันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาฟรี!

    เดชฤทธิ์ กรุ๊ป ผู้บริหารแบรนด์ “LIFE ALIGNMENTOR”, แบรนด์ “10X CONSULTING” ที่ปรึกษามืออาชีพแบรนด์เดียวในไทยที่มีประสบการณ์ตรงกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ - กลยุทธ์กว่า 3,000 โครงการ เรามีทีมงานมืออาชีพซึ่งมีประสบการณ์พัฒนาธุรกิจและองค์กรมานานกว่า 30 ปี พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์สร้างการเติบโตพร้อมกับคุณ

    เดชฤทธิ์ กรุ๊ป
    ผู้บริหารแบรนด์ 10X Consulting และ Life Alignmentor
    บริการครบเครื่องเรื่องพัฒนาศักยภาพ
    #เดชฤทธิ์กรุ๊ป
    #Dechritgroup
    #10Xconsulting
    #lifealignmentor
    พัฒนาองค์กรและผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ไทยในระดับโลก
    https://10-xconsulting.com
    ปั้นคนให้เป็นแชมป์ด้วยพลังทวี
    “ผสานความดีxความเก่ง”
    https://lifealignmentor.com
    COAC(H)EOlogist ผสานศาสตร์ซึ่งเป็นความสำเร็จและความล้มเหลวของ CEO และวิธีการที่ CEO สร้างผลงานและผลลัพธ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นผ่านกระบวนการโค้ชหลากมิติแบบองค์รวม ถ่ายทอดผ่านเรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรงที่ถอดรหัสด้วยวิธีการ “INSIGTSHACK” วันนี้เราเริ่มต้นกันด้วยกรณีศึกษาที่น่าสนใจขององค์กรชั้นนำ ย้อนกลับไปในยุค 80s Michael Dell หนุ่มน้อยไฟแรง ได้ก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์ Dell จากห้องพักในหอพักมหาวิทยาลัย ด้วยวิสัยทัศน์อันเฉียบคมและกลยุทธ์ที่ไม่เหมือนใคร Dell เติบโตอย่างก้าวกระโดด สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการธุรกิจ แล้ววันหนึ่ง เมื่อ Michael Dell ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO Dell ก็เริ่มสูญเสียพลังแห่งการบุกเบิก บริษัทเติบโตเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ความคล่องตัวลดลง และเริ่มห่างเหินจากลูกค้า Michael Dell ตัดสินใจครั้งสำคัญ เขากลับมาบริหารงานอีกครั้ง และนำ Dell ออกจากตลาดหลักทรัพย์ เพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กร เสริมสร้าง "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" และพา Dell กลับสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จอีกครั้ง ไม่เพียงแค่ Dell เท่านั้น บริษัทไอทีชั้นนำอย่าง HP และ Apple ก็เคยประสบปัญหาจากการสูญเสีย "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" เช่นกัน Meg Whitman CEO ของ HP ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการฟื้นฟู HP ด้วยการย้อนกลับไปสู่หลักการดั้งเดิมของผู้ก่อตั้ง ลดขนาดองค์กร และเพิ่มการลงทุนใน R&D ส่วน Apple ทุกคนคงทราบดีถึงเรื่องราวของ Steve Jobs ที่ออกจาก Apple แล้วบริษัทเริ่มมีปัญหา แต่เมื่อเขากลับมา Apple ก็กลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม เรื่องราวของ Dell, HP และ Apple สะท้อนให้เห็นว่า "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จขององค์กร คำถามที่น่าใจคือแล้ว "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" คืออะไร? องค์ประกอบสำคัญมีอะไรบ้าง? และองค์กรของคุณจะรักษาจิตวิญญาณนี้ไว้ได้อย่างไร? 🎯 ตอนนี้…คำถามสำหรับองค์กรของคุณ: •คุณยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งหรือไม่? •องค์กรของคุณมีความคล่องตัว รวดเร็ว และปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ดีหรือไม่? •พนักงานของคุณมีแรงบันดาลใจและรู้สึกเป็นเจ้าขององค์กรหรือไม่? . ประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาแนะนำกว่า 30 ปี ทำให้ได้รับโแกาส และความไว้วางใจจากผู้ก่อตั้งองค์กรก่อนส่งต่อยังรุ่นลูกรุ่นหลาน ได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับบรรดาผู้ก่อตะ้งองค์กรหลายประเภท หลายขนาด ในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งต่างปรารถนาที่จะให้ “องค์กรที่ปลุกปั้นมากับมือเติบโต แข็งแกร่ง” บ้างก็สมตามเจตนาและความตั้งใจ บางแห่ง บางองค์กรรู้สึกอึดอัดใจ ในฐานะของผู้มีจิตวิญญาณของนักวินิจฉัย ที่ปรึกษาองค์กร โค้ชทางธุรกิจ และนักวิจัยองค์กรที่ศึกษาวิธีปฏิบัติที่ดีมามากมายย่อมต้องหาโซลูชั่นที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า คำถามบอกทิศ ... คำตอบบอกทาง ดังนั้นคำถามที่ดีมีชียไปกว่าครึ่ง “องค์กรในระดับโลกทำอย่างไร?” ในโลกธุรกิจ พลังขับเคลื่อนที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งคือพลังงาน ความมุ่งมั่น และวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" นี้สามารถสร้างมูลค่ามหาศาลให้กับบริษัท แม้ผู้ก่อตั้งจะไม่ได้บริหารงานแล้วก็ตาม แต่หากสูญเสียจิตวิญญาณนี้ไป บริษัทก็อาจสูญเสียคุณค่าอย่างรวดเร็ว องค์กรชั้นนำ Dell, Hewlett-Packard และ Apple ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร และการเติบโตขององค์กร ทำให้บริษัทเหล่านี้เริ่มสูญเสียจิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง