• ขยับหมาก ตอนที่ 1

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ขยับหมาก”
    ตอน 1
    เดือนกรกฏา ผ่านไปแค่ครึ่งเดือน เหตุการณ์ต่างๆทยอยกันมาเหมือน น้ำหลาก ทั้งๆที่ฝนแล้ง ผมตามอ่าน ตามขุด จนมึนหัวไปหมดยังไม่ทันการ เหตุการณ์พลิกผันสาระพัด แถมมีทั้งแผนล่อแผนลวง ข้อมูลบางแหล่งที่เคยเชื่อได้ ก็ชักจะต้องชั่งหลายหนว่าให้น้ำ หนักเก๊หรือเปล่า ผมไม่ได้รู้ไปหมด มีผิดพลาดได้ ผิดก็ขออภัย ท้วงมาแล้วกันครับ แล้วก็ช่วยกันหาที่ถูก เอามาแลกเปลี่ยนความคิดกัน หรือถ้า ผมเจอข้อมูลใหม่ ที่ทันสมัย หักล้าง น่าเชื่อถือ หรือลึกกว่าที่เคยขุดได้มา ผมก็จะมาขยายต่อ การศึกษา ค้นหา เรียนรู้ ไม่มีที่สิ้นสุด
    ดูซิ อย่างเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ ที่เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 13 มิย เพิ่งออกข่าวว่า ตกลงเขายังไม่ตกลงกัน ยืดแล้วยืดอีก เหมือนหนังสติ๊กหมดอายุ จนนักข่าวที่ไปนั่งรอทำข่าว หน้าเหี่ยวเหงื่อตกกันหมด เขาบอกว่ายุโรปปีนี้ร้อนอร่อย เบียร์ยังอุ่นเลย นั่งรอการแถลงข่าวมาตั้งกะหัวค่ำ เปรี้ยวปากกันเป็นแถว พอตกดึก 2 ยามกว่าบ้านเรา CNN ก็ออกข่าว โดยโฆษกรูปหล่อประจำทำเนียบขาว ออกมาแถลงข่าวว่า ยัง…ยังไม่มีข้อตกลง นักข่าวถามว่า แล้วจะมีเมื่อไหร่ 1 วัน 2 วัน 2 อาทิตย์ รูปหล่อบอก เราไม่ได้เน้นเรื่องกำหนดเวลา เราต้องการให้ เป็นการตกลงที่ไม่มีปัญหา ไม่สร้างปัญหามากกว่า นักข่าวถามอีกว่า แล้วมีปัญหาอะไร ปัญหามาจากฝ่ายไหน …. ถามมากจัง ใครจะไปตอบได้ รูปหล่อชักเลิกลั่ก ….. ว่าแล้ว CNN ก็ตัดข่าวไปเรื่องสำคัญกว่า เกี่ยวกับเรื่องไอ้พวกค้ายา 46 คนแทน โอ้ย… ฮาจริง
    แต่แล้ววันรุ่งขึ้น คือวันอังคารที่ 14 มิย ผมเปิดทีวี ตอนบ่ายแก่ๆ เย็นอ่อนๆ ประมาณ 4โมงเย็น ก็เห็น CNN ขึ้นหัวข่าวไว้แล้วว่า อิหร่านตกลงได้แล้ว อ้าว เมื่อคืนยังบอกไม่รู้เลยไอ้เบื้อก ผู้ประกาศทำเสียงตื่นเต้น จนผมไม่กล้านอนดูอย่างเคย หลังจากนั้น ก็มีการไปสัมภาษณ์ผู้ชำนาญการต่างๆ ซึ่งสรุปว่า ตกลงกันได้เสียที เสียเวลารอมานาน แต่ไม่มีใครเห็นด้วยเท่าไหร่ว่า เป็นข้อตกลงที่ดี และไม่มีใครเชื่อขี้หน้าอิหร่านว่าจะทำตามที่ตกลงได้ สัมภาษณ์วน พูดซ้ำ จนค่ำ พณฯ ใบตองแห้ง ถึงได้ออกมาทำหน้าเครียดตาแข็ง แถลงเอง
    “….เราตกลงกับอิหร่านแล้ว ใครว่าไม่สมควร เราว่าสมควร เราต้องแสดงให้เห็นว่า เรา ที่เป็นชาติที่ยิ่งใหญ่มีอำนาจที่สุด ไม่จำเป็นต้องจัดการกับปัญหาด้วยการใช้กำลังเสมอไป เราใช้วิธีทางการทูตได้ … การที่เราทำเช่นนี้ ทำให้อิหร่านหมดทางที่จะผลิตนิวเคลียร์ไป 15 ปี อิหร่านเป็นประเทศที่ความสำคัญที่สุด ต่อผลประโยชน์ของอเมริกา……”
    หลังจากนั้น ผมก็ต้องขออนุญาตพณฯท่าน ปิดเสียง ขืนฟังต่อ เปลืองยาแย่ ฝ่ายอิหร่าน ก็มีการแถลงข่าวที่กรุงเตหะรานว่า ข้อตกลงบรรลุถึงวัตถุประสงค์ reached all objectives ส่วนอิสราเอล ออกมาบอกว่า เป็นการตกลงที่เลวร้ายที่สุดในโลก
    อืม… ปาหี่นี้ เขาเล่นกันได้น่าตื่นเต้น...สมจริงกันดี คงเข้าใจนะครับว่า มันมีความหมายว่าอย่างไร ก็แค่ไม่มีใครอยากออกมาโดนประทับหน้า ว่าเป็นคนทำให้งานล่ม
    เอาเป็นว่า เขาว่า เขาตกลงกันได้แล้ว แต่มีขั้นตอนการทำงานอีกมากมายที่ต้องไปทำต่อจะทำได้แค่ไหน อย่างไร นานเท่าไหน ก็ดูกันต่อไป อย่างน้อยรัฐสภาอเมริกัน ก็มีเวลาประมาญ 60 วัน ในการตรวจสอบข้อตกลง ก่อนที่จะไปลงความเห็นในรัฐสภา ระหว่างนี้ จะเติมสี ตีไข่ยังก็ได้ ต้ัง 60 วัน
    เรามาดูภาพใหญ่ ทำความเข้าใจภาพรวมให้มากที่สุดกันดีกว่า ขืนตามข่าวทุกวันที่เขาเอามาเล่นหลอกเรา มึนหัวตายทั้งคนเขียนคนอ่าน ก่อนจะเดินหน้าเล่าเรื่อง เพื่อให้เห็นภาพใหญ่ ขอถอยหลังทบทวนของเก่ากันหน่อย
    คงจำกันได้ เมื่อเดือนมีนาคม ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของบ้านไอ้นักล่าใบตองแห้ง Council on Foreign Relations หรือ CFR ผู้กำกับรัฐบาลอเมริกัน ได้ออกแผนสอยมังกร Grand Strategy สำหรับสยบจีน ที่แสดงถึงความกร่าง ดูถูก ปรามาส และประมาทใส่จีน มาให้เราฮือฮาไปแล้ว แต่ไอ้นักล่าใบตองแห้งคงจะเห็นว่า ชาวโลกคงตกใจไม่พอ หรือยังไม่แน่ใจกับความยิ่งใหญ่ อย่างชนิดไม่มีผู้ใด บังอาจจะกล้าทาบรัศมีของอเมริกา มันเป็นความต้ังใจของอเมริกา ที่จะใหญ่อย่างนี้แต่ผู้เดียวตลอดกาลนาน อย่างที่อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เคยคิดมาเป็นศตวรรษ แต่บัดนี้ ความคิดนั้นกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ชาวเกาะใหญ่ทำได้เพียงแค่ “นึกถึง” ความคิดนั้น อย่างขมขื่นอยู่ในอกฟีบและซีด แหม แดกซะยาวเลยนะลุง กว่าจะเลี้ยวกลับไปเข้าเรื่อง
    อเมริกาด่าจีนแค่นั้น เกรงจะไม่พอให้โลกตื่นเต้น อเมริกาเพิ่มแรงอัด เอาญี่ปุ่น มาอาบน้ำแต่งตัว เตรียมพร้อมที่จะไปแบกถาดรับใช้อเมริกา ถึงขนาดเตรียมการที่จะแก้การตีความกฏหมายรัฐธรรมนูญของประเทศ ที่กำหนดให้ญี่ปุ่นมีกองกำลัง เพียงเพื่อดูแลป้องกันตัวเองเท่า นั้น Self Defence Force (SDF) มาถึงวันนี้ แม้การขอให้สภาอนุมัติ ยอมให้ตีความใหม่ ให้กองกำลังญี่ปุ่น SDF แบกถาดไปได้ทั่วโลก ยังไม่สำเร็จ แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าไปไกล โดยไม่รอสภา ก็นายท่านสั่งมา…
    SDF ของญี่ปุ่น เพิ่งไปทำการฝึกร่วมที่แดนจิ้งโจ้กับพวกจิงโจ้ และลูกพี่ใหญ่จากค่ายใบตองแห้ง แต่ฝึกเสร็จแล้วดูเหมือน จะแบกถาดหายวับไปกับตา ไม่รู้ไปซ่อนอยู่ตามเกาะไหนในมหาสมุทรแปซิฟิก กองทัพหายตัว แต่ตัวนายอาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น หลานรักของอดีตหัวหน้าใหญ่ยากูซ่า ก็ออกมาประกาศอย่างเข้มแข็งว่า ญี่ปุ่นพร้อมรบจีน นับว่าฝึกแบกถาดได้รวดเร็ว มีอนาคต แต่อนาคตไปทางไหน ก็อดใจรอดูกันหน่อย ส่วนนายกจิ้งโจ้ก็ออกมาบอกว่า กำลังรักกันจังกับคนแบกถาด และว่ามีเพื่อนซี้แถบเอเซียแยะ ไล่ชื่อให้นักข่าวฟัง โปรดจำกันไว้ด้วยว่า ไม่มีชื่อแดนสยามของสมันน้อย ว่าเป็นเพื่อน แต่มีชื่อเวียตนาม จำไว้นะ จำไว้ให้ดี
    อ้าว แล้วนี่จะปล่อยให้อเมริกา ทำตัวเป็นฝรั่งออกแขก เต้นอยู่หน้าโรงลิเกเจ้าเดียวได้ยังไง ว่าแล้วคู่หู หรือลูกพี่ ก็ต้องรีบแต่งตัว มาโชว์ลีลาด้วย กลัวไม่ได้ส่วนแบ่ง
    Chatham House หรือชื่อเต็มว่า The Royal Institute of International Affairs ถังขยะความคิด ฝาแฝดผู้พี่ ของ CFR ก็เพิ่งออกรายงานล่าสุด เมื่อเดือนมิถุนายนนี้ ตั้งชื่อรายงานได้สยองไม่แพ้แฝด น้อง “The Russian Challenge” รัสเซียกำเริบ (แปลภาษาลุงนิทาน) เรียกว่าแฝดแต่ละฝา ต่างออกมาประกบ คู่รัก กันคนละราย รายการแบ่งข้าง ศึกชิงแชมป์คราวนี้ คงมันยกร่อง สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 โปรดหลบไปห่างๆ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    15 ก.ค. 2558
    ขยับหมาก ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ขยับหมาก” ตอน 1 เดือนกรกฏา ผ่านไปแค่ครึ่งเดือน เหตุการณ์ต่างๆทยอยกันมาเหมือน น้ำหลาก ทั้งๆที่ฝนแล้ง ผมตามอ่าน ตามขุด จนมึนหัวไปหมดยังไม่ทันการ เหตุการณ์พลิกผันสาระพัด แถมมีทั้งแผนล่อแผนลวง ข้อมูลบางแหล่งที่เคยเชื่อได้ ก็ชักจะต้องชั่งหลายหนว่าให้น้ำ หนักเก๊หรือเปล่า ผมไม่ได้รู้ไปหมด มีผิดพลาดได้ ผิดก็ขออภัย ท้วงมาแล้วกันครับ แล้วก็ช่วยกันหาที่ถูก เอามาแลกเปลี่ยนความคิดกัน หรือถ้า ผมเจอข้อมูลใหม่ ที่ทันสมัย หักล้าง น่าเชื่อถือ หรือลึกกว่าที่เคยขุดได้มา ผมก็จะมาขยายต่อ การศึกษา ค้นหา เรียนรู้ ไม่มีที่สิ้นสุด ดูซิ อย่างเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ ที่เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 13 มิย เพิ่งออกข่าวว่า ตกลงเขายังไม่ตกลงกัน ยืดแล้วยืดอีก เหมือนหนังสติ๊กหมดอายุ จนนักข่าวที่ไปนั่งรอทำข่าว หน้าเหี่ยวเหงื่อตกกันหมด เขาบอกว่ายุโรปปีนี้ร้อนอร่อย เบียร์ยังอุ่นเลย นั่งรอการแถลงข่าวมาตั้งกะหัวค่ำ เปรี้ยวปากกันเป็นแถว พอตกดึก 2 ยามกว่าบ้านเรา CNN ก็ออกข่าว โดยโฆษกรูปหล่อประจำทำเนียบขาว ออกมาแถลงข่าวว่า ยัง…ยังไม่มีข้อตกลง นักข่าวถามว่า แล้วจะมีเมื่อไหร่ 1 วัน 2 วัน 2 อาทิตย์ รูปหล่อบอก เราไม่ได้เน้นเรื่องกำหนดเวลา เราต้องการให้ เป็นการตกลงที่ไม่มีปัญหา ไม่สร้างปัญหามากกว่า นักข่าวถามอีกว่า แล้วมีปัญหาอะไร ปัญหามาจากฝ่ายไหน …. ถามมากจัง ใครจะไปตอบได้ รูปหล่อชักเลิกลั่ก ….. ว่าแล้ว CNN ก็ตัดข่าวไปเรื่องสำคัญกว่า เกี่ยวกับเรื่องไอ้พวกค้ายา 46 คนแทน โอ้ย… ฮาจริง แต่แล้ววันรุ่งขึ้น คือวันอังคารที่ 14 มิย ผมเปิดทีวี ตอนบ่ายแก่ๆ เย็นอ่อนๆ ประมาณ 4โมงเย็น ก็เห็น CNN ขึ้นหัวข่าวไว้แล้วว่า อิหร่านตกลงได้แล้ว อ้าว เมื่อคืนยังบอกไม่รู้เลยไอ้เบื้อก ผู้ประกาศทำเสียงตื่นเต้น จนผมไม่กล้านอนดูอย่างเคย หลังจากนั้น ก็มีการไปสัมภาษณ์ผู้ชำนาญการต่างๆ ซึ่งสรุปว่า ตกลงกันได้เสียที เสียเวลารอมานาน แต่ไม่มีใครเห็นด้วยเท่าไหร่ว่า เป็นข้อตกลงที่ดี และไม่มีใครเชื่อขี้หน้าอิหร่านว่าจะทำตามที่ตกลงได้ สัมภาษณ์วน พูดซ้ำ จนค่ำ พณฯ ใบตองแห้ง ถึงได้ออกมาทำหน้าเครียดตาแข็ง แถลงเอง “….เราตกลงกับอิหร่านแล้ว ใครว่าไม่สมควร เราว่าสมควร เราต้องแสดงให้เห็นว่า เรา ที่เป็นชาติที่ยิ่งใหญ่มีอำนาจที่สุด ไม่จำเป็นต้องจัดการกับปัญหาด้วยการใช้กำลังเสมอไป เราใช้วิธีทางการทูตได้ … การที่เราทำเช่นนี้ ทำให้อิหร่านหมดทางที่จะผลิตนิวเคลียร์ไป 15 ปี อิหร่านเป็นประเทศที่ความสำคัญที่สุด ต่อผลประโยชน์ของอเมริกา……” หลังจากนั้น ผมก็ต้องขออนุญาตพณฯท่าน ปิดเสียง ขืนฟังต่อ เปลืองยาแย่ ฝ่ายอิหร่าน ก็มีการแถลงข่าวที่กรุงเตหะรานว่า ข้อตกลงบรรลุถึงวัตถุประสงค์ reached all objectives ส่วนอิสราเอล ออกมาบอกว่า เป็นการตกลงที่เลวร้ายที่สุดในโลก อืม… ปาหี่นี้ เขาเล่นกันได้น่าตื่นเต้น...สมจริงกันดี คงเข้าใจนะครับว่า มันมีความหมายว่าอย่างไร ก็แค่ไม่มีใครอยากออกมาโดนประทับหน้า ว่าเป็นคนทำให้งานล่ม เอาเป็นว่า เขาว่า เขาตกลงกันได้แล้ว แต่มีขั้นตอนการทำงานอีกมากมายที่ต้องไปทำต่อจะทำได้แค่ไหน อย่างไร นานเท่าไหน ก็ดูกันต่อไป อย่างน้อยรัฐสภาอเมริกัน ก็มีเวลาประมาญ 60 วัน ในการตรวจสอบข้อตกลง ก่อนที่จะไปลงความเห็นในรัฐสภา ระหว่างนี้ จะเติมสี ตีไข่ยังก็ได้ ต้ัง 60 วัน เรามาดูภาพใหญ่ ทำความเข้าใจภาพรวมให้มากที่สุดกันดีกว่า ขืนตามข่าวทุกวันที่เขาเอามาเล่นหลอกเรา มึนหัวตายทั้งคนเขียนคนอ่าน ก่อนจะเดินหน้าเล่าเรื่อง เพื่อให้เห็นภาพใหญ่ ขอถอยหลังทบทวนของเก่ากันหน่อย คงจำกันได้ เมื่อเดือนมีนาคม ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของบ้านไอ้นักล่าใบตองแห้ง Council on Foreign Relations หรือ CFR ผู้กำกับรัฐบาลอเมริกัน ได้ออกแผนสอยมังกร Grand Strategy สำหรับสยบจีน ที่แสดงถึงความกร่าง ดูถูก ปรามาส และประมาทใส่จีน มาให้เราฮือฮาไปแล้ว แต่ไอ้นักล่าใบตองแห้งคงจะเห็นว่า ชาวโลกคงตกใจไม่พอ หรือยังไม่แน่ใจกับความยิ่งใหญ่ อย่างชนิดไม่มีผู้ใด บังอาจจะกล้าทาบรัศมีของอเมริกา มันเป็นความต้ังใจของอเมริกา ที่จะใหญ่อย่างนี้แต่ผู้เดียวตลอดกาลนาน อย่างที่อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เคยคิดมาเป็นศตวรรษ แต่บัดนี้ ความคิดนั้นกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ชาวเกาะใหญ่ทำได้เพียงแค่ “นึกถึง” ความคิดนั้น อย่างขมขื่นอยู่ในอกฟีบและซีด แหม แดกซะยาวเลยนะลุง กว่าจะเลี้ยวกลับไปเข้าเรื่อง อเมริกาด่าจีนแค่นั้น เกรงจะไม่พอให้โลกตื่นเต้น อเมริกาเพิ่มแรงอัด เอาญี่ปุ่น มาอาบน้ำแต่งตัว เตรียมพร้อมที่จะไปแบกถาดรับใช้อเมริกา ถึงขนาดเตรียมการที่จะแก้การตีความกฏหมายรัฐธรรมนูญของประเทศ ที่กำหนดให้ญี่ปุ่นมีกองกำลัง เพียงเพื่อดูแลป้องกันตัวเองเท่า นั้น Self Defence Force (SDF) มาถึงวันนี้ แม้การขอให้สภาอนุมัติ ยอมให้ตีความใหม่ ให้กองกำลังญี่ปุ่น SDF แบกถาดไปได้ทั่วโลก ยังไม่สำเร็จ แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าไปไกล โดยไม่รอสภา ก็นายท่านสั่งมา… SDF ของญี่ปุ่น เพิ่งไปทำการฝึกร่วมที่แดนจิ้งโจ้กับพวกจิงโจ้ และลูกพี่ใหญ่จากค่ายใบตองแห้ง แต่ฝึกเสร็จแล้วดูเหมือน จะแบกถาดหายวับไปกับตา ไม่รู้ไปซ่อนอยู่ตามเกาะไหนในมหาสมุทรแปซิฟิก กองทัพหายตัว แต่ตัวนายอาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น หลานรักของอดีตหัวหน้าใหญ่ยากูซ่า ก็ออกมาประกาศอย่างเข้มแข็งว่า ญี่ปุ่นพร้อมรบจีน นับว่าฝึกแบกถาดได้รวดเร็ว มีอนาคต แต่อนาคตไปทางไหน ก็อดใจรอดูกันหน่อย ส่วนนายกจิ้งโจ้ก็ออกมาบอกว่า กำลังรักกันจังกับคนแบกถาด และว่ามีเพื่อนซี้แถบเอเซียแยะ ไล่ชื่อให้นักข่าวฟัง โปรดจำกันไว้ด้วยว่า ไม่มีชื่อแดนสยามของสมันน้อย ว่าเป็นเพื่อน แต่มีชื่อเวียตนาม จำไว้นะ จำไว้ให้ดี อ้าว แล้วนี่จะปล่อยให้อเมริกา ทำตัวเป็นฝรั่งออกแขก เต้นอยู่หน้าโรงลิเกเจ้าเดียวได้ยังไง ว่าแล้วคู่หู หรือลูกพี่ ก็ต้องรีบแต่งตัว มาโชว์ลีลาด้วย กลัวไม่ได้ส่วนแบ่ง Chatham House หรือชื่อเต็มว่า The Royal Institute of International Affairs ถังขยะความคิด ฝาแฝดผู้พี่ ของ CFR ก็เพิ่งออกรายงานล่าสุด เมื่อเดือนมิถุนายนนี้ ตั้งชื่อรายงานได้สยองไม่แพ้แฝด น้อง “The Russian Challenge” รัสเซียกำเริบ (แปลภาษาลุงนิทาน) เรียกว่าแฝดแต่ละฝา ต่างออกมาประกบ คู่รัก กันคนละราย รายการแบ่งข้าง ศึกชิงแชมป์คราวนี้ คงมันยกร่อง สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 โปรดหลบไปห่างๆ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 15 ก.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • ตำนานชิป i386 กับชื่อย่อ “PG” ของ Pat Gelsinger

    Pat Gelsinger เล่าเหตุการณ์ย้อนกลับไปเมื่อเขายังเป็นวิศวกรหนุ่มวัย 25 ปีที่ Intel ในช่วงออกแบบชิป i386 ซึ่งเป็นหนึ่งในชิปที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์ ขณะตรวจสอบแผนผังชิปขนาดใหญ่ Andy Grove CEO ของ Intel สังเกตเห็นตัวอักษร “PG” ที่ถูกสลักไว้บนซิลิคอน และถามขึ้นมาว่า “นี่คืออะไร?”

    แทนที่จะยอมรับตรง ๆ ว่าเป็นชื่อย่อของตัวเอง Gelsinger ตอบด้วยคำอธิบายเชิงเทคนิคที่ฟังดูซับซ้อนเกี่ยวกับ “substrate tap configuration experiments” แม้จะเป็นคำพูดที่เขายอมรับภายหลังว่าเป็น “เรื่องไร้สาระ” แต่ Grove กลับเชื่อและตอบเพียงสั้น ๆ ว่า “โอเค” ทำให้ชื่อย่อของเขายังคงอยู่บนชิป i386 ทุกตัวที่ผลิตออกมา

    ต่อมา Gelsinger ยังได้ใส่ชื่อย่อ “PG” ลงบนชิป i486 ร่วมกับชื่อย่อ “JR” ของ John H. Crawford เพื่อนร่วมทีม ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมการทำงานของทีมออกแบบในยุคนั้นที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความกล้าในการท้าทายกฎเกณฑ์

    เรื่องราวนี้ไม่เพียงแต่เป็นเกร็ดเล็ก ๆ ที่น่าสนใจในประวัติศาสตร์ของ Intel แต่ยังสะท้อนถึงบุคลิกของ Gelsinger ที่กล้าคิด กล้าทำ และใช้ความเฉลียวฉลาดในการรักษาสัญลักษณ์เล็ก ๆ ของตัวเองไว้บนหนึ่งในชิปที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Pat Gelsinger ใส่ชื่อย่อ “PG” บนชิป i386
    เกิดขึ้นในช่วงตรวจสอบการออกแบบซิลิคอน

    Andy Grove สังเกตเห็นและถามถึงชื่อย่อ
    Gelsinger ตอบด้วยคำอธิบายเชิงเทคนิคที่ฟังดูสมจริง

    ชื่อย่อ “PG” ถูกสลักบนชิป i386 ทุกตัว
    และยังปรากฏบนชิป i486 ร่วมกับ “JR” ของ John H. Crawford

    สะท้อนวัฒนธรรมการทำงานของทีมออกแบบ Intel ยุคนั้น
    เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความกล้าในการท้าทายกฎ

    ปกติ Intel ไม่อนุญาตให้ใส่ชื่อย่อบนซิลิคอน
    การกระทำนี้ถือเป็นการฝ่าฝืนธรรมเนียมของบริษัท

    การบลัฟของ Gelsinger อาจเสี่ยงต่อการถูกตำหนิ
    แต่โชคดีที่ Grove ยอมรับคำอธิบายโดยไม่เอาเรื่อง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/gelsingers-i386-initials-gambit-ex-intel-ceo-explains-how-he-bluffed-andy-grove-to-keep-his-mark-on-the-legendary-chips-silicon
    🖥️ ตำนานชิป i386 กับชื่อย่อ “PG” ของ Pat Gelsinger Pat Gelsinger เล่าเหตุการณ์ย้อนกลับไปเมื่อเขายังเป็นวิศวกรหนุ่มวัย 25 ปีที่ Intel ในช่วงออกแบบชิป i386 ซึ่งเป็นหนึ่งในชิปที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์ ขณะตรวจสอบแผนผังชิปขนาดใหญ่ Andy Grove CEO ของ Intel สังเกตเห็นตัวอักษร “PG” ที่ถูกสลักไว้บนซิลิคอน และถามขึ้นมาว่า “นี่คืออะไร?” แทนที่จะยอมรับตรง ๆ ว่าเป็นชื่อย่อของตัวเอง Gelsinger ตอบด้วยคำอธิบายเชิงเทคนิคที่ฟังดูซับซ้อนเกี่ยวกับ “substrate tap configuration experiments” แม้จะเป็นคำพูดที่เขายอมรับภายหลังว่าเป็น “เรื่องไร้สาระ” แต่ Grove กลับเชื่อและตอบเพียงสั้น ๆ ว่า “โอเค” ทำให้ชื่อย่อของเขายังคงอยู่บนชิป i386 ทุกตัวที่ผลิตออกมา ต่อมา Gelsinger ยังได้ใส่ชื่อย่อ “PG” ลงบนชิป i486 ร่วมกับชื่อย่อ “JR” ของ John H. Crawford เพื่อนร่วมทีม ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมการทำงานของทีมออกแบบในยุคนั้นที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความกล้าในการท้าทายกฎเกณฑ์ เรื่องราวนี้ไม่เพียงแต่เป็นเกร็ดเล็ก ๆ ที่น่าสนใจในประวัติศาสตร์ของ Intel แต่ยังสะท้อนถึงบุคลิกของ Gelsinger ที่กล้าคิด กล้าทำ และใช้ความเฉลียวฉลาดในการรักษาสัญลักษณ์เล็ก ๆ ของตัวเองไว้บนหนึ่งในชิปที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Pat Gelsinger ใส่ชื่อย่อ “PG” บนชิป i386 ➡️ เกิดขึ้นในช่วงตรวจสอบการออกแบบซิลิคอน ✅ Andy Grove สังเกตเห็นและถามถึงชื่อย่อ ➡️ Gelsinger ตอบด้วยคำอธิบายเชิงเทคนิคที่ฟังดูสมจริง ✅ ชื่อย่อ “PG” ถูกสลักบนชิป i386 ทุกตัว ➡️ และยังปรากฏบนชิป i486 ร่วมกับ “JR” ของ John H. Crawford ✅ สะท้อนวัฒนธรรมการทำงานของทีมออกแบบ Intel ยุคนั้น ➡️ เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความกล้าในการท้าทายกฎ ‼️ ปกติ Intel ไม่อนุญาตให้ใส่ชื่อย่อบนซิลิคอน ⛔ การกระทำนี้ถือเป็นการฝ่าฝืนธรรมเนียมของบริษัท ‼️ การบลัฟของ Gelsinger อาจเสี่ยงต่อการถูกตำหนิ ⛔ แต่โชคดีที่ Grove ยอมรับคำอธิบายโดยไม่เอาเรื่อง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/gelsingers-i386-initials-gambit-ex-intel-ceo-explains-how-he-bluffed-andy-grove-to-keep-his-mark-on-the-legendary-chips-silicon
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • I Will Walk Away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง”
    ตอน 3
    คงจำกันได้ เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา อเมริกา โดย พณฯใบตองแห้ง จัดใหญ่แถลงการณ์ว่า เราตกลงเลือกกรอบการเจรจากับอิหร่านเรียบร้อยแล้ว (รายละเอียดในนิทานเรื่อง “ข้อสอบรั่ว”) ตีปิ๊บซะตื่นเต้นกันไปหมด
    วันเดียวกันนั้น นาย Richard Hass ผู้อำนวยการใหญ่ของถังขยะความคิด Council on Foreign Relation หรือ CFR ที่เข้าใจว่า ใหญ่กว่ารัฐบาลของอเมริกา ท่านดิ๊ก Richard ก็ออกความเห็นทันทีไม่รอช่า เขียนเองอีกด้วย ไม่ใช้เด็ก แปลว่า เรื่องนี้สำคัญ ต้องปั่น หรือ ปั้นกับมือเอง
    ท่านดิ๊ก เริ่มต้นได้หยดย้อย ..แบบฝรั่งจ๋า There’s many a slip twixt the cup and the lip” เป็นอะไรที่เหมือนกับว่าสำเร็จแล้ว แต่ความจริง ยังไม่ใช่ ท่านดิ๊กว่าอย่างนั้น แต่ลุงนิทานแปลเองว่า .. ปากจะถึงถ้วยอยู่รอมร่อ แต่ดันหกเสียก่อน..แปลสั้นๆอีกที ว่า อ ด
    ท่านดิ๊กบอกว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับกรอบการเจรจาเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์โปรแกรม จะเป็นการสร้างเหตุการณ์สำคัญทางด้านการเมืองและการทูต ที่มีรายละเอียดมากมาย กว้างขวางในบริบทต่างๆ เกินกว่าที่คาดกัน…. เริ่มแบบนี้ แปลว่า คงมีใครเหยียบเปลือกกล้วย หงายท้องไปแล้ว แต่จะถึงขนาดทำปืนลั่นใส่หัวแม่ตีนตัวเองหรือเปล่า ต้องตามอ่านบทความของท่านดิ๊กต่อไป
    …กรอบที่ตกลงกัน สร้างคำถามคาใจไม่น้อยกว่าคำตอบที่ได้มา และยังมีเรื่องค้าง
    ที่ยังต้องทำอยู่อีกมากมาย จริงๆ แล้ว ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง
    …ไม่รู้ว่าท่านดิ๊กเหน็บใคร ดันจัดงานแถลงซะใหญ่โตเหมือนกับเจรจาสำเร็จแล้วยังงั้น
    แหล่ะ เป็นครั้งแรก ที่ผมเห็นด้วยกับไอ้ถังขยะความคิด ช่วยกลับไปอ่านนิทานเรื่อง “ข้อสอบรั่ว” หน่อยนะครับ
    … กรอบที่ตกลง มีข้อกำหนดห้ามอิหร่านมากมายเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ มีข้อกำหนดมาตรฐานการตรวจสอบว่า อิหร่านทำตามที่ตกลงกันหรือไม่ และมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการ “ผ่อนคลาย” เรื่องการคว่ำบาตรทางเศรษฐกืจ เมื่อตรวจสอบและพิสูจน์ได้แล้วว่า อิหร่านทำตามข้อตกลง
    …ในการเจรจา ได้มีประเมินกันว่า เราจะมีระยะเวลาในการเตือน 1 ปี นับแต่วันที่อิหร่านตัดสินใจ ที่จะสร้างอาวุธนิวเคลียร์สักลูก จนถึงสร้างสำเร็จ ระยะเวลาดังกล่าวเป็นไปตามข้อสันนิษฐานว่า จากการเฝ้าติดตามอิหร่านอย่างใกล้ชิด เราจะพบการไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาได้เร็วพอ ที่จะระงับการดำเนินการของอิหร่าน และโดยเฉพาะ จะทำให้เรากลับไปใช้การคว่ำบาตรอิหร่านได้ใหม่ “ก่อน” ที่อิหร่านจะสร้างนิวเคลียร์ ตามข้อสมมุติฐานนี้สำเร็จ.... ข้อนี้ ท่านดิ๊ก เขียนได้เยี่ยมครับ ให้เห็นความโง่ของผู้เจรจา และผู้ตกลง ฝ่ายที่ไม่ใช่อิหร่าน ชัดเจนว่า ด่ากันเอง มันดีนะครับ
    … ท่านดิ๊กบอกว่า มีไม่น้อยกว่า 5 เหตุผล ที่การตกลงกับอิหร่าน ท้ายที่สุด จะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้น แต่ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ … นี่ใบ้หวยหรือไง
    ข้อแรก ระหว่างเวลา 90 วัน นับแต่เดือนเมษายนถึงสิ้นเดือน มิถุนายน อะไรก็เกิดขึ้นได้ การเปลี่ยนใจ เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนตัวผู้เจรจา การถูกกดดันจากรัฐบาลของตน แค่ตอนนี้ ความไม่เห็นพ้องกัน ระหว่างอเมริกากับอิหร่าน ก็มากมายกองสูงท่วมหัวแล้ว
    ข้อสอง เรื่องค้างที่สำคัญ คือเรื่องกำหนดเวลายกเลิกการคว่ำบาตร เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับฝ่ายอิหร่าน ขณะเดียวกัน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่ใช้ในการเจรจาต่อรองกับอิหร่าน พูดชัดๆ ว่าฝ่ายอเมริกาและยุโรป ยังไม่อยากยกเลิกการคว่ำบาตรให้อิหร่าน จนกว่า “จะแน่ใจ” ว่า อิหร่านปฏิบัติตามเงื่อนไขครบถ้วน …..
    อืม ….อิหร่านคงเข้าใจความนัยนี้แล้ว
    ข้อสาม เรื่องที่ห่วงกันคือ พวกยึดแน่นกับหลักการ หรือพวกเข้มข้นของทั้ง 2 ฝ่าย เช่นทางอิหร่าน คงไม่อยากให้อิหร่านเจรจากับ “ซาตานอเมริกา” ส่วนทางอเมริกา ก็ใช่ว่า สภาสูงจะเอาด้วย ตอนนี้ก็พูดกันไปทั่วแล้วว่า เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยอิหร่านไว้กับนิวเคลียร์ ที่ความสามารถในการติดตาม การตรวจสอบ ยังไม่เป็นที่แน่ใจ ปล่อยไปเรื่อยๆ อีก 15, 20 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องใครก็ให้ความมั่นใจไม่ได้… พณฯใบตองแห้ง ได้ยินนะครับ ถูกลูกน้อง จริงๆ ก็คือลูกพี่ สั่งสอนให้แล้ว
    ข้อสี่ อิหร่านจะปฏิบัติกับข้อตกลงนี้อย่างไร ที่ผ่านมา อิหร่านมีประวัติเสีย ในการไม่ให้ข้อมูลสำคัญ หรือที่เกี่ยวข้อง ขนาดผู้ตรวจสอบของสหประชาชาติลงบันทึกไว้ในสมุดความประพฤติของอิหร่านแล้ว … นี่มันดูถูกซ้ำซาก อิหร่านรับได้หรือครับ ขอเสี้ยมหน่อย
    ข้อที่ห้า มาจากนโยบายด้านการต่างประเทศ และความมั่นคงของอิหร่านเอง ที่ทางอเมริกาไม่เห็นด้วย และเพื่อนฝูงในตะวันออกกลางก็แหยงกับการกระทำของอิหร่าน ที่สนับสนุน ซีเรีย อืรัค เยเมน รวมทั้งที่อื่นๆในตะวันออกกลาง
    …ท่านดิ๊กบอกว่า อิหร่านมีอนาคตไปได้ไกลถึงเป็นจักรวรรดิ ที่หวังจะเป็นประเทศมหาอำนาจ ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคของตัว แม้ข้อตกลงนิวเคลียร์นี้จะเกิดขึ้น ก็ไม่ทำให้ความเป็นไปได้ดังกล่าวเปลี่ยนแปลง อาจจะเลวร้ายลงไปด้วยซ้ำ เพราะอิหร่านอาจเลือกกลับมาสร้างอาวุธนิวเคลียร์ต่อได้ อย่างไม่ยากเย็นอะไร (โดยเราไม่รู้ตัว)
    … โอบามาทำถูกแล้ว ที่เจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ ตามแนวที่กำลังคุยกัน ยังดีกว่าให้อิหร่านมีนิวเคลียร์ หรือทำสงคราม เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านสร้างนิวเคลียร์ แต่ข้อตกลงดังกล่าว ต้องสร้างความเชื่อมั่น ให้อเมริกาและตะวันออกกลาง ให้ได้ว่า ได้มีการป้องกันอย่างรอบคอบแล้ว และถ้ามีการเบี้ยว หรือขี้โกง สิ่งเหล่านี้จะถูกจับได้ และจัดการได้อย่างเด็ดขาด
    …นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย และจริงๆแล้ว มันไม่เกินไปหรอก ถ้าจะบอกว่า การสร้างความมั่นใจดังว่านั้น ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยกว่า การเจรจาให้อิหร่านตกลงด้วยซ้ำ….
    คุณดิ๊ก นี่ไม่เบาเลย ตกลงนี่ กำลังหลอกด่าประธานาธิบดี ตัวเองหรือไงว่า ไปโง่ให้เหนื่อยทำไม ผลสุดท้าย เจรจากับอิหร่านสำเร็จหรือไม่ ปลายทางก็คงไม่ต่างกัน …,,หรือว่า พณฯใบตองแห้ง ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ไปก่อน เพราะทางออกอื่นยังสร้างไม่เสร็จ ก็ต้องเล่นบทตีหน้าซื่อ หรือเซ่อ … หลอกอิหร่าน หลอกโลกไปก่อน
    ###############
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง” I will walk away….พี่เผ่นก่อนนะน้อง”