จนประสบปัญหาต่างๆ •Dell หลัง Michael Dell ลาออกจากตำแหน่ง CEO Dell เริ่มชะลอตัว จนเขาต้องกลับมาบริหารงานอีกครั้ง และตัดสินใจนำบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ (private) เพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กร •HP Meg Whitman CEO ของ HP พยายามกอบกู้บริษัทด้วยการย้อนกลับไปสู่หลักการดั้งเดิมของผู้ก่อตั้ง แยก HP ออกเป็นสองบริษัท ลดจำนวนพนักงาน และเพิ่มการลงทุนใน R&D • Apple เรื่องราวของ Steve Jobs ที่ออกจาก Apple แล้วบริษัทเริ่มมีปัญหา แต่เมื่อเขากลับมา Apple ก็กลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม จากการวิจัยพบว่า "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก 1.พันธกิจแห่งการบุกเบิก: สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงาน 2.ความมุ่งมั่นในแนวหน้า: ให้ความสำคัญกับลูกค้าและพนักงานที่สัมผัสลูกค้าโดยตรง 3.กรอบความคิดแบบเจ้าของ: รับผิดชอบต่อผลลัพธ์และเติบโตอย่างยั่งยืน . องค์กรที่รักษาจิตวิญญาณผู้ก่อตั้งไว้ได้ แม้เติบโตเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ก็ยังคงความคล่องตัว มีพลัง และดึงดูดคนเก่งได้ . คำถามสำหรับองค์กรของคุณ: •คุณยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งหรือไม่? •องค์กรของคุณมีความคล่องตัว รวดเร็ว และปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ดีหรือไม่? •พนักงานของคุณมีแรงบันดาลใจและรู้สึกเป็นเจ้าขององค์กรหรือไม่? หากคำตอบคือ ... "ไม่" ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องฟื้นฟู "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" เพื่อพาองค์กรกลับสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จอีกครั้ง Dell, HP และ Apple ค้นพบวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งอีกครั้ง และทำไมองค์กรคุณจึงควรทำเช่นเดียวกัน ค้นพบวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งและฟื้นคืนชีพองค์กรสู่วิสัยทัศน์ผู้ก่อตั้งกับบริการของเรา: เราช่วยองค์กรวิเคราะห์และฟื้นฟู "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" ผ่านกระบวนการที่เข้มข้น •สัมภาษณ์ผู้บริหาร: เพื่อทำความเข้าใจวิสัยทัศน์ ปัญหา และเป้าหมายขององค์กร •วิเคราะห์ข้อมูล: เพื่อประเมินสถานะ "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" ในองค์กร •จัด Workshop: เพื่อสร้างความเข้าใจและแรงบันดาลใจให้กับพนักงาน •พัฒนาแผนปฏิบัติการ: เพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กรและขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความสำเร็จ ติดต่อเราวันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาฟรี! เดชฤทธิ์ กรุ๊ป ผู้บริหารแบรนด์ “LIFE ALIGNMENTOR”, แบรนด์ “10X CONSULTING” ที่ปรึกษามืออาชีพแบรนด์เดียวในไทยที่มีประสบการณ์ตรงกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ - กลยุทธ์กว่า 3,000 โครงการ เรามีทีมงานมืออาชีพซึ่งมีประสบการณ์พัฒนาธุรกิจและองค์กรมานานกว่า 30 ปี พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์สร้างการเติบโตพร้อมกับคุณ เดชฤทธิ์ กรุ๊ป ผู้บริหารแบรนด์ 10X Consulting และ Life Alignmentor บริการครบเครื่องเรื่องพัฒนาศักยภาพ #เดชฤทธิ์กรุ๊ป #Dechritgroup #10Xconsulting #lifealignmentor พัฒนาองค์กรและผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ไทยในระดับโลก https://10-xconsulting.com ปั้นคนให้เป็นแชมป์ด้วยพลังทวี “ผสานความดีxความเก่ง” https://lifealignmentor.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังพิจารณาประกาศนิรโทษกรรมล่วงหน้าให้บุคคลต่างๆ ที่อาจตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
    .
    ทรัมป์ ซึ่งเอาชนะ กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน จากพรรคเดโมแครต ในศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 เตรียมหวนคืนสู่เก้าอี้ทำเนียบขาวในวันที่ 20 มกราคมนี้
    .
    "มันยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่มีการตัดสินใจ" ไบเดน บอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) ตอบคำถามหนึ่งในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะนิรโทษกรรมล่วงหน้า
    .
    ไบเดน ถอนตัวจากศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 ในเดือนกรกฎาคม ท่ามกลางความกังวลที่โผล่ขึ้นมาภายในพรรคเดโมแครต ตามหลังผลงานการดีเบตกับทรัมป์ ที่ก่อความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนพรรค ท้ายที่สุดแล้วเขาก็หันไปรับรองแฮร์ริส แต่ว่าเธอก็พ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งให้ทรัมป์
    .
    ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงถึงเจตนาจะเอาผิดกับทุกคนที่เขามองเป็นศัตรู "ในนั้นรวมถึงแฮร์ริส และโจ ไบเดน บุคคลที่เขามองว่าเป็นประธานาธิบดีคอร์รัปชันเลวร้ายสุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา รวมถึงครอบครัวอาชญากรของเขาด้วย"
    .
    นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังวิพากษ์วิจารณ์ไบเดน สำหรับกรณีนิรโทษกรรมให้ ฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายตนเองในเดือนธันวาคม กลับลำจากที่เคยประกาศไว้ว่าจะไม่ทำเช่นนนั้น ทั้งนี้ ไบเดน อภัยโทษให้ ฮันเตอร์ แม้ถูกพิพากษาว่ามีความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษีและความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน และศาลมีกำหนดตัดสินระวางโทษในเดือนธันวาคม
    .
    ทรัมป์ เรียกการตัดสินใจดังกล่าวว่าเป็น "การบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม" และหยิบยกเรื่องนี้พาดพิงถึงบรรดาผู้สนับสนุนของเขาที่ถูกจำคุกฐานก่อจลาจลบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 "การนิรโทษกรรมที่ไบเดนมอบให้ฮันเตอร์ ได้นับรวมกลุ่ม J-6 Hostages ด้วยหรือเปล่า เวลานี้พวกเขาถูกคุมขังมานานหลายปีแล้ว มันเป็นการละเมิดและบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม!" ทรัมป์เขียนบนทรัสต์โซเชียล
    .
    นอกจากนี้ ว่าที่ประธานาธิบดียังเรียกร้องให้สืบสวนอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา และลิซ เชนีย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรครีพับลิกัน ที่ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์มาตลอด
    .
    ก่อนหน้าศึกเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 ทรัมป์ขู่ดำเนินคดีอย่างที่ไม่มีมาก่อน กับบุคคลต่างๆ ที่เขากล่าวหาว่าโกงเลือกตั้ง "ขอให้ทราบว่าความเสี่ยงถูกดำเนินการทางกฎหมายนี้ ครอบคลุมถึงพวกทนายความ พวกผู้ใช้อุบายในทางการเมือง บรรดาผู้บริจาค ผู้ใช้สิทธิใช้เสียงแบบผิดกฎหมายและพวกเจ้าหน้าที่เลือกตั้งที่คอร์รัปชัน" ทรัมป์โพสต์บนทรัสต์โซเชียล หลังจากก่อนหน้านี้เขาเคยกล่าวอ้างว่ามีการโกงเลือกตั้งอย่างกว้างขวางในปี 2020
    .
    ทรัมป์ ยังได้เน้นย้ำเมื่อปีที่แล้ว ว่าเขาจะไล่ออก แจ็ค สมิธ ที่ปรึกษาพิเศษของกระทรวงยุติธรรม ที่กำกับดูแลการสืบสวนว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากรีพับลิกันรายนี้ จนกระทั่ง สมิธ ตัดสินใจลาออกเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.)
    .
    เมื่อถามว่าเขาจะนิรโทษกรรมให้ตนเองหรือไม่ ทาง ไบเดน ปฏิเสธความคิดนี้ โดยบอกว่า "ผมไม่ได้ทำอะไรผิด"
    .
    มีความเป็นไปได้ว่าประธานาธิบดีอาจมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะประกาศนิรโทษกรรมล่วงหน้าอย่างกว้างขวาง ต่อการกระทำผิดใดๆ ตามกฎหมายรัฐบาลกลางในอดีตที่ผ่านมา แม้กระทั่งยังไม่ถูกยื่นฟ้องดำเนินคดีก็ตาม อย่างไรก็ตาม อำนาจนี้ไม่สามารถใช้กับความผิดทางอาญาตามกฎหมายในแต่ละรัฐหรือความผิดใดๆ ในอนาคต
    .
    ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่ารูปแบบการนิรโทษกรรมที่ไบเดนกำลังพิจารณาอยู่นั้น น่าจะเป็นการนิรโทษกรรมภายใต้ขอบเขตอำนาจพิเศษของประธานาธิบดี
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003513
    ..............