    ตอน 4
    ตกลง พณฯใบตองแห้ง คิดเรื่องอิหร่านอย่างไรกันแน่ อยากเจรจาต่อ หรืออยากเลิกเจรจา ยิ่งถังขยะความคิด CFR ผู้กำกับรัฐบาลอเมริกันตัวจริง ออกมาเขียนตีปลาหน้าไซอย่างนี้ เราๆชาวบ้าน สมันน้อย ไม่ว่าจะอยู่แดนสยาม หรือแดนเนรมิตรที่ไอ้นักล่าใบตองแห้งสร้างหลอกเอาไว้ จะเข้าใจไหม ว่าเขากำลังเล่นอะไรกัน
    นอกจาก CFR จะออกมาชี้เปลือกกล้วย ที่มีใครเหยียบจนลื่นหงายท้อง เสียท่าไปแล้ว ถังขยะความคิดอีกใบ ที่มีเสียงดังไม่น้อยเหมือนกัน คือ Center for Strategic & International Studies (CSIS) ได้ออกรายงาน เมื่อวันที่ 30 มีนาคม อย่างกับนัดกัน กับ CFR เรื่อง Judging a P5+1 Nuclear Agreement with Iran: The Key Criteria เขียนโดย Anthony Cordesman ตัวหัวหน้าใหญ่ ลงมือเขียนเองอีกเหมือน
    นาย Cordesman เขียนเสียยาว บรรยายอย่างละเอียด ถึงการเจรจา ผมขอเล่าแต่สรุปตอนท้ายของเขา ซึ่งน่าจะทำให้เราเห็นอะไรบางอย่าง
    เขาบอกว่า …. ข้อตกลงเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธ ต้องอยู่บนหลักการ ที่เป็นความความเชื่อใจ แต่ตรวจสอบพิสูจน์ได้ ” trust but verify” โดยให้น้ำหนัก ความเชื่อใจที่ 1% และเน้นการตรวจสอบที่พิสูจน์ได้ 99 % จากการวิเคราะห์ที่บรรยายในเอกสาร ไม่มีทางที่จะเอาความเชื่อใจอย่างเดียวมาใช้ในการตรวจสอบอาวุธของอิหร่านที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น นี่จะเป็นข้อพิสูจน์ว่า การตกลงจะมีขึ้นได้ หรือจะเลื่อนออกไป หรือการเจรจาล้มเหลวจบสิ้น
    แล้วการเจรจาก็ต้อง เลื่อนออกไปจริงๆ…
    นอกจาก ได้รับการเคาะตาตุ่ม จากถังขยะความคิดใบใหญ่ 2 ใบแล้ว พณฯ ใบตองแห้งยังโดนยำเสียเละ จากฝ่ายรัฐสภา ที่ปล่อยข่าวออกมาให้เป็นหนังตัวอย่าง เพราะเรื่องของอิหร่าน รัฐบาลยังไม่ได้ส่งเข้าไปให้พิจารณา ดูหนังตัวอย่างม้วนนี้กันหน่อย
    เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการย่อย ด้านตะวันออกกลาง และอาฟริกาเหนือ ได้จัดให้มีการประชุมหารือ โดยมีสมาชิกสภา Ileana Ros-Lehtinen เป็นประธาน ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาร่วมหลายคน หนี่งในนั้นคือ นาย Anthony Cordesman
    ที่ประชุมสรุปว่า การเจรจากับอิหร่านที่กำลังดำเนินอยู่คือ เส้นทางสู่ความหายนะ
    โดยสรุปเรื่องที่หารือกัน 5 ข้อ
    ข้อ 1. เด็กๆ ในตะวันออกกลาง ที่อยู่ในคอกอเมริกา กำลังว้าวุ่นว่าจะพึ่งอเมริกาได้แค่ไหน ตั้งแต่มีเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ พวกเขาบางราย ถึงกับจะหันไปขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือ
    ข้อ 2. เด็กๆ ในภูมิภาค ต่างไม่อยากเหลือเป็นรายสุดท้าย ที่ไม่มีของเล่นเป็นอาวุธนิวเคลียร์ เราคงไม่อยากเห็น รัสเซียคุยกับจอร์แดน หรืออียิปต์ เพื่อจะสร้างนิวเคลียร์ หรือเราคงไม่อยากให้ซาอุดิวิ่งไปหาจีนเรื่องนิวเคลียร์
    ข้อ 3. อิหร่าน บอกมาเป็นเวลานานมากแล้วว่า เขาอยากจะทำโครงการนิวเคลียร์ ตอนนี้เขากำลังเจรจากับอเมริกาว่าเ ขาจะไม่ทำต่อแล้ว แต่เขายังจะทำโครงการจรวดต่อ
    … มันเป็นโครงการต่อเนื่องกัน เลิกโครงการนึง ก็ต้องเลิก อีกอันด้วย สิ่งที่เขาพูด กับที่เขาทำมันขัดกัน
    ข้อ 4. อิหร่านบอกว่า เขาสนใจที่จะเดินหน้าโครงการอวกาศ แต่เทคโนโลยีที่ใช้ในโครงการอวกาศส่วนใหญ่ มันก็เป็นรายการเดียวกับการทำจรวดวิถีไกล ถ้าอิหร่านจะซ่อนสักนิด อิหร่านก็สร้างจรวดวิถีไกลได้โดยไม่มีใครรู้
    ข้อ 5. ตอนนี้อิหร่าน มีจรวดวิถีใกล้ และกลาง เรียบร้อยแล้ว และส่งให้ กลุ่ม Hezbullah กับกลุ่ม Hamas ใช้ไปแล้ว ทำให้อิสราเอลกำลังปวดกระบาล นี่ถ้าอิหร่าน มีจรวดวิถีไกลด้วย คนปวดกระบาลคือเรา อเมริกา อิหร่านโจมตีเราได้ โดยไม่ต้องย้ายพุงข้ามเขตแดนเขาออกมาเลยแม้แต่นิ้วเดียว
    นอกจากนี้ นาย Ed Royce ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการของรัฐสภา ด้านกิจการต่างประเทศ House Commitee on Foreign Affairs ซึ่งร่วมประชุมในโอกาสเดียวกันยังบอกว่า… ในหลายๆทาง การเจรจากับอิหร่าน เป็นกรณีศึกษาให้เห็นว่า รัฐบาลโอบามาดำเนินการเจรจากับอิหร่าน โดยไม่สนใจกับความเห็น หรือความต้องการของฝ่ายอื่นเลย เช่น เมื่อคณะกรรมาธิการแจ้งกับรัฐบาลไปว่า ต้องเอาเรื่องจรวดนำวิถีเข้าไปร่วมพิจารณาในการเจรจาด้วย แต่ปรากฏว่า ไม่อยู่ในกรอบการเจรจา แถมผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ส่งเสียงข้ามทวีปบอกว่า ตะวันตกโง่และเซ่อมาก ที่คิดว่าอิหร่านจะลดการผลิตจรวดนำวืถีด้วย
    คณะกรรมาธิการไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของอิหร่าน ขอโวยกลับ …. จรวดนำวิถี เป็นหัวรบของอาวุธนิวเคลียร์ ไม่นับรวมได้ยังไง วันนี้ เราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้การเป็นพยาน และในจำนวนผู้ที่ถูกเรียกให้มาเป็นพยาน มีนาย Anthony Cordesman มาด้วย
    นาย Cordesman ให้การว่า
    “…. จรวดนำวิถี ballistic missile ไม่ได้แยกส่วน หรือเป็นส่วนเสริม ของอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่เป็นส่วนหนึ่ง it is not a seperate and secondary but part and parcel ระยะยิงของจรวดพวกนี้ ไม่ใช่แค่ในตะวันออกกลาง แต่สามารถยิงไปไกลได้ถึงตอนใต้ของรัสเซียและยุโรป…ระบบนี้ อิหร่านได้รับความช่วยเหลือจากเกาหลีเหนือ นักวิเคราะห์บอกว่า ระบบนี้ก็เหมือนเป็นการทดสอบ สำหรับประเทศที่ต้องการใช้อาวุธนิวเคลียร์
    ….. อิหร่านได้ส่งจรวดพวกนี้ ไปให้กลุ่ม Hezbullah และ Hamas ใช้ที่ฉนวนกาซ่า Hamas ใช้ไปแล้ว ประมาณ 3 พัน ถึง 1 หมื่นลูก ”
    “… ยังไม่มีประเทศไหน ที่ไม่ต้องการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ แล้วดันลงทุนในโครงการจรวดที่มีอานุภาพสูง และใช้ทุนมหาศาลขนาดนี้เลย สมาชิกสภา Ed Royce รำพึง…”
    และข้อมูลเหล่านี้ ยังไม่เคยเข้ามาพิจารณาในรัฐสภาเลย
    ตกลง พณฯใบตองแห้ง กำลังเล่นอะไร โง่และเซ่อ อย่างที่มีเสียงด่าข้ามทวีปมา หรืออเมริกากำลังบอกว่า จำไม่ได้หรือ หนังฮอลลีวู้ดเป็นอย่างไร
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 ก.ค. 2558
    I Will Walk Away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง” ตอน 3 คงจำกันได้ เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา อเมริกา โดย พณฯใบตองแห้ง จัดใหญ่แถลงการณ์ว่า เราตกลงเลือกกรอบการเจรจากับอิหร่านเรียบร้อยแล้ว (รายละเอียดในนิทานเรื่อง “ข้อสอบรั่ว”) ตีปิ๊บซะตื่นเต้นกันไปหมด วันเดียวกันนั้น นาย Richard Hass ผู้อำนวยการใหญ่ของถังขยะความคิด Council on Foreign Relation หรือ CFR ที่เข้าใจว่า ใหญ่กว่ารัฐบาลของอเมริกา ท่านดิ๊ก Richard ก็ออกความเห็นทันทีไม่รอช่า เขียนเองอีกด้วย ไม่ใช้เด็ก แปลว่า เรื่องนี้สำคัญ ต้องปั่น หรือ ปั้นกับมือเอง ท่านดิ๊ก เริ่มต้นได้หยดย้อย ..แบบฝรั่งจ๋า There’s many a slip twixt the cup and the lip” เป็นอะไรที่เหมือนกับว่าสำเร็จแล้ว แต่ความจริง ยังไม่ใช่ ท่านดิ๊กว่าอย่างนั้น แต่ลุงนิทานแปลเองว่า .. ปากจะถึงถ้วยอยู่รอมร่อ แต่ดันหกเสียก่อน..แปลสั้นๆอีกที ว่า อ ด ท่านดิ๊กบอกว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับกรอบการเจรจาเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์โปรแกรม จะเป็นการสร้างเหตุการณ์สำคัญทางด้านการเมืองและการทูต ที่มีรายละเอียดมากมาย กว้างขวางในบริบทต่างๆ เกินกว่าที่คาดกัน…. เริ่มแบบนี้ แปลว่า คงมีใครเหยียบเปลือกกล้วย หงายท้องไปแล้ว แต่จะถึงขนาดทำปืนลั่นใส่หัวแม่ตีนตัวเองหรือเปล่า ต้องตามอ่านบทความของท่านดิ๊กต่อไป …กรอบที่ตกลงกัน สร้างคำถามคาใจไม่น้อยกว่าคำตอบที่ได้มา และยังมีเรื่องค้าง ที่ยังต้องทำอยู่อีกมากมาย จริงๆ แล้ว ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง …ไม่รู้ว่าท่านดิ๊กเหน็บใคร ดันจัดงานแถลงซะใหญ่โตเหมือนกับเจรจาสำเร็จแล้วยังงั้น แหล่ะ เป็นครั้งแรก ที่ผมเห็นด้วยกับไอ้ถังขยะความคิด ช่วยกลับไปอ่านนิทานเรื่อง “ข้อสอบรั่ว” หน่อยนะครับ … กรอบที่ตกลง มีข้อกำหนดห้ามอิหร่านมากมายเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ มีข้อกำหนดมาตรฐานการตรวจสอบว่า อิหร่านทำตามที่ตกลงกันหรือไม่ และมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการ “ผ่อนคลาย” เรื่องการคว่ำบาตรทางเศรษฐกืจ เมื่อตรวจสอบและพิสูจน์ได้แล้วว่า อิหร่านทำตามข้อตกลง …ในการเจรจา ได้มีประเมินกันว่า เราจะมีระยะเวลาในการเตือน 1 ปี นับแต่วันที่อิหร่านตัดสินใจ ที่จะสร้างอาวุธนิวเคลียร์สักลูก จนถึงสร้างสำเร็จ ระยะเวลาดังกล่าวเป็นไปตามข้อสันนิษฐานว่า จากการเฝ้าติดตามอิหร่านอย่างใกล้ชิด เราจะพบการไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาได้เร็วพอ ที่จะระงับการดำเนินการของอิหร่าน และโดยเฉพาะ จะทำให้เรากลับไปใช้การคว่ำบาตรอิหร่านได้ใหม่ “ก่อน” ที่อิหร่านจะสร้างนิวเคลียร์ ตามข้อสมมุติฐานนี้สำเร็จ.... ข้อนี้ ท่านดิ๊ก เขียนได้เยี่ยมครับ ให้เห็นความโง่ของผู้เจรจา และผู้ตกลง ฝ่ายที่ไม่ใช่อิหร่าน ชัดเจนว่า ด่ากันเอง มันดีนะครับ … ท่านดิ๊กบอกว่า มีไม่น้อยกว่า 5 เหตุผล ที่การตกลงกับอิหร่าน ท้ายที่สุด จะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้น แต่ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ … นี่ใบ้หวยหรือไง ข้อแรก ระหว่างเวลา 90 วัน นับแต่เดือนเมษายนถึงสิ้นเดือน มิถุนายน อะไรก็เกิดขึ้นได้ การเปลี่ยนใจ เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนตัวผู้เจรจา การถูกกดดันจากรัฐบาลของตน แค่ตอนนี้ ความไม่เห็นพ้องกัน ระหว่างอเมริกากับอิหร่าน ก็มากมายกองสูงท่วมหัวแล้ว ข้อสอง เรื่องค้างที่สำคัญ คือเรื่องกำหนดเวลายกเลิกการคว่ำบาตร เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับฝ่ายอิหร่าน ขณะเดียวกัน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่ใช้ในการเจรจาต่อรองกับอิหร่าน พูดชัดๆ ว่าฝ่ายอเมริกาและยุโรป ยังไม่อยากยกเลิกการคว่ำบาตรให้อิหร่าน จนกว่า “จะแน่ใจ” ว่า อิหร่านปฏิบัติตามเงื่อนไขครบถ้วน ….. อืม ….อิหร่านคงเข้าใจความนัยนี้แล้ว ข้อสาม เรื่องที่ห่วงกันคือ พวกยึดแน่นกับหลักการ หรือพวกเข้มข้นของทั้ง 2 ฝ่าย เช่นทางอิหร่าน คงไม่อยากให้อิหร่านเจรจากับ “ซาตานอเมริกา” ส่วนทางอเมริกา ก็ใช่ว่า สภาสูงจะเอาด้วย ตอนนี้ก็พูดกันไปทั่วแล้วว่า เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยอิหร่านไว้กับนิวเคลียร์ ที่ความสามารถในการติดตาม การตรวจสอบ ยังไม่เป็นที่แน่ใจ ปล่อยไปเรื่อยๆ อีก 15, 20 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องใครก็ให้ความมั่นใจไม่ได้… พณฯใบตองแห้ง ได้ยินนะครับ ถูกลูกน้อง จริงๆ ก็คือลูกพี่ สั่งสอนให้แล้ว ข้อสี่ อิหร่านจะปฏิบัติกับข้อตกลงนี้อย่างไร ที่ผ่านมา อิหร่านมีประวัติเสีย ในการไม่ให้ข้อมูลสำคัญ หรือที่เกี่ยวข้อง ขนาดผู้ตรวจสอบของสหประชาชาติลงบันทึกไว้ในสมุดความประพฤติของอิหร่านแล้ว … นี่มันดูถูกซ้ำซาก อิหร่านรับได้หรือครับ ขอเสี้ยมหน่อย ข้อที่ห้า มาจากนโยบายด้านการต่างประเทศ และความมั่นคงของอิหร่านเอง ที่ทางอเมริกาไม่เห็นด้วย และเพื่อนฝูงในตะวันออกกลางก็แหยงกับการกระทำของอิหร่าน ที่สนับสนุน ซีเรีย อืรัค เยเมน รวมทั้งที่อื่นๆในตะวันออกกลาง …ท่านดิ๊กบอกว่า อิหร่านมีอนาคตไปได้ไกลถึงเป็นจักรวรรดิ ที่หวังจะเป็นประเทศมหาอำนาจ ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคของตัว แม้ข้อตกลงนิวเคลียร์นี้จะเกิดขึ้น ก็ไม่ทำให้ความเป็นไปได้ดังกล่าวเปลี่ยนแปลง อาจจะเลวร้ายลงไปด้วยซ้ำ เพราะอิหร่านอาจเลือกกลับมาสร้างอาวุธนิวเคลียร์ต่อได้ อย่างไม่ยากเย็นอะไร (โดยเราไม่รู้ตัว) … โอบามาทำถูกแล้ว ที่เจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ ตามแนวที่กำลังคุยกัน ยังดีกว่าให้อิหร่านมีนิวเคลียร์ หรือทำสงคราม เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านสร้างนิวเคลียร์ แต่ข้อตกลงดังกล่าว ต้องสร้างความเชื่อมั่น ให้อเมริกาและตะวันออกกลาง ให้ได้ว่า ได้มีการป้องกันอย่างรอบคอบแล้ว และถ้ามีการเบี้ยว หรือขี้โกง สิ่งเหล่านี้จะถูกจับได้ และจัดการได้อย่างเด็ดขาด …นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย และจริงๆแล้ว มันไม่เกินไปหรอก ถ้าจะบอกว่า การสร้างความมั่นใจดังว่านั้น ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยกว่า การเจรจาให้อิหร่านตกลงด้วยซ้ำ…. คุณดิ๊ก นี่ไม่เบาเลย ตกลงนี่ กำลังหลอกด่าประธานาธิบดี ตัวเองหรือไงว่า ไปโง่ให้เหนื่อยทำไม ผลสุดท้าย เจรจากับอิหร่านสำเร็จหรือไม่ ปลายทางก็คงไม่ต่างกัน …,,หรือว่า พณฯใบตองแห้ง ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ไปก่อน เพราะทางออกอื่นยังสร้างไม่เสร็จ ก็ต้องเล่นบทตีหน้าซื่อ หรือเซ่อ … หลอกอิหร่าน หลอกโลกไปก่อน ############### นิทานเรื่องจริง เรื่อง” I will walk away….พี่เผ่นก่อนนะน้อง” ตอน 4 ตกลง พณฯใบตองแห้ง คิดเรื่องอิหร่านอย่างไรกันแน่ อยากเจรจาต่อ หรืออยากเลิกเจรจา ยิ่งถังขยะความคิด CFR ผู้กำกับรัฐบาลอเมริกันตัวจริง ออกมาเขียนตีปลาหน้าไซอย่างนี้ เราๆชาวบ้าน สมันน้อย ไม่ว่าจะอยู่แดนสยาม หรือแดนเนรมิตรที่ไอ้นักล่าใบตองแห้งสร้างหลอกเอาไว้ จะเข้าใจไหม ว่าเขากำลังเล่นอะไรกัน นอกจาก CFR จะออกมาชี้เปลือกกล้วย ที่มีใครเหยียบจนลื่นหงายท้อง เสียท่าไปแล้ว ถังขยะความคิดอีกใบ ที่มีเสียงดังไม่น้อยเหมือนกัน คือ Center for Strategic & International Studies (CSIS) ได้ออกรายงาน เมื่อวันที่ 30 มีนาคม อย่างกับนัดกัน กับ CFR เรื่อง Judging a P5+1 Nuclear Agreement with Iran: The Key Criteria เขียนโดย Anthony Cordesman ตัวหัวหน้าใหญ่ ลงมือเขียนเองอีกเหมือน นาย Cordesman เขียนเสียยาว บรรยายอย่างละเอียด ถึงการเจรจา ผมขอเล่าแต่สรุปตอนท้ายของเขา ซึ่งน่าจะทำให้เราเห็นอะไรบางอย่าง เขาบอกว่า …. ข้อตกลงเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธ ต้องอยู่บนหลักการ ที่เป็นความความเชื่อใจ แต่ตรวจสอบพิสูจน์ได้ ” trust but verify” โดยให้น้ำหนัก ความเชื่อใจที่ 1% และเน้นการตรวจสอบที่พิสูจน์ได้ 99 % จากการวิเคราะห์ที่บรรยายในเอกสาร ไม่มีทางที่จะเอาความเชื่อใจอย่างเดียวมาใช้ในการตรวจสอบอาวุธของอิหร่านที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น นี่จะเป็นข้อพิสูจน์ว่า การตกลงจะมีขึ้นได้ หรือจะเลื่อนออกไป หรือการเจรจาล้มเหลวจบสิ้น แล้วการเจรจาก็ต้อง เลื่อนออกไปจริงๆ… นอกจาก ได้รับการเคาะตาตุ่ม จากถังขยะความคิดใบใหญ่ 2 ใบแล้ว พณฯ ใบตองแห้งยังโดนยำเสียเละ จากฝ่ายรัฐสภา ที่ปล่อยข่าวออกมาให้เป็นหนังตัวอย่าง เพราะเรื่องของอิหร่าน รัฐบาลยังไม่ได้ส่งเข้าไปให้พิจารณา ดูหนังตัวอย่างม้วนนี้กันหน่อย เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการย่อย ด้านตะวันออกกลาง และอาฟริกาเหนือ ได้จัดให้มีการประชุมหารือ โดยมีสมาชิกสภา Ileana Ros-Lehtinen เป็นประธาน ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาร่วมหลายคน หนี่งในนั้นคือ นาย Anthony Cordesman ที่ประชุมสรุปว่า การเจรจากับอิหร่านที่กำลังดำเนินอยู่คือ เส้นทางสู่ความหายนะ โดยสรุปเรื่องที่หารือกัน 5 ข้อ ข้อ 1. เด็กๆ ในตะวันออกกลาง ที่อยู่ในคอกอเมริกา กำลังว้าวุ่นว่าจะพึ่งอเมริกาได้แค่ไหน ตั้งแต่มีเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ พวกเขาบางราย ถึงกับจะหันไปขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือ ข้อ 2. เด็กๆ ในภูมิภาค ต่างไม่อยากเหลือเป็นรายสุดท้าย ที่ไม่มีของเล่นเป็นอาวุธนิวเคลียร์ เราคงไม่อยากเห็น รัสเซียคุยกับจอร์แดน หรืออียิปต์ เพื่อจะสร้างนิวเคลียร์ หรือเราคงไม่อยากให้ซาอุดิวิ่งไปหาจีนเรื่องนิวเคลียร์ ข้อ 3. อิหร่าน บอกมาเป็นเวลานานมากแล้วว่า เขาอยากจะทำโครงการนิวเคลียร์ ตอนนี้เขากำลังเจรจากับอเมริกาว่าเ ขาจะไม่ทำต่อแล้ว แต่เขายังจะทำโครงการจรวดต่อ … มันเป็นโครงการต่อเนื่องกัน เลิกโครงการนึง ก็ต้องเลิก อีกอันด้วย สิ่งที่เขาพูด กับที่เขาทำมันขัดกัน ข้อ 4. อิหร่านบอกว่า เขาสนใจที่จะเดินหน้าโครงการอวกาศ แต่เทคโนโลยีที่ใช้ในโครงการอวกาศส่วนใหญ่ มันก็เป็นรายการเดียวกับการทำจรวดวิถีไกล ถ้าอิหร่านจะซ่อนสักนิด อิหร่านก็สร้างจรวดวิถีไกลได้โดยไม่มีใครรู้ ข้อ 5. ตอนนี้อิหร่าน มีจรวดวิถีใกล้ และกลาง เรียบร้อยแล้ว และส่งให้ กลุ่ม Hezbullah กับกลุ่ม Hamas ใช้ไปแล้ว ทำให้อิสราเอลกำลังปวดกระบาล นี่ถ้าอิหร่าน มีจรวดวิถีไกลด้วย คนปวดกระบาลคือเรา อเมริกา อิหร่านโจมตีเราได้ โดยไม่ต้องย้ายพุงข้ามเขตแดนเขาออกมาเลยแม้แต่นิ้วเดียว นอกจากนี้ นาย Ed Royce ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการของรัฐสภา ด้านกิจการต่างประเทศ House Commitee on Foreign Affairs ซึ่งร่วมประชุมในโอกาสเดียวกันยังบอกว่า… ในหลายๆทาง การเจรจากับอิหร่าน เป็นกรณีศึกษาให้เห็นว่า รัฐบาลโอบามาดำเนินการเจรจากับอิหร่าน โดยไม่สนใจกับความเห็น หรือความต้องการของฝ่ายอื่นเลย เช่น เมื่อคณะกรรมาธิการแจ้งกับรัฐบาลไปว่า ต้องเอาเรื่องจรวดนำวิถีเข้าไปร่วมพิจารณาในการเจรจาด้วย แต่ปรากฏว่า ไม่อยู่ในกรอบการเจรจา แถมผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ส่งเสียงข้ามทวีปบอกว่า ตะวันตกโง่และเซ่อมาก ที่คิดว่าอิหร่านจะลดการผลิตจรวดนำวืถีด้วย คณะกรรมาธิการไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของอิหร่าน ขอโวยกลับ …. จรวดนำวิถี เป็นหัวรบของอาวุธนิวเคลียร์ ไม่นับรวมได้ยังไง วันนี้ เราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้การเป็นพยาน และในจำนวนผู้ที่ถูกเรียกให้มาเป็นพยาน มีนาย Anthony Cordesman มาด้วย นาย Cordesman ให้การว่า “…. จรวดนำวิถี ballistic missile ไม่ได้แยกส่วน หรือเป็นส่วนเสริม ของอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่เป็นส่วนหนึ่ง it is not a seperate and secondary but part and parcel ระยะยิงของจรวดพวกนี้ ไม่ใช่แค่ในตะวันออกกลาง แต่สามารถยิงไปไกลได้ถึงตอนใต้ของรัสเซียและยุโรป…ระบบนี้ อิหร่านได้รับความช่วยเหลือจากเกาหลีเหนือ นักวิเคราะห์บอกว่า ระบบนี้ก็เหมือนเป็นการทดสอบ สำหรับประเทศที่ต้องการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ….. อิหร่านได้ส่งจรวดพวกนี้ ไปให้กลุ่ม Hezbullah และ Hamas ใช้ที่ฉนวนกาซ่า Hamas ใช้ไปแล้ว ประมาณ 3 พัน ถึง 1 หมื่นลูก ” “… ยังไม่มีประเทศไหน ที่ไม่ต้องการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ แล้วดันลงทุนในโครงการจรวดที่มีอานุภาพสูง และใช้ทุนมหาศาลขนาดนี้เลย สมาชิกสภา Ed Royce รำพึง…” และข้อมูลเหล่านี้ ยังไม่เคยเข้ามาพิจารณาในรัฐสภาเลย ตกลง พณฯใบตองแห้ง กำลังเล่นอะไร โง่และเซ่อ อย่างที่มีเสียงด่าข้ามทวีปมา หรืออเมริกากำลังบอกว่า จำไม่ได้หรือ หนังฮอลลีวู้ดเป็นอย่างไร สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 ก.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 Reviews
  • ผู้หญิงในอุตสาหกรรมเกมยังคงเผชิญช่องว่างค่าจ้างเฉลี่ย 24% เมื่อเทียบกับผู้ชาย

    รายงานระบุว่า ผู้หญิงและบุคคล non-binary ในบริษัทเกมสหรัฐฯ ได้รับค่าจ้างเฉลี่ยน้อยกว่าผู้ชายถึง 24% ซึ่งสูงกว่าช่องว่างค่าจ้างโดยรวมในสหรัฐฯ ที่อยู่ราว 15% ข้อมูลจากการสำรวจคนทำงานเกม 562 คนในเดือนกรกฎาคมเผยว่า สองในสามของผู้ชายที่มีประสบการณ์ 6 ปีขึ้นไปได้รับเงินเดือนมากกว่า 125,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่มีเพียง 38% ของผู้หญิงและ non-binary ที่ได้ระดับเดียวกัน

    ความรู้สึกและการรับรู้ของแรงงาน
    กว่า 60% ของผู้หญิงและ non-binary เชื่อว่าตนเองถูกจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าที่ควร ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจริงที่พบในรายงาน แม้ว่าโดยรวมแล้วคนทำงานเกมมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยชาวอเมริกัน (142,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี) แต่ความเหลื่อมล้ำทางเพศยังคงชัดเจนและต่อเนื่องthestar.com.my

    ปัญหาความเท่าเทียมและวัฒนธรรมองค์กร
    อุตสาหกรรมเกมถูกวิจารณ์มานานเรื่อง วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่และการเลือกปฏิบัติทางเพศ บริษัทใหญ่เช่น Riot Games, Ubisoft และ Activision Blizzard เคยถูกกล่าวหาว่าสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้หญิง และบางแห่งต้องจ่ายเงินชดเชยให้พนักงานที่ถูกละเมิด แม้หลายบริษัทพยายามเพิ่มจำนวนผู้หญิงในทีม แต่ปัจจุบันยังมีเพียง 25% ของแรงงานในอุตสาหกรรมเกมที่เป็นผู้หญิง

    แนวโน้มและความท้าทาย
    แม้รายได้เฉลี่ยของคนทำงานเกมจะสูงขึ้นเล็กน้อยจากปี 2024 แต่การเลิกจ้างจำนวนมากในปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมยังอยู่ในภาวะหดตัว การแก้ไขช่องว่างค่าจ้างและสร้างวัฒนธรรมที่เท่าเทียมจึงเป็นความท้าทายสำคัญ หากไม่ปรับปรุง อุตสาหกรรมอาจสูญเสียแรงงานที่มีศักยภาพและความหลากหลายทางความคิด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ผู้หญิงและ non-binary ได้ค่าจ้างเฉลี่ยน้อยกว่าผู้ชาย 24%
    ช่องว่างนี้กว้างกว่าค่าเฉลี่ยสหรัฐฯ ที่ 15%

    ผู้ชาย 2/3 ได้เงินเดือน ≥125,000 ดอลลาร์สหรัฐ
    แต่ผู้หญิงและ non-binary มีเพียง 38% เท่านั้น

    แรงงานเกมมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยอเมริกัน
    เฉลี่ย 142,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี

    ผู้หญิงในอุตสาหกรรมเกมมีเพียง 25% ของแรงงานทั้งหมด
    แม้บริษัทพยายามเพิ่มจำนวน แต่ยังต่ำมาก

    ความเสี่ยงจากวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่และการเลือกปฏิบัติ
    บริษัทใหญ่หลายแห่งเคยถูกกล่าวหาว่าสร้างสภาพแวดล้อมไม่ปลอดภัย

    การเลิกจ้างจำนวนมากในปีที่ผ่านมา
    อาจทำให้แรงงานหญิงและ non-binary เสี่ยงตกงานมากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/18/women-in-games-industry-paid-24-less-than-men-survey-shows
    🙍‍♀️ ผู้หญิงในอุตสาหกรรมเกมยังคงเผชิญช่องว่างค่าจ้างเฉลี่ย 24% เมื่อเทียบกับผู้ชาย รายงานระบุว่า ผู้หญิงและบุคคล non-binary ในบริษัทเกมสหรัฐฯ ได้รับค่าจ้างเฉลี่ยน้อยกว่าผู้ชายถึง 24% ซึ่งสูงกว่าช่องว่างค่าจ้างโดยรวมในสหรัฐฯ ที่อยู่ราว 15% ข้อมูลจากการสำรวจคนทำงานเกม 562 คนในเดือนกรกฎาคมเผยว่า สองในสามของผู้ชายที่มีประสบการณ์ 6 ปีขึ้นไปได้รับเงินเดือนมากกว่า 125,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่มีเพียง 38% ของผู้หญิงและ non-binary ที่ได้ระดับเดียวกัน 📊 ความรู้สึกและการรับรู้ของแรงงาน กว่า 60% ของผู้หญิงและ non-binary เชื่อว่าตนเองถูกจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าที่ควร ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจริงที่พบในรายงาน แม้ว่าโดยรวมแล้วคนทำงานเกมมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยชาวอเมริกัน (142,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี) แต่ความเหลื่อมล้ำทางเพศยังคงชัดเจนและต่อเนื่องthestar.com.my ⚖️ ปัญหาความเท่าเทียมและวัฒนธรรมองค์กร อุตสาหกรรมเกมถูกวิจารณ์มานานเรื่อง วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่และการเลือกปฏิบัติทางเพศ บริษัทใหญ่เช่น Riot Games, Ubisoft และ Activision Blizzard เคยถูกกล่าวหาว่าสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้หญิง และบางแห่งต้องจ่ายเงินชดเชยให้พนักงานที่ถูกละเมิด แม้หลายบริษัทพยายามเพิ่มจำนวนผู้หญิงในทีม แต่ปัจจุบันยังมีเพียง 25% ของแรงงานในอุตสาหกรรมเกมที่เป็นผู้หญิง 🔮 แนวโน้มและความท้าทาย แม้รายได้เฉลี่ยของคนทำงานเกมจะสูงขึ้นเล็กน้อยจากปี 2024 แต่การเลิกจ้างจำนวนมากในปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมยังอยู่ในภาวะหดตัว การแก้ไขช่องว่างค่าจ้างและสร้างวัฒนธรรมที่เท่าเทียมจึงเป็นความท้าทายสำคัญ หากไม่ปรับปรุง อุตสาหกรรมอาจสูญเสียแรงงานที่มีศักยภาพและความหลากหลายทางความคิด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ผู้หญิงและ non-binary ได้ค่าจ้างเฉลี่ยน้อยกว่าผู้ชาย 24% ➡️ ช่องว่างนี้กว้างกว่าค่าเฉลี่ยสหรัฐฯ ที่ 15% ✅ ผู้ชาย 2/3 ได้เงินเดือน ≥125,000 ดอลลาร์สหรัฐ ➡️ แต่ผู้หญิงและ non-binary มีเพียง 38% เท่านั้น ✅ แรงงานเกมมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยอเมริกัน ➡️ เฉลี่ย 142,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ✅ ผู้หญิงในอุตสาหกรรมเกมมีเพียง 25% ของแรงงานทั้งหมด ➡️ แม้บริษัทพยายามเพิ่มจำนวน แต่ยังต่ำมาก ‼️ ความเสี่ยงจากวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่และการเลือกปฏิบัติ ⛔ บริษัทใหญ่หลายแห่งเคยถูกกล่าวหาว่าสร้างสภาพแวดล้อมไม่ปลอดภัย ‼️ การเลิกจ้างจำนวนมากในปีที่ผ่านมา ⛔ อาจทำให้แรงงานหญิงและ non-binary เสี่ยงตกงานมากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/18/women-in-games-industry-paid-24-less-than-men-survey-shows
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Women in games industry paid 24% less than men, survey shows
    Women working in the video-game industry earn 24% less than their male colleagues on average, according to a new survey – a wider gap than in the US at large that suggests the sector is still struggling to shed its male-dominated culture.
    0 Comments 0 Shares 75 Views 0 Reviews
  • ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”
    ตอน 3
    แล้วโซ่คล้องคอชาวกรีซล่ะ หน้าตาเป็นอย่างไร สมันน้อยน่าจะรู้จักนะ เพราะเคยต้องใช้อยู่ช่วงนึง แต่อาจจะขนาดเล็กกว่า สั้นกว่า บางคนอาจโตไม่ทัน หรือโตแล้ว แต่ไม่รู้เรื่อง ก็ทำความรู้จักไว้หน่อยก็ดี เผื่อเหตุการณ์เก่า มันจะกลับมาเยี่ยม จะได้รู้จัก รู้ขนาดโซ่ว่า รับไหวไหม ยิ่งมีข่าวกระฉ่อนว่า หนุ่มหน้าใส อดีตผู้เชี่ยวชาญของธนาคารโลก พวกเสือหิวด้วยกัน กำลังเป็นตัวเต็ง จะมาเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนใหม่ แทนคนปัจจุบัน ที่กำลังจะหมดวาระในเดือนสิงหาคมนี้ เผื่อแกยังรสนิยมเดิมๆ
    ปี ค.ศ.2010 เสือหิว Troika บอกเราจัดหาเงินให้กรีซได้จำนวน ประมาณบรรทุกรถสิบล้อ 340 คัน ตีว่า บรรทุกได้ คันละ 1 พันล้านยูโร ใครไม่ตกเลข ก็คำนวณเองนะครับ ว่าเป็นเงินเท่าไหร่ ดอกแค่ร้อยละ 5 ถูกจะตาย เงื่อนไขไม่มีอะไรมากมาย ใช้แบบเงื่อนตายเหมือนผูกตราสังข์ ตามแบบฟอร์มของ IMF ที่เรียกว่า SAP หรือ Structural Adjustment Policy ส่วนคนกู้ เรียกสัญญาแบบนี้ว่า แบบ DOA หรือ Dead on Arrival เป็นศพตั้งแต่มาถึงแล้ว คือ ตาย(ห่า) ตั้งแต่กู้ สัญญาแบบนี้ใช้มากว่า 35 ปีแล้วในประเทศแถบละติน อาฟริกา ยุโรปตะวันออกที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต และเอเซีย ตัวอย่างของผู้ที่ใช้สัญญานี้ และเป็นที่รู้จักกันดี ถูกนำมายกเป็นกรณีศึกษาจนแทบจะท่องกันได้คือ ประเทศอาร์เจนตินา
    สัญญาแบบ DOA เป็นอย่างไร ก็แค่ตัดงบใช้จ่ายในบ้านเมืองจนเหี้ยน ซึ่งรวมไปถึงการลดสวัสดิการทาง สังคม การรักษาพยาบาล เบี้ยบำนาญ ลดการจ่ายค่าแรงค่าจ้าง แต่เน้นให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน เพิ่มการส่งออก เพิ่มการแข่งขันทางการค้า เพิ่มภาษี และต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ คือให้รัฐนำออกมาขายเพื่อเอามาใช้หนี้ และลดค่าเงินของประเทศผู้กู้ แต่เนื่องจากกรีซใช้ยูโร ขืนบังคับใช้ข้อนี้ก็ฉิบหายกันหมด เพราะฉนั้น ข้อนี้ เลยกลายเป็นไปเพิ่มการลดค่าใช้จ่ายในประเทศลงแยะๆ แทน
    ผมก็งงนะ ไม่รู้มันเอาส่วนไหนคิด ลดค่าแรง ลดการจ้างงาน แต่ให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน แปลว่า ชาวกรีซ นอนผึ่งพุงอยู่กับบ้าน เพราะไม่มีงานทำ ทำไปก็ไม่มีได้ค่าจ้าง เพราะเขาสั่งให้ลด แล้ว”ใคร” มาเพิ่มงาน “ใคร” มาลงทุน ” ใคร” มาซื้อรัฐวิสาหกิจ ที่ไอ้เสือหิวสั่งให้ขาย พอนึกออกนะครับว่า ในที่สุดแล้ว “ใคร” จะเป็นเจ้าของเกาะกรีซอันสวยงาม
    เสือหิว Troika บอกว่า มาตรการนี้ คงใช้ไม่นาน ไม่เกิน 2 ปี กรีซก็คงฟื้นตัว แต่มันตรงกันข้าม นอกจากไม่ฟื้นแล้ว กรีซยิ่งทรุดหนัก ชาวกรีซออกมาประท้วง สื่อกรีซเริ่มออกข่าวด่าไอ้เสือหิว อียู และ IMF บอกว่า ที่ไม่ดีขึ้น เพราะกรีซไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไข ไม่ยอมลำบาก ยังอยากสบายด้วยเงินของคนอื่น อันนี้เจ็บมาก ชาวกรีซบอกว่า นี่เป็นการบิดเบือนความจริงที่เลวร้าย รัฐบาลกรีซเดินตามเงื่อนไข DOA อย่างเคร่งครัด งบค่าจ้างตัดทิ้งเป็นพันๆล้านยู โร การรักษาพยาบาลของกรีซ ลดไปถึง 50% ไม่ใช่ชาวกรีซ แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วย แต่พวกเขาไม่มีเงิน ไปหาหมอ ไปโรงพยาบาลต่างหาก การศึกษาก็เช่นกัน ลดลงไปมากมาย ธุรกิจขนาดเล็กปิดตัวเกือบหมด และอัตราคนว่างงานในปี 2011 ก็ขึ้นพรวด และรายรับของภาษี ก็ลดลงอย่างมากเช่นเดียวกัน มัน DOA จริงๆ
    เสือหิว Troika ยังปากแข็ง ไม่ยอมรับความผิดพลาดในการจ่ายยาของตัวให้แก่คนป่วยชื่อก รีซ จะไปรับได้อย่างไร เขาให้ยาถูกแล้ว เขาตั้งใจให้ยา DOA นี้กับกรีซ กรีซต่างหากเล่า ที่ทำผิดพลาดซ้ำซาก ยอมกินยานี้ (ซ้ำซาก) เอง
    กรีซนึกว่า กินยานี้ครั้งเดียวแล้วทุกอย่าง จะดีขึ้นตามที่ IMF บอก แต่ในที่สุด กรีซก็ต้องขอรับยางวดสอง ในปี 2012 เอะ งวดแรก กินเข้าไปก็ตายแล้ว งวดสองกินแล้วจะเป็นอย่างไร ก็ตายซากละสิครับ
    เงื่อนไขงวดสอง เพิ่มชัดเจนว่า ต้องลดการจ้างงานภาครัฐลงไป 150,000 คน ภายในสิ้นปี 2015 และขายรัฐวิสาหกิจแบบเทกระจาด เรื่องนี้ทำให้มีป้ายขึ้นกลางเมืองใหญ่ของกรีซว่า “A Nation for Sale” มีประเทศขาย ไม่ใช่ขายแค่บ้าน ขายประเทศ ภาวนาอย่าให้มีป้ายแบบนี้ขึ้นในแดนสยามของเราก็แล้วกัน
    ทรัพย์สินที่กรีซขายไป ที่สำคัญ เช่น ท่าเรือ Piraeus ท่าเรือ Thessaloniki ซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่ และมีคุณค่า ทั้งทางประวัติศาสตร์ และ เศรษฐกิจ (บางข้อมูลบอกท่าเรือ ทั้ง 2 ยังเจรจากันอยู่ ยังไม่ได้ขายออกไป) บริษัทเทเลคอม OTE สลากกินแบ่งกรีซ ที่ดินหลายแปลง ที่อยู่ในถิ่นดีที่สุดของประเทศ prime area และ postal bank การขายทรัพย์สินของประเทศครั้งใหญ่นี้ ทำให้พรรค Syriza ซึ่งประกาศคัดค้านขายรัฐวิสาหกิจ และการขายทรัพย์สิน ซึ่งได้คะแนนเสียงเพียง 4.6 % ในปี 2009 กระโดดมาเป็น 26.89% ในปี 2012 และได้เป็นรัฐบาลในปี 2015
    ระหว่าง ที่เสือหิว Troika ให้กรีซกินยา DOA งวดสอง อัตราคนว่างงานก็เพิ่มเป็น 22% และกำลังจะเป็น 25% ในไม่ช้า ชาวกรีซที่มีการศึกษาดี และยังอายุน้อย ต่างพากัน ทิ้งประเทศของตน ไปหางานทำที่เยอรมัน ที่เศรษฐกิจกำลังรุ่ง มันเป็นการประชดชีวิตชาวกรีซอย่างน่าเศร้า โลกนี้มันไม่สวยทั้งหมดอย่างที่เราคิด และที่กรีซ ก็คงจะเหลือแต่คนแก่ คนรายได้ต่ำ คนการศึกษาไม่สูง และชาวต่างชาติที่หนีระเบิดรายวันมาแย่งกันกิน
    ##############
    “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”

    ตอน 4
    นักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมือง บอกว่า กรีซมาถึงจุดวิกฤตินี้ จากการที่มีนักการเมือง หรือรัฐบาลสายตาสั้น มองไม่ได้ไกล ขี้โกง เห็นแก่ประโยชน์พรรคและพวก ทำให้กรีซตกเป็นเหยื่อของระบบ ที่สร้างขี้นมา เพื่อทำให้ประเทศที่อ่อนแอจากปัจจัย ต่างๆ อย่างกรีซ ไม่คิดพึ่งตัวเอง ไม่คิดเปลี่ยนแปลง ไม่คิดปฏิรูป ไม่รู้จักเรียนรู้ เพื่อแก้ไข มักง่าย และในที่สุดก็จะหมดตัว หมดประเทศ หรือ เหลือแต่ซาก
    ส่วนนักวิเคราะห์การเงินบอกว่า อย่าเอะอะไป เรื่องหนี้กรีซ ไม่ใช่เรื่องของหนี้กรีซ เอะ พูดยังไง เราพูดเรื่องเดียวกันหรือเปล่า ครับ นักการเงินบอก ไม่มีใครเขาสนใจประเทศกรีซ ที่เล็กกระจิดริด ถึงจะสวยงามก็เถอะ กรีซจะมีเงินใช้หนี้ไหม กรีซจะอยู่ หรือจะไปจากอียู เขาไม่ได้สนใจ แต่ที่เป็นข่าวกันถี่ ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก พวกเขากลัวมันกระทบกับระบบธนาคาร กลัวนายทุนจะเจ๊ง ไม่ได้กลัวชาวกรีซจะอดตาย ไม่ได้กลัวรัฐบาลกรีซ จะล่ม เข้าใจไหมครับ
    แต่สื่อใหญ่รุ่นเก๋า Dennis Gartman บอกว่า…. กรีซยังอยู่ในอียู เพราะเยอรมันต้องการอย่างนั้น เยอรมันยังไม่อยากเฉดกรีซออกไป เยอรมันต้องการให้ค่าเงินยูโรอ่อน ยูโรอ่อนดีสำหรับการส่งออก คนซื้อจะได้นึกว่าตัวซื้อของได้ถูก เยอรมันเป็นประเทศขายของ ที่ ยามนี้กำลังต้องการขายอย่างยิ่ง ใครขายได้ ต้องรีบขาย Bayer, Thyssenkrupp, Daimler เจ้าพ่อธุรกิจการค้าเยอรมัน ต้องการให้กรีซ ยังอยู่ในอียูทั้งนั้น …
    …..ถ้า ผมเป็นนายกรัฐมนตรีกรีซ ผมคงไม่วิ่งเจรจาให้เหนื่อย ผมคงปล่อยให้กรีซผิดนัดหนี้นานมาแล้ว และกลับไปใช้เงินสกุลของกรีซ และผมก็ลดค่าของกรีซ อุตสาหกรรมทอผ้าของกรีซก็จะกลายเป็นสินค้า ที่ใครๆต้องการเพราะราคาถูกลง กิจการท่องเที่ยวของกรีซ ก็กลับมาฟื้น เพราะใครๆ ก็อยากกลับมาอยู่เกาะสวย ในราคาไม่แพง กิจการเดินเรือของกรีซก็กลับมารุ่งใหม่ ทำไมผมต้องง้อเยอรมันอยู่ข้างเดียว ผมจะบอกกับพวกเจ้าหนี้โหดๆ ว่าเชิญเลย เชิญเอาตูดผมไปเลย อยากทำอะไรก็ทำ แล้วผมก็ออกจากอียู ก็แค่นั้น…
    ความคิดอย่างนาย Gartman ชาวกรีซเกือบทุกคน คงอยากทำอย่างนั้น คิดได้ แต่ไม่รู้ทำได้จริงไหม กรีซมีหนี้ก้อนใหญ่หมึมา เบี้ยวหนี้ก้อนหนี้ ก็กลายเป็นประเทศล้มละลาย คนล้มละลาย จะไปค้าขายกับใครได้ ขายของได้เงินมา เจ้าหนี้ก็คอยมาคว้าไป แต่ไม่ใช่ว่า เรื่องแบบนี้ เล่นไม่ได้เอาเลย อาร์เจนตินา เคยตัดโซ่ แหกคอกออกมา ยอมอด แต่ก็หืดขึ้นคอ กว่าจะยืนตรงได้เหมือนเดิม
    พรรค Syriza คงไม่คิดให้ชาวกรีซอยู่ในเหว และมีโซ่คล้องคอตลอดไป แต่จะเลือกทำด้วยวิธีไหน และเมื่อไหร่ เท่านั้น การตัดสินใจของ Syriza ในช่วงไม่กี่วันนี้ คงต้องตามดูกันทุกยก เพราะมันสามารถ สร้างระดับความสะเทือน เหมือนแผ่นดินไหวในยุโรปได้ ตั้งแต่ 4 ริกเตอร์ ไปจนถึงระดับ 9 ริกเตอร์ และอาจจะตามมา ด้วยอาฟเตอร์ขนาดไหน ถึงไหน และนานเท่าไหร่ และจะต่อด้วยซึนามิหรือไม่ พวกแมงเม่า อย่ามัวแต่เหม่อดูแต่จอบ้านตัวเอง เดี๋ยวปีกจะไหม้ร่วงหลุดเป็นแถวๆ
    ล่าสุดขณะที่ผมกำลังเขียนนิทาน ( 25 มิย.) ข่าวว่า คุณน้องยานิส รัฐมนตรีคลัง ยืนกรานว่า ต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ ฝ่ายเจ้าหนี้บอก เราไม่มีความคิดเช่นนั้น ถ้ากรีซไม่มีอะไรใหม่มาเสนอ เช่นจะรัดคอหอยเข้าไปอีกกี่นิ้ว หรือจะมีวิธีชำระหนี้อย่างไร เราก็ไม่มีอะไรพูด แล้วการประชุมระหว่าง รัฐมนตรีคลังของกรีซกับฝ่ายอี ยู 18 คน ที่ สนง อียู กรุงบรัสเซล เมื่อเย็นวันที่ 24 มิย. ก็จบลงอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาประชุมไม่ถึง 1 ชั่วโมง แล้วต่างก็ทำหน้าไร้อารมณ์ เก็บของกลับบ้าน
    ร้อนถึงนายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซึ่งข่าวว่า บินด่วนมาบรัสเซล มาคุยต่อกับพวก บิกกี้ของ อียู และคุณนายหน้าเค็มของไอเอมเอฟ ต่ออีก 7 ชั่วโมง แล้วก็กลับไปตอนดึก โดยไม่ให้ข่าว ทั้งหมดนี้ ผมอ่านจากทวิต ของนักข่าวต่างประเทศ ที่ไปเกาะติดสถานการณ์
    แปลว่าอะไรครับ แปลว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยังกำไต๋ ไม่แผลมให้อีกฝ่ายรู้ ดูผ่านๆ เหมือนกรีซ กำลังเป็นฝ่ายอาการหนัก แต่สำหรับผม ผมว่า อียูหนักกว่า สำหรับกรีซ เหมือนคนใกล้ตาย หรือตายไปแล้ว จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้ได้อีกมาก ถึงมีชิวิตที่เป็นอยู่ก็เลวสุดอยู่แล้ว แต่สำหรับ อียู ยังไม่เคยใกล้ตาย เจียนตาย คราวนี้อาจจะได้รู้จัก
    สมมุติว่า ถ้ากรีซตัดสินใจไม่รับเงินกู้อีกต่อไป หนี้ที่ค้างกันอยู่ ก็ค่อยว่ากัน นี่ไม่ใช่การเบี้ยวหนี้ แต่เป็นการแสดงความไม่ต้องการเป็นหนี้เพิ่ม เอาแค่นี้ จะเรียกเป็นประเทศล้มละลาย หรืออะไรก็แล้วแต่ ความสะเทือนในระบบการเงินในยุโรป ก็น่าจะเกิน 6 ริกเตอร์แล้ว เพราะมันหมายถึง deposits run เงินฝากไหลออกจะเกิดขึ้นแบบของจริง ระบบแบงค์ในกรีซ ไปก่อน หลังจากนั้นก็ลามไปนอกกรีซ ก็ขึ้นกับธนาคารกลางของอียู จะเอาอยู่ไหม สมาชิกอียู ใครจะเป็นผู้กล้าหาญ ถมเงินมาให้ธนาคารกลาง คงเกี่ยงกันอยู่นาน เพราะทั้งเค็ม ทั้งคม กันทั้งนั้น คมเฉือนคม กว่าจะตกลงกันได้ ระหว่างนั้น เลือดยุโรปก็ไหลโกรก
    สมมุติไปอีกทางหนึ่ง ถึงคุณน้องยานิส จะทำหน้าขรึมว่า เจ้าหนี้ต้องตกลงเรื่องปรับโครงสร้างหนี้ก่อน แต่ นายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ประกาศว่า เรายอมให้โซ่รัดคอเราแน่นอีกหน่อย เกี่ยวกับเรื่องเงินบำนาญ ยืดอายุคนรับบำนาญไป อีก 2 ปี ทนไหวน่าลุงและจำนวนที่ต้องจ่ายบำนาญก็จะลดลง
    มี ข่าวว่า เจ้าหนี้ ต้องการรัดคออีกหลายเปลาะ เช่นเรื่อง ขยายฐานเก็บภาษี ไปถึง เรื่อง การซื้อยาและขึ้นอัตรา vat ร้านอาหารและที่พักโรงแรม สำหรับกรีซ ที่เป็นเมืองขายการท่องเที่ยว ขึ้นภาษี 2 รายการนี่ ก็ เปลี่ยนร้านอาหาร เป็นป่าช้า อาจได้ลูกค้ามากกว่า
    ข่าวนี้ทำให้เกิดเสียงแตกในพรรค Syriza เอง พวกเข้มบอกไม่ได้นะ นายกฯ ไปตกลงเองไม่ได้ ต้องเอามาเข้าสภาก่อน และรับรองเลย มติแบบนี้ ไม่ผ่านสภาแน่
    ถ้าเป็นข้อสมมุติตามนี้ ความสะเทือน อาจจะไม่เกิน 4 ริกเตอร์ ในตอนแรก ระหว่างรอเข้าสภา และไม่ว่าสภาจะลงมติอะไร การถอนเงินฝาก ก็จะเกิดขึ้น เหมือนกรณีแรก และความสะเทือนก็จะค่อยๆเพิ่มริกเตอร์ขึ้น ไม่ต่างกว่ากรณีแรก เพียงแต่ใช้เวลานานกว่า
    เห็นไหมครับ ไม่ว่ากรีซจะเล่นบทไหน ก็เกิดผลกระทบกับอียูทั้งสิ้น เพราะมันเป็นการจัดการที่ผิดของอียูเองตั้งแต่ต้น ผลมาจากเหตุ เมื่อมีการเอาเงินก้อนใหญ่ที่ควรใส่ไปที่กรีซ แต่ไปไม่ถึงกรีซ ไปถึงเจ้าหนี้อื่นแทน ถึงเวลากรีซจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ก็ต้องเบิกเงินกู้ต่อไปเรื่อยๆ อาการของกรีซก็หนักไปเรื่อยๆ จากเงื่อนไข ที่รัดคอ ผูกมือผูกตีน ไม่ให้กระดิก ไม่ต้องจบปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์จากอังกฤษ ก็พอรู้ว่า ไปต่อสภาพนี้จะเป็นอย่างไร ยิ่งจบมาอย่างคุณน้องยานิส ถึงได้พูดเหมือนท่องมนตร์ว่า ต้องปรับปรุงโครงสร้างหนี้ คือ ลดหนี้ ผ่อนผันเงื่อนไข เพื่อให้กรีซมีโอกาสต้ังหลัก และยืดอายุการชำระออกไปอีก หรือ มีเงินใหม่จากที่อื่น มาล้างหนี้ DOA และเริ่มต้นกระบวนการฟื้นชีวิตชาวกรีซกันใหม่
    จะมีไหมครับ เงินใหม่ จะมาจากไหน
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 มิ.ย. 2558
    ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 3 แล้วโซ่คล้องคอชาวกรีซล่ะ หน้าตาเป็นอย่างไร สมันน้อยน่าจะรู้จักนะ เพราะเคยต้องใช้อยู่ช่วงนึง แต่อาจจะขนาดเล็กกว่า สั้นกว่า บางคนอาจโตไม่ทัน หรือโตแล้ว แต่ไม่รู้เรื่อง ก็ทำความรู้จักไว้หน่อยก็ดี เผื่อเหตุการณ์เก่า มันจะกลับมาเยี่ยม จะได้รู้จัก รู้ขนาดโซ่ว่า รับไหวไหม ยิ่งมีข่าวกระฉ่อนว่า หนุ่มหน้าใส อดีตผู้เชี่ยวชาญของธนาคารโลก พวกเสือหิวด้วยกัน กำลังเป็นตัวเต็ง จะมาเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนใหม่ แทนคนปัจจุบัน ที่กำลังจะหมดวาระในเดือนสิงหาคมนี้ เผื่อแกยังรสนิยมเดิมๆ ปี ค.ศ.2010 เสือหิว Troika บอกเราจัดหาเงินให้กรีซได้จำนวน ประมาณบรรทุกรถสิบล้อ 340 คัน ตีว่า บรรทุกได้ คันละ 1 พันล้านยูโร ใครไม่ตกเลข ก็คำนวณเองนะครับ ว่าเป็นเงินเท่าไหร่ ดอกแค่ร้อยละ 5 ถูกจะตาย เงื่อนไขไม่มีอะไรมากมาย ใช้แบบเงื่อนตายเหมือนผูกตราสังข์ ตามแบบฟอร์มของ IMF ที่เรียกว่า SAP หรือ Structural Adjustment Policy ส่วนคนกู้ เรียกสัญญาแบบนี้ว่า แบบ DOA หรือ Dead on Arrival เป็นศพตั้งแต่มาถึงแล้ว คือ ตาย(ห่า) ตั้งแต่กู้ สัญญาแบบนี้ใช้มากว่า 35 ปีแล้วในประเทศแถบละติน อาฟริกา ยุโรปตะวันออกที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต และเอเซีย ตัวอย่างของผู้ที่ใช้สัญญานี้ และเป็นที่รู้จักกันดี ถูกนำมายกเป็นกรณีศึกษาจนแทบจะท่องกันได้คือ ประเทศอาร์เจนตินา สัญญาแบบ DOA เป็นอย่างไร ก็แค่ตัดงบใช้จ่ายในบ้านเมืองจนเหี้ยน ซึ่งรวมไปถึงการลดสวัสดิการทาง สังคม การรักษาพยาบาล เบี้ยบำนาญ ลดการจ่ายค่าแรงค่าจ้าง แต่เน้นให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน เพิ่มการส่งออก เพิ่มการแข่งขันทางการค้า เพิ่มภาษี และต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ คือให้รัฐนำออกมาขายเพื่อเอามาใช้หนี้ และลดค่าเงินของประเทศผู้กู้ แต่เนื่องจากกรีซใช้ยูโร ขืนบังคับใช้ข้อนี้ก็ฉิบหายกันหมด เพราะฉนั้น ข้อนี้ เลยกลายเป็นไปเพิ่มการลดค่าใช้จ่ายในประเทศลงแยะๆ แทน ผมก็งงนะ ไม่รู้มันเอาส่วนไหนคิด ลดค่าแรง ลดการจ้างงาน แต่ให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน แปลว่า ชาวกรีซ นอนผึ่งพุงอยู่กับบ้าน เพราะไม่มีงานทำ ทำไปก็ไม่มีได้ค่าจ้าง เพราะเขาสั่งให้ลด แล้ว”ใคร” มาเพิ่มงาน “ใคร” มาลงทุน ” ใคร” มาซื้อรัฐวิสาหกิจ ที่ไอ้เสือหิวสั่งให้ขาย พอนึกออกนะครับว่า ในที่สุดแล้ว “ใคร” จะเป็นเจ้าของเกาะกรีซอันสวยงาม เสือหิว Troika บอกว่า มาตรการนี้ คงใช้ไม่นาน ไม่เกิน 2 ปี กรีซก็คงฟื้นตัว แต่มันตรงกันข้าม นอกจากไม่ฟื้นแล้ว กรีซยิ่งทรุดหนัก ชาวกรีซออกมาประท้วง สื่อกรีซเริ่มออกข่าวด่าไอ้เสือหิว อียู และ IMF บอกว่า ที่ไม่ดีขึ้น เพราะกรีซไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไข ไม่ยอมลำบาก ยังอยากสบายด้วยเงินของคนอื่น อันนี้เจ็บมาก ชาวกรีซบอกว่า นี่เป็นการบิดเบือนความจริงที่เลวร้าย รัฐบาลกรีซเดินตามเงื่อนไข DOA อย่างเคร่งครัด งบค่าจ้างตัดทิ้งเป็นพันๆล้านยู โร การรักษาพยาบาลของกรีซ ลดไปถึง 50% ไม่ใช่ชาวกรีซ แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วย แต่พวกเขาไม่มีเงิน ไปหาหมอ ไปโรงพยาบาลต่างหาก การศึกษาก็เช่นกัน ลดลงไปมากมาย ธุรกิจขนาดเล็กปิดตัวเกือบหมด และอัตราคนว่างงานในปี 2011 ก็ขึ้นพรวด และรายรับของภาษี ก็ลดลงอย่างมากเช่นเดียวกัน มัน DOA จริงๆ เสือหิว Troika ยังปากแข็ง ไม่ยอมรับความผิดพลาดในการจ่ายยาของตัวให้แก่คนป่วยชื่อก รีซ จะไปรับได้อย่างไร เขาให้ยาถูกแล้ว เขาตั้งใจให้ยา DOA นี้กับกรีซ กรีซต่างหากเล่า ที่ทำผิดพลาดซ้ำซาก ยอมกินยานี้ (ซ้ำซาก) เอง กรีซนึกว่า กินยานี้ครั้งเดียวแล้วทุกอย่าง จะดีขึ้นตามที่ IMF บอก แต่ในที่สุด กรีซก็ต้องขอรับยางวดสอง ในปี 2012 เอะ งวดแรก กินเข้าไปก็ตายแล้ว งวดสองกินแล้วจะเป็นอย่างไร ก็ตายซากละสิครับ เงื่อนไขงวดสอง เพิ่มชัดเจนว่า ต้องลดการจ้างงานภาครัฐลงไป 150,000 คน ภายในสิ้นปี 2015 และขายรัฐวิสาหกิจแบบเทกระจาด เรื่องนี้ทำให้มีป้ายขึ้นกลางเมืองใหญ่ของกรีซว่า “A Nation for Sale” มีประเทศขาย ไม่ใช่ขายแค่บ้าน ขายประเทศ ภาวนาอย่าให้มีป้ายแบบนี้ขึ้นในแดนสยามของเราก็แล้วกัน ทรัพย์สินที่กรีซขายไป ที่สำคัญ เช่น ท่าเรือ Piraeus ท่าเรือ Thessaloniki ซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่ และมีคุณค่า ทั้งทางประวัติศาสตร์ และ เศรษฐกิจ (บางข้อมูลบอกท่าเรือ ทั้ง 2 ยังเจรจากันอยู่ ยังไม่ได้ขายออกไป) บริษัทเทเลคอม OTE สลากกินแบ่งกรีซ ที่ดินหลายแปลง ที่อยู่ในถิ่นดีที่สุดของประเทศ prime area และ postal bank การขายทรัพย์สินของประเทศครั้งใหญ่นี้ ทำให้พรรค Syriza ซึ่งประกาศคัดค้านขายรัฐวิสาหกิจ และการขายทรัพย์สิน ซึ่งได้คะแนนเสียงเพียง 4.6 % ในปี 2009 กระโดดมาเป็น 26.89% ในปี 2012 และได้เป็นรัฐบาลในปี 2015 ระหว่าง ที่เสือหิว Troika ให้กรีซกินยา DOA งวดสอง อัตราคนว่างงานก็เพิ่มเป็น 22% และกำลังจะเป็น 25% ในไม่ช้า ชาวกรีซที่มีการศึกษาดี และยังอายุน้อย ต่างพากัน ทิ้งประเทศของตน ไปหางานทำที่เยอรมัน ที่เศรษฐกิจกำลังรุ่ง มันเป็นการประชดชีวิตชาวกรีซอย่างน่าเศร้า โลกนี้มันไม่สวยทั้งหมดอย่างที่เราคิด และที่กรีซ ก็คงจะเหลือแต่คนแก่ คนรายได้ต่ำ คนการศึกษาไม่สูง และชาวต่างชาติที่หนีระเบิดรายวันมาแย่งกันกิน ############## “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 4 นักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมือง บอกว่า กรีซมาถึงจุดวิกฤตินี้ จากการที่มีนักการเมือง หรือรัฐบาลสายตาสั้น มองไม่ได้ไกล ขี้โกง เห็นแก่ประโยชน์พรรคและพวก ทำให้กรีซตกเป็นเหยื่อของระบบ ที่สร้างขี้นมา เพื่อทำให้ประเทศที่อ่อนแอจากปัจจัย ต่างๆ อย่างกรีซ ไม่คิดพึ่งตัวเอง ไม่คิดเปลี่ยนแปลง ไม่คิดปฏิรูป ไม่รู้จักเรียนรู้ เพื่อแก้ไข มักง่าย และในที่สุดก็จะหมดตัว หมดประเทศ หรือ เหลือแต่ซาก ส่วนนักวิเคราะห์การเงินบอกว่า อย่าเอะอะไป เรื่องหนี้กรีซ ไม่ใช่เรื่องของหนี้กรีซ เอะ พูดยังไง เราพูดเรื่องเดียวกันหรือเปล่า ครับ นักการเงินบอก ไม่มีใครเขาสนใจประเทศกรีซ ที่เล็กกระจิดริด ถึงจะสวยงามก็เถอะ กรีซจะมีเงินใช้หนี้ไหม กรีซจะอยู่ หรือจะไปจากอียู เขาไม่ได้สนใจ แต่ที่เป็นข่าวกันถี่ ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก พวกเขากลัวมันกระทบกับระบบธนาคาร กลัวนายทุนจะเจ๊ง ไม่ได้กลัวชาวกรีซจะอดตาย ไม่ได้กลัวรัฐบาลกรีซ จะล่ม เข้าใจไหมครับ แต่สื่อใหญ่รุ่นเก๋า Dennis Gartman บอกว่า…. กรีซยังอยู่ในอียู เพราะเยอรมันต้องการอย่างนั้น เยอรมันยังไม่อยากเฉดกรีซออกไป เยอรมันต้องการให้ค่าเงินยูโรอ่อน ยูโรอ่อนดีสำหรับการส่งออก คนซื้อจะได้นึกว่าตัวซื้อของได้ถูก เยอรมันเป็นประเทศขายของ ที่ ยามนี้กำลังต้องการขายอย่างยิ่ง ใครขายได้ ต้องรีบขาย Bayer, Thyssenkrupp, Daimler เจ้าพ่อธุรกิจการค้าเยอรมัน ต้องการให้กรีซ ยังอยู่ในอียูทั้งนั้น … …..ถ้า ผมเป็นนายกรัฐมนตรีกรีซ ผมคงไม่วิ่งเจรจาให้เหนื่อย ผมคงปล่อยให้กรีซผิดนัดหนี้นานมาแล้ว และกลับไปใช้เงินสกุลของกรีซ และผมก็ลดค่าของกรีซ อุตสาหกรรมทอผ้าของกรีซก็จะกลายเป็นสินค้า ที่ใครๆต้องการเพราะราคาถูกลง กิจการท่องเที่ยวของกรีซ ก็กลับมาฟื้น เพราะใครๆ ก็อยากกลับมาอยู่เกาะสวย ในราคาไม่แพง กิจการเดินเรือของกรีซก็กลับมารุ่งใหม่ ทำไมผมต้องง้อเยอรมันอยู่ข้างเดียว ผมจะบอกกับพวกเจ้าหนี้โหดๆ ว่าเชิญเลย เชิญเอาตูดผมไปเลย อยากทำอะไรก็ทำ แล้วผมก็ออกจากอียู ก็แค่นั้น… ความคิดอย่างนาย Gartman ชาวกรีซเกือบทุกคน คงอยากทำอย่างนั้น คิดได้ แต่ไม่รู้ทำได้จริงไหม กรีซมีหนี้ก้อนใหญ่หมึมา เบี้ยวหนี้ก้อนหนี้ ก็กลายเป็นประเทศล้มละลาย คนล้มละลาย จะไปค้าขายกับใครได้ ขายของได้เงินมา เจ้าหนี้ก็คอยมาคว้าไป แต่ไม่ใช่ว่า เรื่องแบบนี้ เล่นไม่ได้เอาเลย อาร์เจนตินา เคยตัดโซ่ แหกคอกออกมา ยอมอด แต่ก็หืดขึ้นคอ กว่าจะยืนตรงได้เหมือนเดิม พรรค Syriza คงไม่คิดให้ชาวกรีซอยู่ในเหว และมีโซ่คล้องคอตลอดไป แต่จะเลือกทำด้วยวิธีไหน และเมื่อไหร่ เท่านั้น การตัดสินใจของ Syriza ในช่วงไม่กี่วันนี้ คงต้องตามดูกันทุกยก เพราะมันสามารถ สร้างระดับความสะเทือน เหมือนแผ่นดินไหวในยุโรปได้ ตั้งแต่ 4 ริกเตอร์ ไปจนถึงระดับ 9 ริกเตอร์ และอาจจะตามมา ด้วยอาฟเตอร์ขนาดไหน ถึงไหน และนานเท่าไหร่ และจะต่อด้วยซึนามิหรือไม่ พวกแมงเม่า อย่ามัวแต่เหม่อดูแต่จอบ้านตัวเอง เดี๋ยวปีกจะไหม้ร่วงหลุดเป็นแถวๆ ล่าสุดขณะที่ผมกำลังเขียนนิทาน ( 25 มิย.) ข่าวว่า คุณน้องยานิส รัฐมนตรีคลัง ยืนกรานว่า ต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ ฝ่ายเจ้าหนี้บอก เราไม่มีความคิดเช่นนั้น ถ้ากรีซไม่มีอะไรใหม่มาเสนอ เช่นจะรัดคอหอยเข้าไปอีกกี่นิ้ว หรือจะมีวิธีชำระหนี้อย่างไร เราก็ไม่มีอะไรพูด แล้วการประชุมระหว่าง รัฐมนตรีคลังของกรีซกับฝ่ายอี ยู 18 คน ที่ สนง อียู กรุงบรัสเซล เมื่อเย็นวันที่ 24 มิย. ก็จบลงอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาประชุมไม่ถึง 1 ชั่วโมง แล้วต่างก็ทำหน้าไร้อารมณ์ เก็บของกลับบ้าน ร้อนถึงนายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซึ่งข่าวว่า บินด่วนมาบรัสเซล มาคุยต่อกับพวก บิกกี้ของ อียู และคุณนายหน้าเค็มของไอเอมเอฟ ต่ออีก 7 ชั่วโมง แล้วก็กลับไปตอนดึก โดยไม่ให้ข่าว ทั้งหมดนี้ ผมอ่านจากทวิต ของนักข่าวต่างประเทศ ที่ไปเกาะติดสถานการณ์ แปลว่าอะไรครับ แปลว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยังกำไต๋ ไม่แผลมให้อีกฝ่ายรู้ ดูผ่านๆ เหมือนกรีซ กำลังเป็นฝ่ายอาการหนัก แต่สำหรับผม ผมว่า อียูหนักกว่า สำหรับกรีซ เหมือนคนใกล้ตาย หรือตายไปแล้ว จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้ได้อีกมาก ถึงมีชิวิตที่เป็นอยู่ก็เลวสุดอยู่แล้ว แต่สำหรับ อียู ยังไม่เคยใกล้ตาย เจียนตาย คราวนี้อาจจะได้รู้จัก สมมุติว่า ถ้ากรีซตัดสินใจไม่รับเงินกู้อีกต่อไป หนี้ที่ค้างกันอยู่ ก็ค่อยว่ากัน นี่ไม่ใช่การเบี้ยวหนี้ แต่เป็นการแสดงความไม่ต้องการเป็นหนี้เพิ่ม เอาแค่นี้ จะเรียกเป็นประเทศล้มละลาย หรืออะไรก็แล้วแต่ ความสะเทือนในระบบการเงินในยุโรป ก็น่าจะเกิน 6 ริกเตอร์แล้ว เพราะมันหมายถึง deposits run เงินฝากไหลออกจะเกิดขึ้นแบบของจริง ระบบแบงค์ในกรีซ ไปก่อน หลังจากนั้นก็ลามไปนอกกรีซ ก็ขึ้นกับธนาคารกลางของอียู จะเอาอยู่ไหม สมาชิกอียู ใครจะเป็นผู้กล้าหาญ ถมเงินมาให้ธนาคารกลาง คงเกี่ยงกันอยู่นาน เพราะทั้งเค็ม ทั้งคม กันทั้งนั้น คมเฉือนคม กว่าจะตกลงกันได้ ระหว่างนั้น เลือดยุโรปก็ไหลโกรก สมมุติไปอีกทางหนึ่ง ถึงคุณน้องยานิส จะทำหน้าขรึมว่า เจ้าหนี้ต้องตกลงเรื่องปรับโครงสร้างหนี้ก่อน แต่ นายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ประกาศว่า เรายอมให้โซ่รัดคอเราแน่นอีกหน่อย เกี่ยวกับเรื่องเงินบำนาญ ยืดอายุคนรับบำนาญไป อีก 2 ปี ทนไหวน่าลุงและจำนวนที่ต้องจ่ายบำนาญก็จะลดลง มี ข่าวว่า เจ้าหนี้ ต้องการรัดคออีกหลายเปลาะ เช่นเรื่อง ขยายฐานเก็บภาษี ไปถึง เรื่อง การซื้อยาและขึ้นอัตรา vat ร้านอาหารและที่พักโรงแรม สำหรับกรีซ ที่เป็นเมืองขายการท่องเที่ยว ขึ้นภาษี 2 รายการนี่ ก็ เปลี่ยนร้านอาหาร เป็นป่าช้า อาจได้ลูกค้ามากกว่า ข่าวนี้ทำให้เกิดเสียงแตกในพรรค Syriza เอง พวกเข้มบอกไม่ได้นะ นายกฯ ไปตกลงเองไม่ได้ ต้องเอามาเข้าสภาก่อน และรับรองเลย มติแบบนี้ ไม่ผ่านสภาแน่ ถ้าเป็นข้อสมมุติตามนี้ ความสะเทือน อาจจะไม่เกิน 4 ริกเตอร์ ในตอนแรก ระหว่างรอเข้าสภา และไม่ว่าสภาจะลงมติอะไร การถอนเงินฝาก ก็จะเกิดขึ้น เหมือนกรณีแรก และความสะเทือนก็จะค่อยๆเพิ่มริกเตอร์ขึ้น ไม่ต่างกว่ากรณีแรก เพียงแต่ใช้เวลานานกว่า เห็นไหมครับ ไม่ว่ากรีซจะเล่นบทไหน ก็เกิดผลกระทบกับอียูทั้งสิ้น เพราะมันเป็นการจัดการที่ผิดของอียูเองตั้งแต่ต้น ผลมาจากเหตุ เมื่อมีการเอาเงินก้อนใหญ่ที่ควรใส่ไปที่กรีซ แต่ไปไม่ถึงกรีซ ไปถึงเจ้าหนี้อื่นแทน ถึงเวลากรีซจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ก็ต้องเบิกเงินกู้ต่อไปเรื่อยๆ อาการของกรีซก็หนักไปเรื่อยๆ จากเงื่อนไข ที่รัดคอ ผูกมือผูกตีน ไม่ให้กระดิก ไม่ต้องจบปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์จากอังกฤษ ก็พอรู้ว่า ไปต่อสภาพนี้จะเป็นอย่างไร ยิ่งจบมาอย่างคุณน้องยานิส ถึงได้พูดเหมือนท่องมนตร์ว่า ต้องปรับปรุงโครงสร้างหนี้ คือ ลดหนี้ ผ่อนผันเงื่อนไข เพื่อให้กรีซมีโอกาสต้ังหลัก และยืดอายุการชำระออกไปอีก หรือ มีเงินใหม่จากที่อื่น มาล้างหนี้ DOA และเริ่มต้นกระบวนการฟื้นชีวิตชาวกรีซกันใหม่ จะมีไหมครับ เงินใหม่ จะมาจากไหน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 มิ.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 228 Views 0 Reviews
  • ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 1 – 2

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”
    ตอน 1
    เรื่องหนี้ของกรีซยก 2 นี่ ถ้าเป็นหนังก็ออกรสตื่นเต้น ประเภท เกทับบลั้ฟแหลก คมเฉือนคม อะไรทำนองนั้น เพราะมันจะมีการพลิกเกมกันอยู่ตลอดเวลา ต่างฝ่ายก็เอามือล้วงกระเป๋า เหมือนมีของดีแอบอยู่ จะงัดเอาออกมาใช้เมื่อไหร่เท่า นั้น แต่จริงๆแล้ว ของดีมีจริง หรือมีปลอม ยังไม่มีใครรู้แน่ ระหว่างนั้น ก็ทำหน้าขรึม หน้าเครียดเจรจากัน สื่อก็รายงานของจริงแถมใบสั่ง เป็นโอกาสล่อให้แมงเม่าเข้าไปเล่นกองไฟ มีคนฉิบหายตายเพราะหนี้ท่วมประเทศยังไม่พอ ต้องหาแมงเม่าเข้ามาสังเวยด้วย มันถึงจะได้อารมณ์ สร้างกำไร จากความหายนะ ความคิดแบบนี้ มีทุกสัญชาติแหละครับ มากน้อย ตามสันดาน และตัณหา
    พระเอกที่จะเล่นเกมเกทับ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นรัฐบาลชุดปัจจุบันนี้ของกรีซ ที่มาจากพรรค Syriza ซึ่งเป็นพวกที่เอนไปทางสังคมนิยม ก่อต้ังเมื่อปี ค.ศ. 2004 จากการรวมตัวของกลุ่มฝ่ายซ้ายต่างๆ ประมาณ 10 กว่ากลุ่ม Syriza เคยมีชื่อเสียงว่า เป็นพวก anti establishment เป็นพวกไม่เอาทุนนิยมว่างั้นเถอะ แม้ตอนหลังพวกเขาจะไม่เน้นเรื่อ งนี้ แต่เมื่อ Syriza ชนะเลือกตั้ง เมื่อต้นปี 2015 แน่นอน ทำให้อียูเริ่มขมวดคิ้ว เพราะดูเหมือน Syriza จะมาทำให้ชาวกรีซร้องคนเพลงกับอียู ยิ่งหัวหน้าพรรคที่ชื่อ Alexis Tsipras ประกาศชัดเจนว่า “euro is not my fetish” เงินยูโรมันก็ไม่ได้วิเศษอะไรนักหนา คำประกาศเขาให้รสชาดแบบนั้นนะครับ
    ในการเลือกต้ังดังกล่าว Syriza ขาดไปแค่ 2 คะแนน ที่จะเป็นเสียงข้างมาก พวกเขาเลยต้องผสมกับพรรคอื่นตั้ง รัฐบาล แต่ยังไงก็ได้นาย Alexis Tsipras เป็นนายกรัฐมนตรีหนุ่มแน่น อายุแค่ 40 และมีนาย Yanis Varoufakis เป็นรัฐมนตรีคลัง ที่จะมาช่วยหาวิธีถอดโซ่ ที่พวกเจ้าหนี้กรีซ เอามาคล้องคอชาวกรีซออกไป หรือทำให้โซ่คล้องคอมันหลวมหน่อย ไม่ใช่รัดติ้ว ท้องกิ่ว หายใจจะไม่ออก ไม่มีจะกินกันทั้งประเทศอย่างนี้
    นาย Alexis Tsipras เป็นลูกชาวกรีซ ที่อพยพมาจากตุรกี ตามโครงการแลกเปลี่ยนประชาชน ระหว่าง 2 ประเทศ เขาเป็นคนชอบเล่นกีฬา และทำกิจกรรมมาต้ังแต่เป็นเด็กนักเรียน หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนักเคลื่อนไหวไฟแรง แหม เหมือนกับจะเขียนเรื่องเจ้ายะใส หนุ่มหน้ามนของสาวๆแดนสยามเลยนะ แต่ยะใส คงต้องติวใหม่อีกแยะนะ เอาเรื่องนายอเล็กซิส ต่อแล้วกัน เขาเรียนจบด้านวิศวกรรมจากวิทยาลัยเทคนิคของกรีซ ระหว่างเรียน ก็เริ่มเข้ากลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายของกรีซ และได้เป็นหัวหน้านักศึกษาทางกิจกรรมการเมือง ก็คงเหมือน สนนท. ของบ้านเรานะครับ หลังจากนั้น ก็เข้าการเมืองท้องถิ่นเต็มตัว ก่อนลงสนามใหญ่
    เมื่อบรรดาพรรคฝ่ายซ้าย จับมือรวมกันเป็นพรรค Syriza นายอเล็กซิส ก็ไปเข้าร่วม แล้วในที่สุด ในปี คศ 2009 หนุ่มอเล็กซิส อายุ 30 กว่า ก็ได้เป็นหัวหน้าพรรค Syriza เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง จะมีใครอุ้ม ใครดันหรือเปล่า ข่าวไม่บอก แล้วเขาก็พา Syriza เข้าลงเลือกต้ังในสนามใหญ่ ต้ังแต่ปี 2012 แม้ไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ก็ได้เข้าอยู่ในสภา ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายค้าน ไม่เบาเหมือนกันสำหรับ หนุ่มวัย 30 กว่า
    เมื่อ สภากรีซล่มในปี ค.ศ. 2014 และประกาศจะมีการเลือกต้ังใหม่ ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ.2015 อเล็กซิส ระดมพลพรรค ประกาศลงเลือกต้ัง และประกาศ Thessaloniki Programme ในเดือนสิงหาคม ปี 2014 ซึ่งเป็นนโยบายที่เสนอให้มีการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และการเมืองของกรีซเสียใหม่ นอกจากนี้ ยังประกาศใช้นโยบายการหาเสียงว่า พรรค Syriza ต้ังใจจะเข้าไปแก้ไขเงื่อนไขมหาโหด ในสัญญาเงินกู้ ที่บรรดาเจ้าหนี้ต่างประเทศกำหนดไว้ เหมือนเอาโซ่มาคล้องคอชาวกรีซและทำให้ชีวิตชาวกรีซสุดแสนจะลำเค็ญ
    ในส่วนนโยบายต่างประเทศ ระหว่างการหาเสียง อเล็กซิส แสดงความไม่พอใจอย่างเผ็ดร้อน กับการตัดสินใจหลายเรื่องของยุโรป ที่คัดท้ายโดยรัฐบาลเยอรมัน ภายใต้การนำของป้าเข็มขัดเหล็ก แน่นอน มันเป็นการฝาก “รอย” ให้ไว้กับป้าเข็มขัดเหล็ก ที่ทำให้การเจรจาต่อมาระหว่างอเล็กซิส ในฐานะนายกรัฐมนตรีกรีซ กับป้าเข็มขัดเหล็ก เกี่ยวกับเรื่องหนี้ของกรีซ ฝืดสิ้นดี
    เหมือนจะให้ผู้คนแน่ใจว่าเขาคิดอย่างไร เมื่อได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี งานแรกที่ Alexis Tsipras ทำ คือ เขานำดอกกุหลาบแดงช่อใหญ่ ไปวางแสดงความเคารพที่อนุสรณ์สถานของชาวกรีซ 200 คน ที่เสียชีวิตจากการฆ่าของเยอรมัน เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.1944 ….ช่างเล่นนะไอ้หนุ่ม
    งานเดินสายต่างประเทศ รายการแรกของนายกรัฐมนตรีหนุ่ม คือ ไปพบนายกรัฐมนตรี Matteo Renzi ที่โรม เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2015 จับเข่าคุยในฐานะ คนเป็นลูกหนี้ ที่มีโซ่คล้องคอเหมือนกัน คุยกันเสร็จ นาย Renzi ก็มอบเนคไทไหมอิตาเลียน ให้เป็นที่ระลึกแก่ นายอเล็กซิส ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ไม่นิยมการผูกเนคไท เขารับไว้ แล้วบอกว่า เขาจะผูกเนคไทนี้ ในวันที่ชาวกรีซ ตัดโซ่คล้องคอสำเร็จ… อยากได้ยินคำพูดแบบนี้ ในแดนสยามบ้างครับ
    ส่วน นาย Yanis Varoufakis มาคนละทางกับอเล็กซิส
    ยานิส ไม่ได้เป็นนักการเมือง เขาออกไปทางนักวิชาการ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ และเป็นอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์มีชื่อเสียง แต่ใช่ว่าเขาไม่สนใจการเมือง พ่อเขาร่วมรบในสงครามกลางเมืองกรีซ โดยอยู่ฝั่งคอมมิวนิสต์ แพ้สงครามก็ถูกจับไปนอนคุกอยู่หลายปี ออกจากคุกมาทำธุรกิจ กลายเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของกรีซ ส่วนแม่ก็เป็นพวกคอการเมือง ครอบครัวนี้ สนับสนุนกลุ่มไอร์แลนด์เหนือให้สู้กับอังกฤษ พวกเขานับ Belfast เมืองหลวงของไอร์แลนด์เหนือเป็นบ้านที่ 2
    สำหรับคนรุ่นหลังๆ คงไม่ค่อยรู้จักวีรกรรมของชาวไอริช ที่ต้องการแยกตัวจากอังกฤษ นอกจากรู้จากดูหนัง จริงๆ คนไอริช หรือขบวนการ IRA เป็นขบวนการ ที่ถูกอังกฤษและพวก รวมทั้งสื่อ เรียกว่า เป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งๆ ที่พวกเขาคิดการดี ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1970 เป็นต้นมา ขบวนการ IRA จะเป็นข่าวเกือบรายวัน ในการวางระเบิดใส่อังกฤษ ผู้คนบาดเจ็บล้มตายมาก ตึกรามบ้านช่องพังวินาศ
    ไม่มีการต่อสู้เพื่อเอกราชใด หรือปลดพันธนาการใดจะได้มาง่ายๆ มันต้องลงแรงลงใจลงชีวิตทั้งนั้น ชาวแดนสยาม สบายจนเคยตัว บางพวกทำตัว ยิ่งกว่าตามสบาย เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว หาความสุข สนุกไปวันๆ ไม่สนใจประเทศ และเพื่อนร่วมชาติ จนน่ารังเกียจ น่าเสียดายครับ มีของดี ไม่รู้จักคุณค่า ไม่รู้จักรักษา ชอบอยู่แต่ใน “ครอบ” ไม่อยากใช้คำว่า “คอก” ปล่อยให้มัน ฟอกย้อม ต้มตุ๋นเอาจนชิน วันไหนไม่ถูกย้อม ไม่ถูกต้ม คงกินไม่ได้นอนไม่หลับ เฮ้อ! คุยเรื่อง นายยานิสต่อดีกว่า
    เมื่อพ่อรวย ก็ส่งลูกไปเรียนที่อังกฤษ ยานิส จึงเรียน พูด และด่าเป็นภาษาอังกฤษ ได้ชัด และคมคายเอาเรื่อง สรุปว่า เขาเรียนต้ังแต่ ปริญญาตรี จนจบปริญญาเอกจากอังกฤษแล้วกัน
    เรียนจบแล้ว ก็ไปสอนหนังสือ ที่หลายมหาวิทยาลัย หลายประเทศ แล้วยังเดินทางไปดูโลกกว้างในแง่มุมของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากสร้างให้เกิด ที่ต้องมองกันอย่างลึกซึ้ง กลับมาก็เปิดบล๊อกของตัวเอง ให้ความรู้ ความเห็น สอนคนนอกมหาวิทยาลัยไปเรื่อยๆ ที่สำคัญ เขาบอกว่า เขาไม่เห็นด้วยกับการที่กรีซ ไปกู้เงินพวกเจ้าหนี้หน้าเลือดเหล่านั้น ไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขที่เจ้า หนี้ต้ัง ไม่เห็นด้วยๆๆๆ สาระพัด ไม่เห็นด้วย และบอกว่า ถ้ากรีซ ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ชาวกรีก ก็คงแห้งตายซาก และเกาะกรีซอันสวยงาม ก็คงล่มจมหายไปในเมดิเตอร์เรเนียน อย่างน่าเสียดาย …
    เพราะเขียนในบล๊อกแบบนี้ จนดังระเบิด เมื่อ พรรค Syriza ได้เป็นรัฐบาล จึงส่งเทียบมาเชิญ ท่านพี่ยานิส ท่านอย่ามัวแต่นั่งเขียนให้คนอ่านเลย แบบนั้นมันง่าย ( เหมือนที่ลุงนิทานทำ แค่นั่งเขียนอยู่ในบ้าน) ท่านจงออกมาใช้ภูมิปัญญา ลงมือแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอย่าง จริงจังกับเราเถิด นายยานิส ก็ไม่เล่นตัว ไม่เรื่องมาก แค่บอกว่า พูดกันให้รู้เรื่องก่อนนะ ถ้าเอาผมไปนั่งคลัง ผมจะใช้นโยบาย อย่างที่ผมเขียน คือ เราต้องตัดโซ่ของเจ้าหนี้ ที่เอามาคล้องคอชาวกรีซ ออกเสียนะ
    นายกรัฐมนตรีหนุ่มบอก นั่นแหล่ะพี่ เราพูดเรื่องเดียวกัน พี่เอาคีมเบอร์ใหญ่สุดมาเลยนะ มาช่วยพวกผมตัดโซ่ด่วนเลย แล้วยานิสก็ไปนั่งเป็นรัฐมนตรีคลังในรัฐบาล แต่ไม่สังกัดพรรค อืม…
    เป็นต้ัง พณฯ ท่านรัฐมนตรี เขาก็ส่งทั้งรถยนต์ คนขับ ผู้ติดตาม เครื่องยศ มาให้พร้อม ยานิส ก็ส่งคืนกลับไปหมด รถยนต์ ผมมีแล้วครับ เก่าหน่อย แต่ยังวิ่งได้ดีอยู่ วันไหนอากาศดี ผมก็ไม่ใช้รถ ขี่มอร์ไซด์ไปเร็ว และประหยัดกว่า มิน่า เลยติดใส่เสื้อหนัง ส่วนผู้ติดตาม ก็ไม่จำเป็นครับ ไม่รู้จะเอามาทำอะไร ถ้าประชาชนเขาไม่พอใจผม เอาไข่ปาผมไม่กี่ที ผมก็รู้หน้าที่ว่า ควรลาออกแล้วครับ ประเทศเราจนมากนะครับ ยังมีหนี้อีกแยะ จะใช้อะไร จะทำอะไร ก็ต้องเอาแต่จำเป็น รู้จักประหยัดบ้าง รับรอง ลุงนิทานไม่ได้เขียนเอง แดกใคร คุณน้องยานิส ให้สัมภาษณ์อย่างนี้จริงๆ
    ###############
    “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”