    Sondhi X
    โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังพิจารณาประกาศนิรโทษกรรมล่วงหน้าให้บุคคลต่างๆ ที่อาจตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ . ทรัมป์ ซึ่งเอาชนะ กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน จากพรรคเดโมแครต ในศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 เตรียมหวนคืนสู่เก้าอี้ทำเนียบขาวในวันที่ 20 มกราคมนี้ . "มันยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่มีการตัดสินใจ" ไบเดน บอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) ตอบคำถามหนึ่งในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะนิรโทษกรรมล่วงหน้า . ไบเดน ถอนตัวจากศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 ในเดือนกรกฎาคม ท่ามกลางความกังวลที่โผล่ขึ้นมาภายในพรรคเดโมแครต ตามหลังผลงานการดีเบตกับทรัมป์ ที่ก่อความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนพรรค ท้ายที่สุดแล้วเขาก็หันไปรับรองแฮร์ริส แต่ว่าเธอก็พ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งให้ทรัมป์ . ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงถึงเจตนาจะเอาผิดกับทุกคนที่เขามองเป็นศัตรู "ในนั้นรวมถึงแฮร์ริส และโจ ไบเดน บุคคลที่เขามองว่าเป็นประธานาธิบดีคอร์รัปชันเลวร้ายสุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา รวมถึงครอบครัวอาชญากรของเขาด้วย" . นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังวิพากษ์วิจารณ์ไบเดน สำหรับกรณีนิรโทษกรรมให้ ฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายตนเองในเดือนธันวาคม กลับลำจากที่เคยประกาศไว้ว่าจะไม่ทำเช่นนนั้น ทั้งนี้ ไบเดน อภัยโทษให้ ฮันเตอร์ แม้ถูกพิพากษาว่ามีความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษีและความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน และศาลมีกำหนดตัดสินระวางโทษในเดือนธันวาคม . ทรัมป์ เรียกการตัดสินใจดังกล่าวว่าเป็น "การบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม" และหยิบยกเรื่องนี้พาดพิงถึงบรรดาผู้สนับสนุนของเขาที่ถูกจำคุกฐานก่อจลาจลบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 "การนิรโทษกรรมที่ไบเดนมอบให้ฮันเตอร์ ได้นับรวมกลุ่ม J-6 Hostages ด้วยหรือเปล่า เวลานี้พวกเขาถูกคุมขังมานานหลายปีแล้ว มันเป็นการละเมิดและบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม!" ทรัมป์เขียนบนทรัสต์โซเชียล . นอกจากนี้ ว่าที่ประธานาธิบดียังเรียกร้องให้สืบสวนอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา และลิซ เชนีย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรครีพับลิกัน ที่ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์มาตลอด . ก่อนหน้าศึกเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 ทรัมป์ขู่ดำเนินคดีอย่างที่ไม่มีมาก่อน กับบุคคลต่างๆ ที่เขากล่าวหาว่าโกงเลือกตั้ง "ขอให้ทราบว่าความเสี่ยงถูกดำเนินการทางกฎหมายนี้ ครอบคลุมถึงพวกทนายความ พวกผู้ใช้อุบายในทางการเมือง บรรดาผู้บริจาค ผู้ใช้สิทธิใช้เสียงแบบผิดกฎหมายและพวกเจ้าหน้าที่เลือกตั้งที่คอร์รัปชัน" ทรัมป์โพสต์บนทรัสต์โซเชียล หลังจากก่อนหน้านี้เขาเคยกล่าวอ้างว่ามีการโกงเลือกตั้งอย่างกว้างขวางในปี 2020 . ทรัมป์ ยังได้เน้นย้ำเมื่อปีที่แล้ว ว่าเขาจะไล่ออก แจ็ค สมิธ ที่ปรึกษาพิเศษของกระทรวงยุติธรรม ที่กำกับดูแลการสืบสวนว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากรีพับลิกันรายนี้ จนกระทั่ง สมิธ ตัดสินใจลาออกเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) . เมื่อถามว่าเขาจะนิรโทษกรรมให้ตนเองหรือไม่ ทาง ไบเดน ปฏิเสธความคิดนี้ โดยบอกว่า "ผมไม่ได้ทำอะไรผิด" . มีความเป็นไปได้ว่าประธานาธิบดีอาจมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะประกาศนิรโทษกรรมล่วงหน้าอย่างกว้างขวาง ต่อการกระทำผิดใดๆ ตามกฎหมายรัฐบาลกลางในอดีตที่ผ่านมา แม้กระทั่งยังไม่ถูกยื่นฟ้องดำเนินคดีก็ตาม อย่างไรก็ตาม อำนาจนี้ไม่สามารถใช้กับความผิดทางอาญาตามกฎหมายในแต่ละรัฐหรือความผิดใดๆ ในอนาคต . ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่ารูปแบบการนิรโทษกรรมที่ไบเดนกำลังพิจารณาอยู่นั้น น่าจะเป็นการนิรโทษกรรมภายใต้ขอบเขตอำนาจพิเศษของประธานาธิบดี . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003513 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Angry
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 986 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์พวกผู้นำแคลิฟอร์เนียหนักหน่วงขึ้น ต่อกรณีจัดการกับไฟฟ้าที่กำลังเผาผลาญลอสแองเจลิส ทำให้ทางผู้ว่าการรัฐตอบโต้ ด้วยการกระตุ้นให้เขาลงพื้นที่มาดูสภาพความเสียหายด้วยตนเอง
    .
    "ไฟป่ายังคงโหมกระพือในแอลเอ พวกนักการเมืองที่ไร้ความสามารถ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะดับไฟได้" ทรัมป์เขียนบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง "นี่คือหนึ่งในหายนะครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศของเรา พวกเขาไม่ใช่แค่ไม่สามารถดับไฟเท่านั้น มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?"
    .
    กาวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย จากพรรคเดโมแครต ซึ่งตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์ของทรัมป์มาช้านาน ตอบโต้กลับระหว่างการสัมภาษณ์หนึ่งซึ่งออกอากาศในวันอาทิตย์ (12 ม.ค.) แต่ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงประนีประนอม "การตอบโต้กลับคำดูหมิ่นด่าทอของทรัมป์ เราอาจต้องใช้เวลาอีกเป็นเดือน" เขากล่าวกับเอ็นบีซี "เจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้งทุกคนที่เขาทะเลาะด้วยคุ้นเคยกับสิ่งนี้ดี"
    .
    ผู้ว่าการรัฐกล่าวต่อว่า "แต่ผมเรียกร้องให้เขาเดินทางมาดูด้วยตาตนเอง เราต้องการทำมันด้วยสปิริตแห่งการเปิดกว้าง ไม่ใช่ใจที่ปิดกั้น เขาคือว่าที่ประธานาธิบดี" พร้อมเผยว่าจนถึงตอนนี้ ทรัมป์ ยังไม่ตอบสนองใดๆ ต่อคำเชิญของเขา
    .