    ตอน 2
    ก่อนจะเดินหน้าไปตัดโซ่ มาทบทวนกันหน่อยว่า หนี้กรีซ นี่มันอะไรนักหนา แล้วเงื่อนไขเจ้าหนี้มันทารุณเหมือนเอาโซ่มาคล้องคอชาวกรีกจริงหรือเปล่า หรือพวกหนุ่มๆ เขาเลือดร้อน ฮอร์โมนพุ่งตามวัย เห็นอะไรขัดใจนิด ขัดใจหน่อย ก็คิดชนมันซะเลย
    บรรดาขาใหญ่นักวิเคราะห์การเมือง ไม่ใช่ พวกนักวิเคราะห์การเงิน ที่เอาไว้หลอกพวกแมงเม่า บอกว่า มันไม่ใช่เป็นเรื่องว่า กรีซ ประเทศเล็กๆ ที่อยู่ในสหภาพยุโรป จะผิดนัดชำระหนี้ไหม และจะพากันจูงมือ เดินออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หรืออียู หรือเปล่า แต่เรื่องหนี้กรีซ อาจกลายเป็นซึนามิ ทางการเงิน เศรษฐกิจ และการเมืองของยุโรปได้อย่างนึกไม่ถึง และถ้าเข้าทาง …มันอาจจะไปไกลกว่านั้น....
    ปัญหาหนี้ของกรีซ เริ่มมาต้ังแต่ปี ค.ศ.2001 ก็ต้ังแต่ กรีซ เริ่มเปลี่ยนมาใช้เงินสกุลยูโร แทนเงินสกุลดรักมาร์ของตัวเองนั่นแหละ กรีซเป็นสมาชิกอียูโซนมาต้ังแต่ปี ค.ศ.1981 แต่กรีซมีงบประมาณขาดดุลยสูงเกินเกณท์ของอียู ที่เรียกว่า Maastricht Criteria อยู่ตลอดมา ถึงจะเกินเกณท์ แต่ ปีแรกๆ ก็ไม่มีปัญหา เพราะดูเหมือนหลายประเทศในอียู ก็เกินกันทั้งนั้น และกรีซ ก็ได้ประโยชน์จากการกู้ดอกถูก ในฐานะเป็นสมาชิกอียู และมีเงินลงทุนเข้ามาเพิ่ม
    นี่คือ ความผิดพลาดของกรีซ รายการแรก ที่มองการเข้าไปอยู่ในคอกอียู แต่ด้านบวก ด้านได้ โดยไม่มองด้านลบ หรือไม่คิดว่ามีด้านลบ
    ถึง ปี ค.ศ.2004 กรีซ หลุดปากบอกว่า ตัวเองแต่งตัวเลข เพื่อไม่ให้ผิดหลักเกณฑ์อียู แต่น่าประหลาด อียูทำเหมือนไม่ได้ยิน เกิดหูบอดกระทันหันเสียอย่างนั้น ไม่เตือน ไม่ด่า ไม่ทำโทษกรีซ เพราะอะไรหรือ เพราะ ใครๆก็ทำกัน โดยเฉพาะ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ลูกพี่ใหญ่ของอียู ด่ากรีซ ก็เหมือนด่าตัวเองด้วย แล้วถ้าจะทำโทษ จะทำอะไรล่ะ ยังไม่มีกฏกติกา เรื่องนี้เลย ไล่กรีซออกจากอียูเลยดีไหม อียูน่าจะทำได้ แต่มันจะทำให้ภาพพจน์อียู หมดท่า เหมือนแก้ผ้าประจานตัวเอง แถมตอนนั้น สมาชิกอียูยังน้อยอยู่ อยากได้ไอ้พวกพี่เบิ้ม อย่างอังกฤษ ก็ยังยักท่า หรือ รวยๆ อย่างสวีเดน เดนมาร์ก ตอนนั้น ก็ยังทำหยิ่งไม่เข้ามา นี่ถ้ารู้ว่า กรีซ แต่งตัวเลข ใครจะมา มีแต่จะไป แล้วทุกฝ่ายก็ปิดปากเงียบ หลอกตัวเอง หลอกกันเอง และหลอกคนอื่นต่อไป นี่คือความผิดส่วนของอียู ที่ไม่ได้มีเพียงครั้งเดียว
    แต่พอถึงปี ค.ศ.2009 ฝีแตก กรีซปิดต่อไปอีกไม่ไหว เพราะเงินทำท่าจะหมดประเทศ จริงๆ ก็หมดแล้ว มีแต่เงินกู้เขามา อ้อมแอ้ม ออกมาว่า มีตัวเลขงบประมาณขาดดุลย ประมาณ 12.9 % ของ จีดีพี ( ผลิตภัณท์มวลรวมภายใน ) ซึ่งเป็นตัวเลขที่เกินกว่าเกณท์ที่ อียู กำหนดไว้ ที่ 3% พูดภาษาเข้าใจง่ายๆ แปลว่า มีจ่ายจ่ายมากกว่ารายรับอยู่แยะมาก จะทำไงดีครับลูกพี่ เป็นคนธรรมดา ก็ต้องบอกว่าอยู่ในสภาพ เป็นหนี้หัวโต นอนเอามือก่ายหน้าผากจนบุบ ก็ยังไม่เห็นทางแก้ปัญหา
    ลูกพี่ยังคิดไม่ออกว่าจะใช้แผน พิฆาตชุดไหน แต่ สามหมาไน บริษัท จัดอันดับ ratings agency Standard & Poor , Fitch และ Moody’s ได้กลิ่น รีบประกาศลดอันดับความน่าเชื่อ ถือของ กรีซลงอย่างรวดเร็ว เหลือเป็นระดับ junk bond หรือระดับขยะ คือ อยู่ในสภาพล้มละลาย พันธบัตรกรีซ มีค่าไม่ต่างกับกระดาษชำระ การประกาศของ 3 หมาไน ได้ผลอย่างดียิ่ง กลางปี 2010 กรีซก็ถูกตัดขาดจากเส้นทางกู้เงินในตลาดทุนของโลก เหลือแต่เส้นทางไปสู่การเป็นประเทศล้มละลายอย่างสมบูรณ์
    กรีซแทบไม่เหลือทางเลือก จะตายช้า หรือตายเร็วเท่านั้น แล้วอัศวิน ชื่อ Troika ก็โผล่มา Troika เป็นชื่อเรียก ของสามเสือหิว IMF, ECB (European Central Bank) และ European Commission เล่นบทลูกพี่ใจดี จับมือกันจัดการให้เงินกู้ ที่อ้างว่า เป็นการช่วยฉุดกรีซขึ้นมาจากเหว รอบแรก จำนวน 340 พันล้านยูโร
    เงินจำนวนนี้ ถือว่ามากมาย และน่าจะผิดหลักเกณท์ของ IMF เสียด้วยซ้ำ แต่ทำไมอัศวิน หรือ Trioka รีบจัดการให้ สงสารกรีซมากหรือไง อ้อ ไม่ใช่ มันเป็นพวกไอ้เสือหิว มองหาเหยื่อแบบนี้ มานานแล้วต่างหาก พอเข้าใจนะครับ
    เงินกู้ ฉุดจากเหว มาพร้อมกับโซ่เหล็กคล้องคอกรีซ เป็นเงื่อนไขที่อ้างว่า เพื่อสร้างวินัยในการใช้จ่ายของกรีซ ที่กรีซ ไม่มีโอกาสต่อรอง ต้องก้มหน้ารับอย่างเดียว แต่ที่น่าสนใจ เงินกู้แลกโซ่ ควรจะมาช่วยให้สถานะของกรีซในสายตาของตลาดทุนดีขึ้น ตรงกันข้าม เงินกู้ลอยผ่านหน้ารัฐบาลกรีซ ไปเข้ากระเป๋าธนาคารต่างประเทศ ที่ให้กรีซกู้ไปก่อนหน้านี้
    เงินกู้ฉุดจากเหว กลายเป็นการใช้หนี้ ฉุดธนาคารต่างประเทศ ขึ้นมาจากเหวก่อน ชาวกรีซยังคงอยู่ในเหวต่อไป แต่มีโซ่มาคล้องคอหนักรัดติ้ว นั่งท้องกิ่วอยู่ก้นเหว ตกลงอัศวิน Troika มาช่วยใคร นี่คือ การเสียค่าโง่ครั้งที่เท่าไหร่ของกรีซ
    แล้วธนาคารต่างประเทศไหนล่ะ ที่ได้รับการชำระหนี้ไปก่อน เปิดดูอากู ก็รู้ว่า ธนาคารในอียูเองเป็นเจ้าหนี้กรี ซ ทั้งนั้น และเจ้าหนี้รายใหญ่สุด คือ เยอรมัน รองมา คือ ฝรั่งเศส พอเข้าใจแล้วนะครับว่า ทำไมนายกรัฐมนตรี อเล็กซิส ถึงเอาดอกกุหลาบแดงไปวางที่อนุสรณ์สถาน
    ก่อนการให้เงินกู้ จำนวนมโหฬาร IMF หัวหน้าใหญ่ของกลุ่มเสือหิว ที่เป็นผู้นำการกำหนดเงื่อนไข ลายโซ่คล้องคอชาวกรีซ บอกว่าการใช้จ่ายของกรีซ หนักไปที่ค่าจ้าง เป็นจำนวน ถึง 75% ของงบประมาณรายจ่าย แยกเป็นค่าจ้าง พนักงานของรัฐ ทั้งประจำ และชั่วคราว ค่าจ้างแรงงานคนทำงาน ค่าสวัสดิการ ค่าเบี้ยบำนาญ ของคนที่ทำงานมาจนแก่เหลือแต่เหงือก
    ถ้ายังจำกันได้ กรีซจัดงานแข่งกีฬาโอลิมปิค ในปี ค.ศ. 2004 ยิ่งใหญ่ และสวยงาม แน่นอนก่อนจัดงาน ต้องมีการปรับปรุงสาธารณูปโภค ถนนหนทาง ไฟฟ้า น้ำประปา ทั้งประเทศรวมทั้ง การก่อสร้าง สนามกีฬา บ้านพักนักกีฬา และอีกหลายๆอย่าง เพื่อรองรับการแข่งขัน และผู้มาชม ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 ปี รายจ่ายของกรีซทั้งด้านแรงงาน และด้านก่อสร้าง ไม่บานทะโล่ ก็คงแปลกอยู่
    นอกจากนี้ยังมีหนี้ส่วนบุคคลของ ชาวกรีก ที่เห็นเป็นโอกาสที่ทำเงิน ด้วยการสร้างที่พัก สำหรับนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร บริการรถเช่า ฯลฯ ซึ่งสร้างขึ้นมาจากเงินกู้เกือบทั้งสิ้น
    และ นี่ ก็เป็นอีกความผิดพลาด อีกรายการของกรีซ กีฬาโอลิมปิคสวยงาม สร้างชื่อเสียงให้กับกรีซ และก็สร้างหนี้ให้กับกรีซด้วย กรีซขาดทุนย่อยยับ ขายของ ไม่ได้ราคาคุ้มทุนที่ลง แถมมีหนี้ติดค้างทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เลยเป็นโอกาสให้ IMF ผู้ชำนาญการ สั่งให้กรีซ ตัดรายการจ้างงาน และสวัสดิการ ขณะที่กรีซ พยายามขายการท่องเที่ยวประเทศของตัวเองต่อ เพื่อเอาทุนคืนจากการขาดทุนโอลิมปิค IMF ปิดประตูการจ้างงาน เปิดให้ครึ่งบานและครึ่งวัน ที่พัก ร้านอาหารเริ่มโทรม เมื่อมีลูกจ้างมาทำงานไม่พอให้บริการ นักท่องเที่ยวที่ไหน อยากจะไปเที่ยว แล้วยกกระเป๋า และ ล้างจานเอง
    ถ้าไม่แน่ใจว่า การจัดงานกีฬาโอลิมปิค ไม่ได้สร้างกำไรเสมอไป ก็ลองไปถามคุณปากจีบ นายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ได้ว่า หลังจาก กระเสือกกระสน จัดการแข่งกีฬาโอลิมปิค เมื่อปี 2012 แล้วเป็นไง ตอนนี้ เลยต้องตัดงบสาระพัด รวมทั้งงบด้านกองทัพ เล่นเอาคุณพีปูตินของผม หัวร่อ ฮิ ฮิ
    จึงไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจ ที่ ในปี 2010 อัตราว่างงานของกรีซ เพิ่มขึ้นเป็น 15% ทุก 7 คนกรีก จะมีคนว่างงาน 1 คน ! เริ่มมีการประท้วงรัฐบาล การเมืองง่อนแง่น และกรีซ ก็ต้อง กู้เงินจาก อัศวิน Troika เพิ่มขึ้นอีก และโซ่คล้องคอชาวกรีซ ก็หนักขึ้นทุกที ชาวกรีซ ก็จมลงในเหวลึกลงไปทุกที
    ปี ค.ศ.2011 สถานการณ์ของกรีซ แย่ลงกว่าเดิม รัฐบาลไหนมาก็แก้ปัญหาไม่ได้ ได้แต่กู้เพิ่มเพื่อเอามาใช้หนี้เก่า หมุนไปเรื่อยๆ รัฐบาลกรีซคิดหาทางทางออกไม่เจอ เขิญผู้เชี่ยวชาญมาช่วยคิด
    OECD ซึ่งเป็นหน่วยงาน ที่อ้างว่ามีหน้าที่คอยแนะนำประ เทศ ที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ภายใต้เสื้อคลุม ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง คิดขึ้นมาหลังจากคิดสร้าง World Bank, IMF บอกกรีซต้องหารายได้เพิ่มด้วยการเก็บภาษีเพิ่ม ใช้มาตรการเด็ดขาดกับผู้หนีภาษี และขายรัฐวิสาหกิจที่สร้างกำไรอ อกไปให้กับนักธุรกิจ และขายทรัพย์สินของประเทศ เพื่อเอามาใช้หนี้ ชาวกรีก เริ่มรู้ตัวว่า กำลังถูกแร้งลง ออกมาประท้วง ไม่ยอมให้รัฐบาลขายรัฐวิสาหกิจ กับทรัพย์สินของประเทศ บอกไปเก็บภาษีจากพวกคนรวยๆ และพวกหนี้ภาษีด่วนเลย
    กรีซ น่าจะเห็นแล้วว่า ตัวเองถูกต้ม และเป็นเหยื่อ ของเหล่านักล่า หมาไน และก่อนสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ ถ้าตัดสินใจผิดอีก คราวนี้ คงถึงแร้งลง
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 มิ.ย. 2558
    ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 1 เรื่องหนี้ของกรีซยก 2 นี่ ถ้าเป็นหนังก็ออกรสตื่นเต้น ประเภท เกทับบลั้ฟแหลก คมเฉือนคม อะไรทำนองนั้น เพราะมันจะมีการพลิกเกมกันอยู่ตลอดเวลา ต่างฝ่ายก็เอามือล้วงกระเป๋า เหมือนมีของดีแอบอยู่ จะงัดเอาออกมาใช้เมื่อไหร่เท่า นั้น แต่จริงๆแล้ว ของดีมีจริง หรือมีปลอม ยังไม่มีใครรู้แน่ ระหว่างนั้น ก็ทำหน้าขรึม หน้าเครียดเจรจากัน สื่อก็รายงานของจริงแถมใบสั่ง เป็นโอกาสล่อให้แมงเม่าเข้าไปเล่นกองไฟ มีคนฉิบหายตายเพราะหนี้ท่วมประเทศยังไม่พอ ต้องหาแมงเม่าเข้ามาสังเวยด้วย มันถึงจะได้อารมณ์ สร้างกำไร จากความหายนะ ความคิดแบบนี้ มีทุกสัญชาติแหละครับ มากน้อย ตามสันดาน และตัณหา พระเอกที่จะเล่นเกมเกทับ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นรัฐบาลชุดปัจจุบันนี้ของกรีซ ที่มาจากพรรค Syriza ซึ่งเป็นพวกที่เอนไปทางสังคมนิยม ก่อต้ังเมื่อปี ค.ศ. 2004 จากการรวมตัวของกลุ่มฝ่ายซ้ายต่างๆ ประมาณ 10 กว่ากลุ่ม Syriza เคยมีชื่อเสียงว่า เป็นพวก anti establishment เป็นพวกไม่เอาทุนนิยมว่างั้นเถอะ แม้ตอนหลังพวกเขาจะไม่เน้นเรื่อ งนี้ แต่เมื่อ Syriza ชนะเลือกตั้ง เมื่อต้นปี 2015 แน่นอน ทำให้อียูเริ่มขมวดคิ้ว เพราะดูเหมือน Syriza จะมาทำให้ชาวกรีซร้องคนเพลงกับอียู ยิ่งหัวหน้าพรรคที่ชื่อ Alexis Tsipras ประกาศชัดเจนว่า “euro is not my fetish” เงินยูโรมันก็ไม่ได้วิเศษอะไรนักหนา คำประกาศเขาให้รสชาดแบบนั้นนะครับ ในการเลือกต้ังดังกล่าว Syriza ขาดไปแค่ 2 คะแนน ที่จะเป็นเสียงข้างมาก พวกเขาเลยต้องผสมกับพรรคอื่นตั้ง รัฐบาล แต่ยังไงก็ได้นาย Alexis Tsipras เป็นนายกรัฐมนตรีหนุ่มแน่น อายุแค่ 40 และมีนาย Yanis Varoufakis เป็นรัฐมนตรีคลัง ที่จะมาช่วยหาวิธีถอดโซ่ ที่พวกเจ้าหนี้กรีซ เอามาคล้องคอชาวกรีซออกไป หรือทำให้โซ่คล้องคอมันหลวมหน่อย ไม่ใช่รัดติ้ว ท้องกิ่ว หายใจจะไม่ออก ไม่มีจะกินกันทั้งประเทศอย่างนี้ นาย Alexis Tsipras เป็นลูกชาวกรีซ ที่อพยพมาจากตุรกี ตามโครงการแลกเปลี่ยนประชาชน ระหว่าง 2 ประเทศ เขาเป็นคนชอบเล่นกีฬา และทำกิจกรรมมาต้ังแต่เป็นเด็กนักเรียน หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนักเคลื่อนไหวไฟแรง แหม เหมือนกับจะเขียนเรื่องเจ้ายะใส หนุ่มหน้ามนของสาวๆแดนสยามเลยนะ แต่ยะใส คงต้องติวใหม่อีกแยะนะ เอาเรื่องนายอเล็กซิส ต่อแล้วกัน เขาเรียนจบด้านวิศวกรรมจากวิทยาลัยเทคนิคของกรีซ ระหว่างเรียน ก็เริ่มเข้ากลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายของกรีซ และได้เป็นหัวหน้านักศึกษาทางกิจกรรมการเมือง ก็คงเหมือน สนนท. ของบ้านเรานะครับ หลังจากนั้น ก็เข้าการเมืองท้องถิ่นเต็มตัว ก่อนลงสนามใหญ่ เมื่อบรรดาพรรคฝ่ายซ้าย จับมือรวมกันเป็นพรรค Syriza นายอเล็กซิส ก็ไปเข้าร่วม แล้วในที่สุด ในปี คศ 2009 หนุ่มอเล็กซิส อายุ 30 กว่า ก็ได้เป็นหัวหน้าพรรค Syriza เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง จะมีใครอุ้ม ใครดันหรือเปล่า ข่าวไม่บอก แล้วเขาก็พา Syriza เข้าลงเลือกต้ังในสนามใหญ่ ต้ังแต่ปี 2012 แม้ไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ก็ได้เข้าอยู่ในสภา ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายค้าน ไม่เบาเหมือนกันสำหรับ หนุ่มวัย 30 กว่า เมื่อ สภากรีซล่มในปี ค.ศ. 2014 และประกาศจะมีการเลือกต้ังใหม่ ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ.2015 อเล็กซิส ระดมพลพรรค ประกาศลงเลือกต้ัง และประกาศ Thessaloniki Programme ในเดือนสิงหาคม ปี 2014 ซึ่งเป็นนโยบายที่เสนอให้มีการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และการเมืองของกรีซเสียใหม่ นอกจากนี้ ยังประกาศใช้นโยบายการหาเสียงว่า พรรค Syriza ต้ังใจจะเข้าไปแก้ไขเงื่อนไขมหาโหด ในสัญญาเงินกู้ ที่บรรดาเจ้าหนี้ต่างประเทศกำหนดไว้ เหมือนเอาโซ่มาคล้องคอชาวกรีซและทำให้ชีวิตชาวกรีซสุดแสนจะลำเค็ญ ในส่วนนโยบายต่างประเทศ ระหว่างการหาเสียง อเล็กซิส แสดงความไม่พอใจอย่างเผ็ดร้อน กับการตัดสินใจหลายเรื่องของยุโรป ที่คัดท้ายโดยรัฐบาลเยอรมัน ภายใต้การนำของป้าเข็มขัดเหล็ก แน่นอน มันเป็นการฝาก “รอย” ให้ไว้กับป้าเข็มขัดเหล็ก ที่ทำให้การเจรจาต่อมาระหว่างอเล็กซิส ในฐานะนายกรัฐมนตรีกรีซ กับป้าเข็มขัดเหล็ก เกี่ยวกับเรื่องหนี้ของกรีซ ฝืดสิ้นดี เหมือนจะให้ผู้คนแน่ใจว่าเขาคิดอย่างไร เมื่อได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี งานแรกที่ Alexis Tsipras ทำ คือ เขานำดอกกุหลาบแดงช่อใหญ่ ไปวางแสดงความเคารพที่อนุสรณ์สถานของชาวกรีซ 200 คน ที่เสียชีวิตจากการฆ่าของเยอรมัน เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.1944 ….ช่างเล่นนะไอ้หนุ่ม งานเดินสายต่างประเทศ รายการแรกของนายกรัฐมนตรีหนุ่ม คือ ไปพบนายกรัฐมนตรี Matteo Renzi ที่โรม เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2015 จับเข่าคุยในฐานะ คนเป็นลูกหนี้ ที่มีโซ่คล้องคอเหมือนกัน คุยกันเสร็จ นาย Renzi ก็มอบเนคไทไหมอิตาเลียน ให้เป็นที่ระลึกแก่ นายอเล็กซิส ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ไม่นิยมการผูกเนคไท เขารับไว้ แล้วบอกว่า เขาจะผูกเนคไทนี้ ในวันที่ชาวกรีซ ตัดโซ่คล้องคอสำเร็จ… อยากได้ยินคำพูดแบบนี้ ในแดนสยามบ้างครับ ส่วน นาย Yanis Varoufakis มาคนละทางกับอเล็กซิส ยานิส ไม่ได้เป็นนักการเมือง เขาออกไปทางนักวิชาการ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ และเป็นอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์มีชื่อเสียง แต่ใช่ว่าเขาไม่สนใจการเมือง พ่อเขาร่วมรบในสงครามกลางเมืองกรีซ โดยอยู่ฝั่งคอมมิวนิสต์ แพ้สงครามก็ถูกจับไปนอนคุกอยู่หลายปี ออกจากคุกมาทำธุรกิจ กลายเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของกรีซ ส่วนแม่ก็เป็นพวกคอการเมือง ครอบครัวนี้ สนับสนุนกลุ่มไอร์แลนด์เหนือให้สู้กับอังกฤษ พวกเขานับ Belfast เมืองหลวงของไอร์แลนด์เหนือเป็นบ้านที่ 2 สำหรับคนรุ่นหลังๆ คงไม่ค่อยรู้จักวีรกรรมของชาวไอริช ที่ต้องการแยกตัวจากอังกฤษ นอกจากรู้จากดูหนัง จริงๆ คนไอริช หรือขบวนการ IRA เป็นขบวนการ ที่ถูกอังกฤษและพวก รวมทั้งสื่อ เรียกว่า เป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งๆ ที่พวกเขาคิดการดี ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1970 เป็นต้นมา ขบวนการ IRA จะเป็นข่าวเกือบรายวัน ในการวางระเบิดใส่อังกฤษ ผู้คนบาดเจ็บล้มตายมาก ตึกรามบ้านช่องพังวินาศ ไม่มีการต่อสู้เพื่อเอกราชใด หรือปลดพันธนาการใดจะได้มาง่ายๆ มันต้องลงแรงลงใจลงชีวิตทั้งนั้น ชาวแดนสยาม สบายจนเคยตัว บางพวกทำตัว ยิ่งกว่าตามสบาย เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว หาความสุข สนุกไปวันๆ ไม่สนใจประเทศ และเพื่อนร่วมชาติ จนน่ารังเกียจ น่าเสียดายครับ มีของดี ไม่รู้จักคุณค่า ไม่รู้จักรักษา ชอบอยู่แต่ใน “ครอบ” ไม่อยากใช้คำว่า “คอก” ปล่อยให้มัน ฟอกย้อม ต้มตุ๋นเอาจนชิน วันไหนไม่ถูกย้อม ไม่ถูกต้ม คงกินไม่ได้นอนไม่หลับ เฮ้อ! คุยเรื่อง นายยานิสต่อดีกว่า เมื่อพ่อรวย ก็ส่งลูกไปเรียนที่อังกฤษ ยานิส จึงเรียน พูด และด่าเป็นภาษาอังกฤษ ได้ชัด และคมคายเอาเรื่อง สรุปว่า เขาเรียนต้ังแต่ ปริญญาตรี จนจบปริญญาเอกจากอังกฤษแล้วกัน เรียนจบแล้ว ก็ไปสอนหนังสือ ที่หลายมหาวิทยาลัย หลายประเทศ แล้วยังเดินทางไปดูโลกกว้างในแง่มุมของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากสร้างให้เกิด ที่ต้องมองกันอย่างลึกซึ้ง กลับมาก็เปิดบล๊อกของตัวเอง ให้ความรู้ ความเห็น สอนคนนอกมหาวิทยาลัยไปเรื่อยๆ ที่สำคัญ เขาบอกว่า เขาไม่เห็นด้วยกับการที่กรีซ ไปกู้เงินพวกเจ้าหนี้หน้าเลือดเหล่านั้น ไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขที่เจ้า หนี้ต้ัง ไม่เห็นด้วยๆๆๆ สาระพัด ไม่เห็นด้วย และบอกว่า ถ้ากรีซ ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ชาวกรีก ก็คงแห้งตายซาก และเกาะกรีซอันสวยงาม ก็คงล่มจมหายไปในเมดิเตอร์เรเนียน อย่างน่าเสียดาย … เพราะเขียนในบล๊อกแบบนี้ จนดังระเบิด เมื่อ พรรค Syriza ได้เป็นรัฐบาล จึงส่งเทียบมาเชิญ ท่านพี่ยานิส ท่านอย่ามัวแต่นั่งเขียนให้คนอ่านเลย แบบนั้นมันง่าย ( เหมือนที่ลุงนิทานทำ แค่นั่งเขียนอยู่ในบ้าน) ท่านจงออกมาใช้ภูมิปัญญา ลงมือแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอย่าง จริงจังกับเราเถิด นายยานิส ก็ไม่เล่นตัว ไม่เรื่องมาก แค่บอกว่า พูดกันให้รู้เรื่องก่อนนะ ถ้าเอาผมไปนั่งคลัง ผมจะใช้นโยบาย อย่างที่ผมเขียน คือ เราต้องตัดโซ่ของเจ้าหนี้ ที่เอามาคล้องคอชาวกรีซ ออกเสียนะ นายกรัฐมนตรีหนุ่มบอก นั่นแหล่ะพี่ เราพูดเรื่องเดียวกัน พี่เอาคีมเบอร์ใหญ่สุดมาเลยนะ มาช่วยพวกผมตัดโซ่ด่วนเลย แล้วยานิสก็ไปนั่งเป็นรัฐมนตรีคลังในรัฐบาล แต่ไม่สังกัดพรรค อืม… เป็นต้ัง พณฯ ท่านรัฐมนตรี เขาก็ส่งทั้งรถยนต์ คนขับ ผู้ติดตาม เครื่องยศ มาให้พร้อม ยานิส ก็ส่งคืนกลับไปหมด รถยนต์ ผมมีแล้วครับ เก่าหน่อย แต่ยังวิ่งได้ดีอยู่ วันไหนอากาศดี ผมก็ไม่ใช้รถ ขี่มอร์ไซด์ไปเร็ว และประหยัดกว่า มิน่า เลยติดใส่เสื้อหนัง ส่วนผู้ติดตาม ก็ไม่จำเป็นครับ ไม่รู้จะเอามาทำอะไร ถ้าประชาชนเขาไม่พอใจผม เอาไข่ปาผมไม่กี่ที ผมก็รู้หน้าที่ว่า ควรลาออกแล้วครับ ประเทศเราจนมากนะครับ ยังมีหนี้อีกแยะ จะใช้อะไร จะทำอะไร ก็ต้องเอาแต่จำเป็น รู้จักประหยัดบ้าง รับรอง ลุงนิทานไม่ได้เขียนเอง แดกใคร คุณน้องยานิส ให้สัมภาษณ์อย่างนี้จริงๆ ############### “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 2 ก่อนจะเดินหน้าไปตัดโซ่ มาทบทวนกันหน่อยว่า หนี้กรีซ นี่มันอะไรนักหนา แล้วเงื่อนไขเจ้าหนี้มันทารุณเหมือนเอาโซ่มาคล้องคอชาวกรีกจริงหรือเปล่า หรือพวกหนุ่มๆ เขาเลือดร้อน ฮอร์โมนพุ่งตามวัย เห็นอะไรขัดใจนิด ขัดใจหน่อย ก็คิดชนมันซะเลย บรรดาขาใหญ่นักวิเคราะห์การเมือง ไม่ใช่ พวกนักวิเคราะห์การเงิน ที่เอาไว้หลอกพวกแมงเม่า บอกว่า มันไม่ใช่เป็นเรื่องว่า กรีซ ประเทศเล็กๆ ที่อยู่ในสหภาพยุโรป จะผิดนัดชำระหนี้ไหม และจะพากันจูงมือ เดินออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หรืออียู หรือเปล่า แต่เรื่องหนี้กรีซ อาจกลายเป็นซึนามิ ทางการเงิน เศรษฐกิจ และการเมืองของยุโรปได้อย่างนึกไม่ถึง และถ้าเข้าทาง …มันอาจจะไปไกลกว่านั้น.... ปัญหาหนี้ของกรีซ เริ่มมาต้ังแต่ปี ค.ศ.2001 ก็ต้ังแต่ กรีซ เริ่มเปลี่ยนมาใช้เงินสกุลยูโร แทนเงินสกุลดรักมาร์ของตัวเองนั่นแหละ กรีซเป็นสมาชิกอียูโซนมาต้ังแต่ปี ค.ศ.1981 แต่กรีซมีงบประมาณขาดดุลยสูงเกินเกณท์ของอียู ที่เรียกว่า Maastricht Criteria อยู่ตลอดมา ถึงจะเกินเกณท์ แต่ ปีแรกๆ ก็ไม่มีปัญหา เพราะดูเหมือนหลายประเทศในอียู ก็เกินกันทั้งนั้น และกรีซ ก็ได้ประโยชน์จากการกู้ดอกถูก ในฐานะเป็นสมาชิกอียู และมีเงินลงทุนเข้ามาเพิ่ม นี่คือ ความผิดพลาดของกรีซ รายการแรก ที่มองการเข้าไปอยู่ในคอกอียู แต่ด้านบวก ด้านได้ โดยไม่มองด้านลบ หรือไม่คิดว่ามีด้านลบ ถึง ปี ค.ศ.2004 กรีซ หลุดปากบอกว่า ตัวเองแต่งตัวเลข เพื่อไม่ให้ผิดหลักเกณฑ์อียู แต่น่าประหลาด อียูทำเหมือนไม่ได้ยิน เกิดหูบอดกระทันหันเสียอย่างนั้น ไม่เตือน ไม่ด่า ไม่ทำโทษกรีซ เพราะอะไรหรือ เพราะ ใครๆก็ทำกัน โดยเฉพาะ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ลูกพี่ใหญ่ของอียู ด่ากรีซ ก็เหมือนด่าตัวเองด้วย แล้วถ้าจะทำโทษ จะทำอะไรล่ะ ยังไม่มีกฏกติกา เรื่องนี้เลย ไล่กรีซออกจากอียูเลยดีไหม อียูน่าจะทำได้ แต่มันจะทำให้ภาพพจน์อียู หมดท่า เหมือนแก้ผ้าประจานตัวเอง แถมตอนนั้น สมาชิกอียูยังน้อยอยู่ อยากได้ไอ้พวกพี่เบิ้ม อย่างอังกฤษ ก็ยังยักท่า หรือ รวยๆ อย่างสวีเดน เดนมาร์ก ตอนนั้น ก็ยังทำหยิ่งไม่เข้ามา นี่ถ้ารู้ว่า กรีซ แต่งตัวเลข ใครจะมา มีแต่จะไป แล้วทุกฝ่ายก็ปิดปากเงียบ หลอกตัวเอง หลอกกันเอง และหลอกคนอื่นต่อไป นี่คือความผิดส่วนของอียู ที่ไม่ได้มีเพียงครั้งเดียว แต่พอถึงปี ค.ศ.2009 ฝีแตก กรีซปิดต่อไปอีกไม่ไหว เพราะเงินทำท่าจะหมดประเทศ จริงๆ ก็หมดแล้ว มีแต่เงินกู้เขามา อ้อมแอ้ม ออกมาว่า มีตัวเลขงบประมาณขาดดุลย ประมาณ 12.9 % ของ จีดีพี ( ผลิตภัณท์มวลรวมภายใน ) ซึ่งเป็นตัวเลขที่เกินกว่าเกณท์ที่ อียู กำหนดไว้ ที่ 3% พูดภาษาเข้าใจง่ายๆ แปลว่า มีจ่ายจ่ายมากกว่ารายรับอยู่แยะมาก จะทำไงดีครับลูกพี่ เป็นคนธรรมดา ก็ต้องบอกว่าอยู่ในสภาพ เป็นหนี้หัวโต นอนเอามือก่ายหน้าผากจนบุบ ก็ยังไม่เห็นทางแก้ปัญหา ลูกพี่ยังคิดไม่ออกว่าจะใช้แผน พิฆาตชุดไหน แต่ สามหมาไน บริษัท จัดอันดับ ratings agency Standard & Poor , Fitch และ Moody’s ได้กลิ่น รีบประกาศลดอันดับความน่าเชื่อ ถือของ กรีซลงอย่างรวดเร็ว เหลือเป็นระดับ junk bond หรือระดับขยะ คือ อยู่ในสภาพล้มละลาย พันธบัตรกรีซ มีค่าไม่ต่างกับกระดาษชำระ การประกาศของ 3 หมาไน ได้ผลอย่างดียิ่ง กลางปี 2010 กรีซก็ถูกตัดขาดจากเส้นทางกู้เงินในตลาดทุนของโลก เหลือแต่เส้นทางไปสู่การเป็นประเทศล้มละลายอย่างสมบูรณ์ กรีซแทบไม่เหลือทางเลือก จะตายช้า หรือตายเร็วเท่านั้น แล้วอัศวิน ชื่อ Troika ก็โผล่มา Troika เป็นชื่อเรียก ของสามเสือหิว IMF, ECB (European Central Bank) และ European Commission เล่นบทลูกพี่ใจดี จับมือกันจัดการให้เงินกู้ ที่อ้างว่า เป็นการช่วยฉุดกรีซขึ้นมาจากเหว รอบแรก จำนวน 340 พันล้านยูโร เงินจำนวนนี้ ถือว่ามากมาย และน่าจะผิดหลักเกณท์ของ IMF เสียด้วยซ้ำ แต่ทำไมอัศวิน หรือ Trioka รีบจัดการให้ สงสารกรีซมากหรือไง อ้อ ไม่ใช่ มันเป็นพวกไอ้เสือหิว มองหาเหยื่อแบบนี้ มานานแล้วต่างหาก พอเข้าใจนะครับ เงินกู้ ฉุดจากเหว มาพร้อมกับโซ่เหล็กคล้องคอกรีซ เป็นเงื่อนไขที่อ้างว่า เพื่อสร้างวินัยในการใช้จ่ายของกรีซ ที่กรีซ ไม่มีโอกาสต่อรอง ต้องก้มหน้ารับอย่างเดียว แต่ที่น่าสนใจ เงินกู้แลกโซ่ ควรจะมาช่วยให้สถานะของกรีซในสายตาของตลาดทุนดีขึ้น ตรงกันข้าม เงินกู้ลอยผ่านหน้ารัฐบาลกรีซ ไปเข้ากระเป๋าธนาคารต่างประเทศ ที่ให้กรีซกู้ไปก่อนหน้านี้ เงินกู้ฉุดจากเหว กลายเป็นการใช้หนี้ ฉุดธนาคารต่างประเทศ ขึ้นมาจากเหวก่อน ชาวกรีซยังคงอยู่ในเหวต่อไป แต่มีโซ่มาคล้องคอหนักรัดติ้ว นั่งท้องกิ่วอยู่ก้นเหว ตกลงอัศวิน Troika มาช่วยใคร นี่คือ การเสียค่าโง่ครั้งที่เท่าไหร่ของกรีซ แล้วธนาคารต่างประเทศไหนล่ะ ที่ได้รับการชำระหนี้ไปก่อน เปิดดูอากู ก็รู้ว่า ธนาคารในอียูเองเป็นเจ้าหนี้กรี ซ ทั้งนั้น และเจ้าหนี้รายใหญ่สุด คือ เยอรมัน รองมา คือ ฝรั่งเศส พอเข้าใจแล้วนะครับว่า ทำไมนายกรัฐมนตรี อเล็กซิส ถึงเอาดอกกุหลาบแดงไปวางที่อนุสรณ์สถาน ก่อนการให้เงินกู้ จำนวนมโหฬาร IMF หัวหน้าใหญ่ของกลุ่มเสือหิว ที่เป็นผู้นำการกำหนดเงื่อนไข ลายโซ่คล้องคอชาวกรีซ บอกว่าการใช้จ่ายของกรีซ หนักไปที่ค่าจ้าง เป็นจำนวน ถึง 75% ของงบประมาณรายจ่าย แยกเป็นค่าจ้าง พนักงานของรัฐ ทั้งประจำ และชั่วคราว ค่าจ้างแรงงานคนทำงาน ค่าสวัสดิการ ค่าเบี้ยบำนาญ ของคนที่ทำงานมาจนแก่เหลือแต่เหงือก ถ้ายังจำกันได้ กรีซจัดงานแข่งกีฬาโอลิมปิค ในปี ค.ศ. 2004 ยิ่งใหญ่ และสวยงาม แน่นอนก่อนจัดงาน ต้องมีการปรับปรุงสาธารณูปโภค ถนนหนทาง ไฟฟ้า น้ำประปา ทั้งประเทศรวมทั้ง การก่อสร้าง สนามกีฬา บ้านพักนักกีฬา และอีกหลายๆอย่าง เพื่อรองรับการแข่งขัน และผู้มาชม ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 ปี รายจ่ายของกรีซทั้งด้านแรงงาน และด้านก่อสร้าง ไม่บานทะโล่ ก็คงแปลกอยู่ นอกจากนี้ยังมีหนี้ส่วนบุคคลของ ชาวกรีก ที่เห็นเป็นโอกาสที่ทำเงิน ด้วยการสร้างที่พัก สำหรับนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร บริการรถเช่า ฯลฯ ซึ่งสร้างขึ้นมาจากเงินกู้เกือบทั้งสิ้น และ นี่ ก็เป็นอีกความผิดพลาด อีกรายการของกรีซ กีฬาโอลิมปิคสวยงาม สร้างชื่อเสียงให้กับกรีซ และก็สร้างหนี้ให้กับกรีซด้วย กรีซขาดทุนย่อยยับ ขายของ ไม่ได้ราคาคุ้มทุนที่ลง แถมมีหนี้ติดค้างทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เลยเป็นโอกาสให้ IMF ผู้ชำนาญการ สั่งให้กรีซ ตัดรายการจ้างงาน และสวัสดิการ ขณะที่กรีซ พยายามขายการท่องเที่ยวประเทศของตัวเองต่อ เพื่อเอาทุนคืนจากการขาดทุนโอลิมปิค IMF ปิดประตูการจ้างงาน เปิดให้ครึ่งบานและครึ่งวัน ที่พัก ร้านอาหารเริ่มโทรม เมื่อมีลูกจ้างมาทำงานไม่พอให้บริการ นักท่องเที่ยวที่ไหน อยากจะไปเที่ยว แล้วยกกระเป๋า และ ล้างจานเอง ถ้าไม่แน่ใจว่า การจัดงานกีฬาโอลิมปิค ไม่ได้สร้างกำไรเสมอไป ก็ลองไปถามคุณปากจีบ นายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ได้ว่า หลังจาก กระเสือกกระสน จัดการแข่งกีฬาโอลิมปิค เมื่อปี 2012 แล้วเป็นไง ตอนนี้ เลยต้องตัดงบสาระพัด รวมทั้งงบด้านกองทัพ เล่นเอาคุณพีปูตินของผม หัวร่อ ฮิ ฮิ จึงไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจ ที่ ในปี 2010 อัตราว่างงานของกรีซ เพิ่มขึ้นเป็น 15% ทุก 7 คนกรีก จะมีคนว่างงาน 1 คน ! เริ่มมีการประท้วงรัฐบาล การเมืองง่อนแง่น และกรีซ ก็ต้อง กู้เงินจาก อัศวิน Troika เพิ่มขึ้นอีก และโซ่คล้องคอชาวกรีซ ก็หนักขึ้นทุกที ชาวกรีซ ก็จมลงในเหวลึกลงไปทุกที ปี ค.ศ.2011 สถานการณ์ของกรีซ แย่ลงกว่าเดิม รัฐบาลไหนมาก็แก้ปัญหาไม่ได้ ได้แต่กู้เพิ่มเพื่อเอามาใช้หนี้เก่า หมุนไปเรื่อยๆ รัฐบาลกรีซคิดหาทางทางออกไม่เจอ เขิญผู้เชี่ยวชาญมาช่วยคิด OECD ซึ่งเป็นหน่วยงาน ที่อ้างว่ามีหน้าที่คอยแนะนำประ เทศ ที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ภายใต้เสื้อคลุม ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง คิดขึ้นมาหลังจากคิดสร้าง World Bank, IMF บอกกรีซต้องหารายได้เพิ่มด้วยการเก็บภาษีเพิ่ม ใช้มาตรการเด็ดขาดกับผู้หนีภาษี และขายรัฐวิสาหกิจที่สร้างกำไรอ อกไปให้กับนักธุรกิจ และขายทรัพย์สินของประเทศ เพื่อเอามาใช้หนี้ ชาวกรีก เริ่มรู้ตัวว่า กำลังถูกแร้งลง ออกมาประท้วง ไม่ยอมให้รัฐบาลขายรัฐวิสาหกิจ กับทรัพย์สินของประเทศ บอกไปเก็บภาษีจากพวกคนรวยๆ และพวกหนี้ภาษีด่วนเลย กรีซ น่าจะเห็นแล้วว่า ตัวเองถูกต้ม และเป็นเหยื่อ ของเหล่านักล่า หมาไน และก่อนสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ ถ้าตัดสินใจผิดอีก คราวนี้ คงถึงแร้งลง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 มิ.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • Windows เจอแรงต้านแนวคิด Agentic OS

    เมื่อต้นเดือน Microsoft เปิดตัววิสัยทัศน์ใหม่ของ Windows ในฐานะ “Agentic OS” ที่สามารถดำเนินการแทนผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ แต่แนวคิดนี้กลับสร้างกระแสต่อต้านทันที ผู้ใช้จำนวนมากตั้งคำถามว่าทำไมบริษัทไม่แก้ไขปัญหาที่มีอยู่เดิม เช่น ความเร็วที่ลดลง การออกแบบที่กระจัดกระจาย และการตั้งค่าเริ่มต้นที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้พัฒนา

    คำตอบจากผู้บริหาร Windows
    Pavan Davuluri ตอบกลับผ่านโพสต์บน X โดยยอมรับว่ามี “ความคิดเห็นจำนวนมาก” และทีมงานกำลังรับฟังทั้งจากระบบ Feedback และจากผู้ใช้โดยตรง เขาเน้นว่าบริษัท “ใส่ใจนักพัฒนา” และกำลังหารือเรื่องความน่าเชื่อถือ ประสิทธิภาพ และความง่ายในการใช้งาน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดชัดเจนว่าจะมีการแก้ไขหรือปรับปรุงเมื่อใด

    เสียงวิจารณ์จากชุมชน
    แม้คำตอบจะมีน้ำเสียงประนีประนอม แต่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการเลี่ยงประเด็นสำคัญ เช่น ปัญหา System Bloat, Hardware Lock-in และการผนวก Copilot เข้ามาโดยไม่แก้ไขปัญหาการออกแบบเดิม ความไม่ชัดเจนใน Roadmap ของ Agentic OS ทำให้ผู้ใช้และนักพัฒนารู้สึกว่าบริษัทไม่ได้ตอบสนองต่อข้อกังวลจริงๆ

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา
    ช่องว่างระหว่าง “ข้อความสื่อสาร” และ “การลงมือแก้ไขจริง” ยังคงชัดเจน ผู้ใช้ทั่วไปและ Power User ต่างรอคอยการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ แต่จนถึงตอนนี้ Microsoft ยังไม่ได้ประกาศแผนงานที่ชัดเจนว่าจะปรับปรุง Windows อย่างไรในอนาคต

    สรุปสาระสำคัญ
    แนวคิด Agentic OS ของ Microsoft
    ระบบที่ทำงานแทนผู้ใช้อัตโนมัติ
    ถูกวิจารณ์ว่าละเลยปัญหาพื้นฐาน

    คำตอบจาก Pavan Davuluri
    ยอมรับว่ามี Feedback จำนวนมาก
    เน้นว่าบริษัทใส่ใจนักพัฒนา แต่ไม่ให้รายละเอียด

    ประเด็นที่ผู้ใช้กังวล
    System Bloat และ Hardware Lock-in
    Copilot ถูกเพิ่มเข้ามาโดยไม่แก้ปัญหา UX

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา
    ช่องว่างระหว่างคำพูดกับการกระทำยังคงอยู่
    ไม่มี Roadmap ที่ชัดเจนสำหรับอนาคต

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด การตอบกลับที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้ผู้ใช้หมดความเชื่อมั่น หาก Microsoft ไม่แก้ไขปัญหาพื้นฐาน อาจกระทบต่อการเลือกใช้ Windows ของนักพัฒนา ความไม่โปร่งใสใน Roadmap อาจทำให้ตลาดเกิดความไม่แน่นอน

    https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-boss-posts-lacklustre-response-to-agentic-os-backlash
    📰 Windows เจอแรงต้านแนวคิด Agentic OS เมื่อต้นเดือน Microsoft เปิดตัววิสัยทัศน์ใหม่ของ Windows ในฐานะ “Agentic OS” ที่สามารถดำเนินการแทนผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ แต่แนวคิดนี้กลับสร้างกระแสต่อต้านทันที ผู้ใช้จำนวนมากตั้งคำถามว่าทำไมบริษัทไม่แก้ไขปัญหาที่มีอยู่เดิม เช่น ความเร็วที่ลดลง การออกแบบที่กระจัดกระจาย และการตั้งค่าเริ่มต้นที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้พัฒนา 💬 คำตอบจากผู้บริหาร Windows Pavan Davuluri ตอบกลับผ่านโพสต์บน X โดยยอมรับว่ามี “ความคิดเห็นจำนวนมาก” และทีมงานกำลังรับฟังทั้งจากระบบ Feedback และจากผู้ใช้โดยตรง เขาเน้นว่าบริษัท “ใส่ใจนักพัฒนา” และกำลังหารือเรื่องความน่าเชื่อถือ ประสิทธิภาพ และความง่ายในการใช้งาน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดชัดเจนว่าจะมีการแก้ไขหรือปรับปรุงเมื่อใด ⚠️ เสียงวิจารณ์จากชุมชน แม้คำตอบจะมีน้ำเสียงประนีประนอม แต่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการเลี่ยงประเด็นสำคัญ เช่น ปัญหา System Bloat, Hardware Lock-in และการผนวก Copilot เข้ามาโดยไม่แก้ไขปัญหาการออกแบบเดิม ความไม่ชัดเจนใน Roadmap ของ Agentic OS ทำให้ผู้ใช้และนักพัฒนารู้สึกว่าบริษัทไม่ได้ตอบสนองต่อข้อกังวลจริงๆ 🌍 ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา ช่องว่างระหว่าง “ข้อความสื่อสาร” และ “การลงมือแก้ไขจริง” ยังคงชัดเจน ผู้ใช้ทั่วไปและ Power User ต่างรอคอยการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ แต่จนถึงตอนนี้ Microsoft ยังไม่ได้ประกาศแผนงานที่ชัดเจนว่าจะปรับปรุง Windows อย่างไรในอนาคต 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ แนวคิด Agentic OS ของ Microsoft ➡️ ระบบที่ทำงานแทนผู้ใช้อัตโนมัติ ➡️ ถูกวิจารณ์ว่าละเลยปัญหาพื้นฐาน ✅ คำตอบจาก Pavan Davuluri ➡️ ยอมรับว่ามี Feedback จำนวนมาก ➡️ เน้นว่าบริษัทใส่ใจนักพัฒนา แต่ไม่ให้รายละเอียด ✅ ประเด็นที่ผู้ใช้กังวล ➡️ System Bloat และ Hardware Lock-in ➡️ Copilot ถูกเพิ่มเข้ามาโดยไม่แก้ปัญหา UX ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา ➡️ ช่องว่างระหว่างคำพูดกับการกระทำยังคงอยู่ ➡️ ไม่มี Roadmap ที่ชัดเจนสำหรับอนาคต ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ การตอบกลับที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้ผู้ใช้หมดความเชื่อมั่น ⛔ หาก Microsoft ไม่แก้ไขปัญหาพื้นฐาน อาจกระทบต่อการเลือกใช้ Windows ของนักพัฒนา ⛔ ความไม่โปร่งใสใน Roadmap อาจทำให้ตลาดเกิดความไม่แน่นอน https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-boss-posts-lacklustre-response-to-agentic-os-backlash
    0 Comments 0 Shares 111 Views 0 Reviews
  • “Selective Agency – ทำไมเราถึงไม่พยายามจริงในบางเรื่องของชีวิต”

    บทความเริ่มจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Cate Hall ที่เผชิญกับการถูกสตอล์กออนไลน์อย่างรุนแรง เธอเลือกที่จะ “นิ่งเฉย” อยู่หลายปี แม้จะมีความสามารถและทรัพยากรในการแก้ปัญหา แต่กลับไม่ลงมือจริงจัง จนกระทั่งสามีเข้ามาช่วยติดต่อ FBI และตำรวจต่างประเทศ ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลง เหตุการณ์นี้ทำให้เธอตระหนักว่า ที่ผ่านมาเธอไม่ได้ “Actually Trying” หรือพยายามจริง ๆ

    Cate อธิบายว่า คนเรามักจะมี Selective Agency คือมีความสามารถสูงในบางด้าน เช่น การทำงานหรือการสร้างนวัตกรรม แต่กลับใช้วิธีแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ ที่ไม่ก้าวหน้าในอีกด้านหนึ่ง เช่น ความสัมพันธ์หรือสุขภาพจิต เรามักจะติดอยู่กับแนวทางที่เคยใช้เมื่อยังไม่โตเต็มที่ และไม่กลับมาทบทวนใหม่เมื่อเรามีศักยภาพมากขึ้น

    เธอยกตัวอย่างว่า หลายคนที่เป็นนักนวัตกรรมเก่ง ๆ สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ระดับโลก แต่กลับบ่นว่า “ไม่มีคนดี ๆ ในแอปหาคู่” หรือคนที่เคยลองบำบัดเมื่ออายุ 20 แล้วไม่เวิร์ก ก็ยอมรับว่า “ฉันเป็นคนวิตกกังวลตลอดไป” โดยไม่กลับมาลองวิธีใหม่ ๆ ทั้งที่ในงาน พวกเขาใช้ความพยายามและความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง

    แนวคิดนี้เชื่อมโยงกับ Alexander Technique เรื่อง “Faulty sensory appreciation” ที่บอกว่า สิ่งที่เรารู้สึกว่า “ถูกต้อง” อาจเป็นเพียงความเคยชินที่ผิด เช่น การเกร็งร่างกายจนรู้สึกเหมือนยืนตัวตรง ทั้งที่จริง ๆ ไม่ใช่ เช่นเดียวกัน ความพยายามที่ใช้แรงใจมาก ๆ อาจทำให้เราหลงคิดว่าเรากำลัง “พยายามจริง” ทั้งที่จริงแล้วเรายังไม่ได้ใช้ทรัพยากรและความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่เต็มที่

    สรุปสาระสำคัญ
    แนวคิด Selective Agency
    คนเรามีความสามารถสูงในบางด้าน แต่ไม่ใช้ศักยภาพเต็มที่ในอีกด้าน
    มักติดอยู่กับวิธีแก้ปัญหาเดิม ๆ ที่เคยใช้เมื่อยังไม่โตเต็มที่

    ตัวอย่างจากชีวิตจริง
    Cate Hall ถูกสตอล์กออนไลน์ แต่เลือกนิ่งเฉยหลายปี
    สามีเข้ามาช่วยติดต่อ FBI และตำรวจ ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย

    การเปรียบเทียบกับชีวิตคนทั่วไป
    นักนวัตกรรมเก่ง ๆ แต่ไม่พยายามจริงในความสัมพันธ์
    คนที่เคยลองบำบัดแล้วไม่เวิร์ก ก็ยอมรับปัญหาเป็นนิสัยถาวร

    คำเตือนและข้อคิด
    ความรู้สึกว่า “พยายามแล้ว” อาจเป็นเพียงการใช้แรงใจ ไม่ใช่การใช้ทรัพยากรจริง
    การไม่กลับมาทบทวนวิธีแก้ปัญหาใหม่ อาจทำให้เราติดอยู่กับปัญหาเดิมไปตลอด

    https://usefulfictions.substack.com/p/maybe-youre-not-actually-trying
    📰 “Selective Agency – ทำไมเราถึงไม่พยายามจริงในบางเรื่องของชีวิต” บทความเริ่มจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Cate Hall ที่เผชิญกับการถูกสตอล์กออนไลน์อย่างรุนแรง เธอเลือกที่จะ “นิ่งเฉย” อยู่หลายปี แม้จะมีความสามารถและทรัพยากรในการแก้ปัญหา แต่กลับไม่ลงมือจริงจัง จนกระทั่งสามีเข้ามาช่วยติดต่อ FBI และตำรวจต่างประเทศ ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลง เหตุการณ์นี้ทำให้เธอตระหนักว่า ที่ผ่านมาเธอไม่ได้ “Actually Trying” หรือพยายามจริง ๆ Cate อธิบายว่า คนเรามักจะมี Selective Agency คือมีความสามารถสูงในบางด้าน เช่น การทำงานหรือการสร้างนวัตกรรม แต่กลับใช้วิธีแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ ที่ไม่ก้าวหน้าในอีกด้านหนึ่ง เช่น ความสัมพันธ์หรือสุขภาพจิต เรามักจะติดอยู่กับแนวทางที่เคยใช้เมื่อยังไม่โตเต็มที่ และไม่กลับมาทบทวนใหม่เมื่อเรามีศักยภาพมากขึ้น เธอยกตัวอย่างว่า หลายคนที่เป็นนักนวัตกรรมเก่ง ๆ สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ระดับโลก แต่กลับบ่นว่า “ไม่มีคนดี ๆ ในแอปหาคู่” หรือคนที่เคยลองบำบัดเมื่ออายุ 20 แล้วไม่เวิร์ก ก็ยอมรับว่า “ฉันเป็นคนวิตกกังวลตลอดไป” โดยไม่กลับมาลองวิธีใหม่ ๆ ทั้งที่ในงาน พวกเขาใช้ความพยายามและความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง แนวคิดนี้เชื่อมโยงกับ Alexander Technique เรื่อง “Faulty sensory appreciation” ที่บอกว่า สิ่งที่เรารู้สึกว่า “ถูกต้อง” อาจเป็นเพียงความเคยชินที่ผิด เช่น การเกร็งร่างกายจนรู้สึกเหมือนยืนตัวตรง ทั้งที่จริง ๆ ไม่ใช่ เช่นเดียวกัน ความพยายามที่ใช้แรงใจมาก ๆ อาจทำให้เราหลงคิดว่าเรากำลัง “พยายามจริง” ทั้งที่จริงแล้วเรายังไม่ได้ใช้ทรัพยากรและความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่เต็มที่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ แนวคิด Selective Agency ➡️ คนเรามีความสามารถสูงในบางด้าน แต่ไม่ใช้ศักยภาพเต็มที่ในอีกด้าน ➡️ มักติดอยู่กับวิธีแก้ปัญหาเดิม ๆ ที่เคยใช้เมื่อยังไม่โตเต็มที่ ✅ ตัวอย่างจากชีวิตจริง ➡️ Cate Hall ถูกสตอล์กออนไลน์ แต่เลือกนิ่งเฉยหลายปี ➡️ สามีเข้ามาช่วยติดต่อ FBI และตำรวจ ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย ✅ การเปรียบเทียบกับชีวิตคนทั่วไป ➡️ นักนวัตกรรมเก่ง ๆ แต่ไม่พยายามจริงในความสัมพันธ์ ➡️ คนที่เคยลองบำบัดแล้วไม่เวิร์ก ก็ยอมรับปัญหาเป็นนิสัยถาวร ‼️ คำเตือนและข้อคิด ⛔ ความรู้สึกว่า “พยายามแล้ว” อาจเป็นเพียงการใช้แรงใจ ไม่ใช่การใช้ทรัพยากรจริง ⛔ การไม่กลับมาทบทวนวิธีแก้ปัญหาใหม่ อาจทำให้เราติดอยู่กับปัญหาเดิมไปตลอด https://usefulfictions.substack.com/p/maybe-youre-not-actually-trying
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Granny และโรงอาหาร

    ผู้เขียนเล่าถึงคุณยาย Beulah Culpepper หรือ Granny ที่เริ่มทำงานเป็นแม่ครัวโรงเรียนตั้งแต่อายุ 43 ปี หลังจากเลี้ยงลูก 8 คน เธอใช้ทักษะการทำอาหารพื้นบ้าน เช่น ซุปผัก ขนมปังยีสต์ และคุกกี้เนยถั่ว เพื่อดูแลเด็ก ๆ ใน Blue Ridge, Georgia แม้ต้องใช้วัตถุดิบราคาถูกอย่าง “government cheese” แต่ Granny เชื่อในหลักการ “ไม่มีเด็กคนไหนควรออกจากโรงอาหารไปอย่างหิวโหย”.

    บทบาทแม่ครัวโรงเรียนยุคใหม่
    บทความยังสะท้อนถึงแม่ครัวโรงเรียนรุ่นใหม่ เช่น Stephanie Dillard ที่ทำงานเพื่อให้เด็ก ๆ ได้กินอาหารสดจากท้องถิ่น เช่น ส้ม satsuma, สตรอว์เบอร์รี และไส้กรอก Conecuh เธอเน้นว่า “ความสุขที่สุดคือการได้รู้ว่าเราให้อาหารที่ดีต่อสุขภาพแก่เด็ก ๆ” แต่ก็ยอมรับว่าการทำอาหารสดต้องการ งบประมาณและการสนับสนุนมากขึ้น.

    การเมืองและอาหารกลางวัน
    นโยบายอาหารกลางวันในสหรัฐฯ ถูกกำหนดโดยกฎหมายและการเมือง เช่น National School Lunch Act ปี 1946 และโครงการ Healthy, Hunger-Free Kids Act ของ Michelle Obama ที่เคยถูกวิจารณ์และลดทอนโดยฝ่ายอนุรักษ์นิยม ปัจจุบันแม้มีการผลักดันให้ใช้วัตถุดิบสดและลดอาหารแปรรูป แต่การตัดงบประมาณของรัฐบาลกลางกลับทำให้โครงการ “farm-to-school” หลายแห่งต้องหยุดชะงัก.

    ความคิดสร้างสรรค์เพื่อชุมชน
    แม่ครัวบางคนยังหาวิธีใหม่ ๆ เช่น “Chow Bus” ที่ดัดแปลงรถโรงเรียนเป็นครัวเคลื่อนที่ แจกอาหารและหนังสือให้เด็ก ๆ ในช่วงฤดูร้อน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ความพยายามเหล่านี้สะท้อนว่าโรงอาหารไม่ใช่แค่ที่กินข้าว แต่คือ หัวใจของโรงเรียนและชุมชน.

    สรุปสาระสำคัญ
    Granny และแม่ครัวรุ่นเก่า
    ใช้ทักษะพื้นบ้านทำอาหารให้เด็ก ๆ
    ยึดหลัก “ไม่มีเด็กคนไหนควรหิวโหย”

    แม่ครัวรุ่นใหม่
    ผลักดันอาหารสดจากท้องถิ่น
    ต้องการงบประมาณเพิ่มเพื่อทำอาหารจากวัตถุดิบสด

    การเมืองและนโยบาย
    กฎหมายอาหารกลางวันมีผลต่อเมนูและงบประมาณ
    การตัดงบทำให้โครงการ farm-to-school สะดุด

    ความคิดสร้างสรรค์เพื่อชุมชน
    โครงการ Chow Bus แจกอาหารและหนังสือ
    โรงอาหารคือหัวใจของโรงเรียนและชุมชน

    ความท้าทาย
    งบประมาณไม่เพียงพอสำหรับอาหารสด
    การเมืองทำให้โครงการดี ๆ ถูกยกเลิก

    https://bittersoutherner.com/issue-no-12/all-praise-to-the-lunch-ladies
    🍲 เรื่องเล่าจาก Granny และโรงอาหาร ผู้เขียนเล่าถึงคุณยาย Beulah Culpepper หรือ Granny ที่เริ่มทำงานเป็นแม่ครัวโรงเรียนตั้งแต่อายุ 43 ปี หลังจากเลี้ยงลูก 8 คน เธอใช้ทักษะการทำอาหารพื้นบ้าน เช่น ซุปผัก ขนมปังยีสต์ และคุกกี้เนยถั่ว เพื่อดูแลเด็ก ๆ ใน Blue Ridge, Georgia แม้ต้องใช้วัตถุดิบราคาถูกอย่าง “government cheese” แต่ Granny เชื่อในหลักการ “ไม่มีเด็กคนไหนควรออกจากโรงอาหารไปอย่างหิวโหย”. 🏫 บทบาทแม่ครัวโรงเรียนยุคใหม่ บทความยังสะท้อนถึงแม่ครัวโรงเรียนรุ่นใหม่ เช่น Stephanie Dillard ที่ทำงานเพื่อให้เด็ก ๆ ได้กินอาหารสดจากท้องถิ่น เช่น ส้ม satsuma, สตรอว์เบอร์รี และไส้กรอก Conecuh เธอเน้นว่า “ความสุขที่สุดคือการได้รู้ว่าเราให้อาหารที่ดีต่อสุขภาพแก่เด็ก ๆ” แต่ก็ยอมรับว่าการทำอาหารสดต้องการ งบประมาณและการสนับสนุนมากขึ้น. 🌱 การเมืองและอาหารกลางวัน นโยบายอาหารกลางวันในสหรัฐฯ ถูกกำหนดโดยกฎหมายและการเมือง เช่น National School Lunch Act ปี 1946 และโครงการ Healthy, Hunger-Free Kids Act ของ Michelle Obama ที่เคยถูกวิจารณ์และลดทอนโดยฝ่ายอนุรักษ์นิยม ปัจจุบันแม้มีการผลักดันให้ใช้วัตถุดิบสดและลดอาหารแปรรูป แต่การตัดงบประมาณของรัฐบาลกลางกลับทำให้โครงการ “farm-to-school” หลายแห่งต้องหยุดชะงัก. 🚍 ความคิดสร้างสรรค์เพื่อชุมชน แม่ครัวบางคนยังหาวิธีใหม่ ๆ เช่น “Chow Bus” ที่ดัดแปลงรถโรงเรียนเป็นครัวเคลื่อนที่ แจกอาหารและหนังสือให้เด็ก ๆ ในช่วงฤดูร้อน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ความพยายามเหล่านี้สะท้อนว่าโรงอาหารไม่ใช่แค่ที่กินข้าว แต่คือ หัวใจของโรงเรียนและชุมชน. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Granny และแม่ครัวรุ่นเก่า ➡️ ใช้ทักษะพื้นบ้านทำอาหารให้เด็ก ๆ ➡️ ยึดหลัก “ไม่มีเด็กคนไหนควรหิวโหย” ✅ แม่ครัวรุ่นใหม่ ➡️ ผลักดันอาหารสดจากท้องถิ่น ➡️ ต้องการงบประมาณเพิ่มเพื่อทำอาหารจากวัตถุดิบสด ✅ การเมืองและนโยบาย ➡️ กฎหมายอาหารกลางวันมีผลต่อเมนูและงบประมาณ ➡️ การตัดงบทำให้โครงการ farm-to-school สะดุด ✅ ความคิดสร้างสรรค์เพื่อชุมชน ➡️ โครงการ Chow Bus แจกอาหารและหนังสือ ➡️ โรงอาหารคือหัวใจของโรงเรียนและชุมชน ‼️ ความท้าทาย ⛔ งบประมาณไม่เพียงพอสำหรับอาหารสด ⛔ การเมืองทำให้โครงการดี ๆ ถูกยกเลิก https://bittersoutherner.com/issue-no-12/all-praise-to-the-lunch-ladies
    BITTERSOUTHERNER.COM
    All Praise to the Lunch Ladies — THE BITTER SOUTHERNER
    Blessed are the women who watch over America’s children.
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • เรื่องของนายสาก ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เรื่องของนายสาก”
    ตอน 3
    เวลาผ่านไป นายสาก ก็ใช้วิกฤติเป็นโอกาส ทุกครั้งที่ได้ออกรายการหน้าจอ เขาจะถือโอกาสจ้อเสมอ ถึงเรื่องที่นายปูตินขู่จะแขวนกระปู๋ของเขา เป็นการปั่นราคาตนเอง ช่วงหลังๆ บทเขาจะเพิ่มว่า ” ปูตินประกาศว่า จะเอาผมไปแขวนห้อยโดยใช้บางส่วนของร่างกายผม ซึ่งผมคงพูดไม่ได้ แต่มันเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับผู้ชายทุกคนนะ โดยเฉพาะสำหรับนักการเมือง และสำคัญแม้กระทั่งกับนักการเมืองหญิง.. ผู้ชายคนนี้สาบานว่าจะแขวน.. ผม แต่ตอนนี้เขาพูดเรื่องเนคไทผม ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผมครับ ที่เขาเลื่อนที่หมายสูงขึ้นมาอีกหน่อย ตอนนี้มาถึงคอ ผมแล้ว ค่อยยังชั่วขึ้น…”
    ไอ้หมอนี่ มันวิงวอนจริง น่าจะเกี่ยวเอาปากมันไปห้อยไว้ด้วย
    นายสากไม่หยุดพล่าม ยิ่งได้รับเลือกเป็นประธานที่ปรึกษาด้านต่างประเทศ ให้กับประธานาธิบดีช๊อกโกแลตใน การปฏิรูปประเทศยูเครน Chairman of the Consulting International Council for the Reforms for the Ukrainian President Petro Poroschenko เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปีนี้ นายสากยิ่งไปใหญ่ เขาบอกว่า หน้าที่สำคัญของเขาคือ เป็นผู้เจรจาเรื่องเอาอาวุธของอเมริกามาให้ยูเครนใช้ (สู้กับรัสเซีย)
    นายสากออกหน้าจอ ยักคิ้วหลิ่วตาเวลาพูดว่า ต่อไปนี้ ด้วยอาวุธของอเมริกาที่จะส่งมาให้ยูเครน(จากการเจรจาของเขา) ไม่ว่าเป็นรถแท๊งค์ รถหุ้มเกราะ ปืนใหญ่ โดรน ฯลฯ คราวนี้รัสเซียไม่มีทางยื่นหน้าเข้ามาในยูเครนอย่างแน่นอน
    แต่นายสากคงลืมไปว่า เมื่อตอนที่กองทัพของจอร์เจีย ที่ฝึกโดยอเมริกา และใช้อาวุธของอเมริกาและนาโต้ ถูกรัสเซียโต้กลับ และยึดเอาอาวุธไปด้วยนั้น รัสเซียส่งอาวุธทั้งหมดเข้าไปที่กองบัญชาการ เพื่อทำการวิเคราะห์ทั้งหมด หลังจากนั้นก็นำมาใช้ประจำการณ์ ตามชายแดนรัสเซีย
    จะด้วยเสน่ห์โบทอกซ์ ท่าเคี้ยวเนคไท การพล่ามแบบยักคิ้วหลิ่วตา หรืออะไรไม่ทราบ นายสาก ก็ได้เป็นผู้ว่าการแค้วนโอเดสสา ด่านสำคัญของยูเครน พร้อมได้รับสัญชาติยูเครน เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง คิดไปคิดมา ผมขอเปลี่ยนเป็นแสดงความนับถือ ผู้ที่ตาแหลมคม เสือกใส ให้นายสาก ออกมาจากนิวยอร์ค และเอาเขามาวางไว้ที่แคว้นโอเดสสา มันเป็นหมากที่ชั่วเหลือเชื่อ
    ###############
    ตอน 4 (จบ)

    พูดถึงนายสากแล้ว ไม่พูดถึงนายมอยสกี้ Ihor Kolomoyskyi เจ้าพ่อใหญ่ของยูเครน ก็จะไม่ครบเครื่อง นายมอยสกี้ ชาวยิว เจ้าพ่อใหญ่ ที่คุมเกือบทุกอย่างในยูเครน กำลังใหญ่อยู่เพลินๆ เป็นผู้ว่าการเมืองสำคัญของยูเครน ชื่อ Dnepropetrovsk อยู่ดีๆ นางฟ้า หรือนางเหยี่ยว แปลงร่างเป็นนางฟ้าก็ไม่รู้ ดันเศกนายสาก มาให้เจ้าพ่อช๊อกโกแลต ใหญ่กับใหญ่เจอกัน มันอยู่ที่ว่า คนที่อยู่ข้างหลังของใครใหญ่กว่า แล้วนายมอยสกี้ก็ถูกปลดจากตำแหน่งผู้ว่าการเมืองชื่อยาว เมื่อราวปลายเดือนมีนาคมที่ผ่าน มา เพียงแค่หนึ่งเดือน หลังจากที่นายสาก มาทำท่ายักคิ้วหลิ่วตา แค่ยักคิ้ว เท่านั้น ยูเครนก็สะเทือนแล้ว คราวนี้ ฤทธิ์ยิว ดูเหมือนจะแพ้ ฤทธิ์เหยี่ยว…
    นายมอยสกี้ มีคนหนุนหลังไหม น่าจะมี แต่นายสากน่ะ มีคนหนุนชัดเจนอยู่แล้ว แต่จะหนุนเพราะไม่อยากให้นายสาก กลับไปอยู่นิวยอร์ค หรือเพราะอะไรไม่แน่ใจ แต่อยู่ยูเครนนี่คงเหมาะแล้ว ยกแรกของการวัดกำลัง ดูเหมือนนายสากจะได้เปรียบ แต่นี่เหตุการณ์เพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือน อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน
    ปัญหาว่า นายช๊อกโกแลต ประธานาธิบดียูเครนคิดอะไร ที่เห็นคนนอกบ้าน ดีกว่าคนในบ้าน จะว่าเพราะนายมอยสกี้ เป็นมาเฟียเจ้าพ่อครองเมือง ที่ทำท่าจะใหญ่ หรือจริงๆก็ใหญ่กว่า ประธานาธิบดีเสียอีก เบ่งเสียจนนายช๊อกโกแลตละลายเละ แต่นายสากก็ทำตัวเหมือนอึ่งอ่างหรือคางคก แถมยังมีสถานะ เป็นว่าที่นักโทษหนีคดีตัวจริง แสบจริง และเป็นสายล่อฟ้าให้นายปูติน ฟิวส์ขาดได้ง่ายอีกด้วย
    นายช๊อกโกแลต คงคิดแยะ หรือไม่คิดอะไรเลย แต่คิด หรือไม่คิด ก็คงไม่มีความหมาย เพราะช๊อกโกแลตเป็นแค่หุ่น เขาสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำตาม ให้เอาต่างชาติมาเป็นรัฐมนตรี ก็ครับผม ให้เอาต่างชาติคดีติดตัวยาวเป็นหางว่าว มาเป็นผู้ว่าการแคว้นใหญ่ของประเทศ ก็ครับผม แบบนี้ไปคอยถามว่าคิดอะไร ก็เสียเวลาเปล่า น่าจะถามว่า อเมริกากับรัสเซีย จะเอายังไงมากกว่า
    นางเหยี่ยวนูแลนด์ เดินสายไปเมือง Tbilisi ของจอร์เจีย เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปีนี้ จากนั้น นางเหยี่ยวจะเดินทางไปที่หมายต่อไป คือ Baku ของ Azerbaijan บั้นท้ายของนางเหยี่ยวยังไม่ทันพ้นเมืองTbilisi ก็มีข่าวลือกระฉ่อนทั่วเมืองว่า อีกไม่นาน จอร์เจียอาจมีการปฏิวัติ หรือมีการลุกฮือ ไล่รัฐบาลที่ปกครองอยู่ปัจจุบัน ซึ่งเป็นรัฐบาลที่นางเหยึ่ยวออกปากว่า เป็นพวกไม่เอาตะวันตก คือไม่เอาอเมริกา แต่เอนไปทางรัสเซียนั่นแหละ… ชอบขู่แบบนี้กันนักนะ…หลังจากนั้นไม่กี่วัน นายช๊อกโกแล็ตก็ตั้งนายสาก เป็นที่ปรึกษาใหญ่ ตามใบสั่ง
    ข่าวว่างานแรกของนายสาก ที่ลงมือ หลังจากเป็นที่ปรึกษาใหญ่ คือเรียกประชุม บรรดาพรรคพวก ที่สังกัดองค์กร NGO โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเลือดร้อน เช่น Innovations and Development Foundation, the Movement for Independence and Eropean Integration, Free Zone, Azat Zone, League of Young Dipolmats กลุ่มพวกนี้ ต่างได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก National Endowment for Democracy หรือ NED ที่โด่งดังของรัฐบาลอเมริกา ไม่แปลกใจใช่ไหมครับ
    เรื่องของทรานนิสเตรีย ยูเครน นายสาก จอร์เจีย เกี่ยวโยงกันไหม เกี่ยวแน่นอน แต่เกี่ยวขนาดไหน และเกี่ยวกับใครอีกบ้าง
    อียู อยากให้มีการเซ็นสัญญาสงบศึกถาวรในยูเครน เพราะคนยุโรปยังเข็ดกับการทำสงคราม สงครามกลางเมืองยูเครนคือ ปัญหาที่จะกระทบทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคงของยุโรป และที่ชาวยุโรปเดือดร้อนโดยตรง คือ โอกาส ขาดแคลนแก๊สจากท่อส่งของรัสเซียมายังยุโรป เรื่องนี้ อเมริกาไม่ได้มาเดือดร้อนด้วย
    ส่วนความต้องการของอเมริกา หรือตามที่นางเหยี่ยวบอกกับที่ประชุม ในตอนเดินสายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ว่า เราไม่ต้องการให้เขา (ยูเครนกับรัสเซีย) สงบศึก เราต้องการให้เขารบกัน เข้าใจไหม สงครามกลางเมืองในยูเครน จะเป็นโอกาสทองของเรา เพราะจะทำให้รัสเซียวอกแวก คนเรา เวลาวอกแวก จะตัดสินใจถูกต้องยาก อเมริกาต้องการให้รัสเซียเป็นอย่างนั้น นายสากจึงถูกเรียกเข้ามารับตำแหน่งอะไรก็ได้ ยัดเข้าไปก่อน ไปอยู่แถวนั้น เพื่อแหย่พยาธิคุณพี่ปูติน นี่คือความคิดของอเมริกา ที่เราควรทำความเข้าใจให้ซึ้ง
    สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน จะต้องสรุปแล้ว ว่าอเมริกากับอิหร่านพูดกันรู้ เรื่องไหม พูดเรื่องเดียวกันไหม ถ้าพูดกันรู้เรื่อง ก็มีเรื่องอย่างหนึ่ง ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็มีเรื่องอีกอย่างหนึ่ง อเมริกา แน่นอน ต้องเตรียมแผนสกัด ไม่ให้รัสเซีย กับอิหร่านขยับมาจับมือกันแน่นกว่าเดิม แต่จะไปรอคิดแผนเอาตอนนั้นหรือ ไม่ใช่วิธีของอเมริกา
    อย่าลืมว่า จอร์เจีย และอาเซอร์ไบจัน มีเขตแดนติดกับอิหร่าน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ นางเหยี่ยว แวะไปทั้ง 2 แห่ง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มาถึงเดือนพฤษภาคม ที่อิยิปต์ ศาลตัดสินประหารชีวิต อดีตประธานาธิบดีมอร์ซิ ที่อเมริกาเคยสนับสนุน แต่เมื่อหมดประโยชน์ก็ถีบทิ้ง แต่ตุรกี ที่สนับสนุนมอร์ซิมาตลอด ยังเห็นใจเพื่อน และไม่พอใจอเมริกาอย่างรุนแรง แล้วตุรกีที่มีเขตแเดนติดกับอิหร่าน ก็เริ่มมีปัญหาเรื่องชาวเคิร์ด ที่อเมริกาหนุนเมื่อต้นเดือนมิถุนายน ตามมาด้วยเหตุการณ์ในและใกล้ยูเครนเกิดขึ้นพร้อมกันคือการแต่งตั้งนายสาก เป็นผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา ที่พลเมืองส่วนใหญ่เอนไปทางรัสเซีย และการปิดกั้นทรานนิสเตรีย (จะเข้าใจการเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้มากขึ้น ถ้าหาแผนที่มาดูตามไปด้วย)
    นี่คือการเดินหมากของอเมริกา เพื่อล้อม และล่อหลอกรัสเซีย ตามทฤษฏี ภูมิศาสตร์การเมือง geopolitics
    ฝ่ายรัสเซีย ก็ใช้ทฤษฏีเดียวกัน แต่เดินหมากกับประเทศอีกเส้นแนว ด้วยการต้อนรับกรีกที่เครมลิน เมื่อเดือนเมษายน และไปเยี่ยมอิตาลี เมื่อกลางเดือนมิถุนายนนี้เอง ถ้ารัสเซียคุยกับกรีกและอิตาลีรู้เรื่อง การเคลื่อนกองทัพเรือของอเมริกาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อคอยกันรัสเซีย ไม่ให้ลงใต้ คงไม่ง่ายนัก แต่ทางตรงกันข้าม ถ้ารัสเซียขึ้นเหนือ ไปคิดบัญชีค้างชำระกับบางราย อเมริกาก็อาจมาช่วยไม่ทัน เพราะฉนั้น อเมริกาคงทำทุกอย่างเพื่อเป็นการบีบไม่ให้กรีกและอิตาลีแตกแถว
    เรื่องมันชักพัวพันขมวดเกลียวแน่นขึ้น รัสเซียจะรับมืออย่างไร ยูเครนเป็นห่วงคล้องคอรัสเซีย รัสเซียไม่อยากรบกับยูเครน ขณะเดียวกัน ก็คงทำใจเห็นคนยูเครน ที่เลือกจะไปอยู่กับรัสเซีย ประมาณเกือบ 10 ล้านคน บาดเจ็บล้มตายไม่ลง การส่งนายสากมาอยู่โอเดสสาคราวนี้ ของไอ้นักล่าใบตองแห้ง แม้จะแสดงว่าไอ้นักล่ายังไม่พร้อมรบ แต่เป็นการขยับหมากที่เหลือร้ายของไอ้นักล่า รัสเซียจะแก้เกมอย่างไร จะรับ หรือจะรุก คงต้องคอยดูเรื่องอิหร่านสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ครับ
    และไม่ว่า การเจรจากับอิหร่านจะออกมาอย่างไร จะมีผลกระทบกับการเมืองโลกอย่างสำคัญแน่นอน รวมทั้งกระทบถึงแดนสยามด้วย เราเตรียมตัวอะไรกันไว้บ้าง หรือรอให้มีเรื่องก่อน แล้วค่อยวางแผน
    แล้วอย่าลืมไอ้สากโมเด็ล เกิดไอ้นักล่าคิดเล่นเกมสกปรก เพิ่งนึกออกว่าเจอนักโทษหนีคดี ทำทีเป็นช่วยสงเคราะห์จับตัว ส่งกลับบ้านให้ ก็จำกันไว้บ้างแล้วกันนะครับ ว่ามันกำลังคิดจะเล่นอะไรกับเรา
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    19 มิ.ย. 2558
    เรื่องของนายสาก ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เรื่องของนายสาก” ตอน 3 เวลาผ่านไป นายสาก ก็ใช้วิกฤติเป็นโอกาส ทุกครั้งที่ได้ออกรายการหน้าจอ เขาจะถือโอกาสจ้อเสมอ ถึงเรื่องที่นายปูตินขู่จะแขวนกระปู๋ของเขา เป็นการปั่นราคาตนเอง ช่วงหลังๆ บทเขาจะเพิ่มว่า ” ปูตินประกาศว่า จะเอาผมไปแขวนห้อยโดยใช้บางส่วนของร่างกายผม ซึ่งผมคงพูดไม่ได้ แต่มันเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับผู้ชายทุกคนนะ โดยเฉพาะสำหรับนักการเมือง และสำคัญแม้กระทั่งกับนักการเมืองหญิง.. ผู้ชายคนนี้สาบานว่าจะแขวน.. ผม แต่ตอนนี้เขาพูดเรื่องเนคไทผม ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผมครับ ที่เขาเลื่อนที่หมายสูงขึ้นมาอีกหน่อย ตอนนี้มาถึงคอ ผมแล้ว ค่อยยังชั่วขึ้น…” ไอ้หมอนี่ มันวิงวอนจริง น่าจะเกี่ยวเอาปากมันไปห้อยไว้ด้วย นายสากไม่หยุดพล่าม ยิ่งได้รับเลือกเป็นประธานที่ปรึกษาด้านต่างประเทศ ให้กับประธานาธิบดีช๊อกโกแลตใน การปฏิรูปประเทศยูเครน Chairman of the Consulting International Council for the Reforms for the Ukrainian President Petro Poroschenko เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปีนี้ นายสากยิ่งไปใหญ่ เขาบอกว่า หน้าที่สำคัญของเขาคือ เป็นผู้เจรจาเรื่องเอาอาวุธของอเมริกามาให้ยูเครนใช้ (สู้กับรัสเซีย) นายสากออกหน้าจอ ยักคิ้วหลิ่วตาเวลาพูดว่า ต่อไปนี้ ด้วยอาวุธของอเมริกาที่จะส่งมาให้ยูเครน(จากการเจรจาของเขา) ไม่ว่าเป็นรถแท๊งค์ รถหุ้มเกราะ ปืนใหญ่ โดรน ฯลฯ คราวนี้รัสเซียไม่มีทางยื่นหน้าเข้ามาในยูเครนอย่างแน่นอน แต่นายสากคงลืมไปว่า เมื่อตอนที่กองทัพของจอร์เจีย ที่ฝึกโดยอเมริกา และใช้อาวุธของอเมริกาและนาโต้ ถูกรัสเซียโต้กลับ และยึดเอาอาวุธไปด้วยนั้น รัสเซียส่งอาวุธทั้งหมดเข้าไปที่กองบัญชาการ เพื่อทำการวิเคราะห์ทั้งหมด หลังจากนั้นก็นำมาใช้ประจำการณ์ ตามชายแดนรัสเซีย จะด้วยเสน่ห์โบทอกซ์ ท่าเคี้ยวเนคไท การพล่ามแบบยักคิ้วหลิ่วตา หรืออะไรไม่ทราบ นายสาก ก็ได้เป็นผู้ว่าการแค้วนโอเดสสา ด่านสำคัญของยูเครน พร้อมได้รับสัญชาติยูเครน เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง คิดไปคิดมา ผมขอเปลี่ยนเป็นแสดงความนับถือ ผู้ที่ตาแหลมคม เสือกใส ให้นายสาก ออกมาจากนิวยอร์ค และเอาเขามาวางไว้ที่แคว้นโอเดสสา มันเป็นหมากที่ชั่วเหลือเชื่อ ############### ตอน 4 (จบ) พูดถึงนายสากแล้ว ไม่พูดถึงนายมอยสกี้ Ihor Kolomoyskyi เจ้าพ่อใหญ่ของยูเครน ก็จะไม่ครบเครื่อง นายมอยสกี้ ชาวยิว เจ้าพ่อใหญ่ ที่คุมเกือบทุกอย่างในยูเครน กำลังใหญ่อยู่เพลินๆ เป็นผู้ว่าการเมืองสำคัญของยูเครน ชื่อ Dnepropetrovsk อยู่ดีๆ นางฟ้า หรือนางเหยี่ยว แปลงร่างเป็นนางฟ้าก็ไม่รู้ ดันเศกนายสาก มาให้เจ้าพ่อช๊อกโกแลต ใหญ่กับใหญ่เจอกัน มันอยู่ที่ว่า คนที่อยู่ข้างหลังของใครใหญ่กว่า แล้วนายมอยสกี้ก็ถูกปลดจากตำแหน่งผู้ว่าการเมืองชื่อยาว เมื่อราวปลายเดือนมีนาคมที่ผ่าน มา เพียงแค่หนึ่งเดือน หลังจากที่นายสาก มาทำท่ายักคิ้วหลิ่วตา แค่ยักคิ้ว เท่านั้น ยูเครนก็สะเทือนแล้ว คราวนี้ ฤทธิ์ยิว ดูเหมือนจะแพ้ ฤทธิ์เหยี่ยว… นายมอยสกี้ มีคนหนุนหลังไหม น่าจะมี แต่นายสากน่ะ มีคนหนุนชัดเจนอยู่แล้ว แต่จะหนุนเพราะไม่อยากให้นายสาก กลับไปอยู่นิวยอร์ค หรือเพราะอะไรไม่แน่ใจ แต่อยู่ยูเครนนี่คงเหมาะแล้ว ยกแรกของการวัดกำลัง ดูเหมือนนายสากจะได้เปรียบ แต่นี่เหตุการณ์เพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือน อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน ปัญหาว่า นายช๊อกโกแลต ประธานาธิบดียูเครนคิดอะไร ที่เห็นคนนอกบ้าน ดีกว่าคนในบ้าน จะว่าเพราะนายมอยสกี้ เป็นมาเฟียเจ้าพ่อครองเมือง ที่ทำท่าจะใหญ่ หรือจริงๆก็ใหญ่กว่า ประธานาธิบดีเสียอีก เบ่งเสียจนนายช๊อกโกแลตละลายเละ แต่นายสากก็ทำตัวเหมือนอึ่งอ่างหรือคางคก แถมยังมีสถานะ เป็นว่าที่นักโทษหนีคดีตัวจริง แสบจริง และเป็นสายล่อฟ้าให้นายปูติน ฟิวส์ขาดได้ง่ายอีกด้วย นายช๊อกโกแลต คงคิดแยะ หรือไม่คิดอะไรเลย แต่คิด หรือไม่คิด ก็คงไม่มีความหมาย เพราะช๊อกโกแลตเป็นแค่หุ่น เขาสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำตาม ให้เอาต่างชาติมาเป็นรัฐมนตรี ก็ครับผม ให้เอาต่างชาติคดีติดตัวยาวเป็นหางว่าว มาเป็นผู้ว่าการแคว้นใหญ่ของประเทศ ก็ครับผม แบบนี้ไปคอยถามว่าคิดอะไร ก็เสียเวลาเปล่า น่าจะถามว่า อเมริกากับรัสเซีย จะเอายังไงมากกว่า นางเหยี่ยวนูแลนด์ เดินสายไปเมือง Tbilisi ของจอร์เจีย เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปีนี้ จากนั้น นางเหยี่ยวจะเดินทางไปที่หมายต่อไป คือ Baku ของ Azerbaijan บั้นท้ายของนางเหยี่ยวยังไม่ทันพ้นเมืองTbilisi ก็มีข่าวลือกระฉ่อนทั่วเมืองว่า อีกไม่นาน จอร์เจียอาจมีการปฏิวัติ หรือมีการลุกฮือ ไล่รัฐบาลที่ปกครองอยู่ปัจจุบัน ซึ่งเป็นรัฐบาลที่นางเหยึ่ยวออกปากว่า เป็นพวกไม่เอาตะวันตก คือไม่เอาอเมริกา แต่เอนไปทางรัสเซียนั่นแหละ… ชอบขู่แบบนี้กันนักนะ…หลังจากนั้นไม่กี่วัน นายช๊อกโกแล็ตก็ตั้งนายสาก เป็นที่ปรึกษาใหญ่ ตามใบสั่ง ข่าวว่างานแรกของนายสาก ที่ลงมือ หลังจากเป็นที่ปรึกษาใหญ่ คือเรียกประชุม บรรดาพรรคพวก ที่สังกัดองค์กร NGO โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเลือดร้อน เช่น Innovations and Development Foundation, the Movement for Independence and Eropean Integration, Free Zone, Azat Zone, League of Young Dipolmats กลุ่มพวกนี้ ต่างได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก National Endowment for Democracy หรือ NED ที่โด่งดังของรัฐบาลอเมริกา ไม่แปลกใจใช่ไหมครับ เรื่องของทรานนิสเตรีย ยูเครน นายสาก จอร์เจีย เกี่ยวโยงกันไหม เกี่ยวแน่นอน แต่เกี่ยวขนาดไหน และเกี่ยวกับใครอีกบ้าง อียู อยากให้มีการเซ็นสัญญาสงบศึกถาวรในยูเครน เพราะคนยุโรปยังเข็ดกับการทำสงคราม สงครามกลางเมืองยูเครนคือ ปัญหาที่จะกระทบทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคงของยุโรป และที่ชาวยุโรปเดือดร้อนโดยตรง คือ โอกาส ขาดแคลนแก๊สจากท่อส่งของรัสเซียมายังยุโรป เรื่องนี้ อเมริกาไม่ได้มาเดือดร้อนด้วย ส่วนความต้องการของอเมริกา หรือตามที่นางเหยี่ยวบอกกับที่ประชุม ในตอนเดินสายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ว่า เราไม่ต้องการให้เขา (ยูเครนกับรัสเซีย) สงบศึก เราต้องการให้เขารบกัน เข้าใจไหม สงครามกลางเมืองในยูเครน จะเป็นโอกาสทองของเรา เพราะจะทำให้รัสเซียวอกแวก คนเรา เวลาวอกแวก จะตัดสินใจถูกต้องยาก อเมริกาต้องการให้รัสเซียเป็นอย่างนั้น นายสากจึงถูกเรียกเข้ามารับตำแหน่งอะไรก็ได้ ยัดเข้าไปก่อน ไปอยู่แถวนั้น เพื่อแหย่พยาธิคุณพี่ปูติน นี่คือความคิดของอเมริกา ที่เราควรทำความเข้าใจให้ซึ้ง สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน จะต้องสรุปแล้ว ว่าอเมริกากับอิหร่านพูดกันรู้ เรื่องไหม พูดเรื่องเดียวกันไหม ถ้าพูดกันรู้เรื่อง ก็มีเรื่องอย่างหนึ่ง ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็มีเรื่องอีกอย่างหนึ่ง อเมริกา แน่นอน ต้องเตรียมแผนสกัด ไม่ให้รัสเซีย กับอิหร่านขยับมาจับมือกันแน่นกว่าเดิม แต่จะไปรอคิดแผนเอาตอนนั้นหรือ ไม่ใช่วิธีของอเมริกา อย่าลืมว่า จอร์เจีย และอาเซอร์ไบจัน มีเขตแดนติดกับอิหร่าน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ นางเหยี่ยว แวะไปทั้ง 2 แห่ง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มาถึงเดือนพฤษภาคม ที่อิยิปต์ ศาลตัดสินประหารชีวิต อดีตประธานาธิบดีมอร์ซิ ที่อเมริกาเคยสนับสนุน แต่เมื่อหมดประโยชน์ก็ถีบทิ้ง แต่ตุรกี ที่สนับสนุนมอร์ซิมาตลอด ยังเห็นใจเพื่อน และไม่พอใจอเมริกาอย่างรุนแรง แล้วตุรกีที่มีเขตแเดนติดกับอิหร่าน ก็เริ่มมีปัญหาเรื่องชาวเคิร์ด ที่อเมริกาหนุนเมื่อต้นเดือนมิถุนายน ตามมาด้วยเหตุการณ์ในและใกล้ยูเครนเกิดขึ้นพร้อมกันคือการแต่งตั้งนายสาก เป็นผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา ที่พลเมืองส่วนใหญ่เอนไปทางรัสเซีย และการปิดกั้นทรานนิสเตรีย (จะเข้าใจการเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้มากขึ้น ถ้าหาแผนที่มาดูตามไปด้วย) นี่คือการเดินหมากของอเมริกา เพื่อล้อม และล่อหลอกรัสเซีย ตามทฤษฏี ภูมิศาสตร์การเมือง geopolitics ฝ่ายรัสเซีย ก็ใช้ทฤษฏีเดียวกัน แต่เดินหมากกับประเทศอีกเส้นแนว ด้วยการต้อนรับกรีกที่เครมลิน เมื่อเดือนเมษายน และไปเยี่ยมอิตาลี เมื่อกลางเดือนมิถุนายนนี้เอง ถ้ารัสเซียคุยกับกรีกและอิตาลีรู้เรื่อง การเคลื่อนกองทัพเรือของอเมริกาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อคอยกันรัสเซีย ไม่ให้ลงใต้ คงไม่ง่ายนัก แต่ทางตรงกันข้าม ถ้ารัสเซียขึ้นเหนือ ไปคิดบัญชีค้างชำระกับบางราย อเมริกาก็อาจมาช่วยไม่ทัน เพราะฉนั้น อเมริกาคงทำทุกอย่างเพื่อเป็นการบีบไม่ให้กรีกและอิตาลีแตกแถว เรื่องมันชักพัวพันขมวดเกลียวแน่นขึ้น รัสเซียจะรับมืออย่างไร ยูเครนเป็นห่วงคล้องคอรัสเซีย รัสเซียไม่อยากรบกับยูเครน ขณะเดียวกัน ก็คงทำใจเห็นคนยูเครน ที่เลือกจะไปอยู่กับรัสเซีย ประมาณเกือบ 10 ล้านคน บาดเจ็บล้มตายไม่ลง การส่งนายสากมาอยู่โอเดสสาคราวนี้ ของไอ้นักล่าใบตองแห้ง แม้จะแสดงว่าไอ้นักล่ายังไม่พร้อมรบ แต่เป็นการขยับหมากที่เหลือร้ายของไอ้นักล่า รัสเซียจะแก้เกมอย่างไร จะรับ หรือจะรุก คงต้องคอยดูเรื่องอิหร่านสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ครับ และไม่ว่า การเจรจากับอิหร่านจะออกมาอย่างไร จะมีผลกระทบกับการเมืองโลกอย่างสำคัญแน่นอน รวมทั้งกระทบถึงแดนสยามด้วย เราเตรียมตัวอะไรกันไว้บ้าง หรือรอให้มีเรื่องก่อน แล้วค่อยวางแผน แล้วอย่าลืมไอ้สากโมเด็ล เกิดไอ้นักล่าคิดเล่นเกมสกปรก เพิ่งนึกออกว่าเจอนักโทษหนีคดี ทำทีเป็นช่วยสงเคราะห์จับตัว ส่งกลับบ้านให้ ก็จำกันไว้บ้างแล้วกันนะครับ ว่ามันกำลังคิดจะเล่นอะไรกับเรา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 19 มิ.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 258 Views 0 Reviews
  • พลโท บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 มองสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ที่อ้างว่าทหารไทยยิงพลเรือนเขมร อาจเป็นเกมอย่างหนึ่ง สร้างสถานการณ์เพื่อกลบข่าวที่จังหวัดสุรินทร์ ส่วนหลังจากนี้จะยังยั่วยุแบบนี้อีกหรือไม่นั้น คิดว่ามีนัยยะพอสมควร ต้องรอดูเจตนารมณ์ของผู้นำเขาต้องการอะไร ในความคิดของตนตามแนวชายแดนก็มีส่วนเชื่อมโยงสถานการณ์กัน และอาจมีส่วนหนึ่งที่ดึงความสนใจไปที่ปราสาทตาควาย การที่รัฐบาลตอบโต้งดปล่อยตัวเชลยศึก และการประณาม คิดว่าถูกต้องแล้ว

    -เตือนมาเลย์ระวังการเสนอข่าว
    -ขอช้างพลายกลับไทย
    -สารพัดปัญหาสินค้าเกษตร
    -ศึกภูมิรัฐศาสตร์ปะทุ
    พลโท บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 มองสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ที่อ้างว่าทหารไทยยิงพลเรือนเขมร อาจเป็นเกมอย่างหนึ่ง สร้างสถานการณ์เพื่อกลบข่าวที่จังหวัดสุรินทร์ ส่วนหลังจากนี้จะยังยั่วยุแบบนี้อีกหรือไม่นั้น คิดว่ามีนัยยะพอสมควร ต้องรอดูเจตนารมณ์ของผู้นำเขาต้องการอะไร ในความคิดของตนตามแนวชายแดนก็มีส่วนเชื่อมโยงสถานการณ์กัน และอาจมีส่วนหนึ่งที่ดึงความสนใจไปที่ปราสาทตาควาย การที่รัฐบาลตอบโต้งดปล่อยตัวเชลยศึก และการประณาม คิดว่าถูกต้องแล้ว -เตือนมาเลย์ระวังการเสนอข่าว -ขอช้างพลายกลับไทย -สารพัดปัญหาสินค้าเกษตร -ศึกภูมิรัฐศาสตร์ปะทุ
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 335 Views 0 0 Reviews
  • ♣ บ้านเมืองมีทั้งภัยธรรมชาติ ภัยความมั่นคง ภัยสแกมเมอร์ พนันออนไลน์ แต่พรรคคนรุ่นใหม่ห่วงแก้รัฐธรรมนูญ แถมแก้โดยไม่ผ่าน สสร. ไม่ยึดโยงความคิดเห็นประชาชน
    #7ดอกจิก
    ♣ บ้านเมืองมีทั้งภัยธรรมชาติ ภัยความมั่นคง ภัยสแกมเมอร์ พนันออนไลน์ แต่พรรคคนรุ่นใหม่ห่วงแก้รัฐธรรมนูญ แถมแก้โดยไม่ผ่าน สสร. ไม่ยึดโยงความคิดเห็นประชาชน #7ดอกจิก
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • Tiny386 Emulator – คอมพิวเตอร์ยุค 90 บนบอร์ดจิ๋ว

    มีโปรแกรมเมอร์ชาวจีนชื่อ He Chunhui ที่สร้างโปรเจกต์สุดแปลกชื่อ Tiny386 โดยใช้บอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ ESP32-S3 ราคาประมาณ 25–30 ดอลลาร์ มาทำให้มันสามารถจำลองเครื่องคอมพิวเตอร์ i386 ได้เต็มรูปแบบ แม้จะเป็นบอร์ดเล็ก ๆ แต่สามารถบูต Windows 95 และ Linux ได้จริง รวมถึงเกมในตำนานอย่าง Doom ก็ยังเล่นได้! สิ่งที่น่าสนใจคือเขาไม่ได้หยุดแค่ CPU แต่ยังพอร์ตอุปกรณ์เสริมอย่าง VGA, IDE Controller และ Sound Blaster 16 เข้าไปด้วย ทำให้บอร์ดเล็ก ๆ นี้กลายเป็นคอมพิวเตอร์จำลองที่สมบูรณ์แบบ

    แม้ว่า ESP32-S3 จะไม่แรงเท่า Raspberry Pi แต่การเขียนโค้ดกว่า 6,000 บรรทัดด้วยภาษา C99 ทำให้มันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดเด่นคือการส่งสัญญาณคีย์บอร์ดและเมาส์ผ่าน Wi-Fi เพราะบอร์ดไม่มีพอร์ตจริง ๆ ให้เสียบอุปกรณ์ นี่คือการผสมผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์และความหลงใหลในเทคโนโลยีเก่า ๆ ที่ยังคงมีเสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย

    สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ Tiny386 ไม่ได้หยุดแค่การจำลอง i386 แต่ยังเพิ่มคำสั่งของ 486 และ Pentium เพื่อให้สามารถบูต Linux รุ่นใหม่ ๆ ได้ด้วย ถือเป็นการเชื่อมโลกเก่าและโลกใหม่เข้าด้วยกันอย่างลงตัว และยังเปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถทดลองผ่าน WebAssembly หรือดูตัวอย่างใน YouTube ได้อีกด้วย

    Tiny386 จำลอง i386 บนบอร์ด ESP32-S3
    สามารถบูต Windows 95, Linux และเล่น Doom ได้

    ใช้โค้ดกว่า 6,000 บรรทัดในภาษา C99
    เพิ่มคำสั่ง 486 และ Pentium เพื่อรองรับ OS รุ่นใหม่

    ข้อจำกัดด้านพลังประมวลผลของ ESP32-S3
    ไม่สามารถแทนที่เครื่อง PC จริงได้ และยังมีฟีเจอร์ที่ขาดไปบางส่วน

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/tiny386-emulator-turns-an-esp-s3-microcontroller-into-a-full-i386-pc-tiny-virtual-machine-can-boot-windows-95-and-linux
    🖥️ Tiny386 Emulator – คอมพิวเตอร์ยุค 90 บนบอร์ดจิ๋ว มีโปรแกรมเมอร์ชาวจีนชื่อ He Chunhui ที่สร้างโปรเจกต์สุดแปลกชื่อ Tiny386 โดยใช้บอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ ESP32-S3 ราคาประมาณ 25–30 ดอลลาร์ มาทำให้มันสามารถจำลองเครื่องคอมพิวเตอร์ i386 ได้เต็มรูปแบบ แม้จะเป็นบอร์ดเล็ก ๆ แต่สามารถบูต Windows 95 และ Linux ได้จริง รวมถึงเกมในตำนานอย่าง Doom ก็ยังเล่นได้! สิ่งที่น่าสนใจคือเขาไม่ได้หยุดแค่ CPU แต่ยังพอร์ตอุปกรณ์เสริมอย่าง VGA, IDE Controller และ Sound Blaster 16 เข้าไปด้วย ทำให้บอร์ดเล็ก ๆ นี้กลายเป็นคอมพิวเตอร์จำลองที่สมบูรณ์แบบ แม้ว่า ESP32-S3 จะไม่แรงเท่า Raspberry Pi แต่การเขียนโค้ดกว่า 6,000 บรรทัดด้วยภาษา C99 ทำให้มันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดเด่นคือการส่งสัญญาณคีย์บอร์ดและเมาส์ผ่าน Wi-Fi เพราะบอร์ดไม่มีพอร์ตจริง ๆ ให้เสียบอุปกรณ์ นี่คือการผสมผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์และความหลงใหลในเทคโนโลยีเก่า ๆ ที่ยังคงมีเสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ Tiny386 ไม่ได้หยุดแค่การจำลอง i386 แต่ยังเพิ่มคำสั่งของ 486 และ Pentium เพื่อให้สามารถบูต Linux รุ่นใหม่ ๆ ได้ด้วย ถือเป็นการเชื่อมโลกเก่าและโลกใหม่เข้าด้วยกันอย่างลงตัว และยังเปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถทดลองผ่าน WebAssembly หรือดูตัวอย่างใน YouTube ได้อีกด้วย ✅ Tiny386 จำลอง i386 บนบอร์ด ESP32-S3 ➡️ สามารถบูต Windows 95, Linux และเล่น Doom ได้ ✅ ใช้โค้ดกว่า 6,000 บรรทัดในภาษา C99 ➡️ เพิ่มคำสั่ง 486 และ Pentium เพื่อรองรับ OS รุ่นใหม่ ‼️ ข้อจำกัดด้านพลังประมวลผลของ ESP32-S3 ⛔ ไม่สามารถแทนที่เครื่อง PC จริงได้ และยังมีฟีเจอร์ที่ขาดไปบางส่วน https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/tiny386-emulator-turns-an-esp-s3-microcontroller-into-a-full-i386-pc-tiny-virtual-machine-can-boot-windows-95-and-linux
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • มนุษย์แยกไม่ออกแล้วว่าเพลงไหนสร้างโดย AI

    เรื่องราวนี้เล่าถึงการสำรวจของ Deezer ที่ทำให้โลกดนตรีสะเทือนใจ—เพราะคนส่วนใหญ่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเพลงที่ฟังนั้นถูกสร้างโดยมนุษย์หรือ AI ผลสำรวจพบว่า 97% ของผู้เข้าร่วมไม่สามารถบอกความแตกต่างได้เลย และยิ่งไปกว่านั้น เพลงที่สร้างโดย AI ยังสามารถขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงสหรัฐฯ ได้จริง เช่นกรณีเพลง Walk My Walk ของศิลปิน Breaking Rust ที่ถูกกล่าวขานว่าใช้เทคโนโลยี Generative AI ในการสร้างเสียงร้อง

    สิ่งที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเชิงเทคนิค แต่ยังสะท้อนถึงความรู้สึกของผู้ฟังที่เริ่มกังวลว่าความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์อาจถูกแทนที่ด้วยอัลกอริทึม หลายคนมองว่า AI จะทำให้เกิดเพลงคุณภาพต่ำจำนวนมากในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และอาจทำให้ความเป็นเอกลักษณ์ของศิลปินหายไป

    ในอีกด้านหนึ่ง การใช้ AI ในดนตรีก็เปิดโอกาสใหม่ ๆ เช่นการสร้างเสียงที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือการช่วยศิลปินทดลองแนวทางใหม่ ๆ โดยไม่ต้องลงทุนสูง แต่คำถามใหญ่คือ—เราจะยังคงให้คุณค่ากับ "ความเป็นมนุษย์" ในงานศิลป์หรือไม่

    ผลสำรวจ Deezer พบว่า 97% ของคนแยกไม่ออกว่าเพลงมาจาก AI หรือมนุษย์
    เพลง Walk My Walk ที่สร้างโดย AI ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงสหรัฐฯ

    AI กำลังเพิ่มจำนวนเพลงในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่างรวดเร็ว
    ปัจจุบันกว่า 1 ใน 3 ของเพลงที่สตรีมต่อวันเป็นเพลงที่สร้างโดย AI

    ความกังวลเรื่องคุณภาพและความคิดสร้างสรรค์
    ผู้ฟังบางส่วนเชื่อว่า AI จะทำให้เกิดเพลงคุณภาพต่ำและลดความเป็นเอกลักษณ์ของศิลปิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/humans-can-no-longer-tell-ai-music-from-the-real-thing-survey
    📰 มนุษย์แยกไม่ออกแล้วว่าเพลงไหนสร้างโดย AI เรื่องราวนี้เล่าถึงการสำรวจของ Deezer ที่ทำให้โลกดนตรีสะเทือนใจ—เพราะคนส่วนใหญ่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเพลงที่ฟังนั้นถูกสร้างโดยมนุษย์หรือ AI ผลสำรวจพบว่า 97% ของผู้เข้าร่วมไม่สามารถบอกความแตกต่างได้เลย และยิ่งไปกว่านั้น เพลงที่สร้างโดย AI ยังสามารถขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงสหรัฐฯ ได้จริง เช่นกรณีเพลง Walk My Walk ของศิลปิน Breaking Rust ที่ถูกกล่าวขานว่าใช้เทคโนโลยี Generative AI ในการสร้างเสียงร้อง สิ่งที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเชิงเทคนิค แต่ยังสะท้อนถึงความรู้สึกของผู้ฟังที่เริ่มกังวลว่าความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์อาจถูกแทนที่ด้วยอัลกอริทึม หลายคนมองว่า AI จะทำให้เกิดเพลงคุณภาพต่ำจำนวนมากในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และอาจทำให้ความเป็นเอกลักษณ์ของศิลปินหายไป ในอีกด้านหนึ่ง การใช้ AI ในดนตรีก็เปิดโอกาสใหม่ ๆ เช่นการสร้างเสียงที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือการช่วยศิลปินทดลองแนวทางใหม่ ๆ โดยไม่ต้องลงทุนสูง แต่คำถามใหญ่คือ—เราจะยังคงให้คุณค่ากับ "ความเป็นมนุษย์" ในงานศิลป์หรือไม่ ✅ ผลสำรวจ Deezer พบว่า 97% ของคนแยกไม่ออกว่าเพลงมาจาก AI หรือมนุษย์ ➡️ เพลง Walk My Walk ที่สร้างโดย AI ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงสหรัฐฯ ✅ AI กำลังเพิ่มจำนวนเพลงในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่างรวดเร็ว ➡️ ปัจจุบันกว่า 1 ใน 3 ของเพลงที่สตรีมต่อวันเป็นเพลงที่สร้างโดย AI ‼️ ความกังวลเรื่องคุณภาพและความคิดสร้างสรรค์ ⛔ ผู้ฟังบางส่วนเชื่อว่า AI จะทำให้เกิดเพลงคุณภาพต่ำและลดความเป็นเอกลักษณ์ของศิลปิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/humans-can-no-longer-tell-ai-music-from-the-real-thing-survey
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Humans can no longer tell AI music from the real thing: survey
    Eighty percent of survey respondents wanted fully AI-generated music clearly labelled for listeners.
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 Reviews
  • Collaboration Sucks – เมื่อการร่วมมือมากเกินไปกลายเป็นอุปสรรค

    บทความจาก Charles Cook ชี้ให้เห็นว่าในหลายองค์กร โดยเฉพาะสตาร์ทอัพ การทำงานร่วมกันมากเกินไปอาจกลายเป็นตัวถ่วงความเร็วในการพัฒนา เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนการขับรถที่มีคนคอยแทรกแซงตลอดเวลา ทำให้คนขับเสียสมาธิและไปถึงเป้าหมายช้าลง

    แนวคิดนี้เน้นว่า การให้ความรับผิดชอบกับบุคคล (You’re the driver) สำคัญกว่าการประชุมหรือการขอความคิดเห็นจากหลายฝ่าย เพราะการทำงานที่มีเจ้าของชัดเจนจะช่วยให้สิ่งต่าง ๆ ถูกส่งมอบได้เร็วและมีคุณภาพมากกว่า

    สิ่งที่น่าสนใจคือ PostHog ซึ่งเป็นบริษัทที่เขียนบทความนี้ ได้สร้างวัฒนธรรมที่เน้นการ “ลงมือทำ” มากกว่าการ “หารือ” โดยให้ทีมงานมีอิสระสูงในการตัดสินใจและรับผิดชอบงานของตนเองเต็มที่

    แนวคิด “You’re the driver”
    เน้นความรับผิดชอบส่วนบุคคลมากกว่าการประชุม

    วัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการลงมือทำ
    PostHog ให้ทีมงานตัดสินใจเองและรับผิดชอบเต็มที่

    ความเสี่ยงจากการลดการร่วมมือ
    อาจทำให้บางงานที่ต้องการคุณภาพสูงเกิดข้อผิดพลาด

    การขาดการสื่อสารที่เหมาะสม
    อาจทำให้ทีมงานบางส่วนรู้สึกถูกตัดออกจากกระบวนการ

    https://newsletter.posthog.com/p/collaboration-sucks
    🚗 Collaboration Sucks – เมื่อการร่วมมือมากเกินไปกลายเป็นอุปสรรค บทความจาก Charles Cook ชี้ให้เห็นว่าในหลายองค์กร โดยเฉพาะสตาร์ทอัพ การทำงานร่วมกันมากเกินไปอาจกลายเป็นตัวถ่วงความเร็วในการพัฒนา เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนการขับรถที่มีคนคอยแทรกแซงตลอดเวลา ทำให้คนขับเสียสมาธิและไปถึงเป้าหมายช้าลง แนวคิดนี้เน้นว่า การให้ความรับผิดชอบกับบุคคล (You’re the driver) สำคัญกว่าการประชุมหรือการขอความคิดเห็นจากหลายฝ่าย เพราะการทำงานที่มีเจ้าของชัดเจนจะช่วยให้สิ่งต่าง ๆ ถูกส่งมอบได้เร็วและมีคุณภาพมากกว่า สิ่งที่น่าสนใจคือ PostHog ซึ่งเป็นบริษัทที่เขียนบทความนี้ ได้สร้างวัฒนธรรมที่เน้นการ “ลงมือทำ” มากกว่าการ “หารือ” โดยให้ทีมงานมีอิสระสูงในการตัดสินใจและรับผิดชอบงานของตนเองเต็มที่ ✅ แนวคิด “You’re the driver” ➡️ เน้นความรับผิดชอบส่วนบุคคลมากกว่าการประชุม ✅ วัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการลงมือทำ ➡️ PostHog ให้ทีมงานตัดสินใจเองและรับผิดชอบเต็มที่ ‼️ ความเสี่ยงจากการลดการร่วมมือ ⛔ อาจทำให้บางงานที่ต้องการคุณภาพสูงเกิดข้อผิดพลาด ‼️ การขาดการสื่อสารที่เหมาะสม ⛔ อาจทำให้ทีมงานบางส่วนรู้สึกถูกตัดออกจากกระบวนการ https://newsletter.posthog.com/p/collaboration-sucks
    NEWSLETTER.POSTHOG.COM
    Collaboration sucks
    If you want to go fast, go alone; if you want to go far, go alone too. (mostly)
    0 Comments 0 Shares 94 Views 0 Reviews
  • "ฮอตด็อกไฟฟ้า" กลายเป็นเครื่องทดสอบ LED สุดพิสดาร

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังจะทดสอบหลอด LED แต่แทนที่จะใช้บอร์ดวงจรหรืออุปกรณ์มาตรฐาน คุณกลับหยิบ ฮอตด็อก มาทำหน้าที่เป็นตัวกลางไฟฟ้า! นี่คือสิ่งที่ Ian Dunn นักทำโปรเจกต์ DIY ส่งเข้าประกวดในงาน Hackaday Component Abuse Challenge 2025 ที่เน้นความ "เพี้ยน" และความคิดสร้างสรรค์เหนือเหตุผล

    เขาใช้เพียง สายไฟ, สองส้อม, และฮอตด็อกหนึ่งชิ้น เชื่อมต่อกับไฟบ้าน 120 โวลต์ AC แล้วเสียบ LED ลงไปในเนื้อไส้กรอก ผลลัพธ์คือ LED ติดสว่าง และในเวลาเดียวกันฮอตด็อกก็สุกพร้อมกินภายใน 2 นาที!