    บ่อยครั้งที่ ทรัมป์ กระทบกระทั่งกับ นิวซัม บุคคลที่ถูกมองว่าอาจก้าวมาเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2028 และแม้วิพากษ์วิจารณ์แนวทางรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ของผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่าในอดีตที่ผ่านมา ทรัมป์ เองก็เคยขู่ตัดงบบริหารจัดการไฟป่าของรัฐบาลที่ป้อนแก่แคลิฟอร์เนีย หากได้รับเลือกตั้ง ท่ามกลางข้อพิพาทกับ นิวซัม เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ
    .
    "ในจิตวิญญาณของประเทศที่ยิ่งใหญ่นี้ เราต้องไม่นำโศกนาฏกรรมของมนุษย์มาเป็นเรื่องทางการเมือง หรือแพร่กระจายข้อมูลบิดเบือน" นิวซัม เขียนตอบโต้ทรัมป์ แชร์บนสื่อสังคมออนไลน์ "ผมขอเชิญคุณมายังแคลิฟอร์เนียอีกครั้ง พบเจอกับอเมริกันชนที่ได้รับผลกระทบจากไฟไหม้นี้ มาดูหายนะด้วยตาตนเอง เข้าร่วมกับผลและคนอื่นๆ ในการขอบคุณวีรบุรุษนักดับเพลิงและทีมตอบสนองสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง นี่คือสไตล์ของเขา เราจริงจังกับคำพูดของเขา" ผู้ว่าการรัฐอ้างถึงคำขู่ของทรัมป์ เกี่ยวกับการตัดงบช่วยเหลือ
    .
    พวกเจ้าหน้าที่ระดับรัฐและระดับท้องถิ่นในแคลิฟอร์เนีย ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ในขณะที่ทรัมป์และสมาชิกรีพับลิกันรายอื่นๆ เช่นเดียวกันประชาชนที่บ้านถูกไฟเผาไหม้หรือเสี่ยงถูกเพลิงทำลายล้าง ส่งเสียงเรียกร้องขอคำตอบเกี่ยวกับแผนและการเตรียมการรับมือวิกฤตของทางรัฐ
    .
    จนถึงตอนนี้ไฟป่าครั้งเลวร้ายได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 16 ราย ไร้ที่อยู่อาศัยอีกกว่า 150,000 คน และสิ่งปลูกสร้างมากกว่า 12,000 หลัง ถูกทำลาย จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่รัฐ "บ้านอันงดงามหลายพันหลังหายวับไป และอีกมากจะสูญเสียเร็วๆ นี้ มีคนเสียชีวิตอยู่ในทุกพื้นที่" ทรัมป์โพสต์
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003511
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์พวกผู้นำแคลิฟอร์เนียหนักหน่วงขึ้น ต่อกรณีจัดการกับไฟฟ้าที่กำลังเผาผลาญลอสแองเจลิส ทำให้ทางผู้ว่าการรัฐตอบโต้ ด้วยการกระตุ้นให้เขาลงพื้นที่มาดูสภาพความเสียหายด้วยตนเอง . "ไฟป่ายังคงโหมกระพือในแอลเอ พวกนักการเมืองที่ไร้ความสามารถ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะดับไฟได้" ทรัมป์เขียนบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง "นี่คือหนึ่งในหายนะครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศของเรา พวกเขาไม่ใช่แค่ไม่สามารถดับไฟเท่านั้น มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?" . กาวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย จากพรรคเดโมแครต ซึ่งตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์ของทรัมป์มาช้านาน ตอบโต้กลับระหว่างการสัมภาษณ์หนึ่งซึ่งออกอากาศในวันอาทิตย์ (12 ม.ค.) แต่ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงประนีประนอม "การตอบโต้กลับคำดูหมิ่นด่าทอของทรัมป์ เราอาจต้องใช้เวลาอีกเป็นเดือน" เขากล่าวกับเอ็นบีซี "เจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้งทุกคนที่เขาทะเลาะด้วยคุ้นเคยกับสิ่งนี้ดี" . ผู้ว่าการรัฐกล่าวต่อว่า "แต่ผมเรียกร้องให้เขาเดินทางมาดูด้วยตาตนเอง เราต้องการทำมันด้วยสปิริตแห่งการเปิดกว้าง ไม่ใช่ใจที่ปิดกั้น เขาคือว่าที่ประธานาธิบดี" พร้อมเผยว่าจนถึงตอนนี้ ทรัมป์ ยังไม่ตอบสนองใดๆ ต่อคำเชิญของเขา . บ่อยครั้งที่ ทรัมป์ กระทบกระทั่งกับ นิวซัม บุคคลที่ถูกมองว่าอาจก้าวมาเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2028 และแม้วิพากษ์วิจารณ์แนวทางรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ของผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่าในอดีตที่ผ่านมา ทรัมป์ เองก็เคยขู่ตัดงบบริหารจัดการไฟป่าของรัฐบาลที่ป้อนแก่แคลิฟอร์เนีย หากได้รับเลือกตั้ง ท่ามกลางข้อพิพาทกับ นิวซัม เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ . "ในจิตวิญญาณของประเทศที่ยิ่งใหญ่นี้ เราต้องไม่นำโศกนาฏกรรมของมนุษย์มาเป็นเรื่องทางการเมือง หรือแพร่กระจายข้อมูลบิดเบือน" นิวซัม เขียนตอบโต้ทรัมป์ แชร์บนสื่อสังคมออนไลน์ "ผมขอเชิญคุณมายังแคลิฟอร์เนียอีกครั้ง พบเจอกับอเมริกันชนที่ได้รับผลกระทบจากไฟไหม้นี้ มาดูหายนะด้วยตาตนเอง เข้าร่วมกับผลและคนอื่นๆ ในการขอบคุณวีรบุรุษนักดับเพลิงและทีมตอบสนองสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง นี่คือสไตล์ของเขา เราจริงจังกับคำพูดของเขา" ผู้ว่าการรัฐอ้างถึงคำขู่ของทรัมป์ เกี่ยวกับการตัดงบช่วยเหลือ . พวกเจ้าหน้าที่ระดับรัฐและระดับท้องถิ่นในแคลิฟอร์เนีย ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ในขณะที่ทรัมป์และสมาชิกรีพับลิกันรายอื่นๆ เช่นเดียวกันประชาชนที่บ้านถูกไฟเผาไหม้หรือเสี่ยงถูกเพลิงทำลายล้าง ส่งเสียงเรียกร้องขอคำตอบเกี่ยวกับแผนและการเตรียมการรับมือวิกฤตของทางรัฐ . จนถึงตอนนี้ไฟป่าครั้งเลวร้ายได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 16 ราย ไร้ที่อยู่อาศัยอีกกว่า 150,000 คน และสิ่งปลูกสร้างมากกว่า 12,000 หลัง ถูกทำลาย จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่รัฐ "บ้านอันงดงามหลายพันหลังหายวับไป และอีกมากจะสูญเสียเร็วๆ นี้ มีคนเสียชีวิตอยู่ในทุกพื้นที่" ทรัมป์โพสต์ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003511 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 927 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลอสแองเจลีสส่งเครื่องบินพ่นน้ำและสารหน่วงไฟเข้าดับไฟป่าบนภูเขาเพื่อสกัดไม่ให้พาลิเซดส์ไฟร์ลามไปยังด้านตะวันออก ขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงภาคพื้นดินเพิ่มความพยายามในการต่อสู้กับไฟป่าบรรลัยกัลป์ท่ามกลางลมกรรโชกที่มีความเร็วสูงสุด 112.6 กม./ชม.ที่อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง นอกจากนั้น ยังมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสุขภาพจากควันพิษหนาทึบ และบังคับใช้มาตรการเคอร์ฟิวท่ามกลางการปล้นจี้และแอบพกพาอาวุธ
    .
    เจ้าหน้าที่เผยว่า ช่วง 24 ชั่วโมงก่อนหน้านั้นไฟป่าพาลิเซดส์ไฟร์ลุกลามครอบคลุมพื้นที่อีก 404 เฮกตาร์ และเผาผลาญบ้านเรือนจำนวนมาก ท็อดด์ ฮอปกินส์ เจ้าหน้าที่สำนักงานป่าไม้และการป้องกันอัคคีภัยรัฐแคลิฟอร์เนีย (แคลไฟร์) แถลงเมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ว่า สามารถควบคุมพาลิเซดส์ไฟร์ได้ 11% และมีพื้นที่ที่ถูกไฟป่าเผาผลาญรวมกว่า 8,900 เฮกตาร์
    .
    ฮอปกินส์แจงว่า พาลิเซดส์ไฟน์ลามไปยังย่านแมนเดวิลล์แคนยอน และอาจเข้าสู่เบรนต์วูด ซึ่งเป็นย่านที่พักผ่อนหย่อนใจของเหล่าเซเลบ รวมถึงซาน เฟอร์นันโด แวลลีย์ อีกทั้งมุ่งหน้าไปยังทางหลวงหลัก 405 ที่เชื่อมด้านเหนือกับด้านใต้ของเขตแคลิฟอร์เนียใต้
    .
    ขณะเดียวกัน บริการสภาพอากาศแห่งชาติ (เอ็นดับเบิลยูเอส) เตือนว่า ลมซานตาแอนาจะทวีกำลังแรงยิ่งขึ้นในช่วงคืนวันเสาร์จนถึงเช้าวันอาทิตย์ (12 ม.ค.) ในเทศมนฑลต่างๆ ของเมืองลอสแองเจลีสและเวนจูรา และระหว่างคืนวันจันทร์จนถึงเช้าวันอังคาร (13-14 ม.ค.) โดยมีความเร็วลมคงที่ที่ 48 กม./ชม. และความเร็วลมสูงสุด 112.6 กม./ชม.
    .
    โรส ชอนเฟลด์ นักอุตุนิยมวิทยาของเอ็นดับเบิลยูเอส ระบุว่า สภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเกิดไฟป่าจะยังคงอยู่ต่อไปตลอดวันพุธ (15 ม.ค.) ก่อนลดลงสู่ระดับปานกลางในวันพฤหัสฯ (16 ม.ค.)
    .
    ทางด้านโรเบิร์ต ลูนา เจ้าหน้าที่ปกครองเทศมณฑลลอสแองเจลีส เผยว่า จนถึงวันเสาร์คำสั่งอพยพครอบคลุมประชาชน 153,000 คน และสิ่งปลูกสร้าง 57,000 หลังอยู่ในความเสี่ยง โดยอาจมีการอพยพคนเพิ่มอีก 166,000 คน
    .
    อย่างไรก็ดี สตีเวน พาวเวลล์ ซีอีโอเซาธ์เทิร์น แคลิฟอร์เนีย เอดิสันเผยว่า จำนวนลูกค้าที่ยังคงไม่มีไฟฟ้าใช้ลดจากกว่า 500,000 รายในช่วง 2-3 วันก่อนหน้านั้น อยู่ที่ราว 50,000 รายเมื่อวันเสาร์ และไม่มีหลักฐานว่า อุปกรณ์ของเอดิสันทำให้เกิดไฟป่าเฮิร์สต์ไฟร์ซึ่งกำลังมีการสอบสวนหาสาเหตุอยู่
    .
    ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐแคลิฟอร์เนียและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกำลังเร่งต่อสู้กับไฟป่าที่โหมกระพือขึ้นในหลายๆ จุดทั่วลอสแองเจลิสในขณะนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้หารือทางโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่บางส่วนเพื่ออัปเดตสถานการณ์ รวมทั้งฟังบรรยายสรุปจากผู้ช่วยอาวุโสเกี่ยวกับการจัดส่งความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางไปยังลอสแองเจลีส
    .
    การประกาศภัยพิบัติใหญ่ของไบเดนทำให้รัฐบาลกลางสามารถจัดส่งความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ประสบภัยและเปิดทางให้สำนักงานจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินกลาง (ฟีมา) ให้การสนับสนุนการดำเนินการเหล่านี้ ซึ่งอาจครอบคลุมตั้งแต่การให้เงินช่วยเหลือในการซ่อมแซมบ้าน การให้เงินชดเชยสำหรับการสูญเสียอาหารหรือยาที่สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วัน
    .
    ทั้งนี้ ไฟป่าร้ายแรงที่เกิดขึ้นพร้อมกัน 6 จุดทั่วเทศมณฑลลอสแองเจลีสตั้งแต่วันอังคาร (7 ม.ค.) ซึ่งถือเป็นไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ลอสแองเจลีสนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 13 คน และคาดว่า มีผู้สูญหาย 13 คน สร้างความเสียหายหรือทำลายสิ่งปลูกสร้าง 12,000 หลัง นอกจากนั้น ยังคาดว่า จำนวนผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิงสามารถเข้าไปตรวจค้นในบ้านแต่ละหลัง
    .
    ก่อนที่ไฟป่าจะปะทุระลอกล่าสุด เจ้าหน้าที่ดับเพลิงรายงานความคืบหน้าในการควบคุมไฟป่าพาลิเซดส์ไฟร์และอีตันไฟร์ที่เชิงเขาทางตะวันออกของเมือง หลังจากที่ไฟลุกลามเกินความควบคุมนานหลายวันก่อนหน้านั้น โดยในวันเสาร์สามารถควบคุมพาลิเซดส์ไฟร์ 11% และอีตันไฟร์ 15% ไฟป่าทั้งสองจุดนี้เผาผลาญพื้นที่ 14,500 เฮกตาร์ หรือ 2.5 เท่าของพื้นที่ทั้งหมดของแมนฮัตตัน
    .
    7 มลรัฐที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึงรัฐบาลกลาง แคนาดา และเม็กซิโกจัดส่งความช่วยเหลือและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไปยังแคลิฟอร์เนียอย่างรวดเร็ว และมีการเพิ่มทีมดับเพลิงทางอากาศทำการพ่นน้ำและสารหน่วงไฟบนภูเขาที่ไฟไหม้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงภาคพื้นดินรีบเร่งจัดการแนวควบคุมไฟ
    .
    นอกจากนั้น ยังมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสุขภาพจากควันพิษหนาทึบ และเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเตือนประชาชนให้ปฏิบัติตามมาตรการเคอร์ฟิว ขณะที่มีการจับกุมและตั้งข้อหาลักทรัพย์ ปล้น และครอบครองอาวุธปืนที่ซุกซ่อน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003508
    ..............
    Sondhi X
    ลอสแองเจลีสส่งเครื่องบินพ่นน้ำและสารหน่วงไฟเข้าดับไฟป่าบนภูเขาเพื่อสกัดไม่ให้พาลิเซดส์ไฟร์ลามไปยังด้านตะวันออก ขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงภาคพื้นดินเพิ่มความพยายามในการต่อสู้กับไฟป่าบรรลัยกัลป์ท่ามกลางลมกรรโชกที่มีความเร็วสูงสุด 112.6 กม./ชม.ที่อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง นอกจากนั้น ยังมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสุขภาพจากควันพิษหนาทึบ และบังคับใช้มาตรการเคอร์ฟิวท่ามกลางการปล้นจี้และแอบพกพาอาวุธ . เจ้าหน้าที่เผยว่า ช่วง 24 ชั่วโมงก่อนหน้านั้นไฟป่าพาลิเซดส์ไฟร์ลุกลามครอบคลุมพื้นที่อีก 404 เฮกตาร์ และเผาผลาญบ้านเรือนจำนวนมาก ท็อดด์ ฮอปกินส์ เจ้าหน้าที่สำนักงานป่าไม้และการป้องกันอัคคีภัยรัฐแคลิฟอร์เนีย (แคลไฟร์) แถลงเมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ว่า สามารถควบคุมพาลิเซดส์ไฟร์ได้ 11% และมีพื้นที่ที่ถูกไฟป่าเผาผลาญรวมกว่า 8,900 เฮกตาร์ . ฮอปกินส์แจงว่า พาลิเซดส์ไฟน์ลามไปยังย่านแมนเดวิลล์แคนยอน และอาจเข้าสู่เบรนต์วูด ซึ่งเป็นย่านที่พักผ่อนหย่อนใจของเหล่าเซเลบ รวมถึงซาน เฟอร์นันโด แวลลีย์ อีกทั้งมุ่งหน้าไปยังทางหลวงหลัก 405 ที่เชื่อมด้านเหนือกับด้านใต้ของเขตแคลิฟอร์เนียใต้ . ขณะเดียวกัน บริการสภาพอากาศแห่งชาติ (เอ็นดับเบิลยูเอส) เตือนว่า ลมซานตาแอนาจะทวีกำลังแรงยิ่งขึ้นในช่วงคืนวันเสาร์จนถึงเช้าวันอาทิตย์ (12 ม.