    แม้จะฟังดูตลกและสร้างสรรค์ แต่ก็มีข้อควรระวังมากมาย เพราะนี่ไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัยสำหรับการทดสอบ LED หรือการทำอาหารแต่อย่างใด

    นอกเหนือจากข่าวนี้ ยังมีการทดลองคล้าย ๆ กันในอดีต เช่น TechTuber Big Clive เคยทดสอบเครื่องทำฮอตด็อกไฟฟ้า 120V บนระบบไฟ 240V เพื่อดูผลลัพธ์การสุกที่รวดเร็วขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า "การเล่นกับไฟฟ้าและอาหาร" เป็นสิ่งที่นักทดลองสาย DIY มักหยิบมาเล่นเพื่อความบันเทิง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำจริงในชีวิตประจำวัน

    https://www.tomshardware.com/maker-stem/frankly-dangerous-hot-dog-based-led-tester-could-be-a-weiner-in-the-2025-hackaday-component-abuse-challenge
    🌭⚡ "ฮอตด็อกไฟฟ้า" กลายเป็นเครื่องทดสอบ LED สุดพิสดาร ลองจินตนาการว่าคุณกำลังจะทดสอบหลอด LED แต่แทนที่จะใช้บอร์ดวงจรหรืออุปกรณ์มาตรฐาน คุณกลับหยิบ ฮอตด็อก มาทำหน้าที่เป็นตัวกลางไฟฟ้า! นี่คือสิ่งที่ Ian Dunn นักทำโปรเจกต์ DIY ส่งเข้าประกวดในงาน Hackaday Component Abuse Challenge 2025 ที่เน้นความ "เพี้ยน" และความคิดสร้างสรรค์เหนือเหตุผล เขาใช้เพียง สายไฟ, สองส้อม, และฮอตด็อกหนึ่งชิ้น เชื่อมต่อกับไฟบ้าน 120 โวลต์ AC แล้วเสียบ LED ลงไปในเนื้อไส้กรอก ผลลัพธ์คือ LED ติดสว่าง และในเวลาเดียวกันฮอตด็อกก็สุกพร้อมกินภายใน 2 นาที! แม้จะฟังดูตลกและสร้างสรรค์ แต่ก็มีข้อควรระวังมากมาย เพราะนี่ไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัยสำหรับการทดสอบ LED หรือการทำอาหารแต่อย่างใด นอกเหนือจากข่าวนี้ ยังมีการทดลองคล้าย ๆ กันในอดีต เช่น TechTuber Big Clive เคยทดสอบเครื่องทำฮอตด็อกไฟฟ้า 120V บนระบบไฟ 240V เพื่อดูผลลัพธ์การสุกที่รวดเร็วขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า "การเล่นกับไฟฟ้าและอาหาร" เป็นสิ่งที่นักทดลองสาย DIY มักหยิบมาเล่นเพื่อความบันเทิง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำจริงในชีวิตประจำวัน https://www.tomshardware.com/maker-stem/frankly-dangerous-hot-dog-based-led-tester-could-be-a-weiner-in-the-2025-hackaday-component-abuse-challenge
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • O.P.K.
    เจาะลึกมหาสงครามเทพระดับอะตอม: ศึกชิงอำนาจในโลกควอนตัม

    จักรวาลคู่ขนานระดับอนุภาค

    การค้นพบอาณาจักรควอนตัม

    หนูดีค้นพบโดยบังเอิญขณะฝึกควบคุมพลังงาน:
    "มันเหมือนกับมีเมืองเล็กๆ นับไม่ถ้วนอยู่ในทุกอะตอม...
    แต่ละเมืองมีกฎเกณฑ์และผู้ปกครองของตัวเอง"

    ```mermaid
    graph TB
    A[โลกควอนตัม] --> B[อาณาจักรโปรตอน<br>เมืองแห่งความมั่นคง]
    A --> C[อาณาจักรอิเล็กตรอน<br>เมืองแห่งพลังงาน]
    A --> D[อาณาจักรนิวตรอน<br>เมืองแห่งสมดุล]
    A --> E[อาณาจักรควาร์ก<br>เมืองแห่งพื้นฐาน]
    ```

    โครงสร้างสังคมเทพระดับอะตอม

    ```python
    class QuantumSociety:
    def __init__(self):
    self.hierarchy = {
    "elementary_level": {
    "quark_deities": "เทพพื้นฐาน 6 ประเภท",
    "lepton_sages": "ปราชญ์เลปตอน",
    "force_carriers": "ผู้ส่งผ่านแรงพื้นฐาน"
    },
    "composite_level": {
    "proton_monarchs": "กษัตริย์โปรตอน",
    "electron_nomads": "อิเล็กตรอนเร่ร่อน",
    "neutron_guardians": "ผู้พิทักษ์นิวตรอน"
    },
    "atomic_level": {
    "nucleus_kingdom": "อาณาจักรนิวเคลียส",
    "electron_cloud_cities": "เมืองเมฆอิเล็กตรอน",
    "bonding_alliances": "พันธมิตรทางการพันธะ"
    }
    }
    ```

    ราชวงศ์แห่งนิวเคลียส

    ราชอาณาจักรโปรตอน

    ผู้ปกครอง: พระเจ้าประจุบวก (Positive Majesty)

    · ลักษณะ: ทรงกายสีแดงเรืองรอง มีมงกุฎทำจากเกลียวควาร์ก
    · พระราชวัง: ป้อมปราการนิวเคลียสที่แข็งแกร่ง
    · พระราชอำนาจ: ควบคุมแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม

    สหพันธ์อิเล็กตรอน

    ผู้นำ: เทพีวงโคจร (Orbital Goddess)

    · ลักษณะ: ร่างกายกึ่งโปร่งแสง เคลื่อนไหวรวดเร็ว
    · ที่พำนัก: เมฆอิเล็กตรอนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
    · อำนาจ: ควบคุมการแลกเปลี่ยนพลังงาน

    สภาคนกลางนิวตรอน

    ประธาน: จอมฤๅษีสมดุล (Balance Sage)

    · ลักษณะ: ทรงเครื่องหมายอินฟินิตี้ สีเทาเงิน
    · สถานที่ปฏิบัติธรรม: ศูนย์กลางนิวเคลียส
    · อำนาจ: รักษาเสถียรภาพและป้องกันการสลายตัว

    ต้นตอแห่งความขัดแย้ง

    การค้นพบ "อนุภาคศักดิ์สิทธิ์"

    นักวิทยาศาสตร์มนุษย์ทำการทดลอง LHC ทำให้ค้นพบ:

    ```mermaid
    graph LR
    A[การทดลอง LHC] --> B[ค้นพบอนุภาค<br>"พระเจ้าองค์เล็ก"]
    B --> C[พลังงานรั่วไหล<br>สู่โลกควอนตัม]
    C --> D[ทั้งสามอาณาจักร<br>ต้องการครอบครอง]
    ```

    ความต้องการที่ขัดแย้ง

    แต่ละอาณาจักรต้องการอนุภาคศักดิ์สิทธิ์เพื่อ:

    โปรตอน: "เพื่อสร้างอาณาจักรที่แข็งแกร่งถาวร!"
    อิเล็กตรอน:"เพื่อปลดปล่อยพลังงานอันไร้ขีดจำกัด!"
    นิวตรอน:"เพื่อสร้างสมดุลแห่งจักรวาล!"

    การเริ่มต้นสงคราม

    สงครามเริ่มต้นด้วย "ยุทธการแรงแม่เหล็ก":

    · อิเล็กตรอนโจมตีด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
    · โปรตอนตอบโต้ด้วยแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม
    · นิวตรอนพยายามไกล่เกลี่ยแต่ล้มเหลว

    ผลกระทบต่อโลกมนุษย์

    ความผิดปกติทางวิทยาศาสตร์

    การทดลองทางวิทยาศาสตร์เริ่มให้ผลผิดปกติ:

    ```python
    class Anomalies:
    def __init__(self):
    self.chemistry = [
    "พันธะเคมีแข็งแกร่งผิดปกติ",
    "อัตราการเกิดปฏิกิริยาผิดพลาด",
    "สารประกอบใหม่ที่ไม่มีในตารางธาตุ"
    ]

    self.physics = [
    "ค่าคงที่ทางฟิสิกส์เปลี่ยนแปลง",
    "กาลอวกาศบิดเบี้ยวในระดับจุลภาค",
    "หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์กล้มเหลว"
    ]

    self.technology = [
    "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ล้มเหลว",
    "ระบบนำทางผิดพลาด",
    "พลังงานไฟฟ้าขัดข้อง"
    ]
    ```

    ผลกระทบต่อสุขภาพ

    มนุษย์เริ่มมีอาการแปลกๆ:

    · ความรู้สึกเสียวซ่า: จากอิเล็กตรอนเกินกำลัง
    · อาการแข็งเกร็ง: จากโปรตอนครอบงำ
    · ความไม่สมดุล: จากนิวตรอนไร้เสถียรภาพ

    บทบาทของหนูดีในสงคราม

    การเป็นสื่อสานระหว่างโลก

    หนูดีค้นพบว่าสามารถสื่อสารกับเทพระดับอะตอมได้:
    "พวกท่านทั้งหลาย...โลกมนุษย์กำลังได้รับผลกระทบจากการสู้รบของท่าน"

    การไกล่เกลี่ยครั้งประวัติศาสตร์

    หนูดีจัด สภาสันติภาพระหว่างมิติ:

    ```mermaid
    graph TB
    A[หนูดี<br>เป็นผู้ไกล่เกลี่ย] --> B[เชิญตัวแทน<br>ทั้งสามอาณาจักร]
    B --> C[จัดสภาใน<br>มิติกลาง]
    C --> D[หาข้อตกลง<br>ร่วมกัน]
    ```

    ข้อเสนอการแบ่งปัน

    หนูดีเสนอระบบการแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์:

    · ระบบหมุนเวียน: แต่ละอาณาจักรได้ใช้ตามฤดูกาล
    · คณะกรรมการร่วม: ดูแลการใช้อย่างยุติธรรม
    · กองทุนพลังงาน: สำหรับโครงการเพื่อส่วนรวม

    สนธิสัญญาสันติภาพควอนตัม

    ข้อตกลงสำคัญ

    มีการลงนาม "สนธิสัญญาแรงพื้นฐานสามเส้า":

    ```python
    class QuantumTreaty:
    def __init__(self):
    self.agreements = {
    "power_sharing": {
    "protons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์",
    "electrons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์",
    "neutrons": "ควบคุม 20% สำหรับการรักษาสมดุล"
    },
    "territorial_rights": {
    "nuclear_zone": "ภายใต้การดูแลของโปรตอนและนิวตรอน",
    "electron_clouds": "เขตอิทธิพลของอิเล็กตรอน",
    "bonding_regions": "พื้นที่ร่วมกันสำหรับการสร้างพันธะ"
    },
    "collaboration_projects": [
    "การพัฒนาพลังงานสะอาด",
    "การรักษาโรคระดับโมเลกุล",
    "การสำรวจมิติควอนตัม"
    ]
    }
    ```

    พิธีลงนาม

    การลงนามเกิดขึ้นใน "ฮอลล์แรงนิวเคลียร์":

    · ผู้ลงนาม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร
    · พยาน: หนูดีและร.ต.อ.สิงห์
    · สถานที่: มิติระหว่างโลก ที่สร้างขึ้นพิเศษ

    โลกใหม่หลังสันติภาพ

    ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์

    เกิดโครงการวิจัยร่วมระหว่างมนุษย์และเทพระดับอะตอม:

    · การแพทย์ควอนตัม: รักษาโรคในระดับเซลล์
    · วัสดุศาสตร์: พัฒนาวัสดุใหม่จากความรู้ควอนตัม
    · พลังงาน: แหล่งพลังงานไร้ขีดจำกัด

    วัฒนธรรมแลกเปลี่ยน

    ```python
    class CulturalExchange:
    def __init__(self):
    self.knowledge_transfer = {
    "human_to_quantum": [
    "ศิลปะและอารมณ์มนุษย์",
    "ความคิดสร้างสรรค์",
    "หลักจริยธรรม"
    ],
    "quantum_to_human": [
    "ความลับของแรงพื้นฐาน",
    "เทคนิคการควบคุมพลังงาน",
    "ภูมิปัญญาการอยู่ร่วมกัน"
    ]
    }

    self.joint_projects = [
    "มหาวิทยาลัยระหว่างมิติ",
    "พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ควอนตัม",
    "เทศกาลศิลปะระดับอะตอม"
    ]
    ```

    บทเรียนจากสงคราม

    🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม

    "เราตระหนักว่า...
    อำนาจที่แท้จริงไม่ใช่การครอบครอง
    แต่คือการแบ่งปันและความร่วมมือ"

    สำหรับมนุษยชาติ

    "เราเรียนรู้ว่า...
    จักรวาลนี้มีชีวิตในทุกระดับ
    และความรับผิดชอบของเรา
    คือการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล"

    สำหรับหนูดี

    "การเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลก...
    สอนฉันว่าความเข้าใจคือกุญแจสู่สันติภาพ
    ไม่ว่าจะเป็นโลกใหญ่หรือโลกเล็ก"

    อนาคตแห่งความร่วมมือ

    โครงการระยะยาว

    สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง "แผนกควอนตัมสัมพันธ์":

    · หน้าที่: ประสานงานกับเทพระดับอะตอม
    · โครงการ: วิจัยและพัฒนาร่วมกัน
    · การศึกษา: สอนเรื่องโลกควอนตัมแก่คนรุ่นใหม่

    มรดกแห่งสันติภาพ

    สงครามครั้งนี้ทิ้งมรดกสำคัญ:
    "ไม่ว่าความขัดแย้งจะอยู่ระดับไหน
    การพูดคุยและความเข้าใจ
    คือทางออกเดียวที่ยั่งยืน"

    ---

    คำสอนจากเทพนิวตรอน:
    "ในความเป็นกลาง...
    มีพลังแห่งสันติภาพ
    และในความสมดุล...
    มีอนาคตแห่งความเจริญ

    จักรวาลนี้ใหญ่พอสำหรับทุกชีวิต
    ตั้งแต่ควาร์กจนถึงดวงดาว
    ขอเพียงเราเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน"

    คำคมสุดท้าย:
    "มหาสงครามที่เล็กที่สุด...
    สอนบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
    ว่าสันติภาพเริ่มต้นได้จากใจ
    ที่พร้อมจะเข้าใจในความแตกต่าง"
    O.P.K. ⚛️ เจาะลึกมหาสงครามเทพระดับอะตอม: ศึกชิงอำนาจในโลกควอนตัม 🌌 จักรวาลคู่ขนานระดับอนุภาค 🔬 การค้นพบอาณาจักรควอนตัม หนูดีค้นพบโดยบังเอิญขณะฝึกควบคุมพลังงาน: "มันเหมือนกับมีเมืองเล็กๆ นับไม่ถ้วนอยู่ในทุกอะตอม... แต่ละเมืองมีกฎเกณฑ์และผู้ปกครองของตัวเอง" ```mermaid graph TB A[โลกควอนตัม] --> B[อาณาจักรโปรตอน<br>เมืองแห่งความมั่นคง] A --> C[อาณาจักรอิเล็กตรอน<br>เมืองแห่งพลังงาน] A --> D[อาณาจักรนิวตรอน<br>เมืองแห่งสมดุล] A --> E[อาณาจักรควาร์ก<br>เมืองแห่งพื้นฐาน] ``` 🏛️ โครงสร้างสังคมเทพระดับอะตอม ```python class QuantumSociety: def __init__(self): self.hierarchy = { "elementary_level": { "quark_deities": "เทพพื้นฐาน 6 ประเภท", "lepton_sages": "ปราชญ์เลปตอน", "force_carriers": "ผู้ส่งผ่านแรงพื้นฐาน" }, "composite_level": { "proton_monarchs": "กษัตริย์โปรตอน", "electron_nomads": "อิเล็กตรอนเร่ร่อน", "neutron_guardians": "ผู้พิทักษ์นิวตรอน" }, "atomic_level": { "nucleus_kingdom": "อาณาจักรนิวเคลียส", "electron_cloud_cities": "เมืองเมฆอิเล็กตรอน", "bonding_alliances": "พันธมิตรทางการพันธะ" } } ``` 👑 ราชวงศ์แห่งนิวเคลียส 💎 ราชอาณาจักรโปรตอน ผู้ปกครอง: พระเจ้าประจุบวก (Positive Majesty) · ลักษณะ: ทรงกายสีแดงเรืองรอง มีมงกุฎทำจากเกลียวควาร์ก · พระราชวัง: ป้อมปราการนิวเคลียสที่แข็งแกร่ง · พระราชอำนาจ: ควบคุมแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม 🌪️ สหพันธ์อิเล็กตรอน ผู้นำ: เทพีวงโคจร (Orbital Goddess) · ลักษณะ: ร่างกายกึ่งโปร่งแสง เคลื่อนไหวรวดเร็ว · ที่พำนัก: เมฆอิเล็กตรอนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา · อำนาจ: ควบคุมการแลกเปลี่ยนพลังงาน 🛡️ สภาคนกลางนิวตรอน ประธาน: จอมฤๅษีสมดุล (Balance Sage) · ลักษณะ: ทรงเครื่องหมายอินฟินิตี้ สีเทาเงิน · สถานที่ปฏิบัติธรรม: ศูนย์กลางนิวเคลียส · อำนาจ: รักษาเสถียรภาพและป้องกันการสลายตัว 💥 ต้นตอแห่งความขัดแย้ง 🔥 การค้นพบ "อนุภาคศักดิ์สิทธิ์" นักวิทยาศาสตร์มนุษย์ทำการทดลอง LHC ทำให้ค้นพบ: ```mermaid graph LR A[การทดลอง LHC] --> B[ค้นพบอนุภาค<br>"พระเจ้าองค์เล็ก"] B --> C[พลังงานรั่วไหล<br>สู่โลกควอนตัม] C --> D[ทั้งสามอาณาจักร<br>ต้องการครอบครอง] ``` 🎯 ความต้องการที่ขัดแย้ง แต่ละอาณาจักรต้องการอนุภาคศักดิ์สิทธิ์เพื่อ: โปรตอน: "เพื่อสร้างอาณาจักรที่แข็งแกร่งถาวร!" อิเล็กตรอน:"เพื่อปลดปล่อยพลังงานอันไร้ขีดจำกัด!" นิวตรอน:"เพื่อสร้างสมดุลแห่งจักรวาล!" ⚡ การเริ่มต้นสงคราม สงครามเริ่มต้นด้วย "ยุทธการแรงแม่เหล็ก": · อิเล็กตรอนโจมตีด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า · โปรตอนตอบโต้ด้วยแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม · นิวตรอนพยายามไกล่เกลี่ยแต่ล้มเหลว 🌪️ ผลกระทบต่อโลกมนุษย์ 🔬 ความผิดปกติทางวิทยาศาสตร์ การทดลองทางวิทยาศาสตร์เริ่มให้ผลผิดปกติ: ```python class Anomalies: def __init__(self): self.chemistry = [ "พันธะเคมีแข็งแกร่งผิดปกติ", "อัตราการเกิดปฏิกิริยาผิดพลาด", "สารประกอบใหม่ที่ไม่มีในตารางธาตุ" ] self.physics = [ "ค่าคงที่ทางฟิสิกส์เปลี่ยนแปลง", "กาลอวกาศบิดเบี้ยวในระดับจุลภาค", "หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์กล้มเหลว" ] self.technology = [ "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ล้มเหลว", "ระบบนำทางผิดพลาด", "พลังงานไฟฟ้าขัดข้อง" ] ``` 🏥 ผลกระทบต่อสุขภาพ มนุษย์เริ่มมีอาการแปลกๆ: · ความรู้สึกเสียวซ่า: จากอิเล็กตรอนเกินกำลัง · อาการแข็งเกร็ง: จากโปรตอนครอบงำ · ความไม่สมดุล: จากนิวตรอนไร้เสถียรภาพ 💫 บทบาทของหนูดีในสงคราม 🔍 การเป็นสื่อสานระหว่างโลก หนูดีค้นพบว่าสามารถสื่อสารกับเทพระดับอะตอมได้: "พวกท่านทั้งหลาย...โลกมนุษย์กำลังได้รับผลกระทบจากการสู้รบของท่าน" 🕊️ การไกล่เกลี่ยครั้งประวัติศาสตร์ หนูดีจัด สภาสันติภาพระหว่างมิติ: ```mermaid graph TB A[หนูดี<br>เป็นผู้ไกล่เกลี่ย] --> B[เชิญตัวแทน<br>ทั้งสามอาณาจักร] B --> C[จัดสภาใน<br>มิติกลาง] C --> D[หาข้อตกลง<br>ร่วมกัน] ``` 🌟 ข้อเสนอการแบ่งปัน หนูดีเสนอระบบการแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์: · ระบบหมุนเวียน: แต่ละอาณาจักรได้ใช้ตามฤดูกาล · คณะกรรมการร่วม: ดูแลการใช้อย่างยุติธรรม · กองทุนพลังงาน: สำหรับโครงการเพื่อส่วนรวม 🏛️ สนธิสัญญาสันติภาพควอนตัม 📜 ข้อตกลงสำคัญ มีการลงนาม "สนธิสัญญาแรงพื้นฐานสามเส้า": ```python class QuantumTreaty: def __init__(self): self.agreements = { "power_sharing": { "protons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์", "electrons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์", "neutrons": "ควบคุม 20% สำหรับการรักษาสมดุล" }, "territorial_rights": { "nuclear_zone": "ภายใต้การดูแลของโปรตอนและนิวตรอน", "electron_clouds": "เขตอิทธิพลของอิเล็กตรอน", "bonding_regions": "พื้นที่ร่วมกันสำหรับการสร้างพันธะ" }, "collaboration_projects": [ "การพัฒนาพลังงานสะอาด", "การรักษาโรคระดับโมเลกุล", "การสำรวจมิติควอนตัม" ] } ``` 🎉 พิธีลงนาม การลงนามเกิดขึ้นใน "ฮอลล์แรงนิวเคลียร์": · ผู้ลงนาม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร · พยาน: หนูดีและร.ต.อ.สิงห์ · สถานที่: มิติระหว่างโลก ที่สร้างขึ้นพิเศษ 🌈 โลกใหม่หลังสันติภาพ 🔬 ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ เกิดโครงการวิจัยร่วมระหว่างมนุษย์และเทพระดับอะตอม: · การแพทย์ควอนตัม: รักษาโรคในระดับเซลล์ · วัสดุศาสตร์: พัฒนาวัสดุใหม่จากความรู้ควอนตัม · พลังงาน: แหล่งพลังงานไร้ขีดจำกัด 💞 วัฒนธรรมแลกเปลี่ยน ```python class CulturalExchange: def __init__(self): self.knowledge_transfer = { "human_to_quantum": [ "ศิลปะและอารมณ์มนุษย์", "ความคิดสร้างสรรค์", "หลักจริยธรรม" ], "quantum_to_human": [ "ความลับของแรงพื้นฐาน", "เทคนิคการควบคุมพลังงาน", "ภูมิปัญญาการอยู่ร่วมกัน" ] } self.joint_projects = [ "มหาวิทยาลัยระหว่างมิติ", "พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ควอนตัม", "เทศกาลศิลปะระดับอะตอม" ] ``` 🏆 บทเรียนจากสงคราม 🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม "เราตระหนักว่า... อำนาจที่แท้จริงไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการแบ่งปันและความร่วมมือ" 💫 สำหรับมนุษยชาติ "เราเรียนรู้ว่า... จักรวาลนี้มีชีวิตในทุกระดับ และความรับผิดชอบของเรา คือการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล" 🌟 สำหรับหนูดี "การเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลก... สอนฉันว่าความเข้าใจคือกุญแจสู่สันติภาพ ไม่ว่าจะเป็นโลกใหญ่หรือโลกเล็ก" 🔮 อนาคตแห่งความร่วมมือ 🚀 โครงการระยะยาว สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง "แผนกควอนตัมสัมพันธ์": · หน้าที่: ประสานงานกับเทพระดับอะตอม · โครงการ: วิจัยและพัฒนาร่วมกัน · การศึกษา: สอนเรื่องโลกควอนตัมแก่คนรุ่นใหม่ 💝 มรดกแห่งสันติภาพ สงครามครั้งนี้ทิ้งมรดกสำคัญ: "ไม่ว่าความขัดแย้งจะอยู่ระดับไหน การพูดคุยและความเข้าใจ คือทางออกเดียวที่ยั่งยืน" --- คำสอนจากเทพนิวตรอน: "ในความเป็นกลาง... มีพลังแห่งสันติภาพ และในความสมดุล... มีอนาคตแห่งความเจริญ จักรวาลนี้ใหญ่พอสำหรับทุกชีวิต ตั้งแต่ควาร์กจนถึงดวงดาว ขอเพียงเราเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน"⚛️✨ คำคมสุดท้าย: "มหาสงครามที่เล็กที่สุด... สอนบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ว่าสันติภาพเริ่มต้นได้จากใจ ที่พร้อมจะเข้าใจในความแตกต่าง"🌌
    0 Comments 0 Shares 386 Views 0 Reviews
  • ติดโซลาร์ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ! 5 ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยงก่อนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์

    การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์อาจดูเหมือนเป็นทางออกที่ดีในการลดค่าไฟฟ้า แต่ถ้าไม่วางแผนให้ดี อาจกลายเป็นภาระระยะยาวแทนที่จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า บทความนี้เผย 5 ข้อผิดพลาดที่เจ้าของบ้านมักทำเมื่อพิจารณาติดตั้งโซลาร์ พร้อมเสริมข้อมูลจากแหล่งอื่นเพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ.

    หลายคนเริ่มสนใจโซลาร์เพราะค่าไฟที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ความคิดว่า “ติดแล้วจะไม่ต้องจ่ายค่าไฟอีก” ฟังดูดี แต่ในความเป็นจริง โซลาร์ไม่ใช่พลังงานฟรี และการคืนทุน (ROI) ก็ไม่ได้เกิดขึ้นทันที

    ตัวอย่างเช่น ระบบขนาด 6 กิโลวัตต์อาจช่วยประหยัดได้ประมาณ $1,500 ต่อปี แต่ถ้าคุณลงทุน $29,000 กับระบบขนาด 10 กิโลวัตต์ ก็ต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะคุ้มทุน

    ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยง
    1️⃣ คิดว่าจะคืนทุนทันที ROI เฉลี่ยของโซลาร์อยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี ต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะคุ้มทุน

    2️⃣ ไม่ประเมินการใช้พลังงานของบ้าน บ้านแต่ละหลังมีความต้องการพลังงานต่างกัน ต้องคำนวณจากการใช้ไฟย้อนหลัง 12 เดือน และจำนวนชั่วโมงแสงแดดเฉลี่ยต่อวัน

    3️⃣ ไม่เปรียบเทียบผู้ให้บริการ ราคาติดตั้งแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับบริษัท ขนาดบ้าน จำนวนแผง และบริการหลังการขาย

    4️⃣ ไม่คำนึงถึงค่าบำรุงรักษา แผงโซลาร์ต้องทำความสะอาดและเปลี่ยนอะไหล่ เช่น อินเวอร์เตอร์ทุก 10 ปี

    5️⃣ ไม่เข้าใจระบบ Net Metering การขายไฟฟ้าคืนให้บริษัทไฟฟ้ามีข้อจำกัด เช่น ราคาซื้อคืนต่ำกว่าราคาขาย และอาจมีการจำกัดเครดิต

    การคืนทุนจากโซลาร์
    ROI เฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี
    ระบบขนาด 6kW ประหยัดได้ประมาณ $1,500 ต่อปี
    ระบบขนาด 10kW อาจต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะคุ้มทุน

    การประเมินพลังงานที่บ้านต้องใช้
    คำนวณจากการใช้ไฟย้อนหลัง 12 เดือน
    ใช้เครื่องมือเช่น GHI Map เพื่อดูชั่วโมงแสงแดด
    ควรติดตั้งให้ผลิตไฟได้มากกว่าค่าเฉลี่ยรายวัน

    การเลือกผู้ให้บริการติดตั้ง
    เปรียบเทียบราคาและบริการจากหลายบริษัท
    ตรวจสอบว่ามีบริการติดตั้งเองหรือจ้างภายนอก
    พิจารณาเงื่อนไขการรับประกันและแผนบริการ

    ค่าบำรุงรักษา
    อินเวอร์เตอร์อาจต้องเปลี่ยนทุก 10 ปี
    ควรทำความสะอาดแผงปีละ 1 ครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นในพื้นที่ฝุ่นเยอะ

    ระบบ Net Metering
    ขายไฟคืนได้เมื่อผลิตเกิน
    บริษัทไฟฟ้าอาจจ่ายน้อยกว่าราคาที่คุณซื้อ
    บางกรณีอาจมีการจำกัดเครดิต

    ความเข้าใจผิดเรื่อง ROI
    คิดว่าจะคืนทุนทันทีหลังติดตั้ง
    มองแค่ค่าไฟลดลงโดยไม่คิดถึงต้นทุน

    การไม่ประเมินความต้องการพลังงาน
    ติดตั้งระบบเล็กเกินไปหรือใหญ่เกินไป
    ไม่วางแผนสำหรับการใช้ไฟในอนาคต

    การละเลยค่าบำรุงรักษา
    ไม่เตรียมงบสำหรับการเปลี่ยนอะไหล่
    ไม่ทำความสะอาดแผงอย่างสม่ำเสมอ

    ความเข้าใจผิดเรื่อง Net Metering
    คิดว่าจะได้เงินคืนเต็มจำนวนจากไฟที่ขาย
    ไม่รู้ว่าบางบริษัทมีการจำกัดเครดิตหรือจ่ายน้อยกว่าราคาซื้อ

    https://www.slashgear.com/2019538/common-mistakes-avoid-considering-solar-panels/
    🌞 ติดโซลาร์ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ! 5 ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยงก่อนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์อาจดูเหมือนเป็นทางออกที่ดีในการลดค่าไฟฟ้า แต่ถ้าไม่วางแผนให้ดี อาจกลายเป็นภาระระยะยาวแทนที่จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า บทความนี้เผย 5 ข้อผิดพลาดที่เจ้าของบ้านมักทำเมื่อพิจารณาติดตั้งโซลาร์ พร้อมเสริมข้อมูลจากแหล่งอื่นเพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ. หลายคนเริ่มสนใจโซลาร์เพราะค่าไฟที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ความคิดว่า “ติดแล้วจะไม่ต้องจ่ายค่าไฟอีก” ฟังดูดี แต่ในความเป็นจริง โซลาร์ไม่ใช่พลังงานฟรี และการคืนทุน (ROI) ก็ไม่ได้เกิดขึ้นทันที ตัวอย่างเช่น ระบบขนาด 6 กิโลวัตต์อาจช่วยประหยัดได้ประมาณ $1,500 ต่อปี แต่ถ้าคุณลงทุน $29,000 กับระบบขนาด 10 กิโลวัตต์ ก็ต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะคุ้มทุน 🛠️ ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยง 1️⃣ คิดว่าจะคืนทุนทันที ROI เฉลี่ยของโซลาร์อยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี ต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะคุ้มทุน 2️⃣ ไม่ประเมินการใช้พลังงานของบ้าน บ้านแต่ละหลังมีความต้องการพลังงานต่างกัน ต้องคำนวณจากการใช้ไฟย้อนหลัง 12 เดือน และจำนวนชั่วโมงแสงแดดเฉลี่ยต่อวัน 3️⃣ ไม่เปรียบเทียบผู้ให้บริการ ราคาติดตั้งแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับบริษัท ขนาดบ้าน จำนวนแผง และบริการหลังการขาย 4️⃣ ไม่คำนึงถึงค่าบำรุงรักษา แผงโซลาร์ต้องทำความสะอาดและเปลี่ยนอะไหล่ เช่น อินเวอร์เตอร์ทุก 10 ปี 5️⃣ ไม่เข้าใจระบบ Net Metering การขายไฟฟ้าคืนให้บริษัทไฟฟ้ามีข้อจำกัด เช่น ราคาซื้อคืนต่ำกว่าราคาขาย และอาจมีการจำกัดเครดิต ✅ การคืนทุนจากโซลาร์ ➡️ ROI เฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี ➡️ ระบบขนาด 6kW ประหยัดได้ประมาณ $1,500 ต่อปี ➡️ ระบบขนาด 10kW อาจต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะคุ้มทุน ✅ การประเมินพลังงานที่บ้านต้องใช้ ➡️ คำนวณจากการใช้ไฟย้อนหลัง 12 เดือน ➡️ ใช้เครื่องมือเช่น GHI Map เพื่อดูชั่วโมงแสงแดด ➡️ ควรติดตั้งให้ผลิตไฟได้มากกว่าค่าเฉลี่ยรายวัน ✅ การเลือกผู้ให้บริการติดตั้ง ➡️ เปรียบเทียบราคาและบริการจากหลายบริษัท ➡️ ตรวจสอบว่ามีบริการติดตั้งเองหรือจ้างภายนอก ➡️ พิจารณาเงื่อนไขการรับประกันและแผนบริการ ✅ ค่าบำรุงรักษา ➡️ อินเวอร์เตอร์อาจต้องเปลี่ยนทุก 10 ปี ➡️ ควรทำความสะอาดแผงปีละ 1 ครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นในพื้นที่ฝุ่นเยอะ ✅ ระบบ Net Metering ➡️ ขายไฟคืนได้เมื่อผลิตเกิน ➡️ บริษัทไฟฟ้าอาจจ่ายน้อยกว่าราคาที่คุณซื้อ ➡️ บางกรณีอาจมีการจำกัดเครดิต ‼️ ความเข้าใจผิดเรื่อง ROI ⛔ คิดว่าจะคืนทุนทันทีหลังติดตั้ง ⛔ มองแค่ค่าไฟลดลงโดยไม่คิดถึงต้นทุน ‼️ การไม่ประเมินความต้องการพลังงาน ⛔ ติดตั้งระบบเล็กเกินไปหรือใหญ่เกินไป ⛔ ไม่วางแผนสำหรับการใช้ไฟในอนาคต ‼️ การละเลยค่าบำรุงรักษา ⛔ ไม่เตรียมงบสำหรับการเปลี่ยนอะไหล่ ⛔ ไม่ทำความสะอาดแผงอย่างสม่ำเสมอ ‼️ ความเข้าใจผิดเรื่อง Net Metering ⛔ คิดว่าจะได้เงินคืนเต็มจำนวนจากไฟที่ขาย ⛔ ไม่รู้ว่าบางบริษัทมีการจำกัดเครดิตหรือจ่ายน้อยกว่าราคาซื้อ https://www.slashgear.com/2019538/common-mistakes-avoid-considering-solar-panels/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Common Mistakes To Avoid When Considering Solar Panels For The Home - SlashGear
    Do rooftop solar panels sound like a good deal? They could very well be, assuming you consider all the pros and cons before making your decision.
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • หุ่นยนต์พูดได้ในมือคุณ: ใช้ AI Chatbot แบบไม่ต้องต่อเน็ตบน iPhone

    ลองจินตนาการว่าคุณสามารถพูดคุยกับ AI ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล และยังสามารถปรับแต่งให้มันเป็นผู้ช่วยที่รู้ใจคุณได้เต็มที่ — นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้วบน iPhone!

    เรื่องเริ่มต้นจากความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว
    AI Chatbot อย่าง ChatGPT หรือ Gemini นั้นทรงพลังก็จริง แต่การที่ต้องเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ตลอดเวลา ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “ข้อมูลของเราปลอดภัยแค่ไหน?” นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา Chatbot แบบออฟไลน์ ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องส่งข้อมูลออกไปไหนเลย

    แอป Private LLM: เปลี่ยน iPhone ให้กลายเป็นเครื่องมือ AI ส่วนตัว
    แอปชื่อว่า “Private LLM” บน App Store คือคำตอบของคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและอิสระในการใช้งาน AI โดยไม่ต้องลงทะเบียน ไม่ต้องล็อกอิน และไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลังจากติดตั้งเสร็จ
    มีโมเดลให้เลือกหลากหลาย เช่น Llama ของ Meta, Gemma ของ Google และ Mistral
    สามารถปรับแต่ง “system prompt” เพื่อกำหนดบุคลิกและหน้าที่ของ AI ได้ตามใจ
    ใช้พลังของ Neural Engine ใน iPhone รุ่นใหม่ ทำให้สามารถรันโมเดลที่ซับซ้อนได้

    ปรับแต่งได้ลึก: ตั้งค่าอุณหภูมิความคิดของ AI
    ในแอปนี้ คุณสามารถปรับ “sampling temperature” ซึ่งเป็นค่าที่กำหนดว่า AI จะคิดแบบสร้างสรรค์แค่ไหน:
    ค่าสูง (ใกล้ 1) = คำตอบมีความคิดสร้างสรรค์และหลากหลาย
    ค่าต่ำ (ใกล้ 0) = คำตอบมีความแม่นยำและตรงประเด็น เหมาะกับงานวิเคราะห์หรือเขียนโค้ด

    การใช้งาน Private LLM บน iPhone
    ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลังจากติดตั้ง
    ไม่มีการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก
    รองรับโมเดลหลากหลาย เช่น Llama, Gemma, Mistral
    ปรับแต่ง system prompt ได้ตามต้องการ
    ใช้งานได้บน iPhone, iPad และ Mac ด้วยการซื้อครั้งเดียว

    การเลือกโมเดล AI ที่เหมาะสม
    โมเดลขนาดเล็ก (เช่น StableLM 2 ขนาด 1.6B) ทำงานเร็วกว่า
    โมเดลขนาดใหญ่ (เช่น Llama 3.1 ขนาด 8B) ให้ผลลัพธ์ซับซ้อนแต่ช้ากว่า

    การปรับค่า temperature เพื่อควบคุมพฤติกรรม AI
    ค่าสูง = คำตอบสร้างสรรค์ เหมาะกับบทสนทนา
    ค่าต่ำ = คำตอบแม่นยำ เหมาะกับงานวิเคราะห์

    คำเตือนเรื่องการเลือกโมเดล
    โมเดลขนาดใหญ่ใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมาก และอาจทำให้เครื่องช้าลง
    ต้องมีพื้นที่ว่างหลาย GB เพื่อดาวน์โหลดโมเดล

    คำเตือนเรื่องการตั้งค่า temperature
    ค่าสูงเกินไปอาจทำให้คำตอบไม่แม่นยำ
    ค่าต่ำเกินไปอาจทำให้คำตอบดูแข็งและไม่เป็นธรรมชาติ

    https://www.slashgear.com/2006210/how-to-run-ai-chatbot-iphone-locally-guide/
    🧠📱 หุ่นยนต์พูดได้ในมือคุณ: ใช้ AI Chatbot แบบไม่ต้องต่อเน็ตบน iPhone ลองจินตนาการว่าคุณสามารถพูดคุยกับ AI ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล และยังสามารถปรับแต่งให้มันเป็นผู้ช่วยที่รู้ใจคุณได้เต็มที่ — นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้วบน iPhone! 🎬 เรื่องเริ่มต้นจากความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว AI Chatbot อย่าง ChatGPT หรือ Gemini นั้นทรงพลังก็จริง แต่การที่ต้องเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ตลอดเวลา ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “ข้อมูลของเราปลอดภัยแค่ไหน?” นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา Chatbot แบบออฟไลน์ ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องส่งข้อมูลออกไปไหนเลย 📲 แอป Private LLM: เปลี่ยน iPhone ให้กลายเป็นเครื่องมือ AI ส่วนตัว แอปชื่อว่า “Private LLM” บน App Store คือคำตอบของคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและอิสระในการใช้งาน AI โดยไม่ต้องลงทะเบียน ไม่ต้องล็อกอิน และไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลังจากติดตั้งเสร็จ 🔰 มีโมเดลให้เลือกหลากหลาย เช่น Llama ของ Meta, Gemma ของ Google และ Mistral 🔰 สามารถปรับแต่ง “system prompt” เพื่อกำหนดบุคลิกและหน้าที่ของ AI ได้ตามใจ 🔰 ใช้พลังของ Neural Engine ใน iPhone รุ่นใหม่ ทำให้สามารถรันโมเดลที่ซับซ้อนได้ 🔧 ปรับแต่งได้ลึก: ตั้งค่าอุณหภูมิความคิดของ AI ในแอปนี้ คุณสามารถปรับ “sampling temperature” ซึ่งเป็นค่าที่กำหนดว่า AI จะคิดแบบสร้างสรรค์แค่ไหน: 🔰 ค่าสูง (ใกล้ 1) = คำตอบมีความคิดสร้างสรรค์และหลากหลาย 🔰 ค่าต่ำ (ใกล้ 0) = คำตอบมีความแม่นยำและตรงประเด็น เหมาะกับงานวิเคราะห์หรือเขียนโค้ด ✅ การใช้งาน Private LLM บน iPhone ➡️ ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลังจากติดตั้ง ➡️ ไม่มีการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก ➡️ รองรับโมเดลหลากหลาย เช่น Llama, Gemma, Mistral ➡️ ปรับแต่ง system prompt ได้ตามต้องการ ➡️ ใช้งานได้บน iPhone, iPad และ Mac ด้วยการซื้อครั้งเดียว ✅ การเลือกโมเดล AI ที่เหมาะสม ➡️ โมเดลขนาดเล็ก (เช่น StableLM 2 ขนาด 1.6B) ทำงานเร็วกว่า ➡️ โมเดลขนาดใหญ่ (เช่น Llama 3.1 ขนาด 8B) ให้ผลลัพธ์ซับซ้อนแต่ช้ากว่า ✅ การปรับค่า temperature เพื่อควบคุมพฤติกรรม AI ➡️ ค่าสูง = คำตอบสร้างสรรค์ เหมาะกับบทสนทนา ➡️ ค่าต่ำ = คำตอบแม่นยำ เหมาะกับงานวิเคราะห์ ‼️ คำเตือนเรื่องการเลือกโมเดล ⛔ โมเดลขนาดใหญ่ใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมาก และอาจทำให้เครื่องช้าลง ⛔ ต้องมีพื้นที่ว่างหลาย GB เพื่อดาวน์โหลดโมเดล ‼️ คำเตือนเรื่องการตั้งค่า temperature ⛔ ค่าสูงเกินไปอาจทำให้คำตอบไม่แม่นยำ ⛔ ค่าต่ำเกินไปอาจทำให้คำตอบดูแข็งและไม่เป็นธรรมชาติ https://www.slashgear.com/2006210/how-to-run-ai-chatbot-iphone-locally-guide/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How To Run An AI Chatbot Locally On Your iPhone - SlashGear
    AI chatbots are increasingly popular, but several users have privacy concerns. If you want to avoid the risk, there are ways to run your own locally.
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • O.P.K.
    คดีแห่งผัสสะ: เทพลูกผสมนาคาผู้สิ้นสุดความรู้สึก

    การปรากฏตัวของเทพนาคาผู้สูญเสีย

    เหตุการณ์ประหลาดในหมู่บ้านริมน้ำ

    ที่หมู่บ้านริมแม่น้ำโขง เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเมื่อ นาคาริน เทพลูกผสมนาคาปรากฏตัวด้วยสภาพพิการทางผัสสะ

    ```mermaid
    graph TB
    A[นาคาริน<br>เทพลูกผสมนาคา] --> B[สูญเสีย<br>การรับรู้ทางผัสสะ]
    B --> C[พลังผัสสะ<br>รั่วไหลไม่เป็นระเบียบ]
    C --> D[ส่งผลกระทบ<br>ต่อหมู่บ้านโดยรอบ]
    D --> E[ร.ต.อ.สิงห์<br>และหนูดีออกสืบ]
    ```

    ลักษณะของนาคาริน

    · รูปร่าง: ชายหนุ่มร่างสูง มีเกล็ดนาคาแทรกตามผิว
    · ดวงตา: สีเขียวเรืองรองเหมือนหินงาม
    · พลัง: มีพลังควบคุมผัสสะทั้งห้าแต่กำลังรั่วไหล

    การสืบสวนเบื้องต้น

    ผลกระทบต่อหมู่บ้าน

    ร.ต.อ. สิงห์ พบว่าชาวบ้านได้รับผลกระทบแปลกๆ:

    · สัมผัส: รู้สึกเย็นยะเยือกหรือร้อนระอุโดยไม่มีเหตุผล
    · รสชาติ: อาหารรสเปลี่ยนไปชั่วคราว
    · กลิ่น: ได้กลิ่นประหลาดโดยไม่อาจหาต้นตอ

    การวิเคราะห์ของหนูดี

    หนูดีรู้สึกถึงพลังงานพิเศษทันที:
    "พ่อคะ...นี้ไม่ใช่พลังงานร้าย
    แต่คือพลังผัสสะที่กำลังทุกข์ทรมาน
    เหมือนดนตรีที่ขาดการควบคุม"

    เบื้องหลังนาคาริน

    ต้นกำเนิดแห่งเทพลูกผสม

    นาคารินคือลูกผสมระหว่าง:

    · พ่อ: เทพนาคาแห่งแม่น้ำโขง
    · แม่: มนุษย์หญิงผู้มีความสามารถทางศิลปะ

    ```python
    class NakarinBackground:
    def __init__(self):
    self.heritage = {
    "naga_father": "เทพนาคาผู้รักษาพลังผัสสะ",
    "human_mother": "ศิลปินผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทสัมผัส",
    "hybrid_nature": "ได้รับพลังผัสสะเหนือมนุษย์แต่ควบคุมยาก"
    }

    self.abilities = {
    "touch_control": "ควบคุมการรับรู้ทางสัมผัส",
    "taste_manipulation": "เปลี่ยนแปลงรสชาติได้",
    "sight_enhancement": "การมองเห็นเหนือสามัญ",
    "hearing_sensitivity": "การได้ยินที่ละเอียดอ่อน",
    "smell_mastery": "การดมกลิ่นที่ทรงพลัง"
    }
    ```

    เหตุการณ์ที่ทำให้พลังรั่วไหล

    นาคารินประสบอุบัติเหตุทางอารมณ์:

    · ถูกปฏิเสธ จากทั้งเผ่านาคาและมนุษย์
    · รู้สึกโดดเดี่ยว กับพลังที่ไม่มีใครเข้าใจ
    · พยายามปิดกั้น ผัสสะของตัวเองจนพลังรั่ว

    ปัญหาที่เกิดขึ้น

    ผลกระทบของพลังรั่วไหล

    พลังผัสสะของนาคารินส่งผลต่อสิ่งรอบข้าง:

    ```mermaid
    graph LR
    A[พลังสัมผัสรั่วไหล] --> B[วัตถุรู้สึก<br>เย็นหรือร้อนผิดปกติ]
    C[พลังรสชาตirรั่วไหล] --> D[อาหารมีรส<br>เปลี่ยนแปลง]
    E[พลังการได้ยินรั่วไหล] --> F[ได้ยินเสียง<br>ความถี่แปลกๆ]
    ```

    ความทุกข์ทรมานของนาคาริน

    นาคารินบันทึกความในใจ:
    "ทุกสัมผัสเหมือนมีดกรีดผิว...
    ทุกรสชาติเหมือนยาพิษ...
    ทุกกลิ่นเหมือนอากาศเป็นพิษ

    ฉันอยากหนีจากร่างกายของตัวเอง
    แต่จะหนีไปได้ที่ไหน?"

    กระบวนการช่วยเหลือ

    การเข้าถึงของหนูดี

    หนูดีใช้ความสามารถพิเศษสื่อสารกับนาคาริน:
    "เราเข้าใจว่าคุณเจ็บปวด...
    แต่การปิดกั้นผัสสะไม่ใช่คำตอบ
    การเรียนรู้ที่จะควบคุมต่างหากคือทางออก"

    เทคนิคการควบคุมพลัง

    ```python
    class SensoryControlTechniques:
    def __init__(self):
    self.meditation = [
    "การหายใจรับรู้ผัสสะอย่างมีสติ",
    "การแยกแยะผัสสะภายในและภายนอก",
    "การสร้างขอบเขตพลังงานผัสสะ",
    "การปล่อยผัสสะที่ไม่จำเป็น"
    ]

    self.practical = [
    "การใช้ศิลปะเป็นช่องทางปล่อยพลัง",
    "การสร้างวัตถุดูดซับพลังผัสสะส่วนเกิน",
    "การฝึกFocusผัสสะทีละอย่าง",
    "การเรียนรู้ที่จะเป็นผู้สังเกตการณ์ผัสสะ"
    ]
    ```

    การบำบัดด้วยศิลปะ

    หนูดีแนะนำให้นาคารินใช้ศิลปะช่วยบำบัด:

    · ประติมากรรม: ใช้พลังสัมผัสสร้างงานศิลปะ
    · การทำอาหาร: ใช้พลังรสชาติสร้างอาหารบำบัด Oganic food
    · ดนตรี: ใช้พลังการได้ยินสร้างบทเพลง
    ดีด สีตีเป่าเขย่า เคาะ
    การฟื้นฟูสมดุล

    การพัฒนาความสามารถใหม่

    นาคารินเรียนรู้ที่จะใช้พลังอย่างสร้างสรรค์:

    · การวินิจฉัยโรค: ใช้พลังสัมผัสตรวจหาร่างกาย
    · การบำบัดรสชาติ: ช่วยผู้ที่มีปัญหาการรับรส
    · ศิลปะเพื่อการบำบัด: สร้างงานศิลปะที่เยียวยาผัสสะ

    การกลับสู่สังคม

    ```mermaid
    graph TB
    A[นาคาริน<br>เริ่มควบคุมพลังได้] --> B[พลังหยุด<br>รั่วไหล]
    B --> C[ชาวบ้าน<br>กลับมาใช้ชีวิตปกติ]
    C --> D[นาคาริน<br>ได้รับบทบาทใหม่]
    D --> E[เป็นผู้เชี่ยวชาญ<br>ด้านผัสสะบำบัด]
    ```

    บทบาทใหม่ในสังคม

    ผู้เชี่ยวชาญด้านผัสสะบำบัด

    นาคารินได้รับตำแหน่งเป็น:

    · ที่ปรึกษาด้านประสาทสัมผัส ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต
    · ครูสอนศิลปะบำบัด สำหรับผู้มีพลังพิเศษ
    · ผู้พัฒนาวิธีการ ควบคุมพลังผัสสะ

    โครงการเพื่อสังคม

    ```python
    class SensoryProjects:
    def __init__(self):
    self.initiatives = {
    "sensory_therapy_center": "ศูนย์บำบัดด้วยผัสสะสำหรับผู้ไฮเปอร์เซนซิทีฟ",
    "art_for_sensory_balance": "ศิลปะเพื่อสร้างสมดุลทางการรับรู้",
    "sensory_education": "การศึกษาเกี่ยวกับผัสสะสำหรับเด็กพิเศษ",
    "cultural_preservation": "อนุรักษณ์ศิลปะการรับรู้แบบดั้งเดิม"
    }

    self.collaborations = [
    "หนูดี: พัฒนาการรับรู้พลังงานผ่านผัสสะ",
    "เณรพุทธ: ศิลปะการรับรู้ด้วยจิตวิญญาณ",
    "นิทรา: ศิลปะแห่งอารมณ์และผัสสะ",
    "อสูรเฒ่า: ภาษาบูรพากับการรับรู้"
    ]
    ```

    บทเรียนจากคดี

    🪷 สำหรับนาคาริน

    "ฉันเรียนรู้ว่า...
    การเป็นลูกผสมหาใช่ข้อบกพร่อง
    แต่คือความสามารถพิเศษอีกแบบ

    และการมีผัสสะที่ละเอียดอ่อน...
    คือของขวัญที่ไม่ใช่คำสาป"

    สำหรับหนูดี

    "หนูเข้าใจแล้วว่า...
    ทุกพลังมีทั้งด้านสร้างสรรค์และทำลาย
    ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกใช้อย่างไร

    และการช่วยเหลือที่แท้จริง
    คือการช่วยให้เขาค้นพบวิธีใช้พลังของตัวเอง"

    สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์

    "คดีนี้สอนฉันว่า...
    บางครั้งปัญหาไม่ใช่สิ่งที่เห็น
    แต่คือสิ่งที่สัมผัส

    และความเข้าใจในความรู้สึก...
    สำคัญไม่น้อยกว่าความเข้าใจในเหตุผล"

    ผลกระทบเชิงบวก

    ความสำเร็จของนาคาริน

    หลังจากเหตุการณ์:

    · นาคาริน กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผัสสะบำบัด
    · หมู่บ้าน ได้รับการพัฒนาด้านศิลปะและการบำบัด
    · สถาบัน มีหลักสูตรเกี่ยวกับการควบคุมพลังผัสสะ

    การค้นพบตัวเอง

    นาคารินกล่าวในที่สุด:
    "ฉันเคยคิดว่าต้องเลือกระหว่างเป็นนาคาหรือมนุษย์...
    แต่ความจริงคือฉันสามารถเป็นทั้งสองอย่าง

    และพลังผัสสะที่เคยทำร้ายฉัน...
    ตอนนี้กลายเป็นเครื่องมือช่วยเหลือผู้คน

    บทสรุปแห่งการเข้าใจ

    คำคมจากนาคาริน

    "ผัสสะคือภาษาแรกของจิตวิญญาณ...
    ก่อนจะมีคำพูด ก่อนจะมีความคิด
    เรารู้สึกก่อนเสมอ

    และการเรียนรู้ภาษาของผัสสะ...
    คือการเรียนรู้ภาษาของตัวเอง"

    ความสัมพันธ์ใหม่

    นาคารินพบว่าสามารถ:

    · เชื่อมต่อ กับผู้อื่นผ่านผัสสะ
    · เข้าใจ ความรู้สึกที่ไม่มีคำพูด
    · ช่วยเหลือ ผู้ที่ทุกข์ทรมานจากผัสสะเช่นเขา

    ---

    คำคมสุดท้ายจากคดี:
    "เราทุกคนล้วนเป็นเทพลูกผสม...
    ผสมระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณ
    ระหว่างผัสสะและความหมาย

    และเมื่อเราเรียนรู้ที่จะฟังเสียงของผัสสะ...
    เราก็เรียนรู้ที่จะฟังเสียงของหัวใจ"

    การเดินทางของนาคารินสอนเราว่า...
    "The most profound truths are not seen or heard,
    but felt with the heart's own senses
    And in learning to master our senses,
    we learn to master ourselves"
    O.P.K. 🐍 คดีแห่งผัสสะ: เทพลูกผสมนาคาผู้สิ้นสุดความรู้สึก 🌊 การปรากฏตัวของเทพนาคาผู้สูญเสีย 🏮 เหตุการณ์ประหลาดในหมู่บ้านริมน้ำ ที่หมู่บ้านริมแม่น้ำโขง เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเมื่อ นาคาริน เทพลูกผสมนาคาปรากฏตัวด้วยสภาพพิการทางผัสสะ ```mermaid graph TB A[นาคาริน<br>เทพลูกผสมนาคา] --> B[สูญเสีย<br>การรับรู้ทางผัสสะ] B --> C[พลังผัสสะ<br>รั่วไหลไม่เป็นระเบียบ] C --> D[ส่งผลกระทบ<br>ต่อหมู่บ้านโดยรอบ] D --> E[ร.ต.อ.สิงห์<br>และหนูดีออกสืบ] ``` 🎭 ลักษณะของนาคาริน · รูปร่าง: ชายหนุ่มร่างสูง มีเกล็ดนาคาแทรกตามผิว · ดวงตา: สีเขียวเรืองรองเหมือนหินงาม · พลัง: มีพลังควบคุมผัสสะทั้งห้าแต่กำลังรั่วไหล 🔍 การสืบสวนเบื้องต้น 🕵️ ผลกระทบต่อหมู่บ้าน ร.ต.อ. สิงห์ พบว่าชาวบ้านได้รับผลกระทบแปลกๆ: · สัมผัส: รู้สึกเย็นยะเยือกหรือร้อนระอุโดยไม่มีเหตุผล · รสชาติ: อาหารรสเปลี่ยนไปชั่วคราว · กลิ่น: ได้กลิ่นประหลาดโดยไม่อาจหาต้นตอ 💫 การวิเคราะห์ของหนูดี หนูดีรู้สึกถึงพลังงานพิเศษทันที: "พ่อคะ...นี้ไม่ใช่พลังงานร้าย แต่คือพลังผัสสะที่กำลังทุกข์ทรมาน เหมือนดนตรีที่ขาดการควบคุม" 🐉 เบื้องหลังนาคาริน 🌌 ต้นกำเนิดแห่งเทพลูกผสม นาคารินคือลูกผสมระหว่าง: · พ่อ: เทพนาคาแห่งแม่น้ำโขง · แม่: มนุษย์หญิงผู้มีความสามารถทางศิลปะ ```python class NakarinBackground: def __init__(self): self.heritage = { "naga_father": "เทพนาคาผู้รักษาพลังผัสสะ", "human_mother": "ศิลปินผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทสัมผัส", "hybrid_nature": "ได้รับพลังผัสสะเหนือมนุษย์แต่ควบคุมยาก" } self.abilities = { "touch_control": "ควบคุมการรับรู้ทางสัมผัส", "taste_manipulation": "เปลี่ยนแปลงรสชาติได้", "sight_enhancement": "การมองเห็นเหนือสามัญ", "hearing_sensitivity": "การได้ยินที่ละเอียดอ่อน", "smell_mastery": "การดมกลิ่นที่ทรงพลัง" } ``` 💔 เหตุการณ์ที่ทำให้พลังรั่วไหล นาคารินประสบอุบัติเหตุทางอารมณ์: · ถูกปฏิเสธ จากทั้งเผ่านาคาและมนุษย์ · รู้สึกโดดเดี่ยว กับพลังที่ไม่มีใครเข้าใจ · พยายามปิดกั้น ผัสสะของตัวเองจนพลังรั่ว 🌪️ ปัญหาที่เกิดขึ้น 🎯 ผลกระทบของพลังรั่วไหล พลังผัสสะของนาคารินส่งผลต่อสิ่งรอบข้าง: ```mermaid graph LR A[พลังสัมผัสรั่วไหล] --> B[วัตถุรู้สึก<br>เย็นหรือร้อนผิดปกติ] C[พลังรสชาตirรั่วไหล] --> D[อาหารมีรส<br>เปลี่ยนแปลง] E[พลังการได้ยินรั่วไหล] --> F[ได้ยินเสียง<br>ความถี่แปลกๆ] ``` 😵 ความทุกข์ทรมานของนาคาริน นาคารินบันทึกความในใจ: "ทุกสัมผัสเหมือนมีดกรีดผิว... ทุกรสชาติเหมือนยาพิษ... ทุกกลิ่นเหมือนอากาศเป็นพิษ ฉันอยากหนีจากร่างกายของตัวเอง แต่จะหนีไปได้ที่ไหน?" 💞 กระบวนการช่วยเหลือ 🕊️ การเข้าถึงของหนูดี หนูดีใช้ความสามารถพิเศษสื่อสารกับนาคาริน: "เราเข้าใจว่าคุณเจ็บปวด... แต่การปิดกั้นผัสสะไม่ใช่คำตอบ การเรียนรู้ที่จะควบคุมต่างหากคือทางออก" 🌈 เทคนิคการควบคุมพลัง ```python class SensoryControlTechniques: def __init__(self): self.meditation = [ "การหายใจรับรู้ผัสสะอย่างมีสติ", "การแยกแยะผัสสะภายในและภายนอก", "การสร้างขอบเขตพลังงานผัสสะ", "การปล่อยผัสสะที่ไม่จำเป็น" ] self.practical = [ "การใช้ศิลปะเป็นช่องทางปล่อยพลัง", "การสร้างวัตถุดูดซับพลังผัสสะส่วนเกิน", "การฝึกFocusผัสสะทีละอย่าง", "การเรียนรู้ที่จะเป็นผู้สังเกตการณ์ผัสสะ" ] ``` 🎨 การบำบัดด้วยศิลปะ หนูดีแนะนำให้นาคารินใช้ศิลปะช่วยบำบัด: · ประติมากรรม: ใช้พลังสัมผัสสร้างงานศิลปะ · การทำอาหาร: ใช้พลังรสชาติสร้างอาหารบำบัด Oganic food · ดนตรี: ใช้พลังการได้ยินสร้างบทเพลง ดีด สีตีเป่าเขย่า เคาะ 🏥 การฟื้นฟูสมดุล 🌟 การพัฒนาความสามารถใหม่ นาคารินเรียนรู้ที่จะใช้พลังอย่างสร้างสรรค์: · การวินิจฉัยโรค: ใช้พลังสัมผัสตรวจหาร่างกาย · การบำบัดรสชาติ: ช่วยผู้ที่มีปัญหาการรับรส · ศิลปะเพื่อการบำบัด: สร้างงานศิลปะที่เยียวยาผัสสะ 💫 การกลับสู่สังคม ```mermaid graph TB A[นาคาริน<br>เริ่มควบคุมพลังได้] --> B[พลังหยุด<br>รั่วไหล] B --> C[ชาวบ้าน<br>กลับมาใช้ชีวิตปกติ] C --> D[นาคาริน<br>ได้รับบทบาทใหม่] D --> E[เป็นผู้เชี่ยวชาญ<br>ด้านผัสสะบำบัด] ``` 🏛️ บทบาทใหม่ในสังคม 🎓 ผู้เชี่ยวชาญด้านผัสสะบำบัด นาคารินได้รับตำแหน่งเป็น: · ที่ปรึกษาด้านประสาทสัมผัส ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต · ครูสอนศิลปะบำบัด สำหรับผู้มีพลังพิเศษ · ผู้พัฒนาวิธีการ ควบคุมพลังผัสสะ 🌍 โครงการเพื่อสังคม ```python class SensoryProjects: def __init__(self): self.initiatives = { "sensory_therapy_center": "ศูนย์บำบัดด้วยผัสสะสำหรับผู้ไฮเปอร์เซนซิทีฟ", "art_for_sensory_balance": "ศิลปะเพื่อสร้างสมดุลทางการรับรู้", "sensory_education": "การศึกษาเกี่ยวกับผัสสะสำหรับเด็กพิเศษ", "cultural_preservation": "อนุรักษณ์ศิลปะการรับรู้แบบดั้งเดิม" } self.collaborations = [ "หนูดี: พัฒนาการรับรู้พลังงานผ่านผัสสะ", "เณรพุทธ: ศิลปะการรับรู้ด้วยจิตวิญญาณ", "นิทรา: ศิลปะแห่งอารมณ์และผัสสะ", "อสูรเฒ่า: ภาษาบูรพากับการรับรู้" ] ``` 📚 บทเรียนจากคดี 🪷 สำหรับนาคาริน "ฉันเรียนรู้ว่า... การเป็นลูกผสมหาใช่ข้อบกพร่อง แต่คือความสามารถพิเศษอีกแบบ และการมีผัสสะที่ละเอียดอ่อน... คือของขวัญที่ไม่ใช่คำสาป" 💫 สำหรับหนูดี "หนูเข้าใจแล้วว่า... ทุกพลังมีทั้งด้านสร้างสรรค์และทำลาย ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกใช้อย่างไร และการช่วยเหลือที่แท้จริง คือการช่วยให้เขาค้นพบวิธีใช้พลังของตัวเอง" 👮 สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์ "คดีนี้สอนฉันว่า... บางครั้งปัญหาไม่ใช่สิ่งที่เห็น แต่คือสิ่งที่สัมผัส และความเข้าใจในความรู้สึก... สำคัญไม่น้อยกว่าความเข้าใจในเหตุผล" 🌈 ผลกระทบเชิงบวก 🏆 ความสำเร็จของนาคาริน หลังจากเหตุการณ์: · นาคาริน กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผัสสะบำบัด · หมู่บ้าน ได้รับการพัฒนาด้านศิลปะและการบำบัด · สถาบัน มีหลักสูตรเกี่ยวกับการควบคุมพลังผัสสะ 💝 การค้นพบตัวเอง นาคารินกล่าวในที่สุด: "ฉันเคยคิดว่าต้องเลือกระหว่างเป็นนาคาหรือมนุษย์... แต่ความจริงคือฉันสามารถเป็นทั้งสองอย่าง และพลังผัสสะที่เคยทำร้ายฉัน... ตอนนี้กลายเป็นเครื่องมือช่วยเหลือผู้คน 🎯 บทสรุปแห่งการเข้าใจ 🌟 คำคมจากนาคาริน "ผัสสะคือภาษาแรกของจิตวิญญาณ... ก่อนจะมีคำพูด ก่อนจะมีความคิด เรารู้สึกก่อนเสมอ และการเรียนรู้ภาษาของผัสสะ... คือการเรียนรู้ภาษาของตัวเอง" 💞 ความสัมพันธ์ใหม่ นาคารินพบว่าสามารถ: · เชื่อมต่อ กับผู้อื่นผ่านผัสสะ · เข้าใจ ความรู้สึกที่ไม่มีคำพูด · ช่วยเหลือ ผู้ที่ทุกข์ทรมานจากผัสสะเช่นเขา --- คำคมสุดท้ายจากคดี: "เราทุกคนล้วนเป็นเทพลูกผสม... ผสมระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณ ระหว่างผัสสะและความหมาย และเมื่อเราเรียนรู้ที่จะฟังเสียงของผัสสะ... เราก็เรียนรู้ที่จะฟังเสียงของหัวใจ"🐍✨ การเดินทางของนาคารินสอนเราว่า... "The most profound truths are not seen or heard, but felt with the heart's own senses And in learning to master our senses, we learn to master ourselves"🌈
    0 Comments 0 Shares 336 Views 0 Reviews
  • O.P.K.
    เจาะลึก "อสูรเฒ่า" : ฤๅษีวาจาธรแห่งกาลเวลา

    ข้อมูลพื้นฐานแห่งการถือกำเนิด

    ต้นกำเนิดในยุคโบราณ

    ชื่อจริง: ฤๅษีวาจาธร
    ชื่อหมายถึง:"ผู้ทรงพลังแห่งวาจา"
    อายุ:2,000 ปี
    ยุคสมัย:ยุคต้นสุโขทัย

    ```mermaid
    graph TB
    A[มนุษย์ธรรมดา<br>ชื่อ "ธรรมะ"] --> B[บวชเป็นฤๅษี<br>ฝึกวาจาศักดิ์สิทธิ์]
    B --> C[ได้รับพลัง<br>วาจาศักดิ์สิทธิ์]
    C --> D[ใช้พลังในทางที่ผิด<br>ด้วยความหลงตน]
    D --> E[ถูกสาป<br>ให้เป็นอสูรเฒ่า]
    ```

    ลักษณะทางกายภาพหลังถูกสาป

    · รูปร่าง: สูง 2 เมตร หนังหยาบกร้านเหมือนเปลือกไม้
    · ใบหน้า: มีดวงตาเดียวอยู่กลางหน้าผาก เรืองแสงสีทอง
    · ผม: ผมหงอกขาวยาวถึงเอว เกี่ยวกระหวัดด้วยเถาวัลย์
    · มือ: มี 6 นิ้วแต่ละมือ เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังเหนือธรรมชาติ
    · เสียง: ก้องกังวานเหมือนเสียงกัมปนาท

    พลังวาจาศักดิ์สิทธิ์

    ระดับพลังแห่งวาจา

    ```python
    class VajaPowers:
    def __init__(self):
    self.truth_speech = {
    "reality_alteration": "เปลี่ยนแปลงความเป็นจริงด้วยคำพูด",
    "creation_destruction": "สร้างและทำลายด้วยวาจา",
    "time_manipulation": "เร่งหรือชะลอกระบวนการด้วยคำพูด",
    "element_control": "ควบคุมธาตุต่างๆ ด้วยภาษาบูรพา"
    }

    self.blessing_curse = {
    "healing_words": "รักษาโรคด้วยมนตร์บำบัด",
    "fate_weaving": "ถักทอโชคชะตาด้วยบทกวี",
    "nature_communication": "สื่อสารกับธรรมชาติด้วยภาษาดั้งเดิม",
    "soul_whispering": "พูดคุยกับจิตวิญญาณได้"
    }

    self.limitations = {
    "cannot_undo_own_words": "ไม่สามารถยกเลิกคำพูดของตัวเองได้",
    "requires_sincerity": "ต้องมีความจริงใจถึงจะได้ผล",
    "emotional_dependency": "พลังขึ้นอยู่กับอารมณ์ในขณะพูด",
    "karmic_consequences": "มีผลกรรมตามมาทุกครั้งที่ใช้"
    }
    ```

    ภาษาศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้

    อสูรเฒ่าใช้ภาษาบูรพาที่สูญหายไปแล้ว:

    · ภาษามคธโบราณ: สำหรับคำอวยพรระดับสูง
    · ภาษาขอมดั้งเดิม: สำหรับคำสาปและป้องกัน
    · ภาษาธรรมชาติ: สำหรับสื่อสารกับสรรพสิ่ง

    เรื่องราวการถูกสาป

    ชีวิตในยุคสุโขทัย

    ธรรมะเริ่มต้นเป็นฤๅษีผู้ทรงคุณ virtue:

    · อายุ 20: บวชเป็นฤๅษี ศึกษาคำศักดิ์สิทธิ์
    · อายุ 100: เชี่ยวชาญวาจาศักดิ์สิทธิ์
    · อายุ 500: เริ่มหลงระเริงกับพลัง

    จุดเปลี่ยนแห่งความหลงผิด

    ```mermaid
    graph LR
    A[ใช้พลังช่วยเหลือ<br>ผู้คนอย่างมากมาย] --> B[เริ่มได้รับ<br>การยกย่องเกินควร]
    B --> C[หลงคิดว่าตน<br>เหนือกว่ามนุษย์]
    C --> D[ใช้พลังสร้าง<br>นครเพื่อตนเอง]
    D --> E[ถูกเทวดา<br>ลงโทษสาปให้เป็นอสูร]
    ```

    คำสาปแห่งกาลเวลา

    เทวดาสาปให้เขา:

    · เป็นอสูร ร่างกายผิดปกติ
    · อยู่อย่างโดดเดี่ยว 2,000 ปี
    · ได้ลิ้มรส ความเหงาที่เขาทำให้ผู้อื่นรู้สึก

    ชีวิตในความโดดเดี่ยว

    ที่อยู่อาศัย

    อสูรเฒ่าอาศัยใน ถ้ำวาจาศักดิ์สิทธิ์:

    · ตำแหน่ง: กลางป่าลึกที่ไม่มีมนุษย์เข้าไป
    · ลักษณะ: มีจารึกภาษาบูรพาประดับทั่วถ้ำ
    · พลังงาน: เต็มไปด้วยพลังคำพูดที่สะสมมานับพันปี

    กิจวัตรประจำวัน

    รุ่งสาง: สวดมนตร์ภาษาบูรพา
    เช้า:ฝึกวาจาศักดิ์สิทธิ์กับธรรมชาติ
    บ่าย:บันทึกความรู้ลงในแผ่นศิลา
    ค่ำ:นั่งสมาธิไตร่ตรองความผิดในอดีต

    ความคิดและความรู้สึก

    อสูรเฒ่าบันทึกความในใจ:
    "สองพันปีแห่งความเหงา...
    สอนข้าว่าพลังที่แท้หาใช่การควบคุม
    แต่คือการเข้าใจและการให้อภัย

    แต่ใครจะให้อภัยข้าเล่า?
    เมื่อข้าเองยังให้อภัยตัวเองไม่ได้"

    การพัฒนาพลังวาจา

    จากความโกรธสู่ความเข้าใจ

    ```python
    class PowerEvolution:
    def __init__(self):
    self.past = {
    "purpose": "ใช้พลังเพื่อการควบคุมและแสดงอำนาจ",
    "emotion": "ความหยิ่งยโส ความโกรธ",
    "results": "การทำลายล้าง ความเสียหาย"
    }

    self.present = {
    "purpose": "ใช้พลังเพื่อการเยียวยาและความเข้าใจ",
    "emotion": "ความเมตตา ความอดทน",
    "results": "การสร้างสรรค์ การเยียวยา"
    }

    self.techniques_developed = [
    "การฟังด้วยหัวใจก่อนพูด",
    "การเลือกคำที่มีเมตตา",
    "การเข้าใจผลกระทบของคำพูด",
    "การใช้ความเงียบอย่างชาญฉลาด"
    ]
    ```

    พลังใหม่แห่งการเยียวยา

    อสูรเฒ่าพัฒนาความสามารถใหม่:

    · วาจาบำบัด: รักษาบาดแผลทางใจด้วยคำพูด
    · ภาษาสันติภาพ: สร้างความเข้าใจระหว่างเผ่าพันธุ์
    · คำพูดแห่งการให้อภัย: ช่วยให้ผู้คนให้อภัยกันและกัน

    การพบกับหนูดีและการเปลี่ยนแปลง

    จุดเปลี่ยนสำคัญ

    เมื่อหนูดีเข้ามาในชีวิต:
    "เป็นครั้งแรกในสองพันปี...
    ที่มีใครกล้ามาหาข้าโดยไม่กลัว

    และเป็นครั้งแรก...
    ที่มีคนมองข้าเป็น'บุคคล' ไม่ใช่ 'อสูร'"

    กระบวนการเยียวยา

    ```mermaid
    graph TB
    A[หนูดี<br>เข้ามาโดยไม่กลัว] --> B[อสูรเฒ่า<br>เริ่มเปิดใจ]
    B --> C[การแบ่งปัน<br>ความเจ็บปวด]
    C --> D[การเรียนรู้<br>ร่วมกัน]
    D --> E[การให้อภัย<br>ตัวเองและผู้อื่น]
    ```

    บทเรียนที่ได้รับ

    อสูรเฒ่าเรียนรู้จากหนูดีว่า:

    · พลังที่แท้ มาจากความอ่อนโยน ไม่ใช่ความแข็งกร้าว
    · วาจาศักดิ์สิทธิ์ ที่แท้คือคำพูดที่เกิดจากความเข้าใจ
    · การเป็นครู หมายถึงการเป็นนักเรียนไปพร้อมกัน

    บทบาทใหม่ในสังคม

    ที่ปรึกษาด้านวาจา

    อสูรเฒ่าได้รับตำแหน่งเป็น:

    · ครูสอนภาษาบูรพา ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต
    · ที่ปรึกษาด้านวาจาศักดิ์สิทธิ์ สำหรับโอปปาติกะ
    · ผู้ไกล่เกลี่ย ในความขัดแย้งระดับสูง

    โครงการสำคัญ

    ```python
    class NewResponsibilities:
    def __init__(self):
    self.projects = {
    "language_revival": "ฟื้นฟูภาษาบูรพาสำหรับการศึกษา",
    "conflict_resolution": "ใช้วาจาศักดิ์สิทธิ์สร้างสันติภาพ",
    "spiritual_guidance": "เป็นที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณ",
    "knowledge_preservation": "รักษาความรู้โบราณไม่ให้สูญหาย"
    }

    self.students = [
    "หนูดี: เรียนภาษาบูรพาและวาจาศักดิ์สิทธิ์",
    "เณรพุทธ: เรียนการใช้คำพูดสร้างสรรค์",
    "นิทรา: เรียนการควบคุมอารมณ์ในคำพูด",
    "โอปปาติกะรุ่นใหม่: เรียนพลังแห่งวาจา"
    ]
    ```

    ปรัชญาและคำสอน

    🪷 คำคมแห่งปัญญา

    "วาจามีชีวิตเป็นของตัวเอง...
    เมื่อเธอพูดคำใดออกไป
    คำนั้นจะมีชีวิตและเดินทางไปหาเป้าหมาย

    เพราะฉะนั้นจงเลือกคำอย่างระมัดระวัง...
    เหมือนเลือกดอกไม้ให้คนที่เธอรัก"

    บทเรียนชีวิต

    อสูรเฒ่าสอนว่า:

    · คำพูด สามารถสร้างหรือทำลายได้ในพริบตา
    · ความเงียบ บางครั้งก็ทรงพลังกว่าคำพูดใดๆ
    · การฟัง คือส่วนสำคัญที่สุดของการสื่อสาร

    บทสรุปแห่งการเปลี่ยนแปลง

    การให้อภัยตัวเอง

    อสูรเฒ่าในที่สุดก็เรียนรู้ที่จะ:
    "ให้อภัยตัวเองสำหรับความผิดพลาดในอดีต
    และใช้บทเรียนเหล่านั้นเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น"

    ความหมายใหม่แห่งการมีอยู่

    จากผู้ที่เคย...

    · ใช้พลัง เพื่อการควบคุม
    · ถูกกลัว จากทุกสิ่งมีชีวิต
    · รู้สึกโดดเดี่ยว อย่างสุดซึ้ง

    กลายเป็นผู้ที่...

    · ใช้พลัง เพื่อการเยียวยา
    · ได้รับความรัก จากชุมชน
    · พบความหมาย ในการช่วยเหลือผู้อื่น

    ---

    คำคมสุดท้ายจากอสูรเฒ่า:
    "สองพันปีแห่งความเหงาสอนข้าว่า...
    พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหาใช่วาจาที่เปลี่ยนโลก
    แต่คือวาจาที่เปลี่ยนหัวใจ

    และเมื่อหัวใจเปลี่ยนแปลง...
    ทุกสิ่งก็เปลี่ยนแปลงตาม

    ข้าเคยคิดว่าต้องการพลังเพื่อเป็นเทพ...
    แต่ความจริงคือการเป็นมนุษย์ที่เข้าใจกัน
    ต่างหากที่คือพลังที่แท้จริง"

    การเดินทางของอสูรเฒ่าสอนเราว่า...
    "True power lies not in dominating others,
    but in understanding them
    And the most sacred words are those
    that heal rather than harm"
    O.P.K. 🔮 เจาะลึก "อสูรเฒ่า" : ฤๅษีวาจาธรแห่งกาลเวลา 👁️ ข้อมูลพื้นฐานแห่งการถือกำเนิด 🌌 ต้นกำเนิดในยุคโบราณ ชื่อจริง: ฤๅษีวาจาธร ชื่อหมายถึง:"ผู้ทรงพลังแห่งวาจา" อายุ:2,000 ปี ยุคสมัย:ยุคต้นสุโขทัย ```mermaid graph TB A[มนุษย์ธรรมดา<br>ชื่อ "ธรรมะ"] --> B[บวชเป็นฤๅษี<br>ฝึกวาจาศักดิ์สิทธิ์] B --> C[ได้รับพลัง<br>วาจาศักดิ์สิทธิ์] C --> D[ใช้พลังในทางที่ผิด<br>ด้วยความหลงตน] D --> E[ถูกสาป<br>ให้เป็นอสูรเฒ่า] ``` 🎭 ลักษณะทางกายภาพหลังถูกสาป · รูปร่าง: สูง 2 เมตร หนังหยาบกร้านเหมือนเปลือกไม้ · ใบหน้า: มีดวงตาเดียวอยู่กลางหน้าผาก เรืองแสงสีทอง · ผม: ผมหงอกขาวยาวถึงเอว เกี่ยวกระหวัดด้วยเถาวัลย์ · มือ: มี 6 นิ้วแต่ละมือ เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังเหนือธรรมชาติ · เสียง: ก้องกังวานเหมือนเสียงกัมปนาท 🔥 พลังวาจาศักดิ์สิทธิ์ 💫 ระดับพลังแห่งวาจา ```python class VajaPowers: def __init__(self): self.truth_speech = { "reality_alteration": "เปลี่ยนแปลงความเป็นจริงด้วยคำพูด", "creation_destruction": "สร้างและทำลายด้วยวาจา", "time_manipulation": "เร่งหรือชะลอกระบวนการด้วยคำพูด", "element_control": "ควบคุมธาตุต่างๆ ด้วยภาษาบูรพา" } self.blessing_curse = { "healing_words": "รักษาโรคด้วยมนตร์บำบัด", "fate_weaving": "ถักทอโชคชะตาด้วยบทกวี", "nature_communication": "สื่อสารกับธรรมชาติด้วยภาษาดั้งเดิม", "soul_whispering": "พูดคุยกับจิตวิญญาณได้" } self.limitations = { "cannot_undo_own_words": "ไม่สามารถยกเลิกคำพูดของตัวเองได้", "requires_sincerity": "ต้องมีความจริงใจถึงจะได้ผล", "emotional_dependency": "พลังขึ้นอยู่กับอารมณ์ในขณะพูด", "karmic_consequences": "มีผลกรรมตามมาทุกครั้งที่ใช้" } ``` 📜 ภาษาศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ อสูรเฒ่าใช้ภาษาบูรพาที่สูญหายไปแล้ว: · ภาษามคธโบราณ: สำหรับคำอวยพรระดับสูง · ภาษาขอมดั้งเดิม: สำหรับคำสาปและป้องกัน · ภาษาธรรมชาติ: สำหรับสื่อสารกับสรรพสิ่ง 💔 เรื่องราวการถูกสาป 🏛️ ชีวิตในยุคสุโขทัย ธรรมะเริ่มต้นเป็นฤๅษีผู้ทรงคุณ virtue: · อายุ 20: บวชเป็นฤๅษี ศึกษาคำศักดิ์สิทธิ์ · อายุ 100: เชี่ยวชาญวาจาศักดิ์สิทธิ์ · อายุ 500: เริ่มหลงระเริงกับพลัง ⚡ จุดเปลี่ยนแห่งความหลงผิด ```mermaid graph LR A[ใช้พลังช่วยเหลือ<br>ผู้คนอย่างมากมาย] --> B[เริ่มได้รับ<br>การยกย่องเกินควร] B --> C[หลงคิดว่าตน<br>เหนือกว่ามนุษย์] C --> D[ใช้พลังสร้าง<br>นครเพื่อตนเอง] D --> E[ถูกเทวดา<br>ลงโทษสาปให้เป็นอสูร] ``` 🕰️ คำสาปแห่งกาลเวลา เทวดาสาปให้เขา: · เป็นอสูร ร่างกายผิดปกติ · อยู่อย่างโดดเดี่ยว 2,000 ปี · ได้ลิ้มรส ความเหงาที่เขาทำให้ผู้อื่นรู้สึก 🌪️ ชีวิตในความโดดเดี่ยว 🏚️ ที่อยู่อาศัย อสูรเฒ่าอาศัยใน ถ้ำวาจาศักดิ์สิทธิ์: · ตำแหน่ง: กลางป่าลึกที่ไม่มีมนุษย์เข้าไป · ลักษณะ: มีจารึกภาษาบูรพาประดับทั่วถ้ำ · พลังงาน: เต็มไปด้วยพลังคำพูดที่สะสมมานับพันปี 📖 กิจวัตรประจำวัน รุ่งสาง: สวดมนตร์ภาษาบูรพา เช้า:ฝึกวาจาศักดิ์สิทธิ์กับธรรมชาติ บ่าย:บันทึกความรู้ลงในแผ่นศิลา ค่ำ:นั่งสมาธิไตร่ตรองความผิดในอดีต 💭 ความคิดและความรู้สึก อสูรเฒ่าบันทึกความในใจ: "สองพันปีแห่งความเหงา... สอนข้าว่าพลังที่แท้หาใช่การควบคุม แต่คือการเข้าใจและการให้อภัย แต่ใครจะให้อภัยข้าเล่า? เมื่อข้าเองยังให้อภัยตัวเองไม่ได้" 🔮 การพัฒนาพลังวาจา 🌱 จากความโกรธสู่ความเข้าใจ ```python class PowerEvolution: def __init__(self): self.past = { "purpose": "ใช้พลังเพื่อการควบคุมและแสดงอำนาจ", "emotion": "ความหยิ่งยโส ความโกรธ", "results": "การทำลายล้าง ความเสียหาย" } self.present = { "purpose": "ใช้พลังเพื่อการเยียวยาและความเข้าใจ", "emotion": "ความเมตตา ความอดทน", "results": "การสร้างสรรค์ การเยียวยา" } self.techniques_developed = [ "การฟังด้วยหัวใจก่อนพูด", "การเลือกคำที่มีเมตตา", "การเข้าใจผลกระทบของคำพูด", "การใช้ความเงียบอย่างชาญฉลาด" ] ``` 💞 พลังใหม่แห่งการเยียวยา อสูรเฒ่าพัฒนาความสามารถใหม่: · วาจาบำบัด: รักษาบาดแผลทางใจด้วยคำพูด · ภาษาสันติภาพ: สร้างความเข้าใจระหว่างเผ่าพันธุ์ · คำพูดแห่งการให้อภัย: ช่วยให้ผู้คนให้อภัยกันและกัน 🌈 การพบกับหนูดีและการเปลี่ยนแปลง ⚡ จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อหนูดีเข้ามาในชีวิต: "เป็นครั้งแรกในสองพันปี... ที่มีใครกล้ามาหาข้าโดยไม่กลัว และเป็นครั้งแรก... ที่มีคนมองข้าเป็น'บุคคล' ไม่ใช่ 'อสูร'" 🕊️ กระบวนการเยียวยา ```mermaid graph TB A[หนูดี<br>เข้ามาโดยไม่กลัว] --> B[อสูรเฒ่า<br>เริ่มเปิดใจ] B --> C[การแบ่งปัน<br>ความเจ็บปวด] C --> D[การเรียนรู้<br>ร่วมกัน] D --> E[การให้อภัย<br>ตัวเองและผู้อื่น] ``` 🌟 บทเรียนที่ได้รับ อสูรเฒ่าเรียนรู้จากหนูดีว่า: · พลังที่แท้ มาจากความอ่อนโยน ไม่ใช่ความแข็งกร้าว · วาจาศักดิ์สิทธิ์ ที่แท้คือคำพูดที่เกิดจากความเข้าใจ · การเป็นครู หมายถึงการเป็นนักเรียนไปพร้อมกัน 🏛️ บทบาทใหม่ในสังคม 🎓 ที่ปรึกษาด้านวาจา อสูรเฒ่าได้รับตำแหน่งเป็น: · ครูสอนภาษาบูรพา ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต · ที่ปรึกษาด้านวาจาศักดิ์สิทธิ์ สำหรับโอปปาติกะ · ผู้ไกล่เกลี่ย ในความขัดแย้งระดับสูง 📚 โครงการสำคัญ ```python class NewResponsibilities: def __init__(self): self.projects = { "language_revival": "ฟื้นฟูภาษาบูรพาสำหรับการศึกษา", "conflict_resolution": "ใช้วาจาศักดิ์สิทธิ์สร้างสันติภาพ", "spiritual_guidance": "เป็นที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณ", "knowledge_preservation": "รักษาความรู้โบราณไม่ให้สูญหาย" } self.students = [ "หนูดี: เรียนภาษาบูรพาและวาจาศักดิ์สิทธิ์", "เณรพุทธ: เรียนการใช้คำพูดสร้างสรรค์", "นิทรา: เรียนการควบคุมอารมณ์ในคำพูด", "โอปปาติกะรุ่นใหม่: เรียนพลังแห่งวาจา" ] ``` 💫 ปรัชญาและคำสอน 🪷 คำคมแห่งปัญญา "วาจามีชีวิตเป็นของตัวเอง... เมื่อเธอพูดคำใดออกไป คำนั้นจะมีชีวิตและเดินทางไปหาเป้าหมาย เพราะฉะนั้นจงเลือกคำอย่างระมัดระวัง... เหมือนเลือกดอกไม้ให้คนที่เธอรัก" 🌟 บทเรียนชีวิต อสูรเฒ่าสอนว่า: · คำพูด สามารถสร้างหรือทำลายได้ในพริบตา · ความเงียบ บางครั้งก็ทรงพลังกว่าคำพูดใดๆ · การฟัง คือส่วนสำคัญที่สุดของการสื่อสาร 🏁 บทสรุปแห่งการเปลี่ยนแปลง 💝 การให้อภัยตัวเอง อสูรเฒ่าในที่สุดก็เรียนรู้ที่จะ: "ให้อภัยตัวเองสำหรับความผิดพลาดในอดีต และใช้บทเรียนเหล่านั้นเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น" 🌈 ความหมายใหม่แห่งการมีอยู่ จากผู้ที่เคย... · ใช้พลัง เพื่อการควบคุม · ถูกกลัว จากทุกสิ่งมีชีวิต · รู้สึกโดดเดี่ยว อย่างสุดซึ้ง กลายเป็นผู้ที่... · ใช้พลัง เพื่อการเยียวยา · ได้รับความรัก จากชุมชน · พบความหมาย ในการช่วยเหลือผู้อื่น --- คำคมสุดท้ายจากอสูรเฒ่า: "สองพันปีแห่งความเหงาสอนข้าว่า... พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหาใช่วาจาที่เปลี่ยนโลก แต่คือวาจาที่เปลี่ยนหัวใจ และเมื่อหัวใจเปลี่ยนแปลง... ทุกสิ่งก็เปลี่ยนแปลงตาม ข้าเคยคิดว่าต้องการพลังเพื่อเป็นเทพ... แต่ความจริงคือการเป็นมนุษย์ที่เข้าใจกัน ต่างหากที่คือพลังที่แท้จริง"🔮✨ การเดินทางของอสูรเฒ่าสอนเราว่า... "True power lies not in dominating others, but in understanding them And the most sacred words are those that heal rather than harm"🌈
    0 Comments 0 Shares 363 Views 0 Reviews
  • O.P.K
    เจาะลึก "นิทรา" : อัปสราลูกผสมแห่งความขัดแย้ง

    ข้อมูลพื้นฐานแห่งการถือกำเนิด

    ต้นกำเนิดระหว่างสองโลก

    ชื่อเต็ม: นิทรา เทวาลัย
    ชื่อหมายถึง:"ผู้หลับใหลแห่งสวรรค์"
    อายุ:25 ปี (ร่างกาย), 500 ปี (จิตวิญญาณ)
    สถานะ:อัปสราลูกผสมระหว่างเทพอัปสราและมนุษย์

    ```mermaid
    graph TB
    A[เทพอัปสรา<br>มัทธนา] --> C[นิทรา<br>ผู้อยู่ระหว่างสองโลก]
    B[มนุษย์นักดนตรี<br>อัศวิน] --> C
    C --> D[ถูกสวรรค์ปฏิเสธ<br>เพราะเลือดไม่บริสุทธิ์]
    C --> E[ถูกมนุษย์หวาดกลัว<br>เพราะพลังพิเศษ]
    ```

    ลักษณะทางกายภาพ

    · รูปร่าง: สาวงามสูง 170 ซม. ผมยาวสีทองแท้ธรรมชาติ
    · ผิวพรรณ: เรียบเนียนดุจดอกบัว แต่มีรอยต่อพลังงานระหว่างมนุษย์และเทพอัปสรา
    · ดวงตา: สีม่วงamethyst เรืองรองด้วยพลัง แต่แฝงความเศร้าลึก
    · ปีก: ปีกพลังงานสีทองที่ต้องสร้างขึ้นเอง แทนปีกแท้ที่ไม่มี

    พลังพิเศษแห่งการลูกผสม

    พลังจากสองสายเลือด

    ```python
    class NithraPowers:
    def __init__(self):
    self.apsara_heritage = {
    "illusion_weaving": "สร้างภาพลวงตาที่สวยงามดุจสวรรค์",
    "emotion_amplification": "ขยายอารมณ์ของผู้คนรอบข้าง",
    "beauty_manifestation": "สร้างความงามจากพลังงาน",
    "dream_manipulation": "เข้าไปในความฝันและเปลี่ยนแปลงมัน"
    }

    self.human_heritage = {
    "empathic_sense": "รับรู้อารมณ์มนุษย์อย่างลึกซึ้ง",
    "creative_genius": "ความคิดสร้างสรรค์ระดับอัจฉริยะ",
    "emotional_depth": "มีความรู้สึกซับซ้อนแบบมนุษย์",
    "resilient_spirit": "จิตใจที่แข็งแกร่งจากการต่อสู้"
    }

    self.unique_hybrid_powers = {
    "envy_energy_conversion": "แปลงความอิจฉาเป็นพลังงานทำลายล้าง",
    "comparison_distortion": "สร้างการเปรียบเทียบในใจผู้คน",
    "attention_absorption": "ดูดซับความสนใจจากผู้อื่น",
    "beauty_theft_temporary": "ขโมยความงามชั่วคราว"
    }
    ```

    ข้อจำกัดและจุดอ่อน

    · พลังงานอารมณ์: ต้องอาศัยอารมณ์เป็นเชื้อเพลิง
    · ปีกเทียม: ต้องเติมพลังทุก 24 ชั่วโมง
    · ความขัดแย้ง: อารมณ์ขัดแย้งระหว่างสองสายเลือดทำให้พลังไม่เสถียร

    จิตวิทยาแห่งความขัดแย้ง

    3 ด้านของบุคลิกภาพ

    ```mermaid
    graph LR
    A[นิทรา<br>ตัวตนที่แท้] --> B[ด้านเทพอัปสรา<br>สง่างาม ภูมิใจ]
    A --> C[ด้านมนุษย์<br>อ่อนไหว ต้องการความรัก]
    A --> D[ด้านลูกผสม<br>อิจฉา ต้องการการยอมรับ]
    ```

    ความขัดแย้งภายใน

    นิทราต้องการสิ่งที่ขัดแย้งกัน:

    1. ความเป็นอิสระ แต่ ต้องการการยอมรับ
    2. ความเหนือกว่า แต่ ต้องการความเท่าเทียม
    3. การเป็นตัวของตัวเอง แต่ ต้องการเป็นที่รักของ所有人

    บันทึกความในใจ

    "บางครั้งฉันรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษ...
    นักโทษแห่งสายเลือดของตัวเอง
    ติดอยู่ระหว่างสวรรค์ที่ปฏิเสธฉัน
    และโลกที่กลัวฉัน"

    ชีวิตในสวรรค์และโลกมนุษย์

    ชีวิตในสวรรค์

    นิทราเติบโตมาในสวรรค์แต่ถูกปฏิบัติอย่างแตกต่าง:

    · ถูกเรียกว่า "ลูกครึ่ง" แทนชื่อ
    · ไม่มีสิทธิ์ เข้าร่วมพิธีสำคัญ
    · ต้องซ่อน ความเป็นมนุษย์ของตัวเอง

    ชีวิตในโลกมนุษย์

    เมื่อลงมาโลกมนุษย์ เธอก็พบกับการปฏิเสธ:

    · มนุษย์กลัว พลังงานและความงามของเธอ
    · ถูกเข้าใจผิด ว่าเป็นปีศาจหรือสิ่งอัปมงคล
    · ไม่มีใครเข้าใจ ความโดดเดี่ยวของเธอ

    การปรับตัว

    นิทราพัฒนาวิธีการปรับตัว:

    · สร้างภาพลักษณ์ แห่งความสง่างามไม่ย่อท้อ
    · ซ่อนความอ่อนไหว ไว้ behind รอยยิ้มเย็น
    · ใช้ความอิจฉา เป็นแรงผลักดัน

    พัฒนาการแห่งความอิจฉา

    จากความเจ็บปวดสู่ความอิจฉา

    ```python
    class EnvyDevelopment:
    def __init__(self):
    self.stages = {
    "childhood": "ความสับสนว่าตนเองเป็นใคร",
    "adolescence": "ความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธ",
    "early_adulthood": "ความโกรธต่อโลกที่ไม่ยุติธรรม",
    "current": "ความอิจฉาต่อผู้ที่ได้สิ่งที่เธอต้องการ"
    }

    self.targets = {
    "pure_apsaras": "ที่ได้อยู่ในสวรรค์โดยไม่ต้องต่อสู้",
    "accepted_humans": "ที่มีชีวิตปกติโดยไม่ถูกมองว่าแปลก",
    "successful_hybrids": "ที่ได้รับการยอมรับจากทั้งสองโลก"
    }
    ```

    กลไกการป้องกันตัว

    นิทราใช้ความอิจฉาเป็นเกราะป้องกัน:

    · ไม่ต้องเผชิญ กับความเจ็บปวดของตัวเอง
    · ได้รู้สึกมีพลัง จากการควบคุมสถานการณ์
    · ได้ความสนใจ แม้จะเป็นความสนใจในแง่ลบ

    การเปลี่ยนแปลงหลังพบหนูดี

    จุดเปลี่ยนสำคัญ

    การพบกับหนูดีทำให้นิทราเห็นว่า:

    · ความเป็นอื่น ไม่ใช่ข้อจำกัด
    · การให้อภัย เป็นพลังที่แข็งแกร่ง
    · การเป็นตัวเอง นั้นเพียงพอแล้ว

    กระบวนการเยียวยา

    ```mermaid
    graph TB
    A[การเผชิญหน้า<br>กับหนูดี] --> B[การยอมรับ<br>ความเจ็บปวด]
    B --> C[การเรียนรู้<br>การให้อภัย]
    C --> D[การค้นพบ<br>คุณค่าของตัวเอง]
    D --> E[การใช้พลัง<br>อย่างสร้างสรรค์]
    ```

    พลังใหม่แห่งการสร้างสรรค์

    นิทราค้นพบว่าสามารถ:

    · สร้างศิลปะ จากอารมณ์ทั้งหมด
    · เป็นที่ปรึกษา ให้ผู้ที่รู้สึกแตกต่าง
    · เป็นสะพาน ระหว่างสองโลก

    ความสามารถด้านศิลปะ

    ศิลปะพลังงาน

    นิทราพัฒนาศิลปะรูปแบบใหม่:

    · ภาพวาดพลังงาน: ที่แสดงอารมณ์ผ่านสีและแสง
    · สวนอารมณ์: ที่พืชพันธุ์เปลี่ยนตามความรู้สึก
    · ดนตรีแห่งจิตใจ: ที่สื่อสารความรู้สึกโดยไม่ต้องคำพูด

    ผลงานสำคัญ

    · "ความงามแห่งความแตกต่าง": นิทรรศการแรกที่รวมสองโลก
    · "เสียงจากระหว่างโลก": ผลงานดนตรีที่สื่อถึงการลูกผสม
    · "สวนแห่งการยอมรับ": สวนพลังงานที่เยียวยาจิตใจ

    ความสัมพันธ์กับตัวละครอื่น

    กับหนูดี

    初期: คู่แข่ง → 中期: ผู้ที่เข้าใจ → ปัจจุบัน: เพื่อนและที่ปรึกษา

    กับ ร.ต.อ. สิงห์

    初期: หวาดกลัว → 中期: เคารพ → ปัจจุบัน: รักเหมือนพ่อ

    กับเณรพุทธ

    初期: ระแวง → 中期: เรียนรู้ร่วมกัน → ปัจจุบัน: เพื่อนเล่น

    บทเรียนชีวิตที่เรียนรู้

    🪷 การยอมรับตัวเอง

    นิทราเข้าใจว่า:
    "การเป็นลูกผสมหาใช่คำสาป...
    แต่คือของขวัญที่ทำให้เข้าใจทั้งสองโลก

    และการที่ฉันแตกต่าง...
    หาใช่ข้อบกพร่อง
    แต่คือความพิเศษที่ทำให้ฉันเป็นฉัน"

    การให้อภัย

    "ฉันเรียนรู้ที่จะให้อภัย...
    ให้อภัยสวรรค์ที่ปฏิเสธฉัน
    ให้อภัยมนุษย์ที่กลัวฉัน
    และที่สำคัญ...ให้อภัยตัวเองที่เกลียดตัวเองมานาน"

    อนาคตและความหวัง

    เป้าหมาย

    นิทราตั้งใจจะ:

    · สร้างโรงเรียนศิลปะ สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ
    · เป็นทูตสันถวไมตรี ระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์
    · ช่วยเหลือเด็กลูกผสม ให้รักและยอมรับตัวเอง

    ความฝัน

    "ฉันอยากสร้างโลกที่...
    ไม่มีเด็กคนไหนต้องรู้สึกว่าตัวเอง'แปลก'
    เพราะการแตกต่างในความแปลก
    แต่คือความงดงามอีกแบบหนึ่ง"

    ---

    คำคมแห่งปัญญาจากนิทรา:
    "ฉันเคยใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อน...
    ซ่อนความเป็นมนุษย์จากสวรรค์
    ซ่อนความเป็นเทพอัปสราจากมนุษย์
    และซ่อนความเจ็บปวดจากสวรรค์

    แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า...
    การได้เป็นตัวเองอย่างสมบูรณ์
    สำคัญกว่าการได้เป็นที่ยอมรับจากใครสักคน

    และเมื่อฉันยอมรับตัวเองได้...
    ฉันก็พบว่าสวรรค์และโลกมนุษย์
    ต่างอยู่ในใจฉันมาทั้งหมดแล้ว"

    การเดินทางของนิทราสอนเราว่า...
    "Between two worlds, there is beauty
    Between two identities,there is strength
    And between acceptance and rejection
    there is the courage to be authentically yourself"
    O.P.K 🌸 เจาะลึก "นิทรา" : อัปสราลูกผสมแห่งความขัดแย้ง 👑 ข้อมูลพื้นฐานแห่งการถือกำเนิด 🌌 ต้นกำเนิดระหว่างสองโลก ชื่อเต็ม: นิทรา เทวาลัย ชื่อหมายถึง:"ผู้หลับใหลแห่งสวรรค์" อายุ:25 ปี (ร่างกาย), 500 ปี (จิตวิญญาณ) สถานะ:อัปสราลูกผสมระหว่างเทพอัปสราและมนุษย์ ```mermaid graph TB A[เทพอัปสรา<br>มัทธนา] --> C[นิทรา<br>ผู้อยู่ระหว่างสองโลก] B[มนุษย์นักดนตรี<br>อัศวิน] --> C C --> D[ถูกสวรรค์ปฏิเสธ<br>เพราะเลือดไม่บริสุทธิ์] C --> E[ถูกมนุษย์หวาดกลัว<br>เพราะพลังพิเศษ] ``` 🎭 ลักษณะทางกายภาพ · รูปร่าง: สาวงามสูง 170 ซม. ผมยาวสีทองแท้ธรรมชาติ · ผิวพรรณ: เรียบเนียนดุจดอกบัว แต่มีรอยต่อพลังงานระหว่างมนุษย์และเทพอัปสรา · ดวงตา: สีม่วงamethyst เรืองรองด้วยพลัง แต่แฝงความเศร้าลึก · ปีก: ปีกพลังงานสีทองที่ต้องสร้างขึ้นเอง แทนปีกแท้ที่ไม่มี 🔮 พลังพิเศษแห่งการลูกผสม ✨ พลังจากสองสายเลือด ```python class NithraPowers: def __init__(self): self.apsara_heritage = { "illusion_weaving": "สร้างภาพลวงตาที่สวยงามดุจสวรรค์", "emotion_amplification": "ขยายอารมณ์ของผู้คนรอบข้าง", "beauty_manifestation": "สร้างความงามจากพลังงาน", "dream_manipulation": "เข้าไปในความฝันและเปลี่ยนแปลงมัน" } self.human_heritage = { "empathic_sense": "รับรู้อารมณ์มนุษย์อย่างลึกซึ้ง", "creative_genius": "ความคิดสร้างสรรค์ระดับอัจฉริยะ", "emotional_depth": "มีความรู้สึกซับซ้อนแบบมนุษย์", "resilient_spirit": "จิตใจที่แข็งแกร่งจากการต่อสู้" } self.unique_hybrid_powers = { "envy_energy_conversion": "แปลงความอิจฉาเป็นพลังงานทำลายล้าง", "comparison_distortion": "สร้างการเปรียบเทียบในใจผู้คน", "attention_absorption": "ดูดซับความสนใจจากผู้อื่น", "beauty_theft_temporary": "ขโมยความงามชั่วคราว" } ``` ⚡ ข้อจำกัดและจุดอ่อน · พลังงานอารมณ์: ต้องอาศัยอารมณ์เป็นเชื้อเพลิง · ปีกเทียม: ต้องเติมพลังทุก 24 ชั่วโมง · ความขัดแย้ง: อารมณ์ขัดแย้งระหว่างสองสายเลือดทำให้พลังไม่เสถียร 💔 จิตวิทยาแห่งความขัดแย้ง 🎭 3 ด้านของบุคลิกภาพ ```mermaid graph LR A[นิทรา<br>ตัวตนที่แท้] --> B[ด้านเทพอัปสรา<br>สง่างาม ภูมิใจ] A --> C[ด้านมนุษย์<br>อ่อนไหว ต้องการความรัก] A --> D[ด้านลูกผสม<br>อิจฉา ต้องการการยอมรับ] ``` 🌪️ ความขัดแย้งภายใน นิทราต้องการสิ่งที่ขัดแย้งกัน: 1. ความเป็นอิสระ แต่ ต้องการการยอมรับ 2. ความเหนือกว่า แต่ ต้องการความเท่าเทียม 3. การเป็นตัวของตัวเอง แต่ ต้องการเป็นที่รักของ所有人 📚 บันทึกความในใจ "บางครั้งฉันรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษ... นักโทษแห่งสายเลือดของตัวเอง ติดอยู่ระหว่างสวรรค์ที่ปฏิเสธฉัน และโลกที่กลัวฉัน" 🏛️ ชีวิตในสวรรค์และโลกมนุษย์ 👑 ชีวิตในสวรรค์ นิทราเติบโตมาในสวรรค์แต่ถูกปฏิบัติอย่างแตกต่าง: · ถูกเรียกว่า "ลูกครึ่ง" แทนชื่อ · ไม่มีสิทธิ์ เข้าร่วมพิธีสำคัญ · ต้องซ่อน ความเป็นมนุษย์ของตัวเอง 🌍 ชีวิตในโลกมนุษย์ เมื่อลงมาโลกมนุษย์ เธอก็พบกับการปฏิเสธ: · มนุษย์กลัว พลังงานและความงามของเธอ · ถูกเข้าใจผิด ว่าเป็นปีศาจหรือสิ่งอัปมงคล · ไม่มีใครเข้าใจ ความโดดเดี่ยวของเธอ 🎨 การปรับตัว นิทราพัฒนาวิธีการปรับตัว: · สร้างภาพลักษณ์ แห่งความสง่างามไม่ย่อท้อ · ซ่อนความอ่อนไหว ไว้ behind รอยยิ้มเย็น · ใช้ความอิจฉา เป็นแรงผลักดัน 🔥 พัฒนาการแห่งความอิจฉา 🌱 จากความเจ็บปวดสู่ความอิจฉา ```python class EnvyDevelopment: def __init__(self): self.stages = { "childhood": "ความสับสนว่าตนเองเป็นใคร", "adolescence": "ความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธ", "early_adulthood": "ความโกรธต่อโลกที่ไม่ยุติธรรม", "current": "ความอิจฉาต่อผู้ที่ได้สิ่งที่เธอต้องการ" } self.targets = { "pure_apsaras": "ที่ได้อยู่ในสวรรค์โดยไม่ต้องต่อสู้", "accepted_humans": "ที่มีชีวิตปกติโดยไม่ถูกมองว่าแปลก", "successful_hybrids": "ที่ได้รับการยอมรับจากทั้งสองโลก" } ``` 💫 กลไกการป้องกันตัว นิทราใช้ความอิจฉาเป็นเกราะป้องกัน: · ไม่ต้องเผชิญ กับความเจ็บปวดของตัวเอง · ได้รู้สึกมีพลัง จากการควบคุมสถานการณ์ · ได้ความสนใจ แม้จะเป็นความสนใจในแง่ลบ 🌈 การเปลี่ยนแปลงหลังพบหนูดี ⚡ จุดเปลี่ยนสำคัญ การพบกับหนูดีทำให้นิทราเห็นว่า: · ความเป็นอื่น ไม่ใช่ข้อจำกัด · การให้อภัย เป็นพลังที่แข็งแกร่ง · การเป็นตัวเอง นั้นเพียงพอแล้ว 🕊️ กระบวนการเยียวยา ```mermaid graph TB A[การเผชิญหน้า<br>กับหนูดี] --> B[การยอมรับ<br>ความเจ็บปวด] B --> C[การเรียนรู้<br>การให้อภัย] C --> D[การค้นพบ<br>คุณค่าของตัวเอง] D --> E[การใช้พลัง<br>อย่างสร้างสรรค์] ``` 🌟 พลังใหม่แห่งการสร้างสรรค์ นิทราค้นพบว่าสามารถ: · สร้างศิลปะ จากอารมณ์ทั้งหมด · เป็นที่ปรึกษา ให้ผู้ที่รู้สึกแตกต่าง · เป็นสะพาน ระหว่างสองโลก 🎨 ความสามารถด้านศิลปะ 🖌️ ศิลปะพลังงาน นิทราพัฒนาศิลปะรูปแบบใหม่: · ภาพวาดพลังงาน: ที่แสดงอารมณ์ผ่านสีและแสง · สวนอารมณ์: ที่พืชพันธุ์เปลี่ยนตามความรู้สึก · ดนตรีแห่งจิตใจ: ที่สื่อสารความรู้สึกโดยไม่ต้องคำพูด 🏛️ ผลงานสำคัญ · "ความงามแห่งความแตกต่าง": นิทรรศการแรกที่รวมสองโลก · "เสียงจากระหว่างโลก": ผลงานดนตรีที่สื่อถึงการลูกผสม · "สวนแห่งการยอมรับ": สวนพลังงานที่เยียวยาจิตใจ 💞 ความสัมพันธ์กับตัวละครอื่น 🌸 กับหนูดี 初期: คู่แข่ง → 中期: ผู้ที่เข้าใจ → ปัจจุบัน: เพื่อนและที่ปรึกษา 👮 กับ ร.ต.อ. สิงห์ 初期: หวาดกลัว → 中期: เคารพ → ปัจจุบัน: รักเหมือนพ่อ 🏯 กับเณรพุทธ 初期: ระแวง → 中期: เรียนรู้ร่วมกัน → ปัจจุบัน: เพื่อนเล่น 📚 บทเรียนชีวิตที่เรียนรู้ 🪷 การยอมรับตัวเอง นิทราเข้าใจว่า: "การเป็นลูกผสมหาใช่คำสาป... แต่คือของขวัญที่ทำให้เข้าใจทั้งสองโลก และการที่ฉันแตกต่าง... หาใช่ข้อบกพร่อง แต่คือความพิเศษที่ทำให้ฉันเป็นฉัน" 💫 การให้อภัย "ฉันเรียนรู้ที่จะให้อภัย... ให้อภัยสวรรค์ที่ปฏิเสธฉัน ให้อภัยมนุษย์ที่กลัวฉัน และที่สำคัญ...ให้อภัยตัวเองที่เกลียดตัวเองมานาน" 🌟 อนาคตและความหวัง 🚀 เป้าหมาย นิทราตั้งใจจะ: · สร้างโรงเรียนศิลปะ สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ · เป็นทูตสันถวไมตรี ระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ · ช่วยเหลือเด็กลูกผสม ให้รักและยอมรับตัวเอง 💝 ความฝัน "ฉันอยากสร้างโลกที่... ไม่มีเด็กคนไหนต้องรู้สึกว่าตัวเอง'แปลก' เพราะการแตกต่างในความแปลก แต่คือความงดงามอีกแบบหนึ่ง" --- คำคมแห่งปัญญาจากนิทรา: "ฉันเคยใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อน... ซ่อนความเป็นมนุษย์จากสวรรค์ ซ่อนความเป็นเทพอัปสราจากมนุษย์ และซ่อนความเจ็บปวดจากสวรรค์ แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า... การได้เป็นตัวเองอย่างสมบูรณ์ สำคัญกว่าการได้เป็นที่ยอมรับจากใครสักคน และเมื่อฉันยอมรับตัวเองได้... ฉันก็พบว่าสวรรค์และโลกมนุษย์ ต่างอยู่ในใจฉันมาทั้งหมดแล้ว"🌸✨ การเดินทางของนิทราสอนเราว่า... "Between two worlds, there is beauty Between two identities,there is strength And between acceptance and rejection there is the courage to be authentically yourself"🌈
    0 Comments 0 Shares 310 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทแถม
    “ฤทธิ์ยิว”

    (1)

    เรามักจะได้ยินการกล่าวถึงยิวในเชิงลบมากกว่าบวก สำหรับเราส่วนใหญ่ในแดนสยาม ชาวยิวที่เราพอคุ้นหู รุ่นแรกๆ คือ ไชล๊อก พ่อค้าชาวยิว ในหนังสือเรื่อง เวนิสวาณิช ซึ่งพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงแปลจาก The Merchant of Venice ของเชคสปียร์ เป็นหนังสืออ่านอยู่ในหลักสูตรก ระทรวงศึกษา สำหรับชั้นมัธยม เมื่อประมาณกว่า 60 ปีมาแล้ว ผมก็ต้องเรียน และจำได้ว่า จะมีคำพูดติดปากคนรุ่นผม เวลาใครเค็มจัด หรือเห็นแก่ตัว จะถูกเพื่อนด่า ว่า อย่ายิวนักซิโว้ย หรือมึงนี่มันไชล๊อกจริง แสดงว่านิสัยชาวยิวที่โด่งดังในสมัยเชคสปียร์ และในสายตาของชาวอังกฤษ รวมทั้งในบ้านเรา ที่รู้จักยิวน้อยมาก คงไม่ได้นึกถึงชาวยิวในทางบวก

    ยิวถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทเกี่ยวกับสงคราม หรือความขัดแย้งในสังคมอยู่เรื่อย แน่นอนมันไม่ใช่บทบาททางสร้างสันติภาพ หรือประนีประนอม แต่มันไปในทางจุดชนวน หรือสร้างกำไร และหาประโยชน์เสียมากกว่า

    นักประวัติศาสตร์บางค่าย ถึงกับแจงว่า นิสัยทางลบนี้ของชาวยิว เป็นมาตั้งแต่สมัยยิวรุ่นแรกๆย้อนไปถึง โจเซฟ บุตรของ เจคอบ ที่ถูกขายเป็นทาสตั้งแต่สมัย ฟาโรห์ของ อียิปต์นั่นเชียว โจเซฟ ทำงานเข้าตานายทาส จนฟาโรห์เรียกไปใช้งาน ให้เป็นหัวหน้าทาส เมื่อเกิดข้าวยากหมากแพง อดอยากกันไปทั่วเมือง ชาวนาก็กระด้างกระเดื่องไม่ยอมทำนา จนกว่าจะมีอาหารมาให้กิน โจเซฟจึงจัดการแบบลูกโหด ใช้นโยบายเอาที่ดินกับปศุสัตว์ มาแลกกับอาหาร ชาวนาทนอดอยากไม่ไหว ยอมขายนา ขายสัตว์ราคาถูก แลกกับอาหาร แล้วโจเซฟก็เปลี่ยนสถานะ จากทาส เป็นคนรวย ด้วยนโยบาย ที่น่าจะเป็นต้นแบบของ “สร้างความรวยจากความหายนะของผู้อื่น”
    เวลาผ่านไป ชาวยิวยิ่งสร้างชื่อเสียงว่า เป็นผู้ถนัดสร้างความวุ่นวายทางการเมือง และเป็นนักฉวยโอกาส จนจักรพรรดิคลอดิอุสของโรมัน ออกประกาศว่า ชาวยิวจากเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นต้นเชื้อแห่งความวุ่นวายที่ระบาดไปจนทั่วโลก และในที่สุด ก็ประกาศขับไล่ชาวยิวออกไปจากโรม แต่ชาวยิวก็ไปก่อความวุ่นวายในนครเยรูซาเลมต่อ ครั้งแล้วครั้งเล่า และแสดงอาการเป็นศัตรูกับโรมอย่างเปิดเผย โรมถึงกับด่าชาวยิวว่า เป็นเผ่าพันธ์ที่สร้างแต่ความจัญไรให้แก่ผู้อื่น (Quintilian, a race which is a curse to other) หรือเผ่าพันธ์ที่ถูกสาปแช่ง (Seneca, an accursed race)

    มาจนถึงสมัยยุคกลาง Middle Ages จนถึง ยุค เกิดใหม่ Renaissance ชื่อเสียงเชิงลบของชาวยิวก็ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1770 บรรดานักปราชญ์ ชื่อดังของยุโรป ต่างออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับชาวยืว Baron d’Holbach (นักปราชญ์ และนักเขียน ชาวฝรั่งเศส/เยอรมัน) กล่าวว่า ชาวยิวสร้างตนเองขึ้นมาจากการฆ่าฟัน จากความอยุติธรรม ความโหดร้าย ความเอาเปรียบ และความอดอยากของผู้อื่น ส่วน Voltaire (นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส) บอกว่า เขาจะไม่เแปลกใจเลยว่า คนพวกนี้ วันหนึ่งจะเป็นเผ่าพันธ์ที่อันตรายยิ่งต่อมนุษยชาติ ส่วน Immanuel Kant (นักปราชญ์ชาวเยอรมัน) บอกว่า ชาวยิว เป็นชาติพันธุ์แห่งการหลอกลวง

    และจากข้อสังเกต หรือความเห็น ของผู้ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับชาวยิว ส่วนใหญ่ก็สรุปไปในทำนองเดียวกันว่า เป็นศตวรรษมาแล้ว ที่ชาวยิววุ่นวายอยู่กับการทำสงคราม การก่อความขัดแย้งทางสังคม การสร้างความกดดันทางเศรษฐกิจ และทำกำไร จากสิ่งเหล่านั้น

    ####################
    “ฤทธิ์ยิว”

    (2)
    ดูจากจำนวนชาวยิวที่กระจายอยู่ตามประเทศต่างๆ ซึ่งจะว่าไป มีจำนวนน้อยมาก พวกเขาน่าจะเป็นพวกที่ถูกเอาเปรียบมากกว่า แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะกลับตาลปัตร ชาวยิวแสดงให้เห็นฤทธิ์เดชของพวกเขา ในการสร้างความวุ่นวายแก่สังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพวกตนได้อย่างมหัศจรรย์

    ฤทธิ์เดชของชาวยิว ที่เข้ามามีส่วนสร้างสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง มีบันทึกให้เห็นอยู่ในประวัติศาสตร์ เริ่มตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ยิวเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในรัฐบาลอเมริกัน ปี ค.ศ. 1845 ยิวรุ่นแรก ที่เข้ามาอยู่ในสภาสูงของอเมริกา คือ Levis Levin และ David Yulee ปี 1887 Washington Barlette ได้เป็นผู้ว่าการรัฐ คาลิฟอร์เนีย และปี 1889 Solomon Hirsch เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตของอเมริกา ไปประจำอยู่ที่อาณาจักรออตโตมาน โดยประธานาธิบดี Harrison

    ในส่วนอื่นของโลก เช่นที่รัสเซีย ยิวเป็นผู้เร่งอุณภูมิในรัสเซียให้สูงขี้นอย่างมาก จากการที่พวกก่อความวุ่นวาย ซึ่งมีชาวยิวร่วมด้วย 2,3 คน ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ Alexander ที่ 2 สำเร็จ ในปี ค.ศ.1881 และเหตุการณ์นี้ ทำให้ชาวยิวถูกล้างแค้น โดนลอบสังหารเป็นประจำ ต่อเนื่องอีกเป็นสิบปี และมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และปี 1882 รัสเซียก็ออกกฏหมายที่เรียกว่า May Law of 1883 ห้ามชาวยิวอาศัยอยู่ และทำธุรกิจในบริเวณที่เรียกว่า Pale of Settlement พวกยิวจึงเริ่มอพยพออกจากรัสเซีย หนีกฏ Pale มุ่งหน้าไปเยอรมัน เป็นที่หมายแรก

    ก่อนหน้าที่พวกชาวยิว ที่สร้างความปั่นป่วนในรัสเซีย จะมุ่งหน้ามาเยอรมัน ชาวยิวที่อยู่ในเยอรมันเอง ก็มีอิทธิพลในเยอรมันไม่น้อยแล้ว Richard Wagner ผู้ประพันธ์เพลงอมตะ ของเยอรมันยังออกปากว่า หนังสือพิมพ์ในเยอรมันอยู่ในมือชาวยิวเกือบหมดแล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นที่พูดกันว่า ทุกวันนี้ พวกยิวกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางของสังคมและการเมืองในเยอรมันไปแล้ว ช่วงปลาย ค.ศ.1800 ถึง ต้น 1900 ดูเหมือนชาวยิวจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอีก จำนวนยิวที่เป็นกรรมการในบริษัทใหญ่ๆ หรืออยู่ในตำแหน่งบริหาร มีถึง 24% ในขณะที่ชาวยิวมีไม่เกิน 2 % ของจำนวนพลเมืองของเยอรมันทั้งหมด
    แต่ที่สำคัญที่สุด คือการกำเนิด ของกลุ่มไซออนนิสม์ Zionism ซึ่ง Theodor Herzl เป็นผู้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการ เมื่อ ค.ศ.1897 หลักการพื้นฐานของ ไซออนนิสม์ ที่เขาเขียนไว้ในหนังสือ Der Judenstaat (The Jewish State) สรุปคร่าวๆความคิดของเขา ที่บอกว่า ชาวยิวไม่มีวันพ้นจากการถูกข่มเหง ตราบใดที่ยังมีสถานะเป็นคนต่างชาติอยู่ในทุกๆแห่ง ดังนั้น ยิวจึงจำเป็นต้องมีรัฐของตนเอง พวกเขาหารือถึงสถานที่ต่างๆแต่ไม่ลงตัว จนเมื่อมีการประชุม World Zionist Organization ครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1897 ก็ได้ข้อยุติว่า มันควรเป็น Palestine

    แต่มันมีปัญหาว่า บริเวณดังกล่าวอยู่ในอาณัติของอาณาจักรออตโตมาน และประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนั้น ส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และคริสเตียนอาหรับ ถึงกระนั้นพวกไซออนนิสต์ก็ตั้งใจว่า พวกเขาจะไปปักหลักที่นั่น ยึดปาเลสไตน์มาจากออตโตมานให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีใด ก็วิธีหนึ่ง มันดูเหมือนเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย แต่พวกเขาก็มุ่งมั่นจนน่าตกใจ

    พวกเขาคิดว่า ทางเดียวที่จะทำให้มันเป็นไปได้ ก็โดยต้องใช้กำลังเท่านั้น และมันต้องใช้ผ่านสถานการณ์ที่เป็นวิกฤติ เช่น ผ่านการทำสงคราม ซึ่งจะทำให้พวกเขามีโอกาสชักใย สร้างความได้เปรียบ และนั่นเป็นต้นกำเนิดของหลักการ สร้างกำไรจากความหายนะ ” profit through distress” มันจะทำได้จากทั้งภายใน และภายนอกประเทศ ในประเทศที่มีชาวยิวมากพอ แต่มีอำนาจรัฐน้อย พวกเขาคิดใช้วิธีปลุกระดม สร้างความวุ่นวายภายในประเทศ และสำหรับประเทศที่พวกเขามีอำนาจ เขาจะใช้อำนาจนั้นสร้างความร่ำรวย และใช้ความร่ำรวยนั้น ไปกำหนดนโยบายของประเทศ ส่วนในประเทศที่พวกเขาไม่มีทั้งจำนวนประชาชน และไม่มีอำนาจ เขาก็จะใช้อำนาจจากภายนอก มากดดันให้ได้การสนับสนุนเพื่อวัตถุประสงค์ของพวกเขา

    พวกไซออนนิสต์เอาจริงกับยุทธศาสตร์ ป่วนข้างใน/ ปั่นข้างนอก internal/extentnal ตามคำพูดของ Herzl ที่เขียนไว้เองว่า

    ” When we sink, we become a revolutionary proletariat, the subordinate officers of the revolutionary party; when we rise, there rises also our terrible power of purse”
    เมื่อเราล่ม เราจะกลายเป็นกรรมกรผู้ปฏิวัติ ผู้สนับสนุนของพรรคปฏิวัติ
    เมื่อเรารุ่ง เงินในกระเป๋าของเรา ก็จะแสดงอำนาจอันร้ายกาจออกมาด้วย

    อันที่จริง Herzl ได้คาดการณ์ไว้ด้วยซ้ำว่า จะต้องเกิดสงครามโลก ไซออนนิสต์รุ่นแรก Litman Rosenthal เขียนไว้ในบันทึกของเขา เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1914 ว่า เขาจำได้ถึงการสนทนากับ Herzl เมื่อปี ค.ศ. 1897 ซึ่งเขาอ้างว่า Herzl พูดว่า:

    “ตุรกีอาจปฏิเสธ หรือไม่ยอมเข้าใจเรา เราจะต้องไม่ถอดใจ เราจะต้องหาทางที่จะได้ตามที่เราต้องการ ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องมีความขัดแย้งระหว่างประเทศ สงครามในยุโรปจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ผมจะถือนาฬิกาคอยดูเวลาหายนะนั้น หลังจากสงครามจบสิ้น การประชุมเพื่อสันติภาพจะต้องเกิดขึ้น เราจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับเวลานั้น เราจะต้องทำให้เขาเขิญเราเข้าไปร่วมการประชุมกับประเทศต่างๆ และเราจะต้องพิสูจน์ ให้เขาเห็นถึงทางออกที่สำคัญเร่งด่วน ของพวกไซออนนิสต์ ที่เขาจะต้องตอบกับชาวยิว”

    พวกยิวเอาจริงกับการดำเนินการตามแผนข้างต้น พวกเขาเดินหน้าเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย เพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่เขาเกลียดชัง และพยายามที่จะก่อความวุ่นวายในออตโตมานด้วย ส่วนในเยอรมัน ในอังกฤษ และ อเมริกา พวกเขาใช้อำนาจเงินอันร้ายกาจในกระเป๋า อย่างเต็มที่ เพื่อที่จะให้มีการนำทางไปสู่นโยบาย ที่จะต้องมีจัดการระเบียบของโลกเสียใหม่ ที่เป็นประโยชน์กับพวกเขา พวกเขาพยายามตัดตอนพวกที่คัดค้าน ขวางทางพวกเขา แต่ให้การสนับสนุน พวกที่เห็นด้วยกับแนวทางของพวกเขา พร้อมกับเพิ่มความมั่งคั่งให้พวกยิวด้วยกัน

    ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การจัดตั้ง รัฐปาเลสไตน์ ที่จะเป็นศูนย์กลางของยิวทั่วโลก

    การปฏิวัติ และสงคราม จึงเป็นภาระกิจเร่งด่วน อันดับแรกของพวกเขา

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 มิ.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทแถม “ฤทธิ์ยิว” (1) เรามักจะได้ยินการกล่าวถึงยิวในเชิงลบมากกว่าบวก สำหรับเราส่วนใหญ่ในแดนสยาม ชาวยิวที่เราพอคุ้นหู รุ่นแรกๆ คือ ไชล๊อก พ่อค้าชาวยิว ในหนังสือเรื่อง เวนิสวาณิช ซึ่งพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงแปลจาก The Merchant of Venice ของเชคสปียร์ เป็นหนังสืออ่านอยู่ในหลักสูตรก ระทรวงศึกษา สำหรับชั้นมัธยม เมื่อประมาณกว่า 60 ปีมาแล้ว ผมก็ต้องเรียน และจำได้ว่า จะมีคำพูดติดปากคนรุ่นผม เวลาใครเค็มจัด หรือเห็นแก่ตัว จะถูกเพื่อนด่า ว่า อย่ายิวนักซิโว้ย หรือมึงนี่มันไชล๊อกจริง แสดงว่านิสัยชาวยิวที่โด่งดังในสมัยเชคสปียร์ และในสายตาของชาวอังกฤษ รวมทั้งในบ้านเรา ที่รู้จักยิวน้อยมาก คงไม่ได้นึกถึงชาวยิวในทางบวก ยิวถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทเกี่ยวกับสงคราม หรือความขัดแย้งในสังคมอยู่เรื่อย แน่นอนมันไม่ใช่บทบาททางสร้างสันติภาพ หรือประนีประนอม แต่มันไปในทางจุดชนวน หรือสร้างกำไร และหาประโยชน์เสียมากกว่า นักประวัติศาสตร์บางค่าย ถึงกับแจงว่า นิสัยทางลบนี้ของชาวยิว เป็นมาตั้งแต่สมัยยิวรุ่นแรกๆย้อนไปถึง โจเซฟ บุตรของ เจคอบ ที่ถูกขายเป็นทาสตั้งแต่สมัย ฟาโรห์ของ อียิปต์นั่นเชียว โจเซฟ ทำงานเข้าตานายทาส จนฟาโรห์เรียกไปใช้งาน ให้เป็นหัวหน้าทาส เมื่อเกิดข้าวยากหมากแพง อดอยากกันไปทั่วเมือง ชาวนาก็กระด้างกระเดื่องไม่ยอมทำนา จนกว่าจะมีอาหารมาให้กิน โจเซฟจึงจัดการแบบลูกโหด ใช้นโยบายเอาที่ดินกับปศุสัตว์ มาแลกกับอาหาร ชาวนาทนอดอยากไม่ไหว ยอมขายนา ขายสัตว์ราคาถูก แลกกับอาหาร แล้วโจเซฟก็เปลี่ยนสถานะ จากทาส เป็นคนรวย ด้วยนโยบาย ที่น่าจะเป็นต้นแบบของ “สร้างความรวยจากความหายนะของผู้อื่น” เวลาผ่านไป ชาวยิวยิ่งสร้างชื่อเสียงว่า เป็นผู้ถนัดสร้างความวุ่นวายทางการเมือง และเป็นนักฉวยโอกาส จนจักรพรรดิคลอดิอุสของโรมัน ออกประกาศว่า ชาวยิวจากเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นต้นเชื้อแห่งความวุ่นวายที่ระบาดไปจนทั่วโลก และในที่สุด ก็ประกาศขับไล่ชาวยิวออกไปจากโรม แต่ชาวยิวก็ไปก่อความวุ่นวายในนครเยรูซาเลมต่อ ครั้งแล้วครั้งเล่า และแสดงอาการเป็นศัตรูกับโรมอย่างเปิดเผย โรมถึงกับด่าชาวยิวว่า เป็นเผ่าพันธ์ที่สร้างแต่ความจัญไรให้แก่ผู้อื่น (Quintilian, a race which is a curse to other) หรือเผ่าพันธ์ที่ถูกสาปแช่ง (Seneca, an accursed race) มาจนถึงสมัยยุคกลาง Middle Ages จนถึง ยุค เกิดใหม่ Renaissance ชื่อเสียงเชิงลบของชาวยิวก็ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1770 บรรดานักปราชญ์ ชื่อดังของยุโรป ต่างออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับชาวยืว Baron d’Holbach (นักปราชญ์ และนักเขียน ชาวฝรั่งเศส/เยอรมัน) กล่าวว่า ชาวยิวสร้างตนเองขึ้นมาจากการฆ่าฟัน จากความอยุติธรรม ความโหดร้าย ความเอาเปรียบ และความอดอยากของผู้อื่น ส่วน Voltaire (นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส) บอกว่า เขาจะไม่เแปลกใจเลยว่า คนพวกนี้ วันหนึ่งจะเป็นเผ่าพันธ์ที่อันตรายยิ่งต่อมนุษยชาติ ส่วน Immanuel Kant (นักปราชญ์ชาวเยอรมัน) บอกว่า ชาวยิว เป็นชาติพันธุ์แห่งการหลอกลวง และจากข้อสังเกต หรือความเห็น ของผู้ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับชาวยิว ส่วนใหญ่ก็สรุปไปในทำนองเดียวกันว่า เป็นศตวรรษมาแล้ว ที่ชาวยิววุ่นวายอยู่กับการทำสงคราม การก่อความขัดแย้งทางสังคม การสร้างความกดดันทางเศรษฐกิจ และทำกำไร จากสิ่งเหล่านั้น #################### “ฤทธิ์ยิว” (2) ดูจากจำนวนชาวยิวที่กระจายอยู่ตามประเทศต่างๆ ซึ่งจะว่าไป มีจำนวนน้อยมาก พวกเขาน่าจะเป็นพวกที่ถูกเอาเปรียบมากกว่า แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะกลับตาลปัตร ชาวยิวแสดงให้เห็นฤทธิ์เดชของพวกเขา ในการสร้างความวุ่นวายแก่สังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพวกตนได้อย่างมหัศจรรย์ ฤทธิ์เดชของชาวยิว ที่เข้ามามีส่วนสร้างสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง มีบันทึกให้เห็นอยู่ในประวัติศาสตร์ เริ่มตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ยิวเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในรัฐบาลอเมริกัน ปี ค.ศ. 1845 ยิวรุ่นแรก ที่เข้ามาอยู่ในสภาสูงของอเมริกา คือ Levis Levin และ David Yulee ปี 1887 Washington Barlette ได้เป็นผู้ว่าการรัฐ คาลิฟอร์เนีย และปี 1889 Solomon Hirsch เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตของอเมริกา ไปประจำอยู่ที่อาณาจักรออตโตมาน โดยประธานาธิบดี Harrison ในส่วนอื่นของโลก เช่นที่รัสเซีย ยิวเป็นผู้เร่งอุณภูมิในรัสเซียให้สูงขี้นอย่างมาก จากการที่พวกก่อความวุ่นวาย ซึ่งมีชาวยิวร่วมด้วย 2,3 คน ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ Alexander ที่ 2 สำเร็จ ในปี ค.ศ.1881 และเหตุการณ์นี้ ทำให้ชาวยิวถูกล้างแค้น โดนลอบสังหารเป็นประจำ ต่อเนื่องอีกเป็นสิบปี และมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และปี 1882 รัสเซียก็ออกกฏหมายที่เรียกว่า May Law of 1883 ห้ามชาวยิวอาศัยอยู่ และทำธุรกิจในบริเวณที่เรียกว่า Pale of Settlement พวกยิวจึงเริ่มอพยพออกจากรัสเซีย หนีกฏ Pale มุ่งหน้าไปเยอรมัน เป็นที่หมายแรก ก่อนหน้าที่พวกชาวยิว ที่สร้างความปั่นป่วนในรัสเซีย จะมุ่งหน้ามาเยอรมัน ชาวยิวที่อยู่ในเยอรมันเอง ก็มีอิทธิพลในเยอรมันไม่น้อยแล้ว Richard Wagner ผู้ประพันธ์เพลงอมตะ ของเยอรมันยังออกปากว่า หนังสือพิมพ์ในเยอรมันอยู่ในมือชาวยิวเกือบหมดแล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นที่พูดกันว่า ทุกวันนี้ พวกยิวกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางของสังคมและการเมืองในเยอรมันไปแล้ว ช่วงปลาย ค.ศ.1800 ถึง ต้น 1900 ดูเหมือนชาวยิวจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอีก จำนวนยิวที่เป็นกรรมการในบริษัทใหญ่ๆ หรืออยู่ในตำแหน่งบริหาร มีถึง 24% ในขณะที่ชาวยิวมีไม่เกิน 2 % ของจำนวนพลเมืองของเยอรมันทั้งหมด แต่ที่สำคัญที่สุด คือการกำเนิด ของกลุ่มไซออนนิสม์ Zionism ซึ่ง Theodor Herzl เป็นผู้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการ เมื่อ ค.ศ.1897 หลักการพื้นฐานของ ไซออนนิสม์ ที่เขาเขียนไว้ในหนังสือ Der Judenstaat (The Jewish State) สรุปคร่าวๆความคิดของเขา ที่บอกว่า ชาวยิวไม่มีวันพ้นจากการถูกข่มเหง ตราบใดที่ยังมีสถานะเป็นคนต่างชาติอยู่ในทุกๆแห่ง ดังนั้น ยิวจึงจำเป็นต้องมีรัฐของตนเอง พวกเขาหารือถึงสถานที่ต่างๆแต่ไม่ลงตัว จนเมื่อมีการประชุม World Zionist Organization ครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1897 ก็ได้ข้อยุติว่า มันควรเป็น Palestine แต่มันมีปัญหาว่า บริเวณดังกล่าวอยู่ในอาณัติของอาณาจักรออตโตมาน และประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนั้น ส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และคริสเตียนอาหรับ ถึงกระนั้นพวกไซออนนิสต์ก็ตั้งใจว่า พวกเขาจะไปปักหลักที่นั่น ยึดปาเลสไตน์มาจากออตโตมานให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีใด ก็วิธีหนึ่ง มันดูเหมือนเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย แต่พวกเขาก็มุ่งมั่นจนน่าตกใจ พวกเขาคิดว่า ทางเดียวที่จะทำให้มันเป็นไปได้ ก็โดยต้องใช้กำลังเท่านั้น และมันต้องใช้ผ่านสถานการณ์ที่เป็นวิกฤติ เช่น ผ่านการทำสงคราม ซึ่งจะทำให้พวกเขามีโอกาสชักใย สร้างความได้เปรียบ และนั่นเป็นต้นกำเนิดของหลักการ สร้างกำไรจากความหายนะ ” profit through distress” มันจะทำได้จากทั้งภายใน และภายนอกประเทศ ในประเทศที่มีชาวยิวมากพอ แต่มีอำนาจรัฐน้อย พวกเขาคิดใช้วิธีปลุกระดม สร้างความวุ่นวายภายในประเทศ และสำหรับประเทศที่พวกเขามีอำนาจ เขาจะใช้อำนาจนั้นสร้างความร่ำรวย และใช้ความร่ำรวยนั้น ไปกำหนดนโยบายของประเทศ ส่วนในประเทศที่พวกเขาไม่มีทั้งจำนวนประชาชน และไม่มีอำนาจ เขาก็จะใช้อำนาจจากภายนอก มากดดันให้ได้การสนับสนุนเพื่อวัตถุประสงค์ของพวกเขา พวกไซออนนิสต์เอาจริงกับยุทธศาสตร์ ป่วนข้างใน/ ปั่นข้างนอก internal/extentnal ตามคำพูดของ Herzl ที่เขียนไว้เองว่า ” When we sink, we become a revolutionary proletariat, the subordinate officers of the revolutionary party; when we rise, there rises also our terrible power of purse” เมื่อเราล่ม เราจะกลายเป็นกรรมกรผู้ปฏิวัติ ผู้สนับสนุนของพรรคปฏิวัติ เมื่อเรารุ่ง เงินในกระเป๋าของเรา ก็จะแสดงอำนาจอันร้ายกาจออกมาด้วย อันที่จริง Herzl ได้คาดการณ์ไว้ด้วยซ้ำว่า จะต้องเกิดสงครามโลก ไซออนนิสต์รุ่นแรก Litman Rosenthal เขียนไว้ในบันทึกของเขา เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1914 ว่า เขาจำได้ถึงการสนทนากับ Herzl เมื่อปี ค.ศ. 1897 ซึ่งเขาอ้างว่า Herzl พูดว่า: “ตุรกีอาจปฏิเสธ หรือไม่ยอมเข้าใจเรา เราจะต้องไม่ถอดใจ เราจะต้องหาทางที่จะได้ตามที่เราต้องการ ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องมีความขัดแย้งระหว่างประเทศ สงครามในยุโรปจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ผมจะถือนาฬิกาคอยดูเวลาหายนะนั้น หลังจากสงครามจบสิ้น การประชุมเพื่อสันติภาพจะต้องเกิดขึ้น เราจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับเวลานั้น เราจะต้องทำให้เขาเขิญเราเข้าไปร่วมการประชุมกับประเทศต่างๆ และเราจะต้องพิสูจน์ ให้เขาเห็นถึงทางออกที่สำคัญเร่งด่วน ของพวกไซออนนิสต์ ที่เขาจะต้องตอบกับชาวยิว” พวกยิวเอาจริงกับการดำเนินการตามแผนข้างต้น พวกเขาเดินหน้าเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย เพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่เขาเกลียดชัง และพยายามที่จะก่อความวุ่นวายในออตโตมานด้วย ส่วนในเยอรมัน ในอังกฤษ และ อเมริกา พวกเขาใช้อำนาจเงินอันร้ายกาจในกระเป๋า อย่างเต็มที่ เพื่อที่จะให้มีการนำทางไปสู่นโยบาย ที่จะต้องมีจัดการระเบียบของโลกเสียใหม่ ที่เป็นประโยชน์กับพวกเขา พวกเขาพยายามตัดตอนพวกที่คัดค้าน ขวางทางพวกเขา แต่ให้การสนับสนุน พวกที่เห็นด้วยกับแนวทางของพวกเขา พร้อมกับเพิ่มความมั่งคั่งให้พวกยิวด้วยกัน ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การจัดตั้ง รัฐปาเลสไตน์ ที่จะเป็นศูนย์กลางของยิวทั่วโลก การปฏิวัติ และสงคราม จึงเป็นภาระกิจเร่งด่วน อันดับแรกของพวกเขา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 มิ.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 424 Views 0 Reviews
  • ครบรอบ 25 ปี DirectX 8 – จุดเปลี่ยนสำคัญของกราฟิก PC ที่เปิดทางสู่ยุค GPU อัจฉริยะ

    ในปี 2000 Microsoft เปิดตัว DirectX 8 ซึ่งเป็นเวอร์ชันแรกที่รองรับ “programmable shaders” ทำให้การเรนเดอร์ภาพ 3D มีความยืดหยุ่นและสมจริงมากขึ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา GPU สมัยใหม่ที่เราใช้กันในปัจจุบัน

    ย้อนกลับไปเมื่อ 25 ปีก่อน DirectX 8 ได้เปลี่ยนโลกของกราฟิกคอมพิวเตอร์อย่างสิ้นเชิง โดยการเปิดตัว “programmable shaders” ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่อนุญาตให้นักพัฒนาเกมสามารถเขียนโค้ดควบคุมการเรนเดอร์ภาพได้เอง ไม่ต้องพึ่ง pipeline แบบตายตัวอีกต่อไป

    ก่อนหน้านั้น GPU ทำงานแบบ fixed-function คือมีขั้นตอนการเรนเดอร์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น การแปลงพิกัด, การจัดแสง, การแสดงผลพื้นผิว ซึ่งแม้จะเร็ว แต่ก็จำกัดความคิดสร้างสรรค์ของนักพัฒนา

    DirectX 8 เปิดตัว Vertex Shader และ Pixel Shader รุ่นแรก (Shader Model 1.0) ซึ่งแม้จะมีข้อจำกัดด้านความยาวโค้ดและฟีเจอร์ แต่ก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญมาก โดย GPU ที่รองรับในยุคนั้น ได้แก่ NVIDIA GeForce 3 และ ATI Radeon 8500

    ผลลัพธ์คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเกม PC เช่น เกม Morrowind, Unreal Tournament 2003 และ Doom 3 ที่ใช้ shader ในการสร้างแสงเงาและพื้นผิวที่สมจริงอย่างไม่เคยมีมาก่อน

    นอกจากนี้ DirectX 8 ยังเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนา GPU แบบ programmable อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นสถาปัตยกรรมหลักของ GPU สมัยใหม่ที่รองรับ compute shader, ray tracing และ AI acceleration

    การเปิดตัว DirectX 8
    เปิดตัวในปี 2000
    รองรับ programmable shaders เป็นครั้งแรก
    เปลี่ยนจาก fixed-function pipeline เป็น programmable pipeline

    ฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญ
    Vertex Shader – ควบคุมการแปลงพิกัดและแสง
    Pixel Shader – ควบคุมการแสดงผลพื้นผิวและสี
    Shader Model 1.0 – มีข้อจำกัดแต่เป็นจุดเริ่มต้น

    GPU ที่รองรับในยุคนั้น
    NVIDIA GeForce 3
    ATI Radeon 8500
    เป็น GPU รุ่นแรกที่รองรับ programmable shaders

    ผลกระทบต่อวงการเกม
    เกมสามารถสร้างแสงเงาและพื้นผิวได้สมจริงขึ้น
    เปิดทางสู่เกม 3D ยุคใหม่ เช่น Doom 3, Morrowind
    เป็นพื้นฐานของ GPU สมัยใหม่ที่ใช้ในงาน AI และ ray tracing

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/25-years-ago-today-microsoft-released-directx-8-and-changed-pc-graphics-forever-how-programmable-shaders-laid-the-groundwork-for-the-future-of-modern-gpu-rendering
    🧠 ครบรอบ 25 ปี DirectX 8 – จุดเปลี่ยนสำคัญของกราฟิก PC ที่เปิดทางสู่ยุค GPU อัจฉริยะ ในปี 2000 Microsoft เปิดตัว DirectX 8 ซึ่งเป็นเวอร์ชันแรกที่รองรับ “programmable shaders” ทำให้การเรนเดอร์ภาพ 3D มีความยืดหยุ่นและสมจริงมากขึ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา GPU สมัยใหม่ที่เราใช้กันในปัจจุบัน ย้อนกลับไปเมื่อ 25 ปีก่อน DirectX 8 ได้เปลี่ยนโลกของกราฟิกคอมพิวเตอร์อย่างสิ้นเชิง โดยการเปิดตัว “programmable shaders” ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่อนุญาตให้นักพัฒนาเกมสามารถเขียนโค้ดควบคุมการเรนเดอร์ภาพได้เอง ไม่ต้องพึ่ง pipeline แบบตายตัวอีกต่อไป ก่อนหน้านั้น GPU ทำงานแบบ fixed-function คือมีขั้นตอนการเรนเดอร์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น การแปลงพิกัด, การจัดแสง, การแสดงผลพื้นผิว ซึ่งแม้จะเร็ว แต่ก็จำกัดความคิดสร้างสรรค์ของนักพัฒนา DirectX 8 เปิดตัว Vertex Shader และ Pixel Shader รุ่นแรก (Shader Model 1.0) ซึ่งแม้จะมีข้อจำกัดด้านความยาวโค้ดและฟีเจอร์ แต่ก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญมาก โดย GPU ที่รองรับในยุคนั้น ได้แก่ NVIDIA GeForce 3 และ ATI Radeon 8500 ผลลัพธ์คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเกม PC เช่น เกม Morrowind, Unreal Tournament 2003 และ Doom 3 ที่ใช้ shader ในการสร้างแสงเงาและพื้นผิวที่สมจริงอย่างไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนี้ DirectX 8 ยังเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนา GPU แบบ programmable อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นสถาปัตยกรรมหลักของ GPU สมัยใหม่ที่รองรับ compute shader, ray tracing และ AI acceleration ✅ การเปิดตัว DirectX 8 ➡️ เปิดตัวในปี 2000 ➡️ รองรับ programmable shaders เป็นครั้งแรก ➡️ เปลี่ยนจาก fixed-function pipeline เป็น programmable pipeline ✅ ฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญ ➡️ Vertex Shader – ควบคุมการแปลงพิกัดและแสง ➡️ Pixel Shader – ควบคุมการแสดงผลพื้นผิวและสี ➡️ Shader Model 1.0 – มีข้อจำกัดแต่เป็นจุดเริ่มต้น ✅ GPU ที่รองรับในยุคนั้น ➡️ NVIDIA GeForce 3 ➡️ ATI Radeon 8500 ➡️ เป็น GPU รุ่นแรกที่รองรับ programmable shaders ✅ ผลกระทบต่อวงการเกม ➡️ เกมสามารถสร้างแสงเงาและพื้นผิวได้สมจริงขึ้น ➡️ เปิดทางสู่เกม 3D ยุคใหม่ เช่น Doom 3, Morrowind ➡️ เป็นพื้นฐานของ GPU สมัยใหม่ที่ใช้ในงาน AI และ ray tracing https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/25-years-ago-today-microsoft-released-directx-8-and-changed-pc-graphics-forever-how-programmable-shaders-laid-the-groundwork-for-the-future-of-modern-gpu-rendering
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 5 (จบ)

    นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน

    นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย

    นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว
    คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย

    (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ)

    ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ

    สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย
    จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ

    1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี
    2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย)
    3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย)
    4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย)

    ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้

    1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
    2. นางธาริษา วัฒนเกศ

    ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น

    CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่

    และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย
    ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง

    แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก

    และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด
    ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม

    เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 5 (จบ) นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ) ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ 1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี 2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย) 3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย) 4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย) ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้ 1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ 2. นางธาริษา วัฒนเกศ ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่ และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 471 Views 0 Reviews
More Results