ค.) ในเทศมนฑลต่างๆ ของเมืองลอสแองเจลีสและเวนจูรา และระหว่างคืนวันจันทร์จนถึงเช้าวันอังคาร (13-14 ม.ค.) โดยมีความเร็วลมคงที่ที่ 48 กม./ชม. และความเร็วลมสูงสุด 112.6 กม./ชม. . โรส ชอนเฟลด์ นักอุตุนิยมวิทยาของเอ็นดับเบิลยูเอส ระบุว่า สภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเกิดไฟป่าจะยังคงอยู่ต่อไปตลอดวันพุธ (15 ม.ค.) ก่อนลดลงสู่ระดับปานกลางในวันพฤหัสฯ (16 ม.ค.) . ทางด้านโรเบิร์ต ลูนา เจ้าหน้าที่ปกครองเทศมณฑลลอสแองเจลีส เผยว่า จนถึงวันเสาร์คำสั่งอพยพครอบคลุมประชาชน 153,000 คน และสิ่งปลูกสร้าง 57,000 หลังอยู่ในความเสี่ยง โดยอาจมีการอพยพคนเพิ่มอีก 166,000 คน . อย่างไรก็ดี สตีเวน พาวเวลล์ ซีอีโอเซาธ์เทิร์น แคลิฟอร์เนีย เอดิสันเผยว่า จำนวนลูกค้าที่ยังคงไม่มีไฟฟ้าใช้ลดจากกว่า 500,000 รายในช่วง 2-3 วันก่อนหน้านั้น อยู่ที่ราว 50,000 รายเมื่อวันเสาร์ และไม่มีหลักฐานว่า อุปกรณ์ของเอดิสันทำให้เกิดไฟป่าเฮิร์สต์ไฟร์ซึ่งกำลังมีการสอบสวนหาสาเหตุอยู่ . ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐแคลิฟอร์เนียและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกำลังเร่งต่อสู้กับไฟป่าที่โหมกระพือขึ้นในหลายๆ จุดทั่วลอสแองเจลิสในขณะนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้หารือทางโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่บางส่วนเพื่ออัปเดตสถานการณ์ รวมทั้งฟังบรรยายสรุปจากผู้ช่วยอาวุโสเกี่ยวกับการจัดส่งความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางไปยังลอสแองเจลีส . การประกาศภัยพิบัติใหญ่ของไบเดนทำให้รัฐบาลกลางสามารถจัดส่งความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ประสบภัยและเปิดทางให้สำนักงานจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินกลาง (ฟีมา) ให้การสนับสนุนการดำเนินการเหล่านี้ ซึ่งอาจครอบคลุมตั้งแต่การให้เงินช่วยเหลือในการซ่อมแซมบ้าน การให้เงินชดเชยสำหรับการสูญเสียอาหารหรือยาที่สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วัน . ทั้งนี้ ไฟป่าร้ายแรงที่เกิดขึ้นพร้อมกัน 6 จุดทั่วเทศมณฑลลอสแองเจลีสตั้งแต่วันอังคาร (7 ม.ค.) ซึ่งถือเป็นไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ลอสแองเจลีสนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 13 คน และคาดว่า มีผู้สูญหาย 13 คน สร้างความเสียหายหรือทำลายสิ่งปลูกสร้าง 12,000 หลัง นอกจากนั้น ยังคาดว่า จำนวนผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิงสามารถเข้าไปตรวจค้นในบ้านแต่ละหลัง . ก่อนที่ไฟป่าจะปะทุระลอกล่าสุด เจ้าหน้าที่ดับเพลิงรายงานความคืบหน้าในการควบคุมไฟป่าพาลิเซดส์ไฟร์และอีตันไฟร์ที่เชิงเขาทางตะวันออกของเมือง หลังจากที่ไฟลุกลามเกินความควบคุมนานหลายวันก่อนหน้านั้น โดยในวันเสาร์สามารถควบคุมพาลิเซดส์ไฟร์ 11% และอีตันไฟร์ 15% ไฟป่าทั้งสองจุดนี้เผาผลาญพื้นที่ 14,500 เฮกตาร์ หรือ 2.5 เท่าของพื้นที่ทั้งหมดของแมนฮัตตัน . 7 มลรัฐที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึงรัฐบาลกลาง แคนาดา และเม็กซิโกจัดส่งความช่วยเหลือและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไปยังแคลิฟอร์เนียอย่างรวดเร็ว และมีการเพิ่มทีมดับเพลิงทางอากาศทำการพ่นน้ำและสารหน่วงไฟบนภูเขาที่ไฟไหม้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงภาคพื้นดินรีบเร่งจัดการแนวควบคุมไฟ . นอกจากนั้น ยังมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสุขภาพจากควันพิษหนาทึบ และเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเตือนประชาชนให้ปฏิบัติตามมาตรการเคอร์ฟิว ขณะที่มีการจับกุมและตั้งข้อหาลักทรัพย์ ปล้น และครอบครองอาวุธปืนที่ซุกซ่อน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003508 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 919 